แม้ผู้ร้องจะได้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งความคืบหน้าของคดีที่ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้ไปยังภูมิลำเนาหรือสำนักงานทำการใหม่ คือ เลขที่ 124 ซึ่งเป็นบ้านพักอาศัยของกรรมการและที่ตั้งของผู้ร้องตามหนังสือรับรองก็ตาม แต่ในคำร้องดังกล่าวผู้ร้องระบุอ้างแต่เพียงว่ามีเหตุขัดข้องในการแจ้งให้ผู้ร้องทราบผลคดี ทำให้ทราบในระยะเวลากระชั้นชิดเท่านั้น มิได้ประสงค์ที่จะให้ที่อยู่ที่แจ้งใหม่เป็นภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานเพียงแห่งเดียวของผู้ร้องแต่อย่างใด กรณีจึงยังต้องถือว่า อาคารเลขที่ 13/47 เป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของผู้ร้องตาม ป.พ.พ.มาตรา 69 การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ให้แก่ผู้ร้องที่อาคารเลขที่ 13/47 ดังกล่าวโดยวิธีปิดหมาย จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำ ศาลชั้นต้นเห็นว่ากรณีมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องของผู้ร้องไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า จึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินหรือหลักประกันเพื่อประกันความเสียหาย ผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ศาลชั้นต้นจึงยกคำร้อง คำสั่งดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) แต่ผู้ร้องกลับอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้ง ๆ ที่คำสั่งศาลชั้นต้นเป็นที่สุดแล้ว ซึ่งที่สุดแล้วศาลฎีกาได้มีคำสั่งไม่รับฎีกาและพิพากษายกฎีกา หลังจากนั้นผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 นัดวันที่ 20 ตุลาคม 2559 อีก แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน และศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกาและไม่รับฎีกาของผู้ร้อง พฤติการณ์ของผู้ร้องที่ดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าว เป็นเหตุให้บริษัท ค. ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ต้องขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไป และไม่อาจนำเงินที่เหลือมาวางชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถจ่ายเงินให้แก่โจทก์ได้ ดังนี้ ถือเป็นการประวิงให้ชักช้าโดยไม่มีมูลมีผลให้การขายทอดตลาดไม่เสร็จสิ้น และผู้ซื้อทรัพย์รายใหม่ไม่อาจชำระราคาทรัพย์พิพาทอันเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ร้อง หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตไม่ และเมื่อก่อให้เกิดความเสียหาย ผู้ร้องจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยออกขายทอดตลาด รวม 70 แปลง โดยเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อได้ในราคา 206,660,000 บาท วันดังกล่าวผู้ร้องในฐานะผู้ซื้อทำสัญญาซื้อขายไว้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีและได้วางเงินมัดจำ 3,000,000 บาท ส่วนที่เหลือผู้ร้องจะต้องชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันทำสัญญาซื้อขาย แต่ก่อนครบกำหนดเวลาชำระเงิน ผู้ร้องยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินส่วนที่เหลือ เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาต แต่ก่อนที่ผู้ร้องจะชำระเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือ จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินส่วนที่เหลือไปจนกว่าศาลจะพิจารณาคดีดังกล่าวถึงที่สุด เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาต ต่อมาวันที่ 11 ธันวาคม 2557 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอทราบความคืบหน้าของคดีดังกล่าวพร้อมทั้งขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งความคืบหน้าของคดีไปยังที่ทำการของผู้ร้องตามที่อยู่ใหม่ ในวันดังกล่าวเจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้ผู้ร้องทราบว่า ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องในฐานะผู้ซื้อทรัพย์นำเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือมาชำระและพ้นกำหนดชำระแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีคำสั่งริบเงินมัดจำ 3,000,000 บาท ของผู้ร้อง เนื่องจากผู้ร้องผิดสัญญาซื้อขายเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำดังกล่าวของผู้ร้อง โจทก์ยื่นคำคัดค้านและขอให้ผู้ร้องวางเงินหรือหาหลักประกันวางต่อศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินประกันความเสียหาย 10,000,000 บาท ผู้ร้องไม่วางเงินประกันหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาของผู้ร้อง โดยให้เหตุผลสรุปว่า เมื่อผู้ซื้อทรัพย์ไม่วางเงินหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง คำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) ผู้ซื้อทรัพย์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาต่อไปอีก การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ซื้อทรัพย์ ผู้ซื้อทรัพย์อุทธรณ์คำสั่งแล้วศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของผู้ซื้อทรัพย์ เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ กรณีเช่นนี้คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่ง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยใหม่ในนัดวันที่ 20 ตุลาคม 2559 บริษัท ค. ประมูลซื้อทรัพย์ของจำเลยได้ในราคา 233,000,000 บาท เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าว โจทก์ จำเลย และผู้ซื้อทรัพย์ต่างยื่นคำคัดค้าน วันที่ 30 มกราคม 2560 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาล 11,665,000 บาท ผู้ร้องนำเงินมาวางต่อศาลแล้ว ต่อมาวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องเพราะผู้ร้องมิใช่ผู้เสียหายจากการขายทอดตลาด
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคท้าย (เดิม) หรือมาตรา 295 วรรคท้าย (ใหม่) เป็นคดีนี้ โดยอ้างว่าการกระทำของผู้ร้องข้างต้นเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์พิพาทกับจำเลยเป็นเวลาประมาณ 17 ปี และอยู่ในชั้นบังคับคดีถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 7 ปี โดยผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำของผู้ร้อง ใช้เวลาพิจารณาประมาณ 3 ปี แล้วผู้ร้องมายื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดครั้งใหม่อีกซึ่งนับถึงวันที่โจทก์ยื่นคำร้องนี้ใช้เวลา 1 ปีเศษแล้ว แต่รับเงินไม่ได้เพราะผู้ร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดโดยไม่มีมูลและประวิงคดี โจทก์ต้องจ้างทนายความและเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นเงิน 255,809 บาท ผู้ซื้อทรัพย์นำเงินมาชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้เพราะผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าว ทำให้ต้องขอขยายระยะเวลาวางเงินและเจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งอนุญาตจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ทั้งที่ผู้ซื้อทรัพย์มีสิทธิขอขยายระยะเวลาวางเงินครั้งสุดท้ายอีก 3 เดือน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 และโจทก์มีสิทธิได้รับเงินจากเจ้าพนักงานบังคับคดีนับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไป โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีคำนวณหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลฎีกาจนถึงวันขายทอดตลาดใหม่ รวมแล้วเป็นเงิน 216,165,905.48 บาท โจทก์ขาดประโยชน์จากการใช้เงินจำนวนดังกล่าว จึงขอคิดค่าเสียหายโดยให้ผู้ร้องชดใช้เป็นดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 216,165,905.48 บาท นับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 ถึงวันยื่นคำร้องนี้ (วันที่ 4 ธันวาคม 2560) เป็นเวลา 10 เดือน คิดเป็นเงิน 13,510,369 บาท เมื่อรวมกับค่าทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแล้วเป็นเงิน 13,766,178 บาท ขอให้บังคับผู้ร้องชดใช้เงิน 13,766,178 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 255,809 บาท และต้นเงิน 216,165,905.48 บาท นับแต่วันยื่นคำร้องนี้ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องชดใช้เงิน 13,736,178 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 225,809 บาท และต้นเงิน 216,165,905.48 บาท นับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ผู้ร้อง ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 10,000 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่เกินมา 200 บาท แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยรวม 70 แปลง เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 ผู้ร้องซื้อทรัพย์ของจำเลยจากการขายทอดตลาดในราคา 206,660,000 บาท ผู้ร้องวางเงินมัดจำค่าซื้อทรัพย์จำนวน 3,000,000 บาท ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ต่อมามีการขยายเวลาวางเงินแต่ผู้ร้องไม่ชำระเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือตามกำหนด วันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งริบเงินมัดจำ 3,000,000 บาท ดังกล่าว ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินประกันความเสียหายจำนวน 10,000,000 บาท แต่ผู้ร้องไม่นำเงินประกันหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ร้องยื่นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับฎีกาและพิพากษายกฎีกา เจ้าพนักงานบังคับคดีนำทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาดใหม่เป็นครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 บริษัท ค. ประมูลซื้อได้ในราคา 233,000,000 บาท วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าว ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษายืน ผู้ร้องขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การยื่นคำร้องของผู้ร้องลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ขอเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยใหม่ ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 นั้น ไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดีให้ชักช้าหรือไม่ และโจทก์เสียหายหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อทรัพย์ของจำเลยจากการขายทอดตลาดครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 ในราคา 206,660,000 บาท โดยวางเงินมัดจำค่าซื้อทรัพย์ 3,000,000 บาท จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ต่อมาผู้ร้องไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงริบเงินมัดจำดังกล่าว ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่ากรณีมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องของผู้ร้องไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้าจึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินหรือหลักประกันเพื่อประกันความเสียหาย 10,000,00 บาท แต่ผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ศาลชั้นต้นจึงยกคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) ผู้ร้องไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปอีก ดังนั้น คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงถึงที่สุดแล้ว ส่วนการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทใหม่ครั้งที่ 2 ของเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ก็ได้ความตามสำเนารายงานประกอบการขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงใหม่ว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาด นัดที่ 1 ในวันที่ 18 สิงหาคม 2559 แต่งดการขายเพราะประกาศไม่ครบเวลา นัดที่ 2 เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2559 งดการขายเพราะไม่มีผู้เข้าสู้ราคา นัดที่ 3 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2559 มีผู้เสนอราคาสูงสุด 143,660,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งงดการขาย นัดที่ 4 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 บริษัท ค. เป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้ในราคา 233,000,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งให้ขาย จึงเห็นได้ว่า ในการประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 นั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดนัดถึง 4 นัด ทอดระยะเวลาถึง 2 เดือนเศษ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษามาดูแลการขายทอดตลาดทุกครั้งโดยไม่มีผู้ใดคัดค้านว่ากระบวนการขายทอดตลาดไม่ชอบ คงมีเพียงผู้ร้องที่ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด โดยอ้างว่าผู้ร้องไม่ได้รับหมายแจ้งการประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 เพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ส่งหมายให้ผู้ร้องตามที่อยู่ใหม่ที่ผู้ร้องได้แจ้งไว้จึงทำให้ผู้ร้องถูกตัดสิทธิในการเข้าร่วมประมูลซื้อทรัพย์นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ใหม่ครั้งที่ 2 ดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งประกาศขายทอดตลาดให้แก่ผู้ร้องที่อาคารเลขที่ 13/47 โดยวิธีปิดหมาย แม้ผู้ร้องจะได้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งความคืบหน้าของคดีที่ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้ไปยังภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานใหม่ คือ เลขที่ 124 หมู่บ้านเลคไซด์วิลล่า 2 ซึ่งเป็นบ้านพักอาศัยของกรรมการและที่ตั้งของผู้ร้องตามหนังสือรับรองก็ตาม แต่ในคำร้องดังกล่าวผู้ร้องระบุอ้างแต่เพียงว่ามีเหตุขัดข้องในการแจ้งให้ผู้ร้องทราบผลคดี ทำให้ทราบในระยะเวลากระชั้นชิดเท่านั้น โดยมิได้ประสงค์ที่จะให้ที่อยู่ที่แจ้งใหม่ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานเพียงแห่งเดียวของผู้ร้องแต่อย่างใด กรณีจึงยังต้องถือว่าอาคารเลขที่ 13/47 เป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 69 การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ให้แก่ผู้ร้องที่อาคารเลขที่ 13/47 ดังกล่าวโดยวิธีปิดหมาย จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องจึงไม่อาจรับฟังได้ ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ราคาทรัพย์ที่ประมูลได้ 233,000,000 บาท มีราคาต่ำ หากผู้ร้องได้มีโอกาสเข้าร่วมประมูลและนำมาพัฒนาแล้วจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 800,000,000 บาท นั้น ผู้ร้องเพียงกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน ประกอบกับโจทก์และจำเลยไม่คัดค้านราคา ทั้งราคาที่ประมูลซื้อทรัพย์ได้ในครั้งที่ 2 สูงกว่าราคาที่ผู้ร้องเคยประมูลได้ในครั้งแรก คำร้องของผู้ร้องที่ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดจึงไม่มีมูล นอกจากนี้ คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบมัดจำเพราะผู้ร้องไม่วางเงินค่าซื้อทรัพย์ในการขายทอดตลาดครั้งก่อนภายในกำหนดและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง เนื่องจากผู้ร้องไม่วางประกันในชั้นไต่สวนนั้น ผู้ร้องกลับอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้ง ๆ ที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) บัญญัติว่า คำสั่งศาลชั้นต้นให้เป็นที่สุด และเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้ร้องก็ยังยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อีก ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้อง แต่ผู้ร้องกลับไม่ยุติการดำเนินคดีเพียงเท่านี้ ผู้ร้องยังคงยื่นฎีกาต่อไปอีกซึ่งที่สุดแล้วศาลฎีกาได้มีคำสั่งไม่รับฎีกาและพิพากษายกฎีกา โดยวินิจฉัยว่า เมื่อผู้ซื้อทรัพย์ไม่วางเงินหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง คำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุดตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น หลังจากนั้นผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 อีก แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน โดยวินิจฉัยว่า กรณีที่บุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีจะยื่นคำร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดนั้น ต้องได้ความว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ซึ่งต้องเสียหายเพราะเหตุแห่งการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง (เดิม) ด้วย แม้ว่าผู้ร้องจะเป็นบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีในการขายทอดตลาดครั้งเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปแล้วเนื่องจากผู้ร้องไม่วางเงินประกันตามคำสั่งศาลก็ตาม แต่เมื่อผู้ร้องไม่ได้รับความเสียหายจากกระบวนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ต่อมาเมื่อผู้ร้องขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา และไม่รับฎีกาของผู้ร้อง เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของผู้ร้องที่ดำเนินกระบวนพิจารณามาทั้งหมดโดยเฉพาะการร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 เป็นเหตุให้บริษัท ค. ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ต้องขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปและไม่อาจนำเงินที่เหลือมาวางชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถจ่ายเงินให้แก่โจทก์ได้ ดังนี้ ถือเป็นการประวิงให้ชักช้าโดยไม่มีมูลมีผลให้การขายทอดตลาดไม่เสร็จสิ้น และผู้ซื้อทรัพย์รายใหม่ไม่อาจชำระราคาทรัพย์พิพาทอันเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ร้อง หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตไม่ และเมื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ผู้ร้องต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนของความเสียหายนั้น ข้อเท็จจริงได้ความตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีคำนวณหนี้ตามคำพิพากษาที่โจทก์ต้องได้รับจากจำเลยถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่ขายทอดตลาดทรัพย์ได้ เป็นเงิน 216,165,905.48 บาท โจทก์ยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทน คือ ดอกเบี้ยจากค่าขาดประโยชน์ที่ควรได้รับหากได้รับชำระหนี้ตามเวลาเริ่มแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์มีสิทธิรับเงินจากเจ้าพนักงานบังคับคดีหากผู้ร้องไม่ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดคำนวณดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 216,165,905.48 บาท จนถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 อันเป็นวันยื่นคำร้อง เป็นเวลา 10 เดือน คำนวณได้ 13,510,369 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันยื่นคำร้อง นั้น โจทก์เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเป็นดอกเบี้ย แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า หากได้รับชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว โจทก์จะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์หรือเงินฝากประจำที่ธนาคารพาณิชย์จ่ายให้แก่โจทก์ในอัตราเท่าใด อย่างไร แต่เมื่อคำนึงถึงความเสียหายที่โจทก์ได้รับประกอบทางได้เสียของโจทก์ สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงการแก้ไขเรื่องอัตราดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 แล้ว เห็นควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ให้โจทก์ 10,000,000 บาท ส่วนที่โจทก์ขอค่าทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันยื่นคำร้องนั้น โจทก์นำสืบใบเสร็จรับจ่ายเงิน แต่บางรายการเป็นค่าใช้จ่ายแบบเหมารวม เช่น ค่าเช่ารถ จึงเห็นสมควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ให้โจทก์ 100,000 บาท รวมเป็นค่าสินไหมทดแทน 10,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดมิใช่เป็นการยื่นคำร้องโดยไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า ผู้ร้องไม่จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี ทำให้ดอกเบี้ยผิดนัดของค่าสินไหมทดแทนซึ่งเป็นหนี้เงินที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ต้องปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ดังนี้ เมื่อการกำหนดดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
พิพากษากลับเป็นว่า ให้ผู้ร้องชำระเงินให้โจทก์ 10,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้อง (ยื่นคำร้องวันที่ 4 ธันวาคม 2560) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่อัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 หากมีพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยก็ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความรวม 50,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 10,000 บาท
แม้ผู้ร้องจะได้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งความคืบหน้าของคดีที่ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้ไปยังภูมิลำเนาหรือสำนักงานทำการใหม่ คือ เลขที่ 124 ซึ่งเป็นบ้านพักอาศัยของกรรมการและที่ตั้งของผู้ร้องตามหนังสือรับรองก็ตาม แต่ในคำร้องดังกล่าวผู้ร้องระบุอ้างแต่เพียงว่ามีเหตุขัดข้องในการแจ้งให้ผู้ร้องทราบผลคดี ทำให้ทราบในระยะเวลากระชั้นชิดเท่านั้น มิได้ประสงค์ที่จะให้ที่อยู่ที่แจ้งใหม่เป็นภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานเพียงแห่งเดียวของผู้ร้องแต่อย่างใด กรณีจึงยังต้องถือว่า อาคารเลขที่ 13/47 เป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของผู้ร้องตาม ป.พ.พ.มาตรา 69 การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ให้แก่ผู้ร้องที่อาคารเลขที่ 13/47 ดังกล่าวโดยวิธีปิดหมาย จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำ ศาลชั้นต้นเห็นว่ากรณีมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องของผู้ร้องไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า จึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินหรือหลักประกันเพื่อประกันความเสียหาย ผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ศาลชั้นต้นจึงยกคำร้อง คำสั่งดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) แต่ผู้ร้องกลับอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้ง ๆ ที่คำสั่งศาลชั้นต้นเป็นที่สุดแล้ว ซึ่งที่สุดแล้วศาลฎีกาได้มีคำสั่งไม่รับฎีกาและพิพากษายกฎีกา หลังจากนั้นผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 นัดวันที่ 20 ตุลาคม 2559 อีก แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน และศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกาและไม่รับฎีกาของผู้ร้อง พฤติการณ์ของผู้ร้องที่ดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าว เป็นเหตุให้บริษัท ค. ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ต้องขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไป และไม่อาจนำเงินที่เหลือมาวางชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถจ่ายเงินให้แก่โจทก์ได้ ดังนี้ ถือเป็นการประวิงให้ชักช้าโดยไม่มีมูลมีผลให้การขายทอดตลาดไม่เสร็จสิ้น และผู้ซื้อทรัพย์รายใหม่ไม่อาจชำระราคาทรัพย์พิพาทอันเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ร้อง หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตไม่ และเมื่อก่อให้เกิดความเสียหาย ผู้ร้องจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยออกขายทอดตลาด รวม 70 แปลง โดยเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อได้ในราคา 206,660,000 บาท วันดังกล่าวผู้ร้องในฐานะผู้ซื้อทำสัญญาซื้อขายไว้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีและได้วางเงินมัดจำ 3,000,000 บาท ส่วนที่เหลือผู้ร้องจะต้องชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันทำสัญญาซื้อขาย แต่ก่อนครบกำหนดเวลาชำระเงิน ผู้ร้องยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินส่วนที่เหลือ เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาต แต่ก่อนที่ผู้ร้องจะชำระเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือ จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินส่วนที่เหลือไปจนกว่าศาลจะพิจารณาคดีดังกล่าวถึงที่สุด เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาต ต่อมาวันที่ 11 ธันวาคม 2557 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอทราบความคืบหน้าของคดีดังกล่าวพร้อมทั้งขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งความคืบหน้าของคดีไปยังที่ทำการของผู้ร้องตามที่อยู่ใหม่ ในวันดังกล่าวเจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้ผู้ร้องทราบว่า ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องในฐานะผู้ซื้อทรัพย์นำเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือมาชำระและพ้นกำหนดชำระแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีคำสั่งริบเงินมัดจำ 3,000,000 บาท ของผู้ร้อง เนื่องจากผู้ร้องผิดสัญญาซื้อขายเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำดังกล่าวของผู้ร้อง โจทก์ยื่นคำคัดค้านและขอให้ผู้ร้องวางเงินหรือหาหลักประกันวางต่อศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินประกันความเสียหาย 10,000,000 บาท ผู้ร้องไม่วางเงินประกันหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาของผู้ร้อง โดยให้เหตุผลสรุปว่า เมื่อผู้ซื้อทรัพย์ไม่วางเงินหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง คำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) ผู้ซื้อทรัพย์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาต่อไปอีก การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ซื้อทรัพย์ ผู้ซื้อทรัพย์อุทธรณ์คำสั่งแล้วศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของผู้ซื้อทรัพย์ เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ กรณีเช่นนี้คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่ง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยใหม่ในนัดวันที่ 20 ตุลาคม 2559 บริษัท ค. ประมูลซื้อทรัพย์ของจำเลยได้ในราคา 233,000,000 บาท เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าว โจทก์ จำเลย และผู้ซื้อทรัพย์ต่างยื่นคำคัดค้าน วันที่ 30 มกราคม 2560 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาล 11,665,000 บาท ผู้ร้องนำเงินมาวางต่อศาลแล้ว ต่อมาวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องเพราะผู้ร้องมิใช่ผู้เสียหายจากการขายทอดตลาด
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคท้าย (เดิม) หรือมาตรา 295 วรรคท้าย (ใหม่) เป็นคดีนี้ โดยอ้างว่าการกระทำของผู้ร้องข้างต้นเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์พิพาทกับจำเลยเป็นเวลาประมาณ 17 ปี และอยู่ในชั้นบังคับคดีถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 7 ปี โดยผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำของผู้ร้อง ใช้เวลาพิจารณาประมาณ 3 ปี แล้วผู้ร้องมายื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดครั้งใหม่อีกซึ่งนับถึงวันที่โจทก์ยื่นคำร้องนี้ใช้เวลา 1 ปีเศษแล้ว แต่รับเงินไม่ได้เพราะผู้ร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดโดยไม่มีมูลและประวิงคดี โจทก์ต้องจ้างทนายความและเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นเงิน 255,809 บาท ผู้ซื้อทรัพย์นำเงินมาชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้เพราะผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าว ทำให้ต้องขอขยายระยะเวลาวางเงินและเจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งอนุญาตจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ทั้งที่ผู้ซื้อทรัพย์มีสิทธิขอขยายระยะเวลาวางเงินครั้งสุดท้ายอีก 3 เดือน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 และโจทก์มีสิทธิได้รับเงินจากเจ้าพนักงานบังคับคดีนับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไป โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีคำนวณหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลฎีกาจนถึงวันขายทอดตลาดใหม่ รวมแล้วเป็นเงิน 216,165,905.48 บาท โจทก์ขาดประโยชน์จากการใช้เงินจำนวนดังกล่าว จึงขอคิดค่าเสียหายโดยให้ผู้ร้องชดใช้เป็นดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 216,165,905.48 บาท นับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 ถึงวันยื่นคำร้องนี้ (วันที่ 4 ธันวาคม 2560) เป็นเวลา 10 เดือน คิดเป็นเงิน 13,510,369 บาท เมื่อรวมกับค่าทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแล้วเป็นเงิน 13,766,178 บาท ขอให้บังคับผู้ร้องชดใช้เงิน 13,766,178 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 255,809 บาท และต้นเงิน 216,165,905.48 บาท นับแต่วันยื่นคำร้องนี้ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องชดใช้เงิน 13,736,178 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 225,809 บาท และต้นเงิน 216,165,905.48 บาท นับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ผู้ร้อง ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 10,000 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่เกินมา 200 บาท แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยรวม 70 แปลง เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 ผู้ร้องซื้อทรัพย์ของจำเลยจากการขายทอดตลาดในราคา 206,660,000 บาท ผู้ร้องวางเงินมัดจำค่าซื้อทรัพย์จำนวน 3,000,000 บาท ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ต่อมามีการขยายเวลาวางเงินแต่ผู้ร้องไม่ชำระเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือตามกำหนด วันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งริบเงินมัดจำ 3,000,000 บาท ดังกล่าว ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินประกันความเสียหายจำนวน 10,000,000 บาท แต่ผู้ร้องไม่นำเงินประกันหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ร้องยื่นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับฎีกาและพิพากษายกฎีกา เจ้าพนักงานบังคับคดีนำทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาดใหม่เป็นครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 บริษัท ค. ประมูลซื้อได้ในราคา 233,000,000 บาท วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าว ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษายืน ผู้ร้องขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การยื่นคำร้องของผู้ร้องลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ขอเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยใหม่ ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 นั้น ไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดีให้ชักช้าหรือไม่ และโจทก์เสียหายหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อทรัพย์ของจำเลยจากการขายทอดตลาดครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 ในราคา 206,660,000 บาท โดยวางเงินมัดจำค่าซื้อทรัพย์ 3,000,000 บาท จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ต่อมาผู้ร้องไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงริบเงินมัดจำดังกล่าว ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบเงินมัดจำ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่ากรณีมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องของผู้ร้องไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้าจึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินหรือหลักประกันเพื่อประกันความเสียหาย 10,000,00 บาท แต่ผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ศาลชั้นต้นจึงยกคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) ผู้ร้องไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปอีก ดังนั้น คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงถึงที่สุดแล้ว ส่วนการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทใหม่ครั้งที่ 2 ของเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ก็ได้ความตามสำเนารายงานประกอบการขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงใหม่ว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาด นัดที่ 1 ในวันที่ 18 สิงหาคม 2559 แต่งดการขายเพราะประกาศไม่ครบเวลา นัดที่ 2 เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2559 งดการขายเพราะไม่มีผู้เข้าสู้ราคา นัดที่ 3 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2559 มีผู้เสนอราคาสูงสุด 143,660,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งงดการขาย นัดที่ 4 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 บริษัท ค. เป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้ในราคา 233,000,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งให้ขาย จึงเห็นได้ว่า ในการประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 นั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดนัดถึง 4 นัด ทอดระยะเวลาถึง 2 เดือนเศษ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษามาดูแลการขายทอดตลาดทุกครั้งโดยไม่มีผู้ใดคัดค้านว่ากระบวนการขายทอดตลาดไม่ชอบ คงมีเพียงผู้ร้องที่ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด โดยอ้างว่าผู้ร้องไม่ได้รับหมายแจ้งการประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 เพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ส่งหมายให้ผู้ร้องตามที่อยู่ใหม่ที่ผู้ร้องได้แจ้งไว้จึงทำให้ผู้ร้องถูกตัดสิทธิในการเข้าร่วมประมูลซื้อทรัพย์นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ใหม่ครั้งที่ 2 ดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งประกาศขายทอดตลาดให้แก่ผู้ร้องที่อาคารเลขที่ 13/47 โดยวิธีปิดหมาย แม้ผู้ร้องจะได้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งความคืบหน้าของคดีที่ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้ไปยังภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานใหม่ คือ เลขที่ 124 หมู่บ้านเลคไซด์วิลล่า 2 ซึ่งเป็นบ้านพักอาศัยของกรรมการและที่ตั้งของผู้ร้องตามหนังสือรับรองก็ตาม แต่ในคำร้องดังกล่าวผู้ร้องระบุอ้างแต่เพียงว่ามีเหตุขัดข้องในการแจ้งให้ผู้ร้องทราบผลคดี ทำให้ทราบในระยะเวลากระชั้นชิดเท่านั้น โดยมิได้ประสงค์ที่จะให้ที่อยู่ที่แจ้งใหม่ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานเพียงแห่งเดียวของผู้ร้องแต่อย่างใด กรณีจึงยังต้องถือว่าอาคารเลขที่ 13/47 เป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 69 การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งประกาศขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ให้แก่ผู้ร้องที่อาคารเลขที่ 13/47 ดังกล่าวโดยวิธีปิดหมาย จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องจึงไม่อาจรับฟังได้ ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ราคาทรัพย์ที่ประมูลได้ 233,000,000 บาท มีราคาต่ำ หากผู้ร้องได้มีโอกาสเข้าร่วมประมูลและนำมาพัฒนาแล้วจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 800,000,000 บาท นั้น ผู้ร้องเพียงกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน ประกอบกับโจทก์และจำเลยไม่คัดค้านราคา ทั้งราคาที่ประมูลซื้อทรัพย์ได้ในครั้งที่ 2 สูงกว่าราคาที่ผู้ร้องเคยประมูลได้ในครั้งแรก คำร้องของผู้ร้องที่ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดจึงไม่มีมูล นอกจากนี้ คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ริบมัดจำเพราะผู้ร้องไม่วางเงินค่าซื้อทรัพย์ในการขายทอดตลาดครั้งก่อนภายในกำหนดและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง เนื่องจากผู้ร้องไม่วางประกันในชั้นไต่สวนนั้น ผู้ร้องกลับอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้ง ๆ ที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) บัญญัติว่า คำสั่งศาลชั้นต้นให้เป็นที่สุด และเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้ร้องก็ยังยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อีก ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งให้ยกคำร้อง แต่ผู้ร้องกลับไม่ยุติการดำเนินคดีเพียงเท่านี้ ผู้ร้องยังคงยื่นฎีกาต่อไปอีกซึ่งที่สุดแล้วศาลฎีกาได้มีคำสั่งไม่รับฎีกาและพิพากษายกฎีกา โดยวินิจฉัยว่า เมื่อผู้ซื้อทรัพย์ไม่วางเงินหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง คำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุดตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น หลังจากนั้นผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 อีก แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน โดยวินิจฉัยว่า กรณีที่บุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีจะยื่นคำร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดนั้น ต้องได้ความว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ซึ่งต้องเสียหายเพราะเหตุแห่งการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง (เดิม) ด้วย แม้ว่าผู้ร้องจะเป็นบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีในการขายทอดตลาดครั้งเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปแล้วเนื่องจากผู้ร้องไม่วางเงินประกันตามคำสั่งศาลก็ตาม แต่เมื่อผู้ร้องไม่ได้รับความเสียหายจากกระบวนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ต่อมาเมื่อผู้ร้องขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา และไม่รับฎีกาของผู้ร้อง เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของผู้ร้องที่ดำเนินกระบวนพิจารณามาทั้งหมดโดยเฉพาะการร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 เป็นเหตุให้บริษัท ค. ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดใหม่ครั้งที่ 2 ต้องขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปและไม่อาจนำเงินที่เหลือมาวางชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถจ่ายเงินให้แก่โจทก์ได้ ดังนี้ ถือเป็นการประวิงให้ชักช้าโดยไม่มีมูลมีผลให้การขายทอดตลาดไม่เสร็จสิ้น และผู้ซื้อทรัพย์รายใหม่ไม่อาจชำระราคาทรัพย์พิพาทอันเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ร้อง หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตไม่ และเมื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ผู้ร้องต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนของความเสียหายนั้น ข้อเท็จจริงได้ความตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีคำนวณหนี้ตามคำพิพากษาที่โจทก์ต้องได้รับจากจำเลยถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่ขายทอดตลาดทรัพย์ได้ เป็นเงิน 216,165,905.48 บาท โจทก์ยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทน คือ ดอกเบี้ยจากค่าขาดประโยชน์ที่ควรได้รับหากได้รับชำระหนี้ตามเวลาเริ่มแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์มีสิทธิรับเงินจากเจ้าพนักงานบังคับคดีหากผู้ร้องไม่ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดคำนวณดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 216,165,905.48 บาท จนถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 อันเป็นวันยื่นคำร้อง เป็นเวลา 10 เดือน คำนวณได้ 13,510,369 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันยื่นคำร้อง นั้น โจทก์เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเป็นดอกเบี้ย แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า หากได้รับชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว โจทก์จะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์หรือเงินฝากประจำที่ธนาคารพาณิชย์จ่ายให้แก่โจทก์ในอัตราเท่าใด อย่างไร แต่เมื่อคำนึงถึงความเสียหายที่โจทก์ได้รับประกอบทางได้เสียของโจทก์ สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงการแก้ไขเรื่องอัตราดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 แล้ว เห็นควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ให้โจทก์ 10,000,000 บาท ส่วนที่โจทก์ขอค่าทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันยื่นคำร้องนั้น โจทก์นำสืบใบเสร็จรับจ่ายเงิน แต่บางรายการเป็นค่าใช้จ่ายแบบเหมารวม เช่น ค่าเช่ารถ จึงเห็นสมควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ให้โจทก์ 100,000 บาท รวมเป็นค่าสินไหมทดแทน 10,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดมิใช่เป็นการยื่นคำร้องโดยไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า ผู้ร้องไม่จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี ทำให้ดอกเบี้ยผิดนัดของค่าสินไหมทดแทนซึ่งเป็นหนี้เงินที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ต้องปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ดังนี้ เมื่อการกำหนดดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
พิพากษากลับเป็นว่า ให้ผู้ร้องชำระเงินให้โจทก์ 10,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้อง (ยื่นคำร้องวันที่ 4 ธันวาคม 2560) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่อัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 หากมีพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยก็ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความรวม 50,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 10,000 บาท
ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่ตัดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเรียกว่าภารยทรัพย์ ในอันที่ต้องยอมรับกรรมบางอย่างด้วยการงดเว้นการใช้สิทธิในทรัพย์สินของตนเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นที่เรียกว่าสามยทรัพย์ จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัด เดิมที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 243749 ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอม เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคใด ๆ แก่ที่ดินของจําเลยโฉนดเลขที่ 1003 เมื่อโจทก์รวมที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 10516, 10517, 243749 และ 158942 เป็นแปลงเดียวกันเป็นโฉนดเลขที่ 10516 ภาระจำยอมที่ยังคงอยู่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 ฉบับใหม่จึงมีอยู่เฉพาะในที่ดินส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมเท่านั้น การรวมโฉนดที่ดินหลายแปลงเป็นโฉนดเดียว มิได้มีผลทำให้ภาระจำยอมเดิมในโฉนดที่ดินแปลงหนึ่งแปลงใดได้กระจายไปอยู่ในทุกส่วนของโฉนดที่ดินฉบับใหม่ด้วย ดังนั้น ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่มิใช่เป็นส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมดังกล่าว และมิใช่เป็นกรณีที่ภาระจำยอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1392 ดังจําเลยฎีกา
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาให้ทางภาระจำยอมบนที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 สิ้นไป และให้จำเลยจดทะเบียนยกเลิกภาระจำยอมตามที่ได้จดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 เสีย หากจำเลยเพิกเฉยหรือไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนเพิกถอนภาระจำยอมบนที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่ให้เป็นภาระจำยอมบางส่วนแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่มิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เดิมบริษัท ร. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 และ 1003 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 บริษัท ร. จดทะเบียนให้โฉนดที่ดินเลขที่ 243749 ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมบางส่วน เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่โฉนดที่ดินเลขที่ 134205, 158942, 1003 อำเภอเดียวกัน โดยบันทึกข้อตกลง ลงวันที่ 14 มีนาคม 2537 ปี 2539 บริษัท ร. จดทะเบียนอาคารชุด ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ชื่ออาคารชุด ซ. อาคาร จี 1, จี 2 ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 จำนวน 437 ห้องชุด โดยมีจำเลยเป็นนิติบุคคลอาคารชุด เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2551 โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516, 10517, 243749 และ 158942 มาจากเจ้าของเดิม ในปี 2552 โจทก์รวมที่ดินทั้งสี่โฉนดเป็นแปลงเดียวกันเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 โดยในสารบัญจดทะเบียนวันที่ 14 มีนาคม 2537 ระบุว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 243749 ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมบางส่วน เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่โฉนดที่ดินเลขที่ 134205, 158942, 1003 อำเภอเดียวกัน โดยบันทึกข้อตกลง ลงวันที่ 14 มีนาคม 2537 แล้วดำเนินการก่อสร้างอาคารชุดชื่อโครงการ ด. บนที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 กับสร้างกำแพงคอนกรีตล้อมรอบโครงการของโจทก์ไว้ รวมทั้งส่วนที่เป็นโฉนดเลขที่ 243749 เดิม
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ภาระจำยอมพิพาทสิ้นไปแล้วหรือไม่ เห็นว่า ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่ตัดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเรียกว่าภารยทรัพย์ ในอันที่ต้องรับกรรมบางอย่างด้วยการงดเว้นการใช้สิทธิในทรัพย์สินของตนเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นที่เรียกว่าสามยทรัพย์ สำหรับกรณีพิพาทคือ โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่จำต้องผูกพันด้วยการงดเว้นการใช้สิทธิในที่ดินส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมอันเป็นที่ดินภารยทรัพย์ ในเรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ซึ่งเป็นสามยทรัพย์ และขณะพิพาทที่ดินตกเป็นสิทธิแก่จำเลยในการจัดการและรักษาดูแลตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ตามที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ได้จดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 ก็ตาม แต่ข้อที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ไม่ได้ใช้ภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เนื่องจากมีที่ดินหลายแปลงและลำรางสาธารณประโยชน์ขวางกั้นอยู่ จำเลยเพียงให้การว่า มีสะพานข้ามลำรางสาธารณประโยชน์ได้เท่านั้น มิได้ต่อสู้ว่า นอกจากจะมีการจดทะเบียนเรื่องภาระจำยอมแล้ว ตามสภาพความเป็นจริงที่มีมาแต่เดิม เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ได้ใช้ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เป็นทางเดินหรือทางรถยนต์หรือทางสาธารณูปโภคในลักษณะใดและใช้ติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันแต่อย่างใด กับเมื่อพิจารณาภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่ซึ่งโจทก์และจำเลยอ้าง ประกอบกับนางสาวจิตราภรณ์ ผู้จัดการของจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า บริเวณระบายด้วยสีเขียวในเอกสารหมาย ล.19 ที่เป็นภาระจำยอมที่อยู่นอกรั้วโครงการของโจทก์ล้วนเป็นที่ดินรกร้าง ไม่สามารถเดินไปจนสุดทางได้เนื่องจากมีป่ารกร้างขวางอยู่ ทำเห็นได้ว่านับแต่จดทะเบียนภาระจำยอมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีการใช้ภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เป็นทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคใด ๆ เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ตามที่ได้จดทะเบียนไว้เลย ทั้งนี้ก็เนื่องจากที่ดินทั้งสองแปลงมิได้อยู่ติดกัน ต้องผ่านที่ดินแปลงอื่นกับลำรางสาธารณประโยชน์ และจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ไม่สามารถที่จะผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เพื่อการออกสู่ทางสาธารณะได้ กับได้ความจากนายวิรนนท์ ผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด ซ. 2 และ 4 พยานจำเลยว่า ผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด ซ. ทั้งหมด ในช่วงเวลากลางวันจะออกสู่ถนนสาธารณะโดยใช้เส้นทางหลักผ่านทางซอย ล. 128 และใช้ซอย ล. 126 เป็นทางรอง ในเวลากลางคืนจะไม่ใช้ซอย ล. 126 เนื่องจากเปลี่ยว แต่หากจะใช้ซอย ล. 130 โดยผ่านอาคารชุดโครงการ ด. ของโจทก์ตามเส้นลูกศรสีแดงในแผนที่เอกสารหมาย ล.19 สามารถทำได้แต่ต้องแลกบัตร แม้ที่ดินตามที่นายวิรนนท์อ้างถึงเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ก็ตาม แต่เป็นส่วนที่อยู่บริเวณด้านหน้าของที่ดิน มิใช่ในส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมที่อยู่ด้านหลังของโครงการ เมื่อภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิซึ่งตัดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัดว่า ภาระจำยอมที่ยังคงอยู่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 ก็มีอยู่เฉพาะในที่ดินส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมเท่านั้น การรวมโฉนดที่ดินหลายแปลงเป็นโฉนดเดียว มิได้มีผลทำให้ภาระจำยอมเดิมในโฉนดที่ดินแปลงหนึ่งแปลงใดได้กระจายไปอยู่ในทุกส่วนของโฉนดที่ดินฉบับใหม่ด้วย ซึ่งตรงกับสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 ที่ยังคงระบุว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 243749 เท่านั้นที่ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมตามบันทึกข้อตกลงวันที่ 14 มีนาคม 2537 ดังนั้น ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่มิใช่เป็นส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอม เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคใด ๆ แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 จึงมิใช่เป็นกรณีที่ภาระจำยอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392 ดังจำเลยฎีกา การที่โจทก์มิได้เรียกให้จำเลยย้ายภาระจำยอมจากด้านหลังไปอยู่ด้านหน้าโครงการจึงไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต นอกจากนี้ถนนและกำแพงคอนกรีตในโครงการ ด. ยังเป็นสาธารณูปโภคที่โจทก์มีความชอบธรรมจัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์ในการใช้สอยและควบคุมดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ผู้อยู่อาศัยในอาคารชุดของโจทก์ หากโจทก์จะพึงอนุญาตให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในอาคารชุด ซ. ทุกโครงการสามารถผ่านเข้าออกในบริเวณอาคารชุดโครงการ ด. ได้ แต่ต้องแลกบัตรต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ณ บริเวณประตูเข้าออกด้านหน้าโครงการ ยังนับเป็นเรื่องที่เหมาะสมชอบธรรมและไม่ใช่เป็นเรื่องที่จำเลยหรือลูกบ้านได้ใช้ภาระจำยอมพิพาทตามสิทธิตามปกติเช่นที่เคยมีมา เนื่องจากไม่ใช่เป็นส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นับแต่ที่ได้มีการจดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมบางส่วน เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 จวบจนถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 ซึ่งเป็นวันฟ้อง ไม่เคยมีการใช้ภาระจำยอมเกินกว่า 10 ปี ภาระจำยอมนั้นย่อมสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 โจทก์ในฐานะเจ้าของภารยทรัพย์ชอบที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนภาระจำยอมได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่ตัดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเรียกว่าภารยทรัพย์ ในอันที่ต้องยอมรับกรรมบางอย่างด้วยการงดเว้นการใช้สิทธิในทรัพย์สินของตนเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นที่เรียกว่าสามยทรัพย์ จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัด เดิมที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 243749 ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอม เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคใด ๆ แก่ที่ดินของจําเลยโฉนดเลขที่ 1003 เมื่อโจทก์รวมที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 10516, 10517, 243749 และ 158942 เป็นแปลงเดียวกันเป็นโฉนดเลขที่ 10516 ภาระจำยอมที่ยังคงอยู่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 ฉบับใหม่จึงมีอยู่เฉพาะในที่ดินส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมเท่านั้น การรวมโฉนดที่ดินหลายแปลงเป็นโฉนดเดียว มิได้มีผลทำให้ภาระจำยอมเดิมในโฉนดที่ดินแปลงหนึ่งแปลงใดได้กระจายไปอยู่ในทุกส่วนของโฉนดที่ดินฉบับใหม่ด้วย ดังนั้น ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่มิใช่เป็นส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมดังกล่าว และมิใช่เป็นกรณีที่ภาระจำยอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1392 ดังจําเลยฎีกา
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาให้ทางภาระจำยอมบนที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 สิ้นไป และให้จำเลยจดทะเบียนยกเลิกภาระจำยอมตามที่ได้จดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 เสีย หากจำเลยเพิกเฉยหรือไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนเพิกถอนภาระจำยอมบนที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่ให้เป็นภาระจำยอมบางส่วนแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่มิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เดิมบริษัท ร. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 และ 1003 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 บริษัท ร. จดทะเบียนให้โฉนดที่ดินเลขที่ 243749 ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมบางส่วน เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่โฉนดที่ดินเลขที่ 134205, 158942, 1003 อำเภอเดียวกัน โดยบันทึกข้อตกลง ลงวันที่ 14 มีนาคม 2537 ปี 2539 บริษัท ร. จดทะเบียนอาคารชุด ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ชื่ออาคารชุด ซ. อาคาร จี 1, จี 2 ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 จำนวน 437 ห้องชุด โดยมีจำเลยเป็นนิติบุคคลอาคารชุด เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2551 โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516, 10517, 243749 และ 158942 มาจากเจ้าของเดิม ในปี 2552 โจทก์รวมที่ดินทั้งสี่โฉนดเป็นแปลงเดียวกันเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 โดยในสารบัญจดทะเบียนวันที่ 14 มีนาคม 2537 ระบุว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 243749 ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมบางส่วน เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่โฉนดที่ดินเลขที่ 134205, 158942, 1003 อำเภอเดียวกัน โดยบันทึกข้อตกลง ลงวันที่ 14 มีนาคม 2537 แล้วดำเนินการก่อสร้างอาคารชุดชื่อโครงการ ด. บนที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 กับสร้างกำแพงคอนกรีตล้อมรอบโครงการของโจทก์ไว้ รวมทั้งส่วนที่เป็นโฉนดเลขที่ 243749 เดิม
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ภาระจำยอมพิพาทสิ้นไปแล้วหรือไม่ เห็นว่า ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่ตัดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเรียกว่าภารยทรัพย์ ในอันที่ต้องรับกรรมบางอย่างด้วยการงดเว้นการใช้สิทธิในทรัพย์สินของตนเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นที่เรียกว่าสามยทรัพย์ สำหรับกรณีพิพาทคือ โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่จำต้องผูกพันด้วยการงดเว้นการใช้สิทธิในที่ดินส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมอันเป็นที่ดินภารยทรัพย์ ในเรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ซึ่งเป็นสามยทรัพย์ และขณะพิพาทที่ดินตกเป็นสิทธิแก่จำเลยในการจัดการและรักษาดูแลตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ตามที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ได้จดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 ก็ตาม แต่ข้อที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ไม่ได้ใช้ภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เนื่องจากมีที่ดินหลายแปลงและลำรางสาธารณประโยชน์ขวางกั้นอยู่ จำเลยเพียงให้การว่า มีสะพานข้ามลำรางสาธารณประโยชน์ได้เท่านั้น มิได้ต่อสู้ว่า นอกจากจะมีการจดทะเบียนเรื่องภาระจำยอมแล้ว ตามสภาพความเป็นจริงที่มีมาแต่เดิม เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ได้ใช้ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เป็นทางเดินหรือทางรถยนต์หรือทางสาธารณูปโภคในลักษณะใดและใช้ติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันแต่อย่างใด กับเมื่อพิจารณาภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่ซึ่งโจทก์และจำเลยอ้าง ประกอบกับนางสาวจิตราภรณ์ ผู้จัดการของจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า บริเวณระบายด้วยสีเขียวในเอกสารหมาย ล.19 ที่เป็นภาระจำยอมที่อยู่นอกรั้วโครงการของโจทก์ล้วนเป็นที่ดินรกร้าง ไม่สามารถเดินไปจนสุดทางได้เนื่องจากมีป่ารกร้างขวางอยู่ ทำเห็นได้ว่านับแต่จดทะเบียนภาระจำยอมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีการใช้ภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เป็นทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคใด ๆ เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ตามที่ได้จดทะเบียนไว้เลย ทั้งนี้ก็เนื่องจากที่ดินทั้งสองแปลงมิได้อยู่ติดกัน ต้องผ่านที่ดินแปลงอื่นกับลำรางสาธารณประโยชน์ และจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 ไม่สามารถที่จะผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เพื่อการออกสู่ทางสาธารณะได้ กับได้ความจากนายวิรนนท์ ผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด ซ. 2 และ 4 พยานจำเลยว่า ผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด ซ. ทั้งหมด ในช่วงเวลากลางวันจะออกสู่ถนนสาธารณะโดยใช้เส้นทางหลักผ่านทางซอย ล. 128 และใช้ซอย ล. 126 เป็นทางรอง ในเวลากลางคืนจะไม่ใช้ซอย ล. 126 เนื่องจากเปลี่ยว แต่หากจะใช้ซอย ล. 130 โดยผ่านอาคารชุดโครงการ ด. ของโจทก์ตามเส้นลูกศรสีแดงในแผนที่เอกสารหมาย ล.19 สามารถทำได้แต่ต้องแลกบัตร แม้ที่ดินตามที่นายวิรนนท์อ้างถึงเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ก็ตาม แต่เป็นส่วนที่อยู่บริเวณด้านหน้าของที่ดิน มิใช่ในส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมที่อยู่ด้านหลังของโครงการ เมื่อภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิซึ่งตัดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัดว่า ภาระจำยอมที่ยังคงอยู่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 ก็มีอยู่เฉพาะในที่ดินส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิมเท่านั้น การรวมโฉนดที่ดินหลายแปลงเป็นโฉนดเดียว มิได้มีผลทำให้ภาระจำยอมเดิมในโฉนดที่ดินแปลงหนึ่งแปลงใดได้กระจายไปอยู่ในทุกส่วนของโฉนดที่ดินฉบับใหม่ด้วย ซึ่งตรงกับสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินเลขที่ 10516 ที่ยังคงระบุว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 243749 เท่านั้นที่ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมตามบันทึกข้อตกลงวันที่ 14 มีนาคม 2537 ดังนั้น ที่ดินโฉนดเลขที่ 10516 ที่มิใช่เป็นส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอม เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคใด ๆ แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 จึงมิใช่เป็นกรณีที่ภาระจำยอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392 ดังจำเลยฎีกา การที่โจทก์มิได้เรียกให้จำเลยย้ายภาระจำยอมจากด้านหลังไปอยู่ด้านหน้าโครงการจึงไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต นอกจากนี้ถนนและกำแพงคอนกรีตในโครงการ ด. ยังเป็นสาธารณูปโภคที่โจทก์มีความชอบธรรมจัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์ในการใช้สอยและควบคุมดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ผู้อยู่อาศัยในอาคารชุดของโจทก์ หากโจทก์จะพึงอนุญาตให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในอาคารชุด ซ. ทุกโครงการสามารถผ่านเข้าออกในบริเวณอาคารชุดโครงการ ด. ได้ แต่ต้องแลกบัตรต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ณ บริเวณประตูเข้าออกด้านหน้าโครงการ ยังนับเป็นเรื่องที่เหมาะสมชอบธรรมและไม่ใช่เป็นเรื่องที่จำเลยหรือลูกบ้านได้ใช้ภาระจำยอมพิพาทตามสิทธิตามปกติเช่นที่เคยมีมา เนื่องจากไม่ใช่เป็นส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นับแต่ที่ได้มีการจดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 243749 เดิม ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจำยอมบางส่วน เรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ ทางสาธารณูปโภคอื่น ๆ แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1003 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 จวบจนถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 ซึ่งเป็นวันฟ้อง ไม่เคยมีการใช้ภาระจำยอมเกินกว่า 10 ปี ภาระจำยอมนั้นย่อมสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 โจทก์ในฐานะเจ้าของภารยทรัพย์ชอบที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนภาระจำยอมได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่มีการสมคบโดยรวมตัวกันเป็นคณะบุคคลกระทำการชักชวน ว. ให้รับตั้งครรภ์แทนผู้อื่น โดยจะให้เงินเป็นการตอบแทนเพื่อกระทำความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า โดยความผิดดังกล่าวจะกระทำในเขตแดนของรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ส่วนความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า เกิดขึ้นเมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกให้ ว. ไปรับการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแล้วนำเอาตัวอ่อนที่เกิดจากอสุจิผสมกับไข่ใส่เข้าไปในรังไข่ของ ว. ซึ่งสามารถแยกการกระทำและเจตนาในการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติกับความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าออกจากกันได้ ความผิดทั้งสองฐานนี้ จึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 3, 5, 6, 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 3, 5, 24, 48
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานจำเลยทั้งสองขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2), 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 24, 48 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 4 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 2 ปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำคุกคนละ 4 ปี ฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า จำคุกคนละ 4 ปี รวมจำคุกคนละ 8 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองเพียงประการเดียวว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยแยกเป็นข้อ 1 (ก) จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และข้อ 1 (ข) ภายหลังจากกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1 (ก) แล้ว จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า เมื่อจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และความผิดตามคำฟ้องไม่ได้กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง ซึ่งจะเห็นได้ว่าความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามฟ้องข้อ 1 (ก) เป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่มีการสมคบโดยรวมตัวกันเป็นคณะบุคคลกระทำการชักชวนนางสาว ว. ให้รับตั้งครรภ์แทนผู้อื่นโดยจะให้เงินเป็นการตอบแทนเพื่อกระทำความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าโดยความผิดดังกล่าวจะกระทำในเขตแดนของรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ส่วนความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าตามฟ้องข้อ 1 (ข) เกิดขึ้นเมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกให้นางสาว ว.ไปรับการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล แล้วนำเอาตัวอ่อนที่เกิดจากอสุจิผสมกับไข่ใส่เข้าไปในรังไข่ของนางสาว ว. อันเป็นเวลาภายหลังจากมีการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติสำเร็จแล้ว ดังนี้ สามารถแยกการกระทำและเจตนาในการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติกับความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าออกจากกันได้ ความผิดทั้งสองฐานจึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่มีการสมคบโดยรวมตัวกันเป็นคณะบุคคลกระทำการชักชวน ว. ให้รับตั้งครรภ์แทนผู้อื่น โดยจะให้เงินเป็นการตอบแทนเพื่อกระทำความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า โดยความผิดดังกล่าวจะกระทำในเขตแดนของรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ส่วนความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า เกิดขึ้นเมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกให้ ว. ไปรับการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแล้วนำเอาตัวอ่อนที่เกิดจากอสุจิผสมกับไข่ใส่เข้าไปในรังไข่ของ ว. ซึ่งสามารถแยกการกระทำและเจตนาในการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติกับความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าออกจากกันได้ ความผิดทั้งสองฐานนี้ จึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 3, 5, 6, 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 3, 5, 24, 48
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานจำเลยทั้งสองขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2), 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 24, 48 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 4 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 2 ปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำคุกคนละ 4 ปี ฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า จำคุกคนละ 4 ปี รวมจำคุกคนละ 8 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองเพียงประการเดียวว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยแยกเป็นข้อ 1 (ก) จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และข้อ 1 (ข) ภายหลังจากกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1 (ก) แล้ว จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า เมื่อจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และความผิดตามคำฟ้องไม่ได้กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง ซึ่งจะเห็นได้ว่าความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามฟ้องข้อ 1 (ก) เป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่มีการสมคบโดยรวมตัวกันเป็นคณะบุคคลกระทำการชักชวนนางสาว ว. ให้รับตั้งครรภ์แทนผู้อื่นโดยจะให้เงินเป็นการตอบแทนเพื่อกระทำความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าโดยความผิดดังกล่าวจะกระทำในเขตแดนของรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ส่วนความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าตามฟ้องข้อ 1 (ข) เกิดขึ้นเมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกให้นางสาว ว.ไปรับการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล แล้วนำเอาตัวอ่อนที่เกิดจากอสุจิผสมกับไข่ใส่เข้าไปในรังไข่ของนางสาว ว. อันเป็นเวลาภายหลังจากมีการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติสำเร็จแล้ว ดังนี้ สามารถแยกการกระทำและเจตนาในการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติกับความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าออกจากกันได้ ความผิดทั้งสองฐานจึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
แม้การให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 24 เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยซึ่งศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกาก็ตาม แต่ข้อมูลดังกล่าวต้องเป็นข้อเท็จจริงที่มีการนำสืบกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น คดีนี้ไม่มีการสืบพยานให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และฎีกา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยให้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ชอบแล้ว
หญิงซึ่งรับตั้งครรภ์แทนตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าจ้างนั้นไม่อยู่ในเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 21 ที่จะรับตั้งครรภ์แทนได้ การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันพาหญิงดังกล่าวไปตรวจมดลูกที่โรงพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อม และเดินทางไปฝังตัวอ่อน อันเป็นการดำเนินการครบถ้วนในทางการแพทย์ที่จะทำให้หญิงตั้งครรภ์โดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์แล้ว จากนั้นเป็นการเจริญของทารกในครรภ์ในมดลูกของหญิงตามธรรมชาติ ถือได้ว่าเป็นการดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนโดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เพื่อประโยชน์ทางการค้าแล้ว จึงเป็นความผิดสำเร็จตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 24 โดยไม่จำต้องให้หญิงที่รับจ้างตั้งครรภ์แทนตั้งครรภ์ก่อน ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดองค์ประกอบความผิดและไม่เป็นการพยายามกระทำความผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 3, 5, 6, 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 3, 5, 24, 48 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (1) (2) (3) (4), 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 24, 48 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำคุกคนละ 4 ปี ฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า จำคุกคนละกระทงละ 6 เดือน รวม 14 กระทง เป็นจำคุกคนละ 84 เดือน จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ คงจำคุกคนละ 2 ปี ฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า คงจำคุกคนละกระทงละ 3 เดือน รวม 14 กระทง เป็นจำคุกคนละ 42 เดือน รวมจำคุกคนละ 2 ปี 42 เดือน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการแรกว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่ เห็นว่า แม้การให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 24 เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยซึ่งศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกาก็ตาม แต่ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่มีการนำสืบกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งศาลจะหยิบยกข้อเท็จจริงในบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนเอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข 1 และ 2 มารับฟังเพียงลำพังว่ามีการให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติโดยไม่มีการสืบพยานอื่นประกอบหาได้ไม่ และคดีนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพโดยไม่มีการสืบพยานให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และฎีกา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการต่อไปมีว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามฟ้องข้อ 1.4 ถึงข้อ 1.6 ข้อ 1.10 และข้อ 1.11ครบองค์ประกอบความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าหรือไม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า ตามฟ้องข้อดังกล่าวหญิงที่จะรับตั้งครรภ์แทนไม่ได้ตั้งครรภ์จึงขาดองค์ประกอบความผิด หรือเป็นเพียงพยายามกระทำความผิดนั้น ต้องพิจารณาขั้นตอนการดำเนินการทางการแพทย์ ธรรมชาติของการตั้งครรภ์ และบทบัญญัติของกฎหมายประกอบกันตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 21 บัญญัติให้การดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนต้องเป็นไปตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(1) สามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งภริยาไม่อาจตั้งครรภ์ได้ที่ประสงค์จะมีบุตรโดยให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทน ต้องมีสัญชาติไทย ในกรณีที่สามีหรือภริยามิได้มีสัญชาติไทยต้องจดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี
(2) หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องมิใช่บุพการีหรือผู้สืบสันดานของสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายตาม (1)
(3) หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องเป็นญาติสืบสายโลหิตของสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย...
(4) หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องเป็นหญิงที่เคยมีบุตรมาก่อนแล้วเท่านั้น ถ้าหญิงนั้นมีสามีที่ชอบด้วยกฎหมายหรือชายที่อยู่กินฉันสามีภริยา จะต้องได้รับความยินยอมจากสามีที่ชอบด้วยกฎหมายหรือชายดังกล่าวด้วย
มาตรา 24 บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า เห็นว่า หญิงซึ่งรับตั้งครรภ์แทนตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าจ้างนั้นไม่อยู่ในเงื่อนไขตามมาตรา 21 ที่จะรับตั้งครรภ์แทนได้ การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันพาหญิงดังกล่าวไปตรวจมดลูกที่โรงพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อม และเดินทางไปฝังตัวอ่อน อันเป็นการดำเนินการครบถ้วนในทางการแพทย์ที่จะทำให้หญิงตั้งครรภ์โดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์แล้ว จากนั้นเป็นการเจริญของทารกในครรภ์ในมดลูกของหญิงตามธรรมชาติ ถือได้ว่าเป็นการดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนโดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เพื่อประโยชน์ทางการค้าแล้ว จึงเป็นความผิดสำเร็จโดยไม่จำต้องให้หญิงที่รับจ้างตั้งครรภ์แทนตั้งครรภ์ก่อน ฟ้องโจทก์ตามข้อ 1.4 ถึงข้อ 1.6 ข้อ 1.10 และข้อ 1.11 จึงไม่ขาดองค์ประกอบความผิดและไม่เป็นการพยายามกระทำความผิด ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการสุดท้ายมีว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ว่าจ้างหญิงหลายคนให้ตั้งครรภ์แทน และพาไปตรวจมดลูก ฝังตัวอ่อนฝากครรภ์ ตรวจที่โรงพยาบาล จัดหาที่พัก และส่งมอบทารกให้แก่ผู้ว่าจ้างซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศเพื่อประโยชน์ทางการค้า เป็นความผิดถึง 14 กระทงโดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ลำพังแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีประวัติกระทำความผิด ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะเป็นการสมควรให้โอกาสได้กลับตัว เนื่องจากไม่เหมาะสมกับสภาพความผิด ทั้งอาจเป็นเยี่ยงอย่างให้แก่ผู้คิดจะกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 หลังจากลดโทษแล้วในความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า จำคุกกระทงละ 3 เดือน รวม 14 กระทง รวมจำคุก 42 เดือน โดยไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนนั้น เป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน
แม้การให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 24 เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยซึ่งศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกาก็ตาม แต่ข้อมูลดังกล่าวต้องเป็นข้อเท็จจริงที่มีการนำสืบกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น คดีนี้ไม่มีการสืบพยานให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และฎีกา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยให้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ชอบแล้ว
หญิงซึ่งรับตั้งครรภ์แทนตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าจ้างนั้นไม่อยู่ในเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 21 ที่จะรับตั้งครรภ์แทนได้ การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันพาหญิงดังกล่าวไปตรวจมดลูกที่โรงพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อม และเดินทางไปฝังตัวอ่อน อันเป็นการดำเนินการครบถ้วนในทางการแพทย์ที่จะทำให้หญิงตั้งครรภ์โดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์แล้ว จากนั้นเป็นการเจริญของทารกในครรภ์ในมดลูกของหญิงตามธรรมชาติ ถือได้ว่าเป็นการดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนโดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เพื่อประโยชน์ทางการค้าแล้ว จึงเป็นความผิดสำเร็จตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 24 โดยไม่จำต้องให้หญิงที่รับจ้างตั้งครรภ์แทนตั้งครรภ์ก่อน ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดองค์ประกอบความผิดและไม่เป็นการพยายามกระทำความผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 3, 5, 6, 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 3, 5, 24, 48 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (1) (2) (3) (4), 25 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 24, 48 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำคุกคนละ 4 ปี ฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า จำคุกคนละกระทงละ 6 เดือน รวม 14 กระทง เป็นจำคุกคนละ 84 เดือน จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ คงจำคุกคนละ 2 ปี ฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า คงจำคุกคนละกระทงละ 3 เดือน รวม 14 กระทง เป็นจำคุกคนละ 42 เดือน รวมจำคุกคนละ 2 ปี 42 เดือน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการแรกว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่ เห็นว่า แม้การให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 24 เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยซึ่งศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกาก็ตาม แต่ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่มีการนำสืบกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งศาลจะหยิบยกข้อเท็จจริงในบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนเอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข 1 และ 2 มารับฟังเพียงลำพังว่ามีการให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติโดยไม่มีการสืบพยานอื่นประกอบหาได้ไม่ และคดีนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพโดยไม่มีการสืบพยานให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และฎีกา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการต่อไปมีว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามฟ้องข้อ 1.4 ถึงข้อ 1.6 ข้อ 1.10 และข้อ 1.11ครบองค์ประกอบความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าหรือไม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า ตามฟ้องข้อดังกล่าวหญิงที่จะรับตั้งครรภ์แทนไม่ได้ตั้งครรภ์จึงขาดองค์ประกอบความผิด หรือเป็นเพียงพยายามกระทำความผิดนั้น ต้องพิจารณาขั้นตอนการดำเนินการทางการแพทย์ ธรรมชาติของการตั้งครรภ์ และบทบัญญัติของกฎหมายประกอบกันตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 21 บัญญัติให้การดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนต้องเป็นไปตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(1) สามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งภริยาไม่อาจตั้งครรภ์ได้ที่ประสงค์จะมีบุตรโดยให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทน ต้องมีสัญชาติไทย ในกรณีที่สามีหรือภริยามิได้มีสัญชาติไทยต้องจดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี
(2) หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องมิใช่บุพการีหรือผู้สืบสันดานของสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายตาม (1)
(3) หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องเป็นญาติสืบสายโลหิตของสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย...
(4) หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องเป็นหญิงที่เคยมีบุตรมาก่อนแล้วเท่านั้น ถ้าหญิงนั้นมีสามีที่ชอบด้วยกฎหมายหรือชายที่อยู่กินฉันสามีภริยา จะต้องได้รับความยินยอมจากสามีที่ชอบด้วยกฎหมายหรือชายดังกล่าวด้วย
มาตรา 24 บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า เห็นว่า หญิงซึ่งรับตั้งครรภ์แทนตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าจ้างนั้นไม่อยู่ในเงื่อนไขตามมาตรา 21 ที่จะรับตั้งครรภ์แทนได้ การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันพาหญิงดังกล่าวไปตรวจมดลูกที่โรงพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อม และเดินทางไปฝังตัวอ่อน อันเป็นการดำเนินการครบถ้วนในทางการแพทย์ที่จะทำให้หญิงตั้งครรภ์โดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์แล้ว จากนั้นเป็นการเจริญของทารกในครรภ์ในมดลูกของหญิงตามธรรมชาติ ถือได้ว่าเป็นการดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนโดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เพื่อประโยชน์ทางการค้าแล้ว จึงเป็นความผิดสำเร็จโดยไม่จำต้องให้หญิงที่รับจ้างตั้งครรภ์แทนตั้งครรภ์ก่อน ฟ้องโจทก์ตามข้อ 1.4 ถึงข้อ 1.6 ข้อ 1.10 และข้อ 1.11 จึงไม่ขาดองค์ประกอบความผิดและไม่เป็นการพยายามกระทำความผิด ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการสุดท้ายมีว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ว่าจ้างหญิงหลายคนให้ตั้งครรภ์แทน และพาไปตรวจมดลูก ฝังตัวอ่อนฝากครรภ์ ตรวจที่โรงพยาบาล จัดหาที่พัก และส่งมอบทารกให้แก่ผู้ว่าจ้างซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศเพื่อประโยชน์ทางการค้า เป็นความผิดถึง 14 กระทงโดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ลำพังแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีประวัติกระทำความผิด ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะเป็นการสมควรให้โอกาสได้กลับตัว เนื่องจากไม่เหมาะสมกับสภาพความผิด ทั้งอาจเป็นเยี่ยงอย่างให้แก่ผู้คิดจะกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 หลังจากลดโทษแล้วในความผิดฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า จำคุกกระทงละ 3 เดือน รวม 14 กระทง รวมจำคุก 42 เดือน โดยไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนนั้น เป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน
แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามให้ล้มละลาย แต่หากศาลล้มละลายกลางพิจารณาสำนวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกอบสำนวนของศาลล้มละลายกลางตามกระบวนพิจารณาคดีล้มละลาย มาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ก็จะทราบว่าเจ้าหนี้ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามต่อศาลล้มละลายกลาง มูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมีอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุดตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/32 เมื่อมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 เจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องเป็นคดีต่อศาลล้มละลายกลางวันที่ 18 เมษายน 2551 ภายในกำหนดอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุด ย่อมมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (2) มูลหนี้ตามคำพิพากษาจึงยังไม่ขาดอายุความ เจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้คำพิพากษาดังกล่าวได้
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) ทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552
เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเงิน 6,823,168.47 บาท ในฐานะเจ้าหนี้ไม่มีประกันจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104 แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วทำความเห็นว่า เจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 7788/2541 ที่ได้รับโอนมาจากธนาคาร ก. เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ทั้งสามชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวจริง คดีดังกล่าวศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2541 คดีจึงถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 เจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้วันที่ 23 เมษายน 2552 โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวยื่นฟ้องลูกหนี้ทั้งสามเป็นคดีล้มละลายนี้หรือไม่ หรือมีเหตุอื่นใดอันอาจทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงขาดอายุความและต้องห้ามมิให้ยื่นขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ 2483 มาตรา 94 เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้เสียทั้งสิ้น ตามมาตรา 107 (1) (เดิม)
ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำสั่งให้ศาลล้มละลายกลางไต่สวนข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้ทราบคำสั่งศาลที่ยกคำขอรับชำระหนี้ในวันใด ซึ่งศาลล้มละลายกลางไต่สวนข้อเท็จจริงแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่าเจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ พิพากษายกอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่เจ้าหนี้ ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
เจ้าหนี้ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของเจ้าหนี้ว่า เจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ยกคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 28/1 หรือไม่ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษว่า เจ้าหนี้โดยนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงได้มอบอำนาจให้นายสมเกียรติ ดำเนินกระบวนพิจารณาในการขอรับชำระหนี้คดีนี้ ต่อมาเจ้าหนี้โดยนายสมเกียรติยื่นคำขอรับชำระหนี้ แต่นายสมเกียรติไม่มาให้การสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ตามนัด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงส่งหมายนัดสอบสวนครั้งที่สองไปยังกรรมการเจ้าหนี้เพื่อมาให้การสอบสวนในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 แต่ไม่มีเจ้าหนี้หรือผู้รับมอบอำนาจคนใดมาให้การสอบสวนตามนัด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงเสนอความเห็นต่อศาลล้มละลายกลางว่า หนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ขาดอายุความ เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2561 นายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อขอส่งเอกสารและบันทึกถ้อยคำแทนการสอบสวน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่าได้ทำความเห็นคำขอรับชำระหนี้เสนอศาลแล้วจึงสั่งรวมเอกสาร และต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หมายแจ้งคำสั่งศาลให้เจ้าหนี้ทราบโดยส่งไปยังภูมิลำเนาของนายสมเกียรติ เจ้าหนี้อ้างว่าไม่ทราบคำสั่งศาลที่ยกคำขอรับชำระหนี้ เพิ่งมาทราบคำสั่งศาลเมื่อนายเรวัตได้ไปตรวจคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 จึงได้ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 และข้อเท็จจริงปรากฏตามสำนวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมไว้ว่าเจ้าหนี้โดยนายสมเกียรติยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2552 ต่อมาวันที่ 25 สิงหาคม 2552 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำรายงานว่า เมื่อไม่ปรากฏทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้จึงงดทำความเห็นคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ไม่มีประกัน 2 ราย ซึ่งรวมเจ้าหนี้คดีนี้ไว้ก่อน ครั้นวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ทั้งสามล้มละลายและมีคำสั่งอนุญาตให้ปิดคดีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2555 ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานศาลขอให้มีคำสั่งเปิดคดีเนื่องจากมีทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 3 ไม่มีภาระผูกพัน ได้ยึดไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7788/2541 ของศาลแพ่ง อยู่ระหว่างประกาศขายทอดตลาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงเบิกสำนวนของเจ้าหนี้และเจ้าหนี้อีกรายหนึ่งมาดำเนินการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้โดยส่งหมายนัดไปยังนายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ แต่ส่งไม่ได้เนื่องจากไม่พบบ้านเลขที่ดังกล่าวตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 1 ธันวาคม 2560 โดยนายสามารถ พนักงานเดินหมาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงส่งหมายนัดครั้งที่สองไปยังกรรมการเจ้าหนี้ ส่งได้โดยมีผู้รับหมายแทนเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 ตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 31 มกราคม 2561 โดยนายบุรินทร์ พนักงานเดินหมาย เจ้าหนี้โดยนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงได้ทำบันทึกถ้อยคำแทนการสอบสวนลงวันที่ 18 เมษายน 2561 พร้อมเอกสารแนบ 7 ฉบับ ยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่า คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลให้รวมไว้ ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2561 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับแจ้งคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 ว่า แจ้งคำสั่งศาลให้คู่ความทราบ โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งหมายแจ้งคำสั่งศาลไปยังนายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจของเจ้าหนี้ ครั้งนี้ส่งหมายได้ด้วยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 โดยนายสามารถ พนักงานเดินหมาย รายงานว่า พบบ้านปิดประตูใส่กุญแจ ไม่พบบุคคล บริเวณบ้านวัชพืชขึ้นรก ตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 เห็นว่า นับแต่ที่นายสมเกียรติยื่นคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2552 แล้ว ไม่ปรากฏว่านายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ได้ดำเนินการติดต่อกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จนกระทั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เบิกสำนวนมาดำเนินการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ โดยส่งหมายนัดไปยังนายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ แต่ส่งไม่ได้ ตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 1 ธันวาคม 2560 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงส่งหมายนัดครั้งที่สองไปยังกรรมการเจ้าหนี้ ส่งหมายได้โดยมีผู้รับหมายแทน เจ้าหนี้โดยนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงดำเนินการให้ถ้อยคำและยื่นเอกสารต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งรวมเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 ดังนี้ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 ให้แจ้งคำสั่งศาลให้คู่ความทราบ ก็ชอบที่จะออกหมายแจ้งคำสั่งศาลไปยังกรรมการเจ้าหนี้หรือนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงตามข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กลับออกหมายแจ้งคำสั่งศาลโดยส่งไปที่นายสมเกียรติ ตามภูมิลำเนาเดิม ทั้งที่มีข้อมูลว่าไม่สามารถส่งหมายให้นายสมเกียรติได้มาครั้งหนึ่งแล้ว แม้ครั้งหลังจะส่งหมายแจ้งคำสั่งศาลให้นายสมเกียรติได้ด้วยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 และเจ้าหนี้ยังไม่ได้เพิกถอนหนังสือมอบอำนาจช่วงให้นายสมเกียรติก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีในการส่งหมายให้แก่นายสมเกียรติครั้งแรก พนักงานเดินหมายระบุเหตุที่ไม่พบ เนื่องจากซอยโชคชัย 4 มีหลายหมู่และซอยแยกมากมาย แต่ต่อมาในการส่งหมายแจ้งคำสั่งศาล พนักงานเดินหมายคนเดิมกลับส่งหมายได้ด้วยวิธีปิดหมาย และสภาพภูมิลำเนาของนายสมเกียรติที่ปิดหมายไว้ เป็นบ้านปิดประตูใส่กุญแจ ไม่พบบุคคล บริเวณบ้านวัชพืชขึ้นรก กรณีจึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเจ้าหนี้ยังไม่ทราบคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ออกหมายแจ้งไป ประกอบกับมูลหนี้ที่เจ้าหนี้นำมาขอรับชำระหนี้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งที่มีทุนทรัพย์ 6,823,168.47 บาท หากเจ้าหนี้ทราบคำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่ยกคำขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้จะต้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลล้มละลายกลางโดยทันที เมื่อเจ้าหนี้อ้างว่า ทนายความได้ไปตรวจคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 จึงได้ทราบคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้โต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น ที่เจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 จึงถือได้ว่าเจ้าหนี้ได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดหนึ่งเดือน ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 28/1 แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า เจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามกฎหมายแล้ว ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของเจ้าหนี้ฟังขึ้น และเพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ต่อไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาก่อน
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า มูลหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าหนี้นำมาขอรับชำระหนี้ขาดอายุความและต้องห้ามมิให้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94 หรือไม่ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 7788/2541 พิพากษาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2541 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 มายื่นคำขอรับชำระหนี้ ศาลล้มละลายกลางเห็นว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวยื่นฟ้องลูกหนี้ทั้งสามเป็นคดีล้มละลายหรือมีเหตุอื่นใดอันอาจทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงขาดอายุความและต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้อุทธรณ์ว่า เจ้าหนี้นำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามให้ล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 อายุความย่อมสะดุดหยุดลง ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบดีอยู่แล้วนั้น เห็นว่า ตามรายงานความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในเรื่องคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสามเด็ดขาด วันที่ 23 เมษายน 2552 เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ แม้เจ้าหนี้ไม่นำพยานหลักฐานมาให้การสอบสวนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จึงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามให้ล้มละลาย แต่หากศาลล้มละลายกลางพิจารณาสำนวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกอบสำนวนของศาลล้มละลายกลางตามกระบวนพิจารณาคดีล้มละลาย มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ก็จะทราบว่าเจ้าหนี้ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของลูกหนี้ทั้งสามและหมายแจ้งคำสั่งดังกล่าวแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฉบับลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 มูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมีอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 เมื่อมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 เจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องเป็นคดีต่อศาลล้มละลายกลางวันที่ 18 เมษายน 2551 ภายในกำหนดอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุด ย่อมมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (2) มูลหนี้ตามคำพิพากษาจึงยังไม่ขาดอายุความ เจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้คำพิพากษาดังกล่าวได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้เป็นการไม่ชอบ อุทธรณ์ของเจ้าหนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับ อนุญาตให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 106 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามให้ล้มละลาย แต่หากศาลล้มละลายกลางพิจารณาสำนวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกอบสำนวนของศาลล้มละลายกลางตามกระบวนพิจารณาคดีล้มละลาย มาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ก็จะทราบว่าเจ้าหนี้ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามต่อศาลล้มละลายกลาง มูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมีอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุดตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/32 เมื่อมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 เจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องเป็นคดีต่อศาลล้มละลายกลางวันที่ 18 เมษายน 2551 ภายในกำหนดอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุด ย่อมมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (2) มูลหนี้ตามคำพิพากษาจึงยังไม่ขาดอายุความ เจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้คำพิพากษาดังกล่าวได้
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) ทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552
เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเงิน 6,823,168.47 บาท ในฐานะเจ้าหนี้ไม่มีประกันจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104 แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วทำความเห็นว่า เจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 7788/2541 ที่ได้รับโอนมาจากธนาคาร ก. เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ทั้งสามชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวจริง คดีดังกล่าวศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2541 คดีจึงถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 เจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้วันที่ 23 เมษายน 2552 โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวยื่นฟ้องลูกหนี้ทั้งสามเป็นคดีล้มละลายนี้หรือไม่ หรือมีเหตุอื่นใดอันอาจทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงขาดอายุความและต้องห้ามมิให้ยื่นขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ 2483 มาตรา 94 เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้เสียทั้งสิ้น ตามมาตรา 107 (1) (เดิม)
ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำสั่งให้ศาลล้มละลายกลางไต่สวนข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้ทราบคำสั่งศาลที่ยกคำขอรับชำระหนี้ในวันใด ซึ่งศาลล้มละลายกลางไต่สวนข้อเท็จจริงแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่าเจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ พิพากษายกอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่เจ้าหนี้ ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
เจ้าหนี้ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของเจ้าหนี้ว่า เจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ยกคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 28/1 หรือไม่ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษว่า เจ้าหนี้โดยนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงได้มอบอำนาจให้นายสมเกียรติ ดำเนินกระบวนพิจารณาในการขอรับชำระหนี้คดีนี้ ต่อมาเจ้าหนี้โดยนายสมเกียรติยื่นคำขอรับชำระหนี้ แต่นายสมเกียรติไม่มาให้การสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ตามนัด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงส่งหมายนัดสอบสวนครั้งที่สองไปยังกรรมการเจ้าหนี้เพื่อมาให้การสอบสวนในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 แต่ไม่มีเจ้าหนี้หรือผู้รับมอบอำนาจคนใดมาให้การสอบสวนตามนัด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงเสนอความเห็นต่อศาลล้มละลายกลางว่า หนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ขาดอายุความ เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2561 นายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อขอส่งเอกสารและบันทึกถ้อยคำแทนการสอบสวน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่าได้ทำความเห็นคำขอรับชำระหนี้เสนอศาลแล้วจึงสั่งรวมเอกสาร และต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หมายแจ้งคำสั่งศาลให้เจ้าหนี้ทราบโดยส่งไปยังภูมิลำเนาของนายสมเกียรติ เจ้าหนี้อ้างว่าไม่ทราบคำสั่งศาลที่ยกคำขอรับชำระหนี้ เพิ่งมาทราบคำสั่งศาลเมื่อนายเรวัตได้ไปตรวจคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 จึงได้ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 และข้อเท็จจริงปรากฏตามสำนวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมไว้ว่าเจ้าหนี้โดยนายสมเกียรติยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2552 ต่อมาวันที่ 25 สิงหาคม 2552 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำรายงานว่า เมื่อไม่ปรากฏทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้จึงงดทำความเห็นคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ไม่มีประกัน 2 ราย ซึ่งรวมเจ้าหนี้คดีนี้ไว้ก่อน ครั้นวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ทั้งสามล้มละลายและมีคำสั่งอนุญาตให้ปิดคดีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2555 ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานศาลขอให้มีคำสั่งเปิดคดีเนื่องจากมีทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 3 ไม่มีภาระผูกพัน ได้ยึดไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7788/2541 ของศาลแพ่ง อยู่ระหว่างประกาศขายทอดตลาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงเบิกสำนวนของเจ้าหนี้และเจ้าหนี้อีกรายหนึ่งมาดำเนินการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้โดยส่งหมายนัดไปยังนายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ แต่ส่งไม่ได้เนื่องจากไม่พบบ้านเลขที่ดังกล่าวตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 1 ธันวาคม 2560 โดยนายสามารถ พนักงานเดินหมาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงส่งหมายนัดครั้งที่สองไปยังกรรมการเจ้าหนี้ ส่งได้โดยมีผู้รับหมายแทนเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 ตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 31 มกราคม 2561 โดยนายบุรินทร์ พนักงานเดินหมาย เจ้าหนี้โดยนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงได้ทำบันทึกถ้อยคำแทนการสอบสวนลงวันที่ 18 เมษายน 2561 พร้อมเอกสารแนบ 7 ฉบับ ยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่า คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลให้รวมไว้ ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2561 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับแจ้งคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 ว่า แจ้งคำสั่งศาลให้คู่ความทราบ โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งหมายแจ้งคำสั่งศาลไปยังนายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจของเจ้าหนี้ ครั้งนี้ส่งหมายได้ด้วยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 โดยนายสามารถ พนักงานเดินหมาย รายงานว่า พบบ้านปิดประตูใส่กุญแจ ไม่พบบุคคล บริเวณบ้านวัชพืชขึ้นรก ตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 เห็นว่า นับแต่ที่นายสมเกียรติยื่นคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2552 แล้ว ไม่ปรากฏว่านายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ได้ดำเนินการติดต่อกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จนกระทั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เบิกสำนวนมาดำเนินการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ โดยส่งหมายนัดไปยังนายสมเกียรติ ผู้รับมอบอำนาจช่วงของเจ้าหนี้ แต่ส่งไม่ได้ ตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 1 ธันวาคม 2560 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงส่งหมายนัดครั้งที่สองไปยังกรรมการเจ้าหนี้ ส่งหมายได้โดยมีผู้รับหมายแทน เจ้าหนี้โดยนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงดำเนินการให้ถ้อยคำและยื่นเอกสารต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งรวมเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 ดังนี้ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 ให้แจ้งคำสั่งศาลให้คู่ความทราบ ก็ชอบที่จะออกหมายแจ้งคำสั่งศาลไปยังกรรมการเจ้าหนี้หรือนายเรวัต ผู้รับมอบอำนาจช่วงตามข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กลับออกหมายแจ้งคำสั่งศาลโดยส่งไปที่นายสมเกียรติ ตามภูมิลำเนาเดิม ทั้งที่มีข้อมูลว่าไม่สามารถส่งหมายให้นายสมเกียรติได้มาครั้งหนึ่งแล้ว แม้ครั้งหลังจะส่งหมายแจ้งคำสั่งศาลให้นายสมเกียรติได้ด้วยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 และเจ้าหนี้ยังไม่ได้เพิกถอนหนังสือมอบอำนาจช่วงให้นายสมเกียรติก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีในการส่งหมายให้แก่นายสมเกียรติครั้งแรก พนักงานเดินหมายระบุเหตุที่ไม่พบ เนื่องจากซอยโชคชัย 4 มีหลายหมู่และซอยแยกมากมาย แต่ต่อมาในการส่งหมายแจ้งคำสั่งศาล พนักงานเดินหมายคนเดิมกลับส่งหมายได้ด้วยวิธีปิดหมาย และสภาพภูมิลำเนาของนายสมเกียรติที่ปิดหมายไว้ เป็นบ้านปิดประตูใส่กุญแจ ไม่พบบุคคล บริเวณบ้านวัชพืชขึ้นรก กรณีจึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเจ้าหนี้ยังไม่ทราบคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ออกหมายแจ้งไป ประกอบกับมูลหนี้ที่เจ้าหนี้นำมาขอรับชำระหนี้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งที่มีทุนทรัพย์ 6,823,168.47 บาท หากเจ้าหนี้ทราบคำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่ยกคำขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้จะต้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลล้มละลายกลางโดยทันที เมื่อเจ้าหนี้อ้างว่า ทนายความได้ไปตรวจคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 จึงได้ทราบคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้โต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น ที่เจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 จึงถือได้ว่าเจ้าหนี้ได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดหนึ่งเดือน ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 28/1 แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า เจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามกฎหมายแล้ว ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของเจ้าหนี้ฟังขึ้น และเพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ต่อไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาก่อน
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า มูลหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าหนี้นำมาขอรับชำระหนี้ขาดอายุความและต้องห้ามมิให้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94 หรือไม่ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 7788/2541 พิพากษาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2541 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 มายื่นคำขอรับชำระหนี้ ศาลล้มละลายกลางเห็นว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวยื่นฟ้องลูกหนี้ทั้งสามเป็นคดีล้มละลายหรือมีเหตุอื่นใดอันอาจทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงขาดอายุความและต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้อุทธรณ์ว่า เจ้าหนี้นำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามให้ล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 อายุความย่อมสะดุดหยุดลง ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบดีอยู่แล้วนั้น เห็นว่า ตามรายงานความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในเรื่องคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสามเด็ดขาด วันที่ 23 เมษายน 2552 เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ แม้เจ้าหนี้ไม่นำพยานหลักฐานมาให้การสอบสวนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จึงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามให้ล้มละลาย แต่หากศาลล้มละลายกลางพิจารณาสำนวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกอบสำนวนของศาลล้มละลายกลางตามกระบวนพิจารณาคดีล้มละลาย มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ก็จะทราบว่าเจ้าหนี้ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของลูกหนี้ทั้งสามและหมายแจ้งคำสั่งดังกล่าวแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฉบับลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 มูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมีอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 เมื่อมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 เจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องเป็นคดีต่อศาลล้มละลายกลางวันที่ 18 เมษายน 2551 ภายในกำหนดอายุความ 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุด ย่อมมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (2) มูลหนี้ตามคำพิพากษาจึงยังไม่ขาดอายุความ เจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้คำพิพากษาดังกล่าวได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้เป็นการไม่ชอบ อุทธรณ์ของเจ้าหนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับ อนุญาตให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 106 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
จำเลยทั้งหกใช้รถยนต์ของกลาง 4 คัน พาคนต่างด้าว 47 คน ที่ลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยไปส่งยังจุดหมายปลายทางที่อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย จึงเป็นการใช้รถยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะให้คนต่างด้าวนั่งโดยสารมาในรถด้วยเท่านั้น มิได้เป็นการใช้รถยนต์ของกลางเพื่อพาคนต่างด้าวหลบหนีให้พ้นจากการจับกุม หรือเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจตามฟ้องของโจทก์โดยตรง รถยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยทั้งหกได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 64 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 58, 83 ริบรถยนต์ 4 คัน ของกลาง และบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 4 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 1530/2564 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกของจำเลยที่ 4 ในคดีนี้
จำเลยทั้งหกให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 4 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 1 ปี จำเลยทั้งหกให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 6 เดือน บวกโทษจำคุก 4 เดือน ของจำเลยที่ 4 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 1530/2564 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษคดีนี้ เป็นจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 10 เดือน ริบรถยนต์ของกลาง
จำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยทั้งหกฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติตามที่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้เถียงกันในชั้นนี้ว่า จำเลยทั้งหกกระทำความผิดตามฟ้อง ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งหกมีเพียงประการเดียวว่า รถยนต์ของกลางทั้งสี่คันเป็นทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบหรือไม่ เห็นว่า ทรัพย์สินที่ศาลมีอำนาจสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) ได้นั้น จะต้องเป็นทรัพย์สินซึ่งผู้กระทำความผิดได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำฟ้องและคำให้การของจำเลยทั้งหกว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทั้งหกใช้รถยนต์ของกลางทั้งสี่คันพาคนต่างด้าว 47 คน ที่ลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยไปส่งที่อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย อันเป็นกรณีที่จำเลยทั้งหกใช้รถยนต์ของกลางโดยสารพาคนต่างด้าว 47 คน ซึ่งลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้วไปส่งยังจุดหมายปลายทาง จึงเป็นการใช้รถยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะให้คนต่างด้าวนั่งโดยสารมาในรถด้วยเท่านั้น มิได้เป็นการใช้รถยนต์ของกลางเพื่อพาคนต่างด้าวหลบหนีให้พ้นจากการจับกุม หรือเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจโดยตรง ดังนั้น รถยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยทั้งหกได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามฟ้องของโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งริบได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลางมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งหกฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ริบรถยนต์ของกลาง แต่ให้คืนรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5
จำเลยทั้งหกใช้รถยนต์ของกลาง 4 คัน พาคนต่างด้าว 47 คน ที่ลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยไปส่งยังจุดหมายปลายทางที่อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย จึงเป็นการใช้รถยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะให้คนต่างด้าวนั่งโดยสารมาในรถด้วยเท่านั้น มิได้เป็นการใช้รถยนต์ของกลางเพื่อพาคนต่างด้าวหลบหนีให้พ้นจากการจับกุม หรือเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจตามฟ้องของโจทก์โดยตรง รถยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยทั้งหกได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 64 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 58, 83 ริบรถยนต์ 4 คัน ของกลาง และบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 4 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 1530/2564 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกของจำเลยที่ 4 ในคดีนี้
จำเลยทั้งหกให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 4 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 1 ปี จำเลยทั้งหกให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 6 เดือน บวกโทษจำคุก 4 เดือน ของจำเลยที่ 4 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 1530/2564 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษคดีนี้ เป็นจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 10 เดือน ริบรถยนต์ของกลาง
จำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยทั้งหกฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติตามที่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้เถียงกันในชั้นนี้ว่า จำเลยทั้งหกกระทำความผิดตามฟ้อง ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งหกมีเพียงประการเดียวว่า รถยนต์ของกลางทั้งสี่คันเป็นทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบหรือไม่ เห็นว่า ทรัพย์สินที่ศาลมีอำนาจสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) ได้นั้น จะต้องเป็นทรัพย์สินซึ่งผู้กระทำความผิดได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำฟ้องและคำให้การของจำเลยทั้งหกว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทั้งหกใช้รถยนต์ของกลางทั้งสี่คันพาคนต่างด้าว 47 คน ที่ลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยไปส่งที่อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย อันเป็นกรณีที่จำเลยทั้งหกใช้รถยนต์ของกลางโดยสารพาคนต่างด้าว 47 คน ซึ่งลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้วไปส่งยังจุดหมายปลายทาง จึงเป็นการใช้รถยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะให้คนต่างด้าวนั่งโดยสารมาในรถด้วยเท่านั้น มิได้เป็นการใช้รถยนต์ของกลางเพื่อพาคนต่างด้าวหลบหนีให้พ้นจากการจับกุม หรือเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจโดยตรง ดังนั้น รถยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยทั้งหกได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามฟ้องของโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งริบได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลางมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งหกฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ริบรถยนต์ของกลาง แต่ให้คืนรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5
ที่ผู้ร้องอ้างว่าจะต้องใช้สิทธิทางศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 6 เพื่อจัดการทรัพย์สินของคนไร้ความสามารถนั้นที่จะยื่นคำร้องขอได้ เมื่อปรากฏว่าในขณะผู้ร้องยื่นคำร้องขอ ศาลยังไม่มีคำสั่งว่า ม. เป็นคนไร้ความสามารถ และมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลของ ม. ผู้ร้องซึ่งยังไม่อยู่ในฐานะผู้อนุบาล จึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมแทน ม. ได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งว่านางมาลี เป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของผู้ร้อง และมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินตามหลักฐานใบ ภ.บ.ท. 5 เลขสำรวจที่ 120 เนื้อที่ 2 ไร่ 60 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 381 อาวุธปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .32 รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า ให้แก่ผู้ร้องหรือจดทะเบียนโอนขายให้แก่บุคคลภายนอก และอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมเบิกถอนเงินฝากในบัญชีธนาคารออมสิน สาขาวังสมบูรณ์ และเงินฝากในบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาวังสมบูรณ์ ซึ่งมีชื่อนางมาลีเป็นเจ้าของบัญชีด้วย
ศาลชั้นต้นประกาศนัดไต่สวนแล้ว ไม่มีผู้ใดคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า นางมาลี เป็นคนไร้ความสามารถ และให้อยู่ในความอนุบาลของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษาให้ยกคำร้องขอในส่วนที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมแทนนางมาลี นั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่านางมาลีเป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของผู้ร้องพร้อมกับขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมแทนนางมาลีมาด้วยนั้น ในส่วนที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมแทนนางมาลีโดยอ้างว่านางมาลีไม่สามารถจัดการทรัพย์สินและทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตนเองได้ ผู้ร้องจึงมีความจำเป็นต้องจัดการทรัพย์สินดังกล่าวของนางมาลีเพื่อนำเงินที่ได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและค่ารักษาพยาบาลนางมาลีต่อไป ซึ่งเป็นกรณีที่ผู้ร้องอ้างว่าจะต้องใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 6 เพื่อจัดการทรัพย์สินของคนไร้ความสามารถ แต่การใช้สิทธิทางศาลในกรณีดังกล่าวเป็นอำนาจของบุคคลที่มีฐานะเป็นผู้อนุบาลเท่านั้นที่จะยื่นคำร้องขอได้ ทั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28 บัญญัติว่า บุคคลวิกลจริตผู้ใด ถ้าคู่สมรสก็ดี ผู้บุพการีกล่าวคือ บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ทวดก็ดี ผู้สืบสันดานกล่าวคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อก็ดี ผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์ก็ดี ผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ก็ดี หรือพนักงานอัยการก็ดี ร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถ ศาลจะสั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถก็ได้ บุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถตามวรรคหนึ่ง ต้องจัดให้อยู่ในความอนุบาล การแต่งตั้งผู้อนุบาล อำนาจหน้าที่ของผู้อนุบาล และการสิ้นสุดของความเป็นผู้อนุบาลให้เป็นไปตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายนี้ คำสั่งของศาลตามมาตรานี้ ให้ประกาศเป็นราชกิจจานุเบกษา เมื่อในขณะผู้ร้องยื่นคำร้องขอ ศาลยังไม่มีคำสั่งว่านางมาลีเป็นคนไร้ความสามารถ และมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลของนางมาลี รวมถึงยังไม่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาในส่วนที่มีคำสั่งว่านางมาลีเป็นคนไร้ความสามารถ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสามารถในการจัดการทรัพย์สินและสถานะของคนไร้ความสามารถและสิทธิในการดำเนินการแทนในนามของผู้อนุบาลในการทำนิติกรรมของคนไร้ความสามารถ ผู้อนุบาลจะมีอำนาจหน้าที่เมื่อศาลสั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถและแต่งตั้งผู้อนุบาลแล้ว ผู้ร้องซึ่งยังไม่อยู่ในฐานะผู้อนุบาลจึงยังไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมแทนนางมาลีได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182 ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษาให้ยกคำร้องขอในส่วนนี้มานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ที่ผู้ร้องอ้างว่าจะต้องใช้สิทธิทางศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 6 เพื่อจัดการทรัพย์สินของคนไร้ความสามารถนั้นที่จะยื่นคำร้องขอได้ เมื่อปรากฏว่าในขณะผู้ร้องยื่นคำร้องขอ ศาลยังไม่มีคำสั่งว่า ม. เป็นคนไร้ความสามารถ และมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลของ ม. ผู้ร้องซึ่งยังไม่อยู่ในฐานะผู้อนุบาล จึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมแทน ม. ได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งว่านางมาลี เป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของผู้ร้อง และมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินตามหลักฐานใบ ภ.บ.ท. 5 เลขสำรวจที่ 120 เนื้อที่ 2 ไร่ 60 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 381 อาวุธปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .32 รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า ให้แก่ผู้ร้องหรือจดทะเบียนโอนขายให้แก่บุคคลภายนอก และอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมเบิกถอนเงินฝากในบัญชีธนาคารออมสิน สาขาวังสมบูรณ์ และเงินฝากในบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาวังสมบูรณ์ ซึ่งมีชื่อนางมาลีเป็นเจ้าของบัญชีด้วย
ศาลชั้นต้นประกาศนัดไต่สวนแล้ว ไม่มีผู้ใดคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า นางมาลี เป็นคนไร้ความสามารถ และให้อยู่ในความอนุบาลของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษาให้ยกคำร้องขอในส่วนที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมแทนนางมาลี นั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่านางมาลีเป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของผู้ร้องพร้อมกับขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมแทนนางมาลีมาด้วยนั้น ในส่วนที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมแทนนางมาลีโดยอ้างว่านางมาลีไม่สามารถจัดการทรัพย์สินและทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตนเองได้ ผู้ร้องจึงมีความจำเป็นต้องจัดการทรัพย์สินดังกล่าวของนางมาลีเพื่อนำเงินที่ได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและค่ารักษาพยาบาลนางมาลีต่อไป ซึ่งเป็นกรณีที่ผู้ร้องอ้างว่าจะต้องใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 6 เพื่อจัดการทรัพย์สินของคนไร้ความสามารถ แต่การใช้สิทธิทางศาลในกรณีดังกล่าวเป็นอำนาจของบุคคลที่มีฐานะเป็นผู้อนุบาลเท่านั้นที่จะยื่นคำร้องขอได้ ทั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28 บัญญัติว่า บุคคลวิกลจริตผู้ใด ถ้าคู่สมรสก็ดี ผู้บุพการีกล่าวคือ บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ทวดก็ดี ผู้สืบสันดานกล่าวคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อก็ดี ผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์ก็ดี ผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ก็ดี หรือพนักงานอัยการก็ดี ร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถ ศาลจะสั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถก็ได้ บุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถตามวรรคหนึ่ง ต้องจัดให้อยู่ในความอนุบาล การแต่งตั้งผู้อนุบาล อำนาจหน้าที่ของผู้อนุบาล และการสิ้นสุดของความเป็นผู้อนุบาลให้เป็นไปตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายนี้ คำสั่งของศาลตามมาตรานี้ ให้ประกาศเป็นราชกิจจานุเบกษา เมื่อในขณะผู้ร้องยื่นคำร้องขอ ศาลยังไม่มีคำสั่งว่านางมาลีเป็นคนไร้ความสามารถ และมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลของนางมาลี รวมถึงยังไม่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาในส่วนที่มีคำสั่งว่านางมาลีเป็นคนไร้ความสามารถ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสามารถในการจัดการทรัพย์สินและสถานะของคนไร้ความสามารถและสิทธิในการดำเนินการแทนในนามของผู้อนุบาลในการทำนิติกรรมของคนไร้ความสามารถ ผู้อนุบาลจะมีอำนาจหน้าที่เมื่อศาลสั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถและแต่งตั้งผู้อนุบาลแล้ว ผู้ร้องซึ่งยังไม่อยู่ในฐานะผู้อนุบาลจึงยังไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมแทนนางมาลีได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182 ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษาให้ยกคำร้องขอในส่วนนี้มานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
แบบส่งเงินอายัด เป็นเอกสารที่ธนาคารจัดส่งเงินฝากในบัญชีของจำเลยที่ 1 มาให้สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเพชรบุรี ตามคำสั่งอายัดเงินของจำเลยที่ 1 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 326/2558 ของศาลจังหวัดเพชรบุรี ไม่ใช่เอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ รวมทั้งไม่เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 1 (8) และ (9) จึงเป็นเอกสารตาม ป.อ. มาตรา 1 (7) เท่านั้น
ส่วนใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) เป็นเอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้นในหน้าที่เพื่อมอบให้แก่ผู้ครอบครองที่ดินเพื่อเป็นหลักฐานในการชำระภาษีบำรุงท้องที่ จึงเป็นเอกสารราชการตาม ป.อ. มาตรา 1 (8) แต่ไม่เป็นเอกสารสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 1 (9) ในความผิดฐานปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม และฉ้อโกง ล้วนเป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียวเพื่อหลอกลวงโจทก์ทั้งสอง การที่โจทก์ทั้งสองทยอยมอบเงินกู้ยืมให้แก่จำเลยที่ 1 ในแต่ละครั้ง รวม 70 ครั้ง เป็นการกระทำต่อเนื่องด้วยเจตนาเดียวเพื่อฉ้อโกงโจทก์ทั้งสองเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 266, 268, 341
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 341 จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 86 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานใช้แบบส่งเงินอายัดอันเป็นเอกสารราชการปลอมและฐานฉ้อโกง เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้แบบส่งเงินอายัดอันเป็นเอกสารราชการปลอม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี ฐานใช้หลักฐานใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) อันเป็นเอกสารราชการปลอม จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 2 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 1 ปี 4 เดือน (ที่ถูก ข้อหาอื่นให้ยก)
โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก, 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก อีกบทด้วย การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม (แบบส่งเงินอายัด) และความผิดฐานฉ้อโกง (ที่ถูก ต้องระบุว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมแต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง ความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม (แบบส่งเงินอายัด) และความผิดฐานฉ้อโกง) เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฉ้อโกง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 (ที่ถูก เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ละบทมีระวางโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานฉ้อโกงเพียงบทเดียว) จำคุก 3 ปี ความผิดฐานปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม (ใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ ภ.บ.ท. 5) จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมแต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 3 ปี ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกฐานฉ้อโกง 2 ปี ฐานใช้เอกสารราชการปลอมใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ 2 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ในส่วนที่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า โจทก์ทั้งสองประกอบกิจการซื้อขายรถยนต์บรรทุก จำเลยที่ 3 เคยซื้อรถยนต์บรรทุกจากโจทก์ทั้งสองลักษณะผ่อนส่ง จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของจำเลยที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นบุตรสะใภ้ของจำเลยที่ 3 และเป็นน้องสะใภ้ของจำเลยที่ 1 โจทก์ทั้งสองรู้จักจำเลยที่ 1 และที่ 2 เนื่องจากเคยนำเงินมาชำระค่ารถยนต์บรรทุก ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถูกฟ้องขับไล่ออกจากที่ดินและบ้านเลขที่ 259 คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ออกจากที่ดินพร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหาย และธนาคาร ก. ส่งเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 1 จำนวน 300,000 บาท มาให้ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดเพชรบุรี ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 นำสำเนาแบบส่งเงินอายัดของธนาคาร ก. มาแก้ไขจำนวนเงินจาก 300,000 บาท เป็น 116,000,000 บาท แล้วจำเลยที่ 1 ส่งเอกสารที่ทำปลอมขึ้นดังกล่าวไปให้โจทก์ที่ 1 ทางแอปพลิเคชันไลน์เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการหลอกลวงโจทก์ทั้งสองว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิจะได้รับเงินตามคำสั่งอายัดจำนวน 116,000,000 บาท และขอกู้ยืมเงินจากโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง จึงให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินรวม 17,650,000 บาท โดยมอบเช็คให้จำเลยที่ 1 จำนวน 2 ฉบับ และทยอยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 จำนวน 11 ครั้ง บัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 3 จำนวน 57 ครั้ง ตามใบรับรองรายการสำเนาเช็คและรายการโอนเงินผ่านระบบธนาคาร และจำเลยที่ 1 ปลอมใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) ขององค์การบริหารส่วนตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ แล้วจำเลยที่ 1 นำเอกสารที่ทำปลอมขึ้นดังกล่าวพร้อมหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินและหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อไว้ในฐานะผู้ขายและผู้มอบอำนาจ รวมทั้งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้องมามอบให้โจทก์ที่ 1 เพื่อให้โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อยิ่งขึ้นว่าจำเลยที่ 1 มีที่ดินเนื้อที่ 72 ไร่ ราคาไร่ละ 300,000 บาท เป็นประกันการชำระหนี้ ซึ่งเป็นความเท็จ เพราะองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ตรวจสอบแล้วพบว่าที่ดินตามใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) ที่จำเลยที่ 1 ทำปลอมขึ้น มีนางมีนา นางสาวชญากรณ์ และนางเอมอร เป็นผู้ครอบครอง โดยมีเนื้อที่เพียง 10 ไร่ ตามหนังสือตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ (ภ.บ.ท. 5)
มีปัญหาข้อเท็จจริงต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองเบิกความถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับโจทก์ทั้งสองได้ความเพียงว่า ก่อนเกิดเหตุโจทก์ทั้งสองรู้จักจำเลยที่ 3 เพราะจำเลยที่ 3 เคยมาซื้อรถยนต์บรรทุกที่ร้านของโจทก์ทั้งสอง และรู้จักจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรสะใภ้ของจำเลยที่ 3 เนื่องจากเคยนำเงินมาชำระค่ารถยนต์บรรทุก และตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 และที่ 3 เคยเดินทางไปพบโจทก์ทั้งสองพร้อมกับจำเลยที่ 1 แต่ก็ไม่ปรากฏรายละเอียดว่าขณะจำเลยที่ 2 และที่ 3 มาพบโจทก์ทั้งสองพร้อมกับจำเลยที่ 1 ตามวันเวลาเกิดเหตุนั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีพฤติการณ์ร่วมกับจำเลยที่ 1 นำแบบส่งเงินอายัดปลอมมาหลอกลวงโจทก์ทั้งสองหรือไม่ อย่างไร นอกจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้บัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เพื่อรับเงินกู้ยืมที่โจทก์ทั้งสองโอนมาให้จำเลยที่ 1 ตามที่ถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวง ประกอบกับโจทก์ทั้งสองเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งสามว่า หลังจากโจทก์ทั้งสองโอนเงินให้จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 มาทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ที่ 1 หลายครั้ง ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้รวมเงินตามสัญญากู้เงินมาทำเป็นสัญญากู้เงินฉบับใหม่ซึ่งโจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ให้กู้ ผู้เขียนและพยาน จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงินทุกฉบับ โดยไม่ปรากฏลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงินเลย ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าโจทก์ทั้งสองติดต่อเรื่องการกู้ยืมเงินกับจำเลยที่ 1 เพียงคนเดียว โดยโจทก์ทั้งสองรู้จักจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะเป็นผู้เคยค้าเท่านั้น แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีพฤติการณ์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้บัญชีเงินฝากของตนเพื่อรับเงินกู้ยืมที่โจทก์ทั้งสองโอนมาให้จำเลยที่ 1 ตามที่ถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวง แต่ก็ไม่เพียงพอให้เป็นเหตุระแวงสงสัยว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้องหรือเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองในส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า แบบส่งเงินอายัด และใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) เป็นเอกสารสิทธิและเอกสารราชการหรือไม่ สำหรับแบบส่งเงินอายัด ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แบบส่งเงินอายัดเป็นเอกสารที่ธนาคาร ก. จัดส่งเงินฝากในบัญชีของจำเลยที่ 1 มาให้สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเพชรบุรี ตามคำสั่งอายัดเงินของจำเลยที่ 1 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 326/2558 ของศาลจังหวัดเพชรบุรี ไม่ใช่เอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ รวมทั้งไม่เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (8) และ (9) จึงเป็นเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (7) เท่านั้น ส่วนใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) เป็นเอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้นในหน้าที่เพื่อมอบให้แก่ผู้ครอบครองที่ดินเป็นหลักฐานในการชำระภาษีบำรุงท้องที่ จึงเป็นเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (8) แต่ไม่เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (9) สำหรับปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองประการต่อไปว่า การกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร (แบบส่งเงินอายัด) ใช้เอกสารปลอม (แบบส่งเงินอายัด) และฉ้อโกงของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องข้อ 1.1 ถึงข้อ 1.70 ของโจทก์ทั้งสองเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์ทั้งสองจะแยกบรรยายคำฟ้องถึงการกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร (แบบส่งเงินอายัด) ใช้เอกสารปลอม (แบบส่งเงินอายัด) และฉ้อโกงของจำเลยที่ 1 เป็น 70 ข้อ แต่การกระทำของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องในแต่ละข้อล้วนเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาอย่างเดียวเพื่อหลอกลวงให้โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อว่าแบบส่งเงินอายัดที่จำเลยที่ 1 ทำปลอมขึ้นและนำมาใช้อ้างเป็นเอกสารที่แท้จริง โจทก์ทั้งสองจะได้ตกลงให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงิน การที่โจทก์ทั้งสองทยอยมอบเงินกู้ยืมให้แก่จำเลยที่ 1 ในแต่ละครั้ง รวม 70 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 17,650,000 บาท เป็นการกระทำต่อเนื่องกันด้วยเจตนาอย่างเดียวเพื่อที่จะฉ้อโกงโจทก์ทั้งสอง การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน
แบบส่งเงินอายัด เป็นเอกสารที่ธนาคารจัดส่งเงินฝากในบัญชีของจำเลยที่ 1 มาให้สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเพชรบุรี ตามคำสั่งอายัดเงินของจำเลยที่ 1 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 326/2558 ของศาลจังหวัดเพชรบุรี ไม่ใช่เอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ รวมทั้งไม่เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 1 (8) และ (9) จึงเป็นเอกสารตาม ป.อ. มาตรา 1 (7) เท่านั้น
ส่วนใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) เป็นเอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้นในหน้าที่เพื่อมอบให้แก่ผู้ครอบครองที่ดินเพื่อเป็นหลักฐานในการชำระภาษีบำรุงท้องที่ จึงเป็นเอกสารราชการตาม ป.อ. มาตรา 1 (8) แต่ไม่เป็นเอกสารสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 1 (9) ในความผิดฐานปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม และฉ้อโกง ล้วนเป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียวเพื่อหลอกลวงโจทก์ทั้งสอง การที่โจทก์ทั้งสองทยอยมอบเงินกู้ยืมให้แก่จำเลยที่ 1 ในแต่ละครั้ง รวม 70 ครั้ง เป็นการกระทำต่อเนื่องด้วยเจตนาเดียวเพื่อฉ้อโกงโจทก์ทั้งสองเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 266, 268, 341
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 341 จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 86 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานใช้แบบส่งเงินอายัดอันเป็นเอกสารราชการปลอมและฐานฉ้อโกง เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้แบบส่งเงินอายัดอันเป็นเอกสารราชการปลอม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี ฐานใช้หลักฐานใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) อันเป็นเอกสารราชการปลอม จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 2 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 1 ปี 4 เดือน (ที่ถูก ข้อหาอื่นให้ยก)
โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก, 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก อีกบทด้วย การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม (แบบส่งเงินอายัด) และความผิดฐานฉ้อโกง (ที่ถูก ต้องระบุว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมแต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง ความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม (แบบส่งเงินอายัด) และความผิดฐานฉ้อโกง) เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฉ้อโกง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 (ที่ถูก เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ละบทมีระวางโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานฉ้อโกงเพียงบทเดียว) จำคุก 3 ปี ความผิดฐานปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม (ใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ ภ.บ.ท. 5) จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมแต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 3 ปี ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกฐานฉ้อโกง 2 ปี ฐานใช้เอกสารราชการปลอมใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ 2 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ในส่วนที่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า โจทก์ทั้งสองประกอบกิจการซื้อขายรถยนต์บรรทุก จำเลยที่ 3 เคยซื้อรถยนต์บรรทุกจากโจทก์ทั้งสองลักษณะผ่อนส่ง จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของจำเลยที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นบุตรสะใภ้ของจำเลยที่ 3 และเป็นน้องสะใภ้ของจำเลยที่ 1 โจทก์ทั้งสองรู้จักจำเลยที่ 1 และที่ 2 เนื่องจากเคยนำเงินมาชำระค่ารถยนต์บรรทุก ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถูกฟ้องขับไล่ออกจากที่ดินและบ้านเลขที่ 259 คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ออกจากที่ดินพร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหาย และธนาคาร ก. ส่งเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 1 จำนวน 300,000 บาท มาให้ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดเพชรบุรี ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 นำสำเนาแบบส่งเงินอายัดของธนาคาร ก. มาแก้ไขจำนวนเงินจาก 300,000 บาท เป็น 116,000,000 บาท แล้วจำเลยที่ 1 ส่งเอกสารที่ทำปลอมขึ้นดังกล่าวไปให้โจทก์ที่ 1 ทางแอปพลิเคชันไลน์เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการหลอกลวงโจทก์ทั้งสองว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิจะได้รับเงินตามคำสั่งอายัดจำนวน 116,000,000 บาท และขอกู้ยืมเงินจากโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง จึงให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินรวม 17,650,000 บาท โดยมอบเช็คให้จำเลยที่ 1 จำนวน 2 ฉบับ และทยอยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 จำนวน 11 ครั้ง บัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 3 จำนวน 57 ครั้ง ตามใบรับรองรายการสำเนาเช็คและรายการโอนเงินผ่านระบบธนาคาร และจำเลยที่ 1 ปลอมใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) ขององค์การบริหารส่วนตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ แล้วจำเลยที่ 1 นำเอกสารที่ทำปลอมขึ้นดังกล่าวพร้อมหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินและหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อไว้ในฐานะผู้ขายและผู้มอบอำนาจ รวมทั้งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้องมามอบให้โจทก์ที่ 1 เพื่อให้โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อยิ่งขึ้นว่าจำเลยที่ 1 มีที่ดินเนื้อที่ 72 ไร่ ราคาไร่ละ 300,000 บาท เป็นประกันการชำระหนี้ ซึ่งเป็นความเท็จ เพราะองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ตรวจสอบแล้วพบว่าที่ดินตามใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) ที่จำเลยที่ 1 ทำปลอมขึ้น มีนางมีนา นางสาวชญากรณ์ และนางเอมอร เป็นผู้ครอบครอง โดยมีเนื้อที่เพียง 10 ไร่ ตามหนังสือตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ (ภ.บ.ท. 5)
มีปัญหาข้อเท็จจริงต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองเบิกความถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับโจทก์ทั้งสองได้ความเพียงว่า ก่อนเกิดเหตุโจทก์ทั้งสองรู้จักจำเลยที่ 3 เพราะจำเลยที่ 3 เคยมาซื้อรถยนต์บรรทุกที่ร้านของโจทก์ทั้งสอง และรู้จักจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรสะใภ้ของจำเลยที่ 3 เนื่องจากเคยนำเงินมาชำระค่ารถยนต์บรรทุก และตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 และที่ 3 เคยเดินทางไปพบโจทก์ทั้งสองพร้อมกับจำเลยที่ 1 แต่ก็ไม่ปรากฏรายละเอียดว่าขณะจำเลยที่ 2 และที่ 3 มาพบโจทก์ทั้งสองพร้อมกับจำเลยที่ 1 ตามวันเวลาเกิดเหตุนั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีพฤติการณ์ร่วมกับจำเลยที่ 1 นำแบบส่งเงินอายัดปลอมมาหลอกลวงโจทก์ทั้งสองหรือไม่ อย่างไร นอกจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้บัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เพื่อรับเงินกู้ยืมที่โจทก์ทั้งสองโอนมาให้จำเลยที่ 1 ตามที่ถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวง ประกอบกับโจทก์ทั้งสองเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งสามว่า หลังจากโจทก์ทั้งสองโอนเงินให้จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 มาทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ที่ 1 หลายครั้ง ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้รวมเงินตามสัญญากู้เงินมาทำเป็นสัญญากู้เงินฉบับใหม่ซึ่งโจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ให้กู้ ผู้เขียนและพยาน จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงินทุกฉบับ โดยไม่ปรากฏลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงินเลย ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าโจทก์ทั้งสองติดต่อเรื่องการกู้ยืมเงินกับจำเลยที่ 1 เพียงคนเดียว โดยโจทก์ทั้งสองรู้จักจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะเป็นผู้เคยค้าเท่านั้น แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีพฤติการณ์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้บัญชีเงินฝากของตนเพื่อรับเงินกู้ยืมที่โจทก์ทั้งสองโอนมาให้จำเลยที่ 1 ตามที่ถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวง แต่ก็ไม่เพียงพอให้เป็นเหตุระแวงสงสัยว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้องหรือเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองในส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า แบบส่งเงินอายัด และใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) เป็นเอกสารสิทธิและเอกสารราชการหรือไม่ สำหรับแบบส่งเงินอายัด ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แบบส่งเงินอายัดเป็นเอกสารที่ธนาคาร ก. จัดส่งเงินฝากในบัญชีของจำเลยที่ 1 มาให้สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเพชรบุรี ตามคำสั่งอายัดเงินของจำเลยที่ 1 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 326/2558 ของศาลจังหวัดเพชรบุรี ไม่ใช่เอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ รวมทั้งไม่เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (8) และ (9) จึงเป็นเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (7) เท่านั้น ส่วนใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) เป็นเอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้นในหน้าที่เพื่อมอบให้แก่ผู้ครอบครองที่ดินเป็นหลักฐานในการชำระภาษีบำรุงท้องที่ จึงเป็นเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (8) แต่ไม่เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (9) สำหรับปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองประการต่อไปว่า การกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร (แบบส่งเงินอายัด) ใช้เอกสารปลอม (แบบส่งเงินอายัด) และฉ้อโกงของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องข้อ 1.1 ถึงข้อ 1.70 ของโจทก์ทั้งสองเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์ทั้งสองจะแยกบรรยายคำฟ้องถึงการกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร (แบบส่งเงินอายัด) ใช้เอกสารปลอม (แบบส่งเงินอายัด) และฉ้อโกงของจำเลยที่ 1 เป็น 70 ข้อ แต่การกระทำของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องในแต่ละข้อล้วนเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาอย่างเดียวเพื่อหลอกลวงให้โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อว่าแบบส่งเงินอายัดที่จำเลยที่ 1 ทำปลอมขึ้นและนำมาใช้อ้างเป็นเอกสารที่แท้จริง โจทก์ทั้งสองจะได้ตกลงให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงิน การที่โจทก์ทั้งสองทยอยมอบเงินกู้ยืมให้แก่จำเลยที่ 1 ในแต่ละครั้ง รวม 70 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 17,650,000 บาท เป็นการกระทำต่อเนื่องกันด้วยเจตนาอย่างเดียวเพื่อที่จะฉ้อโกงโจทก์ทั้งสอง การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน
การที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนแล้วมาฟ้องคดีนี้ แม้จำเลยที่ 2 คดีนี้และจำเลยในคดีก่อนจะเป็นนิติบุคคลแยกจากกัน แต่จำเลยในคดีก่อนและจำเลยที่ 2 คดีนี้ ต่างเป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งจะต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ พ. (จำเลยซึ่งในคดีนี้) เป็นเจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกัน ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 คดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับจำเลยในคดีก่อน เมื่อโจทก์คดีนี้ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการทำละเมิดของ พ. ซึ่งเป็นการฟ้องโดยอาศัยประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน และในคดีก่อนได้ถึงที่สุดไปแล้ว ดังนี้ โจทก์และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนี้ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 อันต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงิน 233,770 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2560 โจทก์ยื่นฟ้องกระทรวงศึกษาธิการเป็นจำเลยให้รับผิดในมูลละเมิดจากการที่นายพิชัย ลูกจ้างและเป็นผู้ครอบครองรถกระบะ หมายเลขทะเบียน นก 6495 สงขลา ขับรถคันดังกล่าวเฉี่ยวชนกับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน กพ 6984 สงขลา คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1917/2560 ของศาลจังหวัดสงขลา คดีดังกล่าวศาลจังหวัดสงขลามีคำพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น คดีถึงที่สุดโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องนายพิชัยเป็นจำเลยที่ 1 และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเป็นจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดในมูลละเมิดเป็นคดีนี้ ในชั้นตรวจคำฟ้องศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์มิได้อุทธรณ์ คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่สุด
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1917/2560 ของศาลจังหวัดสงขลาหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนแล้วมาฟ้องเป็นคดีนี้ แม้จำเลยที่ 2 คดีนี้ และจำเลยในคดีก่อนจะเป็นนิติบุคคลแยกจากกันก็ตาม แต่จำเลยในคดีก่อนและจำเลยที่ 2 คดีนี้ ต่างเป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งจะต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกัน ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 คดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับจำเลยในคดีก่อน เมื่อโจทก์คดีนี้ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการทำละเมิดของนายพิชัย ซึ่งเป็นการฟ้องโดยอาศัยประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน และในคดีก่อนได้ถึงที่สุดไปแล้ว ดังนี้ โจทก์และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนี้ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 อันต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 2 อีก เพราะไม่ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
การที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนแล้วมาฟ้องคดีนี้ แม้จำเลยที่ 2 คดีนี้และจำเลยในคดีก่อนจะเป็นนิติบุคคลแยกจากกัน แต่จำเลยในคดีก่อนและจำเลยที่ 2 คดีนี้ ต่างเป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งจะต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ พ. (จำเลยซึ่งในคดีนี้) เป็นเจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกัน ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 คดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับจำเลยในคดีก่อน เมื่อโจทก์คดีนี้ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการทำละเมิดของ พ. ซึ่งเป็นการฟ้องโดยอาศัยประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน และในคดีก่อนได้ถึงที่สุดไปแล้ว ดังนี้ โจทก์และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนี้ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 อันต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงิน 233,770 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2560 โจทก์ยื่นฟ้องกระทรวงศึกษาธิการเป็นจำเลยให้รับผิดในมูลละเมิดจากการที่นายพิชัย ลูกจ้างและเป็นผู้ครอบครองรถกระบะ หมายเลขทะเบียน นก 6495 สงขลา ขับรถคันดังกล่าวเฉี่ยวชนกับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน กพ 6984 สงขลา คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1917/2560 ของศาลจังหวัดสงขลา คดีดังกล่าวศาลจังหวัดสงขลามีคำพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น คดีถึงที่สุดโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องนายพิชัยเป็นจำเลยที่ 1 และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเป็นจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดในมูลละเมิดเป็นคดีนี้ ในชั้นตรวจคำฟ้องศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์มิได้อุทธรณ์ คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่สุด
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1917/2560 ของศาลจังหวัดสงขลาหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนแล้วมาฟ้องเป็นคดีนี้ แม้จำเลยที่ 2 คดีนี้ และจำเลยในคดีก่อนจะเป็นนิติบุคคลแยกจากกันก็ตาม แต่จำเลยในคดีก่อนและจำเลยที่ 2 คดีนี้ ต่างเป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งจะต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกัน ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 คดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับจำเลยในคดีก่อน เมื่อโจทก์คดีนี้ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการทำละเมิดของนายพิชัย ซึ่งเป็นการฟ้องโดยอาศัยประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน และในคดีก่อนได้ถึงที่สุดไปแล้ว ดังนี้ โจทก์และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนี้ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 อันต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 2 อีก เพราะไม่ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
แม้ตามคำฟ้องของโจทก์จะบรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันเล่นการพนันไฮโลว์ อันเป็นการพนันตามที่ระบุไว้ในบัญชี ก. อันดับที่ 23 โดยจำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และจำเลยทั้งสี่ร่วมกันเล่นการพนัน กับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันมั่วสุมตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นข้อ ๆ ต่างหากจากกัน ทั้งความผิดทั้งสองฐานจะเป็นความผิดต่อบทบัญญัติของกฎหมายหลายบทต่างกันและจำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพก็ตาม แต่การที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชุมนุม ทำกิจกรรมและมั่วสุมกัน ณ บ้านที่เกิดเหตุอันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกันในสถานที่แออัดก็โดยมีเจตนาเพื่อร่วมกันเล่นการพนัน จึงเป็นการกระทำความผิดโดยเจตนาเดียวกันในการกระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12, 15 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9, 18 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 ริบของกลางและจ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9 (ที่ถูก วรรคหนึ่ง) (2), 18 พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 วรรคสอง (ที่ถูก วรรคหนึ่ง), 12 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และจำเลยทั้งสี่ร่วมกันเล่นการพนันไฮโลว์ย่อมเป็นการรวมตัวมั่วสุมกันอยู่ในตัวเอง การกระทำของจำเลยกับพวกมีเจตนาเพื่อเล่นการพนัน จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันมั่วสุมตามพระราชกำหนดการบริหารราชการฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ปรับคนละ 4,000 บาท จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยทั้งสี่คนละ 2,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง ส่วนที่โจทก์ขอให้จ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับนั้น ศาลมิได้ลงโทษฐานพระราชบัญญัติการพนัน จึงให้ยกคำขอในส่วนนี้
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9 (ที่ถูก วรรคหนึ่ง) (2), 18 พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 12 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินให้ปรับคนละ 3,000 บาท ฐานร่วมกันเล่นการพนันจำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ จำคุก 4 เดือน และปรับ 2,000 บาท จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นผู้ร่วมเล่นการพนันให้ปรับคนละ 2,000 บาท จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานร่วมกันมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินคงปรับคนละ 1,500 บาท ฐานร่วมกันเล่นการพนันจำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ จำคุก 2 เดือน และปรับ 1,000 บาท จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นผู้ร่วมเล่นการพนันให้ปรับคนละ 1,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสี่จ่ายสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 เพียงประการเดียวว่า ความผิดฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน กับฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และฐานร่วมเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่ เห็นว่า แม้ตามคำฟ้องของโจทก์จะบรรยายแยกฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันเล่นการพนันไฮโลว์ อันเป็นการพนันตามที่ระบุไว้ในบัญชี ก. อันดับที่ 23 โดยจำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และจำเลยทั้งสี่ร่วมกันเล่นการพนัน กับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันมั่วสุมตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นข้อ ๆ ต่างหากจากกัน ทั้งความผิดทั้งสองฐานจะเป็นความผิดต่อบทบัญญัติของกฎหมายหลายบทต่างกันและจำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพก็ตาม แต่การที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชุมนุม ทำกิจกรรมและมั่วสุมกัน ณ บ้านที่เกิดเหตุอันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกันในสถานที่แออัดก็โดยมีเจตนาเพื่อร่วมกันเล่นการพนัน จึงเป็นการกระทำความผิดโดยเจตนาเดียวกันในการกระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น และเนื่องจากปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวนี้เป็นเหตุในส่วนลักษณะคดีอันเกี่ยวกับการปรับบทลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่อุทธรณ์และฎีกาขึ้นมาให้วินิจฉัยก็ตาม ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 และ 225 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 แต่อย่างไรก็ดีไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 1 และเมื่อลงโทษบทหนักตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว จึงไม่อาจจ่ายสินบนนำจับได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2), 18 พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 12 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 เดือน และปรับ 2,000 บาท ฐานฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยเป็นผู้ร่วมเล่นการพนันปรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 2,000 บาท เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 เดือน ปรับ 1,000 บาท ปรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 1,000 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 1 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 1 ฟัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำขอให้จ่ายสินบนนำจับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
แม้ตามคำฟ้องของโจทก์จะบรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันเล่นการพนันไฮโลว์ อันเป็นการพนันตามที่ระบุไว้ในบัญชี ก. อันดับที่ 23 โดยจำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และจำเลยทั้งสี่ร่วมกันเล่นการพนัน กับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันมั่วสุมตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นข้อ ๆ ต่างหากจากกัน ทั้งความผิดทั้งสองฐานจะเป็นความผิดต่อบทบัญญัติของกฎหมายหลายบทต่างกันและจำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพก็ตาม แต่การที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชุมนุม ทำกิจกรรมและมั่วสุมกัน ณ บ้านที่เกิดเหตุอันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกันในสถานที่แออัดก็โดยมีเจตนาเพื่อร่วมกันเล่นการพนัน จึงเป็นการกระทำความผิดโดยเจตนาเดียวกันในการกระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12, 15 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9, 18 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 ริบของกลางและจ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9 (ที่ถูก วรรคหนึ่ง) (2), 18 พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 วรรคสอง (ที่ถูก วรรคหนึ่ง), 12 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และจำเลยทั้งสี่ร่วมกันเล่นการพนันไฮโลว์ย่อมเป็นการรวมตัวมั่วสุมกันอยู่ในตัวเอง การกระทำของจำเลยกับพวกมีเจตนาเพื่อเล่นการพนัน จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันมั่วสุมตามพระราชกำหนดการบริหารราชการฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ปรับคนละ 4,000 บาท จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยทั้งสี่คนละ 2,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง ส่วนที่โจทก์ขอให้จ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับนั้น ศาลมิได้ลงโทษฐานพระราชบัญญัติการพนัน จึงให้ยกคำขอในส่วนนี้
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9 (ที่ถูก วรรคหนึ่ง) (2), 18 พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 12 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินให้ปรับคนละ 3,000 บาท ฐานร่วมกันเล่นการพนันจำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ จำคุก 4 เดือน และปรับ 2,000 บาท จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นผู้ร่วมเล่นการพนันให้ปรับคนละ 2,000 บาท จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานร่วมกันมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินคงปรับคนละ 1,500 บาท ฐานร่วมกันเล่นการพนันจำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ จำคุก 2 เดือน และปรับ 1,000 บาท จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นผู้ร่วมเล่นการพนันให้ปรับคนละ 1,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสี่จ่ายสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 เพียงประการเดียวว่า ความผิดฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน กับฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และฐานร่วมเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่ เห็นว่า แม้ตามคำฟ้องของโจทก์จะบรรยายแยกฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันเล่นการพนันไฮโลว์ อันเป็นการพนันตามที่ระบุไว้ในบัญชี ก. อันดับที่ 23 โดยจำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และจำเลยทั้งสี่ร่วมกันเล่นการพนัน กับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันมั่วสุมตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นข้อ ๆ ต่างหากจากกัน ทั้งความผิดทั้งสองฐานจะเป็นความผิดต่อบทบัญญัติของกฎหมายหลายบทต่างกันและจำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพก็ตาม แต่การที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชุมนุม ทำกิจกรรมและมั่วสุมกัน ณ บ้านที่เกิดเหตุอันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกันในสถานที่แออัดก็โดยมีเจตนาเพื่อร่วมกันเล่นการพนัน จึงเป็นการกระทำความผิดโดยเจตนาเดียวกันในการกระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น และเนื่องจากปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวนี้เป็นเหตุในส่วนลักษณะคดีอันเกี่ยวกับการปรับบทลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่อุทธรณ์และฎีกาขึ้นมาให้วินิจฉัยก็ตาม ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 และ 225 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 แต่อย่างไรก็ดีไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 1 และเมื่อลงโทษบทหนักตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว จึงไม่อาจจ่ายสินบนนำจับได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2), 18 พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 12 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 เดือน และปรับ 2,000 บาท ฐานฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยเป็นผู้ร่วมเล่นการพนันปรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 2,000 บาท เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 เดือน ปรับ 1,000 บาท ปรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 1,000 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 1 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 1 ฟัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำขอให้จ่ายสินบนนำจับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2) มีองค์ประกอบของความผิด คือ สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งมาตรา 3 บัญญัติ คำว่า “องค์กรอาชญากรรม” หมายความว่า คณะบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปรวมตัวกันช่วงระยะเวลาหนึ่งและร่วมกันกระทำการใดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงและเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ทางวัตถุอย่างอื่น ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม คำว่า “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” หมายความว่า องค์กรอาชญากรรมที่มีการกระทำความผิดซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ความผิดที่กระทำในเขตแดนรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ... และคำว่า “ความผิดร้ายแรง” หมายความว่า ความผิดอาญาที่กฎหมายกำหนดโทษจำคุกขั้นสูงตั้งแต่สี่ปีขึ้นไปหรือโทษที่สถานหนักกว่านั้น ซึ่งความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 63 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ส่วนความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ตามมาตรา 64 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ถือได้ว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและรายละเอียดในการกระทำผิดของจำเลยครบถ้วนตามองค์ประกอบของความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติแล้ว การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2)
อนึ่ง การกระทำของจำเลยในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และในความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นการกระทำความผิดที่ต่อเนื่องกันโดยมีเจตนามุ่งหมายอันเดียวกันเพื่อจะช่วยเหลือนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และการที่จำเลยกับพวกร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรดังกล่าว ย่อมเป็นความผิดสำเร็จอยู่ในตัวเมื่อนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว แต่เมื่อจำเลยกับพวกรู้ว่าคนต่างด้าวดังกล่าวเข้าในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ยังร่วมกันซ่อนเร้น ช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดนั้นพ้นจากการจับกุม จึงเป็นความผิดอีกส่วนหนึ่งซึ่งสามารถแยกการกระทำต่างหากจากกันได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 63, 64 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 3, 4, 5, 6, 25 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 63 วรรคหนึ่ง, 64 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (1) (2) (3) (4), 25 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จำคุก 1 ปี และฐานร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน 6 เดือน และ 2 ปี ตามลำดับ รวมจำคุก 2 ปี 12 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (1) (2) (3) (4) เมื่อรวมโทษทั้งสองกระทงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุก 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับนายดำรงศักดิ์ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 422/2564 ของศาลชั้นต้น และนายชายร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าว 17 คน เชื้อชาติและสัญชาติเมียนมา จากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักร จำเลยกับพวกร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าว 17 คน โดยการพาบรรทุกขึ้นรถยนต์เพื่อพาไปหางานทำที่สหพันธรัฐมาเลเซีย ซึ่งจำเลยกับพวกรู้อยู่แล้วว่าคนต่างด้าวดังกล่าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อันเป็นการช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จำเลยกับพวกร่วมกระทำความผิดในลักษณะเป็นขบวนการที่รวมตัวกันเพื่อกระทำความผิดร้ายแรง เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ทางการเงิน ได้สมคบกันเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ และได้มีการกระทำความผิดตามที่ได้สมคบนั้น ซึ่งความผิดฐานนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร และฐานช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม เป็นความผิดร้ายแรงที่กฎหมายกำหนดโทษจำคุกขั้นสูงตั้งแต่สี่ปีขึ้นไปหรือโทษที่สถานหนักกว่านั้น อันเป็นความผิดที่ได้กระทำในเขตแดนของรัฐไทย และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งมากกว่าหนึ่งรัฐ เพื่อได้มาซึ่งประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ทางวัตถุอย่างอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2) มีองค์ประกอบของความผิด คือ สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งมาตรา 3 บัญญัติ คำว่า “องค์กรอาชญากรรม” หมายความว่า คณะบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปรวมตัวกันช่วงระยะเวลาหนึ่งและร่วมกันกระทำการใดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงและเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ทางวัตถุอย่างอื่น ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม คำว่า “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” หมายความว่า องค์กรอาชญากรรมที่มีการกระทำความผิดซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ความผิดที่กระทำในเขตแดนรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ... และคำว่า “ความผิดร้ายแรง” หมายความว่า ความผิดอาญาที่กฎหมายกำหนดโทษจำคุกขั้นสูงตั้งแต่สี่ปีขึ้นไปหรือโทษที่สถานหนักกว่านั้น ซึ่งความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 63 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ส่วนความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ตามมาตรา 64 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ถือได้ว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและรายละเอียดในการกระทำผิดของจำเลยครบถ้วนตามองค์ประกอบของความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติแล้ว การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2) เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ จึงสามารถรับฟังลงโทษจำเลยได้ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง การกระทำของจำเลยในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และในความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นการกระทำความผิดที่ต่อเนื่องกันโดยมีเจตนามุ่งหมายอันเดียวกันเพื่อจะช่วยเหลือนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และการที่จำเลยกับพวกร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรดังกล่าว ย่อมเป็นความผิดสำเร็จอยู่ในตัวเมื่อนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว แต่เมื่อจำเลยกับพวกรู้ว่าคนต่างด้าวดังกล่าวเข้าในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ยังร่วมกันซ่อนเร้น ช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดนั้นพ้นจากการจับกุม จึงเป็นความผิดอีกส่วนหนึ่งซึ่งสามารถแยกการกระทำต่างหากจากกันได้
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและความผิดฐานนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 ตามมาตรา 5 (2), 25 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานร่วมกันช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นการจับกุมแล้ว เป็นจำคุก 2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2) มีองค์ประกอบของความผิด คือ สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งมาตรา 3 บัญญัติ คำว่า “องค์กรอาชญากรรม” หมายความว่า คณะบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปรวมตัวกันช่วงระยะเวลาหนึ่งและร่วมกันกระทำการใดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงและเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ทางวัตถุอย่างอื่น ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม คำว่า “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” หมายความว่า องค์กรอาชญากรรมที่มีการกระทำความผิดซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ความผิดที่กระทำในเขตแดนรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ... และคำว่า “ความผิดร้ายแรง” หมายความว่า ความผิดอาญาที่กฎหมายกำหนดโทษจำคุกขั้นสูงตั้งแต่สี่ปีขึ้นไปหรือโทษที่สถานหนักกว่านั้น ซึ่งความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 63 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ส่วนความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ตามมาตรา 64 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ถือได้ว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและรายละเอียดในการกระทำผิดของจำเลยครบถ้วนตามองค์ประกอบของความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติแล้ว การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2)
อนึ่ง การกระทำของจำเลยในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และในความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นการกระทำความผิดที่ต่อเนื่องกันโดยมีเจตนามุ่งหมายอันเดียวกันเพื่อจะช่วยเหลือนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และการที่จำเลยกับพวกร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรดังกล่าว ย่อมเป็นความผิดสำเร็จอยู่ในตัวเมื่อนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว แต่เมื่อจำเลยกับพวกรู้ว่าคนต่างด้าวดังกล่าวเข้าในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ยังร่วมกันซ่อนเร้น ช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดนั้นพ้นจากการจับกุม จึงเป็นความผิดอีกส่วนหนึ่งซึ่งสามารถแยกการกระทำต่างหากจากกันได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 63, 64 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 3, 4, 5, 6, 25 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 63 วรรคหนึ่ง, 64 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (1) (2) (3) (4), 25 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จำคุก 1 ปี และฐานร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน 6 เดือน และ 2 ปี ตามลำดับ รวมจำคุก 2 ปี 12 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (1) (2) (3) (4) เมื่อรวมโทษทั้งสองกระทงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุก 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับนายดำรงศักดิ์ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 422/2564 ของศาลชั้นต้น และนายชายร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าว 17 คน เชื้อชาติและสัญชาติเมียนมา จากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักร จำเลยกับพวกร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าว 17 คน โดยการพาบรรทุกขึ้นรถยนต์เพื่อพาไปหางานทำที่สหพันธรัฐมาเลเซีย ซึ่งจำเลยกับพวกรู้อยู่แล้วว่าคนต่างด้าวดังกล่าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อันเป็นการช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จำเลยกับพวกร่วมกระทำความผิดในลักษณะเป็นขบวนการที่รวมตัวกันเพื่อกระทำความผิดร้ายแรง เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ทางการเงิน ได้สมคบกันเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ และได้มีการกระทำความผิดตามที่ได้สมคบนั้น ซึ่งความผิดฐานนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร และฐานช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม เป็นความผิดร้ายแรงที่กฎหมายกำหนดโทษจำคุกขั้นสูงตั้งแต่สี่ปีขึ้นไปหรือโทษที่สถานหนักกว่านั้น อันเป็นความผิดที่ได้กระทำในเขตแดนของรัฐไทย และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งมากกว่าหนึ่งรัฐ เพื่อได้มาซึ่งประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ทางวัตถุอย่างอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2) มีองค์ประกอบของความผิด คือ สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งมาตรา 3 บัญญัติ คำว่า “องค์กรอาชญากรรม” หมายความว่า คณะบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปรวมตัวกันช่วงระยะเวลาหนึ่งและร่วมกันกระทำการใดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงและเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ทางวัตถุอย่างอื่น ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม คำว่า “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” หมายความว่า องค์กรอาชญากรรมที่มีการกระทำความผิดซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ความผิดที่กระทำในเขตแดนรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ... และคำว่า “ความผิดร้ายแรง” หมายความว่า ความผิดอาญาที่กฎหมายกำหนดโทษจำคุกขั้นสูงตั้งแต่สี่ปีขึ้นไปหรือโทษที่สถานหนักกว่านั้น ซึ่งความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 63 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ส่วนความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ตามมาตรา 64 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ถือได้ว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและรายละเอียดในการกระทำผิดของจำเลยครบถ้วนตามองค์ประกอบของความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติแล้ว การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 (2) เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ จึงสามารถรับฟังลงโทษจำเลยได้ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง การกระทำของจำเลยในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และในความผิดฐานร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นการกระทำความผิดที่ต่อเนื่องกันโดยมีเจตนามุ่งหมายอันเดียวกันเพื่อจะช่วยเหลือนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และการที่จำเลยกับพวกร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรดังกล่าว ย่อมเป็นความผิดสำเร็จอยู่ในตัวเมื่อนำหรือพาคนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว แต่เมื่อจำเลยกับพวกรู้ว่าคนต่างด้าวดังกล่าวเข้าในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ยังร่วมกันซ่อนเร้น ช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวทั้งสิบเจ็ดนั้นพ้นจากการจับกุม จึงเป็นความผิดอีกส่วนหนึ่งซึ่งสามารถแยกการกระทำต่างหากจากกันได้
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและความผิดฐานนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 ตามมาตรา 5 (2), 25 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานร่วมกันช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นการจับกุมแล้ว เป็นจำคุก 2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7
แม้ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามมิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 โดยแจ้งชัดเป็นสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ แต่โจทก์ทั้งสามก็กล่าวอ้างสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายในฐานะทายาทโดยธรรม การที่โจทก์ทั้งสามนำสืบถึงข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เกี่ยวเนื่องกับประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องในการที่โจทก์ทั้งสามขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแบ่งแยกที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละหนึ่งส่วนตามกฎหมาย จึงมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการขอให้บังคับแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย หาใช่เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสามนำสืบแตกต่างกับฟ้องหรือนอกฟ้องนอกประเด็น
การที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นหนังสือและต่างได้ลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 กรณีต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1750 วรรคหนึ่งและวรรคสอง โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองจึงต้องผูกพันต่อกันและได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในบันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันนั้น การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้แก่จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามตามสิทธิอันพึงมีพึงได้แก่โจทก์ทั้งสามตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย ดังนั้น โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิฟ้องร้องให้บังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้ แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้ใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด” ดังนั้น โจทก์ทั้งสามจึงสามารถนำคำพิพากษาของศาลไปให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาได้ และการเพิกถอนดังกล่าวมิใช่หนี้ที่เป็นการทำนิติกรรมที่ศาลจะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 213 วรรคสอง
จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ให้แก่ตนเองแล้วจำเลยที่ 1 จดทะเบียนให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 แต่เพียงผู้เดียว จากนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองไว้แก่สหกรณ์การเกษตร ป. เป็นการกระทำภายหลังวันที่ 6 สิงหาคม 2560 ที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายกัน โดยที่บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 ในส่วนของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 นั้น เฉพาะแต่จำเลยทั้งสองเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสองย่อมสามารถกระทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ได้ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกทำนิติกรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกของผู้ตายที่ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมนั้นหาได้ไม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1722 และมิใช่กรณีที่จำเลยที่ 2 ยักย้ายทรัพย์มรดกของผู้ตายส่วนที่ตนจะได้โดยรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทอื่นที่ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 กลับสู่กองมรดกของผู้ตายและบังคับให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองได้
ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ. 17 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ให้แก่โจทก์ที่ 3 และที่ 2 และยังไม่มีการแบ่งปันให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายและจำเลยที่ 1 ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้น สิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมสิ้นสุดลงเพราะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก แม้จำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 ได้ในฐานะทายาทของจำเลยที่ 1 แต่ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 2 ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนแบ่งปันที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 แทนจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ได้ เพราะกรณีเช่นนี้เป็นสิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 คงพิพากษาได้แต่เพียงแสดงกรรมสิทธิ์ว่าโจทก์ที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 จำนวน 1 ใน 2 ส่วน เมื่อที่ดินพิพาทดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันมรดกของผู้ตาย โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธิแบ่งส่วนเอาจากที่ดินพิพาทดังกล่าวได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้กำจัดจำเลยที่ 2 ไม่ให้มีสิทธิรับมรดกของนางสว่าง ให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสว่างและจำเลยที่ 2 โดยให้จำเลยที่ 1 ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 กลับสู่กองมรดกของนางสว่าง ให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าว หากจำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสว่างแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 ให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละหนึ่งส่วนตามกฎหมาย หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ถูกจำกัดมิให้รับมรดกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 ของนางสว่างผู้ตาย ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยทั้งสองกลับสู่กองมรดกของนางสว่าง ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ตามสัดส่วนที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิได้รับในฐานะทายาทเป็นเนื้อที่คนละ 1 ใน 4 ส่วน คิดจากเนื้อที่ 12 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา เป็นเนื้อที่คนละ 3 ไร่ 40 ตารางวา จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 4 ส่วน คิดจากเนื้อที่ 1 งาน 29 ตารางวา เป็นเนื้อที่คนละ 32.25 ตารางวา โดยปลอดภาระจำนอง หากจำเลยที่ 2 ไม่ไถ่ถอนจำนอง ให้โจทก์ทั้งสามไถ่ถอนจำนองได้เองโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 49023 ให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 4 ส่วน คิดจากเนื้อที่ 3 งาน 24 ตารางวา เป็นเนื้อที่คนละ 81 ตารางวา หากจำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความให้ 6,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยทั้งสองกลับสู่กองมรดกของนางสว่าง ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสามในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 คนละ 1 ใน 5 ส่วนของทรัพย์มรดก ในที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 คนละ 1 ใน 5 ส่วนของทรัพย์มรดกโดยปลอดภาระจำนอง หากจำเลยที่ 2 ไม่ไถ่ถอนจำนอง ให้โจทก์ทั้งสามไถ่ถอนจำนองได้เองโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และในที่ดินโฉนดเลขที่ 49023 คนละ 1 ใน 5 ส่วนของทรัพย์มรดก หากจำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ก่อนศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกา จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 2 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันโดยเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 กับนางสว่าง ผู้ตาย ซึ่งจำเลยที่ 1 กับผู้ตายจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2538 ขณะผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้ตายมีชื่อในทะเบียนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 กับมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาททั้งสามแปลง วันที่ 29 พฤษภาคม 2560 จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยคำสั่งศาล หลังจากนั้นวันที่ 13 มิถุนายน 2560 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ให้แก่ตน ครั้นวันที่ 1 กันยายน 2560 จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ต่อจากนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 2 จำนองที่ดินพิพาทดังกล่าวไว้แก่สหกรณ์การเกษตรปฏิรูปที่ดินสุวรรณภูมิสอง จำกัด และในวันที่ 1 กันยายน 2560 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้จำเลยที่ 2 สำหรับคำขอบังคับของโจทก์ทั้งสามที่ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 หากจำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสาม ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามจึงมิอาจขอให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้ โจทก์ทั้งสามมิได้อุทธรณ์ คำขอให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่า สำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย และจำเลยที่ 2 ถูกกำจัดมิให้รับมรดกของผู้ตายหรือไม่ เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และโฉนดเลขที่ 49023 และ 62649 เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสามนำสืบโดยได้ความจากคำเบิกความของนายเลิศศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน พยานโจทก์ทั้งสามว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560 โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองไปพบนายเลิศศักดิ์และตกลงแบ่งมรดกของผู้ตาย นายเลิศศักดิ์เป็นผู้ทำบันทึกโดยโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้านายเลิศศักดิ์ตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 ซึ่งจำเลยที่ 1 เบิกความรับข้อเท็จจริงในข้อนี้ว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560 จำเลยที่ 1 ได้ทำข้อตกลงเจรจาแบ่งปันที่ดินพิพาทด้วยความสมัครใจที่ทำการผู้ใหญ่บ้านตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 และจำเลยที่ 2 ก็เบิกความรับในข้อนี้เช่นกันว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560 จำเลยที่ 2 เดินทางไปที่ทำการผู้ใหญ่บ้านและได้ลงลายมือชื่อในบันทึกตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 หากผู้ตายยกที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้จำเลยที่ 2 ตามที่ผู้ตายได้แจ้งแก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูผู้ตายดังที่จำเลยทั้งสองนำสืบแล้ว จำเลยทั้งสองคงไม่ไปทำความตกลงกับโจทก์ทั้งสามเกี่ยวกับที่ดินพิพาททั้งสามแปลงตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เป็นแน่ พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองไปตกลงกับโจทก์ทั้งสามเช่นนี้ บ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองยอมรับว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย อีกทั้งเมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จำเลยที่ 1 ก็ระบุตามคำร้องขอว่าผู้ตายมีทรัพย์มรดกคือที่ดินพิพาททั้งสามแปลงดังที่ปรากฏตามคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังเบิกความตอบทนายความโจทก์ทั้งสามถามค้านว่า หลังจากที่จำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้แบ่งทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์ทั้งสามสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2560 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จำเลยทั้งสองกับโจทก์ทั้งสามทำบันทึกตกลงกันตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย ส่วนปัญหาที่ว่าบันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เป็นการตกลงแบ่งปันที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่นั้น แม้ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามมิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงตามสำเนาหนังสือดังกล่าวโดยแจ้งชัดเป็นสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ แต่โจทก์ทั้งสามก็กล่าวอ้างสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายในฐานะทายาทโดยธรรม การที่โจทก์ทั้งสามนำสืบถึงข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 จึงเกี่ยวเนื่องกับประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องในการที่โจทก์ทั้งสามขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแบ่งแยกที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละหนึ่งส่วนตามกฎหมาย จึงมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการขอให้บังคับแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย หาใช่เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสามนำสืบแตกต่างกับฟ้องหรือนอกฟ้องนอกประเด็นดังที่จำเลยทั้งสองแก้ฎีกาไม่ เมื่อพิจารณาบันทึกตามสำเนาหนังสือดังกล่าวซึ่งมีสาระสำคัญว่า ที่นาแปลงเลขที่ 37 หมายเลขระวาง 5739 IV เป็นที่ น.ส. 3 แบ่งออกเป็น 5 ส่วนให้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสอง ที่สวนเป็นโฉนดเลขที่ 59 ระวาง 5739 IV 6206 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 และโฉนดเลขที่ 62649 พร้อมบ้านเลขที่ 37 แบ่งให้จำเลยทั้งสอง ซึ่งที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวตรงกับที่พิพาททั้งสามแปลง โดยปรากฏตามสำเนาหนังสือดังกล่าวว่ามีการลงลายมือชื่อของนายเลิศศักดิ์ผู้ใหญ่บ้านและลายมือชื่อของโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสอง โดยเฉพาะในช่องลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 นั้นมีการระบุไว้ว่าเป็นผู้จัดการมรดกด้วย อันแสดงถึงฐานะของจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายยังเป็นผู้จัดการมรดกที่เป็นตัวแทนของทายาทอื่นของผู้ตายด้วย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นหนังสือและต่างได้ลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือดังที่ปรากฏตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 กรณีต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การแบ่งปันทรัพย์มรดกนั้น อาจทำได้โดยทายาทต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัด หรือโดยการขายทรัพย์มรดกแล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งกันระหว่างทายาท” และวรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้าการแบ่งปันมิได้เป็นไปตามวรรคก่อนแต่ได้ทำโดยสัญญาจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ เว้นแต่จะมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญในกรณีเช่นนี้ให้นำมาตรา 850, 852 แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยประนีประนอมยอมความมาใช้บังคับโดยอนุโลม” ดังนั้น บันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายซึ่งได้ทำโดยสัญญาอันมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดและลงลายมือชื่อของตนซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดไว้เป็นสำคัญ ตามวรรคสองแห่งบทบัญญัติดังกล่าว โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองจึงต้องผูกพันต่อกันและได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในบันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันนั้น การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้แก่จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามตามสิทธิอันพึงมีพึงได้แก่โจทก์ทั้งสามตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย ดังนั้น โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิฟ้องร้องให้บังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้ แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้ใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด” ดังนั้น โจทก์ทั้งสามจึงสามารถนำคำพิพากษาของศาลไปให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาได้ และการเพิกถอนดังกล่าวมิใช่หนี้ที่เป็นการทำนิติกรรมที่ศาลจะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคสอง แม้จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาก็หากระทบกระทั่งถึงสิทธิที่โจทก์ทั้งสามจะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวไม่ แต่เมื่อจำเลยทั้งสองในฐานะทายาทของผู้ตายมีสิทธิในที่ดินพิพาทดังกล่าวตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายคนละ 1 ใน 5 ส่วน เช่นเดียวกับโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 5 ส่วน นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 62649 ให้แก่ตนเองแล้วจำเลยที่ 1 จดทะเบียนให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 แต่เพียงผู้เดียว จากนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองไว้แก่สหกรณ์การเกษตรปฏิรูปที่ดินสุวรรณภูมิสอง จำกัด เป็นการกระทำภายหลังวันที่ 6 สิงหาคม 2560 ที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายกัน โดยที่บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 ในส่วนของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 นั้น เฉพาะแต่จำเลยทั้งสองเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสองย่อมสามารถกระทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ได้ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกทำนิติกรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกของผู้ตายที่ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมนั้นหาได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 และมิใช่กรณีที่จำเลยที่ 2 ยักย้ายทรัพย์มรดกของผู้ตาย ส่วนที่ตนจะได้โดยรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทอื่นที่ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1605 ดังที่โจทก์ทั้งสามฎีกา ดังนั้น โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 กลับสู่กองมรดกของผู้ตายและบังคับให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองได้ ฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่สำหรับที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 49023 ซึ่งตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 นั้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 49023 ยังไม่มีการแบ่งปันให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายและจำเลยที่ 1 ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้น สิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมสิ้นสุดลงเพราะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก แม้จำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 ได้ในฐานะทายาทของจำเลยที่ 1 แต่ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 2 ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนแบ่งปันที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 49023 แทนจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ได้ เพราะกรณีเช่นนี้เป็นสิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 คงพิพากษาได้แต่เพียงแสดงกรรมสิทธิ์ว่าโจทก์ที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 จำนวน 1 ใน 2 ส่วน เมื่อที่ดินพิพาทดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันมรดกของผู้ตาย โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธิแบ่งส่วนเอาจากที่ดินพิพาทดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 เป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 ส่วนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 เป็นสินสมรสระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 ต้องแบ่งให้จำเลยที่ 1 ก่อนครึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1625 (1) ประกอบมาตรา 1533 และเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายครึ่งหนึ่งแล้วจึงแบ่งมรดกให้แก่โจทก์ทั้งสามต่อไปนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ทั้งสามต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
อนี่ง ที่จำเลยทั้งสองแก้ฎีกาว่า โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิใช่ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดก จึงเป็นอุทลุมนั้น เป็นการขอให้ศาลฎีกาเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ซึ่งต้องกระทำโดยการยื่นเป็นคำฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิใช่ขอมาในคำแก้ฎีกา จึงไม่เป็นประเด็นที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยให้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสว่าง แสงสระคู กับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 เฉพาะส่วนที่เป็นสิทธิของโจทก์ทั้งสาม โดยให้โจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินดังกล่าวคนละ 1 ใน 5 ส่วน ให้โจทก์ที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 49023 1 ใน 2 ส่วน คำขอเกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 62649 และคำขออื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
แม้ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามมิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 โดยแจ้งชัดเป็นสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ แต่โจทก์ทั้งสามก็กล่าวอ้างสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายในฐานะทายาทโดยธรรม การที่โจทก์ทั้งสามนำสืบถึงข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เกี่ยวเนื่องกับประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องในการที่โจทก์ทั้งสามขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแบ่งแยกที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละหนึ่งส่วนตามกฎหมาย จึงมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการขอให้บังคับแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย หาใช่เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสามนำสืบแตกต่างกับฟ้องหรือนอกฟ้องนอกประเด็น
การที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นหนังสือและต่างได้ลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 กรณีต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1750 วรรคหนึ่งและวรรคสอง โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองจึงต้องผูกพันต่อกันและได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในบันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันนั้น การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้แก่จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามตามสิทธิอันพึงมีพึงได้แก่โจทก์ทั้งสามตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย ดังนั้น โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิฟ้องร้องให้บังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้ แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้ใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด” ดังนั้น โจทก์ทั้งสามจึงสามารถนำคำพิพากษาของศาลไปให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาได้ และการเพิกถอนดังกล่าวมิใช่หนี้ที่เป็นการทำนิติกรรมที่ศาลจะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 213 วรรคสอง
จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ให้แก่ตนเองแล้วจำเลยที่ 1 จดทะเบียนให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 แต่เพียงผู้เดียว จากนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองไว้แก่สหกรณ์การเกษตร ป. เป็นการกระทำภายหลังวันที่ 6 สิงหาคม 2560 ที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายกัน โดยที่บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 ในส่วนของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 นั้น เฉพาะแต่จำเลยทั้งสองเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสองย่อมสามารถกระทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ได้ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกทำนิติกรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกของผู้ตายที่ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมนั้นหาได้ไม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1722 และมิใช่กรณีที่จำเลยที่ 2 ยักย้ายทรัพย์มรดกของผู้ตายส่วนที่ตนจะได้โดยรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทอื่นที่ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 กลับสู่กองมรดกของผู้ตายและบังคับให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองได้
ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ. 17 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ให้แก่โจทก์ที่ 3 และที่ 2 และยังไม่มีการแบ่งปันให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายและจำเลยที่ 1 ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้น สิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมสิ้นสุดลงเพราะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก แม้จำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 ได้ในฐานะทายาทของจำเลยที่ 1 แต่ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 2 ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนแบ่งปันที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 แทนจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ได้ เพราะกรณีเช่นนี้เป็นสิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 คงพิพากษาได้แต่เพียงแสดงกรรมสิทธิ์ว่าโจทก์ที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 จำนวน 1 ใน 2 ส่วน เมื่อที่ดินพิพาทดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันมรดกของผู้ตาย โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธิแบ่งส่วนเอาจากที่ดินพิพาทดังกล่าวได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้กำจัดจำเลยที่ 2 ไม่ให้มีสิทธิรับมรดกของนางสว่าง ให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสว่างและจำเลยที่ 2 โดยให้จำเลยที่ 1 ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 กลับสู่กองมรดกของนางสว่าง ให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าว หากจำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสว่างแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 ให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละหนึ่งส่วนตามกฎหมาย หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ถูกจำกัดมิให้รับมรดกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 ของนางสว่างผู้ตาย ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยทั้งสองกลับสู่กองมรดกของนางสว่าง ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ตามสัดส่วนที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิได้รับในฐานะทายาทเป็นเนื้อที่คนละ 1 ใน 4 ส่วน คิดจากเนื้อที่ 12 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา เป็นเนื้อที่คนละ 3 ไร่ 40 ตารางวา จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 4 ส่วน คิดจากเนื้อที่ 1 งาน 29 ตารางวา เป็นเนื้อที่คนละ 32.25 ตารางวา โดยปลอดภาระจำนอง หากจำเลยที่ 2 ไม่ไถ่ถอนจำนอง ให้โจทก์ทั้งสามไถ่ถอนจำนองได้เองโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 49023 ให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 4 ส่วน คิดจากเนื้อที่ 3 งาน 24 ตารางวา เป็นเนื้อที่คนละ 81 ตารางวา หากจำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความให้ 6,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยทั้งสองกลับสู่กองมรดกของนางสว่าง ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสามในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 คนละ 1 ใน 5 ส่วนของทรัพย์มรดก ในที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 คนละ 1 ใน 5 ส่วนของทรัพย์มรดกโดยปลอดภาระจำนอง หากจำเลยที่ 2 ไม่ไถ่ถอนจำนอง ให้โจทก์ทั้งสามไถ่ถอนจำนองได้เองโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และในที่ดินโฉนดเลขที่ 49023 คนละ 1 ใน 5 ส่วนของทรัพย์มรดก หากจำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ก่อนศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกา จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 2 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันโดยเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 กับนางสว่าง ผู้ตาย ซึ่งจำเลยที่ 1 กับผู้ตายจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2538 ขณะผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้ตายมีชื่อในทะเบียนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 กับมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาททั้งสามแปลง วันที่ 29 พฤษภาคม 2560 จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยคำสั่งศาล หลังจากนั้นวันที่ 13 มิถุนายน 2560 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ให้แก่ตน ครั้นวันที่ 1 กันยายน 2560 จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ต่อจากนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 2 จำนองที่ดินพิพาทดังกล่าวไว้แก่สหกรณ์การเกษตรปฏิรูปที่ดินสุวรรณภูมิสอง จำกัด และในวันที่ 1 กันยายน 2560 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้จำเลยที่ 2 สำหรับคำขอบังคับของโจทก์ทั้งสามที่ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 หากจำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสาม ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามจึงมิอาจขอให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้ โจทก์ทั้งสามมิได้อุทธรณ์ คำขอให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่า สำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย และจำเลยที่ 2 ถูกกำจัดมิให้รับมรดกของผู้ตายหรือไม่ เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และโฉนดเลขที่ 49023 และ 62649 เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสามนำสืบโดยได้ความจากคำเบิกความของนายเลิศศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน พยานโจทก์ทั้งสามว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560 โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองไปพบนายเลิศศักดิ์และตกลงแบ่งมรดกของผู้ตาย นายเลิศศักดิ์เป็นผู้ทำบันทึกโดยโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้านายเลิศศักดิ์ตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 ซึ่งจำเลยที่ 1 เบิกความรับข้อเท็จจริงในข้อนี้ว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560 จำเลยที่ 1 ได้ทำข้อตกลงเจรจาแบ่งปันที่ดินพิพาทด้วยความสมัครใจที่ทำการผู้ใหญ่บ้านตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 และจำเลยที่ 2 ก็เบิกความรับในข้อนี้เช่นกันว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560 จำเลยที่ 2 เดินทางไปที่ทำการผู้ใหญ่บ้านและได้ลงลายมือชื่อในบันทึกตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 หากผู้ตายยกที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้จำเลยที่ 2 ตามที่ผู้ตายได้แจ้งแก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูผู้ตายดังที่จำเลยทั้งสองนำสืบแล้ว จำเลยทั้งสองคงไม่ไปทำความตกลงกับโจทก์ทั้งสามเกี่ยวกับที่ดินพิพาททั้งสามแปลงตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เป็นแน่ พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองไปตกลงกับโจทก์ทั้งสามเช่นนี้ บ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองยอมรับว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย อีกทั้งเมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จำเลยที่ 1 ก็ระบุตามคำร้องขอว่าผู้ตายมีทรัพย์มรดกคือที่ดินพิพาททั้งสามแปลงดังที่ปรากฏตามคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังเบิกความตอบทนายความโจทก์ทั้งสามถามค้านว่า หลังจากที่จำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้แบ่งทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์ทั้งสามสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2560 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จำเลยทั้งสองกับโจทก์ทั้งสามทำบันทึกตกลงกันตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย ส่วนปัญหาที่ว่าบันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เป็นการตกลงแบ่งปันที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่นั้น แม้ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามมิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงตามสำเนาหนังสือดังกล่าวโดยแจ้งชัดเป็นสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ แต่โจทก์ทั้งสามก็กล่าวอ้างสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายในฐานะทายาทโดยธรรม การที่โจทก์ทั้งสามนำสืบถึงข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 จึงเกี่ยวเนื่องกับประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องในการที่โจทก์ทั้งสามขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแบ่งแยกที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละหนึ่งส่วนตามกฎหมาย จึงมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการขอให้บังคับแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย หาใช่เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสามนำสืบแตกต่างกับฟ้องหรือนอกฟ้องนอกประเด็นดังที่จำเลยทั้งสองแก้ฎีกาไม่ เมื่อพิจารณาบันทึกตามสำเนาหนังสือดังกล่าวซึ่งมีสาระสำคัญว่า ที่นาแปลงเลขที่ 37 หมายเลขระวาง 5739 IV เป็นที่ น.ส. 3 แบ่งออกเป็น 5 ส่วนให้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสอง ที่สวนเป็นโฉนดเลขที่ 59 ระวาง 5739 IV 6206 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 และโฉนดเลขที่ 62649 พร้อมบ้านเลขที่ 37 แบ่งให้จำเลยทั้งสอง ซึ่งที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวตรงกับที่พิพาททั้งสามแปลง โดยปรากฏตามสำเนาหนังสือดังกล่าวว่ามีการลงลายมือชื่อของนายเลิศศักดิ์ผู้ใหญ่บ้านและลายมือชื่อของโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสอง โดยเฉพาะในช่องลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 นั้นมีการระบุไว้ว่าเป็นผู้จัดการมรดกด้วย อันแสดงถึงฐานะของจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายยังเป็นผู้จัดการมรดกที่เป็นตัวแทนของทายาทอื่นของผู้ตายด้วย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นหนังสือและต่างได้ลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือดังที่ปรากฏตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 กรณีต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การแบ่งปันทรัพย์มรดกนั้น อาจทำได้โดยทายาทต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัด หรือโดยการขายทรัพย์มรดกแล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งกันระหว่างทายาท” และวรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้าการแบ่งปันมิได้เป็นไปตามวรรคก่อนแต่ได้ทำโดยสัญญาจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ เว้นแต่จะมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญในกรณีเช่นนี้ให้นำมาตรา 850, 852 แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยประนีประนอมยอมความมาใช้บังคับโดยอนุโลม” ดังนั้น บันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายซึ่งได้ทำโดยสัญญาอันมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดและลงลายมือชื่อของตนซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดไว้เป็นสำคัญ ตามวรรคสองแห่งบทบัญญัติดังกล่าว โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองจึงต้องผูกพันต่อกันและได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในบันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันนั้น การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้แก่จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามตามสิทธิอันพึงมีพึงได้แก่โจทก์ทั้งสามตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย ดังนั้น โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิฟ้องร้องให้บังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้ แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้ใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด” ดังนั้น โจทก์ทั้งสามจึงสามารถนำคำพิพากษาของศาลไปให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาได้ และการเพิกถอนดังกล่าวมิใช่หนี้ที่เป็นการทำนิติกรรมที่ศาลจะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคสอง แม้จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาก็หากระทบกระทั่งถึงสิทธิที่โจทก์ทั้งสามจะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวไม่ แต่เมื่อจำเลยทั้งสองในฐานะทายาทของผู้ตายมีสิทธิในที่ดินพิพาทดังกล่าวตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายคนละ 1 ใน 5 ส่วน เช่นเดียวกับโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 5 ส่วน นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 62649 ให้แก่ตนเองแล้วจำเลยที่ 1 จดทะเบียนให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 แต่เพียงผู้เดียว จากนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองไว้แก่สหกรณ์การเกษตรปฏิรูปที่ดินสุวรรณภูมิสอง จำกัด เป็นการกระทำภายหลังวันที่ 6 สิงหาคม 2560 ที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายกัน โดยที่บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 ในส่วนของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 นั้น เฉพาะแต่จำเลยทั้งสองเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสองย่อมสามารถกระทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ได้ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกทำนิติกรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกของผู้ตายที่ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมนั้นหาได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 และมิใช่กรณีที่จำเลยที่ 2 ยักย้ายทรัพย์มรดกของผู้ตาย ส่วนที่ตนจะได้โดยรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทอื่นที่ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1605 ดังที่โจทก์ทั้งสามฎีกา ดังนั้น โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 กลับสู่กองมรดกของผู้ตายและบังคับให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองได้ ฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่สำหรับที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 49023 ซึ่งตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 นั้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 49023 ยังไม่มีการแบ่งปันให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายและจำเลยที่ 1 ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้น สิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมสิ้นสุดลงเพราะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก แม้จำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 ได้ในฐานะทายาทของจำเลยที่ 1 แต่ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 2 ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนแบ่งปันที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 49023 แทนจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ได้ เพราะกรณีเช่นนี้เป็นสิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 คงพิพากษาได้แต่เพียงแสดงกรรมสิทธิ์ว่าโจทก์ที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 จำนวน 1 ใน 2 ส่วน เมื่อที่ดินพิพาทดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันมรดกของผู้ตาย โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธิแบ่งส่วนเอาจากที่ดินพิพาทดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 เป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 ส่วนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 เป็นสินสมรสระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 ต้องแบ่งให้จำเลยที่ 1 ก่อนครึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1625 (1) ประกอบมาตรา 1533 และเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายครึ่งหนึ่งแล้วจึงแบ่งมรดกให้แก่โจทก์ทั้งสามต่อไปนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ทั้งสามต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
อนี่ง ที่จำเลยทั้งสองแก้ฎีกาว่า โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิใช่ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดก จึงเป็นอุทลุมนั้น เป็นการขอให้ศาลฎีกาเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ซึ่งต้องกระทำโดยการยื่นเป็นคำฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิใช่ขอมาในคำแก้ฎีกา จึงไม่เป็นประเด็นที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยให้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสว่าง แสงสระคู กับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 เฉพาะส่วนที่เป็นสิทธิของโจทก์ทั้งสาม โดยให้โจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินดังกล่าวคนละ 1 ใน 5 ส่วน ให้โจทก์ที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 49023 1 ใน 2 ส่วน คำขอเกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 62649 และคำขออื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (4) บัญญัติให้คิดค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินในอัตราร้อยละสามของเงินสุทธิที่รวบรวมได้ สำหรับทรัพย์สินที่ไม่มีการขายหรือจำหน่ายให้คิดในอัตราร้อยละสองของราคาทรัพย์สินนั้น แต่ถ้ามีการประนอมหนี้ให้คิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละสามของจำนวนเงินที่ประนอมหนี้ ทั้งนี้แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ซึ่งการคิดค่าธรรมเนียมตามบทบัญญัติดังกล่าวต้องคิดจากการที่ผู้คัดค้านที่ 1 รวบรวมทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 มาตรา 109 มาตรา 117 ถึงมาตรา 123 เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลาย คดีนี้ ก่อนผู้ร้องเสนอเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้โดยยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และ 3656 รวม 2 แปลง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ไว้เท่านั้น จำเลยที่ 2 มิได้มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่ผู้ร้อง การที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 138,614,320.12 บาท จึงถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลายตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ผู้คัดค้านที่ 1 เรียกเก็บค่าธรรมเนียมร้อยละสามจากยอดหนี้จำนวน 138,614,320.12 บาท ที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2555 ผู้คัดค้านที่ 1 ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และที่ดินโฉนดเลขที่ 3656 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ที่ได้มาในระหว่างอยู่กินฉันสามีภรรยา ในระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 ประกาศขายทอดตลาด ผู้ร้องได้วางเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 4 ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้จนครบจำนวน ทั้งชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินร้อยละสามเป็นเงิน 4,158,429.60 บาท และค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายร้อยละสองเป็นเงิน 345,939.60 บาท แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ตามที่ผู้คัดค้านที่ 1 แจ้งแล้ว ผู้คัดค้านที่ 1 งดการขายทอดตลาดและถอนการยึดที่ดิน ต่อมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้คืนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน 4,158,429.60 บาท ผู้คัดค้านที่ 1 มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 และให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนเงิน 4,158,429.60 บาท ให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีล้มละลายพิพากษากลับ ให้แก้ไขคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 ตามรายงานเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2563 เป็นให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน 4,158,429.60 บาท ให้แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 และโจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า หลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดมีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ 5 ราย ต่อมาเจ้าหนี้รายที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ขอถอนคำขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 1 ได้ยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้ยึดที่ดินรวม 6 แปลง รวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และที่ดินโฉนดเลขที่ 3656 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ที่ได้มาในระหว่างผู้ร้องและจำเลยที่ 2 อยู่กินฉันสามีภริยา ต่อมาในระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 ประกาศขายทอดตลาด ผู้ร้องวางเงินเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 138,614,320.12 บาท โดยผู้คัดค้านที่ 1 เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินในอัตราร้อยละสามของยอดหนี้ดังกล่าวคำนวณเป็นเงิน 4,158,429.60 บาท และเรียกค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายอีกร้อยละสองของราคาที่ดินทั้งสองแปลงเป็นเงิน 345,939.60 บาท รวมค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ผู้ร้องไม่ได้โต้แย้งคัดค้านในส่วนที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขาย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และโจทก์เพียงประการเดียวว่า ผู้คัดค้านที่ 1 มีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินจากผู้ร้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (4) ได้หรือไม่ โดยผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกาว่า การที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 เสมือนว่าผู้ร้องชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยผู้ร้องได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนที่จำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์รวมเป็นการตอบแทนการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นนิติกรรมต่างตอบแทนไม่ใช่การเสียเปล่า เงินที่ผู้ร้องนำมาวางชำระจึงเป็นเงินของจำเลยที่ 2 เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับไว้ จึงเป็นเงินที่รวบรวมได้ตามนัยแห่งมาตรา 179 (4) แล้ว จึงต้องคิดค่าธรรมเนียมตามกฎหมาย ส่วนโจทก์ฎีกาว่า ตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 1376/2558 กำหนดว่า จำเลย (ลูกหนี้) จะต้องเป็นผู้มีหน้าที่เสียค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน ดังนั้น การที่ผู้ร้องวางเงินเพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ในคดีนี้ ถือว่าเป็นการชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ผู้ร้องจึงต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินแทนลูกหนี้นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (4) บัญญัติให้คิดค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินในอัตราร้อยละสามของเงินสุทธิที่รวบรวมได้ สำหรับทรัพย์สินที่ไม่มีการขายหรือจำหน่ายให้คิดในอัตราร้อยละสองของราคาทรัพย์สินนั้น แต่ถ้ามีการประนอมหนี้ให้คิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละสามของจำนวนเงินที่ประนอมหนี้ ทั้งนี้แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ซึ่งการคิดค่าธรรมเนียมตามบทบัญญัติดังกล่าวต้องคิดจากการที่ผู้คัดค้านที่ 1 รวบรวมทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 มาตรา 109 มาตรา 117 ถึงมาตรา 123 เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลาย คดีนี้ ก่อนผู้ร้องเสนอเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้โดยยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และที่ดินโฉนดเลขที่ 3656 รวม 2 แปลง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ไว้เท่านั้น จำเลยที่ 2 มิได้มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่ผู้ร้อง การที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 138,614,320.12 บาท จึงถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลายตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ผู้คัดค้านที่ 1 เรียกเก็บค่าธรรมเนียมร้อยละสามจากยอดหนี้จำนวน 138,614,320.12 บาท ที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน 4,158,429.60 บาท ให้แก่ผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (4) บัญญัติให้คิดค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินในอัตราร้อยละสามของเงินสุทธิที่รวบรวมได้ สำหรับทรัพย์สินที่ไม่มีการขายหรือจำหน่ายให้คิดในอัตราร้อยละสองของราคาทรัพย์สินนั้น แต่ถ้ามีการประนอมหนี้ให้คิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละสามของจำนวนเงินที่ประนอมหนี้ ทั้งนี้แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ซึ่งการคิดค่าธรรมเนียมตามบทบัญญัติดังกล่าวต้องคิดจากการที่ผู้คัดค้านที่ 1 รวบรวมทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 มาตรา 109 มาตรา 117 ถึงมาตรา 123 เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลาย คดีนี้ ก่อนผู้ร้องเสนอเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้โดยยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และ 3656 รวม 2 แปลง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ไว้เท่านั้น จำเลยที่ 2 มิได้มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่ผู้ร้อง การที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 138,614,320.12 บาท จึงถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลายตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ผู้คัดค้านที่ 1 เรียกเก็บค่าธรรมเนียมร้อยละสามจากยอดหนี้จำนวน 138,614,320.12 บาท ที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2555 ผู้คัดค้านที่ 1 ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และที่ดินโฉนดเลขที่ 3656 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ที่ได้มาในระหว่างอยู่กินฉันสามีภรรยา ในระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 ประกาศขายทอดตลาด ผู้ร้องได้วางเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 4 ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้จนครบจำนวน ทั้งชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินร้อยละสามเป็นเงิน 4,158,429.60 บาท และค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายร้อยละสองเป็นเงิน 345,939.60 บาท แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ตามที่ผู้คัดค้านที่ 1 แจ้งแล้ว ผู้คัดค้านที่ 1 งดการขายทอดตลาดและถอนการยึดที่ดิน ต่อมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้คืนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน 4,158,429.60 บาท ผู้คัดค้านที่ 1 มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 และให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนเงิน 4,158,429.60 บาท ให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีล้มละลายพิพากษากลับ ให้แก้ไขคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 ตามรายงานเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2563 เป็นให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน 4,158,429.60 บาท ให้แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 และโจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า หลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดมีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ 5 ราย ต่อมาเจ้าหนี้รายที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ขอถอนคำขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 1 ได้ยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้ยึดที่ดินรวม 6 แปลง รวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และที่ดินโฉนดเลขที่ 3656 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ที่ได้มาในระหว่างผู้ร้องและจำเลยที่ 2 อยู่กินฉันสามีภริยา ต่อมาในระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 ประกาศขายทอดตลาด ผู้ร้องวางเงินเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 138,614,320.12 บาท โดยผู้คัดค้านที่ 1 เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินในอัตราร้อยละสามของยอดหนี้ดังกล่าวคำนวณเป็นเงิน 4,158,429.60 บาท และเรียกค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายอีกร้อยละสองของราคาที่ดินทั้งสองแปลงเป็นเงิน 345,939.60 บาท รวมค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ผู้ร้องไม่ได้โต้แย้งคัดค้านในส่วนที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขาย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และโจทก์เพียงประการเดียวว่า ผู้คัดค้านที่ 1 มีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินจากผู้ร้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (4) ได้หรือไม่ โดยผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกาว่า การที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 เสมือนว่าผู้ร้องชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยผู้ร้องได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนที่จำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์รวมเป็นการตอบแทนการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นนิติกรรมต่างตอบแทนไม่ใช่การเสียเปล่า เงินที่ผู้ร้องนำมาวางชำระจึงเป็นเงินของจำเลยที่ 2 เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับไว้ จึงเป็นเงินที่รวบรวมได้ตามนัยแห่งมาตรา 179 (4) แล้ว จึงต้องคิดค่าธรรมเนียมตามกฎหมาย ส่วนโจทก์ฎีกาว่า ตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 1376/2558 กำหนดว่า จำเลย (ลูกหนี้) จะต้องเป็นผู้มีหน้าที่เสียค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน ดังนั้น การที่ผู้ร้องวางเงินเพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ในคดีนี้ ถือว่าเป็นการชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ผู้ร้องจึงต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินแทนลูกหนี้นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 (4) บัญญัติให้คิดค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินในอัตราร้อยละสามของเงินสุทธิที่รวบรวมได้ สำหรับทรัพย์สินที่ไม่มีการขายหรือจำหน่ายให้คิดในอัตราร้อยละสองของราคาทรัพย์สินนั้น แต่ถ้ามีการประนอมหนี้ให้คิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละสามของจำนวนเงินที่ประนอมหนี้ ทั้งนี้แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ซึ่งการคิดค่าธรรมเนียมตามบทบัญญัติดังกล่าวต้องคิดจากการที่ผู้คัดค้านที่ 1 รวบรวมทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 มาตรา 109 มาตรา 117 ถึงมาตรา 123 เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลาย คดีนี้ ก่อนผู้ร้องเสนอเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้โดยยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2214 และที่ดินโฉนดเลขที่ 3656 รวม 2 แปลง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ไว้เท่านั้น จำเลยที่ 2 มิได้มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่ผู้ร้อง การที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 138,614,320.12 บาท จึงถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อนำมาแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในคดีล้มละลายตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ผู้คัดค้านที่ 1 เรียกเก็บค่าธรรมเนียมร้อยละสามจากยอดหนี้จำนวน 138,614,320.12 บาท ที่ผู้ร้องเข้าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และผู้คัดค้านที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน 4,158,429.60 บาท ให้แก่ผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านยื่นคำเสนอข้อพิพาทกล่าวอ้างว่าผู้ร้องปฏิบัติผิดสัญญาจ้างงานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาอันถือเป็นสัญญาจ้างทำของ และเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากเหตุที่ปฏิบัติผิดสัญญาดังกล่าว ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงเป็นกรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 ที่บัญญัติให้มีกำหนดอายุความ 10 ปี โดยนับจากวันสิ้นสุดหน้าที่ของผู้ร้องที่จะให้คำปรึกษาแก่ผู้คัดค้าน ซึ่งเป็นขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/12 แล้ว ส่วนเงื่อนไขให้ต้องมีการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรถึงข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้งเพื่อหาข้อยุติก่อนส่งเรื่องให้คณะอนุญาโตตุลาการตามสัญญานั้นมิอาจถือเป็นเงื่อนไขให้เริ่มนับอายุความได้เพราะขัดต่อเจตนารมณ์และหลักการของกฎหมาย
แม้การที่ผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการครั้งแรก อาจถือเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (4) แต่เมื่อคณะอนุญาโตตุลาการในคดีดังกล่าวมีคำชี้ขาดให้ยกคำเสนอข้อพิพาทเพราะเหตุว่าผู้คัดค้านไม่มีอำนาจเสนอข้อพิพาท กรณีย่อมถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 193/18 เมื่อผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทครั้งหลังเกิน 10 ปี นับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/12 จึงขาดอายุความ
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกผู้ร้องในสำนวนแรกซึ่งเป็นผู้คัดค้านในสำนวนหลังว่า ผู้ร้อง และเรียกผู้คัดค้านในสำนวนแรกซึ่งเป็นผู้ร้องในสำนวนหลังว่า ผู้คัดค้าน
สำนวนแรก ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้พิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
สำนวนหลัง ผู้คัดค้านยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้รับสำเนาคำชี้ขาดจากสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม แล้วแต่ไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาด ขอให้ศาลพิพากษาให้ผู้ร้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดดังกล่าวโดยให้ผู้ร้องชำระค่าเสียหายแก่ผู้คัดค้าน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ สถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 76/2560 หมายเลขแดงที่ 179/2562 ระหว่างผู้คัดค้านกับผู้ร้อง ให้ผู้คัดค้านชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้อง โดยกำหนดค่าทนายความ 100,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 30,000 บาท
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า ผู้คัดค้านทำสัญญาจ้างงานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าโรงสีไฟ ท. สัญญาที่ อีบี-แอล64/2546 (EB-L64/2546) กับผู้ร้อง โดยผู้คัดค้านในฐานะผู้ว่าจ้างตกลงจ้างผู้ร้องเป็นผู้รับจ้างให้ทำงานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าโรงสีไฟ ท. โดยใช้แกลบจากโรงสีไฟ ท. และโรงสีบริเวณใกล้เคียงเป็นเชื้อเพลิง เพื่อนำพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ไปใช้ในกิจการโรงสีไฟ ท. และพลังงานที่เหลือจะขายให้แก่ผู้ร้องตามโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ตกลงราคาจ้างรวมค่าวัสดุ สิ่งของ และแรงงานเป็นเงินทั้งสิ้น 8,000,000 บาท ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ถ้าเกิดข้อพิพาทหรือความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับสัญญาหรือข้อผูกพันที่กำหนดไว้ในสัญญาไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม ให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายหาข้อยุติข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้งกันโดยเร็วเท่าที่จะทำได้ ถ้าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาข้อยุติข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้งกันได้ ให้ส่งเรื่องให้คณะอนุญาโตตุลาการเป็นผู้ตัดสิน ผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักระงับข้อพิพาทสำนักงานศาลยุติธรรม เป็นข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 90/2552 สรุปได้ความว่า ผู้ร้องผิดสัญญางานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าโรงสีไฟ ท. ดังกล่าว ทำให้ผู้คัดค้านได้รับความเสียหาย ขอให้มีคำชี้ขาดให้ผู้ร้องชำระค่าเสียหายจากการปฏิบัติผิดสัญญาจำนวน 8,337,015.61 บาท พร้อมดอกเบี้ยของค่าเสียหายดังกล่าวในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันเสนอข้อพิพาทเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน สรุปได้ความว่า ผู้คัดค้านไม่มีอำนาจยื่นคำเสนอข้อพิพาทเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ ผู้ร้องไม่ผิดสัญญาพิพาท ผู้คัดค้านไม่ยอมชำระค่าจ้างตามสัญญาพิพาทในส่วนงานเพิ่มเติม ขอให้ยกคำเสนอข้อพิพาทของผู้คัดค้าน และเรียกร้องแย้งให้ผู้คัดค้านชำระค่างานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาเพิ่มเติมจำนวน 2,257,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราเอ็มโออาร์ (MOR) บวกร้อยละ 2 ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านแก้ข้อเรียกร้องแย้งขอให้ยกข้อเรียกร้องแย้ง ต่อมาคณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดเป็นข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 15/2560 โดยมติเสียงข้างมากให้ยกคำเสนอข้อพิพาทของผู้คัดค้าน และมีมติเอกฉันท์ให้ยกข้อเรียกร้องแย้งของผู้ร้อง โดยวินิจฉัยสรุปความได้ว่า ผู้คัดค้านมิได้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรถึงข้อพิพาทหรือความคิดเห็นที่ขัดแย้งเกี่ยวกับสัญญาพิพาทให้ผู้ร้องทราบโดยตรง อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการให้ครบถ้วนเสียก่อนยื่นคำเสนอข้อพิพาท ผู้คัดค้านจึงไม่มีอำนาจเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ส่วนผู้ร้องทำงานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาส่วนเพิ่มเติมไม่สำเร็จ ถือว่าผิดสัญญา จึงไม่มีสิทธิรับเอาสินจ้างตามข้อเรียกร้องแย้ง หลังจากนั้น ผู้คัดค้านได้มีหนังสือถึงผู้ร้องแจ้งให้ทราบถึงข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างเป็นทางการเพื่อหาข้อยุติ ผู้ร้องมีหนังสือปฏิเสธว่าผู้ร้องมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาและตามคำชี้ขาดข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 90/2552 หมายเลขแดงที่ 15/2560 ก็มิได้ให้ผู้ร้องต้องรับผิดแต่อย่างใด ตามหนังสือเรื่องการระงับข้อพิพาทตามสัญญาจ้างบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาและสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ผู้คัดค้านจึงได้เสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม เป็นคดีนี้คือข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 76/2560 อ้างว่าผู้ร้องผิดสัญญาจ้างงานบริการวิศวกรรมตามสัญญางานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าโรงสีไฟ ท. ทำให้ผู้คัดค้านได้รับความเสียหาย ขอให้มีคำชี้ขาดให้ผู้ร้องชำระค่าเสียหายจากการผิดสัญญาจำนวน 8,337,015.61 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านอ้างโดยสรุปความได้ว่า ผู้คัดค้านใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ข้อเรียกร้องเคลือบคลุม สิทธิเรียกร้องตามสัญญาพิพาทซึ่งถือเป็นสัญญาจ้างทำของขาดอายุความ 10 ปี อันเป็นวันสุดท้ายที่ผู้ร้องทำหน้าที่ที่ปรึกษาให้แก่ผู้คัดค้าน ผู้ร้องปฏิบัติตามสัญญาถูกต้องครบถ้วน ไม่เคยปฏิบัติผิดสัญญา จึงไม่ต้องรับผิดใด ๆ ต่อผู้คัดค้าน ขอให้ยกคำเสนอข้อพิพาท ตามคำคัดค้าน คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดเป็นข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 179/2562 ให้ผู้ร้องชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันที่คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน โดยวินิจฉัยสรุปความได้ว่า ผู้คัดค้านมีอำนาจยื่นคำเสนอข้อพิพาท คำเสนอข้อพิพาทไม่เคลือบคลุม สิทธิเรียกร้องตามคำเสนอข้อพิพาทไม่ขาดอายุความ เนื่องจากเห็นได้ชัดว่ากรณีวันสิ้นสุดหน้าที่ของผู้ร้องที่จะให้คำปรึกษาแก่ผู้คัดค้านคือวันที่ 31 สิงหาคม 2549 ก็ดี กรณีวันที่ 25 กันยายน 2552 ที่ผู้คัดค้านมอบข้อพิพาทให้คณะอนุญาโตตุลาการก็ดี ผู้คัดค้านยังไม่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เพราะผู้คัดค้านยังต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของสัญญาอนุญาโตตุลาการให้ครบถ้วนถูกต้อง โดยต้องแจ้งให้ผู้ร้องทราบเป็นลายลักษณ์อักษรถึงข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้ง และให้คู่พิพาททั้งสองฝ่ายหาข้อยุติกันจนไม่สามารถหาข้อยุติกันได้ ซึ่งผู้คัดค้านปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวจนทราบอย่างเร็วที่สุดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2560 ว่าไม่สามารถหาข้อยุติได้อันเป็นวันเริ่มนับอายุความ ผู้คัดค้านยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม วันที่ 17 สิงหาคม 2560 จึงเป็นการใช้บังคับสิทธิเรียกร้องภายใน 10 ปี ผู้ร้องปฏิบัติผิดสัญญา และต้องรับผิดชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้คัดค้าน แต่เมื่อพิจารณาสัดส่วนที่ผู้คัดค้านซึ่งมีหน้าที่กลั่นกรองเรื่องต่าง ๆ กับเป็นผู้ตัดสินใจครั้งสุดท้ายซึ่งสมควรมีส่วนรับผิดชอบด้วย จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายจำนวน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ตามคำชี้ขาดข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 76/2560 หมายเลขแดงที่ 179/2562 คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในเรื่องอายุความเพียงประเด็นเดียว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนในกรณีที่วินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ โดยผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า คดีไม่ขาดอายุความเนื่องจากอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (4) ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2552 เพราะผู้คัดค้านได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องทราบถึงข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างเป็นทางการเพื่อหาข้อยุติอีกครั้งแล้ว ซึ่งผู้ร้องมีหนังสือปฏิเสธอ้างว่าตนมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2560 ดังนั้น สิทธิเรียกร้องตามคำเสนอข้อพิพาทจึงไม่ขาดอายุความ โดยประเด็นนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ว่า เมื่อผู้คัดค้านยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการเป็นระยะเวลาเกินกว่า 10 ปี ตั้งแต่วันสิ้นสุดหน้าที่ของผู้ร้องที่จะให้คำปรึกษาแก่ผู้คัดค้าน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/13 สิทธิเรียกร้องของผู้คัดค้านจึงขาดอายุความ ที่คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่าไม่ขาดอายุความเป็นการวินิจฉัยโดยปรับบทกฎหมายไม่ถูกต้อง ถือเป็นคำชี้ขาดที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) เห็นว่า คดีนี้ผู้คัดค้านยื่นคำเสนอข้อพิพาทกล่าวอ้างว่าผู้ร้องปฏิบัติผิดสัญญาจ้างงานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าโรงสีไฟ ท.อันถือเป็นสัญญาจ้างทำของ และเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากเหตุที่ปฏิบัติผิดสัญญาดังกล่าว ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ที่บัญญัติให้มีกำหนดอายุความ 10 ปี เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามที่คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่า วันสิ้นสุดหน้าที่ของผู้ร้องที่จะให้คำปรึกษาแก่ผู้คัดค้านคือวันที่ 31 สิงหาคม 2549 การที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการครั้งหลังในวันที่ 17 สิงหาคม 2560 ย่อมเกินอายุความ 10 ปี นับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 แล้ว ส่วนเงื่อนไขให้ต้องมีการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรถึงข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้งเพื่อหาข้อยุติก่อนส่งเรื่องให้คณะอนุญาโตตุลาการตามสัญญานั้นมิอาจถือเป็นเงื่อนไขให้เริ่มนับอายุความได้ตามที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้าง เพราะขัดต่อเจตนารมณ์และหลักการของกฎหมาย อีกทั้งหลังจากมีคำชี้ขาดครั้งแรกก็ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าว แต่กลับได้ความว่าผู้คัดค้านดำเนินการยื่นหนังสือแจ้งข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างเป็นทางการไปยังผู้ร้องตามใบรับเอกสารของผู้ร้อง เพื่อให้เป็นไปตามสัญญาและที่คำชี้ขาดดังกล่าววินิจฉัย กรณีจึงยุติไปตามคำชี้ขาดดังกล่าวว่า ผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทครั้งแรกต่อคณะอนุญาโตตุลาการโดยไม่มีอำนาจเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการให้ครบถ้วน ดังนี้ แม้การที่ผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการครั้งแรกในวันที่ 25 กันยายน 2552 อาจถือเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (4) ดังที่ผู้คัดค้านอ้างมาก็ตาม แต่เมื่อคณะอนุญาโตตุลาการในคดีดังกล่าวมีคำชี้ขาดให้ยกคำเสนอข้อพิพาทเพราะเหตุว่าผู้คัดค้านไม่มีอำนาจเสนอข้อพิพาท กรณีย่อมถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 193/18 เมื่อผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทครั้งหลังในวันที่ 17 สิงหาคม 2560 จึงขาดอายุความ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาโดยให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในสำนวนแรก และศาลชั้นต้นให้พิจารณาพิพากษารวมกับสำนวนหลังที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอบังคับตามคำชี้ขาดดังกล่าว แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำพิพากษาในส่วนคำร้องขอบังคับตามคำชี้ขาดของผู้คัดค้านในสำนวนหลัง จึงเห็นสมควรมีคำพิพากษาให้ครบถ้วน ซึ่งรวมทั้งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในสำนวนดังกล่าวด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการของผู้คัดค้านด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับสำนวนนี้ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านยื่นคำเสนอข้อพิพาทกล่าวอ้างว่าผู้ร้องปฏิบัติผิดสัญญาจ้างงานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาอันถือเป็นสัญญาจ้างทำของ และเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากเหตุที่ปฏิบัติผิดสัญญาดังกล่าว ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงเป็นกรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 ที่บัญญัติให้มีกำหนดอายุความ 10 ปี โดยนับจากวันสิ้นสุดหน้าที่ของผู้ร้องที่จะให้คำปรึกษาแก่ผู้คัดค้าน ซึ่งเป็นขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/12 แล้ว ส่วนเงื่อนไขให้ต้องมีการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรถึงข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้งเพื่อหาข้อยุติก่อนส่งเรื่องให้คณะอนุญาโตตุลาการตามสัญญานั้นมิอาจถือเป็นเงื่อนไขให้เริ่มนับอายุความได้เพราะขัดต่อเจตนารมณ์และหลักการของกฎหมาย
แม้การที่ผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการครั้งแรก อาจถือเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (4) แต่เมื่อคณะอนุญาโตตุลาการในคดีดังกล่าวมีคำชี้ขาดให้ยกคำเสนอข้อพิพาทเพราะเหตุว่าผู้คัดค้านไม่มีอำนาจเสนอข้อพิพาท กรณีย่อมถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 193/18 เมื่อผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทครั้งหลังเกิน 10 ปี นับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/12 จึงขาดอายุความ
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกผู้ร้องในสำนวนแรกซึ่งเป็นผู้คัดค้านในสำนวนหลังว่า ผู้ร้อง และเรียกผู้คัดค้านในสำนวนแรกซึ่งเป็นผู้ร้องในสำนวนหลังว่า ผู้คัดค้าน
สำนวนแรก ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้พิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
สำนวนหลัง ผู้คัดค้านยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้รับสำเนาคำชี้ขาดจากสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม แล้วแต่ไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาด ขอให้ศาลพิพากษาให้ผู้ร้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดดังกล่าวโดยให้ผู้ร้องชำระค่าเสียหายแก่ผู้คัดค้าน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ สถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 76/2560 หมายเลขแดงที่ 179/2562 ระหว่างผู้คัดค้านกับผู้ร้อง ให้ผู้คัดค้านชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้อง โดยกำหนดค่าทนายความ 100,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 30,000 บาท
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า ผู้คัดค้านทำสัญญาจ้างงานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าโรงสีไฟ ท. สัญญาที่ อีบี-แอล64/2546 (EB-L64/2546) กับผู้ร้อง โดยผู้คัดค้านในฐานะผู้ว่าจ้างตกลงจ้างผู้ร้องเป็นผู้รับจ้างให้ทำงานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าโรงสีไฟ ท. โดยใช้แกลบจากโรงสีไฟ ท. และโรงสีบริเวณใกล้เคียงเป็นเชื้อเพลิง เพื่อนำพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ไปใช้ในกิจการโรงสีไฟ ท. และพลังงานที่เหลือจะขายให้แก่ผู้ร้องตามโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ตกลงราคาจ้างรวมค่าวัสดุ สิ่งของ และแรงงานเป็นเงินทั้งสิ้น 8,000,000 บาท ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ถ้าเกิดข้อพิพาทหรือความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับสัญญาหรือข้อผูกพันที่กำหนดไว้ในสัญญาไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม ให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายหาข้อยุติข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้งกันโดยเร็วเท่าที่จะทำได้ ถ้าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาข้อยุติข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้งกันได้ ให้ส่งเรื่องให้คณะอนุญาโตตุลาการเป็นผู้ตัดสิน ผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักระงับข้อพิพาทสำนักงานศาลยุติธรรม เป็นข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 90/2552 สรุปได้ความว่า ผู้ร้องผิดสัญญางานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าโรงสีไฟ ท. ดังกล่าว ทำให้ผู้คัดค้านได้รับความเสียหาย ขอให้มีคำชี้ขาดให้ผู้ร้องชำระค่าเสียหายจากการปฏิบัติผิดสัญญาจำนวน 8,337,015.61 บาท พร้อมดอกเบี้ยของค่าเสียหายดังกล่าวในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันเสนอข้อพิพาทเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน สรุปได้ความว่า ผู้คัดค้านไม่มีอำนาจยื่นคำเสนอข้อพิพาทเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ ผู้ร้องไม่ผิดสัญญาพิพาท ผู้คัดค้านไม่ยอมชำระค่าจ้างตามสัญญาพิพาทในส่วนงานเพิ่มเติม ขอให้ยกคำเสนอข้อพิพาทของผู้คัดค้าน และเรียกร้องแย้งให้ผู้คัดค้านชำระค่างานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาเพิ่มเติมจำนวน 2,257,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราเอ็มโออาร์ (MOR) บวกร้อยละ 2 ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านแก้ข้อเรียกร้องแย้งขอให้ยกข้อเรียกร้องแย้ง ต่อมาคณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดเป็นข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 15/2560 โดยมติเสียงข้างมากให้ยกคำเสนอข้อพิพาทของผู้คัดค้าน และมีมติเอกฉันท์ให้ยกข้อเรียกร้องแย้งของผู้ร้อง โดยวินิจฉัยสรุปความได้ว่า ผู้คัดค้านมิได้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรถึงข้อพิพาทหรือความคิดเห็นที่ขัดแย้งเกี่ยวกับสัญญาพิพาทให้ผู้ร้องทราบโดยตรง อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการให้ครบถ้วนเสียก่อนยื่นคำเสนอข้อพิพาท ผู้คัดค้านจึงไม่มีอำนาจเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ส่วนผู้ร้องทำงานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาส่วนเพิ่มเติมไม่สำเร็จ ถือว่าผิดสัญญา จึงไม่มีสิทธิรับเอาสินจ้างตามข้อเรียกร้องแย้ง หลังจากนั้น ผู้คัดค้านได้มีหนังสือถึงผู้ร้องแจ้งให้ทราบถึงข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างเป็นทางการเพื่อหาข้อยุติ ผู้ร้องมีหนังสือปฏิเสธว่าผู้ร้องมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาและตามคำชี้ขาดข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 90/2552 หมายเลขแดงที่ 15/2560 ก็มิได้ให้ผู้ร้องต้องรับผิดแต่อย่างใด ตามหนังสือเรื่องการระงับข้อพิพาทตามสัญญาจ้างบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาและสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ผู้คัดค้านจึงได้เสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม เป็นคดีนี้คือข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 76/2560 อ้างว่าผู้ร้องผิดสัญญาจ้างงานบริการวิศวกรรมตามสัญญางานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าโรงสีไฟ ท. ทำให้ผู้คัดค้านได้รับความเสียหาย ขอให้มีคำชี้ขาดให้ผู้ร้องชำระค่าเสียหายจากการผิดสัญญาจำนวน 8,337,015.61 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านอ้างโดยสรุปความได้ว่า ผู้คัดค้านใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ข้อเรียกร้องเคลือบคลุม สิทธิเรียกร้องตามสัญญาพิพาทซึ่งถือเป็นสัญญาจ้างทำของขาดอายุความ 10 ปี อันเป็นวันสุดท้ายที่ผู้ร้องทำหน้าที่ที่ปรึกษาให้แก่ผู้คัดค้าน ผู้ร้องปฏิบัติตามสัญญาถูกต้องครบถ้วน ไม่เคยปฏิบัติผิดสัญญา จึงไม่ต้องรับผิดใด ๆ ต่อผู้คัดค้าน ขอให้ยกคำเสนอข้อพิพาท ตามคำคัดค้าน คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดเป็นข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 179/2562 ให้ผู้ร้องชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันที่คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน โดยวินิจฉัยสรุปความได้ว่า ผู้คัดค้านมีอำนาจยื่นคำเสนอข้อพิพาท คำเสนอข้อพิพาทไม่เคลือบคลุม สิทธิเรียกร้องตามคำเสนอข้อพิพาทไม่ขาดอายุความ เนื่องจากเห็นได้ชัดว่ากรณีวันสิ้นสุดหน้าที่ของผู้ร้องที่จะให้คำปรึกษาแก่ผู้คัดค้านคือวันที่ 31 สิงหาคม 2549 ก็ดี กรณีวันที่ 25 กันยายน 2552 ที่ผู้คัดค้านมอบข้อพิพาทให้คณะอนุญาโตตุลาการก็ดี ผู้คัดค้านยังไม่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เพราะผู้คัดค้านยังต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของสัญญาอนุญาโตตุลาการให้ครบถ้วนถูกต้อง โดยต้องแจ้งให้ผู้ร้องทราบเป็นลายลักษณ์อักษรถึงข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้ง และให้คู่พิพาททั้งสองฝ่ายหาข้อยุติกันจนไม่สามารถหาข้อยุติกันได้ ซึ่งผู้คัดค้านปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวจนทราบอย่างเร็วที่สุดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2560 ว่าไม่สามารถหาข้อยุติได้อันเป็นวันเริ่มนับอายุความ ผู้คัดค้านยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม วันที่ 17 สิงหาคม 2560 จึงเป็นการใช้บังคับสิทธิเรียกร้องภายใน 10 ปี ผู้ร้องปฏิบัติผิดสัญญา และต้องรับผิดชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้คัดค้าน แต่เมื่อพิจารณาสัดส่วนที่ผู้คัดค้านซึ่งมีหน้าที่กลั่นกรองเรื่องต่าง ๆ กับเป็นผู้ตัดสินใจครั้งสุดท้ายซึ่งสมควรมีส่วนรับผิดชอบด้วย จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายจำนวน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ตามคำชี้ขาดข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 76/2560 หมายเลขแดงที่ 179/2562 คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในเรื่องอายุความเพียงประเด็นเดียว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนในกรณีที่วินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ โดยผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า คดีไม่ขาดอายุความเนื่องจากอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (4) ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2552 เพราะผู้คัดค้านได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องทราบถึงข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างเป็นทางการเพื่อหาข้อยุติอีกครั้งแล้ว ซึ่งผู้ร้องมีหนังสือปฏิเสธอ้างว่าตนมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2560 ดังนั้น สิทธิเรียกร้องตามคำเสนอข้อพิพาทจึงไม่ขาดอายุความ โดยประเด็นนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ว่า เมื่อผู้คัดค้านยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการเป็นระยะเวลาเกินกว่า 10 ปี ตั้งแต่วันสิ้นสุดหน้าที่ของผู้ร้องที่จะให้คำปรึกษาแก่ผู้คัดค้าน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/13 สิทธิเรียกร้องของผู้คัดค้านจึงขาดอายุความ ที่คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่าไม่ขาดอายุความเป็นการวินิจฉัยโดยปรับบทกฎหมายไม่ถูกต้อง ถือเป็นคำชี้ขาดที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) เห็นว่า คดีนี้ผู้คัดค้านยื่นคำเสนอข้อพิพาทกล่าวอ้างว่าผู้ร้องปฏิบัติผิดสัญญาจ้างงานบริการวิศวกรรมที่ปรึกษาสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าโรงสีไฟ ท.อันถือเป็นสัญญาจ้างทำของ และเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากเหตุที่ปฏิบัติผิดสัญญาดังกล่าว ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ที่บัญญัติให้มีกำหนดอายุความ 10 ปี เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามที่คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่า วันสิ้นสุดหน้าที่ของผู้ร้องที่จะให้คำปรึกษาแก่ผู้คัดค้านคือวันที่ 31 สิงหาคม 2549 การที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการครั้งหลังในวันที่ 17 สิงหาคม 2560 ย่อมเกินอายุความ 10 ปี นับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 แล้ว ส่วนเงื่อนไขให้ต้องมีการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรถึงข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้งเพื่อหาข้อยุติก่อนส่งเรื่องให้คณะอนุญาโตตุลาการตามสัญญานั้นมิอาจถือเป็นเงื่อนไขให้เริ่มนับอายุความได้ตามที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้าง เพราะขัดต่อเจตนารมณ์และหลักการของกฎหมาย อีกทั้งหลังจากมีคำชี้ขาดครั้งแรกก็ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าว แต่กลับได้ความว่าผู้คัดค้านดำเนินการยื่นหนังสือแจ้งข้อพิพาทหรือความเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างเป็นทางการไปยังผู้ร้องตามใบรับเอกสารของผู้ร้อง เพื่อให้เป็นไปตามสัญญาและที่คำชี้ขาดดังกล่าววินิจฉัย กรณีจึงยุติไปตามคำชี้ขาดดังกล่าวว่า ผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทครั้งแรกต่อคณะอนุญาโตตุลาการโดยไม่มีอำนาจเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการให้ครบถ้วน ดังนี้ แม้การที่ผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการครั้งแรกในวันที่ 25 กันยายน 2552 อาจถือเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (4) ดังที่ผู้คัดค้านอ้างมาก็ตาม แต่เมื่อคณะอนุญาโตตุลาการในคดีดังกล่าวมีคำชี้ขาดให้ยกคำเสนอข้อพิพาทเพราะเหตุว่าผู้คัดค้านไม่มีอำนาจเสนอข้อพิพาท กรณีย่อมถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 193/18 เมื่อผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทครั้งหลังในวันที่ 17 สิงหาคม 2560 จึงขาดอายุความ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาโดยให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในสำนวนแรก และศาลชั้นต้นให้พิจารณาพิพากษารวมกับสำนวนหลังที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอบังคับตามคำชี้ขาดดังกล่าว แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำพิพากษาในส่วนคำร้องขอบังคับตามคำชี้ขาดของผู้คัดค้านในสำนวนหลัง จึงเห็นสมควรมีคำพิพากษาให้ครบถ้วน ซึ่งรวมทั้งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในสำนวนดังกล่าวด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการของผู้คัดค้านด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับสำนวนนี้ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ
เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ส่งประกาศขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่ธนาคาร อ. ผู้รับจำนองทราบก่อนการขายทอดตลาด เป็นเหตุให้ศาลจังหวัดธัญบุรีมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด ด้วยเหตุดังกล่าว เป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ในเรื่องสำคัญและเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องมีความระมัดระวังในเรื่องนี้เพราะเป็นหน้าที่ของตนตามกฎหมาย แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำไปโดยปราศจากความระมัดระวัง ย่อมเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ความรับผิดทางละเมิดในกรณีเช่นนี้จึงตกอยู่แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 285 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตามเรื่องความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่เป็นกรณีที่ต้องอยู่ภายใต้บังคับ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เนื่องจากมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ. ฉบับนี้ บัญญัติว่า “บรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับใด ๆ ในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน” ดังนั้น ในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กล่าวคือ มาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. ฉบับนี้ บัญญัติว่า “หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้...” กรณีจึงไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า ข้อ 4 ของหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน มีผลยกเว้นความรับผิดทางละเมิดของเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือไม่ เพียงใด เนื่องจาก ป.วิ.พ. มาตรา 285 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ และ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ได้บัญญัติในเรื่องนี้ไว้แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อ 4 ของหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน ได้ระบุยกเว้นความรับผิดของเจ้าพนักงานบังคับคดีไว้ กรณียังฟังไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีและจำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย จึงเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 285 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ และ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ดังนั้น กรณีต้องรับฟังว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่โจทก์โดยความประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 447,355 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต และให้จำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 417,355 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 12 พฤษภาคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 7,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2561 โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 64838 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี ในคดีหมายเลขแดงที่ ผบ. 4988/2559 ของศาลจังหวัดธัญบุรี และวันที่ 24 ตุลาคม 2561 โจทก์ได้รับการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นชื่อโจทก์ตามสำเนาโฉนดที่ดิน ต่อมาวันที่ 18 มิถุนายน 2562 ศาลจังหวัดธัญบุรีมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเนื่องจากเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ส่งประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ให้ธนาคาร อ. ผู้รับจำนองทราบอันเป็นการขายทอดตลาดทรัพย์ไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ส่งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้รับจำนองทราบ เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 การบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ได้ถูกแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560 ซึ่งมีผลบังคับใช้นับแต่วันที่ 5 กันยายน 2560 เป็นต้นมา ทั้งนี้มาตรา 21 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ บัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้ไม่มีผลกระทบถึงกระบวนพิจารณาของศาลและกระบวนวิธีการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ได้กระทำไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ” และวรรคสอง บัญญัติว่า “ในการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายทอดตลาดไว้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินนั้น ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประกาศขายทอดตลาดดังกล่าวต่อไปจนกว่าจะเสร็จสิ้น” ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี ประกาศขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท รวม 4 นัด นัดที่ 1 ในวันที่ 5 เมษายน 2561 นัดที่ 2 ในวันที่ 26 เมษายน 2561 นัดที่ 3 ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2561 และนัดที่ 4 ในวันที่ 7 มิถุนายน 2561 ซึ่งเป็นวันที่ภายหลังจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 ที่แก้ไขใหม่ มีผลใช้บังคับแล้ว การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 ที่แก้ไขใหม่ กล่าวคือ มาตรา 285 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ความรับผิดทางละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือต่อบุคคลภายนอกเพื่อความเสียหายที่เกิดจากหรือเกี่ยวเนื่องกับการยึด อายัด หรือขายทรัพย์สินโดยมิชอบหรือเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดี หรือการบังคับคดีโดยมิชอบในกรณีอื่น ย่อมไม่ตกแก่เจ้าพนักงานบังคับคดี แต่ตกอยู่แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เว้นแต่ในกรณีเจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้” และวรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ความรับผิดตกแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามวรรคหนึ่ง และเป็นเรื่องความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ การใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่หรือตามกฎหมายอื่นไม่ว่าโดยบุคคลใด ให้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม”อันมีความมุ่งหมายให้คุ้มครองแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดขึ้น จนเป็นเหตุให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลภายนอกได้รับความเสียหายว่าความรับผิดทางละเมิดไม่ตกแก่เจ้าพนักงานบังคับคดี โดยมีข้อยกเว้นกรณีเดียวเท่านั้นที่ความรับผิดทางละเมิดยังตกอยู่แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีคือ กรณีเจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติหน้าที่ไปโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ทั้งนี้การใช้สิทธิฟ้องคดีตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ให้ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรม และมาตรา 331 วรรคสอง บัญญัติว่า “ก่อนการขายทอดตลาดทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องแจ้งกำหนดวัน เวลาและสถานที่ซึ่งจะทำการขายทอดตลาดให้บรรดาผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งปรากฏตามทะเบียนหรือประการอื่นได้ทราบด้วย โดยจะทำการขายทอดตลาดในวันหยุดงานหรือในเวลาใด ๆ นอกเวลาทำการปกติก็ได้ ทั้งนี้ กำหนดวันและเวลาขายดังกล่าวจะต้องไม่น้อยกว่าหกสิบวันนับแต่วันยึด อายัด หรือส่งมอบทรัพย์สินนั้น” และวรรคสาม บัญญัติว่า “เพื่อให้การขายทอดตลาดเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรม บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีมีสิทธิเต็มที่ในการเข้าสู้ราคาหรือหาบุคคลอื่นเข้าสู้ราคาเพื่อให้ได้ราคาตามที่ตนต้องการ และเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเคาะไม้ขายให้แก่ผู้เสนอราคาสูงสุดแล้ว ห้ามมิให้บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีทั้งหลายหยิบยกเรื่องราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดมีจำนวนต่ำเกินสมควรมาเป็นเหตุขอให้มีการเพิกถอนการขายทอดตลาดนั้นอีก” ย่อมเห็นได้ว่า การส่งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้มีส่วนได้เสียทราบเป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องดำเนินการก่อนที่จะขายทอดตลาดทรัพย์เพื่อมิให้ผู้มีส่วนได้เสียหยิบยกเรื่องราคาทรัพย์ที่ขายทอดตลาดว่าเป็นราคาที่ต่ำเกินสมควรมาอ้างเป็นเหตุให้เพิกถอนการขายทอดตลาดได้อีกต่อไป ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีสำนักงานบังคับคดีจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี ไม่ได้ส่งประกาศขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่ธนาคาร อ. ผู้รับจำนอง ได้ทราบก่อนการขายทอดตลาดทรัพย์ เป็นเหตุให้ศาลจังหวัดธัญบุรีมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดด้วยเหตุดังกล่าว จึงเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ในเรื่องสำคัญและเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องมีความระมัดระวังในเรื่องนี้เพราะเป็นหน้าที่ของตนตามกฎหมาย แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำไปโดยปราศจากความระมัดระวัง ย่อมเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ความรับผิดทางละเมิดในกรณีเช่นนี้จึงตกอยู่แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตามเรื่องความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่เป็นกรณีที่ต้องอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เนื่องจากมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ บัญญัติว่า “บรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับใด ๆ ในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน” ดังนั้น ในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กล่าวคือ มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ บัญญัติว่า “หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้...” กรณีจึงไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า ข้อ 4 ของหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน มีผลยกเว้นความรับผิดทางละเมิดของเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือไม่ เพียงใด เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ และพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ได้บัญญัติในเรื่องนี้ไว้แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อ 4 ของหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน ได้ระบุยกเว้นความรับผิดของเจ้าพนักงานบังคับคดีไว้ กรณียังฟังไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีและจำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย จึงเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ และพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ดังนั้น กรณีต้องรับฟังว่า เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี ดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่โจทก์ไปโดยความประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ตามจำนวนค่าเสียหายโดยตรงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ส่วนเรื่องความรับผิดของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะมีหรือไม่ และเพียงใด เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 จะต้องไปดำเนินการตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 8 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ข้อ 38 ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นในผล
อนึ่ง เนื่องจากมีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยพระราชกำหนดฉบับนี้ได้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 เป็นผลให้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดตามมาตรา 224 ปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราตามมาตรา 7 คือ อัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรืออัตราที่ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาในปัญหาข้อนี้ก็ตาม แต่ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 ดังนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราใหม่นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 417,355 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 12 พฤษภาคม 2563) ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 20,000 บาท
เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ส่งประกาศขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่ธนาคาร อ. ผู้รับจำนองทราบก่อนการขายทอดตลาด เป็นเหตุให้ศาลจังหวัดธัญบุรีมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด ด้วยเหตุดังกล่าว เป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ในเรื่องสำคัญและเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องมีความระมัดระวังในเรื่องนี้เพราะเป็นหน้าที่ของตนตามกฎหมาย แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำไปโดยปราศจากความระมัดระวัง ย่อมเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ความรับผิดทางละเมิดในกรณีเช่นนี้จึงตกอยู่แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 285 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตามเรื่องความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่เป็นกรณีที่ต้องอยู่ภายใต้บังคับ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เนื่องจากมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ. ฉบับนี้ บัญญัติว่า “บรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับใด ๆ ในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน” ดังนั้น ในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กล่าวคือ มาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. ฉบับนี้ บัญญัติว่า “หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้...” กรณีจึงไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า ข้อ 4 ของหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน มีผลยกเว้นความรับผิดทางละเมิดของเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือไม่ เพียงใด เนื่องจาก ป.วิ.พ. มาตรา 285 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ และ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ได้บัญญัติในเรื่องนี้ไว้แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อ 4 ของหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน ได้ระบุยกเว้นความรับผิดของเจ้าพนักงานบังคับคดีไว้ กรณียังฟังไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีและจำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย จึงเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 285 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ และ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ดังนั้น กรณีต้องรับฟังว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่โจทก์โดยความประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 447,355 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต และให้จำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 417,355 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 12 พฤษภาคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 7,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2561 โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 64838 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี ในคดีหมายเลขแดงที่ ผบ. 4988/2559 ของศาลจังหวัดธัญบุรี และวันที่ 24 ตุลาคม 2561 โจทก์ได้รับการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นชื่อโจทก์ตามสำเนาโฉนดที่ดิน ต่อมาวันที่ 18 มิถุนายน 2562 ศาลจังหวัดธัญบุรีมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเนื่องจากเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ส่งประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ให้ธนาคาร อ. ผู้รับจำนองทราบอันเป็นการขายทอดตลาดทรัพย์ไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ส่งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้รับจำนองทราบ เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 การบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ได้ถูกแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560 ซึ่งมีผลบังคับใช้นับแต่วันที่ 5 กันยายน 2560 เป็นต้นมา ทั้งนี้มาตรา 21 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ บัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้ไม่มีผลกระทบถึงกระบวนพิจารณาของศาลและกระบวนวิธีการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ได้กระทำไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ” และวรรคสอง บัญญัติว่า “ในการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายทอดตลาดไว้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินนั้น ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประกาศขายทอดตลาดดังกล่าวต่อไปจนกว่าจะเสร็จสิ้น” ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี ประกาศขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท รวม 4 นัด นัดที่ 1 ในวันที่ 5 เมษายน 2561 นัดที่ 2 ในวันที่ 26 เมษายน 2561 นัดที่ 3 ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2561 และนัดที่ 4 ในวันที่ 7 มิถุนายน 2561 ซึ่งเป็นวันที่ภายหลังจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 ที่แก้ไขใหม่ มีผลใช้บังคับแล้ว การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 ที่แก้ไขใหม่ กล่าวคือ มาตรา 285 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ความรับผิดทางละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือต่อบุคคลภายนอกเพื่อความเสียหายที่เกิดจากหรือเกี่ยวเนื่องกับการยึด อายัด หรือขายทรัพย์สินโดยมิชอบหรือเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดี หรือการบังคับคดีโดยมิชอบในกรณีอื่น ย่อมไม่ตกแก่เจ้าพนักงานบังคับคดี แต่ตกอยู่แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เว้นแต่ในกรณีเจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้” และวรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ความรับผิดตกแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามวรรคหนึ่ง และเป็นเรื่องความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ การใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่หรือตามกฎหมายอื่นไม่ว่าโดยบุคคลใด ให้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม”อันมีความมุ่งหมายให้คุ้มครองแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดขึ้น จนเป็นเหตุให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลภายนอกได้รับความเสียหายว่าความรับผิดทางละเมิดไม่ตกแก่เจ้าพนักงานบังคับคดี โดยมีข้อยกเว้นกรณีเดียวเท่านั้นที่ความรับผิดทางละเมิดยังตกอยู่แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีคือ กรณีเจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติหน้าที่ไปโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ทั้งนี้การใช้สิทธิฟ้องคดีตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ให้ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรม และมาตรา 331 วรรคสอง บัญญัติว่า “ก่อนการขายทอดตลาดทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องแจ้งกำหนดวัน เวลาและสถานที่ซึ่งจะทำการขายทอดตลาดให้บรรดาผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งปรากฏตามทะเบียนหรือประการอื่นได้ทราบด้วย โดยจะทำการขายทอดตลาดในวันหยุดงานหรือในเวลาใด ๆ นอกเวลาทำการปกติก็ได้ ทั้งนี้ กำหนดวันและเวลาขายดังกล่าวจะต้องไม่น้อยกว่าหกสิบวันนับแต่วันยึด อายัด หรือส่งมอบทรัพย์สินนั้น” และวรรคสาม บัญญัติว่า “เพื่อให้การขายทอดตลาดเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรม บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีมีสิทธิเต็มที่ในการเข้าสู้ราคาหรือหาบุคคลอื่นเข้าสู้ราคาเพื่อให้ได้ราคาตามที่ตนต้องการ และเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเคาะไม้ขายให้แก่ผู้เสนอราคาสูงสุดแล้ว ห้ามมิให้บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีทั้งหลายหยิบยกเรื่องราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดมีจำนวนต่ำเกินสมควรมาเป็นเหตุขอให้มีการเพิกถอนการขายทอดตลาดนั้นอีก” ย่อมเห็นได้ว่า การส่งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้มีส่วนได้เสียทราบเป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องดำเนินการก่อนที่จะขายทอดตลาดทรัพย์เพื่อมิให้ผู้มีส่วนได้เสียหยิบยกเรื่องราคาทรัพย์ที่ขายทอดตลาดว่าเป็นราคาที่ต่ำเกินสมควรมาอ้างเป็นเหตุให้เพิกถอนการขายทอดตลาดได้อีกต่อไป ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีสำนักงานบังคับคดีจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี ไม่ได้ส่งประกาศขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่ธนาคาร อ. ผู้รับจำนอง ได้ทราบก่อนการขายทอดตลาดทรัพย์ เป็นเหตุให้ศาลจังหวัดธัญบุรีมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดด้วยเหตุดังกล่าว จึงเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ในเรื่องสำคัญและเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องมีความระมัดระวังในเรื่องนี้เพราะเป็นหน้าที่ของตนตามกฎหมาย แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำไปโดยปราศจากความระมัดระวัง ย่อมเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ความรับผิดทางละเมิดในกรณีเช่นนี้จึงตกอยู่แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตามเรื่องความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่เป็นกรณีที่ต้องอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เนื่องจากมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ บัญญัติว่า “บรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับใด ๆ ในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน” ดังนั้น ในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กล่าวคือ มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ บัญญัติว่า “หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้...” กรณีจึงไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า ข้อ 4 ของหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน มีผลยกเว้นความรับผิดทางละเมิดของเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือไม่ เพียงใด เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ และพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ได้บัญญัติในเรื่องนี้ไว้แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อ 4 ของหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน ได้ระบุยกเว้นความรับผิดของเจ้าพนักงานบังคับคดีไว้ กรณียังฟังไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีและจำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย จึงเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ และพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ดังนั้น กรณีต้องรับฟังว่า เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดปทุมธานี สาขาธัญบุรี ดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่โจทก์ไปโดยความประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ตามจำนวนค่าเสียหายโดยตรงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ส่วนเรื่องความรับผิดของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะมีหรือไม่ และเพียงใด เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 จะต้องไปดำเนินการตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 8 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ข้อ 38 ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นในผล
อนึ่ง เนื่องจากมีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยพระราชกำหนดฉบับนี้ได้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 เป็นผลให้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดตามมาตรา 224 ปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราตามมาตรา 7 คือ อัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรืออัตราที่ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาในปัญหาข้อนี้ก็ตาม แต่ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 ดังนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราใหม่นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 417,355 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 12 พฤษภาคม 2563) ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 20,000 บาท
ขณะที่โจทก์สมัครใจลงลายมือชื่อท้ายหนังสือเลิกจ้าง โจทก์ทราบอยู่แล้วว่าถูกจำเลยเลิกจ้างอย่างแน่นอน โจทก์มีอำนาจในการตัดสินใจโดยไม่อยู่ในภาวะที่ต้องเกรงกลัวจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างอีกต่อไป โจทก์ทราบถึงจำนวนค่าจ้างซึ่งนำเพียงฐานเงินเดือนเท่านั้นที่นำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ และพอใจในจำนวนเงิน 1,098,236.95 บาท ที่จำเลยเสนอให้เป็นอย่างดี โจทก์จึงขอรับเงินตามที่จำเลยจะจ่ายให้แก่โจทก์ โดยโจทก์จะไม่ดำเนินการเรียกร้องเงินหรือค่าเสียหายใด ๆ เกี่ยวกับการทำงานเพิ่มเติมจากจำเลยอีก และขอสละสิทธิทั้งหลายที่โจทก์พึงมีต่อจำเลยในเรื่องดังกล่าวทั้งสิ้น ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาซึ่งโจทก์และจำเลยตกลงระงับข้อพิพาทตามสัญญาจ้างแรงงานที่มีแก่กันให้เสร็จสิ้นไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันตามที่ตกลงกันดังกล่าว จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ มีผลใช้บังคับระหว่างโจทก์และจำเลย โจทก์ย่อมผูกพันตามข้อตกลงดังกล่าว จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจำเลยเพิ่มเติมอีก
ในขณะที่จำเลยทำข้อตกลงกับโจทก์ จำเลยย่อมมีสิทธิเสนอข้อตกลงที่นำเพียงฐานเงินเดือนที่จำเลยเข้าใจว่าเป็นค่าจ้างมาคิดคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์พิจารณาได้ การเสนอข้อตกลงจ่ายเงินดังกล่าวของจำเลยจึงหาใช่เป็นการกระทำโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อเสนอที่มุ่งเอาเปรียบโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าต่ำกว่าที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดไม่ ข้อตกลงอันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงมีผลสมบูรณ์ หาได้ขัดต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันจะส่งผลให้เป็นโมฆะแต่อย่างใดไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในส่วนค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกล่วงหน้า จำเลยไม่จำต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายหรือค่าขาดประโยชน์จากการผิดสัญญาจ้างแรงงาน 27,239,544 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 305,951 บาท ค่าชดเชย 1,973,880 บาท ค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณี 1,312,630 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไป ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 888,246 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันมีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์จะได้รับโบนัสสิ้นปี 148,041 บาท
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 9 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 9 ฟังข้อเท็จจริงว่า วันที่ 1 เมษายน 2542 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงาน ตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้างานช่างเทคนิค ปฏิบัติงานบนชายฝั่งและนอกชายฝั่ง ทำงาน 28 วัน แล้วหยุดพัก 14 วัน กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือน วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 จำเลยมีหนังสือบอกเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลวันที่ 1 ธันวาคม 2562 โจทก์สมัครใจลงลายมือชื่อท้ายหนังสือเลิกจ้างมีข้อความทำนองว่า โจทก์รับทราบการบอกเลิกสัญญาจ้างและขอรับเงินตามที่จำเลยจะจ่ายให้แก่โจทก์ตามเอกสารแนบท้าย โดยโจทก์จะไม่ดำเนินการเรียกร้องเงินหรือค่าเสียหายใดๆ เกี่ยวกับการทำงานเพิ่มเติมจากจำเลยอีก และขอสละสิทธิทั้งหลายที่โจทก์พึงมีต่อจำเลยในเรื่องดังกล่าวทั้งสิ้น ขณะที่โจทก์ลงลายมือชื่อดังกล่าว โจทก์ทราบอยู่แล้วว่าถูกจำเลยเลิกจ้างอย่างแน่นอน โจทก์มีอำนาจในการตัดสินใจโดยไม่อยู่ในภาวะที่ต้องเกรงกลัวจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างอีกต่อไป โจทก์ทำงานมาเป็นเวลานาน ขณะเลิกจ้างมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าช่างเทคนิค โจทก์มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์มากสมควร ไม่น่าเชื่อว่า โจทก์จะถูกบีบบังคับให้ลงลายมือชื่อ โจทก์ทราบถึงจำนวนค่าจ้างที่จำเลยนำมาเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และพอใจในจำนวนเงิน 1,098,236.95 บาท ที่จำเลยเสนอให้เป็นอย่างดี นับตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา งานของจำเลยลดลงเนื่องจากเกิดวิกฤตราคาน้ำมันทั่วโลกลดลง ทำให้จำเลยประสบภาวะขาดทุน จำเลยจึงต้องปรับลดจำนวนลูกจ้างที่มีตำแหน่งและหน้าที่งานทำนองเดียวกันให้เหมาะสมกับปริมาณงาน เพื่อประคับประคองให้จำเลยสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ โดยเลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมดมากกว่า 100 คน ลูกจ้างของจำเลยที่มีตำแหน่งและหน้าที่งานทำนองเดียวกับโจทก์มีมากกว่าปริมาณงาน ไม่ปรากฏว่าจำเลยกลั่นแกล้งเลิกจ้างโจทก์ จำเลยไม่ได้ค้างจ่ายค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีให้แก่โจทก์ โจทก์ได้รับค่าทำงานในทะเลอัตราสุดท้ายวันละ 2,400 บาท ค่าทำงานในทะเลของโจทก์นับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2562 คิดย้อนหลังไป 400 วัน เป็นเงิน 566,400 บาท แล้วศาลแรงงานภาค 9 วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์สำหรับค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีขาดอายุความหรือไม่ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงาน และไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าทำงานในทะเล (Offshore Bonus) ถือเป็นค่าจ้าง ต้องนำค่าทำงานในทะเลมาคิดคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าด้วย ทำให้โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายทั้งสิ้น 1,467,606.13 บาท มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายทั้งสิ้น 191,115.84 บาท แต่ข้อตกลงที่โจทก์สละสิทธิไม่เรียกร้องเงินหรือค่าเสียหายใด ๆ เกี่ยวกับการทำงานเพิ่มเติมจากจำเลย ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน มีผลใช้บังคับได้ ไม่ตกเป็นโมฆะ จึงผูกพันโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าส่วนที่เหลือจากจำเลยอีก โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า ข้อตกลงที่โจทก์สละสิทธิไม่เรียกร้องเงินหรือค่าเสียหายใด ๆ เกี่ยวกับการทำงานเพิ่มเติมจากจำเลย เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน มีผลผูกพันและใช้บังคับระหว่างโจทก์และจำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินใด ๆ จากจำเลยได้อีก จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมีเหตุอันสมควร ถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาในข้อที่ว่า ข้อตกลงของโจทก์ในหนังสือเลิกจ้างฉบับลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 มีผลใช้บังคับในส่วนค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องในส่วนค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ และจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าขณะที่โจทก์สมัครใจลงลายมือชื่อท้ายหนังสือเลิกจ้าง โจทก์ทราบอยู่แล้วว่าถูกจำเลยเลิกจ้างอย่างแน่นอน โจทก์มีอำนาจในการตัดสินใจโดยไม่อยู่ในภาวะที่ต้องเกรงกลัวจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างอีกต่อไป โจทก์ทราบถึงจำนวนค่าจ้างซึ่งนำเพียงฐานเงินเดือนเท่านั้นที่นำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ และพอใจในจำนวนเงิน 1,098,236.95 บาท ที่จำเลยเสนอให้เป็นอย่างดี โจทก์จึงขอรับเงินตามที่จำเลยจะจ่ายให้แก่โจทก์ตามเอกสารแนบท้ายดังกล่าว โดยโจทก์จะไม่ดำเนินการเรียกร้องเงินหรือค่าเสียหายใด ๆ เกี่ยวกับการทำงานเพิ่มเติมจากจำเลยอีก และขอสละสิทธิทั้งหลายที่โจทก์พึงมีต่อจำเลยในเรื่องดังกล่าวทั้งสิ้น ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาซึ่งโจทก์และจำเลยตกลงระงับข้อพิพาทตามสัญญาจ้างแรงงานที่มีแก่กันให้เสร็จสิ้นไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันตามที่ตกลงกันดังกล่าว จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ มีผลใช้บังคับระหว่างโจทก์และจำเลย โจทก์ย่อมผูกพันตามข้อตกลงดังกล่าว จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจำเลยเพิ่มเติมอีก แม้โจทก์จะฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาในคดีอื่นว่า ค่าทำงานในทะเล (Offshore Bonus) ที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้างถือเป็นค่าจ้าง แต่จำเลยไม่นำเงินดังกล่าวมาคิดรวมเป็นค่าจ้างเพื่อเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เป็นการมุ่งเอาเปรียบลูกจ้าง ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่มีผลใช้บังคับ อันอาจส่งผลให้ข้อตกลงสละสิทธิระหว่างโจทก์กับจำเลยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้นไม่ระงับสิ้นไป เนื่องจากเป็นข้อตกลงที่ต่ำกว่าเงินตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่กำหนดให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างต้องจ่ายแก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างก็ตาม แต่ในคดีนี้ก็หาได้ปรากฏความเช่นนั้น อีกทั้งแม้หากได้ความตามที่โจทก์โต้แย้งก็ตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่โจทก์กล่าวอ้างก็ไม่ใช่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ถึงที่สุดซึ่งยืนยันว่า เงินค่าทำงานในทะเลเป็นค่าจ้าง ที่ต้องนำมาเป็นฐานในการคิดคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามที่โจทก์เรียกร้องเพิ่มเติมด้วย ดังนั้น ในขณะที่จำเลยทำข้อตกลงกับโจทก์ จำเลยย่อมมีสิทธิเสนอข้อตกลงที่นำเพียงฐานเงินเดือนที่จำเลยเข้าใจว่าเป็นค่าจ้างมาคิดคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์พิจารณาได้ การเสนอข้อตกลงจ่ายเงินดังกล่าวของจำเลยจึงหาใช่เป็นการกระทำโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อเสนอที่มุ่งเอาเปรียบโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าต่ำกว่าที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดตามที่โจทก์ฎีกาไม่ ข้อตกลงอันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงมีผลสมบูรณ์ หาได้ขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันจะส่งผลให้เป็นโมฆะแต่อย่างใดไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในส่วนค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยไม่จำต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดในส่วนนี้จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ขณะที่โจทก์สมัครใจลงลายมือชื่อท้ายหนังสือเลิกจ้าง โจทก์ทราบอยู่แล้วว่าถูกจำเลยเลิกจ้างอย่างแน่นอน โจทก์มีอำนาจในการตัดสินใจโดยไม่อยู่ในภาวะที่ต้องเกรงกลัวจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างอีกต่อไป โจทก์ทราบถึงจำนวนค่าจ้างซึ่งนำเพียงฐานเงินเดือนเท่านั้นที่นำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ และพอใจในจำนวนเงิน 1,098,236.95 บาท ที่จำเลยเสนอให้เป็นอย่างดี โจทก์จึงขอรับเงินตามที่จำเลยจะจ่ายให้แก่โจทก์ โดยโจทก์จะไม่ดำเนินการเรียกร้องเงินหรือค่าเสียหายใด ๆ เกี่ยวกับการทำงานเพิ่มเติมจากจำเลยอีก และขอสละสิทธิทั้งหลายที่โจทก์พึงมีต่อจำเลยในเรื่องดังกล่าวทั้งสิ้น ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาซึ่งโจทก์และจำเลยตกลงระงับข้อพิพาทตามสัญญาจ้างแรงงานที่มีแก่กันให้เสร็จสิ้นไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันตามที่ตกลงกันดังกล่าว จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ มีผลใช้บังคับระหว่างโจทก์และจำเลย โจทก์ย่อมผูกพันตามข้อตกลงดังกล่าว จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจำเลยเพิ่มเติมอีก
ในขณะที่จำเลยทำข้อตกลงกับโจทก์ จำเลยย่อมมีสิทธิเสนอข้อตกลงที่นำเพียงฐานเงินเดือนที่จำเลยเข้าใจว่าเป็นค่าจ้างมาคิดคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์พิจารณาได้ การเสนอข้อตกลงจ่ายเงินดังกล่าวของจำเลยจึงหาใช่เป็นการกระทำโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อเสนอที่มุ่งเอาเปรียบโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าต่ำกว่าที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดไม่ ข้อตกลงอันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงมีผลสมบูรณ์ หาได้ขัดต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันจะส่งผลให้เป็นโมฆะแต่อย่างใดไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในส่วนค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกล่วงหน้า จำเลยไม่จำต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายหรือค่าขาดประโยชน์จากการผิดสัญญาจ้างแรงงาน 27,239,544 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 305,951 บาท ค่าชดเชย 1,973,880 บาท ค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณี 1,312,630 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไป ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 888,246 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันมีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์จะได้รับโบนัสสิ้นปี 148,041 บาท
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 9 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 9 ฟังข้อเท็จจริงว่า วันที่ 1 เมษายน 2542 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงาน ตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้างานช่างเทคนิค ปฏิบัติงานบนชายฝั่งและนอกชายฝั่ง ทำงาน 28 วัน แล้วหยุดพัก 14 วัน กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือน วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 จำเลยมีหนังสือบอกเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลวันที่ 1 ธันวาคม 2562 โจทก์สมัครใจลงลายมือชื่อท้ายหนังสือเลิกจ้างมีข้อความทำนองว่า โจทก์รับทราบการบอกเลิกสัญญาจ้างและขอรับเงินตามที่จำเลยจะจ่ายให้แก่โจทก์ตามเอกสารแนบท้าย โดยโจทก์จะไม่ดำเนินการเรียกร้องเงินหรือค่าเสียหายใดๆ เกี่ยวกับการทำงานเพิ่มเติมจากจำเลยอีก และขอสละสิทธิทั้งหลายที่โจทก์พึงมีต่อจำเลยในเรื่องดังกล่าวทั้งสิ้น ขณะที่โจทก์ลงลายมือชื่อดังกล่าว โจทก์ทราบอยู่แล้วว่าถูกจำเลยเลิกจ้างอย่างแน่นอน โจทก์มีอำนาจในการตัดสินใจโดยไม่อยู่ในภาวะที่ต้องเกรงกลัวจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างอีกต่อไป โจทก์ทำงานมาเป็นเวลานาน ขณะเลิกจ้างมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าช่างเทคนิค โจทก์มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์มากสมควร ไม่น่าเชื่อว่า โจทก์จะถูกบีบบังคับให้ลงลายมือชื่อ โจทก์ทราบถึงจำนวนค่าจ้างที่จำเลยนำมาเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และพอใจในจำนวนเงิน 1,098,236.95 บาท ที่จำเลยเสนอให้เป็นอย่างดี นับตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา งานของจำเลยลดลงเนื่องจากเกิดวิกฤตราคาน้ำมันทั่วโลกลดลง ทำให้จำเลยประสบภาวะขาดทุน จำเลยจึงต้องปรับลดจำนวนลูกจ้างที่มีตำแหน่งและหน้าที่งานทำนองเดียวกันให้เหมาะสมกับปริมาณงาน เพื่อประคับประคองให้จำเลยสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ โดยเลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมดมากกว่า 100 คน ลูกจ้างของจำเลยที่มีตำแหน่งและหน้าที่งานทำนองเดียวกับโจทก์มีมากกว่าปริมาณงาน ไม่ปรากฏว่าจำเลยกลั่นแกล้งเลิกจ้างโจทก์ จำเลยไม่ได้ค้างจ่ายค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีให้แก่โจทก์ โจทก์ได้รับค่าทำงานในทะเลอัตราสุดท้ายวันละ 2,400 บาท ค่าทำงานในทะเลของโจทก์นับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2562 คิดย้อนหลังไป 400 วัน เป็นเงิน 566,400 บาท แล้วศาลแรงงานภาค 9 วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์สำหรับค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีขาดอายุความหรือไม่ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงาน และไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าทำงานในทะเล (Offshore Bonus) ถือเป็นค่าจ้าง ต้องนำค่าทำงานในทะเลมาคิดคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าด้วย ทำให้โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายทั้งสิ้น 1,467,606.13 บาท มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายทั้งสิ้น 191,115.84 บาท แต่ข้อตกลงที่โจทก์สละสิทธิไม่เรียกร้องเงินหรือค่าเสียหายใด ๆ เกี่ยวกับการทำงานเพิ่มเติมจากจำเลย ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน มีผลใช้บังคับได้ ไม่ตกเป็นโมฆะ จึงผูกพันโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าส่วนที่เหลือจากจำเลยอีก โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า ข้อตกลงที่โจทก์สละสิทธิไม่เรียกร้องเงินหรือค่าเสียหายใด ๆ เกี่ยวกับการทำงานเพิ่มเติมจากจำเลย เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน มีผลผูกพันและใช้บังคับระหว่างโจทก์และจำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินใด ๆ จากจำเลยได้อีก จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมีเหตุอันสมควร ถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาในข้อที่ว่า ข้อตกลงของโจทก์ในหนังสือเลิกจ้างฉบับลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 มีผลใช้บังคับในส่วนค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องในส่วนค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ และจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าขณะที่โจทก์สมัครใจลงลายมือชื่อท้ายหนังสือเลิกจ้าง โจทก์ทราบอยู่แล้วว่าถูกจำเลยเลิกจ้างอย่างแน่นอน โจทก์มีอำนาจในการตัดสินใจโดยไม่อยู่ในภาวะที่ต้องเกรงกลัวจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างอีกต่อไป โจทก์ทราบถึงจำนวนค่าจ้างซึ่งนำเพียงฐานเงินเดือนเท่านั้นที่นำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ และพอใจในจำนวนเงิน 1,098,236.95 บาท ที่จำเลยเสนอให้เป็นอย่างดี โจทก์จึงขอรับเงินตามที่จำเลยจะจ่ายให้แก่โจทก์ตามเอกสารแนบท้ายดังกล่าว โดยโจทก์จะไม่ดำเนินการเรียกร้องเงินหรือค่าเสียหายใด ๆ เกี่ยวกับการทำงานเพิ่มเติมจากจำเลยอีก และขอสละสิทธิทั้งหลายที่โจทก์พึงมีต่อจำเลยในเรื่องดังกล่าวทั้งสิ้น ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาซึ่งโจทก์และจำเลยตกลงระงับข้อพิพาทตามสัญญาจ้างแรงงานที่มีแก่กันให้เสร็จสิ้นไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันตามที่ตกลงกันดังกล่าว จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ มีผลใช้บังคับระหว่างโจทก์และจำเลย โจทก์ย่อมผูกพันตามข้อตกลงดังกล่าว จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจำเลยเพิ่มเติมอีก แม้โจทก์จะฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาในคดีอื่นว่า ค่าทำงานในทะเล (Offshore Bonus) ที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้างถือเป็นค่าจ้าง แต่จำเลยไม่นำเงินดังกล่าวมาคิดรวมเป็นค่าจ้างเพื่อเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เป็นการมุ่งเอาเปรียบลูกจ้าง ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่มีผลใช้บังคับ อันอาจส่งผลให้ข้อตกลงสละสิทธิระหว่างโจทก์กับจำเลยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้นไม่ระงับสิ้นไป เนื่องจากเป็นข้อตกลงที่ต่ำกว่าเงินตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่กำหนดให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างต้องจ่ายแก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างก็ตาม แต่ในคดีนี้ก็หาได้ปรากฏความเช่นนั้น อีกทั้งแม้หากได้ความตามที่โจทก์โต้แย้งก็ตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่โจทก์กล่าวอ้างก็ไม่ใช่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ถึงที่สุดซึ่งยืนยันว่า เงินค่าทำงานในทะเลเป็นค่าจ้าง ที่ต้องนำมาเป็นฐานในการคิดคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามที่โจทก์เรียกร้องเพิ่มเติมด้วย ดังนั้น ในขณะที่จำเลยทำข้อตกลงกับโจทก์ จำเลยย่อมมีสิทธิเสนอข้อตกลงที่นำเพียงฐานเงินเดือนที่จำเลยเข้าใจว่าเป็นค่าจ้างมาคิดคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์พิจารณาได้ การเสนอข้อตกลงจ่ายเงินดังกล่าวของจำเลยจึงหาใช่เป็นการกระทำโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อเสนอที่มุ่งเอาเปรียบโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าต่ำกว่าที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดตามที่โจทก์ฎีกาไม่ ข้อตกลงอันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงมีผลสมบูรณ์ หาได้ขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันจะส่งผลให้เป็นโมฆะแต่อย่างใดไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในส่วนค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยไม่จำต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดในส่วนนี้จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 21 มาตรา 22 มาตรา 31 มาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 52 วรรคหก มาตรา 57 หรือมาตรา 60 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” และวรรคสอง บัญญัติว่า “นอกจากต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่งแล้ว ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 21 มาตรา 31 มาตรา 32 มาตรา 34 หรือมาตรา 57 ยังต้องระวางโทษปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง” ดังนั้นแม้ว่าโจทก์จะมิได้ระบุคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวัน แต่โจทก์ฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21 ประกอบมาตรา 65 มาแล้ว และเมื่อฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 21 จึงต้องระวางโทษจำเลยตามมาตรา 65 ทั้งวรรคหนึ่งและวรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 65 ทั้งวรรคหนึ่งและวรรคสอง และลงโทษปรับเป็นรายวันมานั้น จึงไม่เกินคำขอของโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 21, 65, 69, 71
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21, 65 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 69 จำคุก 2 เดือน และปรับ 30,000 บาท และปรับจำเลยเป็นรายวัน วันละ 200 บาท นับตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 15,000 บาท และปรับจำเลยเป็นรายวัน วันละ 100 บาท นับตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวันตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคสอง โดยโจทก์มิได้มีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวันมาด้วยเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 21 มาตรา 22 มาตรา 31 มาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 52 วรรคหก มาตรา 57 หรือมาตรา 60 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” และวรรคสองบัญญัติว่า “นอกจากต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่งแล้ว ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 21 มาตรา 31 มาตรา 32 มาตรา 34 หรือมาตรา 57 ยังต้องระวางโทษปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง” ดังนั้น แม้ว่าโจทก์จะมิได้ระบุคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวัน แต่โจทก์ฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21 ประกอบมาตรา 65 มาแล้ว และเมื่อฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 21 จึงต้องระวางโทษจำเลยตามมาตรา 65 ทั้งวรรคหนึ่งและวรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 65 ทั้งวรรคหนึ่งและวรรคสองและลงโทษปรับเป็นรายวันมานั้น จึงไม่เกินคำขอของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน
พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 21 มาตรา 22 มาตรา 31 มาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 52 วรรคหก มาตรา 57 หรือมาตรา 60 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” และวรรคสอง บัญญัติว่า “นอกจากต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่งแล้ว ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 21 มาตรา 31 มาตรา 32 มาตรา 34 หรือมาตรา 57 ยังต้องระวางโทษปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง” ดังนั้นแม้ว่าโจทก์จะมิได้ระบุคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวัน แต่โจทก์ฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21 ประกอบมาตรา 65 มาแล้ว และเมื่อฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 21 จึงต้องระวางโทษจำเลยตามมาตรา 65 ทั้งวรรคหนึ่งและวรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 65 ทั้งวรรคหนึ่งและวรรคสอง และลงโทษปรับเป็นรายวันมานั้น จึงไม่เกินคำขอของโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 21, 65, 69, 71
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21, 65 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 69 จำคุก 2 เดือน และปรับ 30,000 บาท และปรับจำเลยเป็นรายวัน วันละ 200 บาท นับตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 15,000 บาท และปรับจำเลยเป็นรายวัน วันละ 100 บาท นับตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวันตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคสอง โดยโจทก์มิได้มีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวันมาด้วยเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 21 มาตรา 22 มาตรา 31 มาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 52 วรรคหก มาตรา 57 หรือมาตรา 60 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” และวรรคสองบัญญัติว่า “นอกจากต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่งแล้ว ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 21 มาตรา 31 มาตรา 32 มาตรา 34 หรือมาตรา 57 ยังต้องระวางโทษปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง” ดังนั้น แม้ว่าโจทก์จะมิได้ระบุคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวัน แต่โจทก์ฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21 ประกอบมาตรา 65 มาแล้ว และเมื่อฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 21 จึงต้องระวางโทษจำเลยตามมาตรา 65 ทั้งวรรคหนึ่งและวรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 65 ทั้งวรรคหนึ่งและวรรคสองและลงโทษปรับเป็นรายวันมานั้น จึงไม่เกินคำขอของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน
คดีนี้โจทก์ฟ้องของให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 3, 32, 43 ซึ่งมาตรา 32 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม” และวรรคสองบัญญัติว่า “การโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ใด ๆ โดยผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทให้กระทำได้เฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสาร และความรู้เชิงสร้างสรรค์สังคม โดยไม่มีการปรากฏภาพของสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น เว้นแต่เป็นการปรากฏของภาพสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสัญลักษณ์ของบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเท่านั้น ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง” ได้ความจาก ส. พยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านว่า ภาพช้างสีขาวสองเชือกหันหน้าเข้าหากันภายใต้น้ำพุสีเหลืองทองประกอบข้อความภาษาไทยสีขาวว่า “เครื่องดื่มตราช้าง” ข้อความภาษาอังกฤษสีขาวว่า “Chang” บนพื้นหลังสีเขียวตรงกับเครื่องหมายการค้าของบริษัท บ. ซึ่งจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าประเภทน้ำดื่ม เครื่องดื่มน้ำแร่ น้ำโซดา และขวดน้ำดื่มตราช้าง และมีสัญลักษณ์ตรงกับเครื่องดื่มตราช้างบนแผ่นป้ายไวนิล อีกทั้งภาพถ่ายขวดเบียร์ช้างไม่มีคำว่าเครื่องดื่มตราช้าง มีแต่ถ้อยคำเป็นภาษาอังกฤษว่า “PRODUCT OF THAILAND”, “LAGER BEER”, “CLASSIC BEER” และ ส. ยอมรับอีกว่า บริษัท บ. จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับเบียร์ น้ำดื่ม น้ำโซดาและน้ำแร่ แยกต่างหากจากกัน ย่อมแสดงให้เห็นว่า แผ่นป้ายไวนิลตามฟ้องเป็นเพียงเครื่องหมายการค้าที่แสดงว่าเป็นเครื่องหมายการค้าที่ใช้กับสินค้าน้ำดื่ม น้ำโซดาและน้ำแร่ จึงเป็นการส่งเสริมการขายสินค้าประเภทน้ำดื่ม น้ำโซดาและน้ำแร่ มิใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามนิยาม “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 3 การที่จำเลยติดแผ่นป้ายไวนิลที่หน้าร้านจึงไม่เป็นการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 3, 32, 43 พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 152 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 29, 41, 43, 45
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 32 วรรคหนึ่ง, 43 วรรคหนึ่ง ปรับ 10,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 7,500 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า วันที่ 28 มิถุนายน 2562 เวลากลางวัน นายสัญชัย ข้าราชการบำนาญ แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า จำเลยเป็นเจ้าของร้าน ส. ขายสินค้าเบ็ดเตล็ด หน้าร้านติดตั้งแผ่นป้ายไวนิล มีพื้นหลังเป็นสีเขียว มีภาพช้างสีขาวสองเชือกหันหน้าเข้าหากันภายใต้น้ำพุสีเหลืองทอง ประกอบข้อความภาษาไทยสีขาวว่า “เครื่องดื่มตรา ช.” ข้อความภาษาอังกฤษสีขาวว่า “Chang” บนพื้นหลังสีเขียว ต่อมาวันที่ 21 เมษายน 2564 จำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน โดยพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยว่า โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยผิดกฎหมาย จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า แผ่นป้ายไวนิลมีพื้นหลังเป็นสีเขียว มีภาพช้างสีขาวสองเชือกหันหน้าเข้าหากันภายใต้น้ำพุสีเหลืองทอง ประกอบข้อความภาษาไทยสีขาวว่า “เครื่องดื่มตรา ช.” ข้อความภาษาอังกฤษสีขาวว่า “Chang” บนพื้นหลังสีเขียว มีลักษณะคล้ายกับเครื่องหมายที่ใช้สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประเภทเบียร์ ยี่ห้อ ช. และการที่จำเลยใช้ป้ายไวนิลที่มีสัญลักษณ์ดังกล่าวติดไว้ที่หน้าร้าน ถือว่าเป็นการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 3, 32, 43 ซึ่งมาตรา 32 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม” และวรรคสองบัญญัติว่า “การโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ใด ๆ โดยผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทให้กระทำได้เฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสาร และความรู้เชิงสร้างสรรค์สังคม โดยไม่มีการปรากฏภาพของสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น เว้นแต่เป็นการปรากฏของภาพสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสัญลักษณ์ของบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเท่านั้น ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง” ได้ความจากนายสัญชัย พยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านว่า ภาพช้างสีขาวสองเชือกหันหน้าเข้าหากันภายใต้น้ำพุสีเหลืองทอง ประกอบข้อความภาษาไทยสีขาวว่า “เครื่องดื่มตรา ช.” ข้อความภาษาอังกฤษสีขาวว่า “Chang” บนพื้นหลังสีเขียว ที่ปรากฏบนแผ่นป้ายไวนิลของกลาง ตรงกับเครื่องหมายการค้าของบริษัท บ. ซึ่งจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าประเภทน้ำดื่ม เครื่องดื่มน้ำแร่ น้ำโซดา และขวดน้ำดื่มตราช้าง และมีสัญลักษณ์ตรงกับเครื่องดื่มตราช้างบนแผ่นป้ายไวนิล อีกทั้งภาพถ่ายขวดเบียร์ช้าง ไม่มีคำว่าเครื่องดื่มตราช้าง มีแต่ถ้อยคำเป็นภาษาอังกฤษว่า “PRODUCT OF THAILAND”, “LAGER BEER” และ “CLASSIC BEER” และนายสัญชัยยอมรับอีกว่า บริษัท บ. จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับเบียร์ น้ำดื่ม น้ำโซดาและน้ำแร่ แยกต่างหากจากกัน ย่อมแสดงให้เห็นว่า แผ่นป้ายไวนิล เป็นเพียงเครื่องหมายการค้าที่แสดงว่า เป็นเครื่องหมายการค้าที่ใช้กับสินค้าน้ำดื่ม น้ำโซดา และน้ำแร่ จึงเป็นการส่งเสริมการขายสินค้าประเภทน้ำดื่ม น้ำโซดา และน้ำแร่ มิใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามนิยาม “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” แห่งพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 3 การที่จำเลยติดแผ่นป้ายไวนิลที่หน้าร้านจึงไม่เป็นการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
คดีนี้โจทก์ฟ้องของให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 3, 32, 43 ซึ่งมาตรา 32 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม” และวรรคสองบัญญัติว่า “การโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ใด ๆ โดยผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทให้กระทำได้เฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสาร และความรู้เชิงสร้างสรรค์สังคม โดยไม่มีการปรากฏภาพของสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น เว้นแต่เป็นการปรากฏของภาพสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสัญลักษณ์ของบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเท่านั้น ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง” ได้ความจาก ส. พยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านว่า ภาพช้างสีขาวสองเชือกหันหน้าเข้าหากันภายใต้น้ำพุสีเหลืองทองประกอบข้อความภาษาไทยสีขาวว่า “เครื่องดื่มตราช้าง” ข้อความภาษาอังกฤษสีขาวว่า “Chang” บนพื้นหลังสีเขียวตรงกับเครื่องหมายการค้าของบริษัท บ. ซึ่งจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าประเภทน้ำดื่ม เครื่องดื่มน้ำแร่ น้ำโซดา และขวดน้ำดื่มตราช้าง และมีสัญลักษณ์ตรงกับเครื่องดื่มตราช้างบนแผ่นป้ายไวนิล อีกทั้งภาพถ่ายขวดเบียร์ช้างไม่มีคำว่าเครื่องดื่มตราช้าง มีแต่ถ้อยคำเป็นภาษาอังกฤษว่า “PRODUCT OF THAILAND”, “LAGER BEER”, “CLASSIC BEER” และ ส. ยอมรับอีกว่า บริษัท บ. จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับเบียร์ น้ำดื่ม น้ำโซดาและน้ำแร่ แยกต่างหากจากกัน ย่อมแสดงให้เห็นว่า แผ่นป้ายไวนิลตามฟ้องเป็นเพียงเครื่องหมายการค้าที่แสดงว่าเป็นเครื่องหมายการค้าที่ใช้กับสินค้าน้ำดื่ม น้ำโซดาและน้ำแร่ จึงเป็นการส่งเสริมการขายสินค้าประเภทน้ำดื่ม น้ำโซดาและน้ำแร่ มิใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามนิยาม “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 3 การที่จำเลยติดแผ่นป้ายไวนิลที่หน้าร้านจึงไม่เป็นการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 3, 32, 43 พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 152 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 29, 41, 43, 45
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 32 วรรคหนึ่ง, 43 วรรคหนึ่ง ปรับ 10,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 7,500 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า วันที่ 28 มิถุนายน 2562 เวลากลางวัน นายสัญชัย ข้าราชการบำนาญ แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า จำเลยเป็นเจ้าของร้าน ส. ขายสินค้าเบ็ดเตล็ด หน้าร้านติดตั้งแผ่นป้ายไวนิล มีพื้นหลังเป็นสีเขียว มีภาพช้างสีขาวสองเชือกหันหน้าเข้าหากันภายใต้น้ำพุสีเหลืองทอง ประกอบข้อความภาษาไทยสีขาวว่า “เครื่องดื่มตรา ช.” ข้อความภาษาอังกฤษสีขาวว่า “Chang” บนพื้นหลังสีเขียว ต่อมาวันที่ 21 เมษายน 2564 จำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน โดยพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยว่า โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยผิดกฎหมาย จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า แผ่นป้ายไวนิลมีพื้นหลังเป็นสีเขียว มีภาพช้างสีขาวสองเชือกหันหน้าเข้าหากันภายใต้น้ำพุสีเหลืองทอง ประกอบข้อความภาษาไทยสีขาวว่า “เครื่องดื่มตรา ช.” ข้อความภาษาอังกฤษสีขาวว่า “Chang” บนพื้นหลังสีเขียว มีลักษณะคล้ายกับเครื่องหมายที่ใช้สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประเภทเบียร์ ยี่ห้อ ช. และการที่จำเลยใช้ป้ายไวนิลที่มีสัญลักษณ์ดังกล่าวติดไว้ที่หน้าร้าน ถือว่าเป็นการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 3, 32, 43 ซึ่งมาตรา 32 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม” และวรรคสองบัญญัติว่า “การโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ใด ๆ โดยผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทให้กระทำได้เฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสาร และความรู้เชิงสร้างสรรค์สังคม โดยไม่มีการปรากฏภาพของสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น เว้นแต่เป็นการปรากฏของภาพสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสัญลักษณ์ของบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเท่านั้น ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง” ได้ความจากนายสัญชัย พยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านว่า ภาพช้างสีขาวสองเชือกหันหน้าเข้าหากันภายใต้น้ำพุสีเหลืองทอง ประกอบข้อความภาษาไทยสีขาวว่า “เครื่องดื่มตรา ช.” ข้อความภาษาอังกฤษสีขาวว่า “Chang” บนพื้นหลังสีเขียว ที่ปรากฏบนแผ่นป้ายไวนิลของกลาง ตรงกับเครื่องหมายการค้าของบริษัท บ. ซึ่งจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าประเภทน้ำดื่ม เครื่องดื่มน้ำแร่ น้ำโซดา และขวดน้ำดื่มตราช้าง และมีสัญลักษณ์ตรงกับเครื่องดื่มตราช้างบนแผ่นป้ายไวนิล อีกทั้งภาพถ่ายขวดเบียร์ช้าง ไม่มีคำว่าเครื่องดื่มตราช้าง มีแต่ถ้อยคำเป็นภาษาอังกฤษว่า “PRODUCT OF THAILAND”, “LAGER BEER” และ “CLASSIC BEER” และนายสัญชัยยอมรับอีกว่า บริษัท บ. จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับเบียร์ น้ำดื่ม น้ำโซดาและน้ำแร่ แยกต่างหากจากกัน ย่อมแสดงให้เห็นว่า แผ่นป้ายไวนิล เป็นเพียงเครื่องหมายการค้าที่แสดงว่า เป็นเครื่องหมายการค้าที่ใช้กับสินค้าน้ำดื่ม น้ำโซดา และน้ำแร่ จึงเป็นการส่งเสริมการขายสินค้าประเภทน้ำดื่ม น้ำโซดา และน้ำแร่ มิใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามนิยาม “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” แห่งพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 3 การที่จำเลยติดแผ่นป้ายไวนิลที่หน้าร้านจึงไม่เป็นการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ขอสินเชื่อจากโจทก์โดยตกลงชำระดอกเบี้ยโดยใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (BIBOR) (3 เดือน) บวกร้อยละ 3 ต่อปี และสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ: อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลอนดอน (LIBOR) บวกร้อยละ 3 ต่อปี แต่หากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดจำเลยที่ 1 จะต้องชำระดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราสูงสุดตามประกาศการเรียกเก็บเงินให้กู้ยืมหรือหนี้ที่ผิดนัดชำระในช่วงเวลานั้น ๆ ของธนาคารที่ได้มีการประกาศเป็นคราว ๆ ตามขอบเขตที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายจากยอดเงินกู้หรือภาระหนี้ที่ผิดนัด โดยอัตราดอกเบี้ยผิดนัดขณะทำสัญญาเท่ากับอัตราร้อยละ 22.25 ต่อปี กรณีเช่นนี้จึงเป็นภาระชำระดอกเบี้ยในอัตราที่สูงขึ้นหลังจากผิดนัดชำระหนี้ ข้อสัญญาเรื่องดอกเบี้ยเช่นนี้จึงมีลักษณะเป็นการกำหนดค่าเสียหายในรูปดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดไว้ล่วงหน้าอันถือเป็นเบี้ยปรับ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 หากศาลเห็นว่าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วนก็มีอำนาจที่จะให้ลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง เมื่อตามสัญญาดังกล่าวจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยก่อนผิดนัดแก่โจทก์ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดโดยใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว คือ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศตามช่วงระยะเวลามีผลใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ถือว่าเป็นคุณและเหมาะสมแก่โจทก์แล้ว
กรณีหนี้ในส่วนสินเชื่อเพื่อการส่งออกจำเลยที่ 1 ตกเป็นผู้ผิดนัดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 กรณีจึงเป็นการที่ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดภายหลังวันที่ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 มีผลใช้บังคับ ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกัน จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับ ป.พ.พ. มาตรา 686 ที่แก้ไขใหม่ ตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 ซึ่งมาตรา 686 วรรคหนึ่ง วรรคสอง ในการส่งคำบอกกล่าวของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกันนั้น ต้องพิจารณาประกอบ ป.พ.พ. มาตรา 169 วรรคหนี่ง โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้จึงต้องมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปถึงจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2561 จึงถือว่าโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ผิดนัด จำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกันจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ย แต่ในส่วนจำเลยที่ 3 นั้น เมื่อหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2561 อันเป็นเวลาพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ผิดนัด จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้บรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว แต่ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 2 ที่บ้านเลขที่ 184/165 แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าที่อยู่ของจำเลยที่ 2 ตามสัญญาค้ำประกันและหนังสือรับรองระบุว่า จำเลยที่ 2 ตั้งอยู่เลขที่ 95 ประกอบกับในสัญญาค้ำประกัน ระบุว่า “ที่อยู่ของผู้ค้ำประกันที่ระบุไว้ข้างต้น เป็นที่อยู่ทางธุรกิจหรือที่อยู่อาศัยของผู้ค้ำประกันและจะถือว่าเป็น “ภูมิลำเนา” ตามกฎหมายตามลำดับ ที่ธนาคารจะใช้ในการจัดส่งการบอกกล่าว คำแถลง และจดหมายไปยังผู้ค้ำประกัน และเพื่อจัดส่งเอกสารอื่น ๆ ที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล การบอกกล่าว คำแถลง และจดหมายทั้งปวง (ไม่ว่าจัดส่งโดยวิธีไปรษณีย์ลงทะเบียนหรือไปรษณีย์ธรรมดาหรือโดยพนักงานส่งเอกสาร) ให้ถือว่าผู้ค้ำประกันได้รับไปครบถ้วนแล้ว...” แสดงว่าโจทก์ยังไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันตามที่อยู่ที่ระบุในหนังสือค้ำประกันหรือที่ตั้งของสำนักงานของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือรับรองถือว่ายังไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัด เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยังไม่เคยส่งหนังสือบอกกล่าวไปตามที่อยู่ที่ระบุในหนังสือค้ำประกันหรือที่ตั้งของสำนักงานของจำเลยที่ 2 การบอกกล่าวโดยวิธีการประกาศหนังสือพิมพ์จึงไม่ชอบ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามสัญญาค้ำประกัน สำหรับหนี้ค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกันนั้น โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ยังคงค้างชำระหนี้ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 326,666.30 บาท และโจทก์ได้ทวงถามจำเลยทั้งหกแล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากเอกสารที่โจทก์นำสืบเกี่ยวกับหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบังคับจำนอง ปรากฏว่าโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบังคับจำนองเฉพาะหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออกและเป็นการบอกกล่าวก่อนที่จะเกิดหนี้ค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกันดังกล่าวข้างต้น ถือว่าหนี้ในส่วนนี้โจทก์ยังไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ในหนี้ดังกล่าว ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้หรือไม่ เพียงใด เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 156,507,901.23 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 22.25 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 139,600,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 326,666.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 22.25 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 คืนหนังสือค้ำประกันของธนาคาร จ. สาขากรุงเทพมหานคร เลขที่ แอลจีดี 11075 ฉบับลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2554 วงเงินไม่เกิน 36,600,000 บาท และหนังสือค้ำประกันของธนาคาร จ. สาขากรุงเทพมหานคร เลขที่ แอลจีดี 11132 ฉบับลงวันที่ 27 ธันวาคม 2554 วงเงินไม่เกิน 37,550,000 บาท แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่คืนหรือไม่สามารถคืนได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 74,150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 22.25 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งหกไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้นำทรัพย์จำนอง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 39133, 39134, 39135, 39136, 39137, 39138, 39141, 39142, 39143, 39144, 48433 และ 51210 ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 348 และตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1923 และ 1925 ที่ดินโฉนดเลขที่ 12951, 12952 และ 12953 และที่ดินโฉนดเลขที่ 14541, 23726, 45645 และ 45696 และห้องชุดของจำเลยที่ 5 เลขที่ 30/69 และ 30/70 และห้องชุดเลขที่ 780/587 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งหกออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งหกให้การขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานจำเลยทั้งหกสละประเด็นข้อต่อสู้ตามคำให้การเรื่องการโอนกิจการที่ให้การต่อสู้ว่าไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 6 ร่วมกันชำระเงิน 156,507,901.23 บาท และ 326,666.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงิน 139,600,000 บาท และของต้นเงิน 326,666.30 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 14 มีนาคม 2562) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 6 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้จำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ชำระหนี้ดังกล่าวแทน หากจำเลยทั้งหกไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 39133, 39134, 39135, 39136, 39137, 39138, 39141, 39142, 39143, 39144, 48433 และ 51210 ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 348 ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1923 และ 1925 ที่ดินโฉนดเลขที่ 12951, 12952 และ 12953 ที่ดินโฉนดเลขที่ 14541, 23726, 45645 และ 45696 และห้องชุดเลขที่ 30/69 และ 30/70 และห้องชุดเลขที่ 780/587 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งหกออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งหกร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความให้ 20,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 139,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศตามช่วงระยะเวลามีผลใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเมื่อคำนวณแล้วต้องไม่เกิน 16,907,901.23 บาท ตามที่โจทก์ขอ และให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 326,666.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 3 และที่ 6 ร่วมรับผิด 139,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศตามช่วงระยะเวลามีผลใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยเมื่อคำนวณแล้วต้องไม่เกินหกสิบวัน และต้องไม่เกิน 16,907,901.23 บาท ตามที่โจทก์ขอ และให้จำเลยที่ 3 และที่ 6 ร่วมรับผิด 326,666.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยเมื่อคำนวณแล้วต้องไม่เกินหกสิบวัน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 139,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศตามช่วงระยะเวลามีผลใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยเมื่อคำนวณแล้วต้องไม่เกินหกสิบวัน และต้องไม่เกิน 16,907,901.23 บาท ตามที่โจทก์ขอ และให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 326,666.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยเมื่อคำนวณแล้วต้องไม่เกินหกสิบวัน กับให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ชำระเงิน 139,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศตามช่วงระยะเวลามีผลใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเมื่อคำนวณแล้วต้องไม่เกิน 16,907,901.23 บาท ตามที่โจทก์ขอ และให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ชำระเงิน 326,666.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 เนื่องจากจำเลยที่ 4 อุทธรณ์และชำระค่าขึ้นศาลร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 จึงไม่คืนให้ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 4 และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2554 ธนาคาร จ. สาขากรุงเทพมหานคร ให้วงเงินสินเชื่อเพื่อการส่งออกแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 177,000,000 บาท และวงเงินสินเชื่อหนังสือค้ำประกัน 85,000,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2555 มีการทำบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติม และมีการยืนยันการให้สินเชื่อเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 และวันที่ 16 ธันวาคม 2556 วันที่ 18 สิงหาคม 2557 ธนาคาร จ. สาขากรุงเทพมหานคร โอนกิจการให้แก่โจทก์ วันที่ 17 ธันวาคม 2557 โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำหนังสือยืนยันการให้สินเชื่อแก่จำเลยที่ 1 ตามที่ธนาคาร จ. สาขากรุงเทพมหานคร เคยให้สินเชื่อดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 และต่อมามีการทำบันทึกข้อตกลงอีกหลายครั้ง จำเลยที่ 1 ขอเบิกเงินกู้ยืมสินเชื่อเพื่อการส่งออกรวม 8 ครั้ง และจำเลยที่ 1 ขอให้ธนาคาร จ. สาขากรุงเทพมหานคร ออกหนังสือค้ำประกัน เพื่อทำหนังสือสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้แก่องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรรวมสองฉบับเลขที่ แอลจีดี 11075 ลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2554 และเลขที่ แอลจีดี 11132 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2554 จำเลยที่ 1 รับหนังสือค้ำประกันทั้งสองฉบับไปส่งมอบให้แก่องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรแล้ว เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ไว้ โดยจำเลยที่ 3 และที่ 6 ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 หลังจากที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 แล้ว โดยไม่มีข้อตกลงยินยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 5 นำที่ดินและห้องชุดมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ชำระหนี้ค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกัน 326,666.30 บาท และจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมสินเชื่อเพื่อการส่งออก 139,600,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออก เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งหกรับผิดชำระดอกเบี้ยผิดนัดของหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออกเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นสถาบันการเงินได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ มีอำนาจคิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมตามหลักเกณฑ์ของประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย และตามประกาศธนาคารของโจทก์ เมื่อการที่จำเลยที่ 1 ขอสินเชื่อจากโจทก์โดยตกลงชำระดอกเบี้ยโดยใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (BIBOR) (3 เดือน) บวกร้อยละ 3 ต่อปี และสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ: อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลอนดอน (LIBOR) บวกร้อยละ 3 ต่อปี แต่หากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดจำเลยที่ 1 จะต้องชำระดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราสูงสุดตามประกาศการเรียกเก็บเงินให้กู้ยืมหรือหนี้ที่ผิดนัดชำระในช่วงเวลานั้น ๆ ของธนาคารที่ได้มีการประกาศเป็นคราว ๆ ตามขอบเขตที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายจากยอดเงินกู้หรือภาระหนี้ที่ผิดนัด โดยอัตราดอกเบี้ยผิดนัดขณะทำสัญญาเท่ากับอัตราร้อยละ 22.25 ต่อปี การที่จำเลยที่ 1 ตกลงยอมชำระดอกเบี้ยในอัตราผิดนัดตามประกาศของโจทก์ในกรณีเช่นนี้จึงเป็นภาระชำระดอกเบี้ยในอัตราที่สูงขึ้นหลังจากผิดนัดชำระหนี้ ข้อสัญญาเรื่องดอกเบี้ยเช่นนี้จึงมีลักษณะเป็นการกำหนดค่าเสียหายในรูปดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดไว้ล่วงหน้าอันถือเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 หากศาลเห็นว่าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วนก็มีอำนาจที่จะให้ลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง พิจารณาแล้วเมื่อตามสัญญาดังกล่าวจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยก่อนผิดนัดแก่โจทก์ โดยใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (BIBOR) (3 เดือน) บวกร้อยละ 3 ต่อปี และสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ: อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลอนดอน (LIBOR) บวกร้อยละ 3 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดในส่วนของหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออก จำนวน 139,600,000 บาท โดยใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว คือ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศตามช่วงระยะเวลามีผลใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ถือว่าเป็นคุณและเหมาะสมแก่โจทก์แล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อมาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 6 ต้องรับผิดในดอกเบี้ยต่อโจทก์ เพียงใด เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หนี้ในส่วนสินเชื่อเพื่อการส่งออกจำเลยที่ 1 ตกเป็นผู้ผิดนัดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 กรณีจึงเป็นการที่ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดภายหลังวันที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 มีผลใช้บังคับ ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกัน จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 ที่แก้ไขใหม่ ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 ซึ่งในการส่งคำบอกกล่าวของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกันนั้น กรณีต้องพิจารณาประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 วรรคหนี่ง ดังนั้น โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้จึงต้องมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปถึงจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2561 จึงถือว่าโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกันจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ย แต่ในส่วนจำเลยที่ 3 นั้น เมื่อหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2561 อันเป็นเวลาพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ผิดนัด จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกัน จึงหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้บรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคสอง แต่ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 2 ที่บ้านเลขที่ 184/165 แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าที่อยู่ของจำเลยที่ 2 ตามสัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2555 สัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่ 15 ธันวาคม 2560 และหนังสือรับรอง ระบุว่าจำเลยที่ 2 ตั้งอยู่เลขที่ 95 ประกอบกับในสัญญาค้ำประกันระบุว่า “ที่อยู่ของผู้ค้ำประกันที่ระบุไว้ข้างต้น เป็นที่อยู่ทางธุรกิจหรือที่อยู่อาศัยของผู้ค้ำประกันและจะถือว่าเป็น “ภูมิลำเนา” ตามกฎหมายตามลำดับที่ธนาคารจะใช้ในการจัดส่งการบอกกล่าว คำแถลง และจดหมายไปยังผู้ค้ำประกัน และเพื่อจัดส่งเอกสารอื่น ๆ ที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล การบอกกล่าว คำแถลง และจดหมายทั้งปวง (ไม่ว่าจัดส่งโดยวิธีไปรษณีย์ลงทะเบียนหรือไปรษณีย์ธรรมดาหรือโดยพนักงานส่งเอกสาร) ให้ถือว่าผู้ค้ำประกันได้รับไปครบถ้วนแล้ว...” แสดงว่าโจทก์ยังไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันตามที่อยู่ที่ระบุในหนังสือค้ำประกันหรือที่ตั้งของสำนักงานของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือรับรอง ถือว่ายังไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคหนึ่ง ประกอบกับในส่วนที่โจทก์นำสืบว่ามีการแจ้งการบอกกล่าวการผิดนัดให้จำเลยที่ 2 โดยวิธีการประกาศหนังสือพิมพ์นั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยังไม่เคยส่งหนังสือบอกกล่าวไปตามที่อยู่ที่ระบุในหนังสือค้ำประกันหรือที่ตั้งของสำนักงานของจำเลยที่ 2 การบอกกล่าวโดยวิธีการประกาศหนังสือพิมพ์จึงไม่ชอบ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามสัญญาค้ำประกัน สำหรับหนี้ค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกัน 326,666.30 บาท นั้น โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ยังคงค้างชำระหนี้ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 326,666.30 บาท และโจทก์ได้ทวงถามจำเลยทั้งหกแล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากเอกสารที่โจทก์นำสืบเกี่ยวกับหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบังคับจำนอง ปรากฏว่าโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบังคับจำนองเฉพาะหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออกและเป็นการบอกกล่าวก่อนที่จะเกิดหนี้ค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกันดังกล่าวข้างต้น ถือว่าหนี้ในส่วนนี้โจทก์ยังไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ในหนี้ดังกล่าว ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้หรือไม่ เพียงใด เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 6 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 139,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศตามช่วงระยะเวลามีผลใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 16,907,901.23 บาท ตามที่โจทก์ขอ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ในส่วนหนี้ค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ขอสินเชื่อจากโจทก์โดยตกลงชำระดอกเบี้ยโดยใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (BIBOR) (3 เดือน) บวกร้อยละ 3 ต่อปี และสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ: อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลอนดอน (LIBOR) บวกร้อยละ 3 ต่อปี แต่หากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดจำเลยที่ 1 จะต้องชำระดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราสูงสุดตามประกาศการเรียกเก็บเงินให้กู้ยืมหรือหนี้ที่ผิดนัดชำระในช่วงเวลานั้น ๆ ของธนาคารที่ได้มีการประกาศเป็นคราว ๆ ตามขอบเขตที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายจากยอดเงินกู้หรือภาระหนี้ที่ผิดนัด โดยอัตราดอกเบี้ยผิดนัดขณะทำสัญญาเท่ากับอัตราร้อยละ 22.25 ต่อปี กรณีเช่นนี้จึงเป็นภาระชำระดอกเบี้ยในอัตราที่สูงขึ้นหลังจากผิดนัดชำระหนี้ ข้อสัญญาเรื่องดอกเบี้ยเช่นนี้จึงมีลักษณะเป็นการกำหนดค่าเสียหายในรูปดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดไว้ล่วงหน้าอันถือเป็นเบี้ยปรับ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 หากศาลเห็นว่าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วนก็มีอำนาจที่จะให้ลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง เมื่อตามสัญญาดังกล่าวจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยก่อนผิดนัดแก่โจทก์ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดโดยใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว คือ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศตามช่วงระยะเวลามีผลใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ถือว่าเป็นคุณและเหมาะสมแก่โจทก์แล้ว
กรณีหนี้ในส่วนสินเชื่อเพื่อการส่งออกจำเลยที่ 1 ตกเป็นผู้ผิดนัดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 กรณีจึงเป็นการที่ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดภายหลังวันที่ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 มีผลใช้บังคับ ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกัน จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับ ป.พ.พ. มาตรา 686 ที่แก้ไขใหม่ ตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 ซึ่งมาตรา 686 วรรคหนึ่ง วรรคสอง ในการส่งคำบอกกล่าวของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกันนั้น ต้องพิจารณาประกอบ ป.พ.พ. มาตรา 169 วรรคหนี่ง โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้จึงต้องมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปถึงจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2561 จึงถือว่าโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ผิดนัด จำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกันจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ย แต่ในส่วนจำเลยที่ 3 นั้น เมื่อหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2561 อันเป็นเวลาพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ผิดนัด จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้บรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว แต่ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 2 ที่บ้านเลขที่ 184/165 แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าที่อยู่ของจำเลยที่ 2 ตามสัญญาค้ำประกันและหนังสือรับรองระบุว่า จำเลยที่ 2 ตั้งอยู่เลขที่ 95 ประกอบกับในสัญญาค้ำประกัน ระบุว่า “ที่อยู่ของผู้ค้ำประกันที่ระบุไว้ข้างต้น เป็นที่อยู่ทางธุรกิจหรือที่อยู่อาศัยของผู้ค้ำประกันและจะถือว่าเป็น “ภูมิลำเนา” ตามกฎหมายตามลำดับ ที่ธนาคารจะใช้ในการจัดส่งการบอกกล่าว คำแถลง และจดหมายไปยังผู้ค้ำประกัน และเพื่อจัดส่งเอกสารอื่น ๆ ที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล การบอกกล่าว คำแถลง และจดหมายทั้งปวง (ไม่ว่าจัดส่งโดยวิธีไปรษณีย์ลงทะเบียนหรือไปรษณีย์ธรรมดาหรือโดยพนักงานส่งเอกสาร) ให้ถือว่าผู้ค้ำประกันได้รับไปครบถ้วนแล้ว...” แสดงว่าโจทก์ยังไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันตามที่อยู่ที่ระบุในหนังสือค้ำประกันหรือที่ตั้งของสำนักงานของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือรับรองถือว่ายังไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัด เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยังไม่เคยส่งหนังสือบอกกล่าวไปตามที่อยู่ที่ระบุในหนังสือค้ำประกันหรือที่ตั้งของสำนักงานของจำเลยที่ 2 การบอกกล่าวโดยวิธีการประกาศหนังสือพิมพ์จึงไม่ชอบ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามสัญญาค้ำประกัน สำหรับหนี้ค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกันนั้น โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ยังคงค้างชำระหนี้ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 326,666.30 บาท และโจทก์ได้ทวงถามจำเลยทั้งหกแล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากเอกสารที่โจทก์นำสืบเกี่ยวกับหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบังคับจำนอง ปรากฏว่าโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบังคับจำนองเฉพาะหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออกและเป็นการบอกกล่าวก่อนที่จะเกิดหนี้ค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกันดังกล่าวข้างต้น ถือว่าหนี้ในส่วนนี้โจทก์ยังไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ในหนี้ดังกล่าว ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้หรือไม่ เพียงใด เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 156,507,901.23 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 22.25 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 139,600,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 326,666.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 22.25 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 คืนหนังสือค้ำประกันของธนาคาร จ. สาขากรุงเทพมหานคร เลขที่ แอลจีดี 11075 ฉบับลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2554 วงเงินไม่เกิน 36,600,000 บาท และหนังสือค้ำประกันของธนาคาร จ. สาขากรุงเทพมหานคร เลขที่ แอลจีดี 11132 ฉบับลงวันที่ 27 ธันวาคม 2554 วงเงินไม่เกิน 37,550,000 บาท แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่คืนหรือไม่สามารถคืนได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 74,150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 22.25 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งหกไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้นำทรัพย์จำนอง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 39133, 39134, 39135, 39136, 39137, 39138, 39141, 39142, 39143, 39144, 48433 และ 51210 ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 348 และตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1923 และ 1925 ที่ดินโฉนดเลขที่ 12951, 12952 และ 12953 และที่ดินโฉนดเลขที่ 14541, 23726, 45645 และ 45696 และห้องชุดของจำเลยที่ 5 เลขที่ 30/69 และ 30/70 และห้องชุดเลขที่ 780/587 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งหกออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งหกให้การขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานจำเลยทั้งหกสละประเด็นข้อต่อสู้ตามคำให้การเรื่องการโอนกิจการที่ให้การต่อสู้ว่าไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 6 ร่วมกันชำระเงิน 156,507,901.23 บาท และ 326,666.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงิน 139,600,000 บาท และของต้นเงิน 326,666.30 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 14 มีนาคม 2562) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 6 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้จำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ชำระหนี้ดังกล่าวแทน หากจำเลยทั้งหกไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 39133, 39134, 39135, 39136, 39137, 39138, 39141, 39142, 39143, 39144, 48433 และ 51210 ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 348 ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1923 และ 1925 ที่ดินโฉนดเลขที่ 12951, 12952 และ 12953 ที่ดินโฉนดเลขที่ 14541, 23726, 45645 และ 45696 และห้องชุดเลขที่ 30/69 และ 30/70 และห้องชุดเลขที่ 780/587 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งหกออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งหกร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความให้ 20,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 139,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศตามช่วงระยะเวลามีผลใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเมื่อคำนวณแล้วต้องไม่เกิน 16,907,901.23 บาท ตามที่โจทก์ขอ และให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 326,666.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 3 และที่ 6 ร่วมรับผิด 139,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศตามช่วงระยะเวลามีผลใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยเมื่อคำนวณแล้วต้องไม่เกินหกสิบวัน และต้องไม่เกิน 16,907,901.23 บาท ตามที่โจทก์ขอ และให้จำเลยที่ 3 และที่ 6 ร่วมรับผิด 326,666.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยเมื่อคำนวณแล้วต้องไม่เกินหกสิบวัน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 139,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศตามช่วงระยะเวลามีผลใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยเมื่อคำนวณแล้วต้องไม่เกินหกสิบวัน และต้องไม่เกิน 16,907,901.23 บาท ตามที่โจทก์ขอ และให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 326,666.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยเมื่อคำนวณแล้วต้องไม่เกินหกสิบวัน กับให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ชำระเงิน 139,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศตามช่วงระยะเวลามีผลใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเมื่อคำนวณแล้วต้องไม่เกิน 16,907,901.23 บาท ตามที่โจทก์ขอ และให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ชำระเงิน 326,666.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 เนื่องจากจำเลยที่ 4 อุทธรณ์และชำระค่าขึ้นศาลร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 จึงไม่คืนให้ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 4 และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2554 ธนาคาร จ. สาขากรุงเทพมหานคร ให้วงเงินสินเชื่อเพื่อการส่งออกแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 177,000,000 บาท และวงเงินสินเชื่อหนังสือค้ำประกัน 85,000,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2555 มีการทำบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติม และมีการยืนยันการให้สินเชื่อเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 และวันที่ 16 ธันวาคม 2556 วันที่ 18 สิงหาคม 2557 ธนาคาร จ. สาขากรุงเทพมหานคร โอนกิจการให้แก่โจทก์ วันที่ 17 ธันวาคม 2557 โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำหนังสือยืนยันการให้สินเชื่อแก่จำเลยที่ 1 ตามที่ธนาคาร จ. สาขากรุงเทพมหานคร เคยให้สินเชื่อดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 และต่อมามีการทำบันทึกข้อตกลงอีกหลายครั้ง จำเลยที่ 1 ขอเบิกเงินกู้ยืมสินเชื่อเพื่อการส่งออกรวม 8 ครั้ง และจำเลยที่ 1 ขอให้ธนาคาร จ. สาขากรุงเทพมหานคร ออกหนังสือค้ำประกัน เพื่อทำหนังสือสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้แก่องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรรวมสองฉบับเลขที่ แอลจีดี 11075 ลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2554 และเลขที่ แอลจีดี 11132 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2554 จำเลยที่ 1 รับหนังสือค้ำประกันทั้งสองฉบับไปส่งมอบให้แก่องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรแล้ว เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ไว้ โดยจำเลยที่ 3 และที่ 6 ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 หลังจากที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 แล้ว โดยไม่มีข้อตกลงยินยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 5 นำที่ดินและห้องชุดมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ชำระหนี้ค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกัน 326,666.30 บาท และจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมสินเชื่อเพื่อการส่งออก 139,600,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออก เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งหกรับผิดชำระดอกเบี้ยผิดนัดของหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออกเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นสถาบันการเงินได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ มีอำนาจคิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมตามหลักเกณฑ์ของประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย และตามประกาศธนาคารของโจทก์ เมื่อการที่จำเลยที่ 1 ขอสินเชื่อจากโจทก์โดยตกลงชำระดอกเบี้ยโดยใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (BIBOR) (3 เดือน) บวกร้อยละ 3 ต่อปี และสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ: อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลอนดอน (LIBOR) บวกร้อยละ 3 ต่อปี แต่หากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดจำเลยที่ 1 จะต้องชำระดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราสูงสุดตามประกาศการเรียกเก็บเงินให้กู้ยืมหรือหนี้ที่ผิดนัดชำระในช่วงเวลานั้น ๆ ของธนาคารที่ได้มีการประกาศเป็นคราว ๆ ตามขอบเขตที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายจากยอดเงินกู้หรือภาระหนี้ที่ผิดนัด โดยอัตราดอกเบี้ยผิดนัดขณะทำสัญญาเท่ากับอัตราร้อยละ 22.25 ต่อปี การที่จำเลยที่ 1 ตกลงยอมชำระดอกเบี้ยในอัตราผิดนัดตามประกาศของโจทก์ในกรณีเช่นนี้จึงเป็นภาระชำระดอกเบี้ยในอัตราที่สูงขึ้นหลังจากผิดนัดชำระหนี้ ข้อสัญญาเรื่องดอกเบี้ยเช่นนี้จึงมีลักษณะเป็นการกำหนดค่าเสียหายในรูปดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดไว้ล่วงหน้าอันถือเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 หากศาลเห็นว่าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วนก็มีอำนาจที่จะให้ลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง พิจารณาแล้วเมื่อตามสัญญาดังกล่าวจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยก่อนผิดนัดแก่โจทก์ โดยใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (BIBOR) (3 เดือน) บวกร้อยละ 3 ต่อปี และสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ: อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลอนดอน (LIBOR) บวกร้อยละ 3 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดในส่วนของหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออก จำนวน 139,600,000 บาท โดยใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว คือ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศตามช่วงระยะเวลามีผลใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ถือว่าเป็นคุณและเหมาะสมแก่โจทก์แล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อมาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 6 ต้องรับผิดในดอกเบี้ยต่อโจทก์ เพียงใด เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หนี้ในส่วนสินเชื่อเพื่อการส่งออกจำเลยที่ 1 ตกเป็นผู้ผิดนัดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 กรณีจึงเป็นการที่ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดภายหลังวันที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 มีผลใช้บังคับ ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกัน จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 ที่แก้ไขใหม่ ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 ซึ่งในการส่งคำบอกกล่าวของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกันนั้น กรณีต้องพิจารณาประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 วรรคหนี่ง ดังนั้น โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้จึงต้องมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปถึงจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2561 จึงถือว่าโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกันจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ย แต่ในส่วนจำเลยที่ 3 นั้น เมื่อหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2561 อันเป็นเวลาพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ผิดนัด จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกัน จึงหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้บรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคสอง แต่ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 2 ที่บ้านเลขที่ 184/165 แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าที่อยู่ของจำเลยที่ 2 ตามสัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2555 สัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่ 15 ธันวาคม 2560 และหนังสือรับรอง ระบุว่าจำเลยที่ 2 ตั้งอยู่เลขที่ 95 ประกอบกับในสัญญาค้ำประกันระบุว่า “ที่อยู่ของผู้ค้ำประกันที่ระบุไว้ข้างต้น เป็นที่อยู่ทางธุรกิจหรือที่อยู่อาศัยของผู้ค้ำประกันและจะถือว่าเป็น “ภูมิลำเนา” ตามกฎหมายตามลำดับที่ธนาคารจะใช้ในการจัดส่งการบอกกล่าว คำแถลง และจดหมายไปยังผู้ค้ำประกัน และเพื่อจัดส่งเอกสารอื่น ๆ ที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล การบอกกล่าว คำแถลง และจดหมายทั้งปวง (ไม่ว่าจัดส่งโดยวิธีไปรษณีย์ลงทะเบียนหรือไปรษณีย์ธรรมดาหรือโดยพนักงานส่งเอกสาร) ให้ถือว่าผู้ค้ำประกันได้รับไปครบถ้วนแล้ว...” แสดงว่าโจทก์ยังไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดไปถึงจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันตามที่อยู่ที่ระบุในหนังสือค้ำประกันหรือที่ตั้งของสำนักงานของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือรับรอง ถือว่ายังไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคหนึ่ง ประกอบกับในส่วนที่โจทก์นำสืบว่ามีการแจ้งการบอกกล่าวการผิดนัดให้จำเลยที่ 2 โดยวิธีการประกาศหนังสือพิมพ์นั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยังไม่เคยส่งหนังสือบอกกล่าวไปตามที่อยู่ที่ระบุในหนังสือค้ำประกันหรือที่ตั้งของสำนักงานของจำเลยที่ 2 การบอกกล่าวโดยวิธีการประกาศหนังสือพิมพ์จึงไม่ชอบ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามสัญญาค้ำประกัน สำหรับหนี้ค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกัน 326,666.30 บาท นั้น โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ยังคงค้างชำระหนี้ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 326,666.30 บาท และโจทก์ได้ทวงถามจำเลยทั้งหกแล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากเอกสารที่โจทก์นำสืบเกี่ยวกับหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบังคับจำนอง ปรากฏว่าโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบังคับจำนองเฉพาะหนี้สินเชื่อเพื่อการส่งออกและเป็นการบอกกล่าวก่อนที่จะเกิดหนี้ค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกันดังกล่าวข้างต้น ถือว่าหนี้ในส่วนนี้โจทก์ยังไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ผู้ค้ำประกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ในหนี้ดังกล่าว ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้หรือไม่ เพียงใด เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 6 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 139,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราอ้างอิงระยะสั้นกรุงเทพ (3 เดือน) บวกส่วนต่างร้อยละ 6 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศตามช่วงระยะเวลามีผลใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 16,907,901.23 บาท ตามที่โจทก์ขอ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ในส่วนหนี้ค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคาร ท. สาขาตลาดใหม่ทุ่งครุ จำนวน 5 ฉบับ ให้โจทก์ โจทก์นำเช็คเข้าบัญชีโจทก์ที่ธนาคาร ท. สาขาถนนวิทยุ เพื่อให้ธนาคารดังกล่าวเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ท. สาขาตลาดใหม่ทุ่งครุ ธนาคาร ท. สาขาตลาดใหม่ทุ่งครุปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ความผิดเกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค เมื่อธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คมิได้ตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลแขวงปทุมวัน ศาลแขวงปทุมวันจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ธนาคารที่นำเช็คเข้าบัญชีหาได้เป็นผู้จ่ายเงินตามเช็คไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนเรียกเก็บเงินตามเช็คให้ พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 22, 23 เป็นเพียงเรื่องความมีผลของการส่งและการรับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น มิได้มีผลทำให้หน้าที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คโอนไปเป็นหน้าที่ของธนาคารที่เรียกเก็บ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยออกเช็คพิพาท จำนวน 5 ฉบับ ให้แก่โจทก์และภริยาโจทก์เพื่อชำระค่าห้องชุด โจทก์นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีโจทก์ที่ธนาคาร ท. สาขาถนนวิทยุ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น เพื่อเรียกเก็บเงินจากบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ธนาคาร ท. สาขาตลาดใหม่ทุ่งครุ ซึ่งอยู่นอกเขตอำนาจของศาลชั้นต้น เช็คพิพาทถูกธนาคารเจ้าของเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับ โจทก์จึงนำเช็คพิพาทมาฟ้องเป็นคดีนี้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนตามกันมาว่า ความผิดเกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค สถานที่ตั้งของธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นสถานที่ที่ความผิดเกิดขึ้น หาใช่เกิดขึ้นที่สถานที่ตั้งของธนาคารที่โจทก์นำเช็คเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บหรือเป็นความผิดที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกันหลายท้องที่ ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ให้ยกฟ้องโจทก์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า มูลคดีเกิดขึ้นที่ธนาคาร ท. สาขาถนนวิทยุ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้นหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า ธนาคาร ท. เป็นสมาชิกธนาคารแห่งประเทศไทย และใช้ระบบหักบัญชีเช็คด้วยภาพเช็คและระบบการจัดเก็บภาพเช็ค (ICAS) ซึ่งระบบดังกล่าวธนาคารที่รับเช็คเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บจะตรวจสอบต้นฉบับเช็คเรียกเก็บแล้วทำการส่งข้อมูลและภาพเช็คเรียกเก็บไปยังศูนย์หักบัญชีของธนาคาร ท. (ศูนย์เคลียริ่งเช็ค) โดยไม่ต้องส่งต้นฉบับเช็คเรียกเก็บไปด้วย ศูนย์เคลียริ่งเช็คจะทำการหักบัญชีด้วยภาพเช็คและระบบการจัดเก็บภาพเช็คจากบัญชีลูกค้าของธนาคารเจ้าของเช็คไปเข้าบัญชีผู้ทรงเช็คที่ธนาคารที่เรียกเก็บ ในกรณีที่ไม่อาจจ่ายเงินตามเช็คได้ ศูนย์เคลียริ่งเช็คจะปฏิเสธไม่ทำการหักบัญชีและจัดส่งข้อมูลและภาพเช็คไปยังธนาคารเจ้าของเช็คเพื่อตรวจสอบ และให้ธนาคารเจ้าของเช็คจัดทำและส่งข้อมูลเช็คที่ส่งคืนพร้อมเหตุผลการคืนเช็คผ่านเครื่องรับส่งข้อมูลและภาพเช็คไปให้ธนาคารที่เรียกเก็บรับข้อมูลและภาพเช็คที่รับคืนผ่านเครื่องรับส่งข้อมูลและภาพเช็ค แล้วจัดทำใบแจ้งผลคืนเช็คพร้อมแนบเช็คคืนให้แก่ลูกค้าผู้นำเช็คเข้าเรียกเก็บตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 22, 23 ธนาคาร ท. สาขาถนนวิทยุ ถือว่าเป็นธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คที่มูลคดีเกิดขึ้นนั้น เห็นว่า คำว่า มูลคดี หมายถึงต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเกิดขึ้นเมื่อเช็คถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน สถานที่ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิด แม้ธนาคาร ท. ทุกสาขาจะใช้ระบบหักบัญชีเช็คด้วยภาพเช็คและระบบการจัดเก็บภาพเช็ค (ICAS) ก็ตาม แต่ระบบดังกล่าวหน้าที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คยังคงเป็นของธนาคารเจ้าของเช็คดังเดิม เมื่อธนาคารเจ้าของเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คก็จัดทำใบคืนเช็คส่งไปยังศูนย์เคลียริ่งเพื่อส่งต่อไปยังธนาคารที่เรียกเก็บ แล้วธนาคารที่เรียกเก็บทำการออกใบแจ้งผลเช็คคืนกับส่งใบคืนเช็คและเช็คต้นฉบับคืนให้แก่ลูกค้า ระบบหักบัญชีเช็คด้วยภาพเช็คและระบบการจัดเก็บภาพเช็ค (ICAS) จึงเป็นเพียงวิธีการปฏิบัติเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าธนาคาร เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการเรียกเก็บเงินตามเช็คให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าวิธีเรียกเก็บแบบเดิม ๆ ธนาคารที่เรียกเก็บหาได้มีหน้าที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คและออกใบคืนเช็คโดยลำพังไม่ จึงเป็นเพียงตัวแทนธนาคารเจ้าของเช็คในการส่งมอบใบคืนเช็คให้แก่โจทก์เท่านั้น ส่วนพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 22, 23 เป็นเรื่องความมีผลของการส่งและการรับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ มิได้มีผลทำให้หน้าที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คโอนไปเป็นหน้าที่ของธนาคารที่เรียกเก็บตามที่โจทก์ฎีกาด้วยไม่ จึงถือไม่ได้ว่ามูลคดีเกิดขึ้นที่ธนาคาร ท. สาขาถนนวิทยุ คดีโจทก์จึงอยู่นอกเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนกันมาให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้อง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
จำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคาร ท. สาขาตลาดใหม่ทุ่งครุ จำนวน 5 ฉบับ ให้โจทก์ โจทก์นำเช็คเข้าบัญชีโจทก์ที่ธนาคาร ท. สาขาถนนวิทยุ เพื่อให้ธนาคารดังกล่าวเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ท. สาขาตลาดใหม่ทุ่งครุ ธนาคาร ท. สาขาตลาดใหม่ทุ่งครุปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ความผิดเกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค เมื่อธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คมิได้ตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลแขวงปทุมวัน ศาลแขวงปทุมวันจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ธนาคารที่นำเช็คเข้าบัญชีหาได้เป็นผู้จ่ายเงินตามเช็คไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนเรียกเก็บเงินตามเช็คให้ พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 22, 23 เป็นเพียงเรื่องความมีผลของการส่งและการรับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น มิได้มีผลทำให้หน้าที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คโอนไปเป็นหน้าที่ของธนาคารที่เรียกเก็บ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยออกเช็คพิพาท จำนวน 5 ฉบับ ให้แก่โจทก์และภริยาโจทก์เพื่อชำระค่าห้องชุด โจทก์นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีโจทก์ที่ธนาคาร ท. สาขาถนนวิทยุ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น เพื่อเรียกเก็บเงินจากบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ธนาคาร ท. สาขาตลาดใหม่ทุ่งครุ ซึ่งอยู่นอกเขตอำนาจของศาลชั้นต้น เช็คพิพาทถูกธนาคารเจ้าของเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับ โจทก์จึงนำเช็คพิพาทมาฟ้องเป็นคดีนี้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนตามกันมาว่า ความผิดเกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค สถานที่ตั้งของธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นสถานที่ที่ความผิดเกิดขึ้น หาใช่เกิดขึ้นที่สถานที่ตั้งของธนาคารที่โจทก์นำเช็คเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บหรือเป็นความผิดที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกันหลายท้องที่ ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ให้ยกฟ้องโจทก์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า มูลคดีเกิดขึ้นที่ธนาคาร ท. สาขาถนนวิทยุ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้นหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า ธนาคาร ท. เป็นสมาชิกธนาคารแห่งประเทศไทย และใช้ระบบหักบัญชีเช็คด้วยภาพเช็คและระบบการจัดเก็บภาพเช็ค (ICAS) ซึ่งระบบดังกล่าวธนาคารที่รับเช็คเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บจะตรวจสอบต้นฉบับเช็คเรียกเก็บแล้วทำการส่งข้อมูลและภาพเช็คเรียกเก็บไปยังศูนย์หักบัญชีของธนาคาร ท. (ศูนย์เคลียริ่งเช็ค) โดยไม่ต้องส่งต้นฉบับเช็คเรียกเก็บไปด้วย ศูนย์เคลียริ่งเช็คจะทำการหักบัญชีด้วยภาพเช็คและระบบการจัดเก็บภาพเช็คจากบัญชีลูกค้าของธนาคารเจ้าของเช็คไปเข้าบัญชีผู้ทรงเช็คที่ธนาคารที่เรียกเก็บ ในกรณีที่ไม่อาจจ่ายเงินตามเช็คได้ ศูนย์เคลียริ่งเช็คจะปฏิเสธไม่ทำการหักบัญชีและจัดส่งข้อมูลและภาพเช็คไปยังธนาคารเจ้าของเช็คเพื่อตรวจสอบ และให้ธนาคารเจ้าของเช็คจัดทำและส่งข้อมูลเช็คที่ส่งคืนพร้อมเหตุผลการคืนเช็คผ่านเครื่องรับส่งข้อมูลและภาพเช็คไปให้ธนาคารที่เรียกเก็บรับข้อมูลและภาพเช็คที่รับคืนผ่านเครื่องรับส่งข้อมูลและภาพเช็ค แล้วจัดทำใบแจ้งผลคืนเช็คพร้อมแนบเช็คคืนให้แก่ลูกค้าผู้นำเช็คเข้าเรียกเก็บตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 22, 23 ธนาคาร ท. สาขาถนนวิทยุ ถือว่าเป็นธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คที่มูลคดีเกิดขึ้นนั้น เห็นว่า คำว่า มูลคดี หมายถึงต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเกิดขึ้นเมื่อเช็คถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน สถานที่ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิด แม้ธนาคาร ท. ทุกสาขาจะใช้ระบบหักบัญชีเช็คด้วยภาพเช็คและระบบการจัดเก็บภาพเช็ค (ICAS) ก็ตาม แต่ระบบดังกล่าวหน้าที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คยังคงเป็นของธนาคารเจ้าของเช็คดังเดิม เมื่อธนาคารเจ้าของเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คก็จัดทำใบคืนเช็คส่งไปยังศูนย์เคลียริ่งเพื่อส่งต่อไปยังธนาคารที่เรียกเก็บ แล้วธนาคารที่เรียกเก็บทำการออกใบแจ้งผลเช็คคืนกับส่งใบคืนเช็คและเช็คต้นฉบับคืนให้แก่ลูกค้า ระบบหักบัญชีเช็คด้วยภาพเช็คและระบบการจัดเก็บภาพเช็ค (ICAS) จึงเป็นเพียงวิธีการปฏิบัติเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าธนาคาร เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการเรียกเก็บเงินตามเช็คให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าวิธีเรียกเก็บแบบเดิม ๆ ธนาคารที่เรียกเก็บหาได้มีหน้าที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คและออกใบคืนเช็คโดยลำพังไม่ จึงเป็นเพียงตัวแทนธนาคารเจ้าของเช็คในการส่งมอบใบคืนเช็คให้แก่โจทก์เท่านั้น ส่วนพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 22, 23 เป็นเรื่องความมีผลของการส่งและการรับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ มิได้มีผลทำให้หน้าที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คโอนไปเป็นหน้าที่ของธนาคารที่เรียกเก็บตามที่โจทก์ฎีกาด้วยไม่ จึงถือไม่ได้ว่ามูลคดีเกิดขึ้นที่ธนาคาร ท. สาขาถนนวิทยุ คดีโจทก์จึงอยู่นอกเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนกันมาให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้อง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|