เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.410 กรัม และจำหน่ายไปมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.027 กรัม ซึ่งแม้จะเป็นการขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นอันแสดงให้เห็นว่าจำเลยประกอบกิจการด้วยการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นการปกติทั่วไป อันจะถือเป็นการกระทำเพื่อการค้า การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท ดังนั้น เมื่อคำพิพากษาถึงที่สุดที่กำหนดโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง กรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) สำหรับการปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรมนั้น เนื่องจากได้มี พ.ร.บ.ให้ใช้ ป.ยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับ โดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ ป.ยาเสพติดท้าย พ.ร.บ. ดังกล่าวแทน ซึ่งตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ตาม จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันคือจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงกรรมเดียวบทเดียว ดังนั้น การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง เพียงกรรมเดียว จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1)
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่งและวรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 5 ปี 4 เดือน และปรับ 533,333.33 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 5 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน และปรับ 266,666.67 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 16 เดือน และปรับ 266,666.67 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง คดีถึงที่สุด
จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กรณีมีเหตุกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้วดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ... ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...” ดังนั้น คำว่ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดหรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดดังกล่าวนั้น หมายถึงกฎหมายที่บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิด หรือบัญญัติถึงกำหนดโทษหรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ซึ่งในคดีนี้ได้แก่บทบัญญัติความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดและมีผลที่จะทำให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา 3 นั้น สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การกำหนดโทษใหม่จะต้องปรากฏว่าโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาถึงที่สุดหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง คดีนี้คำพิพากษาถึงที่สุดกำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.410 กรัม และจำหน่ายไปมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.027 กรัม ซึ่งแม้จะเป็นการขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นอันแสดงให้เห็นว่าจำเลยประกอบกิจการด้วยการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นการปกติทั่วไป อันจะถือเป็นการกระทำเพื่อการค้า การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท ดังนั้น คำพิพากษาถึงที่สุดที่กำหนดโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ดังกล่าวจึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง กรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) สำหรับการปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรมนั้น เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับ โดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน ซึ่งตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ตาม จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันคือจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงกรรมเดียวบทเดียว แตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดซึ่งแยกเป็นคนละฐานความผิด ดังนั้น การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง เพียงกรรมเดียว จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกคำร้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับว่า ให้กำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) เพียงกรรมเดียว ให้จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 แล้ว เป็นจำคุก 5 ปี 4 เดือน และปรับ 533,333.33 บาท ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน และปรับ 266,666.66 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.410 กรัม และจำหน่ายไปมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.027 กรัม ซึ่งแม้จะเป็นการขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นอันแสดงให้เห็นว่าจำเลยประกอบกิจการด้วยการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นการปกติทั่วไป อันจะถือเป็นการกระทำเพื่อการค้า การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท ดังนั้น เมื่อคำพิพากษาถึงที่สุดที่กำหนดโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง กรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) สำหรับการปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรมนั้น เนื่องจากได้มี พ.ร.บ.ให้ใช้ ป.ยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับ โดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ ป.ยาเสพติดท้าย พ.ร.บ. ดังกล่าวแทน ซึ่งตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ตาม จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันคือจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงกรรมเดียวบทเดียว ดังนั้น การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง เพียงกรรมเดียว จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1)
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่งและวรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 5 ปี 4 เดือน และปรับ 533,333.33 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 5 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน และปรับ 266,666.67 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 16 เดือน และปรับ 266,666.67 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง คดีถึงที่สุด
จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กรณีมีเหตุกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้วดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ... ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...” ดังนั้น คำว่ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดหรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดดังกล่าวนั้น หมายถึงกฎหมายที่บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิด หรือบัญญัติถึงกำหนดโทษหรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ซึ่งในคดีนี้ได้แก่บทบัญญัติความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดและมีผลที่จะทำให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา 3 นั้น สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การกำหนดโทษใหม่จะต้องปรากฏว่าโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาถึงที่สุดหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง คดีนี้คำพิพากษาถึงที่สุดกำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.410 กรัม และจำหน่ายไปมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.027 กรัม ซึ่งแม้จะเป็นการขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นอันแสดงให้เห็นว่าจำเลยประกอบกิจการด้วยการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นการปกติทั่วไป อันจะถือเป็นการกระทำเพื่อการค้า การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท ดังนั้น คำพิพากษาถึงที่สุดที่กำหนดโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ดังกล่าวจึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง กรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) สำหรับการปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรมนั้น เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับ โดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน ซึ่งตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ตาม จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันคือจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงกรรมเดียวบทเดียว แตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดซึ่งแยกเป็นคนละฐานความผิด ดังนั้น การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง เพียงกรรมเดียว จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกคำร้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับว่า ให้กำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) เพียงกรรมเดียว ให้จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 แล้ว เป็นจำคุก 5 ปี 4 เดือน และปรับ 533,333.33 บาท ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน และปรับ 266,666.66 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะขอให้ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกและปรับในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายที่ศาลชั้นต้นกำหนดมาใหม่ โดยอ้างว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้มีพฤติการณ์ตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) โดยมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 104, 162 จึงถือว่าจำเลยพอใจไม่โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว เช่นนี้ การกำหนดบทกำหนดโทษตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 104, 162 ย่อมเป็นอันยุติตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก คงมีอำนาจวินิจฉัยตามประเด็นอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) หรือไม่ หากศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นก็ปรับบทกำหนดโทษจำเลยตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) ไม่ถูกต้อง โดยเห็นว่าต้องปรับบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) ศาลอุทธรณ์ย่อมยกขึ้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์จะก้าวล่วงไปวินิจฉัยการปรับบทกำหนดโทษจำเลยอีกครั้งหนึ่งและปรับบทกำหนดโทษเสียใหม่ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) โดยมิได้อ้าง ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 หาได้ไม่ ทั้งกรณีไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่ให้อำนาจศาลอุทธรณ์ในกรณีเช่นนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดี ภาค 4 ลักษณะ 1 อุทธรณ์ และไม่ก่อสิทธิให้จำเลยฎีกาในข้อที่ว่าที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทกำหนดโทษตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) ชอบหรือไม่ แม้ศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับวินิจฉัยได้เพราะกรณีที่จะอนุญาตให้ฎีกาได้ต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง, 91 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี และปรับ 500,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน เพิ่มโทษกระทงละกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 9 ปี และปรับ 750,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 9 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 375,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 เดือน 15 วัน รวมจำคุก 4 ปี 10 เดือน 15 วัน และปรับ 375,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบของกลาง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติดแก้ไขฐานความผิดและบทกำหนดโทษที่ศาลจะลงโทษแก่จำเลย อันส่งผลต่อคำพิพากษาและการลงโทษจำเลย ซึ่งจะทำให้จำเลยได้รับการลดโทษ ลดอัตราส่วนโทษจำคุกและโทษปรับหรือได้รับการปล่อยตัว ขอให้ศาลพิพากษาแก้โทษจำคุก แก้อัตราส่วนโทษจำคุก และโทษปรับ โดยการลดโทษจำคุกและโทษปรับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กำหนดโทษจำเลยใหม่เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 104, 145 วรรคสอง (2), 162 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน จำคุก 6 ปี และปรับ 500,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 รวมจำคุก 8 ปี 8 เดือน และปรับ 666,666.66 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 333,333.33 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า อัตราโทษตามคำพิพากษาไม่สูงกว่าอัตราโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด จึงเป็นกรณีที่ศาลได้กำหนดโทษเหมาะสมและอยูในกรอบของอัตราโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติดแล้ว แต่ประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่มีบทบัญญัติเรื่องเพิ่มโทษไว้โดยเฉพาะ กรณีจึงต้องเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 แล้วมีคำสั่งกำหนดโทษจำเลยใหม่ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 104, 145 วรรคสอง (2), 162 และเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 จำเลยอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยไม่ได้มีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง ขอให้ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำเลยใหม่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้ว ดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษหรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ดังนั้น การกำหนดโทษใหม่ในคดีที่ถึงที่สุดแล้ว จะต้องปรากฏว่าโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง คดีนี้คำพิพากษากำหนดโทษความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 เดือน 15 วัน ซึ่งมีโทษตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 375,000 บาท ก็เนื่องจากจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ถึง 2.029 กรัม เป็นจำนวนมากเกินกว่าจะมีไว้เพื่อเสพเอง ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุมว่า ตนเองเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มจำหน่ายยาเสพติดให้โทษกับนายเปี๊ยก ไม่ทราบชื่อและชื่อสกุลจริง อันถือเป็นการกระทำเพื่อการค้า กรณีการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (1) มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสองล้านบาท ดังนั้น โทษที่กำหนดในคำพิพากษาในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง คำร้องของจำเลยไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษใหม่ได้ เห็นว่า หลักการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีใดแล้ว คู่ความฝ่ายที่ไม่พอใจหรือไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น คู่ความฝ่ายนั้นย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์และฎีกาได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ เว้นแต่ถูกจำกัดสิทธิตามบทบัญญัติของกฎหมาย และการพิจารณาคดีนี้ในชั้นอุทธรณ์ต้องเป็นไปดังที่บัญญัติไว้ในภาค 4 ลักษณะ 1 อุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ดังนี้ เมื่อจำเลยอุทธรณ์เฉพาะขอให้ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกและปรับในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายที่ศาลชั้นต้นกำหนดมาใหม่ โดยอ้างว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้มีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (ที่ถูก มาตรา 145 วรรคสอง (2)) โดยมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จึงถือว่าจำเลยพอใจไม่โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว เช่นนี้ การกำหนดบทกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 ย่อมเป็นอันยุติตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก คงมีอำนาจวินิจฉัยตามประเด็นอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (ที่ถูก มาตรา 145 วรรคสอง (2)) หรือไม่ หากศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นก็ปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) ไม่ถูกต้อง โดยเห็นว่าต้องปรับบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) ศาลอุทธรณ์ย่อมยกขึ้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์จะก้าวล่วงไปวินิจฉัยการปรับบทกำหนดโทษจำเลยอีกครั้งหนึ่งและปรับบทกำหนดโทษเสียใหม่ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) โดยมิได้อ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 หาได้ไม่ ทั้งกรณีไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่ให้อำนาจศาลอุทธรณ์ในกรณีเช่นนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดี ภาค 4 ลักษณะ 1 อุทธรณ์ และไม่ก่อสิทธิให้จำเลยฎีกาในข้อที่ว่าที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) ชอบหรือไม่ แม้ศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับวินิจฉัยได้เพราะกรณีที่จะอนุญาตให้ฎีกาได้ต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (ที่ถูก) มาตรา 145 วรรคสอง (2)) หรือไม่ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวอีก เห็นว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 นิยามคำว่า จำหน่าย ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย และการจำหน่ายบัญญัติบทความผิดและบทกำหนดโทษไว้ในมาตรา 90, 145 แสดงว่าประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่ได้ยกเลิกความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่นำไปรวมไว้เป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โดยมาตรา 145 วรรคหนึ่งถึงวรรคสามกำหนดโทษหนักเบาตามพฤติการณ์และบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดเป็นสำคัญ ไม่ถือเอาปริมาณดังเช่นกฎหมายเดิมอีกต่อไป ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคใดนั้น เห็นว่า แม้ปริมาณเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดของกลาง 1 ถุง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 2.029 กรัม ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอาจบ่งชี้ถึงพฤติการณ์และบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดได้ระดับหนึ่งก็ตาม แต่การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องเป็นไปตามบทสันนิษฐานของกฎหมายที่จำเลยสามารถนำสืบหักล้างได้เท่านั้น นอกจากนี้หากมีการนำเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดของกลางไปจำหน่ายแล้วอาจจำหน่ายให้ผู้เสพรายเดียวหมดในครั้งเดียวหรือผู้เสพหลายรายซึ่งมีจำนวนไม่มากนักก็ได้ พฤติการณ์และบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดของจำเลยยังฟังไม่ได้ว่าก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) จึงต้องปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ที่มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งล้านห้าแสนบาท แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) บัญญัติให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังแก่ผู้กระทำความผิดที่กำลังรับโทษอยู่ เมื่อโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง แต่เมื่อโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายที่กำหนดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่หนักกว่าโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติในภายหลัง กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษจำคุกและปรับในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายใหม่ ที่ศาลชั้นต้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลชั้นต้นไม่กำหนดโทษจำคุกและปรับจำเลยใหม่นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยมีว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดโทษในการเพิ่มโทษจำเลยใหม่ชอบหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติดยกเลิกมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่กรณีที่คดีถึงที่สุดแล้วดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง... ดังนี้ คำว่า กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดหรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดดังกล่าวนั้น หมายถึง กฎหมายที่บัญญัติถึงกำหนดโทษหรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นด้วย ซึ่งกรณีการเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดอีก หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดและมีผลที่จะทำให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา 3 โดยมิใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อบทบัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ถูกยกเลิกไปแล้ว โดยประมวลกฎหมายยาเสพติดซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษ ดังนี้ ศาลจึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดที่ถูกยกเลิกไปแล้วและกฎหมายที่ใช้ในภายหลังกระทำความผิดได้ การเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งจึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) อย่างไรก็ตาม เมื่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 บัญญัติว่าบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญาให้ใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย ดังนั้น แม้กฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันเป็นกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้บัญญัติเรื่องเพิ่มโทษเพราะกระทำผิดอีกไว้ ก็มิได้หมายความว่าศาลไม่อาจเพิ่มโทษตามบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีกโดยไม่เข็ดหลาบและโจทก์ได้ขอให้เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์จะขอเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบและได้กล่าวในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 แล้วด้วย ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้ ที่คำพิพากษาถึงที่สุดกำหนดโทษจำเลยโดยเพิ่มโทษกึ่งหนึ่ง จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งการเพิ่มโทษถือเป็นส่วนหนึ่งของโทษที่กำหนดใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 (1) มิใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาถึงที่สุด ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับว่า ให้กำหนดโทษจำเลยใหม่สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) จำคุก 6 ปี และปรับ 500,000 บาท เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 8 ปี และปรับ 666,666.66 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 8 เดือน เมื่อลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 4 ปี และปรับ 333,333.33 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 333,333.33 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะขอให้ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกและปรับในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายที่ศาลชั้นต้นกำหนดมาใหม่ โดยอ้างว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้มีพฤติการณ์ตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) โดยมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 104, 162 จึงถือว่าจำเลยพอใจไม่โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว เช่นนี้ การกำหนดบทกำหนดโทษตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 104, 162 ย่อมเป็นอันยุติตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก คงมีอำนาจวินิจฉัยตามประเด็นอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) หรือไม่ หากศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นก็ปรับบทกำหนดโทษจำเลยตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) ไม่ถูกต้อง โดยเห็นว่าต้องปรับบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) ศาลอุทธรณ์ย่อมยกขึ้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์จะก้าวล่วงไปวินิจฉัยการปรับบทกำหนดโทษจำเลยอีกครั้งหนึ่งและปรับบทกำหนดโทษเสียใหม่ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) โดยมิได้อ้าง ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 หาได้ไม่ ทั้งกรณีไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่ให้อำนาจศาลอุทธรณ์ในกรณีเช่นนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดี ภาค 4 ลักษณะ 1 อุทธรณ์ และไม่ก่อสิทธิให้จำเลยฎีกาในข้อที่ว่าที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทกำหนดโทษตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) ชอบหรือไม่ แม้ศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับวินิจฉัยได้เพราะกรณีที่จะอนุญาตให้ฎีกาได้ต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง, 91 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี และปรับ 500,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน เพิ่มโทษกระทงละกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 9 ปี และปรับ 750,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 9 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 375,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 เดือน 15 วัน รวมจำคุก 4 ปี 10 เดือน 15 วัน และปรับ 375,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบของกลาง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติดแก้ไขฐานความผิดและบทกำหนดโทษที่ศาลจะลงโทษแก่จำเลย อันส่งผลต่อคำพิพากษาและการลงโทษจำเลย ซึ่งจะทำให้จำเลยได้รับการลดโทษ ลดอัตราส่วนโทษจำคุกและโทษปรับหรือได้รับการปล่อยตัว ขอให้ศาลพิพากษาแก้โทษจำคุก แก้อัตราส่วนโทษจำคุก และโทษปรับ โดยการลดโทษจำคุกและโทษปรับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กำหนดโทษจำเลยใหม่เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 104, 145 วรรคสอง (2), 162 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน จำคุก 6 ปี และปรับ 500,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 รวมจำคุก 8 ปี 8 เดือน และปรับ 666,666.66 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 333,333.33 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า อัตราโทษตามคำพิพากษาไม่สูงกว่าอัตราโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด จึงเป็นกรณีที่ศาลได้กำหนดโทษเหมาะสมและอยูในกรอบของอัตราโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติดแล้ว แต่ประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่มีบทบัญญัติเรื่องเพิ่มโทษไว้โดยเฉพาะ กรณีจึงต้องเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 แล้วมีคำสั่งกำหนดโทษจำเลยใหม่ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 104, 145 วรรคสอง (2), 162 และเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 จำเลยอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยไม่ได้มีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง ขอให้ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำเลยใหม่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้ว ดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษหรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ดังนั้น การกำหนดโทษใหม่ในคดีที่ถึงที่สุดแล้ว จะต้องปรากฏว่าโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง คดีนี้คำพิพากษากำหนดโทษความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 เดือน 15 วัน ซึ่งมีโทษตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 375,000 บาท ก็เนื่องจากจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ถึง 2.029 กรัม เป็นจำนวนมากเกินกว่าจะมีไว้เพื่อเสพเอง ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุมว่า ตนเองเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มจำหน่ายยาเสพติดให้โทษกับนายเปี๊ยก ไม่ทราบชื่อและชื่อสกุลจริง อันถือเป็นการกระทำเพื่อการค้า กรณีการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (1) มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสองล้านบาท ดังนั้น โทษที่กำหนดในคำพิพากษาในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง คำร้องของจำเลยไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษใหม่ได้ เห็นว่า หลักการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีใดแล้ว คู่ความฝ่ายที่ไม่พอใจหรือไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น คู่ความฝ่ายนั้นย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์และฎีกาได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ เว้นแต่ถูกจำกัดสิทธิตามบทบัญญัติของกฎหมาย และการพิจารณาคดีนี้ในชั้นอุทธรณ์ต้องเป็นไปดังที่บัญญัติไว้ในภาค 4 ลักษณะ 1 อุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ดังนี้ เมื่อจำเลยอุทธรณ์เฉพาะขอให้ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกและปรับในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายที่ศาลชั้นต้นกำหนดมาใหม่ โดยอ้างว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้มีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (ที่ถูก มาตรา 145 วรรคสอง (2)) โดยมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จึงถือว่าจำเลยพอใจไม่โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว เช่นนี้ การกำหนดบทกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 ย่อมเป็นอันยุติตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก คงมีอำนาจวินิจฉัยตามประเด็นอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (ที่ถูก มาตรา 145 วรรคสอง (2)) หรือไม่ หากศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นก็ปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) ไม่ถูกต้อง โดยเห็นว่าต้องปรับบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) ศาลอุทธรณ์ย่อมยกขึ้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์จะก้าวล่วงไปวินิจฉัยการปรับบทกำหนดโทษจำเลยอีกครั้งหนึ่งและปรับบทกำหนดโทษเสียใหม่ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) โดยมิได้อ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 หาได้ไม่ ทั้งกรณีไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่ให้อำนาจศาลอุทธรณ์ในกรณีเช่นนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดี ภาค 4 ลักษณะ 1 อุทธรณ์ และไม่ก่อสิทธิให้จำเลยฎีกาในข้อที่ว่าที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) ชอบหรือไม่ แม้ศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับวินิจฉัยได้เพราะกรณีที่จะอนุญาตให้ฎีกาได้ต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (ที่ถูก) มาตรา 145 วรรคสอง (2)) หรือไม่ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวอีก เห็นว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 นิยามคำว่า จำหน่าย ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย และการจำหน่ายบัญญัติบทความผิดและบทกำหนดโทษไว้ในมาตรา 90, 145 แสดงว่าประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่ได้ยกเลิกความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่นำไปรวมไว้เป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โดยมาตรา 145 วรรคหนึ่งถึงวรรคสามกำหนดโทษหนักเบาตามพฤติการณ์และบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดเป็นสำคัญ ไม่ถือเอาปริมาณดังเช่นกฎหมายเดิมอีกต่อไป ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคใดนั้น เห็นว่า แม้ปริมาณเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดของกลาง 1 ถุง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 2.029 กรัม ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอาจบ่งชี้ถึงพฤติการณ์และบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดได้ระดับหนึ่งก็ตาม แต่การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องเป็นไปตามบทสันนิษฐานของกฎหมายที่จำเลยสามารถนำสืบหักล้างได้เท่านั้น นอกจากนี้หากมีการนำเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดของกลางไปจำหน่ายแล้วอาจจำหน่ายให้ผู้เสพรายเดียวหมดในครั้งเดียวหรือผู้เสพหลายรายซึ่งมีจำนวนไม่มากนักก็ได้ พฤติการณ์และบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดของจำเลยยังฟังไม่ได้ว่าก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) จึงต้องปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ที่มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งล้านห้าแสนบาท แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) บัญญัติให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังแก่ผู้กระทำความผิดที่กำลังรับโทษอยู่ เมื่อโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง แต่เมื่อโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายที่กำหนดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่หนักกว่าโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติในภายหลัง กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษจำคุกและปรับในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายใหม่ ที่ศาลชั้นต้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลชั้นต้นไม่กำหนดโทษจำคุกและปรับจำเลยใหม่นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยมีว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดโทษในการเพิ่มโทษจำเลยใหม่ชอบหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติดยกเลิกมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่กรณีที่คดีถึงที่สุดแล้วดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง... ดังนี้ คำว่า กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดหรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดดังกล่าวนั้น หมายถึง กฎหมายที่บัญญัติถึงกำหนดโทษหรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นด้วย ซึ่งกรณีการเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดอีก หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดและมีผลที่จะทำให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา 3 โดยมิใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อบทบัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ถูกยกเลิกไปแล้ว โดยประมวลกฎหมายยาเสพติดซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษ ดังนี้ ศาลจึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดที่ถูกยกเลิกไปแล้วและกฎหมายที่ใช้ในภายหลังกระทำความผิดได้ การเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งจึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) อย่างไรก็ตาม เมื่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 บัญญัติว่าบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญาให้ใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย ดังนั้น แม้กฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันเป็นกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้บัญญัติเรื่องเพิ่มโทษเพราะกระทำผิดอีกไว้ ก็มิได้หมายความว่าศาลไม่อาจเพิ่มโทษตามบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีกโดยไม่เข็ดหลาบและโจทก์ได้ขอให้เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์จะขอเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบและได้กล่าวในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 แล้วด้วย ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้ ที่คำพิพากษาถึงที่สุดกำหนดโทษจำเลยโดยเพิ่มโทษกึ่งหนึ่ง จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งการเพิ่มโทษถือเป็นส่วนหนึ่งของโทษที่กำหนดใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 (1) มิใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาถึงที่สุด ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับว่า ให้กำหนดโทษจำเลยใหม่สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) จำคุก 6 ปี และปรับ 500,000 บาท เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 8 ปี และปรับ 666,666.66 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 8 เดือน เมื่อลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 4 ปี และปรับ 333,333.33 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 333,333.33 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี
สำหรับความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โดยยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยฎีกาเป็นทำนองว่าไม่มีเจตนาทำร้ายผู้ร้อง เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 โดยศาลตั้งให้ ธ. เป็นผู้แทนเฉพาะคดี เมื่อจำเลยเป็นบุพการีของผู้ร้องและมาตรา 44/1 วรรคสอง บัญญัติให้ถือว่าคำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้องตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. และผู้เสียหายอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่งนั้น ดังนั้น การยื่นคำร้องของผู้ร้องในคดีนี้จึงเป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1562 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องของผู้ร้อง และศาลล่างทั้งสองพิพากษาในคดีส่วนแพ่งให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ร้อง จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความใดยกขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้ในคำพิพากษา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 167 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 276, 277, 285, 295
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นาย ธ. ยื่นคำร้องขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของนางสาว ธ. ผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นอนุญาต และผู้เสียหายโดยผู้แทนเฉพาะคดียื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 230,383 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 150,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 (ที่ถูก มาตรา 276 วรรคหนึ่ง) ประกอบมาตรา 285, 277 วรรคสาม (เดิม) (ที่ถูก เดิมปี 2550 และปี 2558) ประกอบมาตรา 285 (เดิม), 295 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราผู้สืบสันดานซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ให้จำคุกกระทงละ 16 ปี รวม 3 กระทง (ที่ถูก เป็นจำคุก 48 ปี) ฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุกกระทงละ 8 ปี รวม 2 กระทง (ที่ถูก เป็นจำคุก 16 ปี) ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย จำคุก 4 เดือน (ที่ถูก รวมจำคุก 64 ปี 4 เดือน) เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงลงโทษจำคุกจำเลย 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้อง 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้อง 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์และจำเลยไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นที่ยุติได้ว่า ผู้ร้องเป็นบุตรของจำเลยและนางสาว ท. ซึ่งจดทะเบียนสมรสกัน ผู้ร้องเกิดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2546 ผู้ร้องมีความบกพร่องทางสติปัญญาซึ่งเป็นความพิการประเภทที่ 5 หมายความว่า มีระดับไอคิวต่ำกว่า 70 แต่ผู้ร้องยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ อ่านและเขียนหนังสือได้ ส่วนการพูดคุยต้องกระทำช้า ๆ โดยอาจต้องใช้คำถามซ้ำในบางครั้ง ทั้งนี้ จากลักษณะการเบิกความของผู้ร้อง ผู้ร้องเข้าใจและสามารถตอบคำถามในลักษณะที่ซับซ้อนรวมทั้งยังแสดงความรู้สึกนึกคิดได้ไม่ต่างกับคนปกติทั่วไป เดิมผู้ร้องพักอาศัยอยู่กับจำเลย นางสาว ท. และเด็กชาย ป. น้องชายร่วมบิดามารดาของผู้ร้องที่บ้านเช่าไม่มีเลขที่ ต่อมาปลายปี 2556 นางสาว ท. ทิ้งร้างจำเลยไปอยู่ที่อื่นปล่อยให้ผู้ร้องและเด็กชาย ป. อยู่กับจำเลยที่บ้านเช่าหลังดังกล่าว หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน จำเลยคบหาและอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาว ส. โดยพามาอยู่ร่วมกันที่บ้านเช่าหลังนี้ ต่อมาเดือนตุลาคม 2558 จำเลยพาครอบครัวย้ายไปอยู่กับนาย ธ. บิดาของจำเลย ผู้ร้องและเด็กชาย ป. จะนอนรวมกับนาย ธ. ห้องหนึ่ง ส่วนจำเลยจะนอนกับนางสาว ส. และบุตรอีก 2 คน ที่เกิดกับนางสาว ส. อีกห้องหนึ่ง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 ขณะผู้ร้องศึกษาอยู่ที่โรงเรียน ค. นางสาว อ. ครูโรงเรียนดังกล่าวได้ไปแจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรสรรคบุรี กล่าวหาจำเลยว่าข่มขืนกระทำชำเราและทำร้ายร่างกายผู้ร้อง พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้ร้องไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลสรรคบุรี พบบาดแผลฟกช้ำที่หัวไหล่ซ้าย ต้นแขนซ้ายและต้นขาซ้าย ส่วนอวัยวะเพศภายนอกบวมแดง พบรอยฉีกขาดของเยื่อพรหมจารีเป็นรอยฉีกขาดเก่าในตำแหน่ง 6 นาฬิกา และรอยฉีกขาดใหม่ในตำแหน่ง 4 นาฬิกา การตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบคราบอสุจิในสิ่งที่ส่งตรวจ ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าพบหลักฐานการร่วมประเวณี จากนั้นได้มีการแยกผู้ร้องไปดูแลที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดชัยนาท ปัจจุบันนางสาว ท. รับตัวผู้ร้องไปเลี้ยงดู สำหรับความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โดยยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยฎีกาเป็นทำนองว่าไม่มีเจตนาทำร้ายผู้ร้อง หากแต่ตีผู้ร้องเพื่อเป็นการทำโทษและอบรมสั่งสอนผู้ร้องให้รับผิดชอบต่อหน้าที่และมีวินัย เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องรวม 5 ครั้ง ตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โจทก์มีผู้ร้องมาเป็นพยานเบิกความว่า ในครั้งแรก เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2556 ขณะนั้นผู้ร้องมีอายุ 10 ปีเศษ เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ช่วงเช้าจำเลยและนางสาว ท. ไปส่งผู้ร้องที่โรงเรียน แต่เมื่อโรงเรียนเลิก มีจำเลยเพียงคนเดียวที่มารับผู้ร้อง เมื่อกลับถึงบ้านไม่พบนางสาว ท. จำเลยพาผู้ร้องออกตามหาแต่ก็ไม่พบ เมื่อกลับมาที่บ้าน จำเลยใช้มีดกรีดที่แขนของจำเลย แล้วจำเลยให้ผู้ร้องสวมชุดนอนบาง ๆ เมื่อเข้านอน จำเลยล่วงเกินผู้ร้องโดยนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องแล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ จำเลยพูดขู่ว่าหากนำเรื่องไปเล่าให้ใครฟังจะฆ่าผู้ร้อง ครั้งที่สอง เมื่อผู้ร้องย้ายมาอยู่บ้านนาย ธ. แล้ว ราวปลายเดือนตุลาคม 2558 หลังออกพรรษาได้ 2 ถึง 3 วัน ซึ่งโรงเรียนปิดภาคเรียน ในช่วงเช้าผู้ร้องอยู่กับจำเลยตามลำพังที่บ้านเนื่องจากนาย ธ. ออกไปทำนา ส่วนนางสาว ส. พาน้อง ๆ ของผู้ร้องออกไปซื้อกับข้าว จำเลยเรียกผู้ร้องให้เข้าไปนวดขาให้ภายในห้องนอนของจำเลย แล้วจำเลยข่มขืนผู้ร้องโดยนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องชักเข้าชักออกหลายครั้งจนสำเร็จความใคร่ ครั้งที่สาม ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม 2559 ขณะนั้นผู้ร้องอายุ 12 ปีเศษ ในช่วงกลางคืนผู้ร้องไปซักผ้าอยู่ที่หลังบ้าน ส่วนคนอื่น ๆ ต่างเข้านอนในห้องของตน จำเลยเดินเข้ามาหาจะข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องอีก ผู้ร้องเดินหนี แต่จำเลยดึงตัวผู้ร้องไว้และใช้กำลังบังคับถอดเสื้อผ้าผู้ร้อง จากนั้นจำเลยนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องแล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ ครั้งที่สี่ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2563 ขณะนั้นผู้ร้องมีอายุ 17 ปี นางสาว ส. บอกให้ผู้ร้องหยุดเรียนแล้วให้ไปช่วยจำเลยและนางสาว ส. ทำงานล้างเครื่องปรับอากาศที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ที่ห้องพักหมายเลข 1 ระหว่างทำงานจำเลยให้นางสาว ส. ไปซื้อน้ำยาเพื่อมาเติมเครื่องปรับอากาศ ระหว่างนั้นผู้ร้องเดินออกมาจากห้องน้ำบอกจำเลยว่าล้างชิ้นส่วนของเครื่องปรับอากาศเสร็จแล้ว จำเลยเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องขณะผู้ร้องอยู่ตรงประตูห้องพักด้วยการนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องในท่ายืน แล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ ครั้งที่ห้า ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันเมื่อทำงานเสร็จและกลับมาที่บ้านแล้ว ขณะที่จำเลยอยู่ตามลำพังกับผู้ร้องสองคนโดยจำไม่ได้ว่าคนอื่น ๆ ออกไปที่ไหน จำเลยเรียกผู้ร้องให้ไปรับประทานอาหารภายในห้องนอนของจำเลย เมื่อรับประทานอาหารเสร็จและนำจานไปเก็บแล้ว จำเลยเรียกผู้ร้องไปนวดให้จำเลยภายในห้องนอน แล้วจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องโดยใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้อง และชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ ทุกครั้งที่จำเลยกระทำชำเราผู้ร้อง จำเลยมิได้สวมถุงยางอนามัย แต่ผู้ร้องมิได้สังเกตว่าขณะสำเร็จความใคร่จำเลยหลั่งน้ำอสุจิภายในหรือภายนอกช่องคลอดของผู้ร้อง และหลังจากถูกข่มขืนกระทำชำเราแล้ว ผู้ร้องจะอาบน้ำและล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศโดยใช้สบู่ฟอกบริเวณด้านนอกและใช้นิ้วสอดเข้าไปทำความสะอาดภายในช่องคลอดด้วย วันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเหตุครั้งสุดท้าย ผู้ร้องไปโรงเรียนตามปกติ ขณะนั้นผู้ร้องเรียนอยู่ที่โรงเรียน ค. ผู้ร้องพบกับนางสาว อ. ครูที่โรงเรียนซึ่งนอกจากจะสอบถามผู้ร้องเรื่องที่ผู้ร้องขาดเรียนแล้ว นางสาว อ. ยังสังเกตเห็นรอยฟกช้ำตามแขนและขาของผู้ร้องด้วย เมื่อถูกถามถึงบาดแผล ผู้ร้องเล่าให้ฟังว่าถูกจำเลยตีเนื่องจากทำฝาเครื่องซักผ้าแตก เมื่อนางสาว อ. ถามอีกว่าจำเลยทำอะไรผู้ร้องมากกว่านั้นหรือไม่ ผู้ร้องจึงเล่าเรื่องที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องให้นางสาว อ. ฟัง เห็นว่า ในขณะเกิดเหตุครั้งสุดท้าย ผู้ร้องมีอายุ 17 ปีเศษ อยู่ในวัยเริ่มเป็นสาวเต็มตัวแล้วย่อมรู้สึกได้ว่าการถูกล่วงละเมิดทางเพศถึงขั้นข่มขืนกระทำชำเราเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ทำให้ตนเองต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงและมีมลทินติดตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกกระทำจากผู้เป็นพ่อของตัวเองอันเป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้แก่วงศ์ตระกูล อีกทั้งยังเป็นที่ติฉินนินทาของชาวบ้านในละแวกนั้นด้วย ฉะนั้น หากผู้ร้องมิได้ถูกจำเลยล่วงเกินดังที่เบิกความยืนยัน ก็ไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องจะกล่าวอ้างถึงเรื่องที่จะเป็นการประจานตนเองต่อสังคมเช่นนั้น ซึ่งขณะนั้นผู้ร้องเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม เรื่องดังกล่าวจะก่อให้เกิดปมด้อยแก่ผู้ร้องและเป็นเหตุให้เพื่อนนักเรียนนำไปล้อเลียนอีก ประกอบกับเมื่อพิเคราะห์ถึงวันและเวลาเกิดเหตุกระทำความผิดทั้งสามครั้งแรกในช่วงวัยเด็กซึ่งผู้ร้องมีอายุ 10 ปีเศษ ถึง 12 ปีเศษ ตามฟ้องข้อ 1.1 ถึง 1.3 ผู้ร้องอาศัยเหตุการณ์แวดล้อมมาเป็นจุดเชื่อมโยงในการจดจำ กล่าวคือ ในการกระทำความผิดครั้งแรกวันที่ 6 ธันวาคม 2556 เป็นวันที่นางสาว ท. มารดาผู้ร้องหนีออกจากบ้านเป็นเหตุให้จำเลยใช้มีดกรีดแขนตนเอง ซึ่งจำเลยก็เบิกความยอมรับข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ครั้งที่สองเกิดขึ้นในช่วงปิดภาคเรียนเดือนตุลาคม 2558 หลังออกพรรษาแล้ว 2 ถึง 3 วัน ซึ่งผู้ร้องเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านของนาย ธ. จำเลยให้ผู้ร้องเข้าไปนวดขาให้ภายในห้อง และครั้งที่สามปรากฏตามที่ผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาว่า เกิดขึ้นเมื่อผู้ร้องขึ้นชั้นมัธยมปีที่ 1 หลังจากเปิดภาคเรียนในวันที่ 16 พฤษภาคม 2559 ประมาณ 2 ถึง 3 วัน ซึ่งขณะนั้นผู้ร้องกำลังซักผ้าอยู่ที่หลังบ้าน เช่นนี้ จึงสนับสนุนคำเบิกความของผู้ร้องให้มีเหตุผลน่าเชื่อถือว่าได้มีเหตุการณ์ซึ่งผู้ร้องถูกล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นจริง อีกทั้งเรื่องราวในคดีนี้ถูกเปิดเผยขึ้นก็เพราะนางสาว อ. เห็นร่องรอยฟกช้ำตามเนื้อตัวร่างกายของผู้ร้องจึงสอบถามทำให้ได้ความว่าผู้ร้องถูกจำเลยตีทำร้าย นางสาว อ. จึงสอบถามอีกว่ามีอะไรนอกจากนี้อีกหรือไม่ ผู้ร้องจึงเล่าเรื่องที่ถูกจำเลยล่วงละเมิดให้ฟัง อันเป็นเวลากะทันหันที่ผู้ร้องไม่น่าจะทันได้คิดปรุงแต่งเรื่องราวในทางเพศเช่นนี้เพื่อปรักปรำกล่าวหาจำเลยผู้เป็นพ่อ และโจทก์ก็มีนางสาว อ. มาเบิกความเป็นพยานสนับสนุนว่า ได้รับฟังคำบอกเล่าจากผู้ร้องมาเช่นนั้นจริงจึงได้นำความไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ส่วนที่ผู้ร้องเล่าให้นางสาว อ. ฟังว่าถูกจำเลยข่มขืนทุกวันตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาและมัธยมต้น ขณะที่นาย ธ. พยานโจทก์อีกปากหนึ่งที่เบิกความว่า ผู้ร้องเล่าให้ฟังว่าเคยถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราโดยจำเลยพาไปทางวัดนก และเล่าว่าถูกข่มขืนมาหลายครั้ง ภายในห้องน้ำบ้าง หลังบ้านบ้าง และในห้องนอนจำเลยบ้าง โดยผู้ร้องได้นำชี้สถานที่เกิดเหตุให้พนักงานสอบสวนถ่ายรูปไว้โดยมีห้องน้ำภายในบ้านของนาย ธ. และทุ่งนารวมอยู่ด้วย ก็ไม่ถึงขนาดขัดแย้งกับคำเบิกความของผู้ร้องในคดีนี้ซึ่งยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยเพียง 5 ครั้ง และแม้จะไม่มีสถานที่เกิดเหตุเหล่านั้นดังที่จำเลยฎีกาโต้แย้งก็ตาม เพราะตามคำบอกเล่าของผู้ร้องดังกล่าว ผู้ร้องยืนยันว่าจำเลยล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องหลายครั้ง แต่เหตุที่โจทก์ฟ้องมาเพียง 5 ครั้ง เชื่อได้ว่าเป็นเพราะในการกระทำความผิดของจำเลยครั้งอื่น ๆ ผู้ร้องไม่สามารถจดจำวันและเวลาเกิดเหตุได้อย่างแน่ชัดเนื่องจากไม่มีเหตุการณ์แวดล้อมอื่นใดที่จะใช้นำมาเชื่อมโยงเท่านั้น จึงไม่นับเป็นข้อพิรุธ ประกอบกับได้ความตามคำเบิกความของนางสาว อ. ว่าผู้ร้องมีความบกพร่องทางด้านสติปัญญา การแสดงออกถึงความดีใจหรือเสียใจจะเป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อมีการพูดคุยเปลี่ยนเรื่อง อารมณ์ของผู้ร้องก็จะกลับเป็นปกติเหมือนเดิม ด้วยเหตุนี้การที่ในวันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเหตุแต่ละครั้งผู้ร้องไม่มีอาการเศร้าซึม แต่มีอารมณ์เป็นปกติตลอดเรื่อยมาจนถึงโรงเรียนทำให้นางสาว อ. ไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ ของผู้ร้องว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศมา จึงหาใช่ข้อพิรุธดังข้อฎีกาของจำเลยอีกเช่นกัน นอกจากนั้นตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาซึ่งผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนถึงการกระทำความผิดในครั้งแรกว่า ภายหลังจากที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องแล้ว จำเลยพูดข่มขู่มิให้ไปบอกใคร ผู้ร้องพูดกับจำเลยว่าเป็นลูกพ่อนะ ไม่ใช่ของเล่น ซึ่งแม้จะมีความหมายเป็นนัยถึงหญิงสาวที่ถูกชายย่ำยีโดยไม่คิดจริงจัง ซึ่งไม่ควรเป็นคำพูดของเด็กวัย 10 ขวบเศษดังที่จำเลยฎีกาก็ตาม แต่เมื่อในขณะให้การผู้ร้องเติบโตเป็นสาวในวัย 17 ปีเศษ จึงอาจมีความรู้สึกในทำนองนั้นเมื่อหวนคิดถึงสิ่งที่จำเลยล่วงละเมิดทางเพศตนเองจึงได้เสริมแต่งถ้อยคำเกินเลยจากความจริงไปบ้างอันเป็นการแสดงความรู้สึกซึ่งก็ถือเป็นเพียงพลความปลีกย่อยสืบเนื่องจากที่มีการกระทำอันเป็นการล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องนั้นเอง ไม่ถึงขนาดที่จะทำให้น้ำหนักคำเบิกความผู้ร้องต้องเสื่อมเสียไป และแม้ขณะเกิดเหตุในครั้งแรกเป็นเวลากลางคืนจะมีเด็กชาย ป. พยานจำเลยนอนอยู่ด้วยดังที่จำเลยฎีกา แต่พยานจำเลยปากนี้ในขณะเวลานั้นมีอายุราว 5 ขวบ ทั้งพยานเบิกความด้วยว่าตนนอนหลับสนิท การที่พยานไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงมิใช่เรื่องที่ผิดปกติ ส่วนที่จำเลยฎีกาโต้เถียงว่า คืนนั้นนางสาว ท. ภริยาจำเลยหลบหนีออกจากบ้านเป็นเหตุให้จำเลยเสียใจถึงขนาดใช้มีดกรีดแขนตนเอง จำเลยย่อมไม่มีอารมณ์ทางเพศที่จะล่วงเกินผู้ร้องได้นั้น จำเลยมิได้นำสืบถึงข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นอ้างดังกล่าวแต่อย่างใด จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ สำหรับในการกระทำความผิดครั้งที่สอง ผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาว่า หลังจากที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องภายในห้องนอนแล้ว เมื่อผู้ร้องออกจากห้องพักสักพักหนึ่งจึงพบกับนาย ธ. ผู้ร้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นาย ธ. ฟัง นาย ธ. พาผู้ร้องไปที่โรงพยาบาลชัยนาทเพื่อตรวจหูจากนั้นได้มีการฝังยาคุมกำเนิดให้ผู้ร้อง ซึ่งแม้นาย ธ. พยานโจทก์จะไม่ได้เบิกความรับรองข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวไว้โดยชัดเจนดังที่จำเลยฎีกา แต่นาย ธ. ก็เบิกความว่า ผู้ร้องเล่าให้ฟังว่าถูกจำเลยข่มขืนมาแล้วหลายครั้งซึ่งมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องนอนของจำเลยด้วย จึงไม่นับเป็นข้อพิรุธ และเมื่อได้ความจากนางสาว อ. ว่าผู้ร้องมีความบกพร่องทางการได้ยินที่หูข้างหนึ่งโดยแพทย์แนะนำให้ใช้เครื่องช่วยฟัง ฉะนั้น เรื่องที่ผู้ร้องให้การว่านาย ธ. พาผู้ร้องไปตรวจหูที่โรงพยาบาลนั้นจึงไม่มีข้อน่าสงสัยใด ๆ ส่วนเรื่องที่ผู้ร้องอ้างว่ามีการฝังยาคุมกำเนิดให้แก่ผู้ร้องด้วยนั้น ข้อนี้แม้นาย ธ. มิได้เบิกความถึงเลย แต่จำเลยสามารถถามค้านพยานโจทก์ปากนาย ธ. เพื่อให้เบิกความเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ นอกจากนี้จำเลยยังมีสิทธินำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อให้ได้ความจริง แต่จำเลยมิได้กระทำ อีกทั้งการที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาว่า โรงพยาบาลจะฝังยาคุมกำเนิดให้แก่ผู้ร้อง โรงพยาบาลจะต้องแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจนั้น ในชั้นพิจารณาจำเลยมิได้นำสืบถึงข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นอ้างนี้แต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังได้ดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ดังนั้น การที่โรงพยาบาลมิได้แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจจึงไม่ทำให้น้ำหนักของพยานหลักฐานโจทก์ลดน้อยลงแต่อย่างใด นอกจากนั้นการที่นาย ธ. ซึ่งทราบจากผู้ร้องถึงเรื่องที่ถูกจำเลยล่วงละเมิดทางเพศ แต่ไม่แจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยเพื่อเป็นการปกป้องผู้ร้องก็หาใช่เรื่องผิดวิสัยของวิญญูชนทั่วไปดังที่จำเลยฎีกาต่อสู้ เพราะผู้กระทำความผิดคือจำเลยเป็นบุตรของนาย ธ. ซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน แม้นาย ธ. จะเจ็บปวดจากการกระทำความผิดของจำเลย แต่ก็เชื่อว่าผู้ที่เป็นพ่อคงไม่ต้องการให้บุตรชายของตนเองต้องได้รับโทษจำคุก ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นยังเสื่อมเสียถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูลอีกด้วย ส่วนการกระทำความผิดในครั้งที่สามซึ่งผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาว่า เกิดขึ้นในขณะที่ผู้ร้องกำลังซักผ้าอยู่ที่หลังบ้านนั้น แม้ผู้ร้องจะให้การไว้ด้วยว่าขณะจำเลยสอดใส่อวัยวะเพศเข้ามาในอวัยวะเพศของผู้ร้องในขณะที่ผู้ร้องยืนพิงผนัง นาย ธ. เดินมาบริเวณดังกล่าวห่างจากผู้ร้องประมาณ 3 เมตร จำเลยเห็นจึงหยุดกระทำและห้ามมิให้ผู้ร้องไปบอกใคร จากนั้นผู้ร้องไปอาบน้ำและก่อนเข้านอนผู้ร้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นาย ธ. ฟัง นาย ธ. บอกว่าจำเลยไม่ใช่คน ซึ่งเมื่อพิเคราะห์คำให้การของผู้ร้องดังกล่าวโดยตลอดแล้วเห็นได้ว่า นาย ธ. น่าจะไม่ทันเห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยกำลังล่วงละเมิดผู้ร้อง ซึ่งสอดคล้องกับที่นาย ธ. เบิกความยืนยันว่าไม่เคยเห็นเหตุการณ์ในทำนองนี้ด้วยตนเองเลย กรณีน่าจะเป็นเรื่องที่จำเลยรู้ตัวก่อนว่านาย ธ. กำลังเดินมาทางหลังบ้านจึงได้หยุดกระทำมากกว่า ฉะนั้น การที่ในชั้นพิจารณาผู้ร้องมิได้เบิกความว่านาย ธ. เห็นเหตุการณ์สำหรับการกระทำความผิดของจำเลยในครั้งนี้จึงหาได้ขัดแย้งแตกต่างกันกับที่เคยให้การในชั้นสอบสวนตามที่จำเลยฎีกาโต้แย้งไม่ และโดยที่ขณะเกิดเหตุสามครั้งแรก เด็กชาย ป. มีอายุระหว่าง 5 ถึง 8 ขวบ ย่อมมิใช่ผู้ที่ผู้ร้องจะพึ่งพาอาศัยหรือปรับทุกข์ในเรื่องที่จำเลยล่วงเกินทางเพศต่อผู้ร้องได้ ขณะเดียวกับที่ผู้ร้องมีนาย ธ. เป็นที่พึ่งพาอยู่แล้ว การที่ผู้ร้องเล่าเรื่องดังกล่าวให้นาย ธ. ฟังแต่เพียงผู้เดียว มิได้เล่าให้เด็กชาย ป. ฟังด้วย คงมีแต่การปรับทุกข์กับเด็กชาย ป. เพียงเรื่องที่ถูกจำเลยตีทำโทษเท่านั้นดังที่จำเลยฎีกา จึงไม่นับเป็นข้อพิรุธใด ๆ และที่จำเลยฎีกาว่าในช่วงเกิดเหตุสองครั้งแรก ผู้ร้องมีอายุ 10 ปีเศษ ถึง 12 ปีเศษ อวัยวะเพศยังมีขนาดเล็ก ไม่สมบูรณ์เต็มที่ การถูกอวัยวะเพศของจำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่สอดใส่เข้าไปแล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ อวัยวะเพศของผู้ร้องย่อมต้องฉีกขาดและมีเลือดไหล แต่ผู้ร้องกลับเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ไม่ได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะเพศโดยมีบาดแผลฉีกขาดหรือเลือดไหลแต่อย่างใด เพียงแต่ผู้ร้องรู้สึกเจ็บเมื่อถูกจำเลยข่มขืนเท่านั้น นับเป็นข้อพิรุธสงสัยนั้น เมื่อพิจารณาถึงการที่ผู้ร้องเป็นบุตรของจำเลย น่าเชื่อว่าจำเลยยังมีความห่วงใยและคำนึงถึงความรู้สึกของผู้ร้องอยู่ แม้จำเลยจะกระทำทุรศีลธรรมแก่บุตรของตนเอง แต่ก็เชื่อว่ามิได้กระทำด้วยความรุนแรงนักโดยเฉพาะกับพฤติกรรมการล่วงเกินทางเพศที่เกิดขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ร้องไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่อวัยวะเพศก็เป็นได้ กรณียังไม่พอรับฟังว่าเป็นข้อพิรุธสงสัย และประการสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ โจทก์ยังมีผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์มานำสืบประกอบด้วยว่า จากการตรวจอวัยวะเพศผู้ร้องของแพทย์ พบรอยฉีกขาดเก่าของเยื่อพรหมจารีในตำแหน่ง 6 นาฬิกา ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าผู้ร้องผ่านการร่วมประเวณีมา ยิ่งเป็นการสนับสนุนคำเบิกความของผู้ร้องที่กล่าวหาจำเลยว่าได้ล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องในขณะผู้ร้องยังเป็นเด็กรวมสามครั้งให้รับฟังได้โดยสนิทใจ ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์ดังที่ได้นำสืบมารับฟังมั่นคงว่า จำเลยกระทำชำเราผู้ร้องซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีและเป็นผู้สืบสันดานของจำเลย ตามฟ้องข้อ 1.1 ถึง 1.3 รวม 3 กระทง ตามที่ศาลล่างทั้งสองได้พิพากษาลงโทษจำเลยมาซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในส่วนข้อหาความผิดดังกล่าวฟังไม่ขึ้น
สำหรับการกระทำความผิดในครั้งที่สี่ตามฟ้องข้อ 1.5 นั้น ผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหายืนยันว่า ในวันที่ผู้ร้องต้องหยุดเรียนไปช่วยจำเลยและนางสาว ส. ล้างเครื่องปรับอากาศที่รีสอร์ต ภ. ห้องพักหมายเลข 1 จำเลยใช้ให้นางสาว ส. ออกไปซื้อน้ำยาเพื่อนำมาเติมเครื่องปรับอากาศ ระหว่างนั้นผู้ร้องนำชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศไปล้างในห้องน้ำภายในห้องพัก เมื่อล้างเสร็จและเดินออกมาจากห้องน้ำ จำเลยผลักผู้ร้องลงไปนอนบนเตียงแล้วถอดกางเกงผู้ร้อง ผู้ร้องขัดขืนแต่จำเลยทำท่าจะต่อยผู้ร้อง ผู้ร้องกลัว จากนั้นจำเลยถอดกางเกงและนำอวัยวะเพศของตนสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง แต่ในชั้นพิจารณาผู้ร้องกลับเบิกความว่า จำเลยเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องซึ่งยืนอยู่ตรงประตูห้องพักในท่ายืน ซึ่งนับได้ว่าขัดแย้งแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญเป็นอย่างมากระหว่างการถูกกระทำชำเราในท่านอนบนเตียงนอนกับการถูกกระทำชำเราในท่ายืนตรงประตูห้องพักดังที่จำเลยฎีกาต่อสู้ เหตุครั้งนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นล่าสุดก่อนมีการแจ้งความกล่าวหาจำเลยเพียงวันเดียว ผู้ร้องซึ่งโตเป็นสาวแล้วจึงไม่น่าที่จะจดจำเหตุการณ์ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป ประกอบกับทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา ผู้ร้องยืนยันว่าเหตุเกิดที่ห้องพักหมายเลข 1 และได้นำชี้สถานที่เกิดเหตุไว้ตามภาพถ่ายประกอบคดีอาญา แต่กลับยังมีปรากฏอีกว่าผู้ร้องได้ชี้ห้องพักหมายเลข 7 ของรีสอร์ตว่าเป็นสถานที่เกิดเหตุซึ่งผู้ร้องถูกกระทำชำเราด้วยตามภาพถ่ายประกอบคดีอาญา พยานหลักฐานโจทก์จึงเป็นพิรุธมีข้อเคลือบแคลงสงสัย ดังนี้ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ กรณีจึงเห็นสมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้ายสำหรับการกระทำความผิดในครั้งที่สี่ จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยในความผิดข้อหานี้ฟังขึ้น
ส่วนการกระทำความผิดในครั้งที่ห้า ตามฟ้องข้อ 1.6 นั้น แม้ตามผลตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.1 จะระบุว่า ตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบคราบอสุจิในสิ่งที่ส่งตรวจดังข้อฎีกาของจำเลยก็ตาม แต่แพทย์ก็ตรวจพบว่าอวัยวะเพศภายนอกของผู้ร้องบวมแดง และเมื่อตรวจภายในนอกจากจะพบรอยฉีกขาดเก่าของเยื่อพรหมจารีที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกาแล้ว ยังตรวจพบรอยฉีกขาดใหม่ของเยื่อพรหมจารีที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกา และแพทย์ได้ลงความเห็นว่าพบหลักฐานการร่วมประเวณี ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของผู้ร้องที่ยืนยันว่า จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องก่อนหน้าการตรวจร่างกายผู้ร้อง 1 วัน ลำพังแต่การไม่พบคราบอสุจิยังไม่หนักแน่นเพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าจำเลยมิได้ล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้อง เพราะนอกจากผู้ร้องจะเบิกความว่า มิได้สังเกตว่าจำเลยหลั่งน้ำอสุจิภายในหรือภายนอกช่องคลอดของผู้ร้อง และหลังเกิดเหตุผู้ร้องชำระล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศของตนแล้ว ดังนั้น การตรวจไม่พบคราบอสุจิจึงมิใช่เป็นข้อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยว่ามิได้ล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องได้โดยเด็ดขาด ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า เหตุที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเรานั้น เพราะเมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2563 ผู้ร้องถูกจำเลยใช้ท่อพีวีซีตีทำโทษ แต่จำเลยทำโทษแรงเกินไป อีกทั้งจำเลยคอยกีดกันมิให้ผู้ร้องติดต่อกับนางสาว ท. ผู้เป็นมารดา เป็นเหตุให้ผู้ร้องโกรธ เกลียดและต่อต้านจำเลยไม่อยากอยู่กับจำเลย แต่ต้องการไปอยู่กับนางสาว ท. ซึ่งผู้ร้องให้ความรักมากกว่านั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงเหตุที่จำเลยยกขึ้นอ้างดังกล่าวแล้วยังไม่ถึงขนาดที่จะทำให้ผู้ร้องมาสร้างเรื่องกล่าวหาจำเลยผู้เป็นพ่อด้วยเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นระหว่างผู้เป็นพ่อกับลูกซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความเสื่อมเสียให้แก่ครอบครัวและจะทำให้จำเลยต้องรับโทษทางอาญา ส่วนผู้ร้องก็ได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน นอกจากนี้จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่าผู้ร้องเป็นผู้ที่มีนิสัยชอบพูดโกหก ประกอบกับตามเอกสารหมาย จ.1 ได้ความว่าในการตรวจร่างกายของผู้ร้องเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 พบหลักฐานการร่วมประเวณี ข้อฎีกาของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้ายสำหรับการกระทำความผิดในครั้งที่ห้า จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในความผิดข้อหานี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยตั้งให้นาย ธ. เป็นผู้แทนเฉพาะคดี ซึ่งการยื่นคำร้องขอเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของนาย ธ. เป็นการยื่นในนามของผู้ร้อง เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ดังนั้น จำเลยจึงเป็นบุพการีของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28 วรรคหนึ่ง อีกทั้งการยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีนี้เป็นการยื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง ซึ่งวรรคสองของมาตรา 44/1 บัญญัติให้ถือว่าคำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและผู้เสียหายอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่งนั้น ดังนั้น การยื่นคำร้องของผู้ร้องในคดีนี้จึงเป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องของผู้ร้อง และศาลล่างทั้งสองพิพากษาในคดีส่วนแพ่งให้จำเลยชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ร้อง จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความใดยกขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้ในคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 285 ตามฟ้องข้อ 1.5 และยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
สำหรับความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โดยยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยฎีกาเป็นทำนองว่าไม่มีเจตนาทำร้ายผู้ร้อง เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 โดยศาลตั้งให้ ธ. เป็นผู้แทนเฉพาะคดี เมื่อจำเลยเป็นบุพการีของผู้ร้องและมาตรา 44/1 วรรคสอง บัญญัติให้ถือว่าคำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้องตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. และผู้เสียหายอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่งนั้น ดังนั้น การยื่นคำร้องของผู้ร้องในคดีนี้จึงเป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1562 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องของผู้ร้อง และศาลล่างทั้งสองพิพากษาในคดีส่วนแพ่งให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ร้อง จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความใดยกขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้ในคำพิพากษา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 167 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 276, 277, 285, 295
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นาย ธ. ยื่นคำร้องขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของนางสาว ธ. ผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นอนุญาต และผู้เสียหายโดยผู้แทนเฉพาะคดียื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 230,383 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 150,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 (ที่ถูก มาตรา 276 วรรคหนึ่ง) ประกอบมาตรา 285, 277 วรรคสาม (เดิม) (ที่ถูก เดิมปี 2550 และปี 2558) ประกอบมาตรา 285 (เดิม), 295 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราผู้สืบสันดานซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ให้จำคุกกระทงละ 16 ปี รวม 3 กระทง (ที่ถูก เป็นจำคุก 48 ปี) ฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุกกระทงละ 8 ปี รวม 2 กระทง (ที่ถูก เป็นจำคุก 16 ปี) ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย จำคุก 4 เดือน (ที่ถูก รวมจำคุก 64 ปี 4 เดือน) เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงลงโทษจำคุกจำเลย 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้อง 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้อง 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์และจำเลยไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นที่ยุติได้ว่า ผู้ร้องเป็นบุตรของจำเลยและนางสาว ท. ซึ่งจดทะเบียนสมรสกัน ผู้ร้องเกิดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2546 ผู้ร้องมีความบกพร่องทางสติปัญญาซึ่งเป็นความพิการประเภทที่ 5 หมายความว่า มีระดับไอคิวต่ำกว่า 70 แต่ผู้ร้องยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ อ่านและเขียนหนังสือได้ ส่วนการพูดคุยต้องกระทำช้า ๆ โดยอาจต้องใช้คำถามซ้ำในบางครั้ง ทั้งนี้ จากลักษณะการเบิกความของผู้ร้อง ผู้ร้องเข้าใจและสามารถตอบคำถามในลักษณะที่ซับซ้อนรวมทั้งยังแสดงความรู้สึกนึกคิดได้ไม่ต่างกับคนปกติทั่วไป เดิมผู้ร้องพักอาศัยอยู่กับจำเลย นางสาว ท. และเด็กชาย ป. น้องชายร่วมบิดามารดาของผู้ร้องที่บ้านเช่าไม่มีเลขที่ ต่อมาปลายปี 2556 นางสาว ท. ทิ้งร้างจำเลยไปอยู่ที่อื่นปล่อยให้ผู้ร้องและเด็กชาย ป. อยู่กับจำเลยที่บ้านเช่าหลังดังกล่าว หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน จำเลยคบหาและอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาว ส. โดยพามาอยู่ร่วมกันที่บ้านเช่าหลังนี้ ต่อมาเดือนตุลาคม 2558 จำเลยพาครอบครัวย้ายไปอยู่กับนาย ธ. บิดาของจำเลย ผู้ร้องและเด็กชาย ป. จะนอนรวมกับนาย ธ. ห้องหนึ่ง ส่วนจำเลยจะนอนกับนางสาว ส. และบุตรอีก 2 คน ที่เกิดกับนางสาว ส. อีกห้องหนึ่ง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 ขณะผู้ร้องศึกษาอยู่ที่โรงเรียน ค. นางสาว อ. ครูโรงเรียนดังกล่าวได้ไปแจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรสรรคบุรี กล่าวหาจำเลยว่าข่มขืนกระทำชำเราและทำร้ายร่างกายผู้ร้อง พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้ร้องไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลสรรคบุรี พบบาดแผลฟกช้ำที่หัวไหล่ซ้าย ต้นแขนซ้ายและต้นขาซ้าย ส่วนอวัยวะเพศภายนอกบวมแดง พบรอยฉีกขาดของเยื่อพรหมจารีเป็นรอยฉีกขาดเก่าในตำแหน่ง 6 นาฬิกา และรอยฉีกขาดใหม่ในตำแหน่ง 4 นาฬิกา การตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบคราบอสุจิในสิ่งที่ส่งตรวจ ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าพบหลักฐานการร่วมประเวณี จากนั้นได้มีการแยกผู้ร้องไปดูแลที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดชัยนาท ปัจจุบันนางสาว ท. รับตัวผู้ร้องไปเลี้ยงดู สำหรับความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โดยยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยฎีกาเป็นทำนองว่าไม่มีเจตนาทำร้ายผู้ร้อง หากแต่ตีผู้ร้องเพื่อเป็นการทำโทษและอบรมสั่งสอนผู้ร้องให้รับผิดชอบต่อหน้าที่และมีวินัย เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องรวม 5 ครั้ง ตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โจทก์มีผู้ร้องมาเป็นพยานเบิกความว่า ในครั้งแรก เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2556 ขณะนั้นผู้ร้องมีอายุ 10 ปีเศษ เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ช่วงเช้าจำเลยและนางสาว ท. ไปส่งผู้ร้องที่โรงเรียน แต่เมื่อโรงเรียนเลิก มีจำเลยเพียงคนเดียวที่มารับผู้ร้อง เมื่อกลับถึงบ้านไม่พบนางสาว ท. จำเลยพาผู้ร้องออกตามหาแต่ก็ไม่พบ เมื่อกลับมาที่บ้าน จำเลยใช้มีดกรีดที่แขนของจำเลย แล้วจำเลยให้ผู้ร้องสวมชุดนอนบาง ๆ เมื่อเข้านอน จำเลยล่วงเกินผู้ร้องโดยนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องแล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ จำเลยพูดขู่ว่าหากนำเรื่องไปเล่าให้ใครฟังจะฆ่าผู้ร้อง ครั้งที่สอง เมื่อผู้ร้องย้ายมาอยู่บ้านนาย ธ. แล้ว ราวปลายเดือนตุลาคม 2558 หลังออกพรรษาได้ 2 ถึง 3 วัน ซึ่งโรงเรียนปิดภาคเรียน ในช่วงเช้าผู้ร้องอยู่กับจำเลยตามลำพังที่บ้านเนื่องจากนาย ธ. ออกไปทำนา ส่วนนางสาว ส. พาน้อง ๆ ของผู้ร้องออกไปซื้อกับข้าว จำเลยเรียกผู้ร้องให้เข้าไปนวดขาให้ภายในห้องนอนของจำเลย แล้วจำเลยข่มขืนผู้ร้องโดยนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องชักเข้าชักออกหลายครั้งจนสำเร็จความใคร่ ครั้งที่สาม ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม 2559 ขณะนั้นผู้ร้องอายุ 12 ปีเศษ ในช่วงกลางคืนผู้ร้องไปซักผ้าอยู่ที่หลังบ้าน ส่วนคนอื่น ๆ ต่างเข้านอนในห้องของตน จำเลยเดินเข้ามาหาจะข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องอีก ผู้ร้องเดินหนี แต่จำเลยดึงตัวผู้ร้องไว้และใช้กำลังบังคับถอดเสื้อผ้าผู้ร้อง จากนั้นจำเลยนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องแล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ ครั้งที่สี่ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2563 ขณะนั้นผู้ร้องมีอายุ 17 ปี นางสาว ส. บอกให้ผู้ร้องหยุดเรียนแล้วให้ไปช่วยจำเลยและนางสาว ส. ทำงานล้างเครื่องปรับอากาศที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ที่ห้องพักหมายเลข 1 ระหว่างทำงานจำเลยให้นางสาว ส. ไปซื้อน้ำยาเพื่อมาเติมเครื่องปรับอากาศ ระหว่างนั้นผู้ร้องเดินออกมาจากห้องน้ำบอกจำเลยว่าล้างชิ้นส่วนของเครื่องปรับอากาศเสร็จแล้ว จำเลยเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องขณะผู้ร้องอยู่ตรงประตูห้องพักด้วยการนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องในท่ายืน แล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ ครั้งที่ห้า ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันเมื่อทำงานเสร็จและกลับมาที่บ้านแล้ว ขณะที่จำเลยอยู่ตามลำพังกับผู้ร้องสองคนโดยจำไม่ได้ว่าคนอื่น ๆ ออกไปที่ไหน จำเลยเรียกผู้ร้องให้ไปรับประทานอาหารภายในห้องนอนของจำเลย เมื่อรับประทานอาหารเสร็จและนำจานไปเก็บแล้ว จำเลยเรียกผู้ร้องไปนวดให้จำเลยภายในห้องนอน แล้วจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องโดยใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้อง และชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ ทุกครั้งที่จำเลยกระทำชำเราผู้ร้อง จำเลยมิได้สวมถุงยางอนามัย แต่ผู้ร้องมิได้สังเกตว่าขณะสำเร็จความใคร่จำเลยหลั่งน้ำอสุจิภายในหรือภายนอกช่องคลอดของผู้ร้อง และหลังจากถูกข่มขืนกระทำชำเราแล้ว ผู้ร้องจะอาบน้ำและล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศโดยใช้สบู่ฟอกบริเวณด้านนอกและใช้นิ้วสอดเข้าไปทำความสะอาดภายในช่องคลอดด้วย วันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเหตุครั้งสุดท้าย ผู้ร้องไปโรงเรียนตามปกติ ขณะนั้นผู้ร้องเรียนอยู่ที่โรงเรียน ค. ผู้ร้องพบกับนางสาว อ. ครูที่โรงเรียนซึ่งนอกจากจะสอบถามผู้ร้องเรื่องที่ผู้ร้องขาดเรียนแล้ว นางสาว อ. ยังสังเกตเห็นรอยฟกช้ำตามแขนและขาของผู้ร้องด้วย เมื่อถูกถามถึงบาดแผล ผู้ร้องเล่าให้ฟังว่าถูกจำเลยตีเนื่องจากทำฝาเครื่องซักผ้าแตก เมื่อนางสาว อ. ถามอีกว่าจำเลยทำอะไรผู้ร้องมากกว่านั้นหรือไม่ ผู้ร้องจึงเล่าเรื่องที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องให้นางสาว อ. ฟัง เห็นว่า ในขณะเกิดเหตุครั้งสุดท้าย ผู้ร้องมีอายุ 17 ปีเศษ อยู่ในวัยเริ่มเป็นสาวเต็มตัวแล้วย่อมรู้สึกได้ว่าการถูกล่วงละเมิดทางเพศถึงขั้นข่มขืนกระทำชำเราเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ทำให้ตนเองต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงและมีมลทินติดตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกกระทำจากผู้เป็นพ่อของตัวเองอันเป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้แก่วงศ์ตระกูล อีกทั้งยังเป็นที่ติฉินนินทาของชาวบ้านในละแวกนั้นด้วย ฉะนั้น หากผู้ร้องมิได้ถูกจำเลยล่วงเกินดังที่เบิกความยืนยัน ก็ไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องจะกล่าวอ้างถึงเรื่องที่จะเป็นการประจานตนเองต่อสังคมเช่นนั้น ซึ่งขณะนั้นผู้ร้องเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม เรื่องดังกล่าวจะก่อให้เกิดปมด้อยแก่ผู้ร้องและเป็นเหตุให้เพื่อนนักเรียนนำไปล้อเลียนอีก ประกอบกับเมื่อพิเคราะห์ถึงวันและเวลาเกิดเหตุกระทำความผิดทั้งสามครั้งแรกในช่วงวัยเด็กซึ่งผู้ร้องมีอายุ 10 ปีเศษ ถึง 12 ปีเศษ ตามฟ้องข้อ 1.1 ถึง 1.3 ผู้ร้องอาศัยเหตุการณ์แวดล้อมมาเป็นจุดเชื่อมโยงในการจดจำ กล่าวคือ ในการกระทำความผิดครั้งแรกวันที่ 6 ธันวาคม 2556 เป็นวันที่นางสาว ท. มารดาผู้ร้องหนีออกจากบ้านเป็นเหตุให้จำเลยใช้มีดกรีดแขนตนเอง ซึ่งจำเลยก็เบิกความยอมรับข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ครั้งที่สองเกิดขึ้นในช่วงปิดภาคเรียนเดือนตุลาคม 2558 หลังออกพรรษาแล้ว 2 ถึง 3 วัน ซึ่งผู้ร้องเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านของนาย ธ. จำเลยให้ผู้ร้องเข้าไปนวดขาให้ภายในห้อง และครั้งที่สามปรากฏตามที่ผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาว่า เกิดขึ้นเมื่อผู้ร้องขึ้นชั้นมัธยมปีที่ 1 หลังจากเปิดภาคเรียนในวันที่ 16 พฤษภาคม 2559 ประมาณ 2 ถึง 3 วัน ซึ่งขณะนั้นผู้ร้องกำลังซักผ้าอยู่ที่หลังบ้าน เช่นนี้ จึงสนับสนุนคำเบิกความของผู้ร้องให้มีเหตุผลน่าเชื่อถือว่าได้มีเหตุการณ์ซึ่งผู้ร้องถูกล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นจริง อีกทั้งเรื่องราวในคดีนี้ถูกเปิดเผยขึ้นก็เพราะนางสาว อ. เห็นร่องรอยฟกช้ำตามเนื้อตัวร่างกายของผู้ร้องจึงสอบถามทำให้ได้ความว่าผู้ร้องถูกจำเลยตีทำร้าย นางสาว อ. จึงสอบถามอีกว่ามีอะไรนอกจากนี้อีกหรือไม่ ผู้ร้องจึงเล่าเรื่องที่ถูกจำเลยล่วงละเมิดให้ฟัง อันเป็นเวลากะทันหันที่ผู้ร้องไม่น่าจะทันได้คิดปรุงแต่งเรื่องราวในทางเพศเช่นนี้เพื่อปรักปรำกล่าวหาจำเลยผู้เป็นพ่อ และโจทก์ก็มีนางสาว อ. มาเบิกความเป็นพยานสนับสนุนว่า ได้รับฟังคำบอกเล่าจากผู้ร้องมาเช่นนั้นจริงจึงได้นำความไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ส่วนที่ผู้ร้องเล่าให้นางสาว อ. ฟังว่าถูกจำเลยข่มขืนทุกวันตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาและมัธยมต้น ขณะที่นาย ธ. พยานโจทก์อีกปากหนึ่งที่เบิกความว่า ผู้ร้องเล่าให้ฟังว่าเคยถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราโดยจำเลยพาไปทางวัดนก และเล่าว่าถูกข่มขืนมาหลายครั้ง ภายในห้องน้ำบ้าง หลังบ้านบ้าง และในห้องนอนจำเลยบ้าง โดยผู้ร้องได้นำชี้สถานที่เกิดเหตุให้พนักงานสอบสวนถ่ายรูปไว้โดยมีห้องน้ำภายในบ้านของนาย ธ. และทุ่งนารวมอยู่ด้วย ก็ไม่ถึงขนาดขัดแย้งกับคำเบิกความของผู้ร้องในคดีนี้ซึ่งยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยเพียง 5 ครั้ง และแม้จะไม่มีสถานที่เกิดเหตุเหล่านั้นดังที่จำเลยฎีกาโต้แย้งก็ตาม เพราะตามคำบอกเล่าของผู้ร้องดังกล่าว ผู้ร้องยืนยันว่าจำเลยล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องหลายครั้ง แต่เหตุที่โจทก์ฟ้องมาเพียง 5 ครั้ง เชื่อได้ว่าเป็นเพราะในการกระทำความผิดของจำเลยครั้งอื่น ๆ ผู้ร้องไม่สามารถจดจำวันและเวลาเกิดเหตุได้อย่างแน่ชัดเนื่องจากไม่มีเหตุการณ์แวดล้อมอื่นใดที่จะใช้นำมาเชื่อมโยงเท่านั้น จึงไม่นับเป็นข้อพิรุธ ประกอบกับได้ความตามคำเบิกความของนางสาว อ. ว่าผู้ร้องมีความบกพร่องทางด้านสติปัญญา การแสดงออกถึงความดีใจหรือเสียใจจะเป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อมีการพูดคุยเปลี่ยนเรื่อง อารมณ์ของผู้ร้องก็จะกลับเป็นปกติเหมือนเดิม ด้วยเหตุนี้การที่ในวันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเหตุแต่ละครั้งผู้ร้องไม่มีอาการเศร้าซึม แต่มีอารมณ์เป็นปกติตลอดเรื่อยมาจนถึงโรงเรียนทำให้นางสาว อ. ไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ ของผู้ร้องว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศมา จึงหาใช่ข้อพิรุธดังข้อฎีกาของจำเลยอีกเช่นกัน นอกจากนั้นตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาซึ่งผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนถึงการกระทำความผิดในครั้งแรกว่า ภายหลังจากที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องแล้ว จำเลยพูดข่มขู่มิให้ไปบอกใคร ผู้ร้องพูดกับจำเลยว่าเป็นลูกพ่อนะ ไม่ใช่ของเล่น ซึ่งแม้จะมีความหมายเป็นนัยถึงหญิงสาวที่ถูกชายย่ำยีโดยไม่คิดจริงจัง ซึ่งไม่ควรเป็นคำพูดของเด็กวัย 10 ขวบเศษดังที่จำเลยฎีกาก็ตาม แต่เมื่อในขณะให้การผู้ร้องเติบโตเป็นสาวในวัย 17 ปีเศษ จึงอาจมีความรู้สึกในทำนองนั้นเมื่อหวนคิดถึงสิ่งที่จำเลยล่วงละเมิดทางเพศตนเองจึงได้เสริมแต่งถ้อยคำเกินเลยจากความจริงไปบ้างอันเป็นการแสดงความรู้สึกซึ่งก็ถือเป็นเพียงพลความปลีกย่อยสืบเนื่องจากที่มีการกระทำอันเป็นการล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องนั้นเอง ไม่ถึงขนาดที่จะทำให้น้ำหนักคำเบิกความผู้ร้องต้องเสื่อมเสียไป และแม้ขณะเกิดเหตุในครั้งแรกเป็นเวลากลางคืนจะมีเด็กชาย ป. พยานจำเลยนอนอยู่ด้วยดังที่จำเลยฎีกา แต่พยานจำเลยปากนี้ในขณะเวลานั้นมีอายุราว 5 ขวบ ทั้งพยานเบิกความด้วยว่าตนนอนหลับสนิท การที่พยานไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงมิใช่เรื่องที่ผิดปกติ ส่วนที่จำเลยฎีกาโต้เถียงว่า คืนนั้นนางสาว ท. ภริยาจำเลยหลบหนีออกจากบ้านเป็นเหตุให้จำเลยเสียใจถึงขนาดใช้มีดกรีดแขนตนเอง จำเลยย่อมไม่มีอารมณ์ทางเพศที่จะล่วงเกินผู้ร้องได้นั้น จำเลยมิได้นำสืบถึงข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นอ้างดังกล่าวแต่อย่างใด จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ สำหรับในการกระทำความผิดครั้งที่สอง ผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาว่า หลังจากที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องภายในห้องนอนแล้ว เมื่อผู้ร้องออกจากห้องพักสักพักหนึ่งจึงพบกับนาย ธ. ผู้ร้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นาย ธ. ฟัง นาย ธ. พาผู้ร้องไปที่โรงพยาบาลชัยนาทเพื่อตรวจหูจากนั้นได้มีการฝังยาคุมกำเนิดให้ผู้ร้อง ซึ่งแม้นาย ธ. พยานโจทก์จะไม่ได้เบิกความรับรองข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวไว้โดยชัดเจนดังที่จำเลยฎีกา แต่นาย ธ. ก็เบิกความว่า ผู้ร้องเล่าให้ฟังว่าถูกจำเลยข่มขืนมาแล้วหลายครั้งซึ่งมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องนอนของจำเลยด้วย จึงไม่นับเป็นข้อพิรุธ และเมื่อได้ความจากนางสาว อ. ว่าผู้ร้องมีความบกพร่องทางการได้ยินที่หูข้างหนึ่งโดยแพทย์แนะนำให้ใช้เครื่องช่วยฟัง ฉะนั้น เรื่องที่ผู้ร้องให้การว่านาย ธ. พาผู้ร้องไปตรวจหูที่โรงพยาบาลนั้นจึงไม่มีข้อน่าสงสัยใด ๆ ส่วนเรื่องที่ผู้ร้องอ้างว่ามีการฝังยาคุมกำเนิดให้แก่ผู้ร้องด้วยนั้น ข้อนี้แม้นาย ธ. มิได้เบิกความถึงเลย แต่จำเลยสามารถถามค้านพยานโจทก์ปากนาย ธ. เพื่อให้เบิกความเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ นอกจากนี้จำเลยยังมีสิทธินำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อให้ได้ความจริง แต่จำเลยมิได้กระทำ อีกทั้งการที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาว่า โรงพยาบาลจะฝังยาคุมกำเนิดให้แก่ผู้ร้อง โรงพยาบาลจะต้องแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจนั้น ในชั้นพิจารณาจำเลยมิได้นำสืบถึงข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นอ้างนี้แต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังได้ดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ดังนั้น การที่โรงพยาบาลมิได้แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจจึงไม่ทำให้น้ำหนักของพยานหลักฐานโจทก์ลดน้อยลงแต่อย่างใด นอกจากนั้นการที่นาย ธ. ซึ่งทราบจากผู้ร้องถึงเรื่องที่ถูกจำเลยล่วงละเมิดทางเพศ แต่ไม่แจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยเพื่อเป็นการปกป้องผู้ร้องก็หาใช่เรื่องผิดวิสัยของวิญญูชนทั่วไปดังที่จำเลยฎีกาต่อสู้ เพราะผู้กระทำความผิดคือจำเลยเป็นบุตรของนาย ธ. ซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน แม้นาย ธ. จะเจ็บปวดจากการกระทำความผิดของจำเลย แต่ก็เชื่อว่าผู้ที่เป็นพ่อคงไม่ต้องการให้บุตรชายของตนเองต้องได้รับโทษจำคุก ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นยังเสื่อมเสียถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูลอีกด้วย ส่วนการกระทำความผิดในครั้งที่สามซึ่งผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาว่า เกิดขึ้นในขณะที่ผู้ร้องกำลังซักผ้าอยู่ที่หลังบ้านนั้น แม้ผู้ร้องจะให้การไว้ด้วยว่าขณะจำเลยสอดใส่อวัยวะเพศเข้ามาในอวัยวะเพศของผู้ร้องในขณะที่ผู้ร้องยืนพิงผนัง นาย ธ. เดินมาบริเวณดังกล่าวห่างจากผู้ร้องประมาณ 3 เมตร จำเลยเห็นจึงหยุดกระทำและห้ามมิให้ผู้ร้องไปบอกใคร จากนั้นผู้ร้องไปอาบน้ำและก่อนเข้านอนผู้ร้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นาย ธ. ฟัง นาย ธ. บอกว่าจำเลยไม่ใช่คน ซึ่งเมื่อพิเคราะห์คำให้การของผู้ร้องดังกล่าวโดยตลอดแล้วเห็นได้ว่า นาย ธ. น่าจะไม่ทันเห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยกำลังล่วงละเมิดผู้ร้อง ซึ่งสอดคล้องกับที่นาย ธ. เบิกความยืนยันว่าไม่เคยเห็นเหตุการณ์ในทำนองนี้ด้วยตนเองเลย กรณีน่าจะเป็นเรื่องที่จำเลยรู้ตัวก่อนว่านาย ธ. กำลังเดินมาทางหลังบ้านจึงได้หยุดกระทำมากกว่า ฉะนั้น การที่ในชั้นพิจารณาผู้ร้องมิได้เบิกความว่านาย ธ. เห็นเหตุการณ์สำหรับการกระทำความผิดของจำเลยในครั้งนี้จึงหาได้ขัดแย้งแตกต่างกันกับที่เคยให้การในชั้นสอบสวนตามที่จำเลยฎีกาโต้แย้งไม่ และโดยที่ขณะเกิดเหตุสามครั้งแรก เด็กชาย ป. มีอายุระหว่าง 5 ถึง 8 ขวบ ย่อมมิใช่ผู้ที่ผู้ร้องจะพึ่งพาอาศัยหรือปรับทุกข์ในเรื่องที่จำเลยล่วงเกินทางเพศต่อผู้ร้องได้ ขณะเดียวกับที่ผู้ร้องมีนาย ธ. เป็นที่พึ่งพาอยู่แล้ว การที่ผู้ร้องเล่าเรื่องดังกล่าวให้นาย ธ. ฟังแต่เพียงผู้เดียว มิได้เล่าให้เด็กชาย ป. ฟังด้วย คงมีแต่การปรับทุกข์กับเด็กชาย ป. เพียงเรื่องที่ถูกจำเลยตีทำโทษเท่านั้นดังที่จำเลยฎีกา จึงไม่นับเป็นข้อพิรุธใด ๆ และที่จำเลยฎีกาว่าในช่วงเกิดเหตุสองครั้งแรก ผู้ร้องมีอายุ 10 ปีเศษ ถึง 12 ปีเศษ อวัยวะเพศยังมีขนาดเล็ก ไม่สมบูรณ์เต็มที่ การถูกอวัยวะเพศของจำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่สอดใส่เข้าไปแล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ อวัยวะเพศของผู้ร้องย่อมต้องฉีกขาดและมีเลือดไหล แต่ผู้ร้องกลับเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ไม่ได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะเพศโดยมีบาดแผลฉีกขาดหรือเลือดไหลแต่อย่างใด เพียงแต่ผู้ร้องรู้สึกเจ็บเมื่อถูกจำเลยข่มขืนเท่านั้น นับเป็นข้อพิรุธสงสัยนั้น เมื่อพิจารณาถึงการที่ผู้ร้องเป็นบุตรของจำเลย น่าเชื่อว่าจำเลยยังมีความห่วงใยและคำนึงถึงความรู้สึกของผู้ร้องอยู่ แม้จำเลยจะกระทำทุรศีลธรรมแก่บุตรของตนเอง แต่ก็เชื่อว่ามิได้กระทำด้วยความรุนแรงนักโดยเฉพาะกับพฤติกรรมการล่วงเกินทางเพศที่เกิดขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ร้องไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่อวัยวะเพศก็เป็นได้ กรณียังไม่พอรับฟังว่าเป็นข้อพิรุธสงสัย และประการสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ โจทก์ยังมีผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์มานำสืบประกอบด้วยว่า จากการตรวจอวัยวะเพศผู้ร้องของแพทย์ พบรอยฉีกขาดเก่าของเยื่อพรหมจารีในตำแหน่ง 6 นาฬิกา ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าผู้ร้องผ่านการร่วมประเวณีมา ยิ่งเป็นการสนับสนุนคำเบิกความของผู้ร้องที่กล่าวหาจำเลยว่าได้ล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องในขณะผู้ร้องยังเป็นเด็กรวมสามครั้งให้รับฟังได้โดยสนิทใจ ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์ดังที่ได้นำสืบมารับฟังมั่นคงว่า จำเลยกระทำชำเราผู้ร้องซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีและเป็นผู้สืบสันดานของจำเลย ตามฟ้องข้อ 1.1 ถึง 1.3 รวม 3 กระทง ตามที่ศาลล่างทั้งสองได้พิพากษาลงโทษจำเลยมาซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในส่วนข้อหาความผิดดังกล่าวฟังไม่ขึ้น
สำหรับการกระทำความผิดในครั้งที่สี่ตามฟ้องข้อ 1.5 นั้น ผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหายืนยันว่า ในวันที่ผู้ร้องต้องหยุดเรียนไปช่วยจำเลยและนางสาว ส. ล้างเครื่องปรับอากาศที่รีสอร์ต ภ. ห้องพักหมายเลข 1 จำเลยใช้ให้นางสาว ส. ออกไปซื้อน้ำยาเพื่อนำมาเติมเครื่องปรับอากาศ ระหว่างนั้นผู้ร้องนำชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศไปล้างในห้องน้ำภายในห้องพัก เมื่อล้างเสร็จและเดินออกมาจากห้องน้ำ จำเลยผลักผู้ร้องลงไปนอนบนเตียงแล้วถอดกางเกงผู้ร้อง ผู้ร้องขัดขืนแต่จำเลยทำท่าจะต่อยผู้ร้อง ผู้ร้องกลัว จากนั้นจำเลยถอดกางเกงและนำอวัยวะเพศของตนสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง แต่ในชั้นพิจารณาผู้ร้องกลับเบิกความว่า จำเลยเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องซึ่งยืนอยู่ตรงประตูห้องพักในท่ายืน ซึ่งนับได้ว่าขัดแย้งแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญเป็นอย่างมากระหว่างการถูกกระทำชำเราในท่านอนบนเตียงนอนกับการถูกกระทำชำเราในท่ายืนตรงประตูห้องพักดังที่จำเลยฎีกาต่อสู้ เหตุครั้งนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นล่าสุดก่อนมีการแจ้งความกล่าวหาจำเลยเพียงวันเดียว ผู้ร้องซึ่งโตเป็นสาวแล้วจึงไม่น่าที่จะจดจำเหตุการณ์ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป ประกอบกับทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา ผู้ร้องยืนยันว่าเหตุเกิดที่ห้องพักหมายเลข 1 และได้นำชี้สถานที่เกิดเหตุไว้ตามภาพถ่ายประกอบคดีอาญา แต่กลับยังมีปรากฏอีกว่าผู้ร้องได้ชี้ห้องพักหมายเลข 7 ของรีสอร์ตว่าเป็นสถานที่เกิดเหตุซึ่งผู้ร้องถูกกระทำชำเราด้วยตามภาพถ่ายประกอบคดีอาญา พยานหลักฐานโจทก์จึงเป็นพิรุธมีข้อเคลือบแคลงสงสัย ดังนี้ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ กรณีจึงเห็นสมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้ายสำหรับการกระทำความผิดในครั้งที่สี่ จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยในความผิดข้อหานี้ฟังขึ้น
ส่วนการกระทำความผิดในครั้งที่ห้า ตามฟ้องข้อ 1.6 นั้น แม้ตามผลตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.1 จะระบุว่า ตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบคราบอสุจิในสิ่งที่ส่งตรวจดังข้อฎีกาของจำเลยก็ตาม แต่แพทย์ก็ตรวจพบว่าอวัยวะเพศภายนอกของผู้ร้องบวมแดง และเมื่อตรวจภายในนอกจากจะพบรอยฉีกขาดเก่าของเยื่อพรหมจารีที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกาแล้ว ยังตรวจพบรอยฉีกขาดใหม่ของเยื่อพรหมจารีที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกา และแพทย์ได้ลงความเห็นว่าพบหลักฐานการร่วมประเวณี ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของผู้ร้องที่ยืนยันว่า จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องก่อนหน้าการตรวจร่างกายผู้ร้อง 1 วัน ลำพังแต่การไม่พบคราบอสุจิยังไม่หนักแน่นเพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าจำเลยมิได้ล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้อง เพราะนอกจากผู้ร้องจะเบิกความว่า มิได้สังเกตว่าจำเลยหลั่งน้ำอสุจิภายในหรือภายนอกช่องคลอดของผู้ร้อง และหลังเกิดเหตุผู้ร้องชำระล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศของตนแล้ว ดังนั้น การตรวจไม่พบคราบอสุจิจึงมิใช่เป็นข้อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยว่ามิได้ล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องได้โดยเด็ดขาด ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า เหตุที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเรานั้น เพราะเมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2563 ผู้ร้องถูกจำเลยใช้ท่อพีวีซีตีทำโทษ แต่จำเลยทำโทษแรงเกินไป อีกทั้งจำเลยคอยกีดกันมิให้ผู้ร้องติดต่อกับนางสาว ท. ผู้เป็นมารดา เป็นเหตุให้ผู้ร้องโกรธ เกลียดและต่อต้านจำเลยไม่อยากอยู่กับจำเลย แต่ต้องการไปอยู่กับนางสาว ท. ซึ่งผู้ร้องให้ความรักมากกว่านั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงเหตุที่จำเลยยกขึ้นอ้างดังกล่าวแล้วยังไม่ถึงขนาดที่จะทำให้ผู้ร้องมาสร้างเรื่องกล่าวหาจำเลยผู้เป็นพ่อด้วยเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นระหว่างผู้เป็นพ่อกับลูกซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความเสื่อมเสียให้แก่ครอบครัวและจะทำให้จำเลยต้องรับโทษทางอาญา ส่วนผู้ร้องก็ได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน นอกจากนี้จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่าผู้ร้องเป็นผู้ที่มีนิสัยชอบพูดโกหก ประกอบกับตามเอกสารหมาย จ.1 ได้ความว่าในการตรวจร่างกายของผู้ร้องเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 พบหลักฐานการร่วมประเวณี ข้อฎีกาของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้ายสำหรับการกระทำความผิดในครั้งที่ห้า จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในความผิดข้อหานี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยตั้งให้นาย ธ. เป็นผู้แทนเฉพาะคดี ซึ่งการยื่นคำร้องขอเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของนาย ธ. เป็นการยื่นในนามของผู้ร้อง เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ดังนั้น จำเลยจึงเป็นบุพการีของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28 วรรคหนึ่ง อีกทั้งการยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีนี้เป็นการยื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง ซึ่งวรรคสองของมาตรา 44/1 บัญญัติให้ถือว่าคำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและผู้เสียหายอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่งนั้น ดังนั้น การยื่นคำร้องของผู้ร้องในคดีนี้จึงเป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องของผู้ร้อง และศาลล่างทั้งสองพิพากษาในคดีส่วนแพ่งให้จำเลยชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ร้อง จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความใดยกขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้ในคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 285 ตามฟ้องข้อ 1.5 และยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
ตามบทบัญญัติมาตรา 62 ป.พ.พ. การที่ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นคนสาบสูญถือว่าโจทก์ถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่โจทก์ได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่มีใครรู้แน่ว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และโดยผลของมาตรา 1602 ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของโจทก์ย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ม. ซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของโจทก์ได้กระทำไปโดยไม่สุจริต ที่ดินพิพาทย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ ม. ทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ม. จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยผลของกฎหมายนับแต่นั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ซึ่งต้องเป็นการครอบครองปรปักษ์ทรัพย์สินของผู้อื่น จำเลยที่ 2 จะอ้างว่า ม. ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หาได้ไม่
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ การฟ้องเรียกทรัพย์คืนฐานลาภมิควรได้ ซึ่งโจทก์ฟ้องพ้นปีหนึ่งนับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 419 ประกอบมาตรา 63 หรือไม่ นั้น โดยผลของมาตรา 62 บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 61 แม้โจทก์จะกลับมาเมื่อปี 2557 และทราบว่า ม. ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของ ม. ไปแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญก็ต้องถือว่าโจทก์ยังเป็นบุคคลที่ถึงแก่ความตายไม่อาจใช้สิทธิใด ๆ ตามกฎหมายได้ เมื่อปรากฏว่าศาลเพิ่งมีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งมีผลทำให้โจทก์กลับเป็นบุคคลผู้มีสิทธิตามกฎหมาย รวมทั้งสิทธิในการใช้สิทธิทางศาลได้ดังเดิม จึงต้องถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกที่ดินพิพาทคืน อายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 419 จึงต้องเริ่มนับแต่วันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 22 มิถุนายน 2563 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 63922 ของนางมุ่ยเตียง เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2552 และบังคับให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนางมุ่ยเตียงดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนการโอนมรดกที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสอง หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนและส่งมอบที่ดินโฉนดเลขที่ 63922 คืนแก่โจทก์ ด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นบุตรของนางมุ่ยเตียง นางมุ่ยเตียงยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้มีคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ เนื่องจากโจทก์ได้ไปจากถิ่นที่อยู่ซึ่งพักอาศัยอยู่กับนางมุ่ยเตียง มารดาของโจทก์ ตั้งแต่ปี 2546 และไม่ได้ติดต่อกับนางมุ่ยเตียง ไม่มีใครรู้แน่ว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2552 ให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ ต่อมานางมุ่ยเตียงยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนางมุ่ยเตียงเป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์ นางมุ่ยเตียงในฐานะผู้จัดการมรดกของโจทก์ได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 63922 ของโจทก์มาเป็นของตน จนกระทั่งปี 2557 โจทก์กลับมาหานางมุ่ยเตียงที่บ้าน ต่อมาเมื่อนางมุ่ยเตียงถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนางมุ่ยเตียงตามคำสั่งศาลชั้นต้น เมื่อโจทก์ทราบความจริง โจทก์จึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนางมุ่ยเตียงโอนที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองปฏิเสธอ้างว่าคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องเอาคืนฐานลาภมิควรได้และนางมุ่ยเตียงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางมุ่ยเตียงโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงปรากฏหลังศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นคนสาบสูญว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่และต่อมาศาลได้มีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญแล้วก็ตาม แต่การถอนคำสั่งแสดงความสาบสูญของโจทก์ย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์แห่งการทั้งหลายอันได้ทำไปโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญจนถึงเวลาถอนคำสั่งนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 66 วรรคหนึ่ง เมื่อตามบทบัญญัติ มาตรา 62 การที่ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นคนสาบสูญถือว่าโจทก์ถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่โจทก์ได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่มีใครรู้แน่ว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และโดยผลของมาตรา 1602 ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของโจทก์ย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านางมุ่ยเตียงซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของโจทก์ ได้กระทำไปโดยไม่สุจริต ที่ดินพิพาทย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่นางมุ่ยเตียงทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว นางมุ่ยเตียงจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยผลของกฎหมายนับแต่นั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ซึ่งต้องเป็นการครอบครองปรปักษ์ทรัพย์สินของผู้อื่น จำเลยที่ 2 จะอ้างว่านางมุ่ยเตียงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หาได้ไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืนฐานลาภมิควรได้ซึ่งโจทก์ฟ้องพ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 ประกอบมาตรา 63 หรือไม่ เห็นว่า โดยผลของมาตรา 62 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่บัญญัติให้บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 61 ดังนี้ แม้โจทก์จะกลับมาเมื่อปี 2557 และทราบว่านางมุ่ยเตียงได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของนางมุ่ยเตียงไปแล้วดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาก็ตาม แต่ตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญก็ต้องถือว่าโจทก์ยังเป็นบุคคลที่ถึงแก่ความตายไม่อาจใช้สิทธิใด ๆ ตามกฎหมายได้ เมื่อปรากฏว่าศาลเพิ่งมีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งมีผลทำให้โจทก์กลับเป็นบุคคลผู้มีสิทธิตามกฎหมาย รวมทั้งสิทธิในการใช้สิทธิทางศาลได้ดังเดิม จึงต้องถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกที่ดินพิพาทคืน อายุความ 1 ปี ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 จึงต้องเริ่มนับแต่วันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 22 มิถุนายน 2563 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ตามบทบัญญัติมาตรา 62 ป.พ.พ. การที่ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นคนสาบสูญถือว่าโจทก์ถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่โจทก์ได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่มีใครรู้แน่ว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และโดยผลของมาตรา 1602 ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของโจทก์ย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ม. ซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของโจทก์ได้กระทำไปโดยไม่สุจริต ที่ดินพิพาทย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ ม. ทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ม. จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยผลของกฎหมายนับแต่นั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ซึ่งต้องเป็นการครอบครองปรปักษ์ทรัพย์สินของผู้อื่น จำเลยที่ 2 จะอ้างว่า ม. ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หาได้ไม่
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ การฟ้องเรียกทรัพย์คืนฐานลาภมิควรได้ ซึ่งโจทก์ฟ้องพ้นปีหนึ่งนับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 419 ประกอบมาตรา 63 หรือไม่ นั้น โดยผลของมาตรา 62 บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 61 แม้โจทก์จะกลับมาเมื่อปี 2557 และทราบว่า ม. ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของ ม. ไปแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญก็ต้องถือว่าโจทก์ยังเป็นบุคคลที่ถึงแก่ความตายไม่อาจใช้สิทธิใด ๆ ตามกฎหมายได้ เมื่อปรากฏว่าศาลเพิ่งมีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งมีผลทำให้โจทก์กลับเป็นบุคคลผู้มีสิทธิตามกฎหมาย รวมทั้งสิทธิในการใช้สิทธิทางศาลได้ดังเดิม จึงต้องถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกที่ดินพิพาทคืน อายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 419 จึงต้องเริ่มนับแต่วันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 22 มิถุนายน 2563 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 63922 ของนางมุ่ยเตียง เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2552 และบังคับให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนางมุ่ยเตียงดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนการโอนมรดกที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสอง หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนและส่งมอบที่ดินโฉนดเลขที่ 63922 คืนแก่โจทก์ ด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นบุตรของนางมุ่ยเตียง นางมุ่ยเตียงยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้มีคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ เนื่องจากโจทก์ได้ไปจากถิ่นที่อยู่ซึ่งพักอาศัยอยู่กับนางมุ่ยเตียง มารดาของโจทก์ ตั้งแต่ปี 2546 และไม่ได้ติดต่อกับนางมุ่ยเตียง ไม่มีใครรู้แน่ว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2552 ให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ ต่อมานางมุ่ยเตียงยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนางมุ่ยเตียงเป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์ นางมุ่ยเตียงในฐานะผู้จัดการมรดกของโจทก์ได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 63922 ของโจทก์มาเป็นของตน จนกระทั่งปี 2557 โจทก์กลับมาหานางมุ่ยเตียงที่บ้าน ต่อมาเมื่อนางมุ่ยเตียงถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนางมุ่ยเตียงตามคำสั่งศาลชั้นต้น เมื่อโจทก์ทราบความจริง โจทก์จึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนางมุ่ยเตียงโอนที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองปฏิเสธอ้างว่าคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องเอาคืนฐานลาภมิควรได้และนางมุ่ยเตียงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางมุ่ยเตียงโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงปรากฏหลังศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นคนสาบสูญว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่และต่อมาศาลได้มีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญแล้วก็ตาม แต่การถอนคำสั่งแสดงความสาบสูญของโจทก์ย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์แห่งการทั้งหลายอันได้ทำไปโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญจนถึงเวลาถอนคำสั่งนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 66 วรรคหนึ่ง เมื่อตามบทบัญญัติ มาตรา 62 การที่ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นคนสาบสูญถือว่าโจทก์ถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่โจทก์ได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่มีใครรู้แน่ว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และโดยผลของมาตรา 1602 ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของโจทก์ย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านางมุ่ยเตียงซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของโจทก์ ได้กระทำไปโดยไม่สุจริต ที่ดินพิพาทย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่นางมุ่ยเตียงทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว นางมุ่ยเตียงจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยผลของกฎหมายนับแต่นั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ซึ่งต้องเป็นการครอบครองปรปักษ์ทรัพย์สินของผู้อื่น จำเลยที่ 2 จะอ้างว่านางมุ่ยเตียงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หาได้ไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืนฐานลาภมิควรได้ซึ่งโจทก์ฟ้องพ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 ประกอบมาตรา 63 หรือไม่ เห็นว่า โดยผลของมาตรา 62 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่บัญญัติให้บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 61 ดังนี้ แม้โจทก์จะกลับมาเมื่อปี 2557 และทราบว่านางมุ่ยเตียงได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของนางมุ่ยเตียงไปแล้วดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาก็ตาม แต่ตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญก็ต้องถือว่าโจทก์ยังเป็นบุคคลที่ถึงแก่ความตายไม่อาจใช้สิทธิใด ๆ ตามกฎหมายได้ เมื่อปรากฏว่าศาลเพิ่งมีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งมีผลทำให้โจทก์กลับเป็นบุคคลผู้มีสิทธิตามกฎหมาย รวมทั้งสิทธิในการใช้สิทธิทางศาลได้ดังเดิม จึงต้องถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกที่ดินพิพาทคืน อายุความ 1 ปี ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 จึงต้องเริ่มนับแต่วันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 22 มิถุนายน 2563 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
บริษัท ย. เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ปลูกปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ มีโจทก์และผู้อื่นเป็นผู้ถือหุ้น กับมีจำเลยและผู้อื่นเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน ก่อนคดีนี้ บริษัท ย. โดยจำเลย ฟ้องบุคคลอื่นอ้างว่าบุกรุกที่ดินสวนปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว ระหว่างพิจารณาคดีก่อน ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้บริษัท ย. มีอำนาจเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาทฝ่ายเดียวแล้วนำเงินที่ได้จากการขายหลังหักค่าใช้จ่ายพร้อมบัญชีรับ-จ่ายมาวางศาลทุกเดือน หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 คดีก่อนมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้ว จำเลยได้บริหารจัดการสวนปาล์มน้ำมันโดยมอบอำนาจให้บุคคลภายนอกรวมถึง ฉ. เข้าทำประโยชน์แทนบริษัท ย. ดังนี้ แม้บริษัท ย. จะไม่ได้ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันเอง แต่ก็ได้มอบอำนาจให้บุคคลอื่นทำแทน โดยบริษัท ย. ได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน ถือได้ว่าเป็นเงินที่ได้รับจากการขายผลปาล์มน้ำมันที่จำเลยในฐานะกรรมการของบริษัท ย. ซึ่งต้องปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลอุทธรณ์ภาค 8 คดีก่อน ต้องนำมาวางต่อศาลพร้อมบัญชีรับ-จ่าย การที่ ฉ. ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทที่จำเลยมอบอำนาจให้ ฉ. ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันได้ ฟังได้ว่า จำเลยตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทแล้วไม่นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันหลังหักค่าใช้จ่ายพร้อมบัญชีรับ-จ่ายไปวางต่อศาลตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 คดีก่อน แต่กลับนำไปใช้เป็นการส่วนตัว ทำให้บริษัท ย. ไม่มีรายได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทดังกล่าวซึ่งโจทก์เป็นผู้ถือหุ้น
จำเลยหยุดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทในวันที่ศาลมีคำสั่งออกหมายจับจำเลยฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว จำเลยจึงหยุดกระทำละเมิดในวันดังกล่าว และต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท ย. ถึงวันดังกล่าวเท่านั้น
การทำสวนปาล์มน้ำมันเป็นวัตถุประสงค์หลักของบริษัท ย. ดังนั้น การบริหารจัดการเกี่ยวกับการปลูกหรือการตัดต้นปาล์มน้ำมันย่อมมีผลต่อรายได้ของบริษัท จึงต้องขอความเห็นชอบจากกรรมการอื่นด้วย การที่จำเลยในฐานะกรรมการบริหารจัดการงานไปโดยลำพังในการขุดคูและตัดต้นปาล์ม 20 ต้น แล้วเกิดความเสียหายแก่บริษัท ย. จึงเป็นการละเมิดและต้องรับผิดต่อบริษัท ย.
จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ในปัญหาอำนาจฟ้องว่า ต้นปาล์มน้ำมันและผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นของป่า ไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ปลูก และไม่มีใครเป็นเจ้าของ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนจำนวน 15,720,000 บาท ให้แก่บริษัท ย. พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนในอัตราเดือนละ 2,500,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะหยุดเก็บผลปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับสวนปาล์มน้ำมันของบริษัท ย. อีกต่อไป
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนจำนวน 3,160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 14 พฤษภาคม 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัท ย. และให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนรายได้จากการขายผลผลิตปาล์มน้ำมันในอัตราเดือนละ 510,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงวันที่ 18 กันยายน 2558 แก่บริษัท ย. กับให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 30,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า บริษัท ย. เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการทำสวนปาล์มน้ำมัน ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์โดยปลูกปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติจังหวัดกระบี่ เนื้อที่ 3,816 ไร่ และ 4,390 ไร่ มีโจทก์และบุคคลอื่นหลายคนเป็นผู้ถือหุ้น มีจำเลย นายวีระศักดิ์ และนางยี่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2555 บริษัท ย. โดยจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่นายสมปองและนายสุชาติเป็นจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 163/2555 ของศาลชั้นต้น คำฟ้องกล่าวอ้างว่า นายสมปองและนายสุชาติร่วมกันบุกรุกที่ดินสวนปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและสิ่งปลูกสร้างของบริษัท ย. ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่พิพาทเนื้อที่ 1,821 ไร่ ซึ่งให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันประมาณ 500,000 กิโลกรัมต่อปี ขายได้เงินเดือนละประมาณ 2,500,000 บาท ขอให้ขับไล่นายสมปองกับนายสุชาติ กับให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัท ย. เดือนละ 2,500,000 บาท ระหว่างพิจารณา บริษัท ย. โจทก์คดีดังกล่าวยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์คดีดังกล่าวอุทธรณ์ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้โจทก์คดีดังกล่าวมีอำนาจเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาทฝ่ายเดียวแล้วนำเงินที่ได้จากการขายผลผลิตปาล์มน้ำมันหลังหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันและนำผลผลิตปาล์มน้ำมันไปขายพร้อมบัญชีรับ - จ่ายมาวางศาลทุกเดือนนับแต่วันอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 8 แต่จำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ย. ไม่ได้นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันพร้อมบัญชีรับ - จ่าย มาวางศาล นอกจากนี้จำเลยยังโค่นต้นปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาทอีก 20 ต้น วันที่ 14 สิงหาคม 2557 ศาลชั้นต้นคดีดังกล่าวมีคำพิพากษายกฟ้อง โจทก์คดีดังกล่าวยื่นคำร้องขอให้วิธีการชั่วคราวมีผลบังคับต่อไป แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ขับไล่ และให้จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวร่วมกันชำระค่าเสียหาย เดือนละ 510,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยไม่นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันในที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทมาวางต่อศาล แต่กลับนำเงินดังกล่าวไปใช้ส่วนตัวอันเป็นการละเมิดต่อบริษัท ย. หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีพันตำรวจเอกพิทักษ์และนายสุชาติซึ่งได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ดูแลพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทเป็นพยานเบิกความว่า หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้ว เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2557 พยานทั้งสองไปดูสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท พบว่ามีการตัดผลปาล์มน้ำมัน พยานทั้งสองถามคนงานแล้ว ได้ความว่าผลปาล์มน้ำมันเป็นของนายฉัตรเทพ ไม่ใช่ของจำเลย เพราะจำเลยขายที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่อยู่ในที่พิพาทให้นายฉัตรเทพไปแล้ว พยานทั้งสองกับพวกขับรถยนต์ติดตามรถยนต์บรรทุกผลปาล์มน้ำมันที่ถูกนำไปขายให้บริษัท น. พันตำรวจเอกพิทักษ์ขอดูใบการจ่ายเงินค่าผลปาล์มน้ำมันของบริษัท น. ซึ่งระบุชื่อนายฉัตรเทพเป็นผู้ขาย หลังจากศาลชั้นต้นในคดีนี้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามจำเลยเข้าไปเก็บผลปาล์มน้ำมันและยุติการตัดโค่นต้นปาล์มน้ำมันในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทไว้ชั่วคราว พยานทั้งสองเข้าไปตรวจสอบพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันอีก พบจำเลยกับพวกยังคงตัดผลปาล์มน้ำมันที่ศาลมีคำสั่งห้าม พยานทั้งสองได้เข้าไปห้ามแล้ว แต่จำเลยยังคงเก็บผลปาล์มน้ำมันในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท พันตำรวจเอกพิทักษ์จึงถ่ายภาพไว้ ส่วนจำเลยเบิกความรับว่า ภายหลังจากมีการห้ามตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จำเลยได้บริหารจัดการสวนปาล์มน้ำมันของบริษัทเพื่อให้มีรายได้โดยมอบอำนาจให้บุคคลภายนอกรวมถึงนายฉัตรเทพเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทแทนบริษัท ย. เพื่อไม่ต้องเสี่ยงภัยกับคนงานถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้จับกุม ดังนี้ แม้บริษัท ย. จะไม่ได้ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันเอง แต่ก็ได้มอบอำนาจให้บุคคลอื่นทำแทน โดยบริษัท ย. ได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน สอดคล้องกับที่นายฉัตรเทพเบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 100 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 3,000,000 บาท ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 28 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 1,120,000 บาท ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 24 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 720,000 บาท ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 61 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 2,000,000 บาท ให้แก่บริษัท ย. ดังนั้น เงินค่าตอบแทนดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นเงินที่ได้รับจากการขายผลปาล์มน้ำมันที่จำเลยในฐานะกรรมการของบริษัท ย. ซึ่งต้องปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลอุทธรณ์ภาค 8 จะต้องนำมาวางต่อศาลพร้อมบัญชีรับ - จ่าย และเมื่อใบเสร็จรับเงินที่นายฉัตรเทพขายผลปาล์มน้ำมันให้แก่บริษัท น. ระบุว่านายฉัตรเทพเป็นผู้ขาย จึงเป็นธรรมดาและไม่ถือเป็นพิรุธที่โจทก์ไม่มีหลักฐานใบเสร็จรับเงินที่แสดงว่าจำเลยตัดผลปาล์มน้ำมันไปขายในนามส่วนตัวดังที่จำเลยฎีกา ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่าพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่บริษัท ย. มอบอำนาจให้นายฉัตรเทพทำประโยชน์ 100 ไร่ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 163/2555 ของศาลชั้นต้นและพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พันตำรวจเอกพิทักษ์พบคนงานของนายฉัตรเทพก็อยู่นอกพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท 1,821 ไร่ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท นั้น นายฉัตรเทพก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า พื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวกับที่ดินที่บริษัท ย. ฟ้องนายสมปองและนายสุชาติว่าบุกรุก โดยไม่ได้ปฏิเสธว่าที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 100 ไร่ นั้นไม่ได้อยู่ในที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท จึงต้องฟังว่านายฉัตรเทพตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทที่จำเลยมอบอำนาจให้นายฉัตรเทพมีอำนาจตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันได้ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักฟังได้ว่าจำเลยในฐานะกรรมการของบริษัท ย. ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทแล้วไม่นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วพร้อมบัญชีรับ - จ่ายไปวางต่อศาลตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 แต่กลับนำไปใช้เป็นการส่วนตัวทำให้บริษัท ย. ไม่มีรายได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทดังกล่าวซึ่งโจทก์เป็นผู้ถือหุ้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยต้องรับผิดเพียงใด เห็นว่า พันตำรวจเอกพิทักษ์และนายสุชาติ พยานโจทก์ เบิกความว่า จำเลยหยุดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งออกหมายจับจำเลยฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว จึงต้องฟังว่าจำเลยหยุดกระทำละเมิดในวันดังกล่าว และต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท ย. เดือนละ 510,000 บาท จนถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 เท่านั้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยกระทำละเมิดโดยตัดต้นปาล์มน้ำมันของบริษัท ย. หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยขุดคูและตัดต้นปาล์มน้ำมัน 20 ต้น เพื่อประโยชน์ของบริษัทและป้องกันไม่ให้คนร้ายนำรถยนต์เข้ามาขโมยผลปาล์มน้ำมันได้ จำเลยในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจย่อมมีอำนาจบริหารจัดการกิจการของบริษัท ย. โดยไม่จำต้องได้รับความเห็นชอบจากกรรมการอื่น เห็นว่า การทำสวนปาล์มน้ำมันเป็นวัตถุประสงค์หลักของบริษัท ย. ดังนั้น การบริหารจัดการเกี่ยวกับการปลูกหรือการตัดต้นปาล์มน้ำมันย่อมมีผลต่อรายได้ของบริษัท จึงต้องขอความเห็นชอบจากกรรมการอื่นด้วย การที่จำเลยในฐานะกรรมการบริหารจัดการงานดังกล่าวไปโดยลำพังแล้วเกิดความเสียหายแก่บริษัท ย. จึงเป็นการละเมิดและต้องรับผิดต่อบริษัท ย. ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ต้นปาล์มน้ำมันและผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นของป่า ไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ปลูกและไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ การที่จำเลยตัดต้นปาล์มน้ำมันและผลปาล์มน้ำมันดังกล่าวจึงไม่เป็นการละเมิดต่อบริษัท ย. โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นั้น เห็นว่า จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีในข้อนี้ไว้ ฎีกาของจำเลยในปัญหานี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
อนึ่ง หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษาแล้ว ได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ปัญหาการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทน 3,160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14 พฤษภาคม 2557) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัท ย. แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ และให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนอัตราเดือนละ 510,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 ให้แก่บริษัท ย. นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
บริษัท ย. เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ปลูกปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ มีโจทก์และผู้อื่นเป็นผู้ถือหุ้น กับมีจำเลยและผู้อื่นเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน ก่อนคดีนี้ บริษัท ย. โดยจำเลย ฟ้องบุคคลอื่นอ้างว่าบุกรุกที่ดินสวนปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว ระหว่างพิจารณาคดีก่อน ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้บริษัท ย. มีอำนาจเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาทฝ่ายเดียวแล้วนำเงินที่ได้จากการขายหลังหักค่าใช้จ่ายพร้อมบัญชีรับ-จ่ายมาวางศาลทุกเดือน หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 คดีก่อนมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้ว จำเลยได้บริหารจัดการสวนปาล์มน้ำมันโดยมอบอำนาจให้บุคคลภายนอกรวมถึง ฉ. เข้าทำประโยชน์แทนบริษัท ย. ดังนี้ แม้บริษัท ย. จะไม่ได้ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันเอง แต่ก็ได้มอบอำนาจให้บุคคลอื่นทำแทน โดยบริษัท ย. ได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน ถือได้ว่าเป็นเงินที่ได้รับจากการขายผลปาล์มน้ำมันที่จำเลยในฐานะกรรมการของบริษัท ย. ซึ่งต้องปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลอุทธรณ์ภาค 8 คดีก่อน ต้องนำมาวางต่อศาลพร้อมบัญชีรับ-จ่าย การที่ ฉ. ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทที่จำเลยมอบอำนาจให้ ฉ. ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันได้ ฟังได้ว่า จำเลยตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทแล้วไม่นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันหลังหักค่าใช้จ่ายพร้อมบัญชีรับ-จ่ายไปวางต่อศาลตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 คดีก่อน แต่กลับนำไปใช้เป็นการส่วนตัว ทำให้บริษัท ย. ไม่มีรายได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทดังกล่าวซึ่งโจทก์เป็นผู้ถือหุ้น
จำเลยหยุดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทในวันที่ศาลมีคำสั่งออกหมายจับจำเลยฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว จำเลยจึงหยุดกระทำละเมิดในวันดังกล่าว และต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท ย. ถึงวันดังกล่าวเท่านั้น
การทำสวนปาล์มน้ำมันเป็นวัตถุประสงค์หลักของบริษัท ย. ดังนั้น การบริหารจัดการเกี่ยวกับการปลูกหรือการตัดต้นปาล์มน้ำมันย่อมมีผลต่อรายได้ของบริษัท จึงต้องขอความเห็นชอบจากกรรมการอื่นด้วย การที่จำเลยในฐานะกรรมการบริหารจัดการงานไปโดยลำพังในการขุดคูและตัดต้นปาล์ม 20 ต้น แล้วเกิดความเสียหายแก่บริษัท ย. จึงเป็นการละเมิดและต้องรับผิดต่อบริษัท ย.
จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ในปัญหาอำนาจฟ้องว่า ต้นปาล์มน้ำมันและผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นของป่า ไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ปลูก และไม่มีใครเป็นเจ้าของ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนจำนวน 15,720,000 บาท ให้แก่บริษัท ย. พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนในอัตราเดือนละ 2,500,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะหยุดเก็บผลปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับสวนปาล์มน้ำมันของบริษัท ย. อีกต่อไป
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนจำนวน 3,160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 14 พฤษภาคม 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัท ย. และให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนรายได้จากการขายผลผลิตปาล์มน้ำมันในอัตราเดือนละ 510,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงวันที่ 18 กันยายน 2558 แก่บริษัท ย. กับให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 30,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า บริษัท ย. เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการทำสวนปาล์มน้ำมัน ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์โดยปลูกปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติจังหวัดกระบี่ เนื้อที่ 3,816 ไร่ และ 4,390 ไร่ มีโจทก์และบุคคลอื่นหลายคนเป็นผู้ถือหุ้น มีจำเลย นายวีระศักดิ์ และนางยี่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2555 บริษัท ย. โดยจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่นายสมปองและนายสุชาติเป็นจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 163/2555 ของศาลชั้นต้น คำฟ้องกล่าวอ้างว่า นายสมปองและนายสุชาติร่วมกันบุกรุกที่ดินสวนปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและสิ่งปลูกสร้างของบริษัท ย. ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่พิพาทเนื้อที่ 1,821 ไร่ ซึ่งให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันประมาณ 500,000 กิโลกรัมต่อปี ขายได้เงินเดือนละประมาณ 2,500,000 บาท ขอให้ขับไล่นายสมปองกับนายสุชาติ กับให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัท ย. เดือนละ 2,500,000 บาท ระหว่างพิจารณา บริษัท ย. โจทก์คดีดังกล่าวยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์คดีดังกล่าวอุทธรณ์ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้โจทก์คดีดังกล่าวมีอำนาจเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาทฝ่ายเดียวแล้วนำเงินที่ได้จากการขายผลผลิตปาล์มน้ำมันหลังหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันและนำผลผลิตปาล์มน้ำมันไปขายพร้อมบัญชีรับ - จ่ายมาวางศาลทุกเดือนนับแต่วันอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 8 แต่จำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ย. ไม่ได้นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันพร้อมบัญชีรับ - จ่าย มาวางศาล นอกจากนี้จำเลยยังโค่นต้นปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาทอีก 20 ต้น วันที่ 14 สิงหาคม 2557 ศาลชั้นต้นคดีดังกล่าวมีคำพิพากษายกฟ้อง โจทก์คดีดังกล่าวยื่นคำร้องขอให้วิธีการชั่วคราวมีผลบังคับต่อไป แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ขับไล่ และให้จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวร่วมกันชำระค่าเสียหาย เดือนละ 510,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยไม่นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันในที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทมาวางต่อศาล แต่กลับนำเงินดังกล่าวไปใช้ส่วนตัวอันเป็นการละเมิดต่อบริษัท ย. หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีพันตำรวจเอกพิทักษ์และนายสุชาติซึ่งได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ดูแลพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทเป็นพยานเบิกความว่า หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้ว เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2557 พยานทั้งสองไปดูสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท พบว่ามีการตัดผลปาล์มน้ำมัน พยานทั้งสองถามคนงานแล้ว ได้ความว่าผลปาล์มน้ำมันเป็นของนายฉัตรเทพ ไม่ใช่ของจำเลย เพราะจำเลยขายที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่อยู่ในที่พิพาทให้นายฉัตรเทพไปแล้ว พยานทั้งสองกับพวกขับรถยนต์ติดตามรถยนต์บรรทุกผลปาล์มน้ำมันที่ถูกนำไปขายให้บริษัท น. พันตำรวจเอกพิทักษ์ขอดูใบการจ่ายเงินค่าผลปาล์มน้ำมันของบริษัท น. ซึ่งระบุชื่อนายฉัตรเทพเป็นผู้ขาย หลังจากศาลชั้นต้นในคดีนี้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามจำเลยเข้าไปเก็บผลปาล์มน้ำมันและยุติการตัดโค่นต้นปาล์มน้ำมันในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทไว้ชั่วคราว พยานทั้งสองเข้าไปตรวจสอบพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันอีก พบจำเลยกับพวกยังคงตัดผลปาล์มน้ำมันที่ศาลมีคำสั่งห้าม พยานทั้งสองได้เข้าไปห้ามแล้ว แต่จำเลยยังคงเก็บผลปาล์มน้ำมันในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท พันตำรวจเอกพิทักษ์จึงถ่ายภาพไว้ ส่วนจำเลยเบิกความรับว่า ภายหลังจากมีการห้ามตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จำเลยได้บริหารจัดการสวนปาล์มน้ำมันของบริษัทเพื่อให้มีรายได้โดยมอบอำนาจให้บุคคลภายนอกรวมถึงนายฉัตรเทพเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทแทนบริษัท ย. เพื่อไม่ต้องเสี่ยงภัยกับคนงานถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้จับกุม ดังนี้ แม้บริษัท ย. จะไม่ได้ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันเอง แต่ก็ได้มอบอำนาจให้บุคคลอื่นทำแทน โดยบริษัท ย. ได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน สอดคล้องกับที่นายฉัตรเทพเบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 100 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 3,000,000 บาท ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 28 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 1,120,000 บาท ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 24 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 720,000 บาท ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 61 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 2,000,000 บาท ให้แก่บริษัท ย. ดังนั้น เงินค่าตอบแทนดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นเงินที่ได้รับจากการขายผลปาล์มน้ำมันที่จำเลยในฐานะกรรมการของบริษัท ย. ซึ่งต้องปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลอุทธรณ์ภาค 8 จะต้องนำมาวางต่อศาลพร้อมบัญชีรับ - จ่าย และเมื่อใบเสร็จรับเงินที่นายฉัตรเทพขายผลปาล์มน้ำมันให้แก่บริษัท น. ระบุว่านายฉัตรเทพเป็นผู้ขาย จึงเป็นธรรมดาและไม่ถือเป็นพิรุธที่โจทก์ไม่มีหลักฐานใบเสร็จรับเงินที่แสดงว่าจำเลยตัดผลปาล์มน้ำมันไปขายในนามส่วนตัวดังที่จำเลยฎีกา ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่าพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่บริษัท ย. มอบอำนาจให้นายฉัตรเทพทำประโยชน์ 100 ไร่ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 163/2555 ของศาลชั้นต้นและพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พันตำรวจเอกพิทักษ์พบคนงานของนายฉัตรเทพก็อยู่นอกพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท 1,821 ไร่ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท นั้น นายฉัตรเทพก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า พื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวกับที่ดินที่บริษัท ย. ฟ้องนายสมปองและนายสุชาติว่าบุกรุก โดยไม่ได้ปฏิเสธว่าที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 100 ไร่ นั้นไม่ได้อยู่ในที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท จึงต้องฟังว่านายฉัตรเทพตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทที่จำเลยมอบอำนาจให้นายฉัตรเทพมีอำนาจตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันได้ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักฟังได้ว่าจำเลยในฐานะกรรมการของบริษัท ย. ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทแล้วไม่นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วพร้อมบัญชีรับ - จ่ายไปวางต่อศาลตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 แต่กลับนำไปใช้เป็นการส่วนตัวทำให้บริษัท ย. ไม่มีรายได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทดังกล่าวซึ่งโจทก์เป็นผู้ถือหุ้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยต้องรับผิดเพียงใด เห็นว่า พันตำรวจเอกพิทักษ์และนายสุชาติ พยานโจทก์ เบิกความว่า จำเลยหยุดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งออกหมายจับจำเลยฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว จึงต้องฟังว่าจำเลยหยุดกระทำละเมิดในวันดังกล่าว และต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท ย. เดือนละ 510,000 บาท จนถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 เท่านั้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยกระทำละเมิดโดยตัดต้นปาล์มน้ำมันของบริษัท ย. หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยขุดคูและตัดต้นปาล์มน้ำมัน 20 ต้น เพื่อประโยชน์ของบริษัทและป้องกันไม่ให้คนร้ายนำรถยนต์เข้ามาขโมยผลปาล์มน้ำมันได้ จำเลยในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจย่อมมีอำนาจบริหารจัดการกิจการของบริษัท ย. โดยไม่จำต้องได้รับความเห็นชอบจากกรรมการอื่น เห็นว่า การทำสวนปาล์มน้ำมันเป็นวัตถุประสงค์หลักของบริษัท ย. ดังนั้น การบริหารจัดการเกี่ยวกับการปลูกหรือการตัดต้นปาล์มน้ำมันย่อมมีผลต่อรายได้ของบริษัท จึงต้องขอความเห็นชอบจากกรรมการอื่นด้วย การที่จำเลยในฐานะกรรมการบริหารจัดการงานดังกล่าวไปโดยลำพังแล้วเกิดความเสียหายแก่บริษัท ย. จึงเป็นการละเมิดและต้องรับผิดต่อบริษัท ย. ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ต้นปาล์มน้ำมันและผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นของป่า ไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ปลูกและไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ การที่จำเลยตัดต้นปาล์มน้ำมันและผลปาล์มน้ำมันดังกล่าวจึงไม่เป็นการละเมิดต่อบริษัท ย. โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นั้น เห็นว่า จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีในข้อนี้ไว้ ฎีกาของจำเลยในปัญหานี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
อนึ่ง หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษาแล้ว ได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ปัญหาการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทน 3,160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14 พฤษภาคม 2557) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัท ย. แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ และให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนอัตราเดือนละ 510,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 ให้แก่บริษัท ย. นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ตามคำพิพากษาในคดีก่อนศาลฎีกามีคำวินิจฉัยในส่วนความรับผิดของโจทก์เพียงข้อหาเดียวว่า โจทก์เป็นนายจ้างของ ป. และ ป. ได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้าง โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อน และวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยโดยสรุปว่า จำเลยดำเนินการด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ ป. มีโอกาสเบียดบังเอาหุ้นของโจทก์ที่มีชื่อ ว. เป็นผู้ถือหุ้นไปโดยทุจริต จึงเป็นการกระทำละเมิดต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนด้วย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลในคดีก่อนว่า ป. และจำเลยเป็นผู้ทำละเมิด และต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 และเมื่อเป็นหนี้ร่วม ป. และจำเลยจึงต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 296 ส่วนโจทก์ต้องร่วมรับผิดในฐานะเป็นนายจ้างของ ป. เท่านั้น ความรับผิดของโจทก์และ ป. จึงเสมือนเป็นบุคคลเดียวกันที่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยในการชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 และเนื่องจากเป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษา โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกับ ป. และจำเลย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 291 แต่ความรับผิดของโจทก์นั้น เป็นผลมาจากบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติให้นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างซึ่งได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้างด้วย มิได้เป็นผลมาจากการกระทำของโจทก์แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อโจทก์ชําระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนไปแล้ว ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับชดใช้จาก ป. ผู้เป็นลูกจ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 426 และรับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยจากจำเลยได้อีกส่วนหนึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 227
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ หลังจากบริษัท ม. ได้ชําระหนี้คืนให้แก่โจทก์หนึ่งในสามส่วนแทนจำเลยตามบันทึกข้อตกลงแล้ว หนี้ในส่วนของจำเลยจึงระงับไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 852 นั้น ตามคำให้การจำเลยมิได้ต่อสู้คดีว่าโจทก์และจำเลยได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันอันมีผลทำให้ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับสิ้นไปแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ในข้อใดเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ตามที่เห็นสมควร หากเห็นว่าแม้จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ไปอย่างไรก็ไม่ทำให้ผลคดีตามที่ได้วินิจฉัยแล้วเปลี่ยนแปลงไป ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจไม่วินิจฉัยในข้อนั้นได้
บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 เป็นเพียงข้อตกลงให้โจทก์ชําระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนให้เสร็จสิ้น กับให้จำเลยโดยบริษัท ม. ชําระหนี้ตามความรับผิดของจำเลยหนึ่งในสามส่วนไปก่อนเท่านั้น จำเลยจึงยังต้องรับผิดชําระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนที่ขาดจำนวนจากความรับผิดในส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชําระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จนั้น เนื่องจากได้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งตามมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามลำดับ และให้ใช้ข้อความใหม่แทน อันมีผลให้ในกรณีที่ต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือบทกฎหมายโดยชัดแจ้ง ก็ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี และในกรณีที่เป็นหนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เว้นแต่เจ้าหนี้อาจเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย แต่ทั้งนี้ไม่กระทบถึงการคิดดอกเบี้ยก่อนที่พระราชกำหนดดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดชําระให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่แก้ไขใหม่ และปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้ไขโดยกำหนดดอกเบี้ยให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 76,225,868.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 62,550,454.47 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 200,000 บาท และชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 200,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติได้ว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4304/2554 ของศาลชั้นต้น ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ นายประพันธ์ และจำเลย ร่วมกันคืนหุ้นสามัญของโจทก์ มูลค่าหุ้นละ 1 บาท ระบุชื่อนายวรรโณทัย เป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 672,000 หุ้น ให้แก่นายวรรณพงษ์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวรรโณทัย กับพวก ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าว หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาหุ้นตามราคาที่มีการซื้อขายครั้งสุดท้ายในวันที่มีการใช้ราคา แต่ต้องไม่ต่ำกว่าราคาหุ้นละ 314.38 บาท และร่วมกันชดใช้เงินปันผล 1,344,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับเงินปันผลที่โจทก์ประกาศจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะคืนใบหุ้นหรือใช้ราคาหุ้นเสร็จ ให้นางดวงกมล นายสบสันติ์ ร่วมรับผิดกับโจทก์ นายประพันธ์ และจำเลยในการคืนหุ้นของโจทก์จำนวน 5,000 หุ้น หรือใช้ราคาแทนหุ้นจำนวนดังกล่าว กับชดใช้เงินปันผล 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะคืนหุ้นหรือใช้ราคาแทน ให้โจทก์ นายประพันธ์และจำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนนายวรรณพงษ์กับพวก โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000,000 บาท และร่วมกันชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 1,000,000 บาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนนายวรรณพงษ์กับพวก โดยกำหนดค่าทนายความ 100,000 บาท ต่อมาวันที่ 21 มกราคม 2559 โจทก์และจำเลยตกลงจะชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวโดยมีรายละเอียดตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 ในวันเดียวกันโจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยนำหุ้นของโจทก์ 672,000 หุ้น เงินปันผล พร้อมดอกเบี้ยไปวางต่อศาลเพื่อชำระหนี้แก่นายวรรณพงษ์กับพวก รวมเป็นเงิน 337,557,046.77 บาท วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 บริษัท ม. ผู้รับประกันภัยตามกรมธรรม์ความรับผิดทางวิชาชีพสถาบันการเงินของจำเลยได้ชำระเงิน 106,228,068.92 บาท แก่โจทก์แทนจำเลย วันที่ 2 เมษายน 2561 โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินอ้างว่ายังขาดอีก 62,550,454.47 บาท และเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2562 ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้นายประพันธ์ชำระเงิน 149,199,984.89 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว โดยศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทำไปในทางการที่จ้างชอบที่จะได้รับชดใช้จากลูกจ้างเฉพาะแต่ค่าสินไหมทดแทนที่ได้ใช้ให้แก่บุคคลภายนอกไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยยังต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนให้แก่โจทก์อีกหรือไม่ เห็นว่า ตามคำพิพากษาในคดีก่อนศาลฎีกามีคำวินิจฉัยในส่วนความรับผิดของโจทก์เพียงข้อหาเดียวว่า โจทก์เป็นนายจ้างของนายประพันธ์และนายประพันธ์ได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้าง โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อน และวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยโดยสรุปว่า จำเลยดำเนินการด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายประพันธ์มีโอกาสเบียดบังเอาหุ้นของโจทก์ที่มีชื่อนายวรรโณทัยเป็นผู้ถือหุ้นไปโดยทุจริต จึงเป็นการกระทำละเมิดต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนด้วย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลในคดีก่อนว่า นายประพันธ์กับจำเลยเป็นผู้ทำละเมิดและต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และเมื่อเป็นหนี้ร่วม นายประพันธ์และจำเลยจึงต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 296 ส่วนโจทก์ต้องรับผิดในฐานะเป็นนายจ้างของนายประพันธ์เท่านั้น ความรับผิดของโจทก์และนายประพันธ์จึงเสมือนเป็นบุคคลเดียวกันที่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยในการชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 และเนื่องจากเป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษา โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกับนายประพันธ์และจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 แต่ความรับผิดของโจทก์นั้น เป็นผลมาจากบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติให้นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างซึ่งได้กระทำละเมิดไปในทางการที่จ้างด้วย มิได้เป็นผลมาจากการกระทำของโจทก์แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อโจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนไปแล้ว ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับชดใช้จากนายประพันธ์ ผู้เป็นลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426 และรับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยจากจำเลยได้อีกส่วนหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 227 ตามฎีกาของจำเลยก็ยอมรับถึงสิทธิของโจทก์ในข้อนี้ว่าโจทก์มีสิทธิไล่เบี้ยจากจำเลยได้และมีสิทธิไล่เบี้ยจากนายประพันธ์ได้เต็มจำนวนตามส่วนที่เป็นความรับผิดของนายประพันธ์ตามมาตรา 426 ข้อโต้แย้งตามฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ จำเลย และนายประพันธ์เป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษาในคดีก่อน จึงต้องแบ่งความรับผิดในระหว่างลูกหนี้ร่วมด้วยกันคนละหนึ่งในสามส่วน หากจำเลยและนายประพันธ์ต้องรับผิดคนละกึ่งหนึ่งเท่ากับโจทก์ไม่ต้องรับผิดเลย และไม่ตรงตามที่ศาลมีคำพิพากษาที่ให้โจทก์ จำเลย และนายประพันธ์ร่วมกันชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อน จึงต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้ร่วมทำละเมิดด้วย จึงฟังไม่ขึ้น และที่จำเลยฎีกาว่า หลังจากคดีก่อนถึงที่สุดแล้ว โจทก์และจำเลยมีเจตนาที่จะร่วมกันชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว จึงมีการทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการชำระหนี้ดังกล่าวตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 โดยมีการตกลงกำหนดสัดส่วนความรับผิดคนละหนึ่งในสามส่วน อันมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและมีผลผูกพันต่อกัน หลังจากนั้น บริษัท ม. ผู้รับประกันภัยของจำเลยได้ชำระหนี้ในส่วนที่เป็นความรับผิดของจำเลยจำนวนหนึ่งในสามส่วนให้แก่โจทก์ จำเลยจึงหลุดพ้นความรับผิดแล้วนั้น เห็นว่า โจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 หลังจากคดีก่อนถึงที่สุด ซึ่งโจทก์นำสืบโดยมีนางภัทรวรรณ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นพยานเบิกความในปัญหาข้อนี้สรุปความได้ว่า หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีก่อน โจทก์ จำเลย และบริษัท ม. ผู้รับประกันภัยของจำเลย มีการประชุมร่วมกันเกี่ยวกับการชำระหนี้ตามคำพิพากษา ในการประชุมดังกล่าวฝ่ายโจทก์เห็นว่าตามคำพิพากษาโจทก์รับผิดกึ่งหนึ่งในฐานะนายจ้างของนายประพันธ์และจำเลยต้องรับผิดอีกกึ่งหนึ่ง แต่บริษัท ม. ซึ่งจะชำระหนี้แทนจำเลยมีความเห็นว่าจำเลยต้องรับผิดเพียงหนึ่งในสามส่วน จึงตกลงกันไม่ได้ แต่โจทก์และจำเลยต้องการชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเพื่อรักษาชื่อเสียงและภาพลักษณ์ทางธุรกิจของโจทก์และจำเลย จึงมีการทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 โดยให้โจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้น และให้บริษัท ม. ชำระหนี้จำนวนหนึ่งในสามส่วนก่อน แล้วจะไปเจรจาเพื่อหาข้อยุติกันในภายหลัง นางภัทรวรรณเป็นผู้ร่วมเจรจาหาข้อยุติในการประชุมดังกล่าวและลงชื่อเป็นพยานในบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 ด้วย ย่อมทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเจรจาและการทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงเชื่อว่าเหตุที่มีการทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 ก็เนื่องจากโจทก์และจำเลยกับบริษัท ม. มีความเห็นขัดแย้งกันเรื่องสัดส่วนความรับผิดตามคำพิพากษาคดีก่อนในระหว่างลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกันว่าจำเลยต้องรับผิดกึ่งหนึ่งหรือหนึ่งในสาม จึงเป็นไปไม่ได้ที่โจทก์จะยินยอมตกลงให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวเพียงหนึ่งในสามส่วน ทั้ง ๆ ที่ยังมีความเห็นขัดแย้งกันอยู่ และในการทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 นายประพันธ์ผู้ทำละเมิดและเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาอีกคนหนึ่งไม่ได้ร่วมทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์และจำเลย บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันนายประพันธ์ ดังนั้น หนี้ในส่วนที่เป็นความรับผิดของนายประพันธ์ตามที่ระบุในบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 จึงต้องถือว่ายังมิได้มีการตกลงกัน นอกจากนี้หากจำเลยรับผิดชำระหนี้เพียงหนึ่งในสามส่วน โจทก์และนายประพันธ์ซึ่งต้องรับผิดในคดีก่อนเสมือนเป็นบุคคลเดียวกันตามที่ได้วินิจฉัยแล้วจะต้องร่วมกันรับผิดชำระหนี้ถึงสองในสามส่วนอันเป็นความรับผิดในระหว่างลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกันเกินกว่าที่ต้องรับผิดตามคำพิพากษา ย่อมขัดกับข้อ 7 ของบันทึกข้อตกลงดังกล่าวที่ระบุว่า การลงนามตามบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ไม่ถือเป็นการยอมรับผิดเกี่ยวกับหนี้ตามคำพิพากษาจำนวนใด ๆ ระหว่างจำเลยร่วมในคำพิพากษาศาลฎีกาเกินกว่าที่ต้องรับผิดตามคำพิพากษานั้นด้วย ส่วนที่จำเลยอ้างว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 มีลักษณะเป็นสัญญาสองฝ่ายระหว่างโจทก์และจำเลยที่ต้องการระงับข้อพิพาทอันอาจมีขึ้นระหว่างกันโดยต่างยอมผ่อนผันแก่กันเกี่ยวกับความรับผิดในภาระหนี้ตามคำพิพากษาคดีก่อน บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ และความรับผิดในส่วนที่เป็นของนายประพันธ์ตามข้อ 4.3 ไม่ได้มีข้อความในบันทึกข้อตกลงว่าจะมีการเจรจาตกลงกันใหม่ให้จำเลยต้องรับผิดเกินกว่าหนึ่งในสามส่วน และนางภัทรวรรณ พยานโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านยอมรับว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 ไม่ได้มีข้อความสงวนสิทธิว่าโจทก์จะไปเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เพิ่มจากหนึ่งในสามส่วนอีก ดังนั้นหลังจากบริษัท ม. ได้ชำระหนี้คืนให้แก่โจทก์หนึ่งในสามส่วนแทนจำเลยตามบันทึกข้อตกลงแล้ว หนี้ในส่วนของจำเลยจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 นั้น เห็นว่า ตามคำให้การจำเลยมิได้ต่อสู้คดีว่าโจทก์และจำเลยได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันอันมีผลทำให้ข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยระงับสิ้นไปแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ และที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ในข้ออื่นของจำเลยโดยอ้างว่าไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง เป็นการไม่ชอบ เพราะอุทธรณ์ของจำเลยที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยเป็นปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในสาระสำคัญและมีผลต่อคำวินิจฉัยของศาลโดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ นั้น เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ในข้อใดเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ตามที่เห็นสมควร หากเห็นว่าแม้จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ไปอย่างไรก็ไม่ทำให้ผลคดีตามที่ได้วินิจฉัยแล้วเปลี่ยนแปลงไป ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ในข้อนั้นได้ และที่จำเลยอ้างเหตุผลในฎีกาข้อนี้ว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์ยกขึ้นอ้างไม่ตรงกับข้อโต้แย้งกันในคดีนี้นั้นก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3091/2535 ที่จำเลยอ้างมาในฎีกา ข้อเท็จจริงและประเด็นที่โต้แย้งกันไม่ตรงกับคดีนี้ เมื่อคดีก่อนศาลวินิจฉัยโดยฟังว่า นายประพันธ์และจำเลยเป็นผู้ทำละเมิด ส่วนโจทก์ต้องร่วมรับผิดฐานเป็นนายจ้างของนายประพันธ์ การแบ่งความรับผิดระหว่างลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกันจึงต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยนายประพันธ์กับโจทก์ร่วมกันรับผิดกึ่งหนึ่ง และจำเลยรับผิดอีกกึ่งหนึ่ง และบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 เป็นเพียงข้อตกลงให้โจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนให้เสร็จสิ้น กับให้จำเลยโดยบริษัท ม. ชำระหนี้ตามความรับผิดของจำเลยหนึ่งในสามส่วนไปก่อนเท่านั้น จำเลยจึงยังต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนที่ขาดจำนวนจากความรับผิดในส่วนของจำเลยเป็นเงินอีก 62,550,454.47 บาท ให้แก่โจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น เนื่องจากได้มีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งตามมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามลำดับ และให้ใช้ข้อความใหม่แทน อันมีผลให้ในกรณีที่ต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือบทกฎหมายโดยชัดแจ้ง ก็ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี และในกรณีที่เป็นหนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เว้นแต่เจ้าหนี้อาจเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย แต่ทั้งนี้ไม่กระทบถึงการคิดดอกเบี้ยก่อนที่พระราชกำหนดดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดชำระให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่แก้ไขใหม่ และปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้ไขโดยกำหนดดอกเบี้ยให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ตามคำพิพากษาในคดีก่อนศาลฎีกามีคำวินิจฉัยในส่วนความรับผิดของโจทก์เพียงข้อหาเดียวว่า โจทก์เป็นนายจ้างของ ป. และ ป. ได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้าง โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อน และวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยโดยสรุปว่า จำเลยดำเนินการด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ ป. มีโอกาสเบียดบังเอาหุ้นของโจทก์ที่มีชื่อ ว. เป็นผู้ถือหุ้นไปโดยทุจริต จึงเป็นการกระทำละเมิดต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนด้วย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลในคดีก่อนว่า ป. และจำเลยเป็นผู้ทำละเมิด และต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 และเมื่อเป็นหนี้ร่วม ป. และจำเลยจึงต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 296 ส่วนโจทก์ต้องร่วมรับผิดในฐานะเป็นนายจ้างของ ป. เท่านั้น ความรับผิดของโจทก์และ ป. จึงเสมือนเป็นบุคคลเดียวกันที่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยในการชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 และเนื่องจากเป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษา โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกับ ป. และจำเลย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 291 แต่ความรับผิดของโจทก์นั้น เป็นผลมาจากบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติให้นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างซึ่งได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้างด้วย มิได้เป็นผลมาจากการกระทำของโจทก์แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อโจทก์ชําระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนไปแล้ว ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับชดใช้จาก ป. ผู้เป็นลูกจ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 426 และรับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยจากจำเลยได้อีกส่วนหนึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 227
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ หลังจากบริษัท ม. ได้ชําระหนี้คืนให้แก่โจทก์หนึ่งในสามส่วนแทนจำเลยตามบันทึกข้อตกลงแล้ว หนี้ในส่วนของจำเลยจึงระงับไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 852 นั้น ตามคำให้การจำเลยมิได้ต่อสู้คดีว่าโจทก์และจำเลยได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันอันมีผลทำให้ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับสิ้นไปแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ในข้อใดเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ตามที่เห็นสมควร หากเห็นว่าแม้จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ไปอย่างไรก็ไม่ทำให้ผลคดีตามที่ได้วินิจฉัยแล้วเปลี่ยนแปลงไป ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจไม่วินิจฉัยในข้อนั้นได้
บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 เป็นเพียงข้อตกลงให้โจทก์ชําระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนให้เสร็จสิ้น กับให้จำเลยโดยบริษัท ม. ชําระหนี้ตามความรับผิดของจำเลยหนึ่งในสามส่วนไปก่อนเท่านั้น จำเลยจึงยังต้องรับผิดชําระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนที่ขาดจำนวนจากความรับผิดในส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชําระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จนั้น เนื่องจากได้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งตามมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามลำดับ และให้ใช้ข้อความใหม่แทน อันมีผลให้ในกรณีที่ต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือบทกฎหมายโดยชัดแจ้ง ก็ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี และในกรณีที่เป็นหนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เว้นแต่เจ้าหนี้อาจเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย แต่ทั้งนี้ไม่กระทบถึงการคิดดอกเบี้ยก่อนที่พระราชกำหนดดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดชําระให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่แก้ไขใหม่ และปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้ไขโดยกำหนดดอกเบี้ยให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 76,225,868.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 62,550,454.47 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 200,000 บาท และชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 200,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติได้ว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4304/2554 ของศาลชั้นต้น ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ นายประพันธ์ และจำเลย ร่วมกันคืนหุ้นสามัญของโจทก์ มูลค่าหุ้นละ 1 บาท ระบุชื่อนายวรรโณทัย เป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 672,000 หุ้น ให้แก่นายวรรณพงษ์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวรรโณทัย กับพวก ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าว หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาหุ้นตามราคาที่มีการซื้อขายครั้งสุดท้ายในวันที่มีการใช้ราคา แต่ต้องไม่ต่ำกว่าราคาหุ้นละ 314.38 บาท และร่วมกันชดใช้เงินปันผล 1,344,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับเงินปันผลที่โจทก์ประกาศจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะคืนใบหุ้นหรือใช้ราคาหุ้นเสร็จ ให้นางดวงกมล นายสบสันติ์ ร่วมรับผิดกับโจทก์ นายประพันธ์ และจำเลยในการคืนหุ้นของโจทก์จำนวน 5,000 หุ้น หรือใช้ราคาแทนหุ้นจำนวนดังกล่าว กับชดใช้เงินปันผล 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะคืนหุ้นหรือใช้ราคาแทน ให้โจทก์ นายประพันธ์และจำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนนายวรรณพงษ์กับพวก โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000,000 บาท และร่วมกันชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 1,000,000 บาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนนายวรรณพงษ์กับพวก โดยกำหนดค่าทนายความ 100,000 บาท ต่อมาวันที่ 21 มกราคม 2559 โจทก์และจำเลยตกลงจะชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวโดยมีรายละเอียดตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 ในวันเดียวกันโจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยนำหุ้นของโจทก์ 672,000 หุ้น เงินปันผล พร้อมดอกเบี้ยไปวางต่อศาลเพื่อชำระหนี้แก่นายวรรณพงษ์กับพวก รวมเป็นเงิน 337,557,046.77 บาท วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 บริษัท ม. ผู้รับประกันภัยตามกรมธรรม์ความรับผิดทางวิชาชีพสถาบันการเงินของจำเลยได้ชำระเงิน 106,228,068.92 บาท แก่โจทก์แทนจำเลย วันที่ 2 เมษายน 2561 โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินอ้างว่ายังขาดอีก 62,550,454.47 บาท และเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2562 ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้นายประพันธ์ชำระเงิน 149,199,984.89 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว โดยศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทำไปในทางการที่จ้างชอบที่จะได้รับชดใช้จากลูกจ้างเฉพาะแต่ค่าสินไหมทดแทนที่ได้ใช้ให้แก่บุคคลภายนอกไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยยังต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนให้แก่โจทก์อีกหรือไม่ เห็นว่า ตามคำพิพากษาในคดีก่อนศาลฎีกามีคำวินิจฉัยในส่วนความรับผิดของโจทก์เพียงข้อหาเดียวว่า โจทก์เป็นนายจ้างของนายประพันธ์และนายประพันธ์ได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้าง โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อน และวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยโดยสรุปว่า จำเลยดำเนินการด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายประพันธ์มีโอกาสเบียดบังเอาหุ้นของโจทก์ที่มีชื่อนายวรรโณทัยเป็นผู้ถือหุ้นไปโดยทุจริต จึงเป็นการกระทำละเมิดต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนด้วย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลในคดีก่อนว่า นายประพันธ์กับจำเลยเป็นผู้ทำละเมิดและต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และเมื่อเป็นหนี้ร่วม นายประพันธ์และจำเลยจึงต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 296 ส่วนโจทก์ต้องรับผิดในฐานะเป็นนายจ้างของนายประพันธ์เท่านั้น ความรับผิดของโจทก์และนายประพันธ์จึงเสมือนเป็นบุคคลเดียวกันที่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยในการชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 และเนื่องจากเป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษา โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกับนายประพันธ์และจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 แต่ความรับผิดของโจทก์นั้น เป็นผลมาจากบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติให้นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างซึ่งได้กระทำละเมิดไปในทางการที่จ้างด้วย มิได้เป็นผลมาจากการกระทำของโจทก์แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อโจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนไปแล้ว ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับชดใช้จากนายประพันธ์ ผู้เป็นลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426 และรับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยจากจำเลยได้อีกส่วนหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 227 ตามฎีกาของจำเลยก็ยอมรับถึงสิทธิของโจทก์ในข้อนี้ว่าโจทก์มีสิทธิไล่เบี้ยจากจำเลยได้และมีสิทธิไล่เบี้ยจากนายประพันธ์ได้เต็มจำนวนตามส่วนที่เป็นความรับผิดของนายประพันธ์ตามมาตรา 426 ข้อโต้แย้งตามฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ จำเลย และนายประพันธ์เป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษาในคดีก่อน จึงต้องแบ่งความรับผิดในระหว่างลูกหนี้ร่วมด้วยกันคนละหนึ่งในสามส่วน หากจำเลยและนายประพันธ์ต้องรับผิดคนละกึ่งหนึ่งเท่ากับโจทก์ไม่ต้องรับผิดเลย และไม่ตรงตามที่ศาลมีคำพิพากษาที่ให้โจทก์ จำเลย และนายประพันธ์ร่วมกันชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อน จึงต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้ร่วมทำละเมิดด้วย จึงฟังไม่ขึ้น และที่จำเลยฎีกาว่า หลังจากคดีก่อนถึงที่สุดแล้ว โจทก์และจำเลยมีเจตนาที่จะร่วมกันชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว จึงมีการทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการชำระหนี้ดังกล่าวตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 โดยมีการตกลงกำหนดสัดส่วนความรับผิดคนละหนึ่งในสามส่วน อันมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและมีผลผูกพันต่อกัน หลังจากนั้น บริษัท ม. ผู้รับประกันภัยของจำเลยได้ชำระหนี้ในส่วนที่เป็นความรับผิดของจำเลยจำนวนหนึ่งในสามส่วนให้แก่โจทก์ จำเลยจึงหลุดพ้นความรับผิดแล้วนั้น เห็นว่า โจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 หลังจากคดีก่อนถึงที่สุด ซึ่งโจทก์นำสืบโดยมีนางภัทรวรรณ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นพยานเบิกความในปัญหาข้อนี้สรุปความได้ว่า หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีก่อน โจทก์ จำเลย และบริษัท ม. ผู้รับประกันภัยของจำเลย มีการประชุมร่วมกันเกี่ยวกับการชำระหนี้ตามคำพิพากษา ในการประชุมดังกล่าวฝ่ายโจทก์เห็นว่าตามคำพิพากษาโจทก์รับผิดกึ่งหนึ่งในฐานะนายจ้างของนายประพันธ์และจำเลยต้องรับผิดอีกกึ่งหนึ่ง แต่บริษัท ม. ซึ่งจะชำระหนี้แทนจำเลยมีความเห็นว่าจำเลยต้องรับผิดเพียงหนึ่งในสามส่วน จึงตกลงกันไม่ได้ แต่โจทก์และจำเลยต้องการชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเพื่อรักษาชื่อเสียงและภาพลักษณ์ทางธุรกิจของโจทก์และจำเลย จึงมีการทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 โดยให้โจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้น และให้บริษัท ม. ชำระหนี้จำนวนหนึ่งในสามส่วนก่อน แล้วจะไปเจรจาเพื่อหาข้อยุติกันในภายหลัง นางภัทรวรรณเป็นผู้ร่วมเจรจาหาข้อยุติในการประชุมดังกล่าวและลงชื่อเป็นพยานในบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 ด้วย ย่อมทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเจรจาและการทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงเชื่อว่าเหตุที่มีการทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 ก็เนื่องจากโจทก์และจำเลยกับบริษัท ม. มีความเห็นขัดแย้งกันเรื่องสัดส่วนความรับผิดตามคำพิพากษาคดีก่อนในระหว่างลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกันว่าจำเลยต้องรับผิดกึ่งหนึ่งหรือหนึ่งในสาม จึงเป็นไปไม่ได้ที่โจทก์จะยินยอมตกลงให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวเพียงหนึ่งในสามส่วน ทั้ง ๆ ที่ยังมีความเห็นขัดแย้งกันอยู่ และในการทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 นายประพันธ์ผู้ทำละเมิดและเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาอีกคนหนึ่งไม่ได้ร่วมทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์และจำเลย บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันนายประพันธ์ ดังนั้น หนี้ในส่วนที่เป็นความรับผิดของนายประพันธ์ตามที่ระบุในบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 จึงต้องถือว่ายังมิได้มีการตกลงกัน นอกจากนี้หากจำเลยรับผิดชำระหนี้เพียงหนึ่งในสามส่วน โจทก์และนายประพันธ์ซึ่งต้องรับผิดในคดีก่อนเสมือนเป็นบุคคลเดียวกันตามที่ได้วินิจฉัยแล้วจะต้องร่วมกันรับผิดชำระหนี้ถึงสองในสามส่วนอันเป็นความรับผิดในระหว่างลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกันเกินกว่าที่ต้องรับผิดตามคำพิพากษา ย่อมขัดกับข้อ 7 ของบันทึกข้อตกลงดังกล่าวที่ระบุว่า การลงนามตามบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ไม่ถือเป็นการยอมรับผิดเกี่ยวกับหนี้ตามคำพิพากษาจำนวนใด ๆ ระหว่างจำเลยร่วมในคำพิพากษาศาลฎีกาเกินกว่าที่ต้องรับผิดตามคำพิพากษานั้นด้วย ส่วนที่จำเลยอ้างว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 มีลักษณะเป็นสัญญาสองฝ่ายระหว่างโจทก์และจำเลยที่ต้องการระงับข้อพิพาทอันอาจมีขึ้นระหว่างกันโดยต่างยอมผ่อนผันแก่กันเกี่ยวกับความรับผิดในภาระหนี้ตามคำพิพากษาคดีก่อน บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ และความรับผิดในส่วนที่เป็นของนายประพันธ์ตามข้อ 4.3 ไม่ได้มีข้อความในบันทึกข้อตกลงว่าจะมีการเจรจาตกลงกันใหม่ให้จำเลยต้องรับผิดเกินกว่าหนึ่งในสามส่วน และนางภัทรวรรณ พยานโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านยอมรับว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 ไม่ได้มีข้อความสงวนสิทธิว่าโจทก์จะไปเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เพิ่มจากหนึ่งในสามส่วนอีก ดังนั้นหลังจากบริษัท ม. ได้ชำระหนี้คืนให้แก่โจทก์หนึ่งในสามส่วนแทนจำเลยตามบันทึกข้อตกลงแล้ว หนี้ในส่วนของจำเลยจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 นั้น เห็นว่า ตามคำให้การจำเลยมิได้ต่อสู้คดีว่าโจทก์และจำเลยได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันอันมีผลทำให้ข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยระงับสิ้นไปแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ และที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ในข้ออื่นของจำเลยโดยอ้างว่าไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง เป็นการไม่ชอบ เพราะอุทธรณ์ของจำเลยที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยเป็นปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในสาระสำคัญและมีผลต่อคำวินิจฉัยของศาลโดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ นั้น เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ในข้อใดเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ตามที่เห็นสมควร หากเห็นว่าแม้จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ไปอย่างไรก็ไม่ทำให้ผลคดีตามที่ได้วินิจฉัยแล้วเปลี่ยนแปลงไป ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ในข้อนั้นได้ และที่จำเลยอ้างเหตุผลในฎีกาข้อนี้ว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์ยกขึ้นอ้างไม่ตรงกับข้อโต้แย้งกันในคดีนี้นั้นก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3091/2535 ที่จำเลยอ้างมาในฎีกา ข้อเท็จจริงและประเด็นที่โต้แย้งกันไม่ตรงกับคดีนี้ เมื่อคดีก่อนศาลวินิจฉัยโดยฟังว่า นายประพันธ์และจำเลยเป็นผู้ทำละเมิด ส่วนโจทก์ต้องร่วมรับผิดฐานเป็นนายจ้างของนายประพันธ์ การแบ่งความรับผิดระหว่างลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกันจึงต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยนายประพันธ์กับโจทก์ร่วมกันรับผิดกึ่งหนึ่ง และจำเลยรับผิดอีกกึ่งหนึ่ง และบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 เป็นเพียงข้อตกลงให้โจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนให้เสร็จสิ้น กับให้จำเลยโดยบริษัท ม. ชำระหนี้ตามความรับผิดของจำเลยหนึ่งในสามส่วนไปก่อนเท่านั้น จำเลยจึงยังต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนที่ขาดจำนวนจากความรับผิดในส่วนของจำเลยเป็นเงินอีก 62,550,454.47 บาท ให้แก่โจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น เนื่องจากได้มีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งตามมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามลำดับ และให้ใช้ข้อความใหม่แทน อันมีผลให้ในกรณีที่ต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือบทกฎหมายโดยชัดแจ้ง ก็ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี และในกรณีที่เป็นหนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เว้นแต่เจ้าหนี้อาจเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย แต่ทั้งนี้ไม่กระทบถึงการคิดดอกเบี้ยก่อนที่พระราชกำหนดดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดชำระให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่แก้ไขใหม่ และปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้ไขโดยกำหนดดอกเบี้ยให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
สัญญาเช่ารถยนต์ ข้อ 9.2 กำหนดว่า “ในกรณีที่ผู้เช่าต้องการเลิกสัญญาก่อนกำหนด โดยมิใช่เป็นความผิดของผู้ให้เช่า ผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 30 วัน ทั้งนี้ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าตามเงื่อนไขดังนี้... 9.2.2 กรณียกเลิกสัญญาในปีที่ 2 ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินเท่ากับร้อยละ 40 ของยอดค่าเช่าพึงชำระ นับตั้งแต่วันบอกเลิกสัญญาจนถึงวันสิ้นสุดสัญญา...” สัญญาเช่ารถยนต์ดังกล่าวเป็นการให้เช่าแบบลิสซิ่งซึ่งมีกำหนดระยะเวลาเช่า 5 ปี หากครบกำหนดโจทก์จะได้รับค่าเช่า 876,000 บาท แต่การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาโดยการคืนรถยนต์ที่เช่าและให้โจทก์รับรถวันที่ 19 มีนาคม 2561 หลังจากทำสัญญาเช่าเพียง 1 ปี 4 เดือน 19 วัน โจทก์ได้รับค่าเช่าเพียง 242,548.39 บาท จึงไม่ได้รับค่าเช่าส่วนที่เหลือ 633,451.61 บาท แต่อย่างไรก็ตามสัญญา ข้อ 9.2.2 ดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งหากกำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 253,380.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์หลายประการรวมให้เช่ายานพาหนะ จำเลยเป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการขนส่งและขนถ่ายสินค้า วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 จำเลยทำสัญญาเช่ารถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า จากโจทก์ตามสัญญาเช่ารถยนต์ ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า โจทก์ส่งใบแจ้งหนี้ให้จำเลยชำระค่าเช่า จากนั้นวันที่ 16 มีนาคม 2561 จำเลยส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ถึงโจทก์ แจ้งให้ไปรับรถยนต์ที่เช่าคืนวันที่ 19 มีนาคม 2561 โจทก์รับรถยนต์ที่เช่าคืนแล้ว และจำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างให้โจทก์ครบถ้วนตามใบแจ้งหนี้และสำเนาใบเสร็จรับเงินแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยหรือไม่ โจทก์ฎีกาได้ความว่า สัญญาเช่ารถยนต์ ข้อ 9.2 กำหนดว่า “ในกรณีที่ผู้เช่าต้องการเลิกสัญญาก่อนกำหนด โดยมิใช่เป็นความผิดของผู้ให้เช่า ผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 30 วัน ทั้งนี้ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าตามเงื่อนไขดังนี้... 9.2.2 กรณียกเลิกสัญญาในปีที่ 2 ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินเท่ากับร้อยละ 40 ของยอดค่าเช่าพึงชำระ นับตั้งแต่วันบอกเลิกสัญญาจนถึงวันสิ้นสุดสัญญา...” เห็นว่า สัญญาเช่ารถยนต์ดังกล่าวเป็นการให้เช่าแบบลิสซิ่งซึ่งมีกำหนดระยะเวลาเช่า 5 ปี หากครบกำหนดโจทก์จะได้รับค่าเช่า 876,000 บาท แต่การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาโดยการคืนรถยนต์ที่เช่าและให้โจทก์รับรถวันที่ 19 มีนาคม 2561 ตามจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ลงวันที่ 16 มีนาคม 2561 หลังจากทำสัญญาเช่าเพียง 1 ปี 4 เดือน 19 วัน โจทก์ได้รับค่าเช่าเพียง 242,548.39 บาท จึงไม่ได้รับค่าเช่าส่วนที่เหลือ 633,451.61 บาท แต่อย่างไรก็ตามสัญญา ข้อ 9.2.2 ดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งหากกำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายแล้ว และได้ความว่าโจทก์ส่งใบแจ้งหนี้ให้จำเลยชำระค่าปรับคืนรถก่อนกำหนดเป็นเงิน 253,380.65 บาท ตามใบแจ้งหนี้ลงวันที่ 12 เมษายน 2561 นั้น นับว่าสูงเกินส่วนเห็นสมควรปรับลดลงและกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์ร้อยละ 10 ของเงิน 633,451.61 บาท เป็นเงิน 63,345.16 บาท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ข้อความที่บัญญัติขึ้นใหม่แทนซึ่งมีผลให้กรณีที่ต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี และกรณีหนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เว้นแต่เจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 63,345.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 กันยายน 2562) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามขอ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
สัญญาเช่ารถยนต์ ข้อ 9.2 กำหนดว่า “ในกรณีที่ผู้เช่าต้องการเลิกสัญญาก่อนกำหนด โดยมิใช่เป็นความผิดของผู้ให้เช่า ผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 30 วัน ทั้งนี้ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าตามเงื่อนไขดังนี้... 9.2.2 กรณียกเลิกสัญญาในปีที่ 2 ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินเท่ากับร้อยละ 40 ของยอดค่าเช่าพึงชำระ นับตั้งแต่วันบอกเลิกสัญญาจนถึงวันสิ้นสุดสัญญา...” สัญญาเช่ารถยนต์ดังกล่าวเป็นการให้เช่าแบบลิสซิ่งซึ่งมีกำหนดระยะเวลาเช่า 5 ปี หากครบกำหนดโจทก์จะได้รับค่าเช่า 876,000 บาท แต่การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาโดยการคืนรถยนต์ที่เช่าและให้โจทก์รับรถวันที่ 19 มีนาคม 2561 หลังจากทำสัญญาเช่าเพียง 1 ปี 4 เดือน 19 วัน โจทก์ได้รับค่าเช่าเพียง 242,548.39 บาท จึงไม่ได้รับค่าเช่าส่วนที่เหลือ 633,451.61 บาท แต่อย่างไรก็ตามสัญญา ข้อ 9.2.2 ดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งหากกำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 253,380.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์หลายประการรวมให้เช่ายานพาหนะ จำเลยเป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการขนส่งและขนถ่ายสินค้า วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 จำเลยทำสัญญาเช่ารถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า จากโจทก์ตามสัญญาเช่ารถยนต์ ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า โจทก์ส่งใบแจ้งหนี้ให้จำเลยชำระค่าเช่า จากนั้นวันที่ 16 มีนาคม 2561 จำเลยส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ถึงโจทก์ แจ้งให้ไปรับรถยนต์ที่เช่าคืนวันที่ 19 มีนาคม 2561 โจทก์รับรถยนต์ที่เช่าคืนแล้ว และจำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างให้โจทก์ครบถ้วนตามใบแจ้งหนี้และสำเนาใบเสร็จรับเงินแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยหรือไม่ โจทก์ฎีกาได้ความว่า สัญญาเช่ารถยนต์ ข้อ 9.2 กำหนดว่า “ในกรณีที่ผู้เช่าต้องการเลิกสัญญาก่อนกำหนด โดยมิใช่เป็นความผิดของผู้ให้เช่า ผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 30 วัน ทั้งนี้ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าตามเงื่อนไขดังนี้... 9.2.2 กรณียกเลิกสัญญาในปีที่ 2 ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินเท่ากับร้อยละ 40 ของยอดค่าเช่าพึงชำระ นับตั้งแต่วันบอกเลิกสัญญาจนถึงวันสิ้นสุดสัญญา...” เห็นว่า สัญญาเช่ารถยนต์ดังกล่าวเป็นการให้เช่าแบบลิสซิ่งซึ่งมีกำหนดระยะเวลาเช่า 5 ปี หากครบกำหนดโจทก์จะได้รับค่าเช่า 876,000 บาท แต่การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาโดยการคืนรถยนต์ที่เช่าและให้โจทก์รับรถวันที่ 19 มีนาคม 2561 ตามจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ลงวันที่ 16 มีนาคม 2561 หลังจากทำสัญญาเช่าเพียง 1 ปี 4 เดือน 19 วัน โจทก์ได้รับค่าเช่าเพียง 242,548.39 บาท จึงไม่ได้รับค่าเช่าส่วนที่เหลือ 633,451.61 บาท แต่อย่างไรก็ตามสัญญา ข้อ 9.2.2 ดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งหากกำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายแล้ว และได้ความว่าโจทก์ส่งใบแจ้งหนี้ให้จำเลยชำระค่าปรับคืนรถก่อนกำหนดเป็นเงิน 253,380.65 บาท ตามใบแจ้งหนี้ลงวันที่ 12 เมษายน 2561 นั้น นับว่าสูงเกินส่วนเห็นสมควรปรับลดลงและกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์ร้อยละ 10 ของเงิน 633,451.61 บาท เป็นเงิน 63,345.16 บาท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ข้อความที่บัญญัติขึ้นใหม่แทนซึ่งมีผลให้กรณีที่ต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี และกรณีหนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เว้นแต่เจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 63,345.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 กันยายน 2562) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามขอ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง หากจำเลยประสงค์จะฎีกาในปัญหาดังกล่าว จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาหรือไม่ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 แต่จำเลยกลับยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวโดยตรง และรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นได้ ดังนั้น การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งมิใช่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า “สั่งในฎีกา” และมีคำสั่งในฎีกาของจำเลยว่า “จำเลยยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่ศาลขยายให้โดยมาแสดงตนต่อศาล รับฎีกาจำเลย สำเนาให้โจทก์แก้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาฎีกา ปิดได้” จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเสียและมีคำสั่งเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่ง ทั้งนี้ แม้คำร้องของจำเลยจะมีใจความทำนองว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดก็ตาม ก็ไม่มีบทกฎหมายใดให้อำนาจแก่ศาลฎีกาที่จะก้าวล่วงมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาได้ จึงให้ยกคำร้อง และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นคำขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ฎีกาหรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองให้ฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4, 6, 17 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6 (1) (2) (3) (4), 17 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 15 กระทง เป็นจำคุก 90 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 45 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีเหตุสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า สมควรรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยจัดให้เล่นแชร์ตามคำฟ้องข้อ 1.2 ถึง 1.5, 1.8, 1.9, 1.11 และ 1.12 รวม 8 กระทง โดยจำเลยมิได้ส่งเงินเข้าทุนกองกลาง และไม่มีการจัดประมูลแข่งกันเป็นงวด ๆ อันไม่ต้องด้วยบทนิยาม “การเล่นแชร์” ตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยตามคำฟ้องในข้อดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติมาตรา 6 นั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพและไม่สืบพยาน ทางพิจารณาจึงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยจัดให้มีการเล่นแชร์แต่ละวงในรูปแบบหรือลักษณะใด จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงไปตามคำฟ้องและตามที่จำเลยให้การรับสารภาพว่าจำเลยจัดให้มีการเล่นแชร์ทุกวงตามนิยามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 อีกทั้งจำเลยเพิ่งยกข้อต่อสู้ดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 อันต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับฎีกาในปัญหานี้มาจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ส่วนฎีกาของจำเลยที่ขอให้รอการลงโทษจำคุกนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 6 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุกกระทงละ 3 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามศาลล่าง และให้ลงโทษจำคุกจำเลยในแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี อันต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง หากจำเลยประสงค์จะฎีกาในปัญหาดังกล่าว จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 แต่จำเลยกลับยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวโดยตรง และรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นได้ ดังนั้น การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งมิใช่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า “สั่งในฎีกา” และมีคำสั่งในฎีกาของจำเลยว่า “จำเลยยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่ศาลขยายให้โดยมาแสดงตนต่อศาล รับฎีกาจำเลย สำเนาให้โจทก์แก้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาฎีกา ปิดได้” จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเสียและมีคำสั่งเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่ง ทั้งนี้ แม้คำร้องของจำเลยจะมีใจความทำนองว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดก็ตาม ก็ไม่มีบทกฎหมายใดให้อำนาจแก่ศาลฎีกาที่จะก้าวล่วงมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาได้ จึงให้ยกคำร้อง และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นคำขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ฎีกาหรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ศาลฎีกาจึงไม่รับปัญหานี้ไว้วินิจฉัยเช่นกัน
พิพากษายกฎีกาของจำเลย
คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง หากจำเลยประสงค์จะฎีกาในปัญหาดังกล่าว จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาหรือไม่ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 แต่จำเลยกลับยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวโดยตรง และรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นได้ ดังนั้น การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งมิใช่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า “สั่งในฎีกา” และมีคำสั่งในฎีกาของจำเลยว่า “จำเลยยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่ศาลขยายให้โดยมาแสดงตนต่อศาล รับฎีกาจำเลย สำเนาให้โจทก์แก้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาฎีกา ปิดได้” จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเสียและมีคำสั่งเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่ง ทั้งนี้ แม้คำร้องของจำเลยจะมีใจความทำนองว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดก็ตาม ก็ไม่มีบทกฎหมายใดให้อำนาจแก่ศาลฎีกาที่จะก้าวล่วงมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาได้ จึงให้ยกคำร้อง และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นคำขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ฎีกาหรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองให้ฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4, 6, 17 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6 (1) (2) (3) (4), 17 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 15 กระทง เป็นจำคุก 90 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 45 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีเหตุสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า สมควรรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยจัดให้เล่นแชร์ตามคำฟ้องข้อ 1.2 ถึง 1.5, 1.8, 1.9, 1.11 และ 1.12 รวม 8 กระทง โดยจำเลยมิได้ส่งเงินเข้าทุนกองกลาง และไม่มีการจัดประมูลแข่งกันเป็นงวด ๆ อันไม่ต้องด้วยบทนิยาม “การเล่นแชร์” ตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยตามคำฟ้องในข้อดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติมาตรา 6 นั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพและไม่สืบพยาน ทางพิจารณาจึงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยจัดให้มีการเล่นแชร์แต่ละวงในรูปแบบหรือลักษณะใด จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงไปตามคำฟ้องและตามที่จำเลยให้การรับสารภาพว่าจำเลยจัดให้มีการเล่นแชร์ทุกวงตามนิยามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 อีกทั้งจำเลยเพิ่งยกข้อต่อสู้ดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 อันต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับฎีกาในปัญหานี้มาจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ส่วนฎีกาของจำเลยที่ขอให้รอการลงโทษจำคุกนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 6 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุกกระทงละ 3 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามศาลล่าง และให้ลงโทษจำคุกจำเลยในแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี อันต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง หากจำเลยประสงค์จะฎีกาในปัญหาดังกล่าว จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 แต่จำเลยกลับยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวโดยตรง และรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นได้ ดังนั้น การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งมิใช่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า “สั่งในฎีกา” และมีคำสั่งในฎีกาของจำเลยว่า “จำเลยยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่ศาลขยายให้โดยมาแสดงตนต่อศาล รับฎีกาจำเลย สำเนาให้โจทก์แก้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาฎีกา ปิดได้” จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเสียและมีคำสั่งเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่ง ทั้งนี้ แม้คำร้องของจำเลยจะมีใจความทำนองว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดก็ตาม ก็ไม่มีบทกฎหมายใดให้อำนาจแก่ศาลฎีกาที่จะก้าวล่วงมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาได้ จึงให้ยกคำร้อง และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นคำขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ฎีกาหรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ศาลฎีกาจึงไม่รับปัญหานี้ไว้วินิจฉัยเช่นกัน
พิพากษายกฎีกาของจำเลย
แม้สัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง แต่กฎหมายไม่ให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า สัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าหนี้ไม่สมบูรณ์ จำเลยจึงมีสิทธินำสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างดังกล่าวได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 วรรคท้าย กรณีเชื่อว่าก่อนทำสัญญากู้ยืมเงิน โจทก์กับจำเลยตกลงร่วมลงทุนกันจริงโดยมีการส่งมอบเงินตามสัญญากู้เป็นเงินร่วมลงทุนเบื้องต้น และโจทก์กับจำเลยมีเจตนาผูกพันกันตามนิติกรรมร่วมลงทุน แต่ทำนิติกรรมกู้ยืมเงินเพื่อเป็นประกันในการปฏิบัติตามสัญญา นิติกรรมกู้ยืมจึงเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการร่วมลงทุน นิติกรรมการกู้เงินย่อมตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในวรรคสองของมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า “ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ” แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาร่วมลงทุน แต่ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินที่เป็นโมฆะ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามมูลหนี้เงินกู้ที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 525,375 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 450,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนด ค่าทนายความ 8,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงิน 450,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงิน หรือไม่ เห็นว่า ก่อนโจทก์และจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินนั้น ได้ความว่า เดือนพฤษภาคม 2561 บริษัทของจำเลยว่าจ้างบริษัทของโจทก์ขนเถ้าลอย โจทก์ติดต่อบิดาจำเลยขอร่วมลงทุนในธุรกิจเถ้าลอย นัดหมายและเจรจาเกี่ยวกับการร่วมธุรกิจกัน... หลังจากนั้นโจทก์โอนเงิน 450,000 บาท ให้แก่จำเลย ต่อมาบิดาจำเลยพาโจทก์และนางสาวสุดารัตน์ เข้าร่วมประชุมกับผู้แทนรัฐวิสาหกิจถือหุ้นลาว ซึ่งเป็นคู่สัญญาของบริษัทจำเลยในการทำธุรกิจเถ้าลอยที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พฤติการณ์เช่นนี้แสดงถึงการดำเนินการในการร่วมลงทุนกันแล้ว แม้สัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง แต่กฎหมายไม่ให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า สัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าหนี้ไม่สมบูรณ์ จำเลยจึงมีสิทธินำสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย ประกอบกับสัญญากู้ยืมเงิน จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 หลังจากนางสุวรรณาภริยาของโจทก์ได้โอนเงินให้จำเลยตามที่โจทก์มอบหมาย เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561 โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยต้องการใช้เงินอย่างเร่งด่วนอย่างไร หรือโจทก์มีความจำเป็นอย่างไรจึงต้องส่งมอบเงินให้จำเลยก่อนทำสัญญากู้ แต่กลับได้ความว่า วันที่ 1 มิถุนายน 2561 โจทก์ นางสุวรรณาภริยาของโจทก์และนางสาวสุดารัตน์บุตรของโจทก์ เข้าร่วมประชุมเจรจาและตกลงร่วมลงทุนในธุรกิจขนส่งเถ้าลอย... โดยการสนทนากันในแอปพลิเคชันไลน์ดังกล่าว ไม่ปรากฏการพูดคุยเกี่ยวกับการกู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลย กลับมีการพูดคุยปรึกษาเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทร่วมลงทุน ทั้งจำเลยนำสัญญาต่อเรือมาแสดงว่า มีการนำเงินไปลงทุนจริงตามที่แจ้งโจทก์ไว้ ยิ่งกว่านั้น การที่นายปัญญวัฒน์ พยานจำเลยตอบทนายจำเลยถามติงว่า “ภายหลังประชุมวันที่ 1 มิถุนายน 2561 พยานพูดคุยส่วนตัวกับโจทก์ว่า ต้องแสดงให้จำเลยมั่นใจว่าโจทก์จะลงทุนจริง โจทก์จึงเสนอและโอนเงินให้ 450,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุน 500,000 บาท” จึงน่าเชื่อว่า ก่อนทำสัญญากู้ยืมเงิน โจทก์กับจำเลยตกลงร่วมลงทุนกันจริงโดยมีการส่งมอบเงินตามสัญญากู้เป็นเงินร่วมลงทุนเบื้องต้น และโจทก์กับจำเลยมีเจตนาผูกพันกันตามนิติกรรมร่วมลงทุน แต่ทำนิติกรรมกู้ยืมเงินเพื่อเป็นประกันในการปฏิบัติตามสัญญา นิติกรรมกู้ยืมจึงเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการร่วมลงทุน นิติกรรมการกู้เงินย่อมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ...” และในวรรคสองของมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า “ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ” แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาร่วมลงทุน แต่ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินที่เป็นโมฆะ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามมูลหนี้เงินกู้ที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
แม้สัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง แต่กฎหมายไม่ให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า สัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าหนี้ไม่สมบูรณ์ จำเลยจึงมีสิทธินำสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างดังกล่าวได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 วรรคท้าย กรณีเชื่อว่าก่อนทำสัญญากู้ยืมเงิน โจทก์กับจำเลยตกลงร่วมลงทุนกันจริงโดยมีการส่งมอบเงินตามสัญญากู้เป็นเงินร่วมลงทุนเบื้องต้น และโจทก์กับจำเลยมีเจตนาผูกพันกันตามนิติกรรมร่วมลงทุน แต่ทำนิติกรรมกู้ยืมเงินเพื่อเป็นประกันในการปฏิบัติตามสัญญา นิติกรรมกู้ยืมจึงเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการร่วมลงทุน นิติกรรมการกู้เงินย่อมตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในวรรคสองของมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า “ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ” แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาร่วมลงทุน แต่ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินที่เป็นโมฆะ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามมูลหนี้เงินกู้ที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 525,375 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 450,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนด ค่าทนายความ 8,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงิน 450,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงิน หรือไม่ เห็นว่า ก่อนโจทก์และจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินนั้น ได้ความว่า เดือนพฤษภาคม 2561 บริษัทของจำเลยว่าจ้างบริษัทของโจทก์ขนเถ้าลอย โจทก์ติดต่อบิดาจำเลยขอร่วมลงทุนในธุรกิจเถ้าลอย นัดหมายและเจรจาเกี่ยวกับการร่วมธุรกิจกัน... หลังจากนั้นโจทก์โอนเงิน 450,000 บาท ให้แก่จำเลย ต่อมาบิดาจำเลยพาโจทก์และนางสาวสุดารัตน์ เข้าร่วมประชุมกับผู้แทนรัฐวิสาหกิจถือหุ้นลาว ซึ่งเป็นคู่สัญญาของบริษัทจำเลยในการทำธุรกิจเถ้าลอยที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พฤติการณ์เช่นนี้แสดงถึงการดำเนินการในการร่วมลงทุนกันแล้ว แม้สัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง แต่กฎหมายไม่ให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า สัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าหนี้ไม่สมบูรณ์ จำเลยจึงมีสิทธินำสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย ประกอบกับสัญญากู้ยืมเงิน จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 หลังจากนางสุวรรณาภริยาของโจทก์ได้โอนเงินให้จำเลยตามที่โจทก์มอบหมาย เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561 โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยต้องการใช้เงินอย่างเร่งด่วนอย่างไร หรือโจทก์มีความจำเป็นอย่างไรจึงต้องส่งมอบเงินให้จำเลยก่อนทำสัญญากู้ แต่กลับได้ความว่า วันที่ 1 มิถุนายน 2561 โจทก์ นางสุวรรณาภริยาของโจทก์และนางสาวสุดารัตน์บุตรของโจทก์ เข้าร่วมประชุมเจรจาและตกลงร่วมลงทุนในธุรกิจขนส่งเถ้าลอย... โดยการสนทนากันในแอปพลิเคชันไลน์ดังกล่าว ไม่ปรากฏการพูดคุยเกี่ยวกับการกู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลย กลับมีการพูดคุยปรึกษาเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทร่วมลงทุน ทั้งจำเลยนำสัญญาต่อเรือมาแสดงว่า มีการนำเงินไปลงทุนจริงตามที่แจ้งโจทก์ไว้ ยิ่งกว่านั้น การที่นายปัญญวัฒน์ พยานจำเลยตอบทนายจำเลยถามติงว่า “ภายหลังประชุมวันที่ 1 มิถุนายน 2561 พยานพูดคุยส่วนตัวกับโจทก์ว่า ต้องแสดงให้จำเลยมั่นใจว่าโจทก์จะลงทุนจริง โจทก์จึงเสนอและโอนเงินให้ 450,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุน 500,000 บาท” จึงน่าเชื่อว่า ก่อนทำสัญญากู้ยืมเงิน โจทก์กับจำเลยตกลงร่วมลงทุนกันจริงโดยมีการส่งมอบเงินตามสัญญากู้เป็นเงินร่วมลงทุนเบื้องต้น และโจทก์กับจำเลยมีเจตนาผูกพันกันตามนิติกรรมร่วมลงทุน แต่ทำนิติกรรมกู้ยืมเงินเพื่อเป็นประกันในการปฏิบัติตามสัญญา นิติกรรมกู้ยืมจึงเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการร่วมลงทุน นิติกรรมการกู้เงินย่อมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ...” และในวรรคสองของมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า “ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ” แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาร่วมลงทุน แต่ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินที่เป็นโมฆะ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามมูลหนี้เงินกู้ที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ข้อพิพาทคดีนี้มิใช่เป็นกรณีจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดไปในเหตุที่ได้คำนวณจำนวนเงินอากรผิดซึ่งมีอายุความสองปีนับแต่วันที่นำเข้า แต่เป็นกรณีมีอายุความสิบปีไม่ว่าเป็นกรณีมีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/31 หรือกรณีไม่มีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนำเข้า ดังนั้น ไม่ว่ามีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรหรือไม่ ก็มีอายุความสิบปีตั้งแต่วันนำเข้า แตกต่างเฉพาะตัวบทกฎหมายที่ใช้อ้างอิงเท่านั้น และอย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 กรณีนี้โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 และพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เข้าตรวจค้นบริษัทโจทก์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2556 จากนั้นโจทก์เข้าชี้แจงรายละเอียดและส่งมอบเอกสารให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จนพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินเรียกเก็บอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 และจัดส่งให้แก่โจทก์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับโดยโจทก์ได้รับเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 ถือได้ว่าขั้นตอนกระบวนการประเมินเพื่อให้โจทก์รับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรได้ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 อันเป็นเวลาก่อนที่ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ ส่วนการจัดส่งแบบแจ้งการประเมินเป็นขั้นตอนการแจ้งให้โจทก์ผู้ต้องเสียภาษีอากรเพื่อทราบและปฏิบัติตามกฎหมายต่อไปไม่ใช่การดำเนินการประเมิน กรณีจึงไม่อาจนำ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 19 มาใช้บังคับในคดีนี้ ส่วนปัญหาการออกแบบแจ้งการประเมินภายหลังกฎหมายใหม่มีผลใช้บังคับแล้วจะมีผลอย่างไรไม่เป็นประเด็นปัญหาในคดีนี้ ดังนั้น การประเมินอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทในคดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดภายใน 10 ปี นับจากวันที่นำเข้าตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น การประเมินของจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมาย
ตามคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าไม่เจือ ตามพิกัดประเภท 72.07 ไม่ว่าประเภทใด ๆ ก็ตามต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหล่อแบบต่อเนื่องที่มีหน้าตัดตันและต้องไม่เป็นม้วน สินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มขณะนำเข้าไม่มีลักษณะหน้าตัดตัน มีการขึ้นรูปที่มีลักษณะเฉพาะไว้แล้วไม่ต้องจัดทำรูปทรงเพิ่มเติมอย่างมาก และเมื่อเปรียบเทียบรูปทรงสินค้าพิพาทขณะนำเข้ากับเมื่อเป็นชิ้นส่วนสำเร็จรูปพร้อมใช้งานแล้วไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือเค้าโครงไปจากเดิม สินค้าพิพาทจึงไม่มีลักษณะเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป ไม่อาจจัดอยู่ในพิกัดประเภท 72.07 ได้ แต่สินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มมีลักษณะเป็นของที่ขึ้นรูปมีรูปร่างหรือเค้าโครงของของหรือส่วนประกอบที่สำเร็จตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้าย พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ข้อ 2 (ก) แล้ว แม้ยังไม่พร้อมใช้งานได้ทันทีแต่ก็สามารถใช้เพื่อผลิตเป็นของหรือส่วนประกอบสำเร็จรูปโดยกระบวนการผลิตเพิ่มเติมเป็นแต่เพียงกระบวนการตกแต่งพื้นผิวชิ้นงานให้มีสภาพเหมาะสมต่อการนำไปใช้เท่านั้น และเมื่อสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มจัดอยูในพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 พิกัดประเภทย่อย 8708.94.93 และพิกัดประเภทย่อย 8708.94.95 จึงไม่อาจจัดเป็นของอื่น ๆ ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าตามพิกัดประเภท 73.26 ตามที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและขอสงวนสิทธิ์ขอคืนอากรได้ เนื่องจากคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ระบุไม่ให้คลุมถึงของที่ตีขึ้นรูป ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในประเภทพิกัดอื่นของพิกัดอัตราศุลกากรนี้ (เช่น ส่วนประกอบที่สามารถบอกได้ว่าเป็นของเครื่องจักรหรือของเครื่องใช้เชิงกล) หรือของที่ตีขึ้นรูปยังทำไม่เสร็จซึ่งต้องการการจัดทำมากไปกว่านี้ แต่มีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้ซึ่งทำเสร็จแล้ว คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินตามใบขนสินค้าขาเข้า 127 ฉบับ และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ 6 ฉบับ กับให้จำเลยทั้งสี่คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้อง 34,546,100.24 บาท และชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 28,714,117 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้เพิกถอนการประเมินตามใบขนสินค้าขาเข้า 127 ฉบับ และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ 6 ฉบับ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 คืนเงิน จำนวน 34,546,100.24 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 28,714,117 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ประกอบกิจการโรงงานผลิตสินค้าจำหน่าย โดยนำวัตถุดิบบางส่วนจากต่างประเทศเข้ามาผลิตเป็นสินค้าสำเร็จเพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยและต่างประเทศระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 โจทก์นำเข้าวัตถุดิบ Forging ตามใบขนสินค้าขาเข้า 113 ฉบับ สำแดงว่าเป็นส่วนประกอบชุดเกียร์ทำด้วยเหล็ก(Semi Piston Rack) และชิ้นงานทำด้วยเหล็ก (Lower Shaft) พิกัดประเภทย่อย 7326.90.90 อัตราอากรร้อยละ 10 และระหว่างวันที่ 6 สิงหาคม 2556 ถึงวันที่ 11 เมษายน 2558 โจทก์นำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้า 14 ฉบับ สำแดงว่า เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตชิ้นส่วนซึ่งเป็นวาล์วควบคุมน้ำมันไฮดรอลิกในท่อน้ำมันสำหรับระบบบังคับเลี้ยว (Forged Rack และ Forged Shaft) พิกัดประเภทย่อย 8708.99.90 อัตราอากรร้อยละ 30 โดยโจทก์ขอสงวนสิทธิ์ขอคืนอากรไว้ในประเภทพิกัด 7326.90.99 อัตราอากรร้อยละ 10 ต่อมาวันที่ 21 มีนาคม 2556 พนักงานเจ้าหน้าที่สำนักสืบสวนและปราบปรามของจำเลยที่ 1 ตรวจค้นบริษัทโจทก์เนื่องจากมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีเอกสารที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือเกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดตามกฎหมายศุลกากรจึงนำสินค้าที่โจทก์นำเข้าไปตรวจสอบ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เห็นว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าจัดเข้าพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 อัตราอากรร้อยละ 30 เป็นเหตุให้อากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มขาดและแจ้งข้อกล่าวหาว่าการกระทำของโจทก์เป็นความผิดฐานสำแดงชนิดสินค้าและประเภทพิกัดอัตราศุลกากรเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 และมาตรา 99 โจทก์ทราบข้อกล่าวหาแล้วเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2558 จำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออกภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) ลงวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 สำหรับการนำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้า 113 ฉบับ โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 และระหว่างวันที่ 12 ตุลาคม 2558 ถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2560 จำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้า/ขาออก/ภาษีสรรพสามิต/ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีอื่น ๆ (กรณีสงวนสิทธิ์ขอคืนอากร) สำหรับใบขนสินค้าขาเข้า 14 ฉบับ โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 โจทก์อุทธรณ์การประเมินอากรขาเข้าต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และอุทธรณ์การประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 วันที่ 9 พฤศจิกายน 2562 โจทก์ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์จากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยที่ 1 ประเมินอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาท 113 ฉบับ เมื่อพ้นกำหนดสามปีนับแต่วันยื่นใบขนสินค้าตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 19 จึงเป็นการประเมินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ข้อพิพาทคดีนี้มิใช่เป็นกรณีจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดไปในเหตุที่ได้คำนวณจำนวนเงินอากรผิดซึ่งมีอายุความสองปีนับแต่วันที่นำเข้า แต่เป็นกรณีมีอายุความสิบปีไม่ว่าเป็นกรณีมีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/31 หรือกรณีไม่มีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนำเข้า ดังนั้น ไม่ว่ามีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรหรือไม่ ก็มีอายุความสิบปีตั้งแต่วันนำเข้าแตกต่างเฉพาะตัวบทกฎหมายที่ใช้อ้างอิงเท่านั้น และอย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 กรณีนี้โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทตามใบขนสินค้าขาเข้า 113 ฉบับ ในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 และพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เข้าตรวจค้นบริษัทโจทก์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2556 จากนั้นโจทก์เข้าชี้แจงรายละเอียดและส่งมอบเอกสารให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จนพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่นๆ) ในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 และจัดส่งให้แก่โจทก์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับโดยโจทก์ได้รับเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 ถือได้ว่าขั้นตอนกระบวนการประเมินเพื่อให้โจทก์รับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรได้ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 อันเป็นเวลาก่อนที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ ส่วนการจัดส่งแบบแจ้งการประเมินเป็นขั้นตอนการแจ้งให้โจทก์ผู้ต้องเสียภาษีอากรเพื่อทราบและปฏิบัติตามกฎหมายต่อไปไม่ใช่การดำเนินการประเมิน กรณีจึงไม่อาจนำพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2460 มาตรา 19 มาใช้บังคับในคดีนี้ ส่วนปัญหาการออกแบบแจ้งการประเมินภายหลังกฎหมายใหม่มีผลใช้บังคับแล้วจะมีผลอย่างไรไม่เป็นประเด็นปัญหาในคดีนี้ ดังนั้น การประเมินอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาท 113 ฉบับ ในคดีนี้ จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดภายใน 10 ปี นับจากวันที่นำเข้า ตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น การประเมินของจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อมาว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดอยู่ในพิกัดประเภท 87.08 ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามพิกัดประเภท 87.01 ถึง 87.05 ประเภทย่อย 8708.94.93 ประเภทย่อย 8708.94.95 และประเภทย่อย 8708.94.99 ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 ทวิ วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาท บัญญัติว่า “ความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีสำหรับของที่นำเข้าเกิดขึ้นในเวลาที่นำของเข้าสำเร็จ” วรรคสองบัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 87 และมาตรา 88 การคำนวณค่าภาษีให้ถือตามสภาพของราคาของและพิกัดอัตราศุลกากรที่เป็นอยู่ในเวลาที่ความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีเกิดขึ้น...” และพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ของที่นำเข้ามาหรือพาเข้ามาในหรือส่งหรือพาออกไปนอกราชอาณาจักรนั้น ให้เรียกเก็บและเสียอากรตามที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราศุลกากรท้ายพระราชกำหนดนี้ หรือตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกำหนดนี้” มาตรา 15 วรรคสาม บัญญัติว่า “การตีความให้ถือตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ท้ายพระราชกำหนดนี้ ประกอบกับคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร ซึ่งทำเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2493 และประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515” ดังนั้น การตีความว่าของอยู่ในประเภทพิกัดใดจึงต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ซึ่งหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ข้อ 1 ระบุว่า “ชื่อของหมวด ตอน และตอนย่อย ได้กำหนดขึ้นเพื่อให้สะดวกแก่การอ้างอิงเท่านั้น ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทให้จำแนกตามความของประเภทนั้น ๆ ตามหมายเหตุของหมวดหรือของตอนที่เกี่ยวข้องและตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ หากว่าประเภทหรือหมายเหตุดังกล่าวไม่ได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ข้อ 2 (ก) วรรคหนึ่ง ระบุว่า “ประเภทที่ระบุถึงของใดให้หมายรวมถึงของนั้นที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หากว่าในขณะนำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วและให้หมายรวมถึงของที่สมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว (หรือที่จำแนกเข้าประเภทของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วตามนัยแห่งหลักเกณฑ์นี้) ที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน”ข้อ 6 ระบุว่า “ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทของของเข้าในประเภทย่อยของประเภทใดประเภทหนึ่งให้เป็นไปตามความของประเภทย่อยที่เกี่ยวข้องและตามหลักเกณฑ์ข้างต้นโดยอนุโลม โดยพิจารณาเปรียบเทียบในระหว่างประเภทย่อยที่อยู่ในระดับเดียวกันตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์นี้ให้ใช้หมายเหตุของหมวดและของตอนที่เกี่ยวข้องด้วย เว้นแต่จะมีข้อความระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ซึ่งตามคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ พิกัดประเภท 72.07 ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าไม่เจือ ได้ระบุว่าผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปได้นิยามไว้ในหมายเหตุข้อ 1 (ญ) ของตอนนี้ โดยหมายเหตุข้อ 1 (ญ) ของตอนที่ 72 ระบุนิยามผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปว่า หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหล่อแบบต่อเนื่องที่มีหน้าตัดตันจะผ่านการรีดร้อนขั้นต้นหรือไม่ก็ตาม และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีหน้าตัดตัน ซึ่งไม่ได้ทำมากไปกว่าการรีดร้อนขั้นต้นหรือตีเป็นรูปทรงอย่างหยาบ ๆ รวมถึงของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุม เป็นรูปทรง หรือเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องไม่เป็นม้วน และตามคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ พิกัดประเภท 72.07 อธิบายผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปว่า มี 4 ประเภท คือ (ก) ท่อนเหล็กที่เป็นเหลี่ยมแบบบลูม บิลเล็ต ท่อนกลม แท่งเหล็กหนาชนิดสแล๊ป แท่งบางชนิดชี้ทบาร์ (ข) ชิ้นที่ทำเป็นรูปทรงอย่างหยาบ ๆ ด้วยการตี (ค) ของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุม ทำเป็นรูปทรง หรือทำเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ และ (ง) ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่ได้มาโดยการหล่อแบบต่อเนื่อง แสดงว่าผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปตามพิกัดประเภท 72.07 ไม่ว่าประเภทใด ๆ ก็ตามต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหล่อแบบต่อเนื่องที่มีหน้าตัดตันและต้องไม่เป็นม้วน เมื่อพิจารณาหนังสือชี้แจงของโจทก์ และตัวอย่างสินค้าพิพาทขณะนำเข้าเปรียบเทียบกับสินค้าที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้ามี 2 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งคือ ส่วนประกอบชุดเกียร์ทำด้วยเหล็ก (Semi Piston Rack) และวัตถุดิบสำหรับผลิตชิ้นส่วนซึ่งเป็นวาล์วควบคุมน้ำมันไฮดรอลิกในท่อน้ำมันสำหรับระบบบังคับเลี้ยว (Forged Rack) กลุ่มที่สองคือ ชิ้นงานทำด้วยเหล็ก (Lower Shaft) และวัตถุดิบสำหรับผลิตชิ้นส่วนซึ่งเป็นวาล์วควบคุมน้ำมันไฮดรอลิกในท่อน้ำมันสำหรับระบบบังคับเลี้ยว (Forged Shaft) สินค้าพิพาทผลิตจากการนำเหล็กท่อนกลม (Round Billet) มาตัดให้ได้ขนาด จากนั้นนำชิ้นงานไปอบอ่อน เมื่ออบอ่อนแล้วจึงนำไปขึ้นรูปตามแบบเพื่อให้ได้ชิ้นงาน เมื่อได้ชิ้นงานแล้วจะนำชิ้นงานไปชุบกันสนิมทำด้วยเหล็กกล้าขึ้นรูปและมีการเคลือบกันสนิม ในข้อนี้ได้ความจากผู้รับมอบอำนาจโจทก์ตอบทนายจำเลยทั้งสี่ถามค้านว่า การนำไปอบอ่อน หมายถึง การนำสินค้าไปทำให้นิ่มขึ้น โดยสินค้าในกลุ่มที่หนึ่ง มีการตีขึ้นรูปครั้งที่ 1 ตีขึ้นรูปครั้งที่ 2 จะมีรูอยู่ตรงกลาง ตีขึ้นรูปครั้งที่ 3 ทำให้เกิดรูทะลุ และตีขึ้นรูปครั้งที่ 4 ทำให้เกิดบ่า จนเป็นชิ้นงานสำเร็จ ขณะนำเข้าสินค้าพิพาทมีลักษณะเป็นโลหะวงกลมตรงกลางกลวง (วงแหวน) สินค้ากลุ่มที่สอง มีการตีขึ้นรูปครั้งที่ 1 ตีขึ้นรูปครั้งที่ 2 ทำร่องหยาบ และตีขึ้นรูปครั้งที่ 3 ทำร่องให้ได้ขนาด จนเป็นชิ้นงานสำเร็จ ขณะนำเข้าสินค้าพิพาทมีลักษณะเป็นทรงกระบอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลดหลั่น 3 ขั้น มีการเจาะรูที่หน้าตัดด้านกว้างแต่ไม่กลวงตลอด สินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มไม่สามารถนำไปใช้งานได้ทันทีต้องนำมาผ่านกระบวนการผลิตอีกหลายขั้นตอนด้วยเครื่องจักรให้ได้ขนาดและผิวงานละเอียดจึงจะสามารถนำไปใช้งานได้ เห็นได้ว่าสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มขณะนำเข้าไม่มีลักษณะหน้าตัดตัน มีการขึ้นรูปที่มีลักษณะเฉพาะไว้แล้วไม่ต้องจัดทำรูปทรงเพิ่มเติมอย่างมาก และเมื่อเปรียบเทียบรูปทรงสินค้าพิพาทขณะนำเข้ากับเมื่อเป็นชิ้นส่วนสำเร็จรูปพร้อมใช้งานแล้วไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือเค้าโครงไปจากเดิม สินค้าพิพาทจึงไม่มีลักษณะเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปตามหมายเหตุข้อ 1 (ญ) ไม่อาจจัดอยู่ในพิกัดประเภท 72.07 ดังที่โจทก์ฎีกาได้ แม้สินค้าพิพาทจะไม่สามารถนำมาใช้งานได้ทันทีต้องผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอนก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ที่ได้อธิบายการตีความพิกัดศุลกากรข้อ 2 (ก) ของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ ว่า (1) ความตอนแรกของหลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) เป็นการขยายขอบเขตของประเภทพิกัดซึ่งระบุถึงของใด ให้คลุมถึงไม่เฉพาะของสำเร็จรูป แต่คลุมถึงของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จด้วย หากว่าในขณะนำเข้าของนั้นมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว (2) หลักเกณฑ์ข้อนี้ใช้กับของที่เพียงแต่ขึ้นรูป (แบล็งก์) ด้วย เว้นแต่จะมีประเภทพิกัดอื่นระบุไว้โดยเฉพาะ คำว่า “ของที่เพียงแต่ขึ้นรูป” หมายถึง ของที่ยังไม่พร้อมจะใช้ได้ทันทีเพียงแต่มีรูปร่างหรือเค้าโครงของของหรือส่วนประกอบที่สำเร็จแล้ว และสามารถใช้เพื่อผลิตเป็นของหรือส่วนประกอบสำเร็จรูปเท่านั้น ยกเว้นเป็นพิเศษบางกรณี ของกึ่งสำเร็จรูปที่ยังไม่มีรูปร่างอันเป็นสาระสำคัญของของสำเร็จรูป (โดยทั่วไปเช่น เป็นท่อน วงกลม หลอดหรือท่อ ฯลฯ) ไม่ถือว่าเป็น “ของที่เพียงแต่ขึ้นรูป” (3) โดยคำนึงถึงขอบเขตของประเภทต่าง ๆ ในหมวด 1 ถึง 6 หลักเกณฑ์ข้อนี้ปกติไม่ใช้กับของในหมวดดังกล่าว (4) หลายกรณีที่หลักเกณฑ์ข้อนี้คลุมถึงปรากฏอยู่ในคำอธิบายทั่วไปของหมวดหรือตอนต่างๆ (เช่น หมวด 16 และตอนที่ 61, 62, 86, 87 และ 90) เห็นได้ว่าสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มมีลักษณะเป็นของที่ขึ้นรูปมีรูปร่างหรือเค้าโครงของของหรือส่วนประกอบที่สำเร็จตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) แล้ว แม้ยังไม่พร้อมใช้งานได้ทันทีแต่ก็สามารถใช้เพื่อผลิตเป็นของหรือส่วนประกอบสำเร็จรูป โดยกระบวนการผลิตเพิ่มเติมเป็นแต่เพียงกระบวนการตกแต่งพื้นผิวชิ้นงานให้มีสภาพเหมาะสมต่อการนำไปใช้เท่านั้น สินค้าพิพาทกลุ่มที่หนึ่งขึ้นรูปเป็น Semi Piston Rack และ Forged Rack เพื่อประกอบติดตั้งเข้ากับเพลาบังคับเลี้ยวของกระปุกเกียร์พวงมาลัยในชุดบังคับล้อ (Rack and Pinion) ของระบบบังคับเลี้ยวรถยนต์กระบะทำหน้าที่เป็นลูกสูบรับแรงดันไฮดรอลิกเป็นส่วนประกอบที่ใช้เฉพาะกับกระปุกเกียร์พวงมาลัยรถยนต์ ส่วนสินค้ากลุ่มที่สองขึ้นรูปเป็น Lower Shaft และ Forged Shaft ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของเพลาล่างที่ใช้เป็นส่วนประกอบในตัว Worm Shaft สำหรับระบบบังคับเลี้ยวพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทำหน้าที่ทดกำลังและช่วยผ่อนแรงในการหมุนพวงมาลัยโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยในการหมุน โดยติดตั้งอยู่ด้านล่างสุดของชุดพวงมาลัยพาวเวอร์ ซึ่งนำไปประกอบกับเพลาพวงส่วนกลางทำหน้าที่ส่งผ่านแรงไปบังคับการเลี้ยวของชุดบังคับล้อ ประกอบกับผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสี่ถามค้านว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าไม่สามารถใช้กับผลิตภัณฑ์เครื่องจักรอื่นได้ยกเว้นรถยนต์เท่านั้น นอกจากจะออกแบบใหม่ โดยสินค้า Forged Rack เมื่อทำเป็นสำเร็จแล้วจะนำมาใช้กับรถยนต์กระบะโตโยต้าอย่างเดียว ส่วน Forged Shaft ใช้สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อโตโยต้าเฉพาะรุ่นโคโลน่ากับวีออส ซึ่งเมื่อพิจารณาพิกัดประเภท 87.08 ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามพิกัดประเภท 87.01 ถึง 87.05 ประกอบคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์พร้อมคำแปล พิกัดประเภทนี้คลุมถึงส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภทที่ 87.01 ถึง 87.05 หากส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบเป็นไปตามเงื่อนไขทั้งสองข้อดังต่อไปนี้ (1) ของดังกล่าวต้องบ่งชี้ได้ว่าเหมาะสำหรับใช้เฉพาะหรือส่วนใหญ่ใช้กับยานยนต์ที่ระบุไว้ข้างต้น และ (2) ของดังกล่าวต้องไม่ถูกห้ามโดยข้อกำหนดของหมายเหตุในหมวด 17 เมื่อสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มไม่ถูกยกเว้นด้วยหมายเหตุหมวด 17 โดยสินค้าในกลุ่มแรกเป็นส่วนประกอบที่ใช้เฉพาะกับกระปุกเกียร์พวงมาลัยรถยนต์กระบะ ซึ่งเป็นยานยนต์ตามพิกัดประเภท 87.04 จึงจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 อื่น ๆ ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภทที่ 87.01 ถึง 87.05 พวงมาลัย แกนพวงมาลัย และกระปุกเกียร์พวงมาลัย (สเตียริงบอกซ์) รวมทั้งส่วนประกอบของของดังกล่าว ส่วนสินค้าในกลุ่มที่สองเป็นส่วนประกอบของระบบบังคับเลี้ยวของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ซึ่งเป็นยานยนต์ประเภทที่ 87.03 จึงจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อย 8707.94.93 และ 8708.94.95 สำหรับยานยนต์ตามประเภทที่ 87.03 (ตามช่วงเวลานำเข้า) ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภทที่ 87.01 ถึง 87.05 พวงมาลัย แกนพวงมาลัย และกระปุกเกียร์ พวงมาลัย (สเตียริงบอกซ์) รวมทั้งส่วนประกอบของของดังกล่าว เมื่อสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 พิกัดประเภทย่อย 8708.94.93 และพิกัดประเภทย่อย 8708.94.95 จึงไม่อาจจัดเป็นของอื่น ๆ ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า ตามพิกัดประเภท 73.26 ตามที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและขอสงวนสิทธิ์ขอคืนอากรได้เนื่องจากคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์พร้อมคำแปลระบุไม่ให้คลุมถึงของที่ตีขึ้นรูปซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในประเภทพิกัดอื่นของพิกัดอัตราศุลกากรนี้ (เช่น ส่วนประกอบที่สามารถบอกได้ว่าเป็นของเครื่องจักรหรือของเครื่องใช้เชิงกล) หรือของที่ตีขึ้นรูปยังทำไม่เสร็จซึ่งต้องการการจัดทำมากไปกว่านี้ แต่มีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้ซึ่งทำเสร็จแล้ว คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ข้อพิพาทคดีนี้มิใช่เป็นกรณีจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดไปในเหตุที่ได้คำนวณจำนวนเงินอากรผิดซึ่งมีอายุความสองปีนับแต่วันที่นำเข้า แต่เป็นกรณีมีอายุความสิบปีไม่ว่าเป็นกรณีมีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/31 หรือกรณีไม่มีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนำเข้า ดังนั้น ไม่ว่ามีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรหรือไม่ ก็มีอายุความสิบปีตั้งแต่วันนำเข้า แตกต่างเฉพาะตัวบทกฎหมายที่ใช้อ้างอิงเท่านั้น และอย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 กรณีนี้โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 และพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เข้าตรวจค้นบริษัทโจทก์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2556 จากนั้นโจทก์เข้าชี้แจงรายละเอียดและส่งมอบเอกสารให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จนพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินเรียกเก็บอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 และจัดส่งให้แก่โจทก์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับโดยโจทก์ได้รับเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 ถือได้ว่าขั้นตอนกระบวนการประเมินเพื่อให้โจทก์รับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรได้ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 อันเป็นเวลาก่อนที่ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ ส่วนการจัดส่งแบบแจ้งการประเมินเป็นขั้นตอนการแจ้งให้โจทก์ผู้ต้องเสียภาษีอากรเพื่อทราบและปฏิบัติตามกฎหมายต่อไปไม่ใช่การดำเนินการประเมิน กรณีจึงไม่อาจนำ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 19 มาใช้บังคับในคดีนี้ ส่วนปัญหาการออกแบบแจ้งการประเมินภายหลังกฎหมายใหม่มีผลใช้บังคับแล้วจะมีผลอย่างไรไม่เป็นประเด็นปัญหาในคดีนี้ ดังนั้น การประเมินอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทในคดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดภายใน 10 ปี นับจากวันที่นำเข้าตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น การประเมินของจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมาย
ตามคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าไม่เจือ ตามพิกัดประเภท 72.07 ไม่ว่าประเภทใด ๆ ก็ตามต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหล่อแบบต่อเนื่องที่มีหน้าตัดตันและต้องไม่เป็นม้วน สินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มขณะนำเข้าไม่มีลักษณะหน้าตัดตัน มีการขึ้นรูปที่มีลักษณะเฉพาะไว้แล้วไม่ต้องจัดทำรูปทรงเพิ่มเติมอย่างมาก และเมื่อเปรียบเทียบรูปทรงสินค้าพิพาทขณะนำเข้ากับเมื่อเป็นชิ้นส่วนสำเร็จรูปพร้อมใช้งานแล้วไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือเค้าโครงไปจากเดิม สินค้าพิพาทจึงไม่มีลักษณะเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป ไม่อาจจัดอยู่ในพิกัดประเภท 72.07 ได้ แต่สินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มมีลักษณะเป็นของที่ขึ้นรูปมีรูปร่างหรือเค้าโครงของของหรือส่วนประกอบที่สำเร็จตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้าย พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ข้อ 2 (ก) แล้ว แม้ยังไม่พร้อมใช้งานได้ทันทีแต่ก็สามารถใช้เพื่อผลิตเป็นของหรือส่วนประกอบสำเร็จรูปโดยกระบวนการผลิตเพิ่มเติมเป็นแต่เพียงกระบวนการตกแต่งพื้นผิวชิ้นงานให้มีสภาพเหมาะสมต่อการนำไปใช้เท่านั้น และเมื่อสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มจัดอยูในพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 พิกัดประเภทย่อย 8708.94.93 และพิกัดประเภทย่อย 8708.94.95 จึงไม่อาจจัดเป็นของอื่น ๆ ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าตามพิกัดประเภท 73.26 ตามที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและขอสงวนสิทธิ์ขอคืนอากรได้ เนื่องจากคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ระบุไม่ให้คลุมถึงของที่ตีขึ้นรูป ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในประเภทพิกัดอื่นของพิกัดอัตราศุลกากรนี้ (เช่น ส่วนประกอบที่สามารถบอกได้ว่าเป็นของเครื่องจักรหรือของเครื่องใช้เชิงกล) หรือของที่ตีขึ้นรูปยังทำไม่เสร็จซึ่งต้องการการจัดทำมากไปกว่านี้ แต่มีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้ซึ่งทำเสร็จแล้ว คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินตามใบขนสินค้าขาเข้า 127 ฉบับ และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ 6 ฉบับ กับให้จำเลยทั้งสี่คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้อง 34,546,100.24 บาท และชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 28,714,117 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้เพิกถอนการประเมินตามใบขนสินค้าขาเข้า 127 ฉบับ และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ 6 ฉบับ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 คืนเงิน จำนวน 34,546,100.24 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 28,714,117 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ประกอบกิจการโรงงานผลิตสินค้าจำหน่าย โดยนำวัตถุดิบบางส่วนจากต่างประเทศเข้ามาผลิตเป็นสินค้าสำเร็จเพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยและต่างประเทศระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 โจทก์นำเข้าวัตถุดิบ Forging ตามใบขนสินค้าขาเข้า 113 ฉบับ สำแดงว่าเป็นส่วนประกอบชุดเกียร์ทำด้วยเหล็ก(Semi Piston Rack) และชิ้นงานทำด้วยเหล็ก (Lower Shaft) พิกัดประเภทย่อย 7326.90.90 อัตราอากรร้อยละ 10 และระหว่างวันที่ 6 สิงหาคม 2556 ถึงวันที่ 11 เมษายน 2558 โจทก์นำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้า 14 ฉบับ สำแดงว่า เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตชิ้นส่วนซึ่งเป็นวาล์วควบคุมน้ำมันไฮดรอลิกในท่อน้ำมันสำหรับระบบบังคับเลี้ยว (Forged Rack และ Forged Shaft) พิกัดประเภทย่อย 8708.99.90 อัตราอากรร้อยละ 30 โดยโจทก์ขอสงวนสิทธิ์ขอคืนอากรไว้ในประเภทพิกัด 7326.90.99 อัตราอากรร้อยละ 10 ต่อมาวันที่ 21 มีนาคม 2556 พนักงานเจ้าหน้าที่สำนักสืบสวนและปราบปรามของจำเลยที่ 1 ตรวจค้นบริษัทโจทก์เนื่องจากมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีเอกสารที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือเกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดตามกฎหมายศุลกากรจึงนำสินค้าที่โจทก์นำเข้าไปตรวจสอบ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เห็นว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าจัดเข้าพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 อัตราอากรร้อยละ 30 เป็นเหตุให้อากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มขาดและแจ้งข้อกล่าวหาว่าการกระทำของโจทก์เป็นความผิดฐานสำแดงชนิดสินค้าและประเภทพิกัดอัตราศุลกากรเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 และมาตรา 99 โจทก์ทราบข้อกล่าวหาแล้วเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2558 จำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออกภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) ลงวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 สำหรับการนำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้า 113 ฉบับ โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 และระหว่างวันที่ 12 ตุลาคม 2558 ถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2560 จำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้า/ขาออก/ภาษีสรรพสามิต/ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีอื่น ๆ (กรณีสงวนสิทธิ์ขอคืนอากร) สำหรับใบขนสินค้าขาเข้า 14 ฉบับ โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 โจทก์อุทธรณ์การประเมินอากรขาเข้าต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และอุทธรณ์การประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 วันที่ 9 พฤศจิกายน 2562 โจทก์ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์จากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยที่ 1 ประเมินอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาท 113 ฉบับ เมื่อพ้นกำหนดสามปีนับแต่วันยื่นใบขนสินค้าตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 19 จึงเป็นการประเมินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ข้อพิพาทคดีนี้มิใช่เป็นกรณีจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดไปในเหตุที่ได้คำนวณจำนวนเงินอากรผิดซึ่งมีอายุความสองปีนับแต่วันที่นำเข้า แต่เป็นกรณีมีอายุความสิบปีไม่ว่าเป็นกรณีมีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/31 หรือกรณีไม่มีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนำเข้า ดังนั้น ไม่ว่ามีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรหรือไม่ ก็มีอายุความสิบปีตั้งแต่วันนำเข้าแตกต่างเฉพาะตัวบทกฎหมายที่ใช้อ้างอิงเท่านั้น และอย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 กรณีนี้โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทตามใบขนสินค้าขาเข้า 113 ฉบับ ในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 และพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เข้าตรวจค้นบริษัทโจทก์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2556 จากนั้นโจทก์เข้าชี้แจงรายละเอียดและส่งมอบเอกสารให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จนพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่นๆ) ในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 และจัดส่งให้แก่โจทก์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับโดยโจทก์ได้รับเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 ถือได้ว่าขั้นตอนกระบวนการประเมินเพื่อให้โจทก์รับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรได้ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 อันเป็นเวลาก่อนที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ ส่วนการจัดส่งแบบแจ้งการประเมินเป็นขั้นตอนการแจ้งให้โจทก์ผู้ต้องเสียภาษีอากรเพื่อทราบและปฏิบัติตามกฎหมายต่อไปไม่ใช่การดำเนินการประเมิน กรณีจึงไม่อาจนำพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2460 มาตรา 19 มาใช้บังคับในคดีนี้ ส่วนปัญหาการออกแบบแจ้งการประเมินภายหลังกฎหมายใหม่มีผลใช้บังคับแล้วจะมีผลอย่างไรไม่เป็นประเด็นปัญหาในคดีนี้ ดังนั้น การประเมินอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาท 113 ฉบับ ในคดีนี้ จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดภายใน 10 ปี นับจากวันที่นำเข้า ตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น การประเมินของจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อมาว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดอยู่ในพิกัดประเภท 87.08 ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามพิกัดประเภท 87.01 ถึง 87.05 ประเภทย่อย 8708.94.93 ประเภทย่อย 8708.94.95 และประเภทย่อย 8708.94.99 ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 ทวิ วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาท บัญญัติว่า “ความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีสำหรับของที่นำเข้าเกิดขึ้นในเวลาที่นำของเข้าสำเร็จ” วรรคสองบัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 87 และมาตรา 88 การคำนวณค่าภาษีให้ถือตามสภาพของราคาของและพิกัดอัตราศุลกากรที่เป็นอยู่ในเวลาที่ความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีเกิดขึ้น...” และพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ของที่นำเข้ามาหรือพาเข้ามาในหรือส่งหรือพาออกไปนอกราชอาณาจักรนั้น ให้เรียกเก็บและเสียอากรตามที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราศุลกากรท้ายพระราชกำหนดนี้ หรือตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกำหนดนี้” มาตรา 15 วรรคสาม บัญญัติว่า “การตีความให้ถือตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ท้ายพระราชกำหนดนี้ ประกอบกับคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร ซึ่งทำเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2493 และประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515” ดังนั้น การตีความว่าของอยู่ในประเภทพิกัดใดจึงต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ซึ่งหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ข้อ 1 ระบุว่า “ชื่อของหมวด ตอน และตอนย่อย ได้กำหนดขึ้นเพื่อให้สะดวกแก่การอ้างอิงเท่านั้น ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทให้จำแนกตามความของประเภทนั้น ๆ ตามหมายเหตุของหมวดหรือของตอนที่เกี่ยวข้องและตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ หากว่าประเภทหรือหมายเหตุดังกล่าวไม่ได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ข้อ 2 (ก) วรรคหนึ่ง ระบุว่า “ประเภทที่ระบุถึงของใดให้หมายรวมถึงของนั้นที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หากว่าในขณะนำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วและให้หมายรวมถึงของที่สมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว (หรือที่จำแนกเข้าประเภทของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วตามนัยแห่งหลักเกณฑ์นี้) ที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน”ข้อ 6 ระบุว่า “ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทของของเข้าในประเภทย่อยของประเภทใดประเภทหนึ่งให้เป็นไปตามความของประเภทย่อยที่เกี่ยวข้องและตามหลักเกณฑ์ข้างต้นโดยอนุโลม โดยพิจารณาเปรียบเทียบในระหว่างประเภทย่อยที่อยู่ในระดับเดียวกันตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์นี้ให้ใช้หมายเหตุของหมวดและของตอนที่เกี่ยวข้องด้วย เว้นแต่จะมีข้อความระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ซึ่งตามคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ พิกัดประเภท 72.07 ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าไม่เจือ ได้ระบุว่าผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปได้นิยามไว้ในหมายเหตุข้อ 1 (ญ) ของตอนนี้ โดยหมายเหตุข้อ 1 (ญ) ของตอนที่ 72 ระบุนิยามผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปว่า หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหล่อแบบต่อเนื่องที่มีหน้าตัดตันจะผ่านการรีดร้อนขั้นต้นหรือไม่ก็ตาม และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีหน้าตัดตัน ซึ่งไม่ได้ทำมากไปกว่าการรีดร้อนขั้นต้นหรือตีเป็นรูปทรงอย่างหยาบ ๆ รวมถึงของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุม เป็นรูปทรง หรือเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องไม่เป็นม้วน และตามคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ พิกัดประเภท 72.07 อธิบายผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปว่า มี 4 ประเภท คือ (ก) ท่อนเหล็กที่เป็นเหลี่ยมแบบบลูม บิลเล็ต ท่อนกลม แท่งเหล็กหนาชนิดสแล๊ป แท่งบางชนิดชี้ทบาร์ (ข) ชิ้นที่ทำเป็นรูปทรงอย่างหยาบ ๆ ด้วยการตี (ค) ของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุม ทำเป็นรูปทรง หรือทำเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ และ (ง) ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่ได้มาโดยการหล่อแบบต่อเนื่อง แสดงว่าผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปตามพิกัดประเภท 72.07 ไม่ว่าประเภทใด ๆ ก็ตามต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหล่อแบบต่อเนื่องที่มีหน้าตัดตันและต้องไม่เป็นม้วน เมื่อพิจารณาหนังสือชี้แจงของโจทก์ และตัวอย่างสินค้าพิพาทขณะนำเข้าเปรียบเทียบกับสินค้าที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้ามี 2 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งคือ ส่วนประกอบชุดเกียร์ทำด้วยเหล็ก (Semi Piston Rack) และวัตถุดิบสำหรับผลิตชิ้นส่วนซึ่งเป็นวาล์วควบคุมน้ำมันไฮดรอลิกในท่อน้ำมันสำหรับระบบบังคับเลี้ยว (Forged Rack) กลุ่มที่สองคือ ชิ้นงานทำด้วยเหล็ก (Lower Shaft) และวัตถุดิบสำหรับผลิตชิ้นส่วนซึ่งเป็นวาล์วควบคุมน้ำมันไฮดรอลิกในท่อน้ำมันสำหรับระบบบังคับเลี้ยว (Forged Shaft) สินค้าพิพาทผลิตจากการนำเหล็กท่อนกลม (Round Billet) มาตัดให้ได้ขนาด จากนั้นนำชิ้นงานไปอบอ่อน เมื่ออบอ่อนแล้วจึงนำไปขึ้นรูปตามแบบเพื่อให้ได้ชิ้นงาน เมื่อได้ชิ้นงานแล้วจะนำชิ้นงานไปชุบกันสนิมทำด้วยเหล็กกล้าขึ้นรูปและมีการเคลือบกันสนิม ในข้อนี้ได้ความจากผู้รับมอบอำนาจโจทก์ตอบทนายจำเลยทั้งสี่ถามค้านว่า การนำไปอบอ่อน หมายถึง การนำสินค้าไปทำให้นิ่มขึ้น โดยสินค้าในกลุ่มที่หนึ่ง มีการตีขึ้นรูปครั้งที่ 1 ตีขึ้นรูปครั้งที่ 2 จะมีรูอยู่ตรงกลาง ตีขึ้นรูปครั้งที่ 3 ทำให้เกิดรูทะลุ และตีขึ้นรูปครั้งที่ 4 ทำให้เกิดบ่า จนเป็นชิ้นงานสำเร็จ ขณะนำเข้าสินค้าพิพาทมีลักษณะเป็นโลหะวงกลมตรงกลางกลวง (วงแหวน) สินค้ากลุ่มที่สอง มีการตีขึ้นรูปครั้งที่ 1 ตีขึ้นรูปครั้งที่ 2 ทำร่องหยาบ และตีขึ้นรูปครั้งที่ 3 ทำร่องให้ได้ขนาด จนเป็นชิ้นงานสำเร็จ ขณะนำเข้าสินค้าพิพาทมีลักษณะเป็นทรงกระบอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลดหลั่น 3 ขั้น มีการเจาะรูที่หน้าตัดด้านกว้างแต่ไม่กลวงตลอด สินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มไม่สามารถนำไปใช้งานได้ทันทีต้องนำมาผ่านกระบวนการผลิตอีกหลายขั้นตอนด้วยเครื่องจักรให้ได้ขนาดและผิวงานละเอียดจึงจะสามารถนำไปใช้งานได้ เห็นได้ว่าสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มขณะนำเข้าไม่มีลักษณะหน้าตัดตัน มีการขึ้นรูปที่มีลักษณะเฉพาะไว้แล้วไม่ต้องจัดทำรูปทรงเพิ่มเติมอย่างมาก และเมื่อเปรียบเทียบรูปทรงสินค้าพิพาทขณะนำเข้ากับเมื่อเป็นชิ้นส่วนสำเร็จรูปพร้อมใช้งานแล้วไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือเค้าโครงไปจากเดิม สินค้าพิพาทจึงไม่มีลักษณะเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปตามหมายเหตุข้อ 1 (ญ) ไม่อาจจัดอยู่ในพิกัดประเภท 72.07 ดังที่โจทก์ฎีกาได้ แม้สินค้าพิพาทจะไม่สามารถนำมาใช้งานได้ทันทีต้องผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอนก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ที่ได้อธิบายการตีความพิกัดศุลกากรข้อ 2 (ก) ของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ ว่า (1) ความตอนแรกของหลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) เป็นการขยายขอบเขตของประเภทพิกัดซึ่งระบุถึงของใด ให้คลุมถึงไม่เฉพาะของสำเร็จรูป แต่คลุมถึงของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จด้วย หากว่าในขณะนำเข้าของนั้นมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว (2) หลักเกณฑ์ข้อนี้ใช้กับของที่เพียงแต่ขึ้นรูป (แบล็งก์) ด้วย เว้นแต่จะมีประเภทพิกัดอื่นระบุไว้โดยเฉพาะ คำว่า “ของที่เพียงแต่ขึ้นรูป” หมายถึง ของที่ยังไม่พร้อมจะใช้ได้ทันทีเพียงแต่มีรูปร่างหรือเค้าโครงของของหรือส่วนประกอบที่สำเร็จแล้ว และสามารถใช้เพื่อผลิตเป็นของหรือส่วนประกอบสำเร็จรูปเท่านั้น ยกเว้นเป็นพิเศษบางกรณี ของกึ่งสำเร็จรูปที่ยังไม่มีรูปร่างอันเป็นสาระสำคัญของของสำเร็จรูป (โดยทั่วไปเช่น เป็นท่อน วงกลม หลอดหรือท่อ ฯลฯ) ไม่ถือว่าเป็น “ของที่เพียงแต่ขึ้นรูป” (3) โดยคำนึงถึงขอบเขตของประเภทต่าง ๆ ในหมวด 1 ถึง 6 หลักเกณฑ์ข้อนี้ปกติไม่ใช้กับของในหมวดดังกล่าว (4) หลายกรณีที่หลักเกณฑ์ข้อนี้คลุมถึงปรากฏอยู่ในคำอธิบายทั่วไปของหมวดหรือตอนต่างๆ (เช่น หมวด 16 และตอนที่ 61, 62, 86, 87 และ 90) เห็นได้ว่าสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มมีลักษณะเป็นของที่ขึ้นรูปมีรูปร่างหรือเค้าโครงของของหรือส่วนประกอบที่สำเร็จตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) แล้ว แม้ยังไม่พร้อมใช้งานได้ทันทีแต่ก็สามารถใช้เพื่อผลิตเป็นของหรือส่วนประกอบสำเร็จรูป โดยกระบวนการผลิตเพิ่มเติมเป็นแต่เพียงกระบวนการตกแต่งพื้นผิวชิ้นงานให้มีสภาพเหมาะสมต่อการนำไปใช้เท่านั้น สินค้าพิพาทกลุ่มที่หนึ่งขึ้นรูปเป็น Semi Piston Rack และ Forged Rack เพื่อประกอบติดตั้งเข้ากับเพลาบังคับเลี้ยวของกระปุกเกียร์พวงมาลัยในชุดบังคับล้อ (Rack and Pinion) ของระบบบังคับเลี้ยวรถยนต์กระบะทำหน้าที่เป็นลูกสูบรับแรงดันไฮดรอลิกเป็นส่วนประกอบที่ใช้เฉพาะกับกระปุกเกียร์พวงมาลัยรถยนต์ ส่วนสินค้ากลุ่มที่สองขึ้นรูปเป็น Lower Shaft และ Forged Shaft ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของเพลาล่างที่ใช้เป็นส่วนประกอบในตัว Worm Shaft สำหรับระบบบังคับเลี้ยวพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทำหน้าที่ทดกำลังและช่วยผ่อนแรงในการหมุนพวงมาลัยโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยในการหมุน โดยติดตั้งอยู่ด้านล่างสุดของชุดพวงมาลัยพาวเวอร์ ซึ่งนำไปประกอบกับเพลาพวงส่วนกลางทำหน้าที่ส่งผ่านแรงไปบังคับการเลี้ยวของชุดบังคับล้อ ประกอบกับผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสี่ถามค้านว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าไม่สามารถใช้กับผลิตภัณฑ์เครื่องจักรอื่นได้ยกเว้นรถยนต์เท่านั้น นอกจากจะออกแบบใหม่ โดยสินค้า Forged Rack เมื่อทำเป็นสำเร็จแล้วจะนำมาใช้กับรถยนต์กระบะโตโยต้าอย่างเดียว ส่วน Forged Shaft ใช้สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อโตโยต้าเฉพาะรุ่นโคโลน่ากับวีออส ซึ่งเมื่อพิจารณาพิกัดประเภท 87.08 ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามพิกัดประเภท 87.01 ถึง 87.05 ประกอบคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์พร้อมคำแปล พิกัดประเภทนี้คลุมถึงส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภทที่ 87.01 ถึง 87.05 หากส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบเป็นไปตามเงื่อนไขทั้งสองข้อดังต่อไปนี้ (1) ของดังกล่าวต้องบ่งชี้ได้ว่าเหมาะสำหรับใช้เฉพาะหรือส่วนใหญ่ใช้กับยานยนต์ที่ระบุไว้ข้างต้น และ (2) ของดังกล่าวต้องไม่ถูกห้ามโดยข้อกำหนดของหมายเหตุในหมวด 17 เมื่อสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มไม่ถูกยกเว้นด้วยหมายเหตุหมวด 17 โดยสินค้าในกลุ่มแรกเป็นส่วนประกอบที่ใช้เฉพาะกับกระปุกเกียร์พวงมาลัยรถยนต์กระบะ ซึ่งเป็นยานยนต์ตามพิกัดประเภท 87.04 จึงจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 อื่น ๆ ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภทที่ 87.01 ถึง 87.05 พวงมาลัย แกนพวงมาลัย และกระปุกเกียร์พวงมาลัย (สเตียริงบอกซ์) รวมทั้งส่วนประกอบของของดังกล่าว ส่วนสินค้าในกลุ่มที่สองเป็นส่วนประกอบของระบบบังคับเลี้ยวของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ซึ่งเป็นยานยนต์ประเภทที่ 87.03 จึงจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อย 8707.94.93 และ 8708.94.95 สำหรับยานยนต์ตามประเภทที่ 87.03 (ตามช่วงเวลานำเข้า) ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภทที่ 87.01 ถึง 87.05 พวงมาลัย แกนพวงมาลัย และกระปุกเกียร์ พวงมาลัย (สเตียริงบอกซ์) รวมทั้งส่วนประกอบของของดังกล่าว เมื่อสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 พิกัดประเภทย่อย 8708.94.93 และพิกัดประเภทย่อย 8708.94.95 จึงไม่อาจจัดเป็นของอื่น ๆ ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า ตามพิกัดประเภท 73.26 ตามที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและขอสงวนสิทธิ์ขอคืนอากรได้เนื่องจากคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์พร้อมคำแปลระบุไม่ให้คลุมถึงของที่ตีขึ้นรูปซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในประเภทพิกัดอื่นของพิกัดอัตราศุลกากรนี้ (เช่น ส่วนประกอบที่สามารถบอกได้ว่าเป็นของเครื่องจักรหรือของเครื่องใช้เชิงกล) หรือของที่ตีขึ้นรูปยังทำไม่เสร็จซึ่งต้องการการจัดทำมากไปกว่านี้ แต่มีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้ซึ่งทำเสร็จแล้ว คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของ ป.อ. มาตรา 227 ป.อ. มิได้นิยามคำว่า ผู้มีวิชาชีพไว้ จึงต้องถือตามความหมายที่ยอมรับกันโดยทั่วไปตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ซึ่งให้ความหมายของคำว่า วิชาชีพ รวมกับคำว่า วิชา หมายถึงผู้ที่มีอาชีพที่ต้องอาศัยวิชาความรู้ ความชำนาญ หรือผู้ที่มีความรู้ซึ่งอาจได้จากการเล่าเรียนโดยตรง หรือจากการทำงานอันเป็นการฝึกฝนในการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระก็ได้ กรณีจึงไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่เล่าเรียนมาโดยตรงเพื่อเป็นสถาปนิกหรือวิศวกรเท่านั้น แต่หมายรวมถึงผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญ ในการทำงานอันได้รับการฝึกฝนจากการประกอบอาชีพตามปกติด้วย เมื่อจำเลยประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างมาเป็นเวลากว่า 10 ปี จำเลยจึงเป็นผู้มีความรู้ ความชำนาญ ในการก่อสร้างซึ่งเกิดจากการทำงานรับเหมาก่อสร้างอันเป็นการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระ และเป็นผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227, 238
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสาวสิริการย์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมในฐานะส่วนตัวและภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายชัยโรจน์ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ 60,000 บาท ค่าปลงศพกับค่าใช้จ่ายในการจัดการศพผู้ตาย 100,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะ 720,000 บาท และค่าเสียหายจากการพังถล่มของบ้าน 2,050,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,930,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2562 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วม ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ร่วมเรียกร้องสูงเกินสมควร ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 ประกอบมาตรา 238 วรรคแรกและวรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้มีวิชาชีพทำการก่อสร้างอาคารไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นและเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 238 วรรคแรก ประกอบมาตรา 227 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 20 ปี และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 1,640,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันที่ 30 เมษายน 2562 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม (ที่ถูก แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามขอ) ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังยุติว่า อาคารที่เกิดเหตุอยู่ในเขตควบคุมอาคาร โจทก์ร่วมต้องขออนุญาตก่อสร้างต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น โดยยื่นแบบแปลนและรายการประกอบแบบ พร้อมสำเนาโฉนดที่ดินให้เจ้าพนักงานพิจารณา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 โจทก์ร่วมยื่นคำขออนุญาตก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยต่อองค์การบริหารส่วนตำบลอ่าวน้อย โดยแนบแบบแปลนและรายการประกอบแบบ พร้อมสำเนาโฉนดที่ดิน และได้รับใบอนุญาตก่อสร้างอาคารเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2547 โจทก์ร่วมใช้แบบแปลนและรายการประกอบแบบ ในการว่าจ้างให้จำเลยก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุในราคา 850,000 บาท จำเลยซึ่งเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างให้โจทก์ร่วมต้องก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุตามแบบแปลนที่โจทก์ร่วมได้รับใบอนุญาต จำเลยก่อสร้างจนแล้วเสร็จเมื่อประมาณปลายปี 2548 โจทก์ร่วมพร้อมครอบครัวเข้าไปอยู่อาศัยในอาคารดังกล่าว ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2562 เวลาประมาณ 18 นาฬิกา อาคารที่เกิดเหตุได้วิบัติพังทลายลงมาทั้งหลังทับบุคคลในครอบครัวของโจทก์ร่วมเป็นเหตุให้นายชัยโรจน์ สามีโจทก์ร่วมถึงแก่ความตาย โจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายสาหัส นางสาวธันย์นิชา นางสาวธันยากานต์ และเด็กหญิงริญญรัตน์ ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย อาคารที่เกิดเหตุได้รับความเสียหายทั้งหมด ชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนขอให้วิศวกรโยธาจากสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ร่วมตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ผลการตรวจพบว่าอาคารที่ก่อสร้างจริงไม่ตรงตามแบบแปลนที่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นหลายรายการ สาเหตุการพังทลายของอาคารเกิดจากการก่อสร้างตำแหน่งเสาตอม่อและการเสริมเหล็กไม่ตรงตามที่แบบแปลนกำหนด ทำให้การรับน้ำหนักของตัวอาคารเกิดความไม่สมดุลเป็นเหตุให้เกิดการวิบัติของโครงสร้างอาคารพังทลายลงมา พนักงานสอบสวนจึงหมายเรียกจำเลยมารับทราบข้อกล่าวหาและแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยว่า เป็นผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอนอาคาร ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการอันพึงกระทำเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 และต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้ให้นิยามของคำว่า “ผู้มีวิชาชีพ” ไว้ จึงต้องถือตามความหมายที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ซึ่งตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายของคำว่า “วิชาชีพ” หมายถึง วิชาที่จะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ เช่น วิชาแพทย์ วิชาช่างไม้ วิชาช่างยนต์ และคำว่า “วิชา” หมายถึง ความรู้ ความรู้ที่ได้ด้วยการเล่าเรียนหรือฝึกฝน เช่น วิชาภาษาไทย วิชาช่าง วิชาการฝีมือ ดังนั้น คำว่า “ผู้มีวิชาชีพ” จึงหมายถึง ผู้ที่มีอาชีพที่ต้องอาศัยวิชาความรู้ ความชำนาญ หรือผู้ที่มีความรู้ซึ่งอาจได้จากการเล่าเรียนโดยตรงหรือจากการทำงานอันเป็นการฝึกฝนในการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระก็ได้ ผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 จึงไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่ได้เล่าเรียนมาโดยตรงเพื่อเป็นสถาปนิกหรือวิศวกรเท่านั้น แต่หมายความรวมถึงผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญ ในการทำงานอันได้รับการฝึกฝนจากการประกอบอาชีพตามปกติด้วย ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยรู้จักกับโจทก์ร่วมมาเป็นเวลาประมาณ 20 ปี และโจทก์ร่วมทราบว่า จำเลยมีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง อีกทั้งจำเลยเป็นผู้ก่อสร้างบ้านของจำเลยซึ่งอยู่ใกล้กับที่ดินของโจทก์ร่วมที่กำลังจะสร้างบ้าน เมื่อจำเลยเสนอว่าจะเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านที่เกิดเหตุ โจทก์ร่วมจึงไว้วางใจให้จำเลยก่อสร้างบ้านให้โจทก์ร่วม ประกอบกับจำเลยประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างมาเป็นเวลากว่า 10 ปี แสดงว่า จำเลยเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการก่อสร้างซึ่งเกิดจากการทำงานรับเหมาก่อสร้างอันเป็นการฝึกฝนในการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระ จำเลยจึงเป็นผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยในส่วนนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า อาคารที่เกิดเหตุพังทลายลงเพราะการกระทำของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า นายสุวัฒน์มีตำแหน่งวิศวกรโยธาชำนาญการพิเศษ สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับกรณีอาคารที่เกิดเหตุพังทลายลง โดยร่วมตรวจสอบอาคารที่เกิดเหตุกับพนักงานสอบสวน และจัดทำผลการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งไม่มีข้อพิรุธให้สงสัยว่าจะช่วยเหลือหรือปรักปรำฝ่ายใด ผลการตรวจสอบและทำความเห็นของนายสุวัฒน์ได้ความว่าอาคารที่เกิดเหตุมีการก่อสร้างจริงบางส่วนไม่ตรงตามแบบแปลนที่ได้รับใบอนุญาต ดังที่ปรากฏข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบในข้อ 4.1 ถึง 4.5 ตามเอกสารดังกล่าวข้างต้น ฟังได้ว่านายสุวัฒน์เบิกความตามข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบมา การตรวจสอบของนายสุวัฒน์ถือได้ว่าเป็นการนำหลักวิชาการทางด้านวิศวกรรมก่อสร้างมาใช้ตรวจสอบอาคารที่เกิดเหตุหาสาเหตุที่พังทลายลงมิใช่นำเพียงพยานหลักฐานและพยานบุคคลที่ปรากฏในสำนวนชั้นสอบสวนมาตัดสินว่าสิ่งใดจริงหรือเท็จตามที่จำเลยฎีกา ประกอบกับจำเลยฎีการับว่ามีการก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุไม่ตรงตามแบบแปลนและรายการประกอบ คำเบิกความของนายสุวัฒน์มีน้ำหนักรับฟังได้ ที่จำเลยฎีกาว่า อาคารที่เกิดเหตุพังทลายลง เพราะสภาพที่ดินมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ด้านทิศใต้มีร่องน้ำเหนือท่อน้ำลอดผ่าน ก่อนที่จะก่อสร้างโจทก์ร่วมไม่ได้ถมดิน และแจ้งให้จำเลยก่อสร้างแบบใช้คานลอย สาเหตุที่ทำให้อาคารที่เกิดเหตุถล่มพังทลายลงจึงมิใช่เพราะการก่อสร้างไม่ตรงตามแบบแปลนตามที่นายสุวัฒน์เบิกความ แต่มีสาเหตุตามเหตุผลของนายประกิตติ ที่ว่า อาคารที่เกิดเหตุสร้างอยู่ในพื้นที่ที่ไม่เสมอกัน จึงมีการเลื่อนไถลของพื้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของอาคาร ทำให้โครงสร้างพังลง มีฐานรากที่แช่น้ำเป็นเวลานานเช่นบริเวณห้องน้ำอาจเกิดการพังทลายของดิน ทำให้ฐานรากเคลื่อนตัว และดึงโครงสร้างทั้งหมดพังลง การก่อสร้างที่ไม่ตรงตามแบบที่ได้รับใบอนุญาตเป็นความผิดพลาดในเกณฑ์ปกติซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ และไม่ถึงกับทำให้อาคารทั้งหลังพังทลายลงมา เห็นว่า เมื่อจำเลยเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุ ย่อมทราบดีว่าหากจะเริ่มก่อสร้างต้องตรวจดูสภาพพื้นที่จริงและแบบแปลนที่จะใช้ก่อสร้างว่า สภาพที่ดินมีลักษณะตรงตามแบบแปลนหรือไม่ และหากยังมีเรื่องใดที่ทำให้ที่ดินยังไม่มีความสมบูรณ์ปลอดภัยพร้อมจะก่อสร้างให้ถูกต้องตรงตามแบบแปลน จำเลยต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นเสียก่อน รวมทั้งวัสดุที่จะใช้ในการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นปูน เหล็ก และวัสดุอื่น ๆ ต้องใช้ให้ได้ขนาดตามที่แบบแปลนกำหนดไว้ เพราะโจทก์ร่วมได้รับใบอนุญาตให้ก่อสร้างตามแบบแปลนที่เจ้าพนักงานพิจารณาแล้ว ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัยและผู้อื่น สำหรับปัญหาที่ว่าการก่อสร้างที่ผิดแบบแปลนจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อาคารที่เกิดเหตุถล่มพังลงหรือไม่นั้น นายสุวัฒน์ให้ความเห็นว่า กรณีไม่มีการถมดิน แล้วผู้ก่อสร้างใช้แผ่นพื้นสำเร็จรูปวางบนคาน น้ำหนักจะลงที่คานแล้วถ่ายน้ำหนักลงไปที่เสาตอม่อ แต่การเทพื้นคอนกรีตบนพื้นดินจะทำให้น้ำหนักลงไปที่พื้นดิน และยังเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า หากพื้นที่ก่อสร้างมีความสูงต่ำไม่เท่ากัน ก็นำแบบแปลนและรายการประกอบแบบมาใช้ในการก่อสร้างไม่ได้ แต่ก็มีวิธีแก้ไขคือ การถมดินให้แน่น หรือเขียนแบบใหม่โดยแก้ไขแบบให้มีคานคอดินรับน้ำหนักบริเวณพื้นดินอีกชั้น แต่จำเลยทำการก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุโดยไม่ได้ดำเนินการแก้ไขใด ๆ จำเลยนำสืบอ้างว่าโจทก์ร่วมให้ก่อสร้างได้เลย นายสุวัฒน์ตรวจสอบสาเหตุต่าง ๆ ที่อาจจะมีผลทำให้อาคารที่เกิดเหตุพังทลายลงไว้อย่างครบถ้วน รวมถึงอธิบายชี้แจงได้ว่า บริเวณก่อสร้างจริงไม่มีการถมดินไว้ ก็ทำให้ผู้ก่อสร้างใช้วิธีเทพื้นคอนกรีตตามที่กำหนดไว้ในแบบแปลนไม่ได้ และใช้วิธีวางแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปซึ่งมีน้ำหนักเกินกว่าปกติ เมื่อวางบนคานก็มีผลให้น้ำหนักแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปลงไปที่คานแล้วถ่ายน้ำหนักลงไปที่เสาตอม่อ และพบข้อเท็จจริงว่าคานคอดินใช้เหล็กเส้นในคานคอดินน้อยกว่าในแบบที่ได้รับใบอนุญาตโดยปรากฏตามเอกสารว่าคานคอดินที่เป็นส่วนฐานรากรับน้ำหนักอาคาร (GB2) ตามแบบระบุเสริมเหล็กแกนคานขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 19 มิลลิเมตร จำนวน 10 เส้น แต่ตามข้อเท็จจริงพบว่าคานดังกล่าวซึ่งรับพื้นสำเร็จรูปด้านหน้าอาคารมีเหล็กแกนคานขนาดเพียง 9.25 มิลลิเมตร ต่างกันถึง 10 มิลลิเมตร และมีเพียง 4 เส้น เทียบกับแบบต้องมี 8 ถึง 11 เส้น เหตุที่อาคารวิบัติเนื่องจากเสาตอม่อรับน้ำหนักไม่ไหว ทำให้เสาตอม่อซึ่งตั้งอยู่บริเวณขอบของฐานรากวิบัติไปทางด้านที่ไม่มีการถมดินไว้ ส่วนบริเวณห้องน้ำที่ขุดเสาตอม่อขึ้นมาตรวจสอบนั้น พบว่าเสาตอม่อทรุดไม่มากถึงขั้นวิกฤต และไม่มีน้ำขัง ขุดพื้นดินตรวจสอบฐานรากไม่พบความชื้นผิดปกติและไม่พบน้ำตามที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด ส่วนนายประกิตติเป็นเพียงพยานจำเลยที่มาเบิกความโดยไม่ได้ตรวจสภาพอาคารที่เกิดเหตุ การให้ความเห็นพิจารณาจากเอกสารของจำเลยเท่านั้น จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างเหตุผลการตรวจสอบของนายสุวัฒน์ได้ ทั้งคำเบิกความบางส่วนยังเบิกความเจือสมกับนายสุวัฒน์ว่าอาคารที่เกิดเหตุไม่ได้ก่อสร้างบนพื้นดิน และมีความยาวของเสาตอม่อมากกว่าที่ขออนุญาต การก่อสร้างอาคารในลักษณะนี้ทำให้คานและเสาต้องรับน้ำหนักมากขึ้น และไม่เฉพาะแต่วิธีการก่อสร้างเท่านั้นที่ผิดจากแบบแปลน แต่นายสุวัฒน์ยังตรวจสอบพบว่าจำเลยใช้วัสดุในการก่อสร้างไม่ตรงตามที่กำหนดในแบบแปลนหลายรายการ โดยเฉพาะวัสดุที่ใช้เพื่อความแข็งแรงในการรับน้ำหนักโครงสร้างเช่นเหล็ก โดยจำเลยเลือกใช้เหล็กให้มีขนาดเล็กลง จำนวนน้อยลง และยังเพิ่มระยะที่ใช้เหล็กให้ห่างมากขึ้น ข้อกำหนดในการออกแบบต้องมีทั้งเหล็กยืนและเหล็กปลอก เพราะส่งผลต่อความแข็งแรงของอาคารคือถ้าเหล็กปลอกมีความถี่มากเท่าใดยิ่งรับน้ำหนักได้มากขึ้นเท่านั้น พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาจึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุไม่ตรงตามแบบแปลนและรายการประกอบแบบที่โจทก์ร่วมได้รับใบอนุญาตให้ก่อสร้างหลายรายการ ดังที่นายสุวัฒน์ตรวจสอบและระบุรายการก่อสร้างที่ไม่ตรงตามแบบแปลนไว้ ซึ่งเป็นสาเหตุการพังทลายของอาคารที่เกิดเหตุ มิใช่เป็นเพียงความผิดพลาดในเกณฑ์ปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ตามที่จำเลยฎีกา ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ร่วมมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายเพราะจำเลยและช่างก่อสร้างของจำเลยแนะนำให้โจทก์ร่วมถมดินก่อน แต่โจทก์ร่วมแจ้งให้ก่อสร้างต่อไป และไม่ให้แก้ไขแบบพราะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกนั้น เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนให้รับฟังได้เช่นนั้น จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายตามที่จำเลยฎีกา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลย เพราะไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงผลคดีที่วินิจฉัยมาข้างต้น และที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมนั้น เห็นว่า เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ทางนำสืบจำเลยบางส่วนได้ความเจือสมพยานโจทก์และโจทก์ร่วม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ เห็นควรลดโทษให้จำเลยในส่วนนี้
พิพากษาแก้เป็นว่า ทางนำสืบจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 15 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของ ป.อ. มาตรา 227 ป.อ. มิได้นิยามคำว่า ผู้มีวิชาชีพไว้ จึงต้องถือตามความหมายที่ยอมรับกันโดยทั่วไปตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ซึ่งให้ความหมายของคำว่า วิชาชีพ รวมกับคำว่า วิชา หมายถึงผู้ที่มีอาชีพที่ต้องอาศัยวิชาความรู้ ความชำนาญ หรือผู้ที่มีความรู้ซึ่งอาจได้จากการเล่าเรียนโดยตรง หรือจากการทำงานอันเป็นการฝึกฝนในการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระก็ได้ กรณีจึงไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่เล่าเรียนมาโดยตรงเพื่อเป็นสถาปนิกหรือวิศวกรเท่านั้น แต่หมายรวมถึงผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญ ในการทำงานอันได้รับการฝึกฝนจากการประกอบอาชีพตามปกติด้วย เมื่อจำเลยประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างมาเป็นเวลากว่า 10 ปี จำเลยจึงเป็นผู้มีความรู้ ความชำนาญ ในการก่อสร้างซึ่งเกิดจากการทำงานรับเหมาก่อสร้างอันเป็นการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระ และเป็นผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227, 238
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสาวสิริการย์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมในฐานะส่วนตัวและภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายชัยโรจน์ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ 60,000 บาท ค่าปลงศพกับค่าใช้จ่ายในการจัดการศพผู้ตาย 100,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะ 720,000 บาท และค่าเสียหายจากการพังถล่มของบ้าน 2,050,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,930,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2562 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วม ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ร่วมเรียกร้องสูงเกินสมควร ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 ประกอบมาตรา 238 วรรคแรกและวรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้มีวิชาชีพทำการก่อสร้างอาคารไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นและเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 238 วรรคแรก ประกอบมาตรา 227 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 20 ปี และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 1,640,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันที่ 30 เมษายน 2562 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม (ที่ถูก แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามขอ) ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังยุติว่า อาคารที่เกิดเหตุอยู่ในเขตควบคุมอาคาร โจทก์ร่วมต้องขออนุญาตก่อสร้างต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น โดยยื่นแบบแปลนและรายการประกอบแบบ พร้อมสำเนาโฉนดที่ดินให้เจ้าพนักงานพิจารณา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 โจทก์ร่วมยื่นคำขออนุญาตก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยต่อองค์การบริหารส่วนตำบลอ่าวน้อย โดยแนบแบบแปลนและรายการประกอบแบบ พร้อมสำเนาโฉนดที่ดิน และได้รับใบอนุญาตก่อสร้างอาคารเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2547 โจทก์ร่วมใช้แบบแปลนและรายการประกอบแบบ ในการว่าจ้างให้จำเลยก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุในราคา 850,000 บาท จำเลยซึ่งเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างให้โจทก์ร่วมต้องก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุตามแบบแปลนที่โจทก์ร่วมได้รับใบอนุญาต จำเลยก่อสร้างจนแล้วเสร็จเมื่อประมาณปลายปี 2548 โจทก์ร่วมพร้อมครอบครัวเข้าไปอยู่อาศัยในอาคารดังกล่าว ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2562 เวลาประมาณ 18 นาฬิกา อาคารที่เกิดเหตุได้วิบัติพังทลายลงมาทั้งหลังทับบุคคลในครอบครัวของโจทก์ร่วมเป็นเหตุให้นายชัยโรจน์ สามีโจทก์ร่วมถึงแก่ความตาย โจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายสาหัส นางสาวธันย์นิชา นางสาวธันยากานต์ และเด็กหญิงริญญรัตน์ ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย อาคารที่เกิดเหตุได้รับความเสียหายทั้งหมด ชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนขอให้วิศวกรโยธาจากสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ร่วมตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ผลการตรวจพบว่าอาคารที่ก่อสร้างจริงไม่ตรงตามแบบแปลนที่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นหลายรายการ สาเหตุการพังทลายของอาคารเกิดจากการก่อสร้างตำแหน่งเสาตอม่อและการเสริมเหล็กไม่ตรงตามที่แบบแปลนกำหนด ทำให้การรับน้ำหนักของตัวอาคารเกิดความไม่สมดุลเป็นเหตุให้เกิดการวิบัติของโครงสร้างอาคารพังทลายลงมา พนักงานสอบสวนจึงหมายเรียกจำเลยมารับทราบข้อกล่าวหาและแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยว่า เป็นผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอนอาคาร ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการอันพึงกระทำเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 และต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้ให้นิยามของคำว่า “ผู้มีวิชาชีพ” ไว้ จึงต้องถือตามความหมายที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ซึ่งตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายของคำว่า “วิชาชีพ” หมายถึง วิชาที่จะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ เช่น วิชาแพทย์ วิชาช่างไม้ วิชาช่างยนต์ และคำว่า “วิชา” หมายถึง ความรู้ ความรู้ที่ได้ด้วยการเล่าเรียนหรือฝึกฝน เช่น วิชาภาษาไทย วิชาช่าง วิชาการฝีมือ ดังนั้น คำว่า “ผู้มีวิชาชีพ” จึงหมายถึง ผู้ที่มีอาชีพที่ต้องอาศัยวิชาความรู้ ความชำนาญ หรือผู้ที่มีความรู้ซึ่งอาจได้จากการเล่าเรียนโดยตรงหรือจากการทำงานอันเป็นการฝึกฝนในการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระก็ได้ ผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 จึงไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่ได้เล่าเรียนมาโดยตรงเพื่อเป็นสถาปนิกหรือวิศวกรเท่านั้น แต่หมายความรวมถึงผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญ ในการทำงานอันได้รับการฝึกฝนจากการประกอบอาชีพตามปกติด้วย ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยรู้จักกับโจทก์ร่วมมาเป็นเวลาประมาณ 20 ปี และโจทก์ร่วมทราบว่า จำเลยมีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง อีกทั้งจำเลยเป็นผู้ก่อสร้างบ้านของจำเลยซึ่งอยู่ใกล้กับที่ดินของโจทก์ร่วมที่กำลังจะสร้างบ้าน เมื่อจำเลยเสนอว่าจะเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านที่เกิดเหตุ โจทก์ร่วมจึงไว้วางใจให้จำเลยก่อสร้างบ้านให้โจทก์ร่วม ประกอบกับจำเลยประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างมาเป็นเวลากว่า 10 ปี แสดงว่า จำเลยเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการก่อสร้างซึ่งเกิดจากการทำงานรับเหมาก่อสร้างอันเป็นการฝึกฝนในการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระ จำเลยจึงเป็นผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยในส่วนนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า อาคารที่เกิดเหตุพังทลายลงเพราะการกระทำของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า นายสุวัฒน์มีตำแหน่งวิศวกรโยธาชำนาญการพิเศษ สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับกรณีอาคารที่เกิดเหตุพังทลายลง โดยร่วมตรวจสอบอาคารที่เกิดเหตุกับพนักงานสอบสวน และจัดทำผลการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งไม่มีข้อพิรุธให้สงสัยว่าจะช่วยเหลือหรือปรักปรำฝ่ายใด ผลการตรวจสอบและทำความเห็นของนายสุวัฒน์ได้ความว่าอาคารที่เกิดเหตุมีการก่อสร้างจริงบางส่วนไม่ตรงตามแบบแปลนที่ได้รับใบอนุญาต ดังที่ปรากฏข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบในข้อ 4.1 ถึง 4.5 ตามเอกสารดังกล่าวข้างต้น ฟังได้ว่านายสุวัฒน์เบิกความตามข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบมา การตรวจสอบของนายสุวัฒน์ถือได้ว่าเป็นการนำหลักวิชาการทางด้านวิศวกรรมก่อสร้างมาใช้ตรวจสอบอาคารที่เกิดเหตุหาสาเหตุที่พังทลายลงมิใช่นำเพียงพยานหลักฐานและพยานบุคคลที่ปรากฏในสำนวนชั้นสอบสวนมาตัดสินว่าสิ่งใดจริงหรือเท็จตามที่จำเลยฎีกา ประกอบกับจำเลยฎีการับว่ามีการก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุไม่ตรงตามแบบแปลนและรายการประกอบ คำเบิกความของนายสุวัฒน์มีน้ำหนักรับฟังได้ ที่จำเลยฎีกาว่า อาคารที่เกิดเหตุพังทลายลง เพราะสภาพที่ดินมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ด้านทิศใต้มีร่องน้ำเหนือท่อน้ำลอดผ่าน ก่อนที่จะก่อสร้างโจทก์ร่วมไม่ได้ถมดิน และแจ้งให้จำเลยก่อสร้างแบบใช้คานลอย สาเหตุที่ทำให้อาคารที่เกิดเหตุถล่มพังทลายลงจึงมิใช่เพราะการก่อสร้างไม่ตรงตามแบบแปลนตามที่นายสุวัฒน์เบิกความ แต่มีสาเหตุตามเหตุผลของนายประกิตติ ที่ว่า อาคารที่เกิดเหตุสร้างอยู่ในพื้นที่ที่ไม่เสมอกัน จึงมีการเลื่อนไถลของพื้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของอาคาร ทำให้โครงสร้างพังลง มีฐานรากที่แช่น้ำเป็นเวลานานเช่นบริเวณห้องน้ำอาจเกิดการพังทลายของดิน ทำให้ฐานรากเคลื่อนตัว และดึงโครงสร้างทั้งหมดพังลง การก่อสร้างที่ไม่ตรงตามแบบที่ได้รับใบอนุญาตเป็นความผิดพลาดในเกณฑ์ปกติซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ และไม่ถึงกับทำให้อาคารทั้งหลังพังทลายลงมา เห็นว่า เมื่อจำเลยเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุ ย่อมทราบดีว่าหากจะเริ่มก่อสร้างต้องตรวจดูสภาพพื้นที่จริงและแบบแปลนที่จะใช้ก่อสร้างว่า สภาพที่ดินมีลักษณะตรงตามแบบแปลนหรือไม่ และหากยังมีเรื่องใดที่ทำให้ที่ดินยังไม่มีความสมบูรณ์ปลอดภัยพร้อมจะก่อสร้างให้ถูกต้องตรงตามแบบแปลน จำเลยต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นเสียก่อน รวมทั้งวัสดุที่จะใช้ในการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นปูน เหล็ก และวัสดุอื่น ๆ ต้องใช้ให้ได้ขนาดตามที่แบบแปลนกำหนดไว้ เพราะโจทก์ร่วมได้รับใบอนุญาตให้ก่อสร้างตามแบบแปลนที่เจ้าพนักงานพิจารณาแล้ว ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัยและผู้อื่น สำหรับปัญหาที่ว่าการก่อสร้างที่ผิดแบบแปลนจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อาคารที่เกิดเหตุถล่มพังลงหรือไม่นั้น นายสุวัฒน์ให้ความเห็นว่า กรณีไม่มีการถมดิน แล้วผู้ก่อสร้างใช้แผ่นพื้นสำเร็จรูปวางบนคาน น้ำหนักจะลงที่คานแล้วถ่ายน้ำหนักลงไปที่เสาตอม่อ แต่การเทพื้นคอนกรีตบนพื้นดินจะทำให้น้ำหนักลงไปที่พื้นดิน และยังเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า หากพื้นที่ก่อสร้างมีความสูงต่ำไม่เท่ากัน ก็นำแบบแปลนและรายการประกอบแบบมาใช้ในการก่อสร้างไม่ได้ แต่ก็มีวิธีแก้ไขคือ การถมดินให้แน่น หรือเขียนแบบใหม่โดยแก้ไขแบบให้มีคานคอดินรับน้ำหนักบริเวณพื้นดินอีกชั้น แต่จำเลยทำการก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุโดยไม่ได้ดำเนินการแก้ไขใด ๆ จำเลยนำสืบอ้างว่าโจทก์ร่วมให้ก่อสร้างได้เลย นายสุวัฒน์ตรวจสอบสาเหตุต่าง ๆ ที่อาจจะมีผลทำให้อาคารที่เกิดเหตุพังทลายลงไว้อย่างครบถ้วน รวมถึงอธิบายชี้แจงได้ว่า บริเวณก่อสร้างจริงไม่มีการถมดินไว้ ก็ทำให้ผู้ก่อสร้างใช้วิธีเทพื้นคอนกรีตตามที่กำหนดไว้ในแบบแปลนไม่ได้ และใช้วิธีวางแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปซึ่งมีน้ำหนักเกินกว่าปกติ เมื่อวางบนคานก็มีผลให้น้ำหนักแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปลงไปที่คานแล้วถ่ายน้ำหนักลงไปที่เสาตอม่อ และพบข้อเท็จจริงว่าคานคอดินใช้เหล็กเส้นในคานคอดินน้อยกว่าในแบบที่ได้รับใบอนุญาตโดยปรากฏตามเอกสารว่าคานคอดินที่เป็นส่วนฐานรากรับน้ำหนักอาคาร (GB2) ตามแบบระบุเสริมเหล็กแกนคานขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 19 มิลลิเมตร จำนวน 10 เส้น แต่ตามข้อเท็จจริงพบว่าคานดังกล่าวซึ่งรับพื้นสำเร็จรูปด้านหน้าอาคารมีเหล็กแกนคานขนาดเพียง 9.25 มิลลิเมตร ต่างกันถึง 10 มิลลิเมตร และมีเพียง 4 เส้น เทียบกับแบบต้องมี 8 ถึง 11 เส้น เหตุที่อาคารวิบัติเนื่องจากเสาตอม่อรับน้ำหนักไม่ไหว ทำให้เสาตอม่อซึ่งตั้งอยู่บริเวณขอบของฐานรากวิบัติไปทางด้านที่ไม่มีการถมดินไว้ ส่วนบริเวณห้องน้ำที่ขุดเสาตอม่อขึ้นมาตรวจสอบนั้น พบว่าเสาตอม่อทรุดไม่มากถึงขั้นวิกฤต และไม่มีน้ำขัง ขุดพื้นดินตรวจสอบฐานรากไม่พบความชื้นผิดปกติและไม่พบน้ำตามที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด ส่วนนายประกิตติเป็นเพียงพยานจำเลยที่มาเบิกความโดยไม่ได้ตรวจสภาพอาคารที่เกิดเหตุ การให้ความเห็นพิจารณาจากเอกสารของจำเลยเท่านั้น จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างเหตุผลการตรวจสอบของนายสุวัฒน์ได้ ทั้งคำเบิกความบางส่วนยังเบิกความเจือสมกับนายสุวัฒน์ว่าอาคารที่เกิดเหตุไม่ได้ก่อสร้างบนพื้นดิน และมีความยาวของเสาตอม่อมากกว่าที่ขออนุญาต การก่อสร้างอาคารในลักษณะนี้ทำให้คานและเสาต้องรับน้ำหนักมากขึ้น และไม่เฉพาะแต่วิธีการก่อสร้างเท่านั้นที่ผิดจากแบบแปลน แต่นายสุวัฒน์ยังตรวจสอบพบว่าจำเลยใช้วัสดุในการก่อสร้างไม่ตรงตามที่กำหนดในแบบแปลนหลายรายการ โดยเฉพาะวัสดุที่ใช้เพื่อความแข็งแรงในการรับน้ำหนักโครงสร้างเช่นเหล็ก โดยจำเลยเลือกใช้เหล็กให้มีขนาดเล็กลง จำนวนน้อยลง และยังเพิ่มระยะที่ใช้เหล็กให้ห่างมากขึ้น ข้อกำหนดในการออกแบบต้องมีทั้งเหล็กยืนและเหล็กปลอก เพราะส่งผลต่อความแข็งแรงของอาคารคือถ้าเหล็กปลอกมีความถี่มากเท่าใดยิ่งรับน้ำหนักได้มากขึ้นเท่านั้น พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาจึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุไม่ตรงตามแบบแปลนและรายการประกอบแบบที่โจทก์ร่วมได้รับใบอนุญาตให้ก่อสร้างหลายรายการ ดังที่นายสุวัฒน์ตรวจสอบและระบุรายการก่อสร้างที่ไม่ตรงตามแบบแปลนไว้ ซึ่งเป็นสาเหตุการพังทลายของอาคารที่เกิดเหตุ มิใช่เป็นเพียงความผิดพลาดในเกณฑ์ปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ตามที่จำเลยฎีกา ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ร่วมมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายเพราะจำเลยและช่างก่อสร้างของจำเลยแนะนำให้โจทก์ร่วมถมดินก่อน แต่โจทก์ร่วมแจ้งให้ก่อสร้างต่อไป และไม่ให้แก้ไขแบบพราะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกนั้น เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนให้รับฟังได้เช่นนั้น จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายตามที่จำเลยฎีกา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลย เพราะไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงผลคดีที่วินิจฉัยมาข้างต้น และที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมนั้น เห็นว่า เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ทางนำสืบจำเลยบางส่วนได้ความเจือสมพยานโจทก์และโจทก์ร่วม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ เห็นควรลดโทษให้จำเลยในส่วนนี้
พิพากษาแก้เป็นว่า ทางนำสืบจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 15 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 19 (4/2) เป็นกฎหมายพิเศษบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยการกระทำความผิดที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย อันเป็นการขัดหรือแย้งกับ ป.วิ.อ. มาตรา 20 ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไป จึงทำให้โจทก์มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยความผิดที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 ลงโทษจำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์มีฐานะเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชน จำกัด มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เกินกว่าร้อยละ 50 มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม ตามหนังสือรับรองกระทรวงคมนาคม ที่ คค 0206/414 ลงวันที่ 19 มกราคม 2552 มีวัตถุประสงค์ทำการขนส่งคน สิ่งของและไปรษณียภัณฑ์ทางอากาศและกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน มีคณะกรรมการบริษัทเป็นผู้มีอำนาจดำเนินกิจการและมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลอื่นใดให้ดำเนินกิจการของบริษัทภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการหรือมอบอำนาจเพื่อให้บุคคลดังกล่าวมีอำนาจตามที่คณะกรรมการเห็นสมควรเพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่ของคณะกรรมการ ขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และได้รับแต่งตั้งจากประธานกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 จำเลย และนางจารุวรรณ ภริยาจำเลยเดินทางโดยสารเครื่องบินของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เที่ยวบินที่ TG 677 เส้นทางโตเกียว – กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนางพิมใจ เดินทางโดยสารเครื่องบินเที่ยวเดียวกันนี้มาด้วย พนักงานรับแจ้งการเดินทางออกใบขนสัมภาระของจำเลย นางจารุวรรณ และนางพิมใจรวมเข้าด้วยกันในนามของนางจารุวรรณ โดยระบุจำนวนสัมภาระ 30 ชิ้น น้ำหนักรวม 398 กิโลกรัม ต่อมามีผู้ร้องเรียนเรื่องดังกล่าว ประธานกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ผลการสอบข้อเท็จจริงคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงสรุปว่าจำเลยขนสัมภาระเกินสิทธิจำนวน 228 กิโลกรัม โดยไม่ได้รับการอนุมัติน้ำหนักส่วนที่เกินสิทธิ ทำให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลย นางจารุวรรณ และนางพิมใจ ร่วมกันชำระค่าระวางขนส่งสัมภาระตามน้ำหนักส่วนที่เกินสิทธิ คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โจทก์มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีที่มีการกล่าวหาว่าจำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต ขนสัมภาระเกินสิทธิขึ้นเครื่องบิน ณ สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น โดยสั่งการให้นายกุศล แก้ไขตัวเลขน้ำหนักสัมภาระ ทำให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย คณะอนุกรรมการไต่สวนแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยมีมูลความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 โจทก์มีมติเห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไต่สวนดังกล่าวจึงส่งรายงาน สำนวนการไต่สวนและเอกสารหลักฐานเพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องจำเลย แต่อัยการสูงสุดเห็นว่าสำนวนการไต่สวนยังไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยได้ หลังจากมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่วมกันแล้ว ไม่อาจหาข้อยุติได้ โจทก์จึงยื่นฟ้องคดีเอง ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า การกระทำที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดคดีนี้ เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร การสอบสวนจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 ที่บัญญัติให้อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ด้วยตนเองโดยอัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนไม่ได้เป็นพนักงานสอบสวน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 19 (4/2) ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยการกระทำความผิดที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย อันเป็นการขัดหรือแย้งกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไป จึงทำให้โจทก์มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยความผิดที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรได้ ทั้งตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดวิธีการดำเนินคดีที่แตกต่างจากการดำเนินคดีอาญาโดยทั่วไป เมื่อโจทก์ส่งรายงาน เอกสารและความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อให้ฟ้องคดี แต่อัยการสูงสุดเห็นว่าสำนวนการไต่สวนยังไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยได้ หลังจากมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่วมกันแล้ว ไม่อาจหาข้อยุติได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 วรรคสาม
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า นายกุศลเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลย ไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ได้ให้การในทำนองเดียวกันนี้มาโดยตลอด ทั้งยังมีเอกสารหลักฐานการแก้ไขน้ำหนักสัมภาระมาแสดงยืนยัน นอกจากนี้ยังปรากฏว่าจำเลยเคยมีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวต่อประธานกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าขณะที่จำเลยเข้าเช็คอินมีเจ้าหน้าที่ของวัดปากน้ำญี่ปุ่นได้ขอความอนุเคราะห์จากจำเลยในการฝากผลไม้และอาหารแห้งที่ญาติโยมขอให้นำไปถวายสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ กรุงเทพมหานคร จำเลยจึงรับฝากของดังกล่าว และจำเลยเคยให้การต่อคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าเมื่อจำเลยเข้าเช็คอินได้พบกับนางพิมใจ นางพิมใจบอกว่ามีของฝากวัดปากน้ำญี่ปุ่นขอให้นำไปด้วยได้หรือไม่ จำเลยตอบว่าเอาไปด้วยก็ได้ ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับคำให้การและคำเบิกความของนายกุศล คำให้การและคำเบิกความของนายกุศลจึงมิใช่เป็นคำให้การและคำเบิกความเพียงลอย ๆ เมื่อโจทก์มีนายกุศลซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงตามคำให้การเช่นนี้แล้ว แม้โจทก์ไม่ได้สอบปากคำนายเก่งเป็นพยานไว้ในชั้นไต่สวนข้อเท็จจริงและไม่ได้นำนายเก่งมาเบิกความเป็นพยานก็หามีผลทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ต้องเสียไปหรือขาดน้ำหนักในการรับฟังแต่อย่างใดไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยรู้เห็นยินยอมให้นางพิมใจนำสัมภาระของนางพิมใจมาชั่งน้ำหนักรวมกัน (Pool check) กับสัมภาระของจำเลยและภริยา การที่นายกุศลถามจำเลยเรื่องน้ำหนักสัมภาระว่าจะให้ทำอย่างไร จำเลยบอกให้แก้ไขให้ด้วย แสดงว่าจำเลยต้องทราบแล้วว่าสัมภาระทั้งหมด 30 ชิ้น มีน้ำหนักรวม 398 กิโลกรัม เกินกว่าจำนวนน้ำหนักสัมภาระที่จำเลย ภริยาจำเลยและนางพิมใจมีสิทธิได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าระวางสัมภาระ จำเลยต้องเสียค่าระวางในส่วนของน้ำหนักสัมภาระที่เกินนั้น จำเลยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ มีอำนาจหน้าที่กำกับ ดูแล การปฏิบัติงานของฝ่ายบริหารให้เป็นไปตามกลยุทธ์ นโยบาย แผนวิสาหกิจ แผนปฏิบัติการของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และต้องรักษาผลประโยชน์ของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ภาระหน้าที่นี้คงมีอยู่ตลอดเวลาจนกว่าจะพ้นจากตำแหน่ง การเดินทางในเที่ยวบินดังกล่าวจำเลยจะไปในฐานะส่วนตัวหรือไม่จึงไม่ใช่ข้อสาระสำคัญ การที่จำเลยสั่งให้นายกุศลซึ่งเป็นพนักงานผู้บริหารมีหน้าที่เรียกเก็บค่าระวางสัมภาระให้แก้ไขน้ำหนักสัมภาระเพื่อละเว้นไม่เรียกเก็บค่าระวางสัมภาระตามระเบียบ มีผลทำให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ขาดรายได้จากค่าระวางสัมภาระที่ควรจะได้รับ ซึ่งเท่ากับว่าจำเลยไม่ได้กำกับ ดูแล การปฏิบัติงานของฝ่ายบริหารให้เป็นไปตามนโยบายของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ตามหน้าที่ของตน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า จำเลยกระทำไปเพื่อช่วยเหลืออนุเคราะห์เป็นประโยชน์แก่ทางวัด มิได้มุ่งหวังหาผลประโยชน์ทางธุรกิจแก่ตนเองหรือผู้อื่นประกอบกับจำเลยเป็นผู้สูงอายุอยู่ในวัยชรา จึงสมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตนเป็นพลเมืองดี
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 จำคุก 2 ปี และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 (ที่แก้ไขใหม่)
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 19 (4/2) เป็นกฎหมายพิเศษบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยการกระทำความผิดที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย อันเป็นการขัดหรือแย้งกับ ป.วิ.อ. มาตรา 20 ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไป จึงทำให้โจทก์มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยความผิดที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 ลงโทษจำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์มีฐานะเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชน จำกัด มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เกินกว่าร้อยละ 50 มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม ตามหนังสือรับรองกระทรวงคมนาคม ที่ คค 0206/414 ลงวันที่ 19 มกราคม 2552 มีวัตถุประสงค์ทำการขนส่งคน สิ่งของและไปรษณียภัณฑ์ทางอากาศและกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน มีคณะกรรมการบริษัทเป็นผู้มีอำนาจดำเนินกิจการและมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลอื่นใดให้ดำเนินกิจการของบริษัทภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการหรือมอบอำนาจเพื่อให้บุคคลดังกล่าวมีอำนาจตามที่คณะกรรมการเห็นสมควรเพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่ของคณะกรรมการ ขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และได้รับแต่งตั้งจากประธานกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 จำเลย และนางจารุวรรณ ภริยาจำเลยเดินทางโดยสารเครื่องบินของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เที่ยวบินที่ TG 677 เส้นทางโตเกียว – กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนางพิมใจ เดินทางโดยสารเครื่องบินเที่ยวเดียวกันนี้มาด้วย พนักงานรับแจ้งการเดินทางออกใบขนสัมภาระของจำเลย นางจารุวรรณ และนางพิมใจรวมเข้าด้วยกันในนามของนางจารุวรรณ โดยระบุจำนวนสัมภาระ 30 ชิ้น น้ำหนักรวม 398 กิโลกรัม ต่อมามีผู้ร้องเรียนเรื่องดังกล่าว ประธานกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ผลการสอบข้อเท็จจริงคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงสรุปว่าจำเลยขนสัมภาระเกินสิทธิจำนวน 228 กิโลกรัม โดยไม่ได้รับการอนุมัติน้ำหนักส่วนที่เกินสิทธิ ทำให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลย นางจารุวรรณ และนางพิมใจ ร่วมกันชำระค่าระวางขนส่งสัมภาระตามน้ำหนักส่วนที่เกินสิทธิ คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โจทก์มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีที่มีการกล่าวหาว่าจำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต ขนสัมภาระเกินสิทธิขึ้นเครื่องบิน ณ สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น โดยสั่งการให้นายกุศล แก้ไขตัวเลขน้ำหนักสัมภาระ ทำให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย คณะอนุกรรมการไต่สวนแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยมีมูลความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 โจทก์มีมติเห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไต่สวนดังกล่าวจึงส่งรายงาน สำนวนการไต่สวนและเอกสารหลักฐานเพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องจำเลย แต่อัยการสูงสุดเห็นว่าสำนวนการไต่สวนยังไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยได้ หลังจากมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่วมกันแล้ว ไม่อาจหาข้อยุติได้ โจทก์จึงยื่นฟ้องคดีเอง ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า การกระทำที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดคดีนี้ เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร การสอบสวนจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 ที่บัญญัติให้อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ด้วยตนเองโดยอัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนไม่ได้เป็นพนักงานสอบสวน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 19 (4/2) ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยการกระทำความผิดที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย อันเป็นการขัดหรือแย้งกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไป จึงทำให้โจทก์มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยความผิดที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรได้ ทั้งตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดวิธีการดำเนินคดีที่แตกต่างจากการดำเนินคดีอาญาโดยทั่วไป เมื่อโจทก์ส่งรายงาน เอกสารและความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อให้ฟ้องคดี แต่อัยการสูงสุดเห็นว่าสำนวนการไต่สวนยังไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยได้ หลังจากมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่วมกันแล้ว ไม่อาจหาข้อยุติได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 วรรคสาม
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า นายกุศลเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลย ไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ได้ให้การในทำนองเดียวกันนี้มาโดยตลอด ทั้งยังมีเอกสารหลักฐานการแก้ไขน้ำหนักสัมภาระมาแสดงยืนยัน นอกจากนี้ยังปรากฏว่าจำเลยเคยมีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวต่อประธานกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าขณะที่จำเลยเข้าเช็คอินมีเจ้าหน้าที่ของวัดปากน้ำญี่ปุ่นได้ขอความอนุเคราะห์จากจำเลยในการฝากผลไม้และอาหารแห้งที่ญาติโยมขอให้นำไปถวายสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ กรุงเทพมหานคร จำเลยจึงรับฝากของดังกล่าว และจำเลยเคยให้การต่อคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าเมื่อจำเลยเข้าเช็คอินได้พบกับนางพิมใจ นางพิมใจบอกว่ามีของฝากวัดปากน้ำญี่ปุ่นขอให้นำไปด้วยได้หรือไม่ จำเลยตอบว่าเอาไปด้วยก็ได้ ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับคำให้การและคำเบิกความของนายกุศล คำให้การและคำเบิกความของนายกุศลจึงมิใช่เป็นคำให้การและคำเบิกความเพียงลอย ๆ เมื่อโจทก์มีนายกุศลซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงตามคำให้การเช่นนี้แล้ว แม้โจทก์ไม่ได้สอบปากคำนายเก่งเป็นพยานไว้ในชั้นไต่สวนข้อเท็จจริงและไม่ได้นำนายเก่งมาเบิกความเป็นพยานก็หามีผลทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ต้องเสียไปหรือขาดน้ำหนักในการรับฟังแต่อย่างใดไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยรู้เห็นยินยอมให้นางพิมใจนำสัมภาระของนางพิมใจมาชั่งน้ำหนักรวมกัน (Pool check) กับสัมภาระของจำเลยและภริยา การที่นายกุศลถามจำเลยเรื่องน้ำหนักสัมภาระว่าจะให้ทำอย่างไร จำเลยบอกให้แก้ไขให้ด้วย แสดงว่าจำเลยต้องทราบแล้วว่าสัมภาระทั้งหมด 30 ชิ้น มีน้ำหนักรวม 398 กิโลกรัม เกินกว่าจำนวนน้ำหนักสัมภาระที่จำเลย ภริยาจำเลยและนางพิมใจมีสิทธิได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าระวางสัมภาระ จำเลยต้องเสียค่าระวางในส่วนของน้ำหนักสัมภาระที่เกินนั้น จำเลยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ มีอำนาจหน้าที่กำกับ ดูแล การปฏิบัติงานของฝ่ายบริหารให้เป็นไปตามกลยุทธ์ นโยบาย แผนวิสาหกิจ แผนปฏิบัติการของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และต้องรักษาผลประโยชน์ของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ภาระหน้าที่นี้คงมีอยู่ตลอดเวลาจนกว่าจะพ้นจากตำแหน่ง การเดินทางในเที่ยวบินดังกล่าวจำเลยจะไปในฐานะส่วนตัวหรือไม่จึงไม่ใช่ข้อสาระสำคัญ การที่จำเลยสั่งให้นายกุศลซึ่งเป็นพนักงานผู้บริหารมีหน้าที่เรียกเก็บค่าระวางสัมภาระให้แก้ไขน้ำหนักสัมภาระเพื่อละเว้นไม่เรียกเก็บค่าระวางสัมภาระตามระเบียบ มีผลทำให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ขาดรายได้จากค่าระวางสัมภาระที่ควรจะได้รับ ซึ่งเท่ากับว่าจำเลยไม่ได้กำกับ ดูแล การปฏิบัติงานของฝ่ายบริหารให้เป็นไปตามนโยบายของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ตามหน้าที่ของตน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า จำเลยกระทำไปเพื่อช่วยเหลืออนุเคราะห์เป็นประโยชน์แก่ทางวัด มิได้มุ่งหวังหาผลประโยชน์ทางธุรกิจแก่ตนเองหรือผู้อื่นประกอบกับจำเลยเป็นผู้สูงอายุอยู่ในวัยชรา จึงสมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตนเป็นพลเมืองดี
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 จำคุก 2 ปี และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 (ที่แก้ไขใหม่)
แม้ผู้ร้องจะได้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งความคืบหน้าของคดีที่ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้ไปยังภูมิลำเนาหรือสำนักงานทำการใหม่ คือ เลขที่ 124 ซึ่งเป็นบ้านพักอาศัยของกรรมการและที่ตั้งของผู้ร้องตามหนังสือรับรองก็ตาม แต่ในคำร้องดังกล่าวผู้ร้องระบุอ้างแต่เพียงว่ามีเหตุขัดข้องในการแจ้งให้ผู้ร้องทราบผลคดี ทำให้ทราบในระยะเวลากระชั้นชิดเท่านั้น มิได้ประสงค์ที่จะให้ที่อยู่ที่แจ้งใหม่เป็นภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานเพียงแห่งเดียวของผู้ร้องแต่อย่างใด กรณีจึงยังต้องถือว่า อาคารเลขที่ 13/47 เป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของผู้ร้องตาม ป.พ.พ.มาตรา 69 การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ให้แก่ผู้ร้องที่อาคารเลขที่ 13/47 ดังกล่าวโดยวิธีปิดหมาย จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำ ศาลชั้นต้นเห็นว่ากรณีมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องของผู้ร้องไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า จึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินหรือหลักประกันเพื่อประกันความเสียหาย ผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ศาลชั้นต้นจึงยกคำร้อง คำสั่งดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) แต่ผู้ร้องกลับอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้ง ๆ ที่คำสั่งศาลชั้นต้นเป็นที่สุดแล้ว ซึ่งที่สุดแล้วศาลฎีกาได้มีคำสั่งไม่รับฎีกาและพิพากษายกฎีกา หลังจากนั้นผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 นัดวันที่ 20 ตุลาคม 2559 อีก แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน และศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกาและไม่รับฎีกาของผู้ร้อง พฤติการณ์ของผู้ร้องที่ดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าว เป็นเหตุให้บริษัท ค. ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ต้องขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไป และไม่อาจนำเงินที่เหลือมาวางชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถจ่ายเงินให้แก่โจทก์ได้ ดังนี้ ถือเป็นการประวิงให้ชักช้าโดยไม่มีมูลมีผลให้การขายทอดตลาดไม่เสร็จสิ้น และผู้ซื้อทรัพย์รายใหม่ไม่อาจชำระราคาทรัพย์พิพาทอันเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ร้อง หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตไม่ และเมื่อก่อให้เกิดความเสียหาย ผู้ร้องจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยออกขายทอดตลาด รวม 70 แปลง โดยเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อได้ในราคา 206,660,000 บาท วันดังกล่าวผู้ร้องในฐานะผู้ซื้อทำสัญญาซื้อขายไว้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีและได้วางเงินมัดจำ 3,000,000 บาท ส่วนที่เหลือผู้ร้องจะต้องชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันทำสัญญาซื้อขาย แต่ก่อนครบกำหนดเวลาชำระเงิน ผู้ร้องยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินส่วนที่เหลือ เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาต แต่ก่อนที่ผู้ร้องจะชำระเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือ จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินส่วนที่เหลือไปจนกว่าศาลจะพิจารณาคดีดังกล่าวถึงที่สุด เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาต ต่อมาวันที่ 11 ธันวาคม 2557 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอทราบความคืบหน้าของคดีดังกล่าวพร้อมทั้งขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งความคืบหน้าของคดีไปยังที่ทำการของผู้ร้องตามที่อยู่ใหม่ ในวันดังกล่าวเจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้ผู้ร้องทราบว่า ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องในฐานะผู้ซื้อทรัพย์นำเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือมาชำระและพ้นกำหนดชำระแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีคำสั่งริบเงินมัดจำ 3,000,000 บาท ของผู้ร้อง เนื่องจากผู้ร้องผิดสัญญาซื้อขายเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำดังกล่าวของผู้ร้อง โจทก์ยื่นคำคัดค้านและขอให้ผู้ร้องวางเงินหรือหาหลักประกันวางต่อศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินประกันความเสียหาย 10,000,000 บาท ผู้ร้องไม่วางเงินประกันหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาของผู้ร้อง โดยให้เหตุผลสรุปว่า เมื่อผู้ซื้อทรัพย์ไม่วางเงินหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง คำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) ผู้ซื้อทรัพย์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาต่อไปอีก การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ซื้อทรัพย์ ผู้ซื้อทรัพย์อุทธรณ์คำสั่งแล้วศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของผู้ซื้อทรัพย์ เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ กรณีเช่นนี้คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่ง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยใหม่ในนัดวันที่ 20 ตุลาคม 2559 บริษัท ค. ประมูลซื้อทรัพย์ของจำเลยได้ในราคา 233,000,000 บาท เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าว โจทก์ จำเลย และผู้ซื้อทรัพย์ต่างยื่นคำคัดค้าน วันที่ 30 มกราคม 2560 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาล 11,665,000 บาท ผู้ร้องนำเงินมาวางต่อศาลแล้ว ต่อมาวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องเพราะผู้ร้องมิใช่ผู้เสียหายจากการขายทอดตลาด
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคท้าย (เดิม) หรือมาตรา 295 วรรคท้าย (ใหม่) เป็นคดีนี้ โดยอ้างว่าการกระทำของผู้ร้องข้างต้นเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์พิพาทกับจำเลยเป็นเวลาประมาณ 17 ปี และอยู่ในชั้นบังคับคดีถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 7 ปี โดยผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำของผู้ร้อง ใช้เวลาพิจารณาประมาณ 3 ปี แล้วผู้ร้องมายื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดครั้งใหม่อีกซึ่งนับถึงวันที่โจทก์ยื่นคำร้องนี้ใช้เวลา 1 ปีเศษแล้ว แต่รับเงินไม่ได้เพราะผู้ร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดโดยไม่มีมูลและประวิงคดี โจทก์ต้องจ้างทนายความและเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นเงิน 255,809 บาท ผู้ซื้อทรัพย์นำเงินมาชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้เพราะผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าว ทำให้ต้องขอขยายระยะเวลาวางเงินและเจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งอนุญาตจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ทั้งที่ผู้ซื้อทรัพย์มีสิทธิขอขยายระยะเวลาวางเงินครั้งสุดท้ายอีก 3 เดือน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 และโจทก์มีสิทธิได้รับเงินจากเจ้าพนักงานบังคับคดีนับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไป โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีคำนวณหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลฎีกาจนถึงวันขายทอดตลาดใหม่ รวมแล้วเป็นเงิน 216,165,905.48 บาท โจทก์ขาดประโยชน์จากการใช้เงินจำนวนดังกล่าว จึงขอคิดค่าเสียหายโดยให้ผู้ร้องชดใช้เป็นดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 216,165,905.48 บาท นับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 ถึงวันยื่นคำร้องนี้ (วันที่ 4 ธันวาคม 2560) เป็นเวลา 10 เดือน คิดเป็นเงิน 13,510,369 บาท เมื่อรวมกับค่าทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแล้วเป็นเงิน 13,766,178 บาท ขอให้บังคับผู้ร้องชดใช้เงิน 13,766,178 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 255,809 บาท และต้นเงิน 216,165,905.48 บาท นับแต่วันยื่นคำร้องนี้ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องชดใช้เงิน 13,736,178 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 225,809 บาท และต้นเงิน 216,165,905.48 บาท นับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ผู้ร้อง ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 10,000 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่เกินมา 200 บาท แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยรวม 70 แปลง เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 ผู้ร้องซื้อทรัพย์ของจำเลยจากการขายทอดตลาดในราคา 206,660,000 บาท ผู้ร้องวางเงินมัดจำค่าซื้อทรัพย์จำนวน 3,000,000 บาท ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ต่อมามีการขยายเวลาวางเงินแต่ผู้ร้องไม่ชำระเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือตามกำหนด วันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งริบเงินมัดจำ 3,000,000 บาท ดังกล่าว ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินประกันความเสียหายจำนวน 10,000,000 บาท แต่ผู้ร้องไม่นำเงินประกันหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ร้องยื่นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับฎีกาและพิพากษายกฎีกา เจ้าพนักงานบังคับคดีนำทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาดใหม่เป็นครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 บริษัท ค. ประมูลซื้อได้ในราคา 233,000,000 บาท วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าว ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษายืน ผู้ร้องขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การยื่นคำร้องของผู้ร้องลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ขอเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยใหม่ ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 นั้น ไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดีให้ชักช้าหรือไม่ และโจทก์เสียหายหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อทรัพย์ของจำเลยจากการขายทอดตลาดครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 ในราคา 206,660,000 บาท โดยวางเงินมัดจำค่าซื้อทรัพย์ 3,000,000 บาท จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ต่อมาผู้ร้องไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงริบเงินมัดจำดังกล่าว ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่ากรณีมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องของผู้ร้องไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้าจึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินหรือหลักประกันเพื่อประกันความเสียหาย 10,000,00 บาท แต่ผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ศาลชั้นต้นจึงยกคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) ผู้ร้องไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปอีก ดังนั้น คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงถึงที่สุดแล้ว ส่วนการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทใหม่ครั้งที่ 2 ของเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ก็ได้ความตามสำเนารายงานประกอบการขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงใหม่ว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาด นัดที่ 1 ในวันที่ 18 สิงหาคม 2559 แต่งดการขายเพราะประกาศไม่ครบเวลา นัดที่ 2 เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2559 งดการขายเพราะไม่มีผู้เข้าสู้ราคา นัดที่ 3 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2559 มีผู้เสนอราคาสูงสุด 143,660,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งงดการขาย นัดที่ 4 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 บริษัท ค. เป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้ในราคา 233,000,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งให้ขาย จึงเห็นได้ว่า ในการประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 นั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดนัดถึง 4 นัด ทอดระยะเวลาถึง 2 เดือนเศษ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษามาดูแลการขายทอดตลาดทุกครั้งโดยไม่มีผู้ใดคัดค้านว่ากระบวนการขายทอดตลาดไม่ชอบ คงมีเพียงผู้ร้องที่ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด โดยอ้างว่าผู้ร้องไม่ได้รับหมายแจ้งการประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 เพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ส่งหมายให้ผู้ร้องตามที่อยู่ใหม่ที่ผู้ร้องได้แจ้งไว้จึงทำให้ผู้ร้องถูกตัดสิทธิในการเข้าร่วมประมูลซื้อทรัพย์นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ใหม่ครั้งที่ 2 ดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งประกาศขายทอดตลาดให้แก่ผู้ร้องที่อาคารเลขที่ 13/47 โดยวิธีปิดหมาย แม้ผู้ร้องจะได้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งความคืบหน้าของคดีที่ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้ไปยังภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานใหม่ คือ เลขที่ 124 หมู่บ้านเลคไซด์วิลล่า 2 ซึ่งเป็นบ้านพักอาศัยของกรรมการและที่ตั้งของผู้ร้องตามหนังสือรับรองก็ตาม แต่ในคำร้องดังกล่าวผู้ร้องระบุอ้างแต่เพียงว่ามีเหตุขัดข้องในการแจ้งให้ผู้ร้องทราบผลคดี ทำให้ทราบในระยะเวลากระชั้นชิดเท่านั้น โดยมิได้ประสงค์ที่จะให้ที่อยู่ที่แจ้งใหม่ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานเพียงแห่งเดียวของผู้ร้องแต่อย่างใด กรณีจึงยังต้องถือว่าอาคารเลขที่ 13/47 เป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 69 การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ให้แก่ผู้ร้องที่อาคารเลขที่ 13/47 ดังกล่าวโดยวิธีปิดหมาย จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องจึงไม่อาจรับฟังได้ ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ราคาทรัพย์ที่ประมูลได้ 233,000,000 บาท มีราคาต่ำ หากผู้ร้องได้มีโอกาสเข้าร่วมประมูลและนำมาพัฒนาแล้วจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 800,000,000 บาท นั้น ผู้ร้องเพียงกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน ประกอบกับโจทก์และจำเลยไม่คัดค้านราคา ทั้งราคาที่ประมูลซื้อทรัพย์ได้ในครั้งที่ 2 สูงกว่าราคาที่ผู้ร้องเคยประมูลได้ในครั้งแรก คำร้องของผู้ร้องที่ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดจึงไม่มีมูล นอกจากนี้ คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบมัดจำเพราะผู้ร้องไม่วางเงินค่าซื้อทรัพย์ในการขายทอดตลาดครั้งก่อนภายในกำหนดและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง เนื่องจากผู้ร้องไม่วางประกันในชั้นไต่สวนนั้น ผู้ร้องกลับอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้ง ๆ ที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) บัญญัติว่า คำสั่งศาลชั้นต้นให้เป็นที่สุด และเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้ร้องก็ยังยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อีก ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้อง แต่ผู้ร้องกลับไม่ยุติการดำเนินคดีเพียงเท่านี้ ผู้ร้องยังคงยื่นฎีกาต่อไปอีกซึ่งที่สุดแล้วศาลฎีกาได้มีคำสั่งไม่รับฎีกาและพิพากษายกฎีกา โดยวินิจฉัยว่า เมื่อผู้ซื้อทรัพย์ไม่วางเงินหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง คำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุดตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น หลังจากนั้นผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 อีก แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน โดยวินิจฉัยว่า กรณีที่บุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีจะยื่นคำร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดนั้น ต้องได้ความว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ซึ่งต้องเสียหายเพราะเหตุแห่งการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง (เดิม) ด้วย แม้ว่าผู้ร้องจะเป็นบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีในการขายทอดตลาดครั้งเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปแล้วเนื่องจากผู้ร้องไม่วางเงินประกันตามคำสั่งศาลก็ตาม แต่เมื่อผู้ร้องไม่ได้รับความเสียหายจากกระบวนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ต่อมาเมื่อผู้ร้องขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา และไม่รับฎีกาของผู้ร้อง เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของผู้ร้องที่ดำเนินกระบวนพิจารณามาทั้งหมดโดยเฉพาะการร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 เป็นเหตุให้บริษัท ค. ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ต้องขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปและไม่อาจนำเงินที่เหลือมาวางชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถจ่ายเงินให้แก่โจทก์ได้ ดังนี้ ถือเป็นการประวิงให้ชักช้าโดยไม่มีมูลมีผลให้การขายทอดตลาดไม่เสร็จสิ้น และผู้ซื้อทรัพย์รายใหม่ไม่อาจชำระราคาทรัพย์พิพาทอันเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ร้อง หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตไม่ และเมื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ผู้ร้องต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนของความเสียหายนั้น ข้อเท็จจริงได้ความตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีคำนวณหนี้ตามคำพิพากษาที่โจทก์ต้องได้รับจากจำเลยถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่ขายทอดตลาดทรัพย์ได้ เป็นเงิน 216,165,905.48 บาท โจทก์ยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทน คือ ดอกเบี้ยจากค่าขาดประโยชน์ที่ควรได้รับหากได้รับชำระหนี้ตามเวลาเริ่มแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์มีสิทธิรับเงินจากเจ้าพนักงานบังคับคดีหากผู้ร้องไม่ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดคำนวณดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 216,165,905.48 บาท จนถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 อันเป็นวันยื่นคำร้อง เป็นเวลา 10 เดือน คำนวณได้ 13,510,369 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันยื่นคำร้อง นั้น โจทก์เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเป็นดอกเบี้ย แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า หากได้รับชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว โจทก์จะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์หรือเงินฝากประจำที่ธนาคารพาณิชย์จ่ายให้แก่โจทก์ในอัตราเท่าใด อย่างไร แต่เมื่อคำนึงถึงความเสียหายที่โจทก์ได้รับประกอบทางได้เสียของโจทก์ สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงการแก้ไขเรื่องอัตราดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 แล้ว เห็นควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ให้โจทก์ 10,000,000 บาท ส่วนที่โจทก์ขอค่าทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันยื่นคำร้องนั้น โจทก์นำสืบใบเสร็จรับจ่ายเงิน แต่บางรายการเป็นค่าใช้จ่ายแบบเหมารวม เช่น ค่าเช่ารถ จึงเห็นสมควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ให้โจทก์ 100,000 บาท รวมเป็นค่าสินไหมทดแทน 10,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดมิใช่เป็นการยื่นคำร้องโดยไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า ผู้ร้องไม่จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี ทำให้ดอกเบี้ยผิดนัดของค่าสินไหมทดแทนซึ่งเป็นหนี้เงินที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ต้องปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ดังนี้ เมื่อการกำหนดดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
พิพากษากลับเป็นว่า ให้ผู้ร้องชำระเงินให้โจทก์ 10,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้อง (ยื่นคำร้องวันที่ 4 ธันวาคม 2560) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่อัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 หากมีพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยก็ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความรวม 50,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 10,000 บาท
แม้ผู้ร้องจะได้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งความคืบหน้าของคดีที่ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้ไปยังภูมิลำเนาหรือสำนักงานทำการใหม่ คือ เลขที่ 124 ซึ่งเป็นบ้านพักอาศัยของกรรมการและที่ตั้งของผู้ร้องตามหนังสือรับรองก็ตาม แต่ในคำร้องดังกล่าวผู้ร้องระบุอ้างแต่เพียงว่ามีเหตุขัดข้องในการแจ้งให้ผู้ร้องทราบผลคดี ทำให้ทราบในระยะเวลากระชั้นชิดเท่านั้น มิได้ประสงค์ที่จะให้ที่อยู่ที่แจ้งใหม่เป็นภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานเพียงแห่งเดียวของผู้ร้องแต่อย่างใด กรณีจึงยังต้องถือว่า อาคารเลขที่ 13/47 เป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของผู้ร้องตาม ป.พ.พ.มาตรา 69 การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ให้แก่ผู้ร้องที่อาคารเลขที่ 13/47 ดังกล่าวโดยวิธีปิดหมาย จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำ ศาลชั้นต้นเห็นว่ากรณีมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องของผู้ร้องไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า จึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินหรือหลักประกันเพื่อประกันความเสียหาย ผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ศาลชั้นต้นจึงยกคำร้อง คำสั่งดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) แต่ผู้ร้องกลับอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้ง ๆ ที่คำสั่งศาลชั้นต้นเป็นที่สุดแล้ว ซึ่งที่สุดแล้วศาลฎีกาได้มีคำสั่งไม่รับฎีกาและพิพากษายกฎีกา หลังจากนั้นผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 นัดวันที่ 20 ตุลาคม 2559 อีก แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน และศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกาและไม่รับฎีกาของผู้ร้อง พฤติการณ์ของผู้ร้องที่ดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าว เป็นเหตุให้บริษัท ค. ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ต้องขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไป และไม่อาจนำเงินที่เหลือมาวางชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถจ่ายเงินให้แก่โจทก์ได้ ดังนี้ ถือเป็นการประวิงให้ชักช้าโดยไม่มีมูลมีผลให้การขายทอดตลาดไม่เสร็จสิ้น และผู้ซื้อทรัพย์รายใหม่ไม่อาจชำระราคาทรัพย์พิพาทอันเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ร้อง หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตไม่ และเมื่อก่อให้เกิดความเสียหาย ผู้ร้องจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยออกขายทอดตลาด รวม 70 แปลง โดยเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อได้ในราคา 206,660,000 บาท วันดังกล่าวผู้ร้องในฐานะผู้ซื้อทำสัญญาซื้อขายไว้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีและได้วางเงินมัดจำ 3,000,000 บาท ส่วนที่เหลือผู้ร้องจะต้องชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันทำสัญญาซื้อขาย แต่ก่อนครบกำหนดเวลาชำระเงิน ผู้ร้องยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินส่วนที่เหลือ เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาต แต่ก่อนที่ผู้ร้องจะชำระเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือ จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินส่วนที่เหลือไปจนกว่าศาลจะพิจารณาคดีดังกล่าวถึงที่สุด เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาต ต่อมาวันที่ 11 ธันวาคม 2557 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอทราบความคืบหน้าของคดีดังกล่าวพร้อมทั้งขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งความคืบหน้าของคดีไปยังที่ทำการของผู้ร้องตามที่อยู่ใหม่ ในวันดังกล่าวเจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้ผู้ร้องทราบว่า ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องในฐานะผู้ซื้อทรัพย์นำเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือมาชำระและพ้นกำหนดชำระแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีคำสั่งริบเงินมัดจำ 3,000,000 บาท ของผู้ร้อง เนื่องจากผู้ร้องผิดสัญญาซื้อขายเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำดังกล่าวของผู้ร้อง โจทก์ยื่นคำคัดค้านและขอให้ผู้ร้องวางเงินหรือหาหลักประกันวางต่อศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินประกันความเสียหาย 10,000,000 บาท ผู้ร้องไม่วางเงินประกันหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาของผู้ร้อง โดยให้เหตุผลสรุปว่า เมื่อผู้ซื้อทรัพย์ไม่วางเงินหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง คำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) ผู้ซื้อทรัพย์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาต่อไปอีก การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ซื้อทรัพย์ ผู้ซื้อทรัพย์อุทธรณ์คำสั่งแล้วศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของผู้ซื้อทรัพย์ เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ กรณีเช่นนี้คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่ง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยใหม่ในนัดวันที่ 20 ตุลาคม 2559 บริษัท ค. ประมูลซื้อทรัพย์ของจำเลยได้ในราคา 233,000,000 บาท เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าว โจทก์ จำเลย และผู้ซื้อทรัพย์ต่างยื่นคำคัดค้าน วันที่ 30 มกราคม 2560 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาล 11,665,000 บาท ผู้ร้องนำเงินมาวางต่อศาลแล้ว ต่อมาวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องเพราะผู้ร้องมิใช่ผู้เสียหายจากการขายทอดตลาด
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคท้าย (เดิม) หรือมาตรา 295 วรรคท้าย (ใหม่) เป็นคดีนี้ โดยอ้างว่าการกระทำของผู้ร้องข้างต้นเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์พิพาทกับจำเลยเป็นเวลาประมาณ 17 ปี และอยู่ในชั้นบังคับคดีถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 7 ปี โดยผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำของผู้ร้อง ใช้เวลาพิจารณาประมาณ 3 ปี แล้วผู้ร้องมายื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดครั้งใหม่อีกซึ่งนับถึงวันที่โจทก์ยื่นคำร้องนี้ใช้เวลา 1 ปีเศษแล้ว แต่รับเงินไม่ได้เพราะผู้ร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดโดยไม่มีมูลและประวิงคดี โจทก์ต้องจ้างทนายความและเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นเงิน 255,809 บาท ผู้ซื้อทรัพย์นำเงินมาชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้เพราะผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าว ทำให้ต้องขอขยายระยะเวลาวางเงินและเจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งอนุญาตจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ทั้งที่ผู้ซื้อทรัพย์มีสิทธิขอขยายระยะเวลาวางเงินครั้งสุดท้ายอีก 3 เดือน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 และโจทก์มีสิทธิได้รับเงินจากเจ้าพนักงานบังคับคดีนับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไป โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีคำนวณหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลฎีกาจนถึงวันขายทอดตลาดใหม่ รวมแล้วเป็นเงิน 216,165,905.48 บาท โจทก์ขาดประโยชน์จากการใช้เงินจำนวนดังกล่าว จึงขอคิดค่าเสียหายโดยให้ผู้ร้องชดใช้เป็นดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 216,165,905.48 บาท นับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 ถึงวันยื่นคำร้องนี้ (วันที่ 4 ธันวาคม 2560) เป็นเวลา 10 เดือน คิดเป็นเงิน 13,510,369 บาท เมื่อรวมกับค่าทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแล้วเป็นเงิน 13,766,178 บาท ขอให้บังคับผู้ร้องชดใช้เงิน 13,766,178 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 255,809 บาท และต้นเงิน 216,165,905.48 บาท นับแต่วันยื่นคำร้องนี้ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องชดใช้เงิน 13,736,178 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 225,809 บาท และต้นเงิน 216,165,905.48 บาท นับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ผู้ร้อง ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 10,000 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่เกินมา 200 บาท แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยรวม 70 แปลง เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 ผู้ร้องซื้อทรัพย์ของจำเลยจากการขายทอดตลาดในราคา 206,660,000 บาท ผู้ร้องวางเงินมัดจำค่าซื้อทรัพย์จำนวน 3,000,000 บาท ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ต่อมามีการขยายเวลาวางเงินแต่ผู้ร้องไม่ชำระเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือตามกำหนด วันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งริบเงินมัดจำ 3,000,000 บาท ดังกล่าว ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินประกันความเสียหายจำนวน 10,000,000 บาท แต่ผู้ร้องไม่นำเงินประกันหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ร้องยื่นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับฎีกาและพิพากษายกฎีกา เจ้าพนักงานบังคับคดีนำทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาดใหม่เป็นครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 บริษัท ค. ประมูลซื้อได้ในราคา 233,000,000 บาท วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าว ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษายืน ผู้ร้องขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การยื่นคำร้องของผู้ร้องลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ขอเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยใหม่ ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 นั้น ไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดีให้ชักช้าหรือไม่ และโจทก์เสียหายหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อทรัพย์ของจำเลยจากการขายทอดตลาดครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 ในราคา 206,660,000 บาท โดยวางเงินมัดจำค่าซื้อทรัพย์ 3,000,000 บาท จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ต่อมาผู้ร้องไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงริบเงินมัดจำดังกล่าว ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่ากรณีมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องของผู้ร้องไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้าจึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินหรือหลักประกันเพื่อประกันความเสียหาย 10,000,00 บาท แต่ผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ศาลชั้นต้นจึงยกคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) ผู้ร้องไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปอีก ดังนั้น คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงถึงที่สุดแล้ว ส่วนการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทใหม่ครั้งที่ 2 ของเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ก็ได้ความตามสำเนารายงานประกอบการขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงใหม่ว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาด นัดที่ 1 ในวันที่ 18 สิงหาคม 2559 แต่งดการขายเพราะประกาศไม่ครบเวลา นัดที่ 2 เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2559 งดการขายเพราะไม่มีผู้เข้าสู้ราคา นัดที่ 3 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2559 มีผู้เสนอราคาสูงสุด 143,660,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งงดการขาย นัดที่ 4 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 บริษัท ค. เป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้ในราคา 233,000,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งให้ขาย จึงเห็นได้ว่า ในการประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 นั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดนัดถึง 4 นัด ทอดระยะเวลาถึง 2 เดือนเศษ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษามาดูแลการขายทอดตลาดทุกครั้งโดยไม่มีผู้ใดคัดค้านว่ากระบวนการขายทอดตลาดไม่ชอบ คงมีเพียงผู้ร้องที่ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด โดยอ้างว่าผู้ร้องไม่ได้รับหมายแจ้งการประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 เพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ส่งหมายให้ผู้ร้องตามที่อยู่ใหม่ที่ผู้ร้องได้แจ้งไว้จึงทำให้ผู้ร้องถูกตัดสิทธิในการเข้าร่วมประมูลซื้อทรัพย์นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ใหม่ครั้งที่ 2 ดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งประกาศขายทอดตลาดให้แก่ผู้ร้องที่อาคารเลขที่ 13/47 โดยวิธีปิดหมาย แม้ผู้ร้องจะได้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งความคืบหน้าของคดีที่ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้ไปยังภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานใหม่ คือ เลขที่ 124 หมู่บ้านเลคไซด์วิลล่า 2 ซึ่งเป็นบ้านพักอาศัยของกรรมการและที่ตั้งของผู้ร้องตามหนังสือรับรองก็ตาม แต่ในคำร้องดังกล่าวผู้ร้องระบุอ้างแต่เพียงว่ามีเหตุขัดข้องในการแจ้งให้ผู้ร้องทราบผลคดี ทำให้ทราบในระยะเวลากระชั้นชิดเท่านั้น โดยมิได้ประสงค์ที่จะให้ที่อยู่ที่แจ้งใหม่ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานเพียงแห่งเดียวของผู้ร้องแต่อย่างใด กรณีจึงยังต้องถือว่าอาคารเลขที่ 13/47 เป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 69 การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ให้แก่ผู้ร้องที่อาคารเลขที่ 13/47 ดังกล่าวโดยวิธีปิดหมาย จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องจึงไม่อาจรับฟังได้ ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ราคาทรัพย์ที่ประมูลได้ 233,000,000 บาท มีราคาต่ำ หากผู้ร้องได้มีโอกาสเข้าร่วมประมูลและนำมาพัฒนาแล้วจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 800,000,000 บาท นั้น ผู้ร้องเพียงกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน ประกอบกับโจทก์และจำเลยไม่คัดค้านราคา ทั้งราคาที่ประมูลซื้อทรัพย์ได้ในครั้งที่ 2 สูงกว่าราคาที่ผู้ร้องเคยประมูลได้ในครั้งแรก คำร้องของผู้ร้องที่ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดจึงไม่มีมูล นอกจากนี้ คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบมัดจำเพราะผู้ร้องไม่วางเงินค่าซื้อทรัพย์ในการขายทอดตลาดครั้งก่อนภายในกำหนดและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง เนื่องจากผู้ร้องไม่วางประกันในชั้นไต่สวนนั้น ผู้ร้องกลับอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้ง ๆ ที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) บัญญัติว่า คำสั่งศาลชั้นต้นให้เป็นที่สุด และเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้ร้องก็ยังยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อีก ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้อง แต่ผู้ร้องกลับไม่ยุติการดำเนินคดีเพียงเท่านี้ ผู้ร้องยังคงยื่นฎีกาต่อไปอีกซึ่งที่สุดแล้วศาลฎีกาได้มีคำสั่งไม่รับฎีกาและพิพากษายกฎีกา โดยวินิจฉัยว่า เมื่อผู้ซื้อทรัพย์ไม่วางเงินหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง คำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุดตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น หลังจากนั้นผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 อีก แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน โดยวินิจฉัยว่า กรณีที่บุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีจะยื่นคำร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดนั้น ต้องได้ความว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ซึ่งต้องเสียหายเพราะเหตุแห่งการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง (เดิม) ด้วย แม้ว่าผู้ร้องจะเป็นบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีในการขายทอดตลาดครั้งเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปแล้วเนื่องจากผู้ร้องไม่วางเงินประกันตามคำสั่งศาลก็ตาม แต่เมื่อผู้ร้องไม่ได้รับความเสียหายจากกระบวนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ต่อมาเมื่อผู้ร้องขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา และไม่รับฎีกาของผู้ร้อง เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของผู้ร้องที่ดำเนินกระบวนพิจารณามาทั้งหมดโดยเฉพาะการร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 เป็นเหตุให้บริษัท ค. ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ต้องขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปและไม่อาจนำเงินที่เหลือมาวางชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถจ่ายเงินให้แก่โจทก์ได้ ดังนี้ ถือเป็นการประวิงให้ชักช้าโดยไม่มีมูลมีผลให้การขายทอดตลาดไม่เสร็จสิ้น และผู้ซื้อทรัพย์รายใหม่ไม่อาจชำระราคาทรัพย์พิพาทอันเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ร้อง หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตไม่ และเมื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ผู้ร้องต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนของความเสียหายนั้น ข้อเท็จจริงได้ความตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีคำนวณหนี้ตามคำพิพากษาที่โจทก์ต้องได้รับจากจำเลยถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่ขายทอดตลาดทรัพย์ได้ เป็นเงิน 216,165,905.48 บาท โจทก์ยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทน คือ ดอกเบี้ยจากค่าขาดประโยชน์ที่ควรได้รับหากได้รับชำระหนี้ตามเวลาเริ่มแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์มีสิทธิรับเงินจากเจ้าพนักงานบังคับคดีหากผู้ร้องไม่ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดคำนวณดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 216,165,905.48 บาท จนถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 อันเป็นวันยื่นคำร้อง เป็นเวลา 10 เดือน คำนวณได้ 13,510,369 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันยื่นคำร้อง นั้น โจทก์เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเป็นดอกเบี้ย แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า หากได้รับชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว โจทก์จะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์หรือเงินฝากประจำที่ธนาคารพาณิชย์จ่ายให้แก่โจทก์ในอัตราเท่าใด อย่างไร แต่เมื่อคำนึงถึงความเสียหายที่โจทก์ได้รับประกอบทางได้เสียของโจทก์ สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงการแก้ไขเรื่องอัตราดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 แล้ว เห็นควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ให้โจทก์ 10,000,000 บาท ส่วนที่โจทก์ขอค่าทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันยื่นคำร้องนั้น โจทก์นำสืบใบเสร็จรับจ่ายเงิน แต่บางรายการเป็นค่าใช้จ่ายแบบเหมารวม เช่น ค่าเช่ารถ จึงเห็นสมควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ให้โจทก์ 100,000 บาท รวมเป็นค่าสินไหมทดแทน 10,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดมิใช่เป็นการยื่นคำร้องโดยไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า ผู้ร้องไม่จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี ทำให้ดอกเบี้ยผิดนัดของค่าสินไหมทดแทนซึ่งเป็นหนี้เงินที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ต้องปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ดังนี้ เมื่อการกำหนดดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
พิพากษากลับเป็นว่า ให้ผู้ร้องชำระเงินให้โจทก์ 10,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้อง (ยื่นคำร้องวันที่ 4 ธันวาคม 2560) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่อัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 หากมีพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยก็ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความรวม 50,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 10,000 บาท
ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่ตัดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเรียกว่าภารยทรัพย์ ในอันที่ต้องยอมรับกรรมบางอย่างด้วยการงดเว้นการใช้สิทธิในทรัพย์สินของตนเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นที่เรียกว่าสามยทรัพย์ จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัด เดิมที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 243749 ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอม เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคใด ๆ แก่ที่ดินของจําเลยโฉนดเลขที่ 1003 เมื่อโจทก์รวมที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 10516, 10517, 243749 และ 158942 เป็นแปลงเดียวกันเป็นโฉนดเลขที่ 10516 ภาระจำยอมที่ยังคงอยู่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 ฉบับใหม่จึงมีอยู่เฉพาะในที่ดินส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมเท่านั้น การรวมโฉนดที่ดินหลายแปลงเป็นโฉนดเดียว มิได้มีผลทำให้ภาระจำยอมเดิมในโฉนดที่ดินแปลงหนึ่งแปลงใดได้กระจายไปอยู่ในทุกส่วนของโฉนดที่ดินฉบับใหม่ด้วย ดังนั้น ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่มิใช่เป็นส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมดังกล่าว และมิใช่เป็นกรณีที่ภาระจำยอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1392 ดังจําเลยฎีกา
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาให้ทางภาระจำยอมบนที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 สิ้นไป และให้จำเลยจดทะเบียนยกเลิกภาระจำยอมตามที่ได้จดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 เสีย หากจำเลยเพิกเฉยหรือไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนเพิกถอนภาระจำยอมบนที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่ให้เป็นภาระจำยอมบางส่วนแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่มิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เดิมบริษัท ร. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 และ 1003 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 บริษัท ร. จดทะเบียนให้โฉนดที่ดินเลขที่ 243749 ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมบางส่วน เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่โฉนดที่ดินเลขที่ 134205, 158942, 1003 อำเภอเดียวกัน โดยบันทึกข้อตกลง ลงวันที่ 14 มีนาคม 2537 ปี 2539 บริษัท ร. จดทะเบียนอาคารชุด ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ชื่ออาคารชุด ซ. อาคาร จี 1, จี 2 ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 จำนวน 437 ห้องชุด โดยมีจำเลยเป็นนิติบุคคลอาคารชุด เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2551 โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516, 10517, 243749 และ 158942 มาจากเจ้าของเดิม ในปี 2552 โจทก์รวมที่ดินทั้งสี่โฉนดเป็นแปลงเดียวกันเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 โดยในสารบัญจดทะเบียนวันที่ 14 มีนาคม 2537 ระบุว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 243749 ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมบางส่วน เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่โฉนดที่ดินเลขที่ 134205, 158942, 1003 อำเภอเดียวกัน โดยบันทึกข้อตกลง ลงวันที่ 14 มีนาคม 2537 แล้วดำเนินการก่อสร้างอาคารชุดชื่อโครงการ ด. บนที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 กับสร้างกำแพงคอนกรีตล้อมรอบโครงการของโจทก์ไว้ รวมทั้งส่วนที่เป็นโฉนดเลขที่ 243749 เดิม
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ภาระจำยอมพิพาทสิ้นไปแล้วหรือไม่ เห็นว่า ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่ตัดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเรียกว่าภารยทรัพย์ ในอันที่ต้องรับกรรมบางอย่างด้วยการงดเว้นการใช้สิทธิในทรัพย์สินของตนเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นที่เรียกว่าสามยทรัพย์ สำหรับกรณีพิพาทคือ โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่จำต้องผูกพันด้วยการงดเว้นการใช้สิทธิในที่ดินส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมอันเป็นที่ดินภารยทรัพย์ ในเรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ซึ่งเป็นสามยทรัพย์ และขณะพิพาทที่ดินตกเป็นสิทธิแก่จำเลยในการจัดการและรักษาดูแลตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ตามที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ได้จดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 ก็ตาม แต่ข้อที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ไม่ได้ใช้ภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เนื่องจากมีที่ดินหลายแปลงและลำรางสาธารณประโยชน์ขวางกั้นอยู่ จำเลยเพียงให้การว่า มีสะพานข้ามลำรางสาธารณประโยชน์ได้เท่านั้น มิได้ต่อสู้ว่า นอกจากจะมีการจดทะเบียนเรื่องภาระจำยอมแล้ว ตามสภาพความเป็นจริงที่มีมาแต่เดิม เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ได้ใช้ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เป็นทางเดินหรือทางรถยนต์หรือทางสาธารณูปโภคในลักษณะใดและใช้ติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันแต่อย่างใด กับเมื่อพิจารณาภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่ซึ่งโจทก์และจำเลยอ้าง ประกอบกับนางสาวจิตราภรณ์ ผู้จัดการของจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า บริเวณระบายด้วยสีเขียวในเอกสารหมาย ล.19 ที่เป็นภาระจำยอมที่อยู่นอกรั้วโครงการของโจทก์ล้วนเป็นที่ดินรกร้าง ไม่สามารถเดินไปจนสุดทางได้เนื่องจากมีป่ารกร้างขวางอยู่ ทำเห็นได้ว่านับแต่จดทะเบียนภาระจำยอมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีการใช้ภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เป็นทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคใด ๆ เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ตามที่ได้จดทะเบียนไว้เลย ทั้งนี้ก็เนื่องจากที่ดินทั้งสองแปลงมิได้อยู่ติดกัน ต้องผ่านที่ดินแปลงอื่นกับลำรางสาธารณประโยชน์ และจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ไม่สามารถที่จะผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เพื่อการออกสู่ทางสาธารณะได้ กับได้ความจากนายวิรนนท์ ผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด ซ. 2 และ 4 พยานจำเลยว่า ผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด ซ. ทั้งหมด ในช่วงเวลากลางวันจะออกสู่ถนนสาธารณะโดยใช้เส้นทางหลักผ่านทางซอย ล. 128 และใช้ซอย ล. 126 เป็นทางรอง ในเวลากลางคืนจะไม่ใช้ซอย ล. 126 เนื่องจากเปลี่ยว แต่หากจะใช้ซอย ล. 130 โดยผ่านอาคารชุดโครงการ ด. ของโจทก์ตามเส้นลูกศรสีแดงในแผนที่เอกสารหมาย ล.19 สามารถทำได้แต่ต้องแลกบัตร แม้ที่ดินตามที่นายวิรนนท์อ้างถึงเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ก็ตาม แต่เป็นส่วนที่อยู่บริเวณด้านหน้าของที่ดิน มิใช่ในส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมที่อยู่ด้านหลังของโครงการ เมื่อภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิซึ่งตัดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัดว่า ภาระจำยอมที่ยังคงอยู่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 ก็มีอยู่เฉพาะในที่ดินส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมเท่านั้น การรวมโฉนดที่ดินหลายแปลงเป็นโฉนดเดียว มิได้มีผลทำให้ภาระจำยอมเดิมในโฉนดที่ดินแปลงหนึ่งแปลงใดได้กระจายไปอยู่ในทุกส่วนของโฉนดที่ดินฉบับใหม่ด้วย ซึ่งตรงกับสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 ที่ยังคงระบุว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 243749 เท่านั้นที่ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมตามบันทึกข้อตกลงวันที่ 14 มีนาคม 2537 ดังนั้น ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่มิใช่เป็นส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอม เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคใด ๆ แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 จึงมิใช่เป็นกรณีที่ภาระจำยอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392 ดังจำเลยฎีกา การที่โจทก์มิได้เรียกให้จำเลยย้ายภาระจำยอมจากด้านหลังไปอยู่ด้านหน้าโครงการจึงไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต นอกจากนี้ถนนและกำแพงคอนกรีตในโครงการ ด. ยังเป็นสาธารณูปโภคที่โจทก์มีความชอบธรรมจัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์ในการใช้สอยและควบคุมดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ผู้อยู่อาศัยในอาคารชุดของโจทก์ หากโจทก์จะพึงอนุญาตให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในอาคารชุด ซ. ทุกโครงการสามารถผ่านเข้าออกในบริเวณอาคารชุดโครงการ ด. ได้ แต่ต้องแลกบัตรต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ณ บริเวณประตูเข้าออกด้านหน้าโครงการ ยังนับเป็นเรื่องที่เหมาะสมชอบธรรมและไม่ใช่เป็นเรื่องที่จำเลยหรือลูกบ้านได้ใช้ภาระจำยอมพิพาทตามสิทธิตามปกติเช่นที่เคยมีมา เนื่องจากไม่ใช่เป็นส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นับแต่ที่ได้มีการจดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมบางส่วน เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 จวบจนถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 ซึ่งเป็นวันฟ้อง ไม่เคยมีการใช้ภาระจำยอมเกินกว่า 10 ปี ภาระจำยอมนั้นย่อมสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 โจทก์ในฐานะเจ้าของภารยทรัพย์ชอบที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนภาระจำยอมได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่ตัดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเรียกว่าภารยทรัพย์ ในอันที่ต้องยอมรับกรรมบางอย่างด้วยการงดเว้นการใช้สิทธิในทรัพย์สินของตนเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นที่เรียกว่าสามยทรัพย์ จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัด เดิมที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 243749 ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอม เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคใด ๆ แก่ที่ดินของจําเลยโฉนดเลขที่ 1003 เมื่อโจทก์รวมที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 10516, 10517, 243749 และ 158942 เป็นแปลงเดียวกันเป็นโฉนดเลขที่ 10516 ภาระจำยอมที่ยังคงอยู่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 ฉบับใหม่จึงมีอยู่เฉพาะในที่ดินส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมเท่านั้น การรวมโฉนดที่ดินหลายแปลงเป็นโฉนดเดียว มิได้มีผลทำให้ภาระจำยอมเดิมในโฉนดที่ดินแปลงหนึ่งแปลงใดได้กระจายไปอยู่ในทุกส่วนของโฉนดที่ดินฉบับใหม่ด้วย ดังนั้น ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่มิใช่เป็นส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมดังกล่าว และมิใช่เป็นกรณีที่ภาระจำยอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1392 ดังจําเลยฎีกา
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาให้ทางภาระจำยอมบนที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 สิ้นไป และให้จำเลยจดทะเบียนยกเลิกภาระจำยอมตามที่ได้จดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 เสีย หากจำเลยเพิกเฉยหรือไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนเพิกถอนภาระจำยอมบนที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่ให้เป็นภาระจำยอมบางส่วนแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่มิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เดิมบริษัท ร. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 และ 1003 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 บริษัท ร. จดทะเบียนให้โฉนดที่ดินเลขที่ 243749 ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมบางส่วน เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่โฉนดที่ดินเลขที่ 134205, 158942, 1003 อำเภอเดียวกัน โดยบันทึกข้อตกลง ลงวันที่ 14 มีนาคม 2537 ปี 2539 บริษัท ร. จดทะเบียนอาคารชุด ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ชื่ออาคารชุด ซ. อาคาร จี 1, จี 2 ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 จำนวน 437 ห้องชุด โดยมีจำเลยเป็นนิติบุคคลอาคารชุด เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2551 โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516, 10517, 243749 และ 158942 มาจากเจ้าของเดิม ในปี 2552 โจทก์รวมที่ดินทั้งสี่โฉนดเป็นแปลงเดียวกันเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 โดยในสารบัญจดทะเบียนวันที่ 14 มีนาคม 2537 ระบุว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 243749 ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมบางส่วน เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่โฉนดที่ดินเลขที่ 134205, 158942, 1003 อำเภอเดียวกัน โดยบันทึกข้อตกลง ลงวันที่ 14 มีนาคม 2537 แล้วดำเนินการก่อสร้างอาคารชุดชื่อโครงการ ด. บนที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 กับสร้างกำแพงคอนกรีตล้อมรอบโครงการของโจทก์ไว้ รวมทั้งส่วนที่เป็นโฉนดเลขที่ 243749 เดิม
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ภาระจำยอมพิพาทสิ้นไปแล้วหรือไม่ เห็นว่า ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่ตัดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเรียกว่าภารยทรัพย์ ในอันที่ต้องรับกรรมบางอย่างด้วยการงดเว้นการใช้สิทธิในทรัพย์สินของตนเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นที่เรียกว่าสามยทรัพย์ สำหรับกรณีพิพาทคือ โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่จำต้องผูกพันด้วยการงดเว้นการใช้สิทธิในที่ดินส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมอันเป็นที่ดินภารยทรัพย์ ในเรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ซึ่งเป็นสามยทรัพย์ และขณะพิพาทที่ดินตกเป็นสิทธิแก่จำเลยในการจัดการและรักษาดูแลตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ตามที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ได้จดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 ก็ตาม แต่ข้อที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ไม่ได้ใช้ภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เนื่องจากมีที่ดินหลายแปลงและลำรางสาธารณประโยชน์ขวางกั้นอยู่ จำเลยเพียงให้การว่า มีสะพานข้ามลำรางสาธารณประโยชน์ได้เท่านั้น มิได้ต่อสู้ว่า นอกจากจะมีการจดทะเบียนเรื่องภาระจำยอมแล้ว ตามสภาพความเป็นจริงที่มีมาแต่เดิม เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ได้ใช้ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เป็นทางเดินหรือทางรถยนต์หรือทางสาธารณูปโภคในลักษณะใดและใช้ติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันแต่อย่างใด กับเมื่อพิจารณาภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่ซึ่งโจทก์และจำเลยอ้าง ประกอบกับนางสาวจิตราภรณ์ ผู้จัดการของจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า บริเวณระบายด้วยสีเขียวในเอกสารหมาย ล.19 ที่เป็นภาระจำยอมที่อยู่นอกรั้วโครงการของโจทก์ล้วนเป็นที่ดินรกร้าง ไม่สามารถเดินไปจนสุดทางได้เนื่องจากมีป่ารกร้างขวางอยู่ ทำเห็นได้ว่านับแต่จดทะเบียนภาระจำยอมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีการใช้ภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เป็นทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคใด ๆ เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ตามที่ได้จดทะเบียนไว้เลย ทั้งนี้ก็เนื่องจากที่ดินทั้งสองแปลงมิได้อยู่ติดกัน ต้องผ่านที่ดินแปลงอื่นกับลำรางสาธารณประโยชน์ และจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ไม่สามารถที่จะผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เพื่อการออกสู่ทางสาธารณะได้ กับได้ความจากนายวิรนนท์ ผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด ซ. 2 และ 4 พยานจำเลยว่า ผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด ซ. ทั้งหมด ในช่วงเวลากลางวันจะออกสู่ถนนสาธารณะโดยใช้เส้นทางหลักผ่านทางซอย ล. 128 และใช้ซอย ล. 126 เป็นทางรอง ในเวลากลางคืนจะไม่ใช้ซอย ล. 126 เนื่องจากเปลี่ยว แต่หากจะใช้ซอย ล. 130 โดยผ่านอาคารชุดโครงการ ด. ของโจทก์ตามเส้นลูกศรสีแดงในแผนที่เอกสารหมาย ล.19 สามารถทำได้แต่ต้องแลกบัตร แม้ที่ดินตามที่นายวิรนนท์อ้างถึงเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ก็ตาม แต่เป็นส่วนที่อยู่บริเวณด้านหน้าของที่ดิน มิใช่ในส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมที่อยู่ด้านหลังของโครงการ เมื่อภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิซึ่งตัดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัดว่า ภาระจำยอมที่ยังคงอยู่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 ก็มีอยู่เฉพาะในที่ดินส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมเท่านั้น การรวมโฉนดที่ดินหลายแปลงเป็นโฉนดเดียว มิได้มีผลทำให้ภาระจำยอมเดิมในโฉนดที่ดินแปลงหนึ่งแปลงใดได้กระจายไปอยู่ในทุกส่วนของโฉนดที่ดินฉบับใหม่ด้วย ซึ่งตรงกับสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 ที่ยังคงระบุว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 243749 เท่านั้นที่ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมตามบันทึกข้อตกลงวันที่ 14 มีนาคม 2537 ดังนั้น ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่มิใช่เป็นส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอม เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคใด ๆ แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 จึงมิใช่เป็นกรณีที่ภาระจำยอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392 ดังจำเลยฎีกา การที่โจทก์มิได้เรียกให้จำเลยย้ายภาระจำยอมจากด้านหลังไปอยู่ด้านหน้าโครงการจึงไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต นอกจากนี้ถนนและกำแพงคอนกรีตในโครงการ ด. ยังเป็นสาธารณูปโภคที่โจทก์มีความชอบธรรมจัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์ในการใช้สอยและควบคุมดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ผู้อยู่อาศัยในอาคารชุดของโจทก์ หากโจทก์จะพึงอนุญาตให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในอาคารชุด ซ. ทุกโครงการสามารถผ่านเข้าออกในบริเวณอาคารชุดโครงการ ด. ได้ แต่ต้องแลกบัตรต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ณ บริเวณประตูเข้าออกด้านหน้าโครงการ ยังนับเป็นเรื่องที่เหมาะสมชอบธรรมและไม่ใช่เป็นเรื่องที่จำเลยหรือลูกบ้านได้ใช้ภาระจำยอมพิพาทตามสิทธิตามปกติเช่นที่เคยมีมา เนื่องจากไม่ใช่เป็นส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นับแต่ที่ได้มีการจดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมบางส่วน เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 จวบจนถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 ซึ่งเป็นวันฟ้อง ไม่เคยมีการใช้ภาระจำยอมเกินกว่า 10 ปี ภาระจำยอมนั้นย่อมสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 โจทก์ในฐานะเจ้าของภารยทรัพย์ชอบที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนภาระจำยอมได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่มีการสมคบโดยรวมตัวกันเป็นคณะบุคคลกระทำการชักชวน ว. ให้รับตั้งครรภ์แทนผู้อื่น โดยจะให้เงินเป็นการตอบแทนเพื่อกระทำความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า โดยความผิดดังกล่าวจะกระทำในเขตแดนของรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ส่วนความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า เกิดขึ้นเมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกให้ ว. ไปรับการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแล้วนำเอาตัวอ่อนที่เกิดจากอสุจิผสมกับไข่ใส่เข้าไปในรังไข่ของ ว. ซึ่งสามารถแยกการกระทำและเจตนาในการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติกับความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าออกจากกันได้ ความผิดทั้งสองฐานนี้ จึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 3, 5, 6, 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 3, 5, 24, 48
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานจำเลยทั้งสองขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2), 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 24, 48 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 4 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 2 ปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำคุกคนละ 4 ปี ฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า จำคุกคนละ 4 ปี รวมจำคุกคนละ 8 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองเพียงประการเดียวว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยแยกเป็นข้อ 1 (ก) จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และข้อ 1 (ข) ภายหลังจากกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1 (ก) แล้ว จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า เมื่อจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และความผิดตามคำฟ้องไม่ได้กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง ซึ่งจะเห็นได้ว่าความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามฟ้องข้อ 1 (ก) เป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่มีการสมคบโดยรวมตัวกันเป็นคณะบุคคลกระทำการชักชวนนางสาว ว. ให้รับตั้งครรภ์แทนผู้อื่นโดยจะให้เงินเป็นการตอบแทนเพื่อกระทำความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าโดยความผิดดังกล่าวจะกระทำในเขตแดนของรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ส่วนความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าตามฟ้องข้อ 1 (ข) เกิดขึ้นเมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกให้นางสาว ว.ไปรับการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล แล้วนำเอาตัวอ่อนที่เกิดจากอสุจิผสมกับไข่ใส่เข้าไปในรังไข่ของนางสาว ว. อันเป็นเวลาภายหลังจากมีการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติสำเร็จแล้ว ดังนี้ สามารถแยกการกระทำและเจตนาในการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติกับความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าออกจากกันได้ ความผิดทั้งสองฐานจึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่มีการสมคบโดยรวมตัวกันเป็นคณะบุคคลกระทำการชักชวน ว. ให้รับตั้งครรภ์แทนผู้อื่น โดยจะให้เงินเป็นการตอบแทนเพื่อกระทำความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า โดยความผิดดังกล่าวจะกระทำในเขตแดนของรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ส่วนความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า เกิดขึ้นเมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกให้ ว. ไปรับการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแล้วนำเอาตัวอ่อนที่เกิดจากอสุจิผสมกับไข่ใส่เข้าไปในรังไข่ของ ว. ซึ่งสามารถแยกการกระทำและเจตนาในการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติกับความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าออกจากกันได้ ความผิดทั้งสองฐานนี้ จึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 3, 5, 6, 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 3, 5, 24, 48
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานจำเลยทั้งสองขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2), 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 24, 48 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 4 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 2 ปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำคุกคนละ 4 ปี ฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า จำคุกคนละ 4 ปี รวมจำคุกคนละ 8 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองเพียงประการเดียวว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยแยกเป็นข้อ 1 (ก) จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และข้อ 1 (ข) ภายหลังจากกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1 (ก) แล้ว จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า เมื่อจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และความผิดตามคำฟ้องไม่ได้กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง ซึ่งจะเห็นได้ว่าความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามฟ้องข้อ 1 (ก) เป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่มีการสมคบโดยรวมตัวกันเป็นคณะบุคคลกระทำการชักชวนนางสาว ว. ให้รับตั้งครรภ์แทนผู้อื่นโดยจะให้เงินเป็นการตอบแทนเพื่อกระทำความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าโดยความผิดดังกล่าวจะกระทำในเขตแดนของรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ส่วนความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าตามฟ้องข้อ 1 (ข) เกิดขึ้นเมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกให้นางสาว ว.ไปรับการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล แล้วนำเอาตัวอ่อนที่เกิดจากอสุจิผสมกับไข่ใส่เข้าไปในรังไข่ของนางสาว ว. อันเป็นเวลาภายหลังจากมีการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติสำเร็จแล้ว ดังนี้ สามารถแยกการกระทำและเจตนาในการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติกับความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าออกจากกันได้ ความผิดทั้งสองฐานจึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
แม้การให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 24 เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยซึ่งศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกาก็ตาม แต่ข้อมูลดังกล่าวต้องเป็นข้อเท็จจริงที่มีการนำสืบกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น คดีนี้ไม่มีการสืบพยานให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และฎีกา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยให้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ชอบแล้ว
หญิงซึ่งรับตั้งครรภ์แทนตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าจ้างนั้นไม่อยู่ในเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 21 ที่จะรับตั้งครรภ์แทนได้ การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันพาหญิงดังกล่าวไปตรวจมดลูกที่โรงพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อม และเดินทางไปฝังตัวอ่อน อันเป็นการดำเนินการครบถ้วนในทางการแพทย์ที่จะทำให้หญิงตั้งครรภ์โดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์แล้ว จากนั้นเป็นการเจริญของทารกในครรภ์ในมดลูกของหญิงตามธรรมชาติ ถือได้ว่าเป็นการดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนโดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เพื่อประโยชน์ทางการค้าแล้ว จึงเป็นความผิดสำเร็จตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 24 โดยไม่จำต้องให้หญิงที่รับจ้างตั้งครรภ์แทนตั้งครรภ์ก่อน ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดองค์ประกอบความผิดและไม่เป็นการพยายามกระทำความผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 3, 5, 6, 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 3, 5, 24, 48 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (1) (2) (3) (4), 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 24, 48 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำคุกคนละ 4 ปี ฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า จำคุกคนละกระทงละ 6 เดือน รวม 14 กระทง เป็นจำคุกคนละ 84 เดือน จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ คงจำคุกคนละ 2 ปี ฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า คงจำคุกคนละกระทงละ 3 เดือน รวม 14 กระทง เป็นจำคุกคนละ 42 เดือน รวมจำคุกคนละ 2 ปี 42 เดือน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการแรกว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่ เห็นว่า แม้การให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 24 เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยซึ่งศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกาก็ตาม แต่ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่มีการนำสืบกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งศาลจะหยิบยกข้อเท็จจริงในบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนเอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข 1 และ 2 มารับฟังเพียงลำพังว่ามีการให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติโดยไม่มีการสืบพยานอื่นประกอบหาได้ไม่ และคดีนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพโดยไม่มีการสืบพยานให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และฎีกา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการต่อไปมีว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามฟ้องข้อ 1.4 ถึงข้อ 1.6 ข้อ 1.10 และข้อ 1.11ครบองค์ประกอบความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าหรือไม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า ตามฟ้องข้อดังกล่าวหญิงที่จะรับตั้งครรภ์แทนไม่ได้ตั้งครรภ์จึงขาดองค์ประกอบความผิด หรือเป็นเพียงพยายามกระทำความผิดนั้น ต้องพิจารณาขั้นตอนการดำเนินการทางการแพทย์ ธรรมชาติของการตั้งครรภ์ และบทบัญญัติของกฎหมายประกอบกันตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 21 บัญญัติให้การดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนต้องเป็นไปตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(1) สามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งภริยาไม่อาจตั้งครรภ์ได้ที่ประสงค์จะมีบุตรโดยให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทน ต้องมีสัญชาติไทย ในกรณีที่สามีหรือภริยามิได้มีสัญชาติไทยต้องจดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี
(2) หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องมิใช่บุพการีหรือผู้สืบสันดานของสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายตาม (1)
(3) หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องเป็นญาติสืบสายโลหิตของสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย...
(4) หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องเป็นหญิงที่เคยมีบุตรมาก่อนแล้วเท่านั้น ถ้าหญิงนั้นมีสามีที่ชอบด้วยกฎหมายหรือชายที่อยู่กินฉันสามีภริยา จะต้องได้รับความยินยอมจากสามีที่ชอบด้วยกฎหมายหรือชายดังกล่าวด้วย
มาตรา 24 บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า เห็นว่า หญิงซึ่งรับตั้งครรภ์แทนตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าจ้างนั้นไม่อยู่ในเงื่อนไขตามมาตรา 21 ที่จะรับตั้งครรภ์แทนได้ การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันพาหญิงดังกล่าวไปตรวจมดลูกที่โรงพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อม และเดินทางไปฝังตัวอ่อน อันเป็นการดำเนินการครบถ้วนในทางการแพทย์ที่จะทำให้หญิงตั้งครรภ์โดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์แล้ว จากนั้นเป็นการเจริญของทารกในครรภ์ในมดลูกของหญิงตามธรรมชาติ ถือได้ว่าเป็นการดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนโดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เพื่อประโยชน์ทางการค้าแล้ว จึงเป็นความผิดสำเร็จโดยไม่จำต้องให้หญิงที่รับจ้างตั้งครรภ์แทนตั้งครรภ์ก่อน ฟ้องโจทก์ตามข้อ 1.4 ถึงข้อ 1.6 ข้อ 1.10 และข้อ 1.11 จึงไม่ขาดองค์ประกอบความผิดและไม่เป็นการพยายามกระทำความผิด ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการสุดท้ายมีว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ว่าจ้างหญิงหลายคนให้ตั้งครรภ์แทน และพาไปตรวจมดลูก ฝังตัวอ่อนฝากครรภ์ ตรวจที่โรงพยาบาล จัดหาที่พัก และส่งมอบทารกให้แก่ผู้ว่าจ้างซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศเพื่อประโยชน์ทางการค้า เป็นความผิดถึง 14 กระทงโดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ลำพังแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีประวัติกระทำความผิด ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะเป็นการสมควรให้โอกาสได้กลับตัว เนื่องจากไม่เหมาะสมกับสภาพความผิด ทั้งอาจเป็นเยี่ยงอย่างให้แก่ผู้คิดจะกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 หลังจากลดโทษแล้วในความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า จำคุกกระทงละ 3 เดือน รวม 14 กระทง รวมจำคุก 42 เดือน โดยไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนนั้น เป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน
แม้การให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 24 เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยซึ่งศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกาก็ตาม แต่ข้อมูลดังกล่าวต้องเป็นข้อเท็จจริงที่มีการนำสืบกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น คดีนี้ไม่มีการสืบพยานให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และฎีกา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยให้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ชอบแล้ว
หญิงซึ่งรับตั้งครรภ์แทนตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าจ้างนั้นไม่อยู่ในเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 21 ที่จะรับตั้งครรภ์แทนได้ การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันพาหญิงดังกล่าวไปตรวจมดลูกที่โรงพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อม และเดินทางไปฝังตัวอ่อน อันเป็นการดำเนินการครบถ้วนในทางการแพทย์ที่จะทำให้หญิงตั้งครรภ์โดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์แล้ว จากนั้นเป็นการเจริญของทารกในครรภ์ในมดลูกของหญิงตามธรรมชาติ ถือได้ว่าเป็นการดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนโดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เพื่อประโยชน์ทางการค้าแล้ว จึงเป็นความผิดสำเร็จตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 24 โดยไม่จำต้องให้หญิงที่รับจ้างตั้งครรภ์แทนตั้งครรภ์ก่อน ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดองค์ประกอบความผิดและไม่เป็นการพยายามกระทำความผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 3, 5, 6, 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 3, 5, 24, 48 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (1) (2) (3) (4), 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 24, 48 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำคุกคนละ 4 ปี ฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า จำคุกคนละกระทงละ 6 เดือน รวม 14 กระทง เป็นจำคุกคนละ 84 เดือน จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ คงจำคุกคนละ 2 ปี ฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า คงจำคุกคนละกระทงละ 3 เดือน รวม 14 กระทง เป็นจำคุกคนละ 42 เดือน รวมจำคุกคนละ 2 ปี 42 เดือน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการแรกว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่ เห็นว่า แม้การให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 24 เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยซึ่งศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกาก็ตาม แต่ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่มีการนำสืบกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งศาลจะหยิบยกข้อเท็จจริงในบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนเอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข 1 และ 2 มารับฟังเพียงลำพังว่ามีการให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติโดยไม่มีการสืบพยานอื่นประกอบหาได้ไม่ และคดีนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพโดยไม่มีการสืบพยานให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และฎีกา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการต่อไปมีว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามฟ้องข้อ 1.4 ถึงข้อ 1.6 ข้อ 1.10 และข้อ 1.11ครบองค์ประกอบความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าหรือไม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า ตามฟ้องข้อดังกล่าวหญิงที่จะรับตั้งครรภ์แทนไม่ได้ตั้งครรภ์จึงขาดองค์ประกอบความผิด หรือเป็นเพียงพยายามกระทำความผิดนั้น ต้องพิจารณาขั้นตอนการดำเนินการทางการแพทย์ ธรรมชาติของการตั้งครรภ์ และบทบัญญัติของกฎหมายประกอบกันตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 21 บัญญัติให้การดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนต้องเป็นไปตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(1) สามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งภริยาไม่อาจตั้งครรภ์ได้ที่ประสงค์จะมีบุตรโดยให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทน ต้องมีสัญชาติไทย ในกรณีที่สามีหรือภริยามิได้มีสัญชาติไทยต้องจดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี
(2) หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องมิใช่บุพการีหรือผู้สืบสันดานของสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายตาม (1)
(3) หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องเป็นญาติสืบสายโลหิตของสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย...
(4) หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องเป็นหญิงที่เคยมีบุตรมาก่อนแล้วเท่านั้น ถ้าหญิงนั้นมีสามีที่ชอบด้วยกฎหมายหรือชายที่อยู่กินฉันสามีภริยา จะต้องได้รับความยินยอมจากสามีที่ชอบด้วยกฎหมายหรือชายดังกล่าวด้วย
มาตรา 24 บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า เห็นว่า หญิงซึ่งรับตั้งครรภ์แทนตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าจ้างนั้นไม่อยู่ในเงื่อนไขตามมาตรา 21 ที่จะรับตั้งครรภ์แทนได้ การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันพาหญิงดังกล่าวไปตรวจมดลูกที่โรงพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อม และเดินทางไปฝังตัวอ่อน อันเป็นการดำเนินการครบถ้วนในทางการแพทย์ที่จะทำให้หญิงตั้งครรภ์โดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์แล้ว จากนั้นเป็นการเจริญของทารกในครรภ์ในมดลูกของหญิงตามธรรมชาติ ถือได้ว่าเป็นการดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนโดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เพื่อประโยชน์ทางการค้าแล้ว จึงเป็นความผิดสำเร็จโดยไม่จำต้องให้หญิงที่รับจ้างตั้งครรภ์แทนตั้งครรภ์ก่อน ฟ้องโจทก์ตามข้อ 1.4 ถึงข้อ 1.6 ข้อ 1.10 และข้อ 1.11 จึงไม่ขาดองค์ประกอบความผิดและไม่เป็นการพยายามกระทำความผิด ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการสุดท้ายมีว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ว่าจ้างหญิงหลายคนให้ตั้งครรภ์แทน และพาไปตรวจมดลูก ฝังตัวอ่อนฝากครรภ์ ตรวจที่โรงพยาบาล จัดหาที่พัก และส่งมอบทารกให้แก่ผู้ว่าจ้างซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศเพื่อประโยชน์ทางการค้า เป็นความผิดถึง 14 กระทงโดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ลำพังแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีประวัติกระทำความผิด ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะเป็นการสมควรให้โอกาสได้กลับตัว เนื่องจากไม่เหมาะสมกับสภาพความผิด ทั้งอาจเป็นเยี่ยงอย่างให้แก่ผู้คิดจะกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 หลังจากลดโทษแล้วในความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า จำคุกกระทงละ 3 เดือน รวม 14 กระทง รวมจำคุก 42 เดือน โดยไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนนั้น เป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน
แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามให้ล้มละลาย แต่หากศาลล้มละลายกลางพิจารณาสำนวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกอบสำนวนของศาลล้มละลายกลางตามกระบวนพิจารณาคดีล้มละลาย มาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ก็จะทราบว่าเจ้าหนี้ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามต่อศาลล้มละลายกลาง มูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมีอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุดตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/32 เมื่อมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 เจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องเป็นคดีต่อศาลล้มละลายกลางวันที่ 18 เมษายน 2551 ภายในกำหนดอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุด ย่อมมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (2) มูลหนี้ตามคำพิพากษาจึงยังไม่ขาดอายุความ เจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้คำพิพากษาดังกล่าวได้
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) ทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552
เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเงิน 6,823,168.47 บาท ในฐานะเจ้าหนี้ไม่มีประกันจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104 แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วทำความเห็นว่า เจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 7788/2541 ที่ได้รับโอนมาจากธนาคาร ก. เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ทั้งสามชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวจริง คดีดังกล่าวศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2541 คดีจึงถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 เจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้วันที่ 23 เมษายน 2552 โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวยื่นฟ้องลูกหนี้ทั้งสามเป็นคดีล้มละลายนี้หรือไม่ หรือมีเหตุอื่นใดอันอาจทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงขาดอายุความและต้องห้ามมิให้ยื่นขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ 2483 มาตรา 94 เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้เสียทั้งสิ้น ตามมาตรา 107 (1) (เดิม)
ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำสั่งให้ศาลล้มละลายกลางไต่สวนข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้ทราบคำสั่งศาลที่ยกคำขอรับชำระหนี้ในวันใด ซึ่งศาลล้มละลายกลางไต่สวนข้อเท็จจริงแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่าเจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ พิพากษายกอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่เจ้าหนี้ ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
เจ้าหนี้ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของเจ้าหนี้ว่า เจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ยกคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 28/1 หรือไม่ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษว่า เจ้าหนี้โดยนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงได้มอบอำนาจให้นายสมเกียรติ ดำเนินกระบวนพิจารณาในการขอรับชำระหนี้คดีนี้ ต่อมาเจ้าหนี้โดยนายสมเกียรติยื่นคำขอรับชำระหนี้ แต่นายสมเกียรติไม่มาให้การสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ตามนัด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงส่งหมายนัดสอบสวนครั้งที่สองไปยังกรรมการเจ้าหนี้เพื่อมาให้การสอบสวนในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 แต่ไม่มีเจ้าหนี้หรือผู้รับมอบอำนาจคนใดมาให้การสอบสวนตามนัด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงเสนอความเห็นต่อศาลล้มละลายกลางว่า หนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ขาดอายุความ เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2561 นายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อขอส่งเอกสารและบันทึกถ้อยคำแทนการสอบสวน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่าได้ทำความเห็นคำขอรับชำระหนี้เสนอศาลแล้วจึงสั่งรวมเอกสาร และต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หมายแจ้งคำสั่งศาลให้เจ้าหนี้ทราบโดยส่งไปยังภูมิลำเนาของนายสมเกียรติ เจ้าหนี้อ้างว่าไม่ทราบคำสั่งศาลที่ยกคำขอรับชำระหนี้ เพิ่งมาทราบคำสั่งศาลเมื่อนายเรวัตได้ไปตรวจคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 จึงได้ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 และข้อเท็จจริงปรากฏตามสำนวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมไว้ว่าเจ้าหนี้โดยนายสมเกียรติยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2552 ต่อมาวันที่ 25 สิงหาคม 2552 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำรายงานว่า เมื่อไม่ปรากฏทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้จึงงดทำความเห็นคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ไม่มีประกัน 2 ราย ซึ่งรวมเจ้าหนี้คดีนี้ไว้ก่อน ครั้นวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ทั้งสามล้มละลายและมีคำสั่งอนุญาตให้ปิดคดีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2555 ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานศาลขอให้มีคำสั่งเปิดคดีเนื่องจากมีทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 3 ไม่มีภาระผูกพัน ได้ยึดไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7788/2541 ของศาลแพ่ง อยู่ระหว่างประกาศขายทอดตลาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงเบิกสำนวนของเจ้าหนี้และเจ้าหนี้อีกรายหนึ่งมาดำเนินการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้โดยส่งหมายนัดไปยังนายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ แต่ส่งไม่ได้เนื่องจากไม่พบบ้านเลขที่ดังกล่าวตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 1 ธันวาคม 2560 โดยนายสามารถ พนักงานเดินหมาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงส่งหมายนัดครั้งที่สองไปยังกรรมการเจ้าหนี้ ส่งได้โดยมีผู้รับหมายแทนเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 ตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 31 มกราคม 2561 โดยนายบุรินทร์ พนักงานเดินหมาย เจ้าหนี้โดยนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงได้ทำบันทึกถ้อยคำแทนการสอบสวนลงวันที่ 18 เมษายน 2561 พร้อมเอกสารแนบ 7 ฉบับ ยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่า คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลให้รวมไว้ ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2561 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับแจ้งคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 ว่า แจ้งคำสั่งศาลให้คู่ความทราบ โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งหมายแจ้งคำสั่งศาลไปยังนายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจของเจ้าหนี้ ครั้งนี้ส่งหมายได้ด้วยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 โดยนายสามารถ พนักงานเดินหมาย รายงานว่า พบบ้านปิดประตูใส่กุญแจ ไม่พบบุคคล บริเวณบ้านวัชพืชขึ้นรก ตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 เห็นว่า นับแต่ที่นายสมเกียรติยื่นคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2552 แล้ว ไม่ปรากฏว่านายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ได้ดำเนินการติดต่อกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จนกระทั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เบิกสำนวนมาดำเนินการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ โดยส่งหมายนัดไปยังนายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ แต่ส่งไม่ได้ ตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 1 ธันวาคม 2560 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงส่งหมายนัดครั้งที่สองไปยังกรรมการเจ้าหนี้ ส่งหมายได้โดยมีผู้รับหมายแทน เจ้าหนี้โดยนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงดำเนินการให้ถ้อยคำและยื่นเอกสารต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งรวมเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 ดังนี้ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 ให้แจ้งคำสั่งศาลให้คู่ความทราบ ก็ชอบที่จะออกหมายแจ้งคำสั่งศาลไปยังกรรมการเจ้าหนี้หรือนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงตามข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กลับออกหมายแจ้งคำสั่งศาลโดยส่งไปที่นายสมเกียรติ ตามภูมิลำเนาเดิม ทั้งที่มีข้อมูลว่าไม่สามารถส่งหมายให้นายสมเกียรติได้มาครั้งหนึ่งแล้ว แม้ครั้งหลังจะส่งหมายแจ้งคำสั่งศาลให้นายสมเกียรติได้ด้วยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 และเจ้าหนี้ยังไม่ได้เพิกถอนหนังสือมอบอำนาจช่วงให้นายสมเกียรติก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีในการส่งหมายให้แก่นายสมเกียรติครั้งแรก พนักงานเดินหมายระบุเหตุที่ไม่พบ เนื่องจากซอยโชคชัย 4 มีหลายหมู่และซอยแยกมากมาย แต่ต่อมาในการส่งหมายแจ้งคำสั่งศาล พนักงานเดินหมายคนเดิมกลับส่งหมายได้ด้วยวิธีปิดหมาย และสภาพภูมิลำเนาของนายสมเกียรติที่ปิดหมายไว้ เป็นบ้านปิดประตูใส่กุญแจ ไม่พบบุคคล บริเวณบ้านวัชพืชขึ้นรก กรณีจึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเจ้าหนี้ยังไม่ทราบคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ออกหมายแจ้งไป ประกอบกับมูลหนี้ที่เจ้าหนี้นำมาขอรับชำระหนี้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งที่มีทุนทรัพย์ 6,823,168.47 บาท หากเจ้าหนี้ทราบคำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่ยกคำขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้จะต้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลล้มละลายกลางโดยทันที เมื่อเจ้าหนี้อ้างว่า ทนายความได้ไปตรวจคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 จึงได้ทราบคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้โต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น ที่เจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 จึงถือได้ว่าเจ้าหนี้ได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดหนึ่งเดือน ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 28/1 แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า เจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามกฎหมายแล้ว ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของเจ้าหนี้ฟังขึ้น และเพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ต่อไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาก่อน
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า มูลหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าหนี้นำมาขอรับชำระหนี้ขาดอายุความและต้องห้ามมิให้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94 หรือไม่ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 7788/2541 พิพากษาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2541 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 มายื่นคำขอรับชำระหนี้ ศาลล้มละลายกลางเห็นว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวยื่นฟ้องลูกหนี้ทั้งสามเป็นคดีล้มละลายหรือมีเหตุอื่นใดอันอาจทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงขาดอายุความและต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้อุทธรณ์ว่า เจ้าหนี้นำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามให้ล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 อายุความย่อมสะดุดหยุดลง ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบดีอยู่แล้วนั้น เห็นว่า ตามรายงานความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในเรื่องคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสามเด็ดขาด วันที่ 23 เมษายน 2552 เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ แม้เจ้าหนี้ไม่นำพยานหลักฐานมาให้การสอบสวนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จึงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามให้ล้มละลาย แต่หากศาลล้มละลายกลางพิจารณาสำนวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกอบสำนวนของศาลล้มละลายกลางตามกระบวนพิจารณาคดีล้มละลาย มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ก็จะทราบว่าเจ้าหนี้ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของลูกหนี้ทั้งสามและหมายแจ้งคำสั่งดังกล่าวแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฉบับลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 มูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมีอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 เมื่อมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 เจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องเป็นคดีต่อศาลล้มละลายกลางวันที่ 18 เมษายน 2551 ภายในกำหนดอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุด ย่อมมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (2) มูลหนี้ตามคำพิพากษาจึงยังไม่ขาดอายุความ เจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้คำพิพากษาดังกล่าวได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้เป็นการไม่ชอบ อุทธรณ์ของเจ้าหนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับ อนุญาตให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 106 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามให้ล้มละลาย แต่หากศาลล้มละลายกลางพิจารณาสำนวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกอบสำนวนของศาลล้มละลายกลางตามกระบวนพิจารณาคดีล้มละลาย มาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ก็จะทราบว่าเจ้าหนี้ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามต่อศาลล้มละลายกลาง มูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมีอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุดตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/32 เมื่อมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 เจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องเป็นคดีต่อศาลล้มละลายกลางวันที่ 18 เมษายน 2551 ภายในกำหนดอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุด ย่อมมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (2) มูลหนี้ตามคำพิพากษาจึงยังไม่ขาดอายุความ เจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้คำพิพากษาดังกล่าวได้
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) ทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552
เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเงิน 6,823,168.47 บาท ในฐานะเจ้าหนี้ไม่มีประกันจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104 แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วทำความเห็นว่า เจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 7788/2541 ที่ได้รับโอนมาจากธนาคาร ก. เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ทั้งสามชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวจริง คดีดังกล่าวศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2541 คดีจึงถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 เจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้วันที่ 23 เมษายน 2552 โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวยื่นฟ้องลูกหนี้ทั้งสามเป็นคดีล้มละลายนี้หรือไม่ หรือมีเหตุอื่นใดอันอาจทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงขาดอายุความและต้องห้ามมิให้ยื่นขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ 2483 มาตรา 94 เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้เสียทั้งสิ้น ตามมาตรา 107 (1) (เดิม)
ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำสั่งให้ศาลล้มละลายกลางไต่สวนข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้ทราบคำสั่งศาลที่ยกคำขอรับชำระหนี้ในวันใด ซึ่งศาลล้มละลายกลางไต่สวนข้อเท็จจริงแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่าเจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ พิพากษายกอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่เจ้าหนี้ ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
เจ้าหนี้ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของเจ้าหนี้ว่า เจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ยกคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 28/1 หรือไม่ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษว่า เจ้าหนี้โดยนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงได้มอบอำนาจให้นายสมเกียรติ ดำเนินกระบวนพิจารณาในการขอรับชำระหนี้คดีนี้ ต่อมาเจ้าหนี้โดยนายสมเกียรติยื่นคำขอรับชำระหนี้ แต่นายสมเกียรติไม่มาให้การสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ตามนัด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงส่งหมายนัดสอบสวนครั้งที่สองไปยังกรรมการเจ้าหนี้เพื่อมาให้การสอบสวนในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 แต่ไม่มีเจ้าหนี้หรือผู้รับมอบอำนาจคนใดมาให้การสอบสวนตามนัด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงเสนอความเห็นต่อศาลล้มละลายกลางว่า หนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ขาดอายุความ เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2561 นายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อขอส่งเอกสารและบันทึกถ้อยคำแทนการสอบสวน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่าได้ทำความเห็นคำขอรับชำระหนี้เสนอศาลแล้วจึงสั่งรวมเอกสาร และต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หมายแจ้งคำสั่งศาลให้เจ้าหนี้ทราบโดยส่งไปยังภูมิลำเนาของนายสมเกียรติ เจ้าหนี้อ้างว่าไม่ทราบคำสั่งศาลที่ยกคำขอรับชำระหนี้ เพิ่งมาทราบคำสั่งศาลเมื่อนายเรวัตได้ไปตรวจคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 จึงได้ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 และข้อเท็จจริงปรากฏตามสำนวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมไว้ว่าเจ้าหนี้โดยนายสมเกียรติยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2552 ต่อมาวันที่ 25 สิงหาคม 2552 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำรายงานว่า เมื่อไม่ปรากฏทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้จึงงดทำความเห็นคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ไม่มีประกัน 2 ราย ซึ่งรวมเจ้าหนี้คดีนี้ไว้ก่อน ครั้นวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ทั้งสามล้มละลายและมีคำสั่งอนุญาตให้ปิดคดีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2555 ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานศาลขอให้มีคำสั่งเปิดคดีเนื่องจากมีทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 3 ไม่มีภาระผูกพัน ได้ยึดไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7788/2541 ของศาลแพ่ง อยู่ระหว่างประกาศขายทอดตลาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงเบิกสำนวนของเจ้าหนี้และเจ้าหนี้อีกรายหนึ่งมาดำเนินการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้โดยส่งหมายนัดไปยังนายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ แต่ส่งไม่ได้เนื่องจากไม่พบบ้านเลขที่ดังกล่าวตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 1 ธันวาคม 2560 โดยนายสามารถ พนักงานเดินหมาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงส่งหมายนัดครั้งที่สองไปยังกรรมการเจ้าหนี้ ส่งได้โดยมีผู้รับหมายแทนเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 ตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 31 มกราคม 2561 โดยนายบุรินทร์ พนักงานเดินหมาย เจ้าหนี้โดยนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงได้ทำบันทึกถ้อยคำแทนการสอบสวนลงวันที่ 18 เมษายน 2561 พร้อมเอกสารแนบ 7 ฉบับ ยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่า คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลให้รวมไว้ ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2561 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับแจ้งคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 ว่า แจ้งคำสั่งศาลให้คู่ความทราบ โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งหมายแจ้งคำสั่งศาลไปยังนายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจของเจ้าหนี้ ครั้งนี้ส่งหมายได้ด้วยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 โดยนายสามารถ พนักงานเดินหมาย รายงานว่า พบบ้านปิดประตูใส่กุญแจ ไม่พบบุคคล บริเวณบ้านวัชพืชขึ้นรก ตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 เห็นว่า นับแต่ที่นายสมเกียรติยื่นคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2552 แล้ว ไม่ปรากฏว่านายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ได้ดำเนินการติดต่อกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จนกระทั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เบิกสำนวนมาดำเนินการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ โดยส่งหมายนัดไปยังนายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ แต่ส่งไม่ได้ ตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 1 ธันวาคม 2560 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงส่งหมายนัดครั้งที่สองไปยังกรรมการเจ้าหนี้ ส่งหมายได้โดยมีผู้รับหมายแทน เจ้าหนี้โดยนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงดำเนินการให้ถ้อยคำและยื่นเอกสารต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งรวมเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 ดังนี้ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 ให้แจ้งคำสั่งศาลให้คู่ความทราบ ก็ชอบที่จะออกหมายแจ้งคำสั่งศาลไปยังกรรมการเจ้าหนี้หรือนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงตามข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กลับออกหมายแจ้งคำสั่งศาลโดยส่งไปที่นายสมเกียรติ ตามภูมิลำเนาเดิม ทั้งที่มีข้อมูลว่าไม่สามารถส่งหมายให้นายสมเกียรติได้มาครั้งหนึ่งแล้ว แม้ครั้งหลังจะส่งหมายแจ้งคำสั่งศาลให้นายสมเกียรติได้ด้วยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 และเจ้าหนี้ยังไม่ได้เพิกถอนหนังสือมอบอำนาจช่วงให้นายสมเกียรติก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีในการส่งหมายให้แก่นายสมเกียรติครั้งแรก พนักงานเดินหมายระบุเหตุที่ไม่พบ เนื่องจากซอยโชคชัย 4 มีหลายหมู่และซอยแยกมากมาย แต่ต่อมาในการส่งหมายแจ้งคำสั่งศาล พนักงานเดินหมายคนเดิมกลับส่งหมายได้ด้วยวิธีปิดหมาย และสภาพภูมิลำเนาของนายสมเกียรติที่ปิดหมายไว้ เป็นบ้านปิดประตูใส่กุญแจ ไม่พบบุคคล บริเวณบ้านวัชพืชขึ้นรก กรณีจึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเจ้าหนี้ยังไม่ทราบคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ออกหมายแจ้งไป ประกอบกับมูลหนี้ที่เจ้าหนี้นำมาขอรับชำระหนี้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งที่มีทุนทรัพย์ 6,823,168.47 บาท หากเจ้าหนี้ทราบคำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่ยกคำขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้จะต้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลล้มละลายกลางโดยทันที เมื่อเจ้าหนี้อ้างว่า ทนายความได้ไปตรวจคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 จึงได้ทราบคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้โต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น ที่เจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 จึงถือได้ว่าเจ้าหนี้ได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดหนึ่งเดือน ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 28/1 แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า เจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามกฎหมายแล้ว ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของเจ้าหนี้ฟังขึ้น และเพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ต่อไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาก่อน
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า มูลหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าหนี้นำมาขอรับชำระหนี้ขาดอายุความและต้องห้ามมิให้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94 หรือไม่ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 7788/2541 พิพากษาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2541 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 มายื่นคำขอรับชำระหนี้ ศาลล้มละลายกลางเห็นว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวยื่นฟ้องลูกหนี้ทั้งสามเป็นคดีล้มละลายหรือมีเหตุอื่นใดอันอาจทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงขาดอายุความและต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้อุทธรณ์ว่า เจ้าหนี้นำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามให้ล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 อายุความย่อมสะดุดหยุดลง ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบดีอยู่แล้วนั้น เห็นว่า ตามรายงานความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในเรื่องคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสามเด็ดขาด วันที่ 23 เมษายน 2552 เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ แม้เจ้าหนี้ไม่นำพยานหลักฐานมาให้การสอบสวนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จึงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามให้ล้มละลาย แต่หากศาลล้มละลายกลางพิจารณาสำนวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกอบสำนวนของศาลล้มละลายกลางตามกระบวนพิจารณาคดีล้มละลาย มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ก็จะทราบว่าเจ้าหนี้ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของลูกหนี้ทั้งสามและหมายแจ้งคำสั่งดังกล่าวแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฉบับลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 มูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมีอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 เมื่อมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 เจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องเป็นคดีต่อศาลล้มละลายกลางวันที่ 18 เมษายน 2551 ภายในกำหนดอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุด ย่อมมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (2) มูลหนี้ตามคำพิพากษาจึงยังไม่ขาดอายุความ เจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้คำพิพากษาดังกล่าวได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้เป็นการไม่ชอบ อุทธรณ์ของเจ้าหนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับ อนุญาตให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 106 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
การที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนแล้วมาฟ้องคดีนี้ แม้จำเลยที่ 2 คดีนี้และจำเลยในคดีก่อนจะเป็นนิติบุคคลแยกจากกัน แต่จำเลยในคดีก่อนและจำเลยที่ 2 คดีนี้ ต่างเป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งจะต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ พ. (จำเลยซึ่งในคดีนี้) เป็นเจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกัน ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 คดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับจำเลยในคดีก่อน เมื่อโจทก์คดีนี้ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการทำละเมิดของ พ. ซึ่งเป็นการฟ้องโดยอาศัยประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน และในคดีก่อนได้ถึงที่สุดไปแล้ว ดังนี้ โจทก์และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนี้ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 อันต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงิน 233,770 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2560 โจทก์ยื่นฟ้องกระทรวงศึกษาธิการเป็นจำเลยให้รับผิดในมูลละเมิดจากการที่นายพิชัย ลูกจ้างและเป็นผู้ครอบครองรถกระบะ หมายเลขทะเบียน นก 6495 สงขลา ขับรถคันดังกล่าวเฉี่ยวชนกับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน กพ 6984 สงขลา คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1917/2560 ของศาลจังหวัดสงขลา คดีดังกล่าวศาลจังหวัดสงขลามีคำพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น คดีถึงที่สุดโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องนายพิชัยเป็นจำเลยที่ 1 และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเป็นจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดในมูลละเมิดเป็นคดีนี้ ในชั้นตรวจคำฟ้องศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์มิได้อุทธรณ์ คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่สุด
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1917/2560 ของศาลจังหวัดสงขลาหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนแล้วมาฟ้องเป็นคดีนี้ แม้จำเลยที่ 2 คดีนี้ และจำเลยในคดีก่อนจะเป็นนิติบุคคลแยกจากกันก็ตาม แต่จำเลยในคดีก่อนและจำเลยที่ 2 คดีนี้ ต่างเป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งจะต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกัน ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 คดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับจำเลยในคดีก่อน เมื่อโจทก์คดีนี้ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการทำละเมิดของนายพิชัย ซึ่งเป็นการฟ้องโดยอาศัยประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน และในคดีก่อนได้ถึงที่สุดไปแล้ว ดังนี้ โจทก์และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนี้ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 อันต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 2 อีก เพราะไม่ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
การที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนแล้วมาฟ้องคดีนี้ แม้จำเลยที่ 2 คดีนี้และจำเลยในคดีก่อนจะเป็นนิติบุคคลแยกจากกัน แต่จำเลยในคดีก่อนและจำเลยที่ 2 คดีนี้ ต่างเป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งจะต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ พ. (จำเลยซึ่งในคดีนี้) เป็นเจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกัน ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 คดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับจำเลยในคดีก่อน เมื่อโจทก์คดีนี้ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการทำละเมิดของ พ. ซึ่งเป็นการฟ้องโดยอาศัยประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน และในคดีก่อนได้ถึงที่สุดไปแล้ว ดังนี้ โจทก์และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนี้ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 อันต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงิน 233,770 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2560 โจทก์ยื่นฟ้องกระทรวงศึกษาธิการเป็นจำเลยให้รับผิดในมูลละเมิดจากการที่นายพิชัย ลูกจ้างและเป็นผู้ครอบครองรถกระบะ หมายเลขทะเบียน นก 6495 สงขลา ขับรถคันดังกล่าวเฉี่ยวชนกับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน กพ 6984 สงขลา คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1917/2560 ของศาลจังหวัดสงขลา คดีดังกล่าวศาลจังหวัดสงขลามีคำพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น คดีถึงที่สุดโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องนายพิชัยเป็นจำเลยที่ 1 และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเป็นจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดในมูลละเมิดเป็นคดีนี้ ในชั้นตรวจคำฟ้องศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์มิได้อุทธรณ์ คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่สุด
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1917/2560 ของศาลจังหวัดสงขลาหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนแล้วมาฟ้องเป็นคดีนี้ แม้จำเลยที่ 2 คดีนี้ และจำเลยในคดีก่อนจะเป็นนิติบุคคลแยกจากกันก็ตาม แต่จำเลยในคดีก่อนและจำเลยที่ 2 คดีนี้ ต่างเป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งจะต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกัน ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 คดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับจำเลยในคดีก่อน เมื่อโจทก์คดีนี้ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการทำละเมิดของนายพิชัย ซึ่งเป็นการฟ้องโดยอาศัยประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน และในคดีก่อนได้ถึงที่สุดไปแล้ว ดังนี้ โจทก์และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนี้ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 อันต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 2 อีก เพราะไม่ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2) มีองค์ประกอบของความผิด คือ สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งมาตรา 3 บัญญัติ คำว่า “องค์กรอาชญากรรม” หมายความว่า คณะบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปรวมตัวกันช่วงระยะเวลาหนึ่งและร่วมกันกระทำการใดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงและเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ทางวัตถุอย่างอื่น ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม คำว่า “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” หมายความว่า องค์กรอาชญากรรมที่มีการกระทำความผิดซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ความผิดที่กระทำในเขตแดนรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ... และคำว่า “ความผิดร้ายแรง” หมายความว่า ความผิดอาญาที่กฎหมายกำหนดโทษจำคุกขั้นสูงตั้งแต่สี่ปีขึ้นไปหรือโทษที่สถานหนักกว่านั้น ซึ่งความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 63 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ส่วนความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ตามมาตรา 64 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ถือได้ว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและรายละเอียดในการกระทำผิดของจำเลยครบถ้วนตามองค์ประกอบของความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติแล้ว การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2)
อนึ่ง การกระทำของจำเลยในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และในความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นการกระทำความผิดที่ต่อเนื่องกันโดยมีเจตนามุ่งหมายอันเดียวกันเพื่อจะช่วยเหลือนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และการที่จำเลยกับพวกร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรดังกล่าว ย่อมเป็นความผิดสำเร็จอยู่ในตัวเมื่อนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว แต่เมื่อจำเลยกับพวกรู้ว่าคนต่างด้าวดังกล่าวเข้าในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ยังร่วมกันซ่อนเร้น ช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดนั้นพ้นจากการจับกุม จึงเป็นความผิดอีกส่วนหนึ่งซึ่งสามารถแยกการกระทำต่างหากจากกันได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 63, 64 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 3, 4, 5, 6, 25 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 63 วรรคหนึ่ง, 64 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (1) (2) (3) (4), 25 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จำคุก 1 ปี และฐานร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน 6 เดือน และ 2 ปี ตามลำดับ รวมจำคุก 2 ปี 12 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (1) (2) (3) (4) เมื่อรวมโทษทั้งสองกระทงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุก 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับนายดำรงศักดิ์ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 422/2564 ของศาลชั้นต้น และนายชายร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าว 17 คน เชื้อชาติและสัญชาติเมียนมา จากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักร จำเลยกับพวกร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าว 17 คน โดยการพาบรรทุกขึ้นรถยนต์เพื่อพาไปหางานทำที่สหพันธรัฐมาเลเซีย ซึ่งจำเลยกับพวกรู้อยู่แล้วว่าคนต่างด้าวดังกล่าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อันเป็นการช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จำเลยกับพวกร่วมกระทำความผิดในลักษณะเป็นขบวนการที่รวมตัวกันเพื่อกระทำความผิดร้ายแรง เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ทางการเงิน ได้สมคบกันเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ และได้มีการกระทำความผิดตามที่ได้สมคบนั้น ซึ่งความผิดฐานนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร และฐานช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม เป็นความผิดร้ายแรงที่กฎหมายกำหนดโทษจำคุกขั้นสูงตั้งแต่สี่ปีขึ้นไปหรือโทษที่สถานหนักกว่านั้น อันเป็นความผิดที่ได้กระทำในเขตแดนของรัฐไทย และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งมากกว่าหนึ่งรัฐ เพื่อได้มาซึ่งประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ทางวัตถุอย่างอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2) มีองค์ประกอบของความผิด คือ สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งมาตรา 3 บัญญัติ คำว่า “องค์กรอาชญากรรม” หมายความว่า คณะบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปรวมตัวกันช่วงระยะเวลาหนึ่งและร่วมกันกระทำการใดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงและเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ทางวัตถุอย่างอื่น ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม คำว่า “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” หมายความว่า องค์กรอาชญากรรมที่มีการกระทำความผิดซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ความผิดที่กระทำในเขตแดนรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ... และคำว่า “ความผิดร้ายแรง” หมายความว่า ความผิดอาญาที่กฎหมายกำหนดโทษจำคุกขั้นสูงตั้งแต่สี่ปีขึ้นไปหรือโทษที่สถานหนักกว่านั้น ซึ่งความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 63 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ส่วนความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ตามมาตรา 64 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ถือได้ว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและรายละเอียดในการกระทำผิดของจำเลยครบถ้วนตามองค์ประกอบของความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติแล้ว การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2) เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ จึงสามารถรับฟังลงโทษจำเลยได้ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง การกระทำของจำเลยในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และในความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นการกระทำความผิดที่ต่อเนื่องกันโดยมีเจตนามุ่งหมายอันเดียวกันเพื่อจะช่วยเหลือนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และการที่จำเลยกับพวกร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรดังกล่าว ย่อมเป็นความผิดสำเร็จอยู่ในตัวเมื่อนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว แต่เมื่อจำเลยกับพวกรู้ว่าคนต่างด้าวดังกล่าวเข้าในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ยังร่วมกันซ่อนเร้น ช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดนั้นพ้นจากการจับกุม จึงเป็นความผิดอีกส่วนหนึ่งซึ่งสามารถแยกการกระทำต่างหากจากกันได้
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและความผิดฐานนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 ตามมาตรา 5 (2), 25 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานร่วมกันช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นการจับกุมแล้ว เป็นจำคุก 2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2) มีองค์ประกอบของความผิด คือ สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งมาตรา 3 บัญญัติ คำว่า “องค์กรอาชญากรรม” หมายความว่า คณะบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปรวมตัวกันช่วงระยะเวลาหนึ่งและร่วมกันกระทำการใดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงและเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ทางวัตถุอย่างอื่น ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม คำว่า “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” หมายความว่า องค์กรอาชญากรรมที่มีการกระทำความผิดซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ความผิดที่กระทำในเขตแดนรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ... และคำว่า “ความผิดร้ายแรง” หมายความว่า ความผิดอาญาที่กฎหมายกำหนดโทษจำคุกขั้นสูงตั้งแต่สี่ปีขึ้นไปหรือโทษที่สถานหนักกว่านั้น ซึ่งความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 63 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ส่วนความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ตามมาตรา 64 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ถือได้ว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและรายละเอียดในการกระทำผิดของจำเลยครบถ้วนตามองค์ประกอบของความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติแล้ว การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2)
อนึ่ง การกระทำของจำเลยในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และในความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นการกระทำความผิดที่ต่อเนื่องกันโดยมีเจตนามุ่งหมายอันเดียวกันเพื่อจะช่วยเหลือนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และการที่จำเลยกับพวกร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรดังกล่าว ย่อมเป็นความผิดสำเร็จอยู่ในตัวเมื่อนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว แต่เมื่อจำเลยกับพวกรู้ว่าคนต่างด้าวดังกล่าวเข้าในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ยังร่วมกันซ่อนเร้น ช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดนั้นพ้นจากการจับกุม จึงเป็นความผิดอีกส่วนหนึ่งซึ่งสามารถแยกการกระทำต่างหากจากกันได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 63, 64 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 3, 4, 5, 6, 25 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 63 วรรคหนึ่ง, 64 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (1) (2) (3) (4), 25 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จำคุก 1 ปี และฐานร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน 6 เดือน และ 2 ปี ตามลำดับ รวมจำคุก 2 ปี 12 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (1) (2) (3) (4) เมื่อรวมโทษทั้งสองกระทงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุก 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับนายดำรงศักดิ์ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 422/2564 ของศาลชั้นต้น และนายชายร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าว 17 คน เชื้อชาติและสัญชาติเมียนมา จากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักร จำเลยกับพวกร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าว 17 คน โดยการพาบรรทุกขึ้นรถยนต์เพื่อพาไปหางานทำที่สหพันธรัฐมาเลเซีย ซึ่งจำเลยกับพวกรู้อยู่แล้วว่าคนต่างด้าวดังกล่าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อันเป็นการช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จำเลยกับพวกร่วมกระทำความผิดในลักษณะเป็นขบวนการที่รวมตัวกันเพื่อกระทำความผิดร้ายแรง เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ทางการเงิน ได้สมคบกันเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ และได้มีการกระทำความผิดตามที่ได้สมคบนั้น ซึ่งความผิดฐานนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร และฐานช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม เป็นความผิดร้ายแรงที่กฎหมายกำหนดโทษจำคุกขั้นสูงตั้งแต่สี่ปีขึ้นไปหรือโทษที่สถานหนักกว่านั้น อันเป็นความผิดที่ได้กระทำในเขตแดนของรัฐไทย และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งมากกว่าหนึ่งรัฐ เพื่อได้มาซึ่งประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ทางวัตถุอย่างอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2) มีองค์ประกอบของความผิด คือ สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งมาตรา 3 บัญญัติ คำว่า “องค์กรอาชญากรรม” หมายความว่า คณะบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปรวมตัวกันช่วงระยะเวลาหนึ่งและร่วมกันกระทำการใดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงและเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ทางวัตถุอย่างอื่น ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม คำว่า “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” หมายความว่า องค์กรอาชญากรรมที่มีการกระทำความผิดซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ความผิดที่กระทำในเขตแดนรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ... และคำว่า “ความผิดร้ายแรง” หมายความว่า ความผิดอาญาที่กฎหมายกำหนดโทษจำคุกขั้นสูงตั้งแต่สี่ปีขึ้นไปหรือโทษที่สถานหนักกว่านั้น ซึ่งความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 63 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ส่วนความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ตามมาตรา 64 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ถือได้ว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและรายละเอียดในการกระทำผิดของจำเลยครบถ้วนตามองค์ประกอบของความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติแล้ว การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2) เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ จึงสามารถรับฟังลงโทษจำเลยได้ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง การกระทำของจำเลยในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และในความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นการกระทำความผิดที่ต่อเนื่องกันโดยมีเจตนามุ่งหมายอันเดียวกันเพื่อจะช่วยเหลือนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และการที่จำเลยกับพวกร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรดังกล่าว ย่อมเป็นความผิดสำเร็จอยู่ในตัวเมื่อนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว แต่เมื่อจำเลยกับพวกรู้ว่าคนต่างด้าวดังกล่าวเข้าในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ยังร่วมกันซ่อนเร้น ช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดนั้นพ้นจากการจับกุม จึงเป็นความผิดอีกส่วนหนึ่งซึ่งสามารถแยกการกระทำต่างหากจากกันได้
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและความผิดฐานนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 ตามมาตรา 5 (2), 25 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานร่วมกันช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นการจับกุมแล้ว เป็นจำคุก 2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7
พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (4) บัญญัติให้คิดค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินในอัตราร้อยละสามของเงินสุทธิที่รวบรวมได้ สำหรับทรัพย์สินที่ไม่มีการขายหรือจำหน่ายให้คิดในอัตราร้อยละสองของราคาทรัพย์สินนั้น แต่ถ้ามีการประนอมหนี้ให้คิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละสามของจำนวนเงินที่ประนอมหนี้ ทั้งนี้แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ซึ่งการคิดค่าธรรมเนียมตามบทบัญญัติดังกล่าวต้องคิดจากการที่ผู้คัดค้านที่ 1 รวบรวมทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 มาตรา 109 มาตรา 117 ถึงมาตรา 123 เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลาย คดีนี้ ก่อนผู้ร้องเสนอเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้โดยยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และ 3656 รวม 2 แปลง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ไว้เท่านั้น จำเลยที่ 2 มิได้มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่ผู้ร้อง การที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 138,614,320.12 บาท จึงถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลายตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ผู้คัดค้านที่ 1 เรียกเก็บค่าธรรมเนียมร้อยละสามจากยอดหนี้จำนวน 138,614,320.12 บาท ที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2555 ผู้คัดค้านที่ 1 ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และที่ดินโฉนดเลขที่ 3656 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ที่ได้มาในระหว่างอยู่กินฉันสามีภรรยา ในระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 ประกาศขายทอดตลาด ผู้ร้องได้วางเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 4 ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้จนครบจำนวน ทั้งชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินร้อยละสามเป็นเงิน 4,158,429.60 บาท และค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายร้อยละสองเป็นเงิน 345,939.60 บาท แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ตามที่ผู้คัดค้านที่ 1 แจ้งแล้ว ผู้คัดค้านที่ 1 งดการขายทอดตลาดและถอนการยึดที่ดิน ต่อมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้คืนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน 4,158,429.60 บาท ผู้คัดค้านที่ 1 มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 และให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนเงิน 4,158,429.60 บาท ให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีล้มละลายพิพากษากลับ ให้แก้ไขคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 ตามรายงานเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2563 เป็นให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน 4,158,429.60 บาท ให้แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 และโจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า หลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดมีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ 5 ราย ต่อมาเจ้าหนี้รายที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ขอถอนคำขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 1 ได้ยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้ยึดที่ดินรวม 6 แปลง รวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และที่ดินโฉนดเลขที่ 3656 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ที่ได้มาในระหว่างผู้ร้องและจำเลยที่ 2 อยู่กินฉันสามีภริยา ต่อมาในระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 ประกาศขายทอดตลาด ผู้ร้องวางเงินเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 138,614,320.12 บาท โดยผู้คัดค้านที่ 1 เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินในอัตราร้อยละสามของยอดหนี้ดังกล่าวคำนวณเป็นเงิน 4,158,429.60 บาท และเรียกค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายอีกร้อยละสองของราคาที่ดินทั้งสองแปลงเป็นเงิน 345,939.60 บาท รวมค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ผู้ร้องไม่ได้โต้แย้งคัดค้านในส่วนที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขาย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และโจทก์เพียงประการเดียวว่า ผู้คัดค้านที่ 1 มีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินจากผู้ร้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (4) ได้หรือไม่ โดยผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกาว่า การที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 เสมือนว่าผู้ร้องชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยผู้ร้องได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนที่จำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์รวมเป็นการตอบแทนการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นนิติกรรมต่างตอบแทนไม่ใช่การเสียเปล่า เงินที่ผู้ร้องนำมาวางชำระจึงเป็นเงินของจำเลยที่ 2 เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับไว้ จึงเป็นเงินที่รวบรวมได้ตามนัยแห่งมาตรา 179 (4) แล้ว จึงต้องคิดค่าธรรมเนียมตามกฎหมาย ส่วนโจทก์ฎีกาว่า ตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 1376/2558 กำหนดว่า จำเลย (ลูกหนี้) จะต้องเป็นผู้มีหน้าที่เสียค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน ดังนั้น การที่ผู้ร้องวางเงินเพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ในคดีนี้ ถือว่าเป็นการชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ผู้ร้องจึงต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินแทนลูกหนี้นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (4) บัญญัติให้คิดค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินในอัตราร้อยละสามของเงินสุทธิที่รวบรวมได้ สำหรับทรัพย์สินที่ไม่มีการขายหรือจำหน่ายให้คิดในอัตราร้อยละสองของราคาทรัพย์สินนั้น แต่ถ้ามีการประนอมหนี้ให้คิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละสามของจำนวนเงินที่ประนอมหนี้ ทั้งนี้แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ซึ่งการคิดค่าธรรมเนียมตามบทบัญญัติดังกล่าวต้องคิดจากการที่ผู้คัดค้านที่ 1 รวบรวมทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 มาตรา 109 มาตรา 117 ถึงมาตรา 123 เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลาย คดีนี้ ก่อนผู้ร้องเสนอเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้โดยยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และที่ดินโฉนดเลขที่ 3656 รวม 2 แปลง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ไว้เท่านั้น จำเลยที่ 2 มิได้มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่ผู้ร้อง การที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 138,614,320.12 บาท จึงถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลายตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ผู้คัดค้านที่ 1 เรียกเก็บค่าธรรมเนียมร้อยละสามจากยอดหนี้จำนวน 138,614,320.12 บาท ที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน 4,158,429.60 บาท ให้แก่ผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (4) บัญญัติให้คิดค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินในอัตราร้อยละสามของเงินสุทธิที่รวบรวมได้ สำหรับทรัพย์สินที่ไม่มีการขายหรือจำหน่ายให้คิดในอัตราร้อยละสองของราคาทรัพย์สินนั้น แต่ถ้ามีการประนอมหนี้ให้คิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละสามของจำนวนเงินที่ประนอมหนี้ ทั้งนี้แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ซึ่งการคิดค่าธรรมเนียมตามบทบัญญัติดังกล่าวต้องคิดจากการที่ผู้คัดค้านที่ 1 รวบรวมทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 มาตรา 109 มาตรา 117 ถึงมาตรา 123 เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลาย คดีนี้ ก่อนผู้ร้องเสนอเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้โดยยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และ 3656 รวม 2 แปลง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ไว้เท่านั้น จำเลยที่ 2 มิได้มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่ผู้ร้อง การที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 138,614,320.12 บาท จึงถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลายตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ผู้คัดค้านที่ 1 เรียกเก็บค่าธรรมเนียมร้อยละสามจากยอดหนี้จำนวน 138,614,320.12 บาท ที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2555 ผู้คัดค้านที่ 1 ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และที่ดินโฉนดเลขที่ 3656 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ที่ได้มาในระหว่างอยู่กินฉันสามีภรรยา ในระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 ประกาศขายทอดตลาด ผู้ร้องได้วางเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 4 ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้จนครบจำนวน ทั้งชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินร้อยละสามเป็นเงิน 4,158,429.60 บาท และค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายร้อยละสองเป็นเงิน 345,939.60 บาท แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ตามที่ผู้คัดค้านที่ 1 แจ้งแล้ว ผู้คัดค้านที่ 1 งดการขายทอดตลาดและถอนการยึดที่ดิน ต่อมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้คืนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน 4,158,429.60 บาท ผู้คัดค้านที่ 1 มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 และให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนเงิน 4,158,429.60 บาท ให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีล้มละลายพิพากษากลับ ให้แก้ไขคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 ตามรายงานเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2563 เป็นให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน 4,158,429.60 บาท ให้แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 และโจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า หลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดมีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ 5 ราย ต่อมาเจ้าหนี้รายที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ขอถอนคำขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 1 ได้ยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้ยึดที่ดินรวม 6 แปลง รวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และที่ดินโฉนดเลขที่ 3656 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ที่ได้มาในระหว่างผู้ร้องและจำเลยที่ 2 อยู่กินฉันสามีภริยา ต่อมาในระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 ประกาศขายทอดตลาด ผู้ร้องวางเงินเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 138,614,320.12 บาท โดยผู้คัดค้านที่ 1 เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินในอัตราร้อยละสามของยอดหนี้ดังกล่าวคำนวณเป็นเงิน 4,158,429.60 บาท และเรียกค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายอีกร้อยละสองของราคาที่ดินทั้งสองแปลงเป็นเงิน 345,939.60 บาท รวมค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ผู้ร้องไม่ได้โต้แย้งคัดค้านในส่วนที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขาย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และโจทก์เพียงประการเดียวว่า ผู้คัดค้านที่ 1 มีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินจากผู้ร้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (4) ได้หรือไม่ โดยผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกาว่า การที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 เสมือนว่าผู้ร้องชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยผู้ร้องได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนที่จำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์รวมเป็นการตอบแทนการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นนิติกรรมต่างตอบแทนไม่ใช่การเสียเปล่า เงินที่ผู้ร้องนำมาวางชำระจึงเป็นเงินของจำเลยที่ 2 เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับไว้ จึงเป็นเงินที่รวบรวมได้ตามนัยแห่งมาตรา 179 (4) แล้ว จึงต้องคิดค่าธรรมเนียมตามกฎหมาย ส่วนโจทก์ฎีกาว่า ตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 1376/2558 กำหนดว่า จำเลย (ลูกหนี้) จะต้องเป็นผู้มีหน้าที่เสียค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน ดังนั้น การที่ผู้ร้องวางเงินเพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ในคดีนี้ ถือว่าเป็นการชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ผู้ร้องจึงต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินแทนลูกหนี้นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (4) บัญญัติให้คิดค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินในอัตราร้อยละสามของเงินสุทธิที่รวบรวมได้ สำหรับทรัพย์สินที่ไม่มีการขายหรือจำหน่ายให้คิดในอัตราร้อยละสองของราคาทรัพย์สินนั้น แต่ถ้ามีการประนอมหนี้ให้คิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละสามของจำนวนเงินที่ประนอมหนี้ ทั้งนี้แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ซึ่งการคิดค่าธรรมเนียมตามบทบัญญัติดังกล่าวต้องคิดจากการที่ผู้คัดค้านที่ 1 รวบรวมทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 มาตรา 109 มาตรา 117 ถึงมาตรา 123 เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลาย คดีนี้ ก่อนผู้ร้องเสนอเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้โดยยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และที่ดินโฉนดเลขที่ 3656 รวม 2 แปลง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ไว้เท่านั้น จำเลยที่ 2 มิได้มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่ผู้ร้อง การที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 138,614,320.12 บาท จึงถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลายตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ผู้คัดค้านที่ 1 เรียกเก็บค่าธรรมเนียมร้อยละสามจากยอดหนี้จำนวน 138,614,320.12 บาท ที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน 4,158,429.60 บาท ให้แก่ผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|