ผู้อยู่ในเคหะกับผู้เช่าในฐานะผู้อาศัยนั้น แม้จะได้เคยออกเงินเสียค่าเช่าบ้างหรือ ได้เสียภาษีการค้าในนามของตน ก็หาทำให้เปลี่ยนสภาพเป็นผู้เช่าช่วงไม่
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกห้องเช่า ซึ่งโจทก์เป็นผู้เช่ามา และให้จำเลยอาศัย จำเลย+เช่าช่วง ยังไม่ได้รับคำบอกกล่าวเลิกสัญญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยมีผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณารับรองข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์มีพะยานสืบฟังได้ว่า จำเลยได้เข้ามาอยู่ในฐานผู้อาศัย แม้จำเลยจะได้เคยออกเงินเสียค่าเช่าบ้างหรือ ได้เสียภาษีการค้าในนามจำเลย ก็ไม่เป็นเหตุผลที่ให้ถือว่าจำเลยเป็นผู้เช่าช่วง จึงพิพากษายืน
ผู้อยู่ในเคหะกับผู้เช่าในฐานะผู้อาศัยนั้น แม้จะได้เคยออกเงินเสียค่าเช่าบ้างหรือ ได้เสียภาษีการค้าในนามของตน ก็หาทำให้เปลี่ยนสภาพเป็นผู้เช่าช่วงไม่
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกห้องเช่า ซึ่งโจทก์เป็นผู้เช่ามา และให้จำเลยอาศัย จำเลย+เช่าช่วง ยังไม่ได้รับคำบอกกล่าวเลิกสัญญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยมีผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณารับรองข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์มีพะยานสืบฟังได้ว่า จำเลยได้เข้ามาอยู่ในฐานผู้อาศัย แม้จำเลยจะได้เคยออกเงินเสียค่าเช่าบ้างหรือ ได้เสียภาษีการค้าในนามจำเลย ก็ไม่เป็นเหตุผลที่ให้ถือว่าจำเลยเป็นผู้เช่าช่วง จึงพิพากษายืน
ซื้อที่นามือเปล่ามาครอบครอง 7-8 ปีแล้ว ภายหลังขายคืนให้เจ้าของเดิม ดังนี้ ถือว่าสละสิทธิในที่นานั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1377 แม้การขายคืนจะทำไม่ถูกแบบก็ฟ้องเรียกคืนจากเจ้าของเดิมไม่ได้
โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ 7-8 ปีแล้วบัดนี้จำเลยที่ 1,2, 3 ได้สมคบกันขู่เข็ญและหลอกลวงให้โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 ไถ่นารายพิพาทโจทก์มีความกลัว และหลงเชื่อจึงได้ออกใบรับเงินฉบับหนึ่งโดยจำเลยมอบเงินให้โจทก์ 300 บาท แล้วจำเลยฉีกสัญญาซื้อขายนาพิพาทเสีย จึงขอให้ศาลสั่งทำลายใบรับเงินแสดงการยอมที่ทำขึ้นโดยถูกขู่เข็ญและหลอกลวงและให้จำเลยที่ 1รับเงิน 300 บาทคืนไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า แม้จะฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้ขายนาพิพาทให้แก่นางหลวงแล้วก็ดี แต่คดีได้ความต่อมาว่า นางหลวงได้ยอมทำสัญญาไถ่(หรือขายคืน) แก่จำเลยที่ 1โดยรับเงิน 300 บาท ถือได้ว่า นางหลวงยอมสละสิทธิในที่นานั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 และทางพิจารณาไม่พอฟังว่าในการทำสัญญานี้ จำเลยที่ 1 ได้หลอกลวงนางหลวงแต่อย่างใด นางหลวงจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืนได้จึงพิพากษายืน
ซื้อที่นามือเปล่ามาครอบครอง 7-8 ปีแล้ว ภายหลังขายคืนให้เจ้าของเดิม ดังนี้ ถือว่าสละสิทธิในที่นานั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1377 แม้การขายคืนจะทำไม่ถูกแบบก็ฟ้องเรียกคืนจากเจ้าของเดิมไม่ได้
โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ 7-8 ปีแล้วบัดนี้จำเลยที่ 1,2, 3 ได้สมคบกันขู่เข็ญและหลอกลวงให้โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 ไถ่นารายพิพาทโจทก์มีความกลัว และหลงเชื่อจึงได้ออกใบรับเงินฉบับหนึ่งโดยจำเลยมอบเงินให้โจทก์ 300 บาท แล้วจำเลยฉีกสัญญาซื้อขายนาพิพาทเสีย จึงขอให้ศาลสั่งทำลายใบรับเงินแสดงการยอมที่ทำขึ้นโดยถูกขู่เข็ญและหลอกลวงและให้จำเลยที่ 1รับเงิน 300 บาทคืนไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า แม้จะฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้ขายนาพิพาทให้แก่นางหลวงแล้วก็ดี แต่คดีได้ความต่อมาว่า นางหลวงได้ยอมทำสัญญาไถ่(หรือขายคืน) แก่จำเลยที่ 1โดยรับเงิน 300 บาท ถือได้ว่า นางหลวงยอมสละสิทธิในที่นานั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 และทางพิจารณาไม่พอฟังว่าในการทำสัญญานี้ จำเลยที่ 1 ได้หลอกลวงนางหลวงแต่อย่างใด นางหลวงจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืนได้จึงพิพากษายืน
ซื้อที่นามือเปล่ามาครอบครอง 7-8 ปีแล้ว ภายหลังขายคืนให้เจ้าของเดิม ดังนี้ ถือว่าสละสิทธิในที่นานั้นตาม ป.พ.พ.มาตรา 1377 แม้การขายคืนจะทำไม่ถูกแบบ ก็ฟ้องเรียกคืนจากเจ้าของเดิมไม่ได้
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ได้ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ ๗-๘ ปีแล้ว บัดนี้จำเลยที่ ๑-๒-๓ ได้สมคบกันขู่เข็ญ และหลอกลวงให้โจทก์ยอมให้จำเลยที่ ๑ ไถ่นารายพิพาท โจทก์มีความกลัว และหลงเชื่อจึงได้ออกใบรับเงินฉบับหนึ่งโดยจำเลยมอบเงินให้โจทก์ ๓๐๐ บาท แล้วจำเลยฉีกสัญญาซื้อขายนาพิพาทเสีย จึงขอให้ศาลสั่งทำลายใบรับเงินแสดงการยอมที่ทำขึ้นโดยขู่เข็ญและหลอกลวง และให้จำเลยที่ ๑ รับเงิน ๓๐๐ บาทคืนไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะฟังว่าจำเลยที่ ๑ ได้ขายนาพิพาทให้แก่นางหลวงแล้วก็ดี แต่คดีได้ความต่อมาว่า นางหลวงได้ยอมทำสัญญาไถ่ (หรือขายคืน) แก่จำเลยที่ ๑ โดยรับเงิน ๓๐๐ บาท ถือได้ว่า นางหลวง ยอมสละสิทธิในที่นานั้นตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๓๗๗ และทางพิจารณาไม่พอฟังว่าในการทำสัญญานี้ จำเลยที่ ๑ ได้หลอกลวงนางหลวงแต่อย่างใด นางหลวงจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืนได้ จึงพิพากษายืน
ซื้อที่นามือเปล่ามาครอบครอง 7-8 ปีแล้ว ภายหลังขายคืนให้เจ้าของเดิม ดังนี้ ถือว่าสละสิทธิในที่นานั้นตาม ป.พ.พ.มาตรา 1377 แม้การขายคืนจะทำไม่ถูกแบบ ก็ฟ้องเรียกคืนจากเจ้าของเดิมไม่ได้
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ได้ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ ๗-๘ ปีแล้ว บัดนี้จำเลยที่ ๑-๒-๓ ได้สมคบกันขู่เข็ญ และหลอกลวงให้โจทก์ยอมให้จำเลยที่ ๑ ไถ่นารายพิพาท โจทก์มีความกลัว และหลงเชื่อจึงได้ออกใบรับเงินฉบับหนึ่งโดยจำเลยมอบเงินให้โจทก์ ๓๐๐ บาท แล้วจำเลยฉีกสัญญาซื้อขายนาพิพาทเสีย จึงขอให้ศาลสั่งทำลายใบรับเงินแสดงการยอมที่ทำขึ้นโดยขู่เข็ญและหลอกลวง และให้จำเลยที่ ๑ รับเงิน ๓๐๐ บาทคืนไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะฟังว่าจำเลยที่ ๑ ได้ขายนาพิพาทให้แก่นางหลวงแล้วก็ดี แต่คดีได้ความต่อมาว่า นางหลวงได้ยอมทำสัญญาไถ่ (หรือขายคืน) แก่จำเลยที่ ๑ โดยรับเงิน ๓๐๐ บาท ถือได้ว่า นางหลวง ยอมสละสิทธิในที่นานั้นตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๓๗๗ และทางพิจารณาไม่พอฟังว่าในการทำสัญญานี้ จำเลยที่ ๑ ได้หลอกลวงนางหลวงแต่อย่างใด นางหลวงจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืนได้ จึงพิพากษายืน
ศาลพิพากษายกฟ้องคดีที่เจ้าทุกข์เป็นโจทก์ โดยวินิจฉัยว่า การกระทำตามฟ้องไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์ ถือว่าเป็นการยกฟ้องตามมาตรา 185 เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว อัยการจะมาฟ้องจำเลยฐานยักยอกในเรื่องเดียวกันนั้นอีกไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 39(4)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์
ก่อนพิจารณา คู่ความรับกันว่า เรื่องนี้เจ้าทุกข์ได้เคยฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแดงที่ 570/2488 ศาลพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลแขวงพระนครเหนือจึงสั่งงดสืบพยาน แล้วพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าสิทธิฟ้องร้องของโจทก์ย่อมระงับไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีแดงที่ 570/2488 นั้นศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าการกระทำตามฟ้องไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง และยักยอกทรัพย์ เป็นการยกฟ้องตามมาตรา 185 เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วสิทธิฟ้องร้องก็ระงับไปตามมาตรา 39(4) จึงพิพากษายืน
ศาลพิพากษายกฟ้องคดีที่เจ้าทุกข์เป็นโจทก์ โดยวินิจฉัยว่า การกระทำตามฟ้องไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์ ถือว่าเป็นการยกฟ้องตามมาตรา 185 เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว อัยการจะมาฟ้องจำเลยฐานยักยอกในเรื่องเดียวกันนั้นอีกไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 39(4)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์
ก่อนพิจารณา คู่ความรับกันว่า เรื่องนี้เจ้าทุกข์ได้เคยฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแดงที่ 570/2488 ศาลพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลแขวงพระนครเหนือจึงสั่งงดสืบพยาน แล้วพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าสิทธิฟ้องร้องของโจทก์ย่อมระงับไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีแดงที่ 570/2488 นั้นศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าการกระทำตามฟ้องไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง และยักยอกทรัพย์ เป็นการยกฟ้องตามมาตรา 185 เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วสิทธิฟ้องร้องก็ระงับไปตามมาตรา 39(4) จึงพิพากษายืน
ศาลพิพากษายกฟ้องคดีที่เจ้าทุกข์เป็นโจทก์ โดยวินิจฉัยว่า การกระทำตามฟ้องไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์ ถือว่าเป็นการยกฟ้องตามมาตรา 185 เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว อัยยการจะมาฟ้องจำเลยฐานยักยอกในเรื่องเดียวกันนั้นอีกไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 39(4)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ก่อนพิจารณา คู่ความรับกันว่า เรื่องนี้เจ้าทุกข์ได้เคยฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแดงที่ ๕๗๐/๒๔๘๘ ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว ศาลแขวงพระนครเหนือจึงสั่งงดสืบพะยาน แล้วพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า สิทธิฟ้องร้องของโจทก์ย่อมระงับไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีแดงที่ ๕๗๐/๒๔๘๘ นั้น ศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า การกระทำตามฟ้องไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง และยักยอกทรัพย์ เป็นการยกฟ้องตามมาตรา ๑๘๕ เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธิฟ้องร้องก็ระงับไปตามมาตรา ๓๙(๔) จึงพิพากษายืน
ศาลพิพากษายกฟ้องคดีที่เจ้าทุกข์เป็นโจทก์ โดยวินิจฉัยว่า การกระทำตามฟ้องไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์ ถือว่าเป็นการยกฟ้องตามมาตรา 185 เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว อัยยการจะมาฟ้องจำเลยฐานยักยอกในเรื่องเดียวกันนั้นอีกไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 39(4)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ก่อนพิจารณา คู่ความรับกันว่า เรื่องนี้เจ้าทุกข์ได้เคยฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแดงที่ ๕๗๐/๒๔๘๘ ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว ศาลแขวงพระนครเหนือจึงสั่งงดสืบพะยาน แล้วพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า สิทธิฟ้องร้องของโจทก์ย่อมระงับไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีแดงที่ ๕๗๐/๒๔๘๘ นั้น ศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า การกระทำตามฟ้องไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง และยักยอกทรัพย์ เป็นการยกฟ้องตามมาตรา ๑๘๕ เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธิฟ้องร้องก็ระงับไปตามมาตรา ๓๙(๔) จึงพิพากษายืน
ผู้ให้เช่าทรัพย์สินไม่จำต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์ที่ให้เช่า
ผู้เช่าทรัพย์ได้เข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าและได้เคยชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่า ภายหลังจะเถียงผู้ให้เช่าไม่มีสิทธิให้เช่าไม่ได้
เช่าโรงสีไฟกันเองตามลำพังในระหว่างที่มีคำสั่งกองทัพสนามห้ามโอนหรือให้เช่าซึ่งโรงงานอุตสาหกรรมก่อนได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์นั้นยังไม่เป็นเหตุที่จะทำให้สัญญาเช่าตกเป็นโมฆะ ผู้ให้เช่ามีสิทธิฟ้องเรียกค่าเช่าจากผู้เช่าได้
โจทก์จำเลยได้ออกเงินคนละครึ่งซื้อโรงสีไฟจากผู้มีชื่อผู้ขายได้มอบโรงสีไฟให้โจทก์ จำเลยเข้าครอบครองตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แต่ยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องผู้ขายบังคับให้ทำการโอนแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยเช่าโรงสีไฟดังกล่าวคิดค่าเช่าเดือนละ 550 บาท บัดนี้จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่าและฟ้องเรียกค่าเช่าค่าเสียหายและให้จำเลยส่งมอบโรงสีไฟตามส่วน หรือประมูลขายทอดตลาด
จำเลยตัดฟ้องว่า โจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในโรงสีนี้ จึงไม่มีสิทธิ จะให้เช่าได้และสัญญาเช่าได้ทำเมื่อระหว่างที่มีคำสั่งกองทัพสนามที่ 76/2485 ห้ามโอนหรือให้เช่าซึ่งโรงงานอุตสาหกรรมก่อนได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิช การทำสัญญาเช่านี้ไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้น เห็นว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องตามสัญญาเช่าได้ ให้ดำเนินคดีในข้อเรียกค่าเช่าอย่างเดียว
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ชี้ขาดว่าสัญญาเช่าไม่เป็นโมฆะ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำสั่งกองทัพสนามไม่ได้ห้ามการเช่า เป็นแต่ห้ามมิให้เช่าโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น สัญญาเช่าจึงไม่เป็นโมฆะ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การเช่าทรัพย์นั้นไม่มีบทกฎหมายบัญญัติว่าผู้ให้เช่าจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์ที่ให้เช่าเรื่องนี้ จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาเช่าโรงสีไฟกับโจทก์ และจำเลยได้เข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าและได้เคยชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยจะเถียงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิให้เช่าไม่ได้ ส่วนคำสั่งกองทัพสนามที่จำเลยอ้างมานั้นเห็นว่าไม่เป็นเหตุที่จะทำให้สัญญาเช่าตกเป็นโมฆะ จึงพิพากษายืน
ผู้ให้เช่าทรัพย์สินไม่จำต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์ที่ให้เช่า
ผู้เช่าทรัพย์ได้เข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าและได้เคยชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่า ภายหลังจะเถียงผู้ให้เช่าไม่มีสิทธิให้เช่าไม่ได้
เช่าโรงสีไฟกันเองตามลำพังในระหว่างที่มีคำสั่งกองทัพสนามห้ามโอนหรือให้เช่าซึ่งโรงงานอุตสาหกรรมก่อนได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์นั้นยังไม่เป็นเหตุที่จะทำให้สัญญาเช่าตกเป็นโมฆะ ผู้ให้เช่ามีสิทธิฟ้องเรียกค่าเช่าจากผู้เช่าได้
โจทก์จำเลยได้ออกเงินคนละครึ่งซื้อโรงสีไฟจากผู้มีชื่อผู้ขายได้มอบโรงสีไฟให้โจทก์ จำเลยเข้าครอบครองตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แต่ยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องผู้ขายบังคับให้ทำการโอนแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยเช่าโรงสีไฟดังกล่าวคิดค่าเช่าเดือนละ 550 บาท บัดนี้จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่าและฟ้องเรียกค่าเช่าค่าเสียหายและให้จำเลยส่งมอบโรงสีไฟตามส่วน หรือประมูลขายทอดตลาด
จำเลยตัดฟ้องว่า โจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในโรงสีนี้ จึงไม่มีสิทธิ จะให้เช่าได้และสัญญาเช่าได้ทำเมื่อระหว่างที่มีคำสั่งกองทัพสนามที่ 76/2485 ห้ามโอนหรือให้เช่าซึ่งโรงงานอุตสาหกรรมก่อนได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิช การทำสัญญาเช่านี้ไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้น เห็นว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องตามสัญญาเช่าได้ ให้ดำเนินคดีในข้อเรียกค่าเช่าอย่างเดียว
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ชี้ขาดว่าสัญญาเช่าไม่เป็นโมฆะ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำสั่งกองทัพสนามไม่ได้ห้ามการเช่า เป็นแต่ห้ามมิให้เช่าโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น สัญญาเช่าจึงไม่เป็นโมฆะ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การเช่าทรัพย์นั้นไม่มีบทกฎหมายบัญญัติว่าผู้ให้เช่าจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์ที่ให้เช่าเรื่องนี้ จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาเช่าโรงสีไฟกับโจทก์ และจำเลยได้เข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าและได้เคยชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยจะเถียงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิให้เช่าไม่ได้ ส่วนคำสั่งกองทัพสนามที่จำเลยอ้างมานั้นเห็นว่าไม่เป็นเหตุที่จะทำให้สัญญาเช่าตกเป็นโมฆะ จึงพิพากษายืน
ผู้ให้เช่าทรัพย์สินไม่จำต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิแห่งทรัพย์ที่ให้เช่า
ผู้เช่าทรัพย์ได้เข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าและได้เคยชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่า ภายหลังจะเถียงผู้ให้เช่าไม่มีสิทธิให้เช่าไม่ได้
เช่าโรงสีไฟกันเองตามลำพัง ในระหว่างที่มีคำสั่งกองทัพสนาม ห้ามโอนหรือให้เช่าซึ่งโรงงานอุตสาหกรรมก่อนได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชญ์นั้น ยังไม่เป็นเหตุที่จะทำให้สัญญาเช่าตกเป็นโมฆะ ผู้ให้เช่ามีสิทธิฟ้องเรียกค่าเช่าจากผู้เช่าได้
โจทก์จำเลยได้ออกเงินคนละครึ่งซื้อโรงสีไฟจากผู้มีชื่อ ผู้ขายได้มอบโรงสีไฟให้โจทก์ จำเลยเข้าครอบครองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นมา แต่ยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องผู้ขายบังคับให้ทำการโอนแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยเช่าโรงสีไฟดังกล่าวคิดค่าเช่าเดือนละ ๕๕๐ บาท บัดนี้จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่า และฟ้องเรียกค่าเช่าค่าเสียหายและให้จำเลยส่งมอบโรงสีไฟตามส่วน หรือ ประมูลขายทอดตลาด
จำเลยตัดฟ้องว่า โจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิในโรงสีนี้ จึงไม่มีสิทธิจะให้เช่าได้ และสัญญาเช่าได้ทำเมื่อระหว่างที่มีคำสั่งกองทัพสนามที่ ๗๖/๒๔๘๕ ห้ามโอนหรือให้เช่าซึ่งโรงงานอุตสาหกรรมก่อนได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิช การทำสัญญาเช่านี้ไม่ได้รับอนุญาติ จึงเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องตามสัญญาเช่าได้ ให้ดำเนินคดีในข้อเรียกค่าเช่าอย่างเดียว
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นว่าสัญญาเช่าไม่เป็นโมฆะ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำสั่งกองทัพสนามไม่ได้ห้ามการเช่า เป็นแต่ห้ามมิให้เช่าโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น สัญญาเช่าจึงไม่เป็นโมฆะ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การเช่าทรัพย์นั้นไม่มีบนกฎหมายบัญญัติว่า ผู้ให้เช่าจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิแห่งทรัพย์ที่ให้เช่า เรื่องนี้จำเลยได้รับว่า ได้ทำสัญญาเช่าโรงสีไฟกับโจทก์ และจำเลยได้เข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่า และได้เคยชำระค่าเช่าให้โจทก์แล้ว จำเลยจะเถียงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิให้เช่าไม่ได้ ส่วนคำสั่งกองทัพสนามที่จำเลยอ้างมานั้นเห็นว่า ไม่เป็นเหตุที่จะทำให้สัญญาเช่าตกเป็นโมฆะ จึงพิพากษายืน
ผู้ให้เช่าทรัพย์สินไม่จำต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิแห่งทรัพย์ที่ให้เช่า
ผู้เช่าทรัพย์ได้เข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าและได้เคยชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่า ภายหลังจะเถียงผู้ให้เช่าไม่มีสิทธิให้เช่าไม่ได้
เช่าโรงสีไฟกันเองตามลำพัง ในระหว่างที่มีคำสั่งกองทัพสนาม ห้ามโอนหรือให้เช่าซึ่งโรงงานอุตสาหกรรมก่อนได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชญ์นั้น ยังไม่เป็นเหตุที่จะทำให้สัญญาเช่าตกเป็นโมฆะ ผู้ให้เช่ามีสิทธิฟ้องเรียกค่าเช่าจากผู้เช่าได้
โจทก์จำเลยได้ออกเงินคนละครึ่งซื้อโรงสีไฟจากผู้มีชื่อ ผู้ขายได้มอบโรงสีไฟให้โจทก์ จำเลยเข้าครอบครองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นมา แต่ยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องผู้ขายบังคับให้ทำการโอนแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยเช่าโรงสีไฟดังกล่าวคิดค่าเช่าเดือนละ ๕๕๐ บาท บัดนี้จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่า และฟ้องเรียกค่าเช่าค่าเสียหายและให้จำเลยส่งมอบโรงสีไฟตามส่วน หรือ ประมูลขายทอดตลาด
จำเลยตัดฟ้องว่า โจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิในโรงสีนี้ จึงไม่มีสิทธิจะให้เช่าได้ และสัญญาเช่าได้ทำเมื่อระหว่างที่มีคำสั่งกองทัพสนามที่ ๗๖/๒๔๘๕ ห้ามโอนหรือให้เช่าซึ่งโรงงานอุตสาหกรรมก่อนได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิช การทำสัญญาเช่านี้ไม่ได้รับอนุญาติ จึงเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องตามสัญญาเช่าได้ ให้ดำเนินคดีในข้อเรียกค่าเช่าอย่างเดียว
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นว่าสัญญาเช่าไม่เป็นโมฆะ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำสั่งกองทัพสนามไม่ได้ห้ามการเช่า เป็นแต่ห้ามมิให้เช่าโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น สัญญาเช่าจึงไม่เป็นโมฆะ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การเช่าทรัพย์นั้นไม่มีบนกฎหมายบัญญัติว่า ผู้ให้เช่าจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิแห่งทรัพย์ที่ให้เช่า เรื่องนี้จำเลยได้รับว่า ได้ทำสัญญาเช่าโรงสีไฟกับโจทก์ และจำเลยได้เข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่า และได้เคยชำระค่าเช่าให้โจทก์แล้ว จำเลยจะเถียงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิให้เช่าไม่ได้ ส่วนคำสั่งกองทัพสนามที่จำเลยอ้างมานั้นเห็นว่า ไม่เป็นเหตุที่จะทำให้สัญญาเช่าตกเป็นโมฆะ จึงพิพากษายืน
ที่ดินมีมะพร้าว 4-5 ต้นนอกนั้นเป็นป่า ถือว่ายังไม่มีสภาพเป็นที่สวน
เอาเงินเขามา แล้วทำหนังสือมอบที่ดินมือเปล่าให้เขาปกครองเป็นเจ้าของ ถือว่าได้สละเจตนาครอบครองแล้วการครอบครองของเจ้าของเดิมย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1377 วรรคต้น
โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทหมาย ก.ข. เป็นของบิดาโจทก์ บิดาโจทก์กู้เงินจำเลย 30 บาท มอบที่หมาย ก. ให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยบิดาโจทก์ตาย จำเลยได้เข้าปกครองที่หมาย ข. ไว้แทนโจทก์และพี่น้องของโจทก์ บัดนี้โจทก์ขอไถ่และคืนที่ จำเลยไม่ยอม จึงต้องฟ้องขอให้ศาลบังคับ
จำเลยต่อสู้ว่า ที่หมาย ก.ข. เป็นที่แปลงเดียวกันบิดาโจทก์เอาเงินจำเลยไป 60 บาท มอบที่ดินรายนี้ให้จำเลย ๆ ปกครองมาหลายปีได้สิทธิแล้ว เพราะที่ดินมีมะพร้าว 4-5 ต้น นอกนั้นเป็นป่ายังไม่มีสภาพเป็นที่สวน
ศาลชั้นต้นฟังว่า บิดาโจทก์สละการครอบครองให้จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยคืนที่แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทมีมะพร้าว 4-5 ต้นนอกนั้นเป็นป่า จึงยังไม่มีสภาพเป็นสวน บิดาโจทก์คงมีสิทธิครอบครองไม่ใช่มีกรรมสิทธิ์ เมื่อสละการครอบครองให้จำเลยแล้วการครอบครองของบิดาโจทก์ก็ย่อมสิ้นสุดลง แม้หนังสือมอบกรรมสิทธิ์(ความจริงเป็นแต่สิทธิครอบครอง) จะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งตกเป็นโมฆะก็ดี จำเลยก็ได้เข้าครอบครองที่พิพาทเด็ดขาดมาหลายปีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิขอไถ่ จึงพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น
ที่ดินมีมะพร้าว 4-5 ต้นนอกนั้นเป็นป่า ถือว่ายังไม่มีสภาพเป็นที่สวน
เอาเงินเขามา แล้วทำหนังสือมอบที่ดินมือเปล่าให้เขาปกครองเป็นเจ้าของ ถือว่าได้สละเจตนาครอบครองแล้วการครอบครองของเจ้าของเดิมย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1377 วรรคต้น
โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทหมาย ก.ข. เป็นของบิดาโจทก์ บิดาโจทก์กู้เงินจำเลย 30 บาท มอบที่หมาย ก. ให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยบิดาโจทก์ตาย จำเลยได้เข้าปกครองที่หมาย ข. ไว้แทนโจทก์และพี่น้องของโจทก์ บัดนี้โจทก์ขอไถ่และคืนที่ จำเลยไม่ยอม จึงต้องฟ้องขอให้ศาลบังคับ
จำเลยต่อสู้ว่า ที่หมาย ก.ข. เป็นที่แปลงเดียวกันบิดาโจทก์เอาเงินจำเลยไป 60 บาท มอบที่ดินรายนี้ให้จำเลย ๆ ปกครองมาหลายปีได้สิทธิแล้ว เพราะที่ดินมีมะพร้าว 4-5 ต้น นอกนั้นเป็นป่ายังไม่มีสภาพเป็นที่สวน
ศาลชั้นต้นฟังว่า บิดาโจทก์สละการครอบครองให้จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยคืนที่แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทมีมะพร้าว 4-5 ต้นนอกนั้นเป็นป่า จึงยังไม่มีสภาพเป็นสวน บิดาโจทก์คงมีสิทธิครอบครองไม่ใช่มีกรรมสิทธิ์ เมื่อสละการครอบครองให้จำเลยแล้วการครอบครองของบิดาโจทก์ก็ย่อมสิ้นสุดลง แม้หนังสือมอบกรรมสิทธิ์(ความจริงเป็นแต่สิทธิครอบครอง) จะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งตกเป็นโมฆะก็ดี จำเลยก็ได้เข้าครอบครองที่พิพาทเด็ดขาดมาหลายปีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิขอไถ่ จึงพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น
ที่ดินมีมะพร้าว 4-5 ต้น นอกนั้นเป็นป่า ถือว่ายังไม่มีสภาพเป็นที่สวน
เอาเงินเขามาแล้วทำหนังสือมอบที่ดินมือเปล่าให้เขาปกครองเป็นเจ้าของ ถือว่าได้สละเจตนาครอบครองแล้ว การครอบครองของเจ้าของเดิมย่อมสิ้นสุดลงตาม ป.พ.พ.มาตรา 1377 วรรคต้น
โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทหมาย ก.ข. เป็นของบิดาโจทก์ บิดาโจทก์กู้เงินจำเลย ๓๐ บาท มอบที่หมาย ก. ให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย บิดาโจทก์ตาย จำเลยได้เข้าปกครองที่หมาย ข. ไว้แทนโจทก์และพี่น้องโจทก์ บัดนี้โจทก์ขอไถ่และคืนที่ จำเลยไม่ยอม จึงต้องฟ้องขอให้ศาลบังคับ
จำเลยต่อสู้ว่า ที่หมาย ก.ข. เป็นที่แปลงเดียวกัน บิดาโจทก์เอาเงินจำเลยไป ๖๐ บาท มอบที่ดินรายนี้ให้จำเลย ๆ ปกครองมาหลายปีได้สิทธิแล้ว เพราะที่ดินมีมะพร้าว ๔-๕ ต้น นอกนั้นเป็นป่า ยังไม่มีสภาพเป็นที่สวน
ศาลชั้นต้นฟังว่า บิดาโจทก์สละการครอบครองให้จำเลยแล้ว พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยคืนที่แกโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทมีมะพร้าว ๔-๕ ต้น นอกนั้นเป็นป่า จึงยังไม่มีสภาพเป็นสวน บิดาโจทก์คงมีสิทธิครอบครอง ไม่ใช่มีกรรมสิทธิ เมื่อสละการครอบครองให้จำเลยแล้ว การครอบครองของบิดาโจทก์ก็ย่อมสิ้นสุดลง แม้หนังสือมอบกรรมสิทธิ์ (ความจริงเป็นแต่สิทธิครอบครอง) จะมิ-ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งตกเป็นโมฆะก็ดี จำเลยก็ได้เข้าครอบครองที่พิพาทเด็ดขาดมาหลายปีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิขอไถ่ จึงพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น
ที่ดินมีมะพร้าว 4-5 ต้น นอกนั้นเป็นป่า ถือว่ายังไม่มีสภาพเป็นที่สวน
เอาเงินเขามาแล้วทำหนังสือมอบที่ดินมือเปล่าให้เขาปกครองเป็นเจ้าของ ถือว่าได้สละเจตนาครอบครองแล้ว การครอบครองของเจ้าของเดิมย่อมสิ้นสุดลงตาม ป.พ.พ.มาตรา 1377 วรรคต้น
โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทหมาย ก.ข. เป็นของบิดาโจทก์ บิดาโจทก์กู้เงินจำเลย ๓๐ บาท มอบที่หมาย ก. ให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย บิดาโจทก์ตาย จำเลยได้เข้าปกครองที่หมาย ข. ไว้แทนโจทก์และพี่น้องโจทก์ บัดนี้โจทก์ขอไถ่และคืนที่ จำเลยไม่ยอม จึงต้องฟ้องขอให้ศาลบังคับ
จำเลยต่อสู้ว่า ที่หมาย ก.ข. เป็นที่แปลงเดียวกัน บิดาโจทก์เอาเงินจำเลยไป ๖๐ บาท มอบที่ดินรายนี้ให้จำเลย ๆ ปกครองมาหลายปีได้สิทธิแล้ว เพราะที่ดินมีมะพร้าว ๔-๕ ต้น นอกนั้นเป็นป่า ยังไม่มีสภาพเป็นที่สวน
ศาลชั้นต้นฟังว่า บิดาโจทก์สละการครอบครองให้จำเลยแล้ว พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยคืนที่แกโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทมีมะพร้าว ๔-๕ ต้น นอกนั้นเป็นป่า จึงยังไม่มีสภาพเป็นสวน บิดาโจทก์คงมีสิทธิครอบครอง ไม่ใช่มีกรรมสิทธิ เมื่อสละการครอบครองให้จำเลยแล้ว การครอบครองของบิดาโจทก์ก็ย่อมสิ้นสุดลง แม้หนังสือมอบกรรมสิทธิ์ (ความจริงเป็นแต่สิทธิครอบครอง) จะมิ-ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งตกเป็นโมฆะก็ดี จำเลยก็ได้เข้าครอบครองที่พิพาทเด็ดขาดมาหลายปีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิขอไถ่ จึงพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น
คดีที่ราคาทรัพย์ที่พิพาทหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องเกิน 2,000 บาท นั้น แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้ชนะคดีเพียงจำนวนไม่ถึง 2,000 บาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนก็ตาม คู่ความก็มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท และเรียกค่าเสียหาย 4,800 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลย กับให้ใช้ค่าเสียหาย 780 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีโจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย 4,800 บาท จึงเป็นคดีที่ราคาทรัพย์ที่พิพาทหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องเกินกว่า 2,000 บาท ไม่ต้องห้าม ฎีกาข้อเท็จจริงได้ และฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่าง พิพากษายืน
คดีที่ราคาทรัพย์ที่พิพาทหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องเกิน 2,000 บาท นั้น แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้ชนะคดีเพียงจำนวนไม่ถึง 2,000 บาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนก็ตาม คู่ความก็มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท และเรียกค่าเสียหาย 4,800 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลย กับให้ใช้ค่าเสียหาย 780 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีโจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย 4,800 บาท จึงเป็นคดีที่ราคาทรัพย์ที่พิพาทหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องเกินกว่า 2,000 บาท ไม่ต้องห้าม ฎีกาข้อเท็จจริงได้ และฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่าง พิพากษายืน
คดีที่ราคาทรัพย์ที่พิพาท หรือจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องเกิน 2,000 บาท นั้น แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้ชะนะคดีเพียงจำนวนไม่ถึง 2,000 บาท และศาลอุทธรณืพิพากษายืน ก็ตาม คู่ความก็มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้.
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท และเรียกค่าเสียหาย ๔,๘๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลย กับให้ใช้ค่าเสียหาย ๗๘๐ บาท
ศาลอุทธรณืพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีโจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย ๔,๘๐๐ บาท จึงเป็นคดีที่ราคาทรัพย์ที่พิพาท หรือจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องเกินกว่า ๒,๐๐๐ บาท ไม่ต้องห้าม ฎีกาข้อเท็จจริงได้ และฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่าง พิพากษายืน.
คดีที่ราคาทรัพย์ที่พิพาท หรือจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องเกิน 2,000 บาท นั้น แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้ชะนะคดีเพียงจำนวนไม่ถึง 2,000 บาท และศาลอุทธรณืพิพากษายืน ก็ตาม คู่ความก็มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้.
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท และเรียกค่าเสียหาย ๔,๘๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลย กับให้ใช้ค่าเสียหาย ๗๘๐ บาท
ศาลอุทธรณืพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีโจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย ๔,๘๐๐ บาท จึงเป็นคดีที่ราคาทรัพย์ที่พิพาท หรือจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องเกินกว่า ๒,๐๐๐ บาท ไม่ต้องห้าม ฎีกาข้อเท็จจริงได้ และฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่าง พิพากษายืน.
ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์กล่าวข้อความก้าวร้าวเสียดสีคำพิพากษาซึ่งศาลได้กระทำในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ศาลสั่งให้แก้ไขข้อความให้เรียบร้อยเสียก่อนก็ยังกล่าวความเช่นนั้นอีก ศาลสั่งให้แก้เป็นครั้งที่ 2 ก็ไม่แก้และยืนยันให้ถือฟ้องอุทธรณ์นั้น ดังนี้ ศาลมีอำนาจสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ได้
ถ้อยคำที่กล่าวในฟ้อง จะมีความหมายธรรมดาถึงขนาดที่จะต้องตามบทบัญญัติของกฎหมายหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
เรียงฟ้องอุทธรณ์กล่าวข้อความก้าวร้าวเสียดสี ศาลผู้ทำการพิจารณาพิพากษาคดีนั้นอย่างแรง ศาลสั่งให้แก้ไขเสียให้เรียบร้อยก็คงเรียงฟ้องอุทธรณ์กล่าวข้อความอย่างเดิมมายื่นอีก จนศาลสั่งให้แก้ไขเป็นครั้งที่ 2 ก็ยังเรียงคำร้องยื่นต่อศาลขอยืนยันให้รับอุทธรณ์นั้น ดังนี้ถือว่าเป็นคำกล่าวที่ไม่เรียบร้อย อันควรจะนำมายื่นต่อศาลผู้กระทำการในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลและ เมื่อศาลสั่งให้แก้ไขความไม่เรียบร้อยนั้นเสียก็ไม่แก้กลับจงใจยืนยันเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ศาลสั่งห้ามคู่ความมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในทางก่อความรำคาญหรือในทางประวิงให้ชักช้าหรือในทางฟุ่มเฟือยตามอำนาจศาลที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 นั้นอีก จึงเป็นการกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 31
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 301
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องอุทธรณ์แล้วสั่งว่า "อุทธรณ์โจทก์กล่าวข้อความก้าวร้าวศาลเป็นทำนองว่าศาลทำไปนั้นไม่ยุติธรรม ดังที่ขีดเส้นแดงไว้ ให้โจทก์แก้ไขข้อความให้เรียบร้อยก่อนจึงจะรับเป็นอุทธรณ์" โจทก์ทำฟ้องอุทธรณ์มายื่นใหม่ ศาลตรวจแล้วสั่งว่า "อุทธรณ์โจทก์กล่าวเสียดสีและก้าวร้าวศาล ซึ่งศาลได้สั่งให้แก้แล้ว โจทก์ก็ยังแสดงเช่นนั้นอีก แสดงว่าโจทก์จงใจหมิ่นประมาทศาล ให้โจทก์จัดการแก้ไขใหม่จึงจะรับอุทธรณ์โจทก์คงยืนยันให้ถือฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ ศาลชั้นต้นจึงสั่งไม่รับอุทธรณ์
โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ ขอให้สั่งรับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์เสีย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ ประนามศาลชั้นต้นที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีนั้นว่า ตัดสินเอาง่าย ๆ ไม่สมเป็นศาลยุติธรรมที่ประชาชนจะมอบตนให้อยู่ในความอารักขา ฯลฯ ซึ่งเป็นข้อความที่ไม่จำเป็นที่ผู้ว่าความจะพึงกล่าวเพื่อความแพ้ชนะแห่งคดี ทั้งเป็นข้อความที่ก้าวร้าวเสียดสีคำพิพากษาซึ่งศาลได้กระทำในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องของโจทก์ที่อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องอุทธรณ์นั้นชอบแล้ว พิพากษายืน
ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์กล่าวข้อความก้าวร้าวเสียดสีคำพิพากษาซึ่งศาลได้กระทำในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ศาลสั่งให้แก้ไขข้อความให้เรียบร้อยเสียก่อนก็ยังกล่าวความเช่นนั้นอีก ศาลสั่งให้แก้เป็นครั้งที่ 2 ก็ไม่แก้และยืนยันให้ถือฟ้องอุทธรณ์นั้น ดังนี้ ศาลมีอำนาจสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ได้
ถ้อยคำที่กล่าวในฟ้อง จะมีความหมายธรรมดาถึงขนาดที่จะต้องตามบทบัญญัติของกฎหมายหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
เรียงฟ้องอุทธรณ์กล่าวข้อความก้าวร้าวเสียดสี ศาลผู้ทำการพิจารณาพิพากษาคดีนั้นอย่างแรง ศาลสั่งให้แก้ไขเสียให้เรียบร้อยก็คงเรียงฟ้องอุทธรณ์กล่าวข้อความอย่างเดิมมายื่นอีก จนศาลสั่งให้แก้ไขเป็นครั้งที่ 2 ก็ยังเรียงคำร้องยื่นต่อศาลขอยืนยันให้รับอุทธรณ์นั้น ดังนี้ถือว่าเป็นคำกล่าวที่ไม่เรียบร้อย อันควรจะนำมายื่นต่อศาลผู้กระทำการในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลและ เมื่อศาลสั่งให้แก้ไขความไม่เรียบร้อยนั้นเสียก็ไม่แก้กลับจงใจยืนยันเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ศาลสั่งห้ามคู่ความมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในทางก่อความรำคาญหรือในทางประวิงให้ชักช้าหรือในทางฟุ่มเฟือยตามอำนาจศาลที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 นั้นอีก จึงเป็นการกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 31
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 301
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องอุทธรณ์แล้วสั่งว่า "อุทธรณ์โจทก์กล่าวข้อความก้าวร้าวศาลเป็นทำนองว่าศาลทำไปนั้นไม่ยุติธรรม ดังที่ขีดเส้นแดงไว้ ให้โจทก์แก้ไขข้อความให้เรียบร้อยก่อนจึงจะรับเป็นอุทธรณ์" โจทก์ทำฟ้องอุทธรณ์มายื่นใหม่ ศาลตรวจแล้วสั่งว่า "อุทธรณ์โจทก์กล่าวเสียดสีและก้าวร้าวศาล ซึ่งศาลได้สั่งให้แก้แล้ว โจทก์ก็ยังแสดงเช่นนั้นอีก แสดงว่าโจทก์จงใจหมิ่นประมาทศาล ให้โจทก์จัดการแก้ไขใหม่จึงจะรับอุทธรณ์โจทก์คงยืนยันให้ถือฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ ศาลชั้นต้นจึงสั่งไม่รับอุทธรณ์
โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ ขอให้สั่งรับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์เสีย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ ประนามศาลชั้นต้นที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีนั้นว่า ตัดสินเอาง่าย ๆ ไม่สมเป็นศาลยุติธรรมที่ประชาชนจะมอบตนให้อยู่ในความอารักขา ฯลฯ ซึ่งเป็นข้อความที่ไม่จำเป็นที่ผู้ว่าความจะพึงกล่าวเพื่อความแพ้ชนะแห่งคดี ทั้งเป็นข้อความที่ก้าวร้าวเสียดสีคำพิพากษาซึ่งศาลได้กระทำในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องของโจทก์ที่อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องอุทธรณ์นั้นชอบแล้ว พิพากษายืน
สัญญาเช่าเรือน มีข้อความว่าผู้ให้เช่าจะไม่ขึ้นราคาค่าเช่าและเรียกกลับคืนไม่ได้นั้น แม้จะถือว่าเป็นการเช่าตลอดอายุของผู้ให้เช่าก็ดีเมื่อปรากฏว่าเช่ากันมาเกิน 3 ปีแล้ว และผู้ให้เช่าคนเดิมก็ตายแล้วและการเช่าก็มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนี้ผู้รับมรดกมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและฟ้องเรียกคืนได้
ในกรณีที่มีการฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดการบังคับคดีนั้นเมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีแล้ว ก็ไม่จำต้องพิจารณาฎีกาคัดค้านคดีคำสั่งต่อไป
จำเลยทำสัญญาเช่าห้องแถวของโจทก์ 3 ห้องนอกเขตเทศบาลตั้งแต่ครั้งนายโล่เฉียงลุงของโจทก์เป็นเจ้าของอยู่ ข้อความในสัญญาเช่ามีว่า "สัญญาเช่าเรือน3 ห้องเดือนละ 21 บาท วันหลังถ้าตลาดเจริญขึ้นจะไม่ขึ้นราคาค่าเช่า ผู้ให้เช่าเรียกกลับคืนไม่ได้ ผู้เช่าจะเลิกสัญญาได้ ฯลฯ" เมื่อ 4-5 ปีมานี้นายโล่เฉียงตาย โจทก์เป็นผู้รับมรดกได้ยอมให้จำเลยเช่าต่อมาบัดนี้โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่ากับจำเลยพ้นระยะ 1 เดือนแล้วจำเลยไม่ออก จึงขอให้ขับไล่
จำเลยต่อสู้ว่า ไม่ผิดสัญญา
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องเช่า
จำเลยฎีกาว่า ตามสัญญาเช่าเป็นการเช่าตลอดอายุผู้ให้เช่าโจทก์เรียกคืนไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะถือว่าการเช่ารายนี้เป็นการเช่าตลอดอายุผู้ให้เช่าก็ดี นายโล่เฉียง ผู้ให้เช่าเดิมก็ตายมา 4-5 ปีแล้วและการเช่ามิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยไม่มีทางชนะคดี จึงพิพากษายืน
สัญญาเช่าเรือน มีข้อความว่าผู้ให้เช่าจะไม่ขึ้นราคาค่าเช่าและเรียกกลับคืนไม่ได้นั้น แม้จะถือว่าเป็นการเช่าตลอดอายุของผู้ให้เช่าก็ดีเมื่อปรากฏว่าเช่ากันมาเกิน 3 ปีแล้ว และผู้ให้เช่าคนเดิมก็ตายแล้วและการเช่าก็มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนี้ผู้รับมรดกมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและฟ้องเรียกคืนได้
ในกรณีที่มีการฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดการบังคับคดีนั้นเมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีแล้ว ก็ไม่จำต้องพิจารณาฎีกาคัดค้านคดีคำสั่งต่อไป
จำเลยทำสัญญาเช่าห้องแถวของโจทก์ 3 ห้องนอกเขตเทศบาลตั้งแต่ครั้งนายโล่เฉียงลุงของโจทก์เป็นเจ้าของอยู่ ข้อความในสัญญาเช่ามีว่า "สัญญาเช่าเรือน3 ห้องเดือนละ 21 บาท วันหลังถ้าตลาดเจริญขึ้นจะไม่ขึ้นราคาค่าเช่า ผู้ให้เช่าเรียกกลับคืนไม่ได้ ผู้เช่าจะเลิกสัญญาได้ ฯลฯ" เมื่อ 4-5 ปีมานี้นายโล่เฉียงตาย โจทก์เป็นผู้รับมรดกได้ยอมให้จำเลยเช่าต่อมาบัดนี้โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่ากับจำเลยพ้นระยะ 1 เดือนแล้วจำเลยไม่ออก จึงขอให้ขับไล่
จำเลยต่อสู้ว่า ไม่ผิดสัญญา
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องเช่า
จำเลยฎีกาว่า ตามสัญญาเช่าเป็นการเช่าตลอดอายุผู้ให้เช่าโจทก์เรียกคืนไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะถือว่าการเช่ารายนี้เป็นการเช่าตลอดอายุผู้ให้เช่าก็ดี นายโล่เฉียง ผู้ให้เช่าเดิมก็ตายมา 4-5 ปีแล้วและการเช่ามิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยไม่มีทางชนะคดี จึงพิพากษายืน
สัญญาเช่าเรือน มีข้อความว่า ผู้ให้เช่าจะไม่ขึ้นราคาค่าเช่าและเรียกกลับคืนไม่ได้นั้น แม้จะถือว่าเป็นการเช่าตลอดอายุของผู้ให้เช่าก็ดี
เมื่อปรากฏว่าเช่ากันมาเกิน3 ปีแล้ว และผู้ให้เช่าคนเดิมก็ตายแล้ว และ การเช่าก็มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนี้ ผู้รับมฤดกมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และฟ้องเรียกคืนได้
ในกรณีที่มีการฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น ที่ให้งดการบังคับคดีนั้น เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีแล้วก็ไม่จำต้องพิจารณาฎีกาคัดค้านคดีคำสั่งต่อไป
จำเลยทำสัญญาเช่าห้องแถวของโจทก์ ๓ ห้อง นอกเขตเทศบาล ตั้งแต่ครั้งนายโล่เฉียง ลุงของโจทก์เป็นเจ้าของอยู่ ข้อความในสัญญาเช่ามีว่า "สัญญาเช่าเรือน ๓ ห้อง เดือนละ ๒๑ บาท วันหลังถ้าตลาดเจริญขึ้นจะไม่ขึ้นราคาค่าเช่า ผู้ให้เช่าเรียกกลับคืนไม่ได้ ผู้เช่าจะเลิกสัญญาได้ ฯลฯ " เมื่อ ๔-๕ ปีมานี้ นายโล่เฉียงตาย โจทก์เป็นผู้รับมฤดกได้ยอมให้จำเลยเช่าต่อมา บัดนี้โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่ากับจำเลยพ้นระยะ ๑ เดือนแล้ว จำเลยไม่ออก จึงขอให้ขับไล่
จำเลยต่อสู้ว่า ไม่ผิดสัญญา
ศลลชั้นต้นและศาลอุธรณ์พิพากษาต้องกันให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องเช่า
จำเลยฎีกาว่า ตามสัญญาเช่าเป็นการเช่าตลอดอายุผู้ให้เช่า โจทก์เรียกคืนไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะถือว่าการเช่ารายนี้เป็นการเช่าตลอดอายุผู้ให้เช่าก็ดี นายโล่เฉียง ผู้ให้เช่าเดิมก็ตายมา ๔-๕ ปีแล้ว และการเช่ามิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยไม่มีทางชะนะคดี จึงพิพากษายืน
สัญญาเช่าเรือน มีข้อความว่า ผู้ให้เช่าจะไม่ขึ้นราคาค่าเช่าและเรียกกลับคืนไม่ได้นั้น แม้จะถือว่าเป็นการเช่าตลอดอายุของผู้ให้เช่าก็ดี
เมื่อปรากฏว่าเช่ากันมาเกิน3 ปีแล้ว และผู้ให้เช่าคนเดิมก็ตายแล้ว และ การเช่าก็มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนี้ ผู้รับมฤดกมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และฟ้องเรียกคืนได้
ในกรณีที่มีการฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น ที่ให้งดการบังคับคดีนั้น เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีแล้วก็ไม่จำต้องพิจารณาฎีกาคัดค้านคดีคำสั่งต่อไป
จำเลยทำสัญญาเช่าห้องแถวของโจทก์ ๓ ห้อง นอกเขตเทศบาล ตั้งแต่ครั้งนายโล่เฉียง ลุงของโจทก์เป็นเจ้าของอยู่ ข้อความในสัญญาเช่ามีว่า "สัญญาเช่าเรือน ๓ ห้อง เดือนละ ๒๑ บาท วันหลังถ้าตลาดเจริญขึ้นจะไม่ขึ้นราคาค่าเช่า ผู้ให้เช่าเรียกกลับคืนไม่ได้ ผู้เช่าจะเลิกสัญญาได้ ฯลฯ " เมื่อ ๔-๕ ปีมานี้ นายโล่เฉียงตาย โจทก์เป็นผู้รับมฤดกได้ยอมให้จำเลยเช่าต่อมา บัดนี้โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่ากับจำเลยพ้นระยะ ๑ เดือนแล้ว จำเลยไม่ออก จึงขอให้ขับไล่
จำเลยต่อสู้ว่า ไม่ผิดสัญญา
ศลลชั้นต้นและศาลอุธรณ์พิพากษาต้องกันให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องเช่า
จำเลยฎีกาว่า ตามสัญญาเช่าเป็นการเช่าตลอดอายุผู้ให้เช่า โจทก์เรียกคืนไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะถือว่าการเช่ารายนี้เป็นการเช่าตลอดอายุผู้ให้เช่าก็ดี นายโล่เฉียง ผู้ให้เช่าเดิมก็ตายมา ๔-๕ ปีแล้ว และการเช่ามิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยไม่มีทางชะนะคดี จึงพิพากษายืน
สัญญาเช่าไม่มีกำหนดเวลาเช่าไว้ต่อกันแม้จะมีข้อความว่าผู้ให้เช่าจะไม่ขึ้นค่าเช่าหรือเอาห้องคืนก็ตาม ถ้าการเช่านั้นไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว เมื่อครบกำหนด 3 ปีแล้วผู้ให้เช่ามีสิทธิเลิกสัญญาเช่าเอาห้องคืนได้
พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2489 ไม่มีผลย้อนหลังไปคุ้มครองการเช่าที่คู่กรณีได้เลิกสัญญาเช่ากันก่อนใช้พระราชบัญญัติได้
จำเลยทำสัญญาเช่าห้องของโจทก์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2480 อัตราค่าเช่าเดือนละ 40 บาท ใช้ประกอบการค้าเป็นส่วนใหญ่ มีข้อสัญญาว่าจะไม่ขึ้นค่าเช่าหรือเอาห้องคืน บัดนี้โจทก์บอกเลิกการเช่าจำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ขับไล่
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาเช่าห้องพิพาทมิได้กำหนดระยะเวลาเช่าเป็นแต่กล่าวว่าผู้ให้เช่าจะไม่ขึ้นค่าเช่าหรือเอาห้องคืน จำเลยจะถือสิทธิอยู่ในห้องเช่าตลอดไปย่อมไม่ได้ เพราะแม้แต่กำหนดเวลาเช่าไว้ต่อกัน กฎหมายก็ยังให้อยู่ได้เพียง 3 ปี ถ้าไม่ได้จดทะเบียน และในเรื่องนี้โจทก์บอกเลิกการเช่าแต่ พ.ศ. 2488พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2489 ไม่มีผลย้อนหลังไปคุ้มครองจำเลยได้ จึงพิพากษายืน
สัญญาเช่าไม่มีกำหนดเวลาเช่าไว้ต่อกันแม้จะมีข้อความว่าผู้ให้เช่าจะไม่ขึ้นค่าเช่าหรือเอาห้องคืนก็ตาม ถ้าการเช่านั้นไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว เมื่อครบกำหนด 3 ปีแล้วผู้ให้เช่ามีสิทธิเลิกสัญญาเช่าเอาห้องคืนได้
พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2489 ไม่มีผลย้อนหลังไปคุ้มครองการเช่าที่คู่กรณีได้เลิกสัญญาเช่ากันก่อนใช้พระราชบัญญัติได้
จำเลยทำสัญญาเช่าห้องของโจทก์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2480 อัตราค่าเช่าเดือนละ 40 บาท ใช้ประกอบการค้าเป็นส่วนใหญ่ มีข้อสัญญาว่าจะไม่ขึ้นค่าเช่าหรือเอาห้องคืน บัดนี้โจทก์บอกเลิกการเช่าจำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ขับไล่
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาเช่าห้องพิพาทมิได้กำหนดระยะเวลาเช่าเป็นแต่กล่าวว่าผู้ให้เช่าจะไม่ขึ้นค่าเช่าหรือเอาห้องคืน จำเลยจะถือสิทธิอยู่ในห้องเช่าตลอดไปย่อมไม่ได้ เพราะแม้แต่กำหนดเวลาเช่าไว้ต่อกัน กฎหมายก็ยังให้อยู่ได้เพียง 3 ปี ถ้าไม่ได้จดทะเบียน และในเรื่องนี้โจทก์บอกเลิกการเช่าแต่ พ.ศ. 2488พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2489 ไม่มีผลย้อนหลังไปคุ้มครองจำเลยได้ จึงพิพากษายืน
สัญญาเช่าไม่มีกำหนดเวลาเช่าไว้ต่อกัน แม้จะมีข้อความว่าผู้ให้เช่าจะไม่ขึ้นค่าเช่าหรือเอาห้องคืนก็ตาม ถ้าการเช่านั้นไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว เมื่อครบกำหนด 3 ปีแล้ว ผู้ให้เช่ามีสิทธิเลิกสัญญาเช่า เอาห้องคืนได้
พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ 2489 ไม่มีผลย้อนหลังไปคุ้มครองการเช่าที่คู่กรณีได้เลิกสัญญาเช่ากันก่อนใช้ พ.ร.บ. ได้.
จำเลยทำสัญญาเช่าห้องของโจทก์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๐ อัตราค่าเช่าเดือนละ ๔๐ บาท ใช้ประกอบการค้าเป็นส่วนใหญ่ มีข้อสัญญาว่าจะไม่ขึ้นค่าเช่าหรือเอาห้องคืน บัดนี้โจทก์บอกเลิกการเช่า จำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ขับไล่
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้ชับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาเช่าห้องพิพาทมิได้กำหนดระยะเวลาเช่า เป็นแต่กล่าวว่าผู้ให้เช่าจะไม่ขึ้นค่าเช่าหรือเอาห้องคืน จำเลยจะถือสิทธิอยู่ในห้องเช่าตลอดไปย่อมไม่ได้ เพราะแม้แต่กำหนดเวลาเช่าไว้ต่อกัน กฎหมายก็ยังให้อยู่ได้เพียง ๓ ปี ถ้าไม่ได้จดทะเบียน และในเรื่องนี้โจทก์บอกเลิกการเช่า แต่ พ.ศ. ๒๔๘๘ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ ๒๔๘๙ ไม่มีผลย้อนหลังไปคุ้มครองจำเลยได้ จึงพิพากษายืน.
สัญญาเช่าไม่มีกำหนดเวลาเช่าไว้ต่อกัน แม้จะมีข้อความว่าผู้ให้เช่าจะไม่ขึ้นค่าเช่าหรือเอาห้องคืนก็ตาม ถ้าการเช่านั้นไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว เมื่อครบกำหนด 3 ปีแล้ว ผู้ให้เช่ามีสิทธิเลิกสัญญาเช่า เอาห้องคืนได้
พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ 2489 ไม่มีผลย้อนหลังไปคุ้มครองการเช่าที่คู่กรณีได้เลิกสัญญาเช่ากันก่อนใช้ พ.ร.บ. ได้.
จำเลยทำสัญญาเช่าห้องของโจทก์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๐ อัตราค่าเช่าเดือนละ ๔๐ บาท ใช้ประกอบการค้าเป็นส่วนใหญ่ มีข้อสัญญาว่าจะไม่ขึ้นค่าเช่าหรือเอาห้องคืน บัดนี้โจทก์บอกเลิกการเช่า จำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ขับไล่
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้ชับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาเช่าห้องพิพาทมิได้กำหนดระยะเวลาเช่า เป็นแต่กล่าวว่าผู้ให้เช่าจะไม่ขึ้นค่าเช่าหรือเอาห้องคืน จำเลยจะถือสิทธิอยู่ในห้องเช่าตลอดไปย่อมไม่ได้ เพราะแม้แต่กำหนดเวลาเช่าไว้ต่อกัน กฎหมายก็ยังให้อยู่ได้เพียง ๓ ปี ถ้าไม่ได้จดทะเบียน และในเรื่องนี้โจทก์บอกเลิกการเช่า แต่ พ.ศ. ๒๔๘๘ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ ๒๔๘๙ ไม่มีผลย้อนหลังไปคุ้มครองจำเลยได้ จึงพิพากษายืน.
เวลากลางคืนตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายลักษณะอาญานั้นกฎหมายมิได้บัญญัติไว้ว่าเป็นคืนของวันไหน จึงต้องถือตามประกาศนับเวลาในราชการ ซึ่งให้นับวันเป็น 24 ชั่วนาฬิกา เริ่มต้นแต่ศูนย์นาฬิกาเป็นต้นไป
มีของต้องแจ้งปริมาณไว้ตั้งแต่เวลา 3.00 น. ของวันที่ 3 ไปแจ้งปริมาณในวันที่ 5 เดือนนั้น ถือว่ายังไม่เกินกำหนด 2 วัน
จำเลยได้น้ำตาลมาเมื่อเวลา 3.00 น. ของวันที่ 3 มกราคม 2489 ได้ไปแจ้งปริมาณในวันที่ 5 มกราคม 2489 โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บภายในกำหนด 2 วัน เป็นการฝ่าฝืนประกาศคณะกรมการจังหวัด ซึ่งออกตามอำนาจในพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา อ้างว่าเวลา 3.00 น. ของวันที่ 3 ต้องนับว่าเป็นคืนวันที่ 2 ตามกฎหมายอาญา มาตรา 6(24)
ศาลฎีกาเห็นว่า เวลากลางคืนตามกฎหมาย มาตรา 6(24) นั้นกฎหมายมิได้บัญญัติว่าเป็นคืนของวันไหน ประกาศนับเวลาในราชการท่านให้นับวันเป็น 24 ชั่วนาฬิกาเริ่มต้นแต่ศูนย์นาฬิกาคือภายหลัง 24.00 น. เป็นต้นไป ฉะนั้นเวลา 3.00 น. ของวันที่ 3 จึงต้องนับเป็นวันที่ 3 ตามคำพิพากษาฎีกา 586/2490 ส่วนการนับกำหนดเวลาเริ่มแรก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158 บัญญัติไว้ว่ามิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมคำนวนเข้าด้วย กำหนดวันที่จำเลยไปแจ้งปริมาณจึงไม่ช้ากว่า 2 วัน
เวลากลางคืนตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายลักษณะอาญานั้นกฎหมายมิได้บัญญัติไว้ว่าเป็นคืนของวันไหน จึงต้องถือตามประกาศนับเวลาในราชการ ซึ่งให้นับวันเป็น 24 ชั่วนาฬิกา เริ่มต้นแต่ศูนย์นาฬิกาเป็นต้นไป
มีของต้องแจ้งปริมาณไว้ตั้งแต่เวลา 3.00 น. ของวันที่ 3 ไปแจ้งปริมาณในวันที่ 5 เดือนนั้น ถือว่ายังไม่เกินกำหนด 2 วัน
จำเลยได้น้ำตาลมาเมื่อเวลา 3.00 น. ของวันที่ 3 มกราคม 2489 ได้ไปแจ้งปริมาณในวันที่ 5 มกราคม 2489 โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บภายในกำหนด 2 วัน เป็นการฝ่าฝืนประกาศคณะกรมการจังหวัด ซึ่งออกตามอำนาจในพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา อ้างว่าเวลา 3.00 น. ของวันที่ 3 ต้องนับว่าเป็นคืนวันที่ 2 ตามกฎหมายอาญา มาตรา 6(24)
ศาลฎีกาเห็นว่า เวลากลางคืนตามกฎหมาย มาตรา 6(24) นั้นกฎหมายมิได้บัญญัติว่าเป็นคืนของวันไหน ประกาศนับเวลาในราชการท่านให้นับวันเป็น 24 ชั่วนาฬิกาเริ่มต้นแต่ศูนย์นาฬิกาคือภายหลัง 24.00 น. เป็นต้นไป ฉะนั้นเวลา 3.00 น. ของวันที่ 3 จึงต้องนับเป็นวันที่ 3 ตามคำพิพากษาฎีกา 586/2490 ส่วนการนับกำหนดเวลาเริ่มแรก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158 บัญญัติไว้ว่ามิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมคำนวนเข้าด้วย กำหนดวันที่จำเลยไปแจ้งปริมาณจึงไม่ช้ากว่า 2 วัน
เวลากลางคืนตามที่บัญญัติไว้ใน ก.ม.อาญานั้น ก.ม.มิได้บัญญัติไว้ว่าเป็นคืนของวันไหน จึงต้องถือตามประกาศนับเวลาในราชการ ซึ่งให้นับวันเป็น 24 ชั่วนาฬิกา เริ่มต้นแต่ศูนย์นาฬิกาเป็นต้นไป
มีของต้องแจ้งปริมาณไว้ตั้งแต่ 3.00 น. ของวันที่ 3 ไปแจ้งปริมาณในวันที่ 5 เดือนนั้น ถือว่ายังไม่เกินกำหนด 2 วัน.
จำเลยได้น้ำตาลมาเมื่อเวลา ๓.๐๐ น. ของวันที่ ๓ มกราคม ๒๔๘๙ ได้ไปแจ้งปริมาณในวันที่ ๕ มกราคม ๒๔๘๙ โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บภายในกำหนด ๒ วัน เป็นการฝ่าฝืนประกาศคณะกรมการจังหวัด ซึ่งออกตามอำนาจใน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา อ้างว่าเวลา ๓.๐๐ น. ของวันที่ ๓ ต้องนับว่าเป็นคืนวันที่ ๒ ตามกฎหมายอาญามาตรา ๖(๒๔)
ศาลฎีกาเห็นว่า เวลากลางคืนตามกฎหมายมาตรา ๖(๒๔) นั้นกฎหมายมิได้บัญญัติว่าเป็นคืนของวันไหน ประกาศนับเวลาในราชการท่านให้นับวันเป็น ๒๔ ชั่วนาฬิกา เริ่มต้นแต่ศูนย์นาฬิกาคือภายหลัง ๒๔.๐๐ น. เป็นต้นไป ฉะนั้นเวลา ๓.๐๐ น. ของวันที่ ๓ จึงต้องนับเป็นวันที่ ๓ ตามคำพิพากษาฎีกา ๕๘๖/๒๔๙๐ ส่วนการนับกำหนดเวลาเริ่มแรก ป.พ.พ.มาตรา ๑๕๘ บัญญัติไว้ว่ามิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมคำนวนเข้าด้วย กำหนดวันที่จำเลยไปแจ้งปริมาณจึงไม่ช้ากว่า ๒ วัน.
เวลากลางคืนตามที่บัญญัติไว้ใน ก.ม.อาญานั้น ก.ม.มิได้บัญญัติไว้ว่าเป็นคืนของวันไหน จึงต้องถือตามประกาศนับเวลาในราชการ ซึ่งให้นับวันเป็น 24 ชั่วนาฬิกา เริ่มต้นแต่ศูนย์นาฬิกาเป็นต้นไป
มีของต้องแจ้งปริมาณไว้ตั้งแต่ 3.00 น. ของวันที่ 3 ไปแจ้งปริมาณในวันที่ 5 เดือนนั้น ถือว่ายังไม่เกินกำหนด 2 วัน.
จำเลยได้น้ำตาลมาเมื่อเวลา ๓.๐๐ น. ของวันที่ ๓ มกราคม ๒๔๘๙ ได้ไปแจ้งปริมาณในวันที่ ๕ มกราคม ๒๔๘๙ โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บภายในกำหนด ๒ วัน เป็นการฝ่าฝืนประกาศคณะกรมการจังหวัด ซึ่งออกตามอำนาจใน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา อ้างว่าเวลา ๓.๐๐ น. ของวันที่ ๓ ต้องนับว่าเป็นคืนวันที่ ๒ ตามกฎหมายอาญามาตรา ๖(๒๔)
ศาลฎีกาเห็นว่า เวลากลางคืนตามกฎหมายมาตรา ๖(๒๔) นั้นกฎหมายมิได้บัญญัติว่าเป็นคืนของวันไหน ประกาศนับเวลาในราชการท่านให้นับวันเป็น ๒๔ ชั่วนาฬิกา เริ่มต้นแต่ศูนย์นาฬิกาคือภายหลัง ๒๔.๐๐ น. เป็นต้นไป ฉะนั้นเวลา ๓.๐๐ น. ของวันที่ ๓ จึงต้องนับเป็นวันที่ ๓ ตามคำพิพากษาฎีกา ๕๘๖/๒๔๙๐ ส่วนการนับกำหนดเวลาเริ่มแรก ป.พ.พ.มาตรา ๑๕๘ บัญญัติไว้ว่ามิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมคำนวนเข้าด้วย กำหนดวันที่จำเลยไปแจ้งปริมาณจึงไม่ช้ากว่า ๒ วัน.
บุตรบุญธรรมจะมีสิทธิรับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรมได้ก็ต่อเมื่อได้จดทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้เอาทรัพย์มรดกของผู้ตายประมูลราคาหรือขายทอดตลาดแบ่งกันระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นทายาท เมื่อได้ความว่า จำเลยก็เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดก และโจทก์ก็มิได้คัดค้านในการที่ศาลจะแบ่งส่วนให้จำเลยด้วยดังนี้ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาแบ่งส่วนให้จำเลยด้วยได้และในคดีเช่นนี้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งค่าทนายศาลสั่งให้ชักจากกองมรดกก่อนแล้วจึงให้แบ่งกันระหว่างทายาท
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้ง 12 คนกับนางทองสุก จำเลยเป็นหลานและเหลนของนางพัน ตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้อง นางพันตายมีมรดกรวมราคา 5,600 บาท จำเลยทั้ง 2 ลอบเอาที่ดินอันเป็นมรดกของนางพันไปโอนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้รับมรดก โจทก์ได้คัดค้านและมาฟ้องขอให้ประมูลราคาหรือขายทอดตลาดทรัพย์มรดกนางพันหักเงินค่าทำศพเสีย 1,600 บาท เหลือนั้นแบ่งกันระหว่างโจทก์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าที่นายมีจำเลยอ้างว่าเป็นบุตรบุญธรรมของนางพันนั้น ไม่มีในทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมที่อำเภอ จึงไม่มีสิทธิได้รับมรดกของนางพัน ส่วนนางทองสุกจำเลยนั้นเป็นทายาทของนางพันด้วย ฎีกาของโจทก์ก็ไม่คัดค้านในการที่ศาลจะแบ่งส่วนให้แก่นางทองสุกจำเลย ๆ จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งด้วย จึงพิพากษาแก้ให้เอาทรัพย์มรดกตามบัญชีท้ายฟ้อง ออกประมูลราคาหรือขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใดเป็นค่าทำศพนางพัน 1,600 บาทค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง 3 ศาล และค่าทนายฝ่ายละ 500 บาทชักจากกองมรดกเหลือจากนั้นแบ่งกันระหว่างโจทก์ และนางทองสุกจำเลยตามส่วนที่ตนมีสิทธิได้
บุตรบุญธรรมจะมีสิทธิรับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรมได้ก็ต่อเมื่อได้จดทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้เอาทรัพย์มรดกของผู้ตายประมูลราคาหรือขายทอดตลาดแบ่งกันระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นทายาท เมื่อได้ความว่า จำเลยก็เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดก และโจทก์ก็มิได้คัดค้านในการที่ศาลจะแบ่งส่วนให้จำเลยด้วยดังนี้ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาแบ่งส่วนให้จำเลยด้วยได้และในคดีเช่นนี้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งค่าทนายศาลสั่งให้ชักจากกองมรดกก่อนแล้วจึงให้แบ่งกันระหว่างทายาท
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้ง 12 คนกับนางทองสุก จำเลยเป็นหลานและเหลนของนางพัน ตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้อง นางพันตายมีมรดกรวมราคา 5,600 บาท จำเลยทั้ง 2 ลอบเอาที่ดินอันเป็นมรดกของนางพันไปโอนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้รับมรดก โจทก์ได้คัดค้านและมาฟ้องขอให้ประมูลราคาหรือขายทอดตลาดทรัพย์มรดกนางพันหักเงินค่าทำศพเสีย 1,600 บาท เหลือนั้นแบ่งกันระหว่างโจทก์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าที่นายมีจำเลยอ้างว่าเป็นบุตรบุญธรรมของนางพันนั้น ไม่มีในทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมที่อำเภอ จึงไม่มีสิทธิได้รับมรดกของนางพัน ส่วนนางทองสุกจำเลยนั้นเป็นทายาทของนางพันด้วย ฎีกาของโจทก์ก็ไม่คัดค้านในการที่ศาลจะแบ่งส่วนให้แก่นางทองสุกจำเลย ๆ จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งด้วย จึงพิพากษาแก้ให้เอาทรัพย์มรดกตามบัญชีท้ายฟ้อง ออกประมูลราคาหรือขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใดเป็นค่าทำศพนางพัน 1,600 บาทค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง 3 ศาล และค่าทนายฝ่ายละ 500 บาทชักจากกองมรดกเหลือจากนั้นแบ่งกันระหว่างโจทก์ และนางทองสุกจำเลยตามส่วนที่ตนมีสิทธิได้
บุตรบุญธรรมจะมีสิทธิรับมฤดกของผู้รับบุตรบุญธรรมได้ ก็ต่อเมื่อได้จดทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้เอาทรัพย์มฤดกของผู้ตายประมูลราคาหรือขายทอดตลาดแบ่งกัน ระหว่างโจทก์ ซึ่งเป็นทายาท เมื่อได้ความว่า จำเลยก็เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมฤดกและโจทก์ก็มิได้คัดค้านในการที่ศาลจะแบ่งส่วนให้จำเลยด้วย ดังนี้ ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาแบ่งส่วนให้จำเลยด้วยได้ และในคดีเช่นนี้ค่าฤาชาธรรมเนียมทั้งค่าทนายศาลสั่งให้ชักจากกองมฤดกก่อนแล้วจึงให้แบ่งกันระหว่างทายาท.
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้ง ๑๒ คนกับนางทองสุกจำเลยเป็นหลานและเหลนของนางพัน ตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้อง นางพันตายมีมฤดกรวมราคา ๕๖๐๐ บาท จำเลยทั้ง ๒ ลอบเอาที่ดินอันเป็นมฤดกของนางพันไปโอนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้รับมฤดก โจทก์ได้คัดค้านและมาฟ้องขอให้ประมูลราคาหรือขายทอดตลาดทรัพย์มฤดกนางพัน หักเงินค่าทำศพเสีย ๑๖๐๐ บาท เหลือนั้นแบ่งกันระหว่างโจทก์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าที่นายมีจำเลยอ้างว่าเป็นบุตรบุญธรรมของนางพันนั้น ไม่มีในทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมที่อำเภอ จึงไม่มีสิทธิได้รับมฤดกของนางพัน ส่วนนางทองสุกจำเลยนั้นเป็นทายาทของนางพันด้วย ฎีกาของโจทก์ก็ไม่คัดค้านในการที่ศาลจะแบ่งส่วนให้แก่นางทองสุกจำเลย ๆ จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งด้วย จึงพิพากษาแก้ให้เอาทรัพย์มฤดกตามบัญชีท้ายฟ้อง ออกประมูลราคาหรือขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใดเป็นค่าทำศพนางพัน ๑๖๐๐ บาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง ๓ ศาล และค่าทนายฝ่ายละ ๕๐๐ บาทชักจากกองมฤดก เหลือจากนั้นแบ่งกันระหว่างโจทก์ และนางทองสุกจำเลยตามส่วนที่ตนมีสิทธิได้.
บุตรบุญธรรมจะมีสิทธิรับมฤดกของผู้รับบุตรบุญธรรมได้ ก็ต่อเมื่อได้จดทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้เอาทรัพย์มฤดกของผู้ตายประมูลราคาหรือขายทอดตลาดแบ่งกัน ระหว่างโจทก์ ซึ่งเป็นทายาท เมื่อได้ความว่า จำเลยก็เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมฤดกและโจทก์ก็มิได้คัดค้านในการที่ศาลจะแบ่งส่วนให้จำเลยด้วย ดังนี้ ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาแบ่งส่วนให้จำเลยด้วยได้ และในคดีเช่นนี้ค่าฤาชาธรรมเนียมทั้งค่าทนายศาลสั่งให้ชักจากกองมฤดกก่อนแล้วจึงให้แบ่งกันระหว่างทายาท.
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้ง ๑๒ คนกับนางทองสุกจำเลยเป็นหลานและเหลนของนางพัน ตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้อง นางพันตายมีมฤดกรวมราคา ๕๖๐๐ บาท จำเลยทั้ง ๒ ลอบเอาที่ดินอันเป็นมฤดกของนางพันไปโอนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้รับมฤดก โจทก์ได้คัดค้านและมาฟ้องขอให้ประมูลราคาหรือขายทอดตลาดทรัพย์มฤดกนางพัน หักเงินค่าทำศพเสีย ๑๖๐๐ บาท เหลือนั้นแบ่งกันระหว่างโจทก์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าที่นายมีจำเลยอ้างว่าเป็นบุตรบุญธรรมของนางพันนั้น ไม่มีในทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมที่อำเภอ จึงไม่มีสิทธิได้รับมฤดกของนางพัน ส่วนนางทองสุกจำเลยนั้นเป็นทายาทของนางพันด้วย ฎีกาของโจทก์ก็ไม่คัดค้านในการที่ศาลจะแบ่งส่วนให้แก่นางทองสุกจำเลย ๆ จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งด้วย จึงพิพากษาแก้ให้เอาทรัพย์มฤดกตามบัญชีท้ายฟ้อง ออกประมูลราคาหรือขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใดเป็นค่าทำศพนางพัน ๑๖๐๐ บาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง ๓ ศาล และค่าทนายฝ่ายละ ๕๐๐ บาทชักจากกองมฤดก เหลือจากนั้นแบ่งกันระหว่างโจทก์ และนางทองสุกจำเลยตามส่วนที่ตนมีสิทธิได้.
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|