การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะต้องเป็นการกระทำผิดโดยมีเจตนาเท่านั้น คดีนี้จำเลยกระทำความผิดโดยประมาท จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าเหตุคดีนี้เกิดขึ้นเพราะโจทก์ร่วมเปิดไฟส่องเข้าตาจำเลย ทำให้จำเลยโกรธและบันดาลโทสะจนควบคุมสติไม่ได้ อันเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะได้ อีกทั้งข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยดังกล่าวก็หาใช่เป็นกรณีกระทำผิดโดยบันดาลโทสะตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300
จำเลยให้การปฏิเสธ
ในระหว่างพิจารณา นายบรรเลงผู้เสียหายที่ 1 กับนางนิตยาผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 ลงโทษจำคุก 3 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่า คดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 72 ชั่วโมง ศาลต้องยกฟ้อง เห็นว่าอธิบดีกรมอัยการอนุญาตให้โจทก์ฟ้องจำเลยได้ ฉะนั้นโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องและวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถล้ำเข้าไปชนรถโจทก์ร่วมที่ 1ในช่องเดินรถของโจทก์ร่วมที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และที่จำเลยฎีกาว่าเหตุคดีนี้เกิดขึ้นเพราะโจทก์ร่วมที่ 1 เปิดไฟส่องเข้าตาจำเลย ทำให้จำเลยโกรธและบันดาลโทสะควบคุมสติไม่ได้ จึงกระทำผิดโดยบันดาลโทสะนั้น เห็นว่าการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะต้องเป็นการกระทำผิดโดยมีเจตนาเท่านั้นคดีนี้จำเลยกระทำความผิดโดยประมาท จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ อีกทั้งข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยดังกล่าวก็หาใช่เป็นกรณีกระทำผิดโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72ไม่
พิพากษายืน
การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะต้องเป็นการกระทำผิดโดยมีเจตนาเท่านั้น คดีนี้จำเลยกระทำความผิดโดยประมาท จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าเหตุคดีนี้เกิดขึ้นเพราะโจทก์ร่วมเปิดไฟส่องเข้าตาจำเลย ทำให้จำเลยโกรธและบันดาลโทสะจนควบคุมสติไม่ได้ อันเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะได้ อีกทั้งข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยดังกล่าวก็หาใช่เป็นกรณีกระทำผิดโดยบันดาลโทสะตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300
จำเลยให้การปฏิเสธ
ในระหว่างพิจารณา นายบรรเลงผู้เสียหายที่ 1 กับนางนิตยาผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 ลงโทษจำคุก 3 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่า คดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 72 ชั่วโมง ศาลต้องยกฟ้อง เห็นว่าอธิบดีกรมอัยการอนุญาตให้โจทก์ฟ้องจำเลยได้ ฉะนั้นโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องและวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถล้ำเข้าไปชนรถโจทก์ร่วมที่ 1ในช่องเดินรถของโจทก์ร่วมที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และที่จำเลยฎีกาว่าเหตุคดีนี้เกิดขึ้นเพราะโจทก์ร่วมที่ 1 เปิดไฟส่องเข้าตาจำเลย ทำให้จำเลยโกรธและบันดาลโทสะควบคุมสติไม่ได้ จึงกระทำผิดโดยบันดาลโทสะนั้น เห็นว่าการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะต้องเป็นการกระทำผิดโดยมีเจตนาเท่านั้นคดีนี้จำเลยกระทำความผิดโดยประมาท จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ อีกทั้งข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยดังกล่าวก็หาใช่เป็นกรณีกระทำผิดโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72ไม่
พิพากษายืน
การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะต้องเป็นการกระทำผิดโดยมีเจตนาเท่านั้น คดีนี้จำเลยกระทำความผิดโดยประมาท จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าเหตุคดีนี้เกิดขึ้นเพราะโจทก์ร่วมเปิดไฟส่องเข้าตาจำเลย ทำให้จำเลยโกรธและบันดาลโทสะจนควบคุมสติไม่ได้ อันเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะได้ อีกทั้งข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยดังกล่าวก็หาใช่เป็นกรณีกระทำผิดโดยบันดาลโทสะตามป.อ. มาตรา 72 ไม่
การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะต้องเป็นการกระทำผิดโดยมีเจตนาเท่านั้น คดีนี้จำเลยกระทำความผิดโดยประมาท จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าเหตุคดีนี้เกิดขึ้นเพราะโจทก์ร่วมเปิดไฟส่องเข้าตาจำเลย ทำให้จำเลยโกรธและบันดาลโทสะจนควบคุมสติไม่ได้ อันเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะได้ อีกทั้งข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยดังกล่าวก็หาใช่เป็นกรณีกระทำผิดโดยบันดาลโทสะตามป.อ. มาตรา 72 ไม่
การพิพากษาคดีอาญาหาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในคดีอื่นดังเช่นที่บัญญัติไว้สำหรับคดีแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ไม่เพราะในคดีอาญา ศาลจะต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง จะไม่พิพากษาลงโทษจำเลยจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 จำคุก 4 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกาว่าในระหว่างพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยได้ยื่นคำร้องว่าในมูลเหตุคดีเดียวกันนี้ พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายประชาบดีหรือยาว เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้น ในข้อหาขับรถยนต์ขนส่งน้ำแข็งคันเดียวกันนี้ โดยประมาทล้ำช่องเดินรถเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ที่นายคำปุ่นขับ มีนายสุพนธ์เทพนั่งซ้อนท้ายแล่นสวนทางมา ทำให้นายคำปุ่นถึงแก่ความตาย นายสุพันธ์เทพได้รับอันตรายสาหัส และทำให้จำเลยซึ่งนั่งโดยสารมากับรถยนต์คันที่นายประชาบดีขับได้รับอันตรายแก่กายตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 767/2535 ของศาลชั้นต้น และจำเลยได้ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชะลอการพิพากษาคดีนี้ไว้เพื่อรอฟังผลคดีอาญาดังกล่าวเสียก่อนเห็นว่า ในการพิพากษาคดีอาญาหาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในคดีอื่นดังเช่นที่บัญญัติไว้สำหรับคดีแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ไม่เพราะในคดีอาญาศาลจะต้องใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง จะไม่พิพากษาลงโทษจำเลยจนกว่าจะแน่ใจว่า มีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น
สำหรับปัญหาที่ว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์โดยประมาทชนผู้ตายถึงแก่ความตายหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า คดีมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุจริงหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
การพิพากษาคดีอาญาหาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในคดีอื่นดังเช่นที่บัญญัติไว้สำหรับคดีแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ไม่เพราะในคดีอาญา ศาลจะต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง จะไม่พิพากษาลงโทษจำเลยจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 จำคุก 4 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกาว่าในระหว่างพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยได้ยื่นคำร้องว่าในมูลเหตุคดีเดียวกันนี้ พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายประชาบดีหรือยาว เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้น ในข้อหาขับรถยนต์ขนส่งน้ำแข็งคันเดียวกันนี้ โดยประมาทล้ำช่องเดินรถเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ที่นายคำปุ่นขับ มีนายสุพนธ์เทพนั่งซ้อนท้ายแล่นสวนทางมา ทำให้นายคำปุ่นถึงแก่ความตาย นายสุพันธ์เทพได้รับอันตรายสาหัส และทำให้จำเลยซึ่งนั่งโดยสารมากับรถยนต์คันที่นายประชาบดีขับได้รับอันตรายแก่กายตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 767/2535 ของศาลชั้นต้น และจำเลยได้ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชะลอการพิพากษาคดีนี้ไว้เพื่อรอฟังผลคดีอาญาดังกล่าวเสียก่อนเห็นว่า ในการพิพากษาคดีอาญาหาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในคดีอื่นดังเช่นที่บัญญัติไว้สำหรับคดีแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ไม่เพราะในคดีอาญาศาลจะต้องใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง จะไม่พิพากษาลงโทษจำเลยจนกว่าจะแน่ใจว่า มีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น
สำหรับปัญหาที่ว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์โดยประมาทชนผู้ตายถึงแก่ความตายหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า คดีมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุจริงหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
การพิพากษาคดีอาญาหาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในคดีอื่นดังเช่นที่บัญญัติไว้สำหรับคดีแพ่ง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ไม่ เพราะในคดีอาญา ศาลจะต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง จะไม่พิพากษาลงโทษจำเลยจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น
การพิพากษาคดีอาญาหาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในคดีอื่นดังเช่นที่บัญญัติไว้สำหรับคดีแพ่ง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ไม่ เพราะในคดีอาญา ศาลจะต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง จะไม่พิพากษาลงโทษจำเลยจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น
หลังจากจำเลยและพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้านแล้วประมาณ 10 นาทีจำเลยจึงวิ่งขึ้นไปบนบ้านของ ม. และนำอาวุธปืนออกมายืนหน้าบ้านเพื่อจะขู่กลุ่มของผู้เสียหายให้กลับไป เมื่อผู้เสียหายถือมีดดาบและขวดจะเข้าทำร้ายจำเลยห่างประมาณ 3 เมตร จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มของผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลย เช่นนี้แสดงว่าจำเลยสมัครใจทะเลาะวิวาทกับกลุ่มของผู้เสียหาย เพราะขณะจำเลยกับพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้าน ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายหมดสิ้นไปแล้ว หากจำเลยไม่ประสงค์จะทะเลาะวิวาทอีกต่อไปจำเลยก็ไม่น่าจะนำอาวุธปืนออกมายืนอยู่หน้าบ้าน อันเป็นการท้าทายกลุ่มของผู้เสียหายซึ่งเป็นวัยรุ่น จำเลยย่อมไม่อาจยกเอาการป้องกันตัวขึ้นมาอ้างเพื่อให้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,91, 288 และ 371
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก,72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80,371 และ 91 ขณะกระทำความผิด จำเลยอายุ 16 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง จำคุก 3 เดือน ฐานพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 1 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก5 ปี รวมจำคุก 5 ปี 4 เดือน คำให้การรับสารภาพและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยและนายทัศนัยว่าหลังจากจำเลยและพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้านแล้วประมาณ 10 นาที จำเลยวิ่งขึ้นไปบนบ้านของนายมีและนำอาวุธปืนออกมายืนหน้าบ้านเพื่อจะขู่กลุ่มวัยรุ่นให้กลับไป นายจักรกฤษณ์ถือมีดดาบและขวดจะเข้าทำร้ายจำเลยห่างประมาณ 3 เมตร จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มวัยรุ่น 1 นัด พฤติการณ์ของจำเลยเช่นนี้แสดงว่าจำเลยสมัครใจทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย เพราะขณะจำเลยกับพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้านถือว่าภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายหมดสิ้นไปแล้ว หากจำเลยไม่ประสงค์จะทะเลาะวิวาทอีกต่อไป จำเลยไม่น่าจะนำอาวุธปืนออกมายืนอยู่หน้าอันเป็นการท้าทายกลุ่มของผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยสมัครใจเข้าทะเลาะวิวาทกับกลุ่มของผู้เสียหาย จำเลยย่อมไม่อาจยกเอาการป้องกันตัวขึ้นมาอ้างเพื่อให้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายได้ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้เสียหายทั้งสาม 1 นัด เป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่า จำเลยลงมือกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เพราะกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญของนายมนัสและนายลิ ส่วนนายจักรกฤษณ์กระสุนปืนพลาดไปจึงไม่ได้รับบาดเจ็บผู้เสียหายทั้งสามจึงไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสามตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ส่วนข้อหาฐานมีและพาอาวุธปืนนั้น เมื่อได้ความจากคำของประจักษ์พยานโจทก์ทั้ง 3 ประกอบกับคำของจำเลยเองว่า จำเลยได้พาอาวุธปืนแก๊ปเดี่ยวยาว 1 กระบอก จากบ้านของนายมีและเดินมาตามทางโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้มีและพาวุธปืนติดตัวจำเลยจึงต้องมีความผิดในข้อหาฐานมีและพาอาวุธปืนตามฟ้อง ซึ่งความผิดทั้งสองฐานนี้เป็นความผิดสองกรรมศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษ เมื่อลดโทษแล้วคงจำคุก 2 เดือน ชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
หลังจากจำเลยและพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้านแล้วประมาณ 10 นาทีจำเลยจึงวิ่งขึ้นไปบนบ้านของ ม. และนำอาวุธปืนออกมายืนหน้าบ้านเพื่อจะขู่กลุ่มของผู้เสียหายให้กลับไป เมื่อผู้เสียหายถือมีดดาบและขวดจะเข้าทำร้ายจำเลยห่างประมาณ 3 เมตร จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มของผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลย เช่นนี้แสดงว่าจำเลยสมัครใจทะเลาะวิวาทกับกลุ่มของผู้เสียหาย เพราะขณะจำเลยกับพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้าน ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายหมดสิ้นไปแล้ว หากจำเลยไม่ประสงค์จะทะเลาะวิวาทอีกต่อไปจำเลยก็ไม่น่าจะนำอาวุธปืนออกมายืนอยู่หน้าบ้าน อันเป็นการท้าทายกลุ่มของผู้เสียหายซึ่งเป็นวัยรุ่น จำเลยย่อมไม่อาจยกเอาการป้องกันตัวขึ้นมาอ้างเพื่อให้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,91, 288 และ 371
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก,72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80,371 และ 91 ขณะกระทำความผิด จำเลยอายุ 16 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง จำคุก 3 เดือน ฐานพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 1 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก5 ปี รวมจำคุก 5 ปี 4 เดือน คำให้การรับสารภาพและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยและนายทัศนัยว่าหลังจากจำเลยและพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้านแล้วประมาณ 10 นาที จำเลยวิ่งขึ้นไปบนบ้านของนายมีและนำอาวุธปืนออกมายืนหน้าบ้านเพื่อจะขู่กลุ่มวัยรุ่นให้กลับไป นายจักรกฤษณ์ถือมีดดาบและขวดจะเข้าทำร้ายจำเลยห่างประมาณ 3 เมตร จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มวัยรุ่น 1 นัด พฤติการณ์ของจำเลยเช่นนี้แสดงว่าจำเลยสมัครใจทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย เพราะขณะจำเลยกับพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้านถือว่าภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายหมดสิ้นไปแล้ว หากจำเลยไม่ประสงค์จะทะเลาะวิวาทอีกต่อไป จำเลยไม่น่าจะนำอาวุธปืนออกมายืนอยู่หน้าอันเป็นการท้าทายกลุ่มของผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยสมัครใจเข้าทะเลาะวิวาทกับกลุ่มของผู้เสียหาย จำเลยย่อมไม่อาจยกเอาการป้องกันตัวขึ้นมาอ้างเพื่อให้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายได้ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้เสียหายทั้งสาม 1 นัด เป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่า จำเลยลงมือกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เพราะกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญของนายมนัสและนายลิ ส่วนนายจักรกฤษณ์กระสุนปืนพลาดไปจึงไม่ได้รับบาดเจ็บผู้เสียหายทั้งสามจึงไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสามตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ส่วนข้อหาฐานมีและพาอาวุธปืนนั้น เมื่อได้ความจากคำของประจักษ์พยานโจทก์ทั้ง 3 ประกอบกับคำของจำเลยเองว่า จำเลยได้พาอาวุธปืนแก๊ปเดี่ยวยาว 1 กระบอก จากบ้านของนายมีและเดินมาตามทางโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้มีและพาวุธปืนติดตัวจำเลยจึงต้องมีความผิดในข้อหาฐานมีและพาอาวุธปืนตามฟ้อง ซึ่งความผิดทั้งสองฐานนี้เป็นความผิดสองกรรมศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษ เมื่อลดโทษแล้วคงจำคุก 2 เดือน ชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
หลังจากจำเลยและพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้านแล้วประมาณ 10 นาทีจำเลยจึงวิ่งขึ้นไปบนบ้านของ ม. และนำอาวุธปืนออกมายืนหน้าบ้านเพื่อจะขู่กลุ่มของผู้เสียหายให้กลับไป เมื่อผู้เสียหายถือมีดดาบและขวดจะเข้าทำร้ายจำเลยห่างประมาณ3 เมตร จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มของผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลย เช่นนี้แสดงว่าจำเลยสมัครใจทะเลาะวิวาทกับกลุ่มของผู้เสียหาย เพราะขณะจำเลยกับพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้าน ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายหมดสิ้นไปแล้ว หากจำเลยไม่ประสงค์จะทะเลาะวิวาทอีกต่อไป จำเลยก็ไม่น่าจะนำอาวุธปืนออกมายืนอยู่หน้าบ้าน อันเป็นการท้าทายกลุ่มของผู้เสียหายซึ่งเป็นวัยรุ่น จำเลยย่อมไม่อาจยกเอาการป้องกันตัวขึ้นมาอ้างเพื่อให้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายได้
หลังจากจำเลยและพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้านแล้วประมาณ 10 นาทีจำเลยจึงวิ่งขึ้นไปบนบ้านของ ม. และนำอาวุธปืนออกมายืนหน้าบ้านเพื่อจะขู่กลุ่มของผู้เสียหายให้กลับไป เมื่อผู้เสียหายถือมีดดาบและขวดจะเข้าทำร้ายจำเลยห่างประมาณ3 เมตร จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มของผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลย เช่นนี้แสดงว่าจำเลยสมัครใจทะเลาะวิวาทกับกลุ่มของผู้เสียหาย เพราะขณะจำเลยกับพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้าน ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายหมดสิ้นไปแล้ว หากจำเลยไม่ประสงค์จะทะเลาะวิวาทอีกต่อไป จำเลยก็ไม่น่าจะนำอาวุธปืนออกมายืนอยู่หน้าบ้าน อันเป็นการท้าทายกลุ่มของผู้เสียหายซึ่งเป็นวัยรุ่น จำเลยย่อมไม่อาจยกเอาการป้องกันตัวขึ้นมาอ้างเพื่อให้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายได้
ผู้เสียหายในคดีอาญาซึ่งยังเป็นผู้เยาว์จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ต้องกระทำโดยผู้แทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 3,5 และ 6 การที่ผู้เสียหายซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยลงชื่อแต่งตั้งทนายความด้วยตนเองแต่ลำพังเพื่อให้ทนายความดำเนินกระบวนพิจารณานั้น มิได้เป็นไปตามบทบังคับอันว่าด้วยความสามารถของบุคคลตามกฎหมาย แต่ศาลจะยกคำร้องหรือไม่รับพิจารณาเสียทีเดียวยังไม่ได้ ชอบที่จะสั่งให้แก้ไขความบกพร่องเสียก่อนตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 56 วรรคสี่ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 6 และ 15 เมื่อโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เยาว์มิได้เป็นผู้ฎีกาขึ้นมาและคดีไม่อาจทำให้คำวินิจฉัยของศาลฎีกาเกี่ยวกับปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องของโจทก์หรือไม่เปลี่ยนแปลงไป และเมื่อนับอายุของโจทก์ร่วมในขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ร่วมมีอายุเกินกว่า 20 ปี บรรลุนิติภาวะแล้วจึงไม่มีความจำเป็นและไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องสั่งให้แก้ไขในข้อบกพร่องเรื่องความสามารถของโจทก์ร่วมอีก
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 288 และริบหัวกระสุนปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ลงโทษจำคุก 12 ปี ริบหัวกระสุนปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องแล้ววินิจฉัยเกี่ยวกับความสามารถของโจทก์ร่วมว่า กรณีที่นางสาวขวัญใจผู้เสียหาย ซึ่งขณะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์นั้นตามคำร้องระบุว่าอายุ 19 ปี ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ ต้องกระทำโดยผู้แทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 3, 5 และ 6 การที่ นางสาวขวัญใจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยลงชื่อแต่งตั้งทนายความด้วยตนเองแต่ลำพังเพื่อให้ทนายความดำเนินกระบวนพิจารณานั้น มิได้เป็นไปตามบทบังคับว่าด้วยความสามารถของบุคคลตามกฎหมาย แต่ว่าจะยกฟ้องหรือไม่รับพิจารณาเสียทีเดียวยังไม่ได้ ชอบที่จะสั่งให้แก้ไขความบกพร่องเสียก่อน ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 วรรคสี่ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 6 และ 15 เมื่อนางสาวขวัญใจมิได้ฎีกาขึ้นมา และคดีไม่อาจทำให้คำวินิจฉัยของศาลฎีกาเกี่ยวกับปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องของโจทก์หรือไม่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งเมื่อนับอายุของนางสาวขวัญใจในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา นางสาวขวัญใจมีอายุเกินกว่า 20 ปี บรรลุนิติภาวะแล้ว ในกรณีนี้จึงไม่มีความจำเป็นและไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องสั่งให้แก้ไขในข้อบกพร่องดังกล่าวอีก
พิพากษายืน
ผู้เสียหายในคดีอาญาซึ่งยังเป็นผู้เยาว์จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ต้องกระทำโดยผู้แทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 3,5 และ 6 การที่ผู้เสียหายซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยลงชื่อแต่งตั้งทนายความด้วยตนเองแต่ลำพังเพื่อให้ทนายความดำเนินกระบวนพิจารณานั้น มิได้เป็นไปตามบทบังคับอันว่าด้วยความสามารถของบุคคลตามกฎหมาย แต่ศาลจะยกคำร้องหรือไม่รับพิจารณาเสียทีเดียวยังไม่ได้ ชอบที่จะสั่งให้แก้ไขความบกพร่องเสียก่อนตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 56 วรรคสี่ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 6 และ 15 เมื่อโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เยาว์มิได้เป็นผู้ฎีกาขึ้นมาและคดีไม่อาจทำให้คำวินิจฉัยของศาลฎีกาเกี่ยวกับปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องของโจทก์หรือไม่เปลี่ยนแปลงไป และเมื่อนับอายุของโจทก์ร่วมในขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ร่วมมีอายุเกินกว่า 20 ปี บรรลุนิติภาวะแล้วจึงไม่มีความจำเป็นและไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องสั่งให้แก้ไขในข้อบกพร่องเรื่องความสามารถของโจทก์ร่วมอีก
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 288 และริบหัวกระสุนปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ลงโทษจำคุก 12 ปี ริบหัวกระสุนปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องแล้ววินิจฉัยเกี่ยวกับความสามารถของโจทก์ร่วมว่า กรณีที่นางสาวขวัญใจผู้เสียหาย ซึ่งขณะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์นั้นตามคำร้องระบุว่าอายุ 19 ปี ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ ต้องกระทำโดยผู้แทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 3, 5 และ 6 การที่ นางสาวขวัญใจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยลงชื่อแต่งตั้งทนายความด้วยตนเองแต่ลำพังเพื่อให้ทนายความดำเนินกระบวนพิจารณานั้น มิได้เป็นไปตามบทบังคับว่าด้วยความสามารถของบุคคลตามกฎหมาย แต่ว่าจะยกฟ้องหรือไม่รับพิจารณาเสียทีเดียวยังไม่ได้ ชอบที่จะสั่งให้แก้ไขความบกพร่องเสียก่อน ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 วรรคสี่ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 6 และ 15 เมื่อนางสาวขวัญใจมิได้ฎีกาขึ้นมา และคดีไม่อาจทำให้คำวินิจฉัยของศาลฎีกาเกี่ยวกับปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องของโจทก์หรือไม่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งเมื่อนับอายุของนางสาวขวัญใจในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา นางสาวขวัญใจมีอายุเกินกว่า 20 ปี บรรลุนิติภาวะแล้ว ในกรณีนี้จึงไม่มีความจำเป็นและไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องสั่งให้แก้ไขในข้อบกพร่องดังกล่าวอีก
พิพากษายืน
ผู้เสียหายในคดีอาญาซึ่งยังเป็นผู้เยาว์จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ต้องกระทำโดยผู้แทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 3, 5 และ 6การที่ผู้เสียหายซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยลงชื่อแต่งตั้งทนายความด้วยตนเองแต่ลำพังเพื่อให้ทนายความดำเนินกระบวนพิจารณานั้น มิได้เป็นไปตามบทบังคับอันว่าด้วยความสามารถของบุคคลตามกฎหมาย แต่ศาลจะยกคำร้องหรือไม่รับพิจารณาเสียทีเดียวยังไม่ได้ ชอบที่จะสั่งให้เแก้ไขความบกพร่องเสียก่อนตามนัยแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 56 วรรคสี่ ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 6และ 15
เมื่อโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เยาว์มิได้เป็นผู้ฎีกาขึ้นมา และคดีไม่อาจทำให้คำวินิจฉัยของศาลฎีกาเกี่ยวกับปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องของโจทก์หรือไม่เปลี่ยนแปลงไป และเมื่อนับอายุของโจทก์ร่วมในขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ร่วมมีอายุเกินกว่า 20 ปี บรรลุนิติภาวะแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นและไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องสั่งให้แก้ไขในข้อบกพร่องเรื่องความสามารถของโจทก์ร่วมอีก
ผู้เสียหายในคดีอาญาซึ่งยังเป็นผู้เยาว์จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ต้องกระทำโดยผู้แทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 3, 5 และ 6การที่ผู้เสียหายซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยลงชื่อแต่งตั้งทนายความด้วยตนเองแต่ลำพังเพื่อให้ทนายความดำเนินกระบวนพิจารณานั้น มิได้เป็นไปตามบทบังคับอันว่าด้วยความสามารถของบุคคลตามกฎหมาย แต่ศาลจะยกคำร้องหรือไม่รับพิจารณาเสียทีเดียวยังไม่ได้ ชอบที่จะสั่งให้เแก้ไขความบกพร่องเสียก่อนตามนัยแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 56 วรรคสี่ ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 6และ 15
เมื่อโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เยาว์มิได้เป็นผู้ฎีกาขึ้นมา และคดีไม่อาจทำให้คำวินิจฉัยของศาลฎีกาเกี่ยวกับปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องของโจทก์หรือไม่เปลี่ยนแปลงไป และเมื่อนับอายุของโจทก์ร่วมในขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ร่วมมีอายุเกินกว่า 20 ปี บรรลุนิติภาวะแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นและไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องสั่งให้แก้ไขในข้อบกพร่องเรื่องความสามารถของโจทก์ร่วมอีก
แม้จำเลยจะเป็นหญิงรูปร่างเล็กกว่าผู้ตายมากก็ตาม แต่ผู้ตายเพียงแต่ใช้ไม้ไผ่ตีทำร้ายจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยยิงผู้ตายถึง4 นัด และกระสุนปืนถูกผู้ตาย 2 นัด ที่บริเวณหน้าท้องอันเป็นอวัยวะสำคัญเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นการกระทำโต้ตอบรุนแรงเกินสมควร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4,7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 288, 371และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 93, 288 ประกอบมาตรา 69, 371 ให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีอาวุธปืนที่มีหมายเลขทะเบียนของผู้อื่นไว้ครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทจึงให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ วรรคสามซึ่งเป็นบทหนักที่สุดจำคุก 3 เดือน ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 88 ประกอบมาตรา 69 จำคุก 9 ปี รวมโทษจำคุก 9 ปี 9 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน และทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 6 ปี 6 เดือนของกลางให้ริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 88 ประกอบมาตรา 69 ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุก2 ปี รวมกับโทษจำคุกฐานมีและพาอาวุธปืนซึ่งมีกำหนด 4 เดือน และ2 เดือน ตามลำดับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 2 ปี 6 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ซึ่งการวินิจฉัยคดีที่มีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมายศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ตายใช่ไม้ไผ่ 1 ท่อน ยาวประมาณ 80 เซนติเมตรเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว ตีทำร้ายจำเลย จำเลยร้องให้คนช่วยและหลบหนีขึ้นไปบนบ้านเอาอาวุธปืนลงมาจากบ้านแล้วไปที่คอกกระบือ ผู้ตายจะใช้ไม้ไผ่ท่อนดังกล่าวตีทำร้ายจำเลยอีก จำเลยจึงใช้อาวุธปืนนั้นยิงผู้ตาย 4 นัด แต่กระสุนปืนถูกผู้ตายที่บริเวณหน้าท้อง 2 นัด ผู้ตายล้มทรุดลงตรงที่ถูกยิงและถึงแก่ความตาย ดังนั้น เห็นว่า ผู้ตายเพียงแต่จะใช้ไม้ไผ่ตีทำร้ายจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยยิงผู้ตายถึง 4 นัด และกระสุนปืนถูกผู้ตาย 2 นัดที่บริเวณหน้าท้องอันเป็นอวัยวะสำคัญเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเช่นนี้ เป็นการที่จำเลยกระทำการโต้ตอบรุนแรงเกินสมควร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเกินสมควรแก่เหตุ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นหญิงรูปร่างเล็กกว่าผู้ตายมาก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย จึงเป็นวิถีทางสุดท้ายที่จำเลยจะทำได้ และเป็นการกระทำที่ได้สัดส่วนกับการกระทำของผู้ตาย ไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะเป็นหญิงรูปร่างเล็กกว่าผู้ตายมากก็ตาม แต่ผู้ตายเพียงแต่ใช้ไม้ไผ่จะตีทำร้ายจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยยิงถึง 4 นัด และกระสุนปืนถูกที่บริเวณหน้าท้องผู้ตายอันเป็นอวัยวะสำคัญ 2 นัดแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ หาใช่เป็นการพอสมควรแก่เหตุดังที่จำเลยอ้างในฎีกาไม่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุใช้ไม้ตีทำร้ายจำเลยก่อน อีกทั้งจำเลยเป็นหญิงไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ยังอยู่ในวิสัยที่จำเลยจะกลับตัวเป็นพลเมืองดีได้ จึงสมควรรอการลงโทษจำเลยไว้ แต่เพื่อให้หลาบจำจึงให้ลงโทษปรับจำเลยในความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานมีอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม ให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งเป็นเงิน 4,000 บาท และความผิดฐานพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสองให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง เป็นเงิน 2,000 บาท รวมปรับ6,000 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกจำเลยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ทุกกระทงให้รอการลงโทษไว้กระทงละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2
แม้จำเลยจะเป็นหญิงรูปร่างเล็กกว่าผู้ตายมากก็ตาม แต่ผู้ตายเพียงแต่ใช้ไม้ไผ่ตีทำร้ายจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยยิงผู้ตายถึง4 นัด และกระสุนปืนถูกผู้ตาย 2 นัด ที่บริเวณหน้าท้องอันเป็นอวัยวะสำคัญเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นการกระทำโต้ตอบรุนแรงเกินสมควร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4,7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 288, 371และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 93, 288 ประกอบมาตรา 69, 371 ให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีอาวุธปืนที่มีหมายเลขทะเบียนของผู้อื่นไว้ครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทจึงให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ วรรคสามซึ่งเป็นบทหนักที่สุดจำคุก 3 เดือน ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 88 ประกอบมาตรา 69 จำคุก 9 ปี รวมโทษจำคุก 9 ปี 9 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน และทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 6 ปี 6 เดือนของกลางให้ริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 88 ประกอบมาตรา 69 ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุก2 ปี รวมกับโทษจำคุกฐานมีและพาอาวุธปืนซึ่งมีกำหนด 4 เดือน และ2 เดือน ตามลำดับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 2 ปี 6 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ซึ่งการวินิจฉัยคดีที่มีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมายศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ตายใช่ไม้ไผ่ 1 ท่อน ยาวประมาณ 80 เซนติเมตรเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว ตีทำร้ายจำเลย จำเลยร้องให้คนช่วยและหลบหนีขึ้นไปบนบ้านเอาอาวุธปืนลงมาจากบ้านแล้วไปที่คอกกระบือ ผู้ตายจะใช้ไม้ไผ่ท่อนดังกล่าวตีทำร้ายจำเลยอีก จำเลยจึงใช้อาวุธปืนนั้นยิงผู้ตาย 4 นัด แต่กระสุนปืนถูกผู้ตายที่บริเวณหน้าท้อง 2 นัด ผู้ตายล้มทรุดลงตรงที่ถูกยิงและถึงแก่ความตาย ดังนั้น เห็นว่า ผู้ตายเพียงแต่จะใช้ไม้ไผ่ตีทำร้ายจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยยิงผู้ตายถึง 4 นัด และกระสุนปืนถูกผู้ตาย 2 นัดที่บริเวณหน้าท้องอันเป็นอวัยวะสำคัญเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเช่นนี้ เป็นการที่จำเลยกระทำการโต้ตอบรุนแรงเกินสมควร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเกินสมควรแก่เหตุ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นหญิงรูปร่างเล็กกว่าผู้ตายมาก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย จึงเป็นวิถีทางสุดท้ายที่จำเลยจะทำได้ และเป็นการกระทำที่ได้สัดส่วนกับการกระทำของผู้ตาย ไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะเป็นหญิงรูปร่างเล็กกว่าผู้ตายมากก็ตาม แต่ผู้ตายเพียงแต่ใช้ไม้ไผ่จะตีทำร้ายจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยยิงถึง 4 นัด และกระสุนปืนถูกที่บริเวณหน้าท้องผู้ตายอันเป็นอวัยวะสำคัญ 2 นัดแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ หาใช่เป็นการพอสมควรแก่เหตุดังที่จำเลยอ้างในฎีกาไม่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุใช้ไม้ตีทำร้ายจำเลยก่อน อีกทั้งจำเลยเป็นหญิงไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ยังอยู่ในวิสัยที่จำเลยจะกลับตัวเป็นพลเมืองดีได้ จึงสมควรรอการลงโทษจำเลยไว้ แต่เพื่อให้หลาบจำจึงให้ลงโทษปรับจำเลยในความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานมีอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม ให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งเป็นเงิน 4,000 บาท และความผิดฐานพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสองให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง เป็นเงิน 2,000 บาท รวมปรับ6,000 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกจำเลยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ทุกกระทงให้รอการลงโทษไว้กระทงละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2
แม้จำเลยจะเป็นหญิงรูปร่างเล็กกว่าผู้ตายมากก็ตาม แต่ผู้ตายเพียงแต่ใช้ไม้ไผ่ตีทำร้ายจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยยิงผู้ตายถึง 4 นัด และกระสุนปืนถูกผู้ตาย 2 นัด ที่บริเวณหน้าท้องอันเป็นอวัยวะสำคัญเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นการกระทำโต้ตอบรุนแรงเกินสมควร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
แม้จำเลยจะเป็นหญิงรูปร่างเล็กกว่าผู้ตายมากก็ตาม แต่ผู้ตายเพียงแต่ใช้ไม้ไผ่ตีทำร้ายจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยยิงผู้ตายถึง 4 นัด และกระสุนปืนถูกผู้ตาย 2 นัด ที่บริเวณหน้าท้องอันเป็นอวัยวะสำคัญเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นการกระทำโต้ตอบรุนแรงเกินสมควร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
จำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงทำร้ายผู้เสียหายที่ 1จำนวน 2 ครั้ง ในลักษณะเลือกแทงและแทงโดยแรง ปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่คอด้านหลังข้างขวาเหนือกระดูกไหปลาร้า ยาวประมาณครึ่งนิ้ว ลึกเข้าไปข้างในที่กระดูกสะบักข้างขวามีลมรั่วในช่องปอดข้างขวาต้องเจาะเอาลมออก แพทย์ลงความเห็นว่าถ้ารักษาไม่ถูกต้องอาจทำให้ถึงตายได้ การกระทำของจำเลยที่ 2 ถือได้ว่ามีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ให้ตาย จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ที่โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าหรือเป็นเพียงฐานทำร้ายร่างกายเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งไว้ในอุทธรณ์ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2ไม่ประสงค์ต่อสู้ในปัญหานี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยนั้น คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัสศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฟ้อง จำเลยที่ 2อุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 2มีเพียงเจตนาทำร้ายเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ได้แม้ว่าจำเลยที่ 2 จะมิได้โต้แย้งไว้ในชั้นอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าหรือทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ก็ตาม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ได้บังอาจมีอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ ขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก กระสุนขนาด .22 จำนวน 4 นัดและมีอาวุธปืนพกลูกซองขนาด 12 จำนวน 1 กระบอกไว้ในครอบครองของจำเลยที่ 1 โดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายจำเลยที่ 1 ได้พาอาวุธปืนดังกล่าวไปในงานบุญบั้งไฟวัดปาสังฆวนารามที่จัดให้มีการมหรสพงานรื่นเริง โดยไม่มีเหตุสมควร และจำเลยทั้งสองได้บังอาจร่วมกันพยายามฆ่านายวานิช ชนะพันธ์ ผู้เสียหายที่ 1 และนายสมพงษ์ วังสนาม ผู้เสียหายที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์เป็นอาวุธแทงผู้เสียหายที่ 1 ที่บริเวณไหปลาร้า กับที่สะบักและแทงทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ที่บริเวณซี่โครงในขณะที่จำเลยที่ 1ถืออาวุธปืนพกที่ติดตัวมาดังกล่าว คอยป้องกันมิให้ผู้อื่นเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายทั้งสอง จำเลยทั้งสองได้กระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เพราะผู้เสียหายทั้งสองได้รับการรักษาทันท่วงที ผู้เสียหายทั้งสองได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน และประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 80,83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72,72 ทวิ และขอให้ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่ามีอาวุธปืนลูกซอง ขนาดเบอร์ 12ไว้ในครอบครองตามฟ้อง ส่วนข้อหาอื่นจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 (ที่ถูกมาตรา 72วรรคหนึ่ง) และมีความผิดตามมาตรา 7 ทวิ วรรคหนึ่ง (ที่ถูกเป็นมาตรา 8 ทวิ วรรคสอง), 72 ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 รวม 2 กระทง เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 10 ปี รวมจำคุก 20 ปี ริบของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ในความผิดที่เกี่ยวกับนายสมพงษ์ วังสนาม ผู้เสียหายที่ 2 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 2 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 12 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วคดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ แล้วฟังว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองจริงปรากฏว่า ผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่คอด้านหลังข้างขวาเหนือกระดูกไหปลาร้ายาวประมาณครึ่งนิ้ว ลึกเข้าไปข้างใน ที่ใต้กระดูกสะบักข้างขวามีลมรั่วในช่องปอดข้างขวา ต้องทำการเจาะเอาลมออกแพทย์มีความเห็นว่า ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล 7 วัน จึงให้กลับบ้านถ้ารักษาไม่ถูกต้องอาจทำให้ถึงตายได้ ปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.5 เห็นว่าตามคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 และผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 แทงผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 2 ครั้ง ในลักษณะเลือกแทงและแทงโดยแรง การกระทำของจำเลยที่ 2 เห็นได้ว่ามีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ให้ตาย จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัย ฎีกาจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้เสียหายที่ 2 ปรากฏว่า ได้รับบาดเจ็บที่หลังด้านซ้ายเป็นรูปสามแฉกทะลุเข้าไปแพทย์ได้ทำการเย็บบาดแผลและรับรักษาตัวในโรงพยาบาล 7 วัน จึงให้กลับบ้านบาดแผลรักษาประมาณ 7 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน ปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.6 เห็นว่าตามคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 และผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 แทงผู้เสียหายที่ 2 เพียงครั้งเดียว บาดแผลไม่ปรากฏชัดว่าลึกมากน้อยเท่าใด ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มีสาเหตุกับผู้เสียหายที่ 2 มาก่อนข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 2คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2เท่านั้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยที่ 2เป็นพยายามฆ่าหรือเป็นเพียงทำร้ายร่างกายเป็นปัญหาข้อเท็จจริงจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งไว้ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ไม่ประสงค์ต่อสู้ในปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองได้รับอันตรายสาหัสศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฟ้อง จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 2 มีเพียงเจตนาทำร้ายเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2มีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ได้ แม้ว่าจำเลยที่ 2 จะมิได้โต้แย้งไว้ในชั้นอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าหรือทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาก็ตาม
พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงทำร้ายผู้เสียหายที่ 1จำนวน 2 ครั้ง ในลักษณะเลือกแทงและแทงโดยแรง ปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่คอด้านหลังข้างขวาเหนือกระดูกไหปลาร้า ยาวประมาณครึ่งนิ้ว ลึกเข้าไปข้างในที่กระดูกสะบักข้างขวามีลมรั่วในช่องปอดข้างขวาต้องเจาะเอาลมออก แพทย์ลงความเห็นว่าถ้ารักษาไม่ถูกต้องอาจทำให้ถึงตายได้ การกระทำของจำเลยที่ 2 ถือได้ว่ามีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ให้ตาย จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ที่โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าหรือเป็นเพียงฐานทำร้ายร่างกายเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งไว้ในอุทธรณ์ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2ไม่ประสงค์ต่อสู้ในปัญหานี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยนั้น คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัสศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฟ้อง จำเลยที่ 2อุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 2มีเพียงเจตนาทำร้ายเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ได้แม้ว่าจำเลยที่ 2 จะมิได้โต้แย้งไว้ในชั้นอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าหรือทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ก็ตาม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ได้บังอาจมีอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ ขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก กระสุนขนาด .22 จำนวน 4 นัดและมีอาวุธปืนพกลูกซองขนาด 12 จำนวน 1 กระบอกไว้ในครอบครองของจำเลยที่ 1 โดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายจำเลยที่ 1 ได้พาอาวุธปืนดังกล่าวไปในงานบุญบั้งไฟวัดปาสังฆวนารามที่จัดให้มีการมหรสพงานรื่นเริง โดยไม่มีเหตุสมควร และจำเลยทั้งสองได้บังอาจร่วมกันพยายามฆ่านายวานิช ชนะพันธ์ ผู้เสียหายที่ 1 และนายสมพงษ์ วังสนาม ผู้เสียหายที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์เป็นอาวุธแทงผู้เสียหายที่ 1 ที่บริเวณไหปลาร้า กับที่สะบักและแทงทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ที่บริเวณซี่โครงในขณะที่จำเลยที่ 1ถืออาวุธปืนพกที่ติดตัวมาดังกล่าว คอยป้องกันมิให้ผู้อื่นเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายทั้งสอง จำเลยทั้งสองได้กระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เพราะผู้เสียหายทั้งสองได้รับการรักษาทันท่วงที ผู้เสียหายทั้งสองได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน และประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 80,83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72,72 ทวิ และขอให้ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่ามีอาวุธปืนลูกซอง ขนาดเบอร์ 12ไว้ในครอบครองตามฟ้อง ส่วนข้อหาอื่นจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 (ที่ถูกมาตรา 72วรรคหนึ่ง) และมีความผิดตามมาตรา 7 ทวิ วรรคหนึ่ง (ที่ถูกเป็นมาตรา 8 ทวิ วรรคสอง), 72 ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 รวม 2 กระทง เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 10 ปี รวมจำคุก 20 ปี ริบของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ในความผิดที่เกี่ยวกับนายสมพงษ์ วังสนาม ผู้เสียหายที่ 2 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 2 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 12 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วคดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ แล้วฟังว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองจริงปรากฏว่า ผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่คอด้านหลังข้างขวาเหนือกระดูกไหปลาร้ายาวประมาณครึ่งนิ้ว ลึกเข้าไปข้างใน ที่ใต้กระดูกสะบักข้างขวามีลมรั่วในช่องปอดข้างขวา ต้องทำการเจาะเอาลมออกแพทย์มีความเห็นว่า ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล 7 วัน จึงให้กลับบ้านถ้ารักษาไม่ถูกต้องอาจทำให้ถึงตายได้ ปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.5 เห็นว่าตามคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 และผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 แทงผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 2 ครั้ง ในลักษณะเลือกแทงและแทงโดยแรง การกระทำของจำเลยที่ 2 เห็นได้ว่ามีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ให้ตาย จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัย ฎีกาจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้เสียหายที่ 2 ปรากฏว่า ได้รับบาดเจ็บที่หลังด้านซ้ายเป็นรูปสามแฉกทะลุเข้าไปแพทย์ได้ทำการเย็บบาดแผลและรับรักษาตัวในโรงพยาบาล 7 วัน จึงให้กลับบ้านบาดแผลรักษาประมาณ 7 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน ปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.6 เห็นว่าตามคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 และผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 แทงผู้เสียหายที่ 2 เพียงครั้งเดียว บาดแผลไม่ปรากฏชัดว่าลึกมากน้อยเท่าใด ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มีสาเหตุกับผู้เสียหายที่ 2 มาก่อนข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 2คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2เท่านั้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยที่ 2เป็นพยายามฆ่าหรือเป็นเพียงทำร้ายร่างกายเป็นปัญหาข้อเท็จจริงจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งไว้ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ไม่ประสงค์ต่อสู้ในปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองได้รับอันตรายสาหัสศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฟ้อง จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 2 มีเพียงเจตนาทำร้ายเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2มีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ได้ แม้ว่าจำเลยที่ 2 จะมิได้โต้แย้งไว้ในชั้นอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าหรือทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาก็ตาม
พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 จำนวน2 ครั้ง ในลักษณะเลือกแทงและแทงโดยแรง ปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่คอด้านหลังข้างขวาเหนือกระดูกไหปลาร้า ยาวประมาณครึ่งนิ้ว ลึกเข้าไปข้างในที่กระดูกสะบักข้างขวามีลมรั่วในช่องปอดข้างขวาต้องเจาะเอาลมออก แพทย์ลงความเห็นว่าถ้าร้กษาไม่ถูกต้องอาจทำให้ถึงตายได้ การกระทำของจำเลยที่ 2ถือได้ว่ามีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ให้ตาย จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288ประกอบมาตรา 80
ที่โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าหรือเป็นเพียงฐานทำร้ายร่างกายเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งจำเลยที่ 2มิได้โต้แย้งไว้ในอุทธรณ์ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ประสงค์ต่อสู้ในปัญหานี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยนั้น คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัสศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฟ้อง จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 2 มีเพียงเจตนาทำร้ายเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ได้ แม้ว่าจำเลยที่ 2 จะมิได้โต้แย้งไว้ในชั้นอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าหรือทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ก็ตาม
จำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 จำนวน2 ครั้ง ในลักษณะเลือกแทงและแทงโดยแรง ปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่คอด้านหลังข้างขวาเหนือกระดูกไหปลาร้า ยาวประมาณครึ่งนิ้ว ลึกเข้าไปข้างในที่กระดูกสะบักข้างขวามีลมรั่วในช่องปอดข้างขวาต้องเจาะเอาลมออก แพทย์ลงความเห็นว่าถ้าร้กษาไม่ถูกต้องอาจทำให้ถึงตายได้ การกระทำของจำเลยที่ 2ถือได้ว่ามีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ให้ตาย จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288ประกอบมาตรา 80
ที่โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าหรือเป็นเพียงฐานทำร้ายร่างกายเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งจำเลยที่ 2มิได้โต้แย้งไว้ในอุทธรณ์ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ประสงค์ต่อสู้ในปัญหานี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยนั้น คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัสศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฟ้อง จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 2 มีเพียงเจตนาทำร้ายเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ได้ แม้ว่าจำเลยที่ 2 จะมิได้โต้แย้งไว้ในชั้นอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าหรือทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ก็ตาม
จำเลยปลูกบ้านพิพาทในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิการเช่าสัญญาเช่าระงับเมื่อสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ จำเลยต้องส่งคืนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 561 จำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าเพื่อส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนแก่โจทก์ แม้ก่อนครบกำหนดตามสัญญาเช่าจำเลยขายบ้านพิพาทให้ส.โดยมีข้อตกลงให้ส. มีหน้าที่รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าก็ดี และการที่บ้านพิพาทถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก็ดี หาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นหน้าที่จะต้องส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนให้โจทก์ตามผลของกฎหมายไม่ ดังนั้นการที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินที่เช่าของโจทก์เมื่อสิ้นกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามฟ้องได้
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1789 เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายประกาศ ต่อมานายประกาศตกลงยินยอมให้โจทก์เป็นผู้ถือสิทธิ์ร่วมในที่ดินแปลงดังกล่าวเฉพาะส่วนด้านทิศใต้ เนื้อที่1 งาน 6 8/10 ตารางวา ต่อมา นายประกาศยอมให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว โดยแบ่งแยกที่ดินส่วนดังกล่าวออกมาเป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่ 16137 แต่ก่อนที่นายประกาศจะยอมให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินแปลงดังกล่าว เมื่อวันที่ 4สิงหาคม 2531นายประกาศได้ให้จำเลยเช่าที่ดินด้านทิศเหนือของที่ดินส่วนของโจทก์ดังกล่าว เนื้อที่ 35 ตารางวา มีกำหนด 3 ปีโดยจำเลยได้ปลูกสร้างบ้านไม้ชั้นเดียวพื้นเทคอนกรีตเป็นห้องแถว1 ห้อง เลขที่ 1/61 เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ได้บอกกล่าวขับไล่จำเลยและบริวาร โดยให้จำเลยรื้อถอนบ้านหลังดังกล่าวพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์โดยให้รื้อถอนบ้านไม้ชั้นเดียวพื้นเทคอนกรีตเป็นห้องแถว 1 ห้อง เลขที่ 1/61 ออกไปจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 16137พร้อมทั้งให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์และทำให้ที่ดินกลับคืนสภาพเดิม โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์หากจำเลยไม่กระทำการดังกล่าว ให้โจทก์เป็นผู้กระทำการแทน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดและห้ามจำเลยกับบริวารมิให้เกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์อีกต่อไป กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินของนายประกาศจริง ตามฟ้อง โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับโจทก์หรือที่ดินส่วนของโจทก์แม้สัญญาเช่าจะหมดอายุ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินจึงไม่มีอำนาจฟ้องและก่อนครบกำหนดตามสัญญาเช่า จำเลยได้ตกลงขายบ้านเลขที่ 1/61 แก่นายสุรพล โดยมีข้อตกลงให้ผู้อื่นรื้อถอนบ้านดังกล่าวไปในเดือนกันยายน 2534 จำเลยจึงหมดหน้าที่ที่จะต้องรื้อถอนบ้านดังกล่าวและก่อนจะรื้อถอนจำเลยถูกนายโลม ฟ้องให้ชำระหนี้ ต่อมานายโลมได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดบ้านหลังดังกล่าวเพื่อนำออกขายทอดตลาด และนายสุรพลได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ไว้ ดังนั้นจึงไม่สามารถรื้อถอนบ้านดังกล่าวได้ และโจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินกว่าความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 16137 โดยให้จำเลยและบริเวณขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนบ้านเลขที่ 1/61 ออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว และทำให้ที่ดินกลับคืนสภาพเดิมโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดและห้ามจำเลยและบริวารมิให้เข้าเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์อีกต่อไป กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500บาท นับแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน โดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่าจำเลยปลูกบ้านพิพาทในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิการเช่า และสัญญาเช่าได้ครบกำหนดแล้วตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2534 หลังจากนั้นจำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์อีกเลย ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2534 จำเลยได้ขายบ้านพิพาทให้นายสุรพล โดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอม มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์และเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ เห็นว่าเมื่อสัญญาเช่าระงับเมื่อสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ จำเลยก็ต้องส่งคืนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 561 โดยจำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าเพื่อส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนแก่โจทก์การที่จำเลยโอนขายบ้านพิพาทให้นายสุรพล โดยมีข้อตกลงให้นายสุรพลมีหน้าที่รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าก็ดี และการที่บ้านพิพาทถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก็ดี หาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นหน้าที่จะต้องส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนให้โจทก์ตามผลของกฎหมายไม่ ดังนั้นการที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินที่เช่าของโจทก์เมื่อสิ้นกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อบ้านพิพาท พร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามฟ้องได้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยปลูกบ้านพิพาทในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิการเช่าสัญญาเช่าระงับเมื่อสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ จำเลยต้องส่งคืนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 561 จำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าเพื่อส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนแก่โจทก์ แม้ก่อนครบกำหนดตามสัญญาเช่าจำเลยขายบ้านพิพาทให้ส.โดยมีข้อตกลงให้ส. มีหน้าที่รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าก็ดี และการที่บ้านพิพาทถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก็ดี หาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นหน้าที่จะต้องส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนให้โจทก์ตามผลของกฎหมายไม่ ดังนั้นการที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินที่เช่าของโจทก์เมื่อสิ้นกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามฟ้องได้
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1789 เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายประกาศ ต่อมานายประกาศตกลงยินยอมให้โจทก์เป็นผู้ถือสิทธิ์ร่วมในที่ดินแปลงดังกล่าวเฉพาะส่วนด้านทิศใต้ เนื้อที่1 งาน 6 8/10 ตารางวา ต่อมา นายประกาศยอมให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว โดยแบ่งแยกที่ดินส่วนดังกล่าวออกมาเป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่ 16137 แต่ก่อนที่นายประกาศจะยอมให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินแปลงดังกล่าว เมื่อวันที่ 4สิงหาคม 2531นายประกาศได้ให้จำเลยเช่าที่ดินด้านทิศเหนือของที่ดินส่วนของโจทก์ดังกล่าว เนื้อที่ 35 ตารางวา มีกำหนด 3 ปีโดยจำเลยได้ปลูกสร้างบ้านไม้ชั้นเดียวพื้นเทคอนกรีตเป็นห้องแถว1 ห้อง เลขที่ 1/61 เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ได้บอกกล่าวขับไล่จำเลยและบริวาร โดยให้จำเลยรื้อถอนบ้านหลังดังกล่าวพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์โดยให้รื้อถอนบ้านไม้ชั้นเดียวพื้นเทคอนกรีตเป็นห้องแถว 1 ห้อง เลขที่ 1/61 ออกไปจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 16137พร้อมทั้งให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์และทำให้ที่ดินกลับคืนสภาพเดิม โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์หากจำเลยไม่กระทำการดังกล่าว ให้โจทก์เป็นผู้กระทำการแทน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดและห้ามจำเลยกับบริวารมิให้เกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์อีกต่อไป กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินของนายประกาศจริง ตามฟ้อง โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับโจทก์หรือที่ดินส่วนของโจทก์แม้สัญญาเช่าจะหมดอายุ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินจึงไม่มีอำนาจฟ้องและก่อนครบกำหนดตามสัญญาเช่า จำเลยได้ตกลงขายบ้านเลขที่ 1/61 แก่นายสุรพล โดยมีข้อตกลงให้ผู้อื่นรื้อถอนบ้านดังกล่าวไปในเดือนกันยายน 2534 จำเลยจึงหมดหน้าที่ที่จะต้องรื้อถอนบ้านดังกล่าวและก่อนจะรื้อถอนจำเลยถูกนายโลม ฟ้องให้ชำระหนี้ ต่อมานายโลมได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดบ้านหลังดังกล่าวเพื่อนำออกขายทอดตลาด และนายสุรพลได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ไว้ ดังนั้นจึงไม่สามารถรื้อถอนบ้านดังกล่าวได้ และโจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินกว่าความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 16137 โดยให้จำเลยและบริเวณขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนบ้านเลขที่ 1/61 ออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว และทำให้ที่ดินกลับคืนสภาพเดิมโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดและห้ามจำเลยและบริวารมิให้เข้าเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์อีกต่อไป กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500บาท นับแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน โดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่าจำเลยปลูกบ้านพิพาทในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิการเช่า และสัญญาเช่าได้ครบกำหนดแล้วตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2534 หลังจากนั้นจำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์อีกเลย ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2534 จำเลยได้ขายบ้านพิพาทให้นายสุรพล โดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอม มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์และเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ เห็นว่าเมื่อสัญญาเช่าระงับเมื่อสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ จำเลยก็ต้องส่งคืนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 561 โดยจำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าเพื่อส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนแก่โจทก์การที่จำเลยโอนขายบ้านพิพาทให้นายสุรพล โดยมีข้อตกลงให้นายสุรพลมีหน้าที่รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าก็ดี และการที่บ้านพิพาทถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก็ดี หาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นหน้าที่จะต้องส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนให้โจทก์ตามผลของกฎหมายไม่ ดังนั้นการที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินที่เช่าของโจทก์เมื่อสิ้นกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อบ้านพิพาท พร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามฟ้องได้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิการเช่าเมื่อสัญญาเช่าระงับเมื่อสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้จำเลยก็ต้องส่งคืนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 561 โดยจำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าเพื่อส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนแก่โจทก์ การที่จำเลยโอนขายบ้านให้ส.โดยมีข้อตกลงให้ส. มีหน้าที่รื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าก็ดี และการที่บ้านถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก็ดี หาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นหน้าที่จะต้องส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนให้โจทก์ตามผลของกฎหมายไม่ การที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านออกจากที่ดินที่เช่าของโจทก์เมื่อสิ้นกำหนดเวลาสัญญาเช่าแล้วโจทก์ย่อม มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อบ้านพร้อมขนย้าย ทรัพย์สินออกจากที่ดินได้
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1789 เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายประกาศ วงษาวยอด ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2531นายประกาศตกลงยินยอมให้โจทก์เป็นผู้ถือสิทธิร่วมในที่ดินแปลงดังกล่าวเฉพาะส่วนด้านทิศใต้ เนื้อที่ 1 งาน 6 8/10 ตารางวาโดยโจทก์ได้เสียค่าตอบแทนแก่นายประกาศเป็นเงิน 400,000 บาทต่อมานายประกาศยอมให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว โดยแบ่งแยกที่ดินส่วนดังกล่าวออกมาเป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่ 16137 แต่ก่อนที่นายประกาศจะยอมให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินแปลงดังกล่าว เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม2531 นายประกาศได้ให้จำเลยเช่าที่ดินด้านทิศเหนือของที่ดินส่วนของโจทก์ดังกล่าว เนื้อที่ 35 ตารางวา มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2531 ถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2534 โดยจำเลยได้ปลูกสร้างบ้านไม้ชั้นเดียว เลขที่ 1/61 เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้วโจทก์ได้บอกกล่าวขับไล่จำเลยและบริวาร โดยให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์โดยให้รื้อถอนบ้านไม้ชั้นเดียว เลขที่ 1/61 ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 16137 พร้อมทั้งให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์และทำให้ที่ดินกลับคืนสภาพเดิม โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์หากจำเลยไม่กระทำการดังกล่าว ให้โจทก์เป็นผู้กระทำการแทนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด และห้ามจำเลยกับบริวารมิให้เกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์อีกต่อไปกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2534 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ก่อนครบกำหนดตามสัญญาเช่า จำเลยได้ตกลงขายบ้านเลขที่ 1/61 แก่นายสุรพล วิบูลย์ญาณ โดยมีข้อตกลงให้ผู้อื่นรื้อถอนบ้านดังกล่าวไปในเดือนกันยายน 2534 จำเลยจึงหมดหน้าที่ที่จะต้องรื้อถอนบ้านดังกล่าว และก่อนจะรื้อถอนจำเลยถูกนายโลม บุญวัฒน์ ฟ้องให้ชำระหนี้ต่อมานายโลมได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดบ้านดังกล่าวเพื่อนำออกขายทอดตลาด และนายสุรพลได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ไว้ ดังนั้นจึงไม่สามารถรื้อถอนบ้านดังกล่าวได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 16137 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตรโดยให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนบ้านเลขที่ 1/61ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตรออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว และทำให้ที่ดินกลับคืนสภาพเดิมโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด และห้ามจำเลยและบริวารมิให้เข้าเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์อีกต่อไปกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีนี้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนโดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่า จำเลยปลูกบ้านเลขที่ 1/61ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตรซึ่งเป็นบ้านพิพาทในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิการเช่า และสัญญาเช่าได้ครบกำหนดแล้วตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2534หลังจากนั้นจำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์อีกเลย ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2534 จำเลยได้ขายบ้านพิพาทให้นายสุรพล วิบูลย์ญาณ โดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอม มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์และเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อสัญญาเช่าระงับเมื่อสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้จำเลยก็ต้องส่งคืนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 561 โดยจำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าเพื่อส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนแก่โจทก์ การที่จำเลยโอนขายบ้านพิพาทให้นายสุรพลโดยมีข้อตกลงให้นายสุรพลมีหน้าที่รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าก็ดีและการที่บ้านพิพาทถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก็ดีหาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นหน้าที่จะต้องส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนให้แก่โจทก์ตามผลของกฎหมายไม่ดังนั้น การที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินที่เช่าของโจทก์เมื่อสิ้นกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อบ้านเลขที่ 1/61ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตรพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามฟ้องได้"
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิการเช่าเมื่อสัญญาเช่าระงับเมื่อสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้จำเลยก็ต้องส่งคืนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 561 โดยจำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าเพื่อส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนแก่โจทก์ การที่จำเลยโอนขายบ้านให้ส.โดยมีข้อตกลงให้ส. มีหน้าที่รื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าก็ดี และการที่บ้านถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก็ดี หาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นหน้าที่จะต้องส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนให้โจทก์ตามผลของกฎหมายไม่ การที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านออกจากที่ดินที่เช่าของโจทก์เมื่อสิ้นกำหนดเวลาสัญญาเช่าแล้วโจทก์ย่อม มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อบ้านพร้อมขนย้าย ทรัพย์สินออกจากที่ดินได้
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1789 เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายประกาศ วงษาวยอด ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2531นายประกาศตกลงยินยอมให้โจทก์เป็นผู้ถือสิทธิร่วมในที่ดินแปลงดังกล่าวเฉพาะส่วนด้านทิศใต้ เนื้อที่ 1 งาน 6 8/10 ตารางวาโดยโจทก์ได้เสียค่าตอบแทนแก่นายประกาศเป็นเงิน 400,000 บาทต่อมานายประกาศยอมให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว โดยแบ่งแยกที่ดินส่วนดังกล่าวออกมาเป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่ 16137 แต่ก่อนที่นายประกาศจะยอมให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินแปลงดังกล่าว เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม2531 นายประกาศได้ให้จำเลยเช่าที่ดินด้านทิศเหนือของที่ดินส่วนของโจทก์ดังกล่าว เนื้อที่ 35 ตารางวา มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2531 ถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2534 โดยจำเลยได้ปลูกสร้างบ้านไม้ชั้นเดียว เลขที่ 1/61 เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้วโจทก์ได้บอกกล่าวขับไล่จำเลยและบริวาร โดยให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์โดยให้รื้อถอนบ้านไม้ชั้นเดียว เลขที่ 1/61 ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 16137 พร้อมทั้งให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์และทำให้ที่ดินกลับคืนสภาพเดิม โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์หากจำเลยไม่กระทำการดังกล่าว ให้โจทก์เป็นผู้กระทำการแทนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด และห้ามจำเลยกับบริวารมิให้เกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์อีกต่อไปกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2534 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ก่อนครบกำหนดตามสัญญาเช่า จำเลยได้ตกลงขายบ้านเลขที่ 1/61 แก่นายสุรพล วิบูลย์ญาณ โดยมีข้อตกลงให้ผู้อื่นรื้อถอนบ้านดังกล่าวไปในเดือนกันยายน 2534 จำเลยจึงหมดหน้าที่ที่จะต้องรื้อถอนบ้านดังกล่าว และก่อนจะรื้อถอนจำเลยถูกนายโลม บุญวัฒน์ ฟ้องให้ชำระหนี้ต่อมานายโลมได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดบ้านดังกล่าวเพื่อนำออกขายทอดตลาด และนายสุรพลได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ไว้ ดังนั้นจึงไม่สามารถรื้อถอนบ้านดังกล่าวได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 16137 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตรโดยให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนบ้านเลขที่ 1/61ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตรออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว และทำให้ที่ดินกลับคืนสภาพเดิมโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด และห้ามจำเลยและบริวารมิให้เข้าเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์อีกต่อไปกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีนี้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนโดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่า จำเลยปลูกบ้านเลขที่ 1/61ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตรซึ่งเป็นบ้านพิพาทในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิการเช่า และสัญญาเช่าได้ครบกำหนดแล้วตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2534หลังจากนั้นจำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์อีกเลย ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2534 จำเลยได้ขายบ้านพิพาทให้นายสุรพล วิบูลย์ญาณ โดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอม มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์และเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อสัญญาเช่าระงับเมื่อสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้จำเลยก็ต้องส่งคืนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 561 โดยจำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าเพื่อส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนแก่โจทก์ การที่จำเลยโอนขายบ้านพิพาทให้นายสุรพลโดยมีข้อตกลงให้นายสุรพลมีหน้าที่รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าก็ดีและการที่บ้านพิพาทถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก็ดีหาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นหน้าที่จะต้องส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนให้แก่โจทก์ตามผลของกฎหมายไม่ดังนั้น การที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินที่เช่าของโจทก์เมื่อสิ้นกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อบ้านเลขที่ 1/61ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตรพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามฟ้องได้"
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยปลูกบ้านพิพาทในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิการเช่าสัญญาเช่าระงับเมื่อสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ จำเลยต้องส่งคืนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 561 จำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าเพื่อส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนแก่โจทก์ แม้ก่อนครบกำหนดตามสัญญาเช่าจำเลยขายบ้านพิพาทให้ ส. โดยมีข้อตกลงให้ ส. มีหน้าที่รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าก็ดี และการที่บ้านพิพาทถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก็ดี หาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นหน้าที่จะต้องส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนให้โจทก์ตามผลของกฎหมายไม่ ดังนั้นการที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินที่เช่าของโจทก์เมื่อสิ้นกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามฟ้องได้
จำเลยปลูกบ้านพิพาทในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิการเช่าสัญญาเช่าระงับเมื่อสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ จำเลยต้องส่งคืนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 561 จำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าเพื่อส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนแก่โจทก์ แม้ก่อนครบกำหนดตามสัญญาเช่าจำเลยขายบ้านพิพาทให้ ส. โดยมีข้อตกลงให้ ส. มีหน้าที่รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าก็ดี และการที่บ้านพิพาทถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก็ดี หาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นหน้าที่จะต้องส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนให้โจทก์ตามผลของกฎหมายไม่ ดังนั้นการที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินที่เช่าของโจทก์เมื่อสิ้นกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามฟ้องได้
สัญญาเช่าฉาง เอกชน นอกจากเป็นสัญญาเช่าทรัพย์แล้วยังมีข้อกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่เก็บรักษาข้าวเปลือกและดูแลมิให้เกิดความเสียหายหากเกิดความเสียหายหรือสูญหาย จำเลยต้องรับผิดชดใช้ราคา จึงมีลักษณะเป็นสัญญาฝากทรัพย์รวมอยู่ด้วย จำเลยในฐานะผู้รับฝากทรัพย์ซึ่งจะต้องคืนทรัพย์ที่รับฝากไว้แก่โจทก์เมื่อทรัพย์ที่ฝากสูญหายจึงต้องใช้ราคาแทนตัวทรัพย์ การฟ้องเรียกให้ใช้ราคาทรัพย์ในกรณีนี้ไม่ใช่เรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 และไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 (กฎหมายใหม่ 193/30)
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าฉาง จากจำเลยเพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บข้าวเปลือกของโจทก์แต่ผู้เดียว โจทก์ได้นำข้าวเปลือกชนิดต่าง ๆ เข้าไว้ในฉางทั้ง 2 ฉาง และในระหว่างอายุสัญญาเช่าโจทก์ได้สั่งจ่ายข้าวเปลือกชนิดต่าง ๆ ออกจากฉางเป็นจำนวน1,906,016 กิโลกรัม โจทก์ยอมให้หักน้ำหนักข้าวเปลือกยุบตัวตามสภาพอีกจำนวนร้อยละ 2 ของจำนวนข้าวทั้งหมดของน้ำหนักหลังจากครบกำหนดสัญญาเช่าฉางโจทก์ได้ให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบปรากฏว่าไม่มีข้าวเปลือกเหลืออยู่ จำเลยในฐานะผู้ให้เช่าฉางจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายหรือสูญหายของข้าวเปลือกตามสัญญาเช่าฉาง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 765,171.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยชำระค่าเช่าฉางให้จำเลยสัญญาเช่าไม่ติดอากรแสตมป์รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ และโจทก์คิดราคาข้าวเปลือกเกินความจริง หากคิดตามจำนวนข้าวเปลือกที่โจทก์เรียกร้องแล้วจะมีจำนวนเพียง 499,175.96บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 765,171.20 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าฉางตามฟ้องจากจำเลยเพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บข้าวเปลือกของโจทก์ โดยมีข้อตกลงกันว่า จำเลยจะเก็บรักษาข้าวเปลือกตามชนิด จำนวน น้ำหนัก มิให้เปลี่ยนแปลงหรือผิดไปจากสภาพเดิม ถ้าเกิดความเสียหายหรือสูญหายขึ้นจำเลยต้องรับผิดชอบและชดใช้ราคาข้าวเปลือกที่ผิดชนิดหรือขาดจำนวนไปไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ยกเว้นข้าวเปลือกที่ยุบตัวไปตามสภาพไม่เกินร้อยละ 2 ของจำนวนข้าวทั้งหมด หรือเกิดจากเหตุสุดวิสัยระหว่างสัญญาเช่า ปรากฏว่าข้าวเปลือกของโจทก์ที่เก็บอยู่ในฉางได้สูญหายไปหลังจากหักน้ำหนักการยุบตัวโดยสภาพร้อยละ 2 แล้วจำนวน 265,995.24 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 765,171.20 บาท
จำเลยฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 เห็นว่า ตามสัญญาเช่าฉางเอกชน นอกจากเป็นสัญญาเช่าทรัพย์แล้วยังมีข้อกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่เก็บรักษาข้าวเปลือกและดูแลมิให้เกิดความเสียหายแก่ข้าวเปลือกที่เก็บรักษาในฉางด้วย หากเกิดความเสียหายหรือสูญหายขึ้นจำเลยต้องรับผิดชอบชดใช้ราคาข้าวเปลือกที่ขาดจำนวนไปแก่โจทก์ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาฝากทรัพย์รวมอยู่ในตัวด้วย ฉะนั้นจำเลยในฐานะผู้รับฝากทรัพย์ซึ่งจะต้องคืนทรัพย์ที่รับฝากไว้แก่โจทก์เมื่อทรัพย์ที่รับฝากสูญหายไปจำเลยจึงต้องใช้ราคาทรัพย์ที่รับฝากไว้แทนตัวทรัพย์ การฟ้องเรียกให้ใช้ราคาทรัพย์ในกรณีนี้ไม่ใช่เรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 671 และไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน
สัญญาเช่าฉาง เอกชน นอกจากเป็นสัญญาเช่าทรัพย์แล้วยังมีข้อกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่เก็บรักษาข้าวเปลือกและดูแลมิให้เกิดความเสียหายหากเกิดความเสียหายหรือสูญหาย จำเลยต้องรับผิดชดใช้ราคา จึงมีลักษณะเป็นสัญญาฝากทรัพย์รวมอยู่ด้วย จำเลยในฐานะผู้รับฝากทรัพย์ซึ่งจะต้องคืนทรัพย์ที่รับฝากไว้แก่โจทก์เมื่อทรัพย์ที่ฝากสูญหายจึงต้องใช้ราคาแทนตัวทรัพย์ การฟ้องเรียกให้ใช้ราคาทรัพย์ในกรณีนี้ไม่ใช่เรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 และไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 (กฎหมายใหม่ 193/30)
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าฉาง จากจำเลยเพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บข้าวเปลือกของโจทก์แต่ผู้เดียว โจทก์ได้นำข้าวเปลือกชนิดต่าง ๆ เข้าไว้ในฉางทั้ง 2 ฉาง และในระหว่างอายุสัญญาเช่าโจทก์ได้สั่งจ่ายข้าวเปลือกชนิดต่าง ๆ ออกจากฉางเป็นจำนวน1,906,016 กิโลกรัม โจทก์ยอมให้หักน้ำหนักข้าวเปลือกยุบตัวตามสภาพอีกจำนวนร้อยละ 2 ของจำนวนข้าวทั้งหมดของน้ำหนักหลังจากครบกำหนดสัญญาเช่าฉางโจทก์ได้ให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบปรากฏว่าไม่มีข้าวเปลือกเหลืออยู่ จำเลยในฐานะผู้ให้เช่าฉางจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายหรือสูญหายของข้าวเปลือกตามสัญญาเช่าฉาง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 765,171.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยชำระค่าเช่าฉางให้จำเลยสัญญาเช่าไม่ติดอากรแสตมป์รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ และโจทก์คิดราคาข้าวเปลือกเกินความจริง หากคิดตามจำนวนข้าวเปลือกที่โจทก์เรียกร้องแล้วจะมีจำนวนเพียง 499,175.96บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 765,171.20 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าฉางตามฟ้องจากจำเลยเพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บข้าวเปลือกของโจทก์ โดยมีข้อตกลงกันว่า จำเลยจะเก็บรักษาข้าวเปลือกตามชนิด จำนวน น้ำหนัก มิให้เปลี่ยนแปลงหรือผิดไปจากสภาพเดิม ถ้าเกิดความเสียหายหรือสูญหายขึ้นจำเลยต้องรับผิดชอบและชดใช้ราคาข้าวเปลือกที่ผิดชนิดหรือขาดจำนวนไปไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ยกเว้นข้าวเปลือกที่ยุบตัวไปตามสภาพไม่เกินร้อยละ 2 ของจำนวนข้าวทั้งหมด หรือเกิดจากเหตุสุดวิสัยระหว่างสัญญาเช่า ปรากฏว่าข้าวเปลือกของโจทก์ที่เก็บอยู่ในฉางได้สูญหายไปหลังจากหักน้ำหนักการยุบตัวโดยสภาพร้อยละ 2 แล้วจำนวน 265,995.24 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 765,171.20 บาท
จำเลยฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 เห็นว่า ตามสัญญาเช่าฉางเอกชน นอกจากเป็นสัญญาเช่าทรัพย์แล้วยังมีข้อกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่เก็บรักษาข้าวเปลือกและดูแลมิให้เกิดความเสียหายแก่ข้าวเปลือกที่เก็บรักษาในฉางด้วย หากเกิดความเสียหายหรือสูญหายขึ้นจำเลยต้องรับผิดชอบชดใช้ราคาข้าวเปลือกที่ขาดจำนวนไปแก่โจทก์ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาฝากทรัพย์รวมอยู่ในตัวด้วย ฉะนั้นจำเลยในฐานะผู้รับฝากทรัพย์ซึ่งจะต้องคืนทรัพย์ที่รับฝากไว้แก่โจทก์เมื่อทรัพย์ที่รับฝากสูญหายไปจำเลยจึงต้องใช้ราคาทรัพย์ที่รับฝากไว้แทนตัวทรัพย์ การฟ้องเรียกให้ใช้ราคาทรัพย์ในกรณีนี้ไม่ใช่เรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 671 และไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน
สัญญาเช่าฉางระหว่างโจทก์กับจำเลย นอกจากเป็นสัญญาเช่าทรัพย์แล้ว ยังมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะเก็บรักษาข้าวเปลือกตามชนิดจำนวน น้ำหนัก มิให้เปลี่ยนแปลงหรือผิดไปจากสภาพเดิมถ้าเกิดความเสียหายหรือสูญหายขึ้น จำเลยต้องรับผิดชอบและชดใช้ราคาข้าวเปลือกที่ผิดชนิดหรือขาดจำนวนไปไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาฝากทรัพย์รวมอยู่ในตัวด้วยฉะนั้นจำเลยในฐานะผู้รับฝากทรัพย์จึงต้องคืนทรัพย์ที่รับฝากไว้แก่โจทก์ เมื่อทรัพย์ที่รับฝากสูญหายไปจำเลยจึงต้องใช้ราคาทรัพย์ที่รับฝากไว้แทนตัวทรัพย์ การฟ้องเรียกให้ใช้ราคาทรัพย์ในกรณีนี้ไม่ใช่เรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 และไม่มี กฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนด 10 ปี ตามมาตรา 164
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 365,171.20 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ.2496 มีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งตลาดเพื่อให้เป็นแหล่งกลางในการซื้อขายผลิตผลเกษตรกรรมของเกษตรกรและดำเนินการพยุงราคาผลิตผลของเกษตรกรเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2523 โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าฉางตามฟ้องจากจำเลยจำนวน 2 ฉาง เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บข้าวเปลือกของโจทก์ โดยมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะเก็บรักษาข้าวเปลือกตามชนิด จำนวน น้ำหนัก มิให้เปลี่ยนแปลงหรือผิดไปจากสภาพเดิมถ้าเกิดความเสียหายหรือสูญหายขึ้น จำเลยต้องรับผิดชอบและชดใช้ราคาข้าวเปลือกที่ผิดชนิดหรือขาดจำนวนไปไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆยกเว้นข้าวเปลือกที่ยุบตัวไปตามสภาพไม่เกินร้อยละ 2 ของจำนวนข้าวทั้งหมดหรือเกิดจากเหตุสุดวิสัย ปรากฏตามสัญญาเช่าฉางเอกชนเอกสารหมาย ป.จ.2 และ ป.จ.3 ระหว่างสัญญาเช่า ปรากฏว่าข้าวเปลือกของโจทก์ที่เก็บอยู่ในฉางได้สูญหายไปหลังจากหักน้ำหนักการยุบตัวโดยสภาพร้อยละ 2 แล้ว จำนวน 265,995.24 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 765,171.20 บาท ปรากฏตามรายละเอียดฉางสต๊อกข้าวเปลือกพยุงราคาปี 2522/2523 เอกสารหมาย ป.จ.7
จำเลยฎีกาข้อแรกว่า คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 เห็นว่า ตามสัญญาเช่าฉางเอกชนเอกสารหมาย ป.จ.2 และ ป.จ.3 นอกจากเป็นสัญญาเช่าทรัพย์แล้วยังมีข้อกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่เก็บรักษาข้าวเปลือกและดูแลมิให้เกิดความเสียหายแก่ข้าวเปลือกที่เก็บรักษาในฉางด้วย หากเกิดความเสียหายหรือสูญหายขึ้น จำเลยต้องรับผิดชอบชดใช้ราคาข้าวเปลือกที่ขาดจำนวนไปแก่โจทก์ ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาฝากทรัพย์รวมอยู่ในตัวด้วยฉะนั้นจำเลยในฐานะผู้รับฝากทรัพย์ซึ่งจะต้องคืนทรัพย์ที่รับฝากไว้แก่โจทก์เมื่อทรัพย์ที่รับฝากสูญหายไปจำเลยจึงต้องใช้ราคาทรัพย์ที่รับฝากไว้แทนตัวทรัพย์ การฟ้องเรียกให้ใช้ราคาทรัพย์ในกรณีนี้ไม่ใช่เรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับการฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 และไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ"
พิพากษายืน
สัญญาเช่าฉางระหว่างโจทก์กับจำเลย นอกจากเป็นสัญญาเช่าทรัพย์แล้ว ยังมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะเก็บรักษาข้าวเปลือกตามชนิดจำนวน น้ำหนัก มิให้เปลี่ยนแปลงหรือผิดไปจากสภาพเดิมถ้าเกิดความเสียหายหรือสูญหายขึ้น จำเลยต้องรับผิดชอบและชดใช้ราคาข้าวเปลือกที่ผิดชนิดหรือขาดจำนวนไปไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาฝากทรัพย์รวมอยู่ในตัวด้วยฉะนั้นจำเลยในฐานะผู้รับฝากทรัพย์จึงต้องคืนทรัพย์ที่รับฝากไว้แก่โจทก์ เมื่อทรัพย์ที่รับฝากสูญหายไปจำเลยจึงต้องใช้ราคาทรัพย์ที่รับฝากไว้แทนตัวทรัพย์ การฟ้องเรียกให้ใช้ราคาทรัพย์ในกรณีนี้ไม่ใช่เรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 และไม่มี กฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนด 10 ปี ตามมาตรา 164
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 365,171.20 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ.2496 มีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งตลาดเพื่อให้เป็นแหล่งกลางในการซื้อขายผลิตผลเกษตรกรรมของเกษตรกรและดำเนินการพยุงราคาผลิตผลของเกษตรกรเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2523 โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าฉางตามฟ้องจากจำเลยจำนวน 2 ฉาง เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บข้าวเปลือกของโจทก์ โดยมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะเก็บรักษาข้าวเปลือกตามชนิด จำนวน น้ำหนัก มิให้เปลี่ยนแปลงหรือผิดไปจากสภาพเดิมถ้าเกิดความเสียหายหรือสูญหายขึ้น จำเลยต้องรับผิดชอบและชดใช้ราคาข้าวเปลือกที่ผิดชนิดหรือขาดจำนวนไปไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆยกเว้นข้าวเปลือกที่ยุบตัวไปตามสภาพไม่เกินร้อยละ 2 ของจำนวนข้าวทั้งหมดหรือเกิดจากเหตุสุดวิสัย ปรากฏตามสัญญาเช่าฉางเอกชนเอกสารหมาย ป.จ.2 และ ป.จ.3 ระหว่างสัญญาเช่า ปรากฏว่าข้าวเปลือกของโจทก์ที่เก็บอยู่ในฉางได้สูญหายไปหลังจากหักน้ำหนักการยุบตัวโดยสภาพร้อยละ 2 แล้ว จำนวน 265,995.24 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 765,171.20 บาท ปรากฏตามรายละเอียดฉางสต๊อกข้าวเปลือกพยุงราคาปี 2522/2523 เอกสารหมาย ป.จ.7
จำเลยฎีกาข้อแรกว่า คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 เห็นว่า ตามสัญญาเช่าฉางเอกชนเอกสารหมาย ป.จ.2 และ ป.จ.3 นอกจากเป็นสัญญาเช่าทรัพย์แล้วยังมีข้อกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่เก็บรักษาข้าวเปลือกและดูแลมิให้เกิดความเสียหายแก่ข้าวเปลือกที่เก็บรักษาในฉางด้วย หากเกิดความเสียหายหรือสูญหายขึ้น จำเลยต้องรับผิดชอบชดใช้ราคาข้าวเปลือกที่ขาดจำนวนไปแก่โจทก์ ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาฝากทรัพย์รวมอยู่ในตัวด้วยฉะนั้นจำเลยในฐานะผู้รับฝากทรัพย์ซึ่งจะต้องคืนทรัพย์ที่รับฝากไว้แก่โจทก์เมื่อทรัพย์ที่รับฝากสูญหายไปจำเลยจึงต้องใช้ราคาทรัพย์ที่รับฝากไว้แทนตัวทรัพย์ การฟ้องเรียกให้ใช้ราคาทรัพย์ในกรณีนี้ไม่ใช่เรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับการฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 และไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ"
พิพากษายืน
จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 เรียกให้โจทก์ชำระเป็นเงินถึง314,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ให้เวลาแก่โจทก์เพียง 3 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือทวงถามเห็นได้ชัดว่าเป็นระยะเวลาอันสั้นจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกำหนดระยะเวลาพอสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 เมื่อโจทก์ไม่ชำระเงินภายในกำหนด จำเลยที่ 1 ก็บอกเลิกสัญญาไม่ได้ โจทก์นำเงินไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง แต่จำเลยไม่ได้รับเงินไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาดอกเบี้ยจากจำเลยในจำนวนเงินดังกล่าว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันจัดสรรแบ่งขายที่ดินโฉนดเลขที่ 31316 แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร ที่จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของร่วมกัน โดยขายพร้อมตึกแถว เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2528 โจทก์ทำสัญญาจองซื้อตึกแถว3 ชั้น 2 คูหา โจทก์ชำระเงินในวันทำสัญญาเป็นเงิน 60,000 บาทที่เหลือผ่อนชำระ 6 งวด ตามงานการก่อสร้าง ต่อมาจำเลยให้ทนายความมีหนังสือทวงถามค่างวดพร้อมดอกเบี้ย โจทก์จึงนำเงินไปชำระให้จำเลย 290,000 บาท แต่จำเลยไม่รับ โจทก์จึงนำเงินไปวางณ สำนักงานวางทรัพย์กลางจนครบ เมื่อรวมกับที่จำเลยรับไปก่อนแล้ว210,000 บาท จึงเป็นเงินที่โจทก์ชำระให้จำเลยครบตามสัญญาและโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยไปรับเงินที่วางไว้และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมตึกแถวให้โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ทั้งยังสร้างตึกแถวพิพาทไม่เสร็จและได้สมคบกับจำเลยที่ 3 จดทะเบียนโอนขายเฉพาะที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้จำเลยที่ 3 ทั้งนี้จำเลยที่ 3 รับโอนโดยไม่สุจริต ไม่ได้ซื้อขายกันจริงและไม่ได้มีการชำระราคา ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 36280 และ36281 แขวงบางขุนศรี (บางขุนนนท์) เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฉบับลงวันที่ 26 เมษายน 2531เป็นโมฆะ ให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 36280 และ 36281 พร้อมตึกแถวเลขที่ 513/184 และ 513/185ให้โจทก์โดยให้จำเลยรับเงินจำนวน 1,190,000 บาท ที่โจทก์วางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง แต่ให้หักเป็นค่าก่อสร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จเป็นเงิน 100,000 บาท หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากสภาพแห่งหนี้ไม่อาจบังคับให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนโอนดังกล่าวได้ก็ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินและใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ 1,497,717 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้โจทก์มีสิทธิรับเงินที่วางชำระ ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง1,190,000 บาทคืน หากจำเลยรับเงินดังกล่าวไปแล้ว ก็ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินดังกล่าวคืนโจทก์ และชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 1,190,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะได้รับคืนหรือจำเลยทั้งสามชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์จริง ขณะที่ทำสัญญายังไม่ทราบว่าอาคารที่จะปลูกสร้าง 2 คูหา อยู่บนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่เท่าใด โจทก์ผิดสัญญาชำระเงินตามสัญญางวดที่ 1 ไม่ครบจำเลยที่ 1 ให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ชำระเงินงวดที่ 1ที่ค้างกับชำระเงินงวดที่ 2 ให้เสร็จตามกำหนด แต่โจทก์ไม่ชำระสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นอันยกเลิก จำเลยที่ 1 ไม่เคยตกลงกับโจทก์เรื่องเลื่อนกำหนดการชำระเงินค่างวด การที่โจทก์วางเงินไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลางเป็นการวางเงินภายหลังที่สัญญาเลิกกันแล้ว จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 3โดยสุจริตและจดทะเบียนโอนโดยชอบ ค่าขาดกำไรที่โจทก์อ้างว่าจะขายตึกพิพาทได้นั้นเป็นเพียงการคาดคะเน หากจำเลยที่ 1 จะรับผิดก็รับผิดเพียง 210,000 บาทกับค่าปรับอีก 1 เท่าตามสัญญาเท่านั้นขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ได้ซื้อตึกพิพาทโดยสุจริต และจดทะเบียนโอนโดยถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ 420,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้อง
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ 210,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 60,000 บาท นับแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2528 จนถึงวันฟ้องและของต้นเงิน 80,000 บาท นับแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2530จนถึงวันฟ้องกับของต้นเงิน 70,000 บาท นับแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2530จนถึงวันฟ้องและชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน210,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 เรียกให้โจทก์ชำระตามเอกสารหมาย ล.1 นั้นคือเงินค่างวดที่ 1 ที่ค้างชำระจำนวน 70,000 บาท เงินค่างวดที่ 2 จำนวน 220,000 บาท ค่าดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 เรียกเป็นค่าเสียหายอีก 20,000 บาท และค่าทวงถามของทนายความอีก 5,000 บาท รวมเป็นเงินถึง 315,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ให้เวลาแก่โจทก์เพียง 3 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือทวงถาม เห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 1 กำหนดเวลาให้โจทก์ชำระหนี้เงินจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้นจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกำหนดระยะเวลาพอสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ได้ชำระเงินดังกล่าวภายในกำหนด จำเลยที่ 1ก็บอกเลิกสัญญาไม่ได้ เช่นนี้สัญญาจะซื้อขายตึกแถวพร้อมที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.1 จึงยังมีผลบังคับต่อไป เมื่อโจทก์ได้รับหนังสือทวงถามดังกล่าวแล้ว โจทก์ขอชำระหนี้โดยชอบ แต่จำเลยที่ 1 ไม่รับ จนโจทก์ต้องวางเงินที่จะชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 ตามหนังสือทวงถามนั้นที่สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2530 หลังจากโจทก์ได้รับหนังสือทวงถามแล้วเพียง 14 วัน และได้วางเงินชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 จนครบตามสัญญากับบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินพร้อมตึกแถวอาคารพิพาทให้โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.9 แล้วจำเลยทั้งสองไม่โอนให้ จำเลยทั้งสองจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ส่วนปัญหาเรื่องดอกเบี้ยสำหรับเงินที่โจทก์นำไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีนั้น ปรากฏว่าจำเลยไม่ได้รับเงินไปโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาดอกเบี้ยจากจำเลยในจำนวนเงินดังกล่าว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 เรียกให้โจทก์ชำระเป็นเงินถึง314,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ให้เวลาแก่โจทก์เพียง 3 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือทวงถามเห็นได้ชัดว่าเป็นระยะเวลาอันสั้นจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกำหนดระยะเวลาพอสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 เมื่อโจทก์ไม่ชำระเงินภายในกำหนด จำเลยที่ 1 ก็บอกเลิกสัญญาไม่ได้ โจทก์นำเงินไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง แต่จำเลยไม่ได้รับเงินไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาดอกเบี้ยจากจำเลยในจำนวนเงินดังกล่าว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันจัดสรรแบ่งขายที่ดินโฉนดเลขที่ 31316 แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร ที่จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของร่วมกัน โดยขายพร้อมตึกแถว เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2528 โจทก์ทำสัญญาจองซื้อตึกแถว3 ชั้น 2 คูหา โจทก์ชำระเงินในวันทำสัญญาเป็นเงิน 60,000 บาทที่เหลือผ่อนชำระ 6 งวด ตามงานการก่อสร้าง ต่อมาจำเลยให้ทนายความมีหนังสือทวงถามค่างวดพร้อมดอกเบี้ย โจทก์จึงนำเงินไปชำระให้จำเลย 290,000 บาท แต่จำเลยไม่รับ โจทก์จึงนำเงินไปวางณ สำนักงานวางทรัพย์กลางจนครบ เมื่อรวมกับที่จำเลยรับไปก่อนแล้ว210,000 บาท จึงเป็นเงินที่โจทก์ชำระให้จำเลยครบตามสัญญาและโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยไปรับเงินที่วางไว้และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมตึกแถวให้โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ทั้งยังสร้างตึกแถวพิพาทไม่เสร็จและได้สมคบกับจำเลยที่ 3 จดทะเบียนโอนขายเฉพาะที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้จำเลยที่ 3 ทั้งนี้จำเลยที่ 3 รับโอนโดยไม่สุจริต ไม่ได้ซื้อขายกันจริงและไม่ได้มีการชำระราคา ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 36280 และ36281 แขวงบางขุนศรี (บางขุนนนท์) เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฉบับลงวันที่ 26 เมษายน 2531เป็นโมฆะ ให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 36280 และ 36281 พร้อมตึกแถวเลขที่ 513/184 และ 513/185ให้โจทก์โดยให้จำเลยรับเงินจำนวน 1,190,000 บาท ที่โจทก์วางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง แต่ให้หักเป็นค่าก่อสร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จเป็นเงิน 100,000 บาท หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากสภาพแห่งหนี้ไม่อาจบังคับให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนโอนดังกล่าวได้ก็ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินและใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ 1,497,717 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้โจทก์มีสิทธิรับเงินที่วางชำระ ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง1,190,000 บาทคืน หากจำเลยรับเงินดังกล่าวไปแล้ว ก็ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินดังกล่าวคืนโจทก์ และชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 1,190,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะได้รับคืนหรือจำเลยทั้งสามชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์จริง ขณะที่ทำสัญญายังไม่ทราบว่าอาคารที่จะปลูกสร้าง 2 คูหา อยู่บนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่เท่าใด โจทก์ผิดสัญญาชำระเงินตามสัญญางวดที่ 1 ไม่ครบจำเลยที่ 1 ให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ชำระเงินงวดที่ 1ที่ค้างกับชำระเงินงวดที่ 2 ให้เสร็จตามกำหนด แต่โจทก์ไม่ชำระสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นอันยกเลิก จำเลยที่ 1 ไม่เคยตกลงกับโจทก์เรื่องเลื่อนกำหนดการชำระเงินค่างวด การที่โจทก์วางเงินไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลางเป็นการวางเงินภายหลังที่สัญญาเลิกกันแล้ว จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 3โดยสุจริตและจดทะเบียนโอนโดยชอบ ค่าขาดกำไรที่โจทก์อ้างว่าจะขายตึกพิพาทได้นั้นเป็นเพียงการคาดคะเน หากจำเลยที่ 1 จะรับผิดก็รับผิดเพียง 210,000 บาทกับค่าปรับอีก 1 เท่าตามสัญญาเท่านั้นขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ได้ซื้อตึกพิพาทโดยสุจริต และจดทะเบียนโอนโดยถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ 420,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้อง
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ 210,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 60,000 บาท นับแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2528 จนถึงวันฟ้องและของต้นเงิน 80,000 บาท นับแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2530จนถึงวันฟ้องกับของต้นเงิน 70,000 บาท นับแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2530จนถึงวันฟ้องและชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน210,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 เรียกให้โจทก์ชำระตามเอกสารหมาย ล.1 นั้นคือเงินค่างวดที่ 1 ที่ค้างชำระจำนวน 70,000 บาท เงินค่างวดที่ 2 จำนวน 220,000 บาท ค่าดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 เรียกเป็นค่าเสียหายอีก 20,000 บาท และค่าทวงถามของทนายความอีก 5,000 บาท รวมเป็นเงินถึง 315,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ให้เวลาแก่โจทก์เพียง 3 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือทวงถาม เห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 1 กำหนดเวลาให้โจทก์ชำระหนี้เงินจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้นจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกำหนดระยะเวลาพอสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ได้ชำระเงินดังกล่าวภายในกำหนด จำเลยที่ 1ก็บอกเลิกสัญญาไม่ได้ เช่นนี้สัญญาจะซื้อขายตึกแถวพร้อมที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.1 จึงยังมีผลบังคับต่อไป เมื่อโจทก์ได้รับหนังสือทวงถามดังกล่าวแล้ว โจทก์ขอชำระหนี้โดยชอบ แต่จำเลยที่ 1 ไม่รับ จนโจทก์ต้องวางเงินที่จะชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 ตามหนังสือทวงถามนั้นที่สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2530 หลังจากโจทก์ได้รับหนังสือทวงถามแล้วเพียง 14 วัน และได้วางเงินชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 จนครบตามสัญญากับบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินพร้อมตึกแถวอาคารพิพาทให้โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.9 แล้วจำเลยทั้งสองไม่โอนให้ จำเลยทั้งสองจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ส่วนปัญหาเรื่องดอกเบี้ยสำหรับเงินที่โจทก์นำไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีนั้น ปรากฏว่าจำเลยไม่ได้รับเงินไปโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาดอกเบี้ยจากจำเลยในจำนวนเงินดังกล่าว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 เรียกให้โจทก์ชำระเป็นเงินถึง315,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ให้เวลาแก่โจทก์เพียง 3 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือทวงถามเห็นได้ชัดว่าเป็นระยะเวลาอันสั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกำหนดระยะเวลาพอสมควร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 เมื่อโจทก์ไม่ชำระเงินภายในกำหนด จำเลยที่ 1 ก็บอกเลิกสัญญาไม่ได้
โจทก์นำเงินไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง แต่จำเลยไม่ได้รับเงินไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาดอกเบี้ยจากจำเลยในจำนวนเงินดังกล่าว
จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 เรียกให้โจทก์ชำระเป็นเงินถึง315,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ให้เวลาแก่โจทก์เพียง 3 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือทวงถามเห็นได้ชัดว่าเป็นระยะเวลาอันสั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกำหนดระยะเวลาพอสมควร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 เมื่อโจทก์ไม่ชำระเงินภายในกำหนด จำเลยที่ 1 ก็บอกเลิกสัญญาไม่ได้
โจทก์นำเงินไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง แต่จำเลยไม่ได้รับเงินไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาดอกเบี้ยจากจำเลยในจำนวนเงินดังกล่าว
โจทก์ที่ 2 ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจในครั้งแรกนั้นเจ้าพนักงานตำรวจรับแจ้งเฉพาะข้อหาทำร้ายร่างกายหากจำเลยได้กระชากสร้อยคอที่สวมอยู่ที่คอของโจทก์ที่ 2 ไปจริงโจทก์ที่ 2 ก็น่าจะยืนยันให้เจ้าพนักงานตำรวจรับแจ้งในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ด้วย และสร้อยคอที่อ้างว่า จำเลยกระชากไปนั้นหนัก 2 บาท หากจำเลยกระชากสร้อยซึ่งสวมอยู่ที่คอโจทก์ที่ 2 ขาดติดมือไปจริงโจทก์ที่ 2 ก็น่าจะได้รับบาดเจ็บที่คอด้วย แต่ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลที่คอโจทก์ที่ 2 ตามเหตุผลและพฤติการณ์ดังกล่าวมาพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองมีพิรุธสงสัยอันสมควรว่า จำเลยที่ 2 ได้กระชากสร้อยคอโจทก์ที่ 2 ไปหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่าโจทก์ที่ 2 เรียกโจทก์ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 1 และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่า จำเลย
สำนวนแรกโจทก์ที่ 2 ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ที่ 2 มีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
สำนวนหลังโจทก์ที่ 1 ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 295, 336 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคำเป็นเงิน 9,000 บาท แก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธทั้งสองสำนวน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา295, 336 (ที่ถูก 336 วรรคหนึ่ง) เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำร้ายร่างกายลงโทษจำคุก6 เดือน ฐานวิ่งราวทรัพย์ลงโทษจำคุก 1 ปี รวมลงโทษจำคุก 1 ปี6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคำเป็นเงิน 9,000 บาทแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า ตอนที่โจทก์ที่ 2 ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจในครั้งแรกนั้นเจ้าพนักงานตำรวจรับแจ้งเฉพาะข้อหาทำร้ายร่างกาย หากจำเลยได้กระชากสร้อยคอทองคำที่สวมอยู่ที่คอของโจทก์ที่ 2 ไปจริงโจทก์ที่ 2 ก็น่าจะยืนยันให้เจ้าพนักงานตำรวจรับแจ้งในข้อหานี้ไว้ด้วยโจทก์ที่ 2 ได้รับบาดเจ็บมีรอยฟกช้ำเฉพาะที่ขาเท่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลที่คอแต่อย่างใด สร้อยคอที่อ้างว่าจำเลยกระชากไปนั้นหนัก 2 บาทหากจำเลยกระชากสร้อยซึ่งสวมอยู่ที่คอโจทก์ที่ 2 ขาดติดมือไปจริงโจทก์ที่ 2 ก็น่าจะได้รับบาดเจ็บที่คอด้วย ตามเหตุผลและพฤติการณ์ดังกล่าวมา พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองมีข้อพิรุธสงสัยอันสมควรว่าจำเลยที่ 2 ได้กระชากสร้อยคอโจทก์ที่ 2 ไปหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง
โจทก์ที่ 2 ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจในครั้งแรกนั้นเจ้าพนักงานตำรวจรับแจ้งเฉพาะข้อหาทำร้ายร่างกายหากจำเลยได้กระชากสร้อยคอที่สวมอยู่ที่คอของโจทก์ที่ 2 ไปจริงโจทก์ที่ 2 ก็น่าจะยืนยันให้เจ้าพนักงานตำรวจรับแจ้งในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ด้วย และสร้อยคอที่อ้างว่า จำเลยกระชากไปนั้นหนัก 2 บาท หากจำเลยกระชากสร้อยซึ่งสวมอยู่ที่คอโจทก์ที่ 2 ขาดติดมือไปจริงโจทก์ที่ 2 ก็น่าจะได้รับบาดเจ็บที่คอด้วย แต่ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลที่คอโจทก์ที่ 2 ตามเหตุผลและพฤติการณ์ดังกล่าวมาพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองมีพิรุธสงสัยอันสมควรว่า จำเลยที่ 2 ได้กระชากสร้อยคอโจทก์ที่ 2 ไปหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่าโจทก์ที่ 2 เรียกโจทก์ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 1 และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่า จำเลย
สำนวนแรกโจทก์ที่ 2 ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ที่ 2 มีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
สำนวนหลังโจทก์ที่ 1 ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 295, 336 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคำเป็นเงิน 9,000 บาท แก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธทั้งสองสำนวน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา295, 336 (ที่ถูก 336 วรรคหนึ่ง) เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำร้ายร่างกายลงโทษจำคุก6 เดือน ฐานวิ่งราวทรัพย์ลงโทษจำคุก 1 ปี รวมลงโทษจำคุก 1 ปี6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคำเป็นเงิน 9,000 บาทแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า ตอนที่โจทก์ที่ 2 ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจในครั้งแรกนั้นเจ้าพนักงานตำรวจรับแจ้งเฉพาะข้อหาทำร้ายร่างกาย หากจำเลยได้กระชากสร้อยคอทองคำที่สวมอยู่ที่คอของโจทก์ที่ 2 ไปจริงโจทก์ที่ 2 ก็น่าจะยืนยันให้เจ้าพนักงานตำรวจรับแจ้งในข้อหานี้ไว้ด้วยโจทก์ที่ 2 ได้รับบาดเจ็บมีรอยฟกช้ำเฉพาะที่ขาเท่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลที่คอแต่อย่างใด สร้อยคอที่อ้างว่าจำเลยกระชากไปนั้นหนัก 2 บาทหากจำเลยกระชากสร้อยซึ่งสวมอยู่ที่คอโจทก์ที่ 2 ขาดติดมือไปจริงโจทก์ที่ 2 ก็น่าจะได้รับบาดเจ็บที่คอด้วย ตามเหตุผลและพฤติการณ์ดังกล่าวมา พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองมีข้อพิรุธสงสัยอันสมควรว่าจำเลยที่ 2 ได้กระชากสร้อยคอโจทก์ที่ 2 ไปหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|