ความว่า คดีนี้ โจทก์ร่วมที่ 4 กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันได้แล้ว โจทก์ร่วมที่ 4 ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1อีกต่อไป จึงขอถอนคำร้องทุกข์หรือขอถอนฟ้อง โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างได้รับสำเนาคำร้องแล้ว จำเลยที่ 1 แถลงไม่คัดค้าน ส่วนโจทก์แถลงรับว่า นางเฉลาอนรรฆรัตน์ เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ร่วมที่ 4 และโจทก์ร่วมที่ 4 ถึงแก่ความตายไปแล้วจริง(อันดับ 340,359) ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,83,91 จำเลยที่ 1 มีความผิดรวม 8 กรรม ให้ลงโทษจำคุกกรรมละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 จำคุกคนละ 1 ปี ข้อหาและคำขอนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อับดับ 265) จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 275) ศาลฎีกาทำคำสั่งแล้ว และได้ส่งสำนวนไปศาลชั้นต้น(อันดับ 277) ก่อนวันฟังคำสั่ง โจทก์ร่วมที่ 4 ยื่นคำร้องนี้(อันดับ 338)
คำสั่ง คดีนี้ โจทก์ร่วมที่ 4 ขอถอนคำร้องทุกข์จำเลยที่ 1ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดต่อผู้เสียหายรายอื่น ๆ อีก 7 กระทง กระทำผิดต่อโจทก์ร่วมที่ 4 เพียงกระทงเดียว ดังนั้น เมื่อคดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวและคดี ยังไม่ถึงที่สุด สิทธินำคดีอาญามาฟ้องต่อจำเลยที่ 1 เฉพาะ ในส่วนที่กระทำต่อโจทก์ร่วมที่ 4 ย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ให้จำหน่าย คดีจำเลยที่ 1 เฉพาะในส่วนที่กระทำต่อโจทก์ร่วมที่ 4
ความว่า คดีนี้ โจทก์ร่วมที่ 4 กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันได้แล้ว โจทก์ร่วมที่ 4 ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1อีกต่อไป จึงขอถอนคำร้องทุกข์หรือขอถอนฟ้อง โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างได้รับสำเนาคำร้องแล้ว จำเลยที่ 1 แถลงไม่คัดค้าน ส่วนโจทก์แถลงรับว่า นางเฉลาอนรรฆรัตน์ เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ร่วมที่ 4 และโจทก์ร่วมที่ 4 ถึงแก่ความตายไปแล้วจริง(อันดับ 340,359) ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,83,91 จำเลยที่ 1 มีความผิดรวม 8 กรรม ให้ลงโทษจำคุกกรรมละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 จำคุกคนละ 1 ปี ข้อหาและคำขอนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อับดับ 265) จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 275) ศาลฎีกาทำคำสั่งแล้ว และได้ส่งสำนวนไปศาลชั้นต้น(อันดับ 277) ก่อนวันฟังคำสั่ง โจทก์ร่วมที่ 4 ยื่นคำร้องนี้(อันดับ 338)
คำสั่ง คดีนี้ โจทก์ร่วมที่ 4 ขอถอนคำร้องทุกข์จำเลยที่ 1ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดต่อผู้เสียหายรายอื่น ๆ อีก 7 กระทง กระทำผิดต่อโจทก์ร่วมที่ 4 เพียงกระทงเดียว ดังนั้น เมื่อคดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวและคดี ยังไม่ถึงที่สุด สิทธินำคดีอาญามาฟ้องต่อจำเลยที่ 1 เฉพาะ ในส่วนที่กระทำต่อโจทก์ร่วมที่ 4 ย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ให้จำหน่าย คดีจำเลยที่ 1 เฉพาะในส่วนที่กระทำต่อโจทก์ร่วมที่ 4
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้พิพากษาที่จำเลยทั้งสองขอให้รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว ฎีกาตาม ข้อ 2 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา ส่วนฎีกาตามข้อ 3 ซึ่งอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น จำเลยทั้งสองมิได้ยกขึ้น ว่ากล่าวแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิได้บรรยาย ให้ชัดเจนว่าหนี้ตามฟ้องขาดอายุความในเรื่องอะไร เพราะเหตุใด ประกอบกับเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกาข้อกฎหมายเช่นกัน จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ที่ว่า มูลหนี้ตามเช็คพิพาท ทั้งสี่ฉบับไม่อาจฟ้องบังคับชำระหนี้ได้ตามกฎหมายโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และฎีกาข้อ 3 ที่ว่าเช็คพิพาทขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และมีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 107) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลย ทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 50,000 บาท และจำคุก จำเลยที่ 2 กระทงละ 5 เดือน รวมสี่กระทง ปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 200,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 20 เดือน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2835/2535, 2126/2536 และ 3652/2536 ของศาลนี้นั้น ไม่ปรากฏว่าศาลในคดีทั้งสาม สำนวนดังกล่าวมีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 105) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 107)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว จำเลยทั้งสองฎีกาว่า มูลหนี้ตามเช็คพิพาท ไม่อาจฟ้องบังคับชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เพราะจำนวนหนี้ ตามเช็คพิพาทสูงกว่าจำนวนหนี้ที่มีอยู่จริงโจทก์จึงไม่มี อำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า เป็นการเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ ยุติและต้องห้ามฎีกาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ย่อมมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้อง ห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกส่วนฎีกาในข้อที่ว่า มิได้มีการใช้สิทธิฟ้องบังคับชำระหนี้ทางแพ่งและหนี้ดังกล่าวขาดอายุความแล้วก็เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225 และไม่มีเหตุสมควรจะวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้พิพากษาที่จำเลยทั้งสองขอให้รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว ฎีกาตาม ข้อ 2 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา ส่วนฎีกาตามข้อ 3 ซึ่งอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น จำเลยทั้งสองมิได้ยกขึ้น ว่ากล่าวแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิได้บรรยาย ให้ชัดเจนว่าหนี้ตามฟ้องขาดอายุความในเรื่องอะไร เพราะเหตุใด ประกอบกับเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกาข้อกฎหมายเช่นกัน จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ที่ว่า มูลหนี้ตามเช็คพิพาท ทั้งสี่ฉบับไม่อาจฟ้องบังคับชำระหนี้ได้ตามกฎหมายโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และฎีกาข้อ 3 ที่ว่าเช็คพิพาทขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และมีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 107) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลย ทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 50,000 บาท และจำคุก จำเลยที่ 2 กระทงละ 5 เดือน รวมสี่กระทง ปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 200,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 20 เดือน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2835/2535, 2126/2536 และ 3652/2536 ของศาลนี้นั้น ไม่ปรากฏว่าศาลในคดีทั้งสาม สำนวนดังกล่าวมีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 105) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 107)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว จำเลยทั้งสองฎีกาว่า มูลหนี้ตามเช็คพิพาท ไม่อาจฟ้องบังคับชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เพราะจำนวนหนี้ ตามเช็คพิพาทสูงกว่าจำนวนหนี้ที่มีอยู่จริงโจทก์จึงไม่มี อำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า เป็นการเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ ยุติและต้องห้ามฎีกาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ย่อมมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้อง ห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกส่วนฎีกาในข้อที่ว่า มิได้มีการใช้สิทธิฟ้องบังคับชำระหนี้ทางแพ่งและหนี้ดังกล่าวขาดอายุความแล้วก็เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225 และไม่มีเหตุสมควรจะวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ไม่มี ข้อความคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในประการใด ประกอบกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเป็นการวินิจฉัย ตรงตามประเด็นที่ชี้ไว้ในชั้นชี้สองสถานแล้ว ฎีกาของโจทก์ แม้หากจะเป็นข้อกฎหมายแต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยได้ กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แทนเจ้าของที่ดิน ที่เช่า เป็นการพิพากษานอกประเด็นและรับฟังพยานหลักฐาน นอกจากที่สืบในคดี เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่พฤติการณ์ไม่เปิดช่อง ให้โจทก์ยกขึ้นอ้างในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ เพราะ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์โดยไม่รับวินิจฉัย เนื้อหาอุทธรณ์ของโจทก์เพราะพิจารณาว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหา ข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดิน โฉนดเลขที่ 7361 ตำบลศรีมหาโพธิ์ อำเภอเมือง (นครชัยศรี)จังหวัดนครปฐม และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจาก ที่ดินของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 96) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 97 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเป็นเรื่องคนละประเด็นกับที่โจทก์ฟ้องและที่จำเลยให้การต่อสู้ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้น ว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งไม่เป็นสาระแก่คดีอันควร ได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ไม่มี ข้อความคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในประการใด ประกอบกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเป็นการวินิจฉัย ตรงตามประเด็นที่ชี้ไว้ในชั้นชี้สองสถานแล้ว ฎีกาของโจทก์ แม้หากจะเป็นข้อกฎหมายแต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยได้ กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แทนเจ้าของที่ดิน ที่เช่า เป็นการพิพากษานอกประเด็นและรับฟังพยานหลักฐาน นอกจากที่สืบในคดี เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่พฤติการณ์ไม่เปิดช่อง ให้โจทก์ยกขึ้นอ้างในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ เพราะ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์โดยไม่รับวินิจฉัย เนื้อหาอุทธรณ์ของโจทก์เพราะพิจารณาว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหา ข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดิน โฉนดเลขที่ 7361 ตำบลศรีมหาโพธิ์ อำเภอเมือง (นครชัยศรี)จังหวัดนครปฐม และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจาก ที่ดินของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 96) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 97 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเป็นเรื่องคนละประเด็นกับที่โจทก์ฟ้องและที่จำเลยให้การต่อสู้ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้น ว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งไม่เป็นสาระแก่คดีอันควร ได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ส่วนฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่า เป็นข้อกฎหมาย ที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ต้องห้ามตามมาตรา 15 ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 และ 249 จึงไม่รับฎีกา จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้นเป็นสาระแก่คดีในการที่จะทำให้ผลของคดีถึงแพ้ชนะ กล่าวคือศาลอุทธรณ์ มิได้ฟังข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิด ทั้งตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คและ ฉ้อโกง และมิได้นำสืบให้ครบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยได้อายัด เช็คโดยมีเจตนาอย่างไร ในข้อกฎหมายดังกล่าวสมควรที่จะได้ รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาเพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไป โปรดมี คำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 833) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การสั่งจ่ายเช็คของจำเลยและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินรวม 3 ฉบับ เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็นรายกระทงไป ให้ลงโทษ รวม 3 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี ข้อหา ฉ้อโกงให้ยก สำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2(สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 822) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 826)
คำสั่ง ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า การบรรยายฟ้องของโจทก์ขัดกันเองเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์มิได้นำสืบว่า จำเลยที่ 2 ได้อายัดเช็คโดยมีเจตนาทุจริตอย่างไร การนำสืบ ของโจทก์ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิด เป็นฎีกาในข้อกฎหมาย ที่เป็นสาระแก่คดี ให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ส่วนฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่า เป็นข้อกฎหมาย ที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ต้องห้ามตามมาตรา 15 ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 และ 249 จึงไม่รับฎีกา จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้นเป็นสาระแก่คดีในการที่จะทำให้ผลของคดีถึงแพ้ชนะ กล่าวคือศาลอุทธรณ์ มิได้ฟังข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิด ทั้งตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คและ ฉ้อโกง และมิได้นำสืบให้ครบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยได้อายัด เช็คโดยมีเจตนาอย่างไร ในข้อกฎหมายดังกล่าวสมควรที่จะได้ รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาเพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไป โปรดมี คำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 833) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การสั่งจ่ายเช็คของจำเลยและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินรวม 3 ฉบับ เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็นรายกระทงไป ให้ลงโทษ รวม 3 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี ข้อหา ฉ้อโกงให้ยก สำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2(สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 822) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 826)
คำสั่ง ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า การบรรยายฟ้องของโจทก์ขัดกันเองเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์มิได้นำสืบว่า จำเลยที่ 2 ได้อายัดเช็คโดยมีเจตนาทุจริตอย่างไร การนำสืบ ของโจทก์ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิด เป็นฎีกาในข้อกฎหมาย ที่เป็นสาระแก่คดี ให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็น สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 9,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันที่ 29 มิถุนายน 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (วันที่ 14 ธันวาคม 2535)ต้องไม่เกินตามที่โจทก์ขอมา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 65) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 68)
คำสั่ง ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ที่ว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญา ประนีประนอมยอมความกับโจทก์แล้วนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่จะนำ ไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า โจทก์ไม่มี อำนาจฟ้องเพราะมูลหนี้ละเมิดระงับแล้วตามสัญญาประนีประนอม ยอมความที่จำเลยที่ 1 ทำกับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 แต่ จำเลยที่ 2 มิได้ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ ในคำให้การ และศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงไว้ตาม ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ฎีกาข้อ 3 ก. ของจำเลยที่ 2 จึงเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาที่เกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ โดยตรง จึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ส่วนฎีกาข้อ 3 ค. นั้น จำเลยที่ 2 ยกเป็นข้ออุทธรณ์ไว้แต่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับ จำเลยที่ 2 มิได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์ คำสั่ง ปัญหาดังกล่าวจึงยุติ จำเลยที่ 2 จะยกขึ้นฎีกาต่อมาอีกไม่ได้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อ 3 ก. และข้อ 3 ค. ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล สำหรับฎีกาจำเลยที่ 2ข้อ 3 ข. ที่ว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถถอยหลังพุ่งชน ด้านหน้าของรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้ขณะรถที่โจทก์รับประกันภัย ไว้จอดอยู่ แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 จอดรถไว้โดย ไม่ใส่เบรกมือรถจึงไหลถอยหลังไปชนถูกรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ข้อเท็จจริงจึงต่างกันในข้อสาระสำคัญ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง(ให้จำเลยที่ 2 รับผิด) นั้น เท่ากับจำเลยที่ 2 โต้แย้งว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริง ในคำฟ้องในข้อสาระสำคัญ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ นั่นเอง ข้อฎีกาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเกิดขึ้น จากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ไม่สามารถยกขึ้น กล่าวอ้างได้ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยที่ 2 จึงยกขึ้นอุทธรณ์และฎีกาได้ ให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ ไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็น สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 9,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันที่ 29 มิถุนายน 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (วันที่ 14 ธันวาคม 2535)ต้องไม่เกินตามที่โจทก์ขอมา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 65) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 68)
คำสั่ง ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ที่ว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญา ประนีประนอมยอมความกับโจทก์แล้วนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่จะนำ ไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า โจทก์ไม่มี อำนาจฟ้องเพราะมูลหนี้ละเมิดระงับแล้วตามสัญญาประนีประนอม ยอมความที่จำเลยที่ 1 ทำกับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 แต่ จำเลยที่ 2 มิได้ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ ในคำให้การ และศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงไว้ตาม ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ฎีกาข้อ 3 ก. ของจำเลยที่ 2 จึงเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาที่เกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ โดยตรง จึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ส่วนฎีกาข้อ 3 ค. นั้น จำเลยที่ 2 ยกเป็นข้ออุทธรณ์ไว้แต่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับ จำเลยที่ 2 มิได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์ คำสั่ง ปัญหาดังกล่าวจึงยุติ จำเลยที่ 2 จะยกขึ้นฎีกาต่อมาอีกไม่ได้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อ 3 ก. และข้อ 3 ค. ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล สำหรับฎีกาจำเลยที่ 2ข้อ 3 ข. ที่ว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถถอยหลังพุ่งชน ด้านหน้าของรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้ขณะรถที่โจทก์รับประกันภัย ไว้จอดอยู่ แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 จอดรถไว้โดย ไม่ใส่เบรกมือรถจึงไหลถอยหลังไปชนถูกรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ข้อเท็จจริงจึงต่างกันในข้อสาระสำคัญ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง(ให้จำเลยที่ 2 รับผิด) นั้น เท่ากับจำเลยที่ 2 โต้แย้งว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริง ในคำฟ้องในข้อสาระสำคัญ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ นั่นเอง ข้อฎีกาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเกิดขึ้น จากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ไม่สามารถยกขึ้น กล่าวอ้างได้ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยที่ 2 จึงยกขึ้นอุทธรณ์และฎีกาได้ ให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ ไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า ศาลชั้นต้นนัดฟังคำสั่งศาลฎีกา แต่เนื่องจากผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีนี้และจำเลยตกลงกันได้แล้วผู้ร้องไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยต่อไป จึงขอถอนคำร้องทุกข์ โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์และจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วแถลง ไม่คัดค้าน (อันดับ 56,57) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 คงลงโทษจำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน พิเคราะห์ รายงานการสืบเสาะและพินิจแล้ว ไม่สมควรรอการลงโทษจำเลย ให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 9,660 บาท แก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 41) จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลฎีกาทำ คำสั่งเสร็จแล้วส่งไปศาลชั้นต้นเพื่ออ่าน (อันดับ 43,55) ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ ส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 56,57)
คำสั่ง คดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว และยังไม่ถึงที่สุดผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
ความว่า ศาลชั้นต้นนัดฟังคำสั่งศาลฎีกา แต่เนื่องจากผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีนี้และจำเลยตกลงกันได้แล้วผู้ร้องไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยต่อไป จึงขอถอนคำร้องทุกข์ โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์และจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วแถลง ไม่คัดค้าน (อันดับ 56,57) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 คงลงโทษจำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน พิเคราะห์ รายงานการสืบเสาะและพินิจแล้ว ไม่สมควรรอการลงโทษจำเลย ให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 9,660 บาท แก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 41) จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลฎีกาทำ คำสั่งเสร็จแล้วส่งไปศาลชั้นต้นเพื่ออ่าน (อันดับ 43,55) ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ ส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 56,57)
คำสั่ง คดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว และยังไม่ถึงที่สุดผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
ความว่า จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 ด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 142) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานใช้เอกสาร ราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคหนึ่ง ให้จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การ พิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี ข้อหาอื่น นอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทุกข้อหา ริบของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 139 แผ่นที่ 2) จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 142)
คำสั่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษ จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าศาลล่าง ทั้งสองนำคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 3 ในชั้นสอบสวน และเหตุที่พบเอกสารปลอมไม่กี่ฉบับ กับวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 เรียกค่าทำหนังสือเดินทางสูงผิดปกติโดยโจทก์ไม่มีพยานหลักฐาน สนับสนุนมารับฟังลงโทษจำเลยที่ 3 เป็นการไม่ชอบนั้น ล้วนเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลล่างทั้งสอง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยที่ 3 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 ด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 142) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานใช้เอกสาร ราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคหนึ่ง ให้จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การ พิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี ข้อหาอื่น นอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทุกข้อหา ริบของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 139 แผ่นที่ 2) จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 142)
คำสั่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษ จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าศาลล่าง ทั้งสองนำคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 3 ในชั้นสอบสวน และเหตุที่พบเอกสารปลอมไม่กี่ฉบับ กับวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 เรียกค่าทำหนังสือเดินทางสูงผิดปกติโดยโจทก์ไม่มีพยานหลักฐาน สนับสนุนมารับฟังลงโทษจำเลยที่ 3 เป็นการไม่ชอบนั้น ล้วนเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลล่างทั้งสอง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยที่ 3 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ คำสั่ง ดังกล่าวเป็นที่สุด จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ยังไม่เป็นที่สุดเพราะ ฎีกาของโจทก์ในข้อ 3 วรรคสอง ยังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 18 แผ่นที่ 2) คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก และขอนาฬิกาคืนศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ฟ้องโจทก์ในส่วนอาญาจึงขาดองค์ประกอบความผิดและไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) สำหรับคดีส่วนแพ่งโจทก์ไม่ได้บรรยายสภาพแห่งข้อหาและไม่เสียค่าขึ้นศาล จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ยกฟ้องทั้งคดีในส่วนอาญาและแพ่ง ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีนี้ศาลมีคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว จึงไม่อาจอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องได้ ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์ไม่ได้คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับ การวินิจฉัย ทั้งไม่เสียค่าธรรมเนียมจึงไม่รับ โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่า ฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งในคดี ส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่งในข้อกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์แต่หาได้โต้แย้งว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร เป็นแต่เพียงอธิบายว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยในคดีนี้เพราะเหตุใดทั้งไม่เสียค่าขึ้นศาล ชั้นอุทธรณ์ในคดีส่วนแพ่งด้วย อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์จึงชอบแล้ว ยกคำร้อง โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 14) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 15)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คำสั่งของศาลอุทธรณ์ซึ่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์นั้น เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคท้ายศาลชั้นต้นจึงไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ คำสั่ง ดังกล่าวเป็นที่สุด จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ยังไม่เป็นที่สุดเพราะ ฎีกาของโจทก์ในข้อ 3 วรรคสอง ยังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 18 แผ่นที่ 2) คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก และขอนาฬิกาคืนศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ฟ้องโจทก์ในส่วนอาญาจึงขาดองค์ประกอบความผิดและไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) สำหรับคดีส่วนแพ่งโจทก์ไม่ได้บรรยายสภาพแห่งข้อหาและไม่เสียค่าขึ้นศาล จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ยกฟ้องทั้งคดีในส่วนอาญาและแพ่ง ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีนี้ศาลมีคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว จึงไม่อาจอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องได้ ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์ไม่ได้คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับ การวินิจฉัย ทั้งไม่เสียค่าธรรมเนียมจึงไม่รับ โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่า ฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งในคดี ส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่งในข้อกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์แต่หาได้โต้แย้งว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร เป็นแต่เพียงอธิบายว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยในคดีนี้เพราะเหตุใดทั้งไม่เสียค่าขึ้นศาล ชั้นอุทธรณ์ในคดีส่วนแพ่งด้วย อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์จึงชอบแล้ว ยกคำร้อง โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 14) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 15)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คำสั่งของศาลอุทธรณ์ซึ่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์นั้น เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคท้ายศาลชั้นต้นจึงไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เนื่องจากคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า คดีนี้ราคาที่ดินพิพาทตามราคาประเมินของ สำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีเป็นเงิน 1,740,000 บาท โจทก์ ได้เสียค่าขึ้นศาลโดยถือราคาประเมินดังกล่าวเป็นจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาท ฎีกาโจทก์จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบ ภ.บ.ท. 5 เนื้อที่ 58 ไร่ จำเลยเข้ามาปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ 40 ตารางวา ขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทและรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้าง ออกจากที่ดินดังกล่าว กับให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ 500 บาทจำเลยยื่นคำให้การว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นที่ดินซึ่งจำเลยซื้อมาแล้วให้บุคคลอื่นดูแลแทน ต่อมาจำเลยได้ปลูกบ้าน ในที่ดินดังกล่าว ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้มีหนังสือสอบถาม ราคาประเมินที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีมีหนังสือ แจ้งราคาประเมินที่ดินต่อศาล เจ้าหน้าที่ศาลได้มีรายงาน เจ้าหน้าที่ว่า คิดค่าขึ้นศาลตามที่ดินพิพาทเนื้อที่ 40 ตารางวา เป็นทุนทรัพย์ 3,000 บาท แต่โจทก์ยืนยันชำระค่าขึ้นศาลคิดจาก ที่ดินทั้งแปลง เป็นทุนทรัพย์ 1,740,000 บาท และโจทก์ชำระ ค่าขึ้นศาลในจำนวนดังกล่าว ต่อมาก่อนอ่านคำพิพากษา ศาลชั้นต้น สอบถามโจทก์ โจทก์แถลงว่าคดีนี้พิพาทเฉพาะที่ดินเนื้อที่ 40 ตารางวา ศาลชั้นต้นจึงให้คืนค่าขึ้นศาลซึ่งชำระเกินแก่โจทก์ และโจทก์ได้รับเงินดังกล่าวคืนแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 152) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 154)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว โจทก์แถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 7 ตุลาคม 2536 ของศาลชั้นต้นแล้วว่า ที่ดินพิพาท มีเนื้อที่ 40 ตารางวา อันมีราคา 3,000 บาท ในขณะที่โจทก์อุทธรณ์และฎีกา โจทก์ก็เสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์จำนวนนี้คดีนี้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ 3,000 บาท หาใช่ 1,740,000 บาทไม่จึงเป็นคดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นไม่รับชอบแล้ว ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เนื่องจากคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า คดีนี้ราคาที่ดินพิพาทตามราคาประเมินของ สำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีเป็นเงิน 1,740,000 บาท โจทก์ ได้เสียค่าขึ้นศาลโดยถือราคาประเมินดังกล่าวเป็นจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาท ฎีกาโจทก์จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบ ภ.บ.ท. 5 เนื้อที่ 58 ไร่ จำเลยเข้ามาปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ 40 ตารางวา ขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทและรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้าง ออกจากที่ดินดังกล่าว กับให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ 500 บาทจำเลยยื่นคำให้การว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นที่ดินซึ่งจำเลยซื้อมาแล้วให้บุคคลอื่นดูแลแทน ต่อมาจำเลยได้ปลูกบ้าน ในที่ดินดังกล่าว ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้มีหนังสือสอบถาม ราคาประเมินที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีมีหนังสือ แจ้งราคาประเมินที่ดินต่อศาล เจ้าหน้าที่ศาลได้มีรายงาน เจ้าหน้าที่ว่า คิดค่าขึ้นศาลตามที่ดินพิพาทเนื้อที่ 40 ตารางวา เป็นทุนทรัพย์ 3,000 บาท แต่โจทก์ยืนยันชำระค่าขึ้นศาลคิดจาก ที่ดินทั้งแปลง เป็นทุนทรัพย์ 1,740,000 บาท และโจทก์ชำระ ค่าขึ้นศาลในจำนวนดังกล่าว ต่อมาก่อนอ่านคำพิพากษา ศาลชั้นต้น สอบถามโจทก์ โจทก์แถลงว่าคดีนี้พิพาทเฉพาะที่ดินเนื้อที่ 40 ตารางวา ศาลชั้นต้นจึงให้คืนค่าขึ้นศาลซึ่งชำระเกินแก่โจทก์ และโจทก์ได้รับเงินดังกล่าวคืนแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 152) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 154)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว โจทก์แถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 7 ตุลาคม 2536 ของศาลชั้นต้นแล้วว่า ที่ดินพิพาท มีเนื้อที่ 40 ตารางวา อันมีราคา 3,000 บาท ในขณะที่โจทก์อุทธรณ์และฎีกา โจทก์ก็เสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์จำนวนนี้คดีนี้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ 3,000 บาท หาใช่ 1,740,000 บาทไม่จึงเป็นคดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นไม่รับชอบแล้ว ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุก เพราะจำเลย มีรายได้น้อยไม่พอที่จะเป็นเจ้ามือสลากกินรวบได้ โปรดมีคำสั่ง ให้เจ้าหน้าที่คุมประพฤติทำการสืบเสาะประวัติของจำเลยเพื่อ ประกอบการวินิจฉัยต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2487 มาตรา 4,5,10,12 ที่แก้ไขแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 1 ปี ริบของกลาง สำหรับคำขอให้จำเลยจ่ายเงิน สินบนแก่ผู้นำจับเมื่อศาลมิได้สั่งปรับจำเลย จึงให้ยกเสีย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา (อันดับ 29,28) คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 36)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าตามคำร้องของ จำเลยเป็นการขอให้ พนักงานคุมประพฤติไปสืบเสาะเกี่ยวกับฐานะของจำเลยว่า เป็นคนยากจนไม่น่าจะเป็นเจ้ามือการพนันสลากกินรวบซึ่งเป็น การโต้แย้งข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพต่อศาลแล้ว เท่านั้น จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตตามขอ ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุก เพราะจำเลย มีรายได้น้อยไม่พอที่จะเป็นเจ้ามือสลากกินรวบได้ โปรดมีคำสั่ง ให้เจ้าหน้าที่คุมประพฤติทำการสืบเสาะประวัติของจำเลยเพื่อ ประกอบการวินิจฉัยต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2487 มาตรา 4,5,10,12 ที่แก้ไขแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 1 ปี ริบของกลาง สำหรับคำขอให้จำเลยจ่ายเงิน สินบนแก่ผู้นำจับเมื่อศาลมิได้สั่งปรับจำเลย จึงให้ยกเสีย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา (อันดับ 29,28) คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 36)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าตามคำร้องของ จำเลยเป็นการขอให้ พนักงานคุมประพฤติไปสืบเสาะเกี่ยวกับฐานะของจำเลยว่า เป็นคนยากจนไม่น่าจะเป็นเจ้ามือการพนันสลากกินรวบซึ่งเป็น การโต้แย้งข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพต่อศาลแล้ว เท่านั้น จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตตามขอ ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนและการที่ที่ดินพิพาทจะเป็นที่สาธารณประโยชน์ได้นั้น จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดินอย่างไร เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ในที่ดินตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ตำบลวังไก่เถื่อน อำเภอหันคาจังหวัดชัยนาท เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 83 ตารางวา ขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมของคณะกรรมการสภาตำบลวังไก่เถื่อน ครั้งที่ 6/2534 วันที่ 4 มิถุนายน 2534 ห้ามจำเลยทั้งสี่เข้ามา เกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม ศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดีจำเลยที่ 2 จากสารบบความ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 91 แผ่นที่ 2) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 93 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง ฎีกาโจทก์เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง และคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนและการที่ที่ดินพิพาทจะเป็นที่สาธารณประโยชน์ได้นั้น จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดินอย่างไร เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ในที่ดินตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ตำบลวังไก่เถื่อน อำเภอหันคาจังหวัดชัยนาท เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 83 ตารางวา ขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมของคณะกรรมการสภาตำบลวังไก่เถื่อน ครั้งที่ 6/2534 วันที่ 4 มิถุนายน 2534 ห้ามจำเลยทั้งสี่เข้ามา เกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม ศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดีจำเลยที่ 2 จากสารบบความ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 91 แผ่นที่ 2) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 93 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง ฎีกาโจทก์เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง และคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา เนื่องจากจำเลยที่ 2 ได้ย้าย ที่ทำการงานไปยังสำนักงานใหม่เลขที่ 170/7 อาคาร โอเชี่ยนทาวเวอร์1ชั้น3ถนนรัชดาภิเษกตัดใหม่แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2536 และทนายจำเลยที่ 2 ได้ย้ายที่ทำการงานไปยัง สำนักงานใหม่เลขที่ 33/51 หมู่ 13 ถนนสุขาภิบาล 1 ลาดพร้าว แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่29 เมษายน 2536 แต่เจ้าหน้าที่เดินหมายได้นำหมายเรียกและ สำเนาฎีกาไปส่งให้แก่จำเลยที่ 2 ณ ภูมิลำเนาเดิมตามคำฟ้อง จำเลยที่ 2 จึงยังไม่ได้รับหมายเรียกและสำเนาฎีกาดังกล่าว ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ทราบเรื่องโจทก์ฎีกา เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2538 จำเลยที่ 2 มีความประสงค์จะยื่นคำแก้ฎีกา โปรดมีคำสั่ง ให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาฎีกาให้จำเลยที่ 2 หรือ ทนายจำเลยที่ 2 ตามภูมิลำเนาใหม่ด้วย โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง คดีชั้นฎีกาคำสั่งจำหน่ายคดี คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ ค่าเสียหายจำนวน 1,597,912 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำให้การโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัด ยื่นคำให้การและนัดสืบพยานโจทก์หมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 2 ทราบ ให้โจทก์นำส่งภายใน 7 วัน นับแต่วันนี้ มิฉะนั้นจะถือว่าทิ้งฟ้อง ต่อมาเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีมีรายงานเจ้าหน้าที่ว่าโจทก์ไม่ได้นำส่งหมายภายในเวลาที่ ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งเพราะโจทก์ไม่ได้จงใจไม่วางเงินค่านำส่งหมายนัด สืบพยานโจทก์ให้แก่ทนายจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ได้ลงชื่อไว้ท้ายคำร้องทราบคำสั่งของศาลในวันที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งในวันนั้นแล้ว ให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาต่อมาพนักงานเดินหมายมีรายงานการเดินหมายว่า บริษัทจำเลยที่ 2 ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นจึงปิดหมายไว้ตามคำสั่งศาล (อันดับ 79,80) จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 83)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เมื่อจำเลยที่ 2 ย้ายสำนักทำการงานไปแล้ว การที่พนักงานเดินหมายยังคงปิดหมายตามคำสั่ง ของศาลชั้นต้น กรณีก็ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74(2) มาตรา 79 วรรคหนึ่ง จึงให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำเนาฎีกา คำสั่งและหมายนัดแก่จำเลยที่ 2 ณ สำนักงานปัจจุบัน หรือที่ ภูมิลำเนาของทนายจำเลยที่ 2 ตามที่ปรากฏท้ายคำร้องฉบับ ลงวันที่ 10 เมษายน 2538
ความว่า โจทก์ฎีกา เนื่องจากจำเลยที่ 2 ได้ย้าย ที่ทำการงานไปยังสำนักงานใหม่เลขที่ 170/7 อาคาร โอเชี่ยนทาวเวอร์1ชั้น3ถนนรัชดาภิเษกตัดใหม่แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2536 และทนายจำเลยที่ 2 ได้ย้ายที่ทำการงานไปยัง สำนักงานใหม่เลขที่ 33/51 หมู่ 13 ถนนสุขาภิบาล 1 ลาดพร้าว แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่29 เมษายน 2536 แต่เจ้าหน้าที่เดินหมายได้นำหมายเรียกและ สำเนาฎีกาไปส่งให้แก่จำเลยที่ 2 ณ ภูมิลำเนาเดิมตามคำฟ้อง จำเลยที่ 2 จึงยังไม่ได้รับหมายเรียกและสำเนาฎีกาดังกล่าว ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ทราบเรื่องโจทก์ฎีกา เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2538 จำเลยที่ 2 มีความประสงค์จะยื่นคำแก้ฎีกา โปรดมีคำสั่ง ให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาฎีกาให้จำเลยที่ 2 หรือ ทนายจำเลยที่ 2 ตามภูมิลำเนาใหม่ด้วย โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง คดีชั้นฎีกาคำสั่งจำหน่ายคดี คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ ค่าเสียหายจำนวน 1,597,912 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำให้การโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัด ยื่นคำให้การและนัดสืบพยานโจทก์หมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 2 ทราบ ให้โจทก์นำส่งภายใน 7 วัน นับแต่วันนี้ มิฉะนั้นจะถือว่าทิ้งฟ้อง ต่อมาเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีมีรายงานเจ้าหน้าที่ว่าโจทก์ไม่ได้นำส่งหมายภายในเวลาที่ ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งเพราะโจทก์ไม่ได้จงใจไม่วางเงินค่านำส่งหมายนัด สืบพยานโจทก์ให้แก่ทนายจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ได้ลงชื่อไว้ท้ายคำร้องทราบคำสั่งของศาลในวันที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งในวันนั้นแล้ว ให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาต่อมาพนักงานเดินหมายมีรายงานการเดินหมายว่า บริษัทจำเลยที่ 2 ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นจึงปิดหมายไว้ตามคำสั่งศาล (อันดับ 79,80) จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 83)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เมื่อจำเลยที่ 2 ย้ายสำนักทำการงานไปแล้ว การที่พนักงานเดินหมายยังคงปิดหมายตามคำสั่ง ของศาลชั้นต้น กรณีก็ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74(2) มาตรา 79 วรรคหนึ่ง จึงให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำเนาฎีกา คำสั่งและหมายนัดแก่จำเลยที่ 2 ณ สำนักงานปัจจุบัน หรือที่ ภูมิลำเนาของทนายจำเลยที่ 2 ตามที่ปรากฏท้ายคำร้องฉบับ ลงวันที่ 10 เมษายน 2538
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์จึงฎีกาไม่ได้ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพราะต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกาโจทก์ โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ปัญหาที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ หรือไม่ และอายุความเริ่มต้นนับเมื่อใด เป็นฎีกาในปัญหา ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยอันควรจะได้รับ การวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 139) โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกเพิงทำเป็นร้านค้า และเข้าไปดำเนินการกิจการค้าขายในที่ดินโฉนดเลขที่ 3727 เลขที่ดิน 294 หน้าสำรวจ 281 ตำบลบางปะกอก (บางปะกอกฝั่งเหนือ) อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ ของโจทก์เพื่อถือการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวของโจทก์บางส่วน อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข โดยเจตนาทุจริตทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 และ 365 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 134) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 137)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ฎีกา โดยอ้างว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยเรื่องอายุ ความฟ้องร้อง ซึ่งเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย และเป็นสาระสำคัญอันควรสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกานั้น เห็นว่า แม้ข้อที่โจทก์อ้างมาจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นสาระสำคัญหรือไม่ก็ตาม กรณีคดีโจทก์ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ข้างต้น ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์จึงฎีกาไม่ได้ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพราะต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกาโจทก์ โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ปัญหาที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ หรือไม่ และอายุความเริ่มต้นนับเมื่อใด เป็นฎีกาในปัญหา ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยอันควรจะได้รับ การวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 139) โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกเพิงทำเป็นร้านค้า และเข้าไปดำเนินการกิจการค้าขายในที่ดินโฉนดเลขที่ 3727 เลขที่ดิน 294 หน้าสำรวจ 281 ตำบลบางปะกอก (บางปะกอกฝั่งเหนือ) อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ ของโจทก์เพื่อถือการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวของโจทก์บางส่วน อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข โดยเจตนาทุจริตทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 และ 365 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 134) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 137)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ฎีกา โดยอ้างว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยเรื่องอายุ ความฟ้องร้อง ซึ่งเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย และเป็นสาระสำคัญอันควรสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกานั้น เห็นว่า แม้ข้อที่โจทก์อ้างมาจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นสาระสำคัญหรือไม่ก็ตาม กรณีคดีโจทก์ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ข้างต้น ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 แม้ข้อที่โจทก์อ้างมาจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยเรื่องอายุความฟ้องร้องอันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นสาระสำคัญก็ต้องห้ามมิให้ฎีกา
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์จึงฎีกาไม่ได้ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพราะต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ปัญหาที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ และอายุความเริ่มต้นนับเมื่อใด เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยอันควรจะได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 139)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกเพิงทำเป็นร้านค้าและเข้าไปดำเนินการกิจการค้าขายในที่ดินโฉนดเลขที่ 3727เลขที่ดิน 294 หน้าสำรวจ 281 ตำบลบางปะกอก (บางปะกอกฝั่งเหนือ)อำเภอราษฎรณ์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เพื่อถือการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวของโจทก์บางส่วน อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข โดยเจตนาทุจริตทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 และ 365
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 134)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 137)
คำสั่ง
วันที่ 9 เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช 2538
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ฎีกาโดยอ้างว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยเรื่องอายุความฟ้องร้อง ซึ่งเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและเป็นสาระสำคัญอันควรสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกานั้น เห็นว่าแม้ข้อที่โจทก์อ้างมาจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นสาระสำคัญหรือไม่ก็ตามกรณีคดีโจทก์ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 แม้ข้อที่โจทก์อ้างมาจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยเรื่องอายุความฟ้องร้องอันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นสาระสำคัญก็ต้องห้ามมิให้ฎีกา
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์จึงฎีกาไม่ได้ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพราะต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ปัญหาที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ และอายุความเริ่มต้นนับเมื่อใด เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยอันควรจะได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 139)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกเพิงทำเป็นร้านค้าและเข้าไปดำเนินการกิจการค้าขายในที่ดินโฉนดเลขที่ 3727เลขที่ดิน 294 หน้าสำรวจ 281 ตำบลบางปะกอก (บางปะกอกฝั่งเหนือ)อำเภอราษฎรณ์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เพื่อถือการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวของโจทก์บางส่วน อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข โดยเจตนาทุจริตทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 และ 365
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 134)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 137)
คำสั่ง
วันที่ 9 เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช 2538
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ฎีกาโดยอ้างว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยเรื่องอายุความฟ้องร้อง ซึ่งเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและเป็นสาระสำคัญอันควรสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกานั้น เห็นว่าแม้ข้อที่โจทก์อ้างมาจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นสาระสำคัญหรือไม่ก็ตามกรณีคดีโจทก์ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งจำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาภายในระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยายแต่ฎีกาของจำเลยที่ 2 ทุกข้อล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาข้อ 4.1 ที่ว่าโจทก์ฟ้องว่าเหตุเกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2536 แต่นำสืบว่าเหตุเกิดวันที่16 กุมภาพันธ์ 2536 และราคาทรัพย์ที่ถูกลักก็แตกต่างกับราคาตามฟ้องมากนั้น ถือได้ว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ในการ พิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อแตกต่างเป็นเพียง รายละเอียดนั้นไม่ถูกต้อง อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่สมควร ได้รับการวินิจฉัย ขอศาลได้โปรดรับไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบมาตรา 265, 335(1)(7) ประกอบมาตรา 336 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว เรียงกระทงลงโทษ ในความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบมาตรา 265 จำคุกคนละ 6 เดือน ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7) ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ 3 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 99) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)
คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยที่ 2 ไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า วันเกิดเหตุและราคาทรัพย์ตามฟ้อง แตกต่างกับวันเกิดเหตุและราคาทรัพย์ในทางพิจารณา ต้องยกฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง นั้นเห็นว่าข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดมิใช่ข้อสาระสำคัญ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม ดังนั้น ฎีกาจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งจำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาภายในระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยายแต่ฎีกาของจำเลยที่ 2 ทุกข้อล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาข้อ 4.1 ที่ว่าโจทก์ฟ้องว่าเหตุเกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2536 แต่นำสืบว่าเหตุเกิดวันที่16 กุมภาพันธ์ 2536 และราคาทรัพย์ที่ถูกลักก็แตกต่างกับราคาตามฟ้องมากนั้น ถือได้ว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ในการ พิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อแตกต่างเป็นเพียง รายละเอียดนั้นไม่ถูกต้อง อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่สมควร ได้รับการวินิจฉัย ขอศาลได้โปรดรับไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบมาตรา 265, 335(1)(7) ประกอบมาตรา 336 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว เรียงกระทงลงโทษ ในความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบมาตรา 265 จำคุกคนละ 6 เดือน ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7) ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ 3 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 99) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)
คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยที่ 2 ไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า วันเกิดเหตุและราคาทรัพย์ตามฟ้อง แตกต่างกับวันเกิดเหตุและราคาทรัพย์ในทางพิจารณา ต้องยกฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง นั้นเห็นว่าข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดมิใช่ข้อสาระสำคัญ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม ดังนั้น ฎีกาจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามอุทธรณ์ (ฎีกา) ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า พยานหลักฐานโจทก์รับฟังลงโทษ จำเลยไม่ได้ และการกระทำความผิดของจำเลยที่เป็นความผิด สำเร็จแล้ว จะเป็นความผิดฐานอื่นอีกหรือไม่นั้น เป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 41) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีและผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ยกฟ้องความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาและแก้ไขเพิ่มเติมฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 39,40) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 41)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ตามคำรับสารภาพของจำเลย ที่จำเลยฎีกาในข้อ 2.1,2.2 และ 3 พอสรุปได้ว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังลงโทษจำเลยไม่ได้นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ ฎีกาตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ส่วนข้อ 2 ที่จำเลยฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีนี้ต้องสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ ของจำเลยจนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงนั้น เห็นว่าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ศาลย่อมมีอำนาจรับฟังข้อเท็จจริง ตามคำรับสารภาพของจำเลยและพิพากษาลงโทษจำเลย ได้โดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 176 วรรคแรก จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามอุทธรณ์ (ฎีกา) ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า พยานหลักฐานโจทก์รับฟังลงโทษ จำเลยไม่ได้ และการกระทำความผิดของจำเลยที่เป็นความผิด สำเร็จแล้ว จะเป็นความผิดฐานอื่นอีกหรือไม่นั้น เป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 41) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีและผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ยกฟ้องความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาและแก้ไขเพิ่มเติมฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 39,40) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 41)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ตามคำรับสารภาพของจำเลย ที่จำเลยฎีกาในข้อ 2.1,2.2 และ 3 พอสรุปได้ว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังลงโทษจำเลยไม่ได้นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ ฎีกาตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ส่วนข้อ 2 ที่จำเลยฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีนี้ต้องสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ ของจำเลยจนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงนั้น เห็นว่าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ศาลย่อมมีอำนาจรับฟังข้อเท็จจริง ตามคำรับสารภาพของจำเลยและพิพากษาลงโทษจำเลย ได้โดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 176 วรรคแรก จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ฎีกาของจำเลยมีเหตุผลที่จะชนะคดี หากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ตามคำขอของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว หากภายหลังจำเลย ชนะคดีจะทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ดังนั้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรอการมีคำพิพากษาให้จำเลย เป็นบุคคลล้มละลายไว้ก่อนจนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 14 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 114,113)
คำสั่ง ในคดีล้มละลายเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว หากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานมาตามมาตรา 61 แห่ง พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ศาลชั้นต้นก็ต้องดำเนิน กระบวนพิจารณาไปตามนั้น จำเลยจะร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ ศาลชั้นต้นรอการพิพากษาให้จำเลยล้มละลายไว้ในระหว่างฎีกาไม่ได้ และคำขอดังกล่าวไม่ใช่วิธีการคุ้มครองประโยชน์ของจำเลย ในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ฎีกาของจำเลยมีเหตุผลที่จะชนะคดี หากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ตามคำขอของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว หากภายหลังจำเลย ชนะคดีจะทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ดังนั้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรอการมีคำพิพากษาให้จำเลย เป็นบุคคลล้มละลายไว้ก่อนจนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 14 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 114,113)
คำสั่ง ในคดีล้มละลายเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว หากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานมาตามมาตรา 61 แห่ง พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ศาลชั้นต้นก็ต้องดำเนิน กระบวนพิจารณาไปตามนั้น จำเลยจะร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ ศาลชั้นต้นรอการพิพากษาให้จำเลยล้มละลายไว้ในระหว่างฎีกาไม่ได้ และคำขอดังกล่าวไม่ใช่วิธีการคุ้มครองประโยชน์ของจำเลย ในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี เนื่องจากจำเลยทั้งสอง ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดนอกจากเงินเดือนของจำเลยที่ 1 และ เงินบำเหน็จของจำเลยที่ 2 หากภายหลังศาลมีคำพิพากษา ให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายหรือมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เด็ดขาดแล้ว โจทก์จะได้รับความเสียหาย โปรดมีคำสั่ง คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โดยขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อายัดเงินเดือนของจำเลยที่ 1 ไว้เป็นเงินเดือนละ 3,625 บาท และอายัดเงินบำเหน็จของ จำเลยที่ 2 จากสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดพิษณุโลกไว้ จำนวน 173,000 บาท โปรดอนุญาต หมายเหตุ จำเลยทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 120) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา พร้อมยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 114,116)
คำสั่ง คำร้องขอคุ้มครองสิทธิของโจทก์นี้มุ่งประสงค์ให้ศาลฎีกา มีคำสั่งเพื่อคุ้มครองเงินเดือนและเงินบำเหน็จซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับไว้แล้วตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของศาลชั้นต้น ทั้งนี้เพื่อมิให้โจทก์ได้รับความเสียหาย หากภายหลังจำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เก็บเงินเดือนของจำเลยที่ 1และเงินบำเหน็จของจำเลยที่ 2 ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับไว้แล้วตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของศาลชั้นต้นต่อไปในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี เนื่องจากจำเลยทั้งสอง ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดนอกจากเงินเดือนของจำเลยที่ 1 และ เงินบำเหน็จของจำเลยที่ 2 หากภายหลังศาลมีคำพิพากษา ให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายหรือมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เด็ดขาดแล้ว โจทก์จะได้รับความเสียหาย โปรดมีคำสั่ง คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โดยขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อายัดเงินเดือนของจำเลยที่ 1 ไว้เป็นเงินเดือนละ 3,625 บาท และอายัดเงินบำเหน็จของ จำเลยที่ 2 จากสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดพิษณุโลกไว้ จำนวน 173,000 บาท โปรดอนุญาต หมายเหตุ จำเลยทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 120) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา พร้อมยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 114,116)
คำสั่ง คำร้องขอคุ้มครองสิทธิของโจทก์นี้มุ่งประสงค์ให้ศาลฎีกา มีคำสั่งเพื่อคุ้มครองเงินเดือนและเงินบำเหน็จซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับไว้แล้วตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของศาลชั้นต้น ทั้งนี้เพื่อมิให้โจทก์ได้รับความเสียหาย หากภายหลังจำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เก็บเงินเดือนของจำเลยที่ 1และเงินบำเหน็จของจำเลยที่ 2 ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับไว้แล้วตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของศาลชั้นต้นต่อไปในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าพิเคราะห์อุทธรณ์ของโจทก์แล้ว เป็นการโต้แย้งดุลพินิจ ในการดำเนินการกระบวนพิจารณาและการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า โจทก์ทำงานให้กับจำเลยเพื่อรับค่าจ้าง โจทก์จึงเป็นลูกจ้างของจำเลย และศาลแรงงานกลาง ยกคำร้องขออนุญาตสืบพยานโจทก์ต่อโดยไม่มีการไต่สวนนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 86,87) โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายค่าจ้างที่ค้างชำระรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 3,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่ง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว(อันดับ 84) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 85)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย โจทก์อุทธรณ์ข้อแรกโดยอ้างพยานหลักฐานในสำนวนว่าโจทก์ทำงานให้กับจำเลยเพื่อ รับค่าจ้าง โจทก์จึงเป็นลูกจ้างของจำเลย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ ในข้อต่อไปว่า ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ ที่ขอให้โจทก์นำพยานที่เหลือเข้าสืบเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าคำสั่งของศาลแรงงานกลางดังกล่าว เป็นคำสั่งระหว่าง พิจารณาแต่โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวก่อนศาลแรงงานกลาง มีคำพิพากษา จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 226 ประกอบ มาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าพิเคราะห์อุทธรณ์ของโจทก์แล้ว เป็นการโต้แย้งดุลพินิจ ในการดำเนินการกระบวนพิจารณาและการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า โจทก์ทำงานให้กับจำเลยเพื่อรับค่าจ้าง โจทก์จึงเป็นลูกจ้างของจำเลย และศาลแรงงานกลาง ยกคำร้องขออนุญาตสืบพยานโจทก์ต่อโดยไม่มีการไต่สวนนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 86,87) โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายค่าจ้างที่ค้างชำระรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 3,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่ง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว(อันดับ 84) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 85)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย โจทก์อุทธรณ์ข้อแรกโดยอ้างพยานหลักฐานในสำนวนว่าโจทก์ทำงานให้กับจำเลยเพื่อ รับค่าจ้าง โจทก์จึงเป็นลูกจ้างของจำเลย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ ในข้อต่อไปว่า ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ ที่ขอให้โจทก์นำพยานที่เหลือเข้าสืบเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าคำสั่งของศาลแรงงานกลางดังกล่าว เป็นคำสั่งระหว่าง พิจารณาแต่โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวก่อนศาลแรงงานกลาง มีคำพิพากษา จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 226 ประกอบ มาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งฉบับ เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2 ที่ว่า จำเลยร่วมกันกับนายปอนหรือศักดิ์สิทธิลาวิลาศ จัดหางานให้คนหางานอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน หรือไม่ และฎีกาข้อ 3 ที่ว่า คำรับสารภาพของจำเลยชั้นจับกุม จะลงโทษจำเลยตามฟ้องโจทก์ได้หรือไม่ ฎีกาทั้งสองข้อดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายและเป็นสาระแก่คดี โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 107) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนงาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30,82ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้จำคุก 3 ปีจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 103) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 107)
คำสั่ง จำเลยฎีกาในข้อ 2 ว่าพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่โจทก์นำสืบ แสดงว่านายปอนมิได้มีเจตนาจะจัดหางานให้ผู้เสียหายทั้งเจ็ดจำเลยกับนายปอนเพียงแต่อ้างการจัดหางานเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่าบริการ จึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันจัดหางาน โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังมาเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย มีผลเท่ากับ เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา ส่วนฎีกาข้อ 3 นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 นำคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมมาวินิจฉัย ประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์แล้วฟังว่าจำเลยกระทำความผิดฯ จำเลยกลับฎีกาว่าแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพชั้นจับกุม เมื่อโจทก์ มิได้บรรยายฟ้องให้ครบองค์ประกอบความผิดฯ ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ต่างไปจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมา เป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งว่าโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าไม่ถูกต้องตรงไหนอย่างไร เป็นฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยดังกล่าวชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งฉบับ เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2 ที่ว่า จำเลยร่วมกันกับนายปอนหรือศักดิ์สิทธิลาวิลาศ จัดหางานให้คนหางานอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน หรือไม่ และฎีกาข้อ 3 ที่ว่า คำรับสารภาพของจำเลยชั้นจับกุม จะลงโทษจำเลยตามฟ้องโจทก์ได้หรือไม่ ฎีกาทั้งสองข้อดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายและเป็นสาระแก่คดี โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 107) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนงาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30,82ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้จำคุก 3 ปีจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 103) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 107)
คำสั่ง จำเลยฎีกาในข้อ 2 ว่าพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่โจทก์นำสืบ แสดงว่านายปอนมิได้มีเจตนาจะจัดหางานให้ผู้เสียหายทั้งเจ็ดจำเลยกับนายปอนเพียงแต่อ้างการจัดหางานเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่าบริการ จึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันจัดหางาน โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังมาเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย มีผลเท่ากับ เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา ส่วนฎีกาข้อ 3 นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 นำคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมมาวินิจฉัย ประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์แล้วฟังว่าจำเลยกระทำความผิดฯ จำเลยกลับฎีกาว่าแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพชั้นจับกุม เมื่อโจทก์ มิได้บรรยายฟ้องให้ครบองค์ประกอบความผิดฯ ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ต่างไปจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมา เป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งว่าโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าไม่ถูกต้องตรงไหนอย่างไร เป็นฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยดังกล่าวชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|