ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีโจทก์ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง จึงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า กรณีต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 220 ที่แก้ไขใหม่ ไม่น่าจะบัญญัติขึ้นเพื่อที่จะบังคับใช้กับกรณีการยกฟ้อง ตามมาตรา 167 ด้วย คงมีความหมายและบังคับใช้กับการพิพากษา ยกฟ้องในคดี ตามมาตรา 185 เท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ ฎีกาของโจทก์โดยอ้างเหตุตามมาตรา 220 จึงเป็นคำสั่งที่ ผิดพลาดคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ทนายจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 57)
คดีสองสำนวนนี้ โจทก์เป็นบุคคลเดียวกัน ศาลชั้นต้นพิจารณา พิพากษารวมกัน โดยเรียกนางวิไลวิลัยเกษตร จำเลยในสำนวนแรกว่าจำเลยที่ 1 นายวน วิลัยเกษตร จำเลยในสำนวนหลัง ว่าจำเลยที่ 2
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 56)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 57)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 217 ถึง 221 คู่ความมีอำนาจ ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์" และมาตรา 220บัญญัติว่า "ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์" บทบัญญัติทั้งสองมาตรานี้ บัญญัติไว้ในภาค 4 ลักษณะ 2 หมวด 1 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา ซึ่งว่าด้วยเรื่องหลักทั่วไป เกี่ยวกับฎีกา ดังนั้น จึงต้องใช้บังคับกับบรรดาคดีอาญาทุกคดี ที่คู่ความฎีกาต่อศาลฎีกา ไม่ว่าจะเป็นกรณียกฟ้องตาม มาตรา 167 หรือมาตรา 185 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีโจทก์ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง จึงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า กรณีต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 220 ที่แก้ไขใหม่ ไม่น่าจะบัญญัติขึ้นเพื่อที่จะบังคับใช้กับกรณีการยกฟ้อง ตามมาตรา 167 ด้วย คงมีความหมายและบังคับใช้กับการพิพากษา ยกฟ้องในคดี ตามมาตรา 185 เท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ ฎีกาของโจทก์โดยอ้างเหตุตามมาตรา 220 จึงเป็นคำสั่งที่ ผิดพลาดคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ทนายจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 57)
คดีสองสำนวนนี้ โจทก์เป็นบุคคลเดียวกัน ศาลชั้นต้นพิจารณา พิพากษารวมกัน โดยเรียกนางวิไลวิลัยเกษตร จำเลยในสำนวนแรกว่าจำเลยที่ 1 นายวน วิลัยเกษตร จำเลยในสำนวนหลัง ว่าจำเลยที่ 2
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 56)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 57)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 217 ถึง 221 คู่ความมีอำนาจ ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์" และมาตรา 220บัญญัติว่า "ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์" บทบัญญัติทั้งสองมาตรานี้ บัญญัติไว้ในภาค 4 ลักษณะ 2 หมวด 1 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา ซึ่งว่าด้วยเรื่องหลักทั่วไป เกี่ยวกับฎีกา ดังนั้น จึงต้องใช้บังคับกับบรรดาคดีอาญาทุกคดี ที่คู่ความฎีกาต่อศาลฎีกา ไม่ว่าจะเป็นกรณียกฟ้องตาม มาตรา 167 หรือมาตรา 185 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ ชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขแล้วฎีกาจำเลยในข้อ 1 เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับ รับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อ 2
จำเลยเห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติว่าเป็นเรื่องการกู้ยืมเงินคงเหลือเพียงปัญหาการแปลความในข้อสัญญา ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แปลความต่างกันเท่านั้น ดังนั้น การแปลความในสัญญาตามฎีกาในข้อ 1 จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย หาใช่ปัญหาข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในคำฟ้อง ฎีกาของจำเลยไม่ จำเลยมีสิทธิที่จะฎีกาได้ โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 67)
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าอาคารแผงลอยร้านค้าเลขที่ 78/115 ตำบลบางตลาดอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี กลับคืนให้โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระต้นเงินกู้จำนวน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราชั่งละ 1 บาท ต่อเดือนนับแต่วันทำสัญญาจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาบางข้อดังกล่าว(อันดับ 57)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ข้อโต้เถียงตามฎีกาข้อ 1 ของจำเลยที่ว่าโจทก์มีเจตนาโอนสิทธิการเช่าร้านค้า (แผงลอย) พิพาทให้แก่จำเลย โดยเด็ดขาด เพื่อตอบแทนการที่จำเลยยอมให้โจทก์กู้ยืมเงิน จำนวน 70,000 บาท ไม่ใช่โอนเป็นการชั่วคราวเพียงเพื่อเป็นประกัน การกู้ยืมเงินที่โจทก์มีต่อจำเลย เป็นข้อโต้เถียงในข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน สองแสนบาท ห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้น ไม่รับฎีกาข้อ 1 ของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ ชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขแล้วฎีกาจำเลยในข้อ 1 เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับ รับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อ 2
จำเลยเห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติว่าเป็นเรื่องการกู้ยืมเงินคงเหลือเพียงปัญหาการแปลความในข้อสัญญา ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แปลความต่างกันเท่านั้น ดังนั้น การแปลความในสัญญาตามฎีกาในข้อ 1 จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย หาใช่ปัญหาข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในคำฟ้อง ฎีกาของจำเลยไม่ จำเลยมีสิทธิที่จะฎีกาได้ โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 67)
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าอาคารแผงลอยร้านค้าเลขที่ 78/115 ตำบลบางตลาดอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี กลับคืนให้โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระต้นเงินกู้จำนวน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราชั่งละ 1 บาท ต่อเดือนนับแต่วันทำสัญญาจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาบางข้อดังกล่าว(อันดับ 57)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ข้อโต้เถียงตามฎีกาข้อ 1 ของจำเลยที่ว่าโจทก์มีเจตนาโอนสิทธิการเช่าร้านค้า (แผงลอย) พิพาทให้แก่จำเลย โดยเด็ดขาด เพื่อตอบแทนการที่จำเลยยอมให้โจทก์กู้ยืมเงิน จำนวน 70,000 บาท ไม่ใช่โอนเป็นการชั่วคราวเพียงเพื่อเป็นประกัน การกู้ยืมเงินที่โจทก์มีต่อจำเลย เป็นข้อโต้เถียงในข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน สองแสนบาท ห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้น ไม่รับฎีกาข้อ 1 ของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา และยื่นคำแถลงขอให้ศาลมีคำสั่ง งดให้จำเลยทั้งสองชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้แก่โจทก์ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสอง นำค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความมาชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองเห็นว่า ในชั้นอุทธรณ์เมื่อจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้นแล้ว ดังนั้นเมื่อจำเลยทั้งสองฎีกาจึงไม่ต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นอีกเพราะเป็นการ ซ้ำซ้อนกันโปรดมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองงดชำระค่าฤชาธรรมเนียม และค่าทนายความในศาลชั้นต้นด้วยโปรดอนุญาต
หมายเหตุ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 93,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 8 ธันวาคม 2533) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 47,500 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตาม ทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความ รวม 2,000 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา (อันดับ 96)
จำเลยทั้งสองยื่นคำแถลงของ ด. ชำระค่าธรรมเนียมและ ค่าทนายความในศาลชั้นต้น และค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ไว้ก่อน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมให้ครบภายใน 15 วัน นับแต่วันนี้ มิฉะนั้นถือว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฎีกา (อันดับ 95)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษา ศาลชั้นต้น โดยให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะ ค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ ดังนั้น ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นที่จำเลยทั้งสองวางศาล ใช้แทนโจทก์ขณะยื่นอุทธรณ์จึงไม่เท่ากับที่จำเลยทั้งสองต้อง ใช้แทนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และจำเลยมีสิทธิที่จะนำ เงิน ที่วางไว้แล้วมาหักจากค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แทน โจทก์ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ โดยถือว่าได้ชำระไว้ บางส่วนแล้ว แต่จะขอให้ ด. ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและ ค่าทนายความไว้ก่อนตามคำร้อง ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2537 ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้อง ดังกล่าวให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียม ให้ครบจึงชอบแล้ว การที่จำเลย ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของ ศาลชั้นต้นดังกล่าว โดยขอให้ ด. ชำระ เฉพาะค่าฤชาธรรมเนียม และค่าทนายความในศาลชั้นต้นนั้น ไม่ตรงกับ ข้ออ้างใน คำร้องดังกล่าวเป็นการไม่ชอบ แต่เห็นสมควรให้โอกาส จำเลย โดยให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์ ตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภายใน 15 วัน นับแต่ทราบคำสั่งนี้ ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา และยื่นคำแถลงขอให้ศาลมีคำสั่ง งดให้จำเลยทั้งสองชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้แก่โจทก์ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสอง นำค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความมาชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองเห็นว่า ในชั้นอุทธรณ์เมื่อจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้นแล้ว ดังนั้นเมื่อจำเลยทั้งสองฎีกาจึงไม่ต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นอีกเพราะเป็นการ ซ้ำซ้อนกันโปรดมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองงดชำระค่าฤชาธรรมเนียม และค่าทนายความในศาลชั้นต้นด้วยโปรดอนุญาต
หมายเหตุ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 93,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 8 ธันวาคม 2533) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 47,500 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตาม ทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความ รวม 2,000 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา (อันดับ 96)
จำเลยทั้งสองยื่นคำแถลงของ ด. ชำระค่าธรรมเนียมและ ค่าทนายความในศาลชั้นต้น และค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ไว้ก่อน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมให้ครบภายใน 15 วัน นับแต่วันนี้ มิฉะนั้นถือว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฎีกา (อันดับ 95)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษา ศาลชั้นต้น โดยให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะ ค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ ดังนั้น ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นที่จำเลยทั้งสองวางศาล ใช้แทนโจทก์ขณะยื่นอุทธรณ์จึงไม่เท่ากับที่จำเลยทั้งสองต้อง ใช้แทนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และจำเลยมีสิทธิที่จะนำ เงิน ที่วางไว้แล้วมาหักจากค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แทน โจทก์ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ โดยถือว่าได้ชำระไว้ บางส่วนแล้ว แต่จะขอให้ ด. ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและ ค่าทนายความไว้ก่อนตามคำร้อง ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2537 ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้อง ดังกล่าวให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียม ให้ครบจึงชอบแล้ว การที่จำเลย ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของ ศาลชั้นต้นดังกล่าว โดยขอให้ ด. ชำระ เฉพาะค่าฤชาธรรมเนียม และค่าทนายความในศาลชั้นต้นนั้น ไม่ตรงกับ ข้ออ้างใน คำร้องดังกล่าวเป็นการไม่ชอบ แต่เห็นสมควรให้โอกาส จำเลย โดยให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์ ตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภายใน 15 วัน นับแต่ทราบคำสั่งนี้ ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับ คืนค่าขึ้นศาล ทั้งหมดให้จำเลย
จำเลยเห็นว่า ตามฎีกาของจำเลยเป็นเรื่องการตีความสัญญาจองอาคารเอกสารหมาย จ.10 ล.2 ข้อ 5 โดยพิจารณาจาก ข้อความในสัญญาและจากข้อเท็จจริงที่ฟังยุติแล้วในการส่งเงิน ค่าเช่า ค่าบำรุงของจำเลย และในเรื่องดังกล่าวศาลชั้นต้น กลับไปวินิจฉัยว่าเรื่องค่าเช่าค่าบำรุงจำเลยปฏิบัติผิดสัญญา ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีไม่ถูกต้องและครบถ้วน ตามข้อเท็จจริงที่ได้จากการนำสืบพยานบุคคลและเอกสารของโจทก์ และจำเลย จึงเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติว่าด้วย กระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 140)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 3,680 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจาก อาคารเลขที่ 131/1 ถนนชุมพล ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา และส่งมอบอาคารคืน แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย กับให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบอาคารคืนแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้อง ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 132)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 136)
คำสั่ง
ฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของ จำเลยต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเป็นคำวินิจฉัยที่ ไม่ถูกต้องนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายจึงให้รับฎีกาเฉพาะข้อที่กล่าวนี้ไว้
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับ คืนค่าขึ้นศาล ทั้งหมดให้จำเลย
จำเลยเห็นว่า ตามฎีกาของจำเลยเป็นเรื่องการตีความสัญญาจองอาคารเอกสารหมาย จ.10 ล.2 ข้อ 5 โดยพิจารณาจาก ข้อความในสัญญาและจากข้อเท็จจริงที่ฟังยุติแล้วในการส่งเงิน ค่าเช่า ค่าบำรุงของจำเลย และในเรื่องดังกล่าวศาลชั้นต้น กลับไปวินิจฉัยว่าเรื่องค่าเช่าค่าบำรุงจำเลยปฏิบัติผิดสัญญา ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีไม่ถูกต้องและครบถ้วน ตามข้อเท็จจริงที่ได้จากการนำสืบพยานบุคคลและเอกสารของโจทก์ และจำเลย จึงเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติว่าด้วย กระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 140)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 3,680 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจาก อาคารเลขที่ 131/1 ถนนชุมพล ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา และส่งมอบอาคารคืน แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย กับให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบอาคารคืนแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้อง ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 132)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 136)
คำสั่ง
ฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของ จำเลยต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเป็นคำวินิจฉัยที่ ไม่ถูกต้องนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายจึงให้รับฎีกาเฉพาะข้อที่กล่าวนี้ไว้
ความว่า ผู้ร้องฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการ บังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,076,328.76 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย แต่จำเลยไม่ชำระโจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและ นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน 11 แปลงโฉนดเลขที่ 10628,10629,10646 ถึง 10654 ตำบลแสนแสบ (ศรีษะคู้) อำเภอมีนบุรี (แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่พิพาท ที่โจทก์นำยึดนั้นเป็นของผู้ร้องซึ่งใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือโฉนด แทนมิใช่ของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ขอให้ปล่อยทรัพย์ คืนแก่ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 63,62)
ชั้นอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับแต่ไม่ ปรากฏคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในสำนวน
คำสั่ง
คำร้องของ ผู้ร้องพอแปลได้ว่า ผู้ร้องขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรให้งดการขายหรือจำหน่ายทรัพย์พิพาทไว้ในระหว่างฎีกา
ความว่า ผู้ร้องฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการ บังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,076,328.76 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย แต่จำเลยไม่ชำระโจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและ นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน 11 แปลงโฉนดเลขที่ 10628,10629,10646 ถึง 10654 ตำบลแสนแสบ (ศรีษะคู้) อำเภอมีนบุรี (แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่พิพาท ที่โจทก์นำยึดนั้นเป็นของผู้ร้องซึ่งใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือโฉนด แทนมิใช่ของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ขอให้ปล่อยทรัพย์ คืนแก่ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 63,62)
ชั้นอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับแต่ไม่ ปรากฏคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในสำนวน
คำสั่ง
คำร้องของ ผู้ร้องพอแปลได้ว่า ผู้ร้องขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรให้งดการขายหรือจำหน่ายทรัพย์พิพาทไว้ในระหว่างฎีกา
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นมาเฉพาะตัวฎีกา แต่ไม่ได้ยื่นเสียค่าขึ้นศาลมาด้วย จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยยื่นฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายเวลา วางเงินค่าธรรมเนียมศาลแล้วแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้นมิได้กำหนดว่าหากไม่ยื่นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาพร้อมฎีกาจะต้องยกฎีกา แต่ศาลจะกำหนดวันให้มาชำระค่าขึ้นศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 โปรดมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาวางเงิน กับขอให้มีคำสั่งทุเลา การบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 393,750 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะใช้เงินให้แก่โจทก์เสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงิน ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา และคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นมี คำสั่งไม่รับฎีกา และสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินว่า เป็นกรณีจำเลยยื่นเฉพาะตัวฎีกาในวันนี้แต่ขอผ่อนผันคือขอขยายการวางเงินค่าขึ้นศาลมา ไม่มีเหตุอนุญาต ยกคำร้องและสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับว่า ศาลไม่รับฎีกา จึงไม่อนุญาตยกคำร้อง (อันดับ 144,142 แผ่นที่ 1, ที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 145)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เป็นกรณีที่จำเลยฎีกาโดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมฎีกา เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229,247 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอผ่อนผันการวางเงินดังกล่าว ศาลก็มีคำสั่งไม่อนุญาต ดังนี้ศาลชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยได้ทันที กรณีไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือ วางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับ หรือไม่รับคำคู่ความ เช่นนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นมาเฉพาะตัวฎีกา แต่ไม่ได้ยื่นเสียค่าขึ้นศาลมาด้วย จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยยื่นฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายเวลา วางเงินค่าธรรมเนียมศาลแล้วแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้นมิได้กำหนดว่าหากไม่ยื่นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาพร้อมฎีกาจะต้องยกฎีกา แต่ศาลจะกำหนดวันให้มาชำระค่าขึ้นศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 โปรดมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาวางเงิน กับขอให้มีคำสั่งทุเลา การบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 393,750 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะใช้เงินให้แก่โจทก์เสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงิน ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา และคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นมี คำสั่งไม่รับฎีกา และสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินว่า เป็นกรณีจำเลยยื่นเฉพาะตัวฎีกาในวันนี้แต่ขอผ่อนผันคือขอขยายการวางเงินค่าขึ้นศาลมา ไม่มีเหตุอนุญาต ยกคำร้องและสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับว่า ศาลไม่รับฎีกา จึงไม่อนุญาตยกคำร้อง (อันดับ 144,142 แผ่นที่ 1, ที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 145)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เป็นกรณีที่จำเลยฎีกาโดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมฎีกา เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229,247 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอผ่อนผันการวางเงินดังกล่าว ศาลก็มีคำสั่งไม่อนุญาต ดังนี้ศาลชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยได้ทันที กรณีไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือ วางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับ หรือไม่รับคำคู่ความ เช่นนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
กรณีที่จำเลยฎีกาโดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้อง ใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมฎีกา เป็นการไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229,247 เมื่อจำเลย ยื่นคำร้องขอผ่อนผันการวางเงินดังกล่าว ศาลก็มีคำสั่ง ไม่อนุญาต ดังนี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ได้ทันที กรณีไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาล ให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นมาเฉพาะตัวฎีกาแต่ไม่ได้ยื่นเสียค่าขึ้นศาลมาด้วยจึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยยื่นฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายเวลา วางเงินค่าธรรมเนียมศาลแล้ว แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้น มิได้กำหนดว่าหากไม่ยื่นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาพร้อมฎีกาจะต้อง ยกฎีกา แต่ศาลจะกำหนดวันให้มาชำระค่าขึ้นศาลได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 โปรดมีคำสั่ง อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาวางเงิน กับขอให้มีคำสั่ง ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 393,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะใช้เงินให้แก่โจทก์เสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงิน ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา และคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับฎีกา และสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินว่า เป็นกรณีจำเลยยื่นเฉพาะตัวฎีกาในวันนี้แต่ขอผ่อนผันคือ ขอขยายการวางเงินค่าขึ้นศาลมา ไม่มีเหตุ อนุญาต ยกคำร้อง และสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับว่า ศาลไม่รับฎีกา จึงไม่อนุญาต ยกคำร้อง (อันดับ 144,142 แผ่นที่ 1, ที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 145)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เป็นกรณีที่จำเลยฎีกาโดยไม่ได้ นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมฎีกา เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229,247 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอผ่อนผันการวางเงินดังกล่าว ศาลก็มีคำสั่งไม่อนุญาตดังนี้ศาลชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยได้ทันที กรณีไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือวาง ค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือ ไม่รับคำคู่ความ เช่นนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
กรณีที่จำเลยฎีกาโดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้อง ใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมฎีกา เป็นการไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229,247 เมื่อจำเลย ยื่นคำร้องขอผ่อนผันการวางเงินดังกล่าว ศาลก็มีคำสั่ง ไม่อนุญาต ดังนี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ได้ทันที กรณีไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาล ให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นมาเฉพาะตัวฎีกาแต่ไม่ได้ยื่นเสียค่าขึ้นศาลมาด้วยจึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยยื่นฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายเวลา วางเงินค่าธรรมเนียมศาลแล้ว แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้น มิได้กำหนดว่าหากไม่ยื่นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาพร้อมฎีกาจะต้อง ยกฎีกา แต่ศาลจะกำหนดวันให้มาชำระค่าขึ้นศาลได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 โปรดมีคำสั่ง อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาวางเงิน กับขอให้มีคำสั่ง ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 393,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะใช้เงินให้แก่โจทก์เสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงิน ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา และคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับฎีกา และสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินว่า เป็นกรณีจำเลยยื่นเฉพาะตัวฎีกาในวันนี้แต่ขอผ่อนผันคือ ขอขยายการวางเงินค่าขึ้นศาลมา ไม่มีเหตุ อนุญาต ยกคำร้อง และสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับว่า ศาลไม่รับฎีกา จึงไม่อนุญาต ยกคำร้อง (อันดับ 144,142 แผ่นที่ 1, ที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 145)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เป็นกรณีที่จำเลยฎีกาโดยไม่ได้ นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมฎีกา เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229,247 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอผ่อนผันการวางเงินดังกล่าว ศาลก็มีคำสั่งไม่อนุญาตดังนี้ศาลชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยได้ทันที กรณีไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือวาง ค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือ ไม่รับคำคู่ความ เช่นนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการ บังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 156)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทตามแผนที่พิพาทกลาง คำขอที่เกี่ยวกับค่าเสียหายให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 151,150)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้อง (อันดับ 138)
คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ มิได้บังคับโจทก์ ให้ปฏิบัติอย่างไร จึงไม่มีอะไรจะทุเลาการบังคับ ยกคำร้องของโจทก์
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการ บังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 156)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทตามแผนที่พิพาทกลาง คำขอที่เกี่ยวกับค่าเสียหายให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 151,150)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้อง (อันดับ 138)
คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ มิได้บังคับโจทก์ ให้ปฏิบัติอย่างไร จึงไม่มีอะไรจะทุเลาการบังคับ ยกคำร้องของโจทก์
ความว่า โจทก์ฎีกา โจทก์เห็นว่า คดีนี้ไม่มีเหตุผลสมควรที่จะให้ทุเลาการบังคับได้ประกอบกับทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งหมดที่พิพาทในคดีนี้ จำเลยเป็นผู้เก็บไว้ทั้งหมด และขณะนี้โจทก์ก็ไม่ทราบว่าจำเลยได้จำหน่ายจ่ายโอนหรือก่อภาระติดพันเกี่ยวกับ ทรัพย์สินดังกล่าวไปอย่างใดบ้าง หากศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ ชนะคดีก็อาจไม่มีทรัพย์ที่โจทก์จะบังคับคดีได้ จึงขอศาลฎีกา ได้โปรดมีคำสั่งให้จำเลยนำหลักทรัพย์เท่ากับทุนทรัพย์ที่โจทก์ ได้ยื่นฎีกาให้จำเลยชำระให้แก่โจทก์จำนวน 36,510,000 บาท มาวางต่อศาลเป็นประกันในระหว่างที่ศาลฎีกายังมิได้มีคำพิพากษา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 183 แผ่นที่ 4)
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้ถึงแก่กรรมนางซุ่ยเง็กแซ่โซว ซึ่งเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะ ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดก ของนายปรีดาใยมณี แก่โจทก์ในฐานเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยผู้หนึ่งจำนวน 6,240,000 บาท
โจทก์และจำเลยต่างฎีกา (อันดับ 165,161)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 176)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การที่โจทก์ขอให้จำเลยนำหลักทรัพย์ เท่ากับทุนทรัพย์ที่โจทก์ฎีกามาวางศาลในระหว่างการพิจารณาของ ศาลฎีกา มีผลเท่ากับบังคับให้จำเลยหาประกันมาวางศาลเพื่อโจทก์ จะบังคับคดีเอาแก่หลักทรัพย์ที่จำเลยนำมาวางศาลได้หากโจทก์ ชนะคดีตามที่ฎีกา แต่การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่าง การพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 นั้น จะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องขอ เพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันได้รับความ คุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษา ดังนั้น โจทก์จะขอ ให้จำเลยนำหลักทรัพย์มาวางศาลตามมาตรานี้ไม่ได้ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา โจทก์เห็นว่า คดีนี้ไม่มีเหตุผลสมควรที่จะให้ทุเลาการบังคับได้ประกอบกับทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งหมดที่พิพาทในคดีนี้ จำเลยเป็นผู้เก็บไว้ทั้งหมด และขณะนี้โจทก์ก็ไม่ทราบว่าจำเลยได้จำหน่ายจ่ายโอนหรือก่อภาระติดพันเกี่ยวกับ ทรัพย์สินดังกล่าวไปอย่างใดบ้าง หากศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ ชนะคดีก็อาจไม่มีทรัพย์ที่โจทก์จะบังคับคดีได้ จึงขอศาลฎีกา ได้โปรดมีคำสั่งให้จำเลยนำหลักทรัพย์เท่ากับทุนทรัพย์ที่โจทก์ ได้ยื่นฎีกาให้จำเลยชำระให้แก่โจทก์จำนวน 36,510,000 บาท มาวางต่อศาลเป็นประกันในระหว่างที่ศาลฎีกายังมิได้มีคำพิพากษา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 183 แผ่นที่ 4)
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้ถึงแก่กรรมนางซุ่ยเง็กแซ่โซว ซึ่งเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะ ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดก ของนายปรีดาใยมณี แก่โจทก์ในฐานเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยผู้หนึ่งจำนวน 6,240,000 บาท
โจทก์และจำเลยต่างฎีกา (อันดับ 165,161)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 176)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การที่โจทก์ขอให้จำเลยนำหลักทรัพย์ เท่ากับทุนทรัพย์ที่โจทก์ฎีกามาวางศาลในระหว่างการพิจารณาของ ศาลฎีกา มีผลเท่ากับบังคับให้จำเลยหาประกันมาวางศาลเพื่อโจทก์ จะบังคับคดีเอาแก่หลักทรัพย์ที่จำเลยนำมาวางศาลได้หากโจทก์ ชนะคดีตามที่ฎีกา แต่การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่าง การพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 นั้น จะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องขอ เพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันได้รับความ คุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษา ดังนั้น โจทก์จะขอ ให้จำเลยนำหลักทรัพย์มาวางศาลตามมาตรานี้ไม่ได้ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาของจำเลยทุกข้อล้วนโต้เถียง ดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ถือเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลย เป็นการ ป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ให้จำคุก 4 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การ พิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ริบมีดขอของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 2 ปีเมื่อลดโทษหนึ่งในสามตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย คงเหลือเป็น โทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน ไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 85)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง
จำเลยฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะเกิดเหตุมิได้เป็นไปตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จึงเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาของจำเลยทุกข้อล้วนโต้เถียง ดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ถือเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลย เป็นการ ป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ให้จำคุก 4 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การ พิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ริบมีดขอของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 2 ปีเมื่อลดโทษหนึ่งในสามตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย คงเหลือเป็น โทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน ไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 85)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง
จำเลยฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะเกิดเหตุมิได้เป็นไปตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จึงเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็น ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า จำเลยได้ชำระเงินบางส่วนในมูลหนี้เดิมให้โจทก์แล้ว ย่อมถือว่าเป็นการยอมความนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 เนื่องจากจำเลยได้ชำระหนี้ในมูลหนี้เดิมบางส่วนแล้วจนเหลือ กลายเป็นเช็คพิพาท เห็นควรลงโทษสถานเบา ให้จำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 117)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 118)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี คู่ความย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาโดยอ้างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 5 ว่าการกระทำของจำเลยที่ได้ชำระเงินในมูลหนี้เดิมให้แก่โจทก์บางส่วน เป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายจำเลยไม่ควรต้องรับโทษ ดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษานั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ในศาลล่างทั้งสอง ทั้งข้อที่ว่าจำเลยได้ชำระเงินในมูลหนี้เดิม ให้แก่โจทก์บางส่วนหรือไม่ก็เป็นปัญหาในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็น ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า จำเลยได้ชำระเงินบางส่วนในมูลหนี้เดิมให้โจทก์แล้ว ย่อมถือว่าเป็นการยอมความนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 เนื่องจากจำเลยได้ชำระหนี้ในมูลหนี้เดิมบางส่วนแล้วจนเหลือ กลายเป็นเช็คพิพาท เห็นควรลงโทษสถานเบา ให้จำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 117)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 118)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี คู่ความย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาโดยอ้างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 5 ว่าการกระทำของจำเลยที่ได้ชำระเงินในมูลหนี้เดิมให้แก่โจทก์บางส่วน เป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายจำเลยไม่ควรต้องรับโทษ ดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษานั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ในศาลล่างทั้งสอง ทั้งข้อที่ว่าจำเลยได้ชำระเงินในมูลหนี้เดิม ให้แก่โจทก์บางส่วนหรือไม่ก็เป็นปัญหาในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า เนื่องจาก ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการ บังคับจำเลยในเรื่องขับไล่ไว้ในระหว่างฎีกา ส่วนที่ให้ใช้ ค่าเสียหายให้จำเลยหาประกันสำหรับจำนวนค่าเสียหายที่จะต้อง ชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กับค่าเสียหายอีกปีละ 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นเวลาหกปีมาวางจนเป็นที่พอใจ และภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ได้ หาหลักประกันมาวางศาล ศาลจึงยกคำร้องในส่วนนี้ โจทก์ได้นำ เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาด เอาเงินมาชำระค่าเสียหาย ปรากฏว่ายึดได้เพียงบ้านเพียงหลังเดียวเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายถึง 2 ครั้ง แต่ยังไม่สามารถขายได้ จึงต้องประกาศขายใหม่ ปรากฏตามรายงานของเจ้าพนักงาน บังคับคดีในการประกาศขายใหม่เชื่อว่าไม่มีใครที่จะประมูลราคา สูงกว่า 8,300 บาท นอกจากนี้แล้วจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใด ที่จะยึดมาขายทอดตลาดได้ แต่จำเลยถือโอกาสตามคำสั่งศาลฎีกา ให้ทุเลาการบังคับในการขับไล่ จึงไม่วางเงินประกัน และไม่ยอมออกจากที่พิพาทจนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษาซึ่งอาจเป็นเวลา อีกนาน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างมากและโจทก์ยังไม่ได้ เข้าครอบครองทรัพย์หรือเก็บผลประโยชน์ในทรัพย์พิพาท เนื่องจาก จำเลยได้ครอบครองตลอดมา และไม่เคยชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ และขณะนี้จำเลยได้นำที่พิพาทไปให้ผู้อื่นเช่า เก็บค่าเช่าไปเป็น ประโยชน์ของตนเอง และพยายามประวิงคดีตลอดมา คดีของจำเลย ไม่มีทางที่จะชนะโจทก์ได้ เพราะในคดีแพ่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษา คดีถึงที่สุดแล้วว่า จำเลยได้ทำหนังสือเลิกการเช่าที่นาพิพาท ไว้ต่อหน้านายอำเภอ หรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมายไว้และได้รับ เงินค่ารื้อถอนบ้านเรือนไปจากเจ้าของที่ดินเดิมแล้ว จำเลย จึงไม่มีสิทธิที่จะเช่าต่อไป ขอศาลได้โปรดมีคำสั่งยกเลิกคำสั่ง ที่ให้ทุเลาการบังคับในเรื่องขับไล่เสียและบังคับคดีต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยพร้อมทั้งบริวารและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างขนย้ายออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 23414 ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 80,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ปีละ 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลา การบังคับ (อันดับ 109,110)
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว ที่ให้ขับไล่นั้นอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา ส่วนที่ให้ใช้ค่าเสียหาย ถ้าจำเลยหาประกันสำหรับจำนวนค่าเสียหายที่ต้องชำระ แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กับค่าเสียหายอีกปีละสี่หมื่น บาท นับแต่วันฟ้องเป็นเวลาหกปีมาวางจนเป็นที่ พอใจและภายในเวลา ที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้องในส่วนนี้
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 131)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า เนื่องจาก ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการ บังคับจำเลยในเรื่องขับไล่ไว้ในระหว่างฎีกา ส่วนที่ให้ใช้ ค่าเสียหายให้จำเลยหาประกันสำหรับจำนวนค่าเสียหายที่จะต้อง ชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กับค่าเสียหายอีกปีละ 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นเวลาหกปีมาวางจนเป็นที่พอใจ และภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ได้ หาหลักประกันมาวางศาล ศาลจึงยกคำร้องในส่วนนี้ โจทก์ได้นำ เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาด เอาเงินมาชำระค่าเสียหาย ปรากฏว่ายึดได้เพียงบ้านเพียงหลังเดียวเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายถึง 2 ครั้ง แต่ยังไม่สามารถขายได้ จึงต้องประกาศขายใหม่ ปรากฏตามรายงานของเจ้าพนักงาน บังคับคดีในการประกาศขายใหม่เชื่อว่าไม่มีใครที่จะประมูลราคา สูงกว่า 8,300 บาท นอกจากนี้แล้วจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใด ที่จะยึดมาขายทอดตลาดได้ แต่จำเลยถือโอกาสตามคำสั่งศาลฎีกา ให้ทุเลาการบังคับในการขับไล่ จึงไม่วางเงินประกัน และไม่ยอมออกจากที่พิพาทจนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษาซึ่งอาจเป็นเวลา อีกนาน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างมากและโจทก์ยังไม่ได้ เข้าครอบครองทรัพย์หรือเก็บผลประโยชน์ในทรัพย์พิพาท เนื่องจาก จำเลยได้ครอบครองตลอดมา และไม่เคยชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ และขณะนี้จำเลยได้นำที่พิพาทไปให้ผู้อื่นเช่า เก็บค่าเช่าไปเป็น ประโยชน์ของตนเอง และพยายามประวิงคดีตลอดมา คดีของจำเลย ไม่มีทางที่จะชนะโจทก์ได้ เพราะในคดีแพ่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษา คดีถึงที่สุดแล้วว่า จำเลยได้ทำหนังสือเลิกการเช่าที่นาพิพาท ไว้ต่อหน้านายอำเภอ หรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมายไว้และได้รับ เงินค่ารื้อถอนบ้านเรือนไปจากเจ้าของที่ดินเดิมแล้ว จำเลย จึงไม่มีสิทธิที่จะเช่าต่อไป ขอศาลได้โปรดมีคำสั่งยกเลิกคำสั่ง ที่ให้ทุเลาการบังคับในเรื่องขับไล่เสียและบังคับคดีต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยพร้อมทั้งบริวารและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างขนย้ายออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 23414 ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 80,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ปีละ 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลา การบังคับ (อันดับ 109,110)
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว ที่ให้ขับไล่นั้นอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา ส่วนที่ให้ใช้ค่าเสียหาย ถ้าจำเลยหาประกันสำหรับจำนวนค่าเสียหายที่ต้องชำระ แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กับค่าเสียหายอีกปีละสี่หมื่น บาท นับแต่วันฟ้องเป็นเวลาหกปีมาวางจนเป็นที่ พอใจและภายในเวลา ที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้องในส่วนนี้
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 131)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้เป็นคดี มีทุนทรัพย์ 169,128 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน จำนวน 122,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน กรณีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ฎีกาของจำเลยล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งสิ้น จึงไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ก. และข้อ 2 ข. ที่ว่า โจทก์เข้าเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ แทนบริษัทศรีเหมราช จำกัด ผู้ค้ำประกันเดิมโดยจำเลยมิได้รับรู้ โจทก์จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย เมื่อโจทก์ ชำระหนี้แทนจำเลยเป็นการจัดการงานนอกสั่ง โจทก์ต้องฟ้องธนาคารอาคารสงเคราะห์เพื่อเรียกคืนเงินอันเป็นลาภมิควรได้และฎีกาข้อ 2 ค. ที่ว่า ศาลตีความจากสัญญาฉบับที่โจทก์ทำกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ไม่ชอบ เพราะสัญญาเอกสารหมาย จ.2 ที่ทำขึ้นในขณะจำเลยกู้เงินและบริษัทศรีเหมราช จำกัดเป็นผู้ค้ำประกัน หาได้มีการยกเลิกและยังมีผลสมบูรณ์ใช้ได้ หากศาลตีความจากสัญญาฉบับนี้ จำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดีนั้น ล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 106)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 122,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 กันยายน 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ดอกเบี้ยก่อนฟ้องไม่เกิน 47,128.76 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 96)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจำเลย และโจทก์ได้ชำระหนี้ ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์แทนจำเลยแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิไล่เบี้ยจำนวนเงินที่ชำระพร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยได้ การที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยก็ดี โจทก์ไปชำระหนี้โดยไม่บอกกล่าวจำเลยก็ดี และจำเลยมิได้ผิดสัญญากับธนาคารอาคารสงเคราะห์ก็ดีนั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้เป็นคดี มีทุนทรัพย์ 169,128 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน จำนวน 122,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน กรณีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ฎีกาของจำเลยล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งสิ้น จึงไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ก. และข้อ 2 ข. ที่ว่า โจทก์เข้าเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ แทนบริษัทศรีเหมราช จำกัด ผู้ค้ำประกันเดิมโดยจำเลยมิได้รับรู้ โจทก์จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย เมื่อโจทก์ ชำระหนี้แทนจำเลยเป็นการจัดการงานนอกสั่ง โจทก์ต้องฟ้องธนาคารอาคารสงเคราะห์เพื่อเรียกคืนเงินอันเป็นลาภมิควรได้และฎีกาข้อ 2 ค. ที่ว่า ศาลตีความจากสัญญาฉบับที่โจทก์ทำกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ไม่ชอบ เพราะสัญญาเอกสารหมาย จ.2 ที่ทำขึ้นในขณะจำเลยกู้เงินและบริษัทศรีเหมราช จำกัดเป็นผู้ค้ำประกัน หาได้มีการยกเลิกและยังมีผลสมบูรณ์ใช้ได้ หากศาลตีความจากสัญญาฉบับนี้ จำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดีนั้น ล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 106)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 122,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 กันยายน 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ดอกเบี้ยก่อนฟ้องไม่เกิน 47,128.76 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 96)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจำเลย และโจทก์ได้ชำระหนี้ ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์แทนจำเลยแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิไล่เบี้ยจำนวนเงินที่ชำระพร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยได้ การที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยก็ดี โจทก์ไปชำระหนี้โดยไม่บอกกล่าวจำเลยก็ดี และจำเลยมิได้ผิดสัญญากับธนาคารอาคารสงเคราะห์ก็ดีนั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา หากศาลฎีกามีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย จำเลยมีทางชนะคดีโจทก์ และการบังคับคดีจะทำให้จำเลยเดือด ร้อนเสียหาย โปรดอนุญาต ให้ทุเลาการบังคับไว้จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำสั่งคำร้องอุทธรณ์ คำสั่งไม่รับฎีกา
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 101,108)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 122,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 กันยายน 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยก่อนฟ้องไม่เกิน 47,128.76 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 96)
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98,99)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับโดย วางหลักประกันและทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 74,81,83)
คำสั่ง
ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้องแล้ว จึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา หากศาลฎีกามีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย จำเลยมีทางชนะคดีโจทก์ และการบังคับคดีจะทำให้จำเลยเดือด ร้อนเสียหาย โปรดอนุญาต ให้ทุเลาการบังคับไว้จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำสั่งคำร้องอุทธรณ์ คำสั่งไม่รับฎีกา
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 101,108)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 122,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 กันยายน 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยก่อนฟ้องไม่เกิน 47,128.76 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 96)
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98,99)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับโดย วางหลักประกันและทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 74,81,83)
คำสั่ง
ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้องแล้ว จึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไม่เกิน 5 ปีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรค 1จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เห็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 วรรคแรกโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 155)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11,62 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ปรับคนละ 1,800 บาท กระทงหนึ่ง ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดย ไม่ได้รับอนุญาตให้ปรับคนละ 1,800 บาท กระทงหนึ่ง จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองฯ มาตรา 11,62 วรรคหนึ่ง ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดย ไม่ได้รับอนุญาตให้จำคุก 1 เดือน กระทงหนึ่ง จำเลยทั้งสี่ มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26,75 วรรคหนึ่ง,76 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันมีกัญชาไว้ในความครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตและร่วมกันนำกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกคนละ 2 ปี กระทงหนึ่ง รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 คนละ 2 ปี กับปรับจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 4 คนละ 3,600 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด2 ปี 1 เดือน จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้จำเลยทั้งสี่ กระทงละหนึ่งในสามคงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 คนละ 1 ปี 4 เดือน ปรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4คนละ 2,400 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน 20 วัน ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ ฐานนำกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5เข้ามาในราชอาณาจักร จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 4 ปี รวมเป็นโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 คนละ 4 ปี ปรับคนละ 3,600 บาท จำเลยทั้งสี่ให้การ รับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษ ให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน ปรับคนละ 2,400 บาท และจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน สำหรับข้อหาความผิดของจำเลยที่ 3 ฐานเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 1 เดือน จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 15 วัน รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 154)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 155)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน ปรับคนละ 2,400 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุก จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 คนละ 2 ปี 8 เดือน ปรับคนละ 2,400 บาท โดยมิได้แก้บทลงโทษ ดังนี้เป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งมิใช่กรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกานั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไม่เกิน 5 ปีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรค 1จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เห็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 วรรคแรกโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 155)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11,62 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ปรับคนละ 1,800 บาท กระทงหนึ่ง ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดย ไม่ได้รับอนุญาตให้ปรับคนละ 1,800 บาท กระทงหนึ่ง จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองฯ มาตรา 11,62 วรรคหนึ่ง ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดย ไม่ได้รับอนุญาตให้จำคุก 1 เดือน กระทงหนึ่ง จำเลยทั้งสี่ มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26,75 วรรคหนึ่ง,76 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันมีกัญชาไว้ในความครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตและร่วมกันนำกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกคนละ 2 ปี กระทงหนึ่ง รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 คนละ 2 ปี กับปรับจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 4 คนละ 3,600 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด2 ปี 1 เดือน จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้จำเลยทั้งสี่ กระทงละหนึ่งในสามคงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 คนละ 1 ปี 4 เดือน ปรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4คนละ 2,400 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน 20 วัน ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ ฐานนำกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5เข้ามาในราชอาณาจักร จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 4 ปี รวมเป็นโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 คนละ 4 ปี ปรับคนละ 3,600 บาท จำเลยทั้งสี่ให้การ รับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษ ให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน ปรับคนละ 2,400 บาท และจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน สำหรับข้อหาความผิดของจำเลยที่ 3 ฐานเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 1 เดือน จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 15 วัน รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 154)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 155)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน ปรับคนละ 2,400 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุก จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 คนละ 2 ปี 8 เดือน ปรับคนละ 2,400 บาท โดยมิได้แก้บทลงโทษ ดังนี้เป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งมิใช่กรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกานั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.2เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม ส่วนฎีกาข้อ 2.1แม้จะเป็นข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาล
โจทก์เห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 ที่ว่า อายุความในการใช้สิทธิไล่เบี้ยจากลูกจ้างต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์จ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลภายนอกจนถึงวันฟ้องและฎีกาข้อ 2.2ที่ว่า การที่ศาลยกเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์เป็น กระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 16,125 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 15,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 57)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 61)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา มีจำนวนไม่เกินสองแสนบาทจึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่บุคคลภายนอกที่ถูกนายบุญเสริม ยังวัน ลูกจ้างโจทก์ทำละเมิดเมื่อวันที่8 มีนาคม 2528 คดีโจทก์ส่วนนี้ไม่ขาดอายุความนั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่บุคคลภายนอกทั้งสองรายตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2523เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ที่โจทก์ฎีกาว่าในประเด็นเรื่องอายุความ จำเลยไม่มีพยานมาสืบหักล้างพยานโจทก์ จึงต้องฟังว่าคดี ไม่ขาดอายุความเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาล ที่วินิจฉัยว่าตามพยานหลักฐานโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ แล้ว เป็นว่าควรรับฟังตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่าคดีโจทก์ ไม่ขาดอายุความ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น
ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่า กรณีที่นายบุญเสริม ทำละเมิดทำให้รถยนต์ของโจทก์เสียหาย โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่โจทก์จ่ายค่าซ่อมรถยนต์ของโจทก์ คดีจึงไม่ขาดอายุความนั้น เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.2เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม ส่วนฎีกาข้อ 2.1แม้จะเป็นข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาล
โจทก์เห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 ที่ว่า อายุความในการใช้สิทธิไล่เบี้ยจากลูกจ้างต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์จ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลภายนอกจนถึงวันฟ้องและฎีกาข้อ 2.2ที่ว่า การที่ศาลยกเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์เป็น กระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 16,125 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 15,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 57)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 61)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา มีจำนวนไม่เกินสองแสนบาทจึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่บุคคลภายนอกที่ถูกนายบุญเสริม ยังวัน ลูกจ้างโจทก์ทำละเมิดเมื่อวันที่8 มีนาคม 2528 คดีโจทก์ส่วนนี้ไม่ขาดอายุความนั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่บุคคลภายนอกทั้งสองรายตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2523เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ที่โจทก์ฎีกาว่าในประเด็นเรื่องอายุความ จำเลยไม่มีพยานมาสืบหักล้างพยานโจทก์ จึงต้องฟังว่าคดี ไม่ขาดอายุความเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาล ที่วินิจฉัยว่าตามพยานหลักฐานโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ แล้ว เป็นว่าควรรับฟังตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่าคดีโจทก์ ไม่ขาดอายุความ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น
ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่า กรณีที่นายบุญเสริม ทำละเมิดทำให้รถยนต์ของโจทก์เสียหาย โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่โจทก์จ่ายค่าซ่อมรถยนต์ของโจทก์ คดีจึงไม่ขาดอายุความนั้น เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 145)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารของจำเลย ออกไปจากที่ดินของโจทก์และหยุดรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 196,202,15หมู่ 4(2) ตำบลห้วยไผ่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดราชบุรีบางส่วน และปรับปรุงสภาพที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิมและให้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวาร ออกจากที่ดินของโจทก์เดือนละ 5,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 134,133)
ชั้นอุทธรณ์ โจทก์ได้รับอนุญาตให้คุ้มครองประโยชน์โดยห้ามไม่ให้จำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างอุทธรณ์ (อันดับ 120)
คำสั่ง
คำร้องของ โจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์ขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 145)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารของจำเลย ออกไปจากที่ดินของโจทก์และหยุดรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 196,202,15หมู่ 4(2) ตำบลห้วยไผ่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดราชบุรีบางส่วน และปรับปรุงสภาพที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิมและให้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวาร ออกจากที่ดินของโจทก์เดือนละ 5,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 134,133)
ชั้นอุทธรณ์ โจทก์ได้รับอนุญาตให้คุ้มครองประโยชน์โดยห้ามไม่ให้จำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างอุทธรณ์ (อันดับ 120)
คำสั่ง
คำร้องของ โจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์ขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ
ความว่า ผู้คัดค้านฎีกา มีทางชนะคดี หากมีการ ทำนิติกรรมใด ๆ ในที่พิพาท ผู้คัดค้านจะได้รับความเสียหาย โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อนโดยมีคำสั่งห้ามทำนิติกรรมใด ๆ ในที่พิพาทและให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบด้วย
หมายเหตุ ผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้วโดยทาง ไปรษณีย์ตอบรับ (อันดับ 81 แผ่นที่ 2)
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ และมีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 11485 และ 11671 ตำบลคลองซอยที่ 1 ฝั่งตก อำเภอบางปะอิน (พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยาตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายนคร วารณา ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แจ้งคำสั่ง ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ผู้คัดค้านฎีกาและยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 73,82)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มีกฎกระทรวง(มหาดไทย)ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497) ออกตามความใน พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ข้อ 8(1) กำหนดให้ผู้ได้มา ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนพร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดเมื่อคดีอยู่ระหว่างฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงยังไม่อาจดำเนินการดังกล่าวได้ ผู้คัดค้านไม่จำต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า ผู้คัดค้านฎีกา มีทางชนะคดี หากมีการ ทำนิติกรรมใด ๆ ในที่พิพาท ผู้คัดค้านจะได้รับความเสียหาย โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อนโดยมีคำสั่งห้ามทำนิติกรรมใด ๆ ในที่พิพาทและให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบด้วย
หมายเหตุ ผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้วโดยทาง ไปรษณีย์ตอบรับ (อันดับ 81 แผ่นที่ 2)
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ และมีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 11485 และ 11671 ตำบลคลองซอยที่ 1 ฝั่งตก อำเภอบางปะอิน (พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยาตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายนคร วารณา ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แจ้งคำสั่ง ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ผู้คัดค้านฎีกาและยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 73,82)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มีกฎกระทรวง(มหาดไทย)ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497) ออกตามความใน พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ข้อ 8(1) กำหนดให้ผู้ได้มา ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนพร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดเมื่อคดีอยู่ระหว่างฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงยังไม่อาจดำเนินการดังกล่าวได้ ผู้คัดค้านไม่จำต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของ ผู้ร้องมิได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ไม่รับฎีกา
ผู้ร้องเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องบรรยายไว้ในคำฟ้อง ฎีกานั้นเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังที่ผู้ร้อง ได้ยื่นอุทธรณ์ไว้แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ผู้ร้องจึงมีสิทธิฎีกาได้ โปรดมีคำสั่งรับฎีกาและนัดไต่สวนคำร้องเพิ่มเติมประกอบคำฟ้องฎีกาของผู้ร้องด้วย
หมายเหตุ ผู้คัดค้านได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 198 แผ่นที่ 2)
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งแต่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกเฉพาะทรัพย์มรดกตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.5 ส่วนทรัพย์มรดกนอกเหนือจากนี้ให้ผู้คัดค้าน เป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ ค้าสุวรรณ ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้คัดค้านออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกในส่วนเกี่ยวกับทรัพย์นอกเหนือพินัยกรรม และตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์นอกเหนือพินัยกรรมแทนต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนผู้คัดค้านออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ ค้าสุวรรณ ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นเสีย ส่วนคำร้องที่ขอให้แต่งตั้งผู้ร้องเป็น ผู้จัดการมรดกแทนนั้นให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของ ผู้ร้องในส่วนที่ขอให้สั่งถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ ค้าสุวรรณ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา และยื่นคำร้องขอไต่สวนประกอบฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา และสั่งคำร้องว่า ศาลไม่รับฎีกาจึงไม่จำต้องไต่สวน ยกคำร้อง (อันดับ 190,191)
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 194)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ผู้ร้องกล่าวอ้างมาในฎีกาว่า ขณะคดีนี้อยู่ในระหว่างอุทธรณ์บรรดาทายาทและผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งปันทรัพย์มรดกในคดีที่มีการฟ้องร้องเกี่ยวกับการตั้งผู้จัดการมรดกอีกเรื่องหนึ่งที่ศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้น ได้อนุญาตให้แบ่งปันทรัพย์มรดกไปตามข้อตกลงนั้นแล้ว ข้อพิพาท ในระหว่างบรรดาทายาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดกรายนี้จึงยุติไปแล้วศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ต่อไปขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าวินิจฉัยคดีโดยไม่ถูกต้องอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ได้อ้างข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของ ผู้ร้องมิได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ไม่รับฎีกา
ผู้ร้องเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องบรรยายไว้ในคำฟ้อง ฎีกานั้นเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังที่ผู้ร้อง ได้ยื่นอุทธรณ์ไว้แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ผู้ร้องจึงมีสิทธิฎีกาได้ โปรดมีคำสั่งรับฎีกาและนัดไต่สวนคำร้องเพิ่มเติมประกอบคำฟ้องฎีกาของผู้ร้องด้วย
หมายเหตุ ผู้คัดค้านได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 198 แผ่นที่ 2)
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งแต่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกเฉพาะทรัพย์มรดกตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.5 ส่วนทรัพย์มรดกนอกเหนือจากนี้ให้ผู้คัดค้าน เป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ ค้าสุวรรณ ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้คัดค้านออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกในส่วนเกี่ยวกับทรัพย์นอกเหนือพินัยกรรม และตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์นอกเหนือพินัยกรรมแทนต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนผู้คัดค้านออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ ค้าสุวรรณ ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นเสีย ส่วนคำร้องที่ขอให้แต่งตั้งผู้ร้องเป็น ผู้จัดการมรดกแทนนั้นให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของ ผู้ร้องในส่วนที่ขอให้สั่งถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ ค้าสุวรรณ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา และยื่นคำร้องขอไต่สวนประกอบฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา และสั่งคำร้องว่า ศาลไม่รับฎีกาจึงไม่จำต้องไต่สวน ยกคำร้อง (อันดับ 190,191)
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 194)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ผู้ร้องกล่าวอ้างมาในฎีกาว่า ขณะคดีนี้อยู่ในระหว่างอุทธรณ์บรรดาทายาทและผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งปันทรัพย์มรดกในคดีที่มีการฟ้องร้องเกี่ยวกับการตั้งผู้จัดการมรดกอีกเรื่องหนึ่งที่ศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้น ได้อนุญาตให้แบ่งปันทรัพย์มรดกไปตามข้อตกลงนั้นแล้ว ข้อพิพาท ในระหว่างบรรดาทายาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดกรายนี้จึงยุติไปแล้วศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ต่อไปขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าวินิจฉัยคดีโดยไม่ถูกต้องอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ได้อ้างข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยขอถอนคำให้การเดิมของจำเลยโดยขอให้การใหม่ เป็นว่าจำเลยยอมรับว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ ทุกประการ และเนื่องจากจำเลยได้สำนึกผิดโดยได้ใช้ค่าเสียหาย แก่โจทก์ร่วมจนเป็นที่พอใจแล้ว ขอศาลโปรดพิจารณาพิพากษา ลงโทษจำเลยในสถานเบาโดยรอการลงโทษจำเลยด้วย โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 141)
ระหว่างพิจารณา บริษัทศักดิ์ชัยสตีล จำกัด ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ประกอบ 268 วรรคแรก วางโทษจำคุก 2 ปี ทางนำสืบ ของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา คดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษ ให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 122)
ศาลฎีกาทำคำพิพากษา คดีอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษา
จำเลยยื่นคำให้การ (คำร้อง) นี้ (อันดับ 141)
คำสั่ง
จำเลยจะแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การในชั้นฎีกาหาได้ไม่ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยขอถอนคำให้การเดิมของจำเลยโดยขอให้การใหม่ เป็นว่าจำเลยยอมรับว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ ทุกประการ และเนื่องจากจำเลยได้สำนึกผิดโดยได้ใช้ค่าเสียหาย แก่โจทก์ร่วมจนเป็นที่พอใจแล้ว ขอศาลโปรดพิจารณาพิพากษา ลงโทษจำเลยในสถานเบาโดยรอการลงโทษจำเลยด้วย โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 141)
ระหว่างพิจารณา บริษัทศักดิ์ชัยสตีล จำกัด ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ประกอบ 268 วรรคแรก วางโทษจำคุก 2 ปี ทางนำสืบ ของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา คดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษ ให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 122)
ศาลฎีกาทำคำพิพากษา คดีอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษา
จำเลยยื่นคำให้การ (คำร้อง) นี้ (อันดับ 141)
คำสั่ง
จำเลยจะแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การในชั้นฎีกาหาได้ไม่ให้ยกคำร้อง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|