ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้มี ทุนทรัพย์พิพาทไม่เกิน 200,000 บาท และฎีกาของโจทก์เป็นฎีกา โต้เถียงดุลพินิจ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โดยหยิบยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้อง มาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ทั้งที่ประเด็นดังกล่าวมิได้มี ข้อโต้แย้งกันมาในศาลชั้นต้นแต่อย่างใด คำพิพากษาของ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นการแก้ไขในสาระสำคัญมิใช่การแก้ไขเล็กน้อย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 และโจทก์ ฟ้องคดีนี้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2529 ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ใช้บังคับในขณะนั้น คดีโจทก์ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง การที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ โดยใช้กฎหมายซึ่งออกมาภายหลัง มาใช้บังคับ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณา และขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียม ในชั้นนี้ของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ จำเลยทั้งหกได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 285)
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ 7764 เลขที่ดิน 12 ฉบับลงวันที่ 20 ธันวาคม 2520 ตำบลสีคิ้ว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ให้จำเลยทั้งหก ร่วมกันและแทนกันนำเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ออกรังวัดสอบเขตเพื่อแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวด้านทิศตะวันออก อันมีอาณาเขตติดต่อกับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตก เนื้อที่ 1 งาน 46 ตารางวา แล้วจัดการโอนแล้วส่งมอบให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 280)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 282)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า สิทธิในการฎีกานั้นจะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับขณะยื่นฎีกา คดีนี้ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะพิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในข้อสาระสำคัญอย่างไรก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534มาตรา 18 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้มี ทุนทรัพย์พิพาทไม่เกิน 200,000 บาท และฎีกาของโจทก์เป็นฎีกา โต้เถียงดุลพินิจ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โดยหยิบยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้อง มาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ทั้งที่ประเด็นดังกล่าวมิได้มี ข้อโต้แย้งกันมาในศาลชั้นต้นแต่อย่างใด คำพิพากษาของ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นการแก้ไขในสาระสำคัญมิใช่การแก้ไขเล็กน้อย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 และโจทก์ ฟ้องคดีนี้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2529 ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ใช้บังคับในขณะนั้น คดีโจทก์ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง การที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ โดยใช้กฎหมายซึ่งออกมาภายหลัง มาใช้บังคับ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณา และขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียม ในชั้นนี้ของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ จำเลยทั้งหกได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 285)
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ 7764 เลขที่ดิน 12 ฉบับลงวันที่ 20 ธันวาคม 2520 ตำบลสีคิ้ว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ให้จำเลยทั้งหก ร่วมกันและแทนกันนำเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ออกรังวัดสอบเขตเพื่อแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวด้านทิศตะวันออก อันมีอาณาเขตติดต่อกับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตก เนื้อที่ 1 งาน 46 ตารางวา แล้วจัดการโอนแล้วส่งมอบให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 280)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 282)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า สิทธิในการฎีกานั้นจะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับขณะยื่นฎีกา คดีนี้ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะพิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในข้อสาระสำคัญอย่างไรก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534มาตรา 18 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าการที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอลงอาญา เนื่องจากศาลมิได้นำผลการสืบเสาะมาปรับเพื่อเป็นคุณแก่จำเลย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 28)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7) ให้จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 27 แผ่นที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 28)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการไม่รอการลงโทษของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าการที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอลงอาญา เนื่องจากศาลมิได้นำผลการสืบเสาะมาปรับเพื่อเป็นคุณแก่จำเลย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 28)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7) ให้จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 27 แผ่นที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 28)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการไม่รอการลงโทษของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า ผู้คัดค้านเห็นว่าอาคารขุนอำไพพาณิชย์มีรอยแตกร้าว สมควรจะได้รับการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง เพื่อรักษาไว้เป็นมรดกวัฒนธรรมของชาติต่อไป กรณีมีเหตุเร่งด่วน จึงขอศาลได้โปรดมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้คัดค้านเข้าดำเนินการซ่อมแซมด้วย
หมายเหตุ ผู้ร้องแถลงคัดค้าน (อันดับ 78)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารขุนอำไพพาณิชย์ ตั้งอยู่ที่ 1042-1047ถนนอุบล ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษยังประสงค์จะใช้ประโยชน์ในที่ดินและอาคารดังกล่าวเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและครอบครัวของผู้ร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการประกาศขึ้นทะเบียนอาคารขุนอำไพพาณิชย์ พร้อมที่ดินที่ตั้งอาคารดังกล่าวเป็นโบราณสถาน ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของ ผู้ร้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า ให้ระงับการขึ้นทะเบียนโบราณสถานอาคารขุนอำไพพาณิชย์ และการกำหนดเขตที่ดินเป็นเขตโบราณสถาน
ผู้คัดค้านฎีกา (อันดับ 65)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 69)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ยังไม่สมควรอนุญาตให้ผู้คัดค้านเข้าดำเนินการซ่อมแซมอาคารขุนอำไพพาณิชย์ตามคำร้อง ของ ผู้คัดค้านให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า ผู้คัดค้านเห็นว่าอาคารขุนอำไพพาณิชย์มีรอยแตกร้าว สมควรจะได้รับการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง เพื่อรักษาไว้เป็นมรดกวัฒนธรรมของชาติต่อไป กรณีมีเหตุเร่งด่วน จึงขอศาลได้โปรดมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้คัดค้านเข้าดำเนินการซ่อมแซมด้วย
หมายเหตุ ผู้ร้องแถลงคัดค้าน (อันดับ 78)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารขุนอำไพพาณิชย์ ตั้งอยู่ที่ 1042-1047ถนนอุบล ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษยังประสงค์จะใช้ประโยชน์ในที่ดินและอาคารดังกล่าวเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและครอบครัวของผู้ร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการประกาศขึ้นทะเบียนอาคารขุนอำไพพาณิชย์ พร้อมที่ดินที่ตั้งอาคารดังกล่าวเป็นโบราณสถาน ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของ ผู้ร้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า ให้ระงับการขึ้นทะเบียนโบราณสถานอาคารขุนอำไพพาณิชย์ และการกำหนดเขตที่ดินเป็นเขตโบราณสถาน
ผู้คัดค้านฎีกา (อันดับ 65)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 69)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ยังไม่สมควรอนุญาตให้ผู้คัดค้านเข้าดำเนินการซ่อมแซมอาคารขุนอำไพพาณิชย์ตามคำร้อง ของ ผู้คัดค้านให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยที่ 2 ได้ยื่นฎีกา เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2536 พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีไม่มีเหตุอันสมควรจะฎีกา ให้ยกคำร้อง หากจำเลยที่ 2ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาเสียภายใน 15 วัน
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรจะได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา และคดีนี้มีทุนทรัพย์สูงถึง 4,350,000 บาท ซึ่งไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เนื่องด้วยจำเลยที่ 2 มีฐานะยากจนและยังมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรสาวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่เกิดกับจำเลยที่ 1 ที่ทิ้งร้างไปตั้งแต่บุตรสาวยังเป็นทารกจำเลยที่ 2จึงไม่สามารถที่จะหาเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาลในชั้นฎีกาได้ ขอศาลฎีกาได้โปรดอนุญาตให้จำเลยที่ 2 ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 172)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ 3160ตำบลทรงคนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ซึ่งเจ้าพนักงานออกให้แก่จำเลยที่ 1 และในขณะนี้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 เป็นโมฆะ และขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนยกให้ระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 กับนิติกรรมการจดทะเบียนขายระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ในโฉนดที่ดินเลขที่ 3160 ตำบลทรงคนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวนเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 40 ตารางวา และให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานโอนที่ดินแปลงดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ทั้ง 2 ทันที และให้โจทก์ทั้ง 2 มีกรรมสิทธิ์เช่นเดิม หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนตัวจำเลยที่ 1 ห้ามจำเลยทั้ง 4 และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ 3160ตำบลทรงคะนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ซึ่งเจ้าพนักงานออกให้แก่จำเลยที่ 1 และขณะนี้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นโมฆะ และให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนยกให้ ระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับนิติกรรมการจดทะเบียนขายระหว่าง จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 เสีย กับให้จำเลยที่ 1ไปจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ทั้งสองทันทีโดยให้โจทก์ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 และห้ามจำเลย ทั้งสี่และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกา(อันดับ 155)
จำเลยที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอ (ที่ถูกคำร้อง)อ้างเหตุว่า คดีไม่มีเหตุสมควรจะฎีกาหากจำเลยที่ 2 ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาเสียภายใน 15 วัน(อันดับ 160,159)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 164)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้จำเลยที่ 2 และโจทก์นำสืบโต้แย้งกันในเรื่องที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยสุจริตหรือไม่ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์ เมื่อคดีของจำเลยที่ 2 ไม่ต้องห้ามฎีกาก็ไม่อาจถือได้ว่าคดีไม่มีเหตุอันสมควรจะฎีกาตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจึงให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาคำร้องที่จำเลยที่ 2 ขอฎีกาอย่างคนอนาถาแล้วมีคำสั่งต่อไปตามรูปคดี
ความว่า จำเลยที่ 2 ได้ยื่นฎีกา เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2536 พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีไม่มีเหตุอันสมควรจะฎีกา ให้ยกคำร้อง หากจำเลยที่ 2ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาเสียภายใน 15 วัน
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรจะได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา และคดีนี้มีทุนทรัพย์สูงถึง 4,350,000 บาท ซึ่งไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เนื่องด้วยจำเลยที่ 2 มีฐานะยากจนและยังมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรสาวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่เกิดกับจำเลยที่ 1 ที่ทิ้งร้างไปตั้งแต่บุตรสาวยังเป็นทารกจำเลยที่ 2จึงไม่สามารถที่จะหาเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาลในชั้นฎีกาได้ ขอศาลฎีกาได้โปรดอนุญาตให้จำเลยที่ 2 ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 172)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ 3160ตำบลทรงคนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ซึ่งเจ้าพนักงานออกให้แก่จำเลยที่ 1 และในขณะนี้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 เป็นโมฆะ และขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนยกให้ระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 กับนิติกรรมการจดทะเบียนขายระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ในโฉนดที่ดินเลขที่ 3160 ตำบลทรงคนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวนเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 40 ตารางวา และให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานโอนที่ดินแปลงดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ทั้ง 2 ทันที และให้โจทก์ทั้ง 2 มีกรรมสิทธิ์เช่นเดิม หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนตัวจำเลยที่ 1 ห้ามจำเลยทั้ง 4 และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ 3160ตำบลทรงคะนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ซึ่งเจ้าพนักงานออกให้แก่จำเลยที่ 1 และขณะนี้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นโมฆะ และให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนยกให้ ระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับนิติกรรมการจดทะเบียนขายระหว่าง จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 เสีย กับให้จำเลยที่ 1ไปจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ทั้งสองทันทีโดยให้โจทก์ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 และห้ามจำเลย ทั้งสี่และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกา(อันดับ 155)
จำเลยที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอ (ที่ถูกคำร้อง)อ้างเหตุว่า คดีไม่มีเหตุสมควรจะฎีกาหากจำเลยที่ 2 ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาเสียภายใน 15 วัน(อันดับ 160,159)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 164)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้จำเลยที่ 2 และโจทก์นำสืบโต้แย้งกันในเรื่องที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยสุจริตหรือไม่ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์ เมื่อคดีของจำเลยที่ 2 ไม่ต้องห้ามฎีกาก็ไม่อาจถือได้ว่าคดีไม่มีเหตุอันสมควรจะฎีกาตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจึงให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาคำร้องที่จำเลยที่ 2 ขอฎีกาอย่างคนอนาถาแล้วมีคำสั่งต่อไปตามรูปคดี
ความว่า คดีนี้ จำเลยได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา แต่เนื่องจากผู้เสียหายได้รับชำระหนี้ตามมูลหนี้ในเช็คครบถ้วนแล้ว ผู้เสียหายไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีกับจำเลยอีกต่อไป จึงขอถอนคำร้องทุกข์ โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 108)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ลงโทษจำคุก 7 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 92)
จำเลยได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 100)
คดีอยู่ระหว่างการนัดฟังคำสั่งศาลฎีกา
ผู้เสียหายยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 108)
ศาลชั้นต้นได้สอบโจทก์และจำเลยแล้ว โดยโจทก์แถลงรับว่าผู้ร้องเป็นผู้เสียหายจริง ทั้งโจทก์และจำเลยแถลงไม่คัดค้าน (อันดับ 109)
คำสั่ง
คดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว และยังไม่ถึงที่สุดผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
ความว่า คดีนี้ จำเลยได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา แต่เนื่องจากผู้เสียหายได้รับชำระหนี้ตามมูลหนี้ในเช็คครบถ้วนแล้ว ผู้เสียหายไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีกับจำเลยอีกต่อไป จึงขอถอนคำร้องทุกข์ โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 108)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ลงโทษจำคุก 7 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 92)
จำเลยได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 100)
คดีอยู่ระหว่างการนัดฟังคำสั่งศาลฎีกา
ผู้เสียหายยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 108)
ศาลชั้นต้นได้สอบโจทก์และจำเลยแล้ว โดยโจทก์แถลงรับว่าผู้ร้องเป็นผู้เสียหายจริง ทั้งโจทก์และจำเลยแถลงไม่คัดค้าน (อันดับ 109)
คำสั่ง
คดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว และยังไม่ถึงที่สุดผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
ความว่า จำเลยฎีกาฉบับแรก ศาลชั้นต้นสั่งว่าฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 218 ไม่รับฎีกาจำเลย ต่อมาจำเลยฎีกาฉบับที่สองพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาไม่อนุญาตให้ฎีกาศาลชั้นต้นจึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมากและเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 นอกจากนี้ฎีกาข้อ 3 ของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ระหว่างพิจารณา นายสำเนียง โคกพูลและนางอองโคกพูล ผู้เสียหาย ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295,365(2)(3) เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2)(3) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ให้จำคุก 1 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายนางบังอรภักตร์ผ่อง อีกกระทงหนึ่ง ให้จำคุก 2 เดือนรวมกับโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้วเป็นจำคุก 1 ปี 2 เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาทั้งสองฉบับ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 103,105)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 117)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295,365(2)(3)เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2)(3) ซึ่งเป็นบทหนักที่มีโทษหนักที่สุด ให้จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานทำร้าย ร่างกายนางบังอรภักตร์ผ่อง อีกกระทงหนึ่ง ให้จำคุก2 เดือน เห็นว่า ข้อหาฐานบุกรุกและทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วม ทั้งสอง ตามฟ้อง ข้อ 1 ก. ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาข้อนี้ของจำเลยชอบแล้วสำหรับฎีกาข้อ 3 ที่ว่าจำเลยทำร้ายร่างกายนางบังอร ตามฟ้องข้อ 1 ข. เป็นกรรมเดียวกับฟ้องข้อ 1 ก. หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายไม่ต้องห้ามฎีกา ให้รับฎีกาเฉพาะข้อ 3 ของจำเลยฉบับลงวันที่ 20 ธันวาคม 2536 ในส่วนนี้ไว้พิจารณา และให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์แก้ภายใน 7 วัน นับแต่วันรับ
ความว่า จำเลยฎีกาฉบับแรก ศาลชั้นต้นสั่งว่าฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 218 ไม่รับฎีกาจำเลย ต่อมาจำเลยฎีกาฉบับที่สองพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาไม่อนุญาตให้ฎีกาศาลชั้นต้นจึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมากและเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 นอกจากนี้ฎีกาข้อ 3 ของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ระหว่างพิจารณา นายสำเนียง โคกพูลและนางอองโคกพูล ผู้เสียหาย ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295,365(2)(3) เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2)(3) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ให้จำคุก 1 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายนางบังอรภักตร์ผ่อง อีกกระทงหนึ่ง ให้จำคุก 2 เดือนรวมกับโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้วเป็นจำคุก 1 ปี 2 เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาทั้งสองฉบับ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 103,105)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 117)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295,365(2)(3)เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2)(3) ซึ่งเป็นบทหนักที่มีโทษหนักที่สุด ให้จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานทำร้าย ร่างกายนางบังอรภักตร์ผ่อง อีกกระทงหนึ่ง ให้จำคุก2 เดือน เห็นว่า ข้อหาฐานบุกรุกและทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วม ทั้งสอง ตามฟ้อง ข้อ 1 ก. ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาข้อนี้ของจำเลยชอบแล้วสำหรับฎีกาข้อ 3 ที่ว่าจำเลยทำร้ายร่างกายนางบังอร ตามฟ้องข้อ 1 ข. เป็นกรรมเดียวกับฟ้องข้อ 1 ก. หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายไม่ต้องห้ามฎีกา ให้รับฎีกาเฉพาะข้อ 3 ของจำเลยฉบับลงวันที่ 20 ธันวาคม 2536 ในส่วนนี้ไว้พิจารณา และให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์แก้ภายใน 7 วัน นับแต่วันรับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น และเป็นข้อกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญในคดีโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล มีคำสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ลงโทษจำคุก 1 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 106 แผ่นที่ 2)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 108)
คำสั่ง
คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทไม่ตรงตามมูลหนี้ก็ดีและโจทก์ร่วมกับพวกใช้อุบายหลอกลวงหว่านล้อมให้จำเลยออกเช็คพิพาทแก่โจทก์ก็ดี เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น และเป็นข้อกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญในคดีโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล มีคำสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ลงโทษจำคุก 1 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 106 แผ่นที่ 2)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 108)
คำสั่ง
คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทไม่ตรงตามมูลหนี้ก็ดีและโจทก์ร่วมกับพวกใช้อุบายหลอกลวงหว่านล้อมให้จำเลยออกเช็คพิพาทแก่โจทก์ก็ดี เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ไม่รับฎีกาของโจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ร่วมเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ใช่ปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่ต้องห้ามตามกฎหมายดังที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ร่วมไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 100)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288,80
ระหว่างพิจารณา นายราเมศแตงอุไร ผู้เสียหาย ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 96)
โจทก์ร่วมจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532มาตรา 13 ห้ามมิให้คู่ความฎีกาไม่ว่าในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ร่วมจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ไม่รับฎีกาของโจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ร่วมเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ใช่ปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่ต้องห้ามตามกฎหมายดังที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ร่วมไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 100)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288,80
ระหว่างพิจารณา นายราเมศแตงอุไร ผู้เสียหาย ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 96)
โจทก์ร่วมจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532มาตรา 13 ห้ามมิให้คู่ความฎีกาไม่ว่าในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ร่วมจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ครบกำหนดยื่นฎีกา ตามที่โจทก์ขอขยายระยะเวลาในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2536 โจทก์ไม่ยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่ขอขยาย ไม่รับ ฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาโดยขออนุญาตยื่นฎีกาภายในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2536 เมื่อทนายโจทก์มาติดต่อเจ้าหน้าที่ศาลเพื่อขอทราบคำสั่งเจ้าหน้าที่ศาล ได้แจ้งกับทนายโจทก์ว่าศาลอนุญาตตามคำร้องของ โจทก์ ทนายโจทก์เชื่อโดยสุจริตว่าโจทก์มีสิทธิยื่นฎีกาภายในวันที่10 พฤศจิกายน 2536 และได้ยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว โจทก์มิได้มีเจตนาละเลยหรือเพิกเฉยต่อคำสั่งของศาลแต่อย่างใด โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 84)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 120,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่15 มีนาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ว่าอนุญาตให้ขยายระยะเวลาฎีกาออกไปอีก 15 วัน นับแต่วันครบกำหนด ฎีกา (อันดับ 77 แผ่นที่ 5)
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 79)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 81)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าครบกำหนดยื่นฎีกาวันที่24 ตุลาคม 2536 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก15 วัน นับแต่วันครบกำหนด โดยท้ายคำร้องมีข้อความว่ารอฟัง คำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอถือว่าทราบแล้ว โจทก์ยื่นฎีกาวันที่10 พฤศจิกายน 2536 พ้นกำหนดยื่นฎีกาแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ครบกำหนดยื่นฎีกา ตามที่โจทก์ขอขยายระยะเวลาในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2536 โจทก์ไม่ยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่ขอขยาย ไม่รับ ฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาโดยขออนุญาตยื่นฎีกาภายในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2536 เมื่อทนายโจทก์มาติดต่อเจ้าหน้าที่ศาลเพื่อขอทราบคำสั่งเจ้าหน้าที่ศาล ได้แจ้งกับทนายโจทก์ว่าศาลอนุญาตตามคำร้องของ โจทก์ ทนายโจทก์เชื่อโดยสุจริตว่าโจทก์มีสิทธิยื่นฎีกาภายในวันที่10 พฤศจิกายน 2536 และได้ยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว โจทก์มิได้มีเจตนาละเลยหรือเพิกเฉยต่อคำสั่งของศาลแต่อย่างใด โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 84)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ พร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 120,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่15 มีนาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ว่าอนุญาตให้ขยายระยะเวลาฎีกาออกไปอีก 15 วัน นับแต่วันครบกำหนด ฎีกา (อันดับ 77 แผ่นที่ 5)
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 79)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 81)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าครบกำหนดยื่นฎีกาวันที่24 ตุลาคม 2536 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก15 วัน นับแต่วันครบกำหนด โดยท้ายคำร้องมีข้อความว่ารอฟัง คำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอถือว่าทราบแล้ว โจทก์ยื่นฎีกาวันที่10 พฤศจิกายน 2536 พ้นกำหนดยื่นฎีกาแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหาย ค่าล่วงเวลา และค่าชดเชยจากการที่จำเลยเลิกจ้าง โดยไม่เป็นธรรมแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 9,349 บาท ค่าชดเชยจำนวน25,500 บาท ค่าล่วงเวลาจำนวน 1,080.12 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินทั้งหมดนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 มิถุนายน 2536)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจำนวน 10,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ศาลพิพากษา (วันที่ 30 ธันวาคม 2536) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออย่างอื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์(อันดับ 41)
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 43,44)
คำสั่ง
ศาลฎีกามีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยแล้วจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องฉบับนี้อีก
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหาย ค่าล่วงเวลา และค่าชดเชยจากการที่จำเลยเลิกจ้าง โดยไม่เป็นธรรมแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 9,349 บาท ค่าชดเชยจำนวน25,500 บาท ค่าล่วงเวลาจำนวน 1,080.12 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินทั้งหมดนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 มิถุนายน 2536)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจำนวน 10,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ศาลพิพากษา (วันที่ 30 ธันวาคม 2536) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออย่างอื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์(อันดับ 41)
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 43,44)
คำสั่ง
ศาลฎีกามีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยแล้วจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องฉบับนี้อีก
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ และสั่งคำร้องว่า ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลย
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 2.1 ที่ว่า ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นสำคัญแห่งคดีครบทุกข้อ คำพิพากษา ของศาลแรงงานกลางจึงขัดต่อกฎหมายและข้อ 2.2ที่ว่า กรณีพิพาทในคดีนี้มีการฟ้องเป็นคดีอาญาด้วย ศาลแรงงานกลางจะต้อง รอผลในคดีอาญาให้ถึงที่สดุ เสียก่อนจึงจะพิพากษาคดีได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์และคำขอขอทุเลา การบังคับไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าเสียหาย ค่าล่วงเวลา และค่าชดเชย จากการที่จำเลย เลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้าจำนวน 9,349 บาท ค่าชดเชยจำนวน 25,500 บาท ค่าล่วงเวลาจำนวน 1,080.12 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินทั้งหมดนับแต่วันฟ้อง(วันที่ 1 มิถุนายน 2536) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจำนวน 10,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ศาลพิพากษา (วันที่ 30 ธันวาคม 2536) เป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จ คำขออย่างอื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลแรงงานกลางมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 41,42)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยมิได้วางเงินหรือหาประกันต่อศาล ให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกา เพื่อพิจารณาสั่งต่อไป (อันดับ 43)
ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอวางหลักประกันการชำระหนี้ตาม คำพิพากษาในการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ารวมสำนวนส่งศาลฎีกา (อันดับ 46)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่ว่า โจทก์ร่วมกับพวกลักทรัพย์ของจำเลยหรือไม่ แต่มิได้วินิจฉัยว่ามีการลักหรือทรัพย์ของจำเลยหายไปหรือไม่ เพราะถ้ามีก็ต้อง ถือว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ทำให้จำเลยเสียหายนั้น เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่จำเลยยกเอาข้อเท็จจริง ซึ่งรวมอยู่ในประเด็นที่ว่า โจทก์ร่วมกับพวกลักทรัพย์ของจำเลยหรือไม่มาอุทธรณ์ เพื่อให้ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์กระทำผิดประเด็นดังกล่าวศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ มิได้กระทำผิด อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 สำหรับอุทธรณ์ ข้อที่สองก็เป็นอุทธรณ์ในข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ และสั่งคำร้องว่า ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลย
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 2.1 ที่ว่า ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นสำคัญแห่งคดีครบทุกข้อ คำพิพากษา ของศาลแรงงานกลางจึงขัดต่อกฎหมายและข้อ 2.2ที่ว่า กรณีพิพาทในคดีนี้มีการฟ้องเป็นคดีอาญาด้วย ศาลแรงงานกลางจะต้อง รอผลในคดีอาญาให้ถึงที่สดุ เสียก่อนจึงจะพิพากษาคดีได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์และคำขอขอทุเลา การบังคับไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าเสียหาย ค่าล่วงเวลา และค่าชดเชย จากการที่จำเลย เลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้าจำนวน 9,349 บาท ค่าชดเชยจำนวน 25,500 บาท ค่าล่วงเวลาจำนวน 1,080.12 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินทั้งหมดนับแต่วันฟ้อง(วันที่ 1 มิถุนายน 2536) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจำนวน 10,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ศาลพิพากษา (วันที่ 30 ธันวาคม 2536) เป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จ คำขออย่างอื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลแรงงานกลางมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 41,42)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยมิได้วางเงินหรือหาประกันต่อศาล ให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกา เพื่อพิจารณาสั่งต่อไป (อันดับ 43)
ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอวางหลักประกันการชำระหนี้ตาม คำพิพากษาในการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ารวมสำนวนส่งศาลฎีกา (อันดับ 46)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่ว่า โจทก์ร่วมกับพวกลักทรัพย์ของจำเลยหรือไม่ แต่มิได้วินิจฉัยว่ามีการลักหรือทรัพย์ของจำเลยหายไปหรือไม่ เพราะถ้ามีก็ต้อง ถือว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ทำให้จำเลยเสียหายนั้น เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่จำเลยยกเอาข้อเท็จจริง ซึ่งรวมอยู่ในประเด็นที่ว่า โจทก์ร่วมกับพวกลักทรัพย์ของจำเลยหรือไม่มาอุทธรณ์ เพื่อให้ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์กระทำผิดประเด็นดังกล่าวศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ มิได้กระทำผิด อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 สำหรับอุทธรณ์ ข้อที่สองก็เป็นอุทธรณ์ในข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ไม่รับฎีกา จำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 89)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 1 ปี 6 เดือนคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก1 ปี คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 85)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 89)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี การที่จำเลยฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลว่าจำเลยรับฝากทรัพย์ของกลางไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ซึ่งได้มาโดยการกระทำผิดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ไม่รับฎีกา จำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 89)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 1 ปี 6 เดือนคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก1 ปี คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 85)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 89)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี การที่จำเลยฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลว่าจำเลยรับฝากทรัพย์ของกลางไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ซึ่งได้มาโดยการกระทำผิดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ข้อ 2 เป็นอุทธรณ์ในลักษณะข้อกฎหมาย ซึ่งเป็นการให้ รับฟังข้อเท็จจริงที่ฝ่าฝืนกับคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ถือว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและอุทธรณ์ข้อ 4 เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์ข้อ 2 และข้อ 4 ให้รับอุทธรณ์เฉพาะข้อ 3
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 2 เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่าการที่ผู้อพยพต้องชำระเงินให้แก่องค์การระหว่างประเทศ มิได้มีผลให้กิจการของ ไอ.ซี.เอ็ม.ซี.เป็นกิจการที่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจหรือไม่ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ในข้อนี้ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 51)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานหรือจ่ายค่าเสียหาย ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างที่ค้างจ่าย เนื่องจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้า 19,673 บาท ค่าชดเชย 68,100 บาท และค่าเสียหาย 45,400 บาท แก่โจทก์คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์บางข้อดังกล่าว (อันดับ 44)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 49)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อุทธรณ์ข้อ 2 ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับอุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ข้อ 2 เป็นอุทธรณ์ในลักษณะข้อกฎหมาย ซึ่งเป็นการให้ รับฟังข้อเท็จจริงที่ฝ่าฝืนกับคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ถือว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและอุทธรณ์ข้อ 4 เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์ข้อ 2 และข้อ 4 ให้รับอุทธรณ์เฉพาะข้อ 3
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 2 เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่าการที่ผู้อพยพต้องชำระเงินให้แก่องค์การระหว่างประเทศ มิได้มีผลให้กิจการของ ไอ.ซี.เอ็ม.ซี.เป็นกิจการที่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจหรือไม่ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ในข้อนี้ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 51)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานหรือจ่ายค่าเสียหาย ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างที่ค้างจ่าย เนื่องจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้า 19,673 บาท ค่าชดเชย 68,100 บาท และค่าเสียหาย 45,400 บาท แก่โจทก์คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์บางข้อดังกล่าว (อันดับ 44)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 49)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อุทธรณ์ข้อ 2 ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับอุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐานถือได้ว่าเป็นฎีกาโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาจากข้อเท็จจริงนอกสำนวนศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยปัญหาที่จำเลยได้อุทธรณ์ตลอดจนกำหนดภาระหน้าที่นำสืบไม่ถูกต้องอันเป็นการไม่ชอบด้วย วิธีพิจารณาอาญา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89 จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและนำสืบรับในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 2 ปี6 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 84)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ก็ดีการที่ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานที่เกิดจากการข่มขู่บังคับว่าเป็นเอกสารที่เกิดจากความสมัครใจของจำเลยเป็นการไม่ชอบ และศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงครบถ้วนก็ดี ล้วนแต่เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐานถือได้ว่าเป็นฎีกาโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาจากข้อเท็จจริงนอกสำนวนศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยปัญหาที่จำเลยได้อุทธรณ์ตลอดจนกำหนดภาระหน้าที่นำสืบไม่ถูกต้องอันเป็นการไม่ชอบด้วย วิธีพิจารณาอาญา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89 จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและนำสืบรับในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 2 ปี6 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 84)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ก็ดีการที่ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานที่เกิดจากการข่มขู่บังคับว่าเป็นเอกสารที่เกิดจากความสมัครใจของจำเลยเป็นการไม่ชอบ และศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงครบถ้วนก็ดี ล้วนแต่เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยทั้งสอง เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองทุกข้อเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายหาใช่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่อย่างใดไม่โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย เฉพาะจำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยที่โจทก์ได้รับจากบริษัทประกันภัยแก่จำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้แก่ โจทก์จำนวน 86,402 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 65)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 67)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อ 2.1 ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ส่วนฎีกาข้อ 1.4 ที่อ้างเป็นข้อกฎหมายว่าศาลพิพากษาเกินคำขอก็เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดุลพินิจของศาลเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับฎีกาข้ออื่น ๆก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยทั้งสอง เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองทุกข้อเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายหาใช่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่อย่างใดไม่โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย เฉพาะจำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยที่โจทก์ได้รับจากบริษัทประกันภัยแก่จำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้แก่ โจทก์จำนวน 86,402 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 65)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 67)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อ 2.1 ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ส่วนฎีกาข้อ 1.4 ที่อ้างเป็นข้อกฎหมายว่าศาลพิพากษาเกินคำขอก็เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดุลพินิจของศาลเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับฎีกาข้ออื่น ๆก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ของศาล เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้าม มิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ไม่รับฎีกา ของจำเลย
จำเลยหนึ่งว่า ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้รับฟังพยานหลักฐานโดยนำเอาคำให้การซัดทอดระหว่าง ผู้ต้องหาด้วยกันในชั้นสอบสวนมาลงโทษจำเลย คำวินิจฉัย ของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงขัดต่อหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลยขาดองค์ประกอบในการ กระทำความผิดตามกฎหมายเพราะว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้อง และนำสืบให้เห็นโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้ กระทำความผิดอย่างไร และฎีกาที่โต้แย้งคำพิพากษาของ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในเรื่องการลงโทษจำเลยนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของ จำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 127)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26,76 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำคุก 1 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 126)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 127)
คำสั่ง
ที่จำเลยฎีกาอ้างว่าเป็นข้อกฎหมายและอ้างว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังพยานหลักฐานและวินิจฉัยไม่ชอบนั้น เป็นเรื่องที่บิดเบือน ข้อเท็จจริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยเพื่อให้เป็นข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ของศาล เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้าม มิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ไม่รับฎีกา ของจำเลย
จำเลยหนึ่งว่า ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้รับฟังพยานหลักฐานโดยนำเอาคำให้การซัดทอดระหว่าง ผู้ต้องหาด้วยกันในชั้นสอบสวนมาลงโทษจำเลย คำวินิจฉัย ของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงขัดต่อหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลยขาดองค์ประกอบในการ กระทำความผิดตามกฎหมายเพราะว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้อง และนำสืบให้เห็นโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้ กระทำความผิดอย่างไร และฎีกาที่โต้แย้งคำพิพากษาของ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในเรื่องการลงโทษจำเลยนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของ จำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 127)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26,76 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำคุก 1 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 126)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 127)
คำสั่ง
ที่จำเลยฎีกาอ้างว่าเป็นข้อกฎหมายและอ้างว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังพยานหลักฐานและวินิจฉัยไม่ชอบนั้น เป็นเรื่องที่บิดเบือน ข้อเท็จจริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยเพื่อให้เป็นข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว
ความว่า ผู้คัดค้านฎีกา มีเหตุผลเพียงพอที่จะชนะคดีโปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ ผู้ร้องแถลงคัดค้าน (อันดับ 159 แผ่นที่ 4)
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดินมีโฉนดโดยการครอบครองปรปักษ์ และให้เพิกถอนชื่อนางกรรณิการ์วิเศษชาญเวช ออกจากโฉนดและใส่ชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว นางกรรณิการ์วิเศษชาญเวช ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 25983 แขวงบางแค (หลักสอง) เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานครตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรุงเทพมหานคร ผู้ร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ให้เพิกถอนการจดทะเบียนรายการลงวันที่ 28 เมษายน 2531ระหว่างนางสาวจงกลนีทันตศิริกรกับนางกรรณิการ์วิเศษชาญเวช ผู้คัดค้าน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 155,155 แผ่นที่ 13)
ชั้นอุทธรณ์ ผู้คัดค้านได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับ แต่ห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่าง อุทธรณ์ (อันดับ 145)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้ได้มาต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ดังนั้นเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุด จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า ผู้คัดค้านฎีกา มีเหตุผลเพียงพอที่จะชนะคดีโปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ ผู้ร้องแถลงคัดค้าน (อันดับ 159 แผ่นที่ 4)
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดินมีโฉนดโดยการครอบครองปรปักษ์ และให้เพิกถอนชื่อนางกรรณิการ์วิเศษชาญเวช ออกจากโฉนดและใส่ชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว นางกรรณิการ์วิเศษชาญเวช ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 25983 แขวงบางแค (หลักสอง) เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานครตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรุงเทพมหานคร ผู้ร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ให้เพิกถอนการจดทะเบียนรายการลงวันที่ 28 เมษายน 2531ระหว่างนางสาวจงกลนีทันตศิริกรกับนางกรรณิการ์วิเศษชาญเวช ผู้คัดค้าน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 155,155 แผ่นที่ 13)
ชั้นอุทธรณ์ ผู้คัดค้านได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับ แต่ห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่าง อุทธรณ์ (อันดับ 145)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้ได้มาต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ดังนั้นเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุด จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ดังนั้นเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุด จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดินมีโฉนดโดยการครอบครองปรปักษ์ และให้เพิกถอนชื่อนางกรรณิการ์ วิเศษชาญเวช ออกจากโฉนดและใส่ ผู้ร้องเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว นางกรรณิการณ์ วิเศษชาญเวช ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 25983 แขวงบางแคหลักสองเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรุงเทพมหานคร ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ให้เพิกถอนการจดทะเบียนรายการลงวันที่ 28 เมษายน2531 ระหว่างนางสาวจงกลนี ทันตศิริกร กับนางกรรรณิการ์ วิเศษชาญเวช ผู้คัดค้าน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2497)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ผู้ได้มาต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ดังนั้นเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุดจึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกาให้ยกคำร้อง"
ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ดังนั้นเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุด จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดินมีโฉนดโดยการครอบครองปรปักษ์ และให้เพิกถอนชื่อนางกรรณิการ์ วิเศษชาญเวช ออกจากโฉนดและใส่ ผู้ร้องเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว นางกรรณิการณ์ วิเศษชาญเวช ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 25983 แขวงบางแคหลักสองเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรุงเทพมหานคร ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ให้เพิกถอนการจดทะเบียนรายการลงวันที่ 28 เมษายน2531 ระหว่างนางสาวจงกลนี ทันตศิริกร กับนางกรรรณิการ์ วิเศษชาญเวช ผู้คัดค้าน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2497)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ผู้ได้มาต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ดังนั้นเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุดจึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกาให้ยกคำร้อง"
ความว่า จำเลยฎีกา บัดนี้โจทก์กับจำเลยสามารถตกลงกันได้โดยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกัน จำเลยจึงไม่ ประสงค์ที่จะดำเนินคดีอีกต่อไป จึงขอถอนฎีกาและโปรดสั่งคืน ค่าฤชาธรรมเนียมแก่จำเลยเป็นกรณีพิเศษด้วย
หมายเหตุ โจทก์แถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้าน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,942,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 5 กันยายน 2531) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระ ให้โจทก์เสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 219)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 225)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้จำเลยถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจาก สารบบความ ศาลฎีกาคืนค่าขึ้นศาลให้สามในสี่
ความว่า จำเลยฎีกา บัดนี้โจทก์กับจำเลยสามารถตกลงกันได้โดยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกัน จำเลยจึงไม่ ประสงค์ที่จะดำเนินคดีอีกต่อไป จึงขอถอนฎีกาและโปรดสั่งคืน ค่าฤชาธรรมเนียมแก่จำเลยเป็นกรณีพิเศษด้วย
หมายเหตุ โจทก์แถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้าน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,942,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 5 กันยายน 2531) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระ ให้โจทก์เสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 219)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 225)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้จำเลยถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจาก สารบบความ ศาลฎีกาคืนค่าขึ้นศาลให้สามในสี่
ความว่า โจทก์ทั้งห้าฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องเริ่มต้นคดีเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ จำเลยทั้งห้าต่อสู้กรรมสิทธิ์ทำให้คดีกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ คดีนี้ทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาใน ข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ที่แก้ไขแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งห้าโต้แย้งดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายและการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและวินิจฉัยคดีผิดไปจากหลักฐานในคดีเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายได้โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ จำเลยทั้งห้ายังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์สำนวนที่ 1 และที่ 2 เป็นโจทก์ที่ 1 โจทก์สำนวนที่ 3ถึงที่ 6 เป็น โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าเพิกถอนที่ดินของโจทก์ทั้งห้าออกจากที่ดินราชพัสดุ กระทรวงการคลัง ภายใน7 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาจำเลยทั้งห้า ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งห้าและบริวารรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขที่ชร 1190ของจำเลยที่ 1 และให้โจทก์ทั้งห้าชำระค่าเสียหายเดือนละ 187 บาท,189 บาท,93 บาท,334 บาท และ 82 บาทตามลำดับแก่จำเลยที่ 1นับแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2531 ไปจนกว่าโจทก์ทั้งห้าและบริวารจะออกจากที่ดินดังกล่าว ยกฟ้องโจทก์ ทั้งหกสำนวนและฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขดำที่ 1025/2533 คำขออื่นของจำเลยที่ 1นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งห้าฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 184)
โจทก์ทั้งห้าจึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตาม คำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 190)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาโจทก์ทั้งหกสำนวนในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งโจทก์ทั้งห้ายื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา โดยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยคำร้องในส่วนนี้ ส่วนฎีกาของโจทก์ทั้งหกสำนวนในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องนั้น เห็นว่าเหตุที่โจทก์ทั้งห้าอ้างมาในฎีกาเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อนำไปสู่ ข้อกฎหมายเท่านั้นจึงเป็นการฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ทั้งห้าฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องเริ่มต้นคดีเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ จำเลยทั้งห้าต่อสู้กรรมสิทธิ์ทำให้คดีกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ คดีนี้ทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาใน ข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ที่แก้ไขแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งห้าโต้แย้งดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายและการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและวินิจฉัยคดีผิดไปจากหลักฐานในคดีเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายได้โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ จำเลยทั้งห้ายังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์สำนวนที่ 1 และที่ 2 เป็นโจทก์ที่ 1 โจทก์สำนวนที่ 3ถึงที่ 6 เป็น โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าเพิกถอนที่ดินของโจทก์ทั้งห้าออกจากที่ดินราชพัสดุ กระทรวงการคลัง ภายใน7 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาจำเลยทั้งห้า ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งห้าและบริวารรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขที่ชร 1190ของจำเลยที่ 1 และให้โจทก์ทั้งห้าชำระค่าเสียหายเดือนละ 187 บาท,189 บาท,93 บาท,334 บาท และ 82 บาทตามลำดับแก่จำเลยที่ 1นับแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2531 ไปจนกว่าโจทก์ทั้งห้าและบริวารจะออกจากที่ดินดังกล่าว ยกฟ้องโจทก์ ทั้งหกสำนวนและฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขดำที่ 1025/2533 คำขออื่นของจำเลยที่ 1นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งห้าฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 184)
โจทก์ทั้งห้าจึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตาม คำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 190)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาโจทก์ทั้งหกสำนวนในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งโจทก์ทั้งห้ายื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา โดยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยคำร้องในส่วนนี้ ส่วนฎีกาของโจทก์ทั้งหกสำนวนในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องนั้น เห็นว่าเหตุที่โจทก์ทั้งห้าอ้างมาในฎีกาเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อนำไปสู่ ข้อกฎหมายเท่านั้นจึงเป็นการฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|