ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) อันเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง มิได้วินิจฉัยเพราะจำเลยอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ จึงเป็นอันถึงที่สุดตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาว่าไม่ได้มีการไตร่ตรองหรือตระเตรียมการเพื่อเจตนาฆ่าผู้ตายได้อีก ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในประเด็นนี้ เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 92, 288, 289, 371 ริบของกลาง และเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา นางจำหนิ มารดาของนางสาวจตุพร ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าปลงศพ 100,000 บาท และค่าขาดไร้อุปการะ 400,000 บาท รวมเป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่ง ขอให้ยกคำร้อง
ต่อมาในคดีส่วนแพ่ง ผู้ร้องและจำเลยตกลงกันได้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2565 โดยจำเลยตกลงชำระเงินให้แก่ผู้ร้อง 400,000 บาท ชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 หากผิดนัดยอมให้ผู้ร้องบังคับคดีได้จากยอดหนี้ที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงิน 400,000 บาท นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระครบถ้วน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ลงโทษประหารชีวิต ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 900 บาท เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเมื่อลงโทษประหารชีวิตแล้วจึงไม่อาจเพิ่มโทษได้ ส่วนฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร เมื่อศาลลงโทษปรับเพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจเพิ่มโทษได้เช่นกัน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (ที่ถูก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1)) ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คงจำคุกตลอดชีวิต ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร คงปรับ 600 บาท รวมจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 600 บาท (ที่ถูก หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30) ริบอาวุธมีดทรงโค้งวงเดือนปลายแหลม 1 เล่ม อาวุธมีดปลายแหลม 1 เล่ม สิ่งเทียมอาวุธปืน 1 กระบอก เหล็กสปริงสิ่งเทียมอาวุธปืน 1 อัน ของกลาง ในคดีส่วนแพ่ง พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2565 ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) อันเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้น ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ย่อมเป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง มิได้วินิจฉัยเพราะจำเลยอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ จึงเป็นอันถึงที่สุดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาว่าจำเลยไม่ได้มีการไตร่ตรองหรือตระเตรียมการเพื่อเจตนาฆ่าผู้ตายได้อีก ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในประเด็นนี้มานั้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ แต่อย่างไรก็ตามเฉพาะประเด็นสมควรลงโทษจำเลยในสถานเบาหรือไม่ ยังไม่ถึงที่สุดเพราะเป็นประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ และจำเลยมีสิทธิฎีกาในประเด็นนี้ได้ จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยในสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า ผู้ตายเป็นอดีตภริยาของจำเลย วันเกิดเหตุจำเลยพาอาวุธมีดปลายแหลม อาวุธมีดทรงโค้งวงเดือนปลายแหลม และสิ่งเทียมอาวุธปืนติดตัวไปพบผู้ตายที่ร้านที่เกิดเหตุ แล้วจำเลยใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย โดยปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพว่า ผู้ตายมีบาดแผลขอบเรียบทั้งหมด 35 แผล ได้แก่ ใต้ราวนมด้านซ้ายและช่องท้องซ้ายลึกถึงกระดูกซี่โครง 7 แผล ใต้สะดือ 1 แผล ลึก 3 เซนติเมตร ใต้ราวนมและอกด้านขวา 2 แผล ลึกถึงปอด และแผลที่ช่องท้องขวา 2 แผล ลึกถึงอวัยวะภายในช่องท้องที่บริเวณตับและลำไส้ ต้นคอทางด้านหลัง 1 แผล และแผลที่หลังกับสีข้างด้านขวา 22 แผล บาดแผลส่วนใหญ่กว้าง 3 เซนติเมตร ส่อแสดงว่า จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายด้วยความอาฆาตแค้นเป็นอย่างมากจึงเกิดบาดแผลแก่ผู้ตายถึง 35 แผล อีกทั้งตามภาพถ่ายขณะผู้ตายถูกจำเลยใช้อาวุธมีดแทงจนล้มลงนอนกับพื้นแล้ว จำเลยยังใช้อาวุธมีดแทงซ้ำผู้ตายอีก ผิดปกติวิสัยที่จำเลยอ้างว่า ยังมีความรักแก่ผู้ตายซึ่งเป็นอดีตภริยา ตรงกันข้ามกลับบ่งชี้ให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตของจำเลย กอปรกับหลังเกิดเหตุจำเลยหลบหนีและถูกจับกุมตามหมายจับที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยจำเลยหาได้สำนึกในการกระทำความผิดของตนและเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจไม่ ยิ่งกว่านั้นโจทก์มีพยานหลักฐานที่มั่นคงหนักแน่นและสามารถพิสูจน์ว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดในคดีนี้ได้อยู่แล้ว คำให้การรับสารภาพของจำเลยเป็นลักษณะจำนนต่อพยานหลักฐานของโจทก์ ดังนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษประหารชีวิตจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และยังลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต นั้น นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย กรณีไม่มีเหตุอันสมควรที่จะลงโทษจำเลยให้เบากว่านี้อีก ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) อันเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง มิได้วินิจฉัยเพราะจำเลยอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ จึงเป็นอันถึงที่สุดตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาว่าไม่ได้มีการไตร่ตรองหรือตระเตรียมการเพื่อเจตนาฆ่าผู้ตายได้อีก ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในประเด็นนี้ เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 92, 288, 289, 371 ริบของกลาง และเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา นางจำหนิ มารดาของนางสาวจตุพร ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าปลงศพ 100,000 บาท และค่าขาดไร้อุปการะ 400,000 บาท รวมเป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่ง ขอให้ยกคำร้อง
ต่อมาในคดีส่วนแพ่ง ผู้ร้องและจำเลยตกลงกันได้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2565 โดยจำเลยตกลงชำระเงินให้แก่ผู้ร้อง 400,000 บาท ชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 หากผิดนัดยอมให้ผู้ร้องบังคับคดีได้จากยอดหนี้ที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงิน 400,000 บาท นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระครบถ้วน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ลงโทษประหารชีวิต ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 900 บาท เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเมื่อลงโทษประหารชีวิตแล้วจึงไม่อาจเพิ่มโทษได้ ส่วนฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร เมื่อศาลลงโทษปรับเพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจเพิ่มโทษได้เช่นกัน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (ที่ถูก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1)) ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คงจำคุกตลอดชีวิต ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร คงปรับ 600 บาท รวมจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 600 บาท (ที่ถูก หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30) ริบอาวุธมีดทรงโค้งวงเดือนปลายแหลม 1 เล่ม อาวุธมีดปลายแหลม 1 เล่ม สิ่งเทียมอาวุธปืน 1 กระบอก เหล็กสปริงสิ่งเทียมอาวุธปืน 1 อัน ของกลาง ในคดีส่วนแพ่ง พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2565 ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) อันเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้น ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ย่อมเป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง มิได้วินิจฉัยเพราะจำเลยอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ จึงเป็นอันถึงที่สุดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาว่าจำเลยไม่ได้มีการไตร่ตรองหรือตระเตรียมการเพื่อเจตนาฆ่าผู้ตายได้อีก ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในประเด็นนี้มานั้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ แต่อย่างไรก็ตามเฉพาะประเด็นสมควรลงโทษจำเลยในสถานเบาหรือไม่ ยังไม่ถึงที่สุดเพราะเป็นประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ และจำเลยมีสิทธิฎีกาในประเด็นนี้ได้ จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยในสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า ผู้ตายเป็นอดีตภริยาของจำเลย วันเกิดเหตุจำเลยพาอาวุธมีดปลายแหลม อาวุธมีดทรงโค้งวงเดือนปลายแหลม และสิ่งเทียมอาวุธปืนติดตัวไปพบผู้ตายที่ร้านที่เกิดเหตุ แล้วจำเลยใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย โดยปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพว่า ผู้ตายมีบาดแผลขอบเรียบทั้งหมด 35 แผล ได้แก่ ใต้ราวนมด้านซ้ายและช่องท้องซ้ายลึกถึงกระดูกซี่โครง 7 แผล ใต้สะดือ 1 แผล ลึก 3 เซนติเมตร ใต้ราวนมและอกด้านขวา 2 แผล ลึกถึงปอด และแผลที่ช่องท้องขวา 2 แผล ลึกถึงอวัยวะภายในช่องท้องที่บริเวณตับและลำไส้ ต้นคอทางด้านหลัง 1 แผล และแผลที่หลังกับสีข้างด้านขวา 22 แผล บาดแผลส่วนใหญ่กว้าง 3 เซนติเมตร ส่อแสดงว่า จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายด้วยความอาฆาตแค้นเป็นอย่างมากจึงเกิดบาดแผลแก่ผู้ตายถึง 35 แผล อีกทั้งตามภาพถ่ายขณะผู้ตายถูกจำเลยใช้อาวุธมีดแทงจนล้มลงนอนกับพื้นแล้ว จำเลยยังใช้อาวุธมีดแทงซ้ำผู้ตายอีก ผิดปกติวิสัยที่จำเลยอ้างว่า ยังมีความรักแก่ผู้ตายซึ่งเป็นอดีตภริยา ตรงกันข้ามกลับบ่งชี้ให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตของจำเลย กอปรกับหลังเกิดเหตุจำเลยหลบหนีและถูกจับกุมตามหมายจับที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยจำเลยหาได้สำนึกในการกระทำความผิดของตนและเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจไม่ ยิ่งกว่านั้นโจทก์มีพยานหลักฐานที่มั่นคงหนักแน่นและสามารถพิสูจน์ว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดในคดีนี้ได้อยู่แล้ว คำให้การรับสารภาพของจำเลยเป็นลักษณะจำนนต่อพยานหลักฐานของโจทก์ ดังนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษประหารชีวิตจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และยังลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต นั้น นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย กรณีไม่มีเหตุอันสมควรที่จะลงโทษจำเลยให้เบากว่านี้อีก ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.410 กรัม และจำหน่ายไปมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.027 กรัม ซึ่งแม้จะเป็นการขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นอันแสดงให้เห็นว่าจำเลยประกอบกิจการด้วยการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นการปกติทั่วไป อันจะถือเป็นการกระทำเพื่อการค้า การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท ดังนั้น เมื่อคำพิพากษาถึงที่สุดที่กำหนดโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง กรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) สำหรับการปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรมนั้น เนื่องจากได้มี พ.ร.บ.ให้ใช้ ป.ยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับ โดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ ป.ยาเสพติดท้าย พ.ร.บ. ดังกล่าวแทน ซึ่งตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ตาม จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันคือจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงกรรมเดียวบทเดียว ดังนั้น การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง เพียงกรรมเดียว จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1)
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่งและวรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 5 ปี 4 เดือน และปรับ 533,333.33 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 5 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน และปรับ 266,666.67 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 16 เดือน และปรับ 266,666.67 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง คดีถึงที่สุด
จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กรณีมีเหตุกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้วดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ... ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...” ดังนั้น คำว่ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดหรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดดังกล่าวนั้น หมายถึงกฎหมายที่บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิด หรือบัญญัติถึงกำหนดโทษหรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ซึ่งในคดีนี้ได้แก่บทบัญญัติความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดและมีผลที่จะทำให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา 3 นั้น สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การกำหนดโทษใหม่จะต้องปรากฏว่าโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาถึงที่สุดหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง คดีนี้คำพิพากษาถึงที่สุดกำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.410 กรัม และจำหน่ายไปมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.027 กรัม ซึ่งแม้จะเป็นการขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นอันแสดงให้เห็นว่าจำเลยประกอบกิจการด้วยการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นการปกติทั่วไป อันจะถือเป็นการกระทำเพื่อการค้า การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท ดังนั้น คำพิพากษาถึงที่สุดที่กำหนดโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ดังกล่าวจึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง กรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) สำหรับการปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรมนั้น เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับ โดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน ซึ่งตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ตาม จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันคือจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงกรรมเดียวบทเดียว แตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดซึ่งแยกเป็นคนละฐานความผิด ดังนั้น การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง เพียงกรรมเดียว จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกคำร้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับว่า ให้กำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) เพียงกรรมเดียว ให้จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 แล้ว เป็นจำคุก 5 ปี 4 เดือน และปรับ 533,333.33 บาท ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน และปรับ 266,666.66 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.410 กรัม และจำหน่ายไปมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.027 กรัม ซึ่งแม้จะเป็นการขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นอันแสดงให้เห็นว่าจำเลยประกอบกิจการด้วยการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นการปกติทั่วไป อันจะถือเป็นการกระทำเพื่อการค้า การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท ดังนั้น เมื่อคำพิพากษาถึงที่สุดที่กำหนดโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง กรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) สำหรับการปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรมนั้น เนื่องจากได้มี พ.ร.บ.ให้ใช้ ป.ยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับ โดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ ป.ยาเสพติดท้าย พ.ร.บ. ดังกล่าวแทน ซึ่งตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ตาม จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันคือจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงกรรมเดียวบทเดียว ดังนั้น การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง เพียงกรรมเดียว จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1)
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่งและวรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 5 ปี 4 เดือน และปรับ 533,333.33 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 5 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน และปรับ 266,666.67 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 16 เดือน และปรับ 266,666.67 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง คดีถึงที่สุด
จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กรณีมีเหตุกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้วดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ... ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...” ดังนั้น คำว่ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดหรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดดังกล่าวนั้น หมายถึงกฎหมายที่บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิด หรือบัญญัติถึงกำหนดโทษหรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ซึ่งในคดีนี้ได้แก่บทบัญญัติความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดและมีผลที่จะทำให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา 3 นั้น สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การกำหนดโทษใหม่จะต้องปรากฏว่าโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาถึงที่สุดหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง คดีนี้คำพิพากษาถึงที่สุดกำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.410 กรัม และจำหน่ายไปมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.027 กรัม ซึ่งแม้จะเป็นการขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นอันแสดงให้เห็นว่าจำเลยประกอบกิจการด้วยการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นการปกติทั่วไป อันจะถือเป็นการกระทำเพื่อการค้า การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท ดังนั้น คำพิพากษาถึงที่สุดที่กำหนดโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ดังกล่าวจึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง กรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) สำหรับการปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรมนั้น เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับ โดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน ซึ่งตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ตาม จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันคือจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงกรรมเดียวบทเดียว แตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดซึ่งแยกเป็นคนละฐานความผิด ดังนั้น การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง เพียงกรรมเดียว จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกคำร้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับว่า ให้กำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) เพียงกรรมเดียว ให้จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 แล้ว เป็นจำคุก 5 ปี 4 เดือน และปรับ 533,333.33 บาท ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน และปรับ 266,666.66 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ด 1,164 เม็ด และชนิดเกล็ดสีขาว 14 ถุง รวมทั้งสองชนิดคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 6,277.21 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ประกอบกับพฤติกรรมที่จำเลยอยู่ในเครือข่ายยาเสพติด ทำหน้าที่รับเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากถึงครั้งละหลายแสนเม็ดและชนิดเกล็ดสีขาวครั้งละหลายกิโลกรัมมาเก็บรักษาไว้หลายครั้งแล้ว ทั้งยังเป็นผู้ทำหน้าที่จัดการจำหน่ายส่งให้แก่ผู้ค้ารายย่อยในเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่อำเภอพุนพินและพื้นที่ใกล้เคียง พฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ย่อมทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสาม (2) จำเลยนำเจ้าพนักงานตำรวจตรวจยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนหนึ่งที่ท่าทรายซึ่งเป็นลานที่มีกองทราย มีโรงซ่อมรถ มีที่พักอยู่ห้องเดียว ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจทราบอยู่แล้วว่าจำเลยมีที่พักอยู่ที่ท่าทรายดังกล่าว และนำตรวจยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางอีกจำนวนหนึ่งที่ห้องแถวซึ่งทราบภายหลังว่าตรงกับที่อยู่ตามทะเบียนราษฎร์ของจำเลย และจำเลยให้การในชั้นสอบสวนระบุที่อยู่ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของจำเลย จึงอยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานตำรวจจะสามารถตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางได้เอง ไม่อาจถือว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 เมื่อพิเคราะห์ถึงความร้ายแรงของการกระทำความผิด ฐานะทางเศรษฐกิจของจำเลยและพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว กรณียังไม่มีเหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะราย อันศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 152 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 6, 7, 55, 72, 78 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91 ริบเมทแอมเฟตามีน อาวุธปืน ซองกระสุนปืน เครื่องชั่งดิจิทัล ถุงแบ่งบรรจุยาเสพติด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 55, 72 วรรคหนึ่ง, 78 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ให้ประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง จำคุก 6 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง คงจำคุก 3 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุก 6 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกตลอดชีวิต ริบเมทแอมเฟตามีน อาวุธปืน ซองกระสุนปืน เครื่องชั่งดิจิทัล ถุงแบ่งบรรจุยาเสพติด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสาม (2) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสาม (2) ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางชนิดเม็ด มีจำนวน 1,164 เม็ด และชนิดเกล็ดสีขาว 14 ถุง รวมทั้งสองชนิดคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 6,277.321 กรัม และตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย ได้ความว่า จำเลยได้รับการชักชวนจากนายธวัชชัยหรือกบ ให้เข้าร่วมเครือข่ายยาเสพติดโดยให้จำเลยทำหน้าที่เก็บรักษายาเสพติดและนำยาเสพติดไปส่งแก่ลูกค้าต่อไป จำเลยเคยรับยาเสพติดจากนายธวัชชัยมาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 เป็นเมทแอมเฟตามีน 600,000 เม็ด ครั้งที่ 2 เป็นเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ด 200,000 เม็ด และชนิดเกล็ดสีขาว 3 กิโลกรัม ครั้งที่ 3 เป็นเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ด 100,000 เม็ด และชนิดเกล็ดสีขาว 5 กิโลกรัม กับทั้งได้ความตามบันทึกจับกุมว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลยลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนทั้งชนิดเม็ดและชนิดเกล็ดสีขาวให้แก่ผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่อำเภอพุนพินและพื้นที่ใกล้เคียง ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงจำนวนและปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนของกลางในคดีนี้ที่มีจำนวนมาก ประกอบกับพฤติกรรมที่จำเลยอยู่ในเครือข่ายยาเสพติด ทำหน้าที่รับยาเสพติดเป็นเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากถึงครั้งละหลายแสนเม็ดและชนิดเกล็ดสีขาวครั้งละหลายกิโลกรัมมาเก็บรักษาไว้หลายครั้งแล้ว ทั้งยังเป็นผู้ทำหน้าที่จัดการจำหน่ายส่งให้แก่ผู้ค้ารายย่อยในเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่อำเภอพุนพินและพื้นที่ใกล้เคียงรวมทั้งในคดีนี้ด้วย เช่นนี้ตามพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ย่อมทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสาม (2) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า จำเลยให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 และการกระทำความผิดของจำเลย กรณีมีเหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะรายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 152 วรรคสอง อันศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นหรือไม่ เห็นว่า ร้อยตำรวจเอกเอนก เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมจำเลยเบิกความว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลว่า มีเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่ที่ห้องพักบริเวณท่าทราย เมื่อตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้วจำเลยยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวนหนึ่งซุกซ่อนอยู่ที่บริเวณห้องแถว จึงตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางดังกล่าว และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานทราบข้อมูลในเบื้องต้นจากสายลับว่าจำเลยมีที่พักอยู่ที่ท่าทราย กับยังได้เบิกความตอบศาลว่า บริเวณท่าทรายนั้น เป็นลานที่มีกองทราย มีโรงซ่อมรถ มีที่พักอยู่ห้องเดียว ดังนั้น เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจทราบอยู่แล้วว่าจำเลยมีที่พักอยู่ที่ท่าทรายดังกล่าว และปรากฏว่ามีที่พักอยู่เพียงห้องเดียว จึงย่อมอยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานตำรวจจะสามารถตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางได้ ส่วนห้องแถวที่ตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางอีกแห่งหนึ่งนั้น ร้อยตำรวจเอกเอนกเบิกความตอบศาลว่า ห้องแถวดังกล่าว ทราบภายหลังว่าคือเลขที่ 26/22 ซึ่งตรงกับที่อยู่ตามทะเบียนราษฎร์ของจำเลย ในข้อนี้จำเลยได้ให้ถ้อยคำในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนว่า จำเลยนำตรวจยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางได้ที่ห้องแถวเลขที่ 26/22 ดังกล่าว อีกทั้งจำเลยได้ระบุในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนตามเอกสารดังกล่าวว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 26/22 เช่นเดียวกัน จึงย่อมอยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานตำรวจจะเข้าตรวจค้นได้เองตามที่อยู่ทางทะเบียนราษฎร์ของจำเลยอยู่แล้ว ประกอบกับพันตำรวจโทณัฐพงศ์ เจ้าพนักงานตำรวจผู้สืบสวนขยายผลและสอบปากคำจำเลยเบิกความว่า ข้อมูลที่จำเลยให้ไว้นั้น แม้เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ซึ่งอยู่ระหว่างสืบสวนติดตามตัวอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้มีการดำเนินการออกหมายจับหรือจับกุมบุคคลใด ๆ ดังนั้น กรณีจึงยังไม่อาจถือว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 ส่วนปัญหาว่ากรณีมีเหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะรายอันศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 152 วรรคสอง หรือไม่นั้น เห็นว่า จำเลยอยู่ในเครือข่ายยาเสพติด ทำหน้าที่รับยาเสพติดจำนวนมากมาเก็บรักษาไว้ และจัดการจำหน่ายส่งให้แก่ผู้ค้ารายย่อยต่อไปในเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่อำเภอพุนพินและพื้นที่ใกล้เคียงอันมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง จึงเป็นเรื่องร้ายแรงดังได้วินิจฉัยข้างต้นแล้ว ดังนั้น เมื่อได้พิเคราะห์ถึงความร้ายแรงของการกระทำความผิด ฐานะทางเศรษฐกิจของจำเลยและพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว กรณีจึงยังไม่มีเหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะราย อันศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 152 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ด 1,164 เม็ด และชนิดเกล็ดสีขาว 14 ถุง รวมทั้งสองชนิดคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 6,277.21 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ประกอบกับพฤติกรรมที่จำเลยอยู่ในเครือข่ายยาเสพติด ทำหน้าที่รับเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากถึงครั้งละหลายแสนเม็ดและชนิดเกล็ดสีขาวครั้งละหลายกิโลกรัมมาเก็บรักษาไว้หลายครั้งแล้ว ทั้งยังเป็นผู้ทำหน้าที่จัดการจำหน่ายส่งให้แก่ผู้ค้ารายย่อยในเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่อำเภอพุนพินและพื้นที่ใกล้เคียง พฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ย่อมทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสาม (2) จำเลยนำเจ้าพนักงานตำรวจตรวจยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนหนึ่งที่ท่าทรายซึ่งเป็นลานที่มีกองทราย มีโรงซ่อมรถ มีที่พักอยู่ห้องเดียว ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจทราบอยู่แล้วว่าจำเลยมีที่พักอยู่ที่ท่าทรายดังกล่าว และนำตรวจยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางอีกจำนวนหนึ่งที่ห้องแถวซึ่งทราบภายหลังว่าตรงกับที่อยู่ตามทะเบียนราษฎร์ของจำเลย และจำเลยให้การในชั้นสอบสวนระบุที่อยู่ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของจำเลย จึงอยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานตำรวจจะสามารถตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางได้เอง ไม่อาจถือว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 เมื่อพิเคราะห์ถึงความร้ายแรงของการกระทำความผิด ฐานะทางเศรษฐกิจของจำเลยและพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว กรณียังไม่มีเหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะราย อันศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 152 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 6, 7, 55, 72, 78 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91 ริบเมทแอมเฟตามีน อาวุธปืน ซองกระสุนปืน เครื่องชั่งดิจิทัล ถุงแบ่งบรรจุยาเสพติด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 55, 72 วรรคหนึ่ง, 78 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ให้ประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง จำคุก 6 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง คงจำคุก 3 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุก 6 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกตลอดชีวิต ริบเมทแอมเฟตามีน อาวุธปืน ซองกระสุนปืน เครื่องชั่งดิจิทัล ถุงแบ่งบรรจุยาเสพติด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสาม (2) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสาม (2) ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางชนิดเม็ด มีจำนวน 1,164 เม็ด และชนิดเกล็ดสีขาว 14 ถุง รวมทั้งสองชนิดคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 6,277.321 กรัม และตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย ได้ความว่า จำเลยได้รับการชักชวนจากนายธวัชชัยหรือกบ ให้เข้าร่วมเครือข่ายยาเสพติดโดยให้จำเลยทำหน้าที่เก็บรักษายาเสพติดและนำยาเสพติดไปส่งแก่ลูกค้าต่อไป จำเลยเคยรับยาเสพติดจากนายธวัชชัยมาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 เป็นเมทแอมเฟตามีน 600,000 เม็ด ครั้งที่ 2 เป็นเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ด 200,000 เม็ด และชนิดเกล็ดสีขาว 3 กิโลกรัม ครั้งที่ 3 เป็นเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ด 100,000 เม็ด และชนิดเกล็ดสีขาว 5 กิโลกรัม กับทั้งได้ความตามบันทึกจับกุมว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลยลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนทั้งชนิดเม็ดและชนิดเกล็ดสีขาวให้แก่ผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่อำเภอพุนพินและพื้นที่ใกล้เคียง ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงจำนวนและปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนของกลางในคดีนี้ที่มีจำนวนมาก ประกอบกับพฤติกรรมที่จำเลยอยู่ในเครือข่ายยาเสพติด ทำหน้าที่รับยาเสพติดเป็นเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากถึงครั้งละหลายแสนเม็ดและชนิดเกล็ดสีขาวครั้งละหลายกิโลกรัมมาเก็บรักษาไว้หลายครั้งแล้ว ทั้งยังเป็นผู้ทำหน้าที่จัดการจำหน่ายส่งให้แก่ผู้ค้ารายย่อยในเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่อำเภอพุนพินและพื้นที่ใกล้เคียงรวมทั้งในคดีนี้ด้วย เช่นนี้ตามพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ย่อมทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสาม (2) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า จำเลยให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 และการกระทำความผิดของจำเลย กรณีมีเหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะรายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 152 วรรคสอง อันศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นหรือไม่ เห็นว่า ร้อยตำรวจเอกเอนก เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมจำเลยเบิกความว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลว่า มีเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่ที่ห้องพักบริเวณท่าทราย เมื่อตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้วจำเลยยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวนหนึ่งซุกซ่อนอยู่ที่บริเวณห้องแถว จึงตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางดังกล่าว และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานทราบข้อมูลในเบื้องต้นจากสายลับว่าจำเลยมีที่พักอยู่ที่ท่าทราย กับยังได้เบิกความตอบศาลว่า บริเวณท่าทรายนั้น เป็นลานที่มีกองทราย มีโรงซ่อมรถ มีที่พักอยู่ห้องเดียว ดังนั้น เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจทราบอยู่แล้วว่าจำเลยมีที่พักอยู่ที่ท่าทรายดังกล่าว และปรากฏว่ามีที่พักอยู่เพียงห้องเดียว จึงย่อมอยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานตำรวจจะสามารถตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางได้ ส่วนห้องแถวที่ตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางอีกแห่งหนึ่งนั้น ร้อยตำรวจเอกเอนกเบิกความตอบศาลว่า ห้องแถวดังกล่าว ทราบภายหลังว่าคือเลขที่ 26/22 ซึ่งตรงกับที่อยู่ตามทะเบียนราษฎร์ของจำเลย ในข้อนี้จำเลยได้ให้ถ้อยคำในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนว่า จำเลยนำตรวจยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางได้ที่ห้องแถวเลขที่ 26/22 ดังกล่าว อีกทั้งจำเลยได้ระบุในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนตามเอกสารดังกล่าวว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 26/22 เช่นเดียวกัน จึงย่อมอยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานตำรวจจะเข้าตรวจค้นได้เองตามที่อยู่ทางทะเบียนราษฎร์ของจำเลยอยู่แล้ว ประกอบกับพันตำรวจโทณัฐพงศ์ เจ้าพนักงานตำรวจผู้สืบสวนขยายผลและสอบปากคำจำเลยเบิกความว่า ข้อมูลที่จำเลยให้ไว้นั้น แม้เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ซึ่งอยู่ระหว่างสืบสวนติดตามตัวอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้มีการดำเนินการออกหมายจับหรือจับกุมบุคคลใด ๆ ดังนั้น กรณีจึงยังไม่อาจถือว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 ส่วนปัญหาว่ากรณีมีเหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะรายอันศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 152 วรรคสอง หรือไม่นั้น เห็นว่า จำเลยอยู่ในเครือข่ายยาเสพติด ทำหน้าที่รับยาเสพติดจำนวนมากมาเก็บรักษาไว้ และจัดการจำหน่ายส่งให้แก่ผู้ค้ารายย่อยต่อไปในเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่อำเภอพุนพินและพื้นที่ใกล้เคียงอันมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง จึงเป็นเรื่องร้ายแรงดังได้วินิจฉัยข้างต้นแล้ว ดังนั้น เมื่อได้พิเคราะห์ถึงความร้ายแรงของการกระทำความผิด ฐานะทางเศรษฐกิจของจำเลยและพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว กรณีจึงยังไม่มีเหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะราย อันศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 152 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะขอให้ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกและปรับในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายที่ศาลชั้นต้นกำหนดมาใหม่ โดยอ้างว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้มีพฤติการณ์ตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) โดยมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 104, 162 จึงถือว่าจำเลยพอใจไม่โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว เช่นนี้ การกำหนดบทกำหนดโทษตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 104, 162 ย่อมเป็นอันยุติตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก คงมีอำนาจวินิจฉัยตามประเด็นอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) หรือไม่ หากศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นก็ปรับบทกำหนดโทษจำเลยตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) ไม่ถูกต้อง โดยเห็นว่าต้องปรับบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) ศาลอุทธรณ์ย่อมยกขึ้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์จะก้าวล่วงไปวินิจฉัยการปรับบทกำหนดโทษจำเลยอีกครั้งหนึ่งและปรับบทกำหนดโทษเสียใหม่ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) โดยมิได้อ้าง ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 หาได้ไม่ ทั้งกรณีไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่ให้อำนาจศาลอุทธรณ์ในกรณีเช่นนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดี ภาค 4 ลักษณะ 1 อุทธรณ์ และไม่ก่อสิทธิให้จำเลยฎีกาในข้อที่ว่าที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทกำหนดโทษตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) ชอบหรือไม่ แม้ศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับวินิจฉัยได้เพราะกรณีที่จะอนุญาตให้ฎีกาได้ต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง, 91 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี และปรับ 500,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน เพิ่มโทษกระทงละกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 9 ปี และปรับ 750,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 9 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 375,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 เดือน 15 วัน รวมจำคุก 4 ปี 10 เดือน 15 วัน และปรับ 375,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบของกลาง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติดแก้ไขฐานความผิดและบทกำหนดโทษที่ศาลจะลงโทษแก่จำเลย อันส่งผลต่อคำพิพากษาและการลงโทษจำเลย ซึ่งจะทำให้จำเลยได้รับการลดโทษ ลดอัตราส่วนโทษจำคุกและโทษปรับหรือได้รับการปล่อยตัว ขอให้ศาลพิพากษาแก้โทษจำคุก แก้อัตราส่วนโทษจำคุก และโทษปรับ โดยการลดโทษจำคุกและโทษปรับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กำหนดโทษจำเลยใหม่เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 104, 145 วรรคสอง (2), 162 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน จำคุก 6 ปี และปรับ 500,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 รวมจำคุก 8 ปี 8 เดือน และปรับ 666,666.66 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 333,333.33 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า อัตราโทษตามคำพิพากษาไม่สูงกว่าอัตราโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด จึงเป็นกรณีที่ศาลได้กำหนดโทษเหมาะสมและอยูในกรอบของอัตราโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติดแล้ว แต่ประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่มีบทบัญญัติเรื่องเพิ่มโทษไว้โดยเฉพาะ กรณีจึงต้องเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 แล้วมีคำสั่งกำหนดโทษจำเลยใหม่ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 104, 145 วรรคสอง (2), 162 และเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 จำเลยอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยไม่ได้มีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง ขอให้ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำเลยใหม่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้ว ดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษหรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ดังนั้น การกำหนดโทษใหม่ในคดีที่ถึงที่สุดแล้ว จะต้องปรากฏว่าโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง คดีนี้คำพิพากษากำหนดโทษความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 เดือน 15 วัน ซึ่งมีโทษตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 375,000 บาท ก็เนื่องจากจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ถึง 2.029 กรัม เป็นจำนวนมากเกินกว่าจะมีไว้เพื่อเสพเอง ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุมว่า ตนเองเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มจำหน่ายยาเสพติดให้โทษกับนายเปี๊ยก ไม่ทราบชื่อและชื่อสกุลจริง อันถือเป็นการกระทำเพื่อการค้า กรณีการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (1) มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสองล้านบาท ดังนั้น โทษที่กำหนดในคำพิพากษาในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง คำร้องของจำเลยไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษใหม่ได้ เห็นว่า หลักการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีใดแล้ว คู่ความฝ่ายที่ไม่พอใจหรือไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น คู่ความฝ่ายนั้นย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์และฎีกาได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ เว้นแต่ถูกจำกัดสิทธิตามบทบัญญัติของกฎหมาย และการพิจารณาคดีนี้ในชั้นอุทธรณ์ต้องเป็นไปดังที่บัญญัติไว้ในภาค 4 ลักษณะ 1 อุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ดังนี้ เมื่อจำเลยอุทธรณ์เฉพาะขอให้ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกและปรับในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายที่ศาลชั้นต้นกำหนดมาใหม่ โดยอ้างว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้มีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (ที่ถูก มาตรา 145 วรรคสอง (2)) โดยมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จึงถือว่าจำเลยพอใจไม่โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว เช่นนี้ การกำหนดบทกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 ย่อมเป็นอันยุติตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก คงมีอำนาจวินิจฉัยตามประเด็นอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (ที่ถูก มาตรา 145 วรรคสอง (2)) หรือไม่ หากศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นก็ปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) ไม่ถูกต้อง โดยเห็นว่าต้องปรับบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) ศาลอุทธรณ์ย่อมยกขึ้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์จะก้าวล่วงไปวินิจฉัยการปรับบทกำหนดโทษจำเลยอีกครั้งหนึ่งและปรับบทกำหนดโทษเสียใหม่ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) โดยมิได้อ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 หาได้ไม่ ทั้งกรณีไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่ให้อำนาจศาลอุทธรณ์ในกรณีเช่นนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดี ภาค 4 ลักษณะ 1 อุทธรณ์ และไม่ก่อสิทธิให้จำเลยฎีกาในข้อที่ว่าที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) ชอบหรือไม่ แม้ศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับวินิจฉัยได้เพราะกรณีที่จะอนุญาตให้ฎีกาได้ต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (ที่ถูก) มาตรา 145 วรรคสอง (2)) หรือไม่ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวอีก เห็นว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 นิยามคำว่า จำหน่าย ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย และการจำหน่ายบัญญัติบทความผิดและบทกำหนดโทษไว้ในมาตรา 90, 145 แสดงว่าประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่ได้ยกเลิกความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่นำไปรวมไว้เป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โดยมาตรา 145 วรรคหนึ่งถึงวรรคสามกำหนดโทษหนักเบาตามพฤติการณ์และบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดเป็นสำคัญ ไม่ถือเอาปริมาณดังเช่นกฎหมายเดิมอีกต่อไป ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคใดนั้น เห็นว่า แม้ปริมาณเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดของกลาง 1 ถุง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 2.029 กรัม ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอาจบ่งชี้ถึงพฤติการณ์และบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดได้ระดับหนึ่งก็ตาม แต่การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องเป็นไปตามบทสันนิษฐานของกฎหมายที่จำเลยสามารถนำสืบหักล้างได้เท่านั้น นอกจากนี้หากมีการนำเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดของกลางไปจำหน่ายแล้วอาจจำหน่ายให้ผู้เสพรายเดียวหมดในครั้งเดียวหรือผู้เสพหลายรายซึ่งมีจำนวนไม่มากนักก็ได้ พฤติการณ์และบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดของจำเลยยังฟังไม่ได้ว่าก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) จึงต้องปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ที่มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งล้านห้าแสนบาท แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) บัญญัติให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังแก่ผู้กระทำความผิดที่กำลังรับโทษอยู่ เมื่อโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง แต่เมื่อโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายที่กำหนดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่หนักกว่าโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติในภายหลัง กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษจำคุกและปรับในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายใหม่ ที่ศาลชั้นต้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลชั้นต้นไม่กำหนดโทษจำคุกและปรับจำเลยใหม่นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยมีว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดโทษในการเพิ่มโทษจำเลยใหม่ชอบหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติดยกเลิกมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่กรณีที่คดีถึงที่สุดแล้วดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง... ดังนี้ คำว่า กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดหรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดดังกล่าวนั้น หมายถึง กฎหมายที่บัญญัติถึงกำหนดโทษหรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นด้วย ซึ่งกรณีการเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดอีก หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดและมีผลที่จะทำให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา 3 โดยมิใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อบทบัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ถูกยกเลิกไปแล้ว โดยประมวลกฎหมายยาเสพติดซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษ ดังนี้ ศาลจึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดที่ถูกยกเลิกไปแล้วและกฎหมายที่ใช้ในภายหลังกระทำความผิดได้ การเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งจึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) อย่างไรก็ตาม เมื่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 บัญญัติว่าบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญาให้ใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย ดังนั้น แม้กฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันเป็นกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้บัญญัติเรื่องเพิ่มโทษเพราะกระทำผิดอีกไว้ ก็มิได้หมายความว่าศาลไม่อาจเพิ่มโทษตามบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีกโดยไม่เข็ดหลาบและโจทก์ได้ขอให้เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์จะขอเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบและได้กล่าวในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 แล้วด้วย ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้ ที่คำพิพากษาถึงที่สุดกำหนดโทษจำเลยโดยเพิ่มโทษกึ่งหนึ่ง จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งการเพิ่มโทษถือเป็นส่วนหนึ่งของโทษที่กำหนดใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 (1) มิใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาถึงที่สุด ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับว่า ให้กำหนดโทษจำเลยใหม่สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) จำคุก 6 ปี และปรับ 500,000 บาท เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 8 ปี และปรับ 666,666.66 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 8 เดือน เมื่อลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 4 ปี และปรับ 333,333.33 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 333,333.33 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะขอให้ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกและปรับในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายที่ศาลชั้นต้นกำหนดมาใหม่ โดยอ้างว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้มีพฤติการณ์ตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) โดยมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 104, 162 จึงถือว่าจำเลยพอใจไม่โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว เช่นนี้ การกำหนดบทกำหนดโทษตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 104, 162 ย่อมเป็นอันยุติตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก คงมีอำนาจวินิจฉัยตามประเด็นอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) หรือไม่ หากศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นก็ปรับบทกำหนดโทษจำเลยตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) ไม่ถูกต้อง โดยเห็นว่าต้องปรับบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) ศาลอุทธรณ์ย่อมยกขึ้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์จะก้าวล่วงไปวินิจฉัยการปรับบทกำหนดโทษจำเลยอีกครั้งหนึ่งและปรับบทกำหนดโทษเสียใหม่ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) โดยมิได้อ้าง ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 หาได้ไม่ ทั้งกรณีไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่ให้อำนาจศาลอุทธรณ์ในกรณีเช่นนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดี ภาค 4 ลักษณะ 1 อุทธรณ์ และไม่ก่อสิทธิให้จำเลยฎีกาในข้อที่ว่าที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทกำหนดโทษตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) ชอบหรือไม่ แม้ศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับวินิจฉัยได้เพราะกรณีที่จะอนุญาตให้ฎีกาได้ต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง, 91 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี และปรับ 500,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน เพิ่มโทษกระทงละกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 9 ปี และปรับ 750,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 9 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 375,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 เดือน 15 วัน รวมจำคุก 4 ปี 10 เดือน 15 วัน และปรับ 375,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบของกลาง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติดแก้ไขฐานความผิดและบทกำหนดโทษที่ศาลจะลงโทษแก่จำเลย อันส่งผลต่อคำพิพากษาและการลงโทษจำเลย ซึ่งจะทำให้จำเลยได้รับการลดโทษ ลดอัตราส่วนโทษจำคุกและโทษปรับหรือได้รับการปล่อยตัว ขอให้ศาลพิพากษาแก้โทษจำคุก แก้อัตราส่วนโทษจำคุก และโทษปรับ โดยการลดโทษจำคุกและโทษปรับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กำหนดโทษจำเลยใหม่เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 104, 145 วรรคสอง (2), 162 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน จำคุก 6 ปี และปรับ 500,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 รวมจำคุก 8 ปี 8 เดือน และปรับ 666,666.66 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 333,333.33 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า อัตราโทษตามคำพิพากษาไม่สูงกว่าอัตราโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด จึงเป็นกรณีที่ศาลได้กำหนดโทษเหมาะสมและอยูในกรอบของอัตราโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติดแล้ว แต่ประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่มีบทบัญญัติเรื่องเพิ่มโทษไว้โดยเฉพาะ กรณีจึงต้องเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 แล้วมีคำสั่งกำหนดโทษจำเลยใหม่ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 104, 145 วรรคสอง (2), 162 และเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 จำเลยอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยไม่ได้มีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง ขอให้ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำเลยใหม่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้ว ดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษหรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ดังนั้น การกำหนดโทษใหม่ในคดีที่ถึงที่สุดแล้ว จะต้องปรากฏว่าโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง คดีนี้คำพิพากษากำหนดโทษความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 เดือน 15 วัน ซึ่งมีโทษตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 375,000 บาท ก็เนื่องจากจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ถึง 2.029 กรัม เป็นจำนวนมากเกินกว่าจะมีไว้เพื่อเสพเอง ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุมว่า ตนเองเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มจำหน่ายยาเสพติดให้โทษกับนายเปี๊ยก ไม่ทราบชื่อและชื่อสกุลจริง อันถือเป็นการกระทำเพื่อการค้า กรณีการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (1) มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสองล้านบาท ดังนั้น โทษที่กำหนดในคำพิพากษาในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง คำร้องของจำเลยไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษใหม่ได้ เห็นว่า หลักการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีใดแล้ว คู่ความฝ่ายที่ไม่พอใจหรือไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น คู่ความฝ่ายนั้นย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์และฎีกาได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ เว้นแต่ถูกจำกัดสิทธิตามบทบัญญัติของกฎหมาย และการพิจารณาคดีนี้ในชั้นอุทธรณ์ต้องเป็นไปดังที่บัญญัติไว้ในภาค 4 ลักษณะ 1 อุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ดังนี้ เมื่อจำเลยอุทธรณ์เฉพาะขอให้ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกและปรับในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายที่ศาลชั้นต้นกำหนดมาใหม่ โดยอ้างว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้มีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (ที่ถูก มาตรา 145 วรรคสอง (2)) โดยมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จึงถือว่าจำเลยพอใจไม่โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดบทกำหนดโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว เช่นนี้ การกำหนดบทกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 ย่อมเป็นอันยุติตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก คงมีอำนาจวินิจฉัยตามประเด็นอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (ที่ถูก มาตรา 145 วรรคสอง (2)) หรือไม่ หากศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นก็ปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) ไม่ถูกต้อง โดยเห็นว่าต้องปรับบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) ศาลอุทธรณ์ย่อมยกขึ้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์จะก้าวล่วงไปวินิจฉัยการปรับบทกำหนดโทษจำเลยอีกครั้งหนึ่งและปรับบทกำหนดโทษเสียใหม่ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) โดยมิได้อ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 หาได้ไม่ ทั้งกรณีไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่ให้อำนาจศาลอุทธรณ์ในกรณีเช่นนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยเกี่ยวกับการปรับบทกำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดี ภาค 4 ลักษณะ 1 อุทธรณ์ และไม่ก่อสิทธิให้จำเลยฎีกาในข้อที่ว่าที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1) ชอบหรือไม่ แม้ศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับวินิจฉัยได้เพราะกรณีที่จะอนุญาตให้ฎีกาได้ต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (ที่ถูก) มาตรา 145 วรรคสอง (2)) หรือไม่ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวอีก เห็นว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 นิยามคำว่า จำหน่าย ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย และการจำหน่ายบัญญัติบทความผิดและบทกำหนดโทษไว้ในมาตรา 90, 145 แสดงว่าประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่ได้ยกเลิกความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่นำไปรวมไว้เป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โดยมาตรา 145 วรรคหนึ่งถึงวรรคสามกำหนดโทษหนักเบาตามพฤติการณ์และบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดเป็นสำคัญ ไม่ถือเอาปริมาณดังเช่นกฎหมายเดิมอีกต่อไป ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคใดนั้น เห็นว่า แม้ปริมาณเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดของกลาง 1 ถุง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 2.029 กรัม ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอาจบ่งชี้ถึงพฤติการณ์และบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดได้ระดับหนึ่งก็ตาม แต่การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องเป็นไปตามบทสันนิษฐานของกฎหมายที่จำเลยสามารถนำสืบหักล้างได้เท่านั้น นอกจากนี้หากมีการนำเมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดของกลางไปจำหน่ายแล้วอาจจำหน่ายให้ผู้เสพรายเดียวหมดในครั้งเดียวหรือผู้เสพหลายรายซึ่งมีจำนวนไม่มากนักก็ได้ พฤติการณ์และบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดของจำเลยยังฟังไม่ได้ว่าก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) จึงต้องปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ที่มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งล้านห้าแสนบาท แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) บัญญัติให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังแก่ผู้กระทำความผิดที่กำลังรับโทษอยู่ เมื่อโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง แต่เมื่อโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายที่กำหนดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่หนักกว่าโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติในภายหลัง กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษจำคุกและปรับในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายใหม่ ที่ศาลชั้นต้นปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลชั้นต้นไม่กำหนดโทษจำคุกและปรับจำเลยใหม่นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยมีว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดโทษในการเพิ่มโทษจำเลยใหม่ชอบหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติดยกเลิกมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่กรณีที่คดีถึงที่สุดแล้วดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง... ดังนี้ คำว่า กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดหรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดดังกล่าวนั้น หมายถึง กฎหมายที่บัญญัติถึงกำหนดโทษหรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นด้วย ซึ่งกรณีการเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดอีก หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดและมีผลที่จะทำให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา 3 โดยมิใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อบทบัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ถูกยกเลิกไปแล้ว โดยประมวลกฎหมายยาเสพติดซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษ ดังนี้ ศาลจึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดที่ถูกยกเลิกไปแล้วและกฎหมายที่ใช้ในภายหลังกระทำความผิดได้ การเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งจึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) อย่างไรก็ตาม เมื่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 บัญญัติว่าบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญาให้ใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย ดังนั้น แม้กฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันเป็นกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้บัญญัติเรื่องเพิ่มโทษเพราะกระทำผิดอีกไว้ ก็มิได้หมายความว่าศาลไม่อาจเพิ่มโทษตามบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีกโดยไม่เข็ดหลาบและโจทก์ได้ขอให้เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์จะขอเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบและได้กล่าวในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 แล้วด้วย ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้ ที่คำพิพากษาถึงที่สุดกำหนดโทษจำเลยโดยเพิ่มโทษกึ่งหนึ่ง จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งการเพิ่มโทษถือเป็นส่วนหนึ่งของโทษที่กำหนดใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 (1) มิใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาถึงที่สุด ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับว่า ให้กำหนดโทษจำเลยใหม่สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) จำคุก 6 ปี และปรับ 500,000 บาท เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 8 ปี และปรับ 666,666.66 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 8 เดือน เมื่อลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 4 ปี และปรับ 333,333.33 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 333,333.33 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 รวม 4 คดี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ในวันเดียวกัน โดยเปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นกักขังแทนทั้ง 4 คดี ตาม ป.อ. มาตรา 23 เมื่อโทษกักขังเป็นโทษที่ลงแทนโทษจำคุก จำเลยที่ 2 ยังคงต้องถูกบังคับโทษตามคำพิพากษา แม้คดียังไม่ถึงที่สุดและอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ก็มิใช่เหตุที่จะนำโทษกักขังจำเลยที่ 2 มานับต่อจากโทษในคดีอื่นไม่ได้ ศาลจึงอาศัยอำนาจตาม ป.อ. มาตรา 22 ให้นับโทษกักขังติดต่อกันได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ต่อกับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 8893/2552, 8894/2552 และ 8895/2552 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นายกตพลหรือชยพล ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 (ที่ถูก มาตรา 4 (1) (3)) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 82, 91 (ที่ถูก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91) จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 2 เดือน รวม 2 กระทง รวมจำคุก 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 1 ปรับกระทงละ 10,000 บาท รวม 2 กระทง รวมปรับ 20,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 รวม 2 เดือน และปรับจำเลยที่ 1 รวม 10,000 บาท เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นกักขังมีกำหนด 2 เดือน จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ เนื่องจากศาลพิพากษาลงโทษกักขังแทนจำคุก คำขอส่วนนี้ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้นับโทษกักขังจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ติดต่อกับโทษกักขังจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 544/2553, 552/2553 และ 553/2553 ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้นับโทษกักขังจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษกักขังของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 544/2553, 552/2553 และ 553/2553 ของศาลชั้นต้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ 2534 มาตรา 4 รวม 4 คดี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ในวันเดียวกันโดยเปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นกักขังแทนทั้ง 4 คดี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 เมื่อโทษกักขังเป็นโทษที่ลงแทนโทษจำคุก จำเลยที่ 2 ยังคงต้องถูกบังคับโทษตามคำพิพากษา แม้คดียังไม่ถึงที่สุดและอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ก็มิใช่เหตุที่จะนำโทษกักขังจำเลยที่ 2 มานับต่อจากคดีอื่นไม่ได้ ศาลจึงอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 ให้นับโทษกักขังติดต่อกันได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้นับโทษกักขังจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษกักขังในคดีอื่นมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 รวม 4 คดี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ในวันเดียวกัน โดยเปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นกักขังแทนทั้ง 4 คดี ตาม ป.อ. มาตรา 23 เมื่อโทษกักขังเป็นโทษที่ลงแทนโทษจำคุก จำเลยที่ 2 ยังคงต้องถูกบังคับโทษตามคำพิพากษา แม้คดียังไม่ถึงที่สุดและอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ก็มิใช่เหตุที่จะนำโทษกักขังจำเลยที่ 2 มานับต่อจากโทษในคดีอื่นไม่ได้ ศาลจึงอาศัยอำนาจตาม ป.อ. มาตรา 22 ให้นับโทษกักขังติดต่อกันได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ต่อกับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 8893/2552, 8894/2552 และ 8895/2552 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นายกตพลหรือชยพล ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 (ที่ถูก มาตรา 4 (1) (3)) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 82, 91 (ที่ถูก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91) จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 2 เดือน รวม 2 กระทง รวมจำคุก 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 1 ปรับกระทงละ 10,000 บาท รวม 2 กระทง รวมปรับ 20,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 รวม 2 เดือน และปรับจำเลยที่ 1 รวม 10,000 บาท เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นกักขังมีกำหนด 2 เดือน จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ เนื่องจากศาลพิพากษาลงโทษกักขังแทนจำคุก คำขอส่วนนี้ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้นับโทษกักขังจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ติดต่อกับโทษกักขังจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 544/2553, 552/2553 และ 553/2553 ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้นับโทษกักขังจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษกักขังของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 544/2553, 552/2553 และ 553/2553 ของศาลชั้นต้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ 2534 มาตรา 4 รวม 4 คดี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ในวันเดียวกันโดยเปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นกักขังแทนทั้ง 4 คดี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 เมื่อโทษกักขังเป็นโทษที่ลงแทนโทษจำคุก จำเลยที่ 2 ยังคงต้องถูกบังคับโทษตามคำพิพากษา แม้คดียังไม่ถึงที่สุดและอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ก็มิใช่เหตุที่จะนำโทษกักขังจำเลยที่ 2 มานับต่อจากคดีอื่นไม่ได้ ศาลจึงอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 ให้นับโทษกักขังติดต่อกันได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้นับโทษกักขังจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษกักขังในคดีอื่นมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
สำหรับความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โดยยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยฎีกาเป็นทำนองว่าไม่มีเจตนาทำร้ายผู้ร้อง เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 โดยศาลตั้งให้ ธ. เป็นผู้แทนเฉพาะคดี เมื่อจำเลยเป็นบุพการีของผู้ร้องและมาตรา 44/1 วรรคสอง บัญญัติให้ถือว่าคำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้องตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. และผู้เสียหายอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่งนั้น ดังนั้น การยื่นคำร้องของผู้ร้องในคดีนี้จึงเป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1562 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องของผู้ร้อง และศาลล่างทั้งสองพิพากษาในคดีส่วนแพ่งให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ร้อง จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความใดยกขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้ในคำพิพากษา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 167 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 276, 277, 285, 295
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นาย ธ. ยื่นคำร้องขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของนางสาว ธ. ผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นอนุญาต และผู้เสียหายโดยผู้แทนเฉพาะคดียื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 230,383 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 150,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 (ที่ถูก มาตรา 276 วรรคหนึ่ง) ประกอบมาตรา 285, 277 วรรคสาม (เดิม) (ที่ถูก เดิมปี 2550 และปี 2558) ประกอบมาตรา 285 (เดิม), 295 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราผู้สืบสันดานซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ให้จำคุกกระทงละ 16 ปี รวม 3 กระทง (ที่ถูก เป็นจำคุก 48 ปี) ฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุกกระทงละ 8 ปี รวม 2 กระทง (ที่ถูก เป็นจำคุก 16 ปี) ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย จำคุก 4 เดือน (ที่ถูก รวมจำคุก 64 ปี 4 เดือน) เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงลงโทษจำคุกจำเลย 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้อง 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้อง 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์และจำเลยไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นที่ยุติได้ว่า ผู้ร้องเป็นบุตรของจำเลยและนางสาว ท. ซึ่งจดทะเบียนสมรสกัน ผู้ร้องเกิดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2546 ผู้ร้องมีความบกพร่องทางสติปัญญาซึ่งเป็นความพิการประเภทที่ 5 หมายความว่า มีระดับไอคิวต่ำกว่า 70 แต่ผู้ร้องยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ อ่านและเขียนหนังสือได้ ส่วนการพูดคุยต้องกระทำช้า ๆ โดยอาจต้องใช้คำถามซ้ำในบางครั้ง ทั้งนี้ จากลักษณะการเบิกความของผู้ร้อง ผู้ร้องเข้าใจและสามารถตอบคำถามในลักษณะที่ซับซ้อนรวมทั้งยังแสดงความรู้สึกนึกคิดได้ไม่ต่างกับคนปกติทั่วไป เดิมผู้ร้องพักอาศัยอยู่กับจำเลย นางสาว ท. และเด็กชาย ป. น้องชายร่วมบิดามารดาของผู้ร้องที่บ้านเช่าไม่มีเลขที่ ต่อมาปลายปี 2556 นางสาว ท. ทิ้งร้างจำเลยไปอยู่ที่อื่นปล่อยให้ผู้ร้องและเด็กชาย ป. อยู่กับจำเลยที่บ้านเช่าหลังดังกล่าว หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน จำเลยคบหาและอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาว ส. โดยพามาอยู่ร่วมกันที่บ้านเช่าหลังนี้ ต่อมาเดือนตุลาคม 2558 จำเลยพาครอบครัวย้ายไปอยู่กับนาย ธ. บิดาของจำเลย ผู้ร้องและเด็กชาย ป. จะนอนรวมกับนาย ธ. ห้องหนึ่ง ส่วนจำเลยจะนอนกับนางสาว ส. และบุตรอีก 2 คน ที่เกิดกับนางสาว ส. อีกห้องหนึ่ง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 ขณะผู้ร้องศึกษาอยู่ที่โรงเรียน ค. นางสาว อ. ครูโรงเรียนดังกล่าวได้ไปแจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรสรรคบุรี กล่าวหาจำเลยว่าข่มขืนกระทำชำเราและทำร้ายร่างกายผู้ร้อง พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้ร้องไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลสรรคบุรี พบบาดแผลฟกช้ำที่หัวไหล่ซ้าย ต้นแขนซ้ายและต้นขาซ้าย ส่วนอวัยวะเพศภายนอกบวมแดง พบรอยฉีกขาดของเยื่อพรหมจารีเป็นรอยฉีกขาดเก่าในตำแหน่ง 6 นาฬิกา และรอยฉีกขาดใหม่ในตำแหน่ง 4 นาฬิกา การตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบคราบอสุจิในสิ่งที่ส่งตรวจ ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าพบหลักฐานการร่วมประเวณี จากนั้นได้มีการแยกผู้ร้องไปดูแลที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดชัยนาท ปัจจุบันนางสาว ท. รับตัวผู้ร้องไปเลี้ยงดู สำหรับความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โดยยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยฎีกาเป็นทำนองว่าไม่มีเจตนาทำร้ายผู้ร้อง หากแต่ตีผู้ร้องเพื่อเป็นการทำโทษและอบรมสั่งสอนผู้ร้องให้รับผิดชอบต่อหน้าที่และมีวินัย เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องรวม 5 ครั้ง ตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โจทก์มีผู้ร้องมาเป็นพยานเบิกความว่า ในครั้งแรก เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2556 ขณะนั้นผู้ร้องมีอายุ 10 ปีเศษ เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ช่วงเช้าจำเลยและนางสาว ท. ไปส่งผู้ร้องที่โรงเรียน แต่เมื่อโรงเรียนเลิก มีจำเลยเพียงคนเดียวที่มารับผู้ร้อง เมื่อกลับถึงบ้านไม่พบนางสาว ท. จำเลยพาผู้ร้องออกตามหาแต่ก็ไม่พบ เมื่อกลับมาที่บ้าน จำเลยใช้มีดกรีดที่แขนของจำเลย แล้วจำเลยให้ผู้ร้องสวมชุดนอนบาง ๆ เมื่อเข้านอน จำเลยล่วงเกินผู้ร้องโดยนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องแล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ จำเลยพูดขู่ว่าหากนำเรื่องไปเล่าให้ใครฟังจะฆ่าผู้ร้อง ครั้งที่สอง เมื่อผู้ร้องย้ายมาอยู่บ้านนาย ธ. แล้ว ราวปลายเดือนตุลาคม 2558 หลังออกพรรษาได้ 2 ถึง 3 วัน ซึ่งโรงเรียนปิดภาคเรียน ในช่วงเช้าผู้ร้องอยู่กับจำเลยตามลำพังที่บ้านเนื่องจากนาย ธ. ออกไปทำนา ส่วนนางสาว ส. พาน้อง ๆ ของผู้ร้องออกไปซื้อกับข้าว จำเลยเรียกผู้ร้องให้เข้าไปนวดขาให้ภายในห้องนอนของจำเลย แล้วจำเลยข่มขืนผู้ร้องโดยนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องชักเข้าชักออกหลายครั้งจนสำเร็จความใคร่ ครั้งที่สาม ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม 2559 ขณะนั้นผู้ร้องอายุ 12 ปีเศษ ในช่วงกลางคืนผู้ร้องไปซักผ้าอยู่ที่หลังบ้าน ส่วนคนอื่น ๆ ต่างเข้านอนในห้องของตน จำเลยเดินเข้ามาหาจะข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องอีก ผู้ร้องเดินหนี แต่จำเลยดึงตัวผู้ร้องไว้และใช้กำลังบังคับถอดเสื้อผ้าผู้ร้อง จากนั้นจำเลยนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องแล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ ครั้งที่สี่ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2563 ขณะนั้นผู้ร้องมีอายุ 17 ปี นางสาว ส. บอกให้ผู้ร้องหยุดเรียนแล้วให้ไปช่วยจำเลยและนางสาว ส. ทำงานล้างเครื่องปรับอากาศที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ที่ห้องพักหมายเลข 1 ระหว่างทำงานจำเลยให้นางสาว ส. ไปซื้อน้ำยาเพื่อมาเติมเครื่องปรับอากาศ ระหว่างนั้นผู้ร้องเดินออกมาจากห้องน้ำบอกจำเลยว่าล้างชิ้นส่วนของเครื่องปรับอากาศเสร็จแล้ว จำเลยเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องขณะผู้ร้องอยู่ตรงประตูห้องพักด้วยการนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องในท่ายืน แล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ ครั้งที่ห้า ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันเมื่อทำงานเสร็จและกลับมาที่บ้านแล้ว ขณะที่จำเลยอยู่ตามลำพังกับผู้ร้องสองคนโดยจำไม่ได้ว่าคนอื่น ๆ ออกไปที่ไหน จำเลยเรียกผู้ร้องให้ไปรับประทานอาหารภายในห้องนอนของจำเลย เมื่อรับประทานอาหารเสร็จและนำจานไปเก็บแล้ว จำเลยเรียกผู้ร้องไปนวดให้จำเลยภายในห้องนอน แล้วจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องโดยใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้อง และชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ ทุกครั้งที่จำเลยกระทำชำเราผู้ร้อง จำเลยมิได้สวมถุงยางอนามัย แต่ผู้ร้องมิได้สังเกตว่าขณะสำเร็จความใคร่จำเลยหลั่งน้ำอสุจิภายในหรือภายนอกช่องคลอดของผู้ร้อง และหลังจากถูกข่มขืนกระทำชำเราแล้ว ผู้ร้องจะอาบน้ำและล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศโดยใช้สบู่ฟอกบริเวณด้านนอกและใช้นิ้วสอดเข้าไปทำความสะอาดภายในช่องคลอดด้วย วันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเหตุครั้งสุดท้าย ผู้ร้องไปโรงเรียนตามปกติ ขณะนั้นผู้ร้องเรียนอยู่ที่โรงเรียน ค. ผู้ร้องพบกับนางสาว อ. ครูที่โรงเรียนซึ่งนอกจากจะสอบถามผู้ร้องเรื่องที่ผู้ร้องขาดเรียนแล้ว นางสาว อ. ยังสังเกตเห็นรอยฟกช้ำตามแขนและขาของผู้ร้องด้วย เมื่อถูกถามถึงบาดแผล ผู้ร้องเล่าให้ฟังว่าถูกจำเลยตีเนื่องจากทำฝาเครื่องซักผ้าแตก เมื่อนางสาว อ. ถามอีกว่าจำเลยทำอะไรผู้ร้องมากกว่านั้นหรือไม่ ผู้ร้องจึงเล่าเรื่องที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องให้นางสาว อ. ฟัง เห็นว่า ในขณะเกิดเหตุครั้งสุดท้าย ผู้ร้องมีอายุ 17 ปีเศษ อยู่ในวัยเริ่มเป็นสาวเต็มตัวแล้วย่อมรู้สึกได้ว่าการถูกล่วงละเมิดทางเพศถึงขั้นข่มขืนกระทำชำเราเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ทำให้ตนเองต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงและมีมลทินติดตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกกระทำจากผู้เป็นพ่อของตัวเองอันเป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้แก่วงศ์ตระกูล อีกทั้งยังเป็นที่ติฉินนินทาของชาวบ้านในละแวกนั้นด้วย ฉะนั้น หากผู้ร้องมิได้ถูกจำเลยล่วงเกินดังที่เบิกความยืนยัน ก็ไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องจะกล่าวอ้างถึงเรื่องที่จะเป็นการประจานตนเองต่อสังคมเช่นนั้น ซึ่งขณะนั้นผู้ร้องเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม เรื่องดังกล่าวจะก่อให้เกิดปมด้อยแก่ผู้ร้องและเป็นเหตุให้เพื่อนนักเรียนนำไปล้อเลียนอีก ประกอบกับเมื่อพิเคราะห์ถึงวันและเวลาเกิดเหตุกระทำความผิดทั้งสามครั้งแรกในช่วงวัยเด็กซึ่งผู้ร้องมีอายุ 10 ปีเศษ ถึง 12 ปีเศษ ตามฟ้องข้อ 1.1 ถึง 1.3 ผู้ร้องอาศัยเหตุการณ์แวดล้อมมาเป็นจุดเชื่อมโยงในการจดจำ กล่าวคือ ในการกระทำความผิดครั้งแรกวันที่ 6 ธันวาคม 2556 เป็นวันที่นางสาว ท. มารดาผู้ร้องหนีออกจากบ้านเป็นเหตุให้จำเลยใช้มีดกรีดแขนตนเอง ซึ่งจำเลยก็เบิกความยอมรับข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ครั้งที่สองเกิดขึ้นในช่วงปิดภาคเรียนเดือนตุลาคม 2558 หลังออกพรรษาแล้ว 2 ถึง 3 วัน ซึ่งผู้ร้องเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านของนาย ธ. จำเลยให้ผู้ร้องเข้าไปนวดขาให้ภายในห้อง และครั้งที่สามปรากฏตามที่ผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาว่า เกิดขึ้นเมื่อผู้ร้องขึ้นชั้นมัธยมปีที่ 1 หลังจากเปิดภาคเรียนในวันที่ 16 พฤษภาคม 2559 ประมาณ 2 ถึง 3 วัน ซึ่งขณะนั้นผู้ร้องกำลังซักผ้าอยู่ที่หลังบ้าน เช่นนี้ จึงสนับสนุนคำเบิกความของผู้ร้องให้มีเหตุผลน่าเชื่อถือว่าได้มีเหตุการณ์ซึ่งผู้ร้องถูกล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นจริง อีกทั้งเรื่องราวในคดีนี้ถูกเปิดเผยขึ้นก็เพราะนางสาว อ. เห็นร่องรอยฟกช้ำตามเนื้อตัวร่างกายของผู้ร้องจึงสอบถามทำให้ได้ความว่าผู้ร้องถูกจำเลยตีทำร้าย นางสาว อ. จึงสอบถามอีกว่ามีอะไรนอกจากนี้อีกหรือไม่ ผู้ร้องจึงเล่าเรื่องที่ถูกจำเลยล่วงละเมิดให้ฟัง อันเป็นเวลากะทันหันที่ผู้ร้องไม่น่าจะทันได้คิดปรุงแต่งเรื่องราวในทางเพศเช่นนี้เพื่อปรักปรำกล่าวหาจำเลยผู้เป็นพ่อ และโจทก์ก็มีนางสาว อ. มาเบิกความเป็นพยานสนับสนุนว่า ได้รับฟังคำบอกเล่าจากผู้ร้องมาเช่นนั้นจริงจึงได้นำความไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ส่วนที่ผู้ร้องเล่าให้นางสาว อ. ฟังว่าถูกจำเลยข่มขืนทุกวันตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาและมัธยมต้น ขณะที่นาย ธ. พยานโจทก์อีกปากหนึ่งที่เบิกความว่า ผู้ร้องเล่าให้ฟังว่าเคยถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราโดยจำเลยพาไปทางวัดนก และเล่าว่าถูกข่มขืนมาหลายครั้ง ภายในห้องน้ำบ้าง หลังบ้านบ้าง และในห้องนอนจำเลยบ้าง โดยผู้ร้องได้นำชี้สถานที่เกิดเหตุให้พนักงานสอบสวนถ่ายรูปไว้โดยมีห้องน้ำภายในบ้านของนาย ธ. และทุ่งนารวมอยู่ด้วย ก็ไม่ถึงขนาดขัดแย้งกับคำเบิกความของผู้ร้องในคดีนี้ซึ่งยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยเพียง 5 ครั้ง และแม้จะไม่มีสถานที่เกิดเหตุเหล่านั้นดังที่จำเลยฎีกาโต้แย้งก็ตาม เพราะตามคำบอกเล่าของผู้ร้องดังกล่าว ผู้ร้องยืนยันว่าจำเลยล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องหลายครั้ง แต่เหตุที่โจทก์ฟ้องมาเพียง 5 ครั้ง เชื่อได้ว่าเป็นเพราะในการกระทำความผิดของจำเลยครั้งอื่น ๆ ผู้ร้องไม่สามารถจดจำวันและเวลาเกิดเหตุได้อย่างแน่ชัดเนื่องจากไม่มีเหตุการณ์แวดล้อมอื่นใดที่จะใช้นำมาเชื่อมโยงเท่านั้น จึงไม่นับเป็นข้อพิรุธ ประกอบกับได้ความตามคำเบิกความของนางสาว อ. ว่าผู้ร้องมีความบกพร่องทางด้านสติปัญญา การแสดงออกถึงความดีใจหรือเสียใจจะเป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อมีการพูดคุยเปลี่ยนเรื่อง อารมณ์ของผู้ร้องก็จะกลับเป็นปกติเหมือนเดิม ด้วยเหตุนี้การที่ในวันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเหตุแต่ละครั้งผู้ร้องไม่มีอาการเศร้าซึม แต่มีอารมณ์เป็นปกติตลอดเรื่อยมาจนถึงโรงเรียนทำให้นางสาว อ. ไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ ของผู้ร้องว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศมา จึงหาใช่ข้อพิรุธดังข้อฎีกาของจำเลยอีกเช่นกัน นอกจากนั้นตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาซึ่งผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนถึงการกระทำความผิดในครั้งแรกว่า ภายหลังจากที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องแล้ว จำเลยพูดข่มขู่มิให้ไปบอกใคร ผู้ร้องพูดกับจำเลยว่าเป็นลูกพ่อนะ ไม่ใช่ของเล่น ซึ่งแม้จะมีความหมายเป็นนัยถึงหญิงสาวที่ถูกชายย่ำยีโดยไม่คิดจริงจัง ซึ่งไม่ควรเป็นคำพูดของเด็กวัย 10 ขวบเศษดังที่จำเลยฎีกาก็ตาม แต่เมื่อในขณะให้การผู้ร้องเติบโตเป็นสาวในวัย 17 ปีเศษ จึงอาจมีความรู้สึกในทำนองนั้นเมื่อหวนคิดถึงสิ่งที่จำเลยล่วงละเมิดทางเพศตนเองจึงได้เสริมแต่งถ้อยคำเกินเลยจากความจริงไปบ้างอันเป็นการแสดงความรู้สึกซึ่งก็ถือเป็นเพียงพลความปลีกย่อยสืบเนื่องจากที่มีการกระทำอันเป็นการล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องนั้นเอง ไม่ถึงขนาดที่จะทำให้น้ำหนักคำเบิกความผู้ร้องต้องเสื่อมเสียไป และแม้ขณะเกิดเหตุในครั้งแรกเป็นเวลากลางคืนจะมีเด็กชาย ป. พยานจำเลยนอนอยู่ด้วยดังที่จำเลยฎีกา แต่พยานจำเลยปากนี้ในขณะเวลานั้นมีอายุราว 5 ขวบ ทั้งพยานเบิกความด้วยว่าตนนอนหลับสนิท การที่พยานไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงมิใช่เรื่องที่ผิดปกติ ส่วนที่จำเลยฎีกาโต้เถียงว่า คืนนั้นนางสาว ท. ภริยาจำเลยหลบหนีออกจากบ้านเป็นเหตุให้จำเลยเสียใจถึงขนาดใช้มีดกรีดแขนตนเอง จำเลยย่อมไม่มีอารมณ์ทางเพศที่จะล่วงเกินผู้ร้องได้นั้น จำเลยมิได้นำสืบถึงข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นอ้างดังกล่าวแต่อย่างใด จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ สำหรับในการกระทำความผิดครั้งที่สอง ผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาว่า หลังจากที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องภายในห้องนอนแล้ว เมื่อผู้ร้องออกจากห้องพักสักพักหนึ่งจึงพบกับนาย ธ. ผู้ร้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นาย ธ. ฟัง นาย ธ. พาผู้ร้องไปที่โรงพยาบาลชัยนาทเพื่อตรวจหูจากนั้นได้มีการฝังยาคุมกำเนิดให้ผู้ร้อง ซึ่งแม้นาย ธ. พยานโจทก์จะไม่ได้เบิกความรับรองข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวไว้โดยชัดเจนดังที่จำเลยฎีกา แต่นาย ธ. ก็เบิกความว่า ผู้ร้องเล่าให้ฟังว่าถูกจำเลยข่มขืนมาแล้วหลายครั้งซึ่งมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องนอนของจำเลยด้วย จึงไม่นับเป็นข้อพิรุธ และเมื่อได้ความจากนางสาว อ. ว่าผู้ร้องมีความบกพร่องทางการได้ยินที่หูข้างหนึ่งโดยแพทย์แนะนำให้ใช้เครื่องช่วยฟัง ฉะนั้น เรื่องที่ผู้ร้องให้การว่านาย ธ. พาผู้ร้องไปตรวจหูที่โรงพยาบาลนั้นจึงไม่มีข้อน่าสงสัยใด ๆ ส่วนเรื่องที่ผู้ร้องอ้างว่ามีการฝังยาคุมกำเนิดให้แก่ผู้ร้องด้วยนั้น ข้อนี้แม้นาย ธ. มิได้เบิกความถึงเลย แต่จำเลยสามารถถามค้านพยานโจทก์ปากนาย ธ. เพื่อให้เบิกความเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ นอกจากนี้จำเลยยังมีสิทธินำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อให้ได้ความจริง แต่จำเลยมิได้กระทำ อีกทั้งการที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาว่า โรงพยาบาลจะฝังยาคุมกำเนิดให้แก่ผู้ร้อง โรงพยาบาลจะต้องแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจนั้น ในชั้นพิจารณาจำเลยมิได้นำสืบถึงข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นอ้างนี้แต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังได้ดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ดังนั้น การที่โรงพยาบาลมิได้แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจจึงไม่ทำให้น้ำหนักของพยานหลักฐานโจทก์ลดน้อยลงแต่อย่างใด นอกจากนั้นการที่นาย ธ. ซึ่งทราบจากผู้ร้องถึงเรื่องที่ถูกจำเลยล่วงละเมิดทางเพศ แต่ไม่แจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยเพื่อเป็นการปกป้องผู้ร้องก็หาใช่เรื่องผิดวิสัยของวิญญูชนทั่วไปดังที่จำเลยฎีกาต่อสู้ เพราะผู้กระทำความผิดคือจำเลยเป็นบุตรของนาย ธ. ซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน แม้นาย ธ. จะเจ็บปวดจากการกระทำความผิดของจำเลย แต่ก็เชื่อว่าผู้ที่เป็นพ่อคงไม่ต้องการให้บุตรชายของตนเองต้องได้รับโทษจำคุก ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นยังเสื่อมเสียถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูลอีกด้วย ส่วนการกระทำความผิดในครั้งที่สามซึ่งผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาว่า เกิดขึ้นในขณะที่ผู้ร้องกำลังซักผ้าอยู่ที่หลังบ้านนั้น แม้ผู้ร้องจะให้การไว้ด้วยว่าขณะจำเลยสอดใส่อวัยวะเพศเข้ามาในอวัยวะเพศของผู้ร้องในขณะที่ผู้ร้องยืนพิงผนัง นาย ธ. เดินมาบริเวณดังกล่าวห่างจากผู้ร้องประมาณ 3 เมตร จำเลยเห็นจึงหยุดกระทำและห้ามมิให้ผู้ร้องไปบอกใคร จากนั้นผู้ร้องไปอาบน้ำและก่อนเข้านอนผู้ร้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นาย ธ. ฟัง นาย ธ. บอกว่าจำเลยไม่ใช่คน ซึ่งเมื่อพิเคราะห์คำให้การของผู้ร้องดังกล่าวโดยตลอดแล้วเห็นได้ว่า นาย ธ. น่าจะไม่ทันเห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยกำลังล่วงละเมิดผู้ร้อง ซึ่งสอดคล้องกับที่นาย ธ. เบิกความยืนยันว่าไม่เคยเห็นเหตุการณ์ในทำนองนี้ด้วยตนเองเลย กรณีน่าจะเป็นเรื่องที่จำเลยรู้ตัวก่อนว่านาย ธ. กำลังเดินมาทางหลังบ้านจึงได้หยุดกระทำมากกว่า ฉะนั้น การที่ในชั้นพิจารณาผู้ร้องมิได้เบิกความว่านาย ธ. เห็นเหตุการณ์สำหรับการกระทำความผิดของจำเลยในครั้งนี้จึงหาได้ขัดแย้งแตกต่างกันกับที่เคยให้การในชั้นสอบสวนตามที่จำเลยฎีกาโต้แย้งไม่ และโดยที่ขณะเกิดเหตุสามครั้งแรก เด็กชาย ป. มีอายุระหว่าง 5 ถึง 8 ขวบ ย่อมมิใช่ผู้ที่ผู้ร้องจะพึ่งพาอาศัยหรือปรับทุกข์ในเรื่องที่จำเลยล่วงเกินทางเพศต่อผู้ร้องได้ ขณะเดียวกับที่ผู้ร้องมีนาย ธ. เป็นที่พึ่งพาอยู่แล้ว การที่ผู้ร้องเล่าเรื่องดังกล่าวให้นาย ธ. ฟังแต่เพียงผู้เดียว มิได้เล่าให้เด็กชาย ป. ฟังด้วย คงมีแต่การปรับทุกข์กับเด็กชาย ป. เพียงเรื่องที่ถูกจำเลยตีทำโทษเท่านั้นดังที่จำเลยฎีกา จึงไม่นับเป็นข้อพิรุธใด ๆ และที่จำเลยฎีกาว่าในช่วงเกิดเหตุสองครั้งแรก ผู้ร้องมีอายุ 10 ปีเศษ ถึง 12 ปีเศษ อวัยวะเพศยังมีขนาดเล็ก ไม่สมบูรณ์เต็มที่ การถูกอวัยวะเพศของจำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่สอดใส่เข้าไปแล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ อวัยวะเพศของผู้ร้องย่อมต้องฉีกขาดและมีเลือดไหล แต่ผู้ร้องกลับเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ไม่ได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะเพศโดยมีบาดแผลฉีกขาดหรือเลือดไหลแต่อย่างใด เพียงแต่ผู้ร้องรู้สึกเจ็บเมื่อถูกจำเลยข่มขืนเท่านั้น นับเป็นข้อพิรุธสงสัยนั้น เมื่อพิจารณาถึงการที่ผู้ร้องเป็นบุตรของจำเลย น่าเชื่อว่าจำเลยยังมีความห่วงใยและคำนึงถึงความรู้สึกของผู้ร้องอยู่ แม้จำเลยจะกระทำทุรศีลธรรมแก่บุตรของตนเอง แต่ก็เชื่อว่ามิได้กระทำด้วยความรุนแรงนักโดยเฉพาะกับพฤติกรรมการล่วงเกินทางเพศที่เกิดขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ร้องไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่อวัยวะเพศก็เป็นได้ กรณียังไม่พอรับฟังว่าเป็นข้อพิรุธสงสัย และประการสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ โจทก์ยังมีผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์มานำสืบประกอบด้วยว่า จากการตรวจอวัยวะเพศผู้ร้องของแพทย์ พบรอยฉีกขาดเก่าของเยื่อพรหมจารีในตำแหน่ง 6 นาฬิกา ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าผู้ร้องผ่านการร่วมประเวณีมา ยิ่งเป็นการสนับสนุนคำเบิกความของผู้ร้องที่กล่าวหาจำเลยว่าได้ล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องในขณะผู้ร้องยังเป็นเด็กรวมสามครั้งให้รับฟังได้โดยสนิทใจ ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์ดังที่ได้นำสืบมารับฟังมั่นคงว่า จำเลยกระทำชำเราผู้ร้องซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีและเป็นผู้สืบสันดานของจำเลย ตามฟ้องข้อ 1.1 ถึง 1.3 รวม 3 กระทง ตามที่ศาลล่างทั้งสองได้พิพากษาลงโทษจำเลยมาซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในส่วนข้อหาความผิดดังกล่าวฟังไม่ขึ้น
สำหรับการกระทำความผิดในครั้งที่สี่ตามฟ้องข้อ 1.5 นั้น ผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหายืนยันว่า ในวันที่ผู้ร้องต้องหยุดเรียนไปช่วยจำเลยและนางสาว ส. ล้างเครื่องปรับอากาศที่รีสอร์ต ภ. ห้องพักหมายเลข 1 จำเลยใช้ให้นางสาว ส. ออกไปซื้อน้ำยาเพื่อนำมาเติมเครื่องปรับอากาศ ระหว่างนั้นผู้ร้องนำชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศไปล้างในห้องน้ำภายในห้องพัก เมื่อล้างเสร็จและเดินออกมาจากห้องน้ำ จำเลยผลักผู้ร้องลงไปนอนบนเตียงแล้วถอดกางเกงผู้ร้อง ผู้ร้องขัดขืนแต่จำเลยทำท่าจะต่อยผู้ร้อง ผู้ร้องกลัว จากนั้นจำเลยถอดกางเกงและนำอวัยวะเพศของตนสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง แต่ในชั้นพิจารณาผู้ร้องกลับเบิกความว่า จำเลยเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องซึ่งยืนอยู่ตรงประตูห้องพักในท่ายืน ซึ่งนับได้ว่าขัดแย้งแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญเป็นอย่างมากระหว่างการถูกกระทำชำเราในท่านอนบนเตียงนอนกับการถูกกระทำชำเราในท่ายืนตรงประตูห้องพักดังที่จำเลยฎีกาต่อสู้ เหตุครั้งนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นล่าสุดก่อนมีการแจ้งความกล่าวหาจำเลยเพียงวันเดียว ผู้ร้องซึ่งโตเป็นสาวแล้วจึงไม่น่าที่จะจดจำเหตุการณ์ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป ประกอบกับทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา ผู้ร้องยืนยันว่าเหตุเกิดที่ห้องพักหมายเลข 1 และได้นำชี้สถานที่เกิดเหตุไว้ตามภาพถ่ายประกอบคดีอาญา แต่กลับยังมีปรากฏอีกว่าผู้ร้องได้ชี้ห้องพักหมายเลข 7 ของรีสอร์ตว่าเป็นสถานที่เกิดเหตุซึ่งผู้ร้องถูกกระทำชำเราด้วยตามภาพถ่ายประกอบคดีอาญา พยานหลักฐานโจทก์จึงเป็นพิรุธมีข้อเคลือบแคลงสงสัย ดังนี้ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ กรณีจึงเห็นสมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้ายสำหรับการกระทำความผิดในครั้งที่สี่ จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยในความผิดข้อหานี้ฟังขึ้น
ส่วนการกระทำความผิดในครั้งที่ห้า ตามฟ้องข้อ 1.6 นั้น แม้ตามผลตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.1 จะระบุว่า ตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบคราบอสุจิในสิ่งที่ส่งตรวจดังข้อฎีกาของจำเลยก็ตาม แต่แพทย์ก็ตรวจพบว่าอวัยวะเพศภายนอกของผู้ร้องบวมแดง และเมื่อตรวจภายในนอกจากจะพบรอยฉีกขาดเก่าของเยื่อพรหมจารีที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกาแล้ว ยังตรวจพบรอยฉีกขาดใหม่ของเยื่อพรหมจารีที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกา และแพทย์ได้ลงความเห็นว่าพบหลักฐานการร่วมประเวณี ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของผู้ร้องที่ยืนยันว่า จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องก่อนหน้าการตรวจร่างกายผู้ร้อง 1 วัน ลำพังแต่การไม่พบคราบอสุจิยังไม่หนักแน่นเพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าจำเลยมิได้ล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้อง เพราะนอกจากผู้ร้องจะเบิกความว่า มิได้สังเกตว่าจำเลยหลั่งน้ำอสุจิภายในหรือภายนอกช่องคลอดของผู้ร้อง และหลังเกิดเหตุผู้ร้องชำระล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศของตนแล้ว ดังนั้น การตรวจไม่พบคราบอสุจิจึงมิใช่เป็นข้อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยว่ามิได้ล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องได้โดยเด็ดขาด ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า เหตุที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเรานั้น เพราะเมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2563 ผู้ร้องถูกจำเลยใช้ท่อพีวีซีตีทำโทษ แต่จำเลยทำโทษแรงเกินไป อีกทั้งจำเลยคอยกีดกันมิให้ผู้ร้องติดต่อกับนางสาว ท. ผู้เป็นมารดา เป็นเหตุให้ผู้ร้องโกรธ เกลียดและต่อต้านจำเลยไม่อยากอยู่กับจำเลย แต่ต้องการไปอยู่กับนางสาว ท. ซึ่งผู้ร้องให้ความรักมากกว่านั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงเหตุที่จำเลยยกขึ้นอ้างดังกล่าวแล้วยังไม่ถึงขนาดที่จะทำให้ผู้ร้องมาสร้างเรื่องกล่าวหาจำเลยผู้เป็นพ่อด้วยเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นระหว่างผู้เป็นพ่อกับลูกซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความเสื่อมเสียให้แก่ครอบครัวและจะทำให้จำเลยต้องรับโทษทางอาญา ส่วนผู้ร้องก็ได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน นอกจากนี้จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่าผู้ร้องเป็นผู้ที่มีนิสัยชอบพูดโกหก ประกอบกับตามเอกสารหมาย จ.1 ได้ความว่าในการตรวจร่างกายของผู้ร้องเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 พบหลักฐานการร่วมประเวณี ข้อฎีกาของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้ายสำหรับการกระทำความผิดในครั้งที่ห้า จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในความผิดข้อหานี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยตั้งให้นาย ธ. เป็นผู้แทนเฉพาะคดี ซึ่งการยื่นคำร้องขอเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของนาย ธ. เป็นการยื่นในนามของผู้ร้อง เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ดังนั้น จำเลยจึงเป็นบุพการีของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28 วรรคหนึ่ง อีกทั้งการยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีนี้เป็นการยื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง ซึ่งวรรคสองของมาตรา 44/1 บัญญัติให้ถือว่าคำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและผู้เสียหายอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่งนั้น ดังนั้น การยื่นคำร้องของผู้ร้องในคดีนี้จึงเป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องของผู้ร้อง และศาลล่างทั้งสองพิพากษาในคดีส่วนแพ่งให้จำเลยชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ร้อง จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความใดยกขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้ในคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 285 ตามฟ้องข้อ 1.5 และยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
สำหรับความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โดยยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยฎีกาเป็นทำนองว่าไม่มีเจตนาทำร้ายผู้ร้อง เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 โดยศาลตั้งให้ ธ. เป็นผู้แทนเฉพาะคดี เมื่อจำเลยเป็นบุพการีของผู้ร้องและมาตรา 44/1 วรรคสอง บัญญัติให้ถือว่าคำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้องตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. และผู้เสียหายอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่งนั้น ดังนั้น การยื่นคำร้องของผู้ร้องในคดีนี้จึงเป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1562 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องของผู้ร้อง และศาลล่างทั้งสองพิพากษาในคดีส่วนแพ่งให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ร้อง จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความใดยกขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้ในคำพิพากษา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 167 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 276, 277, 285, 295
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นาย ธ. ยื่นคำร้องขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของนางสาว ธ. ผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นอนุญาต และผู้เสียหายโดยผู้แทนเฉพาะคดียื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 230,383 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 150,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 (ที่ถูก มาตรา 276 วรรคหนึ่ง) ประกอบมาตรา 285, 277 วรรคสาม (เดิม) (ที่ถูก เดิมปี 2550 และปี 2558) ประกอบมาตรา 285 (เดิม), 295 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราผู้สืบสันดานซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ให้จำคุกกระทงละ 16 ปี รวม 3 กระทง (ที่ถูก เป็นจำคุก 48 ปี) ฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุกกระทงละ 8 ปี รวม 2 กระทง (ที่ถูก เป็นจำคุก 16 ปี) ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย จำคุก 4 เดือน (ที่ถูก รวมจำคุก 64 ปี 4 เดือน) เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงลงโทษจำคุกจำเลย 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้อง 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้อง 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์และจำเลยไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นที่ยุติได้ว่า ผู้ร้องเป็นบุตรของจำเลยและนางสาว ท. ซึ่งจดทะเบียนสมรสกัน ผู้ร้องเกิดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2546 ผู้ร้องมีความบกพร่องทางสติปัญญาซึ่งเป็นความพิการประเภทที่ 5 หมายความว่า มีระดับไอคิวต่ำกว่า 70 แต่ผู้ร้องยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ อ่านและเขียนหนังสือได้ ส่วนการพูดคุยต้องกระทำช้า ๆ โดยอาจต้องใช้คำถามซ้ำในบางครั้ง ทั้งนี้ จากลักษณะการเบิกความของผู้ร้อง ผู้ร้องเข้าใจและสามารถตอบคำถามในลักษณะที่ซับซ้อนรวมทั้งยังแสดงความรู้สึกนึกคิดได้ไม่ต่างกับคนปกติทั่วไป เดิมผู้ร้องพักอาศัยอยู่กับจำเลย นางสาว ท. และเด็กชาย ป. น้องชายร่วมบิดามารดาของผู้ร้องที่บ้านเช่าไม่มีเลขที่ ต่อมาปลายปี 2556 นางสาว ท. ทิ้งร้างจำเลยไปอยู่ที่อื่นปล่อยให้ผู้ร้องและเด็กชาย ป. อยู่กับจำเลยที่บ้านเช่าหลังดังกล่าว หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน จำเลยคบหาและอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาว ส. โดยพามาอยู่ร่วมกันที่บ้านเช่าหลังนี้ ต่อมาเดือนตุลาคม 2558 จำเลยพาครอบครัวย้ายไปอยู่กับนาย ธ. บิดาของจำเลย ผู้ร้องและเด็กชาย ป. จะนอนรวมกับนาย ธ. ห้องหนึ่ง ส่วนจำเลยจะนอนกับนางสาว ส. และบุตรอีก 2 คน ที่เกิดกับนางสาว ส. อีกห้องหนึ่ง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 ขณะผู้ร้องศึกษาอยู่ที่โรงเรียน ค. นางสาว อ. ครูโรงเรียนดังกล่าวได้ไปแจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรสรรคบุรี กล่าวหาจำเลยว่าข่มขืนกระทำชำเราและทำร้ายร่างกายผู้ร้อง พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้ร้องไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลสรรคบุรี พบบาดแผลฟกช้ำที่หัวไหล่ซ้าย ต้นแขนซ้ายและต้นขาซ้าย ส่วนอวัยวะเพศภายนอกบวมแดง พบรอยฉีกขาดของเยื่อพรหมจารีเป็นรอยฉีกขาดเก่าในตำแหน่ง 6 นาฬิกา และรอยฉีกขาดใหม่ในตำแหน่ง 4 นาฬิกา การตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบคราบอสุจิในสิ่งที่ส่งตรวจ ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าพบหลักฐานการร่วมประเวณี จากนั้นได้มีการแยกผู้ร้องไปดูแลที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดชัยนาท ปัจจุบันนางสาว ท. รับตัวผู้ร้องไปเลี้ยงดู สำหรับความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โดยยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยฎีกาเป็นทำนองว่าไม่มีเจตนาทำร้ายผู้ร้อง หากแต่ตีผู้ร้องเพื่อเป็นการทำโทษและอบรมสั่งสอนผู้ร้องให้รับผิดชอบต่อหน้าที่และมีวินัย เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องรวม 5 ครั้ง ตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โจทก์มีผู้ร้องมาเป็นพยานเบิกความว่า ในครั้งแรก เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2556 ขณะนั้นผู้ร้องมีอายุ 10 ปีเศษ เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ช่วงเช้าจำเลยและนางสาว ท. ไปส่งผู้ร้องที่โรงเรียน แต่เมื่อโรงเรียนเลิก มีจำเลยเพียงคนเดียวที่มารับผู้ร้อง เมื่อกลับถึงบ้านไม่พบนางสาว ท. จำเลยพาผู้ร้องออกตามหาแต่ก็ไม่พบ เมื่อกลับมาที่บ้าน จำเลยใช้มีดกรีดที่แขนของจำเลย แล้วจำเลยให้ผู้ร้องสวมชุดนอนบาง ๆ เมื่อเข้านอน จำเลยล่วงเกินผู้ร้องโดยนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องแล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ จำเลยพูดขู่ว่าหากนำเรื่องไปเล่าให้ใครฟังจะฆ่าผู้ร้อง ครั้งที่สอง เมื่อผู้ร้องย้ายมาอยู่บ้านนาย ธ. แล้ว ราวปลายเดือนตุลาคม 2558 หลังออกพรรษาได้ 2 ถึง 3 วัน ซึ่งโรงเรียนปิดภาคเรียน ในช่วงเช้าผู้ร้องอยู่กับจำเลยตามลำพังที่บ้านเนื่องจากนาย ธ. ออกไปทำนา ส่วนนางสาว ส. พาน้อง ๆ ของผู้ร้องออกไปซื้อกับข้าว จำเลยเรียกผู้ร้องให้เข้าไปนวดขาให้ภายในห้องนอนของจำเลย แล้วจำเลยข่มขืนผู้ร้องโดยนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องชักเข้าชักออกหลายครั้งจนสำเร็จความใคร่ ครั้งที่สาม ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม 2559 ขณะนั้นผู้ร้องอายุ 12 ปีเศษ ในช่วงกลางคืนผู้ร้องไปซักผ้าอยู่ที่หลังบ้าน ส่วนคนอื่น ๆ ต่างเข้านอนในห้องของตน จำเลยเดินเข้ามาหาจะข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องอีก ผู้ร้องเดินหนี แต่จำเลยดึงตัวผู้ร้องไว้และใช้กำลังบังคับถอดเสื้อผ้าผู้ร้อง จากนั้นจำเลยนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องแล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ ครั้งที่สี่ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2563 ขณะนั้นผู้ร้องมีอายุ 17 ปี นางสาว ส. บอกให้ผู้ร้องหยุดเรียนแล้วให้ไปช่วยจำเลยและนางสาว ส. ทำงานล้างเครื่องปรับอากาศที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ที่ห้องพักหมายเลข 1 ระหว่างทำงานจำเลยให้นางสาว ส. ไปซื้อน้ำยาเพื่อมาเติมเครื่องปรับอากาศ ระหว่างนั้นผู้ร้องเดินออกมาจากห้องน้ำบอกจำเลยว่าล้างชิ้นส่วนของเครื่องปรับอากาศเสร็จแล้ว จำเลยเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องขณะผู้ร้องอยู่ตรงประตูห้องพักด้วยการนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องในท่ายืน แล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ ครั้งที่ห้า ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันเมื่อทำงานเสร็จและกลับมาที่บ้านแล้ว ขณะที่จำเลยอยู่ตามลำพังกับผู้ร้องสองคนโดยจำไม่ได้ว่าคนอื่น ๆ ออกไปที่ไหน จำเลยเรียกผู้ร้องให้ไปรับประทานอาหารภายในห้องนอนของจำเลย เมื่อรับประทานอาหารเสร็จและนำจานไปเก็บแล้ว จำเลยเรียกผู้ร้องไปนวดให้จำเลยภายในห้องนอน แล้วจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องโดยใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้อง และชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ ทุกครั้งที่จำเลยกระทำชำเราผู้ร้อง จำเลยมิได้สวมถุงยางอนามัย แต่ผู้ร้องมิได้สังเกตว่าขณะสำเร็จความใคร่จำเลยหลั่งน้ำอสุจิภายในหรือภายนอกช่องคลอดของผู้ร้อง และหลังจากถูกข่มขืนกระทำชำเราแล้ว ผู้ร้องจะอาบน้ำและล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศโดยใช้สบู่ฟอกบริเวณด้านนอกและใช้นิ้วสอดเข้าไปทำความสะอาดภายในช่องคลอดด้วย วันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเหตุครั้งสุดท้าย ผู้ร้องไปโรงเรียนตามปกติ ขณะนั้นผู้ร้องเรียนอยู่ที่โรงเรียน ค. ผู้ร้องพบกับนางสาว อ. ครูที่โรงเรียนซึ่งนอกจากจะสอบถามผู้ร้องเรื่องที่ผู้ร้องขาดเรียนแล้ว นางสาว อ. ยังสังเกตเห็นรอยฟกช้ำตามแขนและขาของผู้ร้องด้วย เมื่อถูกถามถึงบาดแผล ผู้ร้องเล่าให้ฟังว่าถูกจำเลยตีเนื่องจากทำฝาเครื่องซักผ้าแตก เมื่อนางสาว อ. ถามอีกว่าจำเลยทำอะไรผู้ร้องมากกว่านั้นหรือไม่ ผู้ร้องจึงเล่าเรื่องที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องให้นางสาว อ. ฟัง เห็นว่า ในขณะเกิดเหตุครั้งสุดท้าย ผู้ร้องมีอายุ 17 ปีเศษ อยู่ในวัยเริ่มเป็นสาวเต็มตัวแล้วย่อมรู้สึกได้ว่าการถูกล่วงละเมิดทางเพศถึงขั้นข่มขืนกระทำชำเราเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ทำให้ตนเองต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงและมีมลทินติดตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกกระทำจากผู้เป็นพ่อของตัวเองอันเป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้แก่วงศ์ตระกูล อีกทั้งยังเป็นที่ติฉินนินทาของชาวบ้านในละแวกนั้นด้วย ฉะนั้น หากผู้ร้องมิได้ถูกจำเลยล่วงเกินดังที่เบิกความยืนยัน ก็ไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องจะกล่าวอ้างถึงเรื่องที่จะเป็นการประจานตนเองต่อสังคมเช่นนั้น ซึ่งขณะนั้นผู้ร้องเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม เรื่องดังกล่าวจะก่อให้เกิดปมด้อยแก่ผู้ร้องและเป็นเหตุให้เพื่อนนักเรียนนำไปล้อเลียนอีก ประกอบกับเมื่อพิเคราะห์ถึงวันและเวลาเกิดเหตุกระทำความผิดทั้งสามครั้งแรกในช่วงวัยเด็กซึ่งผู้ร้องมีอายุ 10 ปีเศษ ถึง 12 ปีเศษ ตามฟ้องข้อ 1.1 ถึง 1.3 ผู้ร้องอาศัยเหตุการณ์แวดล้อมมาเป็นจุดเชื่อมโยงในการจดจำ กล่าวคือ ในการกระทำความผิดครั้งแรกวันที่ 6 ธันวาคม 2556 เป็นวันที่นางสาว ท. มารดาผู้ร้องหนีออกจากบ้านเป็นเหตุให้จำเลยใช้มีดกรีดแขนตนเอง ซึ่งจำเลยก็เบิกความยอมรับข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ครั้งที่สองเกิดขึ้นในช่วงปิดภาคเรียนเดือนตุลาคม 2558 หลังออกพรรษาแล้ว 2 ถึง 3 วัน ซึ่งผู้ร้องเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านของนาย ธ. จำเลยให้ผู้ร้องเข้าไปนวดขาให้ภายในห้อง และครั้งที่สามปรากฏตามที่ผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาว่า เกิดขึ้นเมื่อผู้ร้องขึ้นชั้นมัธยมปีที่ 1 หลังจากเปิดภาคเรียนในวันที่ 16 พฤษภาคม 2559 ประมาณ 2 ถึง 3 วัน ซึ่งขณะนั้นผู้ร้องกำลังซักผ้าอยู่ที่หลังบ้าน เช่นนี้ จึงสนับสนุนคำเบิกความของผู้ร้องให้มีเหตุผลน่าเชื่อถือว่าได้มีเหตุการณ์ซึ่งผู้ร้องถูกล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นจริง อีกทั้งเรื่องราวในคดีนี้ถูกเปิดเผยขึ้นก็เพราะนางสาว อ. เห็นร่องรอยฟกช้ำตามเนื้อตัวร่างกายของผู้ร้องจึงสอบถามทำให้ได้ความว่าผู้ร้องถูกจำเลยตีทำร้าย นางสาว อ. จึงสอบถามอีกว่ามีอะไรนอกจากนี้อีกหรือไม่ ผู้ร้องจึงเล่าเรื่องที่ถูกจำเลยล่วงละเมิดให้ฟัง อันเป็นเวลากะทันหันที่ผู้ร้องไม่น่าจะทันได้คิดปรุงแต่งเรื่องราวในทางเพศเช่นนี้เพื่อปรักปรำกล่าวหาจำเลยผู้เป็นพ่อ และโจทก์ก็มีนางสาว อ. มาเบิกความเป็นพยานสนับสนุนว่า ได้รับฟังคำบอกเล่าจากผู้ร้องมาเช่นนั้นจริงจึงได้นำความไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ส่วนที่ผู้ร้องเล่าให้นางสาว อ. ฟังว่าถูกจำเลยข่มขืนทุกวันตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาและมัธยมต้น ขณะที่นาย ธ. พยานโจทก์อีกปากหนึ่งที่เบิกความว่า ผู้ร้องเล่าให้ฟังว่าเคยถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราโดยจำเลยพาไปทางวัดนก และเล่าว่าถูกข่มขืนมาหลายครั้ง ภายในห้องน้ำบ้าง หลังบ้านบ้าง และในห้องนอนจำเลยบ้าง โดยผู้ร้องได้นำชี้สถานที่เกิดเหตุให้พนักงานสอบสวนถ่ายรูปไว้โดยมีห้องน้ำภายในบ้านของนาย ธ. และทุ่งนารวมอยู่ด้วย ก็ไม่ถึงขนาดขัดแย้งกับคำเบิกความของผู้ร้องในคดีนี้ซึ่งยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยเพียง 5 ครั้ง และแม้จะไม่มีสถานที่เกิดเหตุเหล่านั้นดังที่จำเลยฎีกาโต้แย้งก็ตาม เพราะตามคำบอกเล่าของผู้ร้องดังกล่าว ผู้ร้องยืนยันว่าจำเลยล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องหลายครั้ง แต่เหตุที่โจทก์ฟ้องมาเพียง 5 ครั้ง เชื่อได้ว่าเป็นเพราะในการกระทำความผิดของจำเลยครั้งอื่น ๆ ผู้ร้องไม่สามารถจดจำวันและเวลาเกิดเหตุได้อย่างแน่ชัดเนื่องจากไม่มีเหตุการณ์แวดล้อมอื่นใดที่จะใช้นำมาเชื่อมโยงเท่านั้น จึงไม่นับเป็นข้อพิรุธ ประกอบกับได้ความตามคำเบิกความของนางสาว อ. ว่าผู้ร้องมีความบกพร่องทางด้านสติปัญญา การแสดงออกถึงความดีใจหรือเสียใจจะเป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อมีการพูดคุยเปลี่ยนเรื่อง อารมณ์ของผู้ร้องก็จะกลับเป็นปกติเหมือนเดิม ด้วยเหตุนี้การที่ในวันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเหตุแต่ละครั้งผู้ร้องไม่มีอาการเศร้าซึม แต่มีอารมณ์เป็นปกติตลอดเรื่อยมาจนถึงโรงเรียนทำให้นางสาว อ. ไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ ของผู้ร้องว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศมา จึงหาใช่ข้อพิรุธดังข้อฎีกาของจำเลยอีกเช่นกัน นอกจากนั้นตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาซึ่งผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนถึงการกระทำความผิดในครั้งแรกว่า ภายหลังจากที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องแล้ว จำเลยพูดข่มขู่มิให้ไปบอกใคร ผู้ร้องพูดกับจำเลยว่าเป็นลูกพ่อนะ ไม่ใช่ของเล่น ซึ่งแม้จะมีความหมายเป็นนัยถึงหญิงสาวที่ถูกชายย่ำยีโดยไม่คิดจริงจัง ซึ่งไม่ควรเป็นคำพูดของเด็กวัย 10 ขวบเศษดังที่จำเลยฎีกาก็ตาม แต่เมื่อในขณะให้การผู้ร้องเติบโตเป็นสาวในวัย 17 ปีเศษ จึงอาจมีความรู้สึกในทำนองนั้นเมื่อหวนคิดถึงสิ่งที่จำเลยล่วงละเมิดทางเพศตนเองจึงได้เสริมแต่งถ้อยคำเกินเลยจากความจริงไปบ้างอันเป็นการแสดงความรู้สึกซึ่งก็ถือเป็นเพียงพลความปลีกย่อยสืบเนื่องจากที่มีการกระทำอันเป็นการล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องนั้นเอง ไม่ถึงขนาดที่จะทำให้น้ำหนักคำเบิกความผู้ร้องต้องเสื่อมเสียไป และแม้ขณะเกิดเหตุในครั้งแรกเป็นเวลากลางคืนจะมีเด็กชาย ป. พยานจำเลยนอนอยู่ด้วยดังที่จำเลยฎีกา แต่พยานจำเลยปากนี้ในขณะเวลานั้นมีอายุราว 5 ขวบ ทั้งพยานเบิกความด้วยว่าตนนอนหลับสนิท การที่พยานไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงมิใช่เรื่องที่ผิดปกติ ส่วนที่จำเลยฎีกาโต้เถียงว่า คืนนั้นนางสาว ท. ภริยาจำเลยหลบหนีออกจากบ้านเป็นเหตุให้จำเลยเสียใจถึงขนาดใช้มีดกรีดแขนตนเอง จำเลยย่อมไม่มีอารมณ์ทางเพศที่จะล่วงเกินผู้ร้องได้นั้น จำเลยมิได้นำสืบถึงข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นอ้างดังกล่าวแต่อย่างใด จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ สำหรับในการกระทำความผิดครั้งที่สอง ผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาว่า หลังจากที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องภายในห้องนอนแล้ว เมื่อผู้ร้องออกจากห้องพักสักพักหนึ่งจึงพบกับนาย ธ. ผู้ร้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นาย ธ. ฟัง นาย ธ. พาผู้ร้องไปที่โรงพยาบาลชัยนาทเพื่อตรวจหูจากนั้นได้มีการฝังยาคุมกำเนิดให้ผู้ร้อง ซึ่งแม้นาย ธ. พยานโจทก์จะไม่ได้เบิกความรับรองข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวไว้โดยชัดเจนดังที่จำเลยฎีกา แต่นาย ธ. ก็เบิกความว่า ผู้ร้องเล่าให้ฟังว่าถูกจำเลยข่มขืนมาแล้วหลายครั้งซึ่งมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องนอนของจำเลยด้วย จึงไม่นับเป็นข้อพิรุธ และเมื่อได้ความจากนางสาว อ. ว่าผู้ร้องมีความบกพร่องทางการได้ยินที่หูข้างหนึ่งโดยแพทย์แนะนำให้ใช้เครื่องช่วยฟัง ฉะนั้น เรื่องที่ผู้ร้องให้การว่านาย ธ. พาผู้ร้องไปตรวจหูที่โรงพยาบาลนั้นจึงไม่มีข้อน่าสงสัยใด ๆ ส่วนเรื่องที่ผู้ร้องอ้างว่ามีการฝังยาคุมกำเนิดให้แก่ผู้ร้องด้วยนั้น ข้อนี้แม้นาย ธ. มิได้เบิกความถึงเลย แต่จำเลยสามารถถามค้านพยานโจทก์ปากนาย ธ. เพื่อให้เบิกความเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ นอกจากนี้จำเลยยังมีสิทธินำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อให้ได้ความจริง แต่จำเลยมิได้กระทำ อีกทั้งการที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาว่า โรงพยาบาลจะฝังยาคุมกำเนิดให้แก่ผู้ร้อง โรงพยาบาลจะต้องแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจนั้น ในชั้นพิจารณาจำเลยมิได้นำสืบถึงข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นอ้างนี้แต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังได้ดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ดังนั้น การที่โรงพยาบาลมิได้แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจจึงไม่ทำให้น้ำหนักของพยานหลักฐานโจทก์ลดน้อยลงแต่อย่างใด นอกจากนั้นการที่นาย ธ. ซึ่งทราบจากผู้ร้องถึงเรื่องที่ถูกจำเลยล่วงละเมิดทางเพศ แต่ไม่แจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยเพื่อเป็นการปกป้องผู้ร้องก็หาใช่เรื่องผิดวิสัยของวิญญูชนทั่วไปดังที่จำเลยฎีกาต่อสู้ เพราะผู้กระทำความผิดคือจำเลยเป็นบุตรของนาย ธ. ซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน แม้นาย ธ. จะเจ็บปวดจากการกระทำความผิดของจำเลย แต่ก็เชื่อว่าผู้ที่เป็นพ่อคงไม่ต้องการให้บุตรชายของตนเองต้องได้รับโทษจำคุก ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นยังเสื่อมเสียถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูลอีกด้วย ส่วนการกระทำความผิดในครั้งที่สามซึ่งผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาว่า เกิดขึ้นในขณะที่ผู้ร้องกำลังซักผ้าอยู่ที่หลังบ้านนั้น แม้ผู้ร้องจะให้การไว้ด้วยว่าขณะจำเลยสอดใส่อวัยวะเพศเข้ามาในอวัยวะเพศของผู้ร้องในขณะที่ผู้ร้องยืนพิงผนัง นาย ธ. เดินมาบริเวณดังกล่าวห่างจากผู้ร้องประมาณ 3 เมตร จำเลยเห็นจึงหยุดกระทำและห้ามมิให้ผู้ร้องไปบอกใคร จากนั้นผู้ร้องไปอาบน้ำและก่อนเข้านอนผู้ร้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นาย ธ. ฟัง นาย ธ. บอกว่าจำเลยไม่ใช่คน ซึ่งเมื่อพิเคราะห์คำให้การของผู้ร้องดังกล่าวโดยตลอดแล้วเห็นได้ว่า นาย ธ. น่าจะไม่ทันเห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยกำลังล่วงละเมิดผู้ร้อง ซึ่งสอดคล้องกับที่นาย ธ. เบิกความยืนยันว่าไม่เคยเห็นเหตุการณ์ในทำนองนี้ด้วยตนเองเลย กรณีน่าจะเป็นเรื่องที่จำเลยรู้ตัวก่อนว่านาย ธ. กำลังเดินมาทางหลังบ้านจึงได้หยุดกระทำมากกว่า ฉะนั้น การที่ในชั้นพิจารณาผู้ร้องมิได้เบิกความว่านาย ธ. เห็นเหตุการณ์สำหรับการกระทำความผิดของจำเลยในครั้งนี้จึงหาได้ขัดแย้งแตกต่างกันกับที่เคยให้การในชั้นสอบสวนตามที่จำเลยฎีกาโต้แย้งไม่ และโดยที่ขณะเกิดเหตุสามครั้งแรก เด็กชาย ป. มีอายุระหว่าง 5 ถึง 8 ขวบ ย่อมมิใช่ผู้ที่ผู้ร้องจะพึ่งพาอาศัยหรือปรับทุกข์ในเรื่องที่จำเลยล่วงเกินทางเพศต่อผู้ร้องได้ ขณะเดียวกับที่ผู้ร้องมีนาย ธ. เป็นที่พึ่งพาอยู่แล้ว การที่ผู้ร้องเล่าเรื่องดังกล่าวให้นาย ธ. ฟังแต่เพียงผู้เดียว มิได้เล่าให้เด็กชาย ป. ฟังด้วย คงมีแต่การปรับทุกข์กับเด็กชาย ป. เพียงเรื่องที่ถูกจำเลยตีทำโทษเท่านั้นดังที่จำเลยฎีกา จึงไม่นับเป็นข้อพิรุธใด ๆ และที่จำเลยฎีกาว่าในช่วงเกิดเหตุสองครั้งแรก ผู้ร้องมีอายุ 10 ปีเศษ ถึง 12 ปีเศษ อวัยวะเพศยังมีขนาดเล็ก ไม่สมบูรณ์เต็มที่ การถูกอวัยวะเพศของจำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่สอดใส่เข้าไปแล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ อวัยวะเพศของผู้ร้องย่อมต้องฉีกขาดและมีเลือดไหล แต่ผู้ร้องกลับเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ไม่ได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะเพศโดยมีบาดแผลฉีกขาดหรือเลือดไหลแต่อย่างใด เพียงแต่ผู้ร้องรู้สึกเจ็บเมื่อถูกจำเลยข่มขืนเท่านั้น นับเป็นข้อพิรุธสงสัยนั้น เมื่อพิจารณาถึงการที่ผู้ร้องเป็นบุตรของจำเลย น่าเชื่อว่าจำเลยยังมีความห่วงใยและคำนึงถึงความรู้สึกของผู้ร้องอยู่ แม้จำเลยจะกระทำทุรศีลธรรมแก่บุตรของตนเอง แต่ก็เชื่อว่ามิได้กระทำด้วยความรุนแรงนักโดยเฉพาะกับพฤติกรรมการล่วงเกินทางเพศที่เกิดขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ร้องไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่อวัยวะเพศก็เป็นได้ กรณียังไม่พอรับฟังว่าเป็นข้อพิรุธสงสัย และประการสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ โจทก์ยังมีผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์มานำสืบประกอบด้วยว่า จากการตรวจอวัยวะเพศผู้ร้องของแพทย์ พบรอยฉีกขาดเก่าของเยื่อพรหมจารีในตำแหน่ง 6 นาฬิกา ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าผู้ร้องผ่านการร่วมประเวณีมา ยิ่งเป็นการสนับสนุนคำเบิกความของผู้ร้องที่กล่าวหาจำเลยว่าได้ล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องในขณะผู้ร้องยังเป็นเด็กรวมสามครั้งให้รับฟังได้โดยสนิทใจ ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์ดังที่ได้นำสืบมารับฟังมั่นคงว่า จำเลยกระทำชำเราผู้ร้องซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีและเป็นผู้สืบสันดานของจำเลย ตามฟ้องข้อ 1.1 ถึง 1.3 รวม 3 กระทง ตามที่ศาลล่างทั้งสองได้พิพากษาลงโทษจำเลยมาซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในส่วนข้อหาความผิดดังกล่าวฟังไม่ขึ้น
สำหรับการกระทำความผิดในครั้งที่สี่ตามฟ้องข้อ 1.5 นั้น ผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหายืนยันว่า ในวันที่ผู้ร้องต้องหยุดเรียนไปช่วยจำเลยและนางสาว ส. ล้างเครื่องปรับอากาศที่รีสอร์ต ภ. ห้องพักหมายเลข 1 จำเลยใช้ให้นางสาว ส. ออกไปซื้อน้ำยาเพื่อนำมาเติมเครื่องปรับอากาศ ระหว่างนั้นผู้ร้องนำชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศไปล้างในห้องน้ำภายในห้องพัก เมื่อล้างเสร็จและเดินออกมาจากห้องน้ำ จำเลยผลักผู้ร้องลงไปนอนบนเตียงแล้วถอดกางเกงผู้ร้อง ผู้ร้องขัดขืนแต่จำเลยทำท่าจะต่อยผู้ร้อง ผู้ร้องกลัว จากนั้นจำเลยถอดกางเกงและนำอวัยวะเพศของตนสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง แต่ในชั้นพิจารณาผู้ร้องกลับเบิกความว่า จำเลยเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องซึ่งยืนอยู่ตรงประตูห้องพักในท่ายืน ซึ่งนับได้ว่าขัดแย้งแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญเป็นอย่างมากระหว่างการถูกกระทำชำเราในท่านอนบนเตียงนอนกับการถูกกระทำชำเราในท่ายืนตรงประตูห้องพักดังที่จำเลยฎีกาต่อสู้ เหตุครั้งนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นล่าสุดก่อนมีการแจ้งความกล่าวหาจำเลยเพียงวันเดียว ผู้ร้องซึ่งโตเป็นสาวแล้วจึงไม่น่าที่จะจดจำเหตุการณ์ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป ประกอบกับทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา ผู้ร้องยืนยันว่าเหตุเกิดที่ห้องพักหมายเลข 1 และได้นำชี้สถานที่เกิดเหตุไว้ตามภาพถ่ายประกอบคดีอาญา แต่กลับยังมีปรากฏอีกว่าผู้ร้องได้ชี้ห้องพักหมายเลข 7 ของรีสอร์ตว่าเป็นสถานที่เกิดเหตุซึ่งผู้ร้องถูกกระทำชำเราด้วยตามภาพถ่ายประกอบคดีอาญา พยานหลักฐานโจทก์จึงเป็นพิรุธมีข้อเคลือบแคลงสงสัย ดังนี้ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ กรณีจึงเห็นสมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้ายสำหรับการกระทำความผิดในครั้งที่สี่ จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยในความผิดข้อหานี้ฟังขึ้น
ส่วนการกระทำความผิดในครั้งที่ห้า ตามฟ้องข้อ 1.6 นั้น แม้ตามผลตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.1 จะระบุว่า ตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบคราบอสุจิในสิ่งที่ส่งตรวจดังข้อฎีกาของจำเลยก็ตาม แต่แพทย์ก็ตรวจพบว่าอวัยวะเพศภายนอกของผู้ร้องบวมแดง และเมื่อตรวจภายในนอกจากจะพบรอยฉีกขาดเก่าของเยื่อพรหมจารีที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกาแล้ว ยังตรวจพบรอยฉีกขาดใหม่ของเยื่อพรหมจารีที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกา และแพทย์ได้ลงความเห็นว่าพบหลักฐานการร่วมประเวณี ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของผู้ร้องที่ยืนยันว่า จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้ร้องก่อนหน้าการตรวจร่างกายผู้ร้อง 1 วัน ลำพังแต่การไม่พบคราบอสุจิยังไม่หนักแน่นเพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าจำเลยมิได้ล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้อง เพราะนอกจากผู้ร้องจะเบิกความว่า มิได้สังเกตว่าจำเลยหลั่งน้ำอสุจิภายในหรือภายนอกช่องคลอดของผู้ร้อง และหลังเกิดเหตุผู้ร้องชำระล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศของตนแล้ว ดังนั้น การตรวจไม่พบคราบอสุจิจึงมิใช่เป็นข้อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยว่ามิได้ล่วงละเมิดทางเพศผู้ร้องได้โดยเด็ดขาด ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า เหตุที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเรานั้น เพราะเมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2563 ผู้ร้องถูกจำเลยใช้ท่อพีวีซีตีทำโทษ แต่จำเลยทำโทษแรงเกินไป อีกทั้งจำเลยคอยกีดกันมิให้ผู้ร้องติดต่อกับนางสาว ท. ผู้เป็นมารดา เป็นเหตุให้ผู้ร้องโกรธ เกลียดและต่อต้านจำเลยไม่อยากอยู่กับจำเลย แต่ต้องการไปอยู่กับนางสาว ท. ซึ่งผู้ร้องให้ความรักมากกว่านั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงเหตุที่จำเลยยกขึ้นอ้างดังกล่าวแล้วยังไม่ถึงขนาดที่จะทำให้ผู้ร้องมาสร้างเรื่องกล่าวหาจำเลยผู้เป็นพ่อด้วยเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นระหว่างผู้เป็นพ่อกับลูกซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความเสื่อมเสียให้แก่ครอบครัวและจะทำให้จำเลยต้องรับโทษทางอาญา ส่วนผู้ร้องก็ได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน นอกจากนี้จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่าผู้ร้องเป็นผู้ที่มีนิสัยชอบพูดโกหก ประกอบกับตามเอกสารหมาย จ.1 ได้ความว่าในการตรวจร่างกายของผู้ร้องเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 พบหลักฐานการร่วมประเวณี ข้อฎีกาของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้ายสำหรับการกระทำความผิดในครั้งที่ห้า จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในความผิดข้อหานี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยตั้งให้นาย ธ. เป็นผู้แทนเฉพาะคดี ซึ่งการยื่นคำร้องขอเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของนาย ธ. เป็นการยื่นในนามของผู้ร้อง เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ดังนั้น จำเลยจึงเป็นบุพการีของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28 วรรคหนึ่ง อีกทั้งการยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีนี้เป็นการยื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง ซึ่งวรรคสองของมาตรา 44/1 บัญญัติให้ถือว่าคำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและผู้เสียหายอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่งนั้น ดังนั้น การยื่นคำร้องของผู้ร้องในคดีนี้จึงเป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องของผู้ร้อง และศาลล่างทั้งสองพิพากษาในคดีส่วนแพ่งให้จำเลยชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ร้อง จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความใดยกขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้ในคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 285 ตามฟ้องข้อ 1.5 และยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
ตามบทบัญญัติมาตรา 62 ป.พ.พ. การที่ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นคนสาบสูญถือว่าโจทก์ถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่โจทก์ได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่มีใครรู้แน่ว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และโดยผลของมาตรา 1602 ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของโจทก์ย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ม. ซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของโจทก์ได้กระทำไปโดยไม่สุจริต ที่ดินพิพาทย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ ม. ทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ม. จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยผลของกฎหมายนับแต่นั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ซึ่งต้องเป็นการครอบครองปรปักษ์ทรัพย์สินของผู้อื่น จำเลยที่ 2 จะอ้างว่า ม. ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หาได้ไม่
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ การฟ้องเรียกทรัพย์คืนฐานลาภมิควรได้ ซึ่งโจทก์ฟ้องพ้นปีหนึ่งนับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 419 ประกอบมาตรา 63 หรือไม่ นั้น โดยผลของมาตรา 62 บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 61 แม้โจทก์จะกลับมาเมื่อปี 2557 และทราบว่า ม. ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของ ม. ไปแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญก็ต้องถือว่าโจทก์ยังเป็นบุคคลที่ถึงแก่ความตายไม่อาจใช้สิทธิใด ๆ ตามกฎหมายได้ เมื่อปรากฏว่าศาลเพิ่งมีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งมีผลทำให้โจทก์กลับเป็นบุคคลผู้มีสิทธิตามกฎหมาย รวมทั้งสิทธิในการใช้สิทธิทางศาลได้ดังเดิม จึงต้องถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกที่ดินพิพาทคืน อายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 419 จึงต้องเริ่มนับแต่วันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 22 มิถุนายน 2563 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 63922 ของนางมุ่ยเตียง เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2552 และบังคับให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนางมุ่ยเตียงดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนการโอนมรดกที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสอง หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนและส่งมอบที่ดินโฉนดเลขที่ 63922 คืนแก่โจทก์ ด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นบุตรของนางมุ่ยเตียง นางมุ่ยเตียงยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้มีคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ เนื่องจากโจทก์ได้ไปจากถิ่นที่อยู่ซึ่งพักอาศัยอยู่กับนางมุ่ยเตียง มารดาของโจทก์ ตั้งแต่ปี 2546 และไม่ได้ติดต่อกับนางมุ่ยเตียง ไม่มีใครรู้แน่ว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2552 ให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ ต่อมานางมุ่ยเตียงยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนางมุ่ยเตียงเป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์ นางมุ่ยเตียงในฐานะผู้จัดการมรดกของโจทก์ได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 63922 ของโจทก์มาเป็นของตน จนกระทั่งปี 2557 โจทก์กลับมาหานางมุ่ยเตียงที่บ้าน ต่อมาเมื่อนางมุ่ยเตียงถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนางมุ่ยเตียงตามคำสั่งศาลชั้นต้น เมื่อโจทก์ทราบความจริง โจทก์จึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนางมุ่ยเตียงโอนที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองปฏิเสธอ้างว่าคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องเอาคืนฐานลาภมิควรได้และนางมุ่ยเตียงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางมุ่ยเตียงโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงปรากฏหลังศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นคนสาบสูญว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่และต่อมาศาลได้มีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญแล้วก็ตาม แต่การถอนคำสั่งแสดงความสาบสูญของโจทก์ย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์แห่งการทั้งหลายอันได้ทำไปโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญจนถึงเวลาถอนคำสั่งนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 66 วรรคหนึ่ง เมื่อตามบทบัญญัติ มาตรา 62 การที่ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นคนสาบสูญถือว่าโจทก์ถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่โจทก์ได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่มีใครรู้แน่ว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และโดยผลของมาตรา 1602 ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของโจทก์ย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านางมุ่ยเตียงซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของโจทก์ ได้กระทำไปโดยไม่สุจริต ที่ดินพิพาทย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่นางมุ่ยเตียงทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว นางมุ่ยเตียงจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยผลของกฎหมายนับแต่นั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ซึ่งต้องเป็นการครอบครองปรปักษ์ทรัพย์สินของผู้อื่น จำเลยที่ 2 จะอ้างว่านางมุ่ยเตียงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หาได้ไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืนฐานลาภมิควรได้ซึ่งโจทก์ฟ้องพ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 ประกอบมาตรา 63 หรือไม่ เห็นว่า โดยผลของมาตรา 62 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่บัญญัติให้บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 61 ดังนี้ แม้โจทก์จะกลับมาเมื่อปี 2557 และทราบว่านางมุ่ยเตียงได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของนางมุ่ยเตียงไปแล้วดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาก็ตาม แต่ตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญก็ต้องถือว่าโจทก์ยังเป็นบุคคลที่ถึงแก่ความตายไม่อาจใช้สิทธิใด ๆ ตามกฎหมายได้ เมื่อปรากฏว่าศาลเพิ่งมีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งมีผลทำให้โจทก์กลับเป็นบุคคลผู้มีสิทธิตามกฎหมาย รวมทั้งสิทธิในการใช้สิทธิทางศาลได้ดังเดิม จึงต้องถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกที่ดินพิพาทคืน อายุความ 1 ปี ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 จึงต้องเริ่มนับแต่วันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 22 มิถุนายน 2563 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ตามบทบัญญัติมาตรา 62 ป.พ.พ. การที่ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นคนสาบสูญถือว่าโจทก์ถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่โจทก์ได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่มีใครรู้แน่ว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และโดยผลของมาตรา 1602 ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของโจทก์ย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ม. ซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของโจทก์ได้กระทำไปโดยไม่สุจริต ที่ดินพิพาทย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ ม. ทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ม. จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยผลของกฎหมายนับแต่นั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ซึ่งต้องเป็นการครอบครองปรปักษ์ทรัพย์สินของผู้อื่น จำเลยที่ 2 จะอ้างว่า ม. ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หาได้ไม่
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ การฟ้องเรียกทรัพย์คืนฐานลาภมิควรได้ ซึ่งโจทก์ฟ้องพ้นปีหนึ่งนับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 419 ประกอบมาตรา 63 หรือไม่ นั้น โดยผลของมาตรา 62 บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 61 แม้โจทก์จะกลับมาเมื่อปี 2557 และทราบว่า ม. ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของ ม. ไปแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญก็ต้องถือว่าโจทก์ยังเป็นบุคคลที่ถึงแก่ความตายไม่อาจใช้สิทธิใด ๆ ตามกฎหมายได้ เมื่อปรากฏว่าศาลเพิ่งมีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งมีผลทำให้โจทก์กลับเป็นบุคคลผู้มีสิทธิตามกฎหมาย รวมทั้งสิทธิในการใช้สิทธิทางศาลได้ดังเดิม จึงต้องถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกที่ดินพิพาทคืน อายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 419 จึงต้องเริ่มนับแต่วันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 22 มิถุนายน 2563 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 63922 ของนางมุ่ยเตียง เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2552 และบังคับให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนางมุ่ยเตียงดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนการโอนมรดกที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสอง หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนและส่งมอบที่ดินโฉนดเลขที่ 63922 คืนแก่โจทก์ ด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นบุตรของนางมุ่ยเตียง นางมุ่ยเตียงยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้มีคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ เนื่องจากโจทก์ได้ไปจากถิ่นที่อยู่ซึ่งพักอาศัยอยู่กับนางมุ่ยเตียง มารดาของโจทก์ ตั้งแต่ปี 2546 และไม่ได้ติดต่อกับนางมุ่ยเตียง ไม่มีใครรู้แน่ว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2552 ให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ ต่อมานางมุ่ยเตียงยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนางมุ่ยเตียงเป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์ นางมุ่ยเตียงในฐานะผู้จัดการมรดกของโจทก์ได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 63922 ของโจทก์มาเป็นของตน จนกระทั่งปี 2557 โจทก์กลับมาหานางมุ่ยเตียงที่บ้าน ต่อมาเมื่อนางมุ่ยเตียงถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนางมุ่ยเตียงตามคำสั่งศาลชั้นต้น เมื่อโจทก์ทราบความจริง โจทก์จึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนางมุ่ยเตียงโอนที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองปฏิเสธอ้างว่าคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องเอาคืนฐานลาภมิควรได้และนางมุ่ยเตียงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางมุ่ยเตียงโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงปรากฏหลังศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นคนสาบสูญว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่และต่อมาศาลได้มีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญแล้วก็ตาม แต่การถอนคำสั่งแสดงความสาบสูญของโจทก์ย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์แห่งการทั้งหลายอันได้ทำไปโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญจนถึงเวลาถอนคำสั่งนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 66 วรรคหนึ่ง เมื่อตามบทบัญญัติ มาตรา 62 การที่ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นคนสาบสูญถือว่าโจทก์ถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่โจทก์ได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่มีใครรู้แน่ว่าโจทก์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และโดยผลของมาตรา 1602 ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของโจทก์ย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านางมุ่ยเตียงซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของโจทก์ ได้กระทำไปโดยไม่สุจริต ที่ดินพิพาทย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่นางมุ่ยเตียงทันทีเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว นางมุ่ยเตียงจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยผลของกฎหมายนับแต่นั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ซึ่งต้องเป็นการครอบครองปรปักษ์ทรัพย์สินของผู้อื่น จำเลยที่ 2 จะอ้างว่านางมุ่ยเตียงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หาได้ไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืนฐานลาภมิควรได้ซึ่งโจทก์ฟ้องพ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 ประกอบมาตรา 63 หรือไม่ เห็นว่า โดยผลของมาตรา 62 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่บัญญัติให้บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 61 ดังนี้ แม้โจทก์จะกลับมาเมื่อปี 2557 และทราบว่านางมุ่ยเตียงได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของนางมุ่ยเตียงไปแล้วดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาก็ตาม แต่ตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญก็ต้องถือว่าโจทก์ยังเป็นบุคคลที่ถึงแก่ความตายไม่อาจใช้สิทธิใด ๆ ตามกฎหมายได้ เมื่อปรากฏว่าศาลเพิ่งมีคำสั่งถอนคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งมีผลทำให้โจทก์กลับเป็นบุคคลผู้มีสิทธิตามกฎหมาย รวมทั้งสิทธิในการใช้สิทธิทางศาลได้ดังเดิม จึงต้องถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกที่ดินพิพาทคืน อายุความ 1 ปี ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 จึงต้องเริ่มนับแต่วันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 22 มิถุนายน 2563 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 แม้ไม่มีฐานะหรือคุณสมบัติเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรงในการดูแลและประสานโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟบ้านบ่อน้ำใส ประจำปีงบประมาณ 2557 อันจะร่วมกระทำความผิดเป็นตัวการหรือเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบลตรึม และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตได้ แต่การที่จำเลยที่ 1 ให้ ว. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทำบันทึกตกลงซื้อบั้งไฟและบันทึกตกลงจ้างเหมาวงดนตรีกลองยาวนำขบวนแห่เสนอให้ ร. นายกองค์การบริหารส่วนตำบลตรึมลงนามในเอกสารดังกล่าว และให้ ว. ทำสัญญายืมเงินอันเป็นเท็จแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ได้นำเงินงบประมาณดังกล่าวไปจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นจากเงินงบประมาณ และจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้บังคับบัญชามีอำนาจเหนือสามารถให้คุณให้โทษแก่จำเลยที่ 2 ว. และ ป. ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ได้พูดจาว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบด้วยตนเองเพื่อเร่งรัดให้จำเลยที่ 2 ว. และ ป. ซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจรับพัสดุและมีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในใบตรวจรับพัสดุ ได้จัดทำใบตรวจรับพัสดุว่าผู้ขายส่งมอบบั้งไฟตามบันทึกตกลงซื้อคุณภาพถูกต้องครบถ้วน และคณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้รับบั้งไฟซึ่งตรวจรับถูกต้องสมควรจ่ายเงินให้แก่ผู้รับจ้างอันเป็นเท็จ และทำใบตรวจรับพัสดุว่าผู้รับจ้างส่งมอบงานจ้างเหมาวงดนตรีกลองยาวนำขบวนแห่งวดสุดท้ายถูกต้องและครบถ้วน จึงสมควรจ่ายค่าจ้างให้แก่ผู้รับจ้างอันเป็นเท็จนั้น เป็นการกระตุ้นส่งเสริมเร่งเร้าหรือโน้มน้าวชักจูงใจจำเลยที่ 2 ว. และ ป. มุ่งกระทำให้หนักแน่นยิ่งขึ้น จนจำเลยที่ 2 ว. และ ป. ยินยอมลงชื่อในใบตรวจรับพัสดุดังกล่าวทั้งสองฉบับ เพื่อรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าจำเลยที่ 2 ว. และ ป. อันเป็นเท็จและรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการสนับสนุนให้จำเลยที่ 2 ว. และ ป. กระทำความผิดดังกล่าวก่อนหรือขณะกระทำความผิดซึ่งครบองค์ประกอบความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 2 ว. และ ป. เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบลตรึม และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์จากเงินงบประมาณในการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟที่ไม่ควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 157, 162
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 ขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 83 เป็นการกระทํากรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท จําเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจําคุกให้รอการลงโทษมีกําหนด 3 ปี ให้คุมความประพฤติของจําเลยที่ 2 มีกําหนด 2 ปี โดยให้จําเลยที่ 2 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง ตลอดระยะเวลาที่คุมความประพฤติ และให้จําเลยที่ 2 ทํางานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่จําเลยที่ 2 และพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 48 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกฟ้องจําเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 8 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 ถึง 26 พฤษภาคม 2557 มีการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟที่บ้านบ่อน้ำใส ตําบลตรึม อําเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งชาวบ้านบ่อน้ำใสร่วมกันจัดขึ้นโดยมิได้อาศัยงบประมาณจากทางราชการองค์การบริหารส่วนตําบลตรึม มีโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟประจําปีงบประมาณ 2557 ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 โดยจะจัดงานร่วมกับบ้านบ่อน้ำใส นายวิรัช นายกองค์การบริหารส่วนตําบลตรึมอนุมัติโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟตามที่ได้รับงบประมาณ 150,000 บาท เพื่อจัดซื้อบั้งไฟ 18 บั้ง บั้งละ 4,000 บาท เป็นเงิน 72,000 บาท จ้างเหมาวงดนตรีกลองยาวนำขบวนแห่ 19,500 บาท จ้างเหมาจัดสถานที่และฐานจุดบั้งไฟ 15,000 บาท จ้างเหมาเครื่องเสียง 11,000 บาท ป้ายประชาสัมพันธ์และป้ายโครงการ 1,000 บาท รางวัลขบวนแห่บั้งไฟ 30,000 บาท และค่าตอบแทนคณะกรรมการตัดสิน 3 คน คนละ 500 บาท เป็นเงิน 1,500 บาท รวมเป็นเงิน 150,000 บาท จําเลยที่ 1 ดํารงตําแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนตําบลตรึม ซึ่งมิได้มีหน้าที่โดยตรงในการดูแลและประสานงานโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ แต่เป็นอำนาจหน้าที่ของนายเสงี่ยม รองนายกองค์การบริหารส่วนตําบลตรึมอีกคนหนึ่ง จำเลยที่ 1 ดำเนินการให้มีการตั้งฎีกาเบิกเงินงบประมาณตามที่ได้รับอนุมัติจากนายวิรัช โดยให้จําเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุช คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ทำใบตรวจรับพัสดุว่าผู้ขายส่งมอบบั้งไฟและผู้รับจ้างส่งมอบงานจ้างเหมาวงดนตรีกลองยาวนําขบวนแห่ถูกต้องและครบถ้วน นายกองค์การบริหารส่วนตําบลตรึม อนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณดังกล่าว ต่อมานายสุทธิ์สาคร สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตําบลตรึม ร้องเรียนว่าโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟไม่มีการจัดซื้อจัดจ้างจริง แต่มีการแอบอ้างว่ามีการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟของบ้านบ่อน้ำใสเป็นโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟขององค์การบริหารส่วนตําบลตรึม ที่จัดร่วมกับชาวบ้านบ้านบ่อน้ำใส นายอําเภอศีขรภูมิแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดสําหรับผู้เกี่ยวข้อง กรมบัญชีกลางให้ผู้เกี่ยวข้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่องค์การบริหารส่วนตําบลตรึมหลายคนรวมทั้งจําเลยที่ 2 โดยจําเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 44,791.67 บาท จําเลยที่ 2 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนครบถ้วนแล้ว ต่อมามีการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบ้านหนองจอกให้ดําเนินคดีแก่ผู้เกี่ยวข้องและร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีมติส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบ้านหนองจอกทําการสอบสวน โจทก์ฟ้องนางวราภรณ์และนางปริยานุช นางวราภรณ์และนางปริยานุชให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนางวราภรณ์และนางปริยานุชฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) จำเลยที่ 1 เข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟขององค์การบริหารส่วนตำบลตรึม ทั้งที่โครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟอยู่ในอำนาจหน้าที่ของนายเสงี่ยม รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลตรึม และจำเลยที่ 1 ได้ประโยชน์ที่ไม่ควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายจากเงินงบประมาณของรัฐในโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟดังกล่าว
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 แต่เพียงว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุช ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า การสนับสนุนการกระทำความผิดมีองค์ประกอบคือ 1) ต้องมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น 2) มีการกระทำด้วยประการใด ๆ ไม่ว่าในทางกายภาพ (physical) หรือในทางจิตใจ (psychological) อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดที่ได้เกิดขึ้นนั้น 3) โดยเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดที่ได้เกิดขึ้นนั้น 4) ก่อนหรือขณะกระทำความผิด 5) ไม่ว่าผู้กระทำความผิดนั้นจะได้รู้หรือมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นหรือไม่ก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความว่า จําเลยที่ 1 แม้ไม่มีฐานะหรือคุณสมบัติเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรง ในการดูแลและประสานงานโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟบ้านบ่อน้ำใสประจำปีงบประมาณ 2557 อันจะร่วมกระทำความผิดฐานเป็นตัวการหรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดได้ แต่จำเลยที่ 1 ให้นางวราภรณ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทําบันทึกตกลงซื้อบั้งไฟและบันทึกตกลงจ้างเหมาวงดนตรีกลองยาวนําขบวนแห่ เสนอให้นายวิรัช นายกองค์การบริหารส่วนตําบลตรึมลงนามในเอกสารดังกล่าวและให้นางวราภรณ์ทําสัญญายืมเงิน 31,500 บาท อันเป็นความเท็จ ความจริงจําเลยที่ 1 มิได้นําเงินงบประมาณดังกล่าวไปจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นจากเงินงบประมาณสำหรับโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตามกฎหมาย ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการตรวจรับพัสดุและมีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในใบตรวจรับพัสดุ โดยจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้บังคับบัญชามีอำนาจเหนือซึ่งสามารถให้คุณให้โทษแก่จำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุช พูดจาว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบด้วยตนเองเพื่อเร่งรัดให้จำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชจัดทำใบตรวจรับพัสดุฉบับลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2557 ว่าผู้ขายส่งมอบบั้งไฟตามบันทึกตกลงซื้อคุณภาพถูกต้องครบถ้วนเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2557 จำนวน 72,000 บาท และคณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้รับบั้งไฟซึ่งตรวจรับถูกต้องสมควรจ่ายเงินให้แก่ผู้รับจ้าง และทำใบตรวจรับพัสดุฉบับลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 ว่าผู้รับจ้างส่งมอบงานจ้างเหมาวงดนตรีกลองยาวนำขบวนแห่งวดสุดท้ายถูกต้องและครบถ้วนเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 จึงสมควรจ่ายค่าจ้างให้แก่ผู้รับจ้าง อันเป็นการกระตุ้นส่งเสริมเร่งเร้าหรือโน้มน้าวชักจูงใจจำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชมุ่งกระทำให้หนักแน่นยิ่งขึ้น จนจำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชยินยอมลงชื่อในเอกสาร 2 ฉบับ ดังกล่าว เพื่อรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าจำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชอันเป็นความเท็จ ความจริงผู้ขายมิได้ส่งมอบบั้งไฟและผู้รับจ้างมิได้ส่งมอบงานจ้างเหมาวงดนตรีกลองยาวนำขบวนแห่ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการสนับสนุนให้จำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชกระทำความผิดดังกล่าวก่อนหรือขณะกระทำผิด และเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จนั้นเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อท 108/2562 ของศาลชั้นต้น และคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีนี้ คดีเป็นที่สุด การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบลตรึม และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทำให้จำเลยที่ 1 ได้ประโยชน์จากเงินงบประมาณในการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟที่ไม่ควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 มานั้นชอบด้วยเหตุปัจจัยและผลแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 แม้ไม่มีฐานะหรือคุณสมบัติเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรงในการดูแลและประสานโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟบ้านบ่อน้ำใส ประจำปีงบประมาณ 2557 อันจะร่วมกระทำความผิดเป็นตัวการหรือเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบลตรึม และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตได้ แต่การที่จำเลยที่ 1 ให้ ว. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทำบันทึกตกลงซื้อบั้งไฟและบันทึกตกลงจ้างเหมาวงดนตรีกลองยาวนำขบวนแห่เสนอให้ ร. นายกองค์การบริหารส่วนตำบลตรึมลงนามในเอกสารดังกล่าว และให้ ว. ทำสัญญายืมเงินอันเป็นเท็จแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ได้นำเงินงบประมาณดังกล่าวไปจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นจากเงินงบประมาณ และจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้บังคับบัญชามีอำนาจเหนือสามารถให้คุณให้โทษแก่จำเลยที่ 2 ว. และ ป. ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ได้พูดจาว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบด้วยตนเองเพื่อเร่งรัดให้จำเลยที่ 2 ว. และ ป. ซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจรับพัสดุและมีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในใบตรวจรับพัสดุ ได้จัดทำใบตรวจรับพัสดุว่าผู้ขายส่งมอบบั้งไฟตามบันทึกตกลงซื้อคุณภาพถูกต้องครบถ้วน และคณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้รับบั้งไฟซึ่งตรวจรับถูกต้องสมควรจ่ายเงินให้แก่ผู้รับจ้างอันเป็นเท็จ และทำใบตรวจรับพัสดุว่าผู้รับจ้างส่งมอบงานจ้างเหมาวงดนตรีกลองยาวนำขบวนแห่งวดสุดท้ายถูกต้องและครบถ้วน จึงสมควรจ่ายค่าจ้างให้แก่ผู้รับจ้างอันเป็นเท็จนั้น เป็นการกระตุ้นส่งเสริมเร่งเร้าหรือโน้มน้าวชักจูงใจจำเลยที่ 2 ว. และ ป. มุ่งกระทำให้หนักแน่นยิ่งขึ้น จนจำเลยที่ 2 ว. และ ป. ยินยอมลงชื่อในใบตรวจรับพัสดุดังกล่าวทั้งสองฉบับ เพื่อรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าจำเลยที่ 2 ว. และ ป. อันเป็นเท็จและรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการสนับสนุนให้จำเลยที่ 2 ว. และ ป. กระทำความผิดดังกล่าวก่อนหรือขณะกระทำความผิดซึ่งครบองค์ประกอบความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 2 ว. และ ป. เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบลตรึม และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์จากเงินงบประมาณในการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟที่ไม่ควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 157, 162
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 ขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 83 เป็นการกระทํากรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท จําเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจําคุกให้รอการลงโทษมีกําหนด 3 ปี ให้คุมความประพฤติของจําเลยที่ 2 มีกําหนด 2 ปี โดยให้จําเลยที่ 2 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง ตลอดระยะเวลาที่คุมความประพฤติ และให้จําเลยที่ 2 ทํางานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่จําเลยที่ 2 และพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 48 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกฟ้องจําเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 8 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 ถึง 26 พฤษภาคม 2557 มีการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟที่บ้านบ่อน้ำใส ตําบลตรึม อําเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งชาวบ้านบ่อน้ำใสร่วมกันจัดขึ้นโดยมิได้อาศัยงบประมาณจากทางราชการองค์การบริหารส่วนตําบลตรึม มีโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟประจําปีงบประมาณ 2557 ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 โดยจะจัดงานร่วมกับบ้านบ่อน้ำใส นายวิรัช นายกองค์การบริหารส่วนตําบลตรึมอนุมัติโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟตามที่ได้รับงบประมาณ 150,000 บาท เพื่อจัดซื้อบั้งไฟ 18 บั้ง บั้งละ 4,000 บาท เป็นเงิน 72,000 บาท จ้างเหมาวงดนตรีกลองยาวนำขบวนแห่ 19,500 บาท จ้างเหมาจัดสถานที่และฐานจุดบั้งไฟ 15,000 บาท จ้างเหมาเครื่องเสียง 11,000 บาท ป้ายประชาสัมพันธ์และป้ายโครงการ 1,000 บาท รางวัลขบวนแห่บั้งไฟ 30,000 บาท และค่าตอบแทนคณะกรรมการตัดสิน 3 คน คนละ 500 บาท เป็นเงิน 1,500 บาท รวมเป็นเงิน 150,000 บาท จําเลยที่ 1 ดํารงตําแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนตําบลตรึม ซึ่งมิได้มีหน้าที่โดยตรงในการดูแลและประสานงานโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ แต่เป็นอำนาจหน้าที่ของนายเสงี่ยม รองนายกองค์การบริหารส่วนตําบลตรึมอีกคนหนึ่ง จำเลยที่ 1 ดำเนินการให้มีการตั้งฎีกาเบิกเงินงบประมาณตามที่ได้รับอนุมัติจากนายวิรัช โดยให้จําเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุช คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ทำใบตรวจรับพัสดุว่าผู้ขายส่งมอบบั้งไฟและผู้รับจ้างส่งมอบงานจ้างเหมาวงดนตรีกลองยาวนําขบวนแห่ถูกต้องและครบถ้วน นายกองค์การบริหารส่วนตําบลตรึม อนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณดังกล่าว ต่อมานายสุทธิ์สาคร สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตําบลตรึม ร้องเรียนว่าโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟไม่มีการจัดซื้อจัดจ้างจริง แต่มีการแอบอ้างว่ามีการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟของบ้านบ่อน้ำใสเป็นโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟขององค์การบริหารส่วนตําบลตรึม ที่จัดร่วมกับชาวบ้านบ้านบ่อน้ำใส นายอําเภอศีขรภูมิแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดสําหรับผู้เกี่ยวข้อง กรมบัญชีกลางให้ผู้เกี่ยวข้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่องค์การบริหารส่วนตําบลตรึมหลายคนรวมทั้งจําเลยที่ 2 โดยจําเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 44,791.67 บาท จําเลยที่ 2 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนครบถ้วนแล้ว ต่อมามีการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบ้านหนองจอกให้ดําเนินคดีแก่ผู้เกี่ยวข้องและร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีมติส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบ้านหนองจอกทําการสอบสวน โจทก์ฟ้องนางวราภรณ์และนางปริยานุช นางวราภรณ์และนางปริยานุชให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนางวราภรณ์และนางปริยานุชฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) จำเลยที่ 1 เข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟขององค์การบริหารส่วนตำบลตรึม ทั้งที่โครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟอยู่ในอำนาจหน้าที่ของนายเสงี่ยม รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลตรึม และจำเลยที่ 1 ได้ประโยชน์ที่ไม่ควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายจากเงินงบประมาณของรัฐในโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟดังกล่าว
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 แต่เพียงว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุช ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า การสนับสนุนการกระทำความผิดมีองค์ประกอบคือ 1) ต้องมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น 2) มีการกระทำด้วยประการใด ๆ ไม่ว่าในทางกายภาพ (physical) หรือในทางจิตใจ (psychological) อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดที่ได้เกิดขึ้นนั้น 3) โดยเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดที่ได้เกิดขึ้นนั้น 4) ก่อนหรือขณะกระทำความผิด 5) ไม่ว่าผู้กระทำความผิดนั้นจะได้รู้หรือมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นหรือไม่ก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความว่า จําเลยที่ 1 แม้ไม่มีฐานะหรือคุณสมบัติเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรง ในการดูแลและประสานงานโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟบ้านบ่อน้ำใสประจำปีงบประมาณ 2557 อันจะร่วมกระทำความผิดฐานเป็นตัวการหรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดได้ แต่จำเลยที่ 1 ให้นางวราภรณ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทําบันทึกตกลงซื้อบั้งไฟและบันทึกตกลงจ้างเหมาวงดนตรีกลองยาวนําขบวนแห่ เสนอให้นายวิรัช นายกองค์การบริหารส่วนตําบลตรึมลงนามในเอกสารดังกล่าวและให้นางวราภรณ์ทําสัญญายืมเงิน 31,500 บาท อันเป็นความเท็จ ความจริงจําเลยที่ 1 มิได้นําเงินงบประมาณดังกล่าวไปจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นจากเงินงบประมาณสำหรับโครงการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตามกฎหมาย ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการตรวจรับพัสดุและมีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในใบตรวจรับพัสดุ โดยจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้บังคับบัญชามีอำนาจเหนือซึ่งสามารถให้คุณให้โทษแก่จำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุช พูดจาว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบด้วยตนเองเพื่อเร่งรัดให้จำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชจัดทำใบตรวจรับพัสดุฉบับลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2557 ว่าผู้ขายส่งมอบบั้งไฟตามบันทึกตกลงซื้อคุณภาพถูกต้องครบถ้วนเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2557 จำนวน 72,000 บาท และคณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้รับบั้งไฟซึ่งตรวจรับถูกต้องสมควรจ่ายเงินให้แก่ผู้รับจ้าง และทำใบตรวจรับพัสดุฉบับลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 ว่าผู้รับจ้างส่งมอบงานจ้างเหมาวงดนตรีกลองยาวนำขบวนแห่งวดสุดท้ายถูกต้องและครบถ้วนเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 จึงสมควรจ่ายค่าจ้างให้แก่ผู้รับจ้าง อันเป็นการกระตุ้นส่งเสริมเร่งเร้าหรือโน้มน้าวชักจูงใจจำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชมุ่งกระทำให้หนักแน่นยิ่งขึ้น จนจำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชยินยอมลงชื่อในเอกสาร 2 ฉบับ ดังกล่าว เพื่อรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าจำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชอันเป็นความเท็จ ความจริงผู้ขายมิได้ส่งมอบบั้งไฟและผู้รับจ้างมิได้ส่งมอบงานจ้างเหมาวงดนตรีกลองยาวนำขบวนแห่ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการสนับสนุนให้จำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชกระทำความผิดดังกล่าวก่อนหรือขณะกระทำผิด และเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จนั้นเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อท 108/2562 ของศาลชั้นต้น และคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีนี้ คดีเป็นที่สุด การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 2 นางวราภรณ์ และนางปริยานุชเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบลตรึม และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทำให้จำเลยที่ 1 ได้ประโยชน์จากเงินงบประมาณในการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟที่ไม่ควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 มานั้นชอบด้วยเหตุปัจจัยและผลแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
บริษัท ย. เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ปลูกปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ มีโจทก์และผู้อื่นเป็นผู้ถือหุ้น กับมีจำเลยและผู้อื่นเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน ก่อนคดีนี้ บริษัท ย. โดยจำเลย ฟ้องบุคคลอื่นอ้างว่าบุกรุกที่ดินสวนปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว ระหว่างพิจารณาคดีก่อน ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้บริษัท ย. มีอำนาจเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาทฝ่ายเดียวแล้วนำเงินที่ได้จากการขายหลังหักค่าใช้จ่ายพร้อมบัญชีรับ-จ่ายมาวางศาลทุกเดือน หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 คดีก่อนมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้ว จำเลยได้บริหารจัดการสวนปาล์มน้ำมันโดยมอบอำนาจให้บุคคลภายนอกรวมถึง ฉ. เข้าทำประโยชน์แทนบริษัท ย. ดังนี้ แม้บริษัท ย. จะไม่ได้ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันเอง แต่ก็ได้มอบอำนาจให้บุคคลอื่นทำแทน โดยบริษัท ย. ได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน ถือได้ว่าเป็นเงินที่ได้รับจากการขายผลปาล์มน้ำมันที่จำเลยในฐานะกรรมการของบริษัท ย. ซึ่งต้องปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลอุทธรณ์ภาค 8 คดีก่อน ต้องนำมาวางต่อศาลพร้อมบัญชีรับ-จ่าย การที่ ฉ. ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทที่จำเลยมอบอำนาจให้ ฉ. ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันได้ ฟังได้ว่า จำเลยตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทแล้วไม่นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันหลังหักค่าใช้จ่ายพร้อมบัญชีรับ-จ่ายไปวางต่อศาลตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 คดีก่อน แต่กลับนำไปใช้เป็นการส่วนตัว ทำให้บริษัท ย. ไม่มีรายได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทดังกล่าวซึ่งโจทก์เป็นผู้ถือหุ้น
จำเลยหยุดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทในวันที่ศาลมีคำสั่งออกหมายจับจำเลยฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว จำเลยจึงหยุดกระทำละเมิดในวันดังกล่าว และต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท ย. ถึงวันดังกล่าวเท่านั้น
การทำสวนปาล์มน้ำมันเป็นวัตถุประสงค์หลักของบริษัท ย. ดังนั้น การบริหารจัดการเกี่ยวกับการปลูกหรือการตัดต้นปาล์มน้ำมันย่อมมีผลต่อรายได้ของบริษัท จึงต้องขอความเห็นชอบจากกรรมการอื่นด้วย การที่จำเลยในฐานะกรรมการบริหารจัดการงานไปโดยลำพังในการขุดคูและตัดต้นปาล์ม 20 ต้น แล้วเกิดความเสียหายแก่บริษัท ย. จึงเป็นการละเมิดและต้องรับผิดต่อบริษัท ย.
จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ในปัญหาอำนาจฟ้องว่า ต้นปาล์มน้ำมันและผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นของป่า ไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ปลูก และไม่มีใครเป็นเจ้าของ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนจำนวน 15,720,000 บาท ให้แก่บริษัท ย. พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนในอัตราเดือนละ 2,500,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะหยุดเก็บผลปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับสวนปาล์มน้ำมันของบริษัท ย. อีกต่อไป
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนจำนวน 3,160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 14 พฤษภาคม 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัท ย. และให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนรายได้จากการขายผลผลิตปาล์มน้ำมันในอัตราเดือนละ 510,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงวันที่ 18 กันยายน 2558 แก่บริษัท ย. กับให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 30,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า บริษัท ย. เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการทำสวนปาล์มน้ำมัน ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์โดยปลูกปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติจังหวัดกระบี่ เนื้อที่ 3,816 ไร่ และ 4,390 ไร่ มีโจทก์และบุคคลอื่นหลายคนเป็นผู้ถือหุ้น มีจำเลย นายวีระศักดิ์ และนางยี่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2555 บริษัท ย. โดยจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่นายสมปองและนายสุชาติเป็นจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 163/2555 ของศาลชั้นต้น คำฟ้องกล่าวอ้างว่า นายสมปองและนายสุชาติร่วมกันบุกรุกที่ดินสวนปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและสิ่งปลูกสร้างของบริษัท ย. ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่พิพาทเนื้อที่ 1,821 ไร่ ซึ่งให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันประมาณ 500,000 กิโลกรัมต่อปี ขายได้เงินเดือนละประมาณ 2,500,000 บาท ขอให้ขับไล่นายสมปองกับนายสุชาติ กับให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัท ย. เดือนละ 2,500,000 บาท ระหว่างพิจารณา บริษัท ย. โจทก์คดีดังกล่าวยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์คดีดังกล่าวอุทธรณ์ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้โจทก์คดีดังกล่าวมีอำนาจเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาทฝ่ายเดียวแล้วนำเงินที่ได้จากการขายผลผลิตปาล์มน้ำมันหลังหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันและนำผลผลิตปาล์มน้ำมันไปขายพร้อมบัญชีรับ - จ่ายมาวางศาลทุกเดือนนับแต่วันอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 8 แต่จำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ย. ไม่ได้นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันพร้อมบัญชีรับ - จ่าย มาวางศาล นอกจากนี้จำเลยยังโค่นต้นปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาทอีก 20 ต้น วันที่ 14 สิงหาคม 2557 ศาลชั้นต้นคดีดังกล่าวมีคำพิพากษายกฟ้อง โจทก์คดีดังกล่าวยื่นคำร้องขอให้วิธีการชั่วคราวมีผลบังคับต่อไป แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ขับไล่ และให้จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวร่วมกันชำระค่าเสียหาย เดือนละ 510,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยไม่นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันในที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทมาวางต่อศาล แต่กลับนำเงินดังกล่าวไปใช้ส่วนตัวอันเป็นการละเมิดต่อบริษัท ย. หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีพันตำรวจเอกพิทักษ์และนายสุชาติซึ่งได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ดูแลพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทเป็นพยานเบิกความว่า หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้ว เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2557 พยานทั้งสองไปดูสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท พบว่ามีการตัดผลปาล์มน้ำมัน พยานทั้งสองถามคนงานแล้ว ได้ความว่าผลปาล์มน้ำมันเป็นของนายฉัตรเทพ ไม่ใช่ของจำเลย เพราะจำเลยขายที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่อยู่ในที่พิพาทให้นายฉัตรเทพไปแล้ว พยานทั้งสองกับพวกขับรถยนต์ติดตามรถยนต์บรรทุกผลปาล์มน้ำมันที่ถูกนำไปขายให้บริษัท น. พันตำรวจเอกพิทักษ์ขอดูใบการจ่ายเงินค่าผลปาล์มน้ำมันของบริษัท น. ซึ่งระบุชื่อนายฉัตรเทพเป็นผู้ขาย หลังจากศาลชั้นต้นในคดีนี้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามจำเลยเข้าไปเก็บผลปาล์มน้ำมันและยุติการตัดโค่นต้นปาล์มน้ำมันในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทไว้ชั่วคราว พยานทั้งสองเข้าไปตรวจสอบพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันอีก พบจำเลยกับพวกยังคงตัดผลปาล์มน้ำมันที่ศาลมีคำสั่งห้าม พยานทั้งสองได้เข้าไปห้ามแล้ว แต่จำเลยยังคงเก็บผลปาล์มน้ำมันในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท พันตำรวจเอกพิทักษ์จึงถ่ายภาพไว้ ส่วนจำเลยเบิกความรับว่า ภายหลังจากมีการห้ามตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จำเลยได้บริหารจัดการสวนปาล์มน้ำมันของบริษัทเพื่อให้มีรายได้โดยมอบอำนาจให้บุคคลภายนอกรวมถึงนายฉัตรเทพเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทแทนบริษัท ย. เพื่อไม่ต้องเสี่ยงภัยกับคนงานถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้จับกุม ดังนี้ แม้บริษัท ย. จะไม่ได้ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันเอง แต่ก็ได้มอบอำนาจให้บุคคลอื่นทำแทน โดยบริษัท ย. ได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน สอดคล้องกับที่นายฉัตรเทพเบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 100 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 3,000,000 บาท ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 28 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 1,120,000 บาท ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 24 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 720,000 บาท ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 61 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 2,000,000 บาท ให้แก่บริษัท ย. ดังนั้น เงินค่าตอบแทนดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นเงินที่ได้รับจากการขายผลปาล์มน้ำมันที่จำเลยในฐานะกรรมการของบริษัท ย. ซึ่งต้องปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลอุทธรณ์ภาค 8 จะต้องนำมาวางต่อศาลพร้อมบัญชีรับ - จ่าย และเมื่อใบเสร็จรับเงินที่นายฉัตรเทพขายผลปาล์มน้ำมันให้แก่บริษัท น. ระบุว่านายฉัตรเทพเป็นผู้ขาย จึงเป็นธรรมดาและไม่ถือเป็นพิรุธที่โจทก์ไม่มีหลักฐานใบเสร็จรับเงินที่แสดงว่าจำเลยตัดผลปาล์มน้ำมันไปขายในนามส่วนตัวดังที่จำเลยฎีกา ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่าพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่บริษัท ย. มอบอำนาจให้นายฉัตรเทพทำประโยชน์ 100 ไร่ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 163/2555 ของศาลชั้นต้นและพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พันตำรวจเอกพิทักษ์พบคนงานของนายฉัตรเทพก็อยู่นอกพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท 1,821 ไร่ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท นั้น นายฉัตรเทพก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า พื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวกับที่ดินที่บริษัท ย. ฟ้องนายสมปองและนายสุชาติว่าบุกรุก โดยไม่ได้ปฏิเสธว่าที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 100 ไร่ นั้นไม่ได้อยู่ในที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท จึงต้องฟังว่านายฉัตรเทพตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทที่จำเลยมอบอำนาจให้นายฉัตรเทพมีอำนาจตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันได้ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักฟังได้ว่าจำเลยในฐานะกรรมการของบริษัท ย. ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทแล้วไม่นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วพร้อมบัญชีรับ - จ่ายไปวางต่อศาลตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 แต่กลับนำไปใช้เป็นการส่วนตัวทำให้บริษัท ย. ไม่มีรายได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทดังกล่าวซึ่งโจทก์เป็นผู้ถือหุ้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยต้องรับผิดเพียงใด เห็นว่า พันตำรวจเอกพิทักษ์และนายสุชาติ พยานโจทก์ เบิกความว่า จำเลยหยุดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งออกหมายจับจำเลยฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว จึงต้องฟังว่าจำเลยหยุดกระทำละเมิดในวันดังกล่าว และต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท ย. เดือนละ 510,000 บาท จนถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 เท่านั้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยกระทำละเมิดโดยตัดต้นปาล์มน้ำมันของบริษัท ย. หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยขุดคูและตัดต้นปาล์มน้ำมัน 20 ต้น เพื่อประโยชน์ของบริษัทและป้องกันไม่ให้คนร้ายนำรถยนต์เข้ามาขโมยผลปาล์มน้ำมันได้ จำเลยในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจย่อมมีอำนาจบริหารจัดการกิจการของบริษัท ย. โดยไม่จำต้องได้รับความเห็นชอบจากกรรมการอื่น เห็นว่า การทำสวนปาล์มน้ำมันเป็นวัตถุประสงค์หลักของบริษัท ย. ดังนั้น การบริหารจัดการเกี่ยวกับการปลูกหรือการตัดต้นปาล์มน้ำมันย่อมมีผลต่อรายได้ของบริษัท จึงต้องขอความเห็นชอบจากกรรมการอื่นด้วย การที่จำเลยในฐานะกรรมการบริหารจัดการงานดังกล่าวไปโดยลำพังแล้วเกิดความเสียหายแก่บริษัท ย. จึงเป็นการละเมิดและต้องรับผิดต่อบริษัท ย. ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ต้นปาล์มน้ำมันและผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นของป่า ไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ปลูกและไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ การที่จำเลยตัดต้นปาล์มน้ำมันและผลปาล์มน้ำมันดังกล่าวจึงไม่เป็นการละเมิดต่อบริษัท ย. โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นั้น เห็นว่า จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีในข้อนี้ไว้ ฎีกาของจำเลยในปัญหานี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
อนึ่ง หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษาแล้ว ได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ปัญหาการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทน 3,160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14 พฤษภาคม 2557) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัท ย. แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ และให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนอัตราเดือนละ 510,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 ให้แก่บริษัท ย. นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
บริษัท ย. เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ปลูกปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ มีโจทก์และผู้อื่นเป็นผู้ถือหุ้น กับมีจำเลยและผู้อื่นเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน ก่อนคดีนี้ บริษัท ย. โดยจำเลย ฟ้องบุคคลอื่นอ้างว่าบุกรุกที่ดินสวนปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว ระหว่างพิจารณาคดีก่อน ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้บริษัท ย. มีอำนาจเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาทฝ่ายเดียวแล้วนำเงินที่ได้จากการขายหลังหักค่าใช้จ่ายพร้อมบัญชีรับ-จ่ายมาวางศาลทุกเดือน หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 คดีก่อนมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้ว จำเลยได้บริหารจัดการสวนปาล์มน้ำมันโดยมอบอำนาจให้บุคคลภายนอกรวมถึง ฉ. เข้าทำประโยชน์แทนบริษัท ย. ดังนี้ แม้บริษัท ย. จะไม่ได้ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันเอง แต่ก็ได้มอบอำนาจให้บุคคลอื่นทำแทน โดยบริษัท ย. ได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน ถือได้ว่าเป็นเงินที่ได้รับจากการขายผลปาล์มน้ำมันที่จำเลยในฐานะกรรมการของบริษัท ย. ซึ่งต้องปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลอุทธรณ์ภาค 8 คดีก่อน ต้องนำมาวางต่อศาลพร้อมบัญชีรับ-จ่าย การที่ ฉ. ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทที่จำเลยมอบอำนาจให้ ฉ. ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันได้ ฟังได้ว่า จำเลยตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทแล้วไม่นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันหลังหักค่าใช้จ่ายพร้อมบัญชีรับ-จ่ายไปวางต่อศาลตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 คดีก่อน แต่กลับนำไปใช้เป็นการส่วนตัว ทำให้บริษัท ย. ไม่มีรายได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทดังกล่าวซึ่งโจทก์เป็นผู้ถือหุ้น
จำเลยหยุดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทในวันที่ศาลมีคำสั่งออกหมายจับจำเลยฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว จำเลยจึงหยุดกระทำละเมิดในวันดังกล่าว และต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท ย. ถึงวันดังกล่าวเท่านั้น
การทำสวนปาล์มน้ำมันเป็นวัตถุประสงค์หลักของบริษัท ย. ดังนั้น การบริหารจัดการเกี่ยวกับการปลูกหรือการตัดต้นปาล์มน้ำมันย่อมมีผลต่อรายได้ของบริษัท จึงต้องขอความเห็นชอบจากกรรมการอื่นด้วย การที่จำเลยในฐานะกรรมการบริหารจัดการงานไปโดยลำพังในการขุดคูและตัดต้นปาล์ม 20 ต้น แล้วเกิดความเสียหายแก่บริษัท ย. จึงเป็นการละเมิดและต้องรับผิดต่อบริษัท ย.
จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ในปัญหาอำนาจฟ้องว่า ต้นปาล์มน้ำมันและผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นของป่า ไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ปลูก และไม่มีใครเป็นเจ้าของ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนจำนวน 15,720,000 บาท ให้แก่บริษัท ย. พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนในอัตราเดือนละ 2,500,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะหยุดเก็บผลปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับสวนปาล์มน้ำมันของบริษัท ย. อีกต่อไป
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนจำนวน 3,160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 14 พฤษภาคม 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัท ย. และให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนรายได้จากการขายผลผลิตปาล์มน้ำมันในอัตราเดือนละ 510,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงวันที่ 18 กันยายน 2558 แก่บริษัท ย. กับให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 30,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า บริษัท ย. เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการทำสวนปาล์มน้ำมัน ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์โดยปลูกปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติจังหวัดกระบี่ เนื้อที่ 3,816 ไร่ และ 4,390 ไร่ มีโจทก์และบุคคลอื่นหลายคนเป็นผู้ถือหุ้น มีจำเลย นายวีระศักดิ์ และนางยี่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2555 บริษัท ย. โดยจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่นายสมปองและนายสุชาติเป็นจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 163/2555 ของศาลชั้นต้น คำฟ้องกล่าวอ้างว่า นายสมปองและนายสุชาติร่วมกันบุกรุกที่ดินสวนปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและสิ่งปลูกสร้างของบริษัท ย. ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่พิพาทเนื้อที่ 1,821 ไร่ ซึ่งให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันประมาณ 500,000 กิโลกรัมต่อปี ขายได้เงินเดือนละประมาณ 2,500,000 บาท ขอให้ขับไล่นายสมปองกับนายสุชาติ กับให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัท ย. เดือนละ 2,500,000 บาท ระหว่างพิจารณา บริษัท ย. โจทก์คดีดังกล่าวยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์คดีดังกล่าวอุทธรณ์ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้โจทก์คดีดังกล่าวมีอำนาจเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาทฝ่ายเดียวแล้วนำเงินที่ได้จากการขายผลผลิตปาล์มน้ำมันหลังหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันและนำผลผลิตปาล์มน้ำมันไปขายพร้อมบัญชีรับ - จ่ายมาวางศาลทุกเดือนนับแต่วันอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 8 แต่จำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ย. ไม่ได้นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันพร้อมบัญชีรับ - จ่าย มาวางศาล นอกจากนี้จำเลยยังโค่นต้นปาล์มน้ำมันในที่ดินพิพาทอีก 20 ต้น วันที่ 14 สิงหาคม 2557 ศาลชั้นต้นคดีดังกล่าวมีคำพิพากษายกฟ้อง โจทก์คดีดังกล่าวยื่นคำร้องขอให้วิธีการชั่วคราวมีผลบังคับต่อไป แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ขับไล่ และให้จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวร่วมกันชำระค่าเสียหาย เดือนละ 510,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยไม่นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันในที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทมาวางต่อศาล แต่กลับนำเงินดังกล่าวไปใช้ส่วนตัวอันเป็นการละเมิดต่อบริษัท ย. หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีพันตำรวจเอกพิทักษ์และนายสุชาติซึ่งได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ดูแลพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทเป็นพยานเบิกความว่า หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้ว เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2557 พยานทั้งสองไปดูสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท พบว่ามีการตัดผลปาล์มน้ำมัน พยานทั้งสองถามคนงานแล้ว ได้ความว่าผลปาล์มน้ำมันเป็นของนายฉัตรเทพ ไม่ใช่ของจำเลย เพราะจำเลยขายที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่อยู่ในที่พิพาทให้นายฉัตรเทพไปแล้ว พยานทั้งสองกับพวกขับรถยนต์ติดตามรถยนต์บรรทุกผลปาล์มน้ำมันที่ถูกนำไปขายให้บริษัท น. พันตำรวจเอกพิทักษ์ขอดูใบการจ่ายเงินค่าผลปาล์มน้ำมันของบริษัท น. ซึ่งระบุชื่อนายฉัตรเทพเป็นผู้ขาย หลังจากศาลชั้นต้นในคดีนี้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามจำเลยเข้าไปเก็บผลปาล์มน้ำมันและยุติการตัดโค่นต้นปาล์มน้ำมันในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทไว้ชั่วคราว พยานทั้งสองเข้าไปตรวจสอบพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันอีก พบจำเลยกับพวกยังคงตัดผลปาล์มน้ำมันที่ศาลมีคำสั่งห้าม พยานทั้งสองได้เข้าไปห้ามแล้ว แต่จำเลยยังคงเก็บผลปาล์มน้ำมันในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท พันตำรวจเอกพิทักษ์จึงถ่ายภาพไว้ ส่วนจำเลยเบิกความรับว่า ภายหลังจากมีการห้ามตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จำเลยได้บริหารจัดการสวนปาล์มน้ำมันของบริษัทเพื่อให้มีรายได้โดยมอบอำนาจให้บุคคลภายนอกรวมถึงนายฉัตรเทพเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทแทนบริษัท ย. เพื่อไม่ต้องเสี่ยงภัยกับคนงานถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้จับกุม ดังนี้ แม้บริษัท ย. จะไม่ได้ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันเอง แต่ก็ได้มอบอำนาจให้บุคคลอื่นทำแทน โดยบริษัท ย. ได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน สอดคล้องกับที่นายฉัตรเทพเบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 100 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 3,000,000 บาท ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 28 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 1,120,000 บาท ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 24 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 720,000 บาท ที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 61 ไร่ พยานจ่ายค่าตอบแทน 2,000,000 บาท ให้แก่บริษัท ย. ดังนั้น เงินค่าตอบแทนดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นเงินที่ได้รับจากการขายผลปาล์มน้ำมันที่จำเลยในฐานะกรรมการของบริษัท ย. ซึ่งต้องปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลอุทธรณ์ภาค 8 จะต้องนำมาวางต่อศาลพร้อมบัญชีรับ - จ่าย และเมื่อใบเสร็จรับเงินที่นายฉัตรเทพขายผลปาล์มน้ำมันให้แก่บริษัท น. ระบุว่านายฉัตรเทพเป็นผู้ขาย จึงเป็นธรรมดาและไม่ถือเป็นพิรุธที่โจทก์ไม่มีหลักฐานใบเสร็จรับเงินที่แสดงว่าจำเลยตัดผลปาล์มน้ำมันไปขายในนามส่วนตัวดังที่จำเลยฎีกา ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่าพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่บริษัท ย. มอบอำนาจให้นายฉัตรเทพทำประโยชน์ 100 ไร่ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 163/2555 ของศาลชั้นต้นและพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พันตำรวจเอกพิทักษ์พบคนงานของนายฉัตรเทพก็อยู่นอกพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท 1,821 ไร่ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท นั้น นายฉัตรเทพก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า พื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวกับที่ดินที่บริษัท ย. ฟ้องนายสมปองและนายสุชาติว่าบุกรุก โดยไม่ได้ปฏิเสธว่าที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน 100 ไร่ นั้นไม่ได้อยู่ในที่ดินสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาท จึงต้องฟังว่านายฉัตรเทพตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทที่จำเลยมอบอำนาจให้นายฉัตรเทพมีอำนาจตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันได้ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักฟังได้ว่าจำเลยในฐานะกรรมการของบริษัท ย. ตัดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทแล้วไม่นำเงินที่ได้จากการขายผลปาล์มน้ำมันหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วพร้อมบัญชีรับ - จ่ายไปวางต่อศาลตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 แต่กลับนำไปใช้เป็นการส่วนตัวทำให้บริษัท ย. ไม่มีรายได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทดังกล่าวซึ่งโจทก์เป็นผู้ถือหุ้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยต้องรับผิดเพียงใด เห็นว่า พันตำรวจเอกพิทักษ์และนายสุชาติ พยานโจทก์ เบิกความว่า จำเลยหยุดเก็บผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งออกหมายจับจำเลยฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว จึงต้องฟังว่าจำเลยหยุดกระทำละเมิดในวันดังกล่าว และต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท ย. เดือนละ 510,000 บาท จนถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 เท่านั้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยกระทำละเมิดโดยตัดต้นปาล์มน้ำมันของบริษัท ย. หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยขุดคูและตัดต้นปาล์มน้ำมัน 20 ต้น เพื่อประโยชน์ของบริษัทและป้องกันไม่ให้คนร้ายนำรถยนต์เข้ามาขโมยผลปาล์มน้ำมันได้ จำเลยในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจย่อมมีอำนาจบริหารจัดการกิจการของบริษัท ย. โดยไม่จำต้องได้รับความเห็นชอบจากกรรมการอื่น เห็นว่า การทำสวนปาล์มน้ำมันเป็นวัตถุประสงค์หลักของบริษัท ย. ดังนั้น การบริหารจัดการเกี่ยวกับการปลูกหรือการตัดต้นปาล์มน้ำมันย่อมมีผลต่อรายได้ของบริษัท จึงต้องขอความเห็นชอบจากกรรมการอื่นด้วย การที่จำเลยในฐานะกรรมการบริหารจัดการงานดังกล่าวไปโดยลำพังแล้วเกิดความเสียหายแก่บริษัท ย. จึงเป็นการละเมิดและต้องรับผิดต่อบริษัท ย. ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ต้นปาล์มน้ำมันและผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์มน้ำมันที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นของป่า ไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ปลูกและไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ การที่จำเลยตัดต้นปาล์มน้ำมันและผลปาล์มน้ำมันดังกล่าวจึงไม่เป็นการละเมิดต่อบริษัท ย. โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นั้น เห็นว่า จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีในข้อนี้ไว้ ฎีกาของจำเลยในปัญหานี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
อนึ่ง หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษาแล้ว ได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ปัญหาการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทน 3,160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14 พฤษภาคม 2557) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัท ย. แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ และให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนอัตราเดือนละ 510,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 ให้แก่บริษัท ย. นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ตามคำพิพากษาในคดีก่อนศาลฎีกามีคำวินิจฉัยในส่วนความรับผิดของโจทก์เพียงข้อหาเดียวว่า โจทก์เป็นนายจ้างของ ป. และ ป. ได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้าง โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อน และวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยโดยสรุปว่า จำเลยดำเนินการด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ ป. มีโอกาสเบียดบังเอาหุ้นของโจทก์ที่มีชื่อ ว. เป็นผู้ถือหุ้นไปโดยทุจริต จึงเป็นการกระทำละเมิดต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนด้วย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลในคดีก่อนว่า ป. และจำเลยเป็นผู้ทำละเมิด และต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 และเมื่อเป็นหนี้ร่วม ป. และจำเลยจึงต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 296 ส่วนโจทก์ต้องร่วมรับผิดในฐานะเป็นนายจ้างของ ป. เท่านั้น ความรับผิดของโจทก์และ ป. จึงเสมือนเป็นบุคคลเดียวกันที่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยในการชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 และเนื่องจากเป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษา โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกับ ป. และจำเลย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 291 แต่ความรับผิดของโจทก์นั้น เป็นผลมาจากบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติให้นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างซึ่งได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้างด้วย มิได้เป็นผลมาจากการกระทำของโจทก์แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อโจทก์ชําระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนไปแล้ว ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับชดใช้จาก ป. ผู้เป็นลูกจ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 426 และรับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยจากจำเลยได้อีกส่วนหนึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 227
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ หลังจากบริษัท ม. ได้ชําระหนี้คืนให้แก่โจทก์หนึ่งในสามส่วนแทนจำเลยตามบันทึกข้อตกลงแล้ว หนี้ในส่วนของจำเลยจึงระงับไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 852 นั้น ตามคำให้การจำเลยมิได้ต่อสู้คดีว่าโจทก์และจำเลยได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันอันมีผลทำให้ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับสิ้นไปแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ในข้อใดเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ตามที่เห็นสมควร หากเห็นว่าแม้จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ไปอย่างไรก็ไม่ทำให้ผลคดีตามที่ได้วินิจฉัยแล้วเปลี่ยนแปลงไป ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจไม่วินิจฉัยในข้อนั้นได้
บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 เป็นเพียงข้อตกลงให้โจทก์ชําระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนให้เสร็จสิ้น กับให้จำเลยโดยบริษัท ม. ชําระหนี้ตามความรับผิดของจำเลยหนึ่งในสามส่วนไปก่อนเท่านั้น จำเลยจึงยังต้องรับผิดชําระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนที่ขาดจำนวนจากความรับผิดในส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชําระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จนั้น เนื่องจากได้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งตามมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามลำดับ และให้ใช้ข้อความใหม่แทน อันมีผลให้ในกรณีที่ต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือบทกฎหมายโดยชัดแจ้ง ก็ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี และในกรณีที่เป็นหนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เว้นแต่เจ้าหนี้อาจเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย แต่ทั้งนี้ไม่กระทบถึงการคิดดอกเบี้ยก่อนที่พระราชกำหนดดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดชําระให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่แก้ไขใหม่ และปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้ไขโดยกำหนดดอกเบี้ยให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 76,225,868.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 62,550,454.47 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 200,000 บาท และชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 200,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติได้ว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4304/2554 ของศาลชั้นต้น ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ นายประพันธ์ และจำเลย ร่วมกันคืนหุ้นสามัญของโจทก์ มูลค่าหุ้นละ 1 บาท ระบุชื่อนายวรรโณทัย เป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 672,000 หุ้น ให้แก่นายวรรณพงษ์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวรรโณทัย กับพวก ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าว หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาหุ้นตามราคาที่มีการซื้อขายครั้งสุดท้ายในวันที่มีการใช้ราคา แต่ต้องไม่ต่ำกว่าราคาหุ้นละ 314.38 บาท และร่วมกันชดใช้เงินปันผล 1,344,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับเงินปันผลที่โจทก์ประกาศจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะคืนใบหุ้นหรือใช้ราคาหุ้นเสร็จ ให้นางดวงกมล นายสบสันติ์ ร่วมรับผิดกับโจทก์ นายประพันธ์ และจำเลยในการคืนหุ้นของโจทก์จำนวน 5,000 หุ้น หรือใช้ราคาแทนหุ้นจำนวนดังกล่าว กับชดใช้เงินปันผล 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะคืนหุ้นหรือใช้ราคาแทน ให้โจทก์ นายประพันธ์และจำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนนายวรรณพงษ์กับพวก โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000,000 บาท และร่วมกันชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 1,000,000 บาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนนายวรรณพงษ์กับพวก โดยกำหนดค่าทนายความ 100,000 บาท ต่อมาวันที่ 21 มกราคม 2559 โจทก์และจำเลยตกลงจะชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวโดยมีรายละเอียดตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 ในวันเดียวกันโจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยนำหุ้นของโจทก์ 672,000 หุ้น เงินปันผล พร้อมดอกเบี้ยไปวางต่อศาลเพื่อชำระหนี้แก่นายวรรณพงษ์กับพวก รวมเป็นเงิน 337,557,046.77 บาท วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 บริษัท ม. ผู้รับประกันภัยตามกรมธรรม์ความรับผิดทางวิชาชีพสถาบันการเงินของจำเลยได้ชำระเงิน 106,228,068.92 บาท แก่โจทก์แทนจำเลย วันที่ 2 เมษายน 2561 โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินอ้างว่ายังขาดอีก 62,550,454.47 บาท และเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2562 ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้นายประพันธ์ชำระเงิน 149,199,984.89 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว โดยศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทำไปในทางการที่จ้างชอบที่จะได้รับชดใช้จากลูกจ้างเฉพาะแต่ค่าสินไหมทดแทนที่ได้ใช้ให้แก่บุคคลภายนอกไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยยังต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนให้แก่โจทก์อีกหรือไม่ เห็นว่า ตามคำพิพากษาในคดีก่อนศาลฎีกามีคำวินิจฉัยในส่วนความรับผิดของโจทก์เพียงข้อหาเดียวว่า โจทก์เป็นนายจ้างของนายประพันธ์และนายประพันธ์ได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้าง โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อน และวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยโดยสรุปว่า จำเลยดำเนินการด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายประพันธ์มีโอกาสเบียดบังเอาหุ้นของโจทก์ที่มีชื่อนายวรรโณทัยเป็นผู้ถือหุ้นไปโดยทุจริต จึงเป็นการกระทำละเมิดต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนด้วย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลในคดีก่อนว่า นายประพันธ์กับจำเลยเป็นผู้ทำละเมิดและต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และเมื่อเป็นหนี้ร่วม นายประพันธ์และจำเลยจึงต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 296 ส่วนโจทก์ต้องรับผิดในฐานะเป็นนายจ้างของนายประพันธ์เท่านั้น ความรับผิดของโจทก์และนายประพันธ์จึงเสมือนเป็นบุคคลเดียวกันที่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยในการชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 และเนื่องจากเป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษา โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกับนายประพันธ์และจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 แต่ความรับผิดของโจทก์นั้น เป็นผลมาจากบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติให้นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างซึ่งได้กระทำละเมิดไปในทางการที่จ้างด้วย มิได้เป็นผลมาจากการกระทำของโจทก์แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อโจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนไปแล้ว ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับชดใช้จากนายประพันธ์ ผู้เป็นลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426 และรับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยจากจำเลยได้อีกส่วนหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 227 ตามฎีกาของจำเลยก็ยอมรับถึงสิทธิของโจทก์ในข้อนี้ว่าโจทก์มีสิทธิไล่เบี้ยจากจำเลยได้และมีสิทธิไล่เบี้ยจากนายประพันธ์ได้เต็มจำนวนตามส่วนที่เป็นความรับผิดของนายประพันธ์ตามมาตรา 426 ข้อโต้แย้งตามฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ จำเลย และนายประพันธ์เป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษาในคดีก่อน จึงต้องแบ่งความรับผิดในระหว่างลูกหนี้ร่วมด้วยกันคนละหนึ่งในสามส่วน หากจำเลยและนายประพันธ์ต้องรับผิดคนละกึ่งหนึ่งเท่ากับโจทก์ไม่ต้องรับผิดเลย และไม่ตรงตามที่ศาลมีคำพิพากษาที่ให้โจทก์ จำเลย และนายประพันธ์ร่วมกันชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อน จึงต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้ร่วมทำละเมิดด้วย จึงฟังไม่ขึ้น และที่จำเลยฎีกาว่า หลังจากคดีก่อนถึงที่สุดแล้ว โจทก์และจำเลยมีเจตนาที่จะร่วมกันชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว จึงมีการทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการชำระหนี้ดังกล่าวตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 โดยมีการตกลงกำหนดสัดส่วนความรับผิดคนละหนึ่งในสามส่วน อันมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและมีผลผูกพันต่อกัน หลังจากนั้น บริษัท ม. ผู้รับประกันภัยของจำเลยได้ชำระหนี้ในส่วนที่เป็นความรับผิดของจำเลยจำนวนหนึ่งในสามส่วนให้แก่โจทก์ จำเลยจึงหลุดพ้นความรับผิดแล้วนั้น เห็นว่า โจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 หลังจากคดีก่อนถึงที่สุด ซึ่งโจทก์นำสืบโดยมีนางภัทรวรรณ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นพยานเบิกความในปัญหาข้อนี้สรุปความได้ว่า หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีก่อน โจทก์ จำเลย และบริษัท ม. ผู้รับประกันภัยของจำเลย มีการประชุมร่วมกันเกี่ยวกับการชำระหนี้ตามคำพิพากษา ในการประชุมดังกล่าวฝ่ายโจทก์เห็นว่าตามคำพิพากษาโจทก์รับผิดกึ่งหนึ่งในฐานะนายจ้างของนายประพันธ์และจำเลยต้องรับผิดอีกกึ่งหนึ่ง แต่บริษัท ม. ซึ่งจะชำระหนี้แทนจำเลยมีความเห็นว่าจำเลยต้องรับผิดเพียงหนึ่งในสามส่วน จึงตกลงกันไม่ได้ แต่โจทก์และจำเลยต้องการชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเพื่อรักษาชื่อเสียงและภาพลักษณ์ทางธุรกิจของโจทก์และจำเลย จึงมีการทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 โดยให้โจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้น และให้บริษัท ม. ชำระหนี้จำนวนหนึ่งในสามส่วนก่อน แล้วจะไปเจรจาเพื่อหาข้อยุติกันในภายหลัง นางภัทรวรรณเป็นผู้ร่วมเจรจาหาข้อยุติในการประชุมดังกล่าวและลงชื่อเป็นพยานในบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 ด้วย ย่อมทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเจรจาและการทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงเชื่อว่าเหตุที่มีการทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 ก็เนื่องจากโจทก์และจำเลยกับบริษัท ม. มีความเห็นขัดแย้งกันเรื่องสัดส่วนความรับผิดตามคำพิพากษาคดีก่อนในระหว่างลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกันว่าจำเลยต้องรับผิดกึ่งหนึ่งหรือหนึ่งในสาม จึงเป็นไปไม่ได้ที่โจทก์จะยินยอมตกลงให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวเพียงหนึ่งในสามส่วน ทั้ง ๆ ที่ยังมีความเห็นขัดแย้งกันอยู่ และในการทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 นายประพันธ์ผู้ทำละเมิดและเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาอีกคนหนึ่งไม่ได้ร่วมทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์และจำเลย บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันนายประพันธ์ ดังนั้น หนี้ในส่วนที่เป็นความรับผิดของนายประพันธ์ตามที่ระบุในบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 จึงต้องถือว่ายังมิได้มีการตกลงกัน นอกจากนี้หากจำเลยรับผิดชำระหนี้เพียงหนึ่งในสามส่วน โจทก์และนายประพันธ์ซึ่งต้องรับผิดในคดีก่อนเสมือนเป็นบุคคลเดียวกันตามที่ได้วินิจฉัยแล้วจะต้องร่วมกันรับผิดชำระหนี้ถึงสองในสามส่วนอันเป็นความรับผิดในระหว่างลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกันเกินกว่าที่ต้องรับผิดตามคำพิพากษา ย่อมขัดกับข้อ 7 ของบันทึกข้อตกลงดังกล่าวที่ระบุว่า การลงนามตามบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ไม่ถือเป็นการยอมรับผิดเกี่ยวกับหนี้ตามคำพิพากษาจำนวนใด ๆ ระหว่างจำเลยร่วมในคำพิพากษาศาลฎีกาเกินกว่าที่ต้องรับผิดตามคำพิพากษานั้นด้วย ส่วนที่จำเลยอ้างว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 มีลักษณะเป็นสัญญาสองฝ่ายระหว่างโจทก์และจำเลยที่ต้องการระงับข้อพิพาทอันอาจมีขึ้นระหว่างกันโดยต่างยอมผ่อนผันแก่กันเกี่ยวกับความรับผิดในภาระหนี้ตามคำพิพากษาคดีก่อน บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ และความรับผิดในส่วนที่เป็นของนายประพันธ์ตามข้อ 4.3 ไม่ได้มีข้อความในบันทึกข้อตกลงว่าจะมีการเจรจาตกลงกันใหม่ให้จำเลยต้องรับผิดเกินกว่าหนึ่งในสามส่วน และนางภัทรวรรณ พยานโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านยอมรับว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 ไม่ได้มีข้อความสงวนสิทธิว่าโจทก์จะไปเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เพิ่มจากหนึ่งในสามส่วนอีก ดังนั้นหลังจากบริษัท ม. ได้ชำระหนี้คืนให้แก่โจทก์หนึ่งในสามส่วนแทนจำเลยตามบันทึกข้อตกลงแล้ว หนี้ในส่วนของจำเลยจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 นั้น เห็นว่า ตามคำให้การจำเลยมิได้ต่อสู้คดีว่าโจทก์และจำเลยได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันอันมีผลทำให้ข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยระงับสิ้นไปแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ และที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ในข้ออื่นของจำเลยโดยอ้างว่าไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง เป็นการไม่ชอบ เพราะอุทธรณ์ของจำเลยที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยเป็นปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในสาระสำคัญและมีผลต่อคำวินิจฉัยของศาลโดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ นั้น เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ในข้อใดเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ตามที่เห็นสมควร หากเห็นว่าแม้จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ไปอย่างไรก็ไม่ทำให้ผลคดีตามที่ได้วินิจฉัยแล้วเปลี่ยนแปลงไป ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ในข้อนั้นได้ และที่จำเลยอ้างเหตุผลในฎีกาข้อนี้ว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์ยกขึ้นอ้างไม่ตรงกับข้อโต้แย้งกันในคดีนี้นั้นก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3091/2535 ที่จำเลยอ้างมาในฎีกา ข้อเท็จจริงและประเด็นที่โต้แย้งกันไม่ตรงกับคดีนี้ เมื่อคดีก่อนศาลวินิจฉัยโดยฟังว่า นายประพันธ์และจำเลยเป็นผู้ทำละเมิด ส่วนโจทก์ต้องร่วมรับผิดฐานเป็นนายจ้างของนายประพันธ์ การแบ่งความรับผิดระหว่างลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกันจึงต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยนายประพันธ์กับโจทก์ร่วมกันรับผิดกึ่งหนึ่ง และจำเลยรับผิดอีกกึ่งหนึ่ง และบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 เป็นเพียงข้อตกลงให้โจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนให้เสร็จสิ้น กับให้จำเลยโดยบริษัท ม. ชำระหนี้ตามความรับผิดของจำเลยหนึ่งในสามส่วนไปก่อนเท่านั้น จำเลยจึงยังต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนที่ขาดจำนวนจากความรับผิดในส่วนของจำเลยเป็นเงินอีก 62,550,454.47 บาท ให้แก่โจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น เนื่องจากได้มีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งตามมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามลำดับ และให้ใช้ข้อความใหม่แทน อันมีผลให้ในกรณีที่ต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือบทกฎหมายโดยชัดแจ้ง ก็ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี และในกรณีที่เป็นหนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เว้นแต่เจ้าหนี้อาจเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย แต่ทั้งนี้ไม่กระทบถึงการคิดดอกเบี้ยก่อนที่พระราชกำหนดดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดชำระให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่แก้ไขใหม่ และปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้ไขโดยกำหนดดอกเบี้ยให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ตามคำพิพากษาในคดีก่อนศาลฎีกามีคำวินิจฉัยในส่วนความรับผิดของโจทก์เพียงข้อหาเดียวว่า โจทก์เป็นนายจ้างของ ป. และ ป. ได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้าง โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อน และวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยโดยสรุปว่า จำเลยดำเนินการด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ ป. มีโอกาสเบียดบังเอาหุ้นของโจทก์ที่มีชื่อ ว. เป็นผู้ถือหุ้นไปโดยทุจริต จึงเป็นการกระทำละเมิดต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนด้วย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลในคดีก่อนว่า ป. และจำเลยเป็นผู้ทำละเมิด และต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 และเมื่อเป็นหนี้ร่วม ป. และจำเลยจึงต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 296 ส่วนโจทก์ต้องร่วมรับผิดในฐานะเป็นนายจ้างของ ป. เท่านั้น ความรับผิดของโจทก์และ ป. จึงเสมือนเป็นบุคคลเดียวกันที่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยในการชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 และเนื่องจากเป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษา โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกับ ป. และจำเลย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 291 แต่ความรับผิดของโจทก์นั้น เป็นผลมาจากบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติให้นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างซึ่งได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้างด้วย มิได้เป็นผลมาจากการกระทำของโจทก์แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อโจทก์ชําระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนไปแล้ว ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับชดใช้จาก ป. ผู้เป็นลูกจ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 426 และรับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยจากจำเลยได้อีกส่วนหนึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 227
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ หลังจากบริษัท ม. ได้ชําระหนี้คืนให้แก่โจทก์หนึ่งในสามส่วนแทนจำเลยตามบันทึกข้อตกลงแล้ว หนี้ในส่วนของจำเลยจึงระงับไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 852 นั้น ตามคำให้การจำเลยมิได้ต่อสู้คดีว่าโจทก์และจำเลยได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันอันมีผลทำให้ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับสิ้นไปแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ในข้อใดเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ตามที่เห็นสมควร หากเห็นว่าแม้จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ไปอย่างไรก็ไม่ทำให้ผลคดีตามที่ได้วินิจฉัยแล้วเปลี่ยนแปลงไป ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจไม่วินิจฉัยในข้อนั้นได้
บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 เป็นเพียงข้อตกลงให้โจทก์ชําระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนให้เสร็จสิ้น กับให้จำเลยโดยบริษัท ม. ชําระหนี้ตามความรับผิดของจำเลยหนึ่งในสามส่วนไปก่อนเท่านั้น จำเลยจึงยังต้องรับผิดชําระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนที่ขาดจำนวนจากความรับผิดในส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชําระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จนั้น เนื่องจากได้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งตามมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามลำดับ และให้ใช้ข้อความใหม่แทน อันมีผลให้ในกรณีที่ต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือบทกฎหมายโดยชัดแจ้ง ก็ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี และในกรณีที่เป็นหนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เว้นแต่เจ้าหนี้อาจเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย แต่ทั้งนี้ไม่กระทบถึงการคิดดอกเบี้ยก่อนที่พระราชกำหนดดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดชําระให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่แก้ไขใหม่ และปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้ไขโดยกำหนดดอกเบี้ยให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 76,225,868.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 62,550,454.47 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 200,000 บาท และชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 200,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติได้ว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4304/2554 ของศาลชั้นต้น ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ นายประพันธ์ และจำเลย ร่วมกันคืนหุ้นสามัญของโจทก์ มูลค่าหุ้นละ 1 บาท ระบุชื่อนายวรรโณทัย เป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 672,000 หุ้น ให้แก่นายวรรณพงษ์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวรรโณทัย กับพวก ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าว หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาหุ้นตามราคาที่มีการซื้อขายครั้งสุดท้ายในวันที่มีการใช้ราคา แต่ต้องไม่ต่ำกว่าราคาหุ้นละ 314.38 บาท และร่วมกันชดใช้เงินปันผล 1,344,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับเงินปันผลที่โจทก์ประกาศจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะคืนใบหุ้นหรือใช้ราคาหุ้นเสร็จ ให้นางดวงกมล นายสบสันติ์ ร่วมรับผิดกับโจทก์ นายประพันธ์ และจำเลยในการคืนหุ้นของโจทก์จำนวน 5,000 หุ้น หรือใช้ราคาแทนหุ้นจำนวนดังกล่าว กับชดใช้เงินปันผล 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะคืนหุ้นหรือใช้ราคาแทน ให้โจทก์ นายประพันธ์และจำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนนายวรรณพงษ์กับพวก โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000,000 บาท และร่วมกันชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 1,000,000 บาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนนายวรรณพงษ์กับพวก โดยกำหนดค่าทนายความ 100,000 บาท ต่อมาวันที่ 21 มกราคม 2559 โจทก์และจำเลยตกลงจะชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวโดยมีรายละเอียดตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 ในวันเดียวกันโจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยนำหุ้นของโจทก์ 672,000 หุ้น เงินปันผล พร้อมดอกเบี้ยไปวางต่อศาลเพื่อชำระหนี้แก่นายวรรณพงษ์กับพวก รวมเป็นเงิน 337,557,046.77 บาท วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 บริษัท ม. ผู้รับประกันภัยตามกรมธรรม์ความรับผิดทางวิชาชีพสถาบันการเงินของจำเลยได้ชำระเงิน 106,228,068.92 บาท แก่โจทก์แทนจำเลย วันที่ 2 เมษายน 2561 โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินอ้างว่ายังขาดอีก 62,550,454.47 บาท และเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2562 ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้นายประพันธ์ชำระเงิน 149,199,984.89 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว โดยศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทำไปในทางการที่จ้างชอบที่จะได้รับชดใช้จากลูกจ้างเฉพาะแต่ค่าสินไหมทดแทนที่ได้ใช้ให้แก่บุคคลภายนอกไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยยังต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนให้แก่โจทก์อีกหรือไม่ เห็นว่า ตามคำพิพากษาในคดีก่อนศาลฎีกามีคำวินิจฉัยในส่วนความรับผิดของโจทก์เพียงข้อหาเดียวว่า โจทก์เป็นนายจ้างของนายประพันธ์และนายประพันธ์ได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้าง โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อน และวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยโดยสรุปว่า จำเลยดำเนินการด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายประพันธ์มีโอกาสเบียดบังเอาหุ้นของโจทก์ที่มีชื่อนายวรรโณทัยเป็นผู้ถือหุ้นไปโดยทุจริต จึงเป็นการกระทำละเมิดต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนด้วย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลในคดีก่อนว่า นายประพันธ์กับจำเลยเป็นผู้ทำละเมิดและต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และเมื่อเป็นหนี้ร่วม นายประพันธ์และจำเลยจึงต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 296 ส่วนโจทก์ต้องรับผิดในฐานะเป็นนายจ้างของนายประพันธ์เท่านั้น ความรับผิดของโจทก์และนายประพันธ์จึงเสมือนเป็นบุคคลเดียวกันที่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยในการชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 และเนื่องจากเป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษา โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกับนายประพันธ์และจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 แต่ความรับผิดของโจทก์นั้น เป็นผลมาจากบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติให้นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างซึ่งได้กระทำละเมิดไปในทางการที่จ้างด้วย มิได้เป็นผลมาจากการกระทำของโจทก์แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อโจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนไปแล้ว ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับชดใช้จากนายประพันธ์ ผู้เป็นลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426 และรับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยจากจำเลยได้อีกส่วนหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 227 ตามฎีกาของจำเลยก็ยอมรับถึงสิทธิของโจทก์ในข้อนี้ว่าโจทก์มีสิทธิไล่เบี้ยจากจำเลยได้และมีสิทธิไล่เบี้ยจากนายประพันธ์ได้เต็มจำนวนตามส่วนที่เป็นความรับผิดของนายประพันธ์ตามมาตรา 426 ข้อโต้แย้งตามฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ จำเลย และนายประพันธ์เป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษาในคดีก่อน จึงต้องแบ่งความรับผิดในระหว่างลูกหนี้ร่วมด้วยกันคนละหนึ่งในสามส่วน หากจำเลยและนายประพันธ์ต้องรับผิดคนละกึ่งหนึ่งเท่ากับโจทก์ไม่ต้องรับผิดเลย และไม่ตรงตามที่ศาลมีคำพิพากษาที่ให้โจทก์ จำเลย และนายประพันธ์ร่วมกันชดใช้ความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามในคดีก่อน จึงต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้ร่วมทำละเมิดด้วย จึงฟังไม่ขึ้น และที่จำเลยฎีกาว่า หลังจากคดีก่อนถึงที่สุดแล้ว โจทก์และจำเลยมีเจตนาที่จะร่วมกันชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว จึงมีการทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการชำระหนี้ดังกล่าวตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 โดยมีการตกลงกำหนดสัดส่วนความรับผิดคนละหนึ่งในสามส่วน อันมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและมีผลผูกพันต่อกัน หลังจากนั้น บริษัท ม. ผู้รับประกันภัยของจำเลยได้ชำระหนี้ในส่วนที่เป็นความรับผิดของจำเลยจำนวนหนึ่งในสามส่วนให้แก่โจทก์ จำเลยจึงหลุดพ้นความรับผิดแล้วนั้น เห็นว่า โจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 หลังจากคดีก่อนถึงที่สุด ซึ่งโจทก์นำสืบโดยมีนางภัทรวรรณ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นพยานเบิกความในปัญหาข้อนี้สรุปความได้ว่า หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีก่อน โจทก์ จำเลย และบริษัท ม. ผู้รับประกันภัยของจำเลย มีการประชุมร่วมกันเกี่ยวกับการชำระหนี้ตามคำพิพากษา ในการประชุมดังกล่าวฝ่ายโจทก์เห็นว่าตามคำพิพากษาโจทก์รับผิดกึ่งหนึ่งในฐานะนายจ้างของนายประพันธ์และจำเลยต้องรับผิดอีกกึ่งหนึ่ง แต่บริษัท ม. ซึ่งจะชำระหนี้แทนจำเลยมีความเห็นว่าจำเลยต้องรับผิดเพียงหนึ่งในสามส่วน จึงตกลงกันไม่ได้ แต่โจทก์และจำเลยต้องการชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเพื่อรักษาชื่อเสียงและภาพลักษณ์ทางธุรกิจของโจทก์และจำเลย จึงมีการทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 โดยให้โจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้น และให้บริษัท ม. ชำระหนี้จำนวนหนึ่งในสามส่วนก่อน แล้วจะไปเจรจาเพื่อหาข้อยุติกันในภายหลัง นางภัทรวรรณเป็นผู้ร่วมเจรจาหาข้อยุติในการประชุมดังกล่าวและลงชื่อเป็นพยานในบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 ด้วย ย่อมทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเจรจาและการทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงเชื่อว่าเหตุที่มีการทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 ก็เนื่องจากโจทก์และจำเลยกับบริษัท ม. มีความเห็นขัดแย้งกันเรื่องสัดส่วนความรับผิดตามคำพิพากษาคดีก่อนในระหว่างลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกันว่าจำเลยต้องรับผิดกึ่งหนึ่งหรือหนึ่งในสาม จึงเป็นไปไม่ได้ที่โจทก์จะยินยอมตกลงให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวเพียงหนึ่งในสามส่วน ทั้ง ๆ ที่ยังมีความเห็นขัดแย้งกันอยู่ และในการทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 นายประพันธ์ผู้ทำละเมิดและเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาอีกคนหนึ่งไม่ได้ร่วมทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์และจำเลย บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันนายประพันธ์ ดังนั้น หนี้ในส่วนที่เป็นความรับผิดของนายประพันธ์ตามที่ระบุในบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.27 จึงต้องถือว่ายังมิได้มีการตกลงกัน นอกจากนี้หากจำเลยรับผิดชำระหนี้เพียงหนึ่งในสามส่วน โจทก์และนายประพันธ์ซึ่งต้องรับผิดในคดีก่อนเสมือนเป็นบุคคลเดียวกันตามที่ได้วินิจฉัยแล้วจะต้องร่วมกันรับผิดชำระหนี้ถึงสองในสามส่วนอันเป็นความรับผิดในระหว่างลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกันเกินกว่าที่ต้องรับผิดตามคำพิพากษา ย่อมขัดกับข้อ 7 ของบันทึกข้อตกลงดังกล่าวที่ระบุว่า การลงนามตามบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ไม่ถือเป็นการยอมรับผิดเกี่ยวกับหนี้ตามคำพิพากษาจำนวนใด ๆ ระหว่างจำเลยร่วมในคำพิพากษาศาลฎีกาเกินกว่าที่ต้องรับผิดตามคำพิพากษานั้นด้วย ส่วนที่จำเลยอ้างว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 มีลักษณะเป็นสัญญาสองฝ่ายระหว่างโจทก์และจำเลยที่ต้องการระงับข้อพิพาทอันอาจมีขึ้นระหว่างกันโดยต่างยอมผ่อนผันแก่กันเกี่ยวกับความรับผิดในภาระหนี้ตามคำพิพากษาคดีก่อน บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ และความรับผิดในส่วนที่เป็นของนายประพันธ์ตามข้อ 4.3 ไม่ได้มีข้อความในบันทึกข้อตกลงว่าจะมีการเจรจาตกลงกันใหม่ให้จำเลยต้องรับผิดเกินกว่าหนึ่งในสามส่วน และนางภัทรวรรณ พยานโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านยอมรับว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 ไม่ได้มีข้อความสงวนสิทธิว่าโจทก์จะไปเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เพิ่มจากหนึ่งในสามส่วนอีก ดังนั้นหลังจากบริษัท ม. ได้ชำระหนี้คืนให้แก่โจทก์หนึ่งในสามส่วนแทนจำเลยตามบันทึกข้อตกลงแล้ว หนี้ในส่วนของจำเลยจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 นั้น เห็นว่า ตามคำให้การจำเลยมิได้ต่อสู้คดีว่าโจทก์และจำเลยได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันอันมีผลทำให้ข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยระงับสิ้นไปแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ และที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ในข้ออื่นของจำเลยโดยอ้างว่าไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง เป็นการไม่ชอบ เพราะอุทธรณ์ของจำเลยที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยเป็นปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในสาระสำคัญและมีผลต่อคำวินิจฉัยของศาลโดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ นั้น เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ในข้อใดเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ตามที่เห็นสมควร หากเห็นว่าแม้จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ไปอย่างไรก็ไม่ทำให้ผลคดีตามที่ได้วินิจฉัยแล้วเปลี่ยนแปลงไป ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ในข้อนั้นได้ และที่จำเลยอ้างเหตุผลในฎีกาข้อนี้ว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์ยกขึ้นอ้างไม่ตรงกับข้อโต้แย้งกันในคดีนี้นั้นก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3091/2535 ที่จำเลยอ้างมาในฎีกา ข้อเท็จจริงและประเด็นที่โต้แย้งกันไม่ตรงกับคดีนี้ เมื่อคดีก่อนศาลวินิจฉัยโดยฟังว่า นายประพันธ์และจำเลยเป็นผู้ทำละเมิด ส่วนโจทก์ต้องร่วมรับผิดฐานเป็นนายจ้างของนายประพันธ์ การแบ่งความรับผิดระหว่างลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกันจึงต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยนายประพันธ์กับโจทก์ร่วมกันรับผิดกึ่งหนึ่ง และจำเลยรับผิดอีกกึ่งหนึ่ง และบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.27 เป็นเพียงข้อตกลงให้โจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนให้เสร็จสิ้น กับให้จำเลยโดยบริษัท ม. ชำระหนี้ตามความรับผิดของจำเลยหนึ่งในสามส่วนไปก่อนเท่านั้น จำเลยจึงยังต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนที่ขาดจำนวนจากความรับผิดในส่วนของจำเลยเป็นเงินอีก 62,550,454.47 บาท ให้แก่โจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น เนื่องจากได้มีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งตามมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามลำดับ และให้ใช้ข้อความใหม่แทน อันมีผลให้ในกรณีที่ต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือบทกฎหมายโดยชัดแจ้ง ก็ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี และในกรณีที่เป็นหนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เว้นแต่เจ้าหนี้อาจเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย แต่ทั้งนี้ไม่กระทบถึงการคิดดอกเบี้ยก่อนที่พระราชกำหนดดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดชำระให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่แก้ไขใหม่ และปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้ไขโดยกำหนดดอกเบี้ยให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติที่โจทก์นำเข้ามาตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทมีชิ้นส่วนอุปกรณ์ชุดหัวเทียน (Spark Plug) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่สำคัญที่แสดงให้เห็นว่าชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติที่โจทก์นำเข้ามานั้นเป็นระบบเชื้อเพลิงเดียว (Dedicated) ชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติที่โจทก์นำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทจึงไม่ใช่ชุดอุปกรณ์การใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลโดยอัตโนมัติ (ดีเซล ดูเอล ฟูแอล คอนเวอร์ชัน คิท) ที่ใช้เชื้อเพลิงร่วมระหว่างก๊าชธรรมชาติกับน้ำมันดีเซล ไม่จัดเป็นของตามพิกัดอัตราศุลกากร ประเภทย่อย 9032.89 (รายการ - - ที่ 4) และ 9032.89.39 รหัสย่อย 03 (ตามช่วงเวลานำเข้า) ที่จะได้รับยกเว้นอากร ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2548 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 10) ลงวันที่ 21 เมษายน 2552 และบัญชีท้ายประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าว ดังนั้น สินค้าชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลโดยอัตโนมัติที่โจทก็นำเข้าจึงจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย 9032.89 อื่น ๆ และ 9032.89.39 รหัสย่อย 29 อื่น ๆ (ตามช่วงเวลานำเข้า) อัตราอากรร้อยละ 10
โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทโดยสำแดงพิกัดอัตราศุลกากรไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้ชำระอากรขาเข้าขาดพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงได้แจ้งการประเมินไปยังโจทก์ให้ชำระอากรที่ขาด ไม่ใช่กรณีคำนวณอากรผิดซึ่งมีอายุความ 2 ปี นับจากวันที่นำของเข้า แต่เป็นกรณีมีอายุความ 10 ปี นับจากวันที่นำของเข้าไม่ว่าเป็นกรณีมีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/31 หรือกรณีไม่มีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยง แต่จำเลยที่ 1 เรียกอากรที่ขาดไปเพราะเหตุเกี่ยวกับอัตราอากรสำหรับของใด ๆ ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคสาม ที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุ ดังนั้น ไม่ว่ามีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรหรือไม่ ก็มีอายุความ 10 ปี นับจากวันที่นำของเข้าแตกต่างเฉพาะตัวบทกฎหมายที่อ้างอิงเท่านั้น เมื่อปรากฎข้อเท็จจริงว่าโจทก์นำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าพิพาทระหว่างวันที่ 19 สิงหาคม 2549 ถึง วันที่ 5 พฤศจิกายน 2550 และระหว่างวันที่ 24 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2552 โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมิน เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2556 ซึ่งการประเมินดังกล่าวเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ใช้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบังคับไว้เพื่อใช้สิทธิเรียกร้องในทางหนี้ภาษีอากรภายในอายุความ 10 ปี นับจากวันที่นำของเข้า และถือเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิของเจ้าหนี้ได้กระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดี อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (5) นับแต่วันที่โจทก์ได้รับแจ้งการประเมิน สิทธิเรียกร้องค่าภาษีอากรของจำเลยที่ 1 จึงไม่ขาดอายุความฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงเหตุที่ไม่ต้องรับผิดในเบี้ยปรับเงินเพิ่มอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มและยังขอให้ศาลลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์แล้ว แม้จะไม่ได้ระบุไว้ในคำขอท้ายฟ้องให้ชัดเจนว่า ขอให้ศาลลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องและการที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องข้อ 2. ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเพิกถอนการเรียกเก็บอากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ พอจะอนุมานได้ว่าการขอให้เพิกถอนการเรียกเก็บเบี้ยปรับและเงินเพิ่มดังกล่าวหมายความรวมถึงการขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มด้วยนั่นเอง ทั้งศาลภาษีอากรกลางได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ด้วยว่า โจทก์ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มหรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองไม่วินิจฉัยในประเด็นนี้เพราะเห็นว่าเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องจึงไม่ชอบ เห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวโดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยก่อน สำหรับในส่วนเงินเพิ่มอากรขาเข้านั้น เห็นว่า โจทก์และผู้ประกอบการที่นำเข้าชุดควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลต่างเข้าใจโดยสุจริตว่า ชุดอุปกรณ์สำหรับดัดแปลงเครื่องยนต์ดีเซลให้ใช้ก๊าซธรรมชาติระบบเดียว (Dedicated NGV) ที่ใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติร้อยเปอร์เซนต์ ได้รับยกเว้นอากรตามประกาศกระทรวงการคลัง โจทก์จึงไม่มีเจตนาที่จะสำแดงประเภทพิกัดของสินค้าพิพาทเป็นเท็จ กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าความรับผิดของโจทก์ในการชำระค่าอากรที่ขาดเกิดจากการที่โจทก์สำแดงเท็จในใบขนสินค้าตามฟ้อง แต่ต้องด้วยกรณีที่ไม่ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มเมื่อมีการชำระอากรเพิ่ม เนื่องจากเป็นกรณีที่มีการตรวจเก็บอากรขาด และเจ้าหน้าที่ผู้สำรวจอากรตรวจพบตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 3 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิเรียกให้โจทก์ชำระเงินเพิ่มตามมาตรา 112 จัตวา วรรคหนึ่ง สำหรับในส่วนเงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มอันสืบเนื่องจากโจทก์สำแดงพิกัดอัตราศุลกากรไม่ถูกต้องด้วยความเข้าใจของโจทก์เอง กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะงดหรือลดเงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่โจทก์ แต่ในส่วนเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น เมื่อโจทก์สำแดงพิกัดอัตราศุลกากรในสินค้าพิพาทโดยความเข้าใจที่สุจริตประกอบกับโจทก์ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบภาษี จึงให้ลดเบี้ยปรับลงเหลือร้อยละ 50
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมิน/การเรียกเก็บอากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินเพิ่ม และเบี้ยปรับ ตามแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) เลขที่ 3300161/29 - 3 - 56 ถึง 3300190/29 - 3 - 56 และ 3302036/29 - 3 - 56 ถึง 3302047/1 - 4 - 56 (ที่ถูกคือ ที่ กค0521 (6) 3300161/29 - 03 - 2556 ถึง 3300190/29 - 03 - 2556 และ กค0521 (6) 3-3-02036 ถึง 3-3-02047) เพิกถอนการเรียกเก็บอากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ 42 ฉบับ เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ กอ40.3/22/2562/ป3/2562 (3.7) ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2562
จำเลยทั้งแปดให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยทั้งแปดรวมเป็นเงิน 40,000 บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมอื่นให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลภาษีอากรกลางรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 เรียกเก็บเงินเพิ่มอากรขาเข้าจากโจทก์ได้ไม่เกินกว่าอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียม และค่าทนายความชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า สินค้าพิพาทจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย 9032.89 อื่น ๆ และ 9032.89.39 รหัสย่อย 29 อื่น ๆ (ตามช่วงเวลานำเข้า) หรือไม่ เห็นว่า ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2548 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 10) ลงวันที่ 21 เมษายน 2552 และบัญชีท้ายประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะโจทก์นำเข้าสินค้าพิพาท ระบุพิกัดประเภทย่อย 9032.89 (รายการ - - ที่ 4) และ 9032.89.39 รหัสย่อย 03 ตามช่วงเวลานำเข้าว่า เฉพาะชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลโดยอัตโนมัติ ประเภทภายในวงเล็บ คือ ดีเซล ดูเอล ฟูแอล คอนเวอร์ชัน คิท เท่านั้น ที่ได้รับยกเว้นอากรตามช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งการจะจัดสินค้าพิพาทว่าอยู่ในประเภทพิกัดใดจึงต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ โดยหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร ข้อ 1 บัญญัติว่า “...การจำแนกประเภทให้จำแนกตามความของประเภทนั้น ๆ ตามหมายเหตุของหมวดหรือของตอนที่เกี่ยวข้องและตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ หากว่าประเภทหรือหมายเหตุดังกล่าวไม่ได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ข้อ 3 บัญญัติว่า “ของที่อาจจำแนกประเภทได้ตั้งแต่สองประเภทขึ้นไป...ให้จำแนกประเภทโดยถือหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ ...(ข) ของผสม ของรวม ที่ประกอบด้วยวัตถุต่างชนิดกันหรือทำขึ้นจากองค์ประกอบต่างกันและของที่จัดทำขึ้นเป็นชุดเพื่อการขายปลีก ซึ่งไม่อาจจำแนกประเภทตามหลักเกณฑ์ข้อ 3 (ก) ได้ ให้จำแนกประเภทโดยถือเสมือนว่าของนั้นประกอบด้วยวัตถุหรือองค์ประกอบที่แสดงลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของนั้นเท่าที่จะใช้หลักนี้ได้...” และข้อ 6 บัญญัติว่า “ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทของของเข้าในประเภทย่อยของประเภทใดประเภทหนึ่งให้เป็นไปตามความของประเภทย่อยที่เกี่ยวข้องและตามหลักเกณฑ์ข้างต้นโดยอนุโลม โดยพิจารณาเปรียบเทียบในระหว่างประเภทย่อยที่อยู่ในระดับเดียวกัน ตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์นี้ให้ใช้หมายเหตุของหมวดและของตอนที่เกี่ยวข้องด้วย เว้นแต่จะมีข้อความระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ...พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติที่โจทก์นำเข้ามาตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทมีชิ้นส่วนอุปกรณ์ชุดหัวเทียน (Spark Plug) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่สำคัญที่แสดงให้เห็นว่าชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติที่โจทก์นำเข้ามานั้นเป็นระบบเชื้อเพลิงเดียว (Dedicated) ชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติที่โจทก์นำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทจึงไม่ใช่ชุดอุปกรณ์การใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลโดยอัตโนมัติ (ดีเซล ดูเอล ฟูแอล คอนเวอร์ชัน คิท) ที่ใช้เชื้อเพลิงร่วมระหว่างก๊าซธรรมชาติกับน้ำมันดีเซล ไม่จัดเป็นของตามพิกัดอัตราศุลกากร ประเภทย่อย 9032.89 (รายการ - - ที่ 4) และ 9032.89.39 รหัสย่อย 03 (ตามช่วงเวลานำเข้า) ที่จะได้รับยกเว้นอากร ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2548 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 10) ลงวันที่ 21 เมษายน 2552 และบัญชีท้ายประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าว ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติที่โจทก์นำเข้าจัดอยู่ในประเภทย่อย 9032.89 (รายการ - - ที่ 1) และ 9032.89.39 รหัสย่อย 01 (ตามช่วงเวลานำเข้า) นั้น เห็นว่า โจทก์ไม่ได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในฟ้อง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลภาษีอากรกลาง ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252, 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26 ดังนั้น สินค้าชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลโดยอัตโนมัติที่โจทก์นำเข้าจึงจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากร ประเภทย่อย 9032.89 อื่น ๆ และ 9032.89.39 รหัสย่อย 29 อื่น ๆ (ตามช่วงเวลานำเข้า) ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2548 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 10) ลงวันที่ 21 เมษายน 2552 อัตราอากรร้อยละ 10 การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ในส่วนนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อมาว่า สิทธิเรียกร้องค่าภาษีอากรของจำเลยที่ 1 ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทโดยสำแดงพิกัดอัตราศุลกากรไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้ชำระอากรขาเข้าขาด พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงได้แจ้งการประเมินไปยังโจทก์ให้ชำระอากรที่ขาด ไม่ใช่กรณีคำนวณอากรผิดซึ่งมีอายุความ 2 ปี นับจากวันที่นำของเข้า ตามที่โจทก์ฎีกา แต่เป็นกรณีมีอายุความ 10 ปี นับจากวันที่นำของเข้าไม่ว่าเป็นกรณีมีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/31 หรือกรณีไม่มีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยง แต่จำเลยที่ 1 เรียกอากรที่ขาดไปเพราะเหตุเกี่ยวกับอัตราอากรสำหรับของใด ๆ ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคสาม ดังนั้น ไม่ว่ามีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรหรือไม่ ก็มีอายุความ 10 ปี นับจากวันที่นำของเข้า แตกต่างเฉพาะตัวบทกฎหมายที่อ้างอิงเท่านั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์นำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าพิพาทระหว่างวันที่ 19 สิงหาคม 2549 ถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2550 และระหว่างวันที่ 24 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2552 โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2556 ซึ่งการประเมินดังกล่าวเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ใช้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบังคับไว้เพื่อใช้สิทธิเรียกร้องในทางหนี้ภาษีอากรภายในอายุความ 10 ปี นับจากวันที่นำของเข้า และถือเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิของเจ้าหนี้ได้กระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดี อายุความย่อมสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (5) นับแต่วันที่โจทก์ได้รับแจ้งการประเมิน สิทธิเรียกร้องค่าภาษีอากรของจำเลยที่ 1 จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อมาว่า ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมิได้วินิจฉัยประเด็นการลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์เป็นการไม่ชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์นำเข้าสินค้าชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติสำแดงพิกัดด้วยความสุจริต โจทก์ไม่มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการเสียอากรในสินค้านำเข้าแต่อย่างใด โจทก์ได้กระทำตามหลักเกณฑ์ขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนดทุกประการโดยสุจริต โปร่งใส ไม่เคยมีประวัติเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงภาษีอากร จำเลยทั้งแปดไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับ เงินเพิ่มใด ๆ จากโจทก์ โจทก์มิได้จงใจไม่ชำระเงินอากรให้ครบถ้วนและไม่ได้มีเจตนาไม่ชำระค่าอากร แต่เกิดจากการที่โจทก์และจำเลยทั้งแปดตีความเรื่องการนำเข้าสินค้าชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติอยู่ในประเภทพิกัดไม่ตรงกัน ขอให้ศาลภาษีอากรกลางโปรดงดหรือลดเงินเพิ่มและงดหรือลดเบี้ยปรับ ตามแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) 42 ฉบับ ให้แก่โจทก์ด้วย และมีคำขอท้ายฟ้องว่า ข้อ 1. ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเพิกถอนแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม เลขที่ ... ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ทั้งสิ้น ข้อ 2. ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเพิกถอนการเรียกเก็บอากรภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ 42 ฉบับ ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ทั้งสิ้น ข้อ 3. ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเพิกถอนคำวินิจฉัยที่ กอ40.3/22/2562/ป3/2562(3.7) ฉบับลงวันที่ 16 สิงหาคม 2562 ของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 เห็นได้ว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงเหตุที่ไม่ต้องรับผิดในเบี้ยปรับเงินเพิ่มอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มและยังขอให้ศาลลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์แล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุไว้ในคำขอท้ายฟ้องให้ชัดเจนว่า ขอให้ศาลลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องและการที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องข้อ 2. ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเพิกถอนการเรียกเก็บอากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ พอจะอนุมานได้ว่าการขอให้เพิกถอนการเรียกเก็บเบี้ยปรับและเงินเพิ่มดังกล่าวหมายความรวมถึงการขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มด้วยนั่นเอง ทั้งศาลภาษีอากรกลางได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ด้วยว่า โจทก์ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มหรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองไม่วินิจฉัยในประเด็นนี้เพราะเห็นว่าเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 และมาตรา 24 จึงไม่ชอบ แต่เมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายได้นำสืบพยานหลักฐานมาครบถ้วนกระบวนความแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและไม่ให้คดีต้องเนิ่นช้าออกไป เห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวโดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยก่อน สำหรับในส่วนเงินเพิ่มอากรขาเข้านั้นพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า โจทก์และผู้ประกอบการที่นำเข้าชุดควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลต่างเข้าใจโดยสุจริตว่า ชุดอุปกรณ์สำหรับดัดแปลงเครื่องยนต์ดีเซลให้ใช้ก๊าซธรรมชาติระบบเดียว (Dedicated NGV) ที่ใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติร้อยเปอร์เซนต์ ได้รับยกเว้นอากรตามประกาศกระทรวงการคลัง โจทก์จึงไม่มีเจตนาที่จะสำแดงประเภทพิกัดของสินค้าพิพาทเป็นเท็จ กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าความรับผิดของโจทก์ในการชำระค่าอากรที่ขาดเกิดจากการที่โจทก์สำแดงเท็จในใบขนสินค้าตามฟ้อง แต่ต้องด้วยกรณีที่ไม่ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มเมื่อมีการชำระอากรเพิ่ม เนื่องจากเป็นกรณีที่มีการตรวจเก็บอากรขาด และเจ้าหน้าที่ผู้สำรวจอากรตรวจพบตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 3 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิเรียกให้โจทก์ชำระเงินเพิ่ม ตามมาตรา 112 จัตวา วรรคหนึ่ง สำหรับในส่วนเงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มอันสืบเนื่องจากโจทก์สำแดงพิกัดอัตราศุลกากรไม่ถูกต้องด้วยความเข้าใจของโจทก์เองกรณีจึงไม่มีเหตุที่จะงดหรือลดเงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่โจทก์ แต่ในส่วนเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น เมื่อโจทก์สำแดงพิกัดอัตราศุลกากรในสินค้าพิพาทโดยความเข้าใจที่สุจริตประกอบกับโจทก์ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบภาษี จึงให้ลดเบี้ยปรับลงเหลือร้อยละ 50
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แก้ไขแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) ที่ กค 0521 (6) 3300161/29-03-2556 ถึง 3300190/29-03-2556 และ ที่ กค 0521 (6)/3-3-02036 ถึง 3-3-02047 รวม 42 ฉบับ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ กอ40.3/22/2562/ป3/2562(3.7) ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2562 โดยให้โจทก์ไม่ต้องรับผิดเงินเพิ่มอากรขาเข้า และให้ลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มลงเหลือร้อยละ 50 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติที่โจทก์นำเข้ามาตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทมีชิ้นส่วนอุปกรณ์ชุดหัวเทียน (Spark Plug) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่สำคัญที่แสดงให้เห็นว่าชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติที่โจทก์นำเข้ามานั้นเป็นระบบเชื้อเพลิงเดียว (Dedicated) ชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติที่โจทก์นำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทจึงไม่ใช่ชุดอุปกรณ์การใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลโดยอัตโนมัติ (ดีเซล ดูเอล ฟูแอล คอนเวอร์ชัน คิท) ที่ใช้เชื้อเพลิงร่วมระหว่างก๊าชธรรมชาติกับน้ำมันดีเซล ไม่จัดเป็นของตามพิกัดอัตราศุลกากร ประเภทย่อย 9032.89 (รายการ - - ที่ 4) และ 9032.89.39 รหัสย่อย 03 (ตามช่วงเวลานำเข้า) ที่จะได้รับยกเว้นอากร ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2548 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 10) ลงวันที่ 21 เมษายน 2552 และบัญชีท้ายประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าว ดังนั้น สินค้าชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลโดยอัตโนมัติที่โจทก็นำเข้าจึงจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย 9032.89 อื่น ๆ และ 9032.89.39 รหัสย่อย 29 อื่น ๆ (ตามช่วงเวลานำเข้า) อัตราอากรร้อยละ 10
โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทโดยสำแดงพิกัดอัตราศุลกากรไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้ชำระอากรขาเข้าขาดพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงได้แจ้งการประเมินไปยังโจทก์ให้ชำระอากรที่ขาด ไม่ใช่กรณีคำนวณอากรผิดซึ่งมีอายุความ 2 ปี นับจากวันที่นำของเข้า แต่เป็นกรณีมีอายุความ 10 ปี นับจากวันที่นำของเข้าไม่ว่าเป็นกรณีมีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/31 หรือกรณีไม่มีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยง แต่จำเลยที่ 1 เรียกอากรที่ขาดไปเพราะเหตุเกี่ยวกับอัตราอากรสำหรับของใด ๆ ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคสาม ที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุ ดังนั้น ไม่ว่ามีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรหรือไม่ ก็มีอายุความ 10 ปี นับจากวันที่นำของเข้าแตกต่างเฉพาะตัวบทกฎหมายที่อ้างอิงเท่านั้น เมื่อปรากฎข้อเท็จจริงว่าโจทก์นำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าพิพาทระหว่างวันที่ 19 สิงหาคม 2549 ถึง วันที่ 5 พฤศจิกายน 2550 และระหว่างวันที่ 24 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2552 โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมิน เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2556 ซึ่งการประเมินดังกล่าวเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ใช้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบังคับไว้เพื่อใช้สิทธิเรียกร้องในทางหนี้ภาษีอากรภายในอายุความ 10 ปี นับจากวันที่นำของเข้า และถือเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิของเจ้าหนี้ได้กระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดี อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (5) นับแต่วันที่โจทก์ได้รับแจ้งการประเมิน สิทธิเรียกร้องค่าภาษีอากรของจำเลยที่ 1 จึงไม่ขาดอายุความฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงเหตุที่ไม่ต้องรับผิดในเบี้ยปรับเงินเพิ่มอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มและยังขอให้ศาลลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์แล้ว แม้จะไม่ได้ระบุไว้ในคำขอท้ายฟ้องให้ชัดเจนว่า ขอให้ศาลลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องและการที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องข้อ 2. ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเพิกถอนการเรียกเก็บอากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ พอจะอนุมานได้ว่าการขอให้เพิกถอนการเรียกเก็บเบี้ยปรับและเงินเพิ่มดังกล่าวหมายความรวมถึงการขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มด้วยนั่นเอง ทั้งศาลภาษีอากรกลางได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ด้วยว่า โจทก์ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มหรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองไม่วินิจฉัยในประเด็นนี้เพราะเห็นว่าเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องจึงไม่ชอบ เห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวโดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยก่อน สำหรับในส่วนเงินเพิ่มอากรขาเข้านั้น เห็นว่า โจทก์และผู้ประกอบการที่นำเข้าชุดควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลต่างเข้าใจโดยสุจริตว่า ชุดอุปกรณ์สำหรับดัดแปลงเครื่องยนต์ดีเซลให้ใช้ก๊าซธรรมชาติระบบเดียว (Dedicated NGV) ที่ใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติร้อยเปอร์เซนต์ ได้รับยกเว้นอากรตามประกาศกระทรวงการคลัง โจทก์จึงไม่มีเจตนาที่จะสำแดงประเภทพิกัดของสินค้าพิพาทเป็นเท็จ กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าความรับผิดของโจทก์ในการชำระค่าอากรที่ขาดเกิดจากการที่โจทก์สำแดงเท็จในใบขนสินค้าตามฟ้อง แต่ต้องด้วยกรณีที่ไม่ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มเมื่อมีการชำระอากรเพิ่ม เนื่องจากเป็นกรณีที่มีการตรวจเก็บอากรขาด และเจ้าหน้าที่ผู้สำรวจอากรตรวจพบตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 3 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิเรียกให้โจทก์ชำระเงินเพิ่มตามมาตรา 112 จัตวา วรรคหนึ่ง สำหรับในส่วนเงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มอันสืบเนื่องจากโจทก์สำแดงพิกัดอัตราศุลกากรไม่ถูกต้องด้วยความเข้าใจของโจทก์เอง กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะงดหรือลดเงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่โจทก์ แต่ในส่วนเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น เมื่อโจทก์สำแดงพิกัดอัตราศุลกากรในสินค้าพิพาทโดยความเข้าใจที่สุจริตประกอบกับโจทก์ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบภาษี จึงให้ลดเบี้ยปรับลงเหลือร้อยละ 50
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมิน/การเรียกเก็บอากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินเพิ่ม และเบี้ยปรับ ตามแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) เลขที่ 3300161/29 - 3 - 56 ถึง 3300190/29 - 3 - 56 และ 3302036/29 - 3 - 56 ถึง 3302047/1 - 4 - 56 (ที่ถูกคือ ที่ กค0521 (6) 3300161/29 - 03 - 2556 ถึง 3300190/29 - 03 - 2556 และ กค0521 (6) 3-3-02036 ถึง 3-3-02047) เพิกถอนการเรียกเก็บอากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ 42 ฉบับ เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ กอ40.3/22/2562/ป3/2562 (3.7) ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2562
จำเลยทั้งแปดให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยทั้งแปดรวมเป็นเงิน 40,000 บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมอื่นให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลภาษีอากรกลางรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 เรียกเก็บเงินเพิ่มอากรขาเข้าจากโจทก์ได้ไม่เกินกว่าอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียม และค่าทนายความชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า สินค้าพิพาทจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย 9032.89 อื่น ๆ และ 9032.89.39 รหัสย่อย 29 อื่น ๆ (ตามช่วงเวลานำเข้า) หรือไม่ เห็นว่า ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2548 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 10) ลงวันที่ 21 เมษายน 2552 และบัญชีท้ายประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะโจทก์นำเข้าสินค้าพิพาท ระบุพิกัดประเภทย่อย 9032.89 (รายการ - - ที่ 4) และ 9032.89.39 รหัสย่อย 03 ตามช่วงเวลานำเข้าว่า เฉพาะชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลโดยอัตโนมัติ ประเภทภายในวงเล็บ คือ ดีเซล ดูเอล ฟูแอล คอนเวอร์ชัน คิท เท่านั้น ที่ได้รับยกเว้นอากรตามช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งการจะจัดสินค้าพิพาทว่าอยู่ในประเภทพิกัดใดจึงต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ โดยหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร ข้อ 1 บัญญัติว่า “...การจำแนกประเภทให้จำแนกตามความของประเภทนั้น ๆ ตามหมายเหตุของหมวดหรือของตอนที่เกี่ยวข้องและตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ หากว่าประเภทหรือหมายเหตุดังกล่าวไม่ได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ข้อ 3 บัญญัติว่า “ของที่อาจจำแนกประเภทได้ตั้งแต่สองประเภทขึ้นไป...ให้จำแนกประเภทโดยถือหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ ...(ข) ของผสม ของรวม ที่ประกอบด้วยวัตถุต่างชนิดกันหรือทำขึ้นจากองค์ประกอบต่างกันและของที่จัดทำขึ้นเป็นชุดเพื่อการขายปลีก ซึ่งไม่อาจจำแนกประเภทตามหลักเกณฑ์ข้อ 3 (ก) ได้ ให้จำแนกประเภทโดยถือเสมือนว่าของนั้นประกอบด้วยวัตถุหรือองค์ประกอบที่แสดงลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของนั้นเท่าที่จะใช้หลักนี้ได้...” และข้อ 6 บัญญัติว่า “ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทของของเข้าในประเภทย่อยของประเภทใดประเภทหนึ่งให้เป็นไปตามความของประเภทย่อยที่เกี่ยวข้องและตามหลักเกณฑ์ข้างต้นโดยอนุโลม โดยพิจารณาเปรียบเทียบในระหว่างประเภทย่อยที่อยู่ในระดับเดียวกัน ตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์นี้ให้ใช้หมายเหตุของหมวดและของตอนที่เกี่ยวข้องด้วย เว้นแต่จะมีข้อความระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ...พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติที่โจทก์นำเข้ามาตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทมีชิ้นส่วนอุปกรณ์ชุดหัวเทียน (Spark Plug) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่สำคัญที่แสดงให้เห็นว่าชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติที่โจทก์นำเข้ามานั้นเป็นระบบเชื้อเพลิงเดียว (Dedicated) ชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติที่โจทก์นำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทจึงไม่ใช่ชุดอุปกรณ์การใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลโดยอัตโนมัติ (ดีเซล ดูเอล ฟูแอล คอนเวอร์ชัน คิท) ที่ใช้เชื้อเพลิงร่วมระหว่างก๊าซธรรมชาติกับน้ำมันดีเซล ไม่จัดเป็นของตามพิกัดอัตราศุลกากร ประเภทย่อย 9032.89 (รายการ - - ที่ 4) และ 9032.89.39 รหัสย่อย 03 (ตามช่วงเวลานำเข้า) ที่จะได้รับยกเว้นอากร ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2548 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 10) ลงวันที่ 21 เมษายน 2552 และบัญชีท้ายประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าว ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติที่โจทก์นำเข้าจัดอยู่ในประเภทย่อย 9032.89 (รายการ - - ที่ 1) และ 9032.89.39 รหัสย่อย 01 (ตามช่วงเวลานำเข้า) นั้น เห็นว่า โจทก์ไม่ได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในฟ้อง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลภาษีอากรกลาง ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252, 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26 ดังนั้น สินค้าชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลโดยอัตโนมัติที่โจทก์นำเข้าจึงจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากร ประเภทย่อย 9032.89 อื่น ๆ และ 9032.89.39 รหัสย่อย 29 อื่น ๆ (ตามช่วงเวลานำเข้า) ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2548 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 10) ลงวันที่ 21 เมษายน 2552 อัตราอากรร้อยละ 10 การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ในส่วนนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อมาว่า สิทธิเรียกร้องค่าภาษีอากรของจำเลยที่ 1 ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทโดยสำแดงพิกัดอัตราศุลกากรไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้ชำระอากรขาเข้าขาด พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงได้แจ้งการประเมินไปยังโจทก์ให้ชำระอากรที่ขาด ไม่ใช่กรณีคำนวณอากรผิดซึ่งมีอายุความ 2 ปี นับจากวันที่นำของเข้า ตามที่โจทก์ฎีกา แต่เป็นกรณีมีอายุความ 10 ปี นับจากวันที่นำของเข้าไม่ว่าเป็นกรณีมีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/31 หรือกรณีไม่มีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยง แต่จำเลยที่ 1 เรียกอากรที่ขาดไปเพราะเหตุเกี่ยวกับอัตราอากรสำหรับของใด ๆ ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคสาม ดังนั้น ไม่ว่ามีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรหรือไม่ ก็มีอายุความ 10 ปี นับจากวันที่นำของเข้า แตกต่างเฉพาะตัวบทกฎหมายที่อ้างอิงเท่านั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์นำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าพิพาทระหว่างวันที่ 19 สิงหาคม 2549 ถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2550 และระหว่างวันที่ 24 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2552 โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2556 ซึ่งการประเมินดังกล่าวเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ใช้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบังคับไว้เพื่อใช้สิทธิเรียกร้องในทางหนี้ภาษีอากรภายในอายุความ 10 ปี นับจากวันที่นำของเข้า และถือเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิของเจ้าหนี้ได้กระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดี อายุความย่อมสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (5) นับแต่วันที่โจทก์ได้รับแจ้งการประเมิน สิทธิเรียกร้องค่าภาษีอากรของจำเลยที่ 1 จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อมาว่า ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมิได้วินิจฉัยประเด็นการลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์เป็นการไม่ชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์นำเข้าสินค้าชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติสำแดงพิกัดด้วยความสุจริต โจทก์ไม่มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการเสียอากรในสินค้านำเข้าแต่อย่างใด โจทก์ได้กระทำตามหลักเกณฑ์ขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนดทุกประการโดยสุจริต โปร่งใส ไม่เคยมีประวัติเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงภาษีอากร จำเลยทั้งแปดไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับ เงินเพิ่มใด ๆ จากโจทก์ โจทก์มิได้จงใจไม่ชำระเงินอากรให้ครบถ้วนและไม่ได้มีเจตนาไม่ชำระค่าอากร แต่เกิดจากการที่โจทก์และจำเลยทั้งแปดตีความเรื่องการนำเข้าสินค้าชุดอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติอยู่ในประเภทพิกัดไม่ตรงกัน ขอให้ศาลภาษีอากรกลางโปรดงดหรือลดเงินเพิ่มและงดหรือลดเบี้ยปรับ ตามแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) 42 ฉบับ ให้แก่โจทก์ด้วย และมีคำขอท้ายฟ้องว่า ข้อ 1. ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเพิกถอนแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม เลขที่ ... ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ทั้งสิ้น ข้อ 2. ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเพิกถอนการเรียกเก็บอากรภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ 42 ฉบับ ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ทั้งสิ้น ข้อ 3. ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเพิกถอนคำวินิจฉัยที่ กอ40.3/22/2562/ป3/2562(3.7) ฉบับลงวันที่ 16 สิงหาคม 2562 ของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 เห็นได้ว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงเหตุที่ไม่ต้องรับผิดในเบี้ยปรับเงินเพิ่มอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มและยังขอให้ศาลลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์แล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุไว้ในคำขอท้ายฟ้องให้ชัดเจนว่า ขอให้ศาลลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องและการที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องข้อ 2. ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเพิกถอนการเรียกเก็บอากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินเพิ่มและเบี้ยปรับ พอจะอนุมานได้ว่าการขอให้เพิกถอนการเรียกเก็บเบี้ยปรับและเงินเพิ่มดังกล่าวหมายความรวมถึงการขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มด้วยนั่นเอง ทั้งศาลภาษีอากรกลางได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ด้วยว่า โจทก์ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มหรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองไม่วินิจฉัยในประเด็นนี้เพราะเห็นว่าเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 และมาตรา 24 จึงไม่ชอบ แต่เมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายได้นำสืบพยานหลักฐานมาครบถ้วนกระบวนความแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและไม่ให้คดีต้องเนิ่นช้าออกไป เห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวโดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยก่อน สำหรับในส่วนเงินเพิ่มอากรขาเข้านั้นพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า โจทก์และผู้ประกอบการที่นำเข้าชุดควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลต่างเข้าใจโดยสุจริตว่า ชุดอุปกรณ์สำหรับดัดแปลงเครื่องยนต์ดีเซลให้ใช้ก๊าซธรรมชาติระบบเดียว (Dedicated NGV) ที่ใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติร้อยเปอร์เซนต์ ได้รับยกเว้นอากรตามประกาศกระทรวงการคลัง โจทก์จึงไม่มีเจตนาที่จะสำแดงประเภทพิกัดของสินค้าพิพาทเป็นเท็จ กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าความรับผิดของโจทก์ในการชำระค่าอากรที่ขาดเกิดจากการที่โจทก์สำแดงเท็จในใบขนสินค้าตามฟ้อง แต่ต้องด้วยกรณีที่ไม่ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มเมื่อมีการชำระอากรเพิ่ม เนื่องจากเป็นกรณีที่มีการตรวจเก็บอากรขาด และเจ้าหน้าที่ผู้สำรวจอากรตรวจพบตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 3 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิเรียกให้โจทก์ชำระเงินเพิ่ม ตามมาตรา 112 จัตวา วรรคหนึ่ง สำหรับในส่วนเงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มอันสืบเนื่องจากโจทก์สำแดงพิกัดอัตราศุลกากรไม่ถูกต้องด้วยความเข้าใจของโจทก์เองกรณีจึงไม่มีเหตุที่จะงดหรือลดเงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่โจทก์ แต่ในส่วนเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น เมื่อโจทก์สำแดงพิกัดอัตราศุลกากรในสินค้าพิพาทโดยความเข้าใจที่สุจริตประกอบกับโจทก์ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบภาษี จึงให้ลดเบี้ยปรับลงเหลือร้อยละ 50
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แก้ไขแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) ที่ กค 0521 (6) 3300161/29-03-2556 ถึง 3300190/29-03-2556 และ ที่ กค 0521 (6)/3-3-02036 ถึง 3-3-02047 รวม 42 ฉบับ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ กอ40.3/22/2562/ป3/2562(3.7) ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2562 โดยให้โจทก์ไม่ต้องรับผิดเงินเพิ่มอากรขาเข้า และให้ลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มลงเหลือร้อยละ 50 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
สัญญาเช่ารถยนต์ ข้อ 9.2 กำหนดว่า “ในกรณีที่ผู้เช่าต้องการเลิกสัญญาก่อนกำหนด โดยมิใช่เป็นความผิดของผู้ให้เช่า ผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 30 วัน ทั้งนี้ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าตามเงื่อนไขดังนี้... 9.2.2 กรณียกเลิกสัญญาในปีที่ 2 ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินเท่ากับร้อยละ 40 ของยอดค่าเช่าพึงชำระ นับตั้งแต่วันบอกเลิกสัญญาจนถึงวันสิ้นสุดสัญญา...” สัญญาเช่ารถยนต์ดังกล่าวเป็นการให้เช่าแบบลิสซิ่งซึ่งมีกำหนดระยะเวลาเช่า 5 ปี หากครบกำหนดโจทก์จะได้รับค่าเช่า 876,000 บาท แต่การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาโดยการคืนรถยนต์ที่เช่าและให้โจทก์รับรถวันที่ 19 มีนาคม 2561 หลังจากทำสัญญาเช่าเพียง 1 ปี 4 เดือน 19 วัน โจทก์ได้รับค่าเช่าเพียง 242,548.39 บาท จึงไม่ได้รับค่าเช่าส่วนที่เหลือ 633,451.61 บาท แต่อย่างไรก็ตามสัญญา ข้อ 9.2.2 ดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งหากกำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 253,380.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์หลายประการรวมให้เช่ายานพาหนะ จำเลยเป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการขนส่งและขนถ่ายสินค้า วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 จำเลยทำสัญญาเช่ารถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า จากโจทก์ตามสัญญาเช่ารถยนต์ ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า โจทก์ส่งใบแจ้งหนี้ให้จำเลยชำระค่าเช่า จากนั้นวันที่ 16 มีนาคม 2561 จำเลยส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ถึงโจทก์ แจ้งให้ไปรับรถยนต์ที่เช่าคืนวันที่ 19 มีนาคม 2561 โจทก์รับรถยนต์ที่เช่าคืนแล้ว และจำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างให้โจทก์ครบถ้วนตามใบแจ้งหนี้และสำเนาใบเสร็จรับเงินแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยหรือไม่ โจทก์ฎีกาได้ความว่า สัญญาเช่ารถยนต์ ข้อ 9.2 กำหนดว่า “ในกรณีที่ผู้เช่าต้องการเลิกสัญญาก่อนกำหนด โดยมิใช่เป็นความผิดของผู้ให้เช่า ผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 30 วัน ทั้งนี้ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าตามเงื่อนไขดังนี้... 9.2.2 กรณียกเลิกสัญญาในปีที่ 2 ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินเท่ากับร้อยละ 40 ของยอดค่าเช่าพึงชำระ นับตั้งแต่วันบอกเลิกสัญญาจนถึงวันสิ้นสุดสัญญา...” เห็นว่า สัญญาเช่ารถยนต์ดังกล่าวเป็นการให้เช่าแบบลิสซิ่งซึ่งมีกำหนดระยะเวลาเช่า 5 ปี หากครบกำหนดโจทก์จะได้รับค่าเช่า 876,000 บาท แต่การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาโดยการคืนรถยนต์ที่เช่าและให้โจทก์รับรถวันที่ 19 มีนาคม 2561 ตามจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ลงวันที่ 16 มีนาคม 2561 หลังจากทำสัญญาเช่าเพียง 1 ปี 4 เดือน 19 วัน โจทก์ได้รับค่าเช่าเพียง 242,548.39 บาท จึงไม่ได้รับค่าเช่าส่วนที่เหลือ 633,451.61 บาท แต่อย่างไรก็ตามสัญญา ข้อ 9.2.2 ดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งหากกำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายแล้ว และได้ความว่าโจทก์ส่งใบแจ้งหนี้ให้จำเลยชำระค่าปรับคืนรถก่อนกำหนดเป็นเงิน 253,380.65 บาท ตามใบแจ้งหนี้ลงวันที่ 12 เมษายน 2561 นั้น นับว่าสูงเกินส่วนเห็นสมควรปรับลดลงและกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์ร้อยละ 10 ของเงิน 633,451.61 บาท เป็นเงิน 63,345.16 บาท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ข้อความที่บัญญัติขึ้นใหม่แทนซึ่งมีผลให้กรณีที่ต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี และกรณีหนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เว้นแต่เจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 63,345.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 กันยายน 2562) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามขอ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
สัญญาเช่ารถยนต์ ข้อ 9.2 กำหนดว่า “ในกรณีที่ผู้เช่าต้องการเลิกสัญญาก่อนกำหนด โดยมิใช่เป็นความผิดของผู้ให้เช่า ผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 30 วัน ทั้งนี้ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าตามเงื่อนไขดังนี้... 9.2.2 กรณียกเลิกสัญญาในปีที่ 2 ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินเท่ากับร้อยละ 40 ของยอดค่าเช่าพึงชำระ นับตั้งแต่วันบอกเลิกสัญญาจนถึงวันสิ้นสุดสัญญา...” สัญญาเช่ารถยนต์ดังกล่าวเป็นการให้เช่าแบบลิสซิ่งซึ่งมีกำหนดระยะเวลาเช่า 5 ปี หากครบกำหนดโจทก์จะได้รับค่าเช่า 876,000 บาท แต่การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาโดยการคืนรถยนต์ที่เช่าและให้โจทก์รับรถวันที่ 19 มีนาคม 2561 หลังจากทำสัญญาเช่าเพียง 1 ปี 4 เดือน 19 วัน โจทก์ได้รับค่าเช่าเพียง 242,548.39 บาท จึงไม่ได้รับค่าเช่าส่วนที่เหลือ 633,451.61 บาท แต่อย่างไรก็ตามสัญญา ข้อ 9.2.2 ดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งหากกำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 253,380.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์หลายประการรวมให้เช่ายานพาหนะ จำเลยเป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการขนส่งและขนถ่ายสินค้า วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 จำเลยทำสัญญาเช่ารถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า จากโจทก์ตามสัญญาเช่ารถยนต์ ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า โจทก์ส่งใบแจ้งหนี้ให้จำเลยชำระค่าเช่า จากนั้นวันที่ 16 มีนาคม 2561 จำเลยส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ถึงโจทก์ แจ้งให้ไปรับรถยนต์ที่เช่าคืนวันที่ 19 มีนาคม 2561 โจทก์รับรถยนต์ที่เช่าคืนแล้ว และจำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างให้โจทก์ครบถ้วนตามใบแจ้งหนี้และสำเนาใบเสร็จรับเงินแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยหรือไม่ โจทก์ฎีกาได้ความว่า สัญญาเช่ารถยนต์ ข้อ 9.2 กำหนดว่า “ในกรณีที่ผู้เช่าต้องการเลิกสัญญาก่อนกำหนด โดยมิใช่เป็นความผิดของผู้ให้เช่า ผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 30 วัน ทั้งนี้ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าตามเงื่อนไขดังนี้... 9.2.2 กรณียกเลิกสัญญาในปีที่ 2 ผู้เช่าต้องชำระค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินเท่ากับร้อยละ 40 ของยอดค่าเช่าพึงชำระ นับตั้งแต่วันบอกเลิกสัญญาจนถึงวันสิ้นสุดสัญญา...” เห็นว่า สัญญาเช่ารถยนต์ดังกล่าวเป็นการให้เช่าแบบลิสซิ่งซึ่งมีกำหนดระยะเวลาเช่า 5 ปี หากครบกำหนดโจทก์จะได้รับค่าเช่า 876,000 บาท แต่การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาโดยการคืนรถยนต์ที่เช่าและให้โจทก์รับรถวันที่ 19 มีนาคม 2561 ตามจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ลงวันที่ 16 มีนาคม 2561 หลังจากทำสัญญาเช่าเพียง 1 ปี 4 เดือน 19 วัน โจทก์ได้รับค่าเช่าเพียง 242,548.39 บาท จึงไม่ได้รับค่าเช่าส่วนที่เหลือ 633,451.61 บาท แต่อย่างไรก็ตามสัญญา ข้อ 9.2.2 ดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งหากกำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายแล้ว และได้ความว่าโจทก์ส่งใบแจ้งหนี้ให้จำเลยชำระค่าปรับคืนรถก่อนกำหนดเป็นเงิน 253,380.65 บาท ตามใบแจ้งหนี้ลงวันที่ 12 เมษายน 2561 นั้น นับว่าสูงเกินส่วนเห็นสมควรปรับลดลงและกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์ร้อยละ 10 ของเงิน 633,451.61 บาท เป็นเงิน 63,345.16 บาท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ข้อความที่บัญญัติขึ้นใหม่แทนซึ่งมีผลให้กรณีที่ต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี และกรณีหนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เว้นแต่เจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 63,345.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 กันยายน 2562) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามขอ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง หากจำเลยประสงค์จะฎีกาในปัญหาดังกล่าว จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาหรือไม่ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 แต่จำเลยกลับยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวโดยตรง และรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นได้ ดังนั้น การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งมิใช่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า “สั่งในฎีกา” และมีคำสั่งในฎีกาของจำเลยว่า “จำเลยยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่ศาลขยายให้โดยมาแสดงตนต่อศาล รับฎีกาจำเลย สำเนาให้โจทก์แก้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาฎีกา ปิดได้” จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเสียและมีคำสั่งเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่ง ทั้งนี้ แม้คำร้องของจำเลยจะมีใจความทำนองว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดก็ตาม ก็ไม่มีบทกฎหมายใดให้อำนาจแก่ศาลฎีกาที่จะก้าวล่วงมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาได้ จึงให้ยกคำร้อง และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นคำขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ฎีกาหรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองให้ฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4, 6, 17 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6 (1) (2) (3) (4), 17 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 15 กระทง เป็นจำคุก 90 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 45 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีเหตุสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า สมควรรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยจัดให้เล่นแชร์ตามคำฟ้องข้อ 1.2 ถึง 1.5, 1.8, 1.9, 1.11 และ 1.12 รวม 8 กระทง โดยจำเลยมิได้ส่งเงินเข้าทุนกองกลาง และไม่มีการจัดประมูลแข่งกันเป็นงวด ๆ อันไม่ต้องด้วยบทนิยาม “การเล่นแชร์” ตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยตามคำฟ้องในข้อดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติมาตรา 6 นั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพและไม่สืบพยาน ทางพิจารณาจึงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยจัดให้มีการเล่นแชร์แต่ละวงในรูปแบบหรือลักษณะใด จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงไปตามคำฟ้องและตามที่จำเลยให้การรับสารภาพว่าจำเลยจัดให้มีการเล่นแชร์ทุกวงตามนิยามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 อีกทั้งจำเลยเพิ่งยกข้อต่อสู้ดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 อันต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับฎีกาในปัญหานี้มาจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ส่วนฎีกาของจำเลยที่ขอให้รอการลงโทษจำคุกนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 6 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุกกระทงละ 3 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามศาลล่าง และให้ลงโทษจำคุกจำเลยในแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี อันต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง หากจำเลยประสงค์จะฎีกาในปัญหาดังกล่าว จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 แต่จำเลยกลับยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวโดยตรง และรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นได้ ดังนั้น การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งมิใช่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า “สั่งในฎีกา” และมีคำสั่งในฎีกาของจำเลยว่า “จำเลยยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่ศาลขยายให้โดยมาแสดงตนต่อศาล รับฎีกาจำเลย สำเนาให้โจทก์แก้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาฎีกา ปิดได้” จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเสียและมีคำสั่งเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่ง ทั้งนี้ แม้คำร้องของจำเลยจะมีใจความทำนองว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดก็ตาม ก็ไม่มีบทกฎหมายใดให้อำนาจแก่ศาลฎีกาที่จะก้าวล่วงมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาได้ จึงให้ยกคำร้อง และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นคำขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ฎีกาหรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ศาลฎีกาจึงไม่รับปัญหานี้ไว้วินิจฉัยเช่นกัน
พิพากษายกฎีกาของจำเลย
คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง หากจำเลยประสงค์จะฎีกาในปัญหาดังกล่าว จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาหรือไม่ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 แต่จำเลยกลับยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวโดยตรง และรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นได้ ดังนั้น การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งมิใช่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า “สั่งในฎีกา” และมีคำสั่งในฎีกาของจำเลยว่า “จำเลยยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่ศาลขยายให้โดยมาแสดงตนต่อศาล รับฎีกาจำเลย สำเนาให้โจทก์แก้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาฎีกา ปิดได้” จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเสียและมีคำสั่งเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่ง ทั้งนี้ แม้คำร้องของจำเลยจะมีใจความทำนองว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดก็ตาม ก็ไม่มีบทกฎหมายใดให้อำนาจแก่ศาลฎีกาที่จะก้าวล่วงมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาได้ จึงให้ยกคำร้อง และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นคำขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ฎีกาหรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองให้ฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4, 6, 17 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6 (1) (2) (3) (4), 17 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 15 กระทง เป็นจำคุก 90 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 45 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีเหตุสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า สมควรรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยจัดให้เล่นแชร์ตามคำฟ้องข้อ 1.2 ถึง 1.5, 1.8, 1.9, 1.11 และ 1.12 รวม 8 กระทง โดยจำเลยมิได้ส่งเงินเข้าทุนกองกลาง และไม่มีการจัดประมูลแข่งกันเป็นงวด ๆ อันไม่ต้องด้วยบทนิยาม “การเล่นแชร์” ตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยตามคำฟ้องในข้อดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติมาตรา 6 นั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพและไม่สืบพยาน ทางพิจารณาจึงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยจัดให้มีการเล่นแชร์แต่ละวงในรูปแบบหรือลักษณะใด จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงไปตามคำฟ้องและตามที่จำเลยให้การรับสารภาพว่าจำเลยจัดให้มีการเล่นแชร์ทุกวงตามนิยามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 อีกทั้งจำเลยเพิ่งยกข้อต่อสู้ดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 อันต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับฎีกาในปัญหานี้มาจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ส่วนฎีกาของจำเลยที่ขอให้รอการลงโทษจำคุกนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 6 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุกกระทงละ 3 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามศาลล่าง และให้ลงโทษจำคุกจำเลยในแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี อันต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง หากจำเลยประสงค์จะฎีกาในปัญหาดังกล่าว จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 แต่จำเลยกลับยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวโดยตรง และรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นได้ ดังนั้น การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งมิใช่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า “สั่งในฎีกา” และมีคำสั่งในฎีกาของจำเลยว่า “จำเลยยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่ศาลขยายให้โดยมาแสดงตนต่อศาล รับฎีกาจำเลย สำเนาให้โจทก์แก้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาฎีกา ปิดได้” จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเสียและมีคำสั่งเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่ง ทั้งนี้ แม้คำร้องของจำเลยจะมีใจความทำนองว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดก็ตาม ก็ไม่มีบทกฎหมายใดให้อำนาจแก่ศาลฎีกาที่จะก้าวล่วงมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาได้ จึงให้ยกคำร้อง และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นคำขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ฎีกาหรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ศาลฎีกาจึงไม่รับปัญหานี้ไว้วินิจฉัยเช่นกัน
พิพากษายกฎีกาของจำเลย
แม้สัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง แต่กฎหมายไม่ให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า สัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าหนี้ไม่สมบูรณ์ จำเลยจึงมีสิทธินำสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างดังกล่าวได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 วรรคท้าย กรณีเชื่อว่าก่อนทำสัญญากู้ยืมเงิน โจทก์กับจำเลยตกลงร่วมลงทุนกันจริงโดยมีการส่งมอบเงินตามสัญญากู้เป็นเงินร่วมลงทุนเบื้องต้น และโจทก์กับจำเลยมีเจตนาผูกพันกันตามนิติกรรมร่วมลงทุน แต่ทำนิติกรรมกู้ยืมเงินเพื่อเป็นประกันในการปฏิบัติตามสัญญา นิติกรรมกู้ยืมจึงเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการร่วมลงทุน นิติกรรมการกู้เงินย่อมตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในวรรคสองของมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า “ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ” แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาร่วมลงทุน แต่ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินที่เป็นโมฆะ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามมูลหนี้เงินกู้ที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 525,375 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 450,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนด ค่าทนายความ 8,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงิน 450,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงิน หรือไม่ เห็นว่า ก่อนโจทก์และจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินนั้น ได้ความว่า เดือนพฤษภาคม 2561 บริษัทของจำเลยว่าจ้างบริษัทของโจทก์ขนเถ้าลอย โจทก์ติดต่อบิดาจำเลยขอร่วมลงทุนในธุรกิจเถ้าลอย นัดหมายและเจรจาเกี่ยวกับการร่วมธุรกิจกัน... หลังจากนั้นโจทก์โอนเงิน 450,000 บาท ให้แก่จำเลย ต่อมาบิดาจำเลยพาโจทก์และนางสาวสุดารัตน์ เข้าร่วมประชุมกับผู้แทนรัฐวิสาหกิจถือหุ้นลาว ซึ่งเป็นคู่สัญญาของบริษัทจำเลยในการทำธุรกิจเถ้าลอยที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พฤติการณ์เช่นนี้แสดงถึงการดำเนินการในการร่วมลงทุนกันแล้ว แม้สัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง แต่กฎหมายไม่ให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า สัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าหนี้ไม่สมบูรณ์ จำเลยจึงมีสิทธินำสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย ประกอบกับสัญญากู้ยืมเงิน จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 หลังจากนางสุวรรณาภริยาของโจทก์ได้โอนเงินให้จำเลยตามที่โจทก์มอบหมาย เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561 โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยต้องการใช้เงินอย่างเร่งด่วนอย่างไร หรือโจทก์มีความจำเป็นอย่างไรจึงต้องส่งมอบเงินให้จำเลยก่อนทำสัญญากู้ แต่กลับได้ความว่า วันที่ 1 มิถุนายน 2561 โจทก์ นางสุวรรณาภริยาของโจทก์และนางสาวสุดารัตน์บุตรของโจทก์ เข้าร่วมประชุมเจรจาและตกลงร่วมลงทุนในธุรกิจขนส่งเถ้าลอย... โดยการสนทนากันในแอปพลิเคชันไลน์ดังกล่าว ไม่ปรากฏการพูดคุยเกี่ยวกับการกู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลย กลับมีการพูดคุยปรึกษาเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทร่วมลงทุน ทั้งจำเลยนำสัญญาต่อเรือมาแสดงว่า มีการนำเงินไปลงทุนจริงตามที่แจ้งโจทก์ไว้ ยิ่งกว่านั้น การที่นายปัญญวัฒน์ พยานจำเลยตอบทนายจำเลยถามติงว่า “ภายหลังประชุมวันที่ 1 มิถุนายน 2561 พยานพูดคุยส่วนตัวกับโจทก์ว่า ต้องแสดงให้จำเลยมั่นใจว่าโจทก์จะลงทุนจริง โจทก์จึงเสนอและโอนเงินให้ 450,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุน 500,000 บาท” จึงน่าเชื่อว่า ก่อนทำสัญญากู้ยืมเงิน โจทก์กับจำเลยตกลงร่วมลงทุนกันจริงโดยมีการส่งมอบเงินตามสัญญากู้เป็นเงินร่วมลงทุนเบื้องต้น และโจทก์กับจำเลยมีเจตนาผูกพันกันตามนิติกรรมร่วมลงทุน แต่ทำนิติกรรมกู้ยืมเงินเพื่อเป็นประกันในการปฏิบัติตามสัญญา นิติกรรมกู้ยืมจึงเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการร่วมลงทุน นิติกรรมการกู้เงินย่อมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ...” และในวรรคสองของมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า “ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ” แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาร่วมลงทุน แต่ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินที่เป็นโมฆะ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามมูลหนี้เงินกู้ที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
แม้สัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง แต่กฎหมายไม่ให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า สัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าหนี้ไม่สมบูรณ์ จำเลยจึงมีสิทธินำสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างดังกล่าวได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 วรรคท้าย กรณีเชื่อว่าก่อนทำสัญญากู้ยืมเงิน โจทก์กับจำเลยตกลงร่วมลงทุนกันจริงโดยมีการส่งมอบเงินตามสัญญากู้เป็นเงินร่วมลงทุนเบื้องต้น และโจทก์กับจำเลยมีเจตนาผูกพันกันตามนิติกรรมร่วมลงทุน แต่ทำนิติกรรมกู้ยืมเงินเพื่อเป็นประกันในการปฏิบัติตามสัญญา นิติกรรมกู้ยืมจึงเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการร่วมลงทุน นิติกรรมการกู้เงินย่อมตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในวรรคสองของมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า “ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ” แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาร่วมลงทุน แต่ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินที่เป็นโมฆะ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามมูลหนี้เงินกู้ที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 525,375 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 450,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนด ค่าทนายความ 8,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงิน 450,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงิน หรือไม่ เห็นว่า ก่อนโจทก์และจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินนั้น ได้ความว่า เดือนพฤษภาคม 2561 บริษัทของจำเลยว่าจ้างบริษัทของโจทก์ขนเถ้าลอย โจทก์ติดต่อบิดาจำเลยขอร่วมลงทุนในธุรกิจเถ้าลอย นัดหมายและเจรจาเกี่ยวกับการร่วมธุรกิจกัน... หลังจากนั้นโจทก์โอนเงิน 450,000 บาท ให้แก่จำเลย ต่อมาบิดาจำเลยพาโจทก์และนางสาวสุดารัตน์ เข้าร่วมประชุมกับผู้แทนรัฐวิสาหกิจถือหุ้นลาว ซึ่งเป็นคู่สัญญาของบริษัทจำเลยในการทำธุรกิจเถ้าลอยที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พฤติการณ์เช่นนี้แสดงถึงการดำเนินการในการร่วมลงทุนกันแล้ว แม้สัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง แต่กฎหมายไม่ให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า สัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าหนี้ไม่สมบูรณ์ จำเลยจึงมีสิทธินำสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย ประกอบกับสัญญากู้ยืมเงิน จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 หลังจากนางสุวรรณาภริยาของโจทก์ได้โอนเงินให้จำเลยตามที่โจทก์มอบหมาย เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561 โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยต้องการใช้เงินอย่างเร่งด่วนอย่างไร หรือโจทก์มีความจำเป็นอย่างไรจึงต้องส่งมอบเงินให้จำเลยก่อนทำสัญญากู้ แต่กลับได้ความว่า วันที่ 1 มิถุนายน 2561 โจทก์ นางสุวรรณาภริยาของโจทก์และนางสาวสุดารัตน์บุตรของโจทก์ เข้าร่วมประชุมเจรจาและตกลงร่วมลงทุนในธุรกิจขนส่งเถ้าลอย... โดยการสนทนากันในแอปพลิเคชันไลน์ดังกล่าว ไม่ปรากฏการพูดคุยเกี่ยวกับการกู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลย กลับมีการพูดคุยปรึกษาเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทร่วมลงทุน ทั้งจำเลยนำสัญญาต่อเรือมาแสดงว่า มีการนำเงินไปลงทุนจริงตามที่แจ้งโจทก์ไว้ ยิ่งกว่านั้น การที่นายปัญญวัฒน์ พยานจำเลยตอบทนายจำเลยถามติงว่า “ภายหลังประชุมวันที่ 1 มิถุนายน 2561 พยานพูดคุยส่วนตัวกับโจทก์ว่า ต้องแสดงให้จำเลยมั่นใจว่าโจทก์จะลงทุนจริง โจทก์จึงเสนอและโอนเงินให้ 450,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุน 500,000 บาท” จึงน่าเชื่อว่า ก่อนทำสัญญากู้ยืมเงิน โจทก์กับจำเลยตกลงร่วมลงทุนกันจริงโดยมีการส่งมอบเงินตามสัญญากู้เป็นเงินร่วมลงทุนเบื้องต้น และโจทก์กับจำเลยมีเจตนาผูกพันกันตามนิติกรรมร่วมลงทุน แต่ทำนิติกรรมกู้ยืมเงินเพื่อเป็นประกันในการปฏิบัติตามสัญญา นิติกรรมกู้ยืมจึงเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการร่วมลงทุน นิติกรรมการกู้เงินย่อมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ...” และในวรรคสองของมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า “ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ” แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาร่วมลงทุน แต่ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินที่เป็นโมฆะ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามมูลหนี้เงินกู้ที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ข้อพิพาทคดีนี้มิใช่เป็นกรณีจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดไปในเหตุที่ได้คำนวณจำนวนเงินอากรผิดซึ่งมีอายุความสองปีนับแต่วันที่นำเข้า แต่เป็นกรณีมีอายุความสิบปีไม่ว่าเป็นกรณีมีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/31 หรือกรณีไม่มีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนำเข้า ดังนั้น ไม่ว่ามีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรหรือไม่ ก็มีอายุความสิบปีตั้งแต่วันนำเข้า แตกต่างเฉพาะตัวบทกฎหมายที่ใช้อ้างอิงเท่านั้น และอย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 กรณีนี้โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 และพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เข้าตรวจค้นบริษัทโจทก์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2556 จากนั้นโจทก์เข้าชี้แจงรายละเอียดและส่งมอบเอกสารให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จนพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินเรียกเก็บอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 และจัดส่งให้แก่โจทก์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับโดยโจทก์ได้รับเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 ถือได้ว่าขั้นตอนกระบวนการประเมินเพื่อให้โจทก์รับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรได้ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 อันเป็นเวลาก่อนที่ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ ส่วนการจัดส่งแบบแจ้งการประเมินเป็นขั้นตอนการแจ้งให้โจทก์ผู้ต้องเสียภาษีอากรเพื่อทราบและปฏิบัติตามกฎหมายต่อไปไม่ใช่การดำเนินการประเมิน กรณีจึงไม่อาจนำ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 19 มาใช้บังคับในคดีนี้ ส่วนปัญหาการออกแบบแจ้งการประเมินภายหลังกฎหมายใหม่มีผลใช้บังคับแล้วจะมีผลอย่างไรไม่เป็นประเด็นปัญหาในคดีนี้ ดังนั้น การประเมินอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทในคดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดภายใน 10 ปี นับจากวันที่นำเข้าตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น การประเมินของจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมาย
ตามคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าไม่เจือ ตามพิกัดประเภท 72.07 ไม่ว่าประเภทใด ๆ ก็ตามต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหล่อแบบต่อเนื่องที่มีหน้าตัดตันและต้องไม่เป็นม้วน สินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มขณะนำเข้าไม่มีลักษณะหน้าตัดตัน มีการขึ้นรูปที่มีลักษณะเฉพาะไว้แล้วไม่ต้องจัดทำรูปทรงเพิ่มเติมอย่างมาก และเมื่อเปรียบเทียบรูปทรงสินค้าพิพาทขณะนำเข้ากับเมื่อเป็นชิ้นส่วนสำเร็จรูปพร้อมใช้งานแล้วไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือเค้าโครงไปจากเดิม สินค้าพิพาทจึงไม่มีลักษณะเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป ไม่อาจจัดอยู่ในพิกัดประเภท 72.07 ได้ แต่สินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มมีลักษณะเป็นของที่ขึ้นรูปมีรูปร่างหรือเค้าโครงของของหรือส่วนประกอบที่สำเร็จตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้าย พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ข้อ 2 (ก) แล้ว แม้ยังไม่พร้อมใช้งานได้ทันทีแต่ก็สามารถใช้เพื่อผลิตเป็นของหรือส่วนประกอบสำเร็จรูปโดยกระบวนการผลิตเพิ่มเติมเป็นแต่เพียงกระบวนการตกแต่งพื้นผิวชิ้นงานให้มีสภาพเหมาะสมต่อการนำไปใช้เท่านั้น และเมื่อสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มจัดอยูในพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 พิกัดประเภทย่อย 8708.94.93 และพิกัดประเภทย่อย 8708.94.95 จึงไม่อาจจัดเป็นของอื่น ๆ ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าตามพิกัดประเภท 73.26 ตามที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและขอสงวนสิทธิ์ขอคืนอากรได้ เนื่องจากคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ระบุไม่ให้คลุมถึงของที่ตีขึ้นรูป ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในประเภทพิกัดอื่นของพิกัดอัตราศุลกากรนี้ (เช่น ส่วนประกอบที่สามารถบอกได้ว่าเป็นของเครื่องจักรหรือของเครื่องใช้เชิงกล) หรือของที่ตีขึ้นรูปยังทำไม่เสร็จซึ่งต้องการการจัดทำมากไปกว่านี้ แต่มีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้ซึ่งทำเสร็จแล้ว คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินตามใบขนสินค้าขาเข้า 127 ฉบับ และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ 6 ฉบับ กับให้จำเลยทั้งสี่คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้อง 34,546,100.24 บาท และชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 28,714,117 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้เพิกถอนการประเมินตามใบขนสินค้าขาเข้า 127 ฉบับ และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ 6 ฉบับ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 คืนเงิน จำนวน 34,546,100.24 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 28,714,117 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ประกอบกิจการโรงงานผลิตสินค้าจำหน่าย โดยนำวัตถุดิบบางส่วนจากต่างประเทศเข้ามาผลิตเป็นสินค้าสำเร็จเพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยและต่างประเทศระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 โจทก์นำเข้าวัตถุดิบ Forging ตามใบขนสินค้าขาเข้า 113 ฉบับ สำแดงว่าเป็นส่วนประกอบชุดเกียร์ทำด้วยเหล็ก(Semi Piston Rack) และชิ้นงานทำด้วยเหล็ก (Lower Shaft) พิกัดประเภทย่อย 7326.90.90 อัตราอากรร้อยละ 10 และระหว่างวันที่ 6 สิงหาคม 2556 ถึงวันที่ 11 เมษายน 2558 โจทก์นำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้า 14 ฉบับ สำแดงว่า เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตชิ้นส่วนซึ่งเป็นวาล์วควบคุมน้ำมันไฮดรอลิกในท่อน้ำมันสำหรับระบบบังคับเลี้ยว (Forged Rack และ Forged Shaft) พิกัดประเภทย่อย 8708.99.90 อัตราอากรร้อยละ 30 โดยโจทก์ขอสงวนสิทธิ์ขอคืนอากรไว้ในประเภทพิกัด 7326.90.99 อัตราอากรร้อยละ 10 ต่อมาวันที่ 21 มีนาคม 2556 พนักงานเจ้าหน้าที่สำนักสืบสวนและปราบปรามของจำเลยที่ 1 ตรวจค้นบริษัทโจทก์เนื่องจากมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีเอกสารที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือเกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดตามกฎหมายศุลกากรจึงนำสินค้าที่โจทก์นำเข้าไปตรวจสอบ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เห็นว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าจัดเข้าพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 อัตราอากรร้อยละ 30 เป็นเหตุให้อากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มขาดและแจ้งข้อกล่าวหาว่าการกระทำของโจทก์เป็นความผิดฐานสำแดงชนิดสินค้าและประเภทพิกัดอัตราศุลกากรเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 และมาตรา 99 โจทก์ทราบข้อกล่าวหาแล้วเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2558 จำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออกภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) ลงวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 สำหรับการนำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้า 113 ฉบับ โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 และระหว่างวันที่ 12 ตุลาคม 2558 ถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2560 จำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้า/ขาออก/ภาษีสรรพสามิต/ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีอื่น ๆ (กรณีสงวนสิทธิ์ขอคืนอากร) สำหรับใบขนสินค้าขาเข้า 14 ฉบับ โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 โจทก์อุทธรณ์การประเมินอากรขาเข้าต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และอุทธรณ์การประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 วันที่ 9 พฤศจิกายน 2562 โจทก์ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์จากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยที่ 1 ประเมินอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาท 113 ฉบับ เมื่อพ้นกำหนดสามปีนับแต่วันยื่นใบขนสินค้าตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 19 จึงเป็นการประเมินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ข้อพิพาทคดีนี้มิใช่เป็นกรณีจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดไปในเหตุที่ได้คำนวณจำนวนเงินอากรผิดซึ่งมีอายุความสองปีนับแต่วันที่นำเข้า แต่เป็นกรณีมีอายุความสิบปีไม่ว่าเป็นกรณีมีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/31 หรือกรณีไม่มีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนำเข้า ดังนั้น ไม่ว่ามีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรหรือไม่ ก็มีอายุความสิบปีตั้งแต่วันนำเข้าแตกต่างเฉพาะตัวบทกฎหมายที่ใช้อ้างอิงเท่านั้น และอย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 กรณีนี้โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทตามใบขนสินค้าขาเข้า 113 ฉบับ ในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 และพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เข้าตรวจค้นบริษัทโจทก์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2556 จากนั้นโจทก์เข้าชี้แจงรายละเอียดและส่งมอบเอกสารให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จนพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่นๆ) ในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 และจัดส่งให้แก่โจทก์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับโดยโจทก์ได้รับเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 ถือได้ว่าขั้นตอนกระบวนการประเมินเพื่อให้โจทก์รับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรได้ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 อันเป็นเวลาก่อนที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ ส่วนการจัดส่งแบบแจ้งการประเมินเป็นขั้นตอนการแจ้งให้โจทก์ผู้ต้องเสียภาษีอากรเพื่อทราบและปฏิบัติตามกฎหมายต่อไปไม่ใช่การดำเนินการประเมิน กรณีจึงไม่อาจนำพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2460 มาตรา 19 มาใช้บังคับในคดีนี้ ส่วนปัญหาการออกแบบแจ้งการประเมินภายหลังกฎหมายใหม่มีผลใช้บังคับแล้วจะมีผลอย่างไรไม่เป็นประเด็นปัญหาในคดีนี้ ดังนั้น การประเมินอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาท 113 ฉบับ ในคดีนี้ จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดภายใน 10 ปี นับจากวันที่นำเข้า ตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น การประเมินของจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อมาว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดอยู่ในพิกัดประเภท 87.08 ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามพิกัดประเภท 87.01 ถึง 87.05 ประเภทย่อย 8708.94.93 ประเภทย่อย 8708.94.95 และประเภทย่อย 8708.94.99 ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 ทวิ วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาท บัญญัติว่า “ความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีสำหรับของที่นำเข้าเกิดขึ้นในเวลาที่นำของเข้าสำเร็จ” วรรคสองบัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 87 และมาตรา 88 การคำนวณค่าภาษีให้ถือตามสภาพของราคาของและพิกัดอัตราศุลกากรที่เป็นอยู่ในเวลาที่ความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีเกิดขึ้น...” และพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ของที่นำเข้ามาหรือพาเข้ามาในหรือส่งหรือพาออกไปนอกราชอาณาจักรนั้น ให้เรียกเก็บและเสียอากรตามที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราศุลกากรท้ายพระราชกำหนดนี้ หรือตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกำหนดนี้” มาตรา 15 วรรคสาม บัญญัติว่า “การตีความให้ถือตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ท้ายพระราชกำหนดนี้ ประกอบกับคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร ซึ่งทำเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2493 และประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515” ดังนั้น การตีความว่าของอยู่ในประเภทพิกัดใดจึงต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ซึ่งหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ข้อ 1 ระบุว่า “ชื่อของหมวด ตอน และตอนย่อย ได้กำหนดขึ้นเพื่อให้สะดวกแก่การอ้างอิงเท่านั้น ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทให้จำแนกตามความของประเภทนั้น ๆ ตามหมายเหตุของหมวดหรือของตอนที่เกี่ยวข้องและตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ หากว่าประเภทหรือหมายเหตุดังกล่าวไม่ได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ข้อ 2 (ก) วรรคหนึ่ง ระบุว่า “ประเภทที่ระบุถึงของใดให้หมายรวมถึงของนั้นที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หากว่าในขณะนำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วและให้หมายรวมถึงของที่สมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว (หรือที่จำแนกเข้าประเภทของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วตามนัยแห่งหลักเกณฑ์นี้) ที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน”ข้อ 6 ระบุว่า “ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทของของเข้าในประเภทย่อยของประเภทใดประเภทหนึ่งให้เป็นไปตามความของประเภทย่อยที่เกี่ยวข้องและตามหลักเกณฑ์ข้างต้นโดยอนุโลม โดยพิจารณาเปรียบเทียบในระหว่างประเภทย่อยที่อยู่ในระดับเดียวกันตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์นี้ให้ใช้หมายเหตุของหมวดและของตอนที่เกี่ยวข้องด้วย เว้นแต่จะมีข้อความระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ซึ่งตามคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ พิกัดประเภท 72.07 ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าไม่เจือ ได้ระบุว่าผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปได้นิยามไว้ในหมายเหตุข้อ 1 (ญ) ของตอนนี้ โดยหมายเหตุข้อ 1 (ญ) ของตอนที่ 72 ระบุนิยามผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปว่า หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหล่อแบบต่อเนื่องที่มีหน้าตัดตันจะผ่านการรีดร้อนขั้นต้นหรือไม่ก็ตาม และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีหน้าตัดตัน ซึ่งไม่ได้ทำมากไปกว่าการรีดร้อนขั้นต้นหรือตีเป็นรูปทรงอย่างหยาบ ๆ รวมถึงของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุม เป็นรูปทรง หรือเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องไม่เป็นม้วน และตามคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ พิกัดประเภท 72.07 อธิบายผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปว่า มี 4 ประเภท คือ (ก) ท่อนเหล็กที่เป็นเหลี่ยมแบบบลูม บิลเล็ต ท่อนกลม แท่งเหล็กหนาชนิดสแล๊ป แท่งบางชนิดชี้ทบาร์ (ข) ชิ้นที่ทำเป็นรูปทรงอย่างหยาบ ๆ ด้วยการตี (ค) ของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุม ทำเป็นรูปทรง หรือทำเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ และ (ง) ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่ได้มาโดยการหล่อแบบต่อเนื่อง แสดงว่าผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปตามพิกัดประเภท 72.07 ไม่ว่าประเภทใด ๆ ก็ตามต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหล่อแบบต่อเนื่องที่มีหน้าตัดตันและต้องไม่เป็นม้วน เมื่อพิจารณาหนังสือชี้แจงของโจทก์ และตัวอย่างสินค้าพิพาทขณะนำเข้าเปรียบเทียบกับสินค้าที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้ามี 2 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งคือ ส่วนประกอบชุดเกียร์ทำด้วยเหล็ก (Semi Piston Rack) และวัตถุดิบสำหรับผลิตชิ้นส่วนซึ่งเป็นวาล์วควบคุมน้ำมันไฮดรอลิกในท่อน้ำมันสำหรับระบบบังคับเลี้ยว (Forged Rack) กลุ่มที่สองคือ ชิ้นงานทำด้วยเหล็ก (Lower Shaft) และวัตถุดิบสำหรับผลิตชิ้นส่วนซึ่งเป็นวาล์วควบคุมน้ำมันไฮดรอลิกในท่อน้ำมันสำหรับระบบบังคับเลี้ยว (Forged Shaft) สินค้าพิพาทผลิตจากการนำเหล็กท่อนกลม (Round Billet) มาตัดให้ได้ขนาด จากนั้นนำชิ้นงานไปอบอ่อน เมื่ออบอ่อนแล้วจึงนำไปขึ้นรูปตามแบบเพื่อให้ได้ชิ้นงาน เมื่อได้ชิ้นงานแล้วจะนำชิ้นงานไปชุบกันสนิมทำด้วยเหล็กกล้าขึ้นรูปและมีการเคลือบกันสนิม ในข้อนี้ได้ความจากผู้รับมอบอำนาจโจทก์ตอบทนายจำเลยทั้งสี่ถามค้านว่า การนำไปอบอ่อน หมายถึง การนำสินค้าไปทำให้นิ่มขึ้น โดยสินค้าในกลุ่มที่หนึ่ง มีการตีขึ้นรูปครั้งที่ 1 ตีขึ้นรูปครั้งที่ 2 จะมีรูอยู่ตรงกลาง ตีขึ้นรูปครั้งที่ 3 ทำให้เกิดรูทะลุ และตีขึ้นรูปครั้งที่ 4 ทำให้เกิดบ่า จนเป็นชิ้นงานสำเร็จ ขณะนำเข้าสินค้าพิพาทมีลักษณะเป็นโลหะวงกลมตรงกลางกลวง (วงแหวน) สินค้ากลุ่มที่สอง มีการตีขึ้นรูปครั้งที่ 1 ตีขึ้นรูปครั้งที่ 2 ทำร่องหยาบ และตีขึ้นรูปครั้งที่ 3 ทำร่องให้ได้ขนาด จนเป็นชิ้นงานสำเร็จ ขณะนำเข้าสินค้าพิพาทมีลักษณะเป็นทรงกระบอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลดหลั่น 3 ขั้น มีการเจาะรูที่หน้าตัดด้านกว้างแต่ไม่กลวงตลอด สินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มไม่สามารถนำไปใช้งานได้ทันทีต้องนำมาผ่านกระบวนการผลิตอีกหลายขั้นตอนด้วยเครื่องจักรให้ได้ขนาดและผิวงานละเอียดจึงจะสามารถนำไปใช้งานได้ เห็นได้ว่าสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มขณะนำเข้าไม่มีลักษณะหน้าตัดตัน มีการขึ้นรูปที่มีลักษณะเฉพาะไว้แล้วไม่ต้องจัดทำรูปทรงเพิ่มเติมอย่างมาก และเมื่อเปรียบเทียบรูปทรงสินค้าพิพาทขณะนำเข้ากับเมื่อเป็นชิ้นส่วนสำเร็จรูปพร้อมใช้งานแล้วไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือเค้าโครงไปจากเดิม สินค้าพิพาทจึงไม่มีลักษณะเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปตามหมายเหตุข้อ 1 (ญ) ไม่อาจจัดอยู่ในพิกัดประเภท 72.07 ดังที่โจทก์ฎีกาได้ แม้สินค้าพิพาทจะไม่สามารถนำมาใช้งานได้ทันทีต้องผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอนก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ที่ได้อธิบายการตีความพิกัดศุลกากรข้อ 2 (ก) ของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ ว่า (1) ความตอนแรกของหลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) เป็นการขยายขอบเขตของประเภทพิกัดซึ่งระบุถึงของใด ให้คลุมถึงไม่เฉพาะของสำเร็จรูป แต่คลุมถึงของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จด้วย หากว่าในขณะนำเข้าของนั้นมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว (2) หลักเกณฑ์ข้อนี้ใช้กับของที่เพียงแต่ขึ้นรูป (แบล็งก์) ด้วย เว้นแต่จะมีประเภทพิกัดอื่นระบุไว้โดยเฉพาะ คำว่า “ของที่เพียงแต่ขึ้นรูป” หมายถึง ของที่ยังไม่พร้อมจะใช้ได้ทันทีเพียงแต่มีรูปร่างหรือเค้าโครงของของหรือส่วนประกอบที่สำเร็จแล้ว และสามารถใช้เพื่อผลิตเป็นของหรือส่วนประกอบสำเร็จรูปเท่านั้น ยกเว้นเป็นพิเศษบางกรณี ของกึ่งสำเร็จรูปที่ยังไม่มีรูปร่างอันเป็นสาระสำคัญของของสำเร็จรูป (โดยทั่วไปเช่น เป็นท่อน วงกลม หลอดหรือท่อ ฯลฯ) ไม่ถือว่าเป็น “ของที่เพียงแต่ขึ้นรูป” (3) โดยคำนึงถึงขอบเขตของประเภทต่าง ๆ ในหมวด 1 ถึง 6 หลักเกณฑ์ข้อนี้ปกติไม่ใช้กับของในหมวดดังกล่าว (4) หลายกรณีที่หลักเกณฑ์ข้อนี้คลุมถึงปรากฏอยู่ในคำอธิบายทั่วไปของหมวดหรือตอนต่างๆ (เช่น หมวด 16 และตอนที่ 61, 62, 86, 87 และ 90) เห็นได้ว่าสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มมีลักษณะเป็นของที่ขึ้นรูปมีรูปร่างหรือเค้าโครงของของหรือส่วนประกอบที่สำเร็จตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) แล้ว แม้ยังไม่พร้อมใช้งานได้ทันทีแต่ก็สามารถใช้เพื่อผลิตเป็นของหรือส่วนประกอบสำเร็จรูป โดยกระบวนการผลิตเพิ่มเติมเป็นแต่เพียงกระบวนการตกแต่งพื้นผิวชิ้นงานให้มีสภาพเหมาะสมต่อการนำไปใช้เท่านั้น สินค้าพิพาทกลุ่มที่หนึ่งขึ้นรูปเป็น Semi Piston Rack และ Forged Rack เพื่อประกอบติดตั้งเข้ากับเพลาบังคับเลี้ยวของกระปุกเกียร์พวงมาลัยในชุดบังคับล้อ (Rack and Pinion) ของระบบบังคับเลี้ยวรถยนต์กระบะทำหน้าที่เป็นลูกสูบรับแรงดันไฮดรอลิกเป็นส่วนประกอบที่ใช้เฉพาะกับกระปุกเกียร์พวงมาลัยรถยนต์ ส่วนสินค้ากลุ่มที่สองขึ้นรูปเป็น Lower Shaft และ Forged Shaft ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของเพลาล่างที่ใช้เป็นส่วนประกอบในตัว Worm Shaft สำหรับระบบบังคับเลี้ยวพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทำหน้าที่ทดกำลังและช่วยผ่อนแรงในการหมุนพวงมาลัยโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยในการหมุน โดยติดตั้งอยู่ด้านล่างสุดของชุดพวงมาลัยพาวเวอร์ ซึ่งนำไปประกอบกับเพลาพวงส่วนกลางทำหน้าที่ส่งผ่านแรงไปบังคับการเลี้ยวของชุดบังคับล้อ ประกอบกับผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสี่ถามค้านว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าไม่สามารถใช้กับผลิตภัณฑ์เครื่องจักรอื่นได้ยกเว้นรถยนต์เท่านั้น นอกจากจะออกแบบใหม่ โดยสินค้า Forged Rack เมื่อทำเป็นสำเร็จแล้วจะนำมาใช้กับรถยนต์กระบะโตโยต้าอย่างเดียว ส่วน Forged Shaft ใช้สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อโตโยต้าเฉพาะรุ่นโคโลน่ากับวีออส ซึ่งเมื่อพิจารณาพิกัดประเภท 87.08 ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามพิกัดประเภท 87.01 ถึง 87.05 ประกอบคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์พร้อมคำแปล พิกัดประเภทนี้คลุมถึงส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภทที่ 87.01 ถึง 87.05 หากส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบเป็นไปตามเงื่อนไขทั้งสองข้อดังต่อไปนี้ (1) ของดังกล่าวต้องบ่งชี้ได้ว่าเหมาะสำหรับใช้เฉพาะหรือส่วนใหญ่ใช้กับยานยนต์ที่ระบุไว้ข้างต้น และ (2) ของดังกล่าวต้องไม่ถูกห้ามโดยข้อกำหนดของหมายเหตุในหมวด 17 เมื่อสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มไม่ถูกยกเว้นด้วยหมายเหตุหมวด 17 โดยสินค้าในกลุ่มแรกเป็นส่วนประกอบที่ใช้เฉพาะกับกระปุกเกียร์พวงมาลัยรถยนต์กระบะ ซึ่งเป็นยานยนต์ตามพิกัดประเภท 87.04 จึงจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 อื่น ๆ ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภทที่ 87.01 ถึง 87.05 พวงมาลัย แกนพวงมาลัย และกระปุกเกียร์พวงมาลัย (สเตียริงบอกซ์) รวมทั้งส่วนประกอบของของดังกล่าว ส่วนสินค้าในกลุ่มที่สองเป็นส่วนประกอบของระบบบังคับเลี้ยวของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ซึ่งเป็นยานยนต์ประเภทที่ 87.03 จึงจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อย 8707.94.93 และ 8708.94.95 สำหรับยานยนต์ตามประเภทที่ 87.03 (ตามช่วงเวลานำเข้า) ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภทที่ 87.01 ถึง 87.05 พวงมาลัย แกนพวงมาลัย และกระปุกเกียร์ พวงมาลัย (สเตียริงบอกซ์) รวมทั้งส่วนประกอบของของดังกล่าว เมื่อสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 พิกัดประเภทย่อย 8708.94.93 และพิกัดประเภทย่อย 8708.94.95 จึงไม่อาจจัดเป็นของอื่น ๆ ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า ตามพิกัดประเภท 73.26 ตามที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและขอสงวนสิทธิ์ขอคืนอากรได้เนื่องจากคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์พร้อมคำแปลระบุไม่ให้คลุมถึงของที่ตีขึ้นรูปซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในประเภทพิกัดอื่นของพิกัดอัตราศุลกากรนี้ (เช่น ส่วนประกอบที่สามารถบอกได้ว่าเป็นของเครื่องจักรหรือของเครื่องใช้เชิงกล) หรือของที่ตีขึ้นรูปยังทำไม่เสร็จซึ่งต้องการการจัดทำมากไปกว่านี้ แต่มีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้ซึ่งทำเสร็จแล้ว คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ข้อพิพาทคดีนี้มิใช่เป็นกรณีจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดไปในเหตุที่ได้คำนวณจำนวนเงินอากรผิดซึ่งมีอายุความสองปีนับแต่วันที่นำเข้า แต่เป็นกรณีมีอายุความสิบปีไม่ว่าเป็นกรณีมีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/31 หรือกรณีไม่มีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนำเข้า ดังนั้น ไม่ว่ามีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรหรือไม่ ก็มีอายุความสิบปีตั้งแต่วันนำเข้า แตกต่างเฉพาะตัวบทกฎหมายที่ใช้อ้างอิงเท่านั้น และอย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 กรณีนี้โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 และพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เข้าตรวจค้นบริษัทโจทก์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2556 จากนั้นโจทก์เข้าชี้แจงรายละเอียดและส่งมอบเอกสารให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จนพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินเรียกเก็บอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 และจัดส่งให้แก่โจทก์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับโดยโจทก์ได้รับเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 ถือได้ว่าขั้นตอนกระบวนการประเมินเพื่อให้โจทก์รับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรได้ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 อันเป็นเวลาก่อนที่ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ ส่วนการจัดส่งแบบแจ้งการประเมินเป็นขั้นตอนการแจ้งให้โจทก์ผู้ต้องเสียภาษีอากรเพื่อทราบและปฏิบัติตามกฎหมายต่อไปไม่ใช่การดำเนินการประเมิน กรณีจึงไม่อาจนำ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 19 มาใช้บังคับในคดีนี้ ส่วนปัญหาการออกแบบแจ้งการประเมินภายหลังกฎหมายใหม่มีผลใช้บังคับแล้วจะมีผลอย่างไรไม่เป็นประเด็นปัญหาในคดีนี้ ดังนั้น การประเมินอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาทในคดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดภายใน 10 ปี นับจากวันที่นำเข้าตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น การประเมินของจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมาย
ตามคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าไม่เจือ ตามพิกัดประเภท 72.07 ไม่ว่าประเภทใด ๆ ก็ตามต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหล่อแบบต่อเนื่องที่มีหน้าตัดตันและต้องไม่เป็นม้วน สินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มขณะนำเข้าไม่มีลักษณะหน้าตัดตัน มีการขึ้นรูปที่มีลักษณะเฉพาะไว้แล้วไม่ต้องจัดทำรูปทรงเพิ่มเติมอย่างมาก และเมื่อเปรียบเทียบรูปทรงสินค้าพิพาทขณะนำเข้ากับเมื่อเป็นชิ้นส่วนสำเร็จรูปพร้อมใช้งานแล้วไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือเค้าโครงไปจากเดิม สินค้าพิพาทจึงไม่มีลักษณะเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป ไม่อาจจัดอยู่ในพิกัดประเภท 72.07 ได้ แต่สินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มมีลักษณะเป็นของที่ขึ้นรูปมีรูปร่างหรือเค้าโครงของของหรือส่วนประกอบที่สำเร็จตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้าย พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ข้อ 2 (ก) แล้ว แม้ยังไม่พร้อมใช้งานได้ทันทีแต่ก็สามารถใช้เพื่อผลิตเป็นของหรือส่วนประกอบสำเร็จรูปโดยกระบวนการผลิตเพิ่มเติมเป็นแต่เพียงกระบวนการตกแต่งพื้นผิวชิ้นงานให้มีสภาพเหมาะสมต่อการนำไปใช้เท่านั้น และเมื่อสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มจัดอยูในพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 พิกัดประเภทย่อย 8708.94.93 และพิกัดประเภทย่อย 8708.94.95 จึงไม่อาจจัดเป็นของอื่น ๆ ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าตามพิกัดประเภท 73.26 ตามที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและขอสงวนสิทธิ์ขอคืนอากรได้ เนื่องจากคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ระบุไม่ให้คลุมถึงของที่ตีขึ้นรูป ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในประเภทพิกัดอื่นของพิกัดอัตราศุลกากรนี้ (เช่น ส่วนประกอบที่สามารถบอกได้ว่าเป็นของเครื่องจักรหรือของเครื่องใช้เชิงกล) หรือของที่ตีขึ้นรูปยังทำไม่เสร็จซึ่งต้องการการจัดทำมากไปกว่านี้ แต่มีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้ซึ่งทำเสร็จแล้ว คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินตามใบขนสินค้าขาเข้า 127 ฉบับ และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ 6 ฉบับ กับให้จำเลยทั้งสี่คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้อง 34,546,100.24 บาท และชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 28,714,117 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้เพิกถอนการประเมินตามใบขนสินค้าขาเข้า 127 ฉบับ และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ 6 ฉบับ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 คืนเงิน จำนวน 34,546,100.24 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 28,714,117 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ประกอบกิจการโรงงานผลิตสินค้าจำหน่าย โดยนำวัตถุดิบบางส่วนจากต่างประเทศเข้ามาผลิตเป็นสินค้าสำเร็จเพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยและต่างประเทศระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 โจทก์นำเข้าวัตถุดิบ Forging ตามใบขนสินค้าขาเข้า 113 ฉบับ สำแดงว่าเป็นส่วนประกอบชุดเกียร์ทำด้วยเหล็ก(Semi Piston Rack) และชิ้นงานทำด้วยเหล็ก (Lower Shaft) พิกัดประเภทย่อย 7326.90.90 อัตราอากรร้อยละ 10 และระหว่างวันที่ 6 สิงหาคม 2556 ถึงวันที่ 11 เมษายน 2558 โจทก์นำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้า 14 ฉบับ สำแดงว่า เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตชิ้นส่วนซึ่งเป็นวาล์วควบคุมน้ำมันไฮดรอลิกในท่อน้ำมันสำหรับระบบบังคับเลี้ยว (Forged Rack และ Forged Shaft) พิกัดประเภทย่อย 8708.99.90 อัตราอากรร้อยละ 30 โดยโจทก์ขอสงวนสิทธิ์ขอคืนอากรไว้ในประเภทพิกัด 7326.90.99 อัตราอากรร้อยละ 10 ต่อมาวันที่ 21 มีนาคม 2556 พนักงานเจ้าหน้าที่สำนักสืบสวนและปราบปรามของจำเลยที่ 1 ตรวจค้นบริษัทโจทก์เนื่องจากมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีเอกสารที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือเกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดตามกฎหมายศุลกากรจึงนำสินค้าที่โจทก์นำเข้าไปตรวจสอบ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เห็นว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าจัดเข้าพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 อัตราอากรร้อยละ 30 เป็นเหตุให้อากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มขาดและแจ้งข้อกล่าวหาว่าการกระทำของโจทก์เป็นความผิดฐานสำแดงชนิดสินค้าและประเภทพิกัดอัตราศุลกากรเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 และมาตรา 99 โจทก์ทราบข้อกล่าวหาแล้วเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2558 จำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออกภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) ลงวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 สำหรับการนำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้า 113 ฉบับ โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 และระหว่างวันที่ 12 ตุลาคม 2558 ถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2560 จำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้า/ขาออก/ภาษีสรรพสามิต/ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีอื่น ๆ (กรณีสงวนสิทธิ์ขอคืนอากร) สำหรับใบขนสินค้าขาเข้า 14 ฉบับ โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 โจทก์อุทธรณ์การประเมินอากรขาเข้าต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และอุทธรณ์การประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 วันที่ 9 พฤศจิกายน 2562 โจทก์ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์จากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยที่ 1 ประเมินอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาท 113 ฉบับ เมื่อพ้นกำหนดสามปีนับแต่วันยื่นใบขนสินค้าตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 19 จึงเป็นการประเมินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ข้อพิพาทคดีนี้มิใช่เป็นกรณีจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดไปในเหตุที่ได้คำนวณจำนวนเงินอากรผิดซึ่งมีอายุความสองปีนับแต่วันที่นำเข้า แต่เป็นกรณีมีอายุความสิบปีไม่ว่าเป็นกรณีมีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/31 หรือกรณีไม่มีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนำเข้า ดังนั้น ไม่ว่ามีการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงอากรหรือไม่ ก็มีอายุความสิบปีตั้งแต่วันนำเข้าแตกต่างเฉพาะตัวบทกฎหมายที่ใช้อ้างอิงเท่านั้น และอย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 กรณีนี้โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทตามใบขนสินค้าขาเข้า 113 ฉบับ ในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 และพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เข้าตรวจค้นบริษัทโจทก์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2556 จากนั้นโจทก์เข้าชี้แจงรายละเอียดและส่งมอบเอกสารให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จนพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่นๆ) ในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 และจัดส่งให้แก่โจทก์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับโดยโจทก์ได้รับเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 ถือได้ว่าขั้นตอนกระบวนการประเมินเพื่อให้โจทก์รับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรได้ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อจำเลยที่ 1 ออกแบบแจ้งการประเมินในวันที่ 2 และ 3 พฤศจิกายน 2560 อันเป็นเวลาก่อนที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ ส่วนการจัดส่งแบบแจ้งการประเมินเป็นขั้นตอนการแจ้งให้โจทก์ผู้ต้องเสียภาษีอากรเพื่อทราบและปฏิบัติตามกฎหมายต่อไปไม่ใช่การดำเนินการประเมิน กรณีจึงไม่อาจนำพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2460 มาตรา 19 มาใช้บังคับในคดีนี้ ส่วนปัญหาการออกแบบแจ้งการประเมินภายหลังกฎหมายใหม่มีผลใช้บังคับแล้วจะมีผลอย่างไรไม่เป็นประเด็นปัญหาในคดีนี้ ดังนั้น การประเมินอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาท 113 ฉบับ ในคดีนี้ จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกอากรที่ขาดภายใน 10 ปี นับจากวันที่นำเข้า ตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น การประเมินของจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อมาว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดอยู่ในพิกัดประเภท 87.08 ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามพิกัดประเภท 87.01 ถึง 87.05 ประเภทย่อย 8708.94.93 ประเภทย่อย 8708.94.95 และประเภทย่อย 8708.94.99 ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 ทวิ วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาท บัญญัติว่า “ความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีสำหรับของที่นำเข้าเกิดขึ้นในเวลาที่นำของเข้าสำเร็จ” วรรคสองบัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 87 และมาตรา 88 การคำนวณค่าภาษีให้ถือตามสภาพของราคาของและพิกัดอัตราศุลกากรที่เป็นอยู่ในเวลาที่ความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีเกิดขึ้น...” และพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ของที่นำเข้ามาหรือพาเข้ามาในหรือส่งหรือพาออกไปนอกราชอาณาจักรนั้น ให้เรียกเก็บและเสียอากรตามที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราศุลกากรท้ายพระราชกำหนดนี้ หรือตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกำหนดนี้” มาตรา 15 วรรคสาม บัญญัติว่า “การตีความให้ถือตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ท้ายพระราชกำหนดนี้ ประกอบกับคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร ซึ่งทำเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2493 และประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515” ดังนั้น การตีความว่าของอยู่ในประเภทพิกัดใดจึงต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ซึ่งหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ข้อ 1 ระบุว่า “ชื่อของหมวด ตอน และตอนย่อย ได้กำหนดขึ้นเพื่อให้สะดวกแก่การอ้างอิงเท่านั้น ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทให้จำแนกตามความของประเภทนั้น ๆ ตามหมายเหตุของหมวดหรือของตอนที่เกี่ยวข้องและตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ หากว่าประเภทหรือหมายเหตุดังกล่าวไม่ได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ข้อ 2 (ก) วรรคหนึ่ง ระบุว่า “ประเภทที่ระบุถึงของใดให้หมายรวมถึงของนั้นที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หากว่าในขณะนำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วและให้หมายรวมถึงของที่สมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว (หรือที่จำแนกเข้าประเภทของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้วตามนัยแห่งหลักเกณฑ์นี้) ที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน”ข้อ 6 ระบุว่า “ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทของของเข้าในประเภทย่อยของประเภทใดประเภทหนึ่งให้เป็นไปตามความของประเภทย่อยที่เกี่ยวข้องและตามหลักเกณฑ์ข้างต้นโดยอนุโลม โดยพิจารณาเปรียบเทียบในระหว่างประเภทย่อยที่อยู่ในระดับเดียวกันตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์นี้ให้ใช้หมายเหตุของหมวดและของตอนที่เกี่ยวข้องด้วย เว้นแต่จะมีข้อความระบุไว้เป็นอย่างอื่น” ซึ่งตามคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ พิกัดประเภท 72.07 ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าไม่เจือ ได้ระบุว่าผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปได้นิยามไว้ในหมายเหตุข้อ 1 (ญ) ของตอนนี้ โดยหมายเหตุข้อ 1 (ญ) ของตอนที่ 72 ระบุนิยามผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปว่า หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหล่อแบบต่อเนื่องที่มีหน้าตัดตันจะผ่านการรีดร้อนขั้นต้นหรือไม่ก็ตาม และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีหน้าตัดตัน ซึ่งไม่ได้ทำมากไปกว่าการรีดร้อนขั้นต้นหรือตีเป็นรูปทรงอย่างหยาบ ๆ รวมถึงของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุม เป็นรูปทรง หรือเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องไม่เป็นม้วน และตามคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ พิกัดประเภท 72.07 อธิบายผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปว่า มี 4 ประเภท คือ (ก) ท่อนเหล็กที่เป็นเหลี่ยมแบบบลูม บิลเล็ต ท่อนกลม แท่งเหล็กหนาชนิดสแล๊ป แท่งบางชนิดชี้ทบาร์ (ข) ชิ้นที่ทำเป็นรูปทรงอย่างหยาบ ๆ ด้วยการตี (ค) ของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุม ทำเป็นรูปทรง หรือทำเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ และ (ง) ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่ได้มาโดยการหล่อแบบต่อเนื่อง แสดงว่าผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปตามพิกัดประเภท 72.07 ไม่ว่าประเภทใด ๆ ก็ตามต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหล่อแบบต่อเนื่องที่มีหน้าตัดตันและต้องไม่เป็นม้วน เมื่อพิจารณาหนังสือชี้แจงของโจทก์ และตัวอย่างสินค้าพิพาทขณะนำเข้าเปรียบเทียบกับสินค้าที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้ามี 2 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งคือ ส่วนประกอบชุดเกียร์ทำด้วยเหล็ก (Semi Piston Rack) และวัตถุดิบสำหรับผลิตชิ้นส่วนซึ่งเป็นวาล์วควบคุมน้ำมันไฮดรอลิกในท่อน้ำมันสำหรับระบบบังคับเลี้ยว (Forged Rack) กลุ่มที่สองคือ ชิ้นงานทำด้วยเหล็ก (Lower Shaft) และวัตถุดิบสำหรับผลิตชิ้นส่วนซึ่งเป็นวาล์วควบคุมน้ำมันไฮดรอลิกในท่อน้ำมันสำหรับระบบบังคับเลี้ยว (Forged Shaft) สินค้าพิพาทผลิตจากการนำเหล็กท่อนกลม (Round Billet) มาตัดให้ได้ขนาด จากนั้นนำชิ้นงานไปอบอ่อน เมื่ออบอ่อนแล้วจึงนำไปขึ้นรูปตามแบบเพื่อให้ได้ชิ้นงาน เมื่อได้ชิ้นงานแล้วจะนำชิ้นงานไปชุบกันสนิมทำด้วยเหล็กกล้าขึ้นรูปและมีการเคลือบกันสนิม ในข้อนี้ได้ความจากผู้รับมอบอำนาจโจทก์ตอบทนายจำเลยทั้งสี่ถามค้านว่า การนำไปอบอ่อน หมายถึง การนำสินค้าไปทำให้นิ่มขึ้น โดยสินค้าในกลุ่มที่หนึ่ง มีการตีขึ้นรูปครั้งที่ 1 ตีขึ้นรูปครั้งที่ 2 จะมีรูอยู่ตรงกลาง ตีขึ้นรูปครั้งที่ 3 ทำให้เกิดรูทะลุ และตีขึ้นรูปครั้งที่ 4 ทำให้เกิดบ่า จนเป็นชิ้นงานสำเร็จ ขณะนำเข้าสินค้าพิพาทมีลักษณะเป็นโลหะวงกลมตรงกลางกลวง (วงแหวน) สินค้ากลุ่มที่สอง มีการตีขึ้นรูปครั้งที่ 1 ตีขึ้นรูปครั้งที่ 2 ทำร่องหยาบ และตีขึ้นรูปครั้งที่ 3 ทำร่องให้ได้ขนาด จนเป็นชิ้นงานสำเร็จ ขณะนำเข้าสินค้าพิพาทมีลักษณะเป็นทรงกระบอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลดหลั่น 3 ขั้น มีการเจาะรูที่หน้าตัดด้านกว้างแต่ไม่กลวงตลอด สินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มไม่สามารถนำไปใช้งานได้ทันทีต้องนำมาผ่านกระบวนการผลิตอีกหลายขั้นตอนด้วยเครื่องจักรให้ได้ขนาดและผิวงานละเอียดจึงจะสามารถนำไปใช้งานได้ เห็นได้ว่าสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มขณะนำเข้าไม่มีลักษณะหน้าตัดตัน มีการขึ้นรูปที่มีลักษณะเฉพาะไว้แล้วไม่ต้องจัดทำรูปทรงเพิ่มเติมอย่างมาก และเมื่อเปรียบเทียบรูปทรงสินค้าพิพาทขณะนำเข้ากับเมื่อเป็นชิ้นส่วนสำเร็จรูปพร้อมใช้งานแล้วไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือเค้าโครงไปจากเดิม สินค้าพิพาทจึงไม่มีลักษณะเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปตามหมายเหตุข้อ 1 (ญ) ไม่อาจจัดอยู่ในพิกัดประเภท 72.07 ดังที่โจทก์ฎีกาได้ แม้สินค้าพิพาทจะไม่สามารถนำมาใช้งานได้ทันทีต้องผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอนก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ที่ได้อธิบายการตีความพิกัดศุลกากรข้อ 2 (ก) ของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ ว่า (1) ความตอนแรกของหลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) เป็นการขยายขอบเขตของประเภทพิกัดซึ่งระบุถึงของใด ให้คลุมถึงไม่เฉพาะของสำเร็จรูป แต่คลุมถึงของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จด้วย หากว่าในขณะนำเข้าของนั้นมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว (2) หลักเกณฑ์ข้อนี้ใช้กับของที่เพียงแต่ขึ้นรูป (แบล็งก์) ด้วย เว้นแต่จะมีประเภทพิกัดอื่นระบุไว้โดยเฉพาะ คำว่า “ของที่เพียงแต่ขึ้นรูป” หมายถึง ของที่ยังไม่พร้อมจะใช้ได้ทันทีเพียงแต่มีรูปร่างหรือเค้าโครงของของหรือส่วนประกอบที่สำเร็จแล้ว และสามารถใช้เพื่อผลิตเป็นของหรือส่วนประกอบสำเร็จรูปเท่านั้น ยกเว้นเป็นพิเศษบางกรณี ของกึ่งสำเร็จรูปที่ยังไม่มีรูปร่างอันเป็นสาระสำคัญของของสำเร็จรูป (โดยทั่วไปเช่น เป็นท่อน วงกลม หลอดหรือท่อ ฯลฯ) ไม่ถือว่าเป็น “ของที่เพียงแต่ขึ้นรูป” (3) โดยคำนึงถึงขอบเขตของประเภทต่าง ๆ ในหมวด 1 ถึง 6 หลักเกณฑ์ข้อนี้ปกติไม่ใช้กับของในหมวดดังกล่าว (4) หลายกรณีที่หลักเกณฑ์ข้อนี้คลุมถึงปรากฏอยู่ในคำอธิบายทั่วไปของหมวดหรือตอนต่างๆ (เช่น หมวด 16 และตอนที่ 61, 62, 86, 87 และ 90) เห็นได้ว่าสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มมีลักษณะเป็นของที่ขึ้นรูปมีรูปร่างหรือเค้าโครงของของหรือส่วนประกอบที่สำเร็จตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) แล้ว แม้ยังไม่พร้อมใช้งานได้ทันทีแต่ก็สามารถใช้เพื่อผลิตเป็นของหรือส่วนประกอบสำเร็จรูป โดยกระบวนการผลิตเพิ่มเติมเป็นแต่เพียงกระบวนการตกแต่งพื้นผิวชิ้นงานให้มีสภาพเหมาะสมต่อการนำไปใช้เท่านั้น สินค้าพิพาทกลุ่มที่หนึ่งขึ้นรูปเป็น Semi Piston Rack และ Forged Rack เพื่อประกอบติดตั้งเข้ากับเพลาบังคับเลี้ยวของกระปุกเกียร์พวงมาลัยในชุดบังคับล้อ (Rack and Pinion) ของระบบบังคับเลี้ยวรถยนต์กระบะทำหน้าที่เป็นลูกสูบรับแรงดันไฮดรอลิกเป็นส่วนประกอบที่ใช้เฉพาะกับกระปุกเกียร์พวงมาลัยรถยนต์ ส่วนสินค้ากลุ่มที่สองขึ้นรูปเป็น Lower Shaft และ Forged Shaft ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของเพลาล่างที่ใช้เป็นส่วนประกอบในตัว Worm Shaft สำหรับระบบบังคับเลี้ยวพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทำหน้าที่ทดกำลังและช่วยผ่อนแรงในการหมุนพวงมาลัยโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยในการหมุน โดยติดตั้งอยู่ด้านล่างสุดของชุดพวงมาลัยพาวเวอร์ ซึ่งนำไปประกอบกับเพลาพวงส่วนกลางทำหน้าที่ส่งผ่านแรงไปบังคับการเลี้ยวของชุดบังคับล้อ ประกอบกับผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสี่ถามค้านว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าไม่สามารถใช้กับผลิตภัณฑ์เครื่องจักรอื่นได้ยกเว้นรถยนต์เท่านั้น นอกจากจะออกแบบใหม่ โดยสินค้า Forged Rack เมื่อทำเป็นสำเร็จแล้วจะนำมาใช้กับรถยนต์กระบะโตโยต้าอย่างเดียว ส่วน Forged Shaft ใช้สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อโตโยต้าเฉพาะรุ่นโคโลน่ากับวีออส ซึ่งเมื่อพิจารณาพิกัดประเภท 87.08 ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามพิกัดประเภท 87.01 ถึง 87.05 ประกอบคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์พร้อมคำแปล พิกัดประเภทนี้คลุมถึงส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภทที่ 87.01 ถึง 87.05 หากส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบเป็นไปตามเงื่อนไขทั้งสองข้อดังต่อไปนี้ (1) ของดังกล่าวต้องบ่งชี้ได้ว่าเหมาะสำหรับใช้เฉพาะหรือส่วนใหญ่ใช้กับยานยนต์ที่ระบุไว้ข้างต้น และ (2) ของดังกล่าวต้องไม่ถูกห้ามโดยข้อกำหนดของหมายเหตุในหมวด 17 เมื่อสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มไม่ถูกยกเว้นด้วยหมายเหตุหมวด 17 โดยสินค้าในกลุ่มแรกเป็นส่วนประกอบที่ใช้เฉพาะกับกระปุกเกียร์พวงมาลัยรถยนต์กระบะ ซึ่งเป็นยานยนต์ตามพิกัดประเภท 87.04 จึงจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 อื่น ๆ ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภทที่ 87.01 ถึง 87.05 พวงมาลัย แกนพวงมาลัย และกระปุกเกียร์พวงมาลัย (สเตียริงบอกซ์) รวมทั้งส่วนประกอบของของดังกล่าว ส่วนสินค้าในกลุ่มที่สองเป็นส่วนประกอบของระบบบังคับเลี้ยวของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ซึ่งเป็นยานยนต์ประเภทที่ 87.03 จึงจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อย 8707.94.93 และ 8708.94.95 สำหรับยานยนต์ตามประเภทที่ 87.03 (ตามช่วงเวลานำเข้า) ในฐานะเป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภทที่ 87.01 ถึง 87.05 พวงมาลัย แกนพวงมาลัย และกระปุกเกียร์ พวงมาลัย (สเตียริงบอกซ์) รวมทั้งส่วนประกอบของของดังกล่าว เมื่อสินค้าพิพาททั้งสองกลุ่มจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อย 8708.94.99 พิกัดประเภทย่อย 8708.94.93 และพิกัดประเภทย่อย 8708.94.95 จึงไม่อาจจัดเป็นของอื่น ๆ ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า ตามพิกัดประเภท 73.26 ตามที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและขอสงวนสิทธิ์ขอคืนอากรได้เนื่องจากคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์พร้อมคำแปลระบุไม่ให้คลุมถึงของที่ตีขึ้นรูปซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในประเภทพิกัดอื่นของพิกัดอัตราศุลกากรนี้ (เช่น ส่วนประกอบที่สามารถบอกได้ว่าเป็นของเครื่องจักรหรือของเครื่องใช้เชิงกล) หรือของที่ตีขึ้นรูปยังทำไม่เสร็จซึ่งต้องการการจัดทำมากไปกว่านี้ แต่มีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้ซึ่งทำเสร็จแล้ว คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของ ป.อ. มาตรา 227 ป.อ. มิได้นิยามคำว่า ผู้มีวิชาชีพไว้ จึงต้องถือตามความหมายที่ยอมรับกันโดยทั่วไปตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ซึ่งให้ความหมายของคำว่า วิชาชีพ รวมกับคำว่า วิชา หมายถึงผู้ที่มีอาชีพที่ต้องอาศัยวิชาความรู้ ความชำนาญ หรือผู้ที่มีความรู้ซึ่งอาจได้จากการเล่าเรียนโดยตรง หรือจากการทำงานอันเป็นการฝึกฝนในการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระก็ได้ กรณีจึงไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่เล่าเรียนมาโดยตรงเพื่อเป็นสถาปนิกหรือวิศวกรเท่านั้น แต่หมายรวมถึงผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญ ในการทำงานอันได้รับการฝึกฝนจากการประกอบอาชีพตามปกติด้วย เมื่อจำเลยประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างมาเป็นเวลากว่า 10 ปี จำเลยจึงเป็นผู้มีความรู้ ความชำนาญ ในการก่อสร้างซึ่งเกิดจากการทำงานรับเหมาก่อสร้างอันเป็นการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระ และเป็นผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227, 238
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสาวสิริการย์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมในฐานะส่วนตัวและภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายชัยโรจน์ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ 60,000 บาท ค่าปลงศพกับค่าใช้จ่ายในการจัดการศพผู้ตาย 100,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะ 720,000 บาท และค่าเสียหายจากการพังถล่มของบ้าน 2,050,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,930,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2562 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วม ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ร่วมเรียกร้องสูงเกินสมควร ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 ประกอบมาตรา 238 วรรคแรกและวรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้มีวิชาชีพทำการก่อสร้างอาคารไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นและเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 238 วรรคแรก ประกอบมาตรา 227 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 20 ปี และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 1,640,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันที่ 30 เมษายน 2562 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม (ที่ถูก แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามขอ) ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังยุติว่า อาคารที่เกิดเหตุอยู่ในเขตควบคุมอาคาร โจทก์ร่วมต้องขออนุญาตก่อสร้างต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น โดยยื่นแบบแปลนและรายการประกอบแบบ พร้อมสำเนาโฉนดที่ดินให้เจ้าพนักงานพิจารณา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 โจทก์ร่วมยื่นคำขออนุญาตก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยต่อองค์การบริหารส่วนตำบลอ่าวน้อย โดยแนบแบบแปลนและรายการประกอบแบบ พร้อมสำเนาโฉนดที่ดิน และได้รับใบอนุญาตก่อสร้างอาคารเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2547 โจทก์ร่วมใช้แบบแปลนและรายการประกอบแบบ ในการว่าจ้างให้จำเลยก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุในราคา 850,000 บาท จำเลยซึ่งเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างให้โจทก์ร่วมต้องก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุตามแบบแปลนที่โจทก์ร่วมได้รับใบอนุญาต จำเลยก่อสร้างจนแล้วเสร็จเมื่อประมาณปลายปี 2548 โจทก์ร่วมพร้อมครอบครัวเข้าไปอยู่อาศัยในอาคารดังกล่าว ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2562 เวลาประมาณ 18 นาฬิกา อาคารที่เกิดเหตุได้วิบัติพังทลายลงมาทั้งหลังทับบุคคลในครอบครัวของโจทก์ร่วมเป็นเหตุให้นายชัยโรจน์ สามีโจทก์ร่วมถึงแก่ความตาย โจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายสาหัส นางสาวธันย์นิชา นางสาวธันยากานต์ และเด็กหญิงริญญรัตน์ ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย อาคารที่เกิดเหตุได้รับความเสียหายทั้งหมด ชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนขอให้วิศวกรโยธาจากสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ร่วมตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ผลการตรวจพบว่าอาคารที่ก่อสร้างจริงไม่ตรงตามแบบแปลนที่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นหลายรายการ สาเหตุการพังทลายของอาคารเกิดจากการก่อสร้างตำแหน่งเสาตอม่อและการเสริมเหล็กไม่ตรงตามที่แบบแปลนกำหนด ทำให้การรับน้ำหนักของตัวอาคารเกิดความไม่สมดุลเป็นเหตุให้เกิดการวิบัติของโครงสร้างอาคารพังทลายลงมา พนักงานสอบสวนจึงหมายเรียกจำเลยมารับทราบข้อกล่าวหาและแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยว่า เป็นผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอนอาคาร ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการอันพึงกระทำเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 และต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้ให้นิยามของคำว่า “ผู้มีวิชาชีพ” ไว้ จึงต้องถือตามความหมายที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ซึ่งตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายของคำว่า “วิชาชีพ” หมายถึง วิชาที่จะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ เช่น วิชาแพทย์ วิชาช่างไม้ วิชาช่างยนต์ และคำว่า “วิชา” หมายถึง ความรู้ ความรู้ที่ได้ด้วยการเล่าเรียนหรือฝึกฝน เช่น วิชาภาษาไทย วิชาช่าง วิชาการฝีมือ ดังนั้น คำว่า “ผู้มีวิชาชีพ” จึงหมายถึง ผู้ที่มีอาชีพที่ต้องอาศัยวิชาความรู้ ความชำนาญ หรือผู้ที่มีความรู้ซึ่งอาจได้จากการเล่าเรียนโดยตรงหรือจากการทำงานอันเป็นการฝึกฝนในการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระก็ได้ ผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 จึงไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่ได้เล่าเรียนมาโดยตรงเพื่อเป็นสถาปนิกหรือวิศวกรเท่านั้น แต่หมายความรวมถึงผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญ ในการทำงานอันได้รับการฝึกฝนจากการประกอบอาชีพตามปกติด้วย ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยรู้จักกับโจทก์ร่วมมาเป็นเวลาประมาณ 20 ปี และโจทก์ร่วมทราบว่า จำเลยมีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง อีกทั้งจำเลยเป็นผู้ก่อสร้างบ้านของจำเลยซึ่งอยู่ใกล้กับที่ดินของโจทก์ร่วมที่กำลังจะสร้างบ้าน เมื่อจำเลยเสนอว่าจะเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านที่เกิดเหตุ โจทก์ร่วมจึงไว้วางใจให้จำเลยก่อสร้างบ้านให้โจทก์ร่วม ประกอบกับจำเลยประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างมาเป็นเวลากว่า 10 ปี แสดงว่า จำเลยเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการก่อสร้างซึ่งเกิดจากการทำงานรับเหมาก่อสร้างอันเป็นการฝึกฝนในการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระ จำเลยจึงเป็นผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยในส่วนนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า อาคารที่เกิดเหตุพังทลายลงเพราะการกระทำของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า นายสุวัฒน์มีตำแหน่งวิศวกรโยธาชำนาญการพิเศษ สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับกรณีอาคารที่เกิดเหตุพังทลายลง โดยร่วมตรวจสอบอาคารที่เกิดเหตุกับพนักงานสอบสวน และจัดทำผลการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งไม่มีข้อพิรุธให้สงสัยว่าจะช่วยเหลือหรือปรักปรำฝ่ายใด ผลการตรวจสอบและทำความเห็นของนายสุวัฒน์ได้ความว่าอาคารที่เกิดเหตุมีการก่อสร้างจริงบางส่วนไม่ตรงตามแบบแปลนที่ได้รับใบอนุญาต ดังที่ปรากฏข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบในข้อ 4.1 ถึง 4.5 ตามเอกสารดังกล่าวข้างต้น ฟังได้ว่านายสุวัฒน์เบิกความตามข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบมา การตรวจสอบของนายสุวัฒน์ถือได้ว่าเป็นการนำหลักวิชาการทางด้านวิศวกรรมก่อสร้างมาใช้ตรวจสอบอาคารที่เกิดเหตุหาสาเหตุที่พังทลายลงมิใช่นำเพียงพยานหลักฐานและพยานบุคคลที่ปรากฏในสำนวนชั้นสอบสวนมาตัดสินว่าสิ่งใดจริงหรือเท็จตามที่จำเลยฎีกา ประกอบกับจำเลยฎีการับว่ามีการก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุไม่ตรงตามแบบแปลนและรายการประกอบ คำเบิกความของนายสุวัฒน์มีน้ำหนักรับฟังได้ ที่จำเลยฎีกาว่า อาคารที่เกิดเหตุพังทลายลง เพราะสภาพที่ดินมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ด้านทิศใต้มีร่องน้ำเหนือท่อน้ำลอดผ่าน ก่อนที่จะก่อสร้างโจทก์ร่วมไม่ได้ถมดิน และแจ้งให้จำเลยก่อสร้างแบบใช้คานลอย สาเหตุที่ทำให้อาคารที่เกิดเหตุถล่มพังทลายลงจึงมิใช่เพราะการก่อสร้างไม่ตรงตามแบบแปลนตามที่นายสุวัฒน์เบิกความ แต่มีสาเหตุตามเหตุผลของนายประกิตติ ที่ว่า อาคารที่เกิดเหตุสร้างอยู่ในพื้นที่ที่ไม่เสมอกัน จึงมีการเลื่อนไถลของพื้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของอาคาร ทำให้โครงสร้างพังลง มีฐานรากที่แช่น้ำเป็นเวลานานเช่นบริเวณห้องน้ำอาจเกิดการพังทลายของดิน ทำให้ฐานรากเคลื่อนตัว และดึงโครงสร้างทั้งหมดพังลง การก่อสร้างที่ไม่ตรงตามแบบที่ได้รับใบอนุญาตเป็นความผิดพลาดในเกณฑ์ปกติซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ และไม่ถึงกับทำให้อาคารทั้งหลังพังทลายลงมา เห็นว่า เมื่อจำเลยเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุ ย่อมทราบดีว่าหากจะเริ่มก่อสร้างต้องตรวจดูสภาพพื้นที่จริงและแบบแปลนที่จะใช้ก่อสร้างว่า สภาพที่ดินมีลักษณะตรงตามแบบแปลนหรือไม่ และหากยังมีเรื่องใดที่ทำให้ที่ดินยังไม่มีความสมบูรณ์ปลอดภัยพร้อมจะก่อสร้างให้ถูกต้องตรงตามแบบแปลน จำเลยต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นเสียก่อน รวมทั้งวัสดุที่จะใช้ในการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นปูน เหล็ก และวัสดุอื่น ๆ ต้องใช้ให้ได้ขนาดตามที่แบบแปลนกำหนดไว้ เพราะโจทก์ร่วมได้รับใบอนุญาตให้ก่อสร้างตามแบบแปลนที่เจ้าพนักงานพิจารณาแล้ว ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัยและผู้อื่น สำหรับปัญหาที่ว่าการก่อสร้างที่ผิดแบบแปลนจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อาคารที่เกิดเหตุถล่มพังลงหรือไม่นั้น นายสุวัฒน์ให้ความเห็นว่า กรณีไม่มีการถมดิน แล้วผู้ก่อสร้างใช้แผ่นพื้นสำเร็จรูปวางบนคาน น้ำหนักจะลงที่คานแล้วถ่ายน้ำหนักลงไปที่เสาตอม่อ แต่การเทพื้นคอนกรีตบนพื้นดินจะทำให้น้ำหนักลงไปที่พื้นดิน และยังเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า หากพื้นที่ก่อสร้างมีความสูงต่ำไม่เท่ากัน ก็นำแบบแปลนและรายการประกอบแบบมาใช้ในการก่อสร้างไม่ได้ แต่ก็มีวิธีแก้ไขคือ การถมดินให้แน่น หรือเขียนแบบใหม่โดยแก้ไขแบบให้มีคานคอดินรับน้ำหนักบริเวณพื้นดินอีกชั้น แต่จำเลยทำการก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุโดยไม่ได้ดำเนินการแก้ไขใด ๆ จำเลยนำสืบอ้างว่าโจทก์ร่วมให้ก่อสร้างได้เลย นายสุวัฒน์ตรวจสอบสาเหตุต่าง ๆ ที่อาจจะมีผลทำให้อาคารที่เกิดเหตุพังทลายลงไว้อย่างครบถ้วน รวมถึงอธิบายชี้แจงได้ว่า บริเวณก่อสร้างจริงไม่มีการถมดินไว้ ก็ทำให้ผู้ก่อสร้างใช้วิธีเทพื้นคอนกรีตตามที่กำหนดไว้ในแบบแปลนไม่ได้ และใช้วิธีวางแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปซึ่งมีน้ำหนักเกินกว่าปกติ เมื่อวางบนคานก็มีผลให้น้ำหนักแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปลงไปที่คานแล้วถ่ายน้ำหนักลงไปที่เสาตอม่อ และพบข้อเท็จจริงว่าคานคอดินใช้เหล็กเส้นในคานคอดินน้อยกว่าในแบบที่ได้รับใบอนุญาตโดยปรากฏตามเอกสารว่าคานคอดินที่เป็นส่วนฐานรากรับน้ำหนักอาคาร (GB2) ตามแบบระบุเสริมเหล็กแกนคานขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 19 มิลลิเมตร จำนวน 10 เส้น แต่ตามข้อเท็จจริงพบว่าคานดังกล่าวซึ่งรับพื้นสำเร็จรูปด้านหน้าอาคารมีเหล็กแกนคานขนาดเพียง 9.25 มิลลิเมตร ต่างกันถึง 10 มิลลิเมตร และมีเพียง 4 เส้น เทียบกับแบบต้องมี 8 ถึง 11 เส้น เหตุที่อาคารวิบัติเนื่องจากเสาตอม่อรับน้ำหนักไม่ไหว ทำให้เสาตอม่อซึ่งตั้งอยู่บริเวณขอบของฐานรากวิบัติไปทางด้านที่ไม่มีการถมดินไว้ ส่วนบริเวณห้องน้ำที่ขุดเสาตอม่อขึ้นมาตรวจสอบนั้น พบว่าเสาตอม่อทรุดไม่มากถึงขั้นวิกฤต และไม่มีน้ำขัง ขุดพื้นดินตรวจสอบฐานรากไม่พบความชื้นผิดปกติและไม่พบน้ำตามที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด ส่วนนายประกิตติเป็นเพียงพยานจำเลยที่มาเบิกความโดยไม่ได้ตรวจสภาพอาคารที่เกิดเหตุ การให้ความเห็นพิจารณาจากเอกสารของจำเลยเท่านั้น จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างเหตุผลการตรวจสอบของนายสุวัฒน์ได้ ทั้งคำเบิกความบางส่วนยังเบิกความเจือสมกับนายสุวัฒน์ว่าอาคารที่เกิดเหตุไม่ได้ก่อสร้างบนพื้นดิน และมีความยาวของเสาตอม่อมากกว่าที่ขออนุญาต การก่อสร้างอาคารในลักษณะนี้ทำให้คานและเสาต้องรับน้ำหนักมากขึ้น และไม่เฉพาะแต่วิธีการก่อสร้างเท่านั้นที่ผิดจากแบบแปลน แต่นายสุวัฒน์ยังตรวจสอบพบว่าจำเลยใช้วัสดุในการก่อสร้างไม่ตรงตามที่กำหนดในแบบแปลนหลายรายการ โดยเฉพาะวัสดุที่ใช้เพื่อความแข็งแรงในการรับน้ำหนักโครงสร้างเช่นเหล็ก โดยจำเลยเลือกใช้เหล็กให้มีขนาดเล็กลง จำนวนน้อยลง และยังเพิ่มระยะที่ใช้เหล็กให้ห่างมากขึ้น ข้อกำหนดในการออกแบบต้องมีทั้งเหล็กยืนและเหล็กปลอก เพราะส่งผลต่อความแข็งแรงของอาคารคือถ้าเหล็กปลอกมีความถี่มากเท่าใดยิ่งรับน้ำหนักได้มากขึ้นเท่านั้น พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาจึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุไม่ตรงตามแบบแปลนและรายการประกอบแบบที่โจทก์ร่วมได้รับใบอนุญาตให้ก่อสร้างหลายรายการ ดังที่นายสุวัฒน์ตรวจสอบและระบุรายการก่อสร้างที่ไม่ตรงตามแบบแปลนไว้ ซึ่งเป็นสาเหตุการพังทลายของอาคารที่เกิดเหตุ มิใช่เป็นเพียงความผิดพลาดในเกณฑ์ปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ตามที่จำเลยฎีกา ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ร่วมมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายเพราะจำเลยและช่างก่อสร้างของจำเลยแนะนำให้โจทก์ร่วมถมดินก่อน แต่โจทก์ร่วมแจ้งให้ก่อสร้างต่อไป และไม่ให้แก้ไขแบบพราะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกนั้น เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนให้รับฟังได้เช่นนั้น จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายตามที่จำเลยฎีกา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลย เพราะไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงผลคดีที่วินิจฉัยมาข้างต้น และที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมนั้น เห็นว่า เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ทางนำสืบจำเลยบางส่วนได้ความเจือสมพยานโจทก์และโจทก์ร่วม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ เห็นควรลดโทษให้จำเลยในส่วนนี้
พิพากษาแก้เป็นว่า ทางนำสืบจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 15 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของ ป.อ. มาตรา 227 ป.อ. มิได้นิยามคำว่า ผู้มีวิชาชีพไว้ จึงต้องถือตามความหมายที่ยอมรับกันโดยทั่วไปตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ซึ่งให้ความหมายของคำว่า วิชาชีพ รวมกับคำว่า วิชา หมายถึงผู้ที่มีอาชีพที่ต้องอาศัยวิชาความรู้ ความชำนาญ หรือผู้ที่มีความรู้ซึ่งอาจได้จากการเล่าเรียนโดยตรง หรือจากการทำงานอันเป็นการฝึกฝนในการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระก็ได้ กรณีจึงไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่เล่าเรียนมาโดยตรงเพื่อเป็นสถาปนิกหรือวิศวกรเท่านั้น แต่หมายรวมถึงผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญ ในการทำงานอันได้รับการฝึกฝนจากการประกอบอาชีพตามปกติด้วย เมื่อจำเลยประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างมาเป็นเวลากว่า 10 ปี จำเลยจึงเป็นผู้มีความรู้ ความชำนาญ ในการก่อสร้างซึ่งเกิดจากการทำงานรับเหมาก่อสร้างอันเป็นการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระ และเป็นผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227, 238
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสาวสิริการย์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมในฐานะส่วนตัวและภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายชัยโรจน์ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ 60,000 บาท ค่าปลงศพกับค่าใช้จ่ายในการจัดการศพผู้ตาย 100,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะ 720,000 บาท และค่าเสียหายจากการพังถล่มของบ้าน 2,050,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,930,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2562 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วม ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ร่วมเรียกร้องสูงเกินสมควร ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 ประกอบมาตรา 238 วรรคแรกและวรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้มีวิชาชีพทำการก่อสร้างอาคารไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นและเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 238 วรรคแรก ประกอบมาตรา 227 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 20 ปี และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 1,640,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันที่ 30 เมษายน 2562 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม (ที่ถูก แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามขอ) ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังยุติว่า อาคารที่เกิดเหตุอยู่ในเขตควบคุมอาคาร โจทก์ร่วมต้องขออนุญาตก่อสร้างต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น โดยยื่นแบบแปลนและรายการประกอบแบบ พร้อมสำเนาโฉนดที่ดินให้เจ้าพนักงานพิจารณา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 โจทก์ร่วมยื่นคำขออนุญาตก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยต่อองค์การบริหารส่วนตำบลอ่าวน้อย โดยแนบแบบแปลนและรายการประกอบแบบ พร้อมสำเนาโฉนดที่ดิน และได้รับใบอนุญาตก่อสร้างอาคารเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2547 โจทก์ร่วมใช้แบบแปลนและรายการประกอบแบบ ในการว่าจ้างให้จำเลยก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุในราคา 850,000 บาท จำเลยซึ่งเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างให้โจทก์ร่วมต้องก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุตามแบบแปลนที่โจทก์ร่วมได้รับใบอนุญาต จำเลยก่อสร้างจนแล้วเสร็จเมื่อประมาณปลายปี 2548 โจทก์ร่วมพร้อมครอบครัวเข้าไปอยู่อาศัยในอาคารดังกล่าว ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2562 เวลาประมาณ 18 นาฬิกา อาคารที่เกิดเหตุได้วิบัติพังทลายลงมาทั้งหลังทับบุคคลในครอบครัวของโจทก์ร่วมเป็นเหตุให้นายชัยโรจน์ สามีโจทก์ร่วมถึงแก่ความตาย โจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายสาหัส นางสาวธันย์นิชา นางสาวธันยากานต์ และเด็กหญิงริญญรัตน์ ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย อาคารที่เกิดเหตุได้รับความเสียหายทั้งหมด ชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนขอให้วิศวกรโยธาจากสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ร่วมตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ผลการตรวจพบว่าอาคารที่ก่อสร้างจริงไม่ตรงตามแบบแปลนที่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นหลายรายการ สาเหตุการพังทลายของอาคารเกิดจากการก่อสร้างตำแหน่งเสาตอม่อและการเสริมเหล็กไม่ตรงตามที่แบบแปลนกำหนด ทำให้การรับน้ำหนักของตัวอาคารเกิดความไม่สมดุลเป็นเหตุให้เกิดการวิบัติของโครงสร้างอาคารพังทลายลงมา พนักงานสอบสวนจึงหมายเรียกจำเลยมารับทราบข้อกล่าวหาและแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยว่า เป็นผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอนอาคาร ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการอันพึงกระทำเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 และต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้ให้นิยามของคำว่า “ผู้มีวิชาชีพ” ไว้ จึงต้องถือตามความหมายที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ซึ่งตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายของคำว่า “วิชาชีพ” หมายถึง วิชาที่จะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ เช่น วิชาแพทย์ วิชาช่างไม้ วิชาช่างยนต์ และคำว่า “วิชา” หมายถึง ความรู้ ความรู้ที่ได้ด้วยการเล่าเรียนหรือฝึกฝน เช่น วิชาภาษาไทย วิชาช่าง วิชาการฝีมือ ดังนั้น คำว่า “ผู้มีวิชาชีพ” จึงหมายถึง ผู้ที่มีอาชีพที่ต้องอาศัยวิชาความรู้ ความชำนาญ หรือผู้ที่มีความรู้ซึ่งอาจได้จากการเล่าเรียนโดยตรงหรือจากการทำงานอันเป็นการฝึกฝนในการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระก็ได้ ผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 จึงไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่ได้เล่าเรียนมาโดยตรงเพื่อเป็นสถาปนิกหรือวิศวกรเท่านั้น แต่หมายความรวมถึงผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญ ในการทำงานอันได้รับการฝึกฝนจากการประกอบอาชีพตามปกติด้วย ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยรู้จักกับโจทก์ร่วมมาเป็นเวลาประมาณ 20 ปี และโจทก์ร่วมทราบว่า จำเลยมีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง อีกทั้งจำเลยเป็นผู้ก่อสร้างบ้านของจำเลยซึ่งอยู่ใกล้กับที่ดินของโจทก์ร่วมที่กำลังจะสร้างบ้าน เมื่อจำเลยเสนอว่าจะเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านที่เกิดเหตุ โจทก์ร่วมจึงไว้วางใจให้จำเลยก่อสร้างบ้านให้โจทก์ร่วม ประกอบกับจำเลยประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างมาเป็นเวลากว่า 10 ปี แสดงว่า จำเลยเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการก่อสร้างซึ่งเกิดจากการทำงานรับเหมาก่อสร้างอันเป็นการฝึกฝนในการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระ จำเลยจึงเป็นผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยในส่วนนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า อาคารที่เกิดเหตุพังทลายลงเพราะการกระทำของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า นายสุวัฒน์มีตำแหน่งวิศวกรโยธาชำนาญการพิเศษ สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับกรณีอาคารที่เกิดเหตุพังทลายลง โดยร่วมตรวจสอบอาคารที่เกิดเหตุกับพนักงานสอบสวน และจัดทำผลการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งไม่มีข้อพิรุธให้สงสัยว่าจะช่วยเหลือหรือปรักปรำฝ่ายใด ผลการตรวจสอบและทำความเห็นของนายสุวัฒน์ได้ความว่าอาคารที่เกิดเหตุมีการก่อสร้างจริงบางส่วนไม่ตรงตามแบบแปลนที่ได้รับใบอนุญาต ดังที่ปรากฏข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบในข้อ 4.1 ถึง 4.5 ตามเอกสารดังกล่าวข้างต้น ฟังได้ว่านายสุวัฒน์เบิกความตามข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบมา การตรวจสอบของนายสุวัฒน์ถือได้ว่าเป็นการนำหลักวิชาการทางด้านวิศวกรรมก่อสร้างมาใช้ตรวจสอบอาคารที่เกิดเหตุหาสาเหตุที่พังทลายลงมิใช่นำเพียงพยานหลักฐานและพยานบุคคลที่ปรากฏในสำนวนชั้นสอบสวนมาตัดสินว่าสิ่งใดจริงหรือเท็จตามที่จำเลยฎีกา ประกอบกับจำเลยฎีการับว่ามีการก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุไม่ตรงตามแบบแปลนและรายการประกอบ คำเบิกความของนายสุวัฒน์มีน้ำหนักรับฟังได้ ที่จำเลยฎีกาว่า อาคารที่เกิดเหตุพังทลายลง เพราะสภาพที่ดินมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ด้านทิศใต้มีร่องน้ำเหนือท่อน้ำลอดผ่าน ก่อนที่จะก่อสร้างโจทก์ร่วมไม่ได้ถมดิน และแจ้งให้จำเลยก่อสร้างแบบใช้คานลอย สาเหตุที่ทำให้อาคารที่เกิดเหตุถล่มพังทลายลงจึงมิใช่เพราะการก่อสร้างไม่ตรงตามแบบแปลนตามที่นายสุวัฒน์เบิกความ แต่มีสาเหตุตามเหตุผลของนายประกิตติ ที่ว่า อาคารที่เกิดเหตุสร้างอยู่ในพื้นที่ที่ไม่เสมอกัน จึงมีการเลื่อนไถลของพื้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของอาคาร ทำให้โครงสร้างพังลง มีฐานรากที่แช่น้ำเป็นเวลานานเช่นบริเวณห้องน้ำอาจเกิดการพังทลายของดิน ทำให้ฐานรากเคลื่อนตัว และดึงโครงสร้างทั้งหมดพังลง การก่อสร้างที่ไม่ตรงตามแบบที่ได้รับใบอนุญาตเป็นความผิดพลาดในเกณฑ์ปกติซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ และไม่ถึงกับทำให้อาคารทั้งหลังพังทลายลงมา เห็นว่า เมื่อจำเลยเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุ ย่อมทราบดีว่าหากจะเริ่มก่อสร้างต้องตรวจดูสภาพพื้นที่จริงและแบบแปลนที่จะใช้ก่อสร้างว่า สภาพที่ดินมีลักษณะตรงตามแบบแปลนหรือไม่ และหากยังมีเรื่องใดที่ทำให้ที่ดินยังไม่มีความสมบูรณ์ปลอดภัยพร้อมจะก่อสร้างให้ถูกต้องตรงตามแบบแปลน จำเลยต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นเสียก่อน รวมทั้งวัสดุที่จะใช้ในการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นปูน เหล็ก และวัสดุอื่น ๆ ต้องใช้ให้ได้ขนาดตามที่แบบแปลนกำหนดไว้ เพราะโจทก์ร่วมได้รับใบอนุญาตให้ก่อสร้างตามแบบแปลนที่เจ้าพนักงานพิจารณาแล้ว ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัยและผู้อื่น สำหรับปัญหาที่ว่าการก่อสร้างที่ผิดแบบแปลนจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อาคารที่เกิดเหตุถล่มพังลงหรือไม่นั้น นายสุวัฒน์ให้ความเห็นว่า กรณีไม่มีการถมดิน แล้วผู้ก่อสร้างใช้แผ่นพื้นสำเร็จรูปวางบนคาน น้ำหนักจะลงที่คานแล้วถ่ายน้ำหนักลงไปที่เสาตอม่อ แต่การเทพื้นคอนกรีตบนพื้นดินจะทำให้น้ำหนักลงไปที่พื้นดิน และยังเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า หากพื้นที่ก่อสร้างมีความสูงต่ำไม่เท่ากัน ก็นำแบบแปลนและรายการประกอบแบบมาใช้ในการก่อสร้างไม่ได้ แต่ก็มีวิธีแก้ไขคือ การถมดินให้แน่น หรือเขียนแบบใหม่โดยแก้ไขแบบให้มีคานคอดินรับน้ำหนักบริเวณพื้นดินอีกชั้น แต่จำเลยทำการก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุโดยไม่ได้ดำเนินการแก้ไขใด ๆ จำเลยนำสืบอ้างว่าโจทก์ร่วมให้ก่อสร้างได้เลย นายสุวัฒน์ตรวจสอบสาเหตุต่าง ๆ ที่อาจจะมีผลทำให้อาคารที่เกิดเหตุพังทลายลงไว้อย่างครบถ้วน รวมถึงอธิบายชี้แจงได้ว่า บริเวณก่อสร้างจริงไม่มีการถมดินไว้ ก็ทำให้ผู้ก่อสร้างใช้วิธีเทพื้นคอนกรีตตามที่กำหนดไว้ในแบบแปลนไม่ได้ และใช้วิธีวางแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปซึ่งมีน้ำหนักเกินกว่าปกติ เมื่อวางบนคานก็มีผลให้น้ำหนักแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปลงไปที่คานแล้วถ่ายน้ำหนักลงไปที่เสาตอม่อ และพบข้อเท็จจริงว่าคานคอดินใช้เหล็กเส้นในคานคอดินน้อยกว่าในแบบที่ได้รับใบอนุญาตโดยปรากฏตามเอกสารว่าคานคอดินที่เป็นส่วนฐานรากรับน้ำหนักอาคาร (GB2) ตามแบบระบุเสริมเหล็กแกนคานขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 19 มิลลิเมตร จำนวน 10 เส้น แต่ตามข้อเท็จจริงพบว่าคานดังกล่าวซึ่งรับพื้นสำเร็จรูปด้านหน้าอาคารมีเหล็กแกนคานขนาดเพียง 9.25 มิลลิเมตร ต่างกันถึง 10 มิลลิเมตร และมีเพียง 4 เส้น เทียบกับแบบต้องมี 8 ถึง 11 เส้น เหตุที่อาคารวิบัติเนื่องจากเสาตอม่อรับน้ำหนักไม่ไหว ทำให้เสาตอม่อซึ่งตั้งอยู่บริเวณขอบของฐานรากวิบัติไปทางด้านที่ไม่มีการถมดินไว้ ส่วนบริเวณห้องน้ำที่ขุดเสาตอม่อขึ้นมาตรวจสอบนั้น พบว่าเสาตอม่อทรุดไม่มากถึงขั้นวิกฤต และไม่มีน้ำขัง ขุดพื้นดินตรวจสอบฐานรากไม่พบความชื้นผิดปกติและไม่พบน้ำตามที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด ส่วนนายประกิตติเป็นเพียงพยานจำเลยที่มาเบิกความโดยไม่ได้ตรวจสภาพอาคารที่เกิดเหตุ การให้ความเห็นพิจารณาจากเอกสารของจำเลยเท่านั้น จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างเหตุผลการตรวจสอบของนายสุวัฒน์ได้ ทั้งคำเบิกความบางส่วนยังเบิกความเจือสมกับนายสุวัฒน์ว่าอาคารที่เกิดเหตุไม่ได้ก่อสร้างบนพื้นดิน และมีความยาวของเสาตอม่อมากกว่าที่ขออนุญาต การก่อสร้างอาคารในลักษณะนี้ทำให้คานและเสาต้องรับน้ำหนักมากขึ้น และไม่เฉพาะแต่วิธีการก่อสร้างเท่านั้นที่ผิดจากแบบแปลน แต่นายสุวัฒน์ยังตรวจสอบพบว่าจำเลยใช้วัสดุในการก่อสร้างไม่ตรงตามที่กำหนดในแบบแปลนหลายรายการ โดยเฉพาะวัสดุที่ใช้เพื่อความแข็งแรงในการรับน้ำหนักโครงสร้างเช่นเหล็ก โดยจำเลยเลือกใช้เหล็กให้มีขนาดเล็กลง จำนวนน้อยลง และยังเพิ่มระยะที่ใช้เหล็กให้ห่างมากขึ้น ข้อกำหนดในการออกแบบต้องมีทั้งเหล็กยืนและเหล็กปลอก เพราะส่งผลต่อความแข็งแรงของอาคารคือถ้าเหล็กปลอกมีความถี่มากเท่าใดยิ่งรับน้ำหนักได้มากขึ้นเท่านั้น พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาจึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยก่อสร้างอาคารที่เกิดเหตุไม่ตรงตามแบบแปลนและรายการประกอบแบบที่โจทก์ร่วมได้รับใบอนุญาตให้ก่อสร้างหลายรายการ ดังที่นายสุวัฒน์ตรวจสอบและระบุรายการก่อสร้างที่ไม่ตรงตามแบบแปลนไว้ ซึ่งเป็นสาเหตุการพังทลายของอาคารที่เกิดเหตุ มิใช่เป็นเพียงความผิดพลาดในเกณฑ์ปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ตามที่จำเลยฎีกา ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ร่วมมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายเพราะจำเลยและช่างก่อสร้างของจำเลยแนะนำให้โจทก์ร่วมถมดินก่อน แต่โจทก์ร่วมแจ้งให้ก่อสร้างต่อไป และไม่ให้แก้ไขแบบพราะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกนั้น เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนให้รับฟังได้เช่นนั้น จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายตามที่จำเลยฎีกา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลย เพราะไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงผลคดีที่วินิจฉัยมาข้างต้น และที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมนั้น เห็นว่า เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ทางนำสืบจำเลยบางส่วนได้ความเจือสมพยานโจทก์และโจทก์ร่วม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ เห็นควรลดโทษให้จำเลยในส่วนนี้
พิพากษาแก้เป็นว่า ทางนำสืบจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 15 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมรับซื้อฝากที่ดินพิพาทจาก จ. โดยไม่สุจริต โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมอันอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนเสียเปรียบ โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทเพื่อกลับคืนสู่กองมรดกได้ เมื่อคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามมีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวกลับมาเป็นของ จ. ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ก. หรือ ต. เพื่อให้ที่ดินพิพาทกลับสู่กองมรดกของ ก. หรือ ต. ดังนี้ ตามคำขอดังกล่าวจึงมีความหมายรวมอยู่ในตัวว่า โจทก์ทั้งสามมีคำขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทระหว่าง จ. ในฐานะส่วนตัวกับ จ. ในฐานะผู้จัดการมรดกด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เพียงพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากและสัญญาขยายกำหนดเวลาไถ่จากการขายฝากที่ดินระหว่าง จ. กับจำเลยที่ 2 เท่านั้น จึงยังไม่ครบถ้วนตามคำฟ้องและคำขอของโจทก์ แต่ที่โจทก์ทั้งสามฎีกาขอให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษา หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้น เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมตามคำขอท้ายดังกล่าวของโจทก์แล้ว ย่อมมีผลทำให้ที่ดินกลับสู่กองมรดกของ ก. หรือ ต. โดยผลของคำพิพากษา อีกทั้ง ตาม ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด จึงไม่จำต้องบังคับให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายอีก
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากและขยายกำหนดเวลาไถ่จากขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 38627 ระหว่างนางจันทร์กับจำเลยที่ 2 ที่ทำขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2560 และวันที่ 8 มกราคม 2561 ให้กลับมาเป็นของนางจันทร์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางกี๋หรือติ๊ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิกถอนชื่อในโฉนดที่ดินดังกล่าวให้กลับสู่กองมรดกของนางกี๋หรือติ๊โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ทั้งสามให้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท และชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ 2 เดือนละ 5,000 บาท นับจากวันที่จำเลยที่ 2 ฟ้องแย้ง (วันที่ 22 กรกฎาคม 2562) เป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท
โจทก์ทั้งสามให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นางจันทร์ ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนางกี๋หรือติ๊ นำที่ดินทรัพย์มรดกไปจดทะเบียนขายฝากไว้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์ทั้งสามและทายาทของนางกี๋หรือติ๊มิได้รู้เห็นยินยอม จำเลยที่ 2 ไม่สุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยไม่สุจริต จะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิติดตามเอาที่ดินพิพาทกลับคืนสู่กองมรดกของนางกี๋หรือติ๊เพื่อนำมาแบ่งปันให้แก่ทายาทได้ เพราะเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือตามหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน จำเลยที่ 2 จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องแย้งโจทก์ทั้งสาม และค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 เรียกมาเดือนละ 5,000 บาท เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ หากเสียหายจริงไม่เกินเดือนละ 500 บาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ให้โจทก์ทั้งสามขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 38627 และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2 เดือนละ 1,500 บาท นับจากวันที่ 22 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท กับให้โจทก์ทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยที่ 2 โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
โจทก์ที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับว่า ให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากและสัญญาขยายกำหนดเวลาไถ่จากการขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 38627 ระหว่างนางจันทร์กับจำเลยที่ 2 ที่ทำขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2560 และวันที่ 8 มกราคม 2561 ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทั้งสองศาลให้เป็นพับ ให้ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 2 ในส่วนฟ้องแย้งทั้งสองศาลให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า นางกี๋หรือติ๊ เจ้ามรดกมีบุตร 6 คน คือ นายเขียน นางเรียน มารดาโจทก์ที่ 1 นายบัวเรียน นางจันทร์ มารดาจำเลยที่ 1 นางเสาร์ มารดาโจทก์ที่ 2 และนางเฉลิม มารดาโจทก์ที่ 3 โดยนางกี๋หรือติ๊ นางเขียน นางเรียน นางเสาร์ และนางเฉลิมถึงแก่ความตายแล้ว นางกี๋หรือติ๊มีทรัพย์มรดกคือที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 38627 นางจันทร์เป็นผู้จัดการมรดกของนางกี๋หรือติ๊ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2556 นางจันทร์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางกี๋หรือติ๊จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมาเป็นของตนเองแล้วนำไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่บุคคลอื่นและไถ่ถอนจำนองออกมา ต่อมาวันที่ 6 มกราคม 2560 นางจันทร์นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนขายฝากไว้แก่จำเลยที่ 2 เป็นเงิน 300,000 บาท มีกำหนดเวลา 1 ปี ต่อมาวันที่ 8 มกราคม 2561 นางจันทร์จดทะเบียนขยายกำหนดเวลาไถ่จากการขายฝากออกไปอีก 3 เดือน นางจันทร์ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2561
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ว่า ศาลต้องเพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทระหว่างนางจันทร์ในฐานะส่วนตัวกับนางจันทร์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางกี๋หรือติ๊เพื่อให้ที่ดินกลับมาเป็นกองมรดกของนางกี๋หรือติ๊หรือไม่ ข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ว่า ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมรับซื้อฝากที่ดินพิพาทจากนางจันทร์โดยสุจริต ดังนั้น การที่นางจันทร์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกโอนที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกแก่ตนเองในฐานะผู้จัดการมรดกแล้วโอนที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ชอบ ย่อมทำให้โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนเสียเปรียบ โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทเพื่อให้กลับคืนสู่กองมรดกได้ ซึ่งตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสามก็ขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวให้กลับมาเป็นของนางจันทร์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางกี๋หรือติ๊เพื่อให้ที่ดินพิพาทกลับสู่กองมรดกของนางกี๋หรือติ๊ ดังนี้ ตามคำขอดังกล่าวจึงมีความหมายรวมอยู่ในตัวว่า โจทก์ทั้งสามขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทระหว่างนางจันทร์ในฐานะส่วนตัวกับนางจันทร์ในฐานะผู้จัดการมรดกด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เพียงพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากและสัญญาขยายกำหนดเวลาไถ่จากการขายฝากที่ดินระหว่างนางจันทร์กับจำเลยที่ 2 เท่านั้น จึงยังไม่ครบถ้วนตามคำฟ้อง เพราะเป็นผลทำให้ที่ดินพิพาทตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของนางจันทร์ในฐานะส่วนตัวโดยยังไม่ตกเป็นกองมรดกของนางกี๋หรือติ๊ ส่วนที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฎีกาอีกว่าขอให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษา หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาศาลฎีกาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้น เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แล้ว ย่อมมีผลทำให้ที่ดินกลับสู่กองมรดกของนางกี๋หรือติ๊โดยผลของคำพิพากษา และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติไว้ความว่า ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด จึงไม่จำต้องบังคับให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายอีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องบางส่วน ฎีกาของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 38627 ระหว่างนางจันทร์ในฐานะส่วนตัวกับนางจันทร์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางกี๋หรือติ๊เสียด้วย ให้ที่ดินพิพาทกลับสู่กองมรดกของนางกี๋หรือติ๊ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมรับซื้อฝากที่ดินพิพาทจาก จ. โดยไม่สุจริต โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมอันอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนเสียเปรียบ โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทเพื่อกลับคืนสู่กองมรดกได้ เมื่อคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามมีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวกลับมาเป็นของ จ. ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ก. หรือ ต. เพื่อให้ที่ดินพิพาทกลับสู่กองมรดกของ ก. หรือ ต. ดังนี้ ตามคำขอดังกล่าวจึงมีความหมายรวมอยู่ในตัวว่า โจทก์ทั้งสามมีคำขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทระหว่าง จ. ในฐานะส่วนตัวกับ จ. ในฐานะผู้จัดการมรดกด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เพียงพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากและสัญญาขยายกำหนดเวลาไถ่จากการขายฝากที่ดินระหว่าง จ. กับจำเลยที่ 2 เท่านั้น จึงยังไม่ครบถ้วนตามคำฟ้องและคำขอของโจทก์ แต่ที่โจทก์ทั้งสามฎีกาขอให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษา หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้น เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมตามคำขอท้ายดังกล่าวของโจทก์แล้ว ย่อมมีผลทำให้ที่ดินกลับสู่กองมรดกของ ก. หรือ ต. โดยผลของคำพิพากษา อีกทั้ง ตาม ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด จึงไม่จำต้องบังคับให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายอีก
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากและขยายกำหนดเวลาไถ่จากขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 38627 ระหว่างนางจันทร์กับจำเลยที่ 2 ที่ทำขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2560 และวันที่ 8 มกราคม 2561 ให้กลับมาเป็นของนางจันทร์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางกี๋หรือติ๊ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิกถอนชื่อในโฉนดที่ดินดังกล่าวให้กลับสู่กองมรดกของนางกี๋หรือติ๊โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ทั้งสามให้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท และชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ 2 เดือนละ 5,000 บาท นับจากวันที่จำเลยที่ 2 ฟ้องแย้ง (วันที่ 22 กรกฎาคม 2562) เป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท
โจทก์ทั้งสามให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นางจันทร์ ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนางกี๋หรือติ๊ นำที่ดินทรัพย์มรดกไปจดทะเบียนขายฝากไว้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์ทั้งสามและทายาทของนางกี๋หรือติ๊มิได้รู้เห็นยินยอม จำเลยที่ 2 ไม่สุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยไม่สุจริต จะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิติดตามเอาที่ดินพิพาทกลับคืนสู่กองมรดกของนางกี๋หรือติ๊เพื่อนำมาแบ่งปันให้แก่ทายาทได้ เพราะเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือตามหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน จำเลยที่ 2 จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องแย้งโจทก์ทั้งสาม และค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 เรียกมาเดือนละ 5,000 บาท เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ หากเสียหายจริงไม่เกินเดือนละ 500 บาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ให้โจทก์ทั้งสามขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 38627 และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2 เดือนละ 1,500 บาท นับจากวันที่ 22 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท กับให้โจทก์ทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยที่ 2 โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
โจทก์ที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับว่า ให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากและสัญญาขยายกำหนดเวลาไถ่จากการขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 38627 ระหว่างนางจันทร์กับจำเลยที่ 2 ที่ทำขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2560 และวันที่ 8 มกราคม 2561 ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทั้งสองศาลให้เป็นพับ ให้ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 2 ในส่วนฟ้องแย้งทั้งสองศาลให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า นางกี๋หรือติ๊ เจ้ามรดกมีบุตร 6 คน คือ นายเขียน นางเรียน มารดาโจทก์ที่ 1 นายบัวเรียน นางจันทร์ มารดาจำเลยที่ 1 นางเสาร์ มารดาโจทก์ที่ 2 และนางเฉลิม มารดาโจทก์ที่ 3 โดยนางกี๋หรือติ๊ นางเขียน นางเรียน นางเสาร์ และนางเฉลิมถึงแก่ความตายแล้ว นางกี๋หรือติ๊มีทรัพย์มรดกคือที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 38627 นางจันทร์เป็นผู้จัดการมรดกของนางกี๋หรือติ๊ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2556 นางจันทร์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางกี๋หรือติ๊จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมาเป็นของตนเองแล้วนำไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่บุคคลอื่นและไถ่ถอนจำนองออกมา ต่อมาวันที่ 6 มกราคม 2560 นางจันทร์นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนขายฝากไว้แก่จำเลยที่ 2 เป็นเงิน 300,000 บาท มีกำหนดเวลา 1 ปี ต่อมาวันที่ 8 มกราคม 2561 นางจันทร์จดทะเบียนขยายกำหนดเวลาไถ่จากการขายฝากออกไปอีก 3 เดือน นางจันทร์ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2561
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ว่า ศาลต้องเพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทระหว่างนางจันทร์ในฐานะส่วนตัวกับนางจันทร์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางกี๋หรือติ๊เพื่อให้ที่ดินกลับมาเป็นกองมรดกของนางกี๋หรือติ๊หรือไม่ ข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ว่า ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมรับซื้อฝากที่ดินพิพาทจากนางจันทร์โดยสุจริต ดังนั้น การที่นางจันทร์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกโอนที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกแก่ตนเองในฐานะผู้จัดการมรดกแล้วโอนที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ชอบ ย่อมทำให้โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนเสียเปรียบ โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทเพื่อให้กลับคืนสู่กองมรดกได้ ซึ่งตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสามก็ขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวให้กลับมาเป็นของนางจันทร์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางกี๋หรือติ๊เพื่อให้ที่ดินพิพาทกลับสู่กองมรดกของนางกี๋หรือติ๊ ดังนี้ ตามคำขอดังกล่าวจึงมีความหมายรวมอยู่ในตัวว่า โจทก์ทั้งสามขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทระหว่างนางจันทร์ในฐานะส่วนตัวกับนางจันทร์ในฐานะผู้จัดการมรดกด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เพียงพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากและสัญญาขยายกำหนดเวลาไถ่จากการขายฝากที่ดินระหว่างนางจันทร์กับจำเลยที่ 2 เท่านั้น จึงยังไม่ครบถ้วนตามคำฟ้อง เพราะเป็นผลทำให้ที่ดินพิพาทตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของนางจันทร์ในฐานะส่วนตัวโดยยังไม่ตกเป็นกองมรดกของนางกี๋หรือติ๊ ส่วนที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฎีกาอีกว่าขอให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษา หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาศาลฎีกาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้น เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แล้ว ย่อมมีผลทำให้ที่ดินกลับสู่กองมรดกของนางกี๋หรือติ๊โดยผลของคำพิพากษา และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติไว้ความว่า ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด จึงไม่จำต้องบังคับให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายอีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องบางส่วน ฎีกาของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 38627 ระหว่างนางจันทร์ในฐานะส่วนตัวกับนางจันทร์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางกี๋หรือติ๊เสียด้วย ให้ที่ดินพิพาทกลับสู่กองมรดกของนางกี๋หรือติ๊ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 19 (4/2) เป็นกฎหมายพิเศษบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยการกระทำความผิดที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย อันเป็นการขัดหรือแย้งกับ ป.วิ.อ. มาตรา 20 ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไป จึงทำให้โจทก์มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยความผิดที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 ลงโทษจำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์มีฐานะเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชน จำกัด มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เกินกว่าร้อยละ 50 มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม ตามหนังสือรับรองกระทรวงคมนาคม ที่ คค 0206/414 ลงวันที่ 19 มกราคม 2552 มีวัตถุประสงค์ทำการขนส่งคน สิ่งของและไปรษณียภัณฑ์ทางอากาศและกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน มีคณะกรรมการบริษัทเป็นผู้มีอำนาจดำเนินกิจการและมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลอื่นใดให้ดำเนินกิจการของบริษัทภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการหรือมอบอำนาจเพื่อให้บุคคลดังกล่าวมีอำนาจตามที่คณะกรรมการเห็นสมควรเพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่ของคณะกรรมการ ขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และได้รับแต่งตั้งจากประธานกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 จำเลย และนางจารุวรรณ ภริยาจำเลยเดินทางโดยสารเครื่องบินของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เที่ยวบินที่ TG 677 เส้นทางโตเกียว – กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนางพิมใจ เดินทางโดยสารเครื่องบินเที่ยวเดียวกันนี้มาด้วย พนักงานรับแจ้งการเดินทางออกใบขนสัมภาระของจำเลย นางจารุวรรณ และนางพิมใจรวมเข้าด้วยกันในนามของนางจารุวรรณ โดยระบุจำนวนสัมภาระ 30 ชิ้น น้ำหนักรวม 398 กิโลกรัม ต่อมามีผู้ร้องเรียนเรื่องดังกล่าว ประธานกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ผลการสอบข้อเท็จจริงคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงสรุปว่าจำเลยขนสัมภาระเกินสิทธิจำนวน 228 กิโลกรัม โดยไม่ได้รับการอนุมัติน้ำหนักส่วนที่เกินสิทธิ ทำให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลย นางจารุวรรณ และนางพิมใจ ร่วมกันชำระค่าระวางขนส่งสัมภาระตามน้ำหนักส่วนที่เกินสิทธิ คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โจทก์มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีที่มีการกล่าวหาว่าจำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต ขนสัมภาระเกินสิทธิขึ้นเครื่องบิน ณ สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น โดยสั่งการให้นายกุศล แก้ไขตัวเลขน้ำหนักสัมภาระ ทำให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย คณะอนุกรรมการไต่สวนแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยมีมูลความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 โจทก์มีมติเห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไต่สวนดังกล่าวจึงส่งรายงาน สำนวนการไต่สวนและเอกสารหลักฐานเพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องจำเลย แต่อัยการสูงสุดเห็นว่าสำนวนการไต่สวนยังไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยได้ หลังจากมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่วมกันแล้ว ไม่อาจหาข้อยุติได้ โจทก์จึงยื่นฟ้องคดีเอง ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า การกระทำที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดคดีนี้ เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร การสอบสวนจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 ที่บัญญัติให้อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ด้วยตนเองโดยอัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนไม่ได้เป็นพนักงานสอบสวน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 19 (4/2) ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยการกระทำความผิดที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย อันเป็นการขัดหรือแย้งกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไป จึงทำให้โจทก์มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยความผิดที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรได้ ทั้งตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดวิธีการดำเนินคดีที่แตกต่างจากการดำเนินคดีอาญาโดยทั่วไป เมื่อโจทก์ส่งรายงาน เอกสารและความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อให้ฟ้องคดี แต่อัยการสูงสุดเห็นว่าสำนวนการไต่สวนยังไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยได้ หลังจากมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่วมกันแล้ว ไม่อาจหาข้อยุติได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 วรรคสาม
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า นายกุศลเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลย ไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ได้ให้การในทำนองเดียวกันนี้มาโดยตลอด ทั้งยังมีเอกสารหลักฐานการแก้ไขน้ำหนักสัมภาระมาแสดงยืนยัน นอกจากนี้ยังปรากฏว่าจำเลยเคยมีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวต่อประธานกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าขณะที่จำเลยเข้าเช็คอินมีเจ้าหน้าที่ของวัดปากน้ำญี่ปุ่นได้ขอความอนุเคราะห์จากจำเลยในการฝากผลไม้และอาหารแห้งที่ญาติโยมขอให้นำไปถวายสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ กรุงเทพมหานคร จำเลยจึงรับฝากของดังกล่าว และจำเลยเคยให้การต่อคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าเมื่อจำเลยเข้าเช็คอินได้พบกับนางพิมใจ นางพิมใจบอกว่ามีของฝากวัดปากน้ำญี่ปุ่นขอให้นำไปด้วยได้หรือไม่ จำเลยตอบว่าเอาไปด้วยก็ได้ ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับคำให้การและคำเบิกความของนายกุศล คำให้การและคำเบิกความของนายกุศลจึงมิใช่เป็นคำให้การและคำเบิกความเพียงลอย ๆ เมื่อโจทก์มีนายกุศลซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงตามคำให้การเช่นนี้แล้ว แม้โจทก์ไม่ได้สอบปากคำนายเก่งเป็นพยานไว้ในชั้นไต่สวนข้อเท็จจริงและไม่ได้นำนายเก่งมาเบิกความเป็นพยานก็หามีผลทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ต้องเสียไปหรือขาดน้ำหนักในการรับฟังแต่อย่างใดไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยรู้เห็นยินยอมให้นางพิมใจนำสัมภาระของนางพิมใจมาชั่งน้ำหนักรวมกัน (Pool check) กับสัมภาระของจำเลยและภริยา การที่นายกุศลถามจำเลยเรื่องน้ำหนักสัมภาระว่าจะให้ทำอย่างไร จำเลยบอกให้แก้ไขให้ด้วย แสดงว่าจำเลยต้องทราบแล้วว่าสัมภาระทั้งหมด 30 ชิ้น มีน้ำหนักรวม 398 กิโลกรัม เกินกว่าจำนวนน้ำหนักสัมภาระที่จำเลย ภริยาจำเลยและนางพิมใจมีสิทธิได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าระวางสัมภาระ จำเลยต้องเสียค่าระวางในส่วนของน้ำหนักสัมภาระที่เกินนั้น จำเลยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ มีอำนาจหน้าที่กำกับ ดูแล การปฏิบัติงานของฝ่ายบริหารให้เป็นไปตามกลยุทธ์ นโยบาย แผนวิสาหกิจ แผนปฏิบัติการของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และต้องรักษาผลประโยชน์ของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ภาระหน้าที่นี้คงมีอยู่ตลอดเวลาจนกว่าจะพ้นจากตำแหน่ง การเดินทางในเที่ยวบินดังกล่าวจำเลยจะไปในฐานะส่วนตัวหรือไม่จึงไม่ใช่ข้อสาระสำคัญ การที่จำเลยสั่งให้นายกุศลซึ่งเป็นพนักงานผู้บริหารมีหน้าที่เรียกเก็บค่าระวางสัมภาระให้แก้ไขน้ำหนักสัมภาระเพื่อละเว้นไม่เรียกเก็บค่าระวางสัมภาระตามระเบียบ มีผลทำให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ขาดรายได้จากค่าระวางสัมภาระที่ควรจะได้รับ ซึ่งเท่ากับว่าจำเลยไม่ได้กำกับ ดูแล การปฏิบัติงานของฝ่ายบริหารให้เป็นไปตามนโยบายของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ตามหน้าที่ของตน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า จำเลยกระทำไปเพื่อช่วยเหลืออนุเคราะห์เป็นประโยชน์แก่ทางวัด มิได้มุ่งหวังหาผลประโยชน์ทางธุรกิจแก่ตนเองหรือผู้อื่นประกอบกับจำเลยเป็นผู้สูงอายุอยู่ในวัยชรา จึงสมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตนเป็นพลเมืองดี
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 จำคุก 2 ปี และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 (ที่แก้ไขใหม่)
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 19 (4/2) เป็นกฎหมายพิเศษบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยการกระทำความผิดที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย อันเป็นการขัดหรือแย้งกับ ป.วิ.อ. มาตรา 20 ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไป จึงทำให้โจทก์มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยความผิดที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 ลงโทษจำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์มีฐานะเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชน จำกัด มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เกินกว่าร้อยละ 50 มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม ตามหนังสือรับรองกระทรวงคมนาคม ที่ คค 0206/414 ลงวันที่ 19 มกราคม 2552 มีวัตถุประสงค์ทำการขนส่งคน สิ่งของและไปรษณียภัณฑ์ทางอากาศและกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน มีคณะกรรมการบริษัทเป็นผู้มีอำนาจดำเนินกิจการและมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลอื่นใดให้ดำเนินกิจการของบริษัทภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการหรือมอบอำนาจเพื่อให้บุคคลดังกล่าวมีอำนาจตามที่คณะกรรมการเห็นสมควรเพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่ของคณะกรรมการ ขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และได้รับแต่งตั้งจากประธานกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 จำเลย และนางจารุวรรณ ภริยาจำเลยเดินทางโดยสารเครื่องบินของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เที่ยวบินที่ TG 677 เส้นทางโตเกียว – กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนางพิมใจ เดินทางโดยสารเครื่องบินเที่ยวเดียวกันนี้มาด้วย พนักงานรับแจ้งการเดินทางออกใบขนสัมภาระของจำเลย นางจารุวรรณ และนางพิมใจรวมเข้าด้วยกันในนามของนางจารุวรรณ โดยระบุจำนวนสัมภาระ 30 ชิ้น น้ำหนักรวม 398 กิโลกรัม ต่อมามีผู้ร้องเรียนเรื่องดังกล่าว ประธานกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ผลการสอบข้อเท็จจริงคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงสรุปว่าจำเลยขนสัมภาระเกินสิทธิจำนวน 228 กิโลกรัม โดยไม่ได้รับการอนุมัติน้ำหนักส่วนที่เกินสิทธิ ทำให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลย นางจารุวรรณ และนางพิมใจ ร่วมกันชำระค่าระวางขนส่งสัมภาระตามน้ำหนักส่วนที่เกินสิทธิ คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โจทก์มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีที่มีการกล่าวหาว่าจำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต ขนสัมภาระเกินสิทธิขึ้นเครื่องบิน ณ สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น โดยสั่งการให้นายกุศล แก้ไขตัวเลขน้ำหนักสัมภาระ ทำให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย คณะอนุกรรมการไต่สวนแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยมีมูลความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 โจทก์มีมติเห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไต่สวนดังกล่าวจึงส่งรายงาน สำนวนการไต่สวนและเอกสารหลักฐานเพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องจำเลย แต่อัยการสูงสุดเห็นว่าสำนวนการไต่สวนยังไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยได้ หลังจากมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่วมกันแล้ว ไม่อาจหาข้อยุติได้ โจทก์จึงยื่นฟ้องคดีเอง ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า การกระทำที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดคดีนี้ เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร การสอบสวนจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 ที่บัญญัติให้อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ด้วยตนเองโดยอัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนไม่ได้เป็นพนักงานสอบสวน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 19 (4/2) ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยการกระทำความผิดที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย อันเป็นการขัดหรือแย้งกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไป จึงทำให้โจทก์มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยความผิดที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรได้ ทั้งตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดวิธีการดำเนินคดีที่แตกต่างจากการดำเนินคดีอาญาโดยทั่วไป เมื่อโจทก์ส่งรายงาน เอกสารและความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อให้ฟ้องคดี แต่อัยการสูงสุดเห็นว่าสำนวนการไต่สวนยังไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยได้ หลังจากมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่วมกันแล้ว ไม่อาจหาข้อยุติได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 วรรคสาม
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า นายกุศลเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลย ไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ได้ให้การในทำนองเดียวกันนี้มาโดยตลอด ทั้งยังมีเอกสารหลักฐานการแก้ไขน้ำหนักสัมภาระมาแสดงยืนยัน นอกจากนี้ยังปรากฏว่าจำเลยเคยมีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวต่อประธานกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าขณะที่จำเลยเข้าเช็คอินมีเจ้าหน้าที่ของวัดปากน้ำญี่ปุ่นได้ขอความอนุเคราะห์จากจำเลยในการฝากผลไม้และอาหารแห้งที่ญาติโยมขอให้นำไปถวายสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ กรุงเทพมหานคร จำเลยจึงรับฝากของดังกล่าว และจำเลยเคยให้การต่อคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าเมื่อจำเลยเข้าเช็คอินได้พบกับนางพิมใจ นางพิมใจบอกว่ามีของฝากวัดปากน้ำญี่ปุ่นขอให้นำไปด้วยได้หรือไม่ จำเลยตอบว่าเอาไปด้วยก็ได้ ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับคำให้การและคำเบิกความของนายกุศล คำให้การและคำเบิกความของนายกุศลจึงมิใช่เป็นคำให้การและคำเบิกความเพียงลอย ๆ เมื่อโจทก์มีนายกุศลซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงตามคำให้การเช่นนี้แล้ว แม้โจทก์ไม่ได้สอบปากคำนายเก่งเป็นพยานไว้ในชั้นไต่สวนข้อเท็จจริงและไม่ได้นำนายเก่งมาเบิกความเป็นพยานก็หามีผลทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ต้องเสียไปหรือขาดน้ำหนักในการรับฟังแต่อย่างใดไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยรู้เห็นยินยอมให้นางพิมใจนำสัมภาระของนางพิมใจมาชั่งน้ำหนักรวมกัน (Pool check) กับสัมภาระของจำเลยและภริยา การที่นายกุศลถามจำเลยเรื่องน้ำหนักสัมภาระว่าจะให้ทำอย่างไร จำเลยบอกให้แก้ไขให้ด้วย แสดงว่าจำเลยต้องทราบแล้วว่าสัมภาระทั้งหมด 30 ชิ้น มีน้ำหนักรวม 398 กิโลกรัม เกินกว่าจำนวนน้ำหนักสัมภาระที่จำเลย ภริยาจำเลยและนางพิมใจมีสิทธิได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าระวางสัมภาระ จำเลยต้องเสียค่าระวางในส่วนของน้ำหนักสัมภาระที่เกินนั้น จำเลยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ มีอำนาจหน้าที่กำกับ ดูแล การปฏิบัติงานของฝ่ายบริหารให้เป็นไปตามกลยุทธ์ นโยบาย แผนวิสาหกิจ แผนปฏิบัติการของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และต้องรักษาผลประโยชน์ของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ภาระหน้าที่นี้คงมีอยู่ตลอดเวลาจนกว่าจะพ้นจากตำแหน่ง การเดินทางในเที่ยวบินดังกล่าวจำเลยจะไปในฐานะส่วนตัวหรือไม่จึงไม่ใช่ข้อสาระสำคัญ การที่จำเลยสั่งให้นายกุศลซึ่งเป็นพนักงานผู้บริหารมีหน้าที่เรียกเก็บค่าระวางสัมภาระให้แก้ไขน้ำหนักสัมภาระเพื่อละเว้นไม่เรียกเก็บค่าระวางสัมภาระตามระเบียบ มีผลทำให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ขาดรายได้จากค่าระวางสัมภาระที่ควรจะได้รับ ซึ่งเท่ากับว่าจำเลยไม่ได้กำกับ ดูแล การปฏิบัติงานของฝ่ายบริหารให้เป็นไปตามนโยบายของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ตามหน้าที่ของตน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า จำเลยกระทำไปเพื่อช่วยเหลืออนุเคราะห์เป็นประโยชน์แก่ทางวัด มิได้มุ่งหวังหาผลประโยชน์ทางธุรกิจแก่ตนเองหรือผู้อื่นประกอบกับจำเลยเป็นผู้สูงอายุอยู่ในวัยชรา จึงสมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตนเป็นพลเมืองดี
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 จำคุก 2 ปี และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 (ที่แก้ไขใหม่)
กฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 17 เมษายน 2563 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 79/1 แห่ง พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 เป็นเรื่องให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานจากสำนักงานประกันสังคม มิใช่กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างจากนายจ้าง การที่จำเลยไม่ได้ออกหนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายการตามหนังสือรับรองที่แนบท้ายกฎกระทรวงนี้ ไม่ได้ทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างจากจำเลยตามกฎกระทรวงดังกล่าว
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 ให้คำจำกัดความของคำว่า สัญญาจ้าง หมายความว่า สัญญาไม่ว่าเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาระบุชัดเจน หรือเป็นที่เข้าใจโดยปริยายซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกบุคคลหนึ่งเรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้ค่าจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ ดังนี้ สัญญาจ้างจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ลูกจ้างมีหนี้ที่ต้องทำงานให้แก่นายจ้าง และนายจ้างมีหนี้ที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนในการทำงานของลูกจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้แก่นายจ้าง หรืออีกนัยหนึ่งลูกจ้างมีสิทธิได้ค่าจ้างจากนายจ้างต่อเมื่อลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้าง จำเลยหยุดประกอบกิจการเนื่องจากจังหวัดภูเก็ตมีคำสั่งให้ปิดโรงแรมทั้งจังหวัดเพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ถือได้ว่าจำเลยหยุดประกอบกิจการชั่วคราวด้วยเหตุสุดวิสัย การที่โจทก์ไม่ได้เข้าทำงานให้แก่จำเลยมิใช่เกิดจากคำสั่งหรือความผิดของจำเลย จำเลยย่อมไม่มีหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ แต่หากภายหลังเมื่อพ้นระยะเวลาปิดโรงแรมตามคำสั่งดังกล่าวแล้ว โจทก์กลับเข้าทำงานให้แก่จำเลย จำเลยก็มีหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์
ศาลแรงงานภาค 8 ยังไม่ได้วินิจฉัยและรับฟังข้อเท็จจริงว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 คำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ 1797/2563 ลงวันที่ 2 เมษายน 2563 ที่กำหนดให้ปิดโรงแรม มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2563 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นนั้น มีผลทำให้จำเลยปิดกิจการตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด และจังหวัดภูเก็ตมีคำสั่งฉบับอื่นให้ปิดโรงแรมต่อไปอีกหรือไม่ เพียงใด จำเลยเปิดกิจการตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด โจทก์เข้าทำงานให้แก่จำเลยหรือไม่ หากเข้าทำงาน โจทก์ทำงานตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด อันเป็นข้อเท็จจริงที่จะไปสู่การวินิจฉัยประเด็นว่า จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างในช่วงเวลาดังกล่าวให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ศาลฎีกาไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเองได้ จึงต้องย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานภาค 8 รับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ต่อไป
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2562 และปี 2563 เป็นเงิน 1,673,429.41 บาท จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 1,027,950 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จ่ายค่าจ้างค้างจ่าย 1,176,373.23 บาท ดอกเบี้ยค่าจ้างค้างจ่ายถึงวันฟ้อง 50,787.39 บาท และค่าชดเชย 1,027,950 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของค่าจ้างค้างจ่าย ดอกเบี้ยค่าจ้างค้างจ่าย และค่าชดเชย รวมเป็นต้นเงิน 2,255,110.62 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ชำระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 8 พิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชย 9,900 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 กันยายน 2563 อันเป็นวันเลิกจ้าง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ชำระค่าจ้างเดือนพฤษภาคม 2563 เป็นเงิน 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ชำระค่าจ้างเดือนมิถุนายน 2563 เป็นเงิน 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2563 จนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระค่าจ้างวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 เป็นเงิน 7,333.40 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้นำเงิน 17,362.18 บาท มาหักจากค่าจ้างในเดือนกรกฎาคม 2563 เสียก่อน และให้ชำระค่าเช่าบ้าน 280,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 6 พฤศจิกายน 2563) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกา หากจำเลยจะชำระเป็นเงินไทยให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพมหานครตามอัตราขายเงินดอลลาร์สหรัฐในเวลาที่ใช้เงินจริง ถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันใช้เงินจริงให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราเช่นว่านั้นก่อนวันดังกล่าว แต่ทั้งนี้ให้ไม่เกิน 31.15 บาท ตามวันฟ้อง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานพิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 8 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการโรงแรมใช้ชื่อในการประกอบกิจการว่า โรงแรม ส. เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2561 จำเลยจ้างโจทก์ทำงานตำแหน่งผู้จัดการโรงแรม ได้รับค่าจ้างเดือนละ 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าที่พักเดือนละ 40,000 บาท เมื่อปลายปี 2562 ถึงปัจจุบันมีสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จังหวัดภูเก็ตมีคำสั่งปิดโรงแรมทั้งจังหวัดตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2563 มีกำหนด 2 เดือน (คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้ปิดโรงแรม ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น) ต่อมาวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญากันตามข้อตกลงแนบท้ายสัญญาจ้างแรงงานโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 โดยโจทก์จะได้รับค่าจ้างเดือนละ 3,300 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาวันที่ 23 กันยายน 2563 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ไม่ได้รายงานเหตุการณ์น้ำท่วมห้องพักให้กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยทราบ ปล่อยปละละเลยให้สินค้าเน่าเสียและเครื่องดื่มหมดอายุ เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ในฐานะผู้จัดการโรงแรมไม่ดูแลจัดการสินค้าที่ใกล้หมดอายุ เป็นการขาดประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้จำเลยขาดความไว้วางใจที่จะให้โจทก์ปฏิบัติงานต่อไป มีเหตุเลิกจ้างโจทก์ได้และไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ แต่จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์โดยคำนวณค่าชดเชยจากฐานเงินเดือนอัตราสุดท้ายเป็นเงิน 9,900 ดอลลาร์สหรัฐ จำเลยไม่ได้จ่ายค่าเช่าบ้านตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 จนถึงวันที่โจทก์ถูกเลิกจ้างในเดือนกันยายน 2563 รวมเป็นเงิน 280,000 บาท จำเลยจึงต้องจ่ายค่าเช่าบ้านดังกล่าวแก่โจทก์ ส่วนค่าจ้างนั้นจำเลยต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน 2563 เดือนละ 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ และจ่ายค่าจ้างสำหรับวันที่ 1 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 เป็นเงิน 7,333.40 ดอลลาร์สหรัฐ โดยนำเงินค่าจ้างที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ 17,362.18 บาท มาหักชำระออกก่อน ส่วนเงินค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นจำเลยจ่ายแทนโจทก์แล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า จำเลยยังมิได้ออกหนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยเพื่อยื่นขอรับเงินชดเชยจากประกันสังคมของโจทก์ตามข้อ 7 ของกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. 2563 โจทก์ไม่อาจรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยจากสำนักงานประกันสังคมได้ จำเลยจึงต้องชำระค่าจ้างเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน 2563 แก่โจทก์ เดือนละ 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนค่าจ้างวันที่ 1 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 จำเลยไม่ได้ไต่สวนพยานให้เห็นว่าโจทก์มาทำงานเพียง 1.5 วัน จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันดังกล่าวด้วย ส่วนค่าชดเชยนั้นโจทก์และจำเลยตกลงกันตามข้อตกลงแนบท้ายสัญญาจ้างงาน ว่าโจทก์จะได้รับค่าจ้างเดือนละ 3,300 ดอลลาร์สหรัฐ จึงต้องคำนวณค่าชดเชยจากฐานเงินเดือนอัตราสุดท้ายตามเอกสารดังกล่าว ที่ศาลแรงงานภาค 8 กำหนดค่าชดเชยให้แก่โจทก์มานั้นชอบแล้ว ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่นไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเฉพาะประเด็นที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับเดือนพฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า กฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 17 เมษายน 2563 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 79/1 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ข้อ 2 กำหนดว่า ให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนตามกฎกระทรวงนี้ และข้อ 4 กำหนดว่า ในกรณีมีเหตุสุดวิสัยถึงขนาดที่นายจ้างต้องหยุดประกอบกิจการไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเป็นการชั่วคราว และลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานไม่สามารถทำงานได้และไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น ไม่ว่านายจ้างจะหยุดประกอบกิจการเองหรือหยุดประกอบกิจการตามคำสั่งของทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อหรือกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินก็ตาม ให้ลูกจ้างดังกล่าวซึ่งไม่ได้รับค่าจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ในอัตราร้อยละหกสิบสองของค่าจ้างรายวัน โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่นายจ้างหยุดประกอบกิจการ แต่ไม่เกินเก้าสิบวัน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563 หรือตามระยะเวลาที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี คดีนี้แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในฐานะผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ตโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 35 (1) แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และข้อ 7 (1) ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2563 มีคำสั่งให้ปิดโรงแรมทั้งจังหวัดเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ตามคำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ 1797/2563 ลงวันที่ 2 เมษายน 2563 อันถือได้ว่าจำเลยหยุดประกอบกิจการชั่วคราวเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยตามคำสั่งของทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อหรือกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินก็ตาม แต่กฎกระทรวงดังกล่าวเป็นเรื่องให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานจากสำนักงานประกันสังคม มิใช่กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างจากนายจ้าง ดังนี้ การที่จำเลยไม่ได้ออกหนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายการตามหนังสือรับรองที่แนบท้ายกฎกระทรวงนี้ ตามความในข้อ 7 ของกฎกระทรวงดังกล่าว จึงไม่ได้ทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างจากจำเลยตามกฎกระทรวงดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์เนื่องจากจำเลยไม่ได้ออกหนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานดังกล่าวให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะนายจ้างให้ชำระค่าจ้างที่ค้างสำหรับเดือนพฤษภาคม 2563 กับเดือนมิถุนายน 2563 และวันที่ 1 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 อันเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาจ้างแรงงานที่ไม่จ่ายค่าจ้าง จึงต้องพิจารณาว่าจำเลยผิดสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ ซึ่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 ให้คำจำกัดความของคำว่า สัญญาจ้าง หมายความว่า สัญญาไม่ว่าเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาระบุชัดเจน หรือเป็นที่เข้าใจโดยปริยายซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกบุคคลหนึ่งเรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้ค่าจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ ดังนี้ สัญญาจ้างจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ลูกจ้างมีหนี้ที่ต้องทำงานให้แก่นายจ้าง และนายจ้างมีหนี้ที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนในการทำงานของลูกจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้แก่นายจ้าง หรืออีกนัยหนึ่งลูกจ้างมีสิทธิได้ค่าจ้างจากนายจ้างต่อเมื่อลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้าง จำเลยหยุดประกอบกิจการเนื่องจากจังหวัดภูเก็ตมีคำสั่งให้ปิดโรงแรมทั้งจังหวัดเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ถือได้ว่าจำเลยหยุดประกอบกิจการชั่วคราวด้วยเหตุสุดวิสัย การที่โจทก์ไม่ได้เข้าทำงานให้แก่จำเลยตามสัญญาจ้างแรงงานมิใช่เกิดจากคำสั่งหรือความผิดของจำเลย แต่เกิดจากคำสั่งของทางราชการอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัย จำเลยย่อมไม่มีหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ แต่หากภายหลังเมื่อพ้นระยะเวลาปิดโรงแรมตามคำสั่งดังกล่าวแล้ว โจทก์กลับเข้าทำงานให้แก่จำเลย จำเลยก็มีหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ แต่ศาลแรงงานภาค 8 ยังไม่ได้วินิจฉัยและรับฟังข้อเท็จจริงว่าในช่วงระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 คำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ 1797/2563 ลงวันที่ 2 เมษายน 2563 ที่กำหนดให้ปิดโรงแรม มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2563 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นนั้น มีผลให้จำเลยปิดกิจการตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด และจังหวัดภูเก็ตมีคำสั่งฉบับอื่นให้ปิดโรงแรมต่อไปอีกหรือไม่ เพียงใด จำเลยเปิดกิจการตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด และโจทก์เข้าทำงานให้แก่จำเลยหรือไม่ หากเข้าทำงาน โจทก์เข้าทำงานตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด อันเป็นข้อเท็จจริงที่จะไปสู่การวินิจฉัยประเด็นว่าจำเลยต้องจ่ายค่าจ้างที่ค้างในช่วงเวลาดังกล่าวแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ศาลฎีกาไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเองได้ จึงต้องย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานภาค 8 รับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (3) (ข) และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 57/1 วรรคสอง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 8 และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเฉพาะที่ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ โดยย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานภาค 8 ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าในช่วงระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 คำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ 1797/2563 ให้ปิดโรงแรม มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2563 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นนั้น มีผลให้จำเลยปิดโรงแรมตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด และจังหวัดภูเก็ตมีคำสั่งฉบับอื่นให้ปิดโรงแรมต่อไปอีกหรือไม่ เพียงใด จำเลยเปิดกิจการตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด และโจทก์เข้าทำงานให้แก่จำเลยหรือไม่ หากเข้าทำงาน โจทก์เข้าทำงานตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีในประเด็นว่าจำเลยต้องจ่ายค่าจ้างที่ค้างสำหรับเดือนพฤษภาคม 2563 กับเดือนมิถุนายน 2563 และวันที่ 1 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
กฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 17 เมษายน 2563 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 79/1 แห่ง พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 เป็นเรื่องให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานจากสำนักงานประกันสังคม มิใช่กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างจากนายจ้าง การที่จำเลยไม่ได้ออกหนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายการตามหนังสือรับรองที่แนบท้ายกฎกระทรวงนี้ ไม่ได้ทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างจากจำเลยตามกฎกระทรวงดังกล่าว
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 ให้คำจำกัดความของคำว่า สัญญาจ้าง หมายความว่า สัญญาไม่ว่าเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาระบุชัดเจน หรือเป็นที่เข้าใจโดยปริยายซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกบุคคลหนึ่งเรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้ค่าจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ ดังนี้ สัญญาจ้างจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ลูกจ้างมีหนี้ที่ต้องทำงานให้แก่นายจ้าง และนายจ้างมีหนี้ที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนในการทำงานของลูกจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้แก่นายจ้าง หรืออีกนัยหนึ่งลูกจ้างมีสิทธิได้ค่าจ้างจากนายจ้างต่อเมื่อลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้าง จำเลยหยุดประกอบกิจการเนื่องจากจังหวัดภูเก็ตมีคำสั่งให้ปิดโรงแรมทั้งจังหวัดเพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ถือได้ว่าจำเลยหยุดประกอบกิจการชั่วคราวด้วยเหตุสุดวิสัย การที่โจทก์ไม่ได้เข้าทำงานให้แก่จำเลยมิใช่เกิดจากคำสั่งหรือความผิดของจำเลย จำเลยย่อมไม่มีหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ แต่หากภายหลังเมื่อพ้นระยะเวลาปิดโรงแรมตามคำสั่งดังกล่าวแล้ว โจทก์กลับเข้าทำงานให้แก่จำเลย จำเลยก็มีหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์
ศาลแรงงานภาค 8 ยังไม่ได้วินิจฉัยและรับฟังข้อเท็จจริงว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 คำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ 1797/2563 ลงวันที่ 2 เมษายน 2563 ที่กำหนดให้ปิดโรงแรม มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2563 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นนั้น มีผลทำให้จำเลยปิดกิจการตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด และจังหวัดภูเก็ตมีคำสั่งฉบับอื่นให้ปิดโรงแรมต่อไปอีกหรือไม่ เพียงใด จำเลยเปิดกิจการตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด โจทก์เข้าทำงานให้แก่จำเลยหรือไม่ หากเข้าทำงาน โจทก์ทำงานตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด อันเป็นข้อเท็จจริงที่จะไปสู่การวินิจฉัยประเด็นว่า จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างในช่วงเวลาดังกล่าวให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ศาลฎีกาไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเองได้ จึงต้องย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานภาค 8 รับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ต่อไป
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2562 และปี 2563 เป็นเงิน 1,673,429.41 บาท จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 1,027,950 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จ่ายค่าจ้างค้างจ่าย 1,176,373.23 บาท ดอกเบี้ยค่าจ้างค้างจ่ายถึงวันฟ้อง 50,787.39 บาท และค่าชดเชย 1,027,950 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของค่าจ้างค้างจ่าย ดอกเบี้ยค่าจ้างค้างจ่าย และค่าชดเชย รวมเป็นต้นเงิน 2,255,110.62 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ชำระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 8 พิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชย 9,900 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 กันยายน 2563 อันเป็นวันเลิกจ้าง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ชำระค่าจ้างเดือนพฤษภาคม 2563 เป็นเงิน 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ชำระค่าจ้างเดือนมิถุนายน 2563 เป็นเงิน 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2563 จนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระค่าจ้างวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 เป็นเงิน 7,333.40 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้นำเงิน 17,362.18 บาท มาหักจากค่าจ้างในเดือนกรกฎาคม 2563 เสียก่อน และให้ชำระค่าเช่าบ้าน 280,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 6 พฤศจิกายน 2563) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกา หากจำเลยจะชำระเป็นเงินไทยให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพมหานครตามอัตราขายเงินดอลลาร์สหรัฐในเวลาที่ใช้เงินจริง ถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันใช้เงินจริงให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราเช่นว่านั้นก่อนวันดังกล่าว แต่ทั้งนี้ให้ไม่เกิน 31.15 บาท ตามวันฟ้อง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานพิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 8 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการโรงแรมใช้ชื่อในการประกอบกิจการว่า โรงแรม ส. เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2561 จำเลยจ้างโจทก์ทำงานตำแหน่งผู้จัดการโรงแรม ได้รับค่าจ้างเดือนละ 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าที่พักเดือนละ 40,000 บาท เมื่อปลายปี 2562 ถึงปัจจุบันมีสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จังหวัดภูเก็ตมีคำสั่งปิดโรงแรมทั้งจังหวัดตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2563 มีกำหนด 2 เดือน (คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้ปิดโรงแรม ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น) ต่อมาวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญากันตามข้อตกลงแนบท้ายสัญญาจ้างแรงงานโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 โดยโจทก์จะได้รับค่าจ้างเดือนละ 3,300 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาวันที่ 23 กันยายน 2563 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ไม่ได้รายงานเหตุการณ์น้ำท่วมห้องพักให้กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยทราบ ปล่อยปละละเลยให้สินค้าเน่าเสียและเครื่องดื่มหมดอายุ เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ในฐานะผู้จัดการโรงแรมไม่ดูแลจัดการสินค้าที่ใกล้หมดอายุ เป็นการขาดประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้จำเลยขาดความไว้วางใจที่จะให้โจทก์ปฏิบัติงานต่อไป มีเหตุเลิกจ้างโจทก์ได้และไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ แต่จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์โดยคำนวณค่าชดเชยจากฐานเงินเดือนอัตราสุดท้ายเป็นเงิน 9,900 ดอลลาร์สหรัฐ จำเลยไม่ได้จ่ายค่าเช่าบ้านตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 จนถึงวันที่โจทก์ถูกเลิกจ้างในเดือนกันยายน 2563 รวมเป็นเงิน 280,000 บาท จำเลยจึงต้องจ่ายค่าเช่าบ้านดังกล่าวแก่โจทก์ ส่วนค่าจ้างนั้นจำเลยต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน 2563 เดือนละ 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ และจ่ายค่าจ้างสำหรับวันที่ 1 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 เป็นเงิน 7,333.40 ดอลลาร์สหรัฐ โดยนำเงินค่าจ้างที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ 17,362.18 บาท มาหักชำระออกก่อน ส่วนเงินค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นจำเลยจ่ายแทนโจทก์แล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า จำเลยยังมิได้ออกหนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยเพื่อยื่นขอรับเงินชดเชยจากประกันสังคมของโจทก์ตามข้อ 7 ของกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. 2563 โจทก์ไม่อาจรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยจากสำนักงานประกันสังคมได้ จำเลยจึงต้องชำระค่าจ้างเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน 2563 แก่โจทก์ เดือนละ 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนค่าจ้างวันที่ 1 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 จำเลยไม่ได้ไต่สวนพยานให้เห็นว่าโจทก์มาทำงานเพียง 1.5 วัน จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันดังกล่าวด้วย ส่วนค่าชดเชยนั้นโจทก์และจำเลยตกลงกันตามข้อตกลงแนบท้ายสัญญาจ้างงาน ว่าโจทก์จะได้รับค่าจ้างเดือนละ 3,300 ดอลลาร์สหรัฐ จึงต้องคำนวณค่าชดเชยจากฐานเงินเดือนอัตราสุดท้ายตามเอกสารดังกล่าว ที่ศาลแรงงานภาค 8 กำหนดค่าชดเชยให้แก่โจทก์มานั้นชอบแล้ว ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่นไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเฉพาะประเด็นที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับเดือนพฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า กฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 17 เมษายน 2563 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 79/1 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ข้อ 2 กำหนดว่า ให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนตามกฎกระทรวงนี้ และข้อ 4 กำหนดว่า ในกรณีมีเหตุสุดวิสัยถึงขนาดที่นายจ้างต้องหยุดประกอบกิจการไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเป็นการชั่วคราว และลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานไม่สามารถทำงานได้และไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น ไม่ว่านายจ้างจะหยุดประกอบกิจการเองหรือหยุดประกอบกิจการตามคำสั่งของทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อหรือกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินก็ตาม ให้ลูกจ้างดังกล่าวซึ่งไม่ได้รับค่าจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ในอัตราร้อยละหกสิบสองของค่าจ้างรายวัน โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่นายจ้างหยุดประกอบกิจการ แต่ไม่เกินเก้าสิบวัน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563 หรือตามระยะเวลาที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี คดีนี้แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในฐานะผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ตโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 35 (1) แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และข้อ 7 (1) ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2563 มีคำสั่งให้ปิดโรงแรมทั้งจังหวัดเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ตามคำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ 1797/2563 ลงวันที่ 2 เมษายน 2563 อันถือได้ว่าจำเลยหยุดประกอบกิจการชั่วคราวเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยตามคำสั่งของทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อหรือกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินก็ตาม แต่กฎกระทรวงดังกล่าวเป็นเรื่องให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานจากสำนักงานประกันสังคม มิใช่กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างจากนายจ้าง ดังนี้ การที่จำเลยไม่ได้ออกหนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายการตามหนังสือรับรองที่แนบท้ายกฎกระทรวงนี้ ตามความในข้อ 7 ของกฎกระทรวงดังกล่าว จึงไม่ได้ทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างจากจำเลยตามกฎกระทรวงดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์เนื่องจากจำเลยไม่ได้ออกหนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานดังกล่าวให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะนายจ้างให้ชำระค่าจ้างที่ค้างสำหรับเดือนพฤษภาคม 2563 กับเดือนมิถุนายน 2563 และวันที่ 1 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 อันเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาจ้างแรงงานที่ไม่จ่ายค่าจ้าง จึงต้องพิจารณาว่าจำเลยผิดสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ ซึ่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 ให้คำจำกัดความของคำว่า สัญญาจ้าง หมายความว่า สัญญาไม่ว่าเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาระบุชัดเจน หรือเป็นที่เข้าใจโดยปริยายซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกบุคคลหนึ่งเรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้ค่าจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ ดังนี้ สัญญาจ้างจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ลูกจ้างมีหนี้ที่ต้องทำงานให้แก่นายจ้าง และนายจ้างมีหนี้ที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนในการทำงานของลูกจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้แก่นายจ้าง หรืออีกนัยหนึ่งลูกจ้างมีสิทธิได้ค่าจ้างจากนายจ้างต่อเมื่อลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้าง จำเลยหยุดประกอบกิจการเนื่องจากจังหวัดภูเก็ตมีคำสั่งให้ปิดโรงแรมทั้งจังหวัดเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ถือได้ว่าจำเลยหยุดประกอบกิจการชั่วคราวด้วยเหตุสุดวิสัย การที่โจทก์ไม่ได้เข้าทำงานให้แก่จำเลยตามสัญญาจ้างแรงงานมิใช่เกิดจากคำสั่งหรือความผิดของจำเลย แต่เกิดจากคำสั่งของทางราชการอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัย จำเลยย่อมไม่มีหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ แต่หากภายหลังเมื่อพ้นระยะเวลาปิดโรงแรมตามคำสั่งดังกล่าวแล้ว โจทก์กลับเข้าทำงานให้แก่จำเลย จำเลยก็มีหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ แต่ศาลแรงงานภาค 8 ยังไม่ได้วินิจฉัยและรับฟังข้อเท็จจริงว่าในช่วงระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 คำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ 1797/2563 ลงวันที่ 2 เมษายน 2563 ที่กำหนดให้ปิดโรงแรม มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2563 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นนั้น มีผลให้จำเลยปิดกิจการตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด และจังหวัดภูเก็ตมีคำสั่งฉบับอื่นให้ปิดโรงแรมต่อไปอีกหรือไม่ เพียงใด จำเลยเปิดกิจการตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด และโจทก์เข้าทำงานให้แก่จำเลยหรือไม่ หากเข้าทำงาน โจทก์เข้าทำงานตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด อันเป็นข้อเท็จจริงที่จะไปสู่การวินิจฉัยประเด็นว่าจำเลยต้องจ่ายค่าจ้างที่ค้างในช่วงเวลาดังกล่าวแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ศาลฎีกาไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเองได้ จึงต้องย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานภาค 8 รับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (3) (ข) และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 57/1 วรรคสอง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 8 และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเฉพาะที่ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ โดยย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานภาค 8 ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าในช่วงระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 คำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ 1797/2563 ให้ปิดโรงแรม มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2563 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นนั้น มีผลให้จำเลยปิดโรงแรมตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด และจังหวัดภูเก็ตมีคำสั่งฉบับอื่นให้ปิดโรงแรมต่อไปอีกหรือไม่ เพียงใด จำเลยเปิดกิจการตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด และโจทก์เข้าทำงานให้แก่จำเลยหรือไม่ หากเข้าทำงาน โจทก์เข้าทำงานตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีในประเด็นว่าจำเลยต้องจ่ายค่าจ้างที่ค้างสำหรับเดือนพฤษภาคม 2563 กับเดือนมิถุนายน 2563 และวันที่ 1 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177 เป็นเรื่องที่ผู้กระทำความผิดนำเอาความอันเป็นเท็จไปเบิกความต่อศาลในคดีใดคดีหนึ่งซึ่งความเท็จนั้นต้องเป็นข้อสำคัญแก่คดีที่เข้าเบิกความเป็นพยานต่อศาลนั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เบิกความอันเป็นเท็จไว้ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1554/ 2562 ของศาลชั้นต้น แล้วจำเลยที่ 3 นำคําเบิกความที่จำเลยที่ 1 เคยเบิกความอันเป็นเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าว ไปยื่นในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 ของศาลชั้นต้น โดยจำเลยที่ 1 ไม่เคยเข้าเบิกความรับรองยืนยันข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด จึงถือว่า ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177 ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงชั้นไต่สวนมูลฟ้องรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2557 โจทก์กู้เงิน 12,000,000 บาท จากจำเลยที่ 3 จึงนำที่ดินรวม 5 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนองเป็นประกันและรับเงินกู้นั้นไป มีโจทก์ลงชื่อเป็นผู้จำนอง และจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้รับจำนองมีข้อความต่อท้ายว่า แทนตามหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 26 กันยายน 2557 โดยจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินที่ดำเนินการจดทะเบียนจำนองรายนี้ ตามหนังสือสัญญาจำนองรวมห้าโฉนด เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 จำเลยที่ 3 เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งให้โจทก์ชำระหนี้และบังคับจำนองเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ. 552/2560 หมายเลขแดงที่ ผบ. 2349/2560 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาบังคับให้โจทก์ชำระหนี้และบังคับจำนอง จากนั้นวันที่ 12 ธันวาคม 2561 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.3780/2561 หมายเลขแดงที่ อ.492/2561 ต่อศาลชั้นต้น กล่าวหาว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานเบิกความอันเป็นเท็จว่า จำเลยที่ 3 เบิกความในคดีแพ่งดังกล่าวเป็นเท็จเพราะจำเลยที่ 3 มิได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนรับจำนองที่ดินแทน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 1339/2562 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนรับจำนองที่ดินแทนจริง คำเบิกความของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวไม่เป็นเท็จ หลังจากอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 แล้ว เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2562 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1554/2562 หมายเลขแดงที่ อ.1969/2562 ต่อศาลชั้นต้นกล่าวหาว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานแสดงพยานหลักฐานเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งนั้นว่า การที่จำเลยที่ 3 อ้างหนังสือสัญญาจำนองที่ดินรวมห้าโฉนดดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.2349/2560 นั้น เอกสารดังกล่าวในส่วนข้อความที่ระบุว่า จำเลยที่ 2 ลงนามแทนจำเลยที่ 3 นั้นเป็นเท็จ ซึ่งศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า การกระทำตามฟ้องนั้นเป็นการกระทำกรรมเดียวกับการกระทำของจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.3780/2561 หมายเลขแดงที่ อ.492/2561 ของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดให้ยกฟ้องแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) นอกจากนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นจำเลยในคดีอาญาอีกหลายคดี จนจำเลยที่ 3 ยื่นฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 หมายเลขแดงที่ อ.238/2565 ต่อศาลชั้นต้นกล่าวหาว่าโจทก์กระทำความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความอันเป็นเท็จเพราะโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.3780/2561 คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1529/2562 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1554/2562 ต่อศาลชั้นต้นอันเป็นเท็จและเบิกความอันเป็นเท็จในการไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.3780/2561 ว่า โจทก์ไม่ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินแก่จำเลยที่ 3 เพราะจำเลยที่ 3 ไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนรับจำนองแทนโดยในการพิจารณาคดีนี้ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าเบิกความเป็นพยานยืนยันว่าจำเลยที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนรับจำนองที่ดินจากโจทก์ตามหนังสือสัญญาจำนองจริง และจำเลยที่ 3 อ้างส่งคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ที่เบิกความไว้ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1554/2562 ของศาลชั้นต้นเป็นพยานเอกสารต่อศาลชั้นต้น ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนรับจำนองที่ดินจากโจทก์จริงและจำเลยที่ 2 ได้มอบหนังสือมอบอำนาจให้แก่เจ้าพนักงานที่ดินในวันจดทะเบียนแล้ว การจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1581/2563 หมายเลขแดงที่ อ.1971/2563 ต่อศาลชั้นต้นกล่าวหาว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานเบิกความอันเป็นเท็จเพราะการที่จำเลยที่ 3 เบิกความเป็นพยานในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 นั้นเป็นความเท็จเนื่องจากจำเลยที่ 3 ไม่เคยมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนรับจำนองแทน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 3 ว่าเบิกความอันเป็นเท็จในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.2349/2560 ของศาลชั้นต้นในมูลเหตุดังกล่าว และศาลวินิจฉัยว่า คำเบิกความของจำเลยที่ 3 ไม่เป็นเท็จและคดีถึงที่สุดแล้ว การที่จำเลยที่ 3 เบิกความในคดีนี้ไปตามข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงขาดเจตนาในการกระทำความผิด ฟ้องโจทก์จึงไม่มีมูล ให้ยกฟ้อง แล้วโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสามเบิกความอันเป็นเท็จในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2562 ของศาลชั้นต้นเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการแรกว่า การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยที่ 1 เบิกความอันเป็นเท็จไว้ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1554/2562 ของศาลชั้นต้น ต่อมาจำเลยที่ 3 นำข้อความ (ที่ถูกคำเบิกความ) ที่จำเลยที่ 1 เบิกความอันเป็นเท็จดังกล่าวไปยื่นในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 ของศาลชั้นต้น อันเป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าวนั้นเป็นฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ต้องเป็นเรื่องที่ผู้กระทำความผิดนำเอาความอันเป็นเท็จไปเบิกความต่อศาลในคดีใดคดีหนึ่งซึ่งความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญแก่คดีที่เข้าเบิกความเป็นพยานต่อศาลนั้น ดังนี้ การที่จำเลยที่ 3 เพียงนำสำเนาคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ในคดีอื่นมาอ้างส่งเป็นพยานเอกสารต่อศาลชั้นต้นเช่นนี้โดยจำเลยที่ 1 ไม่เคยเข้าเบิกความรับรองยืนยันข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใดจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ถือว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดมาโดยครบถ้วนไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการต่อมาว่า คดีโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีมูลความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า สำหรับจำเลยที่ 3 นั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่าหลังจากจำเลยที่ 3 ยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.2349/2560 ของศาลชั้นต้นแล้ว โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 3 กล่าวหาว่าการที่จำเลยที่ 3 เบิกความยืนยันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.2349/2560 ดังกล่าวว่า จำเลยที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปรับจดทะเบียนจำนองที่ดินของโจทก์แทนเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จ และแสดงพยานหลักฐานหนังสือสัญญาจำนองรวมห้าโฉนดเป็นเท็จ เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.3780/2561 หมายเลขแดงที่ อ.492/2562 กับคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1554/2562 หมายเลขแดงที่ อ.1969/2562 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลทั้งสองคดีฟังข้อเท็จจริงยุติตรงกันว่า จำเลยที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปรับจดทะเบียนจำนองที่ดินของโจทก์ตามหนังสือสัญญาจำนองรวมห้าโฉนดจริง นอกจากนี้ในคดีอาญาที่จำเลยที่ 3 ฟ้องโจทก์ฐานฟ้องเท็จและเบิกความอันเป็นเท็จตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 หมายเลขแดงที่ อ.238/2565 ของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงยุติว่า จำเลยที่ 3 ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนรับจำนองที่ดินจากโจทก์จริง ดังนี้ คำพิพากษาย่อมมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนคดีนี้โจทก์เคยรื้อร้องฟ้องจำเลยที่ 3 ในมูลคดีเรื่องเดียวกัน กล่าวหาว่าจำเลยที่ 3 เบิกความอันเป็นเท็จในมูลคดีเรื่องเดียวกันนี้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 ของศาลชั้นต้น เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1581/2563 หมายเลขแดงที่ อ.1971/2563 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้มีคำพิพากษาเป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 967/2564 ว่า การที่จำเลยที่ 3 เบิกความเป็นพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.242/2563 การที่ยืนยันในข้อเท็จจริงและสาระสำคัญในทำนองเดียวกับคำเบิกความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.2349/2560 ของศาลชั้นต้นซึ่งมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า คำเบิกความของจำเลยที่ 3 ที่ว่าได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปรับจดทะเบียนจำนองที่ดินของโจทก์แทนดังกล่าวนั้น มิใช่ความเท็จ การที่จำเลยที่ 3 เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงนั้นจึงเป็นการกระทำที่ขาดเจตนากระทำความผิดฐานเบิกความอันเป็นเท็จ ฟ้องโจทก์จึงไม่มีมูล ดังนี้ แม้คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องว่าจำเลยที่ 3 เบิกความอันเป็นเท็จในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 ของศาลชั้นต้นในชั้นพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 แม้ต่างวาระกันก็ตาม แต่จำเลยที่ 3 คงเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงและสาระสำคัญเช่นเดียวกับที่เบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คำพิพากษาย่อมผูกพันโจทก์ไม่อาจรื้อร้องฟ้องกันในประเด็นและมูลคดีเดียวกันได้อีก ดังวินิจฉัยมาข้างต้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 อีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ไม่มีมูลนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์กล่าวสรุปฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เบิกความอันเป็นเท็จในชั้นพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 ของศาลชั้นต้นในสาระสำคัญว่าหนังสือมอบอำนาจทำขึ้นที่บ้านของจำเลยที่ 3 มีพยานลงลายมือชื่อ 2 คน และจำเลยที่ 2 มอบหนังสือมอบอำนาจนั้นให้เจ้าพนักงานที่ดินที่ได้ตรวจสอบแล้วประทับตราด้านหลังให้โจทก์กับจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่ออันเป็นความเท็จ เพราะจำเลยที่ 3 มิได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 มารับจำนองแทนแต่อย่างใดนั้น เห็นว่า ในข้อนี้โจทก์อ้างส่งหนังสือสัญญาจำนองที่ดินรวมห้าโฉนดเป็นหลักฐานพยานโจทก์ซึ่งเอกสารดังกล่าวปรากฏข้อเท็จจริงในสาระสำคัญว่าโจทก์ตกลงจำนองที่ดินดังกล่าวเพื่อเป็นประกันเงินกู้ 12,000,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 3 โดยถือเอาหนังสือสัญญาจำนองดังกล่าวเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินและโจทก์รับเงินกู้ไปเป็นแคชเชียร์เช็คกับเงินสดบางส่วนไปในวันนั้น โจทก์จึงลงชื่อเป็นผู้จำนองและจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้รับจำนองแทนตามหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 26 กันยายน 2557 ดังนี้ หนังสือสัญญาจำนองดังกล่าวเป็นเอกสารราชการที่จำเลยที่ 1 จัดทำขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่โดยโจทก์ไม่เคยโต้แย้งเกี่ยวกับความถูกต้องของหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวในขณะจดทะเบียนจำนองที่ดินมาก่อน ทั้งปรากฏข้อเท็จจริงจากสำเนาคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ซึ่งเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1554/2562 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 ตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็นพิเศษเพราะเป็นการจำนองเป็นประกันหนี้กู้ยืมเงินจำนวนสูง หากไม่มีหนังสือมอบอำนาจนั้นก็ไม่สามารถจดทะเบียนจำนองได้ ซึ่งคำเบิกความดังกล่าวสมเหตุสมผล ไม่มีข้อพิรุธสงสัย ฉะนั้นลำพังแต่คำเบิกความของโจทก์ชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าจำเลยที่ 3 ไม่เคยทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 รับจดทะเบียนจำนองแทนโดยไม่มีหลักฐานอื่นมายืนยันสนับสนุนเช่นนั้นนับว่าขัดแย้งกับเอกสารราชการดังกล่าว จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 รับจดทะเบียนที่ดินของโจทก์แทนจริง ดังนี้ การที่จำเลยที่ 2 เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงและสาระสำคัญดังกล่าวในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 นั้น จึงไม่เป็นการเบิกความอันเป็นเท็จ ฟ้องโจทก์จึงไม่มีมูลสำหรับจำเลยที่ 2 สำหรับที่โจทก์อ้างว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงที่ไม่แน่ชัดว่าหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวสูญหายไปเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ไม่เป็นข้อสาระสำคัญที่สมควรวินิจฉัยให้เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่าฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ไม่มีมูลนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177 เป็นเรื่องที่ผู้กระทำความผิดนำเอาความอันเป็นเท็จไปเบิกความต่อศาลในคดีใดคดีหนึ่งซึ่งความเท็จนั้นต้องเป็นข้อสำคัญแก่คดีที่เข้าเบิกความเป็นพยานต่อศาลนั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เบิกความอันเป็นเท็จไว้ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1554/ 2562 ของศาลชั้นต้น แล้วจำเลยที่ 3 นำคําเบิกความที่จำเลยที่ 1 เคยเบิกความอันเป็นเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าว ไปยื่นในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 ของศาลชั้นต้น โดยจำเลยที่ 1 ไม่เคยเข้าเบิกความรับรองยืนยันข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด จึงถือว่า ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177 ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงชั้นไต่สวนมูลฟ้องรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2557 โจทก์กู้เงิน 12,000,000 บาท จากจำเลยที่ 3 จึงนำที่ดินรวม 5 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนองเป็นประกันและรับเงินกู้นั้นไป มีโจทก์ลงชื่อเป็นผู้จำนอง และจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้รับจำนองมีข้อความต่อท้ายว่า แทนตามหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 26 กันยายน 2557 โดยจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินที่ดำเนินการจดทะเบียนจำนองรายนี้ ตามหนังสือสัญญาจำนองรวมห้าโฉนด เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 จำเลยที่ 3 เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งให้โจทก์ชำระหนี้และบังคับจำนองเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ. 552/2560 หมายเลขแดงที่ ผบ. 2349/2560 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาบังคับให้โจทก์ชำระหนี้และบังคับจำนอง จากนั้นวันที่ 12 ธันวาคม 2561 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.3780/2561 หมายเลขแดงที่ อ.492/2561 ต่อศาลชั้นต้น กล่าวหาว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานเบิกความอันเป็นเท็จว่า จำเลยที่ 3 เบิกความในคดีแพ่งดังกล่าวเป็นเท็จเพราะจำเลยที่ 3 มิได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนรับจำนองที่ดินแทน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 1339/2562 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนรับจำนองที่ดินแทนจริง คำเบิกความของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวไม่เป็นเท็จ หลังจากอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 แล้ว เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2562 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1554/2562 หมายเลขแดงที่ อ.1969/2562 ต่อศาลชั้นต้นกล่าวหาว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานแสดงพยานหลักฐานเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งนั้นว่า การที่จำเลยที่ 3 อ้างหนังสือสัญญาจำนองที่ดินรวมห้าโฉนดดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.2349/2560 นั้น เอกสารดังกล่าวในส่วนข้อความที่ระบุว่า จำเลยที่ 2 ลงนามแทนจำเลยที่ 3 นั้นเป็นเท็จ ซึ่งศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า การกระทำตามฟ้องนั้นเป็นการกระทำกรรมเดียวกับการกระทำของจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.3780/2561 หมายเลขแดงที่ อ.492/2561 ของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดให้ยกฟ้องแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) นอกจากนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นจำเลยในคดีอาญาอีกหลายคดี จนจำเลยที่ 3 ยื่นฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 หมายเลขแดงที่ อ.238/2565 ต่อศาลชั้นต้นกล่าวหาว่าโจทก์กระทำความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความอันเป็นเท็จเพราะโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.3780/2561 คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1529/2562 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1554/2562 ต่อศาลชั้นต้นอันเป็นเท็จและเบิกความอันเป็นเท็จในการไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.3780/2561 ว่า โจทก์ไม่ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินแก่จำเลยที่ 3 เพราะจำเลยที่ 3 ไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนรับจำนองแทนโดยในการพิจารณาคดีนี้ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าเบิกความเป็นพยานยืนยันว่าจำเลยที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนรับจำนองที่ดินจากโจทก์ตามหนังสือสัญญาจำนองจริง และจำเลยที่ 3 อ้างส่งคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ที่เบิกความไว้ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1554/2562 ของศาลชั้นต้นเป็นพยานเอกสารต่อศาลชั้นต้น ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนรับจำนองที่ดินจากโจทก์จริงและจำเลยที่ 2 ได้มอบหนังสือมอบอำนาจให้แก่เจ้าพนักงานที่ดินในวันจดทะเบียนแล้ว การจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1581/2563 หมายเลขแดงที่ อ.1971/2563 ต่อศาลชั้นต้นกล่าวหาว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานเบิกความอันเป็นเท็จเพราะการที่จำเลยที่ 3 เบิกความเป็นพยานในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 นั้นเป็นความเท็จเนื่องจากจำเลยที่ 3 ไม่เคยมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนรับจำนองแทน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 3 ว่าเบิกความอันเป็นเท็จในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.2349/2560 ของศาลชั้นต้นในมูลเหตุดังกล่าว และศาลวินิจฉัยว่า คำเบิกความของจำเลยที่ 3 ไม่เป็นเท็จและคดีถึงที่สุดแล้ว การที่จำเลยที่ 3 เบิกความในคดีนี้ไปตามข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงขาดเจตนาในการกระทำความผิด ฟ้องโจทก์จึงไม่มีมูล ให้ยกฟ้อง แล้วโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสามเบิกความอันเป็นเท็จในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2562 ของศาลชั้นต้นเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการแรกว่า การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยที่ 1 เบิกความอันเป็นเท็จไว้ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1554/2562 ของศาลชั้นต้น ต่อมาจำเลยที่ 3 นำข้อความ (ที่ถูกคำเบิกความ) ที่จำเลยที่ 1 เบิกความอันเป็นเท็จดังกล่าวไปยื่นในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 ของศาลชั้นต้น อันเป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าวนั้นเป็นฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ต้องเป็นเรื่องที่ผู้กระทำความผิดนำเอาความอันเป็นเท็จไปเบิกความต่อศาลในคดีใดคดีหนึ่งซึ่งความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญแก่คดีที่เข้าเบิกความเป็นพยานต่อศาลนั้น ดังนี้ การที่จำเลยที่ 3 เพียงนำสำเนาคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ในคดีอื่นมาอ้างส่งเป็นพยานเอกสารต่อศาลชั้นต้นเช่นนี้โดยจำเลยที่ 1 ไม่เคยเข้าเบิกความรับรองยืนยันข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใดจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ถือว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดมาโดยครบถ้วนไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการต่อมาว่า คดีโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีมูลความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า สำหรับจำเลยที่ 3 นั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่าหลังจากจำเลยที่ 3 ยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.2349/2560 ของศาลชั้นต้นแล้ว โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 3 กล่าวหาว่าการที่จำเลยที่ 3 เบิกความยืนยันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.2349/2560 ดังกล่าวว่า จำเลยที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปรับจดทะเบียนจำนองที่ดินของโจทก์แทนเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จ และแสดงพยานหลักฐานหนังสือสัญญาจำนองรวมห้าโฉนดเป็นเท็จ เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.3780/2561 หมายเลขแดงที่ อ.492/2562 กับคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1554/2562 หมายเลขแดงที่ อ.1969/2562 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลทั้งสองคดีฟังข้อเท็จจริงยุติตรงกันว่า จำเลยที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปรับจดทะเบียนจำนองที่ดินของโจทก์ตามหนังสือสัญญาจำนองรวมห้าโฉนดจริง นอกจากนี้ในคดีอาญาที่จำเลยที่ 3 ฟ้องโจทก์ฐานฟ้องเท็จและเบิกความอันเป็นเท็จตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 หมายเลขแดงที่ อ.238/2565 ของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงยุติว่า จำเลยที่ 3 ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนรับจำนองที่ดินจากโจทก์จริง ดังนี้ คำพิพากษาย่อมมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนคดีนี้โจทก์เคยรื้อร้องฟ้องจำเลยที่ 3 ในมูลคดีเรื่องเดียวกัน กล่าวหาว่าจำเลยที่ 3 เบิกความอันเป็นเท็จในมูลคดีเรื่องเดียวกันนี้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 ของศาลชั้นต้น เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1581/2563 หมายเลขแดงที่ อ.1971/2563 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้มีคำพิพากษาเป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 967/2564 ว่า การที่จำเลยที่ 3 เบิกความเป็นพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.242/2563 การที่ยืนยันในข้อเท็จจริงและสาระสำคัญในทำนองเดียวกับคำเบิกความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.2349/2560 ของศาลชั้นต้นซึ่งมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า คำเบิกความของจำเลยที่ 3 ที่ว่าได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปรับจดทะเบียนจำนองที่ดินของโจทก์แทนดังกล่าวนั้น มิใช่ความเท็จ การที่จำเลยที่ 3 เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงนั้นจึงเป็นการกระทำที่ขาดเจตนากระทำความผิดฐานเบิกความอันเป็นเท็จ ฟ้องโจทก์จึงไม่มีมูล ดังนี้ แม้คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องว่าจำเลยที่ 3 เบิกความอันเป็นเท็จในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 ของศาลชั้นต้นในชั้นพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 แม้ต่างวาระกันก็ตาม แต่จำเลยที่ 3 คงเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงและสาระสำคัญเช่นเดียวกับที่เบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คำพิพากษาย่อมผูกพันโจทก์ไม่อาจรื้อร้องฟ้องกันในประเด็นและมูลคดีเดียวกันได้อีก ดังวินิจฉัยมาข้างต้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 อีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ไม่มีมูลนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์กล่าวสรุปฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เบิกความอันเป็นเท็จในชั้นพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 ของศาลชั้นต้นในสาระสำคัญว่าหนังสือมอบอำนาจทำขึ้นที่บ้านของจำเลยที่ 3 มีพยานลงลายมือชื่อ 2 คน และจำเลยที่ 2 มอบหนังสือมอบอำนาจนั้นให้เจ้าพนักงานที่ดินที่ได้ตรวจสอบแล้วประทับตราด้านหลังให้โจทก์กับจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่ออันเป็นความเท็จ เพราะจำเลยที่ 3 มิได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 มารับจำนองแทนแต่อย่างใดนั้น เห็นว่า ในข้อนี้โจทก์อ้างส่งหนังสือสัญญาจำนองที่ดินรวมห้าโฉนดเป็นหลักฐานพยานโจทก์ซึ่งเอกสารดังกล่าวปรากฏข้อเท็จจริงในสาระสำคัญว่าโจทก์ตกลงจำนองที่ดินดังกล่าวเพื่อเป็นประกันเงินกู้ 12,000,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 3 โดยถือเอาหนังสือสัญญาจำนองดังกล่าวเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินและโจทก์รับเงินกู้ไปเป็นแคชเชียร์เช็คกับเงินสดบางส่วนไปในวันนั้น โจทก์จึงลงชื่อเป็นผู้จำนองและจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้รับจำนองแทนตามหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 26 กันยายน 2557 ดังนี้ หนังสือสัญญาจำนองดังกล่าวเป็นเอกสารราชการที่จำเลยที่ 1 จัดทำขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่โดยโจทก์ไม่เคยโต้แย้งเกี่ยวกับความถูกต้องของหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวในขณะจดทะเบียนจำนองที่ดินมาก่อน ทั้งปรากฏข้อเท็จจริงจากสำเนาคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ซึ่งเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1554/2562 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 ตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็นพิเศษเพราะเป็นการจำนองเป็นประกันหนี้กู้ยืมเงินจำนวนสูง หากไม่มีหนังสือมอบอำนาจนั้นก็ไม่สามารถจดทะเบียนจำนองได้ ซึ่งคำเบิกความดังกล่าวสมเหตุสมผล ไม่มีข้อพิรุธสงสัย ฉะนั้นลำพังแต่คำเบิกความของโจทก์ชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าจำเลยที่ 3 ไม่เคยทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 รับจดทะเบียนจำนองแทนโดยไม่มีหลักฐานอื่นมายืนยันสนับสนุนเช่นนั้นนับว่าขัดแย้งกับเอกสารราชการดังกล่าว จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 รับจดทะเบียนที่ดินของโจทก์แทนจริง ดังนี้ การที่จำเลยที่ 2 เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงและสาระสำคัญดังกล่าวในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.242/2563 นั้น จึงไม่เป็นการเบิกความอันเป็นเท็จ ฟ้องโจทก์จึงไม่มีมูลสำหรับจำเลยที่ 2 สำหรับที่โจทก์อ้างว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงที่ไม่แน่ชัดว่าหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวสูญหายไปเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ไม่เป็นข้อสาระสำคัญที่สมควรวินิจฉัยให้เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่าฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ไม่มีมูลนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|