ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๘/๒๕๕๔
วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลจังหวัดสุโขทัย
ระหว่าง
ศาลปกครองพิษณุโลก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดสุโขทัยโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ บริษัทล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) โจทก์ยื่นฟ้องสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำเลย ต่อศาลจังหวัดสุโขทัย เป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ. ๑๐๓/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ มีวิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยเป็นหน่วยงานในสังกัด เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๐ จำเลยโดยผู้อำนวยการวิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยทำสัญญาเช่าคอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนการสอน จำนวน ๕๐ เครื่องกับโจทก์ ระยะเวลาเช่า ๓ ปี กำหนดชำระค่าเช่าทุก ๆ ๖ เดือน เป็นเงินงวดละ ๒๖๘,๗๐๓.๗๕ บาท โจทก์ส่งมอบและติดตั้ง ตรวจสอบการใช้งานและบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้จำเลยได้ใช้ประโยชน์เรื่อยมา แต่จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่างวดที่ ๑ ถึงที่ ๔ แก่โจทก์ รวมเป็นเงิน ๑,๐๗๔,๘๑๕ บาท เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๐ จำเลยทำสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์คกับโจทก์ ราคา ๖๓๖,๘๖๔ บาท โจทก์ส่งมอบและติดตั้งระบบเน็ตเวอร์คให้จำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระราคาแก่โจทก์ และเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ จำเลยทำสัญญาเช่าคอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนการสอน จำนวน ๕๐ เครื่องกับโจทก์ ระยะเวลาเช่า ๓ ปี กำหนดชำระค่าเช่าทุก ๆ ๖ เดือน เป็นเงินงวดละ ๓๑๘,๐๕๗.๕๐ บาท โจทก์ส่งมอบและติดตั้ง ตรวจสอบการใช้งานและบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้จำเลยได้ใช้ประโยชน์เรื่อยมา แต่จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่างวดที่ ๑ ถึงที่ ๔ แก่โจทก์รวมเป็นเงิน ๑,๒๗๒,๒๓๐ บาท จำเลยค้างชำระเงินแก่โจทก์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๙๘๓,๙๐๙ บาท โจทก์ติดตามทวงถามแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๒,๙๘๓,๙๐๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากจำเลยมิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์และไม่เคยทำสัญญาเช่าคอมพิวเตอร์และสั่งซื้อระบบเน็ตเวอร์คและอุปกรณ์จากโจทก์ และไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ คู่สัญญาเช่าและผู้สั่งซื้อได้กระทำในฐานะส่วนตัวมิได้กระทำแทนจำเลยและมิได้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และคำฟ้องโจทก์ในส่วนของค่าเช่าขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า สัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์คเป็นสัญญาทางปกครอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสุโขทัยพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยเป็นหน่วยงานของรัฐพิพาทกับโจทก์ซึ่งเป็นเอกชน แต่สัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์คตามฟ้องยังไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ๔ ประเภท ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ และกรณีเป็นเรื่องสัญญาทางแพ่ง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองก่อนเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คดีนี้จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ มีภารกิจเกี่ยวกับการจัดและส่งเสริมการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพตามข้อ ๑ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษากระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยมีวิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยเป็นสถานศึกษาที่เป็นส่วนราชการอยู่ในสังกัด มีหน้าที่จัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพตามพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๑ อันเป็นภารกิจในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาวิชาชีพที่รัฐเป็นผู้จัดทำ การที่วิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยซึ่งเป็นสถานศึกษาในสังกัดของจำเลยตกลงเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนการสอนจากโจทก์และตกลงซื้อระบบเน็ตเวอร์คพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยกำหนดให้โจทก์ส่งมอบและติดตั้งที่วิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัย รวมทั้งให้โจทก์มีหน้าที่บำรุงรักษาคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดีอยู่เสมอตลอดอายุสัญญา จึงเป็นสัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์คเพื่อนำไปใช้จัดการเรียนการสอนด้านการศึกษาวิชาชีพและการค้นคว้าข้อมูลของนักศึกษาอันเป็นการให้การศึกษาด้านวิชาชีพซึ่งเป็นภารกิจในการจัดทำบริการสาธารณะของสถานศึกษาของจำเลยให้บรรลุผล สัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อระบบเน็ตเวอร์คระหว่างโจทก์กับวิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อวิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นสถานศึกษาในสังกัดของจำเลย ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์คดังกล่าวระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยเป็นกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์ค จึงต้องพิจารณาว่า สัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์คดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อจำเลยมีภารกิจเกี่ยวกับการจัดและส่งเสริมการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพตามข้อ ๑ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษากระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยมีวิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยเป็นสถานศึกษาที่เป็นส่วนราชการอยู่ในสังกัด มีหน้าที่จัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพตามพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๑ อันเป็นภารกิจในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาวิชาชีพที่รัฐ เป็นผู้จัดทำ การที่วิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยซึ่งเป็นสถานศึกษาในสังกัดของจำเลยตกลงเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนการสอนและตกลงซื้อระบบเน็ตเวอร์คพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ จากโจทก์ก็เพื่อนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนด้านการศึกษาวิชาชีพและการค้นคว้าข้อมูลของนักศึกษา อันเป็นการให้การศึกษาด้านวิชาชีพซึ่งเป็นภารกิจในการจัดทำบริการสาธารณะของสถานศึกษาของจำเลยให้บรรลุผล สัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์คดังกล่าว จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) โจทก์ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๘/๒๕๕๔
วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลจังหวัดสุโขทัย
ระหว่าง
ศาลปกครองพิษณุโลก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดสุโขทัยโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ บริษัทล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) โจทก์ยื่นฟ้องสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำเลย ต่อศาลจังหวัดสุโขทัย เป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ. ๑๐๓/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ มีวิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยเป็นหน่วยงานในสังกัด เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๐ จำเลยโดยผู้อำนวยการวิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยทำสัญญาเช่าคอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนการสอน จำนวน ๕๐ เครื่องกับโจทก์ ระยะเวลาเช่า ๓ ปี กำหนดชำระค่าเช่าทุก ๆ ๖ เดือน เป็นเงินงวดละ ๒๖๘,๗๐๓.๗๕ บาท โจทก์ส่งมอบและติดตั้ง ตรวจสอบการใช้งานและบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้จำเลยได้ใช้ประโยชน์เรื่อยมา แต่จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่างวดที่ ๑ ถึงที่ ๔ แก่โจทก์ รวมเป็นเงิน ๑,๐๗๔,๘๑๕ บาท เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๐ จำเลยทำสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์คกับโจทก์ ราคา ๖๓๖,๘๖๔ บาท โจทก์ส่งมอบและติดตั้งระบบเน็ตเวอร์คให้จำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระราคาแก่โจทก์ และเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ จำเลยทำสัญญาเช่าคอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนการสอน จำนวน ๕๐ เครื่องกับโจทก์ ระยะเวลาเช่า ๓ ปี กำหนดชำระค่าเช่าทุก ๆ ๖ เดือน เป็นเงินงวดละ ๓๑๘,๐๕๗.๕๐ บาท โจทก์ส่งมอบและติดตั้ง ตรวจสอบการใช้งานและบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้จำเลยได้ใช้ประโยชน์เรื่อยมา แต่จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่างวดที่ ๑ ถึงที่ ๔ แก่โจทก์รวมเป็นเงิน ๑,๒๗๒,๒๓๐ บาท จำเลยค้างชำระเงินแก่โจทก์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๙๘๓,๙๐๙ บาท โจทก์ติดตามทวงถามแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๒,๙๘๓,๙๐๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากจำเลยมิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์และไม่เคยทำสัญญาเช่าคอมพิวเตอร์และสั่งซื้อระบบเน็ตเวอร์คและอุปกรณ์จากโจทก์ และไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ คู่สัญญาเช่าและผู้สั่งซื้อได้กระทำในฐานะส่วนตัวมิได้กระทำแทนจำเลยและมิได้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และคำฟ้องโจทก์ในส่วนของค่าเช่าขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า สัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์คเป็นสัญญาทางปกครอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสุโขทัยพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยเป็นหน่วยงานของรัฐพิพาทกับโจทก์ซึ่งเป็นเอกชน แต่สัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์คตามฟ้องยังไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ๔ ประเภท ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ และกรณีเป็นเรื่องสัญญาทางแพ่ง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองก่อนเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คดีนี้จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ มีภารกิจเกี่ยวกับการจัดและส่งเสริมการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพตามข้อ ๑ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษากระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยมีวิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยเป็นสถานศึกษาที่เป็นส่วนราชการอยู่ในสังกัด มีหน้าที่จัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพตามพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๑ อันเป็นภารกิจในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาวิชาชีพที่รัฐเป็นผู้จัดทำ การที่วิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยซึ่งเป็นสถานศึกษาในสังกัดของจำเลยตกลงเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนการสอนจากโจทก์และตกลงซื้อระบบเน็ตเวอร์คพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยกำหนดให้โจทก์ส่งมอบและติดตั้งที่วิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัย รวมทั้งให้โจทก์มีหน้าที่บำรุงรักษาคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดีอยู่เสมอตลอดอายุสัญญา จึงเป็นสัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์คเพื่อนำไปใช้จัดการเรียนการสอนด้านการศึกษาวิชาชีพและการค้นคว้าข้อมูลของนักศึกษาอันเป็นการให้การศึกษาด้านวิชาชีพซึ่งเป็นภารกิจในการจัดทำบริการสาธารณะของสถานศึกษาของจำเลยให้บรรลุผล สัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อระบบเน็ตเวอร์คระหว่างโจทก์กับวิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อวิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นสถานศึกษาในสังกัดของจำเลย ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์คดังกล่าวระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยเป็นกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์ค จึงต้องพิจารณาว่า สัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์คดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อจำเลยมีภารกิจเกี่ยวกับการจัดและส่งเสริมการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพตามข้อ ๑ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษากระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยมีวิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยเป็นสถานศึกษาที่เป็นส่วนราชการอยู่ในสังกัด มีหน้าที่จัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพตามพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๑ อันเป็นภารกิจในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาวิชาชีพที่รัฐ เป็นผู้จัดทำ การที่วิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัยซึ่งเป็นสถานศึกษาในสังกัดของจำเลยตกลงเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนการสอนและตกลงซื้อระบบเน็ตเวอร์คพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ จากโจทก์ก็เพื่อนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนด้านการศึกษาวิชาชีพและการค้นคว้าข้อมูลของนักศึกษา อันเป็นการให้การศึกษาด้านวิชาชีพซึ่งเป็นภารกิจในการจัดทำบริการสาธารณะของสถานศึกษาของจำเลยให้บรรลุผล สัญญาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และสัญญาซื้อขายระบบเน็ตเวอร์คดังกล่าว จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) โจทก์ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๗/๒๕๕๔
วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๒ บริษัทเทพยนต์ แอโรโมทีฟ อินดัสตรีส์ จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๒๗๓/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์รับจ้างซ่อมบำรุงดูแลรักษารถดับเพลิงและรถกู้ภัย รถยก รถหอน้ำ และรถดับเพลิงทุกชนิดให้จำเลยโดยมีค่าตอบแทนตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ จนถึงปัจจุบัน เมื่อปี ๒๕๔๘ จำเลยได้ทำสัญญาซื้อรถดับเพลิงและรถกู้ภัยกับบริษัทสไตเออร์ - เดมเลอร์ - พุค สเปเชี่ยล ฟาห์รซอย เอจีแอนด์ โคเอจี แห่งสาธารณรัฐออสเตรีย ต่อมาบริษัทสไตเออร์ฯ ได้จัดส่งรถดับเพลิงและรถกู้ภัย จำนวน ๑๗๖ คัน มากับเรือเพื่อส่งมอบให้แก่จำเลย ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จำเลยได้ขอรับรถดับเพลิงและรถกู้ภัยจากท่าเรือแหลมฉบังมาจอดเก็บฝากไว้ในพื้นที่โรงงานของโจทก์เพื่อให้โจทก์รับฝากเก็บดูแลรักษาไว้ในเบื้องต้นก่อนที่จะนำไปใช้ในกิจการของจำเลยต่อไป ซึ่งโรงงานดังกล่าวเป็นสถานที่รับจ้างซ่อมบำรุงดูแลรักษารถดับเพลิง รถบรรทุกน้ำ รถยก และรถกู้ภัย อันอยู่ในความดูแลของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในสังกัดของจำเลยโดยมีค่าตอบแทนอยู่ก่อนแล้ว จึงถือได้ว่าพฤติการณ์ระหว่างโจทก์และจำเลยนั้นเป็นนิติสัมพันธ์ในลักษณะฝากเก็บดูแลรักษาโดยคิดค่าฝากเก็บดูแลรักษาที่มีบำเหน็จค่าตอบแทนเช่นเดียวกับที่จำเลยต้องเสียค่าธรรมเนียมเก็บฝากกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย และเช่นเดียวกับที่จำเลยเคยว่าจ้างให้โจทก์ซ่อมบำรุงดูแลรักษารถดับเพลิงและรถกู้ภัยของจำเลย เมื่อจำเลยได้นำส่งรถดับเพลิงและรถกู้ภัยมาที่โรงงานของโจทก์แล้ว โจทก์ได้ตกลงรับมอบและรับฝากดูแลรักษาไว้ โจทก์ได้ทำหน้าที่ดูแลรักษาและซ่อมแซมรถดับเพลิงและรถกู้ภัยเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าบำเหน็จค่าฝาก อันได้แก่ ค่าภาระใช้พื้นที่วางพักจอดเก็บในพื้นที่ของโจทก์ รวมทั้งค่าภาระเคลื่อนย้ายรถ ค่าแรงช่างดูแลรักษาทำความสะอาดให้แก่โจทก์ ก่อนที่จะนำรถออกจากพื้นที่เก็บรักษาของโจทก์เช่นเดียวกับที่โจทก์จำเลยได้เคยปฏิบัติ โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระเงินค่าฝากดูแลรักษารถดับเพลิงและรถกู้ภัย แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและแจ้งให้จำเลยชำระเงินค่าฝากดูแลรักษารถยนต์ดับเพลิงและรถกู้ภัย แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระหนี้แต่อย่างใด ขอให้ศาลมีคำพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๓๓๖,๗๑๘,๓๕๐.๒๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๓๓๒,๐๘๓,๐๒๔.๖๙ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๙ บริษัทสไตเออร์ฯ ได้จัดส่งรถดับเพลิงและรถกู้ภัยมาถึงท่าเรือแหลมฉบัง จำเลยจึงมีหนังสือขอผ่อนผันรับของออกไปก่อนปฏิบัติพิธีการศุลกากร ซึ่งนายด่านศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังได้อนุมัติให้รับของออกไปก่อนได้ ในระหว่างนั้นโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทสไตเออร์ฯ ได้นำรถยนต์ดับเพลิงและรถกู้ภัยออกจากท่าเรือแหลมฉบังไปเก็บรักษาไว้ที่สถานที่ของโจทก์ โดยจำเลยมิได้มอบหมายให้โจทก์หรือบริษัทสไตเออร์ฯ เป็นผู้นำรถยนต์ดับเพลิงและรถกู้ภัยไปเก็บรักษาแต่อย่างใด หนังสือขอผ่อนผันไม่มีข้อความตอนใดระบุว่ามอบหมายให้โจทก์นำรถยนต์ดับเพลิงและรถกู้ภัยไปเก็บรักษาที่โรงงานของโจทก์ แม้ตามข้อตกลงซื้อขายประกอบบันทึกข้อตกลงความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐออสเตรีย โดยกรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย และบริษัทสไตเออร์ฯ จะกำหนดให้เป็นหน้าที่ของจำเลยในฐานะผู้ซื้อเป็นผู้ขนส่งและจัดส่งสิ่งของตามสัญญาจากท่าเรือประเทศไทยไปยังคลังเก็บสินค้า โดยผู้ขายเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ตาม แต่เนื่องจากตามข้อตกลงซื้อขายฯ กำหนดว่า ในการตรวจรับสิ่งของที่ถือว่าถูกต้องสมบูรณ์ตามข้อตกลงก็โดยคณะกรรมการตรวจรับที่ผู้ซื้อได้แต่งตั้งขึ้นได้ทำการตรวจรับสิ่งของที่ส่งมอบครบถ้วนถูกต้องเรียบร้อยตามข้อตกลงแล้ว ณ คลังเก็บสิ่งอุปกรณ์ จำเลยจะต้องให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุตรวจรับสิ่งของที่ส่งมอบก่อนว่าถูกต้องตามที่กำหนดในข้อตกลงซื้อขายฯ หรือไม่ ความรับผิดชอบของจำเลยในการดูแลรักษารถดับเพลิงและรถกู้ภัยจึงย่อมเกิดมีขึ้น ต่อมาได้มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการจัดซื้อดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้ส่งเรื่องให้จำเลยเพื่อยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลเพิกถอนการอนุมัติหรืออนุญาตเกี่ยวกับข้อตกลงซื้อขายฯ จำเลยจึงยื่นฟ้องบริษัทสไตเออร์ฯ ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๒ เป็นคดีหมายเลขดำที่ กค. ๑๕๕/๒๕๕๒ จำเลยไม่เคยทำสัญญาฝากทรัพย์ตามฟ้องกับโจทก์ โจทก์และจำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ในเรื่องฝากทรัพย์และดูแลรักษาทรัพย์ตามฟ้องแต่อย่างใด แม้จำเลยจะเคยจ้างโจทก์ให้ซ่อมบำรุงรักษารถดับเพลิงของจำเลยมาก่อนก็ตาม แต่ในการจ้างจำเลยต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและระเบียบของทางราชการ และมีการทำสัญญาว่าจ้างเป็นหลักฐานทุกครั้ง โจทก์จะถือเอาพฤติการณ์ที่จำเลยเคยว่าจ้างโจทก์ให้ซ่อมรถดับเพลิงมาก่อนเป็นเหตุให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องหาได้ไม่ นอกจากนี้ จำเลยไม่เคยมอบหมายหรือยินยอมให้โจทก์นำรถดับเพลิงและรถกู้ภัยไปดูแลรักษาและฝากทรัพย์ไว้กับโจทก์ในสถานที่ของโจทก์แต่อย่างใด ขอให้ศาลยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ข้อตกลงซื้อขายฯ เป็นการดำเนินการปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการจัดซื้อรถดับเพลิงและอุปกรณ์ดับเพลิงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และภารกิจของจำเลยในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อันเป็นบริการสาธารณะซึ่งจำเลยในฐานะหน่วยงานราชการบริหารส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการบริการสาธารณะตามกฎหมาย ข้อตกลงซื้อขายฯ ดังกล่าว จึงเป็นสัญญาทางปกครองซึ่งจำเลยตกลงมอบหมายให้ผู้ขายจัดหาบริการสาธารณะแทนจำเลย การที่โจทก์นำรถยนต์ดับเพลิงและรถกู้ภัยไปเก็บรักษา แม้จะกระทำไปโดยพลการ แต่ก็เกี่ยวเนื่องกับสัญญาทางปกครองซึ่งจำเลยกระทำไปภายในขอบวัตถุประสงค์ของสัญญาซื้อขาย ฟ้องโจทก์จึงเกี่ยวเนื่องกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แต่โจทก์ไม่มีหน้าที่หรือมีส่วนร่วมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงมิใช่สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ การเก็บ ดูแลรักษารถดับเพลิงและรถกู้ภัย เป็นเพียงสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อมุ่งประโยชน์ในการดูแลทรัพย์สินของจำเลย และสนับสนุนการให้บริการสาธารณะให้สำเร็จลุล่วงไปได้เท่านั้น ทั้งไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ จึงมิใช่สัญญาทางปกครองตามความหมายในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ โดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้จำเลยมีอำนาจหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยได้ทำสัญญารับฝากทรัพย์คือ รถยนต์ดับเพลิงฯ จำนวน ๑๗๖ คัน กับโจทก์ ซึ่งเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง ทรัพย์ที่โจทก์รับฝากตามสัญญาคือรถดับเพลิงและรถกู้ภัยซึ่งเป็นทรัพย์ที่ใช้โดยตรงในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลย จำเลยจึงต้องมีหน้าที่ในการเก็บ ดูแล บำรุงรักษาและซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา แต่จำเลยไม่ดำเนินการเองโดยมอบให้โจทก์ทำหน้าที่ดังกล่าวแทน ซึ่งหากโจทก์ไม่ดำเนินการ จำเลยย่อมไม่อาจนำรถดับเพลิงและรถกู้ภัยพร้อมอุปกรณ์ไปใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลย ตามอำนาจหน้าที่ของตนให้บรรลุผลได้ สัญญาฝากทรัพย์ดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์ให้โจทก์เข้ามีส่วนร่วมโดยตรงในการจัดทำบริการสาธารณะ จึงเป็นสัญญาทางปกครอง เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยไม่ชำระบำเหน็จค่าฝากทรัพย์ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าฝากทรัพย์พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยเป็นราชการส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญารับฝากรถยนต์ดับเพลิงและรถกู้ภัย จึงต้องพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แม้จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะก็ตาม แต่สัญญารับฝากทรัพย์ระหว่างโจทก์กับจำเลยหากมีอยู่ก็เป็นเพียงสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อมุ่งประโยชน์ในการดูแลทรัพย์สินของจำเลย โจทก์คงมีหน้าที่เพียงดูแลรักษาทรัพย์ที่รับฝากไว้ในอารักขาแห่งตนแล้วส่งมอบคืนให้แก่จำเลย และโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกร้องบำเหน็จค่าฝากได้หรือไม่เพียงใดเท่านั้น สัญญาดังกล่าวจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หรือเป็นสัญญาที่หน่วยงานทางปกครองให้โจทก์เข้าดำเนินการหรือเข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะโดยตรง แต่เป็นสัญญาทางแพ่งที่มีหน่วยงานทางปกครองเป็นคู่สัญญาเท่านั้น ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทเทพยนต์ แอโรโมทีฟ อินดัสตรีส์ จำกัด โจทก์ กรุงเทพมหานคร จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๗/๒๕๕๔
วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๒ บริษัทเทพยนต์ แอโรโมทีฟ อินดัสตรีส์ จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๒๗๓/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์รับจ้างซ่อมบำรุงดูแลรักษารถดับเพลิงและรถกู้ภัย รถยก รถหอน้ำ และรถดับเพลิงทุกชนิดให้จำเลยโดยมีค่าตอบแทนตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ จนถึงปัจจุบัน เมื่อปี ๒๕๔๘ จำเลยได้ทำสัญญาซื้อรถดับเพลิงและรถกู้ภัยกับบริษัทสไตเออร์ - เดมเลอร์ - พุค สเปเชี่ยล ฟาห์รซอย เอจีแอนด์ โคเอจี แห่งสาธารณรัฐออสเตรีย ต่อมาบริษัทสไตเออร์ฯ ได้จัดส่งรถดับเพลิงและรถกู้ภัย จำนวน ๑๗๖ คัน มากับเรือเพื่อส่งมอบให้แก่จำเลย ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จำเลยได้ขอรับรถดับเพลิงและรถกู้ภัยจากท่าเรือแหลมฉบังมาจอดเก็บฝากไว้ในพื้นที่โรงงานของโจทก์เพื่อให้โจทก์รับฝากเก็บดูแลรักษาไว้ในเบื้องต้นก่อนที่จะนำไปใช้ในกิจการของจำเลยต่อไป ซึ่งโรงงานดังกล่าวเป็นสถานที่รับจ้างซ่อมบำรุงดูแลรักษารถดับเพลิง รถบรรทุกน้ำ รถยก และรถกู้ภัย อันอยู่ในความดูแลของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในสังกัดของจำเลยโดยมีค่าตอบแทนอยู่ก่อนแล้ว จึงถือได้ว่าพฤติการณ์ระหว่างโจทก์และจำเลยนั้นเป็นนิติสัมพันธ์ในลักษณะฝากเก็บดูแลรักษาโดยคิดค่าฝากเก็บดูแลรักษาที่มีบำเหน็จค่าตอบแทนเช่นเดียวกับที่จำเลยต้องเสียค่าธรรมเนียมเก็บฝากกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย และเช่นเดียวกับที่จำเลยเคยว่าจ้างให้โจทก์ซ่อมบำรุงดูแลรักษารถดับเพลิงและรถกู้ภัยของจำเลย เมื่อจำเลยได้นำส่งรถดับเพลิงและรถกู้ภัยมาที่โรงงานของโจทก์แล้ว โจทก์ได้ตกลงรับมอบและรับฝากดูแลรักษาไว้ โจทก์ได้ทำหน้าที่ดูแลรักษาและซ่อมแซมรถดับเพลิงและรถกู้ภัยเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าบำเหน็จค่าฝาก อันได้แก่ ค่าภาระใช้พื้นที่วางพักจอดเก็บในพื้นที่ของโจทก์ รวมทั้งค่าภาระเคลื่อนย้ายรถ ค่าแรงช่างดูแลรักษาทำความสะอาดให้แก่โจทก์ ก่อนที่จะนำรถออกจากพื้นที่เก็บรักษาของโจทก์เช่นเดียวกับที่โจทก์จำเลยได้เคยปฏิบัติ โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระเงินค่าฝากดูแลรักษารถดับเพลิงและรถกู้ภัย แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและแจ้งให้จำเลยชำระเงินค่าฝากดูแลรักษารถยนต์ดับเพลิงและรถกู้ภัย แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระหนี้แต่อย่างใด ขอให้ศาลมีคำพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๓๓๖,๗๑๘,๓๕๐.๒๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๓๓๒,๐๘๓,๐๒๔.๖๙ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๙ บริษัทสไตเออร์ฯ ได้จัดส่งรถดับเพลิงและรถกู้ภัยมาถึงท่าเรือแหลมฉบัง จำเลยจึงมีหนังสือขอผ่อนผันรับของออกไปก่อนปฏิบัติพิธีการศุลกากร ซึ่งนายด่านศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังได้อนุมัติให้รับของออกไปก่อนได้ ในระหว่างนั้นโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทสไตเออร์ฯ ได้นำรถยนต์ดับเพลิงและรถกู้ภัยออกจากท่าเรือแหลมฉบังไปเก็บรักษาไว้ที่สถานที่ของโจทก์ โดยจำเลยมิได้มอบหมายให้โจทก์หรือบริษัทสไตเออร์ฯ เป็นผู้นำรถยนต์ดับเพลิงและรถกู้ภัยไปเก็บรักษาแต่อย่างใด หนังสือขอผ่อนผันไม่มีข้อความตอนใดระบุว่ามอบหมายให้โจทก์นำรถยนต์ดับเพลิงและรถกู้ภัยไปเก็บรักษาที่โรงงานของโจทก์ แม้ตามข้อตกลงซื้อขายประกอบบันทึกข้อตกลงความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐออสเตรีย โดยกรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย และบริษัทสไตเออร์ฯ จะกำหนดให้เป็นหน้าที่ของจำเลยในฐานะผู้ซื้อเป็นผู้ขนส่งและจัดส่งสิ่งของตามสัญญาจากท่าเรือประเทศไทยไปยังคลังเก็บสินค้า โดยผู้ขายเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ตาม แต่เนื่องจากตามข้อตกลงซื้อขายฯ กำหนดว่า ในการตรวจรับสิ่งของที่ถือว่าถูกต้องสมบูรณ์ตามข้อตกลงก็โดยคณะกรรมการตรวจรับที่ผู้ซื้อได้แต่งตั้งขึ้นได้ทำการตรวจรับสิ่งของที่ส่งมอบครบถ้วนถูกต้องเรียบร้อยตามข้อตกลงแล้ว ณ คลังเก็บสิ่งอุปกรณ์ จำเลยจะต้องให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุตรวจรับสิ่งของที่ส่งมอบก่อนว่าถูกต้องตามที่กำหนดในข้อตกลงซื้อขายฯ หรือไม่ ความรับผิดชอบของจำเลยในการดูแลรักษารถดับเพลิงและรถกู้ภัยจึงย่อมเกิดมีขึ้น ต่อมาได้มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการจัดซื้อดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้ส่งเรื่องให้จำเลยเพื่อยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลเพิกถอนการอนุมัติหรืออนุญาตเกี่ยวกับข้อตกลงซื้อขายฯ จำเลยจึงยื่นฟ้องบริษัทสไตเออร์ฯ ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๒ เป็นคดีหมายเลขดำที่ กค. ๑๕๕/๒๕๕๒ จำเลยไม่เคยทำสัญญาฝากทรัพย์ตามฟ้องกับโจทก์ โจทก์และจำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ในเรื่องฝากทรัพย์และดูแลรักษาทรัพย์ตามฟ้องแต่อย่างใด แม้จำเลยจะเคยจ้างโจทก์ให้ซ่อมบำรุงรักษารถดับเพลิงของจำเลยมาก่อนก็ตาม แต่ในการจ้างจำเลยต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและระเบียบของทางราชการ และมีการทำสัญญาว่าจ้างเป็นหลักฐานทุกครั้ง โจทก์จะถือเอาพฤติการณ์ที่จำเลยเคยว่าจ้างโจทก์ให้ซ่อมรถดับเพลิงมาก่อนเป็นเหตุให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องหาได้ไม่ นอกจากนี้ จำเลยไม่เคยมอบหมายหรือยินยอมให้โจทก์นำรถดับเพลิงและรถกู้ภัยไปดูแลรักษาและฝากทรัพย์ไว้กับโจทก์ในสถานที่ของโจทก์แต่อย่างใด ขอให้ศาลยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ข้อตกลงซื้อขายฯ เป็นการดำเนินการปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการจัดซื้อรถดับเพลิงและอุปกรณ์ดับเพลิงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และภารกิจของจำเลยในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อันเป็นบริการสาธารณะซึ่งจำเลยในฐานะหน่วยงานราชการบริหารส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการบริการสาธารณะตามกฎหมาย ข้อตกลงซื้อขายฯ ดังกล่าว จึงเป็นสัญญาทางปกครองซึ่งจำเลยตกลงมอบหมายให้ผู้ขายจัดหาบริการสาธารณะแทนจำเลย การที่โจทก์นำรถยนต์ดับเพลิงและรถกู้ภัยไปเก็บรักษา แม้จะกระทำไปโดยพลการ แต่ก็เกี่ยวเนื่องกับสัญญาทางปกครองซึ่งจำเลยกระทำไปภายในขอบวัตถุประสงค์ของสัญญาซื้อขาย ฟ้องโจทก์จึงเกี่ยวเนื่องกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แต่โจทก์ไม่มีหน้าที่หรือมีส่วนร่วมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงมิใช่สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ การเก็บ ดูแลรักษารถดับเพลิงและรถกู้ภัย เป็นเพียงสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อมุ่งประโยชน์ในการดูแลทรัพย์สินของจำเลย และสนับสนุนการให้บริการสาธารณะให้สำเร็จลุล่วงไปได้เท่านั้น ทั้งไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ จึงมิใช่สัญญาทางปกครองตามความหมายในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ โดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้จำเลยมีอำนาจหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยได้ทำสัญญารับฝากทรัพย์คือ รถยนต์ดับเพลิงฯ จำนวน ๑๗๖ คัน กับโจทก์ ซึ่งเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง ทรัพย์ที่โจทก์รับฝากตามสัญญาคือรถดับเพลิงและรถกู้ภัยซึ่งเป็นทรัพย์ที่ใช้โดยตรงในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลย จำเลยจึงต้องมีหน้าที่ในการเก็บ ดูแล บำรุงรักษาและซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา แต่จำเลยไม่ดำเนินการเองโดยมอบให้โจทก์ทำหน้าที่ดังกล่าวแทน ซึ่งหากโจทก์ไม่ดำเนินการ จำเลยย่อมไม่อาจนำรถดับเพลิงและรถกู้ภัยพร้อมอุปกรณ์ไปใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลย ตามอำนาจหน้าที่ของตนให้บรรลุผลได้ สัญญาฝากทรัพย์ดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์ให้โจทก์เข้ามีส่วนร่วมโดยตรงในการจัดทำบริการสาธารณะ จึงเป็นสัญญาทางปกครอง เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยไม่ชำระบำเหน็จค่าฝากทรัพย์ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าฝากทรัพย์พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยเป็นราชการส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญารับฝากรถยนต์ดับเพลิงและรถกู้ภัย จึงต้องพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แม้จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะก็ตาม แต่สัญญารับฝากทรัพย์ระหว่างโจทก์กับจำเลยหากมีอยู่ก็เป็นเพียงสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อมุ่งประโยชน์ในการดูแลทรัพย์สินของจำเลย โจทก์คงมีหน้าที่เพียงดูแลรักษาทรัพย์ที่รับฝากไว้ในอารักขาแห่งตนแล้วส่งมอบคืนให้แก่จำเลย และโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกร้องบำเหน็จค่าฝากได้หรือไม่เพียงใดเท่านั้น สัญญาดังกล่าวจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หรือเป็นสัญญาที่หน่วยงานทางปกครองให้โจทก์เข้าดำเนินการหรือเข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะโดยตรง แต่เป็นสัญญาทางแพ่งที่มีหน่วยงานทางปกครองเป็นคู่สัญญาเท่านั้น ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทเทพยนต์ แอโรโมทีฟ อินดัสตรีส์ จำกัด โจทก์ กรุงเทพมหานคร จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๖/๒๕๕๔
วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๒ บริษัทวงศ์ภัทระ จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องกรมทางหลวง และการประปานครหลวง ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๐๒๘/๒๕๕๒ และ ๒๐๒๙/๒๕๕๒ และเมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๒ โจทก์ได้ยื่นฟ้องการไฟฟ้านครหลวง ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๗๑/๒๕๕๒ ต่อมาได้โอนมารวมกับคดีของศาลแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๐๒๘/๒๕๕๒ โดยตั้งคดีใหม่เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๒๐๖/๒๕๕๒ ศาลแพ่งอนุญาตให้รวมคดีทั้งสามสำนวนเข้าด้วยกัน และให้เรียกโจทก์ทั้งสามสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ ๒๐๒๘/๒๕๕๒, ๒๐๒๙/๒๕๕๒ และ ๕๒๐๖/๒๕๕๒ ว่า จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ตามลำดับ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๙๘๒๔ ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๓๕ ตารางวา เมื่อประมาณกลางปี ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๑ ปรับปรุงขยายถนนเทพารักษ์หรือทางหลวงจังหวัดสายสำโรง-บางพลี-บางบ่อ (๓๒๖๘) ด้านทิศเหนือของที่ดินโจทก์ โจทก์ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินดังกล่าวปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ ก่อสร้างถนนรุกล้ำที่ดินของโจทก์ด้านทิศเหนือกว้างประมาณ ๑.๒๕ เมตร ยาวประมาณ ๕๕ เมตร คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ ๑๗ ตารางวา และก่อสร้างบันไดทางเท้าขึ้นลงสะพานในที่ดินดังกล่าวด้วย ส่วนจำเลยที่ ๒ ได้วางท่อส่งน้ำประปาพร้อมอุปกรณ์เปิดปิดน้ำรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ประมาณ ๒.๘๕ เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินประมาณ ๖๐.๒๙ เมตร และจำเลยที่ ๓ ปักเสาไฟฟ้ารุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ประมาณ ๑.๖๕ เมตร และพาดสายไฟฟ้าผ่านที่ดินโจทก์ยาวตลอดแนวประมาณ ๖๐.๒๙ เมตร การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้รื้อถอนท่อส่งน้ำประปาพร้อมอุปกรณ์ กับเสาไฟฟ้าและสายไฟฟ้า และทำที่ดินให้มีสภาพเรียบร้อยตามเดิม พร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๓ รับรองแนวเขตที่ดินตามแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๙๘๒๔ ด้านติดถนนเทพารักษ์ให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๓ ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๓
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า เจ้าของที่ดินเดิมได้แบ่งหักที่ดินพิพาทให้เป็นถนนเทพารักษ์อันเป็นทางสาธารณประโยชน์ตั้งแต่ปี ๒๕๑๑ และแบ่งหักเพิ่มเติมให้อีกในปี ๒๕๑๕ การก่อสร้างทางหลวงและบันได ขึ้นลงเป็นการก่อสร้างในพื้นที่เขตทางหลวงมิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ จึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ มิได้วางท่อประปาและอุปกรณ์การจ่ายน้ำรุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่วางในเขตแนวถนนเทพารักษ์หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๖๘ ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ มิได้ปักเสาพาดสายไฟฟ้ารุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่ได้กระทำไปตามที่จำเลยที่ ๑ ขยายถนนเทพารักษ์และแจ้งให้จำเลยที่ ๓ รื้อถอนเสาไฟฟ้าต้นเดิมและกำหนดตำแหน่งให้ปักเสาต้นใหม่และพาดสายไฟฟ้าลงในตำแหน่งที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๓ เข้าใจโดยสุจริตว่าปักเสาในแนวเขตที่ดินของกรมทางหลวงซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน จำเลยที่ ๓ มิได้กระทำละเมิด ขอให้ ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย การที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ทำละเมิดวางท่อประปารุกล้ำที่ดินของโจทก์ และจำเลยที่ ๓ ปักเสาพาดสายไฟฟ้ารุกล้ำที่ดินของโจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย มูลคดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองอ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๙๘๒๔ แต่ถูกจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ วางท่อประปาพร้อมอุปกรณ์กับเสาไฟฟ้าและพาดสายไฟรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ โจทก์รังวัดตรวจสอบพบการกระทำดังกล่าวซึ่งเป็นการกระทำละเมิด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวและให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่าไม่ได้กระทำละเมิด ดังนี้ศาลจำต้องพิจารณาว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ แล้วจึงจะพิจารณาได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นละเมิดหรือไม่ และจะต้องชดใช้ค่าเสียหายกันเพียงใด เมื่อจำต้องพิจารณาถึงสิทธิในที่ดินพิพาทของโจทก์แล้ว จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองก่อนเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง นอกจากนั้นยังจำต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยที่เป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องคดี รวมทั้งคำฟ้องและคำขอท้ายคำฟ้องประกอบด้วยซึ่งในแต่ละคดีจะมีความแตกต่างกันและไม่อาจเทียบเคียงกันได้ เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินเลขที่ ๘๙๘๒๔ ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๓๕ ตารางวา ทิศเหนือจดทางหลวงจังหวัดสายสำโรง-บางพลี-บางบ่อ (๓๒๖๘) หรือถนนเทพารักษ์ เมื่อประมาณกลางปี ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๑ ได้ทำการปรับปรุงถนนสายดังกล่าวโดยได้ก่อสร้างสะพานข้ามคลองบางเรือนให้สูงและกว้างขึ้น เพื่อก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กใช้เป็นทางกลับรถ และได้ก่อสร้างบันไดทางเดินเท้าขึ้นลงสะพาน โจทก์ได้ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินแล้วพบว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กส่วนที่ใช้เป็นทางกลับรถและบันไดทางเดินเท้าขึ้นสะพานดังกล่าวรุกล้ำที่ดินของโจทก์ โดยทางเดินเท้าขึ้นลงสะพานรุกล้ำที่ดินโจทก์กว้างประมาณ ๑.๒๐ เมตร ส่วนถนนคอนกรีตเสริมเหล็กรุกล้ำที่ดินโจทก์เนื้อที่ประมาณ ๑๗ ตารางวา และพบว่าจำเลยที่ ๒ ได้วางท่อประปาพร้อมอุปกรณ์ประตูเปิดปิดน้ำรุกล้ำที่ดินโจทก์ประมาณ ๒.๘๕ เมตร ยาวตลอดแนวเขตที่ดินประมาณ ๖๐.๒๙ เมตร นอกจากนั้นจำเลยที่ ๓ ยังได้ปักเสาไฟฟ้าจำนวน ๑ ต้น รุกล้ำที่ดินโจทก์ประมาณ ๑.๖๕ เมตร และได้พาดสายไฟฟ้าผ่านที่ดินโจทก์ตลอดแนวยาวประมาณ ๖๐.๒๙ เมตร โจทก์เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นการกระทำโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีจึงเห็นได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นกรมตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติการประปานครหลวง พ.ศ. ๒๕๑๐ และพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. ๒๕๐๑ ดังนั้น จำเลยทั้งสามจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการดำเนินกิจการทางปกครองเพื่อจัดให้มีถนน ประปา และไฟฟ้า ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของประชาชนในประเทศ แต่ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดจนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีพิพาทดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และการที่โจทก์ได้มีคำขอท้ายคำฟ้องรวม ๓ ข้อดังกล่าวนั้น เป็นคำขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสามทำการรื้อถอนและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ พร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โดยห้ามมิให้ใช้ที่ดินพิพาทของโจทก์เป็นถนนสาธารณประโยชน์ เป็นที่วางท่อประปา และเป็นที่ปักเสาพาดสายไฟฟ้าสาธารณะ กับให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหาย จึงเป็นกรณีที่มีคำขอให้ศาลออกคำสั่งห้ามกระทำการทั้งหมดในที่ดินพิพาท และสั่งให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการ ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและกระทำการละเมิด ศาลปกครองสามารถกำหนดคำบังคับได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) ประกอบมาตรา ๗๑ (๑) และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่ ศาลแพ่งมีความเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ศาลจึงต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ แล้วจึงจะพิจารณาได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นละเมิดหรือไม่และจะต้องชดใช้ค่าเสียหายกันเพียงใด คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม นั้น ศาลปกครองกลางไม่เห็นพ้องด้วย เนื่องจากที่ดินของโจทก์ตามหลักฐานโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๙๘๒๔ เป็นที่ดินที่มีอาณาเขตชัดเจนแน่นอน มีเนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ๒ งาน ๓๕ ตารางวา การที่โจทก์ได้ขอรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงดังกล่าว โดยผลการรังวัดปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓ โจทก์ได้นำชี้ว่าเป็นที่ดินโจทก์จำนวนเนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ๒ งาน ๓๕ ตารางวา ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนเนื้อที่และรูปแผนที่ท้ายโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๙๘๒๔ ของโจทก์ และเมื่อโจทก์พบว่าจำเลยทั้งสามได้ทำการปรับปรุงถนนทางหลวงจังหวัด วางท่อประปา และปักเสาไฟฟ้ารุกล้ำที่ดินของโจทก์ กรณีย่อมเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้โดยชอบหรือไม่ และเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ การที่จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตทางหลวง การดำเนินการของจำเลยทั้งสามจึงมิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์และมิได้เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ เป็นเพียงการยกประเด็นเกี่ยวกับสถานะของที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นข้อต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทมิใช่ที่ดินของโจทก์แต่เป็นเขตทางหลวงซึ่งเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามมิได้เป็นผู้กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมิได้เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ หาใช่กรณีพิพาทที่มีการโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทแต่อย่างใด และในการวินิจฉัยกรณีพิพาทคดีนี้ แม้ศาลจะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์หรือไม่เพื่อนำข้อเท็จจริงมาประกอบการพิจารณาในประเด็นที่ว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ก็เป็นเพียงการแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อนำมาประกอบในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลเท่านั้น ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่ห้ามมิให้ศาลปกครองดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลหรือสิทธิในที่ดินพิพาทคดีนี้ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ นอกจากนี้การที่จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองย่อมมิอาจ ถือได้ว่าเป็นผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือผู้ทรงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เป็นแต่เพียงผู้ที่มีหน้าที่ดูแลรักษา หรือวางท่อประปาพร้อมอุปกรณ์ หรือปักเสาพาดสายไฟฟ้าในเขตทางหลวงซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเท่านั้น กรณีพิพาทในลักษณะเช่นนี้จึงไม่อาจเป็นคดีพิพาทอันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินด้วยข้อเท็จจริงและเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยทั้งสามจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่ตามคำฟ้องคดีนี้โจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๙๘๒๔ ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๓๕ ตารางวา โจทก์รังวัดสอบเขตที่ดินดังกล่าวพบว่า จำเลยที่ ๑ ก่อสร้างถนนรุกล้ำที่ดินของโจทก์ด้านทิศเหนือกว้างประมาณ ๑.๒๕ เมตร ยาวประมาณ ๕๕ เมตร คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ ๑๗ ตารางวา และก่อสร้างบันไดทางเท้าขึ้นลงสะพานในที่ดินดังกล่าวด้วย ส่วนจำเลยที่ ๒ ได้วางท่อส่งน้ำประปาพร้อมอุปกรณ์เปิดปิดน้ำรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ประมาณ ๒.๘๕ เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินประมาณ ๖๐.๒๙ เมตร และจำเลยที่ ๓ ปักเสาไฟฟ้ารุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ประมาณ ๑.๖๕ เมตร และพาดสายไฟฟ้าผ่านที่ดินโจทก์ยาวตลอดแนวประมาณ ๖๐.๒๙ เมตร การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้รื้อถอนท่อส่งน้ำประปาพร้อมอุปกรณ์ กับเสาไฟฟ้าและสายไฟฟ้า และทำที่ดินให้มีสภาพเรียบร้อยตามเดิม พร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๓ รับรองแนวเขตที่ดินตามแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๙๘๒๔ ด้านติดถนนเทพารักษ์ให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๓ ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๓ ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่า ที่ดินพิพาทเจ้าของที่ดินเดิมได้แบ่งหักให้เป็นถนนเทพารักษ์อันเป็นทางสาธารณประโยชน์ตั้งแต่ปี ๒๕๑๑ และแบ่งหักเพิ่มเติมให้อีกในปี ๒๕๑๕ การก่อสร้างทางหลวงและบันไดขึ้นลงเป็นการก่อสร้างในพื้นที่เขตทางหลวงมิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ จึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ มิได้วางท่อประปาและอุปกรณ์การจ่ายน้ำรุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่วางในเขตแนวถนนเทพารักษ์หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๖๘ ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ และจำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ มิได้ปักเสาพาดสายไฟฟ้ารุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่ได้กระทำไปตามที่จำเลยที่ ๑ ขยายถนนเทพารักษ์และแจ้งให้จำเลยที่ ๓ รื้อถอนเสาไฟฟ้าต้นเดิมและกำหนดตำแหน่งให้ปักเสาต้นใหม่และพาดสายไฟฟ้าลงในตำแหน่งที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๓ เข้าใจโดยสุจริตว่าปักเสาในแนวเขตที่ดินของกรมทางหลวงซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน จำเลยที่ ๓ มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นถนนสาธารณะเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทวงศ์ภัทระ จำกัด โจทก์ กรมทางหลวง ที่ ๑ การประปานครหลวง ที่ ๒ การไฟฟ้านครหลวง ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๖/๒๕๕๔
วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๒ บริษัทวงศ์ภัทระ จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องกรมทางหลวง และการประปานครหลวง ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๐๒๘/๒๕๕๒ และ ๒๐๒๙/๒๕๕๒ และเมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๒ โจทก์ได้ยื่นฟ้องการไฟฟ้านครหลวง ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๗๑/๒๕๕๒ ต่อมาได้โอนมารวมกับคดีของศาลแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๐๒๘/๒๕๕๒ โดยตั้งคดีใหม่เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๒๐๖/๒๕๕๒ ศาลแพ่งอนุญาตให้รวมคดีทั้งสามสำนวนเข้าด้วยกัน และให้เรียกโจทก์ทั้งสามสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ ๒๐๒๘/๒๕๕๒, ๒๐๒๙/๒๕๕๒ และ ๕๒๐๖/๒๕๕๒ ว่า จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ตามลำดับ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๙๘๒๔ ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๓๕ ตารางวา เมื่อประมาณกลางปี ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๑ ปรับปรุงขยายถนนเทพารักษ์หรือทางหลวงจังหวัดสายสำโรง-บางพลี-บางบ่อ (๓๒๖๘) ด้านทิศเหนือของที่ดินโจทก์ โจทก์ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินดังกล่าวปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ ก่อสร้างถนนรุกล้ำที่ดินของโจทก์ด้านทิศเหนือกว้างประมาณ ๑.๒๕ เมตร ยาวประมาณ ๕๕ เมตร คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ ๑๗ ตารางวา และก่อสร้างบันไดทางเท้าขึ้นลงสะพานในที่ดินดังกล่าวด้วย ส่วนจำเลยที่ ๒ ได้วางท่อส่งน้ำประปาพร้อมอุปกรณ์เปิดปิดน้ำรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ประมาณ ๒.๘๕ เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินประมาณ ๖๐.๒๙ เมตร และจำเลยที่ ๓ ปักเสาไฟฟ้ารุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ประมาณ ๑.๖๕ เมตร และพาดสายไฟฟ้าผ่านที่ดินโจทก์ยาวตลอดแนวประมาณ ๖๐.๒๙ เมตร การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้รื้อถอนท่อส่งน้ำประปาพร้อมอุปกรณ์ กับเสาไฟฟ้าและสายไฟฟ้า และทำที่ดินให้มีสภาพเรียบร้อยตามเดิม พร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๓ รับรองแนวเขตที่ดินตามแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๙๘๒๔ ด้านติดถนนเทพารักษ์ให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๓ ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๓
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า เจ้าของที่ดินเดิมได้แบ่งหักที่ดินพิพาทให้เป็นถนนเทพารักษ์อันเป็นทางสาธารณประโยชน์ตั้งแต่ปี ๒๕๑๑ และแบ่งหักเพิ่มเติมให้อีกในปี ๒๕๑๕ การก่อสร้างทางหลวงและบันได ขึ้นลงเป็นการก่อสร้างในพื้นที่เขตทางหลวงมิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ จึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ มิได้วางท่อประปาและอุปกรณ์การจ่ายน้ำรุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่วางในเขตแนวถนนเทพารักษ์หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๖๘ ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ มิได้ปักเสาพาดสายไฟฟ้ารุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่ได้กระทำไปตามที่จำเลยที่ ๑ ขยายถนนเทพารักษ์และแจ้งให้จำเลยที่ ๓ รื้อถอนเสาไฟฟ้าต้นเดิมและกำหนดตำแหน่งให้ปักเสาต้นใหม่และพาดสายไฟฟ้าลงในตำแหน่งที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๓ เข้าใจโดยสุจริตว่าปักเสาในแนวเขตที่ดินของกรมทางหลวงซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน จำเลยที่ ๓ มิได้กระทำละเมิด ขอให้ ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย การที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ทำละเมิดวางท่อประปารุกล้ำที่ดินของโจทก์ และจำเลยที่ ๓ ปักเสาพาดสายไฟฟ้ารุกล้ำที่ดินของโจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย มูลคดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองอ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๙๘๒๔ แต่ถูกจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ วางท่อประปาพร้อมอุปกรณ์กับเสาไฟฟ้าและพาดสายไฟรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ โจทก์รังวัดตรวจสอบพบการกระทำดังกล่าวซึ่งเป็นการกระทำละเมิด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวและให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่าไม่ได้กระทำละเมิด ดังนี้ศาลจำต้องพิจารณาว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ แล้วจึงจะพิจารณาได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นละเมิดหรือไม่ และจะต้องชดใช้ค่าเสียหายกันเพียงใด เมื่อจำต้องพิจารณาถึงสิทธิในที่ดินพิพาทของโจทก์แล้ว จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองก่อนเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง นอกจากนั้นยังจำต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยที่เป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องคดี รวมทั้งคำฟ้องและคำขอท้ายคำฟ้องประกอบด้วยซึ่งในแต่ละคดีจะมีความแตกต่างกันและไม่อาจเทียบเคียงกันได้ เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินเลขที่ ๘๙๘๒๔ ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๓๕ ตารางวา ทิศเหนือจดทางหลวงจังหวัดสายสำโรง-บางพลี-บางบ่อ (๓๒๖๘) หรือถนนเทพารักษ์ เมื่อประมาณกลางปี ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๑ ได้ทำการปรับปรุงถนนสายดังกล่าวโดยได้ก่อสร้างสะพานข้ามคลองบางเรือนให้สูงและกว้างขึ้น เพื่อก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กใช้เป็นทางกลับรถ และได้ก่อสร้างบันไดทางเดินเท้าขึ้นลงสะพาน โจทก์ได้ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินแล้วพบว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กส่วนที่ใช้เป็นทางกลับรถและบันไดทางเดินเท้าขึ้นสะพานดังกล่าวรุกล้ำที่ดินของโจทก์ โดยทางเดินเท้าขึ้นลงสะพานรุกล้ำที่ดินโจทก์กว้างประมาณ ๑.๒๐ เมตร ส่วนถนนคอนกรีตเสริมเหล็กรุกล้ำที่ดินโจทก์เนื้อที่ประมาณ ๑๗ ตารางวา และพบว่าจำเลยที่ ๒ ได้วางท่อประปาพร้อมอุปกรณ์ประตูเปิดปิดน้ำรุกล้ำที่ดินโจทก์ประมาณ ๒.๘๕ เมตร ยาวตลอดแนวเขตที่ดินประมาณ ๖๐.๒๙ เมตร นอกจากนั้นจำเลยที่ ๓ ยังได้ปักเสาไฟฟ้าจำนวน ๑ ต้น รุกล้ำที่ดินโจทก์ประมาณ ๑.๖๕ เมตร และได้พาดสายไฟฟ้าผ่านที่ดินโจทก์ตลอดแนวยาวประมาณ ๖๐.๒๙ เมตร โจทก์เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นการกระทำโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีจึงเห็นได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นกรมตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติการประปานครหลวง พ.ศ. ๒๕๑๐ และพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. ๒๕๐๑ ดังนั้น จำเลยทั้งสามจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการดำเนินกิจการทางปกครองเพื่อจัดให้มีถนน ประปา และไฟฟ้า ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของประชาชนในประเทศ แต่ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดจนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีพิพาทดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และการที่โจทก์ได้มีคำขอท้ายคำฟ้องรวม ๓ ข้อดังกล่าวนั้น เป็นคำขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสามทำการรื้อถอนและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ พร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โดยห้ามมิให้ใช้ที่ดินพิพาทของโจทก์เป็นถนนสาธารณประโยชน์ เป็นที่วางท่อประปา และเป็นที่ปักเสาพาดสายไฟฟ้าสาธารณะ กับให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหาย จึงเป็นกรณีที่มีคำขอให้ศาลออกคำสั่งห้ามกระทำการทั้งหมดในที่ดินพิพาท และสั่งให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการ ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและกระทำการละเมิด ศาลปกครองสามารถกำหนดคำบังคับได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) ประกอบมาตรา ๗๑ (๑) และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่ ศาลแพ่งมีความเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ศาลจึงต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ แล้วจึงจะพิจารณาได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นละเมิดหรือไม่และจะต้องชดใช้ค่าเสียหายกันเพียงใด คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม นั้น ศาลปกครองกลางไม่เห็นพ้องด้วย เนื่องจากที่ดินของโจทก์ตามหลักฐานโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๙๘๒๔ เป็นที่ดินที่มีอาณาเขตชัดเจนแน่นอน มีเนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ๒ งาน ๓๕ ตารางวา การที่โจทก์ได้ขอรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงดังกล่าว โดยผลการรังวัดปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓ โจทก์ได้นำชี้ว่าเป็นที่ดินโจทก์จำนวนเนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ๒ งาน ๓๕ ตารางวา ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนเนื้อที่และรูปแผนที่ท้ายโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๙๘๒๔ ของโจทก์ และเมื่อโจทก์พบว่าจำเลยทั้งสามได้ทำการปรับปรุงถนนทางหลวงจังหวัด วางท่อประปา และปักเสาไฟฟ้ารุกล้ำที่ดินของโจทก์ กรณีย่อมเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้โดยชอบหรือไม่ และเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ การที่จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตทางหลวง การดำเนินการของจำเลยทั้งสามจึงมิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์และมิได้เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ เป็นเพียงการยกประเด็นเกี่ยวกับสถานะของที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นข้อต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทมิใช่ที่ดินของโจทก์แต่เป็นเขตทางหลวงซึ่งเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามมิได้เป็นผู้กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมิได้เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ หาใช่กรณีพิพาทที่มีการโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทแต่อย่างใด และในการวินิจฉัยกรณีพิพาทคดีนี้ แม้ศาลจะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์หรือไม่เพื่อนำข้อเท็จจริงมาประกอบการพิจารณาในประเด็นที่ว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ก็เป็นเพียงการแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อนำมาประกอบในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลเท่านั้น ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่ห้ามมิให้ศาลปกครองดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลหรือสิทธิในที่ดินพิพาทคดีนี้ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ นอกจากนี้การที่จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองย่อมมิอาจ ถือได้ว่าเป็นผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือผู้ทรงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เป็นแต่เพียงผู้ที่มีหน้าที่ดูแลรักษา หรือวางท่อประปาพร้อมอุปกรณ์ หรือปักเสาพาดสายไฟฟ้าในเขตทางหลวงซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเท่านั้น กรณีพิพาทในลักษณะเช่นนี้จึงไม่อาจเป็นคดีพิพาทอันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินด้วยข้อเท็จจริงและเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยทั้งสามจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่ตามคำฟ้องคดีนี้โจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๙๘๒๔ ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๓๕ ตารางวา โจทก์รังวัดสอบเขตที่ดินดังกล่าวพบว่า จำเลยที่ ๑ ก่อสร้างถนนรุกล้ำที่ดินของโจทก์ด้านทิศเหนือกว้างประมาณ ๑.๒๕ เมตร ยาวประมาณ ๕๕ เมตร คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ ๑๗ ตารางวา และก่อสร้างบันไดทางเท้าขึ้นลงสะพานในที่ดินดังกล่าวด้วย ส่วนจำเลยที่ ๒ ได้วางท่อส่งน้ำประปาพร้อมอุปกรณ์เปิดปิดน้ำรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ประมาณ ๒.๘๕ เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินประมาณ ๖๐.๒๙ เมตร และจำเลยที่ ๓ ปักเสาไฟฟ้ารุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ประมาณ ๑.๖๕ เมตร และพาดสายไฟฟ้าผ่านที่ดินโจทก์ยาวตลอดแนวประมาณ ๖๐.๒๙ เมตร การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้รื้อถอนท่อส่งน้ำประปาพร้อมอุปกรณ์ กับเสาไฟฟ้าและสายไฟฟ้า และทำที่ดินให้มีสภาพเรียบร้อยตามเดิม พร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๓ รับรองแนวเขตที่ดินตามแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๙๘๒๔ ด้านติดถนนเทพารักษ์ให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๓ ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๓ ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่า ที่ดินพิพาทเจ้าของที่ดินเดิมได้แบ่งหักให้เป็นถนนเทพารักษ์อันเป็นทางสาธารณประโยชน์ตั้งแต่ปี ๒๕๑๑ และแบ่งหักเพิ่มเติมให้อีกในปี ๒๕๑๕ การก่อสร้างทางหลวงและบันไดขึ้นลงเป็นการก่อสร้างในพื้นที่เขตทางหลวงมิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ จึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ มิได้วางท่อประปาและอุปกรณ์การจ่ายน้ำรุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่วางในเขตแนวถนนเทพารักษ์หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๖๘ ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ และจำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ มิได้ปักเสาพาดสายไฟฟ้ารุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่ได้กระทำไปตามที่จำเลยที่ ๑ ขยายถนนเทพารักษ์และแจ้งให้จำเลยที่ ๓ รื้อถอนเสาไฟฟ้าต้นเดิมและกำหนดตำแหน่งให้ปักเสาต้นใหม่และพาดสายไฟฟ้าลงในตำแหน่งที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๓ เข้าใจโดยสุจริตว่าปักเสาในแนวเขตที่ดินของกรมทางหลวงซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน จำเลยที่ ๓ มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นถนนสาธารณะเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทวงศ์ภัทระ จำกัด โจทก์ กรมทางหลวง ที่ ๑ การประปานครหลวง ที่ ๒ การไฟฟ้านครหลวง ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และ (3)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๕/๒๕๕๔
วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๒ นางชื่นจิตต์ ศุภจรรยา ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวิชัย ศุภจรรยา ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องนายอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ ที่ ๑ เทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๙๘/๒๕๕๒ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๙๔ ตำบลประจวบคีรีขันธ์ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ ๓ ไร่ ๒ งาน ๗๓ ๕/๑๐ ตารางวา ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวิชัย ศุภจรรยา ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งในวันทำการรังวัดที่ดินตัวแทนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มาระวังและชี้แนวเขตทางสาธารณประโยชน์ แต่ไม่ยินยอมลงชื่อรับรองแนวเขต โดยอ้างว่าสภาพที่ดินของผู้ฟ้องคดีทางทิศเหนือมีทางสาธารณประโยชน์ตัดผ่านที่ดิน และแนะนำให้ผู้ฟ้องคดีแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ แต่ผู้ฟ้องคดีไม่ยินยอม ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่มาร่วมระวังและชี้แนวเขต ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะผู้ทำทางสาธารณประโยชน์ถนนลูกรังตัดผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดีดำเนินการแก้ไขทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวให้ออกไปจากที่ดินของผู้ฟ้องคดี แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เพิกเฉย ต่อมาสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงดังกล่าวอีกครั้ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่มาร่วมระวังและชี้แนวเขตทางสาธารณประโยชน์ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มอบหมายให้ตัวแทนมาร่วมระวังและชี้แนวเขตทางสาธารณประโยชน์ แต่ไม่ยินยอมลงชื่อรับรองแนวเขตทางด้านทิศเหนือซึ่งติดทางสาธารณประโยชน์พิพาท ผลการรังวัดสอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ก่อสร้างเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่มีสภาพเป็นถนนลูกรังรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ ๑ งาน ๒๐ ตารางวา สำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จึงมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองตรวจสอบที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมิได้ดำเนินการใดๆ การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายไม่สามารถเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดิน ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ รับรองแนวเขตที่ดินตามผลการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ปรับพื้นที่ดินบริเวณทางสาธารณประโยชน์ที่พิพาทส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๙๔ ตำบลประจวบคีรีขันธ์ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ของผู้ฟ้องคดีให้กลับสู่สภาพเดิม หากไม่ดำเนินการ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีเป็นเงินจำนวน ๗๒๐,๐๐๐ บาท ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยมีสภาพเป็นทางสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปใช้เป็นทางสัญจรมาเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว โดยนายวิชัย ศุภจรรยา เจ้ามรดก ซึ่งได้รับโอนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๙๔ มาตั้งแต่วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๐๗ และผู้ฟ้องคดีซึ่งได้รับโอนที่ดินในฐานะผู้จัดการมรดกตั้งแต่วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๓๖ ก็ไม่เคยโต้แย้งคัดค้าน การกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็นการแสดงให้เห็นเจตนาของผู้ฟ้องคดีที่จะสละสิทธิอุทิศที่ดินเพื่อประโยชน์ของพลเมืองที่จะได้ใช้ร่วมกันอย่างชัดแจ้ง ถือว่าเจ้าของที่ดินได้อุทิศที่ดินให้เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแล้วโดยปริยายตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๘๕๙/๒๕๓๕ และที่ ๑๗๒/๒๕๓๖ ซึ่งการอุทิศที่ดินเพื่อเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ตกอยู่ในบังคับว่าด้วยการให้ จึงอาจอุทิศด้วยวาจาหรือโดยปริยายก็ได้ มีผลทำให้ที่ดินที่อุทิศตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว หาจำต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่รับรองแนวเขตที่ดินที่มีการรังวัดตามคำฟ้องจึงชอบด้วยกฎหมายและข้อเท็จจริงแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินพิพาทมีสภาพเป็นถนนที่ประชาชนใช้สัญจรเป็นทางสาธารณะตั้งแต่ปี ๒๕๐๐ เป็นต้นมา โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เข้าไปดูแลรักษาเมื่อประมาณปี ๒๕๔๐ และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นำเสาไฟฟ้าไปปักไว้ในแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ฟ้องคดีมิได้โต้แย้งคัดค้าน ทางพิพาทดังกล่าวจึงตกเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ในการพิจารณาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือไม่นั้น จำต้องพิจารณาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เป็นสำคัญ ซึ่งตามมาตรา ๒๑๘ กำหนดให้ศาลยุติธรรมเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเป็นการทั่วไป แต่หากเป็นคดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่นแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้นได้ เมื่อมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรม จึงต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองก่อนเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น นอกจากนั้นจำต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่เป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องคดี รวมทั้งคำขอท้ายคำฟ้องประกอบด้วย ซึ่งในแต่ละคดีจะมีความแตกต่างกันและไม่อาจเทียบเคียงกันได้ เมื่อพิจารณาสำนวนคดีนี้แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า กรณีพิพาทมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ลงนามรับรองแนวเขตและการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ก่อสร้างรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำที่ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองทำการรับรองแนวเขตที่ดินตามที่ได้มีการรังวัด และขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ปรับสภาพที่ดินของผู้ฟ้องคดีให้กลับสู่สภาพเดิม หากไม่สามารถดำเนินการได้ก็ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย กรณีจึงเห็นได้ว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และมีอำนาจหน้าที่ในการปกครองดูแลที่ดินทางสาธารณประโยชน์ ตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ แต่ในวันที่ทำการรังวัดสอบเขตที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ กลับมิได้ลงชื่อรับรองแนวเขตโดยอ้างเหตุผลว่า ในการรังวัดสอบเขตที่ดิน ปรากฏว่ามีสภาพทางสาธารณประโยชน์ตัดผ่านที่ดินและได้แนะนำให้ผู้ขอ (ผู้ฟ้องคดี) แบ่งหักเป็นทางสาธารณประโยชน์ ผู้ขอไม่ยินยอมให้แบ่งหักเป็นทางสาธารณประโยชน์ โดยจะขอประสานกับเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ จึงไม่สามารถลงนามรับรองแนวเขตให้ได้ ทั้งที่หากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้รับมอบจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ควรอ้างเหตุไม่รับรองแนวเขตที่ดินเนื่องจากที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์ และเมื่อสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สอบถามให้ตรวจสอบสถานะที่ดินพิพาท ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ก็เพิกเฉยไม่ดำเนินการใดๆ หากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน ก็ควรแจ้งสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เพื่อคัดค้านและให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามมาตรา ๖๙ ทวิ วรรคห้า แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีจึงมีประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัยเพียงว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ยินยอมรับรองแนวเขตที่ดินพิพาทตามผลการรังวัดเพราะเหตุผู้ฟ้องคดีไม่ยินยอมแบ่งหักที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์ เป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือไม่ ซึ่งเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ สำหรับกรณีของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และมีอำนาจหน้าที่ในการให้มีและบำรุงทางบกและทางน้ำ ตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ก่อสร้างทางสาธารณประโยชน์รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามหลักฐานโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๙๔ ตำบลประจวบคีรีขันธ์ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายเนื่องจากไม่สามารถเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้ โดยมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แก้ไขปรับพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิม หากไม่ดำเนินการให้ชดใช้ค่าเสียหาย จึงเป็นกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และเมื่อพิจารณาคำชี้แจงของสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์พบว่า ตามรูปแผนที่ผลการรังวัดในครั้งที่สองปรากฏว่า ทางสาธารณประโยชน์ตัดผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดี คดีจึงมีประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัยเพียงว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ สร้างทางสาธารณประโยชน์ตัดผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ อันเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ จึงเป็นกรณีที่มีการฟ้องว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิดอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แม้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะอ้างในคำให้การว่า ที่ดินบริเวณพิพาทประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันจนมีสภาพเป็นทางสาธารณประโยชน์ และอ้างเป็นเหตุว่าคดีนี้มีประเด็นที่ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินนั้น ก็คงเป็นแต่เพียงคำให้การเพื่อสนับสนุนข้อต่อสู้ของตนในประเด็นเนื้อหาของคดีเพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้กระทำการโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น หาใช่เป็นกรณีพิพาทที่มีการโต้แย้งสิทธิในที่ดินกันแต่อย่างใด และไม่อาจนำประเด็นตามคำให้การดังกล่าวมากล่าวอ้างว่าคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน เพื่อให้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลในการพิจารณาพิพากษาคดีได้ ทั้งนี้เนื่องจากการพิจารณาเขตอำนาจศาลในคดีพิพาทต่างๆ จะต้องพิจารณาจากคำฟ้องและคำขอของผู้ฟ้องคดีหรือของโจทก์เป็นหลัก มิใช่พิจารณาจากคำให้การของผู้ถูกฟ้องคดีหรือจำเลย และในคดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองก็มิใช่ผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือผู้ทรงสิทธิครอบครองที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมีเพียงอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งเป็นการใช้อำนาจทางปกครองให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติเท่านั้น เมื่อเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้อำนาจดังกล่าวย่อมไม่ใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน หากแต่เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครอง และการที่ศาลปกครองจะวินิจฉัยว่าการใช้อำนาจทางปกครองดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายและเป็นการกระทำละเมิดหรือไม่นั้น แม้ศาลจะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ก็เป็นเพียงข้อเท็จจริงประเด็นหนึ่งที่ศาลจะต้องนำมาประกอบการพิจารณา ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ห้ามมิให้ศาลปกครองดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาท เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชอบด้วยกฎหมายและเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ และตามมาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน นอกจากนั้นหากการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองให้การต่อสู้แต่เพียงว่า คดีนี้มีประเด็นที่ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดี และส่งผลให้คดีพิพาทอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ย่อมเป็นสิ่งที่ขัดต่อมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ประสงค์ให้คดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองซึ่งมีวิธีพิจารณาคดีแบบไต่สวนอันเหมาะสมกับลักษณะของคดีพิพาทประเภทนี้โดยเฉพาะ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยสองประเด็นคือ ประเด็นแรก ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่รับรองแนวเขตชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และประเด็นที่สอง ที่ดินพิพาทนายวิชัยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือไม่ สำหรับประเด็นแรกเป็นการโต้เถียงถึงอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานเป็นการโต้แย้งถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานว่ากระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีในประเด็นนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนประเด็นที่สองเป็นการโต้เถียงถึงสิทธิในที่ดินโดยผู้ฟ้องคดีมุ่งประสงค์ให้ศาลมีคำพิพากษารับรองและคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ เพราะศาลต้องพิจารณาให้ได้ความจริงว่า ที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นที่ดินของนายวิชัยหรือเป็นทางสาธารณประโยชน์เสียก่อน คดีในประเด็นนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๓๙/๒๕๔๘
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดที่ดิน ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวิชัย ศุภจรรยา ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มาระวังและชี้แนวเขตทางสาธารณประโยชน์ แต่ไม่ยินยอมลงชื่อรับรองแนวเขตโดยอ้างว่าสภาพที่ดินของผู้ฟ้องคดีทางทิศเหนือมีทางสาธารณประโยชน์ตัดผ่าน ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่มาร่วมระวังและชี้แนวเขต ผู้ฟ้องคดีขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แก้ไขทางสาธารณประโยชน์ให้ออกไปจากที่ดินของผู้ฟ้องคดี แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เพิกเฉย ต่อมาสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงดังกล่าวอีกครั้ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่มาร่วมระวังและชี้แนวเขตทางสาธารณประโยชน์ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มอบหมายให้ตัวแทนมา แต่ไม่ยินยอมลงชื่อรับรองแนวเขตทางด้านทิศเหนือซึ่งติดทางสาธารณประโยชน์พิพาท ผลการรังวัดปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ก่อสร้างทางสาธารณประโยชน์รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี สำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จึงแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองตรวจสอบที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมิได้ดำเนินการใดๆ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรับรองแนวเขตที่ดินตามผลการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ปรับพื้นที่ดินบริเวณทางสาธารณประโยชน์ที่พิพาทส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดีให้กลับสู่สภาพเดิม หากไม่ดำเนินการ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยมีสภาพเป็นทางสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปใช้เป็นทางสัญจรมาเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว โดยนายวิชัย ศุภจรรยา เจ้ามรดก และผู้ฟ้องคดีไม่เคยโต้แย้งคัดค้าน แสดงให้เห็นเจตนาของผู้ฟ้องคดีที่จะสละสิทธิอุทิศที่ดินเพื่อประโยชน์ของพลเมืองที่จะได้ใช้ร่วมกันอย่างชัดแจ้ง ถือว่าเจ้าของที่ดินได้อุทิศที่ดินให้เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแล้วโดยปริยาย การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่รับรองแนวเขตที่ดินที่มีการรังวัดตามคำฟ้องจึงชอบด้วยกฎหมายและข้อเท็จจริงแล้ว ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินพิพาทมีสภาพเป็นถนนที่ประชาชนใช้สัญจรเป็นทางสาธารณะตั้งแต่ปี ๒๕๐๐ เป็นต้นมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เข้าไปดูแลรักษาเมื่อประมาณปี ๒๕๔๐ และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นำเสาไฟฟ้าไปปักไว้ในแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยผู้ฟ้องคดีมิได้โต้แย้งคัดค้าน ทางพิพาทดังกล่าวจึงตกเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ เห็นว่า เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ซึ่งการที่ศาลจะพิพากษาตามที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นทางสาธารณประโยชน์เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมสำหรับประเด็นที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่รับรองแนวเขต ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรับรองแนวเขตที่ดินตามผลการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นั้น แม้ศาลปกครองกลางและศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จะไม่มีความเห็นขัดแย้งกันในเรื่องเขตอำนาจศาล แต่อำนาจของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งบัญญัติเรื่องปัญหาเขตอำนาจศาลใน "คดี" ย่อมมิใช่เป็นเพียงอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยเฉพาะประเด็นย่อยในคดี หากแต่มีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยเรื่องที่มีมูลคดีเดียวกันได้ทั้งคดี เมื่อประเด็นที่ ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่รับรองแนวเขต สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองอ้างว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์ จึงเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกันและมีมูลคดีเดียวกันกับประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ดังนั้น อำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีในประเด็นดังกล่าว จึงเป็นของศาลยุติธรรมเช่นกัน
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางชื่นจิตต์ ศุภจรรยา ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวิชัย ศุภจรรยา ผู้ฟ้องคดี นายอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ ที่ ๑ เทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๕/๒๕๕๔
วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๒ นางชื่นจิตต์ ศุภจรรยา ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวิชัย ศุภจรรยา ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องนายอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ ที่ ๑ เทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๙๘/๒๕๕๒ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๙๔ ตำบลประจวบคีรีขันธ์ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ ๓ ไร่ ๒ งาน ๗๓ ๕/๑๐ ตารางวา ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวิชัย ศุภจรรยา ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งในวันทำการรังวัดที่ดินตัวแทนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มาระวังและชี้แนวเขตทางสาธารณประโยชน์ แต่ไม่ยินยอมลงชื่อรับรองแนวเขต โดยอ้างว่าสภาพที่ดินของผู้ฟ้องคดีทางทิศเหนือมีทางสาธารณประโยชน์ตัดผ่านที่ดิน และแนะนำให้ผู้ฟ้องคดีแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ แต่ผู้ฟ้องคดีไม่ยินยอม ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่มาร่วมระวังและชี้แนวเขต ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะผู้ทำทางสาธารณประโยชน์ถนนลูกรังตัดผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดีดำเนินการแก้ไขทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวให้ออกไปจากที่ดินของผู้ฟ้องคดี แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เพิกเฉย ต่อมาสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงดังกล่าวอีกครั้ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่มาร่วมระวังและชี้แนวเขตทางสาธารณประโยชน์ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มอบหมายให้ตัวแทนมาร่วมระวังและชี้แนวเขตทางสาธารณประโยชน์ แต่ไม่ยินยอมลงชื่อรับรองแนวเขตทางด้านทิศเหนือซึ่งติดทางสาธารณประโยชน์พิพาท ผลการรังวัดสอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ก่อสร้างเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่มีสภาพเป็นถนนลูกรังรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ ๑ งาน ๒๐ ตารางวา สำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จึงมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองตรวจสอบที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมิได้ดำเนินการใดๆ การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายไม่สามารถเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดิน ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ รับรองแนวเขตที่ดินตามผลการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ปรับพื้นที่ดินบริเวณทางสาธารณประโยชน์ที่พิพาทส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๙๔ ตำบลประจวบคีรีขันธ์ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ของผู้ฟ้องคดีให้กลับสู่สภาพเดิม หากไม่ดำเนินการ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีเป็นเงินจำนวน ๗๒๐,๐๐๐ บาท ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยมีสภาพเป็นทางสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปใช้เป็นทางสัญจรมาเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว โดยนายวิชัย ศุภจรรยา เจ้ามรดก ซึ่งได้รับโอนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๙๔ มาตั้งแต่วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๐๗ และผู้ฟ้องคดีซึ่งได้รับโอนที่ดินในฐานะผู้จัดการมรดกตั้งแต่วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๓๖ ก็ไม่เคยโต้แย้งคัดค้าน การกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็นการแสดงให้เห็นเจตนาของผู้ฟ้องคดีที่จะสละสิทธิอุทิศที่ดินเพื่อประโยชน์ของพลเมืองที่จะได้ใช้ร่วมกันอย่างชัดแจ้ง ถือว่าเจ้าของที่ดินได้อุทิศที่ดินให้เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแล้วโดยปริยายตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๘๕๙/๒๕๓๕ และที่ ๑๗๒/๒๕๓๖ ซึ่งการอุทิศที่ดินเพื่อเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ตกอยู่ในบังคับว่าด้วยการให้ จึงอาจอุทิศด้วยวาจาหรือโดยปริยายก็ได้ มีผลทำให้ที่ดินที่อุทิศตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว หาจำต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่รับรองแนวเขตที่ดินที่มีการรังวัดตามคำฟ้องจึงชอบด้วยกฎหมายและข้อเท็จจริงแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินพิพาทมีสภาพเป็นถนนที่ประชาชนใช้สัญจรเป็นทางสาธารณะตั้งแต่ปี ๒๕๐๐ เป็นต้นมา โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เข้าไปดูแลรักษาเมื่อประมาณปี ๒๕๔๐ และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นำเสาไฟฟ้าไปปักไว้ในแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ฟ้องคดีมิได้โต้แย้งคัดค้าน ทางพิพาทดังกล่าวจึงตกเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ในการพิจารณาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือไม่นั้น จำต้องพิจารณาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เป็นสำคัญ ซึ่งตามมาตรา ๒๑๘ กำหนดให้ศาลยุติธรรมเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเป็นการทั่วไป แต่หากเป็นคดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่นแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้นได้ เมื่อมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรม จึงต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองก่อนเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น นอกจากนั้นจำต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่เป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องคดี รวมทั้งคำขอท้ายคำฟ้องประกอบด้วย ซึ่งในแต่ละคดีจะมีความแตกต่างกันและไม่อาจเทียบเคียงกันได้ เมื่อพิจารณาสำนวนคดีนี้แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า กรณีพิพาทมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ลงนามรับรองแนวเขตและการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ก่อสร้างรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำที่ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองทำการรับรองแนวเขตที่ดินตามที่ได้มีการรังวัด และขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ปรับสภาพที่ดินของผู้ฟ้องคดีให้กลับสู่สภาพเดิม หากไม่สามารถดำเนินการได้ก็ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย กรณีจึงเห็นได้ว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และมีอำนาจหน้าที่ในการปกครองดูแลที่ดินทางสาธารณประโยชน์ ตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ แต่ในวันที่ทำการรังวัดสอบเขตที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ กลับมิได้ลงชื่อรับรองแนวเขตโดยอ้างเหตุผลว่า ในการรังวัดสอบเขตที่ดิน ปรากฏว่ามีสภาพทางสาธารณประโยชน์ตัดผ่านที่ดินและได้แนะนำให้ผู้ขอ (ผู้ฟ้องคดี) แบ่งหักเป็นทางสาธารณประโยชน์ ผู้ขอไม่ยินยอมให้แบ่งหักเป็นทางสาธารณประโยชน์ โดยจะขอประสานกับเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ จึงไม่สามารถลงนามรับรองแนวเขตให้ได้ ทั้งที่หากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้รับมอบจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ควรอ้างเหตุไม่รับรองแนวเขตที่ดินเนื่องจากที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์ และเมื่อสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สอบถามให้ตรวจสอบสถานะที่ดินพิพาท ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ก็เพิกเฉยไม่ดำเนินการใดๆ หากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน ก็ควรแจ้งสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เพื่อคัดค้านและให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามมาตรา ๖๙ ทวิ วรรคห้า แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีจึงมีประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัยเพียงว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ยินยอมรับรองแนวเขตที่ดินพิพาทตามผลการรังวัดเพราะเหตุผู้ฟ้องคดีไม่ยินยอมแบ่งหักที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์ เป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือไม่ ซึ่งเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ สำหรับกรณีของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และมีอำนาจหน้าที่ในการให้มีและบำรุงทางบกและทางน้ำ ตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ก่อสร้างทางสาธารณประโยชน์รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามหลักฐานโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๙๔ ตำบลประจวบคีรีขันธ์ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายเนื่องจากไม่สามารถเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้ โดยมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แก้ไขปรับพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิม หากไม่ดำเนินการให้ชดใช้ค่าเสียหาย จึงเป็นกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และเมื่อพิจารณาคำชี้แจงของสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์พบว่า ตามรูปแผนที่ผลการรังวัดในครั้งที่สองปรากฏว่า ทางสาธารณประโยชน์ตัดผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดี คดีจึงมีประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัยเพียงว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ สร้างทางสาธารณประโยชน์ตัดผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ อันเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ จึงเป็นกรณีที่มีการฟ้องว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิดอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แม้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะอ้างในคำให้การว่า ที่ดินบริเวณพิพาทประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันจนมีสภาพเป็นทางสาธารณประโยชน์ และอ้างเป็นเหตุว่าคดีนี้มีประเด็นที่ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินนั้น ก็คงเป็นแต่เพียงคำให้การเพื่อสนับสนุนข้อต่อสู้ของตนในประเด็นเนื้อหาของคดีเพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้กระทำการโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น หาใช่เป็นกรณีพิพาทที่มีการโต้แย้งสิทธิในที่ดินกันแต่อย่างใด และไม่อาจนำประเด็นตามคำให้การดังกล่าวมากล่าวอ้างว่าคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน เพื่อให้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลในการพิจารณาพิพากษาคดีได้ ทั้งนี้เนื่องจากการพิจารณาเขตอำนาจศาลในคดีพิพาทต่างๆ จะต้องพิจารณาจากคำฟ้องและคำขอของผู้ฟ้องคดีหรือของโจทก์เป็นหลัก มิใช่พิจารณาจากคำให้การของผู้ถูกฟ้องคดีหรือจำเลย และในคดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองก็มิใช่ผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือผู้ทรงสิทธิครอบครองที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมีเพียงอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งเป็นการใช้อำนาจทางปกครองให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติเท่านั้น เมื่อเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้อำนาจดังกล่าวย่อมไม่ใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน หากแต่เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครอง และการที่ศาลปกครองจะวินิจฉัยว่าการใช้อำนาจทางปกครองดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายและเป็นการกระทำละเมิดหรือไม่นั้น แม้ศาลจะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ก็เป็นเพียงข้อเท็จจริงประเด็นหนึ่งที่ศาลจะต้องนำมาประกอบการพิจารณา ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ห้ามมิให้ศาลปกครองดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาท เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชอบด้วยกฎหมายและเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ และตามมาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน นอกจากนั้นหากการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองให้การต่อสู้แต่เพียงว่า คดีนี้มีประเด็นที่ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดี และส่งผลให้คดีพิพาทอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ย่อมเป็นสิ่งที่ขัดต่อมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ประสงค์ให้คดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองซึ่งมีวิธีพิจารณาคดีแบบไต่สวนอันเหมาะสมกับลักษณะของคดีพิพาทประเภทนี้โดยเฉพาะ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยสองประเด็นคือ ประเด็นแรก ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่รับรองแนวเขตชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และประเด็นที่สอง ที่ดินพิพาทนายวิชัยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือไม่ สำหรับประเด็นแรกเป็นการโต้เถียงถึงอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานเป็นการโต้แย้งถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานว่ากระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีในประเด็นนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนประเด็นที่สองเป็นการโต้เถียงถึงสิทธิในที่ดินโดยผู้ฟ้องคดีมุ่งประสงค์ให้ศาลมีคำพิพากษารับรองและคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ เพราะศาลต้องพิจารณาให้ได้ความจริงว่า ที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นที่ดินของนายวิชัยหรือเป็นทางสาธารณประโยชน์เสียก่อน คดีในประเด็นนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๓๙/๒๕๔๘
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดที่ดิน ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวิชัย ศุภจรรยา ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มาระวังและชี้แนวเขตทางสาธารณประโยชน์ แต่ไม่ยินยอมลงชื่อรับรองแนวเขตโดยอ้างว่าสภาพที่ดินของผู้ฟ้องคดีทางทิศเหนือมีทางสาธารณประโยชน์ตัดผ่าน ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่มาร่วมระวังและชี้แนวเขต ผู้ฟ้องคดีขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แก้ไขทางสาธารณประโยชน์ให้ออกไปจากที่ดินของผู้ฟ้องคดี แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เพิกเฉย ต่อมาสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงดังกล่าวอีกครั้ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่มาร่วมระวังและชี้แนวเขตทางสาธารณประโยชน์ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มอบหมายให้ตัวแทนมา แต่ไม่ยินยอมลงชื่อรับรองแนวเขตทางด้านทิศเหนือซึ่งติดทางสาธารณประโยชน์พิพาท ผลการรังวัดปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ก่อสร้างทางสาธารณประโยชน์รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี สำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จึงแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองตรวจสอบที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมิได้ดำเนินการใดๆ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรับรองแนวเขตที่ดินตามผลการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ปรับพื้นที่ดินบริเวณทางสาธารณประโยชน์ที่พิพาทส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดีให้กลับสู่สภาพเดิม หากไม่ดำเนินการ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยมีสภาพเป็นทางสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปใช้เป็นทางสัญจรมาเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว โดยนายวิชัย ศุภจรรยา เจ้ามรดก และผู้ฟ้องคดีไม่เคยโต้แย้งคัดค้าน แสดงให้เห็นเจตนาของผู้ฟ้องคดีที่จะสละสิทธิอุทิศที่ดินเพื่อประโยชน์ของพลเมืองที่จะได้ใช้ร่วมกันอย่างชัดแจ้ง ถือว่าเจ้าของที่ดินได้อุทิศที่ดินให้เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแล้วโดยปริยาย การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่รับรองแนวเขตที่ดินที่มีการรังวัดตามคำฟ้องจึงชอบด้วยกฎหมายและข้อเท็จจริงแล้ว ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินพิพาทมีสภาพเป็นถนนที่ประชาชนใช้สัญจรเป็นทางสาธารณะตั้งแต่ปี ๒๕๐๐ เป็นต้นมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เข้าไปดูแลรักษาเมื่อประมาณปี ๒๕๔๐ และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นำเสาไฟฟ้าไปปักไว้ในแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยผู้ฟ้องคดีมิได้โต้แย้งคัดค้าน ทางพิพาทดังกล่าวจึงตกเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ เห็นว่า เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ซึ่งการที่ศาลจะพิพากษาตามที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นทางสาธารณประโยชน์เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมสำหรับประเด็นที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่รับรองแนวเขต ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรับรองแนวเขตที่ดินตามผลการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นั้น แม้ศาลปกครองกลางและศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จะไม่มีความเห็นขัดแย้งกันในเรื่องเขตอำนาจศาล แต่อำนาจของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งบัญญัติเรื่องปัญหาเขตอำนาจศาลใน "คดี" ย่อมมิใช่เป็นเพียงอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยเฉพาะประเด็นย่อยในคดี หากแต่มีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยเรื่องที่มีมูลคดีเดียวกันได้ทั้งคดี เมื่อประเด็นที่ ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่รับรองแนวเขต สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองอ้างว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์ จึงเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกันและมีมูลคดีเดียวกันกับประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ดังนั้น อำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีในประเด็นดังกล่าว จึงเป็นของศาลยุติธรรมเช่นกัน
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางชื่นจิตต์ ศุภจรรยา ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวิชัย ศุภจรรยา ผู้ฟ้องคดี นายอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ ที่ ๑ เทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๔/๒๕๕๔
วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองนครราชสีมา
ระหว่าง
ศาลจังหวัดอุบลราชธานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองนครราชสีมาโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ นางสาวจารุวรรณ ทวีสิทธิ์ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี ที่ ๑ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองนครราชสีมา เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๐๖/๒๕๕๒ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๔๙๔ บิดาและมารดาของผู้ฟ้องคดีซื้อที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์จากผู้มีชื่อ ต่อมาบิดาของผู้ฟ้องคดีได้แจ้งการครอบครองที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑) ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๔๙๘ เนื้อที่ ๓๖ ตารางวา เมื่อบิดามารดาของผู้ฟ้องคดีถึงแก่กรรมผู้ฟ้องคดีและพี่น้องรวม ๓ คน ได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวต่อจากบิดาและมารดาถึงปัจจุบัน ที่ดินดังกล่าวอยู่ติดกับที่ดินของนายวิฤทธิ์ ทวีสิทธิ์ ซึ่งออกโฉนดที่ดินได้ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๑ ผู้ฟ้องคดียื่นขอออกโฉนดที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และได้รับแจ้งจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ว่า ผู้ฟ้องคดีได้นำรังวัดทับที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ อบ ๔๕๙๙ เต็มทั้งแปลง ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ออกโฉนดที่ดินได้ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ พิจารณาอุทธรณ์แล้วไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์มีความเห็นยืนตามความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามคำขอฉบับที่ ๒๒๗/๒๒๗/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๑ ให้ผู้ฟ้องคดี และให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ อบ ๔๕๙๙ ในส่วนที่ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของ ผู้ฟ้องคดีเนื่องจากเห็นว่าผู้ฟ้องคดีนำรังวัดออกโฉนดที่ดินทับที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ อบ ๔๕๙๙ เต็มทั้งแปลง หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดังกล่าวออกตามคำขอของอำเภอเมืองอุบลราชธานีซึ่งแจ้งขอรังวัดแปลงที่สาธารณประโยชน์ "ริมแม่น้ำมูล" ผู้ฟ้องคดีเคยคัดค้านอ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง แต่ไม่ได้คัดค้านภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงจึงออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้วศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง โดยที่การออกโฉนดที่ดินตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน บัญญัติว่า เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควรให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด และมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดินสาขา หรือเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมายเป็นผู้ลงนามออกโฉนดที่ดิน ซึ่งในการดำเนินการออกหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินเจ้าพนักงานที่ดินจะต้องดำเนินการตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และกรณีเจ้าพนักงานที่ดินมีคำสั่งยกเลิกคำขอที่ยื่นขอออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน คำสั่งยกเลิกคำขอดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อคดีนี้ปรากฏว่า เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้มีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ พิจารณาแล้วมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดีดังกล่าว จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติตามมาตรา ๕๙ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน การที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นขอออกโฉนดที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๔๙๘ ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตามคำขอลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๑ แล้วได้รับแจ้งจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตามหนังสือลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๒ ว่า ช่างรังวัดได้ดำเนินการรังวัดที่ดินแล้วปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีได้นำรังวัดทับที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ อบ ๔๕๙๙ ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ เต็มทั้งแปลง ที่ดินที่ผู้ฟ้องคดียื่นขอออกโฉนดที่ดินจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ออกโฉนดที่ดินได้ตามข้อ ๑๔ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงมีคำสั่งตามหนังสือลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๒ ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงได้อุทธรณ์คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงยื่นฟ้องคดีนี้โดยมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามคำขอลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๑ ให้ผู้ฟ้องคดี และให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ ๔๕๙๙ ในส่วนที่ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี ตามคำฟ้องและคำขอดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีประสงค์ให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี และเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี อีกทั้งให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ ๔๕๙๙ ในส่วนที่ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี แล้วให้ผู้ถูกฟ้องคดี ทั้งสองดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามคำขอให้ผู้ฟ้องคดี อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการใช้อำนาจทางปกครอง หรือดำเนินกิจการทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ทั้งนี้ แม้คดีมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑) ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๔๙๘ ที่พิพาทเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ หรือเป็นที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๔๕๙๙ ประเด็นดังกล่าวก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดีอันเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะพิจารณาว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งยกเลิกและไม่ออกโฉนดที่ดินตามคำขอให้ผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำการที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่พิพาทดังกล่าวหรือไม่จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน และนอกจากนั้นมาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ อีกทั้ง มาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับสั่งให้ถือปฏิบัติต่อสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลที่เกี่ยวข้องในกรณีที่มีการฟ้องให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงความเป็นอยู่ของสิทธิหรือหน้าที่นั้น อันเป็นกฎหมายอีกมาตราหนึ่งที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินและเมื่อพิจารณาคำฟ้องของผู้ฟ้องคดี เห็นได้ว่า การที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอท้ายคำฟ้องให้ศาลพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดำเนินการออกโฉนดให้แก่ผู้ฟ้องคดีและให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงที่ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีนั้น เท่ากับว่า ผู้ฟ้องคดีประสงค์ให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงความเป็นอยู่ของสิทธิที่ผู้ฟ้องคดีมีอยู่เหนือที่ดินพิพาท ซึ่งตามกรณีพิพาทในคดีนี้ศาลปกครองมีอำนาจออกคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) (๓) และ (๔) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือดำเนินกิจการทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของผู้ฟ้องคดีตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) (๓) และ (๔) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดอุบลราชธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ อบ ๔๕๙๙ ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีที่ครอบครองต่อเนื่องมาจากบิดาและมารดา ทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่อาจออกเอกสารสิทธิในที่ดินได้ อันเป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีที่ฟ้องคดีต่อศาล ก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองและคุ้มครองสิทธิในที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินของผู้ฟ้องคดี การที่ศาลจะมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้ผู้ฟ้องคดี รวมทั้งให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ อบ ๔๕๙๙ ในส่วนที่ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไปได้ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่ตามคำฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า บิดามารดาของผู้ฟ้องคดีซื้อที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์จากผู้มีชื่อ และแจ้งการครอบครองตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑) ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๔๙๘ เนื้อที่ ๓๖ ตารางวา หลังจากบิดามารดาของผู้ฟ้องคดีถึงแก่กรรม ผู้ฟ้องคดียื่นขอออกโฉนดที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ ดังกล่าว แต่ได้รับแจ้งจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ว่า ผู้ฟ้องคดีนำรังวัดทับที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ อบ ๔๕๙๙ เต็มทั้งแปลง ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ออกโฉนดที่ดินได้ และมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดิน ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีความเห็นยืนตามความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามคำขอให้ผู้ฟ้องคดี และให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ อบ ๔๕๙๙ ในส่วนที่ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ให้การว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดีเนื่องจากเห็นว่าผู้ฟ้องคดีนำรังวัดออกโฉนดที่ดินทับที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ อบ ๔๕๙๙ เต็มทั้งแปลง หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดังกล่าวออกตามคำขอของอำเภอเมืองอุบลราชธานีซึ่งแจ้งขอรังวัดแปลงที่สาธารณประโยชน์ "ริมแม่น้ำมูล" ผู้ฟ้องคดีเคยคัดค้านอ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง แต่ไม่ได้คัดค้านภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงจึงออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทดังกล่าวนั้น ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวจารุวรรณ ทวีสิทธิ์ ผู้ฟ้องคดี เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี ที่ ๑ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๔/๒๕๕๔
วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองนครราชสีมา
ระหว่าง
ศาลจังหวัดอุบลราชธานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองนครราชสีมาโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ นางสาวจารุวรรณ ทวีสิทธิ์ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี ที่ ๑ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองนครราชสีมา เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๐๖/๒๕๕๒ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๔๙๔ บิดาและมารดาของผู้ฟ้องคดีซื้อที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์จากผู้มีชื่อ ต่อมาบิดาของผู้ฟ้องคดีได้แจ้งการครอบครองที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑) ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๔๙๘ เนื้อที่ ๓๖ ตารางวา เมื่อบิดามารดาของผู้ฟ้องคดีถึงแก่กรรมผู้ฟ้องคดีและพี่น้องรวม ๓ คน ได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวต่อจากบิดาและมารดาถึงปัจจุบัน ที่ดินดังกล่าวอยู่ติดกับที่ดินของนายวิฤทธิ์ ทวีสิทธิ์ ซึ่งออกโฉนดที่ดินได้ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๑ ผู้ฟ้องคดียื่นขอออกโฉนดที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และได้รับแจ้งจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ว่า ผู้ฟ้องคดีได้นำรังวัดทับที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ อบ ๔๕๙๙ เต็มทั้งแปลง ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ออกโฉนดที่ดินได้ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ พิจารณาอุทธรณ์แล้วไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์มีความเห็นยืนตามความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามคำขอฉบับที่ ๒๒๗/๒๒๗/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๑ ให้ผู้ฟ้องคดี และให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ อบ ๔๕๙๙ ในส่วนที่ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของ ผู้ฟ้องคดีเนื่องจากเห็นว่าผู้ฟ้องคดีนำรังวัดออกโฉนดที่ดินทับที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ อบ ๔๕๙๙ เต็มทั้งแปลง หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดังกล่าวออกตามคำขอของอำเภอเมืองอุบลราชธานีซึ่งแจ้งขอรังวัดแปลงที่สาธารณประโยชน์ "ริมแม่น้ำมูล" ผู้ฟ้องคดีเคยคัดค้านอ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง แต่ไม่ได้คัดค้านภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงจึงออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้วศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง โดยที่การออกโฉนดที่ดินตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน บัญญัติว่า เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควรให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด และมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดินสาขา หรือเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมายเป็นผู้ลงนามออกโฉนดที่ดิน ซึ่งในการดำเนินการออกหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินเจ้าพนักงานที่ดินจะต้องดำเนินการตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และกรณีเจ้าพนักงานที่ดินมีคำสั่งยกเลิกคำขอที่ยื่นขอออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน คำสั่งยกเลิกคำขอดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อคดีนี้ปรากฏว่า เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้มีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ พิจารณาแล้วมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดีดังกล่าว จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติตามมาตรา ๕๙ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน การที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นขอออกโฉนดที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๔๙๘ ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตามคำขอลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๑ แล้วได้รับแจ้งจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตามหนังสือลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๒ ว่า ช่างรังวัดได้ดำเนินการรังวัดที่ดินแล้วปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีได้นำรังวัดทับที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ อบ ๔๕๙๙ ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ เต็มทั้งแปลง ที่ดินที่ผู้ฟ้องคดียื่นขอออกโฉนดที่ดินจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ออกโฉนดที่ดินได้ตามข้อ ๑๔ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงมีคำสั่งตามหนังสือลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๒ ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงได้อุทธรณ์คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงยื่นฟ้องคดีนี้โดยมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามคำขอลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๑ ให้ผู้ฟ้องคดี และให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ ๔๕๙๙ ในส่วนที่ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี ตามคำฟ้องและคำขอดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีประสงค์ให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี และเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี อีกทั้งให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ ๔๕๙๙ ในส่วนที่ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี แล้วให้ผู้ถูกฟ้องคดี ทั้งสองดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามคำขอให้ผู้ฟ้องคดี อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการใช้อำนาจทางปกครอง หรือดำเนินกิจการทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ทั้งนี้ แม้คดีมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑) ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๔๙๘ ที่พิพาทเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ หรือเป็นที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๔๕๙๙ ประเด็นดังกล่าวก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดีอันเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะพิจารณาว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งยกเลิกและไม่ออกโฉนดที่ดินตามคำขอให้ผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำการที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่พิพาทดังกล่าวหรือไม่จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน และนอกจากนั้นมาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ อีกทั้ง มาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับสั่งให้ถือปฏิบัติต่อสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลที่เกี่ยวข้องในกรณีที่มีการฟ้องให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงความเป็นอยู่ของสิทธิหรือหน้าที่นั้น อันเป็นกฎหมายอีกมาตราหนึ่งที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินและเมื่อพิจารณาคำฟ้องของผู้ฟ้องคดี เห็นได้ว่า การที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอท้ายคำฟ้องให้ศาลพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดำเนินการออกโฉนดให้แก่ผู้ฟ้องคดีและให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงที่ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีนั้น เท่ากับว่า ผู้ฟ้องคดีประสงค์ให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงความเป็นอยู่ของสิทธิที่ผู้ฟ้องคดีมีอยู่เหนือที่ดินพิพาท ซึ่งตามกรณีพิพาทในคดีนี้ศาลปกครองมีอำนาจออกคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) (๓) และ (๔) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือดำเนินกิจการทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของผู้ฟ้องคดีตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) (๓) และ (๔) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดอุบลราชธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ อบ ๔๕๙๙ ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีที่ครอบครองต่อเนื่องมาจากบิดาและมารดา ทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่อาจออกเอกสารสิทธิในที่ดินได้ อันเป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีที่ฟ้องคดีต่อศาล ก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองและคุ้มครองสิทธิในที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินของผู้ฟ้องคดี การที่ศาลจะมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้ผู้ฟ้องคดี รวมทั้งให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ อบ ๔๕๙๙ ในส่วนที่ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไปได้ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่ตามคำฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า บิดามารดาของผู้ฟ้องคดีซื้อที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์จากผู้มีชื่อ และแจ้งการครอบครองตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑) ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๔๙๘ เนื้อที่ ๓๖ ตารางวา หลังจากบิดามารดาของผู้ฟ้องคดีถึงแก่กรรม ผู้ฟ้องคดียื่นขอออกโฉนดที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ ดังกล่าว แต่ได้รับแจ้งจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ว่า ผู้ฟ้องคดีนำรังวัดทับที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ อบ ๔๕๙๙ เต็มทั้งแปลง ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ออกโฉนดที่ดินได้ และมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดิน ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีความเห็นยืนตามความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามคำขอให้ผู้ฟ้องคดี และให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ อบ ๔๕๙๙ ในส่วนที่ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ให้การว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดีเนื่องจากเห็นว่าผู้ฟ้องคดีนำรังวัดออกโฉนดที่ดินทับที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ อบ ๔๕๙๙ เต็มทั้งแปลง หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดังกล่าวออกตามคำขอของอำเภอเมืองอุบลราชธานีซึ่งแจ้งขอรังวัดแปลงที่สาธารณประโยชน์ "ริมแม่น้ำมูล" ผู้ฟ้องคดีเคยคัดค้านอ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง แต่ไม่ได้คัดค้านภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงจึงออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทดังกล่าวนั้น ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวจารุวรรณ ทวีสิทธิ์ ผู้ฟ้องคดี เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี ที่ ๑ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๓/๒๕๕๔
วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลจังหวัดสระบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดสระบุรีโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๑ บริษัทสระบุรี คอมพ์ โฟกัส จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องจังหวัดสระบุรี จำเลย เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๓๑๘๖/๒๕๕๑ ความว่า เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๔๙ จำเลยมอบอำนาจให้นายดุษฎี ศิลปไพบูลย์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์การท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการจังหวัดสระบุรี ทำสัญญาซื้อครุภัณฑ์ไอทีจำนวน ๕ รายการ จากโจทก์ ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ๓๙๙,๓๐๐ บาท กำหนดส่งมอบสินค้าและชำระราคาภายในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๙ และเพื่อประกันการปฏิบัติตามสัญญาโจทก์ได้วางเงินประกันค่าเสียหายจำนวน ๑๙,๙๖๕ บาท ต่อมาวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๙ โจทก์ได้ส่งมอบสินค้าตามเวลาที่กำหนด แต่จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินในวันส่งมอบสินค้า ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา โจทก์ทวงถามให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีในฐานะกระทำการแทนจำเลยและนายดุษฎีในฐานะผู้อำนวยการศูนย์การท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการจังหวัดสระบุรี ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลย ชำระหนี้เป็นเงินค่าสินค้าหลายครั้ง แต่บุคคลทั้งสองเพิกเฉย การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าสินค้าจำนวน ๓๙๙,๓๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๙ จนถึงวันฟ้อง คิดเป็นเงินค่าเสียหายรวมเป็นเงินจำนวน ๔๖๙,๑๗๗.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๙๙,๓๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วเสร็จ อนึ่ง เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๑ โจทก์ได้เคยยื่นฟ้องจำเลยและนายดุษฎีต่อศาลปกครองกลางแล้ว แต่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา โดยให้เหตุผลว่าคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งที่มีหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นคู่สัญญาเท่านั้น คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง (คดีของศาลปกครองกลาง หมายเลขแดงที่ ๗๐๕/๒๕๕๑)
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยจำเลยมิได้ผิดนัด เนื่องจากโจทก์ไม่มีหลักฐานในการตรวจรับสิ่งของมาแสดง อีกทั้งโจทก์เองไม่ปฏิบัติตามสัญญาในการส่งมอบ โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม เนื่องจากสัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ไอทีระหว่างโจทก์และจำเลยจัดทำขึ้นภายใต้โครงการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดประกอบด้วย จังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดชัยนาท และจังหวัดสิงห์บุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เพื่อเป็นแหล่งบริการข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์ของจังหวัดให้ประสบความสำเร็จตามตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะในหน้าที่ของศูนย์การท่องเที่ยว กีฬา และนันทนาการจังหวัดสระบุรี ซึ่งโครงการดังกล่าวประกอบด้วย การจัดซื้อครุภัณฑ์ไอที ๕ รายการ การจ้างเหมาจัดทำข้อมูลเข้าสู่ระบบและจ้างเหมาดูแลระบบข้อมูล ซึ่งการจัดทำข้อมูลเข้าสู่ระบบดังกล่าวจะต้องบันทึกข้อมูลลงในครุภัณฑ์ไอทีดังกล่าว ครุภัณฑ์ไอทีและการจัดทำข้อมูลเข้าสู่ระบบซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญาจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ศูนย์การท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการจังหวัดสระบุรีซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองในกำกับดูแลของจำเลย ใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะในหน้าที่ให้บรรลุผล สัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ไอทีและสัญญาจ้างเหมาจัดทำข้อมูลเข้าสู่ระบบจึงเป็นสัญญาทางปกครอง เมื่อโจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญาดังกล่าว จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสระบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้คดีนี้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งคือจำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง และการจัดซื้อครุภัณฑ์ไอทีดังกล่าวเป็นไปตามโครงการประกอบด้วยการจัดซื้อครุภัณฑ์ไอทีจำนวน ๕ รายการ การจ้างเหมาจัดทำข้อมูล และฝึกสอนผู้ดูแลระบบและการจ้างเหมาดูแลระบบ แต่เมื่อพิจารณาตามสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยแล้ว โจทก์มีหน้าที่ต้องส่งมอบครุภัณฑ์ไอทีจำนวน ๕ รายการตามที่กำหนด ณ ศูนย์การท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการจังหวัดสระบุรี พร้อมทั้งหีบห่อเครื่องรัดพันผูกโดยเรียบร้อยเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์มีส่วนร่วมในการดำเนินการจัดทำข้อมูล ฝึกสอนผู้ดูแลระบบหรือดูแลระบบแต่อย่างใด การจัดซื้อครุภัณฑ์ไอทีจึงเป็นเพียงสัญญาจัดหาพัสดุธรรมดาเพื่อสนับสนุนการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลยเท่านั้น สัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ไอทีดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาทางปกครอง แต่เป็นสัญญาทางแพ่งที่มีหน่วยงานทางปกครองของรัฐเป็นคู่สัญญาเท่านั้น เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยผิดข้อตกลงไม่ชำระราคาค่าสินค้าแก่โจทก์และฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาซื้อขาย ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่ง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า สัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ไอทีระหว่างโจทก์และจำเลยจัดทำขึ้นเพื่อใช้ในโครงการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดของจังหวัดสระบุรี งบประมาณเหลือจ่ายจากโครงการส่งเสริมด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์เชิงรุกของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน กลุ่ม ๒ จังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดชัยนาท และจังหวัดสิงห์บุรี โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัดสระบุรีและกลุ่มจังหวัด และเป็นแหล่งบริการข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดสระบุรีและกลุ่มจังหวัด ดังนั้น การจัดซื้อครุภัณฑ์ไอที ๕ รายการในคดีพิพาทนี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการโครงการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดของจังหวัดสระบุรี ทั้งนี้เมื่อได้จัดซื้อครุภัณฑ์ไอทีแล้วจะต้องมีการบันทึกข้อมูลด้านการท่องเที่ยวเข้าสู่ระบบครุภัณฑ์ไอทีดังกล่าว โดยจำเลยจะนำครุภัณฑ์ไอทีที่ได้บันทึกข้อมูลด้านการท่องเที่ยวตามโครงการไปตั้งวางให้บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดแก่ประชาชนทั่วไปในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ครุภัณฑ์ไอทีในสัญญาพิพาท จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการดำเนินบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของศูนย์การท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการจังหวัดสระบุรีให้บรรลุผล สัญญาจัดซื้อครุภัณฑ์ไอที ๕ รายการ ระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้จึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มิใช่สัญญาจัดหาพัสดุธรรมดาที่สนับสนุนการจัดการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลยเท่านั้น ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้ จำเลยมอบอำนาจให้นายดุษฎี ศิลปไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์การท่องเที่ยว กีฬา และนันทนาการจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับดูแลของจำเลย ทำสัญญาซื้อครุภัณฑ์ไอทีจำนวน ๕ รายการ จากโจทก์ซึ่งเป็นเอกชน แต่โจทก์อ้างว่า จำเลยปฏิบัติผิดสัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ไอทีดังกล่าว ส่วนจำเลยก็ให้การว่า จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยจำเลยมิได้ผิดนัด เนื่องจากโจทก์ไม่มีหลักฐานในการตรวจรับสิ่งของมาแสดง อีกทั้งโจทก์เองไม่ปฏิบัติตามสัญญาในการส่งมอบ โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา กรณีจึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวเนื่องกับสัญญาซื้อขายดังกล่าว คดีนี้จึงต้องพิจารณาว่า สัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ไอทีระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ คดีนี้จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับนโยบายและรับคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มาปฏิบัติการให้เหมาะสมกับท้องที่และประชาชน และเป็นหัวหน้าบังคับบัญชาบรรดาข้าราชการฝ่ายบริหาร ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในราชการส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัด และรับผิดชอบในราชการจังหวัดและอำเภอ มีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๕๔ และมาตรา ๕๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ เมื่อจำเลยมอบอำนาจให้ผู้อำนวยการศูนย์การท่องเที่ยว กีฬา และนันทนาการจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับดูแลของจำเลยทำสัญญาซื้อครุภัณฑ์ไอทีจำนวน ๕ รายการ ที่มีสาระสำคัญให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนจัดหาและส่งมอบครุภัณฑ์ไอทีเพื่อใช้ในโครงการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดของจังหวัดสระบุรี ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัดสระบุรีและกลุ่มจังหวัด และเป็นแหล่งบริการข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดสระบุรีและกลุ่มจังหวัด อันเป็นภารกิจเกี่ยวกับการจัดทำบริการสาธารณะอย่างหนึ่งในการพัฒนาการท่องเที่ยว กีฬา และนันทนาการของรัฐ ครุภัณฑ์ไอทีดังกล่าวจึงเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์สำคัญที่จำเป็นต่อการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลยให้บรรลุผล สัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ไอทีระหว่างโจทก์และจำเลยจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง บริษัทสระบุรี คอมพ์ โฟกัส จำกัด โจทก์ จังหวัดสระบุรี จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๓/๒๕๕๔
วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลจังหวัดสระบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดสระบุรีโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๑ บริษัทสระบุรี คอมพ์ โฟกัส จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องจังหวัดสระบุรี จำเลย เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๓๑๘๖/๒๕๕๑ ความว่า เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๔๙ จำเลยมอบอำนาจให้นายดุษฎี ศิลปไพบูลย์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์การท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการจังหวัดสระบุรี ทำสัญญาซื้อครุภัณฑ์ไอทีจำนวน ๕ รายการ จากโจทก์ ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ๓๙๙,๓๐๐ บาท กำหนดส่งมอบสินค้าและชำระราคาภายในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๙ และเพื่อประกันการปฏิบัติตามสัญญาโจทก์ได้วางเงินประกันค่าเสียหายจำนวน ๑๙,๙๖๕ บาท ต่อมาวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๙ โจทก์ได้ส่งมอบสินค้าตามเวลาที่กำหนด แต่จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินในวันส่งมอบสินค้า ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา โจทก์ทวงถามให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีในฐานะกระทำการแทนจำเลยและนายดุษฎีในฐานะผู้อำนวยการศูนย์การท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการจังหวัดสระบุรี ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลย ชำระหนี้เป็นเงินค่าสินค้าหลายครั้ง แต่บุคคลทั้งสองเพิกเฉย การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าสินค้าจำนวน ๓๙๙,๓๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๙ จนถึงวันฟ้อง คิดเป็นเงินค่าเสียหายรวมเป็นเงินจำนวน ๔๖๙,๑๗๗.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๙๙,๓๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วเสร็จ อนึ่ง เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๑ โจทก์ได้เคยยื่นฟ้องจำเลยและนายดุษฎีต่อศาลปกครองกลางแล้ว แต่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา โดยให้เหตุผลว่าคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งที่มีหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นคู่สัญญาเท่านั้น คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง (คดีของศาลปกครองกลาง หมายเลขแดงที่ ๗๐๕/๒๕๕๑)
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยจำเลยมิได้ผิดนัด เนื่องจากโจทก์ไม่มีหลักฐานในการตรวจรับสิ่งของมาแสดง อีกทั้งโจทก์เองไม่ปฏิบัติตามสัญญาในการส่งมอบ โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม เนื่องจากสัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ไอทีระหว่างโจทก์และจำเลยจัดทำขึ้นภายใต้โครงการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดประกอบด้วย จังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดชัยนาท และจังหวัดสิงห์บุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เพื่อเป็นแหล่งบริการข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์ของจังหวัดให้ประสบความสำเร็จตามตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะในหน้าที่ของศูนย์การท่องเที่ยว กีฬา และนันทนาการจังหวัดสระบุรี ซึ่งโครงการดังกล่าวประกอบด้วย การจัดซื้อครุภัณฑ์ไอที ๕ รายการ การจ้างเหมาจัดทำข้อมูลเข้าสู่ระบบและจ้างเหมาดูแลระบบข้อมูล ซึ่งการจัดทำข้อมูลเข้าสู่ระบบดังกล่าวจะต้องบันทึกข้อมูลลงในครุภัณฑ์ไอทีดังกล่าว ครุภัณฑ์ไอทีและการจัดทำข้อมูลเข้าสู่ระบบซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญาจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ศูนย์การท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการจังหวัดสระบุรีซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองในกำกับดูแลของจำเลย ใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะในหน้าที่ให้บรรลุผล สัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ไอทีและสัญญาจ้างเหมาจัดทำข้อมูลเข้าสู่ระบบจึงเป็นสัญญาทางปกครอง เมื่อโจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญาดังกล่าว จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสระบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้คดีนี้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งคือจำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง และการจัดซื้อครุภัณฑ์ไอทีดังกล่าวเป็นไปตามโครงการประกอบด้วยการจัดซื้อครุภัณฑ์ไอทีจำนวน ๕ รายการ การจ้างเหมาจัดทำข้อมูล และฝึกสอนผู้ดูแลระบบและการจ้างเหมาดูแลระบบ แต่เมื่อพิจารณาตามสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยแล้ว โจทก์มีหน้าที่ต้องส่งมอบครุภัณฑ์ไอทีจำนวน ๕ รายการตามที่กำหนด ณ ศูนย์การท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการจังหวัดสระบุรี พร้อมทั้งหีบห่อเครื่องรัดพันผูกโดยเรียบร้อยเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์มีส่วนร่วมในการดำเนินการจัดทำข้อมูล ฝึกสอนผู้ดูแลระบบหรือดูแลระบบแต่อย่างใด การจัดซื้อครุภัณฑ์ไอทีจึงเป็นเพียงสัญญาจัดหาพัสดุธรรมดาเพื่อสนับสนุนการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลยเท่านั้น สัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ไอทีดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาทางปกครอง แต่เป็นสัญญาทางแพ่งที่มีหน่วยงานทางปกครองของรัฐเป็นคู่สัญญาเท่านั้น เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยผิดข้อตกลงไม่ชำระราคาค่าสินค้าแก่โจทก์และฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาซื้อขาย ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่ง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า สัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ไอทีระหว่างโจทก์และจำเลยจัดทำขึ้นเพื่อใช้ในโครงการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดของจังหวัดสระบุรี งบประมาณเหลือจ่ายจากโครงการส่งเสริมด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์เชิงรุกของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน กลุ่ม ๒ จังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดชัยนาท และจังหวัดสิงห์บุรี โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัดสระบุรีและกลุ่มจังหวัด และเป็นแหล่งบริการข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดสระบุรีและกลุ่มจังหวัด ดังนั้น การจัดซื้อครุภัณฑ์ไอที ๕ รายการในคดีพิพาทนี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการโครงการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดของจังหวัดสระบุรี ทั้งนี้เมื่อได้จัดซื้อครุภัณฑ์ไอทีแล้วจะต้องมีการบันทึกข้อมูลด้านการท่องเที่ยวเข้าสู่ระบบครุภัณฑ์ไอทีดังกล่าว โดยจำเลยจะนำครุภัณฑ์ไอทีที่ได้บันทึกข้อมูลด้านการท่องเที่ยวตามโครงการไปตั้งวางให้บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดแก่ประชาชนทั่วไปในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ครุภัณฑ์ไอทีในสัญญาพิพาท จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการดำเนินบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของศูนย์การท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการจังหวัดสระบุรีให้บรรลุผล สัญญาจัดซื้อครุภัณฑ์ไอที ๕ รายการ ระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้จึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มิใช่สัญญาจัดหาพัสดุธรรมดาที่สนับสนุนการจัดการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลยเท่านั้น ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้ จำเลยมอบอำนาจให้นายดุษฎี ศิลปไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์การท่องเที่ยว กีฬา และนันทนาการจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับดูแลของจำเลย ทำสัญญาซื้อครุภัณฑ์ไอทีจำนวน ๕ รายการ จากโจทก์ซึ่งเป็นเอกชน แต่โจทก์อ้างว่า จำเลยปฏิบัติผิดสัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ไอทีดังกล่าว ส่วนจำเลยก็ให้การว่า จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยจำเลยมิได้ผิดนัด เนื่องจากโจทก์ไม่มีหลักฐานในการตรวจรับสิ่งของมาแสดง อีกทั้งโจทก์เองไม่ปฏิบัติตามสัญญาในการส่งมอบ โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา กรณีจึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวเนื่องกับสัญญาซื้อขายดังกล่าว คดีนี้จึงต้องพิจารณาว่า สัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ไอทีระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ คดีนี้จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับนโยบายและรับคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มาปฏิบัติการให้เหมาะสมกับท้องที่และประชาชน และเป็นหัวหน้าบังคับบัญชาบรรดาข้าราชการฝ่ายบริหาร ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในราชการส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัด และรับผิดชอบในราชการจังหวัดและอำเภอ มีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๕๔ และมาตรา ๕๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ เมื่อจำเลยมอบอำนาจให้ผู้อำนวยการศูนย์การท่องเที่ยว กีฬา และนันทนาการจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับดูแลของจำเลยทำสัญญาซื้อครุภัณฑ์ไอทีจำนวน ๕ รายการ ที่มีสาระสำคัญให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนจัดหาและส่งมอบครุภัณฑ์ไอทีเพื่อใช้ในโครงการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดของจังหวัดสระบุรี ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัดสระบุรีและกลุ่มจังหวัด และเป็นแหล่งบริการข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดสระบุรีและกลุ่มจังหวัด อันเป็นภารกิจเกี่ยวกับการจัดทำบริการสาธารณะอย่างหนึ่งในการพัฒนาการท่องเที่ยว กีฬา และนันทนาการของรัฐ ครุภัณฑ์ไอทีดังกล่าวจึงเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์สำคัญที่จำเป็นต่อการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลยให้บรรลุผล สัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ไอทีระหว่างโจทก์และจำเลยจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง บริษัทสระบุรี คอมพ์ โฟกัส จำกัด โจทก์ จังหวัดสระบุรี จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๒/๒๕๕๔
วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๒ นายสุรินทร์ พงศ์ศุภสมิทธิ์ โจทก์ ยื่นฟ้องนายธัชชัย สุมิตร ที่ ๑ กับพวกรวม ๓๔ คน จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๔๙/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ เป็นคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) มีอำนาจและหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลกิจการของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่วนจำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๒๗ มีตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำเลยที่ ๒๘ ถึงที่ ๓๒ มีตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และจำเลยที่ ๓๓ ถึงที่ ๓๔ เป็นพนักงานสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๙ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ แต่งตั้งโจทก์เป็นผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีวาระ ๔ ปี ซึ่งโจทก์และสถาบันทำบันทึกข้อตกลงการปฏิบัติงานในตำแหน่งดังกล่าวกำหนดหน้าที่ วิธีปฏิบัติงาน และเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานของโจทก์ไว้ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ แต่งตั้งจำเลยที่ ๑๙ ถึงที่ ๒๔ เป็นคณะกรรมการประเมินผลเพื่อทำหน้าที่ประเมินผลการปฏิบัติงานของโจทก์ แต่จำเลยที่ ๑๙ ถึงที่ ๒๔ ไม่ได้ใช้หลักเกณฑ์ประเมินผลที่โจทก์ทำกับสถาบัน อ้างว่าหลักเกณฑ์ประเมินผลดังกล่าวไม่เพียงพอ และจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ เห็นชอบให้จัดทำร่างเกณฑ์ประเมินผลใหม่โดยให้ปรึกษาหารือกับโจทก์อย่างใกล้ชิดและให้ยึดแนวทางที่ปรากฏในบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับสถาบัน แต่จำเลยที่ ๑๙ ถึงที่ ๒๔ ไม่ได้ปรึกษาหารือกับโจทก์และไม่ได้ยึดแนวทางที่ปรากฏในบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับสถาบันในการจัดทำร่างหลักเกณฑ์ประเมินผลขึ้นใหม่ โดยกำหนดเกณฑ์การประเมินว่าผู้รับการประเมินจะต้องได้รับคะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ และจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ให้ความเห็นชอบ ทั้งให้โจทก์จัดทำแผนปรับปรุงการทำงานของตนเองซึ่งไม่อยู่ในบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับสถาบัน ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ลงมติให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการ โดยให้เหตุผลว่าแผนปรับปรุงการทำงานของโจทก์ไม่เป็นแผนงานพัฒนาองค์กรแบบก้าวกระโดดและขาดภาวะผู้นำ ถือว่าการปฏิบัติงานของโจทก์บกพร่องต่อหน้าที่ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ เป็นการประเมินผลการปฏิบัติงานของโจทก์ที่ปราศจากความเป็นธรรม ไม่ยึดถือข้อตกลงตามสัญญาที่โจทก์ทำไว้กับสถาบัน โดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ จำเลยที่ ๑ ในฐานะประธานคณะกรรมการสถาบันได้ออกประกาศแจ้งมติคณะกรรมการครั้งที่ ๔๐๔/๒/๒๕๕๑ กรณีให้โจทก์พ้นจากตำแหน่ง และมีคำสั่งให้ออกหนังสือเวียนแจ้งข้อความในประกาศดังกล่าวส่งไปยังทุกหน่วยงานของสถาบัน เพื่อให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน ทั้งที่เป็นการประชุมลับ ส่วนจำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๓๔ ร่วมกันทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้นกล่าวหาโจทก์ว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดความแตกแยกในองค์กร นอกจากนี้จำเลยที่ ๒๕ ที่ ๓๓ และที่ ๓๔ ได้ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ภายในองค์กรสถาบัน ใส่ความโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งหมดดังกล่าวเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามสิบสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ กับให้ลงข้อความขอโทษในหนังสือพิมพ์รายวัน ๓ ฉบับ เป็นระยะเวลาติดต่อกัน ๗ วัน
จำเลยทั้งสามสิบสี่ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ประเมินโจทก์ด้วยความเป็นธรรมถูกต้องตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ และไม่ได้กลั่นแกล้งโจทก์ การแจ้งมติของคณะกรรมการเป็นการแจ้งข่าวการประชุมมิได้บิดเบือนไปจากมติของคณะกรรมการ และข้อความที่แจ้งก็ไม่ได้ทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง และไม่เป็นการจงใจทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ไม่เคยออกคำสั่งให้ออกหนังสือเวียน และไม่เคยแพร่ข่าวลงหนังสือพิมพ์ การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๓๔ เป็นการสื่อสารกับพนักงานของสถาบันด้วยความชอบธรรม และไม่มีข้อความใดกล่าวใส่ร้ายโจทก์อันจะทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง การเขียนบทความลงในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยที่ ๓๔ เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตอยู่ในวิสัยย่อมกระทำได้และไม่ทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ค่าเสียหายสูงเกินส่วน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสามสิบสี่ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบกรณีมีคำสั่งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งอันเป็นคำสั่งทางปกครอง จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ทั้งโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ และคณะรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๘๙๐/๒๕๕๑ อ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายและไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการประเมินผลการปฏิบัติงาน และลงมติให้พ้นจากตำแหน่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับคดีนี้
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๔๑ มีวัตถุประสงค์ในการริเริ่ม ดำเนินการ ส่งเสริม ประสาน และจัดให้มีการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และพัฒนาหลักสูตร วิธีการเรียนรู้ วิธีสอน และการประเมินผลการเรียนการสอนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีทุกระดับการศึกษา โดยเน้นการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลัก ฯลฯ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โจทก์ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของสถาบัน ในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของสถาบันโจทก์ย่อมเป็นผู้แทนของสถาบันด้วย ดังนั้นสัญญาแต่งตั้งโจทก์เป็นผู้อำนวยการสถาบัน จึงเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองว่าจ้างให้โจทก์เป็นผู้แทนของสถาบัน สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครอง โดยมีจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ เป็นคณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของสถาบัน และโดยเฉพาะมีอำนาจและหน้าที่ออกข้อบังคับเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน ฯลฯ จึงเป็นคณะกรรมการหรือบุคคลซึ่งมีกฎหมายให้อำนาจในการออกกฎ คำสั่ง หรือมติใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อบุคคล ดังนั้น จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องโดยอ้างว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ประเมินผลการปฏิบัติงานของโจทก์ที่ปราศจากความเป็นธรรมไม่ยึดถือข้อตกลงตามสัญญาที่โจทก์ทำไว้กับสถาบัน โดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันก่อนครบกำหนดวาระ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีลักษณะเป็นคดีปกครอง อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยลงมติในการประชุมคณะกรรมการของสถาบันให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการของสถาบันโดยระบุว่า "โจทก์บกพร่องต่อหน้าที่" แล้วนำไปเผยแพร่ต่อบุคคลทั่วไป เพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง และยังได้เผยแพร่ต่อสื่อมวลชน เหตุดังกล่าวก็สืบเนื่องมาจากการที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ มีมติให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันจึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๓๔ นั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ประเมินผลการปฏิบัติงานของโจทก์โดยไม่ยึดถือข้อตกลงตามสัญญาที่โจทก์ทำไว้กับสถาบันและมีมติให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งทั้งยังมีคำสั่งให้ออกหนังสือเวียนเพื่อแจ้งเรื่องให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งส่งไปยังทุกหน่วยงานของสถาบันจึงเป็นการดำเนินการตามหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดังนี้ คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๓๔ จึงมีมูลความแห่งคดีเกี่ยวเนื่องกับคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ และเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวเนื่องกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเกี่ยวเนื่องกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันมีลักษณะเป็นคดีปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ชึ่งอยู่ในอำนาจของศาลปกครองเช่นกัน
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๔๑ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ เป็นคณะกรรมการสถาบัน จำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๒๗ มีตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการสถาบัน จำเลยที่ ๒๘ ถึงที่ ๓๒ มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบัน และจำเลยที่ ๓๓ ถึงที่ ๓๔ เป็นพนักงานของสถาบัน ดังนั้น จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓๔ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน การกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ โดยจำเลยที่ ๑ ในฐานะประธานคณะกรรมการสถาบัน ออกประกาศ เรื่อง แจ้งมติคณะกรรมการสถาบัน ครั้งที่ ๔๐๔/๒/๒๕๕๑ ที่มีมติให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบัน ต่อมามีคำสั่งคณะกรรมการสถาบัน ที่ ๒/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๑ ให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า โจทก์ไม่สามารถปฏิบัติงานบรรลุวัตถุประสงค์และให้ถือว่าบกพร่องต่อหน้าที่ จากนั้นจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ มีคำสั่งให้ออกหนังสือเวียนเพื่อแจ้งข้อความในประกาศดังกล่าวส่งไปยังหน่วยงานภายในสถาบัน และแจ้งส่งข้อความเกี่ยวกับประกาศดังกล่าวทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไปยังพนักงานสถาบันทุกคน ทั้งยังได้นำความดังกล่าวลงหนังสือพิมพ์อีกด้วย โดยที่มาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๔๑ บัญญัติให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ในฐานะคณะกรรมการสถาบันมีอำนาจและหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของสถาบัน และโดยเฉพาะมีอำนาจและหน้าที่ออกข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของสถาบัน และข้อบังคับว่าด้วยการออกจากตำแหน่งของผู้อำนวยการสถาบันหาได้บัญญัติให้มีอำนาจกระทำการดังที่โจทก์กล่าวหาแต่อย่างใดไม่ ประกอบกับการที่จำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๓๔ ร่วมกันทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวหาโจทก์ว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดความแตกแยก และขอให้พิจารณาให้ความเห็นชอบตามมติคณะกรรมการสถาบัน อีกทั้งจำเลยที่ ๒๕ ยังได้ทำจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ภายในสถาบัน โดยมีข้อความให้ร้ายโจทก์ส่งไปยังพนักงานของสถาบันด้วยนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓๔ มิได้เป็นการกระทำโดยใช้อำนาจหน้าที่ แต่เป็นการกระทำในการปฏิบัติราชการหรือในฐานะส่วนตัวและเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายทั้งสิ้น เข้าข่ายเป็นการกระทำละเมิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ หรือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทั้งนี้การจะพิจารณาว่าจำเลยทั้งสามสิบสี่กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการดังกล่าวมากน้อยเพียงใดนั้นเป็นอำนาจพิจารณาตรวจสอบของศาลแพ่ง คำฟ้องนี้จึงไม่ใช่คดีปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่นหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร คดีนี้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๔๑ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา คดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ เป็นคณะกรรมการสถาบัน จำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๒๗ เป็นรองผู้อำนวยการสถาบัน จำเลยที่ ๒๘ ถึงที่ ๓๒ เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบัน และจำเลยที่ ๓๓ ถึงที่ ๓๔ เป็นพนักงานของสถาบัน จำเลยทั้งหมดจึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ซึ่งมีอำนาจและหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของสถาบัน และโดยเฉพาะมีอำนาจและหน้าที่ออกข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของสถาบัน และข้อบังคับว่าด้วยการออกจากตำแหน่งของผู้อำนวยการสถาบันตามพระราชบัญญัติสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๕ ได้กระทำการออกประกาศ เรื่อง แจ้งมติคณะกรรมการสถาบันให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบัน และมีคำสั่งคณะกรรมการสถาบันให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งโดยให้เหตุผลว่า โจทก์ไม่สามารถปฏิบัติงานบรรลุวัตถุประสงค์และให้ถือว่าบกพร่องต่อหน้าที่ ซึ่งโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ประเมินผลการปฏิบัติงานของโจทก์ปราศจากความเป็นธรรม ไม่ยึดถือข้อตกลงตามสัญญาที่โจทก์ทำไว้กับสถาบัน โดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันก่อนครบกำหนดวาระ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และการที่โจทก์กล่าวหาว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ได้ทำการประกาศให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งแล้ว จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยมีคำสั่งให้ออกหนังสือเวียนเพื่อแจ้งข้อความในประกาศส่งไปยังหน่วยงานภายในสถาบัน และแจ้งส่งข้อความเกี่ยวกับประกาศทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไปยังพนักงานสถาบันทุกคน และเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน เพื่อให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทั้งที่เป็นการประชุมลับ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย พร้อมทั้งขอให้ชดใช้ค่าเสียหายด้วยนั้น พฤติการณ์ของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ตามที่โจทก์กล่าวอ้างเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนการที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๓๔ ร่วมกันทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้นกล่าวหาโจทก์ว่า เป็นผู้ก่อให้เกิดความแตกแยกในองค์กร และจำเลยที่ ๒๕ ที่ ๓๓ และที่ ๓๔ ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ภายในองค์กรสถาบันใส่ความโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายนั้น ก็ล้วนเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ จึงเป็นมูลคดีที่เกี่ยวเนื่องกัน ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายสุรินทร์ พงศ์ศุภสมิทธิ์ โจทก์ นายธัชชัย สุมิตร ที่ ๑ กับพวกรวม ๓๔ คน จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๒/๒๕๕๔
วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๒ นายสุรินทร์ พงศ์ศุภสมิทธิ์ โจทก์ ยื่นฟ้องนายธัชชัย สุมิตร ที่ ๑ กับพวกรวม ๓๔ คน จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๔๙/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ เป็นคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) มีอำนาจและหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลกิจการของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่วนจำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๒๗ มีตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำเลยที่ ๒๘ ถึงที่ ๓๒ มีตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และจำเลยที่ ๓๓ ถึงที่ ๓๔ เป็นพนักงานสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๙ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ แต่งตั้งโจทก์เป็นผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีวาระ ๔ ปี ซึ่งโจทก์และสถาบันทำบันทึกข้อตกลงการปฏิบัติงานในตำแหน่งดังกล่าวกำหนดหน้าที่ วิธีปฏิบัติงาน และเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานของโจทก์ไว้ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ แต่งตั้งจำเลยที่ ๑๙ ถึงที่ ๒๔ เป็นคณะกรรมการประเมินผลเพื่อทำหน้าที่ประเมินผลการปฏิบัติงานของโจทก์ แต่จำเลยที่ ๑๙ ถึงที่ ๒๔ ไม่ได้ใช้หลักเกณฑ์ประเมินผลที่โจทก์ทำกับสถาบัน อ้างว่าหลักเกณฑ์ประเมินผลดังกล่าวไม่เพียงพอ และจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ เห็นชอบให้จัดทำร่างเกณฑ์ประเมินผลใหม่โดยให้ปรึกษาหารือกับโจทก์อย่างใกล้ชิดและให้ยึดแนวทางที่ปรากฏในบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับสถาบัน แต่จำเลยที่ ๑๙ ถึงที่ ๒๔ ไม่ได้ปรึกษาหารือกับโจทก์และไม่ได้ยึดแนวทางที่ปรากฏในบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับสถาบันในการจัดทำร่างหลักเกณฑ์ประเมินผลขึ้นใหม่ โดยกำหนดเกณฑ์การประเมินว่าผู้รับการประเมินจะต้องได้รับคะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ และจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ให้ความเห็นชอบ ทั้งให้โจทก์จัดทำแผนปรับปรุงการทำงานของตนเองซึ่งไม่อยู่ในบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับสถาบัน ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ลงมติให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการ โดยให้เหตุผลว่าแผนปรับปรุงการทำงานของโจทก์ไม่เป็นแผนงานพัฒนาองค์กรแบบก้าวกระโดดและขาดภาวะผู้นำ ถือว่าการปฏิบัติงานของโจทก์บกพร่องต่อหน้าที่ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ เป็นการประเมินผลการปฏิบัติงานของโจทก์ที่ปราศจากความเป็นธรรม ไม่ยึดถือข้อตกลงตามสัญญาที่โจทก์ทำไว้กับสถาบัน โดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ จำเลยที่ ๑ ในฐานะประธานคณะกรรมการสถาบันได้ออกประกาศแจ้งมติคณะกรรมการครั้งที่ ๔๐๔/๒/๒๕๕๑ กรณีให้โจทก์พ้นจากตำแหน่ง และมีคำสั่งให้ออกหนังสือเวียนแจ้งข้อความในประกาศดังกล่าวส่งไปยังทุกหน่วยงานของสถาบัน เพื่อให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน ทั้งที่เป็นการประชุมลับ ส่วนจำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๓๔ ร่วมกันทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้นกล่าวหาโจทก์ว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดความแตกแยกในองค์กร นอกจากนี้จำเลยที่ ๒๕ ที่ ๓๓ และที่ ๓๔ ได้ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ภายในองค์กรสถาบัน ใส่ความโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งหมดดังกล่าวเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามสิบสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ กับให้ลงข้อความขอโทษในหนังสือพิมพ์รายวัน ๓ ฉบับ เป็นระยะเวลาติดต่อกัน ๗ วัน
จำเลยทั้งสามสิบสี่ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ประเมินโจทก์ด้วยความเป็นธรรมถูกต้องตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ และไม่ได้กลั่นแกล้งโจทก์ การแจ้งมติของคณะกรรมการเป็นการแจ้งข่าวการประชุมมิได้บิดเบือนไปจากมติของคณะกรรมการ และข้อความที่แจ้งก็ไม่ได้ทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง และไม่เป็นการจงใจทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ไม่เคยออกคำสั่งให้ออกหนังสือเวียน และไม่เคยแพร่ข่าวลงหนังสือพิมพ์ การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๓๔ เป็นการสื่อสารกับพนักงานของสถาบันด้วยความชอบธรรม และไม่มีข้อความใดกล่าวใส่ร้ายโจทก์อันจะทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง การเขียนบทความลงในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยที่ ๓๔ เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตอยู่ในวิสัยย่อมกระทำได้และไม่ทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ค่าเสียหายสูงเกินส่วน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสามสิบสี่ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบกรณีมีคำสั่งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งอันเป็นคำสั่งทางปกครอง จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ทั้งโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ และคณะรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๘๙๐/๒๕๕๑ อ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายและไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการประเมินผลการปฏิบัติงาน และลงมติให้พ้นจากตำแหน่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับคดีนี้
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๔๑ มีวัตถุประสงค์ในการริเริ่ม ดำเนินการ ส่งเสริม ประสาน และจัดให้มีการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และพัฒนาหลักสูตร วิธีการเรียนรู้ วิธีสอน และการประเมินผลการเรียนการสอนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีทุกระดับการศึกษา โดยเน้นการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลัก ฯลฯ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โจทก์ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของสถาบัน ในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของสถาบันโจทก์ย่อมเป็นผู้แทนของสถาบันด้วย ดังนั้นสัญญาแต่งตั้งโจทก์เป็นผู้อำนวยการสถาบัน จึงเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองว่าจ้างให้โจทก์เป็นผู้แทนของสถาบัน สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครอง โดยมีจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ เป็นคณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของสถาบัน และโดยเฉพาะมีอำนาจและหน้าที่ออกข้อบังคับเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน ฯลฯ จึงเป็นคณะกรรมการหรือบุคคลซึ่งมีกฎหมายให้อำนาจในการออกกฎ คำสั่ง หรือมติใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อบุคคล ดังนั้น จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องโดยอ้างว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ประเมินผลการปฏิบัติงานของโจทก์ที่ปราศจากความเป็นธรรมไม่ยึดถือข้อตกลงตามสัญญาที่โจทก์ทำไว้กับสถาบัน โดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันก่อนครบกำหนดวาระ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีลักษณะเป็นคดีปกครอง อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยลงมติในการประชุมคณะกรรมการของสถาบันให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการของสถาบันโดยระบุว่า "โจทก์บกพร่องต่อหน้าที่" แล้วนำไปเผยแพร่ต่อบุคคลทั่วไป เพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง และยังได้เผยแพร่ต่อสื่อมวลชน เหตุดังกล่าวก็สืบเนื่องมาจากการที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ มีมติให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันจึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๓๔ นั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ประเมินผลการปฏิบัติงานของโจทก์โดยไม่ยึดถือข้อตกลงตามสัญญาที่โจทก์ทำไว้กับสถาบันและมีมติให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งทั้งยังมีคำสั่งให้ออกหนังสือเวียนเพื่อแจ้งเรื่องให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งส่งไปยังทุกหน่วยงานของสถาบันจึงเป็นการดำเนินการตามหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดังนี้ คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๓๔ จึงมีมูลความแห่งคดีเกี่ยวเนื่องกับคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ และเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวเนื่องกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเกี่ยวเนื่องกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันมีลักษณะเป็นคดีปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ชึ่งอยู่ในอำนาจของศาลปกครองเช่นกัน
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๔๑ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ เป็นคณะกรรมการสถาบัน จำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๒๗ มีตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการสถาบัน จำเลยที่ ๒๘ ถึงที่ ๓๒ มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบัน และจำเลยที่ ๓๓ ถึงที่ ๓๔ เป็นพนักงานของสถาบัน ดังนั้น จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓๔ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน การกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ โดยจำเลยที่ ๑ ในฐานะประธานคณะกรรมการสถาบัน ออกประกาศ เรื่อง แจ้งมติคณะกรรมการสถาบัน ครั้งที่ ๔๐๔/๒/๒๕๕๑ ที่มีมติให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบัน ต่อมามีคำสั่งคณะกรรมการสถาบัน ที่ ๒/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๑ ให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า โจทก์ไม่สามารถปฏิบัติงานบรรลุวัตถุประสงค์และให้ถือว่าบกพร่องต่อหน้าที่ จากนั้นจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ มีคำสั่งให้ออกหนังสือเวียนเพื่อแจ้งข้อความในประกาศดังกล่าวส่งไปยังหน่วยงานภายในสถาบัน และแจ้งส่งข้อความเกี่ยวกับประกาศดังกล่าวทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไปยังพนักงานสถาบันทุกคน ทั้งยังได้นำความดังกล่าวลงหนังสือพิมพ์อีกด้วย โดยที่มาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๔๑ บัญญัติให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ในฐานะคณะกรรมการสถาบันมีอำนาจและหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของสถาบัน และโดยเฉพาะมีอำนาจและหน้าที่ออกข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของสถาบัน และข้อบังคับว่าด้วยการออกจากตำแหน่งของผู้อำนวยการสถาบันหาได้บัญญัติให้มีอำนาจกระทำการดังที่โจทก์กล่าวหาแต่อย่างใดไม่ ประกอบกับการที่จำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๓๔ ร่วมกันทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวหาโจทก์ว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดความแตกแยก และขอให้พิจารณาให้ความเห็นชอบตามมติคณะกรรมการสถาบัน อีกทั้งจำเลยที่ ๒๕ ยังได้ทำจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ภายในสถาบัน โดยมีข้อความให้ร้ายโจทก์ส่งไปยังพนักงานของสถาบันด้วยนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓๔ มิได้เป็นการกระทำโดยใช้อำนาจหน้าที่ แต่เป็นการกระทำในการปฏิบัติราชการหรือในฐานะส่วนตัวและเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายทั้งสิ้น เข้าข่ายเป็นการกระทำละเมิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ หรือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทั้งนี้การจะพิจารณาว่าจำเลยทั้งสามสิบสี่กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการดังกล่าวมากน้อยเพียงใดนั้นเป็นอำนาจพิจารณาตรวจสอบของศาลแพ่ง คำฟ้องนี้จึงไม่ใช่คดีปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่นหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร คดีนี้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๔๑ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา คดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ เป็นคณะกรรมการสถาบัน จำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๒๗ เป็นรองผู้อำนวยการสถาบัน จำเลยที่ ๒๘ ถึงที่ ๓๒ เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบัน และจำเลยที่ ๓๓ ถึงที่ ๓๔ เป็นพนักงานของสถาบัน จำเลยทั้งหมดจึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ซึ่งมีอำนาจและหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของสถาบัน และโดยเฉพาะมีอำนาจและหน้าที่ออกข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของสถาบัน และข้อบังคับว่าด้วยการออกจากตำแหน่งของผู้อำนวยการสถาบันตามพระราชบัญญัติสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๕ ได้กระทำการออกประกาศ เรื่อง แจ้งมติคณะกรรมการสถาบันให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบัน และมีคำสั่งคณะกรรมการสถาบันให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งโดยให้เหตุผลว่า โจทก์ไม่สามารถปฏิบัติงานบรรลุวัตถุประสงค์และให้ถือว่าบกพร่องต่อหน้าที่ ซึ่งโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ประเมินผลการปฏิบัติงานของโจทก์ปราศจากความเป็นธรรม ไม่ยึดถือข้อตกลงตามสัญญาที่โจทก์ทำไว้กับสถาบัน โดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันก่อนครบกำหนดวาระ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และการที่โจทก์กล่าวหาว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ได้ทำการประกาศให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งแล้ว จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยมีคำสั่งให้ออกหนังสือเวียนเพื่อแจ้งข้อความในประกาศส่งไปยังหน่วยงานภายในสถาบัน และแจ้งส่งข้อความเกี่ยวกับประกาศทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไปยังพนักงานสถาบันทุกคน และเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน เพื่อให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทั้งที่เป็นการประชุมลับ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย พร้อมทั้งขอให้ชดใช้ค่าเสียหายด้วยนั้น พฤติการณ์ของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ ตามที่โจทก์กล่าวอ้างเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนการที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยที่ ๒๕ ถึงที่ ๓๔ ร่วมกันทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้นกล่าวหาโจทก์ว่า เป็นผู้ก่อให้เกิดความแตกแยกในองค์กร และจำเลยที่ ๒๕ ที่ ๓๓ และที่ ๓๔ ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ภายในองค์กรสถาบันใส่ความโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายนั้น ก็ล้วนเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒๔ จึงเป็นมูลคดีที่เกี่ยวเนื่องกัน ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายสุรินทร์ พงศ์ศุภสมิทธิ์ โจทก์ นายธัชชัย สุมิตร ที่ ๑ กับพวกรวม ๓๔ คน จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๑/๒๕๕๔
วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาล
ในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๑ นายวีระศักดิ์ กุลวานิช ที่ ๑ นายเสริมศักดิ์ กุลวานิช ที่ ๒ โจทก์ ยื่นฟ้องนางศิริมา จิวะอนันต์หรือกุลวานิช ที่ ๑ บริษัทสตาร์โฮมบีชรีสอร์ท จำกัด ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๖๖๐๖/๒๕๕๑ ความว่า โจทก์ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายเจริญศักดิ์ กุลวานิช และเป็นหุ้นส่วนร่วมลงทุนกิจการบ้านพักและรีสอร์ทชายทะเลชื่อว่า "บ้านรักทะเล" ตั้งอยู่บริเวณชายหาดบางเนียง ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา (เขาหลัก) บนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๒๙ ที่ ๘๖๓๖ ที่ ๘๖๓๗ ที่ ๑๔๓๖๕ และที่ ๑๔๓๘๗ (ที่ถูกน่าจะเป็น ๑๕๓๘๗) แต่เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ทำให้นายเจริญศักดิ์เสียชีวิตและรีสอร์ทเสียหายทั้งหมด ต่อมาจำเลยที่ ๑ ซึ่งอ้างว่าเป็นบุตรนอกสมรสของนายเจริญศักดิ์ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ต่อศาลจังหวัดตะกั่วป่า และศาลจังหวัดตะกั่วป่ามีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ตามคำร้อง แต่โจทก์ที่ ๒ อุทธรณ์ เนื่องจากเห็นว่าจำเลยที่ ๑ มิใช่บุตรนอกสมรสของนายเจริญศักดิ์และขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งในระหว่างนั้นจำเลยที่ ๑ นำคำสั่งศาลจังหวัดตะกั่วป่าดำเนินการปิดบัญชีธนาคารและโอนที่ดินที่มีชื่อนายเจริญศักดิ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นของจำเลยที่ ๑ โดยไม่ดำเนินการแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสองในฐานะหุ้นส่วนไม่จดทะเบียนในกิจการบ้านพักและรีสอร์ท ต่อมาโจทก์ที่ ๒ ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๓ ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๓๓/๒๕๕๑ โดยกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๓ ออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยมิชอบ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง
ต่อมาวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๑ ขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๗ ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนให้ทั้งที่ทราบแล้วว่าคดีอันเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล อันทำให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉลและความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ชำระเงินที่ได้จากการปิดบัญชีธนาคารของนายเจริญศักดิ์ในส่วนของโจทก์ทั้งสองเป็นเงินจำนวนคนละ ๓๖๖,๖๖๖.๖๖ บาทพร้อมดอกเบี้ย และให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๘๗ (ที่ถูกน่าจะเป็น ๑๕๓๘๗) ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ กับขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๒๙ ที่ ๘๖๓๖ ที่ ๘๖๓๗ ที่ ๑๔๓๖๕ และที่ ๑๕๓๘๗ ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งในสามของจำนวนที่ดินทั้งหมดห้าแปลงดังกล่าวจำเลยที่ ๑ ให้การว่า ข้ออ้างตามฟ้องโจทก์เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ นายเจริญศักดิ์ บิดาของจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดทั้งห้าแปลง โจทก์ทั้งสองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือร่วมลงทุนกับบิดาของจำเลยที่ ๑ การที่จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและเบิกเงินจากบัญชี รวมถึงทำนิติกรรมโอนขายที่ดินที่เป็นทรัพย์มรดกของนายเจริญเป็นการกระทำที่สุจริตเปิดเผยและถูกต้องตามกฎหมาย เป็นไปตามสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะผู้จัดการมรดกและในฐานะทายาทโดยธรรมเพียงคนเดียวของนายเจริญ โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิที่จะได้รับมรดก และโจทก์ทั้งสองก็ทราบดีว่าจำเลยที่ ๑ มีสิทธิกระทำได้ เพราะหลังจากศาลจังหวัดตะกั่วป่ามีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ โจทก์ที่ ๒ ในฐานะผู้คัดค้านยื่นอุทธรณ์และคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค ๘ มีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์ที่ ๒ ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค ๘ โจทก์ทั้งสองไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง เพราะโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของนายเจริญศักดิ์ และนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ เป็นนิติกรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ซื้อที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๗ ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา จากจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกและทายาทของนายเจริญศักดิ์มาโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริต โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินโฉนดที่ดินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ ๓ ได้ดำเนินการออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาทและจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และวิธีปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะคดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง การที่โจทก์ที่ ๒ ได้ยื่นฟ้องสำนักงานที่ดินจังหวัดพังงา สาขาตะกั่วป่า ที่ ๑ นายอารักษ์ บุญยัษเฐียร ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๒๓/๒๕๕๑ ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้ออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาท ซึ่งคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลปกครองกลาง และต่อมาได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๓ ในประเด็นเดิมต่อศาลแพ่ง เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองอันเกิดจากการใช้อำนาจทางปกครอง จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจทางปกครอง จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า คู่กรณียังโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือไม่ ดังนี้ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คำฟ้องในข้อหาที่ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ถอนเงินและปิดบัญชีเงินฝากของนายเจริญศักดิ์ ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย เป็นข้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของจำเลยที่ ๓ คำฟ้องในข้อหานี้จึงเป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยแท้ และมิใช่คดีพิพาททางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนคำฟ้องในข้อหาที่ซึ่งโจทก์ทั้งสองกล่าวหาว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อกล่าวอ้างตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองในข้อหานี้เป็นข้อกล่าวอ้างที่สืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ที่ ๒ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ ๒๒๓/๒๕๕๑ และการยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามในข้อหานี้โจทก์ทั้งสองมีคำขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการซื้อขายที่ดินตามใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๖ ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันโอนที่ดินทั้งห้าแปลงให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งในสามส่วน มูลความแห่งคดีในข้อหานี้จึงสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายจากการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ออกใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๒๙ ที่ ๘๖๓๖ ที่ ๘๖๓๗ ที่ ๑๔๓๖๕ และที่ ๑๕๓๘๗ รวมห้าแปลง โดยรู้อยู่ว่าโฉนดที่ดินอยู่ในความครอบครองของโจทก์ทั้งสอง และโจทก์ทั้งสองยื่นคำคัดค้านต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ แล้ว และต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนขายที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๗ ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ เป็นผู้ดำเนินการจดทะเบียนการขายที่ดินดังกล่าว ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย อันเป็นการกล่าวหาว่าจำเลยที่ ๓ กระทำโดยไม่ชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย เมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องให้จำเลยที่ ๓ เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการซื้อขายที่ดิน ซึ่งเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินคนละหนึ่งในสาม เพื่อเป็นการเยียวยาความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสอง กรณีจึงเป็นการฟ้องว่า เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพังงา สาขาตะกั่วป่า ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ กระทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ข้อพิพาทในข้อหานี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง และการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับด้วยการเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง ซึ่งออกโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ได้ตามคำขอของโจทก์ทั้งสองตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และสั่งให้จำเลยทั้งสามใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สินให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว นอกจากนี้แม้ว่าการที่โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยก็ตาม ศาลปกครองก็มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณาได้ เพราะเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีส่วนร่วมกับจำเลยที่ ๓ ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อขายที่เป็นเหตุพิพาทในคดีนี้ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงถือเป็นคู่กรณีในคดีนี้ นอกจากนั้น คดีในข้อหานี้ก็มีคู่ความบางรายเป็นคู่ความเดียวกันกับคดีที่โจทก์ที่ ๒ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองไว้แล้ว ตามคดีหมายเลขดำที่ ๒๒๓/๒๕๕๑ ในข้อหาว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาทโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีคำขอให้เพิกถอนการออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาทในคดีนี้ด้วย เหตุแห่งการฟ้องคดีรวมทั้งคำขอของโจทก์ทั้งสอง จึงมีมูลมาจากการกระทำอันเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีที่เกี่ยวเนื่องกัน อีกทั้งที่ดินที่พิพาทก็เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน คดีทั้งสองคดีนี้จึงควรได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือ
ศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้สรุปได้ว่า โจทก์ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายเจริญศักดิ์ กุลวานิช และเป็นหุ้นส่วนร่วมลงทุนกิจการบ้านพักและรีสอร์ท ตั้งอยู่บริเวณชายหาดบางเนียง ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา (เขาหลัก) บนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๒๙ ที่ ๘๖๓๖ ที่ ๘๖๓๗ ที่ ๑๔๓๖๕ และที่ ๑๕๓๘๗ ต่อมานายเจริญศักดิ์เสียชีวิต ศาลจังหวัดตะกั่วป่ามีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งอ้างว่าเป็นบุตรนอกสมรสของนายเจริญศักดิ์ เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ โจทก์ที่ ๒ อุทธรณ์ เนื่องจากเห็นว่าจำเลยที่ ๑ มิใช่บุตรนอกสมรสของนายเจริญศักดิ์และขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ ในระหว่างนั้นจำเลยที่ ๑ นำคำสั่งศาลจังหวัดตะกั่วป่าดำเนินการปิดบัญชีธนาคารและโอนที่ดินที่มีชื่อนายเจริญศักดิ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มาเป็นของจำเลยที่ ๑ โดยไม่แบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสองในฐานะหุ้นส่วนไม่จดทะเบียนในกิจการบ้านพักและรีสอร์ท ต่อมาโจทก์ที่ ๒ ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อศาลปกครองกลาง โดยกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๓ ออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยมิชอบ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง ต่อมาจำเลยที่ ๑ ขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๗ ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนให้ทั้งที่ทราบแล้วว่าคดีอันเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล อันทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ชำระเงินในส่วนของโจทก์ทั้งสองที่จำเลยที่ ๑ ได้จากการปิดบัญชีธนาคารของนายเจริญศักดิ์พร้อมดอกเบี้ย และให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๗ ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ กับขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๒๙ ที่ ๘๖๓๖ ที่ ๘๖๓๗ ที่ ๑๔๓๖๕ และที่ ๑๕๓๘๗ ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งในสามของจำนวนที่ดินทั้งหมดห้าแปลงดังกล่าว เห็นว่า ตามคำฟ้องคดีนี้โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องโดยมีสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างว่า โจทก์ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันและเป็นหุ้นส่วนกับนายเจริญศักดิ์ โดยแต่ละคนถือหุ้นตามสัดส่วนของทรัพย์สินที่ได้ลงหุ้นไว้ ต่อมานายเจริญศักดิ์ถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้ห้างหุ้นส่วนต้องเลิกกันและจะต้องทำการชำระบัญชี ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแบ่งทรัพย์สินของห้างคือ เงินฝากในธนาคารและที่ดินพิพาททั้งหมดรวม ๕ แปลง ให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้เป็นหุ้นส่วน ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่าโจทก์ทั้งสองมิได้เป็นหุ้นส่วนกับผู้ตาย จึงไม่มีสิทธิที่จะขอแบ่งทรัพย์พิพาทตามฟ้อง ดังนั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์ทั้งสองกับผู้ตายทำสัญญาห้างหุ้นส่วนกันหรือไม่ แล้วจึงจะวินิจฉัยสิทธิในทรัพย์สินที่พิพาทตามฟ้องได้ ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน อันอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ส่วนการที่จำเลยที่ ๑ นำที่ดินของผู้ตาย ๑ แปลง ไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยมีจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองรับจดทะเบียนโอนให้นั้น เห็นว่า การรับจดทะเบียนโอนที่ดินเป็นการรับรองสิทธิของบุคคลในทางแพ่ง เพื่อให้ผู้รับโอนนำไปใช้ยันกับบุคคลอื่น ๆ ที่ไม่มีสิทธิดีกว่า ซึ่งในเรื่องนี้จะต้องพิจารณาว่า จำเลยที่ ๑ มีสิทธิที่จะโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ หรือไม่ หากจำเลยที่ ๑ มีสิทธิที่จะกระทำได้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินก็ย่อมจะโอนไปโดยชอบ แต่หากไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ การโอนย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินยังเป็นของห้างหุ้นส่วนที่จะต้องนำมาแบ่งให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสองที่เป็นเอกชนด้วนกันเอง อันอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายวีระศักดิ์ กุลวานิช ที่ ๑ นายเสริมศักดิ์ กุลวานิช ที่ ๒ โจทก์ นางศิริมา จิวะอนันต์หรือกุลวานิช ที่ ๑ บริษัทสตาร์โฮมบีชรีสอร์ท จำกัด ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๑/๒๕๕๔
วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาล
ในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๑ นายวีระศักดิ์ กุลวานิช ที่ ๑ นายเสริมศักดิ์ กุลวานิช ที่ ๒ โจทก์ ยื่นฟ้องนางศิริมา จิวะอนันต์หรือกุลวานิช ที่ ๑ บริษัทสตาร์โฮมบีชรีสอร์ท จำกัด ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๖๖๐๖/๒๕๕๑ ความว่า โจทก์ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายเจริญศักดิ์ กุลวานิช และเป็นหุ้นส่วนร่วมลงทุนกิจการบ้านพักและรีสอร์ทชายทะเลชื่อว่า "บ้านรักทะเล" ตั้งอยู่บริเวณชายหาดบางเนียง ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา (เขาหลัก) บนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๒๙ ที่ ๘๖๓๖ ที่ ๘๖๓๗ ที่ ๑๔๓๖๕ และที่ ๑๔๓๘๗ (ที่ถูกน่าจะเป็น ๑๕๓๘๗) แต่เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ทำให้นายเจริญศักดิ์เสียชีวิตและรีสอร์ทเสียหายทั้งหมด ต่อมาจำเลยที่ ๑ ซึ่งอ้างว่าเป็นบุตรนอกสมรสของนายเจริญศักดิ์ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ต่อศาลจังหวัดตะกั่วป่า และศาลจังหวัดตะกั่วป่ามีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ตามคำร้อง แต่โจทก์ที่ ๒ อุทธรณ์ เนื่องจากเห็นว่าจำเลยที่ ๑ มิใช่บุตรนอกสมรสของนายเจริญศักดิ์และขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งในระหว่างนั้นจำเลยที่ ๑ นำคำสั่งศาลจังหวัดตะกั่วป่าดำเนินการปิดบัญชีธนาคารและโอนที่ดินที่มีชื่อนายเจริญศักดิ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นของจำเลยที่ ๑ โดยไม่ดำเนินการแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสองในฐานะหุ้นส่วนไม่จดทะเบียนในกิจการบ้านพักและรีสอร์ท ต่อมาโจทก์ที่ ๒ ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๓ ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๓๓/๒๕๕๑ โดยกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๓ ออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยมิชอบ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง
ต่อมาวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๑ ขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๗ ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนให้ทั้งที่ทราบแล้วว่าคดีอันเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล อันทำให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉลและความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ชำระเงินที่ได้จากการปิดบัญชีธนาคารของนายเจริญศักดิ์ในส่วนของโจทก์ทั้งสองเป็นเงินจำนวนคนละ ๓๖๖,๖๖๖.๖๖ บาทพร้อมดอกเบี้ย และให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๘๗ (ที่ถูกน่าจะเป็น ๑๕๓๘๗) ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ กับขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๒๙ ที่ ๘๖๓๖ ที่ ๘๖๓๗ ที่ ๑๔๓๖๕ และที่ ๑๕๓๘๗ ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งในสามของจำนวนที่ดินทั้งหมดห้าแปลงดังกล่าวจำเลยที่ ๑ ให้การว่า ข้ออ้างตามฟ้องโจทก์เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ นายเจริญศักดิ์ บิดาของจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดทั้งห้าแปลง โจทก์ทั้งสองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือร่วมลงทุนกับบิดาของจำเลยที่ ๑ การที่จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและเบิกเงินจากบัญชี รวมถึงทำนิติกรรมโอนขายที่ดินที่เป็นทรัพย์มรดกของนายเจริญเป็นการกระทำที่สุจริตเปิดเผยและถูกต้องตามกฎหมาย เป็นไปตามสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะผู้จัดการมรดกและในฐานะทายาทโดยธรรมเพียงคนเดียวของนายเจริญ โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิที่จะได้รับมรดก และโจทก์ทั้งสองก็ทราบดีว่าจำเลยที่ ๑ มีสิทธิกระทำได้ เพราะหลังจากศาลจังหวัดตะกั่วป่ามีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ โจทก์ที่ ๒ ในฐานะผู้คัดค้านยื่นอุทธรณ์และคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค ๘ มีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์ที่ ๒ ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค ๘ โจทก์ทั้งสองไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง เพราะโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของนายเจริญศักดิ์ และนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ เป็นนิติกรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ซื้อที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๗ ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา จากจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกและทายาทของนายเจริญศักดิ์มาโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริต โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินโฉนดที่ดินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ ๓ ได้ดำเนินการออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาทและจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และวิธีปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะคดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง การที่โจทก์ที่ ๒ ได้ยื่นฟ้องสำนักงานที่ดินจังหวัดพังงา สาขาตะกั่วป่า ที่ ๑ นายอารักษ์ บุญยัษเฐียร ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๒๓/๒๕๕๑ ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้ออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาท ซึ่งคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลปกครองกลาง และต่อมาได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๓ ในประเด็นเดิมต่อศาลแพ่ง เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองอันเกิดจากการใช้อำนาจทางปกครอง จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจทางปกครอง จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า คู่กรณียังโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือไม่ ดังนี้ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คำฟ้องในข้อหาที่ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ถอนเงินและปิดบัญชีเงินฝากของนายเจริญศักดิ์ ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย เป็นข้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของจำเลยที่ ๓ คำฟ้องในข้อหานี้จึงเป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยแท้ และมิใช่คดีพิพาททางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนคำฟ้องในข้อหาที่ซึ่งโจทก์ทั้งสองกล่าวหาว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อกล่าวอ้างตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองในข้อหานี้เป็นข้อกล่าวอ้างที่สืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ที่ ๒ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ ๒๒๓/๒๕๕๑ และการยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามในข้อหานี้โจทก์ทั้งสองมีคำขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการซื้อขายที่ดินตามใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๖ ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันโอนที่ดินทั้งห้าแปลงให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งในสามส่วน มูลความแห่งคดีในข้อหานี้จึงสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายจากการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ออกใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๒๙ ที่ ๘๖๓๖ ที่ ๘๖๓๗ ที่ ๑๔๓๖๕ และที่ ๑๕๓๘๗ รวมห้าแปลง โดยรู้อยู่ว่าโฉนดที่ดินอยู่ในความครอบครองของโจทก์ทั้งสอง และโจทก์ทั้งสองยื่นคำคัดค้านต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ แล้ว และต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนขายที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๗ ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ เป็นผู้ดำเนินการจดทะเบียนการขายที่ดินดังกล่าว ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย อันเป็นการกล่าวหาว่าจำเลยที่ ๓ กระทำโดยไม่ชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย เมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องให้จำเลยที่ ๓ เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการซื้อขายที่ดิน ซึ่งเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินคนละหนึ่งในสาม เพื่อเป็นการเยียวยาความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสอง กรณีจึงเป็นการฟ้องว่า เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพังงา สาขาตะกั่วป่า ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ กระทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ข้อพิพาทในข้อหานี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง และการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับด้วยการเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง ซึ่งออกโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ได้ตามคำขอของโจทก์ทั้งสองตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และสั่งให้จำเลยทั้งสามใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สินให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว นอกจากนี้แม้ว่าการที่โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยก็ตาม ศาลปกครองก็มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณาได้ เพราะเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีส่วนร่วมกับจำเลยที่ ๓ ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อขายที่เป็นเหตุพิพาทในคดีนี้ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงถือเป็นคู่กรณีในคดีนี้ นอกจากนั้น คดีในข้อหานี้ก็มีคู่ความบางรายเป็นคู่ความเดียวกันกับคดีที่โจทก์ที่ ๒ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองไว้แล้ว ตามคดีหมายเลขดำที่ ๒๒๓/๒๕๕๑ ในข้อหาว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาทโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีคำขอให้เพิกถอนการออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาทในคดีนี้ด้วย เหตุแห่งการฟ้องคดีรวมทั้งคำขอของโจทก์ทั้งสอง จึงมีมูลมาจากการกระทำอันเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีที่เกี่ยวเนื่องกัน อีกทั้งที่ดินที่พิพาทก็เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน คดีทั้งสองคดีนี้จึงควรได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือ
ศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้สรุปได้ว่า โจทก์ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายเจริญศักดิ์ กุลวานิช และเป็นหุ้นส่วนร่วมลงทุนกิจการบ้านพักและรีสอร์ท ตั้งอยู่บริเวณชายหาดบางเนียง ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา (เขาหลัก) บนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๒๙ ที่ ๘๖๓๖ ที่ ๘๖๓๗ ที่ ๑๔๓๖๕ และที่ ๑๕๓๘๗ ต่อมานายเจริญศักดิ์เสียชีวิต ศาลจังหวัดตะกั่วป่ามีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งอ้างว่าเป็นบุตรนอกสมรสของนายเจริญศักดิ์ เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ โจทก์ที่ ๒ อุทธรณ์ เนื่องจากเห็นว่าจำเลยที่ ๑ มิใช่บุตรนอกสมรสของนายเจริญศักดิ์และขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญศักดิ์ ในระหว่างนั้นจำเลยที่ ๑ นำคำสั่งศาลจังหวัดตะกั่วป่าดำเนินการปิดบัญชีธนาคารและโอนที่ดินที่มีชื่อนายเจริญศักดิ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มาเป็นของจำเลยที่ ๑ โดยไม่แบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสองในฐานะหุ้นส่วนไม่จดทะเบียนในกิจการบ้านพักและรีสอร์ท ต่อมาโจทก์ที่ ๒ ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อศาลปกครองกลาง โดยกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๓ ออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยมิชอบ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง ต่อมาจำเลยที่ ๑ ขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๗ ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนให้ทั้งที่ทราบแล้วว่าคดีอันเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล อันทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ชำระเงินในส่วนของโจทก์ทั้งสองที่จำเลยที่ ๑ ได้จากการปิดบัญชีธนาคารของนายเจริญศักดิ์พร้อมดอกเบี้ย และให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๓๘๗ ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ กับขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๒๙ ที่ ๘๖๓๖ ที่ ๘๖๓๗ ที่ ๑๔๓๖๕ และที่ ๑๕๓๘๗ ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งในสามของจำนวนที่ดินทั้งหมดห้าแปลงดังกล่าว เห็นว่า ตามคำฟ้องคดีนี้โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องโดยมีสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างว่า โจทก์ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันและเป็นหุ้นส่วนกับนายเจริญศักดิ์ โดยแต่ละคนถือหุ้นตามสัดส่วนของทรัพย์สินที่ได้ลงหุ้นไว้ ต่อมานายเจริญศักดิ์ถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้ห้างหุ้นส่วนต้องเลิกกันและจะต้องทำการชำระบัญชี ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแบ่งทรัพย์สินของห้างคือ เงินฝากในธนาคารและที่ดินพิพาททั้งหมดรวม ๕ แปลง ให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้เป็นหุ้นส่วน ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่าโจทก์ทั้งสองมิได้เป็นหุ้นส่วนกับผู้ตาย จึงไม่มีสิทธิที่จะขอแบ่งทรัพย์พิพาทตามฟ้อง ดังนั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์ทั้งสองกับผู้ตายทำสัญญาห้างหุ้นส่วนกันหรือไม่ แล้วจึงจะวินิจฉัยสิทธิในทรัพย์สินที่พิพาทตามฟ้องได้ ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน อันอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ส่วนการที่จำเลยที่ ๑ นำที่ดินของผู้ตาย ๑ แปลง ไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยมีจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองรับจดทะเบียนโอนให้นั้น เห็นว่า การรับจดทะเบียนโอนที่ดินเป็นการรับรองสิทธิของบุคคลในทางแพ่ง เพื่อให้ผู้รับโอนนำไปใช้ยันกับบุคคลอื่น ๆ ที่ไม่มีสิทธิดีกว่า ซึ่งในเรื่องนี้จะต้องพิจารณาว่า จำเลยที่ ๑ มีสิทธิที่จะโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ หรือไม่ หากจำเลยที่ ๑ มีสิทธิที่จะกระทำได้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินก็ย่อมจะโอนไปโดยชอบ แต่หากไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ การโอนย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินยังเป็นของห้างหุ้นส่วนที่จะต้องนำมาแบ่งให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสองที่เป็นเอกชนด้วนกันเอง อันอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายวีระศักดิ์ กุลวานิช ที่ ๑ นายเสริมศักดิ์ กุลวานิช ที่ ๒ โจทก์ นางศิริมา จิวะอนันต์หรือกุลวานิช ที่ ๑ บริษัทสตาร์โฮมบีชรีสอร์ท จำกัด ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2552
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๐/๒๕๕๔
วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๑ วัดวรโพธิ์ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องกระทรวงการคลัง ที่ ๑ สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ กระทรวงมหาดไทย ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๔๑/๒๕๕๑ ความว่า เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๙๘ ผู้ฟ้องคดีแจ้งการครอบครองที่ดิน ตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๒ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ ๖๑ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา ต่อมาในปี ๒๕๑๐ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ให้แก่กระทรวงการคลังทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีด้านทิศตะวันตก โดยอ้างว่าออกตามพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ปัจจุบันที่ดินดังกล่าวเป็นที่ตั้งของโรงเรียนประตูชัย เมื่อต้นปี ๒๕๑๗ ผู้ฟ้องคดีขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามหลักฐาน ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๒ ที่ได้แจ้งการครอบครองไว้ แต่เจ้าอาวาสในขณะนั้นให้ถ้อยคำเรื่องที่ข้างเคียงต่อช่างแผนที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ตรงตามที่เป็นจริง เป็นเหตุให้ที่ดินของผู้ฟ้องคดีเหลือเนื้อที่เพียง ๒๐ ไร่ ๑ งาน ๖๕.๗ ตารางวา น้อยกว่าที่แจ้งการครอบครอง ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขอให้ตรวจสอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ แจ้งว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๐๐๒๑ เนื้อที่ประมาณ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นที่ดินของโรงเรียนประตูชัยได้มาตามพระราชบัญญัติ โอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ผู้ฟ้องคดียื่นอุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๑ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ที่ร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ฟ้องคดีให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยราชการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ นั้น จะต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ให้แก่กระทรวงการคลัง เป็นการออกโดยอาศัยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๔๘๑ ซึ่งผู้ฟ้องคดีไม่ได้เป็นวัดร้าง เป็นการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ เนื้อที่ประมาณ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๔,๕๐๐ ไร่ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ได้มาโดยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ที่ดินแปลงพิพาทจึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินก่อนพุทธศักราช ๒๔๘๑ การรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงพิพาทให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีการรับรองแนวเขตถูกต้อง ไม่ได้ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า มูลคดีเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา เป็นการออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๒ เนื้อที่ ๖๑ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ อ้างว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๐๐๒๑ เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ก่อน แล้วโอนมาเป็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ โดยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ มิใช่การออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี คดีจึงมีประเด็นพิพาทว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๐๐๒๑ อยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคล อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง สำหรับคดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีอำนาจหน้าที่ในการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ได้ใช้อำนาจหน้าที่โดยออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๒ เนื้อที่ ๖๑ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากตามมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้กำหนดให้การโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลางให้กระทำได้ ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ เว้นแต่เป็นกรณีการโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลางให้แก่หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ เมื่อมหาเถรสมาคมไม่ขัดข้องและได้รับค่าผาติกรรมจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานนั้นแล้ว ให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา และห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดหรือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แล้วแต่กรณี ดังนั้น การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ฟ้องคดีให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงต้องกระทำโดยการออกพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมกันออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ดังกล่าว โดยอาศัยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ทั้ง ๆ ที่ผู้ฟ้องคดีมิใช่วัดร้างจึงเป็นการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการออกคำสั่งดังกล่าว เห็นว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของผู้ฟ้องคดีที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองได้ ตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
สำหรับประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินตามโฉนดที่ดินที่มีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ กล่าวอ้างในคำร้องขอให้มีการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล นั้น เห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวเป็นประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาในขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟ้องไว้พิจารณาแล้ว ตามความในหมวด ๒ ของระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ และเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะนำมาประกอบการวินิจฉัยว่าการออกโฉนดที่ดินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาว่าผู้ฟ้องคดีหรือผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทดังกล่าว จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาที่จะกำหนดลักษณะของคดีว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดี ศาลปกครองจึงอาจนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ความในมาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ ดังนั้น เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๒ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ ๖๑ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีแปลงดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นอุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ เพื่อให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การต่อสู้ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๐๒๑ เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่เดิม และได้โอนมาเป็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ โดยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ได้ออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี เห็นว่า แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จะสืบเนื่องมาจากคำสั่งของฝ่ายปกครองที่ไม่เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ตามที่ผู้ฟ้องคดีขอให้เพิกถอนก็ตาม แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทตามโฉนดเลขที่ ๑๐๐๒๑ เป็นที่ดินที่อยู่ในการครอบครองของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นสำคัญ ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่ตามคำฟ้องผู้ฟ้องคดีอ้างว่า เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๒ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ ๖๑ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีแปลงดังกล่าว การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ที่ร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ฟ้องคดีให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยราชการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ จะต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา การออกโฉนดที่ดินโดยอาศัยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๔๘๑ ซึ่งผู้ฟ้องคดีไม่ได้เป็นวัดร้าง จึงเป็นการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๔,๕๐๐ ไร่ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ได้มาโดยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ที่ดินแปลงพิพาท จึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินก่อนพุทธศักราช ๒๔๘๑ การรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงพิพาทให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีการรับรองแนวเขตถูกต้อง ไม่ได้ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขอให้ยกฟ้อง ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างวัดวรโพธิ์ ผู้ฟ้องคดี กระทรวงการคลัง ที่ ๑ สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ กระทรวงมหาดไทย ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๐/๒๕๕๔
วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๑ วัดวรโพธิ์ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องกระทรวงการคลัง ที่ ๑ สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ กระทรวงมหาดไทย ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๔๑/๒๕๕๑ ความว่า เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๙๘ ผู้ฟ้องคดีแจ้งการครอบครองที่ดิน ตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๒ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ ๖๑ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา ต่อมาในปี ๒๕๑๐ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ให้แก่กระทรวงการคลังทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีด้านทิศตะวันตก โดยอ้างว่าออกตามพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ปัจจุบันที่ดินดังกล่าวเป็นที่ตั้งของโรงเรียนประตูชัย เมื่อต้นปี ๒๕๑๗ ผู้ฟ้องคดีขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามหลักฐาน ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๒ ที่ได้แจ้งการครอบครองไว้ แต่เจ้าอาวาสในขณะนั้นให้ถ้อยคำเรื่องที่ข้างเคียงต่อช่างแผนที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ตรงตามที่เป็นจริง เป็นเหตุให้ที่ดินของผู้ฟ้องคดีเหลือเนื้อที่เพียง ๒๐ ไร่ ๑ งาน ๖๕.๗ ตารางวา น้อยกว่าที่แจ้งการครอบครอง ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขอให้ตรวจสอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ แจ้งว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๐๐๒๑ เนื้อที่ประมาณ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นที่ดินของโรงเรียนประตูชัยได้มาตามพระราชบัญญัติ โอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ผู้ฟ้องคดียื่นอุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๑ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ที่ร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ฟ้องคดีให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยราชการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ นั้น จะต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ให้แก่กระทรวงการคลัง เป็นการออกโดยอาศัยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๔๘๑ ซึ่งผู้ฟ้องคดีไม่ได้เป็นวัดร้าง เป็นการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ เนื้อที่ประมาณ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๔,๕๐๐ ไร่ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ได้มาโดยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ที่ดินแปลงพิพาทจึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินก่อนพุทธศักราช ๒๔๘๑ การรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงพิพาทให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีการรับรองแนวเขตถูกต้อง ไม่ได้ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า มูลคดีเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา เป็นการออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๒ เนื้อที่ ๖๑ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ อ้างว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๐๐๒๑ เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ก่อน แล้วโอนมาเป็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ โดยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ มิใช่การออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี คดีจึงมีประเด็นพิพาทว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๐๐๒๑ อยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคล อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง สำหรับคดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีอำนาจหน้าที่ในการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ได้ใช้อำนาจหน้าที่โดยออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๒ เนื้อที่ ๖๑ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากตามมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้กำหนดให้การโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลางให้กระทำได้ ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ เว้นแต่เป็นกรณีการโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลางให้แก่หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ เมื่อมหาเถรสมาคมไม่ขัดข้องและได้รับค่าผาติกรรมจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานนั้นแล้ว ให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา และห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดหรือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แล้วแต่กรณี ดังนั้น การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ฟ้องคดีให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงต้องกระทำโดยการออกพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมกันออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ดังกล่าว โดยอาศัยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ทั้ง ๆ ที่ผู้ฟ้องคดีมิใช่วัดร้างจึงเป็นการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการออกคำสั่งดังกล่าว เห็นว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของผู้ฟ้องคดีที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองได้ ตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
สำหรับประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินตามโฉนดที่ดินที่มีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ กล่าวอ้างในคำร้องขอให้มีการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล นั้น เห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวเป็นประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาในขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟ้องไว้พิจารณาแล้ว ตามความในหมวด ๒ ของระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ และเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะนำมาประกอบการวินิจฉัยว่าการออกโฉนดที่ดินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาว่าผู้ฟ้องคดีหรือผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทดังกล่าว จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาที่จะกำหนดลักษณะของคดีว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดี ศาลปกครองจึงอาจนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ความในมาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ ดังนั้น เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๒ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ ๖๑ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีแปลงดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นอุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ เพื่อให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การต่อสู้ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๐๒๑ เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่เดิม และได้โอนมาเป็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ โดยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ได้ออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี เห็นว่า แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จะสืบเนื่องมาจากคำสั่งของฝ่ายปกครองที่ไม่เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ตามที่ผู้ฟ้องคดีขอให้เพิกถอนก็ตาม แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทตามโฉนดเลขที่ ๑๐๐๒๑ เป็นที่ดินที่อยู่ในการครอบครองของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นสำคัญ ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่ตามคำฟ้องผู้ฟ้องคดีอ้างว่า เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๒ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ ๖๑ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑๕.๔ ตารางวา ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีแปลงดังกล่าว การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ที่ร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ฟ้องคดีให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยราชการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ จะต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา การออกโฉนดที่ดินโดยอาศัยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๔๘๑ ซึ่งผู้ฟ้องคดีไม่ได้เป็นวัดร้าง จึงเป็นการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๐๒๑ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๔,๕๐๐ ไร่ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ได้มาโดยพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑ ที่ดินแปลงพิพาท จึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินก่อนพุทธศักราช ๒๔๘๑ การรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงพิพาทให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีการรับรองแนวเขตถูกต้อง ไม่ได้ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขอให้ยกฟ้อง ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างวัดวรโพธิ์ ผู้ฟ้องคดี กระทรวงการคลัง ที่ ๑ สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ กระทรวงมหาดไทย ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๙/๒๕๕๔
วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองสงขลา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
นางนิม๊ะ กาเซ็ง ที่ ๑ นายอนุวัฒน์ กาเซ็ง ที่ ๒ นางสาววนิดา กาเซ็ง ที่ ๓ นางสาววราภรณ์ กาเซ็ง ที่ ๔ โจทก์ ยื่นฟ้องกระทรวงกลาโหม ที่ ๑ กองทัพบก ที่ ๒ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๘๔/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายยะผา กาเซ็ง ผู้ตาย โจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๔ เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ ๑ กับนายยะผา เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๑ พันตำรวจเอก ทนงศักดิ์ วังสุภา ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรรือเสาะสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชา กับพันตรี วิชา ภู่ทอง ผู้รักษาการแทนผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ ๓๙ นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านของนายยะผาและโจทก์ทั้งสี่ และทำการจับกุมนายยะผา นายอามิง กาเซ็ง และนายอนันต์ กาเซ็ง โดยไม่แสดงหมายค้น หมายจับ และไม่แจ้งข้อกล่าวหา แล้วควบคุมตัวบุคคลดังกล่าวไปที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส จากนั้นพันตำรวจเอก สมพงษ์ ชิงดวง และพันตำรวจเอก ทนงศักดิ์ กับพวก ได้ร่วมกันแถลงข่าวด้วยข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงว่า นายยะผา นายอนันต์ และนายอามิง เป็นแกนนำผู้ก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการดูหมิ่นซึ่งหน้าและหมิ่นประมาทนายยะผา นายอนันต์ และนายอามิง และทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงถูกชาวบ้านที่เคยให้ความเคารพนับถือนายยะผาในฐานะโต๊ะอิหม่ามดูหมิ่นและเกลียดชัง เมื่อแถลงข่าวเสร็จก็ได้นำตัวนายยะผา นายอนันต์ นายอามิง และบุคคลอื่นที่ถูกควบคุมตัวพร้อมกันมอบให้หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ ๓๙ ต่อมาวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๑ ระหว่างที่นายยะผาถูกควบคุมตัวอยู่บนรถบรรทุกหกล้อซึ่งใช้สำหรับควบคุมตัวผู้ต้องหาของสถานีตำรวจภูธรรือเสาะจอดอยู่ภายในฐานปฏิบัติการของหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ ๓๙ พันตรี วิชา ร้อยเอก ศิริเขตต์ วานิชบำรุง จ่าสิบเอก เริงณรงค์ บัวงาม สิบเอก ณรงค์ฤทธิ์ หาญเวช สิบเอก บัณฑิต ถิ่นสุข กับเจ้าหน้าที่ทหารจากหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ ๓๙ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันนำตัวนายยะผาออกไปจากสถานที่ควบคุมแล้วร่วมกันทำร้ายร่างกายนายยะผา เพื่อบังคับให้รับสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นกับการก่อการร้ายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จนนายยะผาได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วนำกลับไปควบคุมตัวในรถหกล้อโดยไม่นำไปรักษาพยาบาล เป็นเหตุให้นายยะผาถึงแก่ความตายภายในรถหกล้อคันดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๑ การกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจซึ่งอยู่ในความควบคุมกำกับดูแลของจำเลยทั้งสาม เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันลงประกาศขอโทษนายยะผาและครอบครัวโจทก์ทั้งสี่ทางหนังสือพิมพ์ เป็นเวลาติดต่อกันเจ็ดวัน กับให้ส่งหนังสือขอโทษของจำเลยทั้งสามไปตามหน่วยงานทหารและตำรวจในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกหน่วยด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามให้การว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่โจทก์ทั้งสี่กล่าวอ้างตามฟ้องอยู่ในพื้นที่ที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกและการตรวจค้นกระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก มาตรา ๘ ซึ่งบทบัญญัติมาตรา ๑๖ กำหนดว่า ความเสียหายซึ่งอาจบังเกิดขึ้นอย่างหนึ่งอย่างใด จากการดำเนินการตามมาตรา ๘ บุคคลใดๆ จะร้องขอค่าเสียหายหรือค่าปรับอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ การจับกุมและควบคุมตัวนายยะผาและบุคคลอื่นๆ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก มาตรา ๑๕ ทวิ โจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะจำเลยทั้งสามมิได้มีอำนาจบังคับบัญชาสั่งการเจ้าหน้าที่ทหาร ฉก. นราธิวาส ๓๙ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. รือเสาะ ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของ กอ.รมน. ภาค ๔ ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ดังกล่าวมิได้ปฏิบัติราชการให้แก่จำเลยทั้งสาม อีกทั้งจากการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนของ ฉก. นราธิวาส ได้ความว่า เจ้าหน้าที่ทหารภายใต้บังคับบัญชา กอ.รมน. ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการซักถามผู้ถูกควบคุมตัว (นายยะผา) และการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ขัดคำสั่งและไม่ปฏิบัติตามนโยบายผู้บังคับบัญชาว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัว ดังนั้น การที่เจ้าหน้าที่ทหารดังกล่าวทำร้ายร่างกายนายยะผาจนเป็นเหตุให้นายยะผาถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำส่วนตัว ไม่ใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ที่หน่วยงานของรัฐจะต้องรับผิดในการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๖ อย่างไรก็ตาม จำเลยที่ ๓ ไม่มีส่วนร่วมในการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารและมิได้มีอำนาจบังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ดังกล่าว ประกอบกับศาลจังหวัดนราธิวาสมีคำสั่งในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๙/๒๕๕๑ ว่า ผู้ตายถูกเจ้าหน้าที่ทหารทำร้ายร่างกายในระหว่างที่อยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ทหาร จำเลยที่ ๓ จึงไม่ใช่หน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่อันเนื่องมาจากการตายของนายยะผา นอกจากนี้ การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการแถลงข่าวประชาสัมพันธ์มิได้กระทำไปโดยมีเจตนากลั่นแกล้งหรือจงใจให้บุคคลใดเสื่อมเสียต่อเสรีภาพและชื่อเสียง ไม่เป็นการหมิ่นประมาททางแพ่ง จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยทั้งสี่ ประกอบกับคดีในส่วนนี้ขาดอายุความ โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้รับความเสียหายตามจำนวนที่โจทก์ทั้งสี่เรียกร้อง ทั้งค่าเสียหายที่เรียกร้องสูงเกินความเสียหายที่แท้จริง คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้มิใช่กรณีที่โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดของเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นก็ไม่อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ อันจะทำให้คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกและประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๑/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่และให้ใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายเฉพาะและเป็นอำนาจของฝ่ายทหารที่กำหนดให้ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน อีกทั้งเหตุละเมิดตามฟ้องก็เกิดขึ้นก่อนขั้นตอนการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ดังนั้นกรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) ประกอบกับศาลแพ่ง (คดีหมายเลขดำที่ ๑๐๘/๒๕๕๒) และศาลปกครองสงขลาได้มีความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าเรื่องที่มีข้อเท็จจริงเช่นคดีนี้ให้อยู่ในอำนาจศาลปกครอง มิใช่ศาลแพ่ง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดจำเลยทั้งสาม ซึ่งการกระทำดังกล่าวแม้เริ่มจากการจับกุมและควบคุมตัวผู้ตาย อันอาจเป็นปัญหาว่าเป็นการใช้อำนาจในทางทางปกครองหรือไม่ แต่การนำตัวผู้ตายไปแถลงข่าวและทำร้ายผู้ตายตามคำฟ้อง ก็มิใช่ขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ และมิใช่การกระทำละเมิดโดยอาศัยอำนาจอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกและประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ อันเป็นกฎหมายเฉพาะและเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารที่กำหนดให้ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน เพราะกฎหมายดังกล่าวมิได้กำหนดให้อำนาจหน้าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐให้ทำการแถลงข่าวเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหาหรือทำต่อผู้ต้องหาด้วยวิธีรุนแรงเพื่อให้การรับสารภาพ จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองสงขลาพิจารณาแล้วเห็นว่า หากพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จะเห็นได้ว่า เกณฑ์การพิจารณาเรื่องอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้วศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น คดีนี้เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดของจำเลยทั้งสามเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ เป็นการใช้อำนาจทางปกครองและเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินกิจการทางปกครองตามที่กฎหมายกำหนด การที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นคดีพิพาทอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับเพื่อเยียวยาความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง อนึ่ง ศาลแพ่งเคยมีความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ความเห็นที่ ๑๐/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ในคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๘/๒๕๕๒ และ ๑๐๙/๒๕๕๒ ที่โจทก์ฟ้องกองทัพบกและกระทรวงกลาโหมให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายกรณีละเมิดอันเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกทำนองเดียวกับคดีนี้ว่าอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ โจทก์ทั้งสี่เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งสาม ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง โดยกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยทั้งสามกระทำละเมิดกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดจำเลยที่ ๓ เข้าตรวจค้นและจับกุมนายยะผา กาเซ็ง กับพวก โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และร่วมกันแถลงข่าวด้วยข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงว่า นายยะผากับพวกเป็นแกนนำผู้ก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับกรณีเจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันทำร้ายร่างกายนายยะผา เพื่อบังคับให้รับสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นกับการก่อการร้ายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเหตุให้นายยะผาถึงแก่ความตาย ทำให้โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นภริยาและบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายยะผาได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันลงประกาศขอโทษนายยะผาและครอบครัวโจทก์ทั้งสี่ทางหนังสือพิมพ์ กับให้ส่งหนังสือขอโทษของจำเลยทั้งสามไปตามหน่วยงานทหารและตำรวจในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกหน่วยด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสาม เห็นว่า แม้ข้อพิพาทในคดีนี้มูลคดีเกิดขึ้นจากการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎอัยการศึก และประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ อันเป็นกฎหมายเฉพาะและเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารที่กำหนดให้ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน แต่โดยที่อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวในการตรวจค้นและจับกุมนายยะผาเป็นการใช้อำนาจในลักษณะเดียวกันกับการใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามฟ้องที่นำตัวนายยะผาไปแถลงข่าวและทำร้ายนายยะผาจนถึงแก่ความตาย ก็มิใช่ขั้นตอนที่กฎอัยการศึกและประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ กำหนดให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางนิม๊ะ กาเซ็ง ที่ ๑ นายอนุวัฒน์ กาเซ็ง ที่ ๒ นางสาววนิดา กาเซ็ง ที่ ๓ นางสาววราภรณ์ กาเซ็ง ที่ ๔ โจทก์ กระทรวงกลาโหม ที่ ๑ กองทัพบก ที่ ๒ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๙/๒๕๕๔
วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองสงขลา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
นางนิม๊ะ กาเซ็ง ที่ ๑ นายอนุวัฒน์ กาเซ็ง ที่ ๒ นางสาววนิดา กาเซ็ง ที่ ๓ นางสาววราภรณ์ กาเซ็ง ที่ ๔ โจทก์ ยื่นฟ้องกระทรวงกลาโหม ที่ ๑ กองทัพบก ที่ ๒ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๘๔/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายยะผา กาเซ็ง ผู้ตาย โจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๔ เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ ๑ กับนายยะผา เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๑ พันตำรวจเอก ทนงศักดิ์ วังสุภา ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรรือเสาะสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชา กับพันตรี วิชา ภู่ทอง ผู้รักษาการแทนผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ ๓๙ นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านของนายยะผาและโจทก์ทั้งสี่ และทำการจับกุมนายยะผา นายอามิง กาเซ็ง และนายอนันต์ กาเซ็ง โดยไม่แสดงหมายค้น หมายจับ และไม่แจ้งข้อกล่าวหา แล้วควบคุมตัวบุคคลดังกล่าวไปที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส จากนั้นพันตำรวจเอก สมพงษ์ ชิงดวง และพันตำรวจเอก ทนงศักดิ์ กับพวก ได้ร่วมกันแถลงข่าวด้วยข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงว่า นายยะผา นายอนันต์ และนายอามิง เป็นแกนนำผู้ก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการดูหมิ่นซึ่งหน้าและหมิ่นประมาทนายยะผา นายอนันต์ และนายอามิง และทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงถูกชาวบ้านที่เคยให้ความเคารพนับถือนายยะผาในฐานะโต๊ะอิหม่ามดูหมิ่นและเกลียดชัง เมื่อแถลงข่าวเสร็จก็ได้นำตัวนายยะผา นายอนันต์ นายอามิง และบุคคลอื่นที่ถูกควบคุมตัวพร้อมกันมอบให้หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ ๓๙ ต่อมาวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๑ ระหว่างที่นายยะผาถูกควบคุมตัวอยู่บนรถบรรทุกหกล้อซึ่งใช้สำหรับควบคุมตัวผู้ต้องหาของสถานีตำรวจภูธรรือเสาะจอดอยู่ภายในฐานปฏิบัติการของหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ ๓๙ พันตรี วิชา ร้อยเอก ศิริเขตต์ วานิชบำรุง จ่าสิบเอก เริงณรงค์ บัวงาม สิบเอก ณรงค์ฤทธิ์ หาญเวช สิบเอก บัณฑิต ถิ่นสุข กับเจ้าหน้าที่ทหารจากหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ ๓๙ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันนำตัวนายยะผาออกไปจากสถานที่ควบคุมแล้วร่วมกันทำร้ายร่างกายนายยะผา เพื่อบังคับให้รับสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นกับการก่อการร้ายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จนนายยะผาได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วนำกลับไปควบคุมตัวในรถหกล้อโดยไม่นำไปรักษาพยาบาล เป็นเหตุให้นายยะผาถึงแก่ความตายภายในรถหกล้อคันดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๑ การกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจซึ่งอยู่ในความควบคุมกำกับดูแลของจำเลยทั้งสาม เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันลงประกาศขอโทษนายยะผาและครอบครัวโจทก์ทั้งสี่ทางหนังสือพิมพ์ เป็นเวลาติดต่อกันเจ็ดวัน กับให้ส่งหนังสือขอโทษของจำเลยทั้งสามไปตามหน่วยงานทหารและตำรวจในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกหน่วยด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามให้การว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่โจทก์ทั้งสี่กล่าวอ้างตามฟ้องอยู่ในพื้นที่ที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกและการตรวจค้นกระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก มาตรา ๘ ซึ่งบทบัญญัติมาตรา ๑๖ กำหนดว่า ความเสียหายซึ่งอาจบังเกิดขึ้นอย่างหนึ่งอย่างใด จากการดำเนินการตามมาตรา ๘ บุคคลใดๆ จะร้องขอค่าเสียหายหรือค่าปรับอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ การจับกุมและควบคุมตัวนายยะผาและบุคคลอื่นๆ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก มาตรา ๑๕ ทวิ โจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะจำเลยทั้งสามมิได้มีอำนาจบังคับบัญชาสั่งการเจ้าหน้าที่ทหาร ฉก. นราธิวาส ๓๙ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. รือเสาะ ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของ กอ.รมน. ภาค ๔ ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ดังกล่าวมิได้ปฏิบัติราชการให้แก่จำเลยทั้งสาม อีกทั้งจากการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนของ ฉก. นราธิวาส ได้ความว่า เจ้าหน้าที่ทหารภายใต้บังคับบัญชา กอ.รมน. ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการซักถามผู้ถูกควบคุมตัว (นายยะผา) และการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ขัดคำสั่งและไม่ปฏิบัติตามนโยบายผู้บังคับบัญชาว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัว ดังนั้น การที่เจ้าหน้าที่ทหารดังกล่าวทำร้ายร่างกายนายยะผาจนเป็นเหตุให้นายยะผาถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำส่วนตัว ไม่ใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ที่หน่วยงานของรัฐจะต้องรับผิดในการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๖ อย่างไรก็ตาม จำเลยที่ ๓ ไม่มีส่วนร่วมในการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารและมิได้มีอำนาจบังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ดังกล่าว ประกอบกับศาลจังหวัดนราธิวาสมีคำสั่งในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๙/๒๕๕๑ ว่า ผู้ตายถูกเจ้าหน้าที่ทหารทำร้ายร่างกายในระหว่างที่อยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ทหาร จำเลยที่ ๓ จึงไม่ใช่หน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่อันเนื่องมาจากการตายของนายยะผา นอกจากนี้ การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการแถลงข่าวประชาสัมพันธ์มิได้กระทำไปโดยมีเจตนากลั่นแกล้งหรือจงใจให้บุคคลใดเสื่อมเสียต่อเสรีภาพและชื่อเสียง ไม่เป็นการหมิ่นประมาททางแพ่ง จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยทั้งสี่ ประกอบกับคดีในส่วนนี้ขาดอายุความ โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้รับความเสียหายตามจำนวนที่โจทก์ทั้งสี่เรียกร้อง ทั้งค่าเสียหายที่เรียกร้องสูงเกินความเสียหายที่แท้จริง คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้มิใช่กรณีที่โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดของเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นก็ไม่อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ อันจะทำให้คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกและประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๑/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่และให้ใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายเฉพาะและเป็นอำนาจของฝ่ายทหารที่กำหนดให้ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน อีกทั้งเหตุละเมิดตามฟ้องก็เกิดขึ้นก่อนขั้นตอนการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ดังนั้นกรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) ประกอบกับศาลแพ่ง (คดีหมายเลขดำที่ ๑๐๘/๒๕๕๒) และศาลปกครองสงขลาได้มีความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าเรื่องที่มีข้อเท็จจริงเช่นคดีนี้ให้อยู่ในอำนาจศาลปกครอง มิใช่ศาลแพ่ง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดจำเลยทั้งสาม ซึ่งการกระทำดังกล่าวแม้เริ่มจากการจับกุมและควบคุมตัวผู้ตาย อันอาจเป็นปัญหาว่าเป็นการใช้อำนาจในทางทางปกครองหรือไม่ แต่การนำตัวผู้ตายไปแถลงข่าวและทำร้ายผู้ตายตามคำฟ้อง ก็มิใช่ขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ และมิใช่การกระทำละเมิดโดยอาศัยอำนาจอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกและประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ อันเป็นกฎหมายเฉพาะและเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารที่กำหนดให้ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน เพราะกฎหมายดังกล่าวมิได้กำหนดให้อำนาจหน้าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐให้ทำการแถลงข่าวเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหาหรือทำต่อผู้ต้องหาด้วยวิธีรุนแรงเพื่อให้การรับสารภาพ จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองสงขลาพิจารณาแล้วเห็นว่า หากพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จะเห็นได้ว่า เกณฑ์การพิจารณาเรื่องอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้วศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น คดีนี้เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดของจำเลยทั้งสามเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ เป็นการใช้อำนาจทางปกครองและเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินกิจการทางปกครองตามที่กฎหมายกำหนด การที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นคดีพิพาทอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับเพื่อเยียวยาความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง อนึ่ง ศาลแพ่งเคยมีความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ความเห็นที่ ๑๐/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ในคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๘/๒๕๕๒ และ ๑๐๙/๒๕๕๒ ที่โจทก์ฟ้องกองทัพบกและกระทรวงกลาโหมให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายกรณีละเมิดอันเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกทำนองเดียวกับคดีนี้ว่าอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ โจทก์ทั้งสี่เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งสาม ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง โดยกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยทั้งสามกระทำละเมิดกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดจำเลยที่ ๓ เข้าตรวจค้นและจับกุมนายยะผา กาเซ็ง กับพวก โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และร่วมกันแถลงข่าวด้วยข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงว่า นายยะผากับพวกเป็นแกนนำผู้ก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับกรณีเจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันทำร้ายร่างกายนายยะผา เพื่อบังคับให้รับสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นกับการก่อการร้ายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเหตุให้นายยะผาถึงแก่ความตาย ทำให้โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นภริยาและบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายยะผาได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันลงประกาศขอโทษนายยะผาและครอบครัวโจทก์ทั้งสี่ทางหนังสือพิมพ์ กับให้ส่งหนังสือขอโทษของจำเลยทั้งสามไปตามหน่วยงานทหารและตำรวจในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกหน่วยด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสาม เห็นว่า แม้ข้อพิพาทในคดีนี้มูลคดีเกิดขึ้นจากการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎอัยการศึก และประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ อันเป็นกฎหมายเฉพาะและเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารที่กำหนดให้ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน แต่โดยที่อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวในการตรวจค้นและจับกุมนายยะผาเป็นการใช้อำนาจในลักษณะเดียวกันกับการใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามฟ้องที่นำตัวนายยะผาไปแถลงข่าวและทำร้ายนายยะผาจนถึงแก่ความตาย ก็มิใช่ขั้นตอนที่กฎอัยการศึกและประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ กำหนดให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางนิม๊ะ กาเซ็ง ที่ ๑ นายอนุวัฒน์ กาเซ็ง ที่ ๒ นางสาววนิดา กาเซ็ง ที่ ๓ นางสาววราภรณ์ กาเซ็ง ที่ ๔ โจทก์ กระทรวงกลาโหม ที่ ๑ กองทัพบก ที่ ๒ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๘/๒๕๕๔
วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลจังหวัดสมุทรสาคร
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดสมุทรสาครโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒ บริษัทบ้านโป่งผลิตภัณฑ์คอนกรีต จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องเทศบาลนครสมุทรสาคร จำเลย ต่อศาลจังหวัดสมุทรสาคร เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๐๐/๒๕๕๒ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ จำเลยว่าจ้างให้โจทก์ปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนเศรษฐกิจ ๑ ช่วงที่ ๒ จากเขตเทศบาลถึงถนนพระรามที่ ๒ ในวงเงิน ๖,๓๐๐,๐๐๐ บาท เป็นการปรับปรุงทางเท้า ระบบไฟฟ้าแสงสว่างบนทางเท้า เกาะกลางถนน และระบบไฟฟ้าแสงสว่างเกาะกลางถนน ชำระค่าจ้างจำนวน ๓ งวด โจทก์มอบหนังสือค้ำประกันของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน ๓๑๕,๐๐๐ บาท ให้แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันในการปฏิบัติตามสัญญา เมื่อโจทก์เริ่มก่อสร้างตามสัญญา ประชาชนผู้ครอบครองอาคารบริเวณพื้นที่ก่อสร้างบางส่วนไม่ยอมให้โจทก์ก่อสร้าง โจทก์แจ้งให้จำเลยแก้ไขปัญหาดังกล่าวแต่จำเลยเพิกเฉย ต่อมาจำเลยแจ้งให้โจทก์เข้าทำสัญญาต่อท้ายสัญญาจ้างฉบับเดิมจำนวน ๒ ฉบับ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมและตัดลดเนื้องานก่อสร้างบางส่วน โจทก์ส่งมอบงานงวดที่ ๒ และแจ้งให้จำเลยตรวจรับมอบงานพร้อมทั้งขอรับเงินค่าจ้าง และแจ้งถึงอุปสรรคที่ไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาได้ ตลอดจนขอขยายเวลาทำงาน แต่จำเลยเพิกเฉยและบอกเลิกสัญญากับโจทก์พร้อมเรียกเงินค่าปรับ โจทก์แจ้งให้จำเลยคืนเงินค่าปรับและชำระเงินค่างานที่ได้ทำในงวดที่ ๑ และที่ ๓ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่างานจำนวน ๒,๔๙๑,๗๓๗.๖๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้ชำระค่าปรับจำนวน ๙๔๑,๐๑๒.๕๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๘๖๒,๘๑๙.๘๖ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ส่งมอบหนังสือค้ำประกันของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) คืนแก่โจทก์
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสมุทรสาครพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองได้ว่าจ้างโจทก์ปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนเศรษฐกิจ ๑ ช่วงที่ ๒ หลังจากทำสัญญาจ้างแล้วโจทก์ได้ดำเนินการตามสัญญาจ้างได้บางส่วน เนื่องจากประชาชนบางส่วนไม่ยอมให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้าง ขณะเดียวกันโจทก์ก็ขอขยายระยะเวลาทำงานออกไป นอกจากนี้จำเลยได้แก้ไขสัญญาโดยเปลี่ยนแปลงแบบแปลนและตัดเนื้องานลง งานก่อสร้างของโจทก์มีอุปสรรค จึงไม่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จตามสัญญาได้ เมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามเงินค่าจ้างแต่จำเลยเพิกเฉยไม่จ่ายให้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงต้องนำคดีมาฟ้อง กรณีดังกล่าวเป็นการโต้แย้งสิทธิกันระหว่างโจทก์กับจำเลยตามสัญญาจ้างปรับปรุงภูมิทัศน์ การจ่ายค่าจ้างขึ้นอยู่กับความสำเร็จของงาน อุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้ในการดำเนินงานโจทก์เป็นผู้รับผิดชอบ แต่เมื่อโจทก์ทำงานไปได้แล้วบางส่วนจำเลยจะต้องจ่ายค่างวด แต่จำเลยไม่จ่าย กรณีเป็นการโต้แย้งสิทธิระหว่างโจทก์และจำเลยจึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของสัญญาจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๗ ไม่ปรากฏว่าเป็นการว่าจ้างให้โจทก์ชำระหนี้ตามสัญญาว่าด้วยการบริการสาธารณะ แต่สัญญาว่าจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายมีสถานะเท่าเทียมกัน ศาลจึงจำต้องวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์หรือจำเลยต่างฝ่ายต่างผิดสัญญาต่อกันหรือไม่ เพียงใด และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากคู่สัญญาฝ่ายใด อย่างไร และค่าเสียหายมีจำนวนเท่าใด สัญญาจ้างทำของดังกล่าวจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองแต่อย่างใด กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาวินิจฉัยหรือมีคำสั่งของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยเป็นราชการส่วนท้องถิ่น ตามมาตรา ๗๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดให้มีและ
บำรุงทางบกและทางน้ำ รวมทั้งการจัดการให้มีและบำรุงการไฟฟ้า หรือแสงสว่าง ตามมาตรา ๕๖ ประกอบกับมาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ จำเลยจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่จำเลยตกลงทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนเศรษฐกิจ ๑ ช่วงที่ ๒ จากเขตเทศบาลถึงถนนพระรามที่ ๒ โดยการก่อสร้างปรับปรุงทางเท้าสองข้างทาง ปรับปรุงระบบไฟฟ้าแสงสว่างบนทางเท้าและเกาะกลางถนน รวมถึงปรับปรุงเกาะกลางถนน ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๗๔/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ จึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองมีหน้าที่ปรับปรุง ซ่อมแซม และบำรุงรักษาถนนและทางเท้า รวมถึงการติดตั้งระบบไฟฟ้าสาธารณะ ทำสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยในมาตรา ๕๖ ประกอบกับมาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ ซึ่งแม้ว่าสัญญาจ้างปรับปรุงภูมิทัศน์ฯ จะมีลักษณะ บางประการทำนองเดียวกันกับสัญญาจ้างทำของตามมาตรา ๕๘๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ตาม แต่หากสัญญาจ้างทำของดังกล่าวมีลักษณะของสัญญาเข้าองค์ประกอบของสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แล้ว สัญญาดังกล่าวก็มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ในเมื่อสัญญาพิพาทในคดีนี้มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และมีวัตถุประสงค์ของสัญญาเพื่อจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลยตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดครบองค์ประกอบของสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว สัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อมีมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่ในระหว่างการก่อสร้างตามสัญญา ปรากฏว่าประชาชนบางส่วนไม่ยอมให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้าง นอกจากนี้จำเลยได้แก้ไขสัญญาโดยเปลี่ยนแปลงแบบแปลนและตัดลดเนื้องานลง อีกทั้งเมื่องานบางส่วนแล้วเสร็จโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยตรวจรับมอบงานและขอรับเงินค่าจ้างในงานงวดที่ ๒ พร้อมทั้งแจ้งถึงอุปสรรคในการปฏิบัติงาน รวมทั้งขอขยายเวลาการทำงานออกไป แต่จำเลยเพิกเฉยและบอกเลิกสัญญาจ้างกับโจทก์ พร้อมเรียกเงินค่าปรับจำนวน ๒๙๓,๐๓๓.๑๖ บาท โจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการผิดสัญญาจ้างและเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงยื่นฟ้องต่อศาลขอให้จำเลยชำระเงินค่างานและเงินค่าปรับพร้อมส่งมอบหนังสือค้ำประกันของธนาคารคืนแก่โจทก์ตามสัญญา กรณีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิกันระหว่างโจทก์กับจำเลยตามสัญญาจ้างปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนเศรษฐกิจ ๑ ช่วงที่ ๒ จากเขตเทศบาลถึงถนนพระรามที่ ๒ ซึ่งเป็นสัญญาทางปกครอง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ นอกจากนี้กรณีดังกล่าวคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในคดีที่มีข้อเท็จจริงทำนองเดียวกันนี้ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดที่ ๒๔/๒๕๔๕ ว่าการดำเนินการของเทศบาลนครเชียงใหม่ตามโครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมริมฝั่งแม่น้ำปิงด้านตะวันออกด้วยการถมที่ดิน ตอกเสาเข็มสร้างเขื่อนและสร้างทางเพื่อให้ประชาชนใช้เป็นสถานที่เดินออกกำลังกายและพักผ่อน ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายในการจัดระบบบริการสาธารณะ และต่อมาคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดที่ ๑๓/๒๕๔๙ ในคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาที่มีคู่สัญญาและวัตถุประสงค์ของสัญญาเช่นเดียวกันกับข้อพิพาทในคดีนี้ว่า สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงผิวจราจร ก่อสร้างคันหินทางเท้า วางท่อระบายน้ำ พร้อมบ่อพักและขยายสะพานข้ามคลองห้วยยอดของเทศบาลตำบลห้วยยอด เป็นสัญญาที่จัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนโดยตรงอันเป็นบริการสาธารณะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง การโต้แย้งสิทธิกันตามสัญญาดังกล่าวจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยเป็นราชการส่วนท้องถิ่น จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินค่างานอันได้กระทำไปกับให้คืนค่าปรับพร้อมหนังสือค้ำประกันตามสัญญาจ้างให้ปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนเศรษฐกิจ ๑ ช่วงที่ ๒ จึงต้องพิจารณาว่า สัญญาจ้างดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อจำเลยมีอำนาจหน้าที่ในการจัดให้มีและบำรุงทางบกและทางน้ำ รวมทั้งการจัดให้มีและบำรุงการไฟฟ้า หรือแสงสว่าง ตามมาตรา ๕๖ ประกอบกับมาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ การที่จำเลยตกลงทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนเศรษฐกิจ ๑ ช่วงที่ ๒ จากเขตเทศบาลถึงถนนพระรามที่ ๒ โดยการก่อสร้างปรับปรุงทางเท้าสองข้างทาง ปรับปรุงระบบไฟฟ้าแสงสว่างบนทางเท้าและเกาะกลางถนน รวมถึงปรับปรุงเกาะกลางถนน จึงเป็นการจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค อันเป็นบริการสาธารณะของจำเลย สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทบ้านโป่งผลิตภัณฑ์คอนกรีต จำกัด โจทก์ เทศบาลนครสมุทรสาคร จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๘/๒๕๕๔
วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลจังหวัดสมุทรสาคร
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดสมุทรสาครโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒ บริษัทบ้านโป่งผลิตภัณฑ์คอนกรีต จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องเทศบาลนครสมุทรสาคร จำเลย ต่อศาลจังหวัดสมุทรสาคร เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๐๐/๒๕๕๒ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ จำเลยว่าจ้างให้โจทก์ปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนเศรษฐกิจ ๑ ช่วงที่ ๒ จากเขตเทศบาลถึงถนนพระรามที่ ๒ ในวงเงิน ๖,๓๐๐,๐๐๐ บาท เป็นการปรับปรุงทางเท้า ระบบไฟฟ้าแสงสว่างบนทางเท้า เกาะกลางถนน และระบบไฟฟ้าแสงสว่างเกาะกลางถนน ชำระค่าจ้างจำนวน ๓ งวด โจทก์มอบหนังสือค้ำประกันของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน ๓๑๕,๐๐๐ บาท ให้แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันในการปฏิบัติตามสัญญา เมื่อโจทก์เริ่มก่อสร้างตามสัญญา ประชาชนผู้ครอบครองอาคารบริเวณพื้นที่ก่อสร้างบางส่วนไม่ยอมให้โจทก์ก่อสร้าง โจทก์แจ้งให้จำเลยแก้ไขปัญหาดังกล่าวแต่จำเลยเพิกเฉย ต่อมาจำเลยแจ้งให้โจทก์เข้าทำสัญญาต่อท้ายสัญญาจ้างฉบับเดิมจำนวน ๒ ฉบับ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมและตัดลดเนื้องานก่อสร้างบางส่วน โจทก์ส่งมอบงานงวดที่ ๒ และแจ้งให้จำเลยตรวจรับมอบงานพร้อมทั้งขอรับเงินค่าจ้าง และแจ้งถึงอุปสรรคที่ไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาได้ ตลอดจนขอขยายเวลาทำงาน แต่จำเลยเพิกเฉยและบอกเลิกสัญญากับโจทก์พร้อมเรียกเงินค่าปรับ โจทก์แจ้งให้จำเลยคืนเงินค่าปรับและชำระเงินค่างานที่ได้ทำในงวดที่ ๑ และที่ ๓ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่างานจำนวน ๒,๔๙๑,๗๓๗.๖๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้ชำระค่าปรับจำนวน ๙๔๑,๐๑๒.๕๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๘๖๒,๘๑๙.๘๖ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ส่งมอบหนังสือค้ำประกันของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) คืนแก่โจทก์
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสมุทรสาครพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองได้ว่าจ้างโจทก์ปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนเศรษฐกิจ ๑ ช่วงที่ ๒ หลังจากทำสัญญาจ้างแล้วโจทก์ได้ดำเนินการตามสัญญาจ้างได้บางส่วน เนื่องจากประชาชนบางส่วนไม่ยอมให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้าง ขณะเดียวกันโจทก์ก็ขอขยายระยะเวลาทำงานออกไป นอกจากนี้จำเลยได้แก้ไขสัญญาโดยเปลี่ยนแปลงแบบแปลนและตัดเนื้องานลง งานก่อสร้างของโจทก์มีอุปสรรค จึงไม่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จตามสัญญาได้ เมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามเงินค่าจ้างแต่จำเลยเพิกเฉยไม่จ่ายให้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงต้องนำคดีมาฟ้อง กรณีดังกล่าวเป็นการโต้แย้งสิทธิกันระหว่างโจทก์กับจำเลยตามสัญญาจ้างปรับปรุงภูมิทัศน์ การจ่ายค่าจ้างขึ้นอยู่กับความสำเร็จของงาน อุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้ในการดำเนินงานโจทก์เป็นผู้รับผิดชอบ แต่เมื่อโจทก์ทำงานไปได้แล้วบางส่วนจำเลยจะต้องจ่ายค่างวด แต่จำเลยไม่จ่าย กรณีเป็นการโต้แย้งสิทธิระหว่างโจทก์และจำเลยจึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของสัญญาจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๗ ไม่ปรากฏว่าเป็นการว่าจ้างให้โจทก์ชำระหนี้ตามสัญญาว่าด้วยการบริการสาธารณะ แต่สัญญาว่าจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายมีสถานะเท่าเทียมกัน ศาลจึงจำต้องวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์หรือจำเลยต่างฝ่ายต่างผิดสัญญาต่อกันหรือไม่ เพียงใด และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากคู่สัญญาฝ่ายใด อย่างไร และค่าเสียหายมีจำนวนเท่าใด สัญญาจ้างทำของดังกล่าวจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองแต่อย่างใด กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาวินิจฉัยหรือมีคำสั่งของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยเป็นราชการส่วนท้องถิ่น ตามมาตรา ๗๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดให้มีและ
บำรุงทางบกและทางน้ำ รวมทั้งการจัดการให้มีและบำรุงการไฟฟ้า หรือแสงสว่าง ตามมาตรา ๕๖ ประกอบกับมาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ จำเลยจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่จำเลยตกลงทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนเศรษฐกิจ ๑ ช่วงที่ ๒ จากเขตเทศบาลถึงถนนพระรามที่ ๒ โดยการก่อสร้างปรับปรุงทางเท้าสองข้างทาง ปรับปรุงระบบไฟฟ้าแสงสว่างบนทางเท้าและเกาะกลางถนน รวมถึงปรับปรุงเกาะกลางถนน ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๗๔/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ จึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองมีหน้าที่ปรับปรุง ซ่อมแซม และบำรุงรักษาถนนและทางเท้า รวมถึงการติดตั้งระบบไฟฟ้าสาธารณะ ทำสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยในมาตรา ๕๖ ประกอบกับมาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ ซึ่งแม้ว่าสัญญาจ้างปรับปรุงภูมิทัศน์ฯ จะมีลักษณะ บางประการทำนองเดียวกันกับสัญญาจ้างทำของตามมาตรา ๕๘๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ตาม แต่หากสัญญาจ้างทำของดังกล่าวมีลักษณะของสัญญาเข้าองค์ประกอบของสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แล้ว สัญญาดังกล่าวก็มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ในเมื่อสัญญาพิพาทในคดีนี้มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และมีวัตถุประสงค์ของสัญญาเพื่อจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลยตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดครบองค์ประกอบของสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว สัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อมีมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่ในระหว่างการก่อสร้างตามสัญญา ปรากฏว่าประชาชนบางส่วนไม่ยอมให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้าง นอกจากนี้จำเลยได้แก้ไขสัญญาโดยเปลี่ยนแปลงแบบแปลนและตัดลดเนื้องานลง อีกทั้งเมื่องานบางส่วนแล้วเสร็จโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยตรวจรับมอบงานและขอรับเงินค่าจ้างในงานงวดที่ ๒ พร้อมทั้งแจ้งถึงอุปสรรคในการปฏิบัติงาน รวมทั้งขอขยายเวลาการทำงานออกไป แต่จำเลยเพิกเฉยและบอกเลิกสัญญาจ้างกับโจทก์ พร้อมเรียกเงินค่าปรับจำนวน ๒๙๓,๐๓๓.๑๖ บาท โจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการผิดสัญญาจ้างและเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงยื่นฟ้องต่อศาลขอให้จำเลยชำระเงินค่างานและเงินค่าปรับพร้อมส่งมอบหนังสือค้ำประกันของธนาคารคืนแก่โจทก์ตามสัญญา กรณีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิกันระหว่างโจทก์กับจำเลยตามสัญญาจ้างปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนเศรษฐกิจ ๑ ช่วงที่ ๒ จากเขตเทศบาลถึงถนนพระรามที่ ๒ ซึ่งเป็นสัญญาทางปกครอง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ นอกจากนี้กรณีดังกล่าวคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในคดีที่มีข้อเท็จจริงทำนองเดียวกันนี้ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดที่ ๒๔/๒๕๔๕ ว่าการดำเนินการของเทศบาลนครเชียงใหม่ตามโครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมริมฝั่งแม่น้ำปิงด้านตะวันออกด้วยการถมที่ดิน ตอกเสาเข็มสร้างเขื่อนและสร้างทางเพื่อให้ประชาชนใช้เป็นสถานที่เดินออกกำลังกายและพักผ่อน ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายในการจัดระบบบริการสาธารณะ และต่อมาคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดที่ ๑๓/๒๕๔๙ ในคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาที่มีคู่สัญญาและวัตถุประสงค์ของสัญญาเช่นเดียวกันกับข้อพิพาทในคดีนี้ว่า สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงผิวจราจร ก่อสร้างคันหินทางเท้า วางท่อระบายน้ำ พร้อมบ่อพักและขยายสะพานข้ามคลองห้วยยอดของเทศบาลตำบลห้วยยอด เป็นสัญญาที่จัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนโดยตรงอันเป็นบริการสาธารณะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง การโต้แย้งสิทธิกันตามสัญญาดังกล่าวจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยเป็นราชการส่วนท้องถิ่น จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินค่างานอันได้กระทำไปกับให้คืนค่าปรับพร้อมหนังสือค้ำประกันตามสัญญาจ้างให้ปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนเศรษฐกิจ ๑ ช่วงที่ ๒ จึงต้องพิจารณาว่า สัญญาจ้างดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อจำเลยมีอำนาจหน้าที่ในการจัดให้มีและบำรุงทางบกและทางน้ำ รวมทั้งการจัดให้มีและบำรุงการไฟฟ้า หรือแสงสว่าง ตามมาตรา ๕๖ ประกอบกับมาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ การที่จำเลยตกลงทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนเศรษฐกิจ ๑ ช่วงที่ ๒ จากเขตเทศบาลถึงถนนพระรามที่ ๒ โดยการก่อสร้างปรับปรุงทางเท้าสองข้างทาง ปรับปรุงระบบไฟฟ้าแสงสว่างบนทางเท้าและเกาะกลางถนน รวมถึงปรับปรุงเกาะกลางถนน จึงเป็นการจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค อันเป็นบริการสาธารณะของจำเลย สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทบ้านโป่งผลิตภัณฑ์คอนกรีต จำกัด โจทก์ เทศบาลนครสมุทรสาคร จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๗/๒๕๕๔
วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดเกาะสมุย
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดเกาะสมุยส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ นางสาววเยาว์ บ้วนวงค์ หรือบ้วนวงษ์ โจทก์ ยื่นฟ้องนางสาวขนิษฐา เรืองศรี ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ ๓ นายพิชัย จันทร์ศรี ที่ ๔ จำเลย ต่อศาลจังหวัดเกาะสมุย เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๔๖/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๒ เป็นกรมสังกัดกระทรวงมหาดไทย จำเลยที่ ๓ เป็นเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย จำเลยที่ ๔ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๓ เมื่อประมาณปี ๒๔๙๖ นางเขียน บ้วนวงค์ มารดาโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน หมู่ที่ ๔ ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ ๓ งาน ๖๕ ตารางวา เมื่อนางเขียนถึงแก่ความตาย ที่ดินดังกล่าวได้ออกเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๒๐๘ หมู่ที่ ๔ ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ ๓ งาน ๖๕ ตารางวา ให้แก่โจทก์ในฐานะทายาทของนางเขียน โดยญาติของนางเขียนตกลงร่วมกันดูแลให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ เมื่อปี ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๑ ยื่น คำขอต่อจำเลยที่ ๓ ว่า จำเลยที่ ๑ ครอบครองที่ดินดังกล่าวติดต่อกันเป็นระยะเวลาเกินกว่า ๑ ปี ขอให้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินเป็นจำเลยที่ ๑ โจทก์ยื่นคำคัดค้านต่อจำเลยที่ ๓ ต่อมาเมื่อปี ๒๕๕๒ จำเลยที่ ๑ หลอกลวงโจทก์ว่าต้องใช้ทางผ่านที่ดินดังกล่าวไปยังที่ดินแปลงอื่นขอให้โจทก์ถอนคำคัดค้าน โจทก์หลงเชื่อจึงลงลายมือชื่อในคำขอถอนคำคัดค้านดังกล่าว จำเลยที่ ๔ จึงจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินเป็นจำเลยที่ ๑ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันเพิกถอนการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าว หากจำเลยทั้งสี่ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจขณะวิกลจริต ผู้รับมอบอำนาจไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยแทนโจทก์ โจทก์ไม่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๑ ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นเวลาสิบกว่าปีโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของ โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน จำเลยที่ ๑ จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นการได้มาด้วยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗ การจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้มีสิทธิครอบครองเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายโดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือ น.ส. ๓ ฉบับเจ้าของที่ดิน จำเลยที่ ๑ ไม่เคยฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ด้วยความเท็จ โจทก์สละการครอบครองที่ดินพิพาทมานานหลายสิบปี และโจทก์ถอนคำคัดค้านด้วยความสมัครใจ โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า การจดทะเบียนการได้มาโดยการครอบครองที่ดินพิพาทให้กับจำเลยที่ ๑ นั้น จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบคำสั่งและประมวลกฎหมายที่ดินโดยชอบแล้ว มิได้กระทำอันเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง และเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือคำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดเกาะสมุยพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าโจทก์หรือจำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว แล้วจึงจะพิจารณาว่าคำสั่งให้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินเป็นจำเลยที่ ๑ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และมีคำพิพากษาว่าจะให้เพิกถอนการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าวหรือไม่ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ว่าด้วยทรัพย์สิน ประกอบกับประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และประมวลกฎหมายที่ดินอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง สำหรับคดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินเป็นจำเลยที่ ๑ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ไม่มีคำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนดังกล่าวโดยที่การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์และการมีคำสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินการผิดพลาดคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดินอันเป็นการใช้อำนาจทางปกครองอย่างหนึ่ง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงเป็นคดีปกครองตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง(๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว แม้ว่าคดีนี้จะมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาก่อนว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ซึ่งจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ว่าด้วยทรัพย์สิน ประกอบประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะ ศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติในกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทแห่งคดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ว่าด้วยทรัพย์สิน และประมวลกฎหมายที่ดินมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลยุติธรรมจึงย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยที่ ๒ จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม แต่ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า มารดาโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน หมู่ที่ ๔ ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ ๓ งาน ๖๕ ตารางวา เมื่อมารดาโจทก์ถึงแก่ความตายที่ดินดังกล่าวได้ออกเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๒๐๘ ให้แก่โจทก์ในฐานะทายาท จำเลยที่ ๑ ยื่นคำขอต่อจำเลยที่ ๓ ให้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ อ้างว่า ครอบครองที่ดินดังกล่าวติดต่อกันเป็นระยะเวลาเกินกว่า ๑ ปี โจทก์ยื่นคำคัดค้านแต่ถูกจำเลยที่ ๑ หลอกลวงให้ถอนคำคัดค้าน ทำให้จำเลยที่ ๔ จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินเป็นจำเลยที่ ๑ ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันเพิกถอนการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๑ ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นเวลาสิบกว่าปีโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท อันเป็นการได้มาด้วยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗ การจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้มีสิทธิครอบครองเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายโดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือ น.ส. ๓ ฉบับเจ้าของที่ดิน จำเลยที่ ๑ ไม่เคยฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ด้วยความเท็จ โจทก์สละการครอบครองที่ดินพิพาทมานานหลายสิบปี โจทก์ถอนคำคัดค้านด้วยความสมัครใจจึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า การจดทะเบียนการได้มาโดยการครอบครองที่ดินพิพาทให้กับจำเลยที่ ๑ นั้น จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบคำสั่งและประมวลกฎหมายที่ดินโดยชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัย ขอให้ยกฟ้อง ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทโจทก์หรือจำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาววเยาว์ บ้วนวงค์ หรือบ้วนวงษ์ โจทก์ นางสาวขนิษฐา เรืองศรี ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ ๓ นายพิชัย จันทร์ศรี ที่ ๔ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๗/๒๕๕๔
วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดเกาะสมุย
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดเกาะสมุยส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ นางสาววเยาว์ บ้วนวงค์ หรือบ้วนวงษ์ โจทก์ ยื่นฟ้องนางสาวขนิษฐา เรืองศรี ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ ๓ นายพิชัย จันทร์ศรี ที่ ๔ จำเลย ต่อศาลจังหวัดเกาะสมุย เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๔๖/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๒ เป็นกรมสังกัดกระทรวงมหาดไทย จำเลยที่ ๓ เป็นเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย จำเลยที่ ๔ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๓ เมื่อประมาณปี ๒๔๙๖ นางเขียน บ้วนวงค์ มารดาโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน หมู่ที่ ๔ ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ ๓ งาน ๖๕ ตารางวา เมื่อนางเขียนถึงแก่ความตาย ที่ดินดังกล่าวได้ออกเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๒๐๘ หมู่ที่ ๔ ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ ๓ งาน ๖๕ ตารางวา ให้แก่โจทก์ในฐานะทายาทของนางเขียน โดยญาติของนางเขียนตกลงร่วมกันดูแลให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ เมื่อปี ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๑ ยื่น คำขอต่อจำเลยที่ ๓ ว่า จำเลยที่ ๑ ครอบครองที่ดินดังกล่าวติดต่อกันเป็นระยะเวลาเกินกว่า ๑ ปี ขอให้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินเป็นจำเลยที่ ๑ โจทก์ยื่นคำคัดค้านต่อจำเลยที่ ๓ ต่อมาเมื่อปี ๒๕๕๒ จำเลยที่ ๑ หลอกลวงโจทก์ว่าต้องใช้ทางผ่านที่ดินดังกล่าวไปยังที่ดินแปลงอื่นขอให้โจทก์ถอนคำคัดค้าน โจทก์หลงเชื่อจึงลงลายมือชื่อในคำขอถอนคำคัดค้านดังกล่าว จำเลยที่ ๔ จึงจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินเป็นจำเลยที่ ๑ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันเพิกถอนการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าว หากจำเลยทั้งสี่ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจขณะวิกลจริต ผู้รับมอบอำนาจไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยแทนโจทก์ โจทก์ไม่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๑ ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นเวลาสิบกว่าปีโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของ โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน จำเลยที่ ๑ จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นการได้มาด้วยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗ การจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้มีสิทธิครอบครองเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายโดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือ น.ส. ๓ ฉบับเจ้าของที่ดิน จำเลยที่ ๑ ไม่เคยฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ด้วยความเท็จ โจทก์สละการครอบครองที่ดินพิพาทมานานหลายสิบปี และโจทก์ถอนคำคัดค้านด้วยความสมัครใจ โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า การจดทะเบียนการได้มาโดยการครอบครองที่ดินพิพาทให้กับจำเลยที่ ๑ นั้น จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบคำสั่งและประมวลกฎหมายที่ดินโดยชอบแล้ว มิได้กระทำอันเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง และเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือคำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดเกาะสมุยพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าโจทก์หรือจำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว แล้วจึงจะพิจารณาว่าคำสั่งให้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินเป็นจำเลยที่ ๑ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และมีคำพิพากษาว่าจะให้เพิกถอนการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าวหรือไม่ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ว่าด้วยทรัพย์สิน ประกอบกับประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และประมวลกฎหมายที่ดินอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง สำหรับคดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินเป็นจำเลยที่ ๑ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ไม่มีคำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนดังกล่าวโดยที่การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์และการมีคำสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินการผิดพลาดคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดินอันเป็นการใช้อำนาจทางปกครองอย่างหนึ่ง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงเป็นคดีปกครองตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง(๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว แม้ว่าคดีนี้จะมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาก่อนว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ซึ่งจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ว่าด้วยทรัพย์สิน ประกอบประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะ ศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติในกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทแห่งคดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ว่าด้วยทรัพย์สิน และประมวลกฎหมายที่ดินมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลยุติธรรมจึงย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยที่ ๒ จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม แต่ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า มารดาโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน หมู่ที่ ๔ ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ ๓ งาน ๖๕ ตารางวา เมื่อมารดาโจทก์ถึงแก่ความตายที่ดินดังกล่าวได้ออกเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๒๐๘ ให้แก่โจทก์ในฐานะทายาท จำเลยที่ ๑ ยื่นคำขอต่อจำเลยที่ ๓ ให้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ อ้างว่า ครอบครองที่ดินดังกล่าวติดต่อกันเป็นระยะเวลาเกินกว่า ๑ ปี โจทก์ยื่นคำคัดค้านแต่ถูกจำเลยที่ ๑ หลอกลวงให้ถอนคำคัดค้าน ทำให้จำเลยที่ ๔ จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินเป็นจำเลยที่ ๑ ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันเพิกถอนการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๑ ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นเวลาสิบกว่าปีโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท อันเป็นการได้มาด้วยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗ การจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้มีสิทธิครอบครองเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายโดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือ น.ส. ๓ ฉบับเจ้าของที่ดิน จำเลยที่ ๑ ไม่เคยฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ด้วยความเท็จ โจทก์สละการครอบครองที่ดินพิพาทมานานหลายสิบปี โจทก์ถอนคำคัดค้านด้วยความสมัครใจจึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า การจดทะเบียนการได้มาโดยการครอบครองที่ดินพิพาทให้กับจำเลยที่ ๑ นั้น จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบคำสั่งและประมวลกฎหมายที่ดินโดยชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัย ขอให้ยกฟ้อง ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทโจทก์หรื