ก่อนจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลาย จำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาจากโจทก์แล้ว อันทำให้เกิดมูลหนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิด ต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน หนี้ตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 3 จึงเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 3 เด็ดขาดอยู่ในบังคับที่โจทก์จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้แม้หนี้ตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 3 จะยังไม่ถึงกำหนดชำระในขณะที่จำเลยที่ 3 ถูก พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เพราะจำเลยที่ 1 ยังไม่ผิดนัดโจทก์ก็ต้องยื่นขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้สัญญาค้ำประกันในคดีล้มละลายภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 27,91 และ 94 เมื่อโจทก์ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าว จนได้มีการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายและ ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ของจำเลยที่ 3 แล้วโจทก์ก็ต้องถูกผูกมัดโดยการประนอมหนี้ด้วยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 56 โจทก์จะนำหนี้ตามสัญญา ค้ำประกันมาฟ้องให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดและล้มละลายอีกไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า ธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาปากเกร็ด เป็นสาขาหนึ่งของโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้ต่อโจทก์ สาขาปากเกร็ด ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2526จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีโดยมีจำเลยที่ 3เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ทุกชนิดของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์และยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วม เมื่อครบกำหนดอายุสัญญาดังกล่าวข้างต้น จำเลยที่ 1 ยังคงเป็นหนี้โจทก์คิดถึงวันที่ 23 ธันวาคม 2528 เป็นจำนวน 10,288,795.99 บาทโจทก์ทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 เพิกเฉยโจทก์จึงมีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์ไม่น้อยกว่าสองครั้งซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวันและจำเลยทั้งสามได้รับหนังสือทวงถามแล้วแต่ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การว่า นับแต่ พ.ศ. 2527 จำเลยที่ 3พ้นจากตำแหน่งหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 แล้วจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์จำเลยที่ 3 ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายในคดีหมายเลขแดงที่ ล.305/2526 ขณะนี้ยังเป็นบุคคลล้มละลายอยู่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 3 เป็นบุคคลล้มละลายในคดีนี้อีก ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 จำเลยที่ 3อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 140 กับธนาคารโจทก์ สาขาปากเกร็ด ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2526จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในวงเงิน3,000,000 บาท กำหนดชำระหนี้ภายในวันที่ 27 กันยายน 2527ในวันเดียวกันจำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 แก่โจทก์ โจทก์และจำเลยที่ 1 หักทอนบัญชีกันเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2528 จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์10,288,795.99 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์แล้วสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน และจำเลยทั้งสามได้รับหนังสือทวงถามแล้วแต่ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อวันที่ 6ธันวาคม 2526 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 3เด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ ล.305/2526 จำเลยที่ 3 ขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ของจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2528ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่า โจทก์จะนำหนี้ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่ 3 ให้ล้มละลายได้หรือไม่ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ได้ความจากคำเบิกความของนายพรชัย พาณิช พยานโจทก์ว่าหลังจากทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้วได้มีการเดินสะพัดทางบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินออกไปมากกว่านำเงินเข้าบัญชี และปรากฏตามเช็คเอกสารหมาย จ.17 ที่โจทก์อ้างส่งต่อศาลเป็นหลักฐานว่าจำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวโดยสั่งจ่ายเช็ค ลงวันที่ 30 กันยายน 2526 จำนวนเงิน 175,019.18 บาท วันที่ 18 ตุลาคม 2526 จำนวนเงิน 2,000,000 บาท วันที่ 12 ตุลาคม 2526จำนวนเงิน 592 บาท วันที่ 31 ตุลาคม 2526 จำนวนเงิน 180,853.15บาท วันที่ 9 พฤศจิกายน 2526 จำนวนเงิน 2,343 บาท วันที่ 10พฤศจิกายน 2526 จำนวนเงิน 2,500 บาท วันที่ 14 พฤศจิกายน 2526จำนวนเงิน 651 บาท และวันที่ 30 พฤศจิกายน 2526 จำนวนเงิน175,019.18 บาทเป็นต้น ดังนี้ แสดงให้เห็นว่าก่อนจำเลยที่ 3ถูกพิทักษ์เด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ ล.305/2526 ของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาจากโจทก์แล้วอันทำให้เกิดมูลหนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันหนี้ตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 3 จึงเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 3 เด็ดขาดอยู่ในบังคับที่โจทก์จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้แม้หนี้ตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 3 จะยังไม่ถึงกำหนดชำระในขณะที่จำเลยที่ 3ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เพราะจำเลยที่ 1 ยังไม่ผิดนัดโจทก์ก็ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้สัญญาค้ำประกันในคดีหมายเลขแดงที่ ล.305/2526 ของศาลชั้นต้น ภายในกำหนดเวลา 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 27, 91 และ 94 เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าว จนได้มีการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายและศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ของจำเลยที่ 3 แล้ว โจทก์ก็ต้องถูกผูกมัดโดยการประนอมหนี้ด้วยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 56โจทก์จะนำหนี้ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยที่ 3ต้องรับผิดและล้มละลายอีกไม่ได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 153 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล"
พิพากษายืน
ก่อนจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลาย จำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาจากโจทก์แล้ว อันทำให้เกิดมูลหนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิด ต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน หนี้ตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 3 จึงเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 3 เด็ดขาดอยู่ในบังคับที่โจทก์จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้แม้หนี้ตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 3 จะยังไม่ถึงกำหนดชำระในขณะที่จำเลยที่ 3 ถูก พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เพราะจำเลยที่ 1 ยังไม่ผิดนัดโจทก์ก็ต้องยื่นขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้สัญญาค้ำประกันในคดีล้มละลายภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 27,91 และ 94 เมื่อโจทก์ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าว จนได้มีการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายและ ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ของจำเลยที่ 3 แล้วโจทก์ก็ต้องถูกผูกมัดโดยการประนอมหนี้ด้วยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 56 โจทก์จะนำหนี้ตามสัญญา ค้ำประกันมาฟ้องให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดและล้มละลายอีกไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า ธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาปากเกร็ด เป็นสาขาหนึ่งของโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้ต่อโจทก์ สาขาปากเกร็ด ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2526จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีโดยมีจำเลยที่ 3เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ทุกชนิดของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์และยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วม เมื่อครบกำหนดอายุสัญญาดังกล่าวข้างต้น จำเลยที่ 1 ยังคงเป็นหนี้โจทก์คิดถึงวันที่ 23 ธันวาคม 2528 เป็นจำนวน 10,288,795.99 บาทโจทก์ทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 เพิกเฉยโจทก์จึงมีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์ไม่น้อยกว่าสองครั้งซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวันและจำเลยทั้งสามได้รับหนังสือทวงถามแล้วแต่ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การว่า นับแต่ พ.ศ. 2527 จำเลยที่ 3พ้นจากตำแหน่งหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 แล้วจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์จำเลยที่ 3 ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายในคดีหมายเลขแดงที่ ล.305/2526 ขณะนี้ยังเป็นบุคคลล้มละลายอยู่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 3 เป็นบุคคลล้มละลายในคดีนี้อีก ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 จำเลยที่ 3อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 140 กับธนาคารโจทก์ สาขาปากเกร็ด ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2526จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในวงเงิน3,000,000 บาท กำหนดชำระหนี้ภายในวันที่ 27 กันยายน 2527ในวันเดียวกันจำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 แก่โจทก์ โจทก์และจำเลยที่ 1 หักทอนบัญชีกันเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2528 จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์10,288,795.99 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์แล้วสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน และจำเลยทั้งสามได้รับหนังสือทวงถามแล้วแต่ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อวันที่ 6ธันวาคม 2526 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 3เด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ ล.305/2526 จำเลยที่ 3 ขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ของจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2528ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่า โจทก์จะนำหนี้ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่ 3 ให้ล้มละลายได้หรือไม่ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ได้ความจากคำเบิกความของนายพรชัย พาณิช พยานโจทก์ว่าหลังจากทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้วได้มีการเดินสะพัดทางบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินออกไปมากกว่านำเงินเข้าบัญชี และปรากฏตามเช็คเอกสารหมาย จ.17 ที่โจทก์อ้างส่งต่อศาลเป็นหลักฐานว่าจำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวโดยสั่งจ่ายเช็ค ลงวันที่ 30 กันยายน 2526 จำนวนเงิน 175,019.18 บาท วันที่ 18 ตุลาคม 2526 จำนวนเงิน 2,000,000 บาท วันที่ 12 ตุลาคม 2526จำนวนเงิน 592 บาท วันที่ 31 ตุลาคม 2526 จำนวนเงิน 180,853.15บาท วันที่ 9 พฤศจิกายน 2526 จำนวนเงิน 2,343 บาท วันที่ 10พฤศจิกายน 2526 จำนวนเงิน 2,500 บาท วันที่ 14 พฤศจิกายน 2526จำนวนเงิน 651 บาท และวันที่ 30 พฤศจิกายน 2526 จำนวนเงิน175,019.18 บาทเป็นต้น ดังนี้ แสดงให้เห็นว่าก่อนจำเลยที่ 3ถูกพิทักษ์เด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ ล.305/2526 ของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาจากโจทก์แล้วอันทำให้เกิดมูลหนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันหนี้ตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 3 จึงเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 3 เด็ดขาดอยู่ในบังคับที่โจทก์จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้แม้หนี้ตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 3 จะยังไม่ถึงกำหนดชำระในขณะที่จำเลยที่ 3ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เพราะจำเลยที่ 1 ยังไม่ผิดนัดโจทก์ก็ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้สัญญาค้ำประกันในคดีหมายเลขแดงที่ ล.305/2526 ของศาลชั้นต้น ภายในกำหนดเวลา 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 27, 91 และ 94 เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าว จนได้มีการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายและศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ของจำเลยที่ 3 แล้ว โจทก์ก็ต้องถูกผูกมัดโดยการประนอมหนี้ด้วยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 56โจทก์จะนำหนี้ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยที่ 3ต้องรับผิดและล้มละลายอีกไม่ได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 153 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล"
พิพากษายืน
ก่อนจำเลยที่ 3 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีก่อน จำเลยที่ 1ได้เบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาจากโจทก์แล้ว อันทำให้เกิดมูลหนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน หนี้ตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 3 จึงเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 3 เด็ดขาด อยู่ในบังคับที่โจทก์จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ แม้หนี้ตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 3 จะยังไม่ถึงกำหนดชำระในขณะที่จำเลยที่ 3 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เพราะจำเลยที่ 1ยังไม่ผิดนัด โจทก์ก็ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้สัญญาค้ำประกันในคดีล้มละลายคดีก่อนภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามพ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 27, 91, 94 เมื่อโจทก์ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าวจนได้มีการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายและศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ของจำเลยที่ 3 แล้ว โจทก์ก็ต้องถูกผูกมัดโดยการประนอมหนี้ด้วยตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 56 โจทก์จะนำหนี้ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดและล้มละลายอีกไม่ได้ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วย พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153
ก่อนจำเลยที่ 3 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีก่อน จำเลยที่ 1ได้เบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาจากโจทก์แล้ว อันทำให้เกิดมูลหนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน หนี้ตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 3 จึงเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 3 เด็ดขาด อยู่ในบังคับที่โจทก์จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ แม้หนี้ตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 3 จะยังไม่ถึงกำหนดชำระในขณะที่จำเลยที่ 3 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เพราะจำเลยที่ 1ยังไม่ผิดนัด โจทก์ก็ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้สัญญาค้ำประกันในคดีล้มละลายคดีก่อนภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามพ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 27, 91, 94 เมื่อโจทก์ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าวจนได้มีการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายและศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ของจำเลยที่ 3 แล้ว โจทก์ก็ต้องถูกผูกมัดโดยการประนอมหนี้ด้วยตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 56 โจทก์จะนำหนี้ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดและล้มละลายอีกไม่ได้ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วย พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153
การที่อวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายประมาณ 1 นิ้ว ถือว่ากระทำชำเราสำเร็จแล้ว มิใช่เพียงพยายามกระทำชำเราหรือกระทำอนาจารเท่านั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 279
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277, 279
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง ยกฟ้องสำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้เสียหายอายุ 10 ปีเศษ น่าเชื่อว่าพอจะทราบสิ่งใดเป็นนิ้วมือและสิ่งใดเป็นอวัยวะเพศชาย ประกอบกับผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ว่ามีน้ำอสุจิที่ปากมดลูกและให้ความเห็นว่าน่าจะผ่านการร่วมประเวณีมาแล้ว ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายประพฤติสำส่อนทางเพศหรือเคยร่วมประเวณีมาก่อนเกิดเหตุเมื่อฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นศาล ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องโดยไม่มีเหตุสงสัยว่าจำเลยเข้าใจคำฟ้องผิดแต่อย่างใด แม้จะไม่พบรอยฉีกขาดที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายไม่มีเลือดออกช่องคลอดและปากมดลูกปกติไม่มีการฉีกขาด แต่ก็ฟังได้ตามคำเบิกความของผู้เสียหายว่าอวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายประมาณ 1 นิ้ว ถือว่าเป็นความผิดฐานกระทำชำเราสำเร็จแล้ว มิใช่เพียงพยายามกระทำชำเราหรือกระทำอนาจารผู้เสียหาย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสอง อีกบทหนึ่ง
การที่อวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายประมาณ 1 นิ้ว ถือว่ากระทำชำเราสำเร็จแล้ว มิใช่เพียงพยายามกระทำชำเราหรือกระทำอนาจารเท่านั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 279
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277, 279
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง ยกฟ้องสำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้เสียหายอายุ 10 ปีเศษ น่าเชื่อว่าพอจะทราบสิ่งใดเป็นนิ้วมือและสิ่งใดเป็นอวัยวะเพศชาย ประกอบกับผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ว่ามีน้ำอสุจิที่ปากมดลูกและให้ความเห็นว่าน่าจะผ่านการร่วมประเวณีมาแล้ว ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายประพฤติสำส่อนทางเพศหรือเคยร่วมประเวณีมาก่อนเกิดเหตุเมื่อฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นศาล ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องโดยไม่มีเหตุสงสัยว่าจำเลยเข้าใจคำฟ้องผิดแต่อย่างใด แม้จะไม่พบรอยฉีกขาดที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายไม่มีเลือดออกช่องคลอดและปากมดลูกปกติไม่มีการฉีกขาด แต่ก็ฟังได้ตามคำเบิกความของผู้เสียหายว่าอวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายประมาณ 1 นิ้ว ถือว่าเป็นความผิดฐานกระทำชำเราสำเร็จแล้ว มิใช่เพียงพยายามกระทำชำเราหรือกระทำอนาจารผู้เสียหาย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสอง อีกบทหนึ่ง
การที่อวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายประมาณ 1 นิ้ว ถือว่ากระทำชำเราสำเร็จแล้ว มิใช่เพียงพยายามกระทำชำเราหรือกระทำอนาจารเท่านั้น
การที่อวัยวะเพศของจำเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายประมาณ 1 นิ้ว ถือว่ากระทำชำเราสำเร็จแล้ว มิใช่เพียงพยายามกระทำชำเราหรือกระทำอนาจารเท่านั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนและจำหน่ายซึ่งเทปและวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนและไม่มีเหตุได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมาย การกระทำผิดของจำเลยเกิดจากไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด จึงไม่มีเหตุที่จะริบของกลาง ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 กับความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 6,34 มิใช่ความผิดที่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนและจำหน่าย ซึ่งเทปและวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนและไม่มีเหตุได้รับการยกเว้นใด ๆตามกฎหมาย และจำเลยได้มีไว้ซึ่งเทปและวัสดุโทรทัศน์อันลามกจำนวน 35 ม้วนอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ดังกล่าวจำนวน 525 ม้วน และม้วนเทปวีดีโอลามกจำนวน 35 ม้วนที่จำเลยมีไว้ใช้ในการกระทำผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 287, 91, 32, 33 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 6 และ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 287, 91, 32, 33 (ที่ถูกไม่ปรับบทมาตรา 33) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 6 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34 จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เรียงกระทงลงโทษข้อหาประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 เดือน ปรับ 2,100 บาท ข้อหามีเทปลามกไว้จำหน่ายปรับ 3,000 บาท รวมจำคุก 1 เดือน ปรับ 5,100 บาท โทษจำคุกเห็นสมควรให้รอไว้มีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ของกลางริบเฉพาะวีดีโอลามก นอกนั้นไม่ริบ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ริบของกลางวีดีโอเทปจำนวน 525 ม้วนด้วย โดยอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าเทปของกลางจำนวน 525 ม้วน เป็นทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดโดยตรงหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้บังอาจประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนและจำหน่ายซึ่งเทปและวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน และไม่มีเหตุได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมาย เห็นว่า การกระทำผิดของจำเลยเกิดจากไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด จึงไม่มีเหตุที่จะริบของกลาง
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองเรียงกระทงลงโทษมานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 กับความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 6, 34มิใช่ความผิดที่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287ซึ่งเป็นบทหนักเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ปรับ6,000 บาท เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงปรับ 3,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนและจำหน่ายซึ่งเทปและวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนและไม่มีเหตุได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมาย การกระทำผิดของจำเลยเกิดจากไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด จึงไม่มีเหตุที่จะริบของกลาง ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 กับความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 6,34 มิใช่ความผิดที่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนและจำหน่าย ซึ่งเทปและวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนและไม่มีเหตุได้รับการยกเว้นใด ๆตามกฎหมาย และจำเลยได้มีไว้ซึ่งเทปและวัสดุโทรทัศน์อันลามกจำนวน 35 ม้วนอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ดังกล่าวจำนวน 525 ม้วน และม้วนเทปวีดีโอลามกจำนวน 35 ม้วนที่จำเลยมีไว้ใช้ในการกระทำผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 287, 91, 32, 33 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 6 และ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 287, 91, 32, 33 (ที่ถูกไม่ปรับบทมาตรา 33) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 6 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34 จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เรียงกระทงลงโทษข้อหาประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 เดือน ปรับ 2,100 บาท ข้อหามีเทปลามกไว้จำหน่ายปรับ 3,000 บาท รวมจำคุก 1 เดือน ปรับ 5,100 บาท โทษจำคุกเห็นสมควรให้รอไว้มีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ของกลางริบเฉพาะวีดีโอลามก นอกนั้นไม่ริบ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ริบของกลางวีดีโอเทปจำนวน 525 ม้วนด้วย โดยอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าเทปของกลางจำนวน 525 ม้วน เป็นทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดโดยตรงหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้บังอาจประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนและจำหน่ายซึ่งเทปและวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน และไม่มีเหตุได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมาย เห็นว่า การกระทำผิดของจำเลยเกิดจากไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด จึงไม่มีเหตุที่จะริบของกลาง
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองเรียงกระทงลงโทษมานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 กับความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 6, 34มิใช่ความผิดที่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287ซึ่งเป็นบทหนักเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ปรับ6,000 บาท เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงปรับ 3,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนและจำหน่ายซึ่งเทปและวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน และไม่มีเหตุได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมาย การกระทำผิดของจำเลยเกิดจากไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดจึงไม่มีเหตุที่จะริบของกลาง
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 287 กับความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ.2530 มาตรา 6, 34 มิใช่ความผิดที่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนและจำหน่ายซึ่งเทปและวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน และไม่มีเหตุได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมาย การกระทำผิดของจำเลยเกิดจากไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดจึงไม่มีเหตุที่จะริบของกลาง
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 287 กับความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ.2530 มาตรา 6, 34 มิใช่ความผิดที่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
อำนาจศาลตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 26,31เป็นอำนาจต่อเนื่องหลังจากที่คู่ความมีคำร้องขยายระยะเวลายื่นขอมาโดยถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 26,31 ก่อนแล้ว กล่าวคือศาลจะมีคำสั่งขยายระยะเวลาได้ต่อเมื่อมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้นด้วย เว้นแต่ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย แต่คำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของโจทก์ได้ยื่นล่าช้าเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ตามที่กฎหมายกำหนดแล้วโดยเหตุขัดข้องที่โจทก์อ้างอาศัยเป็นข้อแก้ตัวในความล่าช้าตามคำร้องมิใช่เหตุสุดวิสัย จึงไม่ได้รับประโยชน์จากข้อยกเว้นตามกฎหมาย คำร้องขอขยายระยะเวลาของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลไม่อาจรับพิจารณาและสั่งขยายระยะเวลาให้ได้ไม่ว่าจะมีเหตุจำเป็นตามที่โจทก์อ้างหรือไม่
คดีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2537 ศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 19 กันยายน2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินต้นดังกล่าวเสร็จ
โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 21 มิถุนายน 2537 ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก 20 วัน โดยอ้างเหตุสุดวิสัยคือยังไม่ได้รับสำเนาคำพิพากษาที่ขอคัดเพราะเจ้าหน้าที่ต้องพิมพ์ตามลำดับ
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า ไม่ใช่กรณีเหตุสุดวิสัยไม่อนุญาตยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าเป็นเหตุจำเป็นและศาลแรงงานกลางมีอำนาจสั่งขยายระยะเวลาได้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 26 นั้น เห็นว่า อำนาจศาลตามบทบัญญัติกฎหมายที่โจทก์อ้างดังกล่าวเป็นอำนาจต่อเนื่องหลังจากที่คู่ความมีคำร้องขยายระยะเวลายื่นขอมาโดยถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 31 ก่อนแล้วกล่าวคือศาลจะมีคำสั่งขยายระยะเวลาได้ต่อเมื่อมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้นด้วย เว้นแต่ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย แต่คำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของโจทก์นี้ได้ยื่นล่าช้าเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว โดยเหตุขัดข้องที่โจทก์อ้างอาศัยเป็นข้อแก้ตัวในความล่าช้าตามคำร้องมิใช่เหตุสุดวิสัยจึงไม่ได้รับประโยชน์จากข้อยกเว้นตามกฎหมาย คำร้องขอขยายระยะเวลาของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลไม่อาจรับพิจารณาและสั่งขยายระยะเวลาให้ได้ไม่ว่าจะมีเหตุจำเป็นตามที่โจทก์อ้างหรือไม่
พิพากษายืน
อำนาจศาลตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 26,31เป็นอำนาจต่อเนื่องหลังจากที่คู่ความมีคำร้องขยายระยะเวลายื่นขอมาโดยถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 26,31 ก่อนแล้ว กล่าวคือศาลจะมีคำสั่งขยายระยะเวลาได้ต่อเมื่อมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้นด้วย เว้นแต่ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย แต่คำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของโจทก์ได้ยื่นล่าช้าเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ตามที่กฎหมายกำหนดแล้วโดยเหตุขัดข้องที่โจทก์อ้างอาศัยเป็นข้อแก้ตัวในความล่าช้าตามคำร้องมิใช่เหตุสุดวิสัย จึงไม่ได้รับประโยชน์จากข้อยกเว้นตามกฎหมาย คำร้องขอขยายระยะเวลาของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลไม่อาจรับพิจารณาและสั่งขยายระยะเวลาให้ได้ไม่ว่าจะมีเหตุจำเป็นตามที่โจทก์อ้างหรือไม่
คดีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2537 ศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 19 กันยายน2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินต้นดังกล่าวเสร็จ
โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 21 มิถุนายน 2537 ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก 20 วัน โดยอ้างเหตุสุดวิสัยคือยังไม่ได้รับสำเนาคำพิพากษาที่ขอคัดเพราะเจ้าหน้าที่ต้องพิมพ์ตามลำดับ
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า ไม่ใช่กรณีเหตุสุดวิสัยไม่อนุญาตยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าเป็นเหตุจำเป็นและศาลแรงงานกลางมีอำนาจสั่งขยายระยะเวลาได้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 26 นั้น เห็นว่า อำนาจศาลตามบทบัญญัติกฎหมายที่โจทก์อ้างดังกล่าวเป็นอำนาจต่อเนื่องหลังจากที่คู่ความมีคำร้องขยายระยะเวลายื่นขอมาโดยถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 31 ก่อนแล้วกล่าวคือศาลจะมีคำสั่งขยายระยะเวลาได้ต่อเมื่อมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้นด้วย เว้นแต่ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย แต่คำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของโจทก์นี้ได้ยื่นล่าช้าเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว โดยเหตุขัดข้องที่โจทก์อ้างอาศัยเป็นข้อแก้ตัวในความล่าช้าตามคำร้องมิใช่เหตุสุดวิสัยจึงไม่ได้รับประโยชน์จากข้อยกเว้นตามกฎหมาย คำร้องขอขยายระยะเวลาของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลไม่อาจรับพิจารณาและสั่งขยายระยะเวลาให้ได้ไม่ว่าจะมีเหตุจำเป็นตามที่โจทก์อ้างหรือไม่
พิพากษายืน
ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาโจทก์แล้ว กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคดีทั้งหมดภายหลังจากนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลฎีกาจะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งหรือมีคำพิพากษาต่อไป นอกจากอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการแทนได้คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องโจทก์ภายหลังจากที่มีคำสั่งรับฎีกาแล้วว่าโจทก์ทิ้งฎีกา จึงเป็นคำสั่งที่ก้าวล่วงอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของศาลฎีกา ไม่มีบทกฎหมายใดสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนั้นได้ เป็นคำสั่งไม่ชอบคำสั่งรับอุทธรณ์โจทก์ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นผลจากคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งไม่ชอบเช่นกัน ส่วนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ฟังว่า โจทก์จงใจทิ้งฎีกาเป็นคำสั่งสืบเนื่องมาจากคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งโดยปราศจากอำนาจจึงถือว่าเป็นคำพิพากษาที่มิชอบ เพราะคำพิพากษาดังกล่าวได้รับวินิจฉัยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวมาโดยชอบของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 คดีนี้โจทก์มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด โดยโจทก์ยื่นคำร้องถึงเหตุดังกล่าวว่าหลงลืม ซึ่งถือได้ว่าโจทก์จงใจทิ้งฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลฎีกา
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาและสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยใน 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกาโจทก์ไม่ได้นำส่งสำเนาฎีกาภายในกำหนดและได้ยื่นคำร้องขอชำระค่าส่งหมายและสำเนาฎีกาให้แก่จำเลย ตามคำร้องลงวันที่ 28 มิถุนายน 2536
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีถือว่าโจทก์ไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดให้ส่งสำเนาฎีกา ซึ่งเป็นการทิ้งฎีกาไปตามคำสั่งของศาลที่มีไว้แล้วในขณะรับฎีกา จึงไม่อนุญาตให้ส่งสำเนาฎีกา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งมาศาลอุทธรณ์ภาค 3
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาโจทก์เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2536 แล้ว กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคดีทั้งหมดภายหลังจากนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลฎีกาจะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งหรือมีคำพิพากษาต่อไปนอกจากอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการแทนได้คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องโจทก์ฉบับลงวันที่ 28 มิถุนายน 2536ที่ว่าโจทก์ทิ้งฎีกาตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่มีไว้ขณะรับฎีกาจึงเป็นคำสั่งที่ก้าวล่วงอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของศาลฎีกา เป็นคำสั่งที่ไม่ทีบทกฎหมายใดสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนั้นได้เป็นคำสั่งไม่ชอบ คำสั่งรับอุทธรณ์โจทก์ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นผลจากคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งไม่ชอบเช่นกัน ส่วนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ฟังว่า โจทก์จงใจทิ้งฎีกาเป็นคำสั่งสืบเนื่องมาจากคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งโดยปราศจากอำนาจ จึงถือว่าเป็นคำพิพากษาที่มิชอบ เพราะคำพิพากษาดังกล่าวได้รับวินิจฉัยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวมาโดยชอบของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 คดีนี้โจทก์มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด โดยโจทก์ยื่นคำร้องถึงเหตุดังกล่าวว่าหลงลืม ซึ่งถือได้ว่าโจทก์จงใจทิ้งฟ้องฎีกา คำร้องโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกา และรับอุทธรณ์ของโจทก์ และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่รับวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลฎีกาค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาโจทก์แล้ว กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคดีทั้งหมดภายหลังจากนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลฎีกาจะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งหรือมีคำพิพากษาต่อไป นอกจากอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการแทนได้คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องโจทก์ภายหลังจากที่มีคำสั่งรับฎีกาแล้วว่าโจทก์ทิ้งฎีกา จึงเป็นคำสั่งที่ก้าวล่วงอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของศาลฎีกา ไม่มีบทกฎหมายใดสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนั้นได้ เป็นคำสั่งไม่ชอบคำสั่งรับอุทธรณ์โจทก์ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นผลจากคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งไม่ชอบเช่นกัน ส่วนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ฟังว่า โจทก์จงใจทิ้งฎีกาเป็นคำสั่งสืบเนื่องมาจากคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งโดยปราศจากอำนาจจึงถือว่าเป็นคำพิพากษาที่มิชอบ เพราะคำพิพากษาดังกล่าวได้รับวินิจฉัยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวมาโดยชอบของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 คดีนี้โจทก์มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด โดยโจทก์ยื่นคำร้องถึงเหตุดังกล่าวว่าหลงลืม ซึ่งถือได้ว่าโจทก์จงใจทิ้งฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลฎีกา
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาและสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยใน 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกาโจทก์ไม่ได้นำส่งสำเนาฎีกาภายในกำหนดและได้ยื่นคำร้องขอชำระค่าส่งหมายและสำเนาฎีกาให้แก่จำเลย ตามคำร้องลงวันที่ 28 มิถุนายน 2536
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีถือว่าโจทก์ไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดให้ส่งสำเนาฎีกา ซึ่งเป็นการทิ้งฎีกาไปตามคำสั่งของศาลที่มีไว้แล้วในขณะรับฎีกา จึงไม่อนุญาตให้ส่งสำเนาฎีกา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งมาศาลอุทธรณ์ภาค 3
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาโจทก์เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2536 แล้ว กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคดีทั้งหมดภายหลังจากนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลฎีกาจะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งหรือมีคำพิพากษาต่อไปนอกจากอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการแทนได้คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องโจทก์ฉบับลงวันที่ 28 มิถุนายน 2536ที่ว่าโจทก์ทิ้งฎีกาตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่มีไว้ขณะรับฎีกาจึงเป็นคำสั่งที่ก้าวล่วงอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของศาลฎีกา เป็นคำสั่งที่ไม่ทีบทกฎหมายใดสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนั้นได้เป็นคำสั่งไม่ชอบ คำสั่งรับอุทธรณ์โจทก์ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นผลจากคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งไม่ชอบเช่นกัน ส่วนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ฟังว่า โจทก์จงใจทิ้งฎีกาเป็นคำสั่งสืบเนื่องมาจากคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งโดยปราศจากอำนาจ จึงถือว่าเป็นคำพิพากษาที่มิชอบ เพราะคำพิพากษาดังกล่าวได้รับวินิจฉัยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวมาโดยชอบของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 คดีนี้โจทก์มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด โดยโจทก์ยื่นคำร้องถึงเหตุดังกล่าวว่าหลงลืม ซึ่งถือได้ว่าโจทก์จงใจทิ้งฟ้องฎีกา คำร้องโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกา และรับอุทธรณ์ของโจทก์ และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่รับวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลฎีกาค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาโจทก์แล้ว กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคดีทั้งหมดภายหลังจากนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลฏีกาจะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งหรือมีคำพิพากษาต่อไป นอกจากอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการแทนได้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องโจทก์ภายหลังจากที่มีคำสั่งรับฎีกาแล้วว่าโจทก์ทิ้งฎีกา จึงเป็นคำสั่งที่ก้าวล่วงอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของศาลฎีกา ไม่มีบทกฎหมายใดสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนั้นได้ เป็นคำสั่งไม่ชอบคำสั่งรับอุทธรณ์โจทก์ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นผลจากคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งไม่ชอบเช่นกัน ส่วนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ฟังว่า โจทก์จงใจทิ้งฎีกาเป็นคำสั่งสืบเนื่องมาจากคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งโดยปราศจากอำนาจ จึงถือว่าเป็นคำพิพากษาที่มิชอบ เพราะคำพิพากษาดังกล่าวได้รับวินิจฉัยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวมาโดยชอบของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225
คดีนี้โจทก์มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด โดยโจทก์ยื่นคำร้องถึงเหตุดังกล่าวว่าหลงลืม ซึ่งถือได้ว่าโจทก์จงใจทิ้งฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลฎีกา
ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาโจทก์แล้ว กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคดีทั้งหมดภายหลังจากนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลฏีกาจะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งหรือมีคำพิพากษาต่อไป นอกจากอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการแทนได้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องโจทก์ภายหลังจากที่มีคำสั่งรับฎีกาแล้วว่าโจทก์ทิ้งฎีกา จึงเป็นคำสั่งที่ก้าวล่วงอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของศาลฎีกา ไม่มีบทกฎหมายใดสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนั้นได้ เป็นคำสั่งไม่ชอบคำสั่งรับอุทธรณ์โจทก์ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นผลจากคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งไม่ชอบเช่นกัน ส่วนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ฟังว่า โจทก์จงใจทิ้งฎีกาเป็นคำสั่งสืบเนื่องมาจากคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งโดยปราศจากอำนาจ จึงถือว่าเป็นคำพิพากษาที่มิชอบ เพราะคำพิพากษาดังกล่าวได้รับวินิจฉัยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวมาโดยชอบของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225
คดีนี้โจทก์มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด โดยโจทก์ยื่นคำร้องถึงเหตุดังกล่าวว่าหลงลืม ซึ่งถือได้ว่าโจทก์จงใจทิ้งฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลฎีกา
ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายด้วยประการใด ๆ ซึ่งเทป หรือวัสดุโทรทัศน์โดยทำเป็นธุรกิจหรือโดยได้ประโยชน์ตอบแทนเท่านั้นที่ต้องห้ามมิให้มีเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่มิได้ผ่านการตรวจพิจารณาและได้ความเห็นชอบโดยเจ้าพนักงานผู้ตรวจตามกฎหมายไว้ในสถานประกอบกิจการของตน หากฝ่าฝืนต้องมีความผิดและต้องรับโทษ แต่การที่จะขอให้เจ้าพนักงานทำการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ บุคคลใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบกิจการดังกล่าวแล้วหรือบุคคลธรรมดาย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำขอได้ และเมื่อมีสิทธิที่จะยื่นคำขอดังกล่าวแล้ว ก็ย่อมมีเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานผู้ตรวจแล้วไว้ในครอบครองได้ เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดอันจะพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 และมิใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
โจทก์ฟ้องขอให้ ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 1 เดือน ปรับ 2,100 บาท โทษจำคุกเห็นสมควรรอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน ของกลางเห็นสมควรไม่ริบ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ริบของกลาง โดยอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ขอให้ริบของกลาง โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน จำหน่ายซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยจึงไม่สามารถจะขออนุญาตมีไว้ในครอบครองในสถานที่ ประกอบกิจการ และจำเลยไม่อาจนำเทปไปขอให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจทำการตรวจ เทปของกลางเป็นทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดและเป็นทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดจึงต้องริบนั้น พระราชบัญญัติควบคุมทำกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 11 บัญญัติว่า "การตรวจพิจารณาให้ความเห็นชอบในเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ ให้ผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา 6 หรือบุคคลอื่นซึ่งประสงค์จะให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจทำการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบในเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ของตน ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานผู้ตรวจตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการและส่งมอบเอกสารประกอบการพิจารณาตามที่กำหนดในกฎกระทรวง พร้อมทั้งมอบสำเนาเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ซึ่งมีภาพและเสียงอย่างเดียวกันให้กับเจ้าพนักงานผู้ตรวจสองสำเนา
เทปหรือวัสดุโทรทัศน์แต่ละเรื่องที่ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับความเห็นชอบตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจให้หมายเลขรหัสประจำเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ และประทับหมายเลขรหัสลงบนเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ทั้งสองสำเนา และส่งคืนให้ผู้ยื่นคำขอหนึ่งสำเนาและเก็บรักษาไว้เพื่อใช้ในการตรวจสอบหนึ่งสำเนา และในกรณีที่เจ้าพนักงานผู้ตรวจเห็นเป็นการสมควรอาจสั่งให้ผู้ยื่นคำขออัดหรือบันทึกคำบอกแจ้งว่าเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ดังกล่าวได้ผ่านการตรวจพิจารณาของเจ้าพนักงานผู้ตรวจ ไว้บนเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ด้วยก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด
ในกรณีที่ปรากฏว่าเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่มีผู้ยื่นคำขอให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจทำการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบได้ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับความเห็นชอบมาแล้ว ให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจคืนสำเนาเทปหรือวัสดุเทปโทรทัศน์แก่ผู้ยื่นคำขอ
ให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจดำเนินการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบในเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ตามที่มีผู้ยื่นคำขอให้ตรวจพิจารณาโดยเร็ว ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด
ให้นายทะเบียนกลางมีอำนาจกำหนดให้เทปหรือวัสดุโทรทัศน์ประเภทหนึ่งประเภทใดที่ผู้ยื่นคำขอได้รับการยกเว้นไม่ต้องมอบสำเนาเทปหรือวัสดุโทรทัศน์หนึ่งสำเนาไว้ให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจเก็บรักษาไว้เพื่อใช้ในการตรวจสอบก็ได้"
มาตรา 35 บัญญัติว่า "ผู้ได้รับอนุญาตตามมาตรา 6 ผู้ใด
(1) มีเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ ซึ่งมิได้ผ่านการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบโดยเจ้าพนักงานผู้ตรวจสอบตามมาตรา 11 หรือมาตรา 14 หรือมิได้มีผู้รับรองสำเนาตามมาตรา 17 หรือ
(2) ...
ไว้ในสถานประกอบกิจการของตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาททั้งจำทั้งปรับ"
ตามบทบัญญัติดังกล่าวเห็นว่า เฉพาะผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายด้วยประการใด ๆซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยทำเป็นธุรกิจหรือโดยได้ประโยชน์ตอบแทนเท่านั้นที่ต้องห้ามมิให้มีเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่มิได้ผ่านการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบโดยเจ้าพนักงานผู้ตรวจตามกฎหมายไว้ในสถานประกอบกิจการของตน หากฝ่าฝืนต้องมีความผิดและต้องรับโทษ แต่การที่จะขอให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจทำการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ บุคคลใด ๆไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบกิจการดังกล่าวแล้วหรือบุคคลธรรมดาย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำขอได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 11 และเมื่อมีสิทธิที่จะยื่นคำขอดังกล่าวแล้ว ก็ย่อมมีเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานผู้ตรวจแล้วไว้ในครอบครองได้ เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดอันจะพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 และความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายด้วยประการใด ๆ ซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยทำเป็นธุรกิจหรือโดยได้ประโยชน์ตอบแทน โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น สาระสำคัญในการกระทำผิดอยู่ที่จำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดซึ่งศาลจะพึงมีอำนาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
พิพากษายืน
ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายด้วยประการใด ๆ ซึ่งเทป หรือวัสดุโทรทัศน์โดยทำเป็นธุรกิจหรือโดยได้ประโยชน์ตอบแทนเท่านั้นที่ต้องห้ามมิให้มีเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่มิได้ผ่านการตรวจพิจารณาและได้ความเห็นชอบโดยเจ้าพนักงานผู้ตรวจตามกฎหมายไว้ในสถานประกอบกิจการของตน หากฝ่าฝืนต้องมีความผิดและต้องรับโทษ แต่การที่จะขอให้เจ้าพนักงานทำการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ บุคคลใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบกิจการดังกล่าวแล้วหรือบุคคลธรรมดาย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำขอได้ และเมื่อมีสิทธิที่จะยื่นคำขอดังกล่าวแล้ว ก็ย่อมมีเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานผู้ตรวจแล้วไว้ในครอบครองได้ เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดอันจะพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 และมิใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
โจทก์ฟ้องขอให้ ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 1 เดือน ปรับ 2,100 บาท โทษจำคุกเห็นสมควรรอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน ของกลางเห็นสมควรไม่ริบ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ริบของกลาง โดยอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ขอให้ริบของกลาง โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน จำหน่ายซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยจึงไม่สามารถจะขออนุญาตมีไว้ในครอบครองในสถานที่ ประกอบกิจการ และจำเลยไม่อาจนำเทปไปขอให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจทำการตรวจ เทปของกลางเป็นทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดและเป็นทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดจึงต้องริบนั้น พระราชบัญญัติควบคุมทำกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 11 บัญญัติว่า "การตรวจพิจารณาให้ความเห็นชอบในเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ ให้ผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา 6 หรือบุคคลอื่นซึ่งประสงค์จะให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจทำการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบในเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ของตน ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานผู้ตรวจตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการและส่งมอบเอกสารประกอบการพิจารณาตามที่กำหนดในกฎกระทรวง พร้อมทั้งมอบสำเนาเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ซึ่งมีภาพและเสียงอย่างเดียวกันให้กับเจ้าพนักงานผู้ตรวจสองสำเนา
เทปหรือวัสดุโทรทัศน์แต่ละเรื่องที่ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับความเห็นชอบตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจให้หมายเลขรหัสประจำเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ และประทับหมายเลขรหัสลงบนเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ทั้งสองสำเนา และส่งคืนให้ผู้ยื่นคำขอหนึ่งสำเนาและเก็บรักษาไว้เพื่อใช้ในการตรวจสอบหนึ่งสำเนา และในกรณีที่เจ้าพนักงานผู้ตรวจเห็นเป็นการสมควรอาจสั่งให้ผู้ยื่นคำขออัดหรือบันทึกคำบอกแจ้งว่าเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ดังกล่าวได้ผ่านการตรวจพิจารณาของเจ้าพนักงานผู้ตรวจ ไว้บนเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ด้วยก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด
ในกรณีที่ปรากฏว่าเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่มีผู้ยื่นคำขอให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจทำการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบได้ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับความเห็นชอบมาแล้ว ให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจคืนสำเนาเทปหรือวัสดุเทปโทรทัศน์แก่ผู้ยื่นคำขอ
ให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจดำเนินการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบในเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ตามที่มีผู้ยื่นคำขอให้ตรวจพิจารณาโดยเร็ว ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด
ให้นายทะเบียนกลางมีอำนาจกำหนดให้เทปหรือวัสดุโทรทัศน์ประเภทหนึ่งประเภทใดที่ผู้ยื่นคำขอได้รับการยกเว้นไม่ต้องมอบสำเนาเทปหรือวัสดุโทรทัศน์หนึ่งสำเนาไว้ให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจเก็บรักษาไว้เพื่อใช้ในการตรวจสอบก็ได้"
มาตรา 35 บัญญัติว่า "ผู้ได้รับอนุญาตตามมาตรา 6 ผู้ใด
(1) มีเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ ซึ่งมิได้ผ่านการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบโดยเจ้าพนักงานผู้ตรวจสอบตามมาตรา 11 หรือมาตรา 14 หรือมิได้มีผู้รับรองสำเนาตามมาตรา 17 หรือ
(2) ...
ไว้ในสถานประกอบกิจการของตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาททั้งจำทั้งปรับ"
ตามบทบัญญัติดังกล่าวเห็นว่า เฉพาะผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายด้วยประการใด ๆซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยทำเป็นธุรกิจหรือโดยได้ประโยชน์ตอบแทนเท่านั้นที่ต้องห้ามมิให้มีเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่มิได้ผ่านการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบโดยเจ้าพนักงานผู้ตรวจตามกฎหมายไว้ในสถานประกอบกิจการของตน หากฝ่าฝืนต้องมีความผิดและต้องรับโทษ แต่การที่จะขอให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจทำการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ บุคคลใด ๆไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบกิจการดังกล่าวแล้วหรือบุคคลธรรมดาย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำขอได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 11 และเมื่อมีสิทธิที่จะยื่นคำขอดังกล่าวแล้ว ก็ย่อมมีเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานผู้ตรวจแล้วไว้ในครอบครองได้ เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดอันจะพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 และความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายด้วยประการใด ๆ ซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยทำเป็นธุรกิจหรือโดยได้ประโยชน์ตอบแทน โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น สาระสำคัญในการกระทำผิดอยู่ที่จำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดซึ่งศาลจะพึงมีอำนาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
พิพากษายืน
ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายด้วยประการใด ๆ ซึ่งเทป หรือวัสดุโทรทัศน์ โดยทำเป็นธุรกิจหรือโดยได้ประโยชน์ตอบแทนเท่านั้นที่ต้องห้ามมิให้มีเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่มิได้ผ่านการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบโดยเจ้าพนักงานผู้ตรวจตามกฎหมายไว้ในสถานประกอบกิจการของตน หากฝ่าฝืนต้องมีความผิดและต้องรับโทษ แต่การที่จะขอให้เจ้าพนักงานทำการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ บุคคลใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบกิจการดังกล่าวแล้วหรือบุคคลธรรมดาย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำขอได้ และเมื่อมีสิทธิที่จะยื่นคำขอดังกล่าวแล้ว ก็ย่อมมีเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานผู้ตรวจแล้วไว้ในครอบครองได้ เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดอันจะพึงริบตาม ป.อ. มาตรา 32 และมิใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งริบตาม ป.อ. มาตรา 33
ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายด้วยประการใด ๆ ซึ่งเทป หรือวัสดุโทรทัศน์ โดยทำเป็นธุรกิจหรือโดยได้ประโยชน์ตอบแทนเท่านั้นที่ต้องห้ามมิให้มีเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่มิได้ผ่านการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบโดยเจ้าพนักงานผู้ตรวจตามกฎหมายไว้ในสถานประกอบกิจการของตน หากฝ่าฝืนต้องมีความผิดและต้องรับโทษ แต่การที่จะขอให้เจ้าพนักงานทำการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ บุคคลใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบกิจการดังกล่าวแล้วหรือบุคคลธรรมดาย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำขอได้ และเมื่อมีสิทธิที่จะยื่นคำขอดังกล่าวแล้ว ก็ย่อมมีเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานผู้ตรวจแล้วไว้ในครอบครองได้ เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดอันจะพึงริบตาม ป.อ. มาตรา 32 และมิใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งริบตาม ป.อ. มาตรา 33
ฎีกาของจำเลยทั้งสองมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ถูกต้องด้วยเหตุใดคงกล่าวอ้างแต่เพียงว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยทั้งสองมีลักษณะแตกต่างกันเห็นได้ชัดเจนเท่านั้น จะแตกต่างกันส่วนไหน อย่างไร จึงเห็นได้ชัดเจนไม่ได้ระบุไว้ ดังนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งในฎีกาเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์จดทะเบียนและใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "BEEBYFARRIS"และรูปหัวคนอินเดียนแดงกับกางเกงยีนของโจทก์มาตั้งแต่ปี 2525จำเลยที่ 2 มีอาชีพขายเสื้อผ้ามานานถึงประมาณ 50 ปี ย่อมทราบว่าโจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์มาก่อน จำเลยทั้งสองนำเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาทำการดัดแปลงใช้กับสินค้าประเภทกางเกงยีนเช่นเดียวกับโจทก์ จำเลยที่ 2 มิได้คิดประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าดังกล่าวของตนขึ้นเอง จำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้ากางเกงยีนในลักษณะเป็นตราสลากติดกับสินค้าเช่นเดียวกันกับการใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ แม้จะมีลักษณะของตัวอักษรคำว่า "Leeman" กับคำว่า "BEEBYFARRIS"กำกับอยู่แตกต่างกัน แต่คำว่า "Lee" ในเครื่องหมายการค้าของจำเลยกับคำว่า "BEE" ในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้แล้ว ประกอบด้วยตัวอักษรเกือบเหมือนกันทุกตัวแตกต่างกันเฉพาะตัวอักษรตัวแรกระหว่าง L กับ B เท่านั้นเครื่องหมายทั้งสองอาจเรียกขานได้ว่า ตราศีรษะอินเดียนแดงเหมือนกันเมื่อใช้กับสินค้ากางเกงยีนเช่นเดียวกัน ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองจงใจเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าสินค้าของจำเลยทั้งสองเป็นสินค้าของโจทก์การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองได้ทำละเมิดต่อโจทก์และโจทก์ได้รับความเสียหาย แม้โจทก์นำสืบว่าความเสียหายของโจทก์มีมากน้อยเพียงใดไม่ได้แต่ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันว่า "BEE BY FARRIS" (บี บาย แฟรีส) และรูปหัวคนอินเดียนแดงจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ตั้งแต่ปี 2525โจทก์ใช้เครื่องหมายดังกล่าวกับสินค้าประเภทกางเกงยีนที่โจทก์ผลิตออกจำหน่าย จำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้ร่วมกันเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์โดยใช้อักษรโรมันว่า "LEE MAN" (ลีแมน) และรูปตัวคนอินเดียนแดงมีลักษณะคล้ายคลึงกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ใช้กับสินค้าประเภทกางเกงยีนที่จำเลยทั้งสองผลิตและจำหน่าย เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าสินค้าที่จำเลยทั้งสองผลิตและจำหน่ายนั้นเป็นสินค้าของโจทก์โจทก์จึงร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยทั้งสอง ต่อมาศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาให้ปรับจำเลยที่ 1เป็นเงิน 2,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน และปรับ2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายเนื่องจากยอดจำหน่ายสินค้าลดลงร้อยละ 40 โจทก์ขาดรายได้จากกำไรเป็นเงินเดือนละ 240,000 บาท นับตั้งแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 21 เดือนเศษ คิดเป็นเงินค่าเสียหายจำนวน5,040,000 บาท นอกจากนี้โจทก์ยังขาดรายได้จากการจำหน่ายเพิ่มขึ้นอีก 1,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 6,040,000 บาท แต่โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเพียง 1,000,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและห้ามจำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้าที่เลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์กับสินค้าประเภทกางเกงยีนที่จำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตออกจำหน่ายอีกต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า เครื่องหมายการค้าของจำเลยทั้งสองไม่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเครื่องหมายการค้าตามที่โจทก์อ้างจำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้าของจำเลยทั้งสองเพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นสินค้าของจำเลยทั้งสอง ไม่ได้ลอกเลียนเครื่องหมายการค้าที่โจทก์อ้างเพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าสินค้าของจำเลยทั้งสองเป็นสินค้าของโจทก์ โจทก์ไม่เสียหายตามฟ้องเพราะกางเกงยีนของโจทก์ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชน โจทก์จำหน่ายกางเกงยีนได้เดือนละ 200 ตัว ได้กำไรไม่เกิน 2,000 บาทหากโจทก์จำหน่ายกางเกงยีนได้ลดลงก็เนื่องจากคุณภาพไม่ดีและมีสินค้าอื่น ๆ วางจำหน่ายในท้องตลาดมากขึ้น ไม่เกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน300,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ ห้ามจำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้าที่พิพาทกับกางเกงยีนของจำเลยทั้งสองต่อไป
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 100,000 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งสองลอกเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์หรือไม่นั้น ศาลฎีกาได้เปรียบเทียบเครื่องหมายการค้าทั้งสองดังกล่าวของโจทก์แล้วเห็นว่าเครื่องหมายการค้าทั้งสองต่างเป็นรูปหัวคนอินเดียนแดงเหมือนกันมีอักษรและเรียกขานเหมือนกันคือ "BEE BY FARRIS" อ่านว่า"บี บาย แฟรีส" กับตัวผึ้งเหมือนกัน คงต่างกันเฉพาะอักษรตัว "E" เท่านั้น โดยอักษรตัว "E" ที่จดทะเบียนไว้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ส่วนที่โจทก์ใช้กับสินค้ากางเกงยีนเป็นอักษร e ตัวพิมพ์เล็กสาระสำคัญของเครื่องหมายการค้าอยู่ที่รูปหัวคนอินเดียนแดง และคำว่า"BEE" ซึ่งมีรูปและเรียกขานเหมือนกันดังนั้น เครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้ตามเอกสารหมาย ล.3 ก็คือเครื่องหมายการค้าที่โจทก์ใช้กับสินค้ากางเกงยีนตามวัตถุพยานหมายจ.1 และที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า เครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.3 หรือตามวัตถุพยานหมาย จ.1 ดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว มีลักษณะแตกต่างกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยทั้งสองตามวัตถุพยานหมาย จ.2 อย่างเห็นได้ชัดเจนนั้น เห็นว่าฎีกาของจำเลยทั้งสองในส่วนนี้มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ถูกต้องด้วยเหตุใด คงกล่าวอ้างแต่เพียงว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยทั้งสองมีลักษณะแตกต่างกันเห็นได้ชัดเจนเท่านั้น จะแตกต่างกันส่วนไหน อย่างไรจึงเห็นได้ชัดเจนไม่ได้ระบุไว้ ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งในฎีกา เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้าของจำเลยทั้งสองโดยไม่มีเจตนาเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์อันเป็นการละเมิดสิทธิโจทก์นั้น เห็นว่าคดีได้ความว่าโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้ากับกางเกงยีนของโจทก์มาตั้งแต่ปี 2525 โจทก์ได้ประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์มาตั้งแต่ปี 2528 และจำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้ากับกางเกงยีนปี 2529 จำเลยที่ 2 มีอาชีพขายเสื้อผ้ามานานถึงประมาณ 50 ปีย่อมทราบว่าโจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์มาก่อนจึงมีเหตุให้เชื่อว่าจำเลยทั้งสองนำเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาทำการดัดแปลงใช้กับสินค้าประเภทกางเกงยีนเช่นเดียวกันกับโจทก์ จำเลยที่ 2 มิได้คิดประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าดังกล่าวของตนขึ้นเอง แต่นำเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาดัดแปลงเพียงเล็กน้อย จำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้า>กับสินค้ากางเกงยีนในลักษณะเป็นตราสลากติดกับสินค้าเช่นเดียวกันกับการใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ แม้จะมีลักษณะของตัวอักษรคำว่า "Lee man" กับคำว่า "BEE BY FARRIS" กำกับอยู่แตกต่างกันแต่คำว่า "Lee" ในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้แล้วประกอบด้วยตัวอักษรเกือบเหมือนกันทุกตัว แตกต่างกันเฉพาะตัวอักษรตัวแรกระหว่าง L กับ B เท่านั้น เมื่อพิจารณาถึงการเรียกขานเครื่องหมายทั้งสองอาจเรียกขานได้ว่า ตราศีรษะอินเดียนแดงเหมือนกัน เมื่อใช้กับสินค้ากางเกงยีนเช่นเดียวกันย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองจงใจเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าสินค้าของจำเลยทั้งสองเป็นสินค้าของโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์และจำเลยทั้งสองว่าค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใด เห็นว่า เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ก็ต้องได้รับความเสียหาย ส่วนความเสียหายของโจทก์จะมีมากน้อยเพียงใดแม้โจทก์นำสืบไม่ได้ แต่ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ 100,000 บาท ศาลฎีกาเห็นว่าเหมาะสมแล้ว หาเกินสมควรไม่
พิพากษายืน
ฎีกาของจำเลยทั้งสองมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ถูกต้องด้วยเหตุใดคงกล่าวอ้างแต่เพียงว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยทั้งสองมีลักษณะแตกต่างกันเห็นได้ชัดเจนเท่านั้น จะแตกต่างกันส่วนไหน อย่างไร จึงเห็นได้ชัดเจนไม่ได้ระบุไว้ ดังนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งในฎีกาเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์จดทะเบียนและใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "BEEBYFARRIS"และรูปหัวคนอินเดียนแดงกับกางเกงยีนของโจทก์มาตั้งแต่ปี 2525จำเลยที่ 2 มีอาชีพขายเสื้อผ้ามานานถึงประมาณ 50 ปี ย่อมทราบว่าโจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์มาก่อน จำเลยทั้งสองนำเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาทำการดัดแปลงใช้กับสินค้าประเภทกางเกงยีนเช่นเดียวกับโจทก์ จำเลยที่ 2 มิได้คิดประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าดังกล่าวของตนขึ้นเอง จำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้ากางเกงยีนในลักษณะเป็นตราสลากติดกับสินค้าเช่นเดียวกันกับการใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ แม้จะมีลักษณะของตัวอักษรคำว่า "Leeman" กับคำว่า "BEEBYFARRIS"กำกับอยู่แตกต่างกัน แต่คำว่า "Lee" ในเครื่องหมายการค้าของจำเลยกับคำว่า "BEE" ในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้แล้ว ประกอบด้วยตัวอักษรเกือบเหมือนกันทุกตัวแตกต่างกันเฉพาะตัวอักษรตัวแรกระหว่าง L กับ B เท่านั้นเครื่องหมายทั้งสองอาจเรียกขานได้ว่า ตราศีรษะอินเดียนแดงเหมือนกันเมื่อใช้กับสินค้ากางเกงยีนเช่นเดียวกัน ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองจงใจเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าสินค้าของจำเลยทั้งสองเป็นสินค้าของโจทก์การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองได้ทำละเมิดต่อโจทก์และโจทก์ได้รับความเสียหาย แม้โจทก์นำสืบว่าความเสียหายของโจทก์มีมากน้อยเพียงใดไม่ได้แต่ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันว่า "BEE BY FARRIS" (บี บาย แฟรีส) และรูปหัวคนอินเดียนแดงจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ตั้งแต่ปี 2525โจทก์ใช้เครื่องหมายดังกล่าวกับสินค้าประเภทกางเกงยีนที่โจทก์ผลิตออกจำหน่าย จำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้ร่วมกันเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์โดยใช้อักษรโรมันว่า "LEE MAN" (ลีแมน) และรูปตัวคนอินเดียนแดงมีลักษณะคล้ายคลึงกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ใช้กับสินค้าประเภทกางเกงยีนที่จำเลยทั้งสองผลิตและจำหน่าย เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าสินค้าที่จำเลยทั้งสองผลิตและจำหน่ายนั้นเป็นสินค้าของโจทก์โจทก์จึงร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยทั้งสอง ต่อมาศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาให้ปรับจำเลยที่ 1เป็นเงิน 2,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน และปรับ2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายเนื่องจากยอดจำหน่ายสินค้าลดลงร้อยละ 40 โจทก์ขาดรายได้จากกำไรเป็นเงินเดือนละ 240,000 บาท นับตั้งแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 21 เดือนเศษ คิดเป็นเงินค่าเสียหายจำนวน5,040,000 บาท นอกจากนี้โจทก์ยังขาดรายได้จากการจำหน่ายเพิ่มขึ้นอีก 1,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 6,040,000 บาท แต่โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเพียง 1,000,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและห้ามจำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้าที่เลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์กับสินค้าประเภทกางเกงยีนที่จำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตออกจำหน่ายอีกต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า เครื่องหมายการค้าของจำเลยทั้งสองไม่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเครื่องหมายการค้าตามที่โจทก์อ้างจำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้าของจำเลยทั้งสองเพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นสินค้าของจำเลยทั้งสอง ไม่ได้ลอกเลียนเครื่องหมายการค้าที่โจทก์อ้างเพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าสินค้าของจำเลยทั้งสองเป็นสินค้าของโจทก์ โจทก์ไม่เสียหายตามฟ้องเพราะกางเกงยีนของโจทก์ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชน โจทก์จำหน่ายกางเกงยีนได้เดือนละ 200 ตัว ได้กำไรไม่เกิน 2,000 บาทหากโจทก์จำหน่ายกางเกงยีนได้ลดลงก็เนื่องจากคุณภาพไม่ดีและมีสินค้าอื่น ๆ วางจำหน่ายในท้องตลาดมากขึ้น ไม่เกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน300,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ ห้ามจำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้าที่พิพาทกับกางเกงยีนของจำเลยทั้งสองต่อไป
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 100,000 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งสองลอกเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์หรือไม่นั้น ศาลฎีกาได้เปรียบเทียบเครื่องหมายการค้าทั้งสองดังกล่าวของโจทก์แล้วเห็นว่าเครื่องหมายการค้าทั้งสองต่างเป็นรูปหัวคนอินเดียนแดงเหมือนกันมีอักษรและเรียกขานเหมือนกันคือ "BEE BY FARRIS" อ่านว่า"บี บาย แฟรีส" กับตัวผึ้งเหมือนกัน คงต่างกันเฉพาะอักษรตัว "E" เท่านั้น โดยอักษรตัว "E" ที่จดทะเบียนไว้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ส่วนที่โจทก์ใช้กับสินค้ากางเกงยีนเป็นอักษร e ตัวพิมพ์เล็กสาระสำคัญของเครื่องหมายการค้าอยู่ที่รูปหัวคนอินเดียนแดง และคำว่า"BEE" ซึ่งมีรูปและเรียกขานเหมือนกันดังนั้น เครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้ตามเอกสารหมาย ล.3 ก็คือเครื่องหมายการค้าที่โจทก์ใช้กับสินค้ากางเกงยีนตามวัตถุพยานหมายจ.1 และที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า เครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.3 หรือตามวัตถุพยานหมาย จ.1 ดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว มีลักษณะแตกต่างกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยทั้งสองตามวัตถุพยานหมาย จ.2 อย่างเห็นได้ชัดเจนนั้น เห็นว่าฎีกาของจำเลยทั้งสองในส่วนนี้มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ถูกต้องด้วยเหตุใด คงกล่าวอ้างแต่เพียงว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยทั้งสองมีลักษณะแตกต่างกันเห็นได้ชัดเจนเท่านั้น จะแตกต่างกันส่วนไหน อย่างไรจึงเห็นได้ชัดเจนไม่ได้ระบุไว้ ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งในฎีกา เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้าของจำเลยทั้งสองโดยไม่มีเจตนาเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์อันเป็นการละเมิดสิทธิโจทก์นั้น เห็นว่าคดีได้ความว่าโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้ากับกางเกงยีนของโจทก์มาตั้งแต่ปี 2525 โจทก์ได้ประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์มาตั้งแต่ปี 2528 และจำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้ากับกางเกงยีนปี 2529 จำเลยที่ 2 มีอาชีพขายเสื้อผ้ามานานถึงประมาณ 50 ปีย่อมทราบว่าโจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์มาก่อนจึงมีเหตุให้เชื่อว่าจำเลยทั้งสองนำเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาทำการดัดแปลงใช้กับสินค้าประเภทกางเกงยีนเช่นเดียวกันกับโจทก์ จำเลยที่ 2 มิได้คิดประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าดังกล่าวของตนขึ้นเอง แต่นำเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาดัดแปลงเพียงเล็กน้อย จำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้า>กับสินค้ากางเกงยีนในลักษณะเป็นตราสลากติดกับสินค้าเช่นเดียวกันกับการใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ แม้จะมีลักษณะของตัวอักษรคำว่า "Lee man" กับคำว่า "BEE BY FARRIS" กำกับอยู่แตกต่างกันแต่คำว่า "Lee" ในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้แล้วประกอบด้วยตัวอักษรเกือบเหมือนกันทุกตัว แตกต่างกันเฉพาะตัวอักษรตัวแรกระหว่าง L กับ B เท่านั้น เมื่อพิจารณาถึงการเรียกขานเครื่องหมายทั้งสองอาจเรียกขานได้ว่า ตราศีรษะอินเดียนแดงเหมือนกัน เมื่อใช้กับสินค้ากางเกงยีนเช่นเดียวกันย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองจงใจเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าสินค้าของจำเลยทั้งสองเป็นสินค้าของโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์และจำเลยทั้งสองว่าค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใด เห็นว่า เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ก็ต้องได้รับความเสียหาย ส่วนความเสียหายของโจทก์จะมีมากน้อยเพียงใดแม้โจทก์นำสืบไม่ได้ แต่ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ 100,000 บาท ศาลฎีกาเห็นว่าเหมาะสมแล้ว หาเกินสมควรไม่
พิพากษายืน
ฎีกาของจำเลยทั้งสองมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ถูกต้องด้วยเหตุใด คงกล่าวอ้างแต่เพียงว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยทั้งสองมีลักษณะแตกต่างกันเห็นได้ชัดเจนเท่านั้น จะแตกต่างกันส่วนไหน อย่างไร จึงเห็นได้ชัดเจนไม่ได้ระบุไว้ ดังนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งในฎีกา เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์จดทะเบียนและใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "BEE BYFARRIS" และรูปหัวคนอินเดียนแดงกับกางเกงยีนของโจทก์มาตั้งแต่ปี 2525 จำเลยที่ 2 มีอาชีพขายเสื้อผ้ามานานถึงประมาณ 50 ปี ย่อมทราบว่าโจทก์ได้ใช้เครื่องหมาย-การค้าของโจทก์มาก่อน จำเลยทั้งสองนำเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาทำการดัดแปลงใช้กับสินค้าประเภทกางเกงยีนเช่นเดียวกับโจทก์ จำเลยที่ 2 มิได้คิดประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าดังกล่าวของตนขึ้นเอง จำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้ากางเกงยีนในลักษณะเป็นตราสลากติดกับสินค้าเช่นเดียวกันกับการใช้เครื่องหมาย-การค้าของโจทก์ แม้จะมีลักษณะของตัวอักษรคำว่า "Lee man" กับคำว่า "BEE BYFARRIS" กำกับอยู่แตกต่างกัน แต่คำว่า "Lee" ในเครื่องหมายการค้าของจำเลยกับคำว่า "BEE" ในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้แล้ว ประกอบด้วยตัวอักษรเกือบเหมือนกันทุกตัว แตกต่างกันเฉพาะตัวอักษรตัวแรกระหว่าง L กับ Bเท่านั้น เครื่องหมายทั้งสองอาจเรียกขานได้ว่า ตราศีรษะอินเดียนแดงเหมือนกันเมื่อใช้กับสินค้ากางเกงยีนเช่นเดียวกัน ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองจงใจเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าสินค้าของจำเลยทั้งสองเป็นสินค้า /สินค้าของโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมาย-การค้าของโจทก์
เมื่อจำเลยทั้งสองได้ทำละเมิดต่อโจทก์และโจทก์ได้รับความเสียหาย แม้โจทก์นำสืบว่าความเสียหายของโจทก์มีมากน้อยเพียงใดไม่ได้แต่ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
ฎีกาของจำเลยทั้งสองมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ถูกต้องด้วยเหตุใด คงกล่าวอ้างแต่เพียงว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยทั้งสองมีลักษณะแตกต่างกันเห็นได้ชัดเจนเท่านั้น จะแตกต่างกันส่วนไหน อย่างไร จึงเห็นได้ชัดเจนไม่ได้ระบุไว้ ดังนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งในฎีกา เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์จดทะเบียนและใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "BEE BYFARRIS" และรูปหัวคนอินเดียนแดงกับกางเกงยีนของโจทก์มาตั้งแต่ปี 2525 จำเลยที่ 2 มีอาชีพขายเสื้อผ้ามานานถึงประมาณ 50 ปี ย่อมทราบว่าโจทก์ได้ใช้เครื่องหมาย-การค้าของโจทก์มาก่อน จำเลยทั้งสองนำเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาทำการดัดแปลงใช้กับสินค้าประเภทกางเกงยีนเช่นเดียวกับโจทก์ จำเลยที่ 2 มิได้คิดประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าดังกล่าวของตนขึ้นเอง จำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้ากางเกงยีนในลักษณะเป็นตราสลากติดกับสินค้าเช่นเดียวกันกับการใช้เครื่องหมาย-การค้าของโจทก์ แม้จะมีลักษณะของตัวอักษรคำว่า "Lee man" กับคำว่า "BEE BYFARRIS" กำกับอยู่แตกต่างกัน แต่คำว่า "Lee" ในเครื่องหมายการค้าของจำเลยกับคำว่า "BEE" ในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้แล้ว ประกอบด้วยตัวอักษรเกือบเหมือนกันทุกตัว แตกต่างกันเฉพาะตัวอักษรตัวแรกระหว่าง L กับ Bเท่านั้น เครื่องหมายทั้งสองอาจเรียกขานได้ว่า ตราศีรษะอินเดียนแดงเหมือนกันเมื่อใช้กับสินค้ากางเกงยีนเช่นเดียวกัน ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองจงใจเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าสินค้าของจำเลยทั้งสองเป็นสินค้า /สินค้าของโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมาย-การค้าของโจทก์
เมื่อจำเลยทั้งสองได้ทำละเมิดต่อโจทก์และโจทก์ได้รับความเสียหาย แม้โจทก์นำสืบว่าความเสียหายของโจทก์มีมากน้อยเพียงใดไม่ได้แต่ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
ในคดีอาญา จำเลยย่อมยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยก่อนศาลพิพากษา ศาลมีอำนาจจะอนุญาตหรือไม่ก็ได้สุดแต่ศาลจะเห็นสมควร ในตอนแรกจำเลยให้การปฏิเสธหลังจากศาลชั้นต้นได้สืบพยานโจทก์ไปแล้ว 2 ปาก จำเลยก็ขอเพิกถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ โจทก์จึงแถลงไม่ติดใจสืบพยานที่เหลืออีกต่อไปและศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีเสร็จการพิจารณา ให้รอฟังคำพิพากษาในวันเดียวกัน แต่ต่อมาจำเลยกลับขอให้การใหม่อีก เป็นรับสารภาพเพียงข้อหาเดียวเท่านั้น ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์บรรยายฟ้องในข้อหามีอาวุธปืนว่า จำเลยได้มีอาวุธปืนสั้นขนาด .38 ไม่ปรากฏว่ามีเครื่องหมายทะเบียนประจำอาวุธปืนของเจ้าพนักงานประทับไว้หรือไม่จำนวน 1 กระบอก ไว้ในครอบครองของจำเลยโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาโดยฟังคำรับสารภาพของจำเลย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามคำฟ้องของโจทก์ซึ่งไม่เป็นการแน่นอนว่า อาวุธปืนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองนั้นเป็นอาวุธปืนมีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้หรือไม่ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงในส่วนนี้ให้เป็นคุณแก่จำเลยว่าอาวุธปืนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองและพาไปโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเป็นอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,295, 371
จำเลยให้การปฏิเสธ เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้วจำเลยยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำให้การเดิมเป็นรับสารภาพตามฟ้องของโจทก์ตลอดทุกข้อกล่าวหา ศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำให้การเดิมเป็นรับสารภาพเฉพาะข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นส่วนข้อหาอื่นปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การหลังจากศาลชั้นต้นได้ปรึกษาคดีและมีคำพิพากษาแล้วไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 295, 371 เรียงกระทงลงโทษฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนจำคุก 12 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไม่มีใบอนุญาตพกพาจำคุก 6 เดือน ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 24 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 12 เดือน
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ว่า บทบัญญัติของมาตรา 163แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ว่าจำเลยอาจยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การได้ก่อนศาลพิพากษา การที่ศาลมีคำพิพากษาแล้วแต่ยังมิได้อ่านให้จำเลยฟัง จะถือว่าศาลได้พิพากษาแล้วหาได้ไม่ จำเลยย่อมยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การชอบแล้วนั้น จึงเป็นการไม่ชอบเห็นว่าบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยก่อนศาลพิพากษา ศาลมีอำนาจจะอนุญาตหรือไม่ก็ได้ สุดแต่ศาลจะเห็นสมควร คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธ แต่หลังจากศาลชั้นต้นได้สืบพยานโจทก์ไปแล้ว 2 ปากจำเลยก็ขอเพิกถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ โจทก์จึงแถลงไม่ติดใจสืบพยานที่เหลืออีกต่อไป และศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีเสร็จการพิจารณาให้รอฟังคำพิพากษาในวันเดียวกัน แต่ต่อมาจำเลยกลับขอให้การใหม่อีก เป็นรับสารภาพเพียงข้อหาทำร้ายร่างกายเท่านั้น ดังนี้การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้นชอบแล้วแต่คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องในข้อหามีอาวุธปืนว่าจำเลยได้มีอาวุธปืนสั้นขนาด .38 ไม่ปรากฏว่ามีเครื่องหมายทะเบียนประจำอาวุธปืนของเจ้าพนักงานประทับไว้หรือไม่จำนวน 1 กระบอกไว้ในครอบครองของจำเลยโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาโดยฟังคำรับสารภาพของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำฟ้องของโจทก์ซึ่งไม่เป็นการแน่นอนว่า อาวุธปืนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองนั้น เป็นอาวุธปืนมีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้หรือไม่ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงในส่วนนี้ให้เป็นคุณแก่จำเลยว่า อาวุธปืนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองและพาไปโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเป็นอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายกรณีจึงต้องปรับบทลงโทษและกำหนดโทษในข้อหานี้ใหม่ให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก, 72 วรรคสาม,72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 295, 371เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 6 เดือนฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 18 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 เดือน
ในคดีอาญา จำเลยย่อมยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยก่อนศาลพิพากษา ศาลมีอำนาจจะอนุญาตหรือไม่ก็ได้สุดแต่ศาลจะเห็นสมควร ในตอนแรกจำเลยให้การปฏิเสธหลังจากศาลชั้นต้นได้สืบพยานโจทก์ไปแล้ว 2 ปาก จำเลยก็ขอเพิกถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ โจทก์จึงแถลงไม่ติดใจสืบพยานที่เหลืออีกต่อไปและศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีเสร็จการพิจารณา ให้รอฟังคำพิพากษาในวันเดียวกัน แต่ต่อมาจำเลยกลับขอให้การใหม่อีก เป็นรับสารภาพเพียงข้อหาเดียวเท่านั้น ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์บรรยายฟ้องในข้อหามีอาวุธปืนว่า จำเลยได้มีอาวุธปืนสั้นขนาด .38 ไม่ปรากฏว่ามีเครื่องหมายทะเบียนประจำอาวุธปืนของเจ้าพนักงานประทับไว้หรือไม่จำนวน 1 กระบอก ไว้ในครอบครองของจำเลยโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาโดยฟังคำรับสารภาพของจำเลย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามคำฟ้องของโจทก์ซึ่งไม่เป็นการแน่นอนว่า อาวุธปืนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองนั้นเป็นอาวุธปืนมีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้หรือไม่ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงในส่วนนี้ให้เป็นคุณแก่จำเลยว่าอาวุธปืนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองและพาไปโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเป็นอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,295, 371
จำเลยให้การปฏิเสธ เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้วจำเลยยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำให้การเดิมเป็นรับสารภาพตามฟ้องของโจทก์ตลอดทุกข้อกล่าวหา ศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำให้การเดิมเป็นรับสารภาพเฉพาะข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นส่วนข้อหาอื่นปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การหลังจากศาลชั้นต้นได้ปรึกษาคดีและมีคำพิพากษาแล้วไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 295, 371 เรียงกระทงลงโทษฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนจำคุก 12 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไม่มีใบอนุญาตพกพาจำคุก 6 เดือน ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 24 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 12 เดือน
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ว่า บทบัญญัติของมาตรา 163แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ว่าจำเลยอาจยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การได้ก่อนศาลพิพากษา การที่ศาลมีคำพิพากษาแล้วแต่ยังมิได้อ่านให้จำเลยฟัง จะถือว่าศาลได้พิพากษาแล้วหาได้ไม่ จำเลยย่อมยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การชอบแล้วนั้น จึงเป็นการไม่ชอบเห็นว่าบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยก่อนศาลพิพากษา ศาลมีอำนาจจะอนุญาตหรือไม่ก็ได้ สุดแต่ศาลจะเห็นสมควร คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธ แต่หลังจากศาลชั้นต้นได้สืบพยานโจทก์ไปแล้ว 2 ปากจำเลยก็ขอเพิกถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ โจทก์จึงแถลงไม่ติดใจสืบพยานที่เหลืออีกต่อไป และศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีเสร็จการพิจารณาให้รอฟังคำพิพากษาในวันเดียวกัน แต่ต่อมาจำเลยกลับขอให้การใหม่อีก เป็นรับสารภาพเพียงข้อหาทำร้ายร่างกายเท่านั้น ดังนี้การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้นชอบแล้วแต่คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องในข้อหามีอาวุธปืนว่าจำเลยได้มีอาวุธปืนสั้นขนาด .38 ไม่ปรากฏว่ามีเครื่องหมายทะเบียนประจำอาวุธปืนของเจ้าพนักงานประทับไว้หรือไม่จำนวน 1 กระบอกไว้ในครอบครองของจำเลยโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาโดยฟังคำรับสารภาพของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำฟ้องของโจทก์ซึ่งไม่เป็นการแน่นอนว่า อาวุธปืนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองนั้น เป็นอาวุธปืนมีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้หรือไม่ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงในส่วนนี้ให้เป็นคุณแก่จำเลยว่า อาวุธปืนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองและพาไปโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเป็นอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายกรณีจึงต้องปรับบทลงโทษและกำหนดโทษในข้อหานี้ใหม่ให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก, 72 วรรคสาม,72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 295, 371เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 6 เดือนฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 18 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 เดือน
จำเลยให้การและนำสืบว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1แต่ผู้เดียว โจทก์และจำเลยที่ 2 อยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1ดังนี้ตามคำให้การและทางนำสืบของจำเลยทั้งสองแสดงว่าไม่อาจมีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์แต่อย่างใดจึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างในคำให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นการวินิจฉัยขัดแย้งกับที่จำเลยทั้งสองให้การไว้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่วินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 เกินกว่าหนึ่งปีชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า นายโต๊ะบิดาโจทก์และจำเลยทั้งสองยกที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 20 ให้โจทก์และจำเลยที่ 1 คนละครึ่ง โดยกำหนดให้ที่ดินส่วนทางทิศใต้เป็นของโจทก์ ส่วนทางทิศเหนือเป็นของจำเลยที่ 1 ต่อมาเมื่อปี 2510 จำเลยที่ 1 จัดการให้จดทะเบียนโอนที่ดินตาม น.ส.3 ดังกล่าวทั้งแปลงเป็นของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว วันที่ 15 มกราคม 2530 จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนลงชื่อโจทก์ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 20 โดยให้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยที่ 1 คนละครึ่ง หากจำเลยที่ 1 ไม่ไป ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์พร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 3,000 บาทนับแต่ปี 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า คำฟ้องเคลือบคลุม ที่ดินตามฟ้องบิดายกให้จำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว โจทก์และจำเลยที่ 2อาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 อยู่บนที่ดิน ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 205/2529 หมายเลขแดงที่ 310/2529 ระหว่างนางสำเนียง มั่นเกตวิทย์ โจทก์ นางทองใบ คำแก้ว จำเลยโจทก์ไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแผนที่พิพาทหมาย ล.2 ส่วนที่อยู่ด้านทิศใต้เนื้อที่ไม่เกินกึ่งหนึ่งของที่ดินทั้งแปลง ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป และร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 3,000 บาท นับแต่ปี 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่วินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1เกินกว่าหนึ่งปีเป็นการไม่ชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยทั้งสองให้การและนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวโจทก์และจำเลยที่ 2 อยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ดังนี้ตามคำให้การและทางนำสืบของจำเลยทั้งสองแสดงว่าไม่อาจมีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์แต่อย่างใด จึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสองเพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างในคำให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นการวินิจฉัยขัดแย้งกับที่จำเลยทั้งสองให้การไว้ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่วินิจฉัยปัญหาตามฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน
จำเลยให้การและนำสืบว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1แต่ผู้เดียว โจทก์และจำเลยที่ 2 อยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1ดังนี้ตามคำให้การและทางนำสืบของจำเลยทั้งสองแสดงว่าไม่อาจมีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์แต่อย่างใดจึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างในคำให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นการวินิจฉัยขัดแย้งกับที่จำเลยทั้งสองให้การไว้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่วินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 เกินกว่าหนึ่งปีชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า นายโต๊ะบิดาโจทก์และจำเลยทั้งสองยกที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 20 ให้โจทก์และจำเลยที่ 1 คนละครึ่ง โดยกำหนดให้ที่ดินส่วนทางทิศใต้เป็นของโจทก์ ส่วนทางทิศเหนือเป็นของจำเลยที่ 1 ต่อมาเมื่อปี 2510 จำเลยที่ 1 จัดการให้จดทะเบียนโอนที่ดินตาม น.ส.3 ดังกล่าวทั้งแปลงเป็นของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว วันที่ 15 มกราคม 2530 จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนลงชื่อโจทก์ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 20 โดยให้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยที่ 1 คนละครึ่ง หากจำเลยที่ 1 ไม่ไป ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์พร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 3,000 บาทนับแต่ปี 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า คำฟ้องเคลือบคลุม ที่ดินตามฟ้องบิดายกให้จำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว โจทก์และจำเลยที่ 2อาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 อยู่บนที่ดิน ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 205/2529 หมายเลขแดงที่ 310/2529 ระหว่างนางสำเนียง มั่นเกตวิทย์ โจทก์ นางทองใบ คำแก้ว จำเลยโจทก์ไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแผนที่พิพาทหมาย ล.2 ส่วนที่อยู่ด้านทิศใต้เนื้อที่ไม่เกินกึ่งหนึ่งของที่ดินทั้งแปลง ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป และร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 3,000 บาท นับแต่ปี 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่วินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1เกินกว่าหนึ่งปีเป็นการไม่ชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยทั้งสองให้การและนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวโจทก์และจำเลยที่ 2 อยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ดังนี้ตามคำให้การและทางนำสืบของจำเลยทั้งสองแสดงว่าไม่อาจมีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์แต่อย่างใด จึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสองเพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างในคำให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นการวินิจฉัยขัดแย้งกับที่จำเลยทั้งสองให้การไว้ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่วินิจฉัยปัญหาตามฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน
การที่ ส. เช่ารถยนต์ของกลางมาจากโจทก์ร่วม ต่อมาเจ้าหนี้ของ ส. ยึดรถยนต์ของกลางไป และจำเลยได้ครอบครองรถยนต์ของกลางนั้นไว้ แสดงว่า ส. มิได้สมัครใจในการมอบรถยนต์ของกลางให้เจ้าหนี้ไป หากแต่เกิดเพราะความจำยอม จึงฟังไม่ได้ว่า ส. มีเจตนาทุจริตกระทำผิดฐานยักยอกทรัพย์ของโจทก์ร่วมแต่ประการใด การกระทำของจำเลยจึงไม่อาจเป็นความผิดฐานรับของโจรจากผู้กระทำผิดฐานยักยอกทรัพย์
การที่ ส. เช่ารถยนต์ของกลางมาจากโจทก์ร่วม ต่อมาเจ้าหนี้ของ ส. ยึดรถยนต์ของกลางไป และจำเลยได้ครอบครองรถยนต์ของกลางนั้นไว้ แสดงว่า ส. มิได้สมัครใจในการมอบรถยนต์ของกลางให้เจ้าหนี้ไป หากแต่เกิดเพราะความจำยอม จึงฟังไม่ได้ว่า ส. มีเจตนาทุจริตกระทำผิดฐานยักยอกทรัพย์ของโจทก์ร่วมแต่ประการใด การกระทำของจำเลยจึงไม่อาจเป็นความผิดฐานรับของโจรจากผู้กระทำผิดฐานยักยอกทรัพย์
จำเลยไม่ส่งตัว ห. คนต่างด้าวออกไปนอกราชอาณาจักรเพราะห. ป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัยจำเลยไม่มีเจตนาปฏิบัติผิดเงื่อนไขสัญญาที่ต้องจัดการให้ ห.เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรภายในกำหนด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าปรับตามสัญญา ผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมืองเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ คนเข้าเมืองที่จะอนุญาตให้คนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องร้องดำเนินคดีในฐานะคู่สัญญากับจำเลยตามกฎหมาย เมื่อผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมืองมีคำสั่งเห็นชอบผ่อนผันระงับการปรับจำเลย ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงและชอบด้วยกฎหมายทั้งในฐานะคู่สัญญากับจำเลยโดยตรงแล้วหนี้ค่าปรับจึงระงับสิ้นไป
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับรองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองว่า นายหวังกวงฝาซึ่งเป็นคนต่างด้าวจะเข้ามาในประเทศไทยเมื่อถึงกำหนดจำเลยจะให้ออกจากราชอาณาจักร จำเลยผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าปรับจำนวน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เหตุที่ไม่สามารถส่งตัวนายหวังกวงฝาออกไปนอกราชอาณาจักรตามกำหนดเนื่องจากนายหวังกวงฝาป่วยต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหล่มสักเป็นเหตุสุดวิสัย โจทก์เคยผ่อนผันให้จำเลยโดยไม่ปรับตามสัญญาแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามบันทึกรับรองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเอกสารหมาย จ.3 (ตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3)ข้อ 2(3)(4) ที่ระบุว่าถ้าระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดลง จำเลยจะจัดการให้คนต่างด้าวเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรภายในกำหนดทันที หากผิดเงื่อนไขคำรับรองจำเลยยินยอมให้ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท โดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆนั้น ผู้ที่จะถูกปรับตามข้อสัญญาดังกล่าว ต้องมีเจตนาฝ่าฝืนเงื่อนไขสัญญาไม่จัดการให้คนต่างด้าวเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรภายในกำหนด แต่กรณีของจำเลยข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่จำเลยไม่ส่งนายหวังกวงฝาออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นเพราะนายหวังกวงฝาป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย จำเลยไม่มีเจตนาปฏิบัติผิดเงื่อนไขในบันทึกการรับรองคนต่างด้าวเอกสารหมายจ.3 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าปรับตามสัญญา
โจทก์ฎีกาในข้อต่อไปว่า การที่ผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมืองมีความเห็นผ่อนผันไม่ปรับจำเลย ตามข้อความในเอกสารหมาย ล.7หนี้ยังไม่ระงับเนื่องจากไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาสูงสุด คืออธิบดีกรมตำรวจในปัญหานี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงมาว่า เหตุที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามบันทึกรับรองเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 เพราะนายหวังกวงฝาป่วยเป็นเหตุสุดวิสัยผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมืองเห็นชอบให้ระงับการปรับจำเลยแล้วเห็นว่า ผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมืองเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เอกสารหมาย จ.1มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองที่จะอนุญาตให้คนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องร้องดำเนินคดีนี้ในฐานะคู่สัญญากับจำเลยตามกฎหมาย ซึ่งโจทก์มีพลตำรวจตรีวานิชกุลมา ตำแหน่งผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมืองขณะนั้นเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของโจทก์ เมื่อพลตำรวจตรีวานิช กุลมา ได้มีคำสั่งเห็นชอบผ่อนผันระงับการปรับจำเลยแล้ว จึงเป็นคำสั่งที่เป็นอำนาจหน้าที่ของโจทก์โดยตรงและชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์กระทำไปตามอำนาจในฐานะเป็นคู่สัญญากับจำเลยโดยตรง ส่วนอธิบดีกรมตำรวจมิใช่คู่สัญญากับจำเลย ดังนั้น เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาแสดงเจตนาปลดหนี้ให้จำเลยแล้วหนี้ค่าปรับจำนวน 20,000 บาท จึงระงับสิ้นไป
พิพากษายืน
จำเลยไม่ส่งตัว ห. คนต่างด้าวออกไปนอกราชอาณาจักรเพราะห. ป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัยจำเลยไม่มีเจตนาปฏิบัติผิดเงื่อนไขสัญญาที่ต้องจัดการให้ ห.เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรภายในกำหนด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าปรับตามสัญญา ผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมืองเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ คนเข้าเมืองที่จะอนุญาตให้คนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องร้องดำเนินคดีในฐานะคู่สัญญากับจำเลยตามกฎหมาย เมื่อผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมืองมีคำสั่งเห็นชอบผ่อนผันระงับการปรับจำเลย ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงและชอบด้วยกฎหมายทั้งในฐานะคู่สัญญากับจำเลยโดยตรงแล้วหนี้ค่าปรับจึงระงับสิ้นไป
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับรองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองว่า นายหวังกวงฝาซึ่งเป็นคนต่างด้าวจะเข้ามาในประเทศไทยเมื่อถึงกำหนดจำเลยจะให้ออกจากราชอาณาจักร จำเลยผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าปรับจำนวน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เหตุที่ไม่สามารถส่งตัวนายหวังกวงฝาออกไปนอกราชอาณาจักรตามกำหนดเนื่องจากนายหวังกวงฝาป่วยต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหล่มสักเป็นเหตุสุดวิสัย โจทก์เคยผ่อนผันให้จำเลยโดยไม่ปรับตามสัญญาแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามบันทึกรับรองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเอกสารหมาย จ.3 (ตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3)ข้อ 2(3)(4) ที่ระบุว่าถ้าระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดลง จำเลยจะจัดการให้คนต่างด้าวเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรภายในกำหนดทันที หากผิดเงื่อนไขคำรับรองจำเลยยินยอมให้ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท โดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆนั้น ผู้ที่จะถูกปรับตามข้อสัญญาดังกล่าว ต้องมีเจตนาฝ่าฝืนเงื่อนไขสัญญาไม่จัดการให้คนต่างด้าวเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรภายในกำหนด แต่กรณีของจำเลยข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่จำเลยไม่ส่งนายหวังกวงฝาออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นเพราะนายหวังกวงฝาป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย จำเลยไม่มีเจตนาปฏิบัติผิดเงื่อนไขในบันทึกการรับรองคนต่างด้าวเอกสารหมายจ.3 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าปรับตามสัญญา
โจทก์ฎีกาในข้อต่อไปว่า การที่ผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมืองมีความเห็นผ่อนผันไม่ปรับจำเลย ตามข้อความในเอกสารหมาย ล.7หนี้ยังไม่ระงับเนื่องจากไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาสูงสุด คืออธิบดีกรมตำรวจในปัญหานี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงมาว่า เหตุที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามบันทึกรับรองเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 เพราะนายหวังกวงฝาป่วยเป็นเหตุสุดวิสัยผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมืองเห็นชอบให้ระงับการปรับจำเลยแล้วเห็นว่า ผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมืองเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เอกสารหมาย จ.1มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองที่จะอนุญาตให้คนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องร้องดำเนินคดีนี้ในฐานะคู่สัญญากับจำเลยตามกฎหมาย ซึ่งโจทก์มีพลตำรวจตรีวานิชกุลมา ตำแหน่งผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมืองขณะนั้นเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของโจทก์ เมื่อพลตำรวจตรีวานิช กุลมา ได้มีคำสั่งเห็นชอบผ่อนผันระงับการปรับจำเลยแล้ว จึงเป็นคำสั่งที่เป็นอำนาจหน้าที่ของโจทก์โดยตรงและชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์กระทำไปตามอำนาจในฐานะเป็นคู่สัญญากับจำเลยโดยตรง ส่วนอธิบดีกรมตำรวจมิใช่คู่สัญญากับจำเลย ดังนั้น เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาแสดงเจตนาปลดหนี้ให้จำเลยแล้วหนี้ค่าปรับจำนวน 20,000 บาท จึงระงับสิ้นไป
พิพากษายืน
จำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526 เมื่อมีการหย่ากันแล้วและการหย่าโดยคำพิพากษามีผลแต่เวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1531 วรรคสอง โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าเลี้ยงชีพนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาจำเลยโดยจดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกันรวม 4 คน คนสุดท้องชื่อเด็กหญิงอังคณา ขุนนาแก้ว อายุ14 ปี ระหว่างอยู่กินด้วยกันโจทก์และจำเลยมีสินสมรส คือที่ดินโฉนดเลขที่ 26358 พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ดินโฉนดเลขที่ 31654พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินว่างเปล่าตั้งอยู่ตำบลบางพระอาวุธปืนสั้นรีวอลเวอร์ ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก รถยนต์หมายเลขทะเบียน ม.1452 ชลบุรี จำนวน 1 คัน เงินฝากที่ธนาคารเอเชีย จำกัดสาขาบางพระ จำนวนเงิน 100,000 บาท เมื่อประมาณปลายปี 2529จำเลยจงใจทิ้งร้างโจทก์เกินกว่า 1 ปี ไปให้ความอุปการะเลี้ยงดูยกย่องหญิงอื่นเป็นภริยาและอยู่กินร่วมกันอย่างเปิดเผยไม่ให้ความอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตร และในการที่จำเลยไม่ให้ความอุปการะเลี้ยงดูทำให้โจทก์ต้องยากจนลงเพราะโจทก์ไม่มีรายได้ทางอื่น ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ และจดทะเบียนโอนและแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 26358 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง ถ้าจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาและให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 31654 พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ดินว่างเปล่า อาวุธปืน รถยนต์และเงินฝากธนาคารให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากแบ่งทรัพย์ดังกล่าวให้ไม่ได้ ให้นำทรัพย์ดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นเวลา 6 ปี ให้เด็กหญิงอังคณา ขุนนาแก้ว อยู่ในความปกครองของโจทก์ และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงอังคณาขุนนาแก้ว ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยจงใจทิ้งร้างโจทก์ จำเลยไม่เคยให้ความอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นเป็นภริยา จำเลยอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรเรื่อยมาจนบัดนี้ ทรัพย์สินตามฟ้องเป็นสินส่วนตัวของจำเลย อาวุธปืนตามฟ้องสูญหายไปแล้วและเงินฝากที่ธนาคารมีเพียงประมาณ 80,000 บาท เท่านั้น หากโจทก์และจำเลยหย่ากันก็มิได้ทำให้โจทก์ต้องยากจนลง ค่าเลี้ยงชีพที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยหย่ากับโจทก์ให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 26358 ตำบลบางพระอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินบ้านเลขที่ 139/15 และ ศาลทรงเจ้า ที่ดินโฉนดเลขที่ 31654ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พร้อมบ้านเลขที่ 130/8และให้แบ่งที่ดินมือเปล่า หมู่ที่ 4 ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชาจังหวัดชลบุรี เฉพาะส่วนของจำเลยเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ อาวุธปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .38 เครื่องหมายทะเบียน ชบ.2/1772 ตามใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนหมาย จ.7 รถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียนม-1452 ชลบุรี ตามใบอนุญาตทะเบียนรถหมาย จ.14 เงินฝากที่ธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาบางพระ ตามบัญชีออมทรัพย์หมาย จ.9และ จ.10 ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากตกลงแบ่งกันไม่ได้หรือตามสภาพทรัพย์ไม่อาจแบ่งได้หรือการแบ่งจะทำให้ทรัพย์นั้นเสียหายมาก ก็ให้เอาทรัพย์นั้นออกขายโดยประมูลระหว่างโจทก์กับจำเลยก่อน หากยังขายไม่ได้ให้เอาทรัพย์นั้นออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันคนละครึ่งให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นเวลา 6 ปี และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูนางสาวอังคณาขุนนาแก้ว เดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะให้นางสาวอังคณา ขุนนาแก้ว อยู่ในความปกครอง (ที่ถูกอำนาจปกครอง)ของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับค่าเลี้ยงชีพวินิจฉัยว่า จำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1526 เมื่อมีการหย่ากันแล้ว และการหย่าโดยคำพิพากษามีผลแต่เวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1531 วรรคสอง ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้รับค่าเลี้ยงชีพนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องจึงไม่ถูกต้อง แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาแต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เป็นเวลา6 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526 เมื่อมีการหย่ากันแล้วและการหย่าโดยคำพิพากษามีผลแต่เวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1531 วรรคสอง โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าเลี้ยงชีพนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาจำเลยโดยจดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกันรวม 4 คน คนสุดท้องชื่อเด็กหญิงอังคณา ขุนนาแก้ว อายุ14 ปี ระหว่างอยู่กินด้วยกันโจทก์และจำเลยมีสินสมรส คือที่ดินโฉนดเลขที่ 26358 พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ดินโฉนดเลขที่ 31654พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินว่างเปล่าตั้งอยู่ตำบลบางพระอาวุธปืนสั้นรีวอลเวอร์ ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก รถยนต์หมายเลขทะเบียน ม.1452 ชลบุรี จำนวน 1 คัน เงินฝากที่ธนาคารเอเชีย จำกัดสาขาบางพระ จำนวนเงิน 100,000 บาท เมื่อประมาณปลายปี 2529จำเลยจงใจทิ้งร้างโจทก์เกินกว่า 1 ปี ไปให้ความอุปการะเลี้ยงดูยกย่องหญิงอื่นเป็นภริยาและอยู่กินร่วมกันอย่างเปิดเผยไม่ให้ความอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตร และในการที่จำเลยไม่ให้ความอุปการะเลี้ยงดูทำให้โจทก์ต้องยากจนลงเพราะโจทก์ไม่มีรายได้ทางอื่น ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ และจดทะเบียนโอนและแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 26358 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง ถ้าจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาและให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 31654 พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ดินว่างเปล่า อาวุธปืน รถยนต์และเงินฝากธนาคารให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากแบ่งทรัพย์ดังกล่าวให้ไม่ได้ ให้นำทรัพย์ดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นเวลา 6 ปี ให้เด็กหญิงอังคณา ขุนนาแก้ว อยู่ในความปกครองของโจทก์ และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงอังคณาขุนนาแก้ว ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยจงใจทิ้งร้างโจทก์ จำเลยไม่เคยให้ความอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นเป็นภริยา จำเลยอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรเรื่อยมาจนบัดนี้ ทรัพย์สินตามฟ้องเป็นสินส่วนตัวของจำเลย อาวุธปืนตามฟ้องสูญหายไปแล้วและเงินฝากที่ธนาคารมีเพียงประมาณ 80,000 บาท เท่านั้น หากโจทก์และจำเลยหย่ากันก็มิได้ทำให้โจทก์ต้องยากจนลง ค่าเลี้ยงชีพที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยหย่ากับโจทก์ให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 26358 ตำบลบางพระอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินบ้านเลขที่ 139/15 และ ศาลทรงเจ้า ที่ดินโฉนดเลขที่ 31654ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พร้อมบ้านเลขที่ 130/8และให้แบ่งที่ดินมือเปล่า หมู่ที่ 4 ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชาจังหวัดชลบุรี เฉพาะส่วนของจำเลยเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ อาวุธปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .38 เครื่องหมายทะเบียน ชบ.2/1772 ตามใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนหมาย จ.7 รถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียนม-1452 ชลบุรี ตามใบอนุญาตทะเบียนรถหมาย จ.14 เงินฝากที่ธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาบางพระ ตามบัญชีออมทรัพย์หมาย จ.9และ จ.10 ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากตกลงแบ่งกันไม่ได้หรือตามสภาพทรัพย์ไม่อาจแบ่งได้หรือการแบ่งจะทำให้ทรัพย์นั้นเสียหายมาก ก็ให้เอาทรัพย์นั้นออกขายโดยประมูลระหว่างโจทก์กับจำเลยก่อน หากยังขายไม่ได้ให้เอาทรัพย์นั้นออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันคนละครึ่งให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นเวลา 6 ปี และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูนางสาวอังคณาขุนนาแก้ว เดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะให้นางสาวอังคณา ขุนนาแก้ว อยู่ในความปกครอง (ที่ถูกอำนาจปกครอง)ของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับค่าเลี้ยงชีพวินิจฉัยว่า จำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1526 เมื่อมีการหย่ากันแล้ว และการหย่าโดยคำพิพากษามีผลแต่เวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1531 วรรคสอง ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้รับค่าเลี้ยงชีพนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องจึงไม่ถูกต้อง แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาแต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เป็นเวลา6 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา1526 เมื่อมีการหย่ากันแล้ว และการหย่าโดยคำพิพากษามีผลแต่เวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1531 วรรคสอง โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าเลี้ยงชีพนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด
จำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา1526 เมื่อมีการหย่ากันแล้ว และการหย่าโดยคำพิพากษามีผลแต่เวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1531 วรรคสอง โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าเลี้ยงชีพนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก,277 ทวิ,297, 364,365,80 การกระทำ ของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงลงโทษ ฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราซึ่งเป็นบทหนัก และศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนโดยไม่ได้ระบุว่าลงโทษตามบทมาตราใด เมื่อ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อเนื่องโดยเจตนาแท้จริง เพื่อข่มขืนกระทำชำเราเป็นสำคัญเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยพิพากษาก็เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276วรรคแรก ประกอบมาตรา 80,277 ทวิ(1),297,364,365(3)เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษ ตามมาตรา 276 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80,277 ทวิ(1) ซึ่งเป็น บทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276, 277 ทวิ, 297, 364, 365, 80
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคแรก, 277 ทวิ, 297, 364, 365, 80 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงลงโทษฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว จะได้วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าคำของผู้เสียหายที่ยืนยันว่า จำเลยเป็นผู้ชกต่อยแล้วพยายามข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยก็ยอมรับว่าได้ชกต่อยผู้เสียหายจริงโจทก์ยังมีนางสาวประภาพร รุ่งเพียรเบิกความยืนยันว่าหลังจากได้ยินเสียงผู้เสียหายร้องขอความช่วยเหลือแล้ว พยานชะโงกดูทางระเบียง เห็นมีผู้ชายไม่ได้สวมเสื้อผ้ากำลังปืนจากระเบียงห้องของผู้เสียหายลงไปข้างล่าง สักครู่ได้ยินเสียงเหมือนของตกลงในน้ำ ร้อยตำรวจโทภูมินทร์ มีกุศล พนักงานสอบสวนก็เบิกความยืนยันว่า คืนเกิดเหตุเวลา 4.05 นาฬิกา ผู้เสียหายมาแจ้งว่า มีคนร้ายซึ่งผู้เสียหายจำหน้าได้มาชกต่อยผู้เสียหายพร้อมถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายพยายามจะข่มขืนกระทำชำเราที่จำเลยว่า จำเลยไม่ได้พยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่า เหตุเกิดในเวลากลางคืนประมาณ 3 นาฬิกา และสถานที่เกิดเหตุเป็นห้องนอนของผู้เสียหาย การที่จำเลยแก้ผ้าเข้าไปในห้องนอนอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหาย ย่อมประสงค์ที่จะข่มขืนกระทำชำเรา คำของผู้เสียหายที่ยืนยันว่าได้ร้องขอความช่วยเหลือและยืนยันว่าจำเลยได้ใช้กำลังประทุษร้ายโดยกระทำอะไรบ้างย่อมเป็นถ้อยคำที่เบิกความตามพฤติการณ์ที่จำเลยเป็นผู้กระทำ และลักษณะการกระทำของจำเลยที่เข้าไปชกใบหน้าผู้เสียหายโดยใช้เข่ายันเตียงนอนก็อยู่ในวิสัยที่กระทำชำเราผู้เสียหายได้แล้ว การที่จำเลยยอมรับผิดเฉพาะในข้อหาบุกรุกและยอมใช้ค่าเสียหาย 50,000 บาท เป็นเช็ค แต่ผู้เสียหายต้องการให้จำเลยรับโทษตามกฎหมาย ทำให้เหตุผลตามที่จำเลยนำสืบไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังหักล้างถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตามคำของผู้เสียหายได้ ที่จำเลยฎีกาว่า ถูกผู้เสียหายปรักปรำและผู้เสียหายไม่ได้รับอันตรายสาหัสฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องแล้วลงโทษจำคุกขั้นต่ำตามมาตรา 277 ทวิ นั้น นับว่าปรานีแล้วการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อเนื่องโดยเจตนาแท้จริงเพื่อข่มขืนกระทำชำเราเป็นสำคัญเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลอุทธรณ์ไม่ได้ระบุว่าลงโทษตามบทมาตราใด ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80, 277 ทวิ(1), 297, 364, 365(3) เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 276 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80, 277 ทวิ(1)ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก,277 ทวิ,297, 364,365,80 การกระทำ ของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงลงโทษ ฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราซึ่งเป็นบทหนัก และศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนโดยไม่ได้ระบุว่าลงโทษตามบทมาตราใด เมื่อ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อเนื่องโดยเจตนาแท้จริง เพื่อข่มขืนกระทำชำเราเป็นสำคัญเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยพิพากษาก็เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276วรรคแรก ประกอบมาตรา 80,277 ทวิ(1),297,364,365(3)เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษ ตามมาตรา 276 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80,277 ทวิ(1) ซึ่งเป็น บทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276, 277 ทวิ, 297, 364, 365, 80
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคแรก, 277 ทวิ, 297, 364, 365, 80 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงลงโทษฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว จะได้วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าคำของผู้เสียหายที่ยืนยันว่า จำเลยเป็นผู้ชกต่อยแล้วพยายามข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยก็ยอมรับว่าได้ชกต่อยผู้เสียหายจริงโจทก์ยังมีนางสาวประภาพร รุ่งเพียรเบิกความยืนยันว่าหลังจากได้ยินเสียงผู้เสียหายร้องขอความช่วยเหลือแล้ว พยานชะโงกดูทางระเบียง เห็นมีผู้ชายไม่ได้สวมเสื้อผ้ากำลังปืนจากระเบียงห้องของผู้เสียหายลงไปข้างล่าง สักครู่ได้ยินเสียงเหมือนของตกลงในน้ำ ร้อยตำรวจโทภูมินทร์ มีกุศล พนักงานสอบสวนก็เบิกความยืนยันว่า คืนเกิดเหตุเวลา 4.05 นาฬิกา ผู้เสียหายมาแจ้งว่า มีคนร้ายซึ่งผู้เสียหายจำหน้าได้มาชกต่อยผู้เสียหายพร้อมถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายพยายามจะข่มขืนกระทำชำเราที่จำเลยว่า จำเลยไม่ได้พยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่า เหตุเกิดในเวลากลางคืนประมาณ 3 นาฬิกา และสถานที่เกิดเหตุเป็นห้องนอนของผู้เสียหาย การที่จำเลยแก้ผ้าเข้าไปในห้องนอนอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหาย ย่อมประสงค์ที่จะข่มขืนกระทำชำเรา คำของผู้เสียหายที่ยืนยันว่าได้ร้องขอความช่วยเหลือและยืนยันว่าจำเลยได้ใช้กำลังประทุษร้ายโดยกระทำอะไรบ้างย่อมเป็นถ้อยคำที่เบิกความตามพฤติการณ์ที่จำเลยเป็นผู้กระทำ และลักษณะการกระทำของจำเลยที่เข้าไปชกใบหน้าผู้เสียหายโดยใช้เข่ายันเตียงนอนก็อยู่ในวิสัยที่กระทำชำเราผู้เสียหายได้แล้ว การที่จำเลยยอมรับผิดเฉพาะในข้อหาบุกรุกและยอมใช้ค่าเสียหาย 50,000 บาท เป็นเช็ค แต่ผู้เสียหายต้องการให้จำเลยรับโทษตามกฎหมาย ทำให้เหตุผลตามที่จำเลยนำสืบไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังหักล้างถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตามคำของผู้เสียหายได้ ที่จำเลยฎีกาว่า ถูกผู้เสียหายปรักปรำและผู้เสียหายไม่ได้รับอันตรายสาหัสฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องแล้วลงโทษจำคุกขั้นต่ำตามมาตรา 277 ทวิ นั้น นับว่าปรานีแล้วการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อเนื่องโดยเจตนาแท้จริงเพื่อข่มขืนกระทำชำเราเป็นสำคัญเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลอุทธรณ์ไม่ได้ระบุว่าลงโทษตามบทมาตราใด ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80, 277 ทวิ(1), 297, 364, 365(3) เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 276 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80, 277 ทวิ(1)ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|