คดีที่เอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิซึ่งเดิมอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับค่าชดเชยที่ดินกรณีได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล แต่เมื่อปักหลักแนวเขตใหม่กลับไม่อยู่ในแนวเขตชลประทาน และผู้ถูกฟ้องคดีถมดินเพื่อสร้างอาคารสำนักงานรุกล้ำ ที่ดินพิพาท ขอให้จ่ายค่าเสียหายและค่าชดเชยที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีโต้แย้งว่าที่ดินอยู่นอกเขตอ่างเก็บน้ำทั้งแปลงและอยู่ในเขตที่สาธารณประโยชน์ อีกทั้งผู้ฟ้องคดีไม่ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับค่าชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรี เห็นว่า ความมุ่งหมายในการฟ้องคดีของผู้ฟ้องคดีประสงค์เรียกเงินค่าชดเชยในฐานะที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการเป็นสำคัญ มิได้มีคำขอให้ศาลพิพากษาแสดงสิทธิความเป็นเจ้าของที่ดินโต้แย้งกับรัฐไม่ แม้ผู้ถูกฟ้องคดีจะให้การโต้แย้งว่าที่ดินเป็นที่สาธารณประโยชน์จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีไม่ได้ทำประโยชน์ในที่ดิน ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์การได้รับค่าชดเชย การอ้างเรื่องความเป็นที่สาธารณประโยชน์ของผู้ถูกฟ้องคดี จึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งประกอบกับหลักเกณฑ์ข้ออื่นที่ผู้ถูกฟ้องคดียกขึ้นอ้างเพื่อปฏิเสธไม่จ่ายเงินค่าชดเชย ตามที่ผู้ฟ้องคดีเรียกร้องมาในคำฟ้องเท่านั้น ประเด็นแห่งคดีจึงต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ฟ้องคดีว่าเข้าหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรีซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาและมีคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีหรือไม่ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๘/๒๕๕๖
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลปกครองอุบลราชธานี
ระหว่าง
ศาลจังหวัดศรีสะเกษ
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองอุบลราชธานีโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๔ นางพิมพา โพธิบุตร ที่ ๑ นางสวาสดิ์ นิระบุตร ที่ ๒ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามูลล่าง สำนักชลประทานที่ ๘ ที่ ๑ กรมชลประทาน ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองอุบลราชธานี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๖๕/๒๕๕๔ ความว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองต่างเป็นเจ้าของที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ ครอบครองทำประโยชน์สืบต่อมาจากบรรพบุรุษ ที่ดินแปลงดังกล่าวเดิมเป็นที่ดินที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลและอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับเงินค่าชดเชยที่ดิน โดยในการสำรวจแนวเขตที่ได้รับผลกระทบในครั้งแรกที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองอยู่ในระวางซึ่งเจ้าหน้าที่ลงนามรับรอง ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ปักหลักแนวเขตใหม่ ทำให้ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองอยู่นอกแนวเขตชลประทาน จึงไม่เข้าเกณฑ์การที่จะได้รับเงินค่าชดเชย ผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่ติดใจและเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวตลอดมา แต่ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ทำการถมดินเพื่อสร้างอาคารสำนักงานหลายหลังในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง โดยไม่ได้ขออนุญาตหรือมีข้อตกลงใดๆ กับผู้ฟ้องคดีทั้งสอง รวมทั้งมิได้ดำเนินการเวนคืนหรือจ่ายเงินค่าชดเชยเช่นเดียวกับเจ้าของที่ดินบริเวณใกล้เคียง ผู้ฟ้องคดีทั้งสองขอให้ระงับโครงการและเจรจากับผู้ฟ้องคดี ทั้งสอง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่รับผิดชอบและดำเนินการต่อไปจนแล้วเสร็จ ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายและค่าชดเชยที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่า ก่อนการก่อสร้างอาคารสำนักงานผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ตรวจสอบร่วมกับสำนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ สาขาราษีไศล ปรากฏว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน (ทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณประโยชน์) ตาม น.ส.ล. เลขที่ ศก ๐๗๓๖ โดยไม่ปรากฏว่ามีชื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นผู้ครอบครองแต่อย่างใด การเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินจึงไม่เป็นการบุกรุกที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้รับความเสียหายและไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยความเสียหาย นอกจากนี้การก่อสร้างดังกล่าวยังได้รับความเห็นชอบจากสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองแคในฐานะหน่วยงาน ที่มีหน้าที่ปกครองดูแลที่ดินบริเวณดังกล่าวแล้ว ทั้งได้มีการปิดประกาศการขออนุญาตใช้พื้นที่ แต่ไม่มีผู้ใดคัดค้านและขณะนี้อยู่ระหว่างรอความเห็นชอบให้ถอนสภาพที่สาธารณประโยชน์จากอำเภอราษีไศลและสำนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ สาขาราษีไศล ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างเป็นที่ดินที่อยู่หลังคันกั้นน้ำท้ายฝายราษีไศลซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ผลการรังวัดที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างเป็นที่ดินอยู่นอกเขตอ่างเก็บน้ำทั้งแปลงและอยู่ในเขตที่สาธารณประโยชน์ อีกทั้งผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับค่าชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรีและก่อนฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองก็ได้ลงลายมือชื่อยินยอมให้ขุดดินในที่ดินบริเวณดังกล่าวเพื่อนำไปถมที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารจึงเป็นการสละสิทธิเรียกร้องแล้ว ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของรัฐอยู่ระหว่างดำเนินการขอใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์และขอถอนสภาพที่สาธารณประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่มีสิทธิในที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้คู่กรณีต่างอ้างสิทธิในที่พิพาท โดยโต้แย้งว่าใครมีสิทธิในที่ดินดีกว่ากัน คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองอุบลราชธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถมดินเพื่อสร้างอาคารสำนักงานรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองโดยไม่ได้ขออนุญาตหรือมีข้อตกลงใดๆ กับผู้ฟ้องคดีทั้งสอง รวมทั้งมิได้ดำเนินการเวนคืนหรือการจ่ายเงินค่าชดเชยเช่นเดียวกับ เจ้าของที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับผู้ฟ้องคดีทั้งสองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองสูญเสียทรัพย์สินและที่ดินทำกินในการประกอบอาชีพ จึงเป็นการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการหรือละเว้นกระทำการตามอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการชลประทานซึ่งเป็นการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินการทางปกครอง และเป็นผลให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับข้อพิพาทดังกล่าวไม่มีการกระทำของเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดศรีสะเกษพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง แต่ถูกผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ บุกรุกถมดินและก่อสร้างอาคารสำนักงานโดยไม่ได้ขออนุญาตหรือมีข้อตกลงต่อกัน ขอให้จ่ายค่าเสียหายและค่าชดเชยแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า ที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง แต่เป็นที่ดินทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิในที่พิพาทว่าเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีสิทธิในที่พิพาทหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาในประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้อง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ หน่วยงานในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องสรุปได้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองต่างเป็นเจ้าของที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิซึ่งเดิมอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับค่าชดเชยที่ดินกรณีได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล แต่เมื่อมีการปักหลักแนวเขตใหม่ปรากฏว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่อยู่ในแนวเขตชลประทาน ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถมดินเพื่อสร้างอาคารสำนักงานรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจ่ายค่าเสียหายต่อทรัพย์สินและค่าชดเชยที่ดิน โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ โต้แย้งว่าที่ดินตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างมานั้นไม่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล เป็นที่ดินอยู่นอกเขตอ่างเก็บน้ำทั้งแปลงและอยู่ในเขตที่สาธารณประโยชน์ อีกทั้งผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับค่าชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรี เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่รับผิดชอบการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลโดยถือหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรี แม้คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองยอมรับว่าที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างว่าครอบครองทำประโยชน์อยู่นอกแนวเขตก่อสร้างชลประทาน แต่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองบรรยายในคำฟ้องและคำชี้แจงเพิ่มเติมอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองบุกรุกเข้ามาปลูกสร้างอาคารสำนักงานและที่พักอาศัยสำหรับบุคลากรของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองในที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองครอบครองทำประโยชน์โดยไม่มีผู้ใดมาตกลงเจรจากับผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ทั้งที่ที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองทำประโยชน์อยู่นั้นมีสภาพและลักษณะเดียวกับที่ดินที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจ่ายค่าชดเชยให้แก่ราษฎรรายอื่นไป กล่าวคือเป็นที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ แต่มีการครอบครองทำประโยชน์สืบต่อกันจนถึงปัจจุบัน คำฟ้องและคำชี้แจงดังกล่าวแสดงให้เห็นความมุ่งหมายในการฟ้องคดีของผู้ฟ้องคดีทั้งสองว่ามุ่งประสงค์เรียกเงินค่าชดเชยในฐานะที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเป็นสำคัญ มิได้มีคำขอให้ศาลพิพากษาแสดงสิทธิความเป็นเจ้าของที่ดินโต้แย้งกับรัฐไม่ แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะให้การโต้แย้งว่าที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองครอบครองทำประโยชน์อยู่นั้นเป็นที่สาธารณประโยชน์จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง แต่ก็ปรากฏในคำให้การของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ว่า ขณะตรวจสอบเรื่องการขอใช้ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินมีนายเฉลา อาจสาลี ครอบครองทำประโยชน์ในที่สาธารณประโยชน์ด้วยการปลูกต้นยูคาลิปตัส ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ รับคำขอรับเงินค่าชดเชยของนายเฉลาไว้พิจารณาแล้ว ส่วนผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้ทำประโยชน์ในที่ดิน จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์การได้รับค่าชดเชยดังเช่น นายเฉลา ดังนั้น การอ้างเรื่องความเป็นที่สาธารณประโยชน์ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งประกอบกับหลักเกณฑ์ข้ออื่นที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยกขึ้นอ้างเพื่อปฏิเสธไม่จ่ายเงินค่าชดเชยตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเรียกร้องมาในคำฟ้องเท่านั้น ประเด็นแห่งคดีจึงต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ฟ้องคดีทั้งสองว่า เข้าหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรีซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาและมีคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ หรือไม่ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางพิมพา โพธิบุตร ที่ ๑ นางสวาสดิ์ นิระบุตร ที่ ๒ ผู้ฟ้องคดี โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามูลล่าง สำนักชลประทานที่ ๘ ที่ ๑ กรมชลประทาน ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิซึ่งเดิมอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับค่าชดเชยที่ดินกรณีได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล แต่เมื่อปักหลักแนวเขตใหม่กลับไม่อยู่ในแนวเขตชลประทาน และผู้ถูกฟ้องคดีถมดินเพื่อสร้างอาคารสำนักงานรุกล้ำ ที่ดินพิพาท ขอให้จ่ายค่าเสียหายและค่าชดเชยที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีโต้แย้งว่าที่ดินอยู่นอกเขตอ่างเก็บน้ำทั้งแปลงและอยู่ในเขตที่สาธารณประโยชน์ อีกทั้งผู้ฟ้องคดีไม่ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับค่าชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรี เห็นว่า ความมุ่งหมายในการฟ้องคดีของผู้ฟ้องคดีประสงค์เรียกเงินค่าชดเชยในฐานะที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการเป็นสำคัญ มิได้มีคำขอให้ศาลพิพากษาแสดงสิทธิความเป็นเจ้าของที่ดินโต้แย้งกับรัฐไม่ แม้ผู้ถูกฟ้องคดีจะให้การโต้แย้งว่าที่ดินเป็นที่สาธารณประโยชน์จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีไม่ได้ทำประโยชน์ในที่ดิน ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์การได้รับค่าชดเชย การอ้างเรื่องความเป็นที่สาธารณประโยชน์ของผู้ถูกฟ้องคดี จึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งประกอบกับหลักเกณฑ์ข้ออื่นที่ผู้ถูกฟ้องคดียกขึ้นอ้างเพื่อปฏิเสธไม่จ่ายเงินค่าชดเชย ตามที่ผู้ฟ้องคดีเรียกร้องมาในคำฟ้องเท่านั้น ประเด็นแห่งคดีจึงต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ฟ้องคดีว่าเข้าหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรีซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาและมีคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีหรือไม่ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๘/๒๕๕๖
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลปกครองอุบลราชธานี
ระหว่าง
ศาลจังหวัดศรีสะเกษ
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองอุบลราชธานีโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๔ นางพิมพา โพธิบุตร ที่ ๑ นางสวาสดิ์ นิระบุตร ที่ ๒ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามูลล่าง สำนักชลประทานที่ ๘ ที่ ๑ กรมชลประทาน ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองอุบลราชธานี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๖๕/๒๕๕๔ ความว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองต่างเป็นเจ้าของที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ ครอบครองทำประโยชน์สืบต่อมาจากบรรพบุรุษ ที่ดินแปลงดังกล่าวเดิมเป็นที่ดินที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลและอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับเงินค่าชดเชยที่ดิน โดยในการสำรวจแนวเขตที่ได้รับผลกระทบในครั้งแรกที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองอยู่ในระวางซึ่งเจ้าหน้าที่ลงนามรับรอง ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ปักหลักแนวเขตใหม่ ทำให้ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองอยู่นอกแนวเขตชลประทาน จึงไม่เข้าเกณฑ์การที่จะได้รับเงินค่าชดเชย ผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่ติดใจและเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวตลอดมา แต่ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ทำการถมดินเพื่อสร้างอาคารสำนักงานหลายหลังในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง โดยไม่ได้ขออนุญาตหรือมีข้อตกลงใดๆ กับผู้ฟ้องคดีทั้งสอง รวมทั้งมิได้ดำเนินการเวนคืนหรือจ่ายเงินค่าชดเชยเช่นเดียวกับเจ้าของที่ดินบริเวณใกล้เคียง ผู้ฟ้องคดีทั้งสองขอให้ระงับโครงการและเจรจากับผู้ฟ้องคดี ทั้งสอง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่รับผิดชอบและดำเนินการต่อไปจนแล้วเสร็จ ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายและค่าชดเชยที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่า ก่อนการก่อสร้างอาคารสำนักงานผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ตรวจสอบร่วมกับสำนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ สาขาราษีไศล ปรากฏว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน (ทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณประโยชน์) ตาม น.ส.ล. เลขที่ ศก ๐๗๓๖ โดยไม่ปรากฏว่ามีชื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นผู้ครอบครองแต่อย่างใด การเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินจึงไม่เป็นการบุกรุกที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้รับความเสียหายและไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยความเสียหาย นอกจากนี้การก่อสร้างดังกล่าวยังได้รับความเห็นชอบจากสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองแคในฐานะหน่วยงาน ที่มีหน้าที่ปกครองดูแลที่ดินบริเวณดังกล่าวแล้ว ทั้งได้มีการปิดประกาศการขออนุญาตใช้พื้นที่ แต่ไม่มีผู้ใดคัดค้านและขณะนี้อยู่ระหว่างรอความเห็นชอบให้ถอนสภาพที่สาธารณประโยชน์จากอำเภอราษีไศลและสำนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ สาขาราษีไศล ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างเป็นที่ดินที่อยู่หลังคันกั้นน้ำท้ายฝายราษีไศลซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ผลการรังวัดที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างเป็นที่ดินอยู่นอกเขตอ่างเก็บน้ำทั้งแปลงและอยู่ในเขตที่สาธารณประโยชน์ อีกทั้งผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับค่าชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรีและก่อนฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองก็ได้ลงลายมือชื่อยินยอมให้ขุดดินในที่ดินบริเวณดังกล่าวเพื่อนำไปถมที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารจึงเป็นการสละสิทธิเรียกร้องแล้ว ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของรัฐอยู่ระหว่างดำเนินการขอใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์และขอถอนสภาพที่สาธารณประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่มีสิทธิในที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้คู่กรณีต่างอ้างสิทธิในที่พิพาท โดยโต้แย้งว่าใครมีสิทธิในที่ดินดีกว่ากัน คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองอุบลราชธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถมดินเพื่อสร้างอาคารสำนักงานรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองโดยไม่ได้ขออนุญาตหรือมีข้อตกลงใดๆ กับผู้ฟ้องคดีทั้งสอง รวมทั้งมิได้ดำเนินการเวนคืนหรือการจ่ายเงินค่าชดเชยเช่นเดียวกับ เจ้าของที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับผู้ฟ้องคดีทั้งสองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองสูญเสียทรัพย์สินและที่ดินทำกินในการประกอบอาชีพ จึงเป็นการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการหรือละเว้นกระทำการตามอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการชลประทานซึ่งเป็นการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินการทางปกครอง และเป็นผลให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับข้อพิพาทดังกล่าวไม่มีการกระทำของเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดศรีสะเกษพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง แต่ถูกผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ บุกรุกถมดินและก่อสร้างอาคารสำนักงานโดยไม่ได้ขออนุญาตหรือมีข้อตกลงต่อกัน ขอให้จ่ายค่าเสียหายและค่าชดเชยแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า ที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง แต่เป็นที่ดินทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิในที่พิพาทว่าเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีสิทธิในที่พิพาทหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาในประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้อง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ หน่วยงานในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องสรุปได้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองต่างเป็นเจ้าของที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิซึ่งเดิมอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับค่าชดเชยที่ดินกรณีได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล แต่เมื่อมีการปักหลักแนวเขตใหม่ปรากฏว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่อยู่ในแนวเขตชลประทาน ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถมดินเพื่อสร้างอาคารสำนักงานรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจ่ายค่าเสียหายต่อทรัพย์สินและค่าชดเชยที่ดิน โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ โต้แย้งว่าที่ดินตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างมานั้นไม่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล เป็นที่ดินอยู่นอกเขตอ่างเก็บน้ำทั้งแปลงและอยู่ในเขตที่สาธารณประโยชน์ อีกทั้งผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับค่าชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรี เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่รับผิดชอบการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลโดยถือหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรี แม้คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองยอมรับว่าที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างว่าครอบครองทำประโยชน์อยู่นอกแนวเขตก่อสร้างชลประทาน แต่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองบรรยายในคำฟ้องและคำชี้แจงเพิ่มเติมอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองบุกรุกเข้ามาปลูกสร้างอาคารสำนักงานและที่พักอาศัยสำหรับบุคลากรของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองในที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองครอบครองทำประโยชน์โดยไม่มีผู้ใดมาตกลงเจรจากับผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ทั้งที่ที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองทำประโยชน์อยู่นั้นมีสภาพและลักษณะเดียวกับที่ดินที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจ่ายค่าชดเชยให้แก่ราษฎรรายอื่นไป กล่าวคือเป็นที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ แต่มีการครอบครองทำประโยชน์สืบต่อกันจนถึงปัจจุบัน คำฟ้องและคำชี้แจงดังกล่าวแสดงให้เห็นความมุ่งหมายในการฟ้องคดีของผู้ฟ้องคดีทั้งสองว่ามุ่งประสงค์เรียกเงินค่าชดเชยในฐานะที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเป็นสำคัญ มิได้มีคำขอให้ศาลพิพากษาแสดงสิทธิความเป็นเจ้าของที่ดินโต้แย้งกับรัฐไม่ แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะให้การโต้แย้งว่าที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองครอบครองทำประโยชน์อยู่นั้นเป็นที่สาธารณประโยชน์จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง แต่ก็ปรากฏในคำให้การของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ว่า ขณะตรวจสอบเรื่องการขอใช้ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินมีนายเฉลา อาจสาลี ครอบครองทำประโยชน์ในที่สาธารณประโยชน์ด้วยการปลูกต้นยูคาลิปตัส ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ รับคำขอรับเงินค่าชดเชยของนายเฉลาไว้พิจารณาแล้ว ส่วนผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้ทำประโยชน์ในที่ดิน จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์การได้รับค่าชดเชยดังเช่น นายเฉลา ดังนั้น การอ้างเรื่องความเป็นที่สาธารณประโยชน์ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งประกอบกับหลักเกณฑ์ข้ออื่นที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยกขึ้นอ้างเพื่อปฏิเสธไม่จ่ายเงินค่าชดเชยตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเรียกร้องมาในคำฟ้องเท่านั้น ประเด็นแห่งคดีจึงต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ฟ้องคดีทั้งสองว่า เข้าหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรีซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาและมีคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ หรือไม่ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางพิมพา โพธิบุตร ที่ ๑ นางสวาสดิ์ นิระบุตร ที่ ๒ ผู้ฟ้องคดี โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามูลล่าง สำนักชลประทานที่ ๘ ที่ ๑ กรมชลประทาน ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) ขอออกโฉนดที่ดินและเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ออกใบไต่สวนให้แก่โจทก์แล้วเรื่องอยู่ระหว่างรอออกโฉนดที่ดิน แต่ถูกจำเลยที่ ๑ คัดค้านอ้างว่าที่พิพาทเป็นที่ดินรถไฟอยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ ทำให้จำเลยที่ ๒ ไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ โดยไม่ดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบไต่สวน ห้ามจำเลยที่ ๑ เกี่ยวข้องกับที่พิพาทและให้ถอนคำคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินตามใบไต่สวนให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ โต้แย้งว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินรถไฟซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ โต้แย้งว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์และไม่อาจใช้อำนาจสอบสวนเปรียบเทียบและสั่งการได้เช่นกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้นจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไปซึ่งรวมทั้งคดีของจำเลยที่ ๒ อันเป็นประเด็นข้อพิพาทเนื่องมาจากการที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินแล้วจำเลยที่ ๑ ยื่นคำคัดค้าน คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๗/๒๕๕๖
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์
ระหว่าง
ศาลปกครองนครราชสีมา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
นายพนม บุญยืด โจทก์ ยื่นฟ้องการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๑๕๔/๒๕๕๔ หมายเลขแดงที่ ๗๐๐/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน อันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) เลขที่ ๒๐๙ ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เนื้อที่รวม ๑๗๐ ไร่ ซึ่งเดิมนายทอ เย็นวัฒนา เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ตั้งแต่ปี ๒๔๗๑ และแจ้งการครอบครองไว้ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ และได้มีการโอนต่อกันมา ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินส่วนของโจทก์และนำเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ทำการรังวัดพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ในที่ดินโดยมีเจ้าของที่ดินข้างเคียงร่วมระวังแนวเขตและไม่มีผู้คัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ ๒ ออกใบไต่สวนให้แก่โจทก์ไว้เป็นหลักฐาน แต่ในระหว่างที่จำเลยที่ ๒ ดำเนินการเพื่อออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ โดยไม่สุจริตยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า ที่ดินของโจทก์อยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ และทั้งที่จำเลยทั้งสองทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ กลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบและออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบไต่สวน ห้ามจำเลยที่ ๑ เกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าวและให้ถอนคำคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามใบไต่สวนให้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์มิใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ที่ดินดังกล่าว เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ และเป็นที่ดินหวงห้ามไว้ใช้ในราชการ ที่ดินแปลงพิพาทจึงเป็นที่ดินรถไฟตามมาตรา ๓ (๒) และได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทภายหลังพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลบังคับ จึงไม่อาจอ้างว่าเป็นเจ้าของและผู้มีสิทธิครอบครอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การกระทำของโจทก์เป็นละเมิดต่อจำเลยที่ ๑ ขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท กับให้ชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการออกโฉนดที่ดิน แต่เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสาขาโดยเฉพาะ คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์จึงไม่อาจบังคับได้ โจทก์มิได้ครอบครองหรือซื้อที่ดินมาโดยชอบ จึงมิใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงพิพาทและไม่มีสิทธินำที่ดินมาขอออกโฉนดที่ดิน อีกทั้งมีผู้คัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่อาจใช้อำนาจสอบสวนเปรียบเทียบและสั่งการตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ ซึ่งใช้ในกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนได้ จำเลยที่ ๒ มิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ได้ทำละเมิดต่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ที่ดินของโจทก์อยู่นอกเขตที่ดินของจำเลยที่ ๑ และไม่ใช่ที่ดินรถไฟ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีในส่วนของจำเลยที่ ๒ เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) อันเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๒ จะเป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ประเด็นพิพาทเป็นเรื่องสิทธิของบุคคลเกี่ยวกับที่ดิน การที่ศาลจะมีคำพิพากษาตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามที่กล่าวอ้าง หรือที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ และที่ดินพิพาทที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินนั้น เป็นที่ดินที่จำเลยที่ ๒ สามารถจะออกโฉนดที่ดินให้ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดินหรือไม่เป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ส่วนการที่จำเลยที่ ๒ จะทำการสอบสวนเปรียบเทียบในกรณีที่มีผู้โต้แย้งสิทธิในการออกโฉนดที่ดินหรือไม่ เป็นเรื่องสืบเนื่องจากโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินแล้วจำเลยที่ ๑ คัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๒ ใช้ดุลพินิจตามที่ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ วรรคหนึ่ง ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานที่ดินในการที่จะทำการสอบสวนเปรียบเทียบหรือไม่ก็ได้ จึงไม่มีประเด็นพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) ดังนั้น คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ คัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ เป็นที่ดินของรัฐ เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ ประกอบพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินรถไฟเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการรถไฟ และการที่โจทก์กล่าวอ้างว่า เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ทำการสอบสวนเปรียบเทียบและพิจารณาสั่งคำขอออกโฉนดที่ดิน กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายและจากการละเลยต่อหน้าที่ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง นอกจากนี้แม้คดีจะมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในแนวเขตรถไฟหรือเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่ก็มีประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อนว่า การดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินการทางปกครองชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการจัดวางการรถไฟแลทางหลวงหรือไม่ สำหรับประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการครอบครองและสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปนั้น เป็นเพียงปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาวินิจฉัยในเนื้อหาของคดี และแม้การพิจารณาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทหรือไม่ จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในประเด็นดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสองกล่าวอ้างและโต้แย้งกันสรุปได้ว่า โจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินส่วนของโจทก์และนำเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ทำการรังวัดพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ ๒ ได้ออกใบไต่สวนให้แก่โจทก์ไว้ แต่ในระหว่างที่จำเลยที่ ๒ ดำเนินการเพื่อออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินรถไฟอยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ และทั้งที่จำเลยทั้งสองทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ กลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบและออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ จึงขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบไต่สวน ห้ามจำเลยที่ ๑ เกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าวและให้ถอนคำคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินตามใบไต่สวนให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ โต้แย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรถไฟซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ โต้แย้งว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ คัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์และไม่อาจใช้อำนาจสอบสวนเปรียบเทียบและสั่งการได้เช่นกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน เห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้รับรองหรือคุ้มครองสิทธิในที่ดินและการขอออกโฉนดที่ดินตามสิทธิของตนเป็นสำคัญ โดยเมื่อจำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ขอให้บังคับโจทก์ออกจากที่ดินพิพาทและชดใช้ค่าเสียหาย และจำเลยที่ ๒ ให้การว่า เหตุที่ไม่สอบสวนเปรียบเทียบและออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ เพราะจำเลยที่ ๑ ผู้คัดค้านอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดังนั้น การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้นจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป ซึ่งรวมทั้งคดีของจำเลยที่ ๒ อันเป็นประเด็นข้อพิพาทเนื่องมาจากการที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินแล้วจำเลยที่ ๑ ยื่นคำคัดค้านนั่นเอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายพนม บุญยืด โจทก์ การรถไฟแห่งประเทศไทยที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) ขอออกโฉนดที่ดินและเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ออกใบไต่สวนให้แก่โจทก์แล้วเรื่องอยู่ระหว่างรอออกโฉนดที่ดิน แต่ถูกจำเลยที่ ๑ คัดค้านอ้างว่าที่พิพาทเป็นที่ดินรถไฟอยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ ทำให้จำเลยที่ ๒ ไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ โดยไม่ดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบไต่สวน ห้ามจำเลยที่ ๑ เกี่ยวข้องกับที่พิพาทและให้ถอนคำคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินตามใบไต่สวนให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ โต้แย้งว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินรถไฟซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ โต้แย้งว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์และไม่อาจใช้อำนาจสอบสวนเปรียบเทียบและสั่งการได้เช่นกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้นจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไปซึ่งรวมทั้งคดีของจำเลยที่ ๒ อันเป็นประเด็นข้อพิพาทเนื่องมาจากการที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินแล้วจำเลยที่ ๑ ยื่นคำคัดค้าน คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๗/๒๕๕๖
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์
ระหว่าง
ศาลปกครองนครราชสีมา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
นายพนม บุญยืด โจทก์ ยื่นฟ้องการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๑๕๔/๒๕๕๔ หมายเลขแดงที่ ๗๐๐/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน อันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) เลขที่ ๒๐๙ ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เนื้อที่รวม ๑๗๐ ไร่ ซึ่งเดิมนายทอ เย็นวัฒนา เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ตั้งแต่ปี ๒๔๗๑ และแจ้งการครอบครองไว้ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ และได้มีการโอนต่อกันมา ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินส่วนของโจทก์และนำเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ทำการรังวัดพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ในที่ดินโดยมีเจ้าของที่ดินข้างเคียงร่วมระวังแนวเขตและไม่มีผู้คัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ ๒ ออกใบไต่สวนให้แก่โจทก์ไว้เป็นหลักฐาน แต่ในระหว่างที่จำเลยที่ ๒ ดำเนินการเพื่อออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ โดยไม่สุจริตยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า ที่ดินของโจทก์อยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ และทั้งที่จำเลยทั้งสองทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ กลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบและออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบไต่สวน ห้ามจำเลยที่ ๑ เกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าวและให้ถอนคำคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามใบไต่สวนให้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์มิใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ที่ดินดังกล่าว เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ และเป็นที่ดินหวงห้ามไว้ใช้ในราชการ ที่ดินแปลงพิพาทจึงเป็นที่ดินรถไฟตามมาตรา ๓ (๒) และได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทภายหลังพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลบังคับ จึงไม่อาจอ้างว่าเป็นเจ้าของและผู้มีสิทธิครอบครอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การกระทำของโจทก์เป็นละเมิดต่อจำเลยที่ ๑ ขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท กับให้ชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการออกโฉนดที่ดิน แต่เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสาขาโดยเฉพาะ คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์จึงไม่อาจบังคับได้ โจทก์มิได้ครอบครองหรือซื้อที่ดินมาโดยชอบ จึงมิใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงพิพาทและไม่มีสิทธินำที่ดินมาขอออกโฉนดที่ดิน อีกทั้งมีผู้คัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่อาจใช้อำนาจสอบสวนเปรียบเทียบและสั่งการตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ ซึ่งใช้ในกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนได้ จำเลยที่ ๒ มิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ได้ทำละเมิดต่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ที่ดินของโจทก์อยู่นอกเขตที่ดินของจำเลยที่ ๑ และไม่ใช่ที่ดินรถไฟ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีในส่วนของจำเลยที่ ๒ เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) อันเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๒ จะเป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ประเด็นพิพาทเป็นเรื่องสิทธิของบุคคลเกี่ยวกับที่ดิน การที่ศาลจะมีคำพิพากษาตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามที่กล่าวอ้าง หรือที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ และที่ดินพิพาทที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินนั้น เป็นที่ดินที่จำเลยที่ ๒ สามารถจะออกโฉนดที่ดินให้ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดินหรือไม่เป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ส่วนการที่จำเลยที่ ๒ จะทำการสอบสวนเปรียบเทียบในกรณีที่มีผู้โต้แย้งสิทธิในการออกโฉนดที่ดินหรือไม่ เป็นเรื่องสืบเนื่องจากโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินแล้วจำเลยที่ ๑ คัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๒ ใช้ดุลพินิจตามที่ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ วรรคหนึ่ง ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานที่ดินในการที่จะทำการสอบสวนเปรียบเทียบหรือไม่ก็ได้ จึงไม่มีประเด็นพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) ดังนั้น คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ คัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ เป็นที่ดินของรัฐ เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ ประกอบพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินรถไฟเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการรถไฟ และการที่โจทก์กล่าวอ้างว่า เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ทำการสอบสวนเปรียบเทียบและพิจารณาสั่งคำขอออกโฉนดที่ดิน กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายและจากการละเลยต่อหน้าที่ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง นอกจากนี้แม้คดีจะมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในแนวเขตรถไฟหรือเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่ก็มีประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อนว่า การดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินการทางปกครองชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการจัดวางการรถไฟแลทางหลวงหรือไม่ สำหรับประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการครอบครองและสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปนั้น เป็นเพียงปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาวินิจฉัยในเนื้อหาของคดี และแม้การพิจารณาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทหรือไม่ จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในประเด็นดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสองกล่าวอ้างและโต้แย้งกันสรุปได้ว่า โจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินส่วนของโจทก์และนำเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ทำการรังวัดพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ ๒ ได้ออกใบไต่สวนให้แก่โจทก์ไว้ แต่ในระหว่างที่จำเลยที่ ๒ ดำเนินการเพื่อออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินรถไฟอยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ และทั้งที่จำเลยทั้งสองทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ กลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบและออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ จึงขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบไต่สวน ห้ามจำเลยที่ ๑ เกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าวและให้ถอนคำคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินตามใบไต่สวนให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ โต้แย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรถไฟซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ โต้แย้งว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ คัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์และไม่อาจใช้อำนาจสอบสวนเปรียบเทียบและสั่งการได้เช่นกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน เห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้รับรองหรือคุ้มครองสิทธิในที่ดินและการขอออกโฉนดที่ดินตามสิทธิของตนเป็นสำคัญ โดยเมื่อจำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ขอให้บังคับโจทก์ออกจากที่ดินพิพาทและชดใช้ค่าเสียหาย และจำเลยที่ ๒ ให้การว่า เหตุที่ไม่สอบสวนเปรียบเทียบและออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ เพราะจำเลยที่ ๑ ผู้คัดค้านอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดังนั้น การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้นจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป ซึ่งรวมทั้งคดีของจำเลยที่ ๒ อันเป็นประเด็นข้อพิพาทเนื่องมาจากการที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินแล้วจำเลยที่ ๑ ยื่นคำคัดค้านนั่นเอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายพนม บุญยืด โจทก์ การรถไฟแห่งประเทศไทยที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) ขอออกโฉนดที่ดินและเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ออกใบไต่สวนให้แก่โจทก์แล้วเรื่องอยู่ระหว่างรอออกโฉนดที่ดิน แต่ถูกจำเลยที่ ๑ คัดค้านอ้างว่าที่พิพาทเป็นที่ดินรถไฟอยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ ทำให้จำเลยที่ ๒ ไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ โดยไม่ดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบไต่สวน ห้ามจำเลยที่ ๑ เกี่ยวข้องกับที่พิพาทและให้ถอนคำคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินตามใบไต่สวนให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ โต้แย้งว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินรถไฟซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ โต้แย้งว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์และไม่อาจใช้อำนาจสอบสวนเปรียบเทียบและสั่งการได้เช่นกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไปซึ่งรวมทั้งคดีของจำเลยที่ ๒ อันเป็นประเด็นข้อพิพาทเนื่องมาจากการที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินแล้วจำเลยที่ ๑ ยื่นคำคัดค้าน คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๖/๒๕๕๖
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์
ระหว่าง
ศาลปกครองนครราชสีมา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
นางมารศรี ยืนยาว โจทก์ ยื่นฟ้องการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๑๕๔/๒๕๕๔ หมายเลขแดงที่ ๗๐๐/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน อันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) เลขที่ ๒๐๙ ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เนื้อที่รวม ๑๗๐ ไร่ ซึ่งเดิมนายทอ เย็นวัฒนา เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ตั้งแต่ปี ๒๔๗๑ และแจ้งการครอบครองไว้ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ และได้มีการโอนต่อกันมา ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินส่วนของโจทก์และนำเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ทำการรังวัดพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ในที่ดินโดยมีเจ้าของที่ดินข้างเคียงร่วมระวังแนวเขตและไม่มีผู้คัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ ๒ ออกใบไต่สวนให้แก่โจทก์ไว้เป็นหลักฐาน แต่ในระหว่างที่จำเลยที่ ๒ ดำเนินการเพื่อออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ โดยไม่สุจริตยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า ที่ดินของโจทก์อยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ และทั้งที่จำเลยทั้งสองทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ กลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบและออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบไต่สวน ห้ามจำเลยที่ ๑ เกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าวและให้ถอนคำคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามใบไต่สวนให้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์มิใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ และเป็นที่ดินหวงห้ามไว้ใช้ในราชการ ที่ดินแปลงพิพาทจึงเป็นที่ดินรถไฟตามมาตรา ๓ (๒) และได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทภายหลังพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลบังคับ จึงไม่อาจอ้างว่าเป็นเจ้าของและผู้มีสิทธิครอบครอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การกระทำของโจทก์เป็นละเมิดต่อจำเลยที่ ๑ ขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท กับให้ชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการออกโฉนดที่ดิน แต่เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสาขาโดยเฉพาะ คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์จึงไม่อาจบังคับได้ โจทก์มิได้ครอบครองหรือซื้อที่ดินมาโดยชอบ จึงมิใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงพิพาทและไม่มีสิทธินำที่ดินมาขอออกโฉนดที่ดิน อีกทั้งมีผู้คัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่อาจใช้อำนาจสอบสวนเปรียบเทียบและสั่งการตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ ซึ่งใช้ในกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนได้ จำเลยที่ ๒ มิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ได้ทำละเมิดต่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ที่ดินของโจทก์อยู่นอกเขตที่ดินของจำเลยที่ ๑ และไม่ใช่ที่ดินรถไฟ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีในส่วนของจำเลยที่ ๒ เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) อันเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๒ จะเป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ประเด็นพิพาทเป็นเรื่องสิทธิของบุคคลเกี่ยวกับที่ดิน การที่ศาลจะมีคำพิพากษาตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามที่กล่าวอ้าง หรือที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ และที่ดินพิพาทที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินนั้น เป็นที่ดินที่จำเลยที่ ๒ สามารถจะออกโฉนดที่ดินให้ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดินหรือไม่เป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ส่วนการที่จำเลยที่ ๒ จะทำการสอบสวนเปรียบเทียบในกรณีที่มีผู้โต้แย้งสิทธิในการออกโฉนดที่ดินหรือไม่ เป็นเรื่องสืบเนื่องจากโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินแล้วจำเลยที่ ๑ คัดค้านว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๒ ใช้ดุลพินิจตามที่ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ วรรคหนึ่ง ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานที่ดินในการที่จะทำการสอบสวนเปรียบเทียบหรือไม่ก็ได้ จึงไม่มีประเด็นพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) ดังนั้น คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ คัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ เป็นที่ดินของรัฐ เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ ประกอบพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินรถไฟเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการรถไฟ และการที่โจทก์กล่าวอ้างว่า เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ทำการสอบสวนเปรียบเทียบและพิจารณาสั่งคำขอออกโฉนดที่ดิน กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายและจากการละเลยต่อหน้าที่ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง นอกจากนี้แม้คดีจะมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในแนวเขตรถไฟหรือเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่ก็มีประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อนว่า การดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินการทางปกครองชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการจัดวางการรถไฟแลทางหลวงหรือไม่ สำหรับประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการครอบครองและสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปนั้น เป็นเพียงปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาวินิจฉัยในเนื้อหาของคดี และแม้การพิจารณาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทหรือไม่ จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในประเด็นดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสองกล่าวอ้างและโต้แย้งกันสรุปได้ว่า โจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินส่วนของโจทก์และนำเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ทำการรังวัดพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ ๒ ได้ออกใบไต่สวนให้แก่โจทก์ไว้ แต่ในระหว่างที่จำเลยที่ ๒ ดำเนินการเพื่อออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินรถไฟอยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ และทั้งที่จำเลยทั้งสองทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ กลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบและออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ จึงขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบไต่สวน ห้ามจำเลยที่ ๑ เกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าวและให้ถอนคำคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินตามใบไต่สวนให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ โต้แย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรถไฟซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ โต้แย้งว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ คัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์และไม่อาจใช้อำนาจสอบสวนเปรียบเทียบและสั่งการได้เช่นกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน เห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้รับรองหรือคุ้มครองสิทธิในที่ดินและการขอออกโฉนดที่ดินตามสิทธิของตนเป็นสำคัญ โดยเมื่อจำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ขอให้บังคับโจทก์ออกจากที่ดินพิพาทและชดใช้ค่าเสียหาย และจำเลยที่ ๒ ให้การว่า เหตุที่ไม่สอบสวนเปรียบเทียบและออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ เพราะจำเลยที่ ๑ ผู้คัดค้านอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดังนั้น การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้นจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป ซึ่งรวมทั้งคดีของจำเลยที่ ๒ อันเป็นประเด็นข้อพิพาทเนื่องมาจากการที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินแล้วจำเลยที่ ๑ ยื่นคำคัดค้านนั่นเอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางมารศรี ยืนยาว โจทก์ การรถไฟแห่งประเทศไทยที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) ขอออกโฉนดที่ดินและเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ออกใบไต่สวนให้แก่โจทก์แล้วเรื่องอยู่ระหว่างรอออกโฉนดที่ดิน แต่ถูกจำเลยที่ ๑ คัดค้านอ้างว่าที่พิพาทเป็นที่ดินรถไฟอยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ ทำให้จำเลยที่ ๒ ไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ โดยไม่ดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบไต่สวน ห้ามจำเลยที่ ๑ เกี่ยวข้องกับที่พิพาทและให้ถอนคำคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินตามใบไต่สวนให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ โต้แย้งว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินรถไฟซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ โต้แย้งว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์และไม่อาจใช้อำนาจสอบสวนเปรียบเทียบและสั่งการได้เช่นกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไปซึ่งรวมทั้งคดีของจำเลยที่ ๒ อันเป็นประเด็นข้อพิพาทเนื่องมาจากการที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินแล้วจำเลยที่ ๑ ยื่นคำคัดค้าน คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๖/๒๕๕๖
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์
ระหว่าง
ศาลปกครองนครราชสีมา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
นางมารศรี ยืนยาว โจทก์ ยื่นฟ้องการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๑๕๔/๒๕๕๔ หมายเลขแดงที่ ๗๐๐/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน อันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) เลขที่ ๒๐๙ ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เนื้อที่รวม ๑๗๐ ไร่ ซึ่งเดิมนายทอ เย็นวัฒนา เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ตั้งแต่ปี ๒๔๗๑ และแจ้งการครอบครองไว้ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ และได้มีการโอนต่อกันมา ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินส่วนของโจทก์และนำเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ทำการรังวัดพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ในที่ดินโดยมีเจ้าของที่ดินข้างเคียงร่วมระวังแนวเขตและไม่มีผู้คัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ ๒ ออกใบไต่สวนให้แก่โจทก์ไว้เป็นหลักฐาน แต่ในระหว่างที่จำเลยที่ ๒ ดำเนินการเพื่อออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ โดยไม่สุจริตยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า ที่ดินของโจทก์อยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ และทั้งที่จำเลยทั้งสองทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ กลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบและออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบไต่สวน ห้ามจำเลยที่ ๑ เกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าวและให้ถอนคำคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามใบไต่สวนให้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์มิใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ และเป็นที่ดินหวงห้ามไว้ใช้ในราชการ ที่ดินแปลงพิพาทจึงเป็นที่ดินรถไฟตามมาตรา ๓ (๒) และได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทภายหลังพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลบังคับ จึงไม่อาจอ้างว่าเป็นเจ้าของและผู้มีสิทธิครอบครอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การกระทำของโจทก์เป็นละเมิดต่อจำเลยที่ ๑ ขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท กับให้ชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการออกโฉนดที่ดิน แต่เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสาขาโดยเฉพาะ คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์จึงไม่อาจบังคับได้ โจทก์มิได้ครอบครองหรือซื้อที่ดินมาโดยชอบ จึงมิใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงพิพาทและไม่มีสิทธินำที่ดินมาขอออกโฉนดที่ดิน อีกทั้งมีผู้คัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่อาจใช้อำนาจสอบสวนเปรียบเทียบและสั่งการตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ ซึ่งใช้ในกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนได้ จำเลยที่ ๒ มิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ได้ทำละเมิดต่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ที่ดินของโจทก์อยู่นอกเขตที่ดินของจำเลยที่ ๑ และไม่ใช่ที่ดินรถไฟ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีในส่วนของจำเลยที่ ๒ เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) อันเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๒ จะเป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ประเด็นพิพาทเป็นเรื่องสิทธิของบุคคลเกี่ยวกับที่ดิน การที่ศาลจะมีคำพิพากษาตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามที่กล่าวอ้าง หรือที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ และที่ดินพิพาทที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินนั้น เป็นที่ดินที่จำเลยที่ ๒ สามารถจะออกโฉนดที่ดินให้ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดินหรือไม่เป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ส่วนการที่จำเลยที่ ๒ จะทำการสอบสวนเปรียบเทียบในกรณีที่มีผู้โต้แย้งสิทธิในการออกโฉนดที่ดินหรือไม่ เป็นเรื่องสืบเนื่องจากโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินแล้วจำเลยที่ ๑ คัดค้านว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๒ ใช้ดุลพินิจตามที่ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ วรรคหนึ่ง ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานที่ดินในการที่จะทำการสอบสวนเปรียบเทียบหรือไม่ก็ได้ จึงไม่มีประเด็นพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) ดังนั้น คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ คัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ เป็นที่ดินของรัฐ เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ ประกอบพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินรถไฟเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการรถไฟ และการที่โจทก์กล่าวอ้างว่า เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ทำการสอบสวนเปรียบเทียบและพิจารณาสั่งคำขอออกโฉนดที่ดิน กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายและจากการละเลยต่อหน้าที่ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง นอกจากนี้แม้คดีจะมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในแนวเขตรถไฟหรือเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่ก็มีประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อนว่า การดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินการทางปกครองชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการจัดวางการรถไฟแลทางหลวงหรือไม่ สำหรับประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการครอบครองและสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปนั้น เป็นเพียงปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาวินิจฉัยในเนื้อหาของคดี และแม้การพิจารณาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทหรือไม่ จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในประเด็นดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสองกล่าวอ้างและโต้แย้งกันสรุปได้ว่า โจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินส่วนของโจทก์และนำเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๒ ทำการรังวัดพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ ๒ ได้ออกใบไต่สวนให้แก่โจทก์ไว้ แต่ในระหว่างที่จำเลยที่ ๒ ดำเนินการเพื่อออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินรถไฟอยู่ในเขตพื้นที่ของจำเลยที่ ๑ และทั้งที่จำเลยทั้งสองทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ กลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบและออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ จึงขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบไต่สวน ห้ามจำเลยที่ ๑ เกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าวและให้ถอนคำคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินตามใบไต่สวนให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ โต้แย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรถไฟซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ โต้แย้งว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ คัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์และไม่อาจใช้อำนาจสอบสวนเปรียบเทียบและสั่งการได้เช่นกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน เห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้รับรองหรือคุ้มครองสิทธิในที่ดินและการขอออกโฉนดที่ดินตามสิทธิของตนเป็นสำคัญ โดยเมื่อจำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ขอให้บังคับโจทก์ออกจากที่ดินพิพาทและชดใช้ค่าเสียหาย และจำเลยที่ ๒ ให้การว่า เหตุที่ไม่สอบสวนเปรียบเทียบและออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ เพราะจำเลยที่ ๑ ผู้คัดค้านอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดังนั้น การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้นจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป ซึ่งรวมทั้งคดีของจำเลยที่ ๒ อันเป็นประเด็นข้อพิพาทเนื่องมาจากการที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินแล้วจำเลยที่ ๑ ยื่นคำคัดค้านนั่นเอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางมารศรี ยืนยาว โจทก์ การรถไฟแห่งประเทศไทยที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นเอกชน และนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนนทบุรี จำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อ้างว่าได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ในคำขอและเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งเป็นความเท็จ แล้วนำเอกสารปลอมดังกล่าวยื่นต่อจำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๔ รับจดทะเบียนให้ โดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นกับการจดทะเบียนดังกล่าว จึงขอให้จำเลยที่ ๔ เพิกถอนการจดทะเบียน แต่จำเลยที่ ๔ ไม่ดำเนินการ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งว่าคำขอและเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ให้การจดทะเบียนเป็นโมฆะหรือเพิกถอนการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวหรือเพิกถอนชื่อโจทก์จากการเป็นหุ้นส่วน กับให้เพิกถอนนิติกรรมทั้งหมดที่กระทำขึ้น เห็นว่า ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้เป็นกรณีที่ต้องพิสูจน์การกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ว่า ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือไม่ อันเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนและเป็นเรื่องที่โจทก์ถือเอาเป็นข้อโต้แย้งสิทธิในคดี ส่วนคดีระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๔ ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าไม่ยอมเพิกถอนการจดทะเบียนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวเป็นกรณีที่สืบเนื่องมาจากคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเองเกี่ยวกับการปลอมลายมือชื่อโจทก์ในเอกสารดังกล่าวข้างต้น คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๕/๒๕๕๖
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)
ศาลจังหวัดนนทบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนนทบุรีโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ นางสาวสุดารัตน์ ศรีศิริ โจทก์ ยื่นฟ้อง นายอรุณ รัตนเรือง ที่ ๑ นางจิตตินันท์ แกล้วกสิกิจ ที่ ๒ นายฑีฆายุบุตร คุปอริยสิทธิ์ ที่ ๓ นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนนทบุรี ที่ ๔ จำเลย ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ. ๑๔๖๔/๒๕๕๔ หมายเลขแดงที่ พ. ๑๘๗/๒๕๕๕ ความว่า เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันปลอมแปลงลายมือชื่อโจทก์ในคำขอและเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด แฟมมิลี่ แอนด์ แฮปปี้ แคร์ เซอร์วิส โดยมีข้อความระบุให้โจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นผู้ขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวซึ่งเป็นความเท็จ และจำเลยที่ ๑ ยังลงลายมือชื่อตนเองในหนังสือมอบอำนาจในช่องผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ไปจดทะเบียน โดยมีจำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวด้วย และจำเลยที่ ๓ ในฐานะสมาชิกสามัญแห่งเนติบัณฑิตยสภาลงลายมือชื่อในช่องผู้รับรองลายมือชื่อโจทก์ในคำขอจดทะเบียน ซึ่งโจทก์ไม่เคยยื่นคำขอหรือมอบอำนาจให้ผู้ใดยื่นคำขอและไม่เคยรู้จักจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ จำเลยที่ ๑ นำเอกสารปลอมดังกล่าวยื่นต่อจำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๔ รับจดทะเบียนให้ ต่อมาประมาณเดือนตุลาคม ๒๕๕๓ โจทก์ได้รับหนังสือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดนนทบุรี หนังสือสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หนังสือกลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ ๒ และหนังสือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสระบุรีแจ้งคำสั่งให้โจทก์ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างรวม ๔ ราย ทำให้โจทก์ทราบว่ามีการปลอมลายมือชื่อโจทก์ จึงขอให้จำเลยที่ ๔ เพิกถอนการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด แฟมมิลี่ แอนด์ แฮปปี้ แคร์ เซอร์วิส แต่จำเลยที่ ๔ แจ้งว่าไม่สามารถดำเนินการได้ เว้นแต่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งว่า คำขอและเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด แฟมมิลี่ แอนด์ แฮปปี้ แคร์ เซอร์วิส เป็นเอกสารปลอม ให้การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวเป็นโมฆะหรือเพิกถอนการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวหรือเพิกถอนชื่อโจทก์จากการเป็นหุ้นส่วน กับให้เพิกถอนนิติกรรมทั้งหมดที่กระทำขึ้นในนามห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าว
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การว่า ได้กระทำการโดยสุจริตและไม่มีเจตนาร่วมกันปลอมเอกสาร การจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดในชื่อแฟมมิลี่ แอนด์ แฮปปี้ แคร์ เซอร์วิส เป็นการดำเนินการของสำนักงานการบัญชี เจทีเอ็น จำกัด ที่มีจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้จัดการ โดยการติดต่อว่าจ้างของนางสาวสุดารัตน์ ศรีศิริ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ไม่เคยพบตัว ไม่รู้จัก และไม่ทราบว่าผู้ว่าจ้างเป็นบุคคลที่แท้จริงตามบัตรประชาชนหรือไม่ และไม่ทราบว่าลายมือชื่อเป็นของบุคคลใด จำเลยที่ ๑ เป็นเพียงผู้ดำเนินการส่งเอกสารให้ผู้ว่าจ้างลงลายมือชื่อและตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนแล้วส่งให้จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นทนายความและเป็นสมาชิกวิสามัญแห่งเนติบัณฑิตยสภาลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อนางสาวสุดารัตน์เท่านั้น มิได้รับรองตัวตนแต่อย่างใด
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบและวิธีปฏิบัติแล้ว โดยในการพิจารณาคำขอและเอกสารประกอบการจดทะเบียนพบว่ามีเอกสารครบถ้วนและไม่พบข้อห้ามมิให้รับจดทะเบียน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า จำเลยที่ ๔ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ การที่จำเลยที่ ๔ มีคำสั่งไม่เพิกถอนการจดทะเบียนเป็นคำสั่งทางปกครอง คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนนทบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า จากคำฟ้องและคำให้การคงมีประเด็นแต่เพียงว่าลายมือชื่อโจทก์ตามคำขอจดทะเบียนเป็นลายมือชื่อปลอมหรือไม่ การพิจารณาว่าจะเพิกถอนการจดทะเบียนได้หรือไม่ก็ต้องพิจารณาถึงสิทธิทางแพ่งเป็นสำคัญ กล่าวคือ ถ้าเอกสารคำขอจดทะเบียนและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคำขอจดทะเบียนตามคำฟ้องเป็นเอกสารปลอมก็ต้องเพิกถอนการจดทะเบียน ข้อพิพาทคดีนี้ในส่วนของจำเลยที่ ๔ จึงมิใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า การรับจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดของจำเลยที่ ๔ เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย อันมีลักษณะเป็นการก่อตั้งสิทธิหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลผู้เป็นหุ้นส่วน ห้างหุ้นส่วนจำกัดและโจทก์ มิใช่เป็นเพียงการรับรองสิทธิของนิติบุคคลในทางแพ่งเท่านั้น ประกอบกับกฎกระทรวงจัดตั้งสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท แต่งตั้งนายทะเบียน และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. ๒๕๔๙ และระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง ว่าด้วยการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัท พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้กำหนดขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติงานของนายทะเบียนโดยเฉพาะเรื่องวิธีการลงลายมือชื่อและการตรวจสอบการลงลายมือชื่อซึ่งนายทะเบียนจะต้องดำเนินการตามที่ระเบียบดังกล่าวกำหนดไว้ อีกทั้งยังกำหนดให้มีการอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนที่ปฏิเสธการรับจดทะเบียน คำสั่งรับจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดของจำเลยที่ ๔ จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าคำสั่งทางปกครองของจำเลยที่ ๔ คือการรับจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยมีชื่อโจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือให้เพิกถอนโจทก์ออกจากห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนประเด็นว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ปลอมลายมือชื่อโจทก์ในคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือไม่ เป็นข้ออ้างของโจทก์ที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาแห่งคดีต่อไป แต่มิได้เป็นผลให้อำนาจศาลในการพิจารณาพิพากษาคดีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เปลี่ยนแปลงไป คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นเอกชน และนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนนทบุรี จำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อ้างว่าได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ในคำขอและเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด แฟมมิลี่ แอนด์ แฮปปี้ แคร์ เซอร์วิส โดยให้โจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นผู้ขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวซึ่งเป็นความเท็จ แล้วนำเอกสารปลอมดังกล่าวยื่นต่อจำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๔ รับจดทะเบียนให้ โดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นกับการจดทะเบียนดังกล่าว จึงขอให้จำเลยที่ ๔ เพิกถอนการจดทะเบียน แต่จำเลยที่ ๔ แจ้งว่าไม่สามารถดำเนินการได้ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งว่าคำขอและเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด แฟมมิลี่ แอนด์ แฮปปี้ แคร์ เซอร์วิส เป็นเอกสารปลอม ให้การจดทะเบียนเป็นโมฆะหรือเพิกถอนการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวหรือเพิกถอนชื่อโจทก์จากการเป็นหุ้นส่วน กับให้เพิกถอนนิติกรรมทั้งหมดที่กระทำขึ้นในนามห้างหุ้นส่วนจำกัด แฟมมิลี่ แอนด์ แฮปปี้ แคร์ เซอร์วิส เห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนนทบุรี จำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กรณีไม่เพิกถอนการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดตามคำขอและเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เป็นผู้ปลอมลายมือชื่อโจทก์มาด้วยก็ตาม แต่มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดจากการที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นเอกชน ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ในเอกสารดังกล่าวเพื่อใช้ในการยื่นคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดต่อจำเลยที่ ๔ โดยจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่าได้กระทำโดยสุจริตและไม่มีเจตนาร่วมกันปลอมเอกสาร ดังนั้น ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นกรณีที่ต้องพิสูจน์การกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ว่า ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือไม่ อันเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนและเป็นเรื่องโจทก์ถือเอาเป็นข้อโต้แย้งสิทธิในคดี ส่วนคดีระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๔ ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าไม่ยอมเพิกถอนการจดทะเบียนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว ก็เป็นกรณีที่สืบเนื่องมาจากคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เกี่ยวกับการปลอมลายมือชื่อโจทก์ในเอกสารดังกล่าวข้างต้น ทั้งข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง โจทก์ก็มิได้กล่าวอ้างถึงการกระทำของจำเลยที่ ๔ ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ในการรับจดทะเบียนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือระเบียบอย่างไร คงกล่าวอ้างแต่เพียงว่าจำเลยที่ ๔ แจ้งว่าไม่สามารถดำเนินการเพิกถอนการจดทะเบียนได้เว้นแต่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล ซึ่งก็หมายถึงคำพิพากษาในประเด็นปัญหาว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์หรือไม่ เมื่อประเด็นข้อพิพาทเป็นเรื่องสืบเนื่องมาจากข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเอง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสาวสุดารัตน์ ศรีศิริ โจทก์ นายอรุณ รัตนเรือง ที่ ๑ นางจิตตินันท์ แกล้วกสิกิจ ที่ ๒ นายฑีฆายุบุตร คุปอริยสิทธิ์ ที่ ๓ นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนนทบุรี ที่ ๔ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นเอกชน และนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนนทบุรี จำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อ้างว่าได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ในคำขอและเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งเป็นความเท็จ แล้วนำเอกสารปลอมดังกล่าวยื่นต่อจำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๔ รับจดทะเบียนให้ โดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นกับการจดทะเบียนดังกล่าว จึงขอให้จำเลยที่ ๔ เพิกถอนการจดทะเบียน แต่จำเลยที่ ๔ ไม่ดำเนินการ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งว่าคำขอและเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ให้การจดทะเบียนเป็นโมฆะหรือเพิกถอนการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวหรือเพิกถอนชื่อโจทก์จากการเป็นหุ้นส่วน กับให้เพิกถอนนิติกรรมทั้งหมดที่กระทำขึ้น เห็นว่า ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้เป็นกรณีที่ต้องพิสูจน์การกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ว่า ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือไม่ อันเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนและเป็นเรื่องที่โจทก์ถือเอาเป็นข้อโต้แย้งสิทธิในคดี ส่วนคดีระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๔ ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าไม่ยอมเพิกถอนการจดทะเบียนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวเป็นกรณีที่สืบเนื่องมาจากคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเองเกี่ยวกับการปลอมลายมือชื่อโจทก์ในเอกสารดังกล่าวข้างต้น คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๕/๒๕๕๖
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)
ศาลจังหวัดนนทบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนนทบุรีโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ นางสาวสุดารัตน์ ศรีศิริ โจทก์ ยื่นฟ้อง นายอรุณ รัตนเรือง ที่ ๑ นางจิตตินันท์ แกล้วกสิกิจ ที่ ๒ นายฑีฆายุบุตร คุปอริยสิทธิ์ ที่ ๓ นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนนทบุรี ที่ ๔ จำเลย ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ. ๑๔๖๔/๒๕๕๔ หมายเลขแดงที่ พ. ๑๘๗/๒๕๕๕ ความว่า เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันปลอมแปลงลายมือชื่อโจทก์ในคำขอและเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด แฟมมิลี่ แอนด์ แฮปปี้ แคร์ เซอร์วิส โดยมีข้อความระบุให้โจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นผู้ขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวซึ่งเป็นความเท็จ และจำเลยที่ ๑ ยังลงลายมือชื่อตนเองในหนังสือมอบอำนาจในช่องผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ไปจดทะเบียน โดยมีจำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวด้วย และจำเลยที่ ๓ ในฐานะสมาชิกสามัญแห่งเนติบัณฑิตยสภาลงลายมือชื่อในช่องผู้รับรองลายมือชื่อโจทก์ในคำขอจดทะเบียน ซึ่งโจทก์ไม่เคยยื่นคำขอหรือมอบอำนาจให้ผู้ใดยื่นคำขอและไม่เคยรู้จักจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ จำเลยที่ ๑ นำเอกสารปลอมดังกล่าวยื่นต่อจำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๔ รับจดทะเบียนให้ ต่อมาประมาณเดือนตุลาคม ๒๕๕๓ โจทก์ได้รับหนังสือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดนนทบุรี หนังสือสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หนังสือกลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ ๒ และหนังสือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสระบุรีแจ้งคำสั่งให้โจทก์ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างรวม ๔ ราย ทำให้โจทก์ทราบว่ามีการปลอมลายมือชื่อโจทก์ จึงขอให้จำเลยที่ ๔ เพิกถอนการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด แฟมมิลี่ แอนด์ แฮปปี้ แคร์ เซอร์วิส แต่จำเลยที่ ๔ แจ้งว่าไม่สามารถดำเนินการได้ เว้นแต่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งว่า คำขอและเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด แฟมมิลี่ แอนด์ แฮปปี้ แคร์ เซอร์วิส เป็นเอกสารปลอม ให้การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวเป็นโมฆะหรือเพิกถอนการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวหรือเพิกถอนชื่อโจทก์จากการเป็นหุ้นส่วน กับให้เพิกถอนนิติกรรมทั้งหมดที่กระทำขึ้นในนามห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าว
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การว่า ได้กระทำการโดยสุจริตและไม่มีเจตนาร่วมกันปลอมเอกสาร การจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดในชื่อแฟมมิลี่ แอนด์ แฮปปี้ แคร์ เซอร์วิส เป็นการดำเนินการของสำนักงานการบัญชี เจทีเอ็น จำกัด ที่มีจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้จัดการ โดยการติดต่อว่าจ้างของนางสาวสุดารัตน์ ศรีศิริ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ไม่เคยพบตัว ไม่รู้จัก และไม่ทราบว่าผู้ว่าจ้างเป็นบุคคลที่แท้จริงตามบัตรประชาชนหรือไม่ และไม่ทราบว่าลายมือชื่อเป็นของบุคคลใด จำเลยที่ ๑ เป็นเพียงผู้ดำเนินการส่งเอกสารให้ผู้ว่าจ้างลงลายมือชื่อและตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนแล้วส่งให้จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นทนายความและเป็นสมาชิกวิสามัญแห่งเนติบัณฑิตยสภาลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อนางสาวสุดารัตน์เท่านั้น มิได้รับรองตัวตนแต่อย่างใด
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบและวิธีปฏิบัติแล้ว โดยในการพิจารณาคำขอและเอกสารประกอบการจดทะเบียนพบว่ามีเอกสารครบถ้วนและไม่พบข้อห้ามมิให้รับจดทะเบียน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า จำเลยที่ ๔ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ การที่จำเลยที่ ๔ มีคำสั่งไม่เพิกถอนการจดทะเบียนเป็นคำสั่งทางปกครอง คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนนทบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า จากคำฟ้องและคำให้การคงมีประเด็นแต่เพียงว่าลายมือชื่อโจทก์ตามคำขอจดทะเบียนเป็นลายมือชื่อปลอมหรือไม่ การพิจารณาว่าจะเพิกถอนการจดทะเบียนได้หรือไม่ก็ต้องพิจารณาถึงสิทธิทางแพ่งเป็นสำคัญ กล่าวคือ ถ้าเอกสารคำขอจดทะเบียนและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคำขอจดทะเบียนตามคำฟ้องเป็นเอกสารปลอมก็ต้องเพิกถอนการจดทะเบียน ข้อพิพาทคดีนี้ในส่วนของจำเลยที่ ๔ จึงมิใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า การรับจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดของจำเลยที่ ๔ เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย อันมีลักษณะเป็นการก่อตั้งสิทธิหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลผู้เป็นหุ้นส่วน ห้างหุ้นส่วนจำกัดและโจทก์ มิใช่เป็นเพียงการรับรองสิทธิของนิติบุคคลในทางแพ่งเท่านั้น ประกอบกับกฎกระทรวงจัดตั้งสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท แต่งตั้งนายทะเบียน และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. ๒๕๔๙ และระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง ว่าด้วยการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัท พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้กำหนดขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติงานของนายทะเบียนโดยเฉพาะเรื่องวิธีการลงลายมือชื่อและการตรวจสอบการลงลายมือชื่อซึ่งนายทะเบียนจะต้องดำเนินการตามที่ระเบียบดังกล่าวกำหนดไว้ อีกทั้งยังกำหนดให้มีการอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนที่ปฏิเสธการรับจดทะเบียน คำสั่งรับจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดของจำเลยที่ ๔ จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าคำสั่งทางปกครองของจำเลยที่ ๔ คือการรับจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยมีชื่อโจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือให้เพิกถอนโจทก์ออกจากห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนประเด็นว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ปลอมลายมือชื่อโจทก์ในคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือไม่ เป็นข้ออ้างของโจทก์ที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาแห่งคดีต่อไป แต่มิได้เป็นผลให้อำนาจศาลในการพิจารณาพิพากษาคดีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เปลี่ยนแปลงไป คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นเอกชน และนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนนทบุรี จำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อ้างว่าได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ในคำขอและเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด แฟมมิลี่ แอนด์ แฮปปี้ แคร์ เซอร์วิส โดยให้โจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นผู้ขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวซึ่งเป็นความเท็จ แล้วนำเอกสารปลอมดังกล่าวยื่นต่อจำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๔ รับจดทะเบียนให้ โดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นกับการจดทะเบียนดังกล่าว จึงขอให้จำเลยที่ ๔ เพิกถอนการจดทะเบียน แต่จำเลยที่ ๔ แจ้งว่าไม่สามารถดำเนินการได้ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งว่าคำขอและเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด แฟมมิลี่ แอนด์ แฮปปี้ แคร์ เซอร์วิส เป็นเอกสารปลอม ให้การจดทะเบียนเป็นโมฆะหรือเพิกถอนการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวหรือเพิกถอนชื่อโจทก์จากการเป็นหุ้นส่วน กับให้เพิกถอนนิติกรรมทั้งหมดที่กระทำขึ้นในนามห้างหุ้นส่วนจำกัด แฟมมิลี่ แอนด์ แฮปปี้ แคร์ เซอร์วิส เห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนนทบุรี จำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กรณีไม่เพิกถอนการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดตามคำขอและเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เป็นผู้ปลอมลายมือชื่อโจทก์มาด้วยก็ตาม แต่มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดจากการที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นเอกชน ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ในเอกสารดังกล่าวเพื่อใช้ในการยื่นคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดต่อจำเลยที่ ๔ โดยจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่าได้กระทำโดยสุจริตและไม่มีเจตนาร่วมกันปลอมเอกสาร ดังนั้น ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นกรณีที่ต้องพิสูจน์การกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ว่า ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือไม่ อันเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนและเป็นเรื่องโจทก์ถือเอาเป็นข้อโต้แย้งสิทธิในคดี ส่วนคดีระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๔ ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าไม่ยอมเพิกถอนการจดทะเบียนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว ก็เป็นกรณีที่สืบเนื่องมาจากคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เกี่ยวกับการปลอมลายมือชื่อโจทก์ในเอกสารดังกล่าวข้างต้น ทั้งข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง โจทก์ก็มิได้กล่าวอ้างถึงการกระทำของจำเลยที่ ๔ ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ในการรับจดทะเบียนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือระเบียบอย่างไร คงกล่าวอ้างแต่เพียงว่าจำเลยที่ ๔ แจ้งว่าไม่สามารถดำเนินการเพิกถอนการจดทะเบียนได้เว้นแต่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล ซึ่งก็หมายถึงคำพิพากษาในประเด็นปัญหาว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์หรือไม่ เมื่อประเด็นข้อพิพาทเป็นเรื่องสืบเนื่องมาจากข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเอง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสาวสุดารัตน์ ศรีศิริ โจทก์ นายอรุณ รัตนเรือง ที่ ๑ นางจิตตินันท์ แกล้วกสิกิจ ที่ ๒ นายฑีฆายุบุตร คุปอริยสิทธิ์ ที่ ๓ นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนนทบุรี ที่ ๔ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1)
คดีที่โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดและถูกเจ้าหน้าที่
ของรัฐกับหน่วยงานทางปกครองทำการตรวจสอบที่ดินของโจทก์แล้วแจ้งว่าโจทก์ถมดินและ
ขุดบ่อบาดาลรุกล้ำที่สาธารณะ เนื้อที่ประมาณ ๓๒๗ ตารางวา ซึ่งเป็นที่พิพาท จึงมีคำสั่งให้โจทก์
รื้อถอน ปรับปรุง แก้ไขบริเวณที่ดินให้กลับสู่สภาพเดิม ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลย
รบกวนสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท เนื่องจาก
ที่พิพาทอยู่ในแนวเขตลำเหมืองแม่ดอกแดงอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการออกคำสั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐและมีผลกระทบต่อสิทธิ
ของโจทก์ แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งห้ามจำเลยรบกวนสิทธิการครอบครองของโจทก์ เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ การที่จำเลยทั้งห้าจะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์
ได้นั้น ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล
ซึ่งจะต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๔/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดเชียงใหม่
ระหว่าง
ศาลปกครองเชียงใหม่
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดเชียงใหม่โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ นายอัครินทร์ เฮงสถิตไพศาน โจทก์ ยื่นฟ้อง นายอินทร สกิจกัน ที่ ๑ นายสัมฤทธิ์ สวามิภักดิ์ ที่ ๒ เทศบาลตำบลเชิงดอย ที่ ๓ นายประเสริฐ ยิ้มดี ที่ ๔ นางสาวภัทราพร ลายจุด ที่ ๕ จำเลย ต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ. ๑๖๕/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๔๒๐ เลขที่ดิน ๒๓๓ ตำบลเชิงดอย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ งาน ๔๖ ตารางวา ทิศตะวันออกติดกับลำเหมืองแม่ดอกแดง และโจทก์ยังได้รับมอบสิทธิครอบครองที่พิพาทซึ่งติดกับที่ดินตามโฉนดดังกล่าวทางทิศตะวันออกจรดกับลำเหมืองแม่ดอกแดง เนื้อที่ประมาณ ๓๒๗ ตารางวา โดยโจทก์ซื้อและรับโอนการครอบครองมาจากนางสาวชลิกา ชัยมงคล ซึ่งรับโอนที่ดินต่อๆ กันมาหลายทอดจากนายทา สกัญญวงษ์ ผู้ครอบครองคนแรกที่ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ แต่เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ จำเลยที่ ๓ มีหนังสือแจ้งการตรวจสอบการบุกรุกที่ดินสาธารณะ (ลำเหมืองแม่ดอกแดง) พร้อมแนบหนังสือที่ว่าการอำเภอดอยสะเก็ด ที่จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ลงนาม โดยแจ้งว่าจำเลยที่ ๑ ขอให้ตรวจสอบกรณีโจทก์รุกล้ำและถมที่ดินปิดทับทางสาธารณะเลียบลำเหมืองแม่ดอกแดง เป็นเหตุให้ได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากไม่มีเส้นทางใช้ในการสัญจร จำเลยที่ ๒ ได้แต่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่มอบให้จำเลยที่ ๔ ออกไปรังวัดตรวจสอบแนวเขตและเขียนแผนที่แนวเขตลำเหมืองแม่ดอกแดง ปรากฏว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวมีการถมดินและขุดบ่อบาดาลระยะทางประมาณ ๓๕ เมตร จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงมีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอน ปรับปรุง แก้ไขบริเวณที่ดินให้กลับสู่สภาพเดิมและให้ประชาชนใช้เป็นเส้นทางสัญจรไปมา โจทก์ยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งดังกล่าว แต่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ยืนยันว่าที่บริเวณดังกล่าวเป็นที่สาธารณประโยชน์ การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการรบกวนสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยทั้งห้ารบกวนสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์
ศาลจังหวัดเชียงใหม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท และไม่สามารถอ้างการครอบครองต่อจากเจ้าของเดิม เนื่องจากนางลำจวน ชัยมงคล เจ้าของที่ดินเดิมไม่ประสงค์จะครอบครองที่พิพาทดังกล่าว ซึ่งอยู่ในแนวเขตลำเหมืองแม่ดอกแดง จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ กระทำไปตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดโดยชอบด้วยกฎหมาย และเดิมที่พิพาทใช้เป็นเส้นทางสัญจร จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ตามคำฟ้องจะมีลักษณะข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบ แต่ในการวินิจฉัยว่าคำสั่งนั้นชอบหรือไม่ จำต้องวินิจฉัยก่อนว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตลำเหมืองแม่ดอกแดงอันเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองโดยชอบ คดีจึงมีประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินซึ่งต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลกฎหมายที่ดิน ประกอบกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๑๓/๒๕๕๐
ศาลปกครองเชียงใหม่พิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สืบเนื่องจากการใช้อำนาจของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งโจทก์เห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีผลกระทบต่อสิทธิของโจทก์ จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และการที่โจทก์มาฟ้องขอให้ห้ามจำเลยรบกวนสิทธิการครอบครองถือเป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้โจทก์รื้อถอน ปรับปรุง แก้ไข บริเวณที่มีการถมดินและขุดบ่อในที่พิพาท จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายหรือยุติข้อโต้แย้งนั้น ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับโดยสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน แม้ว่าการที่ศาลจะพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ได้ ศาลต้องพิจารณาปัญหาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นแนวเขตลำเหมืองแม่ดอกแดงเพื่อนำไปสู่ประเด็นข้อพิพาทว่าคำสั่งของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่โดยที่กรณีเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับที่ดินระหว่างรัฐกับเอกชน มิใช่ระหว่างเอกชนกับเอกชน จึงไม่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน เนื่องจากโดยหลักแล้วหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ใช่ผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือทรงสิทธิครอบครองที่สาธารณประโยชน์ นอกจากนั้นการดูแลรักษาที่สาธารณประโยชน์ หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจำเป็นต้องใช้อำนาจตามกฎหมายของรัฐที่มีอยู่เหนือเอกชน ซึ่งต่างจากการที่เอกชนอ้างกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองเพื่อจัดการที่ดินของตน จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดและมีสิทธิครอบครองที่พิพาทซึ่งจรดลำเหมืองแม่ดอกแดง เนื้อที่ประมาณ ๓๒๗ ตารางวา โดยซื้อจากนางสาวชลิกา ชัยมงคล ซึ่งรับโอนต่อๆ กันมาจากผู้ครอบครองคนแรกที่ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ต่อมาจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ ขอให้ตรวจสอบกรณีโจทก์รุกล้ำถมดินปิดทับทางสาธารณะเลียบลำเหมืองแม่ดอกแดงอันเป็นที่ดินสาธารณะซึ่งประชาชนใช้ร่วมกัน ทำให้ไม่มีเส้นทางใช้ในการสัญจร จำเลยที่ ๒ และสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ มอบให้จำเลยที่ ๔ ตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีการถมดินและขุดบ่อบาดาลในแนวเขตลำเหมืองแม่ดอกแดง จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงมีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอน ปรับปรุง แก้ไขบริเวณที่ดินให้กลับสู่สภาพเดิม โจทก์ยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งดังกล่าว แต่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ยืนยันว่าที่บริเวณดังกล่าวเป็นที่สาธารณะ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยทั้งห้ารบกวนสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท เนื่องจากที่พิพาทอยู่ในแนวเขตลำเหมืองแม่ดอกแดงอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการออกคำสั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐและมีผลกระทบต่อสิทธิของโจทก์ แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งห้ามจำเลยทั้งห้ารบกวนสิทธิการครอบครองของโจทก์ เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ การที่จำเลยทั้งห้าจะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ซึ่งจะต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายอัครินทร์ เฮงสถิตไพศาน โจทก์ นายอินทร สกิจกัน ที่ ๑ นายสัมฤทธิ์ สวามิภักดิ์ ที่ ๒ เทศบาลตำบลเชิงดอย ที่ ๓ นายประเสริฐ ยิ้มดี ที่ ๔ นางสาวภัทราพร ลายจุด ที่ ๕ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดและถูกเจ้าหน้าที่
ของรัฐกับหน่วยงานทางปกครองทำการตรวจสอบที่ดินของโจทก์แล้วแจ้งว่าโจทก์ถมดินและ
ขุดบ่อบาดาลรุกล้ำที่สาธารณะ เนื้อที่ประมาณ ๓๒๗ ตารางวา ซึ่งเป็นที่พิพาท จึงมีคำสั่งให้โจทก์
รื้อถอน ปรับปรุง แก้ไขบริเวณที่ดินให้กลับสู่สภาพเดิม ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลย
รบกวนสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท เนื่องจาก
ที่พิพาทอยู่ในแนวเขตลำเหมืองแม่ดอกแดงอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการออกคำสั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐและมีผลกระทบต่อสิทธิ
ของโจทก์ แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งห้ามจำเลยรบกวนสิทธิการครอบครองของโจทก์ เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ การที่จำเลยทั้งห้าจะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์
ได้นั้น ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล
ซึ่งจะต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๔/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดเชียงใหม่
ระหว่าง
ศาลปกครองเชียงใหม่
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดเชียงใหม่โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ นายอัครินทร์ เฮงสถิตไพศาน โจทก์ ยื่นฟ้อง นายอินทร สกิจกัน ที่ ๑ นายสัมฤทธิ์ สวามิภักดิ์ ที่ ๒ เทศบาลตำบลเชิงดอย ที่ ๓ นายประเสริฐ ยิ้มดี ที่ ๔ นางสาวภัทราพร ลายจุด ที่ ๕ จำเลย ต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ. ๑๖๕/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๔๒๐ เลขที่ดิน ๒๓๓ ตำบลเชิงดอย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ งาน ๔๖ ตารางวา ทิศตะวันออกติดกับลำเหมืองแม่ดอกแดง และโจทก์ยังได้รับมอบสิทธิครอบครองที่พิพาทซึ่งติดกับที่ดินตามโฉนดดังกล่าวทางทิศตะวันออกจรดกับลำเหมืองแม่ดอกแดง เนื้อที่ประมาณ ๓๒๗ ตารางวา โดยโจทก์ซื้อและรับโอนการครอบครองมาจากนางสาวชลิกา ชัยมงคล ซึ่งรับโอนที่ดินต่อๆ กันมาหลายทอดจากนายทา สกัญญวงษ์ ผู้ครอบครองคนแรกที่ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ แต่เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ จำเลยที่ ๓ มีหนังสือแจ้งการตรวจสอบการบุกรุกที่ดินสาธารณะ (ลำเหมืองแม่ดอกแดง) พร้อมแนบหนังสือที่ว่าการอำเภอดอยสะเก็ด ที่จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ลงนาม โดยแจ้งว่าจำเลยที่ ๑ ขอให้ตรวจสอบกรณีโจทก์รุกล้ำและถมที่ดินปิดทับทางสาธารณะเลียบลำเหมืองแม่ดอกแดง เป็นเหตุให้ได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากไม่มีเส้นทางใช้ในการสัญจร จำเลยที่ ๒ ได้แต่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่มอบให้จำเลยที่ ๔ ออกไปรังวัดตรวจสอบแนวเขตและเขียนแผนที่แนวเขตลำเหมืองแม่ดอกแดง ปรากฏว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวมีการถมดินและขุดบ่อบาดาลระยะทางประมาณ ๓๕ เมตร จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงมีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอน ปรับปรุง แก้ไขบริเวณที่ดินให้กลับสู่สภาพเดิมและให้ประชาชนใช้เป็นเส้นทางสัญจรไปมา โจทก์ยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งดังกล่าว แต่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ยืนยันว่าที่บริเวณดังกล่าวเป็นที่สาธารณประโยชน์ การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการรบกวนสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยทั้งห้ารบกวนสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์
ศาลจังหวัดเชียงใหม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท และไม่สามารถอ้างการครอบครองต่อจากเจ้าของเดิม เนื่องจากนางลำจวน ชัยมงคล เจ้าของที่ดินเดิมไม่ประสงค์จะครอบครองที่พิพาทดังกล่าว ซึ่งอยู่ในแนวเขตลำเหมืองแม่ดอกแดง จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ กระทำไปตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดโดยชอบด้วยกฎหมาย และเดิมที่พิพาทใช้เป็นเส้นทางสัญจร จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ตามคำฟ้องจะมีลักษณะข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบ แต่ในการวินิจฉัยว่าคำสั่งนั้นชอบหรือไม่ จำต้องวินิจฉัยก่อนว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตลำเหมืองแม่ดอกแดงอันเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองโดยชอบ คดีจึงมีประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินซึ่งต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลกฎหมายที่ดิน ประกอบกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๑๓/๒๕๕๐
ศาลปกครองเชียงใหม่พิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สืบเนื่องจากการใช้อำนาจของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งโจทก์เห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีผลกระทบต่อสิทธิของโจทก์ จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และการที่โจทก์มาฟ้องขอให้ห้ามจำเลยรบกวนสิทธิการครอบครองถือเป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้โจทก์รื้อถอน ปรับปรุง แก้ไข บริเวณที่มีการถมดินและขุดบ่อในที่พิพาท จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายหรือยุติข้อโต้แย้งนั้น ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับโดยสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน แม้ว่าการที่ศาลจะพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ได้ ศาลต้องพิจารณาปัญหาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นแนวเขตลำเหมืองแม่ดอกแดงเพื่อนำไปสู่ประเด็นข้อพิพาทว่าคำสั่งของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่โดยที่กรณีเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับที่ดินระหว่างรัฐกับเอกชน มิใช่ระหว่างเอกชนกับเอกชน จึงไม่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน เนื่องจากโดยหลักแล้วหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ใช่ผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือทรงสิทธิครอบครองที่สาธารณประโยชน์ นอกจากนั้นการดูแลรักษาที่สาธารณประโยชน์ หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจำเป็นต้องใช้อำนาจตามกฎหมายของรัฐที่มีอยู่เหนือเอกชน ซึ่งต่างจากการที่เอกชนอ้างกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองเพื่อจัดการที่ดินของตน จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดและมีสิทธิครอบครองที่พิพาทซึ่งจรดลำเหมืองแม่ดอกแดง เนื้อที่ประมาณ ๓๒๗ ตารางวา โดยซื้อจากนางสาวชลิกา ชัยมงคล ซึ่งรับโอนต่อๆ กันมาจากผู้ครอบครองคนแรกที่ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ต่อมาจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ ขอให้ตรวจสอบกรณีโจทก์รุกล้ำถมดินปิดทับทางสาธารณะเลียบลำเหมืองแม่ดอกแดงอันเป็นที่ดินสาธารณะซึ่งประชาชนใช้ร่วมกัน ทำให้ไม่มีเส้นทางใช้ในการสัญจร จำเลยที่ ๒ และสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ มอบให้จำเลยที่ ๔ ตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีการถมดินและขุดบ่อบาดาลในแนวเขตลำเหมืองแม่ดอกแดง จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงมีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอน ปรับปรุง แก้ไขบริเวณที่ดินให้กลับสู่สภาพเดิม โจทก์ยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งดังกล่าว แต่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ยืนยันว่าที่บริเวณดังกล่าวเป็นที่สาธารณะ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยทั้งห้ารบกวนสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท เนื่องจากที่พิพาทอยู่ในแนวเขตลำเหมืองแม่ดอกแดงอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการออกคำสั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐและมีผลกระทบต่อสิทธิของโจทก์ แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งห้ามจำเลยทั้งห้ารบกวนสิทธิการครอบครองของโจทก์ เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ การที่จำเลยทั้งห้าจะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ซึ่งจะต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายอัครินทร์ เฮงสถิตไพศาน โจทก์ นายอินทร สกิจกัน ที่ ๑ นายสัมฤทธิ์ สวามิภักดิ์ ที่ ๒ เทศบาลตำบลเชิงดอย ที่ ๓ นายประเสริฐ ยิ้มดี ที่ ๔ นางสาวภัทราพร ลายจุด ที่ ๕ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชนด้วยกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส. ๓ ขอออกโฉนดที่ดิน แต่จำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันแจ้งข้อความเท็จเป็นเหตุให้นายอำเภอ จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. ทับซ้อนที่ดินบางส่วนของโจทก์ และออกเป็นโฉนดที่ดิน จากนั้นได้ขายที่ดินให้ อ. และต่อมาขายให้จำเลยที่ ๕ ขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดิน ให้จำเลยที่ ๕ พร้อมบริวารออกจากที่ดิน จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การว่า น.ส. ๓ ก. และโฉนดออกโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๔ ให้การว่า การออก น.ส. ๓ ก. ชอบด้วยกฎหมายและไม่ได้ทับที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๕ ให้การและฟ้องแย้งว่า มีสิทธิครอบครองที่ดิน หากฟังว่าที่ดินทับซ้อนที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับโจทก์จดแจ้งเปลี่ยนแปลงสารบัญจดทะเบียนมาเป็นชื่อจำเลยที่ ๕ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ไม่มีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงตามฟ้องแย้ง เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับการที่หน่วยงานทางปกครองออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยที่ ๕ พร้อมบริวารออกจากที่ดินของโจทก์และให้เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกเป็นชื่อบุคคลอื่น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ และในการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย การที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ จะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริง ที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินระหว่างเอกชนด้วยกันว่าโจทก์หรือจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สำหรับประเด็นตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๕ เป็นเรื่องเอกชนขอให้บังคับโจทก์ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมเช่นกัน
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๒/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดฝาง
ระหว่าง
ศาลปกครองเชียงใหม่
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดฝางโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ บริษัทไซแอม โทแบคโค เอกซ์ปอร์ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องกรมที่ดิน ที่ ๑ นายอำเภอฝาง ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาฝาง ที่ ๓ นายเมฆ วงค์สูน ที่ ๔ นางสาวนงคราญ กันธะนงค์ ที่ ๕ จำเลย ต่อศาลจังหวัดฝาง เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๒๓/๒๕๕๔ ความว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ) เลขที่ ๘๒๙ ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาโจทก์ขอออกโฉนดที่ดิน แต่ปรากฏว่าได้ถูกจำเลยที่ ๔ ขอออก น.ส. ๓ ก. โดยแจ้งข้อความเท็จเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ โดยประมาทเลินเล่อทับซ้อนที่ดินบางส่วนของโจทก์ และออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ โดยจำเลยที่ ๓ ลงนามในโฉนดที่ดิน จากนั้นจำเลยที่ ๔ ขายที่ดินให้นายอวยชัย บุญขันธ์ และนายอวยชัยจำนองที่ดินกับธนาคาร จนถูกสำนักงานบังคับคดียึดออกขายทอดตลาด โดยธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ซื้อได้ และขายให้จำเลยที่ ๕ เมื่อจำเลยที่ ๔ ไม่มีสิทธิและได้กรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ มาโดยมิชอบ นายอวยชัยและจำเลยที่ ๕ ย่อมไม่มีสิทธิเช่นกัน โจทก์ในฐานะเจ้าของสิทธิครอบครองย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืน การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ทำลายเพิกถอน น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากทะเบียนและสารบบที่ดิน ให้จำเลยที่ ๕ พร้อมบริวารออกจากที่ดินพิพาท และให้จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ ๑และที่ ๓ เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดิน และโจทก์ยังไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ และจำเลยที่ ๓ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ โดยชอบตามประมวลกฎหมายที่ดินไม่ได้ประมาทเลินเล่อ คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่มีคำขอบังคับจำเลยที่ ๒ และคดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้ทำประโยชน์ในที่ดินในช่วงที่บิดาของจำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๔ ครอบครองทำประโยชน์ และโจทก์ไม่ได้โต้แย้งการครอบครองที่ดินพิพาทแต่อย่างใด จำเลยที่ ๔ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จึงมีสิทธิขายที่ดินพิพาทได้ การออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ ชอบด้วยกฎหมายและไม่ได้ทับที่ดินของโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและคดีขาดอายุความ จำเลยที่ ๔ ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๕ ให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและคดีขาดอายุความ โจทก์ไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แต่บิดาของจำเลยที่ ๔ แย่งการครอบครองที่ดินจากโจทก์ และจำเลยที่ ๔ ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อเนื่องไม่ขาดตอนมาโดยตลอด จำเลยที่ ๔ มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๕ จึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบเช่นเดียวกัน ขอให้ยกฟ้องและหากฟังว่าที่ดินของจำเลยที่ ๕ ทับซ้อนที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับโจทก์จดแจ้งเปลี่ยนแปลงสารบัญจดทะเบียนมาเป็นชื่อจำเลยที่ ๕ และห้ามโจทก์และบริวารรบกวนการครอบครองที่ดินของจำเลยที่ ๕
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบและไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงตามฟ้องแย้ง
จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า มูลคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดฝางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่ยื่นฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของหน่วยงานทางปกครองที่ออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท ส่วนที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยที่ ๕ และบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ แล้วจึงจะมีคำสั่งเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิหรือมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยที่ ๕ และบริวารออกจากที่ดินพิพาทต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเอกชน อันเป็นสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล ซึ่งต้องดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีจึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองเชียงใหม่พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง โจทก์โต้แย้งเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินว่า ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ ให้แก่บุคคลอื่นทับซ้อนที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๘๒๙ ของโจทก์โดยไม่ชอบ และการออก น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดิน รวมถึงการจดทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอันมีผลกระทบต่อสิทธิของโจทก์ จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้เพิกถอนและจำหน่าย น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินพิพาทออกจากทะเบียนและสารบบที่ดินนั้น กรณีเข้าลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) นอกจากนี้ การที่ศาลจะพิจารณาว่าคำสั่งออกเอกสารสิทธิดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ไม่จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ แล้วจึงจะมีคำสั่งเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิเสมอไป เพราะเหตุที่ใช้อ้างในการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองมีหลายประการ ประกอบกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเพียงพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจตามกฎหมายในการออก น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินเท่านั้น มิใช่ผู้ทรงสิทธิในที่ดิน จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเอกชนอันเป็นสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๕ ซึ่งเป็นเอกชน โดยโจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๘๒๙ ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาขอออก โฉนดที่ดิน แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๔ ได้นำที่ดินดังกล่าวบางส่วนไปขอออก น.ส. ๓ ก. แล้ว โดยแจ้งข้อความเท็จเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ โดยประมาทเลินเล่อทับซ้อนที่ดินบางส่วนของโจทก์และออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ จากนั้นจำเลยที่ ๔ ขายที่ดินให้นายอวยชัย และนายอวยชัยจำนองที่ดินกับธนาคาร จนถูกยึดออกขายทอดตลาด โดยผู้ซื้อที่ดินดังกล่าวได้ขายให้จำเลยที่ ๕ ดังนั้นจำเลยที่ ๔ นายอวยชัยและจำเลยที่ ๕ จึงไม่มีสิทธิในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ ขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ทำลายเพิกถอน น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากทะเบียนและสารบบที่ดิน ให้จำเลยที่ ๕ พร้อมบริวารออกจากที่ดิน จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ให้การทำนองเดียวกันว่า น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๔ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้ทำประโยชน์และโต้แย้งการครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๔ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จึงมีสิทธิขายที่ดินพิพาทได้ การออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ ชอบด้วยกฎหมายและไม่ได้ทับที่ดินของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๕ ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แต่บิดาของจำเลยที่ ๔ แย่งการครอบครองที่ดินจากโจทก์ และจำเลยที่ ๔ ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อเนื่องไม่ขาดตอนมาโดยตลอด จำเลยที่ ๔ มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๕ จึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบเช่นเดียวกัน และหากฟังว่าที่ดินของจำเลยที่ ๕ ทับซ้อนที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับโจทก์จดแจ้งเปลี่ยนแปลงสารบัญจดทะเบียนมาเป็นชื่อจำเลยที่ ๕ และห้ามโจทก์และบริวารรบกวนการครอบครองที่ดินของจำเลยที่ ๕ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบและไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงตามฟ้องแย้ง เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับการที่หน่วยงานทางปกครองออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยที่ ๕ พร้อมบริวารออกจากที่ดินของโจทก์และให้เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกเป็นชื่อบุคคลอื่น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ และในการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายการที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ จะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้ ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินระหว่างเอกชนด้วยกันว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สำหรับประเด็นตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๕ เป็นเรื่องเอกชนขอให้บังคับโจทก์ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมเช่นกัน
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทไซแอม โทแบคโค เอกซ์ปอร์ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด โจทก์ กรมที่ดิน ที่ ๑ นายอำเภอฝาง ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาฝาง ที่ ๓ นายเมฆ วงค์สูน ที่ ๔ นางสาวนงคราญ กันธะนงค์ ที่ ๕ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชนด้วยกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส. ๓ ขอออกโฉนดที่ดิน แต่จำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันแจ้งข้อความเท็จเป็นเหตุให้นายอำเภอ จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. ทับซ้อนที่ดินบางส่วนของโจทก์ และออกเป็นโฉนดที่ดิน จากนั้นได้ขายที่ดินให้ อ. และต่อมาขายให้จำเลยที่ ๕ ขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดิน ให้จำเลยที่ ๕ พร้อมบริวารออกจากที่ดิน จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การว่า น.ส. ๓ ก. และโฉนดออกโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๔ ให้การว่า การออก น.ส. ๓ ก. ชอบด้วยกฎหมายและไม่ได้ทับที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๕ ให้การและฟ้องแย้งว่า มีสิทธิครอบครองที่ดิน หากฟังว่าที่ดินทับซ้อนที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับโจทก์จดแจ้งเปลี่ยนแปลงสารบัญจดทะเบียนมาเป็นชื่อจำเลยที่ ๕ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ไม่มีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงตามฟ้องแย้ง เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับการที่หน่วยงานทางปกครองออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยที่ ๕ พร้อมบริวารออกจากที่ดินของโจทก์และให้เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกเป็นชื่อบุคคลอื่น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ และในการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย การที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ จะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริง ที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินระหว่างเอกชนด้วยกันว่าโจทก์หรือจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สำหรับประเด็นตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๕ เป็นเรื่องเอกชนขอให้บังคับโจทก์ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมเช่นกัน
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๒/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดฝาง
ระหว่าง
ศาลปกครองเชียงใหม่
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดฝางโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ บริษัทไซแอม โทแบคโค เอกซ์ปอร์ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องกรมที่ดิน ที่ ๑ นายอำเภอฝาง ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาฝาง ที่ ๓ นายเมฆ วงค์สูน ที่ ๔ นางสาวนงคราญ กันธะนงค์ ที่ ๕ จำเลย ต่อศาลจังหวัดฝาง เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๒๓/๒๕๕๔ ความว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ) เลขที่ ๘๒๙ ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาโจทก์ขอออกโฉนดที่ดิน แต่ปรากฏว่าได้ถูกจำเลยที่ ๔ ขอออก น.ส. ๓ ก. โดยแจ้งข้อความเท็จเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ โดยประมาทเลินเล่อทับซ้อนที่ดินบางส่วนของโจทก์ และออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ โดยจำเลยที่ ๓ ลงนามในโฉนดที่ดิน จากนั้นจำเลยที่ ๔ ขายที่ดินให้นายอวยชัย บุญขันธ์ และนายอวยชัยจำนองที่ดินกับธนาคาร จนถูกสำนักงานบังคับคดียึดออกขายทอดตลาด โดยธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ซื้อได้ และขายให้จำเลยที่ ๕ เมื่อจำเลยที่ ๔ ไม่มีสิทธิและได้กรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ มาโดยมิชอบ นายอวยชัยและจำเลยที่ ๕ ย่อมไม่มีสิทธิเช่นกัน โจทก์ในฐานะเจ้าของสิทธิครอบครองย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืน การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ทำลายเพิกถอน น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากทะเบียนและสารบบที่ดิน ให้จำเลยที่ ๕ พร้อมบริวารออกจากที่ดินพิพาท และให้จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ ๑และที่ ๓ เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดิน และโจทก์ยังไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ และจำเลยที่ ๓ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ โดยชอบตามประมวลกฎหมายที่ดินไม่ได้ประมาทเลินเล่อ คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่มีคำขอบังคับจำเลยที่ ๒ และคดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้ทำประโยชน์ในที่ดินในช่วงที่บิดาของจำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๔ ครอบครองทำประโยชน์ และโจทก์ไม่ได้โต้แย้งการครอบครองที่ดินพิพาทแต่อย่างใด จำเลยที่ ๔ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จึงมีสิทธิขายที่ดินพิพาทได้ การออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ ชอบด้วยกฎหมายและไม่ได้ทับที่ดินของโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและคดีขาดอายุความ จำเลยที่ ๔ ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๕ ให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและคดีขาดอายุความ โจทก์ไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แต่บิดาของจำเลยที่ ๔ แย่งการครอบครองที่ดินจากโจทก์ และจำเลยที่ ๔ ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อเนื่องไม่ขาดตอนมาโดยตลอด จำเลยที่ ๔ มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๕ จึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบเช่นเดียวกัน ขอให้ยกฟ้องและหากฟังว่าที่ดินของจำเลยที่ ๕ ทับซ้อนที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับโจทก์จดแจ้งเปลี่ยนแปลงสารบัญจดทะเบียนมาเป็นชื่อจำเลยที่ ๕ และห้ามโจทก์และบริวารรบกวนการครอบครองที่ดินของจำเลยที่ ๕
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบและไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงตามฟ้องแย้ง
จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า มูลคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดฝางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่ยื่นฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของหน่วยงานทางปกครองที่ออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท ส่วนที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยที่ ๕ และบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ แล้วจึงจะมีคำสั่งเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิหรือมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยที่ ๕ และบริวารออกจากที่ดินพิพาทต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเอกชน อันเป็นสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล ซึ่งต้องดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีจึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองเชียงใหม่พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง โจทก์โต้แย้งเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินว่า ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ ให้แก่บุคคลอื่นทับซ้อนที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๘๒๙ ของโจทก์โดยไม่ชอบ และการออก น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดิน รวมถึงการจดทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอันมีผลกระทบต่อสิทธิของโจทก์ จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้เพิกถอนและจำหน่าย น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินพิพาทออกจากทะเบียนและสารบบที่ดินนั้น กรณีเข้าลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) นอกจากนี้ การที่ศาลจะพิจารณาว่าคำสั่งออกเอกสารสิทธิดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ไม่จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ แล้วจึงจะมีคำสั่งเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิเสมอไป เพราะเหตุที่ใช้อ้างในการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองมีหลายประการ ประกอบกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเพียงพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจตามกฎหมายในการออก น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินเท่านั้น มิใช่ผู้ทรงสิทธิในที่ดิน จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเอกชนอันเป็นสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๕ ซึ่งเป็นเอกชน โดยโจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๘๒๙ ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาขอออก โฉนดที่ดิน แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๔ ได้นำที่ดินดังกล่าวบางส่วนไปขอออก น.ส. ๓ ก. แล้ว โดยแจ้งข้อความเท็จเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ โดยประมาทเลินเล่อทับซ้อนที่ดินบางส่วนของโจทก์และออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ จากนั้นจำเลยที่ ๔ ขายที่ดินให้นายอวยชัย และนายอวยชัยจำนองที่ดินกับธนาคาร จนถูกยึดออกขายทอดตลาด โดยผู้ซื้อที่ดินดังกล่าวได้ขายให้จำเลยที่ ๕ ดังนั้นจำเลยที่ ๔ นายอวยชัยและจำเลยที่ ๕ จึงไม่มีสิทธิในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ ขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ทำลายเพิกถอน น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากทะเบียนและสารบบที่ดิน ให้จำเลยที่ ๕ พร้อมบริวารออกจากที่ดิน จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ให้การทำนองเดียวกันว่า น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๓ ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๔ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้ทำประโยชน์และโต้แย้งการครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๔ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จึงมีสิทธิขายที่ดินพิพาทได้ การออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๙๐ ชอบด้วยกฎหมายและไม่ได้ทับที่ดินของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๕ ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แต่บิดาของจำเลยที่ ๔ แย่งการครอบครองที่ดินจากโจทก์ และจำเลยที่ ๔ ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อเนื่องไม่ขาดตอนมาโดยตลอด จำเลยที่ ๔ มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๕ จึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบเช่นเดียวกัน และหากฟังว่าที่ดินของจำเลยที่ ๕ ทับซ้อนที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับโจทก์จดแจ้งเปลี่ยนแปลงสารบัญจดทะเบียนมาเป็นชื่อจำเลยที่ ๕ และห้ามโจทก์และบริวารรบกวนการครอบครองที่ดินของจำเลยที่ ๕ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบและไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงตามฟ้องแย้ง เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับการที่หน่วยงานทางปกครองออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยที่ ๕ พร้อมบริวารออกจากที่ดินของโจทก์และให้เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกเป็นชื่อบุคคลอื่น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ และในการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายการที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ จะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้ ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินระหว่างเอกชนด้วยกันว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สำหรับประเด็นตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๕ เป็นเรื่องเอกชนขอให้บังคับโจทก์ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมเช่นกัน
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทไซแอม โทแบคโค เอกซ์ปอร์ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด โจทก์ กรมที่ดิน ที่ ๑ นายอำเภอฝาง ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาฝาง ที่ ๓ นายเมฆ วงค์สูน ที่ ๔ นางสาวนงคราญ กันธะนงค์ ที่ ๕ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชนด้วยกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๕๐๕ และเลขที่ ๒๖๕ แต่ถูก ศ. แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเป็นเหตุให้นายอำเภอ จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ ให้แก่ ศ. ทับซ้อนที่ดินของโจทก์ เมื่อ ศ. ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๔ ทายาทของ ศ. นำ น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ ขอออกเป็นโฉนดที่ดินและยินยอมให้จำเลยที่ ๕ ถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดิน ขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ และโฉนดที่ดิน ให้กรมที่ดิน จำเลยที่ ๑ และเจ้าพนักงานที่ดิน จำเลยที่ ๓ จำหน่าย น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ และโฉนดที่ดินออกจากทะเบียนและสารบบที่ดิน และขับไล่ออกจากที่ดิน ให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินและการจดทะเบียนให้ถือกรรมสิทธิ์รวม และพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การว่า น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับการที่หน่วยงานทางปกครองออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมิใช่ ศ. หรือจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ และในการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายการที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ จะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้ ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินระหว่างเอกชนด้วยกันว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากันแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๑/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดฝาง
ระหว่าง
ศาลปกครองเชียงใหม่
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดฝางโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ บริษัทไซแอม โทแบคโค เอกซ์ปอร์ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด โจทก์ยื่นฟ้องกรมที่ดิน ที่ ๑ นายอำเภอฝาง ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาฝาง ที่ ๓ นายสมจิตร์ นันทการณ์ ที่ ๔ นางนิลุบล โกมลวิภาต ที่ ๕ จำเลย ต่อศาลจังหวัดฝาง เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๒๒/๒๕๕๔ ความว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ) เลขที่ ๕๐๕ เลขที่ ๒๖๕ และเลขที่ ๘๒๙ ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๕๐๕ และเลขที่ ๒๖๕ แต่ปรากฏว่าได้ถูกนายศรีบุศย์ นันทการณ์ ขณะเป็นลูกจ้างของโจทก์นำที่ดินดังกล่าวไปขอออก น.ส. ๓ ก. ในนามตนเอง โดยแจ้งข้อความเท็จเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ โดยประมาทเลินเล่อทับซ้อนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวของโจทก์ เมื่อนายศรีบุศย์ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๔ ทายาทจดทะเบียนรับโอนมรดกและเข้าทำประโยชน์ในที่ดินและขอออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ โดยจำเลยที่ ๓ ลงนามในโฉนดที่ดิน นอกจากนั้น จำเลยที่ ๔ ร่วมกับจำเลยที่ ๕ เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินบางส่วนของ น.ส. ๓ เลขที่ ๘๒๙ ของโจทก์ และจำเลยที่ ๔ ยินยอมให้จำเลยที่ ๕ ถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒เมื่อนายศรีบุศย์ไม่มีสิทธิและได้กรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ มาโดยมิชอบ จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ย่อมไม่มีสิทธิเช่นกัน โจทก์ในฐานะเจ้าของสิทธิครอบครองย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืน การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ จำหน่าย น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากทะเบียนและสารบบที่ดินให้จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ พร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกจากที่ดินพิพาท ให้เพิกถอนการจดทะเบียน รับโอนมรดกที่ดินพิพาทและการจดทะเบียนให้จำเลยที่ ๕ เข้าถือกรรมสิทธิ์รวม ให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท และให้จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ และจำเลยที่ ๓ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ โดยชอบตามประมวลกฎหมายที่ดินไม่ได้ประมาทเลินเล่อ คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่มีคำขอบังคับจำเลยที่ ๒ และคดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ จริง หรือหากครอบครองและทำประโยชน์อยู่จริงก็ไม่ใช่ที่ดินแปลงดังกล่าว และโจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิแต่อย่างใด ที่ดินแปลงพิพาทได้มีการพิสูจน์สิทธิและทำประโยชน์ต่อเนื่องกันตลอดมาตั้งแต่นายศรีบุศย์จนถึงจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ไม่เคยมีผู้ใดโต้แย้งสิทธิดังกล่าว จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์เพราะได้ที่ดินมาจากนายศรีบุศย์บิดา ซึ่งได้ที่ดินมาโดยการก่นสร้างมากว่า ๓๐ ปี และครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมาโดยตลอด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า มูลคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดฝางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่ยื่นฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของหน่วยงานทางปกครองที่ออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท ส่วนที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท เป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ดังนั้น การที่ศาลจะพิจารณาว่าคำสั่งออกเอกสารสิทธิดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ แล้วจึงจะมีคำสั่งเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเอกชน อันเป็นสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล ซึ่งต้องดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีจึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองเชียงใหม่พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง โจทก์โต้แย้งเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินว่า ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ ให้แก่บุคคลอื่นทับซ้อนที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๕๐๕ และเลขที่ ๒๖๕ ของโจทก์โดยไม่ชอบ และการออก น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดิน รวมถึงการจดทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอันมีผลกระทบต่อสิทธิของโจทก์ จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้เพิกถอนและจำหน่าย น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินพิพาทออกจากทะเบียนและสารบบที่ดินนั้น กรณีเข้าลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) นอกจากนี้ การที่ศาลจะพิจารณาว่าคำสั่งออกเอกสารสิทธิดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ไม่จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ แล้วจึงจะมีคำสั่งเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิเสมอไป เพราะเหตุที่ใช้อ้างในการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองมีหลายประการ ประกอบกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเพียงพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจตามกฎหมายในการออก น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินเท่านั้น มิใช่ผู้ทรงสิทธิในที่ดิน จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเอกชน อันเป็นสิทธิ ในทรัพย์สินของบุคคล ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม สำหรับกรณีตามคำฟ้องในส่วนที่โจทก์อ้างว่า จำเลยที่ ๔ ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินส่วนหนึ่งของ น.ส. ๓ เลขที่ ๘๒๙ ของโจทก์ และยังได้ตกลงยินยอมให้จำเลยที่ ๕ เข้าถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินพิพาท รวมทั้งให้จำเลยที่ ๕ เข้าทำประโยชน์ในที่ดินส่วนหนึ่งของ น.ส. ๓ เลขที่ ๘๒๙ ร่วมกับจำเลยที่ ๔ ด้วย เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ออก น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินพิพาทโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยโจทก์มีคำขอให้บังคับจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ และบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกจากที่ดิน ให้จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย เป็นกรณีที่มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับมูลความแห่งคดีพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ในเรื่องการออก น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินดังกล่าว จึงชอบที่จะได้ดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาโดยศาลเดียวกัน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ กับจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ซึ่งเป็นเอกชน โดยโจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๕๐๕ เลขที่ ๒๖๕ และเลขที่ ๘๒๙ ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาขอออกโฉนดที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๕๐๕ และเลขที่ ๒๖๕ แต่ปรากฏว่านายศรีบุศย์ นันทการณ์ ลูกจ้างของโจทก์ได้นำที่ดินดังกล่าวไปขอออก น.ส. ๓ ก. ในนามตนเองไปแล้ว โดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ โดยประมาทเลินเล่อทับซ้อนที่ดินของโจทก์ เมื่อนายศรีบุศย์ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๔ ทายาทรับโอนมรดกในที่ดินและขอออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ นอกจากนั้น จำเลยที่ ๔ ร่วมกับจำเลยที่ ๕ เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินบางส่วนของ น.ส. ๓ เลขที่ ๘๒๙ ของโจทก์ และจำเลยที่ ๔ ยินยอมให้จำเลยที่ ๕ ถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ นายศรีบุศย์และจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ไม่มีสิทธิในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ ขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ จำหน่าย น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากทะเบียนและสารบบที่ดิน ให้ขับไล่จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ พร้อมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท ให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทและการจดทะเบียนให้จำเลยที่ ๕ เข้าถือกรรมสิทธิ์รวม และพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การทำนองเดียวกันว่า น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับการที่หน่วยงานทางปกครองออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท มิใช่นายศรีบุศย์หรือจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ และในการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย การที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ จะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินระหว่างเอกชนด้วยกันว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สำหรับประเด็นที่โจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ออกจากที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๘๒๙ ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิของหน่วยงานทางปกครอง จึงเป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนและอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทไซแอม โทแบคโค เอกซ์ปอร์ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด โจทก์ กรมที่ดิน ที่ ๑ นายอำเภอฝาง ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาฝาง ที่ ๓ นายสมจิตร์ นันทการณ์ ที่ ๔ นางนิลุบล โกมลวิภาต ที่ ๕ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชนด้วยกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๕๐๕ และเลขที่ ๒๖๕ แต่ถูก ศ. แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเป็นเหตุให้นายอำเภอ จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ ให้แก่ ศ. ทับซ้อนที่ดินของโจทก์ เมื่อ ศ. ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๔ ทายาทของ ศ. นำ น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ ขอออกเป็นโฉนดที่ดินและยินยอมให้จำเลยที่ ๕ ถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดิน ขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ และโฉนดที่ดิน ให้กรมที่ดิน จำเลยที่ ๑ และเจ้าพนักงานที่ดิน จำเลยที่ ๓ จำหน่าย น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ และโฉนดที่ดินออกจากทะเบียนและสารบบที่ดิน และขับไล่ออกจากที่ดิน ให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินและการจดทะเบียนให้ถือกรรมสิทธิ์รวม และพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การว่า น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับการที่หน่วยงานทางปกครองออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมิใช่ ศ. หรือจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ และในการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายการที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ จะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้ ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินระหว่างเอกชนด้วยกันว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากันแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๑/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดฝาง
ระหว่าง
ศาลปกครองเชียงใหม่
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดฝางโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ บริษัทไซแอม โทแบคโค เอกซ์ปอร์ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด โจทก์ยื่นฟ้องกรมที่ดิน ที่ ๑ นายอำเภอฝาง ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาฝาง ที่ ๓ นายสมจิตร์ นันทการณ์ ที่ ๔ นางนิลุบล โกมลวิภาต ที่ ๕ จำเลย ต่อศาลจังหวัดฝาง เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๒๒/๒๕๕๔ ความว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ) เลขที่ ๕๐๕ เลขที่ ๒๖๕ และเลขที่ ๘๒๙ ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๕๐๕ และเลขที่ ๒๖๕ แต่ปรากฏว่าได้ถูกนายศรีบุศย์ นันทการณ์ ขณะเป็นลูกจ้างของโจทก์นำที่ดินดังกล่าวไปขอออก น.ส. ๓ ก. ในนามตนเอง โดยแจ้งข้อความเท็จเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ โดยประมาทเลินเล่อทับซ้อนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวของโจทก์ เมื่อนายศรีบุศย์ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๔ ทายาทจดทะเบียนรับโอนมรดกและเข้าทำประโยชน์ในที่ดินและขอออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ โดยจำเลยที่ ๓ ลงนามในโฉนดที่ดิน นอกจากนั้น จำเลยที่ ๔ ร่วมกับจำเลยที่ ๕ เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินบางส่วนของ น.ส. ๓ เลขที่ ๘๒๙ ของโจทก์ และจำเลยที่ ๔ ยินยอมให้จำเลยที่ ๕ ถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒เมื่อนายศรีบุศย์ไม่มีสิทธิและได้กรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ มาโดยมิชอบ จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ย่อมไม่มีสิทธิเช่นกัน โจทก์ในฐานะเจ้าของสิทธิครอบครองย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืน การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ จำหน่าย น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากทะเบียนและสารบบที่ดินให้จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ พร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกจากที่ดินพิพาท ให้เพิกถอนการจดทะเบียน รับโอนมรดกที่ดินพิพาทและการจดทะเบียนให้จำเลยที่ ๕ เข้าถือกรรมสิทธิ์รวม ให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท และให้จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ และจำเลยที่ ๓ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ โดยชอบตามประมวลกฎหมายที่ดินไม่ได้ประมาทเลินเล่อ คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่มีคำขอบังคับจำเลยที่ ๒ และคดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ จริง หรือหากครอบครองและทำประโยชน์อยู่จริงก็ไม่ใช่ที่ดินแปลงดังกล่าว และโจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิแต่อย่างใด ที่ดินแปลงพิพาทได้มีการพิสูจน์สิทธิและทำประโยชน์ต่อเนื่องกันตลอดมาตั้งแต่นายศรีบุศย์จนถึงจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ไม่เคยมีผู้ใดโต้แย้งสิทธิดังกล่าว จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์เพราะได้ที่ดินมาจากนายศรีบุศย์บิดา ซึ่งได้ที่ดินมาโดยการก่นสร้างมากว่า ๓๐ ปี และครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมาโดยตลอด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า มูลคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดฝางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่ยื่นฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของหน่วยงานทางปกครองที่ออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท ส่วนที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท เป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ดังนั้น การที่ศาลจะพิจารณาว่าคำสั่งออกเอกสารสิทธิดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ แล้วจึงจะมีคำสั่งเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเอกชน อันเป็นสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล ซึ่งต้องดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีจึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองเชียงใหม่พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง โจทก์โต้แย้งเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินว่า ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ ให้แก่บุคคลอื่นทับซ้อนที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๕๐๕ และเลขที่ ๒๖๕ ของโจทก์โดยไม่ชอบ และการออก น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดิน รวมถึงการจดทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอันมีผลกระทบต่อสิทธิของโจทก์ จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้เพิกถอนและจำหน่าย น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินพิพาทออกจากทะเบียนและสารบบที่ดินนั้น กรณีเข้าลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) นอกจากนี้ การที่ศาลจะพิจารณาว่าคำสั่งออกเอกสารสิทธิดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ไม่จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ แล้วจึงจะมีคำสั่งเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิเสมอไป เพราะเหตุที่ใช้อ้างในการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองมีหลายประการ ประกอบกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเพียงพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจตามกฎหมายในการออก น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินเท่านั้น มิใช่ผู้ทรงสิทธิในที่ดิน จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเอกชน อันเป็นสิทธิ ในทรัพย์สินของบุคคล ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม สำหรับกรณีตามคำฟ้องในส่วนที่โจทก์อ้างว่า จำเลยที่ ๔ ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินส่วนหนึ่งของ น.ส. ๓ เลขที่ ๘๒๙ ของโจทก์ และยังได้ตกลงยินยอมให้จำเลยที่ ๕ เข้าถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินพิพาท รวมทั้งให้จำเลยที่ ๕ เข้าทำประโยชน์ในที่ดินส่วนหนึ่งของ น.ส. ๓ เลขที่ ๘๒๙ ร่วมกับจำเลยที่ ๔ ด้วย เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ออก น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินพิพาทโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยโจทก์มีคำขอให้บังคับจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ และบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกจากที่ดิน ให้จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย เป็นกรณีที่มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับมูลความแห่งคดีพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ในเรื่องการออก น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินดังกล่าว จึงชอบที่จะได้ดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาโดยศาลเดียวกัน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ กับจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ซึ่งเป็นเอกชน โดยโจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๕๐๕ เลขที่ ๒๖๕ และเลขที่ ๘๒๙ ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาขอออกโฉนดที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๕๐๕ และเลขที่ ๒๖๕ แต่ปรากฏว่านายศรีบุศย์ นันทการณ์ ลูกจ้างของโจทก์ได้นำที่ดินดังกล่าวไปขอออก น.ส. ๓ ก. ในนามตนเองไปแล้ว โดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ โดยประมาทเลินเล่อทับซ้อนที่ดินของโจทก์ เมื่อนายศรีบุศย์ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๔ ทายาทรับโอนมรดกในที่ดินและขอออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ นอกจากนั้น จำเลยที่ ๔ ร่วมกับจำเลยที่ ๕ เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินบางส่วนของ น.ส. ๓ เลขที่ ๘๒๙ ของโจทก์ และจำเลยที่ ๔ ยินยอมให้จำเลยที่ ๕ ถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ นายศรีบุศย์และจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ไม่มีสิทธิในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ ขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ จำหน่าย น.ส. ๓ ก. และโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากทะเบียนและสารบบที่ดิน ให้ขับไล่จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ พร้อมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท ให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทและการจดทะเบียนให้จำเลยที่ ๕ เข้าถือกรรมสิทธิ์รวม และพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การทำนองเดียวกันว่า น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๙๘๒ ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๐ เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับการที่หน่วยงานทางปกครองออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท มิใช่นายศรีบุศย์หรือจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเป็นสำคัญ และในการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย การที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ จะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินระหว่างเอกชนด้วยกันว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สำหรับประเด็นที่โจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ออกจากที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๘๒๙ ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิของหน่วยงานทางปกครอง จึงเป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนและอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทไซแอม โทแบคโค เอกซ์ปอร์ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด โจทก์ กรมที่ดิน ที่ ๑ นายอำเภอฝาง ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาฝาง ที่ ๓ นายสมจิตร์ นันทการณ์ ที่ ๔ นางนิลุบล โกมลวิภาต ที่ ๕ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง น.ส. ๓ แต่ถูกจำเลยมอบหมายให้ผู้ใหญ่บ้านกำหนดเขตที่ดินหนองน้ำสาธารณะ "หนองแขม" ว่าอยู่ในที่ดิน น.ส. ๓ ของโจทก์ และจำเลยยังคัดค้านการออกโฉนดที่ดิน เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถเปลี่ยน น.ส. ๓ เป็นโฉนดที่ดินได้ ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้ถอนเสาที่นำไปปักไว้ในที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาท เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การกระทำของจำเลยเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า คดีนี้แม้ประเด็นข้อพิพาทจะเกี่ยวข้องกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตาม พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ แต่โจทก์ก็ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลย และโดยเฉพาะขอให้บังคับจำเลยถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ ดังนั้น การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้ ก็จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาในประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
สำเนา
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๐/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดพิษณุโลก
ระหว่าง
ศาลปกครองพิษณุโลก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดพิษณุโลกส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ นางพนิดา ถึงหมื่นไวย์ โจทก์ ยื่นฟ้องนายอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก จำเลย ต่อศาลจังหวัดพิษณุโลก เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๗๖๙/๒๕๕๓ ความว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๓๕ ตำบลบางกระทุ่ม อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ ๒๖ ไร่ ๑ งาน ๗๖ ตารางวา แต่จำเลยมอบหมายให้ผู้ใหญ่บ้านกำหนดเขตที่ดินหนองน้ำสาธารณะ "หนองแขม" ว่าอยู่ในที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๓๕ ของโจทก์ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เนื้อที่ ๔ ไร่ โดยได้นำเสาไปปักไว้ว่าเป็นที่ดินหนองน้ำสาธารณะหนองแขม และจำเลยยังคัดค้านการออกโฉนดที่ดินตาม น.ส. ๓ ของโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถเปลี่ยน น.ส. ๓ เป็นโฉนดที่ดินได้ การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินของโจทก์ และเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้ถอนเสาที่นำไปปักไว้ในที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณประโยชน์ "หนองแขม" เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ราษฎรในหมู่บ้านได้กันที่ดินพิพาทไว้เป็นที่สาธารณประโยชน์และใช้ประโยชน์ร่วมกัน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๓๕ เจ้าของเดิมได้แจ้งการครอบครอง รวมเนื้อที่ดินพิพาทหนองน้ำสาธารณประโยชน์หนองแขม ประมาณ ๔ ไร่ ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ออก น.ส. ๓ เลขที่ ๓๕ ให้โดยไม่ทราบเรื่อง เมื่อที่ดินตาม น.ส. ๓ ดังกล่าวตกแก่โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรม โจทก์ยื่นคำขอรังวัดที่ดินเพื่อขอออกโฉนด จำเลยจึงยื่นคัดค้าน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยยังโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่พิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์เป็นสำคัญในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลคงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาให้ได้ความว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ การจะวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ย่อมต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินหรือไม่ และการพิจารณาสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ และประมวลกฎหมายที่ดิน โดยจะต้องพิจารณาถึงสิทธิครอบครองและการใช้ประโยชน์ในที่ดินของคู่ความและพยานหลักฐานการใช้ประโยชน์ของประชาชน ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน คดีที่เป็นประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลจึงอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินจึงได้แก่ศาลยุติธรรม ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ การที่จำเลยมอบให้ผู้ใหญ่บ้านทำการกำหนดเขตที่ดินหนองน้ำสาธารณะหนองแขมและปักเสาแสดงเขตที่ดินหนองน้ำสาธารณะหนองแขม รวมถึงการคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ จึงเป็นการใช้อำนาจและปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติให้พนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว โดยจำเลยมิได้อยู่ในฐานะผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับความมีอยู่หรือสถานะของที่สาธารณประโยชน์ ซึ่งมิใช่คดีที่เกี่ยวด้วยสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด ส่วนการที่คดีมีประเด็นต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของโจทก์หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามมาตรา ๑๓๐๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่นั้น ประเด็นดังกล่าวเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดี อันเป็นเพียงประเด็นย่อยที่จะต้องพิจารณาว่าการกำหนดเขตที่ดินหนองน้ำสาธารณะหนองแขมและปักเสาแสดงเขตที่ดินหนองน้ำสาธารณะหนองแขม รวมถึงการคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และคำขอให้ถอนเสาที่นำไปปักไว้ในที่ดิน เป็นคำขอที่ศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับสั่งให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการได้หรือกำหนดเงื่อนไขอื่นใดได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นข้อพิพาทระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย หรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส. ๓ แต่ถูกจำเลยมอบหมายให้ผู้ใหญ่บ้านกำหนดเขตที่ดินหนองน้ำสาธารณะ "หนองแขม" ว่าอยู่ในที่ดิน น.ส. ๓ ของโจทก์ โดยได้นำเสาไปปักไว้ว่าเป็นที่ดินหนองน้ำสาธารณะหนองแขม และจำเลยยังคัดค้านการออกโฉนดที่ดินตาม น.ส. ๓ ของโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถเปลี่ยน น.ส. ๓ เป็นโฉนดที่ดินได้ ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้ถอนเสาที่นำไปปักไว้ในที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณประโยชน์ "หนองแขม" เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ดินตาม น.ส. ๓ ของโจทก์เจ้าของเดิมได้แจ้งการครอบครองโดยรวมเอาที่ดินพิพาทหนองน้ำสาธารณประโยชน์หนองแขมเข้าไว้ด้วย ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ออก น.ส. ๓ ให้โดยไม่ทราบเรื่อง เมื่อโจทก์ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน จำเลยจึงยื่นคำร้องคัดค้าน การกระทำของจำเลยเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า คดีนี้แม้ประเด็นข้อพิพาทจะเกี่ยวข้องกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ แต่โจทก์ก็ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลย และโดยเฉพาะขอให้บังคับจำเลยถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างเป็นสำคัญ ซึ่งการที่จำเลยคัดค้านการออกโฉนดที่ดินก็เป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินตาม น.ส. ๓ ของโจทก์ในการที่จะขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินให้ได้ กรณีนี้แม้จำเลยผู้คัดค้านจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ดูแลรักษาที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน มิใช่เอกชนผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดิน แต่ในการออกโฉนดที่ดินของเจ้าพนักงานที่ดินก็ย่อมเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายไม่ว่าผู้คัดค้านจะเป็นเอกชนหรือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม ดังนั้น การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้ ก็จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาในประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางพนิดา ถึงหมื่นไวย์ โจทก์ นายอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง น.ส. ๓ แต่ถูกจำเลยมอบหมายให้ผู้ใหญ่บ้านกำหนดเขตที่ดินหนองน้ำสาธารณะ "หนองแขม" ว่าอยู่ในที่ดิน น.ส. ๓ ของโจทก์ และจำเลยยังคัดค้านการออกโฉนดที่ดิน เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถเปลี่ยน น.ส. ๓ เป็นโฉนดที่ดินได้ ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้ถอนเสาที่นำไปปักไว้ในที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาท เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การกระทำของจำเลยเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า คดีนี้แม้ประเด็นข้อพิพาทจะเกี่ยวข้องกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตาม พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ แต่โจทก์ก็ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลย และโดยเฉพาะขอให้บังคับจำเลยถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ ดังนั้น การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้ ก็จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาในประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
สำเนา
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑๐/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดพิษณุโลก
ระหว่าง
ศาลปกครองพิษณุโลก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดพิษณุโลกส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ นางพนิดา ถึงหมื่นไวย์ โจทก์ ยื่นฟ้องนายอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก จำเลย ต่อศาลจังหวัดพิษณุโลก เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๗๖๙/๒๕๕๓ ความว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๓๕ ตำบลบางกระทุ่ม อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ ๒๖ ไร่ ๑ งาน ๗๖ ตารางวา แต่จำเลยมอบหมายให้ผู้ใหญ่บ้านกำหนดเขตที่ดินหนองน้ำสาธารณะ "หนองแขม" ว่าอยู่ในที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๓๕ ของโจทก์ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เนื้อที่ ๔ ไร่ โดยได้นำเสาไปปักไว้ว่าเป็นที่ดินหนองน้ำสาธารณะหนองแขม และจำเลยยังคัดค้านการออกโฉนดที่ดินตาม น.ส. ๓ ของโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถเปลี่ยน น.ส. ๓ เป็นโฉนดที่ดินได้ การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินของโจทก์ และเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้ถอนเสาที่นำไปปักไว้ในที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณประโยชน์ "หนองแขม" เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ราษฎรในหมู่บ้านได้กันที่ดินพิพาทไว้เป็นที่สาธารณประโยชน์และใช้ประโยชน์ร่วมกัน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๓๕ เจ้าของเดิมได้แจ้งการครอบครอง รวมเนื้อที่ดินพิพาทหนองน้ำสาธารณประโยชน์หนองแขม ประมาณ ๔ ไร่ ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ออก น.ส. ๓ เลขที่ ๓๕ ให้โดยไม่ทราบเรื่อง เมื่อที่ดินตาม น.ส. ๓ ดังกล่าวตกแก่โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรม โจทก์ยื่นคำขอรังวัดที่ดินเพื่อขอออกโฉนด จำเลยจึงยื่นคัดค้าน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยยังโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่พิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์เป็นสำคัญในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลคงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาให้ได้ความว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ การจะวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ย่อมต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินหรือไม่ และการพิจารณาสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ และประมวลกฎหมายที่ดิน โดยจะต้องพิจารณาถึงสิทธิครอบครองและการใช้ประโยชน์ในที่ดินของคู่ความและพยานหลักฐานการใช้ประโยชน์ของประชาชน ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน คดีที่เป็นประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลจึงอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินจึงได้แก่ศาลยุติธรรม ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ การที่จำเลยมอบให้ผู้ใหญ่บ้านทำการกำหนดเขตที่ดินหนองน้ำสาธารณะหนองแขมและปักเสาแสดงเขตที่ดินหนองน้ำสาธารณะหนองแขม รวมถึงการคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ จึงเป็นการใช้อำนาจและปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติให้พนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว โดยจำเลยมิได้อยู่ในฐานะผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับความมีอยู่หรือสถานะของที่สาธารณประโยชน์ ซึ่งมิใช่คดีที่เกี่ยวด้วยสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด ส่วนการที่คดีมีประเด็นต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของโจทก์หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามมาตรา ๑๓๐๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่นั้น ประเด็นดังกล่าวเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดี อันเป็นเพียงประเด็นย่อยที่จะต้องพิจารณาว่าการกำหนดเขตที่ดินหนองน้ำสาธารณะหนองแขมและปักเสาแสดงเขตที่ดินหนองน้ำสาธารณะหนองแขม รวมถึงการคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และคำขอให้ถอนเสาที่นำไปปักไว้ในที่ดิน เป็นคำขอที่ศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับสั่งให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการได้หรือกำหนดเงื่อนไขอื่นใดได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นข้อพิพาทระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย หรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส. ๓ แต่ถูกจำเลยมอบหมายให้ผู้ใหญ่บ้านกำหนดเขตที่ดินหนองน้ำสาธารณะ "หนองแขม" ว่าอยู่ในที่ดิน น.ส. ๓ ของโจทก์ โดยได้นำเสาไปปักไว้ว่าเป็นที่ดินหนองน้ำสาธารณะหนองแขม และจำเลยยังคัดค้านการออกโฉนดที่ดินตาม น.ส. ๓ ของโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถเปลี่ยน น.ส. ๓ เป็นโฉนดที่ดินได้ ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้ถอนเสาที่นำไปปักไว้ในที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณประโยชน์ "หนองแขม" เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ดินตาม น.ส. ๓ ของโจทก์เจ้าของเดิมได้แจ้งการครอบครองโดยรวมเอาที่ดินพิพาทหนองน้ำสาธารณประโยชน์หนองแขมเข้าไว้ด้วย ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ออก น.ส. ๓ ให้โดยไม่ทราบเรื่อง เมื่อโจทก์ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน จำเลยจึงยื่นคำร้องคัดค้าน การกระทำของจำเลยเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า คดีนี้แม้ประเด็นข้อพิพาทจะเกี่ยวข้องกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ แต่โจทก์ก็ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลย และโดยเฉพาะขอให้บังคับจำเลยถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างเป็นสำคัญ ซึ่งการที่จำเลยคัดค้านการออกโฉนดที่ดินก็เป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินตาม น.ส. ๓ ของโจทก์ในการที่จะขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินให้ได้ กรณีนี้แม้จำเลยผู้คัดค้านจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ดูแลรักษาที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน มิใช่เอกชนผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดิน แต่ในการออกโฉนดที่ดินของเจ้าพนักงานที่ดินก็ย่อมเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายไม่ว่าผู้คัดค้านจะเป็นเอกชนหรือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม ดังนั้น การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้ ก็จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาในประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางพนิดา ถึงหมื่นไวย์ โจทก์ นายอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต ๓ (ภาคใต้) จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองอ้างว่าได้รับความเสียหายกรณีผู้ถูกฟ้องคดีปักเสาพาดสายไฟฟ้ารุกล้ำที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองโดยเช่าที่มาจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ขอให้ย้ายเสาไฟฟ้าที่รุกล้ำออกไป ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้เช่าที่พิพาทจากการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อปักเสาและพาดสายไฟฟ้า โดยผู้ฟ้องคดีไม่เคยโต้แย้ง เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่า ผู้ฟ้องคดีหรือผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทตามสัญญาเช่าที่ดินที่ต่างทำกับการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องว่าการปักเสาพาดสายไฟฟ้าอันเป็นเหตุแห่งการฟ้องนี้ได้เกิดขึ้นก่อนที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะทำสัญญาเช่า เมื่อพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๓๖ วรรคหนึ่ง กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจในการเดินสายส่งศักย์สูงหรือสายส่งศักย์ต่ำไปใต้ เหนือ ตาม หรือข้ามพื้นดินของบุคคลใดๆ หรือปักหรือตั้งเสาสถานีไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ต่างๆ ลงในหรือบนพื้นดินของบุคคลใดๆ ในเมื่อพื้นดินนั้นไม่ใช่พื้นดินอันเป็นที่ตั้งโรงเรือน การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีตามฟ้องจึงเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย เมื่อก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่ผู้อื่น จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๙/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลปกครองสงขลา
ระหว่าง
ศาลจังหวัดนาทวี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองสงขลาโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ บริษัทศิริพัฒนสินทรัพย์ จำกัด ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต ๓ (ภาคใต้) จังหวัดยะลา ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองสงขลา เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๑/๒๕๕๕ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามสัญญาเช่าที่ดินระหว่างผู้ฟ้องคดีกับการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณย่านสถานีคลองแงะ ตำบลคลองแงะ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เพื่อปลูกสร้างอาคารและจัดสรรประโยชน์มีกำหนด ๒๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๔ ถึงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ ในปี ๒๕๕๒ ผู้ฟ้องคดีพบว่ามีการปักเสาและพาดสายไฟฟ้ารุกล้ำที่ดิน จำนวน ๔ ต้น จึงแจ้งการรถไฟแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคคลองแงะ แต่ไม่ได้รับคำตอบและไม่มีการดำเนินการใดๆ ในปี ๒๕๕๓ ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือถึงการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคคลองแงะเพื่อขอให้ย้ายเสาไฟฟ้าดังกล่าว และในปี ๒๕๕๔ ผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือชี้แจงว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้รับอนุญาตจากการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เช่าพื้นที่ดังกล่าวเพื่อปักเสาพาดสายไฟฟ้ามีกำหนด ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นเวลาภายหลังมีการปักเสาและพาดสายไฟฟ้าดังกล่าวแล้ว หลังจากนั้นผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือถึงผู้ถูกฟ้องคดีขอให้ย้ายเสาไฟฟ้าที่รุกล้ำดังกล่าวหลายครั้ง โดยขอให้ดำเนินการย้ายเสาไฟฟ้าเพียง ๑ ต้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ฟ้องคดี แต่ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกเฉย การที่ผู้ถูกฟ้องคดีปักเสาพาดสายไฟฟ้าก่อนทำสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทยและละเลยหรือล่าช้าในการตอบข้อเรียกร้องของผู้ฟ้องคดี ทำให้ผู้ฟ้องคดีเสียหายและส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของผู้ฟ้องคดี ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีย้ายเสาไฟฟ้าที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง
ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ได้เช่าที่พิพาทจากการรถไฟแห่งประเทศไทย กำหนดระยะเวลา ๓ ปี เพื่อปักเสาและพาดสายไฟฟ้าข้ามทางรถไฟบริเวณย่านสถานีคลองแงะ ซึ่งอยู่บริเวณหน้าที่ทำการของผู้ฟ้องคดี โดยไม่ทราบว่าที่พิพาทอยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดี จึงได้ดำเนินการก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้า ปักเสาไฟฟ้าแรงสูงและติดตั้งอุปกรณ์ประกอบ ซึ่งผู้ฟ้องคดีย่อมรับรู้และควรจะได้โต้แย้งสิทธิในขณะนั้น แต่กลับเพิกเฉย ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมิได้กระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดียื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นเรื่องโต้แย้งสิทธิครอบครองในที่ดินตามสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์โครงการจัดประโยชน์บริเวณย่านสถานีคลองแงะ ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการดำเนินกิจการส่วนตัวของผู้ฟ้องคดี มิได้เป็นการดำเนินกิจการเพื่อประโยชน์สาธารณะ และผู้ถูกฟ้องคดีมิได้เป็นคู่สัญญาทางปกครองกับผู้ฟ้องคดี จึงเป็นข้อพิพาทในทางแพ่ง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองสงขลาพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นรัฐวิสาหกิจจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการผลิต จัดให้ได้มา จัดส่ง และจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าตามมาตรา ๖ ประกอบมาตรา ๗ รวมทั้งมีอำนาจเดินสายส่งศักย์สูงหรือสายส่งศักย์ต่ำไปใต้ เหนือ ตาม หรือข้ามพื้นดินของบุคลใดๆ ในเมื่อพื้นดินนั้นไม่ใช่พื้นดินอันเป็นที่ตั้งโรงเรือนตามมาตรา ๓๖ วรรคหนึ่ง การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทำการปักเสาและพาดสายไฟฟ้ารุกล้ำเข้าไปในที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครอง โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ฟ้องคดี ทำให้สิทธิในการใช้ที่ดินเสียหายและส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของผู้ฟ้องคดี ขอให้ย้ายเสาไฟฟ้าที่รุกล้ำดังกล่าวออกไปจากที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนาทวีพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทำสัญญาเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณย่านสถานีคลองแงะ เพื่อปลูกสร้างอาคารและจัดประโยชน์จากอาคารที่ก่อสร้าง และอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีปักเสาไฟฟ้า ๔ ต้น รุกล้ำเข้าไปในที่ดินที่ครอบครอง ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่าเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยโดยไม่ทราบว่าที่พิพาทอยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดี ดังนั้น ศาลต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ตามสัญญาเช่าที่ผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีแต่ละฝ่ายทำกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้ใดมีสิทธิในที่พิพาท แล้วจึงพิจารณาว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นละเมิดหรือไม่ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินตามสัญญาเช่า อยู่ในเขตอำนาจศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองอ้างว่าได้รับความเสียหายกรณีผู้ถูกฟ้องคดีปักเสาพาดสายไฟฟ้ารุกล้ำที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตามสัญญาเช่าที่ดินระหว่างผู้ฟ้องคดีกับการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณย่านสถานีคลองแงะ เพื่อปลูกสร้างอาคารและจัดสรรประโยชน์ ผู้ฟ้องคดีขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีย้ายเสาไฟฟ้าหลายครั้ง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกเฉย ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีย้ายเสาไฟฟ้าที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่าไม่ได้กระทำละเมิด เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีได้เช่าที่พิพาทจากการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อปักเสาและพาดสายไฟฟ้า โดยผู้ฟ้องคดีไม่เคยโต้แย้ง เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่าผู้ฟ้องคดีหรือผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทตามสัญญาเช่าที่ดินที่ต่างทำกับการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องว่าการปักเสาพาดสายไฟฟ้าอันเป็นเหตุแห่งการฟ้องนี้ได้เกิดขึ้นก่อนที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะทำสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๓๖ วรรคหนึ่ง กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจในการเดินสายส่งศักย์สูงหรือสายส่งศักย์ต่ำไปใต้ เหนือ ตาม หรือข้ามพื้นดินของบุคคลใดๆ หรือปักหรือตั้งเสาสถานีไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ต่างๆ ลงในหรือบนพื้นดินของบุคคลใดๆ ในเมื่อพื้นดินนั้นไม่ใช่พื้นดินอันเป็นที่ตั้งโรงเรือน การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีตามฟ้องจึงเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย เมื่อก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่ผู้อื่น จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง บริษัทศิริพัฒนสินทรัพย์ จำกัด ผู้ฟ้องคดี การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต ๓ (ภาคใต้) จังหวัดยะลา ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต ๓ (ภาคใต้) จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองอ้างว่าได้รับความเสียหายกรณีผู้ถูกฟ้องคดีปักเสาพาดสายไฟฟ้ารุกล้ำที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองโดยเช่าที่มาจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ขอให้ย้ายเสาไฟฟ้าที่รุกล้ำออกไป ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้เช่าที่พิพาทจากการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อปักเสาและพาดสายไฟฟ้า โดยผู้ฟ้องคดีไม่เคยโต้แย้ง เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่า ผู้ฟ้องคดีหรือผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทตามสัญญาเช่าที่ดินที่ต่างทำกับการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องว่าการปักเสาพาดสายไฟฟ้าอันเป็นเหตุแห่งการฟ้องนี้ได้เกิดขึ้นก่อนที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะทำสัญญาเช่า เมื่อพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๓๖ วรรคหนึ่ง กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจในการเดินสายส่งศักย์สูงหรือสายส่งศักย์ต่ำไปใต้ เหนือ ตาม หรือข้ามพื้นดินของบุคคลใดๆ หรือปักหรือตั้งเสาสถานีไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ต่างๆ ลงในหรือบนพื้นดินของบุคคลใดๆ ในเมื่อพื้นดินนั้นไม่ใช่พื้นดินอันเป็นที่ตั้งโรงเรือน การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีตามฟ้องจึงเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย เมื่อก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่ผู้อื่น จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๙/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลปกครองสงขลา
ระหว่าง
ศาลจังหวัดนาทวี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองสงขลาโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ บริษัทศิริพัฒนสินทรัพย์ จำกัด ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต ๓ (ภาคใต้) จังหวัดยะลา ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองสงขลา เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๑/๒๕๕๕ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามสัญญาเช่าที่ดินระหว่างผู้ฟ้องคดีกับการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณย่านสถานีคลองแงะ ตำบลคลองแงะ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เพื่อปลูกสร้างอาคารและจัดสรรประโยชน์มีกำหนด ๒๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๔ ถึงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ ในปี ๒๕๕๒ ผู้ฟ้องคดีพบว่ามีการปักเสาและพาดสายไฟฟ้ารุกล้ำที่ดิน จำนวน ๔ ต้น จึงแจ้งการรถไฟแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคคลองแงะ แต่ไม่ได้รับคำตอบและไม่มีการดำเนินการใดๆ ในปี ๒๕๕๓ ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือถึงการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคคลองแงะเพื่อขอให้ย้ายเสาไฟฟ้าดังกล่าว และในปี ๒๕๕๔ ผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือชี้แจงว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้รับอนุญาตจากการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เช่าพื้นที่ดังกล่าวเพื่อปักเสาพาดสายไฟฟ้ามีกำหนด ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นเวลาภายหลังมีการปักเสาและพาดสายไฟฟ้าดังกล่าวแล้ว หลังจากนั้นผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือถึงผู้ถูกฟ้องคดีขอให้ย้ายเสาไฟฟ้าที่รุกล้ำดังกล่าวหลายครั้ง โดยขอให้ดำเนินการย้ายเสาไฟฟ้าเพียง ๑ ต้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ฟ้องคดี แต่ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกเฉย การที่ผู้ถูกฟ้องคดีปักเสาพาดสายไฟฟ้าก่อนทำสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทยและละเลยหรือล่าช้าในการตอบข้อเรียกร้องของผู้ฟ้องคดี ทำให้ผู้ฟ้องคดีเสียหายและส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของผู้ฟ้องคดี ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีย้ายเสาไฟฟ้าที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง
ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ได้เช่าที่พิพาทจากการรถไฟแห่งประเทศไทย กำหนดระยะเวลา ๓ ปี เพื่อปักเสาและพาดสายไฟฟ้าข้ามทางรถไฟบริเวณย่านสถานีคลองแงะ ซึ่งอยู่บริเวณหน้าที่ทำการของผู้ฟ้องคดี โดยไม่ทราบว่าที่พิพาทอยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดี จึงได้ดำเนินการก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้า ปักเสาไฟฟ้าแรงสูงและติดตั้งอุปกรณ์ประกอบ ซึ่งผู้ฟ้องคดีย่อมรับรู้และควรจะได้โต้แย้งสิทธิในขณะนั้น แต่กลับเพิกเฉย ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมิได้กระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดียื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นเรื่องโต้แย้งสิทธิครอบครองในที่ดินตามสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์โครงการจัดประโยชน์บริเวณย่านสถานีคลองแงะ ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการดำเนินกิจการส่วนตัวของผู้ฟ้องคดี มิได้เป็นการดำเนินกิจการเพื่อประโยชน์สาธารณะ และผู้ถูกฟ้องคดีมิได้เป็นคู่สัญญาทางปกครองกับผู้ฟ้องคดี จึงเป็นข้อพิพาทในทางแพ่ง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองสงขลาพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นรัฐวิสาหกิจจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการผลิต จัดให้ได้มา จัดส่ง และจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าตามมาตรา ๖ ประกอบมาตรา ๗ รวมทั้งมีอำนาจเดินสายส่งศักย์สูงหรือสายส่งศักย์ต่ำไปใต้ เหนือ ตาม หรือข้ามพื้นดินของบุคลใดๆ ในเมื่อพื้นดินนั้นไม่ใช่พื้นดินอันเป็นที่ตั้งโรงเรือนตามมาตรา ๓๖ วรรคหนึ่ง การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทำการปักเสาและพาดสายไฟฟ้ารุกล้ำเข้าไปในที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครอง โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ฟ้องคดี ทำให้สิทธิในการใช้ที่ดินเสียหายและส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของผู้ฟ้องคดี ขอให้ย้ายเสาไฟฟ้าที่รุกล้ำดังกล่าวออกไปจากที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนาทวีพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทำสัญญาเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณย่านสถานีคลองแงะ เพื่อปลูกสร้างอาคารและจัดประโยชน์จากอาคารที่ก่อสร้าง และอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีปักเสาไฟฟ้า ๔ ต้น รุกล้ำเข้าไปในที่ดินที่ครอบครอง ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่าเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยโดยไม่ทราบว่าที่พิพาทอยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดี ดังนั้น ศาลต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ตามสัญญาเช่าที่ผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีแต่ละฝ่ายทำกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้ใดมีสิทธิในที่พิพาท แล้วจึงพิจารณาว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นละเมิดหรือไม่ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินตามสัญญาเช่า อยู่ในเขตอำนาจศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองอ้างว่าได้รับความเสียหายกรณีผู้ถูกฟ้องคดีปักเสาพาดสายไฟฟ้ารุกล้ำที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตามสัญญาเช่าที่ดินระหว่างผู้ฟ้องคดีกับการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณย่านสถานีคลองแงะ เพื่อปลูกสร้างอาคารและจัดสรรประโยชน์ ผู้ฟ้องคดีขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีย้ายเสาไฟฟ้าหลายครั้ง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกเฉย ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีย้ายเสาไฟฟ้าที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่าไม่ได้กระทำละเมิด เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีได้เช่าที่พิพาทจากการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อปักเสาและพาดสายไฟฟ้า โดยผู้ฟ้องคดีไม่เคยโต้แย้ง เห็นว่า แม้คดีมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่าผู้ฟ้องคดีหรือผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทตามสัญญาเช่าที่ดินที่ต่างทำกับการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องว่าการปักเสาพาดสายไฟฟ้าอันเป็นเหตุแห่งการฟ้องนี้ได้เกิดขึ้นก่อนที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะทำสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๓๖ วรรคหนึ่ง กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจในการเดินสายส่งศักย์สูงหรือสายส่งศักย์ต่ำไปใต้ เหนือ ตาม หรือข้ามพื้นดินของบุคคลใดๆ หรือปักหรือตั้งเสาสถานีไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ต่างๆ ลงในหรือบนพื้นดินของบุคคลใดๆ ในเมื่อพื้นดินนั้นไม่ใช่พื้นดินอันเป็นที่ตั้งโรงเรือน การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีตามฟ้องจึงเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย เมื่อก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่ผู้อื่น จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง บริษัทศิริพัฒนสินทรัพย์ จำกัด ผู้ฟ้องคดี การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต ๓ (ภาคใต้) จังหวัดยะลา ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
คดีที่โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่า โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๓๔ ส่วนจำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๔๐๐๑ และเลขที่ ๑๙๑๑ โดยมีแนวเขตติดต่อกันบางส่วน เมื่อจำเลยขอออกโฉนดที่ดินทั้งสองแปลง ได้ชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด เจ้าพนักงานที่ดินสอบสวนเปรียบเทียบคู่กรณีแล้วมีคำสั่งออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย และแจ้งให้คู่กรณีไปฟ้องคดีต่อศาลภายใน ๖๐ วัน โดยไม่ฟังคำคัดค้านของโจทก์ทั้งเจ็ด อันเป็นการกระทำละเมิด ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ และให้ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งเจ็ด กับให้จำเลยไปลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินตามที่โจทก์ทั้งเจ็ดนำชี้ไว้ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากที่พิพาทอยู่นอกเขตที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด และอยู่ในเขตที่ดินของจำเลย โจทก์ทั้งเจ็ดไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยพิพาทกันเรื่องสิทธิในที่พิพาทอันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน โดยเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการสอบสวนเปรียบเทียบคู่กรณีแล้ว โจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งไม่พอใจการสั่งการของเจ้าพนักงานที่ดินจึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ วรรคสอง โดยเจ้าพนักงานที่ดินต้องรอเรื่องไว้ จนศาลได้พิพากษาหรือมีคำสั่งถึงที่สุดประการใด จึงดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๖๐ วรรคสาม คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันที่โต้แย้งสิทธิกันในทางแพ่งเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
สำเนา
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๘/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลแขวงอุบลราชธานี
ระหว่าง
ศาลปกครองอุบลราชธานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแขวงอุบลราชธานีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ นายเศรษฐพงษ์ จตุรงคสัมฤทธิ์ ที่ ๑ กับพวกรวม ๗ คน โจทก์ ยื่นฟ้องพลเอก อิสระพงศ์ หนุนภักดี จำเลย ต่อศาลจังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาศาลมีคำสั่งให้โอนคดีไปยังศาลแขวงอุบลราชธานี เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๖๐๔/๒๕๕๓ ความว่าโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นเจ้าของและเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๓๔ ตำบลท่าช้าง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก.เลขที่ ๔๐๐๑ และเลขที่ ๑๙๑๑ โดยที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยมีแนวเขตติดต่อกันบางส่วน ต่อมาจำเลยยื่นขอออกโฉนดที่ดินทั้งสองแปลง โดยนำชี้แนวเขตรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด เนื้อที่ ๗ ไร่ ๒ งาน ๔๓ ตารางวา โจทก์ทั้งเจ็ดคัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดินของจำเลย เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ สอบสวนเปรียบเทียบคู่กรณีแล้วแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงมีคำสั่งออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย และแจ้งให้คู่กรณีไปฟ้องคดีต่อศาลภายใน ๖๐ วัน โดยไม่ฟังคำคัดค้านของโจทก์ทั้งเจ็ด อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งเจ็ด ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ ให้ที่พิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด กับให้จำเลยไปลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินตามที่โจทก์ทั้งเจ็ดนำชี้ไว้ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากที่พิพาทอยู่นอกเขตที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด และอยู่ในเขต น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๓๔ ของจำเลย โจทก์ทั้งเจ็ดไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแขวงอุบลราชธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดระบุว่าจำเลยนำชี้แนวเขตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด โจทก์ทั้งเจ็ดคัดค้านการนำชี้ดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ แต่เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยตามการนำชี้ของจำเลย แม้โจทก์ทั้งเจ็ดจะมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดิน อันเป็นคำสั่งทางปกครองก็ตาม แต่คดีนี้โจทก์ทั้งเจ็ดยังมีคำขอให้ที่ดินบางส่วนตามการนำชี้ของจำเลยเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด การโต้แย้งคำสั่งทางปกครองดังกล่าวเป็นเพียงการโต้แย้งเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินตามคำขอท้ายฟ้องเท่านั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ทั้งเจ็ดจะต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดหรือของจำเลย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองอุบลราชธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อโจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องว่า เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ ออกคำสั่งสอบสวนเปรียบเทียบตามมาตรา ๖๐ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล อันเป็นคำสั่งทางปกครอง แสดงว่า โจทก์ทั้งเจ็ดมุ่งประสงค์ให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดินที่ทำให้ได้รับความเสียหาย โดยมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจเรียกเจ้าพนักงานที่ดินเข้ามาเป็นคู่กรณีได้ โดยมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า คำสั่งสอบสวนเปรียบเทียบชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แม้ว่าโจทก์ทั้งเจ็ดจะมีคำขอให้ที่พิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด ซึ่งอาจพิจารณาได้ว่าเป็นประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างโจทก์ทั้งเจ็ดกับจำเลย แต่เมื่อคดีนี้เป็นคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลปกครองแล้ว ศาลปกครองย่อมมีอำนาจวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันเป็นประเด็นข้อเท็จจริงหนึ่งในคดีได้ และเป็นกรณีที่ต้องวินิจฉัยในชั้นการพิจารณาเนื้อหาของคดี แม้การพิจารณาในเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดิน ศาลปกครองก็นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ นอกจากนี้ มาตรา ๗๑ (๔) ยังบัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สิน และนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย หรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครองของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ รวมทั้งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเรื่องที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง" คดีนี้โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่า โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๓๔ ส่วนจำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๔๐๐๑ และเลขที่ ๑๙๑๑ โดยมีแนวเขตติดต่อกันบางส่วน เมื่อจำเลยขอออกโฉนดที่ดินทั้งสองแปลง จำเลยชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด และโจทก์ทั้งเจ็ดคัดค้านแล้ว เจ้าพนักงานที่ดินสอบสวนเปรียบเทียบคู่กรณีแล้วแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงมีคำสั่งออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย และแจ้งให้คู่กรณีไปฟ้องคดีต่อศาลภายใน ๖๐ วัน โดยไม่ฟังคำคัดค้านของโจทก์ทั้งเจ็ด อันเป็นการกระทำละเมิด ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ และให้ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งเจ็ด กับให้จำเลยไปลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินตามที่โจทก์ทั้งเจ็ดนำชี้ไว้ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากที่พิพาทอยู่นอกเขตที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด และอยู่ในเขต น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๓๔ ของจำเลย โจทก์ทั้งเจ็ดไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยพิพาทกันเรื่องสิทธิในที่พิพาทอันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน โดยเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการสอบสวนเปรียบเทียบคู่กรณีแล้ว โจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งไม่พอใจการสั่งการของเจ้าพนักงานที่ดินจึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ วรรคสอง โดยเจ้าพนักงานที่ดินต้องรอเรื่องไว้ จนศาลได้พิพากษาหรือมีคำสั่งถึงที่สุดประการใด จึงดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๖๐ วรรคสาม คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันที่โต้แย้งสิทธิกันในทางแพ่ง โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ตามมาตรา ๒๑๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายเศรษฐพงษ์ จตุรงคสัมฤทธิ์ ที่ ๑ กับพวกรวม ๗ คน โจทก์ พลเอก อิสระพงศ์ หนุนภักดี จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่า โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๓๔ ส่วนจำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๔๐๐๑ และเลขที่ ๑๙๑๑ โดยมีแนวเขตติดต่อกันบางส่วน เมื่อจำเลยขอออกโฉนดที่ดินทั้งสองแปลง ได้ชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด เจ้าพนักงานที่ดินสอบสวนเปรียบเทียบคู่กรณีแล้วมีคำสั่งออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย และแจ้งให้คู่กรณีไปฟ้องคดีต่อศาลภายใน ๖๐ วัน โดยไม่ฟังคำคัดค้านของโจทก์ทั้งเจ็ด อันเป็นการกระทำละเมิด ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ และให้ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งเจ็ด กับให้จำเลยไปลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินตามที่โจทก์ทั้งเจ็ดนำชี้ไว้ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากที่พิพาทอยู่นอกเขตที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด และอยู่ในเขตที่ดินของจำเลย โจทก์ทั้งเจ็ดไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยพิพาทกันเรื่องสิทธิในที่พิพาทอันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน โดยเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการสอบสวนเปรียบเทียบคู่กรณีแล้ว โจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งไม่พอใจการสั่งการของเจ้าพนักงานที่ดินจึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ วรรคสอง โดยเจ้าพนักงานที่ดินต้องรอเรื่องไว้ จนศาลได้พิพากษาหรือมีคำสั่งถึงที่สุดประการใด จึงดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๖๐ วรรคสาม คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันที่โต้แย้งสิทธิกันในทางแพ่งเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
สำเนา
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๘/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลแขวงอุบลราชธานี
ระหว่าง
ศาลปกครองอุบลราชธานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแขวงอุบลราชธานีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ นายเศรษฐพงษ์ จตุรงคสัมฤทธิ์ ที่ ๑ กับพวกรวม ๗ คน โจทก์ ยื่นฟ้องพลเอก อิสระพงศ์ หนุนภักดี จำเลย ต่อศาลจังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาศาลมีคำสั่งให้โอนคดีไปยังศาลแขวงอุบลราชธานี เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๖๐๔/๒๕๕๓ ความว่าโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นเจ้าของและเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๓๔ ตำบลท่าช้าง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก.เลขที่ ๔๐๐๑ และเลขที่ ๑๙๑๑ โดยที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยมีแนวเขตติดต่อกันบางส่วน ต่อมาจำเลยยื่นขอออกโฉนดที่ดินทั้งสองแปลง โดยนำชี้แนวเขตรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด เนื้อที่ ๗ ไร่ ๒ งาน ๔๓ ตารางวา โจทก์ทั้งเจ็ดคัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดินของจำเลย เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ สอบสวนเปรียบเทียบคู่กรณีแล้วแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงมีคำสั่งออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย และแจ้งให้คู่กรณีไปฟ้องคดีต่อศาลภายใน ๖๐ วัน โดยไม่ฟังคำคัดค้านของโจทก์ทั้งเจ็ด อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งเจ็ด ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ ให้ที่พิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด กับให้จำเลยไปลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินตามที่โจทก์ทั้งเจ็ดนำชี้ไว้ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากที่พิพาทอยู่นอกเขตที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด และอยู่ในเขต น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๓๔ ของจำเลย โจทก์ทั้งเจ็ดไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแขวงอุบลราชธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดระบุว่าจำเลยนำชี้แนวเขตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด โจทก์ทั้งเจ็ดคัดค้านการนำชี้ดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ แต่เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยตามการนำชี้ของจำเลย แม้โจทก์ทั้งเจ็ดจะมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดิน อันเป็นคำสั่งทางปกครองก็ตาม แต่คดีนี้โจทก์ทั้งเจ็ดยังมีคำขอให้ที่ดินบางส่วนตามการนำชี้ของจำเลยเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด การโต้แย้งคำสั่งทางปกครองดังกล่าวเป็นเพียงการโต้แย้งเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินตามคำขอท้ายฟ้องเท่านั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ทั้งเจ็ดจะต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดหรือของจำเลย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองอุบลราชธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อโจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องว่า เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ ออกคำสั่งสอบสวนเปรียบเทียบตามมาตรา ๖๐ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล อันเป็นคำสั่งทางปกครอง แสดงว่า โจทก์ทั้งเจ็ดมุ่งประสงค์ให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดินที่ทำให้ได้รับความเสียหาย โดยมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจเรียกเจ้าพนักงานที่ดินเข้ามาเป็นคู่กรณีได้ โดยมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า คำสั่งสอบสวนเปรียบเทียบชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แม้ว่าโจทก์ทั้งเจ็ดจะมีคำขอให้ที่พิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด ซึ่งอาจพิจารณาได้ว่าเป็นประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างโจทก์ทั้งเจ็ดกับจำเลย แต่เมื่อคดีนี้เป็นคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลปกครองแล้ว ศาลปกครองย่อมมีอำนาจวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันเป็นประเด็นข้อเท็จจริงหนึ่งในคดีได้ และเป็นกรณีที่ต้องวินิจฉัยในชั้นการพิจารณาเนื้อหาของคดี แม้การพิจารณาในเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดิน ศาลปกครองก็นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ นอกจากนี้ มาตรา ๗๑ (๔) ยังบัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สิน และนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย หรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครองของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ รวมทั้งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเรื่องที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง" คดีนี้โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่า โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๓๔ ส่วนจำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๔๐๐๑ และเลขที่ ๑๙๑๑ โดยมีแนวเขตติดต่อกันบางส่วน เมื่อจำเลยขอออกโฉนดที่ดินทั้งสองแปลง จำเลยชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด และโจทก์ทั้งเจ็ดคัดค้านแล้ว เจ้าพนักงานที่ดินสอบสวนเปรียบเทียบคู่กรณีแล้วแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงมีคำสั่งออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย และแจ้งให้คู่กรณีไปฟ้องคดีต่อศาลภายใน ๖๐ วัน โดยไม่ฟังคำคัดค้านของโจทก์ทั้งเจ็ด อันเป็นการกระทำละเมิด ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ และให้ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งเจ็ด กับให้จำเลยไปลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินตามที่โจทก์ทั้งเจ็ดนำชี้ไว้ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากที่พิพาทอยู่นอกเขตที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด และอยู่ในเขต น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๓๔ ของจำเลย โจทก์ทั้งเจ็ดไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยพิพาทกันเรื่องสิทธิในที่พิพาทอันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน โดยเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการสอบสวนเปรียบเทียบคู่กรณีแล้ว โจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งไม่พอใจการสั่งการของเจ้าพนักงานที่ดินจึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐ วรรคสอง โดยเจ้าพนักงานที่ดินต้องรอเรื่องไว้ จนศาลได้พิพากษาหรือมีคำสั่งถึงที่สุดประการใด จึงดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๖๐ วรรคสาม คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันที่โต้แย้งสิทธิกันในทางแพ่ง โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ตามมาตรา ๒๑๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายเศรษฐพงษ์ จตุรงคสัมฤทธิ์ ที่ ๑ กับพวกรวม ๗ คน โจทก์ พลเอก อิสระพงศ์ หนุนภักดี จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ต่างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำเลยที่ ๒ โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยที่ ๑ จงใจมีคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยปฏิบัติราชการอ้างว่าโจทก์กระทำผิดวินัยตามที่มีข้อร้องเรียนเรื่องทุจริต แต่ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว ซึ่งผู้บังคับบัญชามีหนังสือตักเตือนจำเลยที่ ๑ พร้อมทั้งแจ้งโจทก์ว่าการออกคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้กระทำได้ แล้วจำเลยที่ ๑ ยังนำเรื่องตามที่อ้างในการออกคำสั่งไปร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ และจงใจกล่าวและไขข่าวแพร่หลายด้วยวาจาและด้วยเอกสารว่าโจทก์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ทำผิดวินัยร้ายแรง อันเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดชดใช้เงินค่าเสียหายเพื่อความเสียหายที่เกิดแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญในการประกอบอาชีพของโจทก์กรณีที่จำเลยที่ ๑ จงใจกลั่นแกล้งโจทก์ด้วยการออกคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยปฏิบัติราชการทั้งที่ไม่มีอำนาจ แล้วนำเรื่องตามที่อ้างในการออกคำสั่งไปร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ ทั้งยังจงใจกล่าวและไขข่าวแพร่หลายด้วยวาจาและด้วยเอกสารเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นเรื่องความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มิใช่ความรับผิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากคำสั่งทางปกครอง โดยที่ประเด็นเรื่องคำสั่งให้ไปช่วยปฏิบัติราชการนั้น ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามคำฟ้องโจทก์ แล้วว่าได้ถูกยกเลิกเนื่องจากเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ จึงไม่มีประเด็นที่จะตรวจสอบเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งดังกล่าวอีก ข้อพิพาทในคดีนี้จึงไม่ใช่คดีปกครอง แต่เป็นคดีแพ่งอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๗/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓)
ศาลจังหวัดสมุทรปราการ
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดสมุทรปราการโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ นางเพ็ญศิริ ม่วงเมือง โจทก์ ยื่นฟ้องนายพสิษฐ์ แป้นเหมือน ที่ ๑ กระทรวงสาธารณสุข ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ ๑๖๑๗/๒๕๕๔ หมายเลขแดงที่ พ ๓๕๖/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นข้าราชการสังกัดจำเลยที่ ๒ โดยโจทก์เป็นหัวหน้าสถานีอนามัยตำบลสำโรงใต้ สังกัดสำนักงานสาธารณสุขอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ส่วนจำเลยที่ ๑ เป็นสาธารณสุขอำเภอพระประแดง เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จำเลยที่ ๑ จงใจมีคำสั่งสำนักงานสาธารณสุขอำเภอพระประแดงที่ ๑๐/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ให้โจทก์ไปช่วยปฏิบัติราชการด้านสาธารณสุขทั่วไปเป็นการชั่วคราวที่สถานีอนามัยตำบลบางหัวเสือ อำเภอพระประแดง โดยอ้างว่าโจทก์กระทำผิดวินัยข้าราชการตามที่มีข้อร้องเรียนให้ตรวจสอบพฤติกรรมทุจริตของโจทก์ กรณีปลอมแปลงเอกสารราชการด้วยการปลอมลายมือชื่อเจ้าหน้าที่ตรวจรับพัสดุ และปลอมแปลงใบสำคัญรับเงินของร้านค้า รวมทั้งร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ มีหนังสือแจ้งยกเลิกคำสั่งดังกล่าวโดยผู้บังคับบัญชาได้มีหนังสือว่ากล่าวตักเตือนจำเลยที่ ๑ พร้อมทั้งแจ้งโจทก์ว่า การออกคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้กระทำได้ คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้รับคำสั่งไม่ต้องปฏิบัติตาม หลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ จงใจกล่าวและไขข่าวแพร่หลายด้วยวาจาและด้วยเอกสารกับข้าราชการ ลูกจ้าง และบุคคลทั่วไปให้เข้าใจผิดว่าโจทก์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ทำการปลอมเอกสาร ทำผิดวินัยร้ายแรง อันเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ต้นสังกัดของจำเลยที่ ๑ ต้องร่วมรับผิดด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การออกคำสั่งของจำเลยที่ ๑ เป็นการใช้อำนาจบริหารราชการ และการร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย เพื่อประโยชน์ทางราชการตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ มิได้กลั่นแกล้งโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การออกคำสั่งของจำเลยที่ ๑ เป็นการปฏิบัติราชการปกติภายในหน่วยงานของจำเลยที่ ๒ ไม่ได้มีการกล่าวอ้างต่อบุคคลที่สาม จำเลยที่ ๒ ไม่เคยอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ เผยแพร่คำสั่งแก่บุคคลทั่วไป และไม่เคยกระทำการใดเพื่อจงใจใส่ความโจทก์ จำเลยที่ ๒ มีอำนาจตามกฎหมายในการตรวจสอบการกระทำของโจทก์ตามที่ถูกกล่าวหา จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้อำนาจทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสมุทรปราการพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง การที่จำเลยที่ ๑ ออกคำสั่งสำนักงานสาธารณสุขอำเภอพระประแดงโดยอ้างว่า โจทก์กระทำผิดวินัยและให้โจทก์ไปช่วยราชการชั่วคราวที่สถานีอนามัยบางหัวเสือ ซึ่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการมีหนังสือแจ้งว่าไม่มีกฎหมายให้อำนาจจำเลยที่ ๑ ออกคำสั่งดังกล่าว คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่จำต้องปฏิบัติตาม และต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้จงใจกล่าวและไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความที่ฝ่าฝืนต่อความเป็นจริงกับข้าราชการ ลูกจ้าง และบุคคลทั่วไปว่าโจทก์ถูกร้องเรียน เนื่องจากมีพฤติกรรมปลอมเอกสาร ทำผิดวินัยร้ายแรง จึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ซึ่งสืบเนื่องจากการใช้อำนาจออกคำสั่ง หาใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และหาใช่การกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จำเลยที่ ๒ เป็นหน่วยงานทางปกครอง เมื่อโจทก์กล่าวหาว่า จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยราชการ โดยอ้างว่าโจทก์กระทำผิดวินัยข้าราชการ เนื่องจากมีการร้องเรียนให้ตรวจสอบพฤติกรรมของโจทก์ที่ปลอมแปลงเอกสารราชการ ปลอมลายมือชื่อเจ้าหน้าที่ การใช้อำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่ออกคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยราชการที่สถานีอนามัยตำบลบางหัวเสือ เป็นการใช้อำนาจในฐานะผู้บังคับบัญชา จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองอันมีลักษณะเป็นข้อพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และการที่โจทก์กล่างอ้างว่า จำเลยที่ ๑ ได้เผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับพฤติกรรมของโจทก์อันเป็นเหตุให้มีการออกคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยราชการชั่วคราว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายด้วยนั้น การกระทำของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๒ จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายในการออกคำสั่งตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แม้จำเลยที่ ๑ จะได้ยกเลิกคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยราชการชั่วคราวแล้วก็ตาม แต่ศาลย่อมมีอำนาจตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งดังกล่าวเพื่อพิจารณาลักษณะการกระทำของจำเลยทั้งสองว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามที่อ้างหรือไม่ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๒๒/๒๕๕๔
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจ หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร คดีนี้โจทก์และจำเลยที่ ๑ ต่างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐสังกัดจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากโจทก์กล่าวหาว่า จำเลยที่ ๑ จงใจมีคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยปฏิบัติราชการที่สถานีอนามัยตำบลบางหัวเสือ โดยระบุอ้างในคำสั่งว่าโจทก์กระทำผิดวินัยข้าราชการตามที่มีข้อร้องเรียนเรื่องทุจริต แต่ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว ซึ่งผู้บังคับบัญชามีหนังสือว่ากล่าวตักเตือนจำเลยที่ ๑ พร้อมทั้งแจ้งโจทก์ว่าการออกคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้กระทำได้ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ด้วย จากนั้นจำเลยที่ ๑ จงใจกล่าวและไขข่าวแพร่หลายด้วยวาจาและด้วยเอกสารว่าโจทก์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ทำผิดวินัยร้ายแรง อันเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ ดังนั้น ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดชดใช้เงินค่าเสียหายเพื่อความเสียหายที่เกิดแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญในการประกอบอาชีพของโจทก์ กรณีที่จำเลยที่ ๑ จงใจกลั่นแกล้งโจทก์ด้วยการออกคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยปฏิบัติราชการทั้งที่ไม่มีอำนาจ แล้วนำเรื่องตามที่อ้างในการออกคำสั่งไปร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ ทั้งยังจงใจกล่าวและไขข่าวแพร่หลายด้วยวาจาและด้วยเอกสารเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นเรื่องความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มิใช่ความรับผิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากคำสั่งทางปกครอง โดยที่ประเด็นเรื่องคำสั่งให้ไปช่วยปฏิบัติราชการนั้น ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามคำฟ้องโจทก์ แล้วว่าได้ถูกยกเลิกเนื่องจากเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ จึงไม่มีประเด็นที่จะตรวจสอบเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งดังกล่าวอีก ข้อพิพาทในคดีนี้จึงไม่ใช่คดีปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีแพ่งอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางเพ็ญศิริ ม่วงเมือง โจทก์ นายพสิษฐ์ แป้นเหมือน ที่ ๑ กระทรวงสาธารณสุข ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ต่างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำเลยที่ ๒ โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยที่ ๑ จงใจมีคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยปฏิบัติราชการอ้างว่าโจทก์กระทำผิดวินัยตามที่มีข้อร้องเรียนเรื่องทุจริต แต่ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว ซึ่งผู้บังคับบัญชามีหนังสือตักเตือนจำเลยที่ ๑ พร้อมทั้งแจ้งโจทก์ว่าการออกคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้กระทำได้ แล้วจำเลยที่ ๑ ยังนำเรื่องตามที่อ้างในการออกคำสั่งไปร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ และจงใจกล่าวและไขข่าวแพร่หลายด้วยวาจาและด้วยเอกสารว่าโจทก์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ทำผิดวินัยร้ายแรง อันเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดชดใช้เงินค่าเสียหายเพื่อความเสียหายที่เกิดแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญในการประกอบอาชีพของโจทก์กรณีที่จำเลยที่ ๑ จงใจกลั่นแกล้งโจทก์ด้วยการออกคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยปฏิบัติราชการทั้งที่ไม่มีอำนาจ แล้วนำเรื่องตามที่อ้างในการออกคำสั่งไปร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ ทั้งยังจงใจกล่าวและไขข่าวแพร่หลายด้วยวาจาและด้วยเอกสารเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นเรื่องความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มิใช่ความรับผิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากคำสั่งทางปกครอง โดยที่ประเด็นเรื่องคำสั่งให้ไปช่วยปฏิบัติราชการนั้น ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามคำฟ้องโจทก์ แล้วว่าได้ถูกยกเลิกเนื่องจากเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ จึงไม่มีประเด็นที่จะตรวจสอบเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งดังกล่าวอีก ข้อพิพาทในคดีนี้จึงไม่ใช่คดีปกครอง แต่เป็นคดีแพ่งอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๗/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓)
ศาลจังหวัดสมุทรปราการ
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดสมุทรปราการโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ นางเพ็ญศิริ ม่วงเมือง โจทก์ ยื่นฟ้องนายพสิษฐ์ แป้นเหมือน ที่ ๑ กระทรวงสาธารณสุข ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ ๑๖๑๗/๒๕๕๔ หมายเลขแดงที่ พ ๓๕๖/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นข้าราชการสังกัดจำเลยที่ ๒ โดยโจทก์เป็นหัวหน้าสถานีอนามัยตำบลสำโรงใต้ สังกัดสำนักงานสาธารณสุขอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ส่วนจำเลยที่ ๑ เป็นสาธารณสุขอำเภอพระประแดง เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จำเลยที่ ๑ จงใจมีคำสั่งสำนักงานสาธารณสุขอำเภอพระประแดงที่ ๑๐/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ให้โจทก์ไปช่วยปฏิบัติราชการด้านสาธารณสุขทั่วไปเป็นการชั่วคราวที่สถานีอนามัยตำบลบางหัวเสือ อำเภอพระประแดง โดยอ้างว่าโจทก์กระทำผิดวินัยข้าราชการตามที่มีข้อร้องเรียนให้ตรวจสอบพฤติกรรมทุจริตของโจทก์ กรณีปลอมแปลงเอกสารราชการด้วยการปลอมลายมือชื่อเจ้าหน้าที่ตรวจรับพัสดุ และปลอมแปลงใบสำคัญรับเงินของร้านค้า รวมทั้งร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ มีหนังสือแจ้งยกเลิกคำสั่งดังกล่าวโดยผู้บังคับบัญชาได้มีหนังสือว่ากล่าวตักเตือนจำเลยที่ ๑ พร้อมทั้งแจ้งโจทก์ว่า การออกคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้กระทำได้ คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้รับคำสั่งไม่ต้องปฏิบัติตาม หลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ จงใจกล่าวและไขข่าวแพร่หลายด้วยวาจาและด้วยเอกสารกับข้าราชการ ลูกจ้าง และบุคคลทั่วไปให้เข้าใจผิดว่าโจทก์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ทำการปลอมเอกสาร ทำผิดวินัยร้ายแรง อันเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ต้นสังกัดของจำเลยที่ ๑ ต้องร่วมรับผิดด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การออกคำสั่งของจำเลยที่ ๑ เป็นการใช้อำนาจบริหารราชการ และการร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย เพื่อประโยชน์ทางราชการตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ มิได้กลั่นแกล้งโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การออกคำสั่งของจำเลยที่ ๑ เป็นการปฏิบัติราชการปกติภายในหน่วยงานของจำเลยที่ ๒ ไม่ได้มีการกล่าวอ้างต่อบุคคลที่สาม จำเลยที่ ๒ ไม่เคยอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ เผยแพร่คำสั่งแก่บุคคลทั่วไป และไม่เคยกระทำการใดเพื่อจงใจใส่ความโจทก์ จำเลยที่ ๒ มีอำนาจตามกฎหมายในการตรวจสอบการกระทำของโจทก์ตามที่ถูกกล่าวหา จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้อำนาจทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสมุทรปราการพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง การที่จำเลยที่ ๑ ออกคำสั่งสำนักงานสาธารณสุขอำเภอพระประแดงโดยอ้างว่า โจทก์กระทำผิดวินัยและให้โจทก์ไปช่วยราชการชั่วคราวที่สถานีอนามัยบางหัวเสือ ซึ่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการมีหนังสือแจ้งว่าไม่มีกฎหมายให้อำนาจจำเลยที่ ๑ ออกคำสั่งดังกล่าว คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่จำต้องปฏิบัติตาม และต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้จงใจกล่าวและไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความที่ฝ่าฝืนต่อความเป็นจริงกับข้าราชการ ลูกจ้าง และบุคคลทั่วไปว่าโจทก์ถูกร้องเรียน เนื่องจากมีพฤติกรรมปลอมเอกสาร ทำผิดวินัยร้ายแรง จึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ซึ่งสืบเนื่องจากการใช้อำนาจออกคำสั่ง หาใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และหาใช่การกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จำเลยที่ ๒ เป็นหน่วยงานทางปกครอง เมื่อโจทก์กล่าวหาว่า จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยราชการ โดยอ้างว่าโจทก์กระทำผิดวินัยข้าราชการ เนื่องจากมีการร้องเรียนให้ตรวจสอบพฤติกรรมของโจทก์ที่ปลอมแปลงเอกสารราชการ ปลอมลายมือชื่อเจ้าหน้าที่ การใช้อำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่ออกคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยราชการที่สถานีอนามัยตำบลบางหัวเสือ เป็นการใช้อำนาจในฐานะผู้บังคับบัญชา จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองอันมีลักษณะเป็นข้อพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และการที่โจทก์กล่างอ้างว่า จำเลยที่ ๑ ได้เผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับพฤติกรรมของโจทก์อันเป็นเหตุให้มีการออกคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยราชการชั่วคราว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายด้วยนั้น การกระทำของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๒ จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายในการออกคำสั่งตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แม้จำเลยที่ ๑ จะได้ยกเลิกคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยราชการชั่วคราวแล้วก็ตาม แต่ศาลย่อมมีอำนาจตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งดังกล่าวเพื่อพิจารณาลักษณะการกระทำของจำเลยทั้งสองว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามที่อ้างหรือไม่ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๒๒/๒๕๕๔
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจ หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร คดีนี้โจทก์และจำเลยที่ ๑ ต่างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐสังกัดจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากโจทก์กล่าวหาว่า จำเลยที่ ๑ จงใจมีคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยปฏิบัติราชการที่สถานีอนามัยตำบลบางหัวเสือ โดยระบุอ้างในคำสั่งว่าโจทก์กระทำผิดวินัยข้าราชการตามที่มีข้อร้องเรียนเรื่องทุจริต แต่ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว ซึ่งผู้บังคับบัญชามีหนังสือว่ากล่าวตักเตือนจำเลยที่ ๑ พร้อมทั้งแจ้งโจทก์ว่าการออกคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้กระทำได้ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ด้วย จากนั้นจำเลยที่ ๑ จงใจกล่าวและไขข่าวแพร่หลายด้วยวาจาและด้วยเอกสารว่าโจทก์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ทำผิดวินัยร้ายแรง อันเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ ดังนั้น ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดชดใช้เงินค่าเสียหายเพื่อความเสียหายที่เกิดแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญในการประกอบอาชีพของโจทก์ กรณีที่จำเลยที่ ๑ จงใจกลั่นแกล้งโจทก์ด้วยการออกคำสั่งให้โจทก์ไปช่วยปฏิบัติราชการทั้งที่ไม่มีอำนาจ แล้วนำเรื่องตามที่อ้างในการออกคำสั่งไปร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ ทั้งยังจงใจกล่าวและไขข่าวแพร่หลายด้วยวาจาและด้วยเอกสารเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นเรื่องความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มิใช่ความรับผิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากคำสั่งทางปกครอง โดยที่ประเด็นเรื่องคำสั่งให้ไปช่วยปฏิบัติราชการนั้น ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามคำฟ้องโจทก์ แล้วว่าได้ถูกยกเลิกเนื่องจากเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ จึงไม่มีประเด็นที่จะตรวจสอบเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งดังกล่าวอีก ข้อพิพาทในคดีนี้จึงไม่ใช่คดีปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีแพ่งอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางเพ็ญศิริ ม่วงเมือง โจทก์ นายพสิษฐ์ แป้นเหมือน ที่ ๑ กระทรวงสาธารณสุข ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งสาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และ (3)
เอกชนผู้ขายวัสดุก่อสร้างยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและเทศบาลตำบลให้ชำระค่าวัสดุก่อสร้างประเภทหิน ทราย ท่อประปาที่ซื้อไปใช้ในกิจการประปาซึ่งเป็นภารกิจในการให้บริการระบบประปาอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลยที่ ๑ สัญญาซื้อขายสินค้าและอุปกรณ์การก่อสร้างดังกล่าว จึงเป็นสัญญาทางปกครอง กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๖/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแขวงพิษณุโลก
ระหว่าง
ศาลปกครองพิษณุโลก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแขวงพิษณุโลกโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ นางสาววชิรา ทับทองหลาง โจทก์ ยื่นฟ้องเทศบาลตำบลวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ที่ ๑ นายสมพง วรรณโส ที่ ๒ นายพุทธพงษ์ โฉมแดง ที่ ๓ นายรณชิต โฉมแดง ที่ ๔ นายวีระศักดิ์ เปลี่ยมทรัพย์ ที่ ๕ นายจรัญ ดีเหม็น ที่ ๖ จำเลย ต่อศาลแขวงพิษณุโลก เป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ. ๒๓๙๙/๒๕๕๓ ความว่า โจทก์ประกอบกิจการค้าขายวัสดุก่อสร้างจดทะเบียนพาณิชย์ชื่อ "ร้านรวยนิรันดร์วัสดุก่อสร้าง" ตั้งอยู่ตำบลวัดโบสถ์ อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ มีกองการประปาเป็นหน่วยงานภายใน มีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้อำนวยการกองการประปา และเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๖ เป็นพนักงานและเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ซึ่งกองการประปาดังกล่าวเป็นผู้เคยค้ากับโจทก์ โดยเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ กองการประปา โดยจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ และตัวแทนอื่นของจำเลยที่ ๑ ได้สั่งซื้อสินค้าและอุปกรณ์การก่อสร้างประเภทหิน ทราย ท่อประปา และอื่น ๆ หลายรายการไปจากโจทก์โดยแจ้งว่าจะนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ของกองการประปารวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๑๐,๙๒๗ บาท ตามวิธีการที่เคยปฏิบัติต่อกันมา การส่งสินค้ามีทั้งโจทก์นำไปส่งให้จำเลยที่ ๑ ที่กองการประปาที่ทำการของจำเลยที่ ๑ และบางครั้งจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ หรือตัวแทนอื่นของจำเลยที่ ๑ มารับที่ร้านของโจทก์ หลังซื้อสินค้าไปจากโจทก์แล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่เบิกจ่ายเงินค่าสินค้าให้แก่โจทก์ โจทก์มีหนังสือทวงถาม จำเลยที่ ๑ แจ้งว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒๔๑,๒๔๗.๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๒๑๐,๙๒๗ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เคยซื้อสินค้าตามฟ้องจากโจทก์ และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยที่ ๑ การสั่งซื้อสินค้าของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เป็นการกระทำส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ ๑ โดยวัสดุอุปกรณ์ที่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ซื้อมาจากโจทก์ไม่ได้นำมาใช้ในกิจการประปาของจำเลยที่ ๑ และวิธีปฏิบัติที่จำเลยที่ ๑ เคยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์มีเพียงวิธีตกลงราคา ซึ่งต้องปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุทุกประการ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ ๑ รับผิดต่อโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ สั่งซื้อสินค้าในนามของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ชำระราคาให้แก่โจทก์ ซึ่งโจทก์ก็ทราบดีและปฏิบัติต่อกันเช่นนี้เรื่อยมา สัญญานี้เป็นสัญญาสัมปทาน จึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติไปตามหน้าที่ จึงไม่ต้องรับผิดส่วนตัว คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๖ ศาลแขวงพิษณุโลกอนุญาต
จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า สัญญาซื้อขายตามฟ้องเป็นสัญญาที่จัดหาหรือจัดให้มีวัสดุอุปกรณ์ที่สำคัญหรือจำเป็นเพื่อใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะให้บรรลุผล และเป็นสัญญาที่มีลักษณะพิเศษที่แสดงถึงเอกสิทธิ์ของหน่วยงานทางปกครองที่มีเหนือเอกชน จึงเป็นสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแขวงพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาคำฟ้องคำให้การของคู่ความแล้ว รูปแบบและวัตถุประสงค์ของสัญญาเป็นเพียงสัญญาที่คู่สัญญาในฐานะที่เท่าเทียมกัน แสดงเจตนาโดยสมัครใจซื้อขายสินค้าระหว่างกัน จึงเป็นสัญญาในทางแพ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างเท่านั้น ไม่มีลักษณะว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้ขายต้องเข้าดำเนินการติดตั้งหรือก่อสร้างงานตามรายการวัสดุที่ขายให้จำเลยด้วยไม่ จึงไม่ใช่สัญญาทางปกครอง ตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ สั่งซื้อสินค้าวัสดุและอุปกรณ์การก่อสร้างประเภทหิน ทราย ท่อประปาและอื่น ๆ จากโจทก์ สัญญาดังกล่าวมีจำเลยที่ ๑ เป็นคู่สัญญาที่เป็นหน่วยงานทางปกครอง และเป็นสัญญาที่จำเลยที่ ๑ ได้ซื้อวัสดุและอุปกรณ์เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคสำหรับจัดให้มีน้ำสะอาดหรือดำเนินการเกี่ยวกับการประปาเพื่อให้บริการแก่ประชาชนในเขตเทศบาล อันเป็นภารกิจการดำเนินกิจการทางปกครองตามกฎหมายที่จำเลยที่ ๑ ต้องดำเนินการตามมาตรา ๕๑ (๑) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ และมาตรา ๑๖ (๔) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งหากไม่มีวัสดุอุปกรณ์ดังกล่าวย่อมไม่อาจดำเนินกิจการทางปกครองให้บรรลุผลได้อย่างแน่แท้ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่จัดหาหรือจัดให้มีวัสดุอุปกรณ์ที่สำคัญหรือจำเป็นเพื่อใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะให้บรรลุผล อีกทั้งยังเป็นสัญญาที่จำเลยที่ ๑ ใช้เอกสิทธิ์ของรัฐในการกำหนดข้อตกลงของสัญญาแต่เพียงฝ่ายเดียว อันแสดงให้เห็นลักษณะพิเศษที่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหน่วยงานทางปกครองมีเหนือโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายเอกชน ทั้งนี้เพื่อให้การจัดซื้อวัสดุและอุปกรณ์เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคสำหรับจัดให้มีน้ำสะอาดหรือดำเนินการเกี่ยวกับการประปาเพื่อให้บริการแก่ประชาชนในเขตเทศบาล ซึ่งเป็นการจัดทำบริการสาธารณะบรรลุผล อันเป็นลักษณะพิเศษของสัญญาทางปกครองที่ไม่อาจพบได้ในสัญญาทางแพ่ง สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า กองการประปา โดยจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ และตัวแทนอื่นของจำเลยที่ ๑ ซื้อสินค้าและอุปกรณ์การก่อสร้างประเภทหิน ทราย ท่อประปา และอื่น ๆ หลายรายการไปจากโจทก์ แล้วไม่ชำระราคา ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เคยซื้อสินค้า การสั่งซื้อสินค้าของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เป็นการกระทำส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ ๑ โดยวัสดุอุปกรณ์ที่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ซื้อมาไม่ได้นำมาใช้ในกิจการประปาของจำเลยที่ ๑ จึงต้องพิจารณาว่าสัญญาซื้อขายสินค้าและอุปกรณ์การก่อสร้างระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และตามมาตรา ๓ บัญญัติให้สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ คดีนี้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีภารกิจในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองหลายประการ ซึ่งรวมถึงการให้บริการระบบประปาอันเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐ เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า กองการประปา โดยจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ และตัวแทนอื่นของจำเลยที่ ๑ ได้สั่งซื้อสินค้าและอุปกรณ์การก่อสร้างประเภทหิน ทราย ท่อประปา และอื่น ๆ หลายรายการไปจากโจทก์โดยแจ้งว่าจะนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ของกองการประปา จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๑ นำวัสดุและอุปกรณ์การก่อสร้างดังกล่าวไปใช้ในกิจการประปาซึ่งเป็นภารกิจในการให้บริการระบบประปาอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลยที่ ๑ สัญญาซื้อขายสินค้าและอุปกรณ์การก่อสร้างดังกล่าว จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาววชิรา ทับทองหลาง โจทก์ เทศบาลตำบลวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ที่ ๑ นายสมพง วรรณโส ที่ ๒ นายพุทธพงษ์ โฉมแดง ที่ ๓ นายรณชิต โฉมแดง ที่ ๔ นายวีระศักดิ์ เปลี่ยมทรัพย์ ที่ ๕ นายจรัญ ดีเหม็น ที่ ๖ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เอกชนผู้ขายวัสดุก่อสร้างยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและเทศบาลตำบลให้ชำระค่าวัสดุก่อสร้างประเภทหิน ทราย ท่อประปาที่ซื้อไปใช้ในกิจการประปาซึ่งเป็นภารกิจในการให้บริการระบบประปาอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลยที่ ๑ สัญญาซื้อขายสินค้าและอุปกรณ์การก่อสร้างดังกล่าว จึงเป็นสัญญาทางปกครอง กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๖/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแขวงพิษณุโลก
ระหว่าง
ศาลปกครองพิษณุโลก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแขวงพิษณุโลกโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ นางสาววชิรา ทับทองหลาง โจทก์ ยื่นฟ้องเทศบาลตำบลวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ที่ ๑ นายสมพง วรรณโส ที่ ๒ นายพุทธพงษ์ โฉมแดง ที่ ๓ นายรณชิต โฉมแดง ที่ ๔ นายวีระศักดิ์ เปลี่ยมทรัพย์ ที่ ๕ นายจรัญ ดีเหม็น ที่ ๖ จำเลย ต่อศาลแขวงพิษณุโลก เป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ. ๒๓๙๙/๒๕๕๓ ความว่า โจทก์ประกอบกิจการค้าขายวัสดุก่อสร้างจดทะเบียนพาณิชย์ชื่อ "ร้านรวยนิรันดร์วัสดุก่อสร้าง" ตั้งอยู่ตำบลวัดโบสถ์ อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ มีกองการประปาเป็นหน่วยงานภายใน มีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้อำนวยการกองการประปา และเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๖ เป็นพนักงานและเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ซึ่งกองการประปาดังกล่าวเป็นผู้เคยค้ากับโจทก์ โดยเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ กองการประปา โดยจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ และตัวแทนอื่นของจำเลยที่ ๑ ได้สั่งซื้อสินค้าและอุปกรณ์การก่อสร้างประเภทหิน ทราย ท่อประปา และอื่น ๆ หลายรายการไปจากโจทก์โดยแจ้งว่าจะนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ของกองการประปารวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๑๐,๙๒๗ บาท ตามวิธีการที่เคยปฏิบัติต่อกันมา การส่งสินค้ามีทั้งโจทก์นำไปส่งให้จำเลยที่ ๑ ที่กองการประปาที่ทำการของจำเลยที่ ๑ และบางครั้งจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ หรือตัวแทนอื่นของจำเลยที่ ๑ มารับที่ร้านของโจทก์ หลังซื้อสินค้าไปจากโจทก์แล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่เบิกจ่ายเงินค่าสินค้าให้แก่โจทก์ โจทก์มีหนังสือทวงถาม จำเลยที่ ๑ แจ้งว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒๔๑,๒๔๗.๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๒๑๐,๙๒๗ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เคยซื้อสินค้าตามฟ้องจากโจทก์ และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยที่ ๑ การสั่งซื้อสินค้าของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เป็นการกระทำส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ ๑ โดยวัสดุอุปกรณ์ที่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ซื้อมาจากโจทก์ไม่ได้นำมาใช้ในกิจการประปาของจำเลยที่ ๑ และวิธีปฏิบัติที่จำเลยที่ ๑ เคยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์มีเพียงวิธีตกลงราคา ซึ่งต้องปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุทุกประการ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ ๑ รับผิดต่อโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ สั่งซื้อสินค้าในนามของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ชำระราคาให้แก่โจทก์ ซึ่งโจทก์ก็ทราบดีและปฏิบัติต่อกันเช่นนี้เรื่อยมา สัญญานี้เป็นสัญญาสัมปทาน จึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติไปตามหน้าที่ จึงไม่ต้องรับผิดส่วนตัว คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๖ ศาลแขวงพิษณุโลกอนุญาต
จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า สัญญาซื้อขายตามฟ้องเป็นสัญญาที่จัดหาหรือจัดให้มีวัสดุอุปกรณ์ที่สำคัญหรือจำเป็นเพื่อใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะให้บรรลุผล และเป็นสัญญาที่มีลักษณะพิเศษที่แสดงถึงเอกสิทธิ์ของหน่วยงานทางปกครองที่มีเหนือเอกชน จึงเป็นสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแขวงพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาคำฟ้องคำให้การของคู่ความแล้ว รูปแบบและวัตถุประสงค์ของสัญญาเป็นเพียงสัญญาที่คู่สัญญาในฐานะที่เท่าเทียมกัน แสดงเจตนาโดยสมัครใจซื้อขายสินค้าระหว่างกัน จึงเป็นสัญญาในทางแพ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างเท่านั้น ไม่มีลักษณะว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้ขายต้องเข้าดำเนินการติดตั้งหรือก่อสร้างงานตามรายการวัสดุที่ขายให้จำเลยด้วยไม่ จึงไม่ใช่สัญญาทางปกครอง ตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ สั่งซื้อสินค้าวัสดุและอุปกรณ์การก่อสร้างประเภทหิน ทราย ท่อประปาและอื่น ๆ จากโจทก์ สัญญาดังกล่าวมีจำเลยที่ ๑ เป็นคู่สัญญาที่เป็นหน่วยงานทางปกครอง และเป็นสัญญาที่จำเลยที่ ๑ ได้ซื้อวัสดุและอุปกรณ์เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคสำหรับจัดให้มีน้ำสะอาดหรือดำเนินการเกี่ยวกับการประปาเพื่อให้บริการแก่ประชาชนในเขตเทศบาล อันเป็นภารกิจการดำเนินกิจการทางปกครองตามกฎหมายที่จำเลยที่ ๑ ต้องดำเนินการตามมาตรา ๕๑ (๑) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ และมาตรา ๑๖ (๔) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งหากไม่มีวัสดุอุปกรณ์ดังกล่าวย่อมไม่อาจดำเนินกิจการทางปกครองให้บรรลุผลได้อย่างแน่แท้ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่จัดหาหรือจัดให้มีวัสดุอุปกรณ์ที่สำคัญหรือจำเป็นเพื่อใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะให้บรรลุผล อีกทั้งยังเป็นสัญญาที่จำเลยที่ ๑ ใช้เอกสิทธิ์ของรัฐในการกำหนดข้อตกลงของสัญญาแต่เพียงฝ่ายเดียว อันแสดงให้เห็นลักษณะพิเศษที่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหน่วยงานทางปกครองมีเหนือโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายเอกชน ทั้งนี้เพื่อให้การจัดซื้อวัสดุและอุปกรณ์เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคสำหรับจัดให้มีน้ำสะอาดหรือดำเนินการเกี่ยวกับการประปาเพื่อให้บริการแก่ประชาชนในเขตเทศบาล ซึ่งเป็นการจัดทำบริการสาธารณะบรรลุผล อันเป็นลักษณะพิเศษของสัญญาทางปกครองที่ไม่อาจพบได้ในสัญญาทางแพ่ง สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า กองการประปา โดยจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ และตัวแทนอื่นของจำเลยที่ ๑ ซื้อสินค้าและอุปกรณ์การก่อสร้างประเภทหิน ทราย ท่อประปา และอื่น ๆ หลายรายการไปจากโจทก์ แล้วไม่ชำระราคา ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เคยซื้อสินค้า การสั่งซื้อสินค้าของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เป็นการกระทำส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ ๑ โดยวัสดุอุปกรณ์ที่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ซื้อมาไม่ได้นำมาใช้ในกิจการประปาของจำเลยที่ ๑ จึงต้องพิจารณาว่าสัญญาซื้อขายสินค้าและอุปกรณ์การก่อสร้างระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และตามมาตรา ๓ บัญญัติให้สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ คดีนี้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีภารกิจในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองหลายประการ ซึ่งรวมถึงการให้บริการระบบประปาอันเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐ เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า กองการประปา โดยจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ และตัวแทนอื่นของจำเลยที่ ๑ ได้สั่งซื้อสินค้าและอุปกรณ์การก่อสร้างประเภทหิน ทราย ท่อประปา และอื่น ๆ หลายรายการไปจากโจทก์โดยแจ้งว่าจะนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ของกองการประปา จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๑ นำวัสดุและอุปกรณ์การก่อสร้างดังกล่าวไปใช้ในกิจการประปาซึ่งเป็นภารกิจในการให้บริการระบบประปาอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลยที่ ๑ สัญญาซื้อขายสินค้าและอุปกรณ์การก่อสร้างดังกล่าว จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาววชิรา ทับทองหลาง โจทก์ เทศบาลตำบลวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ที่ ๑ นายสมพง วรรณโส ที่ ๒ นายพุทธพงษ์ โฉมแดง ที่ ๓ นายรณชิต โฉมแดง ที่ ๔ นายวีระศักดิ์ เปลี่ยมทรัพย์ ที่ ๕ นายจรัญ ดีเหม็น ที่ ๖ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
คดีที่โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้ององค์การคลังสินค้าซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังให้แก่โจทก์ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังและมีประเด็นต้องพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องและคำให้การว่าจำเลยเคยยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลแขวงดุสิตซึ่งเป็นศาลยุติธรรม ขอให้บังคับโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายจากการที่โจทก์ส่งมอบมันสำปะหลังแปรรูปให้จำเลยไม่ครบตามสัญญาฉบับเดียวกันนี้ จนศาลยุติธรรมมีคำพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้ว ข้อพิพาทในคดีนี้จึงชอบที่จะพิจารณาพิพากษาในศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๕/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลจังหวัดนนทบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนนทบุรีโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๔ นายสมชาย ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ โจทก์ ยื่นฟ้ององค์การคลังสินค้า จำเลย ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ. ๑๔๗๔/๒๕๕๔ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๐ จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์เพื่อแปรสภาพมันสำปะหลัง โดยจำเลยมีหน้าที่ส่งมอบมันสำปะหลังสดที่จำเลยรับซื้อจากเกษตรกรให้โจทก์นำไปแปรสภาพเป็นมันสำปะหลังเส้น ณ ลานมันของโจทก์ในอัตราส่วนมันสำปะหลังสด ๒.๖ กิโลกรัม แปรสภาพเป็นมันสำปะหลังเส้น ๑ กิโลกรัม ต่อมาโจทก์แปรสภาพมันสำปะหลังสดจำนวน ๙,๓๗๓,๑๐๗ กิโลกรัม และส่งมอบมันสำปะหลังเส้นให้จำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่มีสถานที่เก็บรักษาจึงฝากไว้ที่โกดังและลานตากมันของโจทก์เพื่อรอการขาย หลังจากนั้นได้มีพายุฝนพัดโกดังและลานตากมันทำให้มันสำปะหลังแปรรูปได้รับความเสียหาย โจทก์จึงส่งมอบมันสำปะหลังแปรรูปให้จำเลยได้ไม่ครบซึ่งมิใช่ความผิดของโจทก์ แต่เป็นเพราะภัยธรรมชาติและเป็นเหตุสุดวิสัย ซึ่งก่อนโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ จำเลยยื่นฟ้องโจทก์ที่ศาลแขวงดุสิตขอให้บังคับโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายจากการที่โจทก์ส่งมอบมันสำปะหลังแปรรูปไม่ครบพร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน ๗๔,๖๘๖.๗๕ บาท โดยจำเลยนำเงินค่าจ้างที่โจทก์จะได้รับทั้งหมดหักกับค่าเสียหายที่โจทก์ส่งมอบมันสำปะหลังแปรรูปให้จำเลยไม่ครบคำนวณเป็นค่าเสียหายดังกล่าว แต่ศาลแขวงดุสิตพิพากษายกฟ้องเนื่องจากเห็นว่าเป็นภัยธรรมชาติและเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่ความผิดของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด โจทก์จึงทวงถามเงินค่าจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังแปรรูปที่โจทก์หักเป็นค่าเสียหายไว้เป็นเงิน ๒๓๓,๙๒๐.๙๐ บาท แต่จำเลยปฏิเสธโดยแจ้งว่าได้หักเงินจำนวนดังกล่าวเป็นค่าเสียหายไปแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินค่าจ้างให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยรวม ๔๘๑,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับค่าจ้างตามสัญญาแปรสภาพมันสำปะหลังระหว่างโจทก์และจำเลยเพราะศาลแขวงดุสิตมีคำพิพากษาและคดีถึงที่สุดแล้ว ค่าจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังที่โจทก์เรียกร้องเป็นหนี้ที่จำเลยได้นำไปหักกลบลบหนี้ในคดีแพ่งที่จำเลยฟ้องโจทก์ที่ศาลแขวงดุสิตแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นอกจากนี้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลแขวงดุสิตว่าเหตุการณ์ที่ทำให้มันสำปะหลังเส้นได้รับความเสียหายเกิดจากพายุฝนซึ่งเป็นเหตุวิสัย จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ชำระค่าจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังให้แก่โจทก์ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า สัญญาแปรสภาพมันสำปะหลังระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นการดำเนินการตามโครงการยกระดับราคาหัวมันสำปะหลังเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ปี ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งของรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรเพื่อพยุงราคาสินค้าเกษตรและกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการดังกล่าวจึงเป็นการดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะด้านเศรษฐกิจ สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยจึงมีวัตถุประสงค์ให้โจทก์เข้าร่วมบริการสาธารณะอันมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนนทบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีวัตถุประสงค์ดำเนินกิจการทั้งปวงเกี่ยวกับสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามโครงการยกระดับราคาหัวมันสำปะหลังซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งของรัฐบาลในการช่วยเหลือเกษตรกรก็ตาม แต่เนื้อหาของสัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ให้แปรรูปมันสำปะหลังคงเป็นเพียงเครื่องมือส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนโครงการช่วยเหลือเกษตรกรอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะนั้น สัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาทางปกครอง ข้อพิพาทคดีนี้จึงมิใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทำขึ้นโดยมุ่งผูกพันด้วยใจสมัครบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกัน อันเป็นสัญญาทางแพ่งที่มีหน่วยงานทางปกครองเป็นคู่สัญญาเท่านั้น คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยจัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ. ๒๔๙๘ มีวัตถุประสงค์ในการทำกิจการทั้งปวงเกี่ยวกับสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค และให้มีอำนาจรวมถึงการกระทำการเพื่อส่งเสริมการผลิต ตลอดจนกิจการค้าสินค้าเกษตร และสินค้าอุปโภคบริโภคของคนไทย ทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร ซึ่งการที่กฎหมายบัญญัติให้จำเลยมีวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ในลักษณะดังกล่าวมีเจตนารมณ์เพื่อให้จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐทำหน้าที่ในการช่วยเหลือผู้ผลิตสินค้าที่ได้รับความเดือดร้อนจากการขายสินค้าไม่ได้ในราคาที่สมควรหรือหาตลาดจำหน่ายไม่ได้ และช่วยเหลือผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนจากการที่ต้องซื้อสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพในราคาแพง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นการจัดทำบริการสาธารณะอย่างหนึ่งของรัฐ การที่จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ซึ่งเป็นเอกชนให้ดำเนินการซื้อ-รับมอบหัวมันสำปะหลังสดจากเกษตรกรที่จำเลยได้รับซื้อไว้ที่หน่วยจัดซื้อมันสำปะหลังสดของจำเลยตามโครงการยกระดับราคาหัวมันสำปะหลังเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรปี ๒๕๔๐ และให้โจทก์นำไปโม่แปรสภาพเป็นมันเส้น ณ ลานมันของโจทก์แล้วส่งมอบให้แก่จำเลย จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้โจทก์เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะในการพยุงและยกระดับราคาหัวมันสำปะหลังตามโครงการดังกล่าว อันเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังซึ่งถือเป็นผู้ผลิตสินค้าให้สามารถขายสินค้าของตนเองได้ในราคาที่สมควร ทั้งนี้เพื่อให้การจัดทำบริการสาธารณะตามเจตนารมณ์ในการจัดตั้งจำเลยบรรลุผล สัญญาจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังจึงเป็นสัญญาทางปกครอง คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังให้แก่โจทก์ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังและมีประเด็นต้องพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องและคำให้การว่าจำเลยเคย ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลแขวงดุสิตซึ่งเป็นศาลยุติธรรม ขอให้บังคับโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายจากการที่โจทก์ส่งมอบมันสำปะหลังแปรรูปให้จำเลยไม่ครบตามสัญญาฉบับเดียวกันนี้ จนศาลยุติธรรมมีคำพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้ว ข้อพิพาทในคดีนี้จึงชอบที่จะพิจารณาพิพากษาในศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายสมชาย ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ โจทก์ องค์การคลังสินค้า จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้ององค์การคลังสินค้าซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังให้แก่โจทก์ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังและมีประเด็นต้องพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องและคำให้การว่าจำเลยเคยยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลแขวงดุสิตซึ่งเป็นศาลยุติธรรม ขอให้บังคับโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายจากการที่โจทก์ส่งมอบมันสำปะหลังแปรรูปให้จำเลยไม่ครบตามสัญญาฉบับเดียวกันนี้ จนศาลยุติธรรมมีคำพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้ว ข้อพิพาทในคดีนี้จึงชอบที่จะพิจารณาพิพากษาในศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๕/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลจังหวัดนนทบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนนทบุรีโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๔ นายสมชาย ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ โจทก์ ยื่นฟ้ององค์การคลังสินค้า จำเลย ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ. ๑๔๗๔/๒๕๕๔ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๐ จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์เพื่อแปรสภาพมันสำปะหลัง โดยจำเลยมีหน้าที่ส่งมอบมันสำปะหลังสดที่จำเลยรับซื้อจากเกษตรกรให้โจทก์นำไปแปรสภาพเป็นมันสำปะหลังเส้น ณ ลานมันของโจทก์ในอัตราส่วนมันสำปะหลังสด ๒.๖ กิโลกรัม แปรสภาพเป็นมันสำปะหลังเส้น ๑ กิโลกรัม ต่อมาโจทก์แปรสภาพมันสำปะหลังสดจำนวน ๙,๓๗๓,๑๐๗ กิโลกรัม และส่งมอบมันสำปะหลังเส้นให้จำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่มีสถานที่เก็บรักษาจึงฝากไว้ที่โกดังและลานตากมันของโจทก์เพื่อรอการขาย หลังจากนั้นได้มีพายุฝนพัดโกดังและลานตากมันทำให้มันสำปะหลังแปรรูปได้รับความเสียหาย โจทก์จึงส่งมอบมันสำปะหลังแปรรูปให้จำเลยได้ไม่ครบซึ่งมิใช่ความผิดของโจทก์ แต่เป็นเพราะภัยธรรมชาติและเป็นเหตุสุดวิสัย ซึ่งก่อนโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ จำเลยยื่นฟ้องโจทก์ที่ศาลแขวงดุสิตขอให้บังคับโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายจากการที่โจทก์ส่งมอบมันสำปะหลังแปรรูปไม่ครบพร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน ๗๔,๖๘๖.๗๕ บาท โดยจำเลยนำเงินค่าจ้างที่โจทก์จะได้รับทั้งหมดหักกับค่าเสียหายที่โจทก์ส่งมอบมันสำปะหลังแปรรูปให้จำเลยไม่ครบคำนวณเป็นค่าเสียหายดังกล่าว แต่ศาลแขวงดุสิตพิพากษายกฟ้องเนื่องจากเห็นว่าเป็นภัยธรรมชาติและเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่ความผิดของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด โจทก์จึงทวงถามเงินค่าจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังแปรรูปที่โจทก์หักเป็นค่าเสียหายไว้เป็นเงิน ๒๓๓,๙๒๐.๙๐ บาท แต่จำเลยปฏิเสธโดยแจ้งว่าได้หักเงินจำนวนดังกล่าวเป็นค่าเสียหายไปแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินค่าจ้างให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยรวม ๔๘๑,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับค่าจ้างตามสัญญาแปรสภาพมันสำปะหลังระหว่างโจทก์และจำเลยเพราะศาลแขวงดุสิตมีคำพิพากษาและคดีถึงที่สุดแล้ว ค่าจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังที่โจทก์เรียกร้องเป็นหนี้ที่จำเลยได้นำไปหักกลบลบหนี้ในคดีแพ่งที่จำเลยฟ้องโจทก์ที่ศาลแขวงดุสิตแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นอกจากนี้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลแขวงดุสิตว่าเหตุการณ์ที่ทำให้มันสำปะหลังเส้นได้รับความเสียหายเกิดจากพายุฝนซึ่งเป็นเหตุวิสัย จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ชำระค่าจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังให้แก่โจทก์ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า สัญญาแปรสภาพมันสำปะหลังระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นการดำเนินการตามโครงการยกระดับราคาหัวมันสำปะหลังเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ปี ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งของรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรเพื่อพยุงราคาสินค้าเกษตรและกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการดังกล่าวจึงเป็นการดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะด้านเศรษฐกิจ สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยจึงมีวัตถุประสงค์ให้โจทก์เข้าร่วมบริการสาธารณะอันมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนนทบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีวัตถุประสงค์ดำเนินกิจการทั้งปวงเกี่ยวกับสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามโครงการยกระดับราคาหัวมันสำปะหลังซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งของรัฐบาลในการช่วยเหลือเกษตรกรก็ตาม แต่เนื้อหาของสัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ให้แปรรูปมันสำปะหลังคงเป็นเพียงเครื่องมือส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนโครงการช่วยเหลือเกษตรกรอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะนั้น สัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาทางปกครอง ข้อพิพาทคดีนี้จึงมิใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทำขึ้นโดยมุ่งผูกพันด้วยใจสมัครบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกัน อันเป็นสัญญาทางแพ่งที่มีหน่วยงานทางปกครองเป็นคู่สัญญาเท่านั้น คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยจัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ. ๒๔๙๘ มีวัตถุประสงค์ในการทำกิจการทั้งปวงเกี่ยวกับสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค และให้มีอำนาจรวมถึงการกระทำการเพื่อส่งเสริมการผลิต ตลอดจนกิจการค้าสินค้าเกษตร และสินค้าอุปโภคบริโภคของคนไทย ทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร ซึ่งการที่กฎหมายบัญญัติให้จำเลยมีวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ในลักษณะดังกล่าวมีเจตนารมณ์เพื่อให้จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐทำหน้าที่ในการช่วยเหลือผู้ผลิตสินค้าที่ได้รับความเดือดร้อนจากการขายสินค้าไม่ได้ในราคาที่สมควรหรือหาตลาดจำหน่ายไม่ได้ และช่วยเหลือผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนจากการที่ต้องซื้อสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพในราคาแพง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นการจัดทำบริการสาธารณะอย่างหนึ่งของรัฐ การที่จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ซึ่งเป็นเอกชนให้ดำเนินการซื้อ-รับมอบหัวมันสำปะหลังสดจากเกษตรกรที่จำเลยได้รับซื้อไว้ที่หน่วยจัดซื้อมันสำปะหลังสดของจำเลยตามโครงการยกระดับราคาหัวมันสำปะหลังเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรปี ๒๕๔๐ และให้โจทก์นำไปโม่แปรสภาพเป็นมันเส้น ณ ลานมันของโจทก์แล้วส่งมอบให้แก่จำเลย จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้โจทก์เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะในการพยุงและยกระดับราคาหัวมันสำปะหลังตามโครงการดังกล่าว อันเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังซึ่งถือเป็นผู้ผลิตสินค้าให้สามารถขายสินค้าของตนเองได้ในราคาที่สมควร ทั้งนี้เพื่อให้การจัดทำบริการสาธารณะตามเจตนารมณ์ในการจัดตั้งจำเลยบรรลุผล สัญญาจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังจึงเป็นสัญญาทางปกครอง คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังให้แก่โจทก์ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างแปรสภาพมันสำปะหลังและมีประเด็นต้องพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องและคำให้การว่าจำเลยเคย ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลแขวงดุสิตซึ่งเป็นศาลยุติธรรม ขอให้บังคับโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายจากการที่โจทก์ส่งมอบมันสำปะหลังแปรรูปให้จำเลยไม่ครบตามสัญญาฉบับเดียวกันนี้ จนศาลยุติธรรมมีคำพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้ว ข้อพิพาทในคดีนี้จึงชอบที่จะพิจารณาพิพากษาในศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายสมชาย ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ โจทก์ องค์การคลังสินค้า จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องบริษัท ทศท คอปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) จำเลย อ้างว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญากรณีจ้างโจทก์ผลิตบัตรโทรศัพท์สาธารณะแบบชิบการ์ด (Chip card) ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย เห็นว่า เมื่อสัญญาพิพาทเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีสาระสำคัญเพื่อให้ได้มาซึ่งบัตรโทรศัพท์สาธารณะแบบชิบการ์ดและนำมาใช้งานกับเครื่องโทรศัพท์สาธารณะตามภารกิจในการให้บริการเกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ของจำเลย บัตรโทรศัพท์จึงเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการจัดทำบริการสาธารณะด้านการสื่อสารโทรคมนาคมให้บรรลุผล สัญญาจ้างดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๔/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ บริษัทเทลการ์ด จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องบริษัท ทศท คอปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๗๔๐/๒๕๕๔ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๖ จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์เพื่อผลิตบัตรโทรศัพท์สาธารณะแบบชิบการ์ด (Chip card) จำนวน ๓๑,๔๐๐,๐๐๐ ใบ ราคาใบละ ๑๐.๑๑ บาท เป็นเงินรวม ๓๑๗,๔๕๔,๐๐๐ บาท โดยเมื่อจำเลยอนุมัติให้ผลิตบัตรโทรศัพท์ตามแบบหน้าบัตร (Artwork) ที่จำเลยเลือกไว้แล้ว โจทก์มีหน้าที่ผลิตบัตรพลาสติกที่ยังไม่ติดชิบ (Chip) เพื่อให้จำเลยตรวจรับ จากนั้นจำเลยจะฝากบัตรพลาสติกดังกล่าวไว้ในห้องมั่นคงของโจทก์ เมื่อจำเลยต้องการนำบัตรออกขาย จำเลยจะทำเรื่องเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อนัดวันเวลาและส่งบุคลากรของจำเลยมาควบคุมการติดชิบและลงรหัสข้อมูลในบัตร ซึ่งโจทก์ได้ทำการผลิตและส่งมอบบัตรโทรศัพท์ดังกล่าวให้จำเลยอย่างต่อเนื่อง แต่จำเลยปฏิบัติผิดสัญญาโดยไม่นำบัตรพลาสติกที่ฝากไว้กับโจทก์จำนวน ๒,๕๐๕,๐๐๐ ใบ ไปดำเนินการติดชิบและลงข้อมูลตามขั้นตอนการผลิต ทำให้โจทก์ไม่อาจเบิกเงินค่าจ้างได้ตามสัญญา และปัจจุบันบัตรพลาสติกดังกล่าวหมดอายุใช้งานแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าผลิตบัตรโทรศัพท์เป็นเงิน ๑๓,๗๗๗,๕๐๐ บาท ให้ชดใช้ค่าเสียหายในการจัดหาสิ่งของอุปกรณ์และช่างฝีมือที่ดีเพื่อผลิตบัตรโทรศัพท์ ค่าฝากบัตร และดอกเบี้ยเป็นเงิน ๑๘,๗๖๓,๔๔๔.๕๙ บาท คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๓๒,๕๔๐,๙๔๔.๕๙ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา เพราะไม่ได้สั่งให้โจทก์ผลิตบัตรพลาสติกตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์นำภาพต้นแบบซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์เดิมของจำเลย (Artwork) ไปพิมพ์ลงบนบัตรพลาสติกโดยพลการซึ่งไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในสัญญา จำเลยแจ้งให้โจทก์ทำการแก้ไขภาพต้นแบบดังกล่าวก่อนแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ฟ้องเรียกค่าเสียหายซ้ำซ้อน จำเลยไม่เคยตกเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ และไม่เคยฝากบัตรโทรศัพท์ของจำเลยไว้กับโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้สัญญาจ้างผลิตบัตรโทรศัพท์สาธารณะระหว่างโจทก์และจำเลยมีสาระสำคัญแต่เพียงให้โจทก์ผลิตบัตรพลาสติกอันเป็นการตระเตรียมวัสดุหรืออุปกรณ์ที่จะนำไปส่งมอบให้แก่จำเลยเพื่อติดชิบและลงรหัสข้อมูลเป็นบัตรโทรศัพท์สาธารณะเพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ผู้ใช้บริการโทรศัพท์สาธารณะแบบใช้บัตร ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หรือเป็นสัญญาที่หน่วยงานทางปกครองให้โจทก์เข้าดำเนินการหรือเข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะโดยตรง สัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาจ้างทำของเท่านั้น มิใช่เป็นสัญญาทางปกครอง แต่เป็นสัญญาทางแพ่งที่มีหน่วยงานทางปกครองเป็นคู่สัญญา ข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินกิจการทางปกครองอันถือเป็นหน่วยงานทางปกครอง เมื่อสัญญาพิพาทเป็นสัญญาที่จำเลยว่าจ้างให้โจทก์ผลิตบัตรโทรศัพท์แบบชิบการ์ด โดยบัตรโทรศัพท์ดังกล่าวใช้ได้กับเครื่องโทรศัพท์สาธารณะแบบใช้บัตรเท่านั้น หากไม่มีบัตรโทรศัพท์ก็ไม่สามารถใช้เครื่องโทรศัพท์สาธารณะแบบใช้บัตรได้ สัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งคือจำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง และมีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้โจทก์จัดหาหรือจัดให้มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่สำคัญหรือจำเป็นเพื่อใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะด้านกิจการโทรศัพท์ของจำเลยให้บรรลุผลซึ่งเป็นสัญญาทางปกครอง สำหรับกรณีที่สัญญาพิพาทมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของนั้น เห็นว่า ลำพังเพียงมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของย่อมไม่อาจถือได้เสมอไปว่าสัญญานั้นมิใช่สัญญาทางปกครอง หากสัญญาจ้างทำของเข้าองค์ประกอบตามนิยามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ สัญญาจ้างทำของนั้นย่อมเป็นสัญญาทางปกครองได้ คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าว จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ จำเลยเป็นบริษัทมหาชนจำกัดที่แปรรูปมาจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมทุกชนิด พร้อมโครงข่ายโทรคมนาคมผ่านบริการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการให้บริการเกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ อันเป็นบริการสาธารณะด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของรัฐ จึงเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินกิจการทางปกครองซึ่งถือเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจ้างผลิตบัตรโทรศัพท์สาธารณะแบบชิบการ์ด (Chip card) ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าผลิตบัตรโทรศัพท์และให้ชดใช้ค่าเสียหาย กรณีจึงมีประเด็นต้อง พิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติให้สัญญาทางปกครองหมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้น เมื่อสัญญาจ้างผลิตบัตรโทรศัพท์สาธารณะแบบชิบการ์ดเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีสาระสำคัญเพื่อให้ได้มาซึ่งบัตรโทรศัพท์สาธารณะแบบชิบการ์ดเพื่อนำมาใช้งานกับเครื่องโทรศัพท์สาธารณะตามภารกิจในการให้บริการเกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ของจำเลย บัตรโทรศัพท์สาธารณะแบบชิบการ์ดจึงเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการจัดทำบริการสาธารณะด้านการสื่อสารโทรคมนาคมให้บรรลุผล สัญญาจ้างผลิตบัตรโทรศัพท์สาธารณะดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครอง คดีพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทเทลการ์ด จำกัด โจทก์ บริษัท ทศท คอปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องบริษัท ทศท คอปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) จำเลย อ้างว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญากรณีจ้างโจทก์ผลิตบัตรโทรศัพท์สาธารณะแบบชิบการ์ด (Chip card) ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย เห็นว่า เมื่อสัญญาพิพาทเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีสาระสำคัญเพื่อให้ได้มาซึ่งบัตรโทรศัพท์สาธารณะแบบชิบการ์ดและนำมาใช้งานกับเครื่องโทรศัพท์สาธารณะตามภารกิจในการให้บริการเกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ของจำเลย บัตรโทรศัพท์จึงเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการจัดทำบริการสาธารณะด้านการสื่อสารโทรคมนาคมให้บรรลุผล สัญญาจ้างดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๔/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ บริษัทเทลการ์ด จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องบริษัท ทศท คอปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๗๔๐/๒๕๕๔ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๖ จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์เพื่อผลิตบัตรโทรศัพท์สาธารณะแบบชิบการ์ด (Chip card) จำนวน ๓๑,๔๐๐,๐๐๐ ใบ ราคาใบละ ๑๐.๑๑ บาท เป็นเงินรวม ๓๑๗,๔๕๔,๐๐๐ บาท โดยเมื่อจำเลยอนุมัติให้ผลิตบัตรโทรศัพท์ตามแบบหน้าบัตร (Artwork) ที่จำเลยเลือกไว้แล้ว โจทก์มีหน้าที่ผลิตบัตรพลาสติกที่ยังไม่ติดชิบ (Chip) เพื่อให้จำเลยตรวจรับ จากนั้นจำเลยจะฝากบัตรพลาสติกดังกล่าวไว้ในห้องมั่นคงของโจทก์ เมื่อจำเลยต้องการนำบัตรออกขาย จำเลยจะทำเรื่องเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อนัดวันเวลาและส่งบุคลากรของจำเลยมาควบคุมการติดชิบและลงรหัสข้อมูลในบัตร ซึ่งโจทก์ได้ทำการผลิตและส่งมอบบัตรโทรศัพท์ดังกล่าวให้จำเลยอย่างต่อเนื่อง แต่จำเลยปฏิบัติผิดสัญญาโดยไม่นำบัตรพลาสติกที่ฝากไว้กับโจทก์จำนวน ๒,๕๐๕,๐๐๐ ใบ ไปดำเนินการติดชิบและลงข้อมูลตามขั้นตอนการผลิต ทำให้โจทก์ไม่อาจเบิกเงินค่าจ้างได้ตามสัญญา และปัจจุบันบัตรพลาสติกดังกล่าวหมดอายุใช้งานแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าผลิตบัตรโทรศัพท์เป็นเงิน ๑๓,๗๗๗,๕๐๐ บาท ให้ชดใช้ค่าเสียหายในการจัดหาสิ่งของอุปกรณ์และช่างฝีมือที่ดีเพื่อผลิตบัตรโทรศัพท์ ค่าฝากบัตร และดอกเบี้ยเป็นเงิน ๑๘,๗๖๓,๔๔๔.๕๙ บาท คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๓๒,๕๔๐,๙๔๔.๕๙ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา เพราะไม่ได้สั่งให้โจทก์ผลิตบัตรพลาสติกตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์นำภาพต้นแบบซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์เดิมของจำเลย (Artwork) ไปพิมพ์ลงบนบัตรพลาสติกโดยพลการซึ่งไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในสัญญา จำเลยแจ้งให้โจทก์ทำการแก้ไขภาพต้นแบบดังกล่าวก่อนแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ฟ้องเรียกค่าเสียหายซ้ำซ้อน จำเลยไม่เคยตกเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ และไม่เคยฝากบัตรโทรศัพท์ของจำเลยไว้กับโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้สัญญาจ้างผลิตบัตรโทรศัพท์สาธารณะระหว่างโจทก์และจำเลยมีสาระสำคัญแต่เพียงให้โจทก์ผลิตบัตรพลาสติกอันเป็นการตระเตรียมวัสดุหรืออุปกรณ์ที่จะนำไปส่งมอบให้แก่จำเลยเพื่อติดชิบและลงรหัสข้อมูลเป็นบัตรโทรศัพท์สาธารณะเพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ผู้ใช้บริการโทรศัพท์สาธารณะแบบใช้บัตร ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หรือเป็นสัญญาที่หน่วยงานทางปกครองให้โจทก์เข้าดำเนินการหรือเข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะโดยตรง สัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาจ้างทำของเท่านั้น มิใช่เป็นสัญญาทางปกครอง แต่เป็นสัญญาทางแพ่งที่มีหน่วยงานทางปกครองเป็นคู่สัญญา ข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินกิจการทางปกครองอันถือเป็นหน่วยงานทางปกครอง เมื่อสัญญาพิพาทเป็นสัญญาที่จำเลยว่าจ้างให้โจทก์ผลิตบัตรโทรศัพท์แบบชิบการ์ด โดยบัตรโทรศัพท์ดังกล่าวใช้ได้กับเครื่องโทรศัพท์สาธารณะแบบใช้บัตรเท่านั้น หากไม่มีบัตรโทรศัพท์ก็ไม่สามารถใช้เครื่องโทรศัพท์สาธารณะแบบใช้บัตรได้ สัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งคือจำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง และมีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้โจทก์จัดหาหรือจัดให้มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่สำคัญหรือจำเป็นเพื่อใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะด้านกิจการโทรศัพท์ของจำเลยให้บรรลุผลซึ่งเป็นสัญญาทางปกครอง สำหรับกรณีที่สัญญาพิพาทมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของนั้น เห็นว่า ลำพังเพียงมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของย่อมไม่อาจถือได้เสมอไปว่าสัญญานั้นมิใช่สัญญาทางปกครอง หากสัญญาจ้างทำของเข้าองค์ประกอบตามนิยามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ สัญญาจ้างทำของนั้นย่อมเป็นสัญญาทางปกครองได้ คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าว จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ จำเลยเป็นบริษัทมหาชนจำกัดที่แปรรูปมาจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมทุกชนิด พร้อมโครงข่ายโทรคมนาคมผ่านบริการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการให้บริการเกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ อันเป็นบริการสาธารณะด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของรัฐ จึงเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินกิจการทางปกครองซึ่งถือเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจ้างผลิตบัตรโทรศัพท์สาธารณะแบบชิบการ์ด (Chip card) ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าผลิตบัตรโทรศัพท์และให้ชดใช้ค่าเสียหาย กรณีจึงมีประเด็นต้อง พิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติให้สัญญาทางปกครองหมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้น เมื่อสัญญาจ้างผลิตบัตรโทรศัพท์สาธารณะแบบชิบการ์ดเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีสาระสำคัญเพื่อให้ได้มาซึ่งบัตรโทรศัพท์สาธารณะแบบชิบการ์ดเพื่อนำมาใช้งานกับเครื่องโทรศัพท์สาธารณะตามภารกิจในการให้บริการเกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ของจำเลย บัตรโทรศัพท์สาธารณะแบบชิบการ์ดจึงเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการจัดทำบริการสาธารณะด้านการสื่อสารโทรคมนาคมให้บรรลุผล สัญญาจ้างผลิตบัตรโทรศัพท์สาธารณะดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครอง คดีพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทเทลการ์ด จำกัด โจทก์ บริษัท ทศท คอปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดว่า จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจค้นบ้านพักของโจทก์ในข้อหายักยอกทรัพย์แล้วยึดวัตถุมงคลและองค์จตุคามรามเทพของโจทก์ไว้เป็นของกลาง ต่อมาคดีถึงที่สุดปรากฏว่าของกลางจำนวนหนึ่งสูญหายไป ขอให้ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย เห็นว่า มูลความแห่งคดีนี้สืบเนื่องมาจาก การใช้อำนาจยึดทรัพย์ที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีอาญาของเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๕ ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ตรวจค้นบ้านพักพร้อมกับยึดทรัพย์ของโจทก์ เป็นการใช้อำนาจของเจ้าพนักงานตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะ และการที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยละเลยไม่ดูแลทรัพย์สินของกลางทำให้สูญหาย จนไม่สามารถคืนได้ทั้งที่เสร็จคดีแล้ว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทที่เกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ อันเนื่องจากการใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๓/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ นายผ่องหรืออะผ่อง สกุลอมร โจทก์ ยื่นฟ้องสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ ที่ ๑ พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่ ๒ พันตำรวจเอก ประเสริฐ ริยาพันธ์ ที่ ๓ พันตำรวจโท เจียร ชูหนู ที่ ๔ พันตำรวจเอก สุวรรณ ขุนทองจันทร์ ที่ ๕ พันตำรวจเอก ภูดิศ นรสิงห์ ที่ ๖ จำเลย ต่อศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๓๕๓/๒๕๕๒ ความว่า เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๔ จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านพักของโจทก์ กรณีพลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล แจ้งความต่อจำเลยที่ ๔ ให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ในข้อหายักยอกทรัพย์วัตถุมงคลประจำหลักเมืองนครศรีธรรมราช จำเลยที่ ๔ รับแจ้งความไว้เป็นคดีอาญาที่ ๒๖๗๒/๒๕๔๔ และยึดวัตถุมงคลและองค์จตุคามรามเทพซึ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์ไว้เป็นของกลางหลายรายการ ต่อมาพนักงานอัยการยื่นฟ้องโจทก์กับพวกต่อศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ในความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ศ.ป.ก. ๙/๒๕๔๕ แต่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุด โจทก์จึงยื่นเรื่องต่อจำเลยที่ ๖ ขอตรวจสอบของกลางในคดีดังกล่าว ปรากฏว่าของกลางจำนวนหนึ่งสูญหายไปจากการครอบครองของสถานีตำรวจภูธรเมืองนครศรีธรรมราช โดยไม่ทราบว่าสูญหายไปในช่วงเวลาใด เนื่องจากจำเลยที่ ๔ นำของกลางไปเก็บไว้ที่งานพลาธิการซึ่งมิใช่สถานที่เก็บรักษาตามระเบียบเกี่ยวกับคดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การกระทำของจำเลยทั้งหกจึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่ในการดูแลรักษาของกลางตามระเบียบดังกล่าว เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย โจทก์แจ้งความดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานลักทรัพย์ ยักยอก และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แล้ว และให้จำเลยทั้งหกติดตามทรัพย์ของกลางคืนแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคาแทน แต่จำเลยทั้งหกเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชมีคำสั่งรับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๑ เนื่องจากจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เป็นเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ วัตถุมงคลของกลางในคดีอาญาที่ ๒๖๗๒/๒๕๔๔ เป็นของคณะกรรมการชมรมนครศรีธรรมราช พ.ศ. ๒๕๒๘ ไม่ได้เป็นของโจทก์และโจทก์ยินยอมให้ตรวจยึดโดยไม่มีการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องผิดศาล ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นการฟ้องคดีเนื่องจากหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการจัดเก็บรักษาและตรวจสอบทรัพย์สินของกลางอันเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งทางปกครองจนทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นคดีพิพาททางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเกี่ยวกับการดูแลของกลางอันเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน เมื่อเป็นอำนาจที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงเป็นการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ส่วนที่กล่าวหาว่าการนำทรัพย์ของกลางไปเก็บไว้ที่งานพลาธิการ เป็นเหตุให้ของกลางสูญหายหลายรายการ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ก็เป็นการกล่าวหาว่าเจ้าพนักงานตำรวจกระทำการโดยจงใจหรือประมาทอันเป็นการกระทำทางกายภาพ การกระทำดังกล่าวมิใช่การกระทำทางปกครอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ทั้งนี้ ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๑๗/๒๕๔๙
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินคดีอาญาตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลยุติธรรมจนคดีถึงที่สุดแล้ว และคำฟ้องของโจทก์มิได้เป็นการโต้แย้งการดำเนินการของพนักงานสอบสวนตามมาตรา ๘๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ยึดวัตถุมงคลประจำหลักเมืองนครศรีธรรมราชและองค์จตุคามรามเทพของโจทก์ไว้เป็นของกลางในคดีอาญาเพื่อพิสูจน์ความผิดของโจทก์ แต่เป็นการฟ้องว่าจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่เก็บรักษาของกลางที่ยึดไว้ให้เป็นไปตามระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ลักษณะ ๑๕ ของกลางและของส่วนตัวผู้ต้องหา กระทำละเมิดไม่ดูแลรักษาของกลาง เป็นเหตุให้ของกลางบางรายการสูญหายไป ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เมื่อการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๒ ตามที่โจทก์กล่าวหา เกิดจากการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาของกลางตามระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีดังกล่าว อันเป็นการกระทำทางปกครอง คดีนี้จึงมิใช่ข้อพิพาทจากการกระทำละเมิดในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการละเลยของเจ้าหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) ทั้งนี้ ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๓/๒๕๕๑ และที่ ๒๖/๒๕๕๑
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดว่า จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านพักของโจทก์ในข้อหายักยอกทรัพย์วัตถุมงคลประจำหลักเมืองนครศรีธรรมราช และยึดวัตถุมงคลและองค์จตุคามรามเทพซึ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์ไว้เป็นของกลางหลายรายการ ต่อมาพนักงานอัยการยื่นฟ้องโจทก์กับพวก แต่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด โจทก์จึงยื่นเรื่องต่อจำเลยที่ ๖ ขอตรวจสอบของกลาง ปรากฏว่าของกลางจำนวนหนึ่งสูญหายไปจากการครอบครองของสถานีตำรวจ เนื่องจากจำเลยที่ ๔ นำของกลางไปเก็บไว้ที่งานพลาธิการซึ่งมิใช่สถานที่เก็บรักษาตามระเบียบเกี่ยวกับคดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยทั้งหกละเลยต่อหน้าที่ในการดูแลรักษาของกลาง ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ วัตถุมงคลของกลางเป็นของคณะกรรมการชมรมนครศรีธรรมราช พ.ศ. ๒๕๒๘ ไม่ได้เป็นของโจทก์และโจทก์ยินยอมให้ตรวจยึดโดยไม่มีการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ ดังนั้น มูลความแห่งคดีจึงสืบเนื่องมาจากการใช้อำนาจยึดทรัพย์ที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีอาญาของเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๕mวรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า เจ้าพนักงานผู้จับหรือรับตัวผู้ถูกจับไว้มีอำนาจค้นตัวผู้ต้องหา และยึดสิ่งของต่างๆ ที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ และวรรคสามบัญญัติว่า สิ่งของใดที่ยึดไว้เจ้าพนักงานมีอำนาจยึดไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด เมื่อเสร็จคดีแล้วก็ให้คืนแก่ผู้ต้องหาหรือแก่ผู้อื่นซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของนั้น เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นบ้านพักพร้อมกับยึดวัตถุมงคลและองค์จตุคามรามเทพของโจทก์ จึงเป็นการใช้อำนาจของเจ้าพนักงานตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะ และการที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งหกละเลยไม่ดูแลทรัพย์สินของโจทก์ที่เป็นของกลางทำให้ทรัพย์สินสูญหายจนไม่สามารถคืนของกลางได้ตามหน้าที่ซึ่งกำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทั้งที่เสร็จคดีแล้ว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทที่เกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่อันเนื่องจากการใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายผ่องหรืออะผ่อง สกุลอมร โจทก์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๑ พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่ ๒ พันตำรวจเอก ประเสริฐ ริยาพันธ์ ที่ ๓ พันตำรวจโท เจียร ชูหนู ที่ ๔ พันตำรวจเอก สุวรรณ ขุนทองจันทร์ ที่ ๕ พันตำรวจเอก ภูดิศ นรสิงห์ ที่ ๖ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดว่า จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจค้นบ้านพักของโจทก์ในข้อหายักยอกทรัพย์แล้วยึดวัตถุมงคลและองค์จตุคามรามเทพของโจทก์ไว้เป็นของกลาง ต่อมาคดีถึงที่สุดปรากฏว่าของกลางจำนวนหนึ่งสูญหายไป ขอให้ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย เห็นว่า มูลความแห่งคดีนี้สืบเนื่องมาจาก การใช้อำนาจยึดทรัพย์ที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีอาญาของเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๕ ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ตรวจค้นบ้านพักพร้อมกับยึดทรัพย์ของโจทก์ เป็นการใช้อำนาจของเจ้าพนักงานตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะ และการที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยละเลยไม่ดูแลทรัพย์สินของกลางทำให้สูญหาย จนไม่สามารถคืนได้ทั้งที่เสร็จคดีแล้ว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทที่เกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ อันเนื่องจากการใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๓/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ นายผ่องหรืออะผ่อง สกุลอมร โจทก์ ยื่นฟ้องสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ ที่ ๑ พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่ ๒ พันตำรวจเอก ประเสริฐ ริยาพันธ์ ที่ ๓ พันตำรวจโท เจียร ชูหนู ที่ ๔ พันตำรวจเอก สุวรรณ ขุนทองจันทร์ ที่ ๕ พันตำรวจเอก ภูดิศ นรสิงห์ ที่ ๖ จำเลย ต่อศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๓๕๓/๒๕๕๒ ความว่า เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๔ จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านพักของโจทก์ กรณีพลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล แจ้งความต่อจำเลยที่ ๔ ให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ในข้อหายักยอกทรัพย์วัตถุมงคลประจำหลักเมืองนครศรีธรรมราช จำเลยที่ ๔ รับแจ้งความไว้เป็นคดีอาญาที่ ๒๖๗๒/๒๕๔๔ และยึดวัตถุมงคลและองค์จตุคามรามเทพซึ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์ไว้เป็นของกลางหลายรายการ ต่อมาพนักงานอัยการยื่นฟ้องโจทก์กับพวกต่อศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ในความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ศ.ป.ก. ๙/๒๕๔๕ แต่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุด โจทก์จึงยื่นเรื่องต่อจำเลยที่ ๖ ขอตรวจสอบของกลางในคดีดังกล่าว ปรากฏว่าของกลางจำนวนหนึ่งสูญหายไปจากการครอบครองของสถานีตำรวจภูธรเมืองนครศรีธรรมราช โดยไม่ทราบว่าสูญหายไปในช่วงเวลาใด เนื่องจากจำเลยที่ ๔ นำของกลางไปเก็บไว้ที่งานพลาธิการซึ่งมิใช่สถานที่เก็บรักษาตามระเบียบเกี่ยวกับคดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การกระทำของจำเลยทั้งหกจึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่ในการดูแลรักษาของกลางตามระเบียบดังกล่าว เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย โจทก์แจ้งความดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานลักทรัพย์ ยักยอก และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แล้ว และให้จำเลยทั้งหกติดตามทรัพย์ของกลางคืนแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคาแทน แต่จำเลยทั้งหกเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชมีคำสั่งรับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๑ เนื่องจากจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เป็นเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ วัตถุมงคลของกลางในคดีอาญาที่ ๒๖๗๒/๒๕๔๔ เป็นของคณะกรรมการชมรมนครศรีธรรมราช พ.ศ. ๒๕๒๘ ไม่ได้เป็นของโจทก์และโจทก์ยินยอมให้ตรวจยึดโดยไม่มีการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องผิดศาล ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นการฟ้องคดีเนื่องจากหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการจัดเก็บรักษาและตรวจสอบทรัพย์สินของกลางอันเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งทางปกครองจนทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นคดีพิพาททางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเกี่ยวกับการดูแลของกลางอันเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน เมื่อเป็นอำนาจที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงเป็นการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ส่วนที่กล่าวหาว่าการนำทรัพย์ของกลางไปเก็บไว้ที่งานพลาธิการ เป็นเหตุให้ของกลางสูญหายหลายรายการ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ก็เป็นการกล่าวหาว่าเจ้าพนักงานตำรวจกระทำการโดยจงใจหรือประมาทอันเป็นการกระทำทางกายภาพ การกระทำดังกล่าวมิใช่การกระทำทางปกครอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ทั้งนี้ ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๑๗/๒๕๔๙
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินคดีอาญาตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลยุติธรรมจนคดีถึงที่สุดแล้ว และคำฟ้องของโจทก์มิได้เป็นการโต้แย้งการดำเนินการของพนักงานสอบสวนตามมาตรา ๘๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ยึดวัตถุมงคลประจำหลักเมืองนครศรีธรรมราชและองค์จตุคามรามเทพของโจทก์ไว้เป็นของกลางในคดีอาญาเพื่อพิสูจน์ความผิดของโจทก์ แต่เป็นการฟ้องว่าจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่เก็บรักษาของกลางที่ยึดไว้ให้เป็นไปตามระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ลักษณะ ๑๕ ของกลางและของส่วนตัวผู้ต้องหา กระทำละเมิดไม่ดูแลรักษาของกลาง เป็นเหตุให้ของกลางบางรายการสูญหายไป ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เมื่อการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๒ ตามที่โจทก์กล่าวหา เกิดจากการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาของกลางตามระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีดังกล่าว อันเป็นการกระทำทางปกครอง คดีนี้จึงมิใช่ข้อพิพาทจากการกระทำละเมิดในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการละเลยของเจ้าหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) ทั้งนี้ ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๓/๒๕๕๑ และที่ ๒๖/๒๕๕๑
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดว่า จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านพักของโจทก์ในข้อหายักยอกทรัพย์วัตถุมงคลประจำหลักเมืองนครศรีธรรมราช และยึดวัตถุมงคลและองค์จตุคามรามเทพซึ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์ไว้เป็นของกลางหลายรายการ ต่อมาพนักงานอัยการยื่นฟ้องโจทก์กับพวก แต่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด โจทก์จึงยื่นเรื่องต่อจำเลยที่ ๖ ขอตรวจสอบของกลาง ปรากฏว่าของกลางจำนวนหนึ่งสูญหายไปจากการครอบครองของสถานีตำรวจ เนื่องจากจำเลยที่ ๔ นำของกลางไปเก็บไว้ที่งานพลาธิการซึ่งมิใช่สถานที่เก็บรักษาตามระเบียบเกี่ยวกับคดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยทั้งหกละเลยต่อหน้าที่ในการดูแลรักษาของกลาง ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ วัตถุมงคลของกลางเป็นของคณะกรรมการชมรมนครศรีธรรมราช พ.ศ. ๒๕๒๘ ไม่ได้เป็นของโจทก์และโจทก์ยินยอมให้ตรวจยึดโดยไม่มีการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ ดังนั้น มูลความแห่งคดีจึงสืบเนื่องมาจากการใช้อำนาจยึดทรัพย์ที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีอาญาของเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๕mวรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า เจ้าพนักงานผู้จับหรือรับตัวผู้ถูกจับไว้มีอำนาจค้นตัวผู้ต้องหา และยึดสิ่งของต่างๆ ที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ และวรรคสามบัญญัติว่า สิ่งของใดที่ยึดไว้เจ้าพนักงานมีอำนาจยึดไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด เมื่อเสร็จคดีแล้วก็ให้คืนแก่ผู้ต้องหาหรือแก่ผู้อื่นซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของนั้น เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นบ้านพักพร้อมกับยึดวัตถุมงคลและองค์จตุคามรามเทพของโจทก์ จึงเป็นการใช้อำนาจของเจ้าพนักงานตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะ และการที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งหกละเลยไม่ดูแลทรัพย์สินของโจทก์ที่เป็นของกลางทำให้ทรัพย์สินสูญหายจนไม่สามารถคืนของกลางได้ตามหน้าที่ซึ่งกำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทั้งที่เสร็จคดีแล้ว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทที่เกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่อันเนื่องจากการใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายผ่องหรืออะผ่อง สกุลอมร โจทก์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๑ พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่ ๒ พันตำรวจเอก ประเสริฐ ริยาพันธ์ ที่ ๓ พันตำรวจโท เจียร ชูหนู ที่ ๔ พันตำรวจเอก สุวรรณ ขุนทองจันทร์ ที่ ๕ พันตำรวจเอก ภูดิศ นรสิงห์ ที่ ๖ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องเอกชนด้วยกันว่า ที่ดินตาม ส.ค. ๑ ของบิดาโจทก์บางส่วนถูกจำเลยทั้งห้าแจ้งต่อผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองว่าเป็นผู้ครอบครองและนำชี้รังวัดจนเจ้าหน้าที่ของนิคมออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. ๓) ให้แก่จำเลยทั้งห้า ขอให้เพิกถอนการออก (น.ค. ๓) และให้ร่วมกันชำระค่าเสียหาย เห็นว่า เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเองในนิติสัมพันธ์ที่จะต้องรับผิดต่อกันในทางแพ่ง โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๑/๒๕๕๖
วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดสุรินทร์
ระหว่าง
ศาลปกครองนครราชสีมา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดสุรินทร์โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ดาบตำรวจ พงศ์สันต์ สันทัยพร โจทก์ ยื่นฟ้อง นายเอียบ เรืองชาญ ที่ ๑ นายเจียน เรืองชาญ ที่ ๒ นายเอือม เรืองชาญ ที่ ๓ นางสาวจำรัส เรืองชาญ ที่ ๔ นายคำ สวายประโคน ที่ ๕ จำเลย ต่อศาลจังหวัดสุรินทร์ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๑๓๔/๒๕๕๔ ความว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายบำรุง สันทัยพร ก่อนนายบำรุงบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมได้เป็นเจ้าของครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๑๕ หมู่ที่ ๑ (ปัจจุบันหมู่ที่ ๙) ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ประมาณ ๑๘ ไร่ ๓ งาน เมื่อปี ๒๕๕๓ จำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองปราสาท จังหวัดสุรินทร์ แจ้งต่อผู้ปกครองนิคมว่า จำเลยทั้งห้าเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินบางส่วนของนายบำรุงทางทิศใต้และนำชี้รังวัดจนนิคมสร้างตนเองออกเอกสารสิทธิหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. ๓) ให้แก่จำเลยทั้งห้า รวม ๖ แปลง ทำให้โจทก์ไม่สามารถนำที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ ๒ งาน ๑ ตารางวา ไปออกเอกสารสิทธิเพื่อแบ่งให้แก่ทายาทของนายบำรุงได้ ขอให้เพิกถอนการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของนิคมสร้างตนเองจำนวน ๖ แปลง ของจำเลยทั้งห้าให้เป็นสิทธิของนายบำรุง และให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าให้การว่า ที่ดินของจำเลยทั้งห้าเป็นคนละแปลงกับที่ดินตามคำฟ้องโจทก์ และจำเลยทั้งห้าได้เอกสารสิทธิหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. ๓) จากนิคมสร้างตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ออกทับที่ดินของบิดาโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่อาจบังคับได้เพราะโจทก์ขอให้เพิกถอนการเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองซึ่งเงื่อนไขการพิจารณาคุณสมบัติการเข้าเป็นสมาชิกและการคัดเลือกเพื่อจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่จำเลยทั้งห้าเป็นดุลพินิจของนิคมสร้างตนเองซึ่งเป็นฝ่ายปกครองและเป็นไปตามระเบียบและกฎหมายพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะและเป็นอำนาจฝ่ายปกครอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔ ว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสุรินทร์พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นเอกชน โดยอ้างว่าเป็นผู้จัดการมรดกของนายบำรุง ผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๑๕ แต่ถูกจำเลยทั้งห้านำข้อความอันเป็นเท็จไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ของนิคมสร้างตนเองปราสาท และนำชี้รังวัดว่าเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินบางส่วนทางทิศใต้เพื่อขอออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์จนเจ้าหน้าที่ของนิคมสร้างตนเองปราสาทหลงเชื่อออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์และหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินให้แก่จำเลยทั้งห้ารวม ๖ แปลง การออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์และหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินทั้งหกแปลงดังกล่าวของนิคมสร้างตนเองปราสาทจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนเอกสารสิทธิของที่ดินทั้งหกแปลงดังกล่าว ส่วนจำเลยทั้งห้าให้การว่า ที่ดินตามฟ้องโจทก์กับที่ดินของจำเลยทั้งห้าเป็นที่ดินคนละแปลงกัน การออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์และหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินซึ่งจำเลยทั้งห้าครอบครองและทำประโยชน์อยู่นั้นชอบด้วยกฎหมายและไม่ได้ออกทับที่ดิน ของนายบำรุงบิดาโจทก์ ดังนั้นการที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่โจทก์ขอได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์หรือจำเลยทั้งห้าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้า ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน แต่เนื้อหาแห่งคดีเป็นเรื่องการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของนิคมสร้างตนเองปราสาทซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองที่ออกให้แก่จำเลยทั้งห้าโดยอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ หรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์มอบหมาย การที่อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอาศัยอำนาจตามมาตรา ๒๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินจึงเป็นคำสั่งทางปกครอง เมื่อโจทก์อ้างว่าการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินให้แก่จำเลยทั้งห้าไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองของอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ คู่ความที่แท้จริงจึงเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ ซึ่งศาลจะต้องอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หมายเรียกอธิบดี กรมประชาสงเคราะห์ให้เข้ามาในคดีในฐานะผู้ร้องสอด เพื่อให้ใช้สิทธิต่อสู้คดีอย่างเต็มที่และเป็นธรรม คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลที่จะมีอำนาจในการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองคือศาลปกครอง รวมถึงมีอำนาจสั่งให้อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ถือปฏิบัติต่อสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๔) แม้คดีนี้จะต้องพิจารณาก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของนิคมสร้างตนเองปราสาทหรือที่ดิน ส.ค. ๑ ของโจทก์ ก็เป็นเพียงปัญหาข้อเท็จจริงที่ใช้ประกอบการพิจารณาในข้อหาเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น หามีผลทำให้คดีซึ่งเป็นคดีปกครองเปลี่ยนเป็นคดีแพ่งไปได้ไม่ ประกอบกับนิคมสร้างตนเอง เป็นหน่วยงานทางปกครอง และอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่อาจถือได้ว่าเป็นผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แต่เป็นเพียงผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะพิจารณาอนุญาตให้จำเลยทั้งห้าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองเท่านั้น ข้อพิพาทในทำนองนี้จึงไม่อาจเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินดังเช่นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนทั่วไป ศาลยุติธรรมจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ตามนัยมาตรา ๒๒๓ ประกอบมาตรา ๒๑๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนการที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินก็เนื่องมาจากการออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ในที่ดินนั้น ซึ่งเป็นมูลความที่เกี่ยวเนื่องกันจึงควรพิจารณา ในศาลเดียวกัน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย หรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครองของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ รวมทั้งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเรื่องที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง" คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของบิดาโจทก์ ก่อนบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมได้เป็นเจ้าของครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ แต่ถูกจำเลยทั้งห้าแจ้งต่อผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองว่าเป็นผู้ครอบครองในที่ดินบางส่วนของบิดาโจทก์และนำชี้รังวัดจนเจ้าหน้าที่ของนิคมสร้างตนเองออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. ๓) ให้แก่จำเลยทั้งห้า ทำให้โจทก์ไม่สามารถนำที่ดินพิพาทไปออกเอกสารสิทธิเพื่อแบ่งให้แก่ทายาทของบิดาโจทก์ได้ ขอให้เพิกถอนการออกเอกสารสิทธิ น.ค. ๓ ให้แก่จำเลยทั้งห้าให้เป็นสิทธิของบิดาโจทก์ และให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ส่วนจำเลยทั้งห้าให้การว่า ที่ดินของจำเลยทั้งห้าเป็นคนละแปลงกับที่ดินตามคำฟ้องโจทก์ และจำเลยทั้งห้าได้เอกสารสิทธิ น.ค. ๓ โดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ออกทับที่ดินของบิดาโจทก์ เห็นว่า เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเอง ในนิติสัมพันธ์ที่จะต้องรับผิดต่อกันในทางแพ่ง โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างดาบตำรวจ พงศ์สันต์ สันทัยพร โจทก์ นายเอียบ เรืองชาญ ที่ ๑ นายเจียน เรืองชาญ ที่ ๒ นายเอือม เรืองชาญ ที่ ๓ นางสาวจำรัส เรืองชาญ ที่ ๔ นายคำ สวายประโคน ที่ ๕ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องเอกชนด้วยกันว่า ที่ดินตาม ส.ค. ๑ ของบิดาโจทก์บางส่วนถูกจำเลยทั้งห้าแจ้งต่อผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองว่าเป็นผู้ครอบครองและนำชี้รังวัดจนเจ้าหน้าที่ของนิคมออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. ๓) ให้แก่จำเลยทั้งห้า ขอให้เพิกถอนการออก (น.ค. ๓) และให้ร่วมกันชำระค่าเสียหาย เห็นว่า เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเองในนิติสัมพันธ์ที่จะต้องรับผิดต่อกันในทางแพ่ง โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๑/๒๕๕๖
วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดสุรินทร์
ระหว่าง
ศาลปกครองนครราชสีมา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดสุรินทร์โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ดาบตำรวจ พงศ์สันต์ สันทัยพร โจทก์ ยื่นฟ้อง นายเอียบ เรืองชาญ ที่ ๑ นายเจียน เรืองชาญ ที่ ๒ นายเอือม เรืองชาญ ที่ ๓ นางสาวจำรัส เรืองชาญ ที่ ๔ นายคำ สวายประโคน ที่ ๕ จำเลย ต่อศาลจังหวัดสุรินทร์ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๑๓๔/๒๕๕๔ ความว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายบำรุง สันทัยพร ก่อนนายบำรุงบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมได้เป็นเจ้าของครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๑๕ หมู่ที่ ๑ (ปัจจุบันหมู่ที่ ๙) ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ประมาณ ๑๘ ไร่ ๓ งาน เมื่อปี ๒๕๕๓ จำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองปราสาท จังหวัดสุรินทร์ แจ้งต่อผู้ปกครองนิคมว่า จำเลยทั้งห้าเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินบางส่วนของนายบำรุงทางทิศใต้และนำชี้รังวัดจนนิคมสร้างตนเองออกเอกสารสิทธิหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. ๓) ให้แก่จำเลยทั้งห้า รวม ๖ แปลง ทำให้โจทก์ไม่สามารถนำที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ ๒ งาน ๑ ตารางวา ไปออกเอกสารสิทธิเพื่อแบ่งให้แก่ทายาทของนายบำรุงได้ ขอให้เพิกถอนการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของนิคมสร้างตนเองจำนวน ๖ แปลง ของจำเลยทั้งห้าให้เป็นสิทธิของนายบำรุง และให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าให้การว่า ที่ดินของจำเลยทั้งห้าเป็นคนละแปลงกับที่ดินตามคำฟ้องโจทก์ และจำเลยทั้งห้าได้เอกสารสิทธิหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. ๓) จากนิคมสร้างตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ออกทับที่ดินของบิดาโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่อาจบังคับได้เพราะโจทก์ขอให้เพิกถอนการเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองซึ่งเงื่อนไขการพิจารณาคุณสมบัติการเข้าเป็นสมาชิกและการคัดเลือกเพื่อจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่จำเลยทั้งห้าเป็นดุลพินิจของนิคมสร้างตนเองซึ่งเป็นฝ่ายปกครองและเป็นไปตามระเบียบและกฎหมายพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะและเป็นอำนาจฝ่ายปกครอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔ ว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสุรินทร์พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นเอกชน โดยอ้างว่าเป็นผู้จัดการมรดกของนายบำรุง ผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๑๕ แต่ถูกจำเลยทั้งห้านำข้อความอันเป็นเท็จไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ของนิคมสร้างตนเองปราสาท และนำชี้รังวัดว่าเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินบางส่วนทางทิศใต้เพื่อขอออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์จนเจ้าหน้าที่ของนิคมสร้างตนเองปราสาทหลงเชื่อออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์และหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินให้แก่จำเลยทั้งห้ารวม ๖ แปลง การออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์และหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินทั้งหกแปลงดังกล่าวของนิคมสร้างตนเองปราสาทจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนเอกสารสิทธิของที่ดินทั้งหกแปลงดังกล่าว ส่วนจำเลยทั้งห้าให้การว่า ที่ดินตามฟ้องโจทก์กับที่ดินของจำเลยทั้งห้าเป็นที่ดินคนละแปลงกัน การออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์และหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินซึ่งจำเลยทั้งห้าครอบครองและทำประโยชน์อยู่นั้นชอบด้วยกฎหมายและไม่ได้ออกทับที่ดิน ของนายบำรุงบิดาโจทก์ ดังนั้นการที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่โจทก์ขอได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์หรือจำเลยทั้งห้าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้า ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน แต่เนื้อหาแห่งคดีเป็นเรื่องการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของนิคมสร้างตนเองปราสาทซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองที่ออกให้แก่จำเลยทั้งห้าโดยอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ หรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์มอบหมาย การที่อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอาศัยอำนาจตามมาตรา ๒๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินจึงเป็นคำสั่งทางปกครอง เมื่อโจทก์อ้างว่าการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินให้แก่จำเลยทั้งห้าไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองของอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ คู่ความที่แท้จริงจึงเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ ซึ่งศาลจะต้องอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หมายเรียกอธิบดี กรมประชาสงเคราะห์ให้เข้ามาในคดีในฐานะผู้ร้องสอด เพื่อให้ใช้สิทธิต่อสู้คดีอย่างเต็มที่และเป็นธรรม คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลที่จะมีอำนาจในการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองคือศาลปกครอง รวมถึงมีอำนาจสั่งให้อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ถือปฏิบัติต่อสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๔) แม้คดีนี้จะต้องพิจารณาก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของนิคมสร้างตนเองปราสาทหรือที่ดิน ส.ค. ๑ ของโจทก์ ก็เป็นเพียงปัญหาข้อเท็จจริงที่ใช้ประกอบการพิจารณาในข้อหาเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น หามีผลทำให้คดีซึ่งเป็นคดีปกครองเปลี่ยนเป็นคดีแพ่งไปได้ไม่ ประกอบกับนิคมสร้างตนเอง เป็นหน่วยงานทางปกครอง และอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่อาจถือได้ว่าเป็นผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แต่เป็นเพียงผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะพิจารณาอนุญาตให้จำเลยทั้งห้าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองเท่านั้น ข้อพิพาทในทำนองนี้จึงไม่อาจเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินดังเช่นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนทั่วไป ศาลยุติธรรมจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ตามนัยมาตรา ๒๒๓ ประกอบมาตรา ๒๑๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนการที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินก็เนื่องมาจากการออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ในที่ดินนั้น ซึ่งเป็นมูลความที่เกี่ยวเนื่องกันจึงควรพิจารณา ในศาลเดียวกัน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย หรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครองของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ รวมทั้งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเรื่องที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง" คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของบิดาโจทก์ ก่อนบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมได้เป็นเจ้าของครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ แต่ถูกจำเลยทั้งห้าแจ้งต่อผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองว่าเป็นผู้ครอบครองในที่ดินบางส่วนของบิดาโจทก์และนำชี้รังวัดจนเจ้าหน้าที่ของนิคมสร้างตนเองออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. ๓) ให้แก่จำเลยทั้งห้า ทำให้โจทก์ไม่สามารถนำที่ดินพิพาทไปออกเอกสารสิทธิเพื่อแบ่งให้แก่ทายาทของบิดาโจทก์ได้ ขอให้เพิกถอนการออกเอกสารสิทธิ น.ค. ๓ ให้แก่จำเลยทั้งห้าให้เป็นสิทธิของบิดาโจทก์ และให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ส่วนจำเลยทั้งห้าให้การว่า ที่ดินของจำเลยทั้งห้าเป็นคนละแปลงกับที่ดินตามคำฟ้องโจทก์ และจำเลยทั้งห้าได้เอกสารสิทธิ น.ค. ๓ โดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ออกทับที่ดินของบิดาโจทก์ เห็นว่า เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเอง ในนิติสัมพันธ์ที่จะต้องรับผิดต่อกันในทางแพ่ง โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างดาบตำรวจ พงศ์สันต์ สันทัยพร โจทก์ นายเอียบ เรืองชาญ ที่ ๑ นายเจียน เรืองชาญ ที่ ๒ นายเอือม เรืองชาญ ที่ ๓ นางสาวจำรัส เรืองชาญ ที่ ๔ นายคำ สวายประโคน ที่ ๕ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องโดยอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแต่ถูกจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงทับที่ดินของโจทก์ และ คัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดิน ขอให้เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง กับให้ถอนคำคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ และให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่เจ้าของเดิมขายให้แก่รัฐบาลและเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงออกโดยชอบด้วยกฎหมาย โฉนดที่ดินของโจทก์ออกทับที่ดินอ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๐/๒๕๕๖
วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดอำนาจเจริญ
ระหว่าง
ศาลปกครองอุบลราชธานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดอำนาจเจริญโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เกียรติอำนาจเจริญ โจทก์ ยื่นฟ้อง กรมที่ดิน ที่ ๑ กรมธนารักษ์ ที่ ๒ กรมชลประทาน ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลจังหวัดอำนาจเจริญ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๗๒๖/๒๕๕๔ ความว่า โจทก์ซึ่งมีนายวิรัตน์ ตยางคนนท์ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๘๖ ตำบลบุ่ง อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ เดิมที่ดินของโจทก์มีเอกสารสิทธิ์เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) มีนายวิทยา วรรณวัลย์ เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง เนื้อที่ ๒๑ ไร่ ๖๐ ตารางวา ในปี ๒๕๐๕ นายวิทยาขายที่ดินบางส่วนให้แก่รัฐบาลเพื่อใช้เป็นอ่างเก็บน้ำและขายที่ดินส่วนที่เหลือให้นายพิชัย โกศัลวิตร ต่อมานายพิชัยได้นำที่ดินไปขอออกโฉนดที่ดิน ในการรังวัดมีเจ้าของที่ดินข้างเคียงและผู้แทนของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ลงลายมือชื่อรับรองแนวเขต และผลการรังวัดปรากฏว่าที่ดินมีเนื้อที่เพิ่มขึ้น ต่อมาปี ๒๕๑๖ เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๓๘๖ ให้แก่นายพิชัย จากนั้นนายพิชัยได้ขายที่ดินให้นายวิรัตน์ซึ่งเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมาโดยตลอดและขายที่ดินให้แก่โจทก์ในเวลาต่อมา ในปี ๒๕๓๑ จำเลยที่ ๑ ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ ๓๙๖๖๑ ทับที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ ๗ ไร่ ๓ งาน ๗๔ ตารางวา โจทก์ได้คัดค้านไว้แล้ว แต่จำเลยที่ ๑ ไม่รอการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงไว้ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ทำให้โจทก์ไม่สามารถทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่พิพาทได้ โดยเมื่อโจทก์ยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินเพื่อขายให้ผู้จะซื้อ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ คัดค้านการรังวัด เป็นการโต้แย้งสิทธิการครอบครองที่ดินและเป็นละเมิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงที่ออกทับที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ถอนคำคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า บริเวณที่พิพาทเดิมเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) มีนายวิทยา วรรณวัลย์ เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ เนื้อที่ ๑๒ ไร่ ๑๒ ตารางวา ไม่ใช่ ๒๑ ไร่ ๖๐ ตารางวา ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ต่อมาเมื่อจำเลยที่ ๒ ซึ่งครอบครองดูแลที่สาธารณประโยชน์ (ห้วยปลาแดก) มอบที่ดินให้จำเลยที่ ๓ ทำอ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน ได้มีการซื้อที่ดินจากราษฎรรวมถึงที่พิพาทด้วย โดยนายวิทยาได้ขายที่ดินให้จำเลยที่ ๓ เนื้อที่ ๑๒ ไร่ ๑๒ ตารางวา จึงเหลือที่ดินอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ที่ดินตาม น.ส. ๓ ของนายวิทยามีการแก้ไขตัวเลขเนื้อที่ และในปี ๒๕๐๙ นายวิทยาขายที่ดินตาม น.ส. ๓ เดิมให้นายพิชัย โกศัลวิตร ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ขายให้รัฐบาลและกลายเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันแล้ว การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่นายพิชัยนำ นส. ๓ ที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมาออกโฉนดที่ดิน โฉนดที่ดินดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและทับที่ดินอ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน ดังนั้นเมื่อนายพิชัยขายที่ดินให้นายวิรัตน์ ตยางคนนท์ และนายวิรัตน์ขายต่อให้โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองอุบลราชธานี
ศาลจังหวัดอำนาจเจริญพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากคำสั่งของฝ่ายปกครองในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงซึ่งโจทก์อ้างว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่ศาลจะพิจารณาพิพากษาว่าจะมีคำบังคับตามคำขอของโจทก์ได้หรือไม่ ศาลต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่จำเลยทั้งสามโต้แย้งเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองอุบลราชธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเป็นการรับรองเขตที่ดินของรัฐซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ และเป็นการใช้อำนาจทางปกครองที่มีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของบุคคล อันเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากออกทับที่ดินของโจทก์ และจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ คัดค้านการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเสียหายและไม่สามารถทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินกับผู้จะซื้อได้ จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดอันเกิดจากคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง สำหรับประเด็นปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทหรือที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งศาลจะพิจารณาตามประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงประเด็นปัญหาข้อเท็จจริง และการพิจารณาปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดี ศาลปกครองจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๘๖ แต่จำเลยที่ ๑ ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ ๓๙๖๖๑ ทับที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ ๗ ไร่ ๓ งาน ๗๔ ตารางวา เมื่อโจทก์ยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินเพื่อขายให้ผู้จะซื้อ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ คัดค้าน ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงที่ออกทับที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ถอนคำคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดิน และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามให้การว่า ที่พิพาทเป็นแปลงเดียวกันกับที่นายวิทยา วรรณวัลย์เจ้าของเดิมซึ่งมีสิทธิตาม น.ส. ๓ ได้ขายให้แก่รัฐบาลและกลายเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันไปแล้ว การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงของจำเลยที่ ๑ ชอบด้วยกฎหมาย โฉนดที่ดินของโจทก์ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและทับที่ดินอ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง ห้างหุ้นส่วนจำกัด เกียรติอำนาจเจริญ โจทก์ กรมที่ดิน ที่ ๑ กรมธนารักษ์ ที่ ๒ กรมชลประทาน ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องโดยอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแต่ถูกจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงทับที่ดินของโจทก์ และ คัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดิน ขอให้เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง กับให้ถอนคำคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ และให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่เจ้าของเดิมขายให้แก่รัฐบาลและเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงออกโดยชอบด้วยกฎหมาย โฉนดที่ดินของโจทก์ออกทับที่ดินอ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐๐/๒๕๕๖
วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดอำนาจเจริญ
ระหว่าง
ศาลปกครองอุบลราชธานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดอำนาจเจริญโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เกียรติอำนาจเจริญ โจทก์ ยื่นฟ้อง กรมที่ดิน ที่ ๑ กรมธนารักษ์ ที่ ๒ กรมชลประทาน ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลจังหวัดอำนาจเจริญ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๗๒๖/๒๕๕๔ ความว่า โจทก์ซึ่งมีนายวิรัตน์ ตยางคนนท์ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๘๖ ตำบลบุ่ง อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ เดิมที่ดินของโจทก์มีเอกสารสิทธิ์เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) มีนายวิทยา วรรณวัลย์ เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง เนื้อที่ ๒๑ ไร่ ๖๐ ตารางวา ในปี ๒๕๐๕ นายวิทยาขายที่ดินบางส่วนให้แก่รัฐบาลเพื่อใช้เป็นอ่างเก็บน้ำและขายที่ดินส่วนที่เหลือให้นายพิชัย โกศัลวิตร ต่อมานายพิชัยได้นำที่ดินไปขอออกโฉนดที่ดิน ในการรังวัดมีเจ้าของที่ดินข้างเคียงและผู้แทนของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ลงลายมือชื่อรับรองแนวเขต และผลการรังวัดปรากฏว่าที่ดินมีเนื้อที่เพิ่มขึ้น ต่อมาปี ๒๕๑๖ เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๓๘๖ ให้แก่นายพิชัย จากนั้นนายพิชัยได้ขายที่ดินให้นายวิรัตน์ซึ่งเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมาโดยตลอดและขายที่ดินให้แก่โจทก์ในเวลาต่อมา ในปี ๒๕๓๑ จำเลยที่ ๑ ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ ๓๙๖๖๑ ทับที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ ๗ ไร่ ๓ งาน ๗๔ ตารางวา โจทก์ได้คัดค้านไว้แล้ว แต่จำเลยที่ ๑ ไม่รอการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงไว้ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ทำให้โจทก์ไม่สามารถทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่พิพาทได้ โดยเมื่อโจทก์ยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินเพื่อขายให้ผู้จะซื้อ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ คัดค้านการรังวัด เป็นการโต้แย้งสิทธิการครอบครองที่ดินและเป็นละเมิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงที่ออกทับที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ถอนคำคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า บริเวณที่พิพาทเดิมเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) มีนายวิทยา วรรณวัลย์ เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ เนื้อที่ ๑๒ ไร่ ๑๒ ตารางวา ไม่ใช่ ๒๑ ไร่ ๖๐ ตารางวา ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ต่อมาเมื่อจำเลยที่ ๒ ซึ่งครอบครองดูแลที่สาธารณประโยชน์ (ห้วยปลาแดก) มอบที่ดินให้จำเลยที่ ๓ ทำอ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน ได้มีการซื้อที่ดินจากราษฎรรวมถึงที่พิพาทด้วย โดยนายวิทยาได้ขายที่ดินให้จำเลยที่ ๓ เนื้อที่ ๑๒ ไร่ ๑๒ ตารางวา จึงเหลือที่ดินอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ที่ดินตาม น.ส. ๓ ของนายวิทยามีการแก้ไขตัวเลขเนื้อที่ และในปี ๒๕๐๙ นายวิทยาขายที่ดินตาม น.ส. ๓ เดิมให้นายพิชัย โกศัลวิตร ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ขายให้รัฐบาลและกลายเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันแล้ว การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่นายพิชัยนำ นส. ๓ ที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมาออกโฉนดที่ดิน โฉนดที่ดินดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและทับที่ดินอ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน ดังนั้นเมื่อนายพิชัยขายที่ดินให้นายวิรัตน์ ตยางคนนท์ และนายวิรัตน์ขายต่อให้โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองอุบลราชธานี
ศาลจังหวัดอำนาจเจริญพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากคำสั่งของฝ่ายปกครองในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงซึ่งโจทก์อ้างว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่ศาลจะพิจารณาพิพากษาว่าจะมีคำบังคับตามคำขอของโจทก์ได้หรือไม่ ศาลต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่จำเลยทั้งสามโต้แย้งเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองอุบลราชธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเป็นการรับรองเขตที่ดินของรัฐซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ และเป็นการใช้อำนาจทางปกครองที่มีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของบุคคล อันเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากออกทับที่ดินของโจทก์ และจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ คัดค้านการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเสียหายและไม่สามารถทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินกับผู้จะซื้อได้ จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดอันเกิดจากคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง สำหรับประเด็นปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทหรือที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งศาลจะพิจารณาตามประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงประเด็นปัญหาข้อเท็จจริง และการพิจารณาปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดี ศาลปกครองจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๘๖ แต่จำเลยที่ ๑ ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ ๓๙๖๖๑ ทับที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ ๗ ไร่ ๓ งาน ๗๔ ตารางวา เมื่อโจทก์ยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินเพื่อขายให้ผู้จะซื้อ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ คัดค้าน ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงที่ออกทับที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ถอนคำคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดิน และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามให้การว่า ที่พิพาทเป็นแปลงเดียวกันกับที่นายวิทยา วรรณวัลย์เจ้าของเดิมซึ่งมีสิทธิตาม น.ส. ๓ ได้ขายให้แก่รัฐบาลและกลายเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันไปแล้ว การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงของจำเลยที่ ๑ ชอบด้วยกฎหมาย โฉนดที่ดินของโจทก์ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและทับที่ดินอ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง ห้างหุ้นส่วนจำกัด เกียรติอำนาจเจริญ โจทก์ กรมที่ดิน ที่ ๑ กรมธนารักษ์ ที่ ๒ กรมชลประทาน ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแต่ถูกจำเลยขยายทางหลวงรุกล้ำที่ดินรวมทั้งตักดินนำไปถมเป็นทางก่อสร้าง ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า เมื่อจำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทให้ผู้รับจ้างทำการก่อสร้างปรับปรุงทางหลวงไม่มีผู้ใดโต้แย้งกรรมสิทธิ์ ถือว่าเจ้าของที่ดินอุทิศให้เป็นสาธารณประโยชน์โดยปริยาย จึงไม่เป็นละเมิด เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙๙/๒๕๕๖
วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ นายทวีศักดิ์ อภิชาติมณีกุล โจทก์ ยื่นฟ้องกรมทางหลวง จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๑๖/๒๕๕๔ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และผู้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๑๐ ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ ตารางวา ประมาณเดือนมกราคม ๒๕๕๒ ถึงเดือนมกราคม ๒๕๕๓ จำเลย โดยสำนักทางหลวงกระบี่ (สุราษฎร์ธานี) และแขวงการทางภูเก็ตได้ก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๗ ตอนท่าเรือ-เมืองใหม่ ทำให้ไหล่ทางรุกล้ำที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตก รวมเนื้อที่ ๓ งาน ๕๘ ตารางวา โดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบและไม่กันแนวเขตไว้เพื่อเวนคืนที่ดินก่อนทำการก่อสร้าง รวมทั้งได้ตักดินนำไปถมเป็นทางก่อสร้าง ทำให้ที่ดินที่เหลือมีสภาพเป็นหลุมเป็นบ่อ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า เดิมนายม่าจ๋วน ธีรปัจเจก เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๑๐ เนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ ตารางวา ได้ยื่นขอรังวัดที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตแจ้งให้แขวงการทางภูเก็ตไประวังชี้แนวเขต เนื่องจากที่ดินของนายม่าจ๋วนด้านทิศตะวันตกติดทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๗ แขวงการทางภูเก็ตได้แจ้งสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตถึงการกำหนดเขตทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๗ กว้างข้างละ ๒๐ เมตร จากศูนย์กลางทาง นายม่าจ๋วนไม่ยอมแบ่งหักที่ดินของตนบางส่วนให้เป็นทางหลวง จึงขอยกเลิกคำขอรังวัดและขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยได้รับมอบทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๗ จากจังหวัดภูเก็ตจึงว่าจ้างบริษัท เอส ซี จี ๑๙๕๕ จำกัด ทำการปรับปรุง โดยได้ส่งมอบที่ดินซึ่งส่วนหนึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ ๓ งาน ๕๘ ตารางวา โดยไม่ทราบว่าเป็นที่ดินของโจทก์ เนื่องจากที่ดินดังกล่าวมีสภาพเป็นถนนกว้าง ๖.๕ เมตร และมีการก่อสร้างเสาไฟฟ้า วางท่อประปา อันเป็นการดำเนินกิจการสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ประชาชนโดยทั่วไปและไม่มีผู้ใดโต้แย้งกรรมสิทธิ์ ถือว่าเจ้าของที่ดินอุทิศให้เป็นสาธารณประโยชน์โดยปริยาย การที่จำเลยก่อสร้างถนนจึงไม่เป็นละเมิด จำเลยไม่เคยตักดินของโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามที่กล่าวอ้าง คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาล เนื่องจากตามคำฟ้องอ้างว่าจำเลยในฐานะหน่วยงานทางปกครองได้กระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย คดีจึงอยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ แล้วจึงจะพิจารณาในประเด็นต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดหรือไม่ และจะต้องชดใช้ค่าเสียหายเพียงใด กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง การก่อสร้างและบำรุงรักษาทางหลวงให้มีโครงข่ายทางหลวงที่สมบูรณ์ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ และเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทาง ได้ดำเนินการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๗ รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ การที่จำเลยทำสัญญาจ้างบริษัท เอส ซี จี ๑๙๕๕ จำกัด ทำการปรับปรุงทางหลวงดังกล่าวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง อันเป็นการบริการสาธารณะโดยจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคตามอำนาจหน้าที่ของจำเลย กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และผู้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๑๐ เนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ ตารางวา แต่ถูกจำเลยก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๗ และไหล่ทางรุกล้ำที่ดิน รวมเนื้อที่ ๓ งาน ๕๘ ตารางวา และตักดินนำไปถมเป็นทางก่อสร้าง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า นายม่าจ๋วนเจ้าของที่ดินเดิมได้ยื่นขอรังวัดที่พิพาท แต่ไม่ยอมแบ่งหักที่ดินของตนบางส่วนให้เป็นทางหลวง จึงขอยกเลิกคำขอรังวัดและขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยส่งมอบที่ดินซึ่งส่วนหนึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ ๓ งาน ๕๘ ตารางวา ให้ผู้รับจ้างทำการก่อสร้างปรับปรุงทางหลวงโดยไม่ทราบว่าเป็นที่ดินของโจทก์ เนื่องจากที่ดินมีสภาพเป็นถนน และมีการดำเนินกิจการสาธารณูปโภค ก่อสร้างเสาไฟฟ้าและวางท่อประปา ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ประชาชนโดยทั่วไปและไม่มีผู้ใดโต้แย้งกรรมสิทธิ์ ถือว่าเจ้าของที่ดินอุทิศให้เป็นสาธารณประโยชน์โดยปริยาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นละเมิด เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายทวีศักดิ์ อภิชาติมณีกุล โจทก์ กรมทางหลวง จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลโท พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแต่ถูกจำเลยขยายทางหลวงรุกล้ำที่ดินรวมทั้งตักดินนำไปถมเป็นทางก่อสร้าง ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า เมื่อจำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทให้ผู้รับจ้างทำการก่อสร้างปรับปรุงทางหลวงไม่มีผู้ใดโต้แย้งกรรมสิทธิ์ ถือว่าเจ้าของที่ดินอุทิศให้เป็นสาธารณประโยชน์โดยปริยาย จึงไม่เป็นละเมิด เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙๙/๒๕๕๖
วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ นายทวีศักดิ์ อภิชาติมณีกุล โจทก์ ยื่นฟ้องกรมทางหลวง จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๑๖/๒๕๕๔ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และผู้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๑๐ ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ ตารางวา ประมาณเดือนมกราคม ๒๕๕๒ ถึงเดือนมกราคม ๒๕๕๓ จำเลย โดยสำนักทางหลวงกระบี่ (สุราษฎร์ธานี) และแขวงการทางภูเก็ตได้ก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๗ ตอนท่าเรือ-เมืองใหม่ ทำให้ไหล่ทางรุกล้ำที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตก รวมเนื้อที่ ๓ งาน ๕๘ ตารางวา โดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบและไม่กันแนวเขตไว้เพื่อเวนคืนที่ดินก่อนทำการก่อสร้าง รวมทั้งได้ตักดินนำไปถมเป็นทางก่อสร้าง ทำให้ที่ดินที่เหลือมีสภาพเป็นหลุมเป็นบ่อ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า เดิมนายม่าจ๋วน ธีรปัจเจก เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๑๐ เนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ ตารางวา ได้ยื่นขอรังวัดที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตแจ้งให้แขวงการทางภูเก็ตไประวังชี้แนวเขต เนื่องจากที่ดินของนายม่าจ๋วนด้านทิศตะวันตกติดทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๗ แขวงการทางภูเก็ตได้แจ้งสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตถึงการกำหนดเขตทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๗ กว้างข้างละ ๒๐ เมตร จากศูนย์กลางทาง นายม่าจ๋วนไม่ยอมแบ่งหักที่ดินของตนบางส่วนให้เป็นทางหลวง จึงขอยกเลิกคำขอรังวัดและขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยได้รับมอบทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๗ จากจังหวัดภูเก็ตจึงว่าจ้างบริษัท เอส ซี จี ๑๙๕๕ จำกัด ทำการปรับปรุง โดยได้ส่งมอบที่ดินซึ่งส่วนหนึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ ๓ งาน ๕๘ ตารางวา โดยไม่ทราบว่าเป็นที่ดินของโจทก์ เนื่องจากที่ดินดังกล่าวมีสภาพเป็นถนนกว้าง ๖.๕ เมตร และมีการก่อสร้างเสาไฟฟ้า วางท่อประปา อันเป็นการดำเนินกิจการสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ประชาชนโดยทั่วไปและไม่มีผู้ใดโต้แย้งกรรมสิทธิ์ ถือว่าเจ้าของที่ดินอุทิศให้เป็นสาธารณประโยชน์โดยปริยาย การที่จำเลยก่อสร้างถนนจึงไม่เป็นละเมิด จำเลยไม่เคยตักดินของโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามที่กล่าวอ้าง คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาล เนื่องจากตามคำฟ้องอ้างว่าจำเลยในฐานะหน่วยงานทางปกครองได้กระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย คดีจึงอยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ แล้วจึงจะพิจารณาในประเด็นต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดหรือไม่ และจะต้องชดใช้ค่าเสียหายเพียงใด กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง การก่อสร้างและบำรุงรักษาทางหลวงให้มีโครงข่ายทางหลวงที่สมบูรณ์ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ และเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทาง ได้ดำเนินการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๗ รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ การที่จำเลยทำสัญญาจ้างบริษัท เอส ซี จี ๑๙๕๕ จำกัด ทำการปรับปรุงทางหลวงดังกล่าวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง อันเป็นการบริการสาธารณะโดยจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคตามอำนาจหน้าที่ของจำเลย กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และผู้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๑๐ เนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ ตารางวา แต่ถูกจำเลยก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๗ และไหล่ทางรุกล้ำที่ดิน รวมเนื้อที่ ๓ งาน ๕๘ ตารางวา และตักดินนำไปถมเป็นทางก่อสร้าง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า นายม่าจ๋วนเจ้าของที่ดินเดิมได้ยื่นขอรังวัดที่พิพาท แต่ไม่ยอมแบ่งหักที่ดินของตนบางส่วนให้เป็นทางหลวง จึงขอยกเลิกคำขอรังวัดและขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยส่งมอบที่ดินซึ่งส่วนหนึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ ๓ งาน ๕๘ ตารางวา ให้ผู้รับจ้างทำการก่อสร้างปรับปรุงทางหลวงโดยไม่ทราบว่าเป็นที่ดินของโจทก์ เนื่องจากที่ดินมีสภาพเป็นถนน และมีการดำเนินกิจการสาธารณูปโภค ก่อสร้างเสาไฟฟ้าและวางท่อประปา ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ประชาชนโดยทั่วไปและไม่มีผู้ใดโต้แย้งกรรมสิทธิ์ ถือว่าเจ้าของที่ดินอุทิศให้เป็นสาธารณประโยชน์โดยปริยาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นละเมิด เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายทวีศักดิ์ อภิชาติมณีกุล โจทก์ กรมทางหลวง จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลโท พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง โดยอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนด แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกับนายอำเภอรังวัดรวมโฉนดที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยมิได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไประวังชี้แนวเขตที่ดิน และจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม รวมโฉนดที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวและจดทะเบียนแบ่งแยกในนามเดิม แล้วจำหน่ายจ่ายโอนให้แก่บุคคลภายนอก ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินเฉพาะส่วน รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี ให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ฟ้องคดี เพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง เห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรังวัดรวมโฉนดที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีและขอให้ เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี กับขอให้เพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง ก็เป็นไปเพื่อให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้ฟ้องคดีได้รับการรับรองหรือคุ้มครอง โดยให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ฟ้องคดี ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินส่วนที่มีการรังวัดรุกล้ำว่าเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙๘/๒๕๕๖
วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสมุทรปราการ
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ นายวิรัตน์ เทพภูษาวัฒนา ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องการเคหะแห่งชาติ ที่ ๑ สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๕๔/๒๕๕๔ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๐๒ ตำบล บางเพรียง อำเภอบางบ่อ (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๒๘ ไร่ ๑ งาน ๒๕ ตารางวา แต่ถูกผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ร่วมกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และนายอำเภอบางพลีกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ยื่นคำขอรังวัดรวมที่ดินหลายแปลงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นโฉนดที่ดินแปลงเดียว ซึ่งในการรังวัดดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกับนายอำเภอบางพลีหรือผู้แทนกระทำการไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอนหรือวิธีการ อันเป็นสาระสำคัญ และนำชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นเนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน โดยนำชี้ย้ายและลบแผนที่ลำรางสาธารณประโยชน์ออกไปจากแผนที่เดิม ทั้งมิได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไประวังชี้แนวเขตที่ดินตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดไว้ และต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมรวมโฉนดที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๐๙ ตำบลบางเสาธง (เสาธง) อำเภอบางเสาธง (บางพลี) จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๑,๙๓๖ ไร่ ๑๓ ตารางวา จากนั้นได้นำที่ดินบริเวณที่รุกล้ำที่ดินของ ผู้ฟ้องคดีไปจดทะเบียนแบ่งแยกในนามเดิมจำนวน ๖ แปลง เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๖๔๖ เลขที่ ๙๖๑๑ เลขที่ ๖๗๖๔๙ เลขที่ ๕๖๕๑ เลขที่ ๕๖๕๖ และเลขที่ ๑๖๐๗๗ และจำหน่ายจ่ายโอนให้แก่บุคคลภายนอก ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี ให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ฟ้องคดี เพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง ให้ขับไล่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และบริวารออกจากที่พิพาท กับให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหาย แก่ผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีที่ฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองรังวัดออกโฉนดที่ดินหรือรวมโฉนดที่ดินเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๐๙ รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี แล้วรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินในนามเดิมและจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินแปลงดังกล่าว โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี จึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แม้คดีนี้จะมีประเด็นต้องพิจารณาว่า ที่พิพาทเนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน เป็นส่วนหนึ่งของโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๐๒ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ก็เป็นเพียงการรับฟังข้อเท็จจริงเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ รังวัดรวมที่ดินและแบ่งแยกในนามเดิมและทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่พิพาทตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ นำรังวัด เป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ทั้งยังไม่ปรากฏกรณีที่จะโต้แย้งกันว่าที่พิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ แต่อย่างใด คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสมุทรปราการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องประกอบคำขอท้ายฟ้องเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่พิพาท การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไปว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองนำชี้ย้ายและลบแผนที่ลำรางสาธารณประโยชน์และนำชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง โดยผู้ฟ้องคดีอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๐๒ แต่ในการรังวัดรวมที่ดินหลายแปลงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นโฉนดที่ดินแปลงเดียว ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกับนายอำเภอบางพลีหรือผู้แทนนำชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี โดยมิได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไประวังชี้แนวเขตที่ดินตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดไว้ และผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมรวมโฉนดที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๐๙ และจดทะเบียนแบ่งแยกในนามเดิมจำนวน ๖ แปลง แล้วจำหน่ายจ่ายโอนให้แก่บุคคลภายนอก ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี ให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ฟ้องคดี เพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง เห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรังวัดรวมโฉนดที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีและขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี กับขอให้เพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง ก็เป็นไปเพื่อให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้ฟ้องคดีได้รับการรับรองหรือคุ้มครอง โดยให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ฟ้องคดี ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินส่วนที่มีการรังวัดรุกล้ำว่าเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายวิรัตน์ เทพภูษาวัฒนา ผู้ฟ้องคดี การเคหะแห่งชาติ ที่ ๑ สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง โดยอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนด แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกับนายอำเภอรังวัดรวมโฉนดที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยมิได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไประวังชี้แนวเขตที่ดิน และจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม รวมโฉนดที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวและจดทะเบียนแบ่งแยกในนามเดิม แล้วจำหน่ายจ่ายโอนให้แก่บุคคลภายนอก ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินเฉพาะส่วน รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี ให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ฟ้องคดี เพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง เห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรังวัดรวมโฉนดที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีและขอให้ เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี กับขอให้เพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง ก็เป็นไปเพื่อให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้ฟ้องคดีได้รับการรับรองหรือคุ้มครอง โดยให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ฟ้องคดี ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินส่วนที่มีการรังวัดรุกล้ำว่าเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙๘/๒๕๕๖
วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสมุทรปราการ
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ นายวิรัตน์ เทพภูษาวัฒนา ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องการเคหะแห่งชาติ ที่ ๑ สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๕๔/๒๕๕๔ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๐๒ ตำบล บางเพรียง อำเภอบางบ่อ (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๒๘ ไร่ ๑ งาน ๒๕ ตารางวา แต่ถูกผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ร่วมกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และนายอำเภอบางพลีกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ยื่นคำขอรังวัดรวมที่ดินหลายแปลงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นโฉนดที่ดินแปลงเดียว ซึ่งในการรังวัดดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกับนายอำเภอบางพลีหรือผู้แทนกระทำการไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอนหรือวิธีการ อันเป็นสาระสำคัญ และนำชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นเนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน โดยนำชี้ย้ายและลบแผนที่ลำรางสาธารณประโยชน์ออกไปจากแผนที่เดิม ทั้งมิได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไประวังชี้แนวเขตที่ดินตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดไว้ และต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมรวมโฉนดที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๐๙ ตำบลบางเสาธง (เสาธง) อำเภอบางเสาธง (บางพลี) จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๑,๙๓๖ ไร่ ๑๓ ตารางวา จากนั้นได้นำที่ดินบริเวณที่รุกล้ำที่ดินของ ผู้ฟ้องคดีไปจดทะเบียนแบ่งแยกในนามเดิมจำนวน ๖ แปลง เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๖๔๖ เลขที่ ๙๖๑๑ เลขที่ ๖๗๖๔๙ เลขที่ ๕๖๕๑ เลขที่ ๕๖๕๖ และเลขที่ ๑๖๐๗๗ และจำหน่ายจ่ายโอนให้แก่บุคคลภายนอก ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี ให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ฟ้องคดี เพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง ให้ขับไล่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และบริวารออกจากที่พิพาท กับให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหาย แก่ผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีที่ฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองรังวัดออกโฉนดที่ดินหรือรวมโฉนดที่ดินเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๐๙ รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี แล้วรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินในนามเดิมและจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินแปลงดังกล่าว โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี จึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แม้คดีนี้จะมีประเด็นต้องพิจารณาว่า ที่พิพาทเนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน เป็นส่วนหนึ่งของโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๐๒ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ก็เป็นเพียงการรับฟังข้อเท็จจริงเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ รังวัดรวมที่ดินและแบ่งแยกในนามเดิมและทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่พิพาทตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ นำรังวัด เป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ทั้งยังไม่ปรากฏกรณีที่จะโต้แย้งกันว่าที่พิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ แต่อย่างใด คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสมุทรปราการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องประกอบคำขอท้ายฟ้องเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่พิพาท การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไปว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองนำชี้ย้ายและลบแผนที่ลำรางสาธารณประโยชน์และนำชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง โดยผู้ฟ้องคดีอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๐๒ แต่ในการรังวัดรวมที่ดินหลายแปลงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นโฉนดที่ดินแปลงเดียว ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกับนายอำเภอบางพลีหรือผู้แทนนำชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี โดยมิได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไประวังชี้แนวเขตที่ดินตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดไว้ และผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมรวมโฉนดที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๐๙ และจดทะเบียนแบ่งแยกในนามเดิมจำนวน ๖ แปลง แล้วจำหน่ายจ่ายโอนให้แก่บุคคลภายนอก ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี ให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ฟ้องคดี เพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง เห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรังวัดรวมโฉนดที่ดินรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีและขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี กับขอให้เพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง ก็เป็นไปเพื่อให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้ฟ้องคดีได้รับการรับรองหรือคุ้มครอง โดยให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ฟ้องคดี ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินส่วนที่มีการรังวัดรุกล้ำว่าเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายวิรัตน์ เทพภูษาวัฒนา ผู้ฟ้องคดี การเคหะแห่งชาติ ที่ ๑ สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่โจทก์ทั้งสามอ้างว่า ได้นำที่ดินทั้งสามแปลงตาม ส.ค. ๑ ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดิน โดยมีจำเลยที่ ๑ และที่ ๓คัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดินอ้างว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์และอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน จำเลยที่ ๔ จึงมีคำสั่งไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสาม และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมกันออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ทับที่ดินของโจทก์ทั้งสาม ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.ล. ให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เพิกถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินและรับรองแนวเขตที่ดิน และให้จำเลยที่ ๔ ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งห้าให้การว่า โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเนื่องจาก ส.ค. ๑ ไม่ใช่หลักฐานการแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน อีกทั้งที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในบริเวณทุ่งเลี้ยงสัตว์พาหนะอันเป็นที่สาธารณประโยชน์ สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน และการออก น.ส.ล. ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งโจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้าง หรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙๗/๒๕๕๖
วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๑ นายเคลือบหรือเล็ก สุขสวัสดิ์ โจทก์ที่ ๑ ยื่นฟ้องนายอำเภอท่าศาลา ที่ ๑ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ ๒ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ ๓ กรมที่ดิน ที่ ๔ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่ ๕ จำเลย ต่อศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๐๗๕/๒๕๕๑ และในวันเดียวกัน นายประเสริฐ ธงรอด โจทก์ที่ ๒ และนายจาย สุดคิด โจทก์ที่ ๓ ยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้าในคดีแรกต่อศาลเดียวกัน เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๐๗๖/๒๕๕๑ และ ๑๐๗๗/๒๕๕๑ ตามลำดับ ซึ่งศาลสั่งรวมพิจารณาเข้ากับคดีแรก ความว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๙๓ เลขที่ ๙๘ และเลขที่ ๖๔ ตำบลไทยบุรี อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามลำดับ โจทก์ทั้งสามนำที่ดินตาม ส.ค. ๑ ทั้งสามแปลงยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินต่อจำเลยที่ ๔ แต่ถูกจำเลยที่ ๑ คัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดิน อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์และอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และจำเลยที่ ๓ มีหนังสือคัดค้านการออกโฉนดที่ดิน อ้างว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันและอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อแบ่งให้แก่ผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการจัดตั้งจำเลยที่ ๕ ต่อมาจำเลยที่ ๔ แจ้งโจทก์ทั้งสามว่า จำเลยที่ ๓ มีสิทธิดีกว่าโจทก์ทั้งสามและโจทก์ทั้งสามได้ที่ดินมาหลังจากการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์แล้ว จึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามได้ โจทก์ทั้งสามเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ เป็นการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์ที่ได้ครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่องมาตั้งแต่ ปี ๒๔๘๒ โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน และเป็นที่ดินอยู่นอกเขตประกาศที่สงวนเลี้ยงสัตว์พาหนะ ที่ ๑/๒๔๗๖ และเมื่อประกาศ ให้ที่สงวนเลี้ยงสัตว์ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของจำเลยที่ ๕ นั้น จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมกันออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ และ น.ศ. ๐๒๔๓ เกินกว่าที่สงวนเลี้ยงสัตว์ดังกล่าว โดยการออก น.ส.ล. เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ ได้เบียดบัง บุกรุก และทับที่ดินของโจทก์ทั้งสาม การกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ เป็นการขัดต่อกฎหมาย และ น.ส.ล. เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอน น.ส.ล. เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ ให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เพิกถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งสามและรับรองแนวเขตที่ดิน และให้จำเลยที่ ๔ ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสาม ห้ามจำเลยทั้งห้าและบริวารเข้าเกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสาม
จำเลยทั้งห้าให้การในทำนองเดียวกันว่า โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่มีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเนื่องจากแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) ไม่ใช่หลักฐาน การแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน อีกทั้งที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในบริเวณทุ่งเลี้ยงสัตว์พาหนะอันเป็นที่สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งได้ประกาศขึ้นทะเบียนไว้เป็นที่เลี้ยงสัตว์พาหนะตั้งแต่ปี ๒๔๗๖ ก่อนที่ได้ขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในเวลาต่อมา โจทก์ทั้งสาม จึงไม่อาจเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก่อนที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับเมื่อปี ๒๔๙๗ ได้ และโจทก์ทั้งสามไม่เคยคัดค้านการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแต่อย่างใด การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า มูลคดีตามฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสามอ้างว่า หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นคดีปกครองซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นการโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสามหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสามหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งการพิจารณาสิทธิในที่ดินย่อมเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งเป็นกฎหมายอื่นประกอบด้วย โดยจะต้องพิจารณาถึงสิทธิและการใช้ประโยชน์ในที่ดินของเจ้าของที่ดิน ตลอดจนพยานหลักฐานเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของประชาชน คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ คัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งสามนั้น จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ ส่วนจำเลยที่ ๓ มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อช่วยให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ รวมถึงการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินดังกล่าวมิให้ผู้ใดบุกรุก ทำลาย หรือนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน สำหรับการออกโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะรายตามมาตรา ๕๙ และการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ตามมาตรา ๘ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เป็นการใช้อำนาจทางปกครอง เมื่อโจทก์ทั้งสามฟ้องว่า การคัดค้านการรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ คำสั่งปฏิเสธไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามของจำเลยที่ ๔ และการออก น.ส.ล. เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ ทับซ้อนที่ดินของโจทก์ทั้งสามและไม่มีการแจ้งให้ประชาชนทั่วไปทราบ เพื่อคัดค้าน เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีตามคำฟ้องจึงเป็นการโต้แย้งการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ โดยโจทก์ทั้งสามมีคำขอให้เพิกถอน น.ส.ล. เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ ให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เพิกถอนคำร้องคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินและรับรองแนวเขตที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ ๔ ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสาม และห้ามจำเลยทั้งห้าพร้อมบริวารเข้าเกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสาม กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ทั้งสามได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) คดีจึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อนว่า การที่นายอำเภอท่าศาลาใช้อำนาจทางปกครองออกประกาศที่สงวนเลี้ยงสัตว์ ประกาศดังกล่าวครอบคลุมที่ดินของโจทก์ทั้งสามหรือไม่ อันเป็นการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครองของฝ่ายปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปว่าโจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดี และเป็นเพียงประเด็นย่อยหนึ่ง ในหลายประเด็นที่ศาลจะต้องพิจารณา ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินได้ตามนัยมาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน นอกจากนี้ การพิจารณาเพียงเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินย่อมไม่ครอบคลุมทุกประเด็นตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามที่กล่าวอ้างว่า การออก น.ส.ล. เลขที่ นศ. ๐๑๑๙ มิได้มีการประกาศหรือแจ้งให้ประชาชนที่ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินบริเวณดังกล่าวรับทราบ เพื่อดำเนินการคัดค้านการออก น.ส.ล. ซึ่งเป็นขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญในการออก น.ส.ล. ตามข้อ ๒ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๖ (พ.ศ. ๒๕๑๖)ฯ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๕ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นหน่วยงานทางปกครองก็ตาม แต่ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสามอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินทั้งสามแปลงตาม ส.ค. ๑ ซึ่งได้ครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี ๒๔๘๒ โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านและเป็นที่ดินอยู่นอกเขตประกาศที่สงวนเลี้ยงสัตว์พาหนะ ที่ ๑/๒๔๗๖ โจทก์ทั้งสามนำ ส.ค. ๑ ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินต่อจำเลยที่ ๔ แต่จำเลยที่ ๑ คัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดิน อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์และอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม และจำเลยที่ ๓ มีหนังสือคัดค้านการออกโฉนดที่ดิน อ้างว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันและอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อแบ่งให้แก่ผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการจัดตั้งจำเลยที่ ๕ และจำเลยที่ ๔ มีคำสั่งไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสาม อ้างว่าจำเลยที่ ๓ มีสิทธิดีกว่าโจทก์ทั้งสาม และโจทก์ทั้งสาม ได้ที่ดินมาหลังจากการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์แล้ว ต่อมาจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมกันออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ และ น.ศ. ๐๒๔๓ เกินกว่าที่สงวนเลี้ยงสัตว์ดังกล่าว โดย น.ส.ล. เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ ออกทับที่ดินของโจทก์ทั้งสาม ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.ล. เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ ให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เพิกถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งสามและรับรองแนวเขตที่ดิน และให้จำเลยที่ ๔ ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสาม ห้ามจำเลยทั้งห้าและบริวารเข้าเกี่ยวข้องและรบกวน การครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสาม ส่วนจำเลยทั้งห้าให้การในทำนองเดียวกันว่า โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเนื่องจาก ส.ค. ๑ ไม่ใช่หลักฐานการแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน อีกทั้งที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในบริเวณทุ่งเลี้ยงสัตว์พาหนะอันเป็นที่สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งได้ประกาศขึ้นทะเบียนไว้เป็นที่เลี้ยงสัตว์พาหนะตั้งแต่ปี ๒๔๗๖ ก่อนที่ได้ขอออก น.ส.ล. ในเวลาต่อมา โจทก์ทั้งสามจึงไม่อาจเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก่อนที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับเมื่อปี ๒๔๙๗ ได้ และการออก น.ส.ล. ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งโจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้าง หรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายเคลือบหรือเล็ก สุขสวัสดิ์ ที่ ๑ นายประเสริฐ ธงรอด ที่ ๒ นายจาย สุดคิด ที่ ๓ โจทก์ นายอำเภอท่าศาลา ที่ ๑ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ ๒ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ ๓ กรมที่ดิน ที่ ๔ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่ ๕ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีนี้แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่โจทก์ทั้งสามอ้างว่า ได้นำที่ดินทั้งสามแปลงตาม ส.ค. ๑ ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดิน โดยมีจำเลยที่ ๑ และที่ ๓คัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดินอ้างว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์และอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน จำเลยที่ ๔ จึงมีคำสั่งไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสาม และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมกันออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ทับที่ดินของโจทก์ทั้งสาม ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.ล. ให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เพิกถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินและรับรองแนวเขตที่ดิน และให้จำเลยที่ ๔ ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งห้าให้การว่า โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเนื่องจาก ส.ค. ๑ ไม่ใช่หลักฐานการแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน อีกทั้งที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในบริเวณทุ่งเลี้ยงสัตว์พาหนะอันเป็นที่สาธารณประโยชน์ สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน และการออก น.ส.ล. ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งโจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้าง หรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙๗/๒๕๕๖
วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๑ นายเคลือบหรือเล็ก สุขสวัสดิ์ โจทก์ที่ ๑ ยื่นฟ้องนายอำเภอท่าศาลา ที่ ๑ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ ๒ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ ๓ กรมที่ดิน ที่ ๔ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่ ๕ จำเลย ต่อศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๐๗๕/๒๕๕๑ และในวันเดียวกัน นายประเสริฐ ธงรอด โจทก์ที่ ๒ และนายจาย สุดคิด โจทก์ที่ ๓ ยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้าในคดีแรกต่อศาลเดียวกัน เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๐๗๖/๒๕๕๑ และ ๑๐๗๗/๒๕๕๑ ตามลำดับ ซึ่งศาลสั่งรวมพิจารณาเข้ากับคดีแรก ความว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๙๓ เลขที่ ๙๘ และเลขที่ ๖๔ ตำบลไทยบุรี อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามลำดับ โจทก์ทั้งสามนำที่ดินตาม ส.ค. ๑ ทั้งสามแปลงยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินต่อจำเลยที่ ๔ แต่ถูกจำเลยที่ ๑ คัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดิน อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์และอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และจำเลยที่ ๓ มีหนังสือคัดค้านการออกโฉนดที่ดิน อ้างว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันและอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อแบ่งให้แก่ผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการจัดตั้งจำเลยที่ ๕ ต่อมาจำเลยที่ ๔ แจ้งโจทก์ทั้งสามว่า จำเลยที่ ๓ มีสิทธิดีกว่าโจทก์ทั้งสามและโจทก์ทั้งสามได้ที่ดินมาหลังจากการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์แล้ว จึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามได้ โจทก์ทั้งสามเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ เป็นการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์ที่ได้ครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่องมาตั้งแต่ ปี ๒๔๘๒ โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน และเป็นที่ดินอยู่นอกเขตประกาศที่สงวนเลี้ยงสัตว์พาหนะ ที่ ๑/๒๔๗๖ และเมื่อประกาศ ให้ที่สงวนเลี้ยงสัตว์ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของจำเลยที่ ๕ นั้น จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมกันออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ และ น.ศ. ๐๒๔๓ เกินกว่าที่สงวนเลี้ยงสัตว์ดังกล่าว โดยการออก น.ส.ล. เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ ได้เบียดบัง บุกรุก และทับที่ดินของโจทก์ทั้งสาม การกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ เป็นการขัดต่อกฎหมาย และ น.ส.ล. เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอน น.ส.ล. เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ ให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เพิกถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งสามและรับรองแนวเขตที่ดิน และให้จำเลยที่ ๔ ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสาม ห้ามจำเลยทั้งห้าและบริวารเข้าเกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสาม
จำเลยทั้งห้าให้การในทำนองเดียวกันว่า โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่มีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเนื่องจากแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) ไม่ใช่หลักฐาน การแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน อีกทั้งที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในบริเวณทุ่งเลี้ยงสัตว์พาหนะอันเป็นที่สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งได้ประกาศขึ้นทะเบียนไว้เป็นที่เลี้ยงสัตว์พาหนะตั้งแต่ปี ๒๔๗๖ ก่อนที่ได้ขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในเวลาต่อมา โจทก์ทั้งสาม จึงไม่อาจเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก่อนที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับเมื่อปี ๒๔๙๗ ได้ และโจทก์ทั้งสามไม่เคยคัดค้านการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแต่อย่างใด การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า มูลคดีตามฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสามอ้างว่า หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นคดีปกครองซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นการโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสามหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสามหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งการพิจารณาสิทธิในที่ดินย่อมเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งเป็นกฎหมายอื่นประกอบด้วย โดยจะต้องพิจารณาถึงสิทธิและการใช้ประโยชน์ในที่ดินของเจ้าของที่ดิน ตลอดจนพยานหลักฐานเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของประชาชน คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ คัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งสามนั้น จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ ส่วนจำเลยที่ ๓ มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อช่วยให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ รวมถึงการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินดังกล่าวมิให้ผู้ใดบุกรุก ทำลาย หรือนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน สำหรับการออกโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะรายตามมาตรา ๕๙ และการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ตามมาตรา ๘ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เป็นการใช้อำนาจทางปกครอง เมื่อโจทก์ทั้งสามฟ้องว่า การคัดค้านการรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ คำสั่งปฏิเสธไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามของจำเลยที่ ๔ และการออก น.ส.ล. เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ ทับซ้อนที่ดินของโจทก์ทั้งสามและไม่มีการแจ้งให้ประชาชนทั่วไปทราบ เพื่อคัดค้าน เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีตามคำฟ้องจึงเป็นการโต้แย้งการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ โดยโจทก์ทั้งสามมีคำขอให้เพิกถอน น.ส.ล. เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ ให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เพิกถอนคำร้องคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินและรับรองแนวเขตที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ ๔ ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสาม และห้ามจำเลยทั้งห้าพร้อมบริวารเข้าเกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสาม กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ทั้งสามได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) คดีจึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อนว่า การที่นายอำเภอท่าศาลาใช้อำนาจทางปกครองออกประกาศที่สงวนเลี้ยงสัตว์ ประกาศดังกล่าวครอบคลุมที่ดินของโจทก์ทั้งสามหรือไม่ อันเป็นการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครองของฝ่ายปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปว่าโจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดี และเป็นเพียงประเด็นย่อยหนึ่ง ในหลายประเด็นที่ศาลจะต้องพิจารณา ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินได้ตามนัยมาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน นอกจากนี้ การพิจารณาเพียงเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินย่อมไม่ครอบคลุมทุกประเด็นตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามที่กล่าวอ้างว่า การออก น.ส.ล. เลขที่ นศ. ๐๑๑๙ มิได้มีการประกาศหรือแจ้งให้ประชาชนที่ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินบริเวณดังกล่าวรับทราบ เพื่อดำเนินการคัดค้านการออก น.ส.ล. ซึ่งเป็นขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญในการออก น.ส.ล. ตามข้อ ๒ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๖ (พ.ศ. ๒๕๑๖)ฯ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๕ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นหน่วยงานทางปกครองก็ตาม แต่ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสามอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินทั้งสามแปลงตาม ส.ค. ๑ ซึ่งได้ครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี ๒๔๘๒ โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านและเป็นที่ดินอยู่นอกเขตประกาศที่สงวนเลี้ยงสัตว์พาหนะ ที่ ๑/๒๔๗๖ โจทก์ทั้งสามนำ ส.ค. ๑ ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินต่อจำเลยที่ ๔ แต่จำเลยที่ ๑ คัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดิน อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์และอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม และจำเลยที่ ๓ มีหนังสือคัดค้านการออกโฉนดที่ดิน อ้างว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันและอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อแบ่งให้แก่ผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการจัดตั้งจำเลยที่ ๕ และจำเลยที่ ๔ มีคำสั่งไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสาม อ้างว่าจำเลยที่ ๓ มีสิทธิดีกว่าโจทก์ทั้งสาม และโจทก์ทั้งสาม ได้ที่ดินมาหลังจากการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์แล้ว ต่อมาจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมกันออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ และ น.ศ. ๐๒๔๓ เกินกว่าที่สงวนเลี้ยงสัตว์ดังกล่าว โดย น.ส.ล. เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ ออกทับที่ดินของโจทก์ทั้งสาม ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.ล. เลขที่ น.ศ. ๐๑๑๙ ให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เพิกถอนคำร้องคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งสามและรับรองแนวเขตที่ดิน และให้จำเลยที่ ๔ ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสาม ห้ามจำเลยทั้งห้าและบริวารเข้าเกี่ยวข้องและรบกวน การครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสาม ส่วนจำเลยทั้งห้าให้การในทำนองเดียวกันว่า โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเนื่องจาก ส.ค. ๑ ไม่ใช่หลักฐานการแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน อีกทั้งที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในบริเวณทุ่งเลี้ยงสัตว์พาหนะอันเป็นที่สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งได้ประกาศขึ้นทะเบียนไว้เป็นที่เลี้ยงสัตว์พาหนะตั้งแต่ปี ๒๔๗๖ ก่อนที่ได้ขอออก น.ส.ล. ในเวลาต่อมา โจทก์ทั้งสามจึงไม่อาจเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก่อนที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับเมื่อปี ๒๔๙๗ ได้ และการออก น.ส.ล. ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งโจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้าง หรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายเคลือบหรือเล็ก สุขสวัสดิ์ ที่ ๑ นายประเสริฐ ธงรอด ที่ ๒ นายจาย สุดคิด ที่ ๓ โจทก์ นายอำเภอท่าศาลา ที่ ๑ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ ๒ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ ๓ กรมที่ดิน ที่ ๔ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่ ๕ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|