ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดว่าจำเลยมีเจตนายักยอกเอารถตู้ของกลางคันที่เช่าซื้อมาเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริตไป จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายไม่สามารถส่งมอบรถตู้คันที่เช่าซื้อคืนให้แก่บริษัท ต. นับตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2560 อายุความร้องทุกข์ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2560 เมื่อผู้เสียหายมอบอำนาจให้ น. ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2562 จึงเกินกำหนดสามเดือน นับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ตาม ป.อ. มาตรา 96 สิทธิของโจทก์ที่นำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (6) พนักงานอัยการโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 ทำให้คำขอส่วนแพ่งของพนักงานอัยการโจทก์ตกไปด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถยนต์ 1,336,680 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 จำคุก 2 ปี และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถยนต์ 1,336,680 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง (ที่ถูก และให้ยกคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย)
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า บริษัท ว. ผู้เสียหาย เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2558 จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถตู้จากผู้เสียหาย ชำระเงินดาวน์ 189,750 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อรวม 60 งวด งวดละ 22,311 บาท ทุกวันที่ 5 ของทุกเดือนจนกว่าจะครบ เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 5 พฤษภาคม 2558 โดยจำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคาร ท. ฉบับละ 22,311 บาท จำนวน 60 ฉบับ เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งข้อหาแก่จำเลยฐานยักยอก ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เป็นความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 356 ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับตั้งแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด เป็นอันขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่า ผู้เสียหายเช่าซื้อรถตู้ของกลางมาจากบริษัท ต. จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถตู้ของกลางต่อจากผู้เสียหาย โดยจำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคาร ท. ฉบับละ 22,311 บาท 60 ฉบับ เพื่อชำระค่าเช่าซื้อล่วงหน้ารวม 60 งวด เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระเงิน ผู้เสียหายนำเช็คไปเรียกเก็บเงินแล้วแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน หลังจากจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อ ผู้เสียหายไม่เคยได้รับชำระหนี้ค่าเช่าซื้อจากจำเลยทั้งไม่สามารถติดตามตัวจำเลยได้และไม่ทราบว่ารถตู้ของกลางอยู่ที่ใด จนเป็นเหตุให้บริษัท ต. ฟ้องผู้เสียหายเป็นจำเลยให้ชำระหนี้ค่าเช่าซื้อแล้วมีการตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2560 แสดงว่าผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดว่าจำเลยมีเจตนายักยอกเอารถตู้ของกลางคันที่เช่าซื้อมาเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริตไป จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายไม่สามารถส่งมอบรถตู้คันที่เช่าซื้อคืนให้แก่บริษัท ต. นับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2560 อายุความร้องทุกข์ต้องเริ่มนับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2560 เมื่อผู้เสียหายมอบอำนาจให้นางนภัสสร ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2562 จึงเกินกำหนดสามเดือนนับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 สิทธิของโจทก์ที่นำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) พนักงานอัยการโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ทำให้คำขอส่วนแพ่งของพนักงานอัยการโจทก์ตกไปด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้องโจทก์และยกคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายมานั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดว่าจำเลยมีเจตนายักยอกเอารถตู้ของกลางคันที่เช่าซื้อมาเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริตไป จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายไม่สามารถส่งมอบรถตู้คันที่เช่าซื้อคืนให้แก่บริษัท ต. นับตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2560 อายุความร้องทุกข์ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2560 เมื่อผู้เสียหายมอบอำนาจให้ น. ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2562 จึงเกินกำหนดสามเดือน นับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ตาม ป.อ. มาตรา 96 สิทธิของโจทก์ที่นำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (6) พนักงานอัยการโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 ทำให้คำขอส่วนแพ่งของพนักงานอัยการโจทก์ตกไปด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถยนต์ 1,336,680 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 จำคุก 2 ปี และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถยนต์ 1,336,680 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง (ที่ถูก และให้ยกคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย)
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า บริษัท ว. ผู้เสียหาย เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2558 จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถตู้จากผู้เสียหาย ชำระเงินดาวน์ 189,750 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อรวม 60 งวด งวดละ 22,311 บาท ทุกวันที่ 5 ของทุกเดือนจนกว่าจะครบ เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 5 พฤษภาคม 2558 โดยจำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคาร ท. ฉบับละ 22,311 บาท จำนวน 60 ฉบับ เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งข้อหาแก่จำเลยฐานยักยอก ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เป็นความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 356 ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับตั้งแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด เป็นอันขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่า ผู้เสียหายเช่าซื้อรถตู้ของกลางมาจากบริษัท ต. จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถตู้ของกลางต่อจากผู้เสียหาย โดยจำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคาร ท. ฉบับละ 22,311 บาท 60 ฉบับ เพื่อชำระค่าเช่าซื้อล่วงหน้ารวม 60 งวด เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระเงิน ผู้เสียหายนำเช็คไปเรียกเก็บเงินแล้วแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน หลังจากจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อ ผู้เสียหายไม่เคยได้รับชำระหนี้ค่าเช่าซื้อจากจำเลยทั้งไม่สามารถติดตามตัวจำเลยได้และไม่ทราบว่ารถตู้ของกลางอยู่ที่ใด จนเป็นเหตุให้บริษัท ต. ฟ้องผู้เสียหายเป็นจำเลยให้ชำระหนี้ค่าเช่าซื้อแล้วมีการตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2560 แสดงว่าผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดว่าจำเลยมีเจตนายักยอกเอารถตู้ของกลางคันที่เช่าซื้อมาเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริตไป จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายไม่สามารถส่งมอบรถตู้คันที่เช่าซื้อคืนให้แก่บริษัท ต. นับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2560 อายุความร้องทุกข์ต้องเริ่มนับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2560 เมื่อผู้เสียหายมอบอำนาจให้นางนภัสสร ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2562 จึงเกินกำหนดสามเดือนนับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 สิทธิของโจทก์ที่นำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) พนักงานอัยการโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ทำให้คำขอส่วนแพ่งของพนักงานอัยการโจทก์ตกไปด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้องโจทก์และยกคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายมานั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
แม้จำเลยให้การรับว่าได้รับเงินโอนจากโจทก์แล้วทั้งยี่สิบครั้งและพิมพ์คำว่า "ตกลง" ในโปรแกรมไลน์ (LINE) ตามที่โจทก์ให้พิมพ์ แต่การรับของจำเลยเป็นการรับตามที่ปรากฏในฟ้องเท่านั้น จำเลยยังมีข้อต่อสู้ว่าการโอนเงินดังกล่าวไม่ใช่เป็นการกู้ยืมเงินแต่เป็นการร่วมลงทุนประกอบธุรกิจออกแบบ ค้าขายเสื้อผ้า และส่งออกหน่อไม้ในลักษณะของการตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งยังไม่มีการชำระบัญชี โจทก์จึงยังไม่สามารถฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลย หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อของจำเลยซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นผู้กู้ยืมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นพยานหลักฐานที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จริงหรือไม่ เมื่อการกู้ยืมเงินครั้งที่ 1 โจทก์อ้างเพียงสำเนาเอกสารที่ธนาคารออกให้เป็นหลักฐานว่า ธนาคารได้ทำการโอนเงิน 50,000 บาท เข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 เท่านั้น ไม่มีข้อความในเรื่องการกู้ยืมเงิน ถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมครั้งที่ 1 เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้ยืมมาแสดง ส่วนการกู้ยืมครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 ไม่ปรากฏข้อความที่จำเลยพิมพ์ตอบ "ตกลง" เพื่อตกลงการกู้ยืมเงินตามที่โจทก์อ้างว่าเป็นการกู้ยืมเงินครั้งดังกล่าวแต่อย่างใด ถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้ยืมเป็นสำคัญมาแสดง โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีแก่จำเลยสำหรับการกู้ยืมครั้งที่ 1 ครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 ไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง
สำหรับการกู้ยืมเงินครั้งที่ 2 ถึงครั้งที่ 18 ซึ่งโจทก์ส่งข้อความถึงจำเลยในทำนองเดียวกันว่า "ช. จะจัดทำธุรกรรมให้ยืมเงินจำนวน (ระบุจำนวนเงิน) ให้แก่ ฐ. เพื่อใช้ลงทุนในธุรกิจ การกู้ยืมเงินนี้ไม่คิดดอกเบี้ยและยังไม่บังคับวันกำหนดชำระเงินคืน ลงวันที่... (พิมพ์ตกลงเพื่อยืนยัน)" ซึ่งจำเลยได้พิมพ์ข้อความว่า "ตกลง" ตอบกลับมาในโปรแกรมไลน์ (LINE) ซึ่งจำเลยรับว่ามีการส่งข้อความโต้ตอบเช่นนี้จริง การสนทนาทางโปรแกรมไลน์ (LINE) เป็นการส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ถือว่าเป็นการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เมื่ออ่านข้อความสนทนาของโจทก์และจำเลยประกอบกันแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงกันโดยโจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินและจำเลยตกลงกู้ยืมเงินแต่ละครั้งตามจำนวนที่ระบุในโปรแกรมไลน์ (LINE) แม้ไม่มีการลงลายมือชื่อจำเลยไว้แต่เมื่อจำเลยยอมรับว่าส่งข้อความตอบตกลงการที่โจทก์จะให้กู้ยืมเงินจริง ข้อความสนทนาทางโปรแกรมไลน์ (LINE) จึงถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อของจำเลยผู้กู้ยืมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 7, 8, 9 โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,366,630.14 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงิน 2,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 มีนาคม 2564 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามฟ้อง ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 8,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2532 จบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านวิศวกรรมศาสตร์ ขณะเกิดเหตุพิพาทอายุ 29 ปีเศษ ประกอบอาชีพการงานอยู่ที่สมาพันธรัฐสวิส จำเลยเกิดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2541 ขณะเกิดเหตุพิพาทอายุ 20 ปีเศษ ไม่ได้ประกอบอาชีพ จำเลยมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคาร ก. สาขาบิ๊กซี นครสวรรค์ (วี - สแควร์) บัญชีเลขที่ 006 – 1 – 82xxx – x ชื่อบัญชี "น.ส. ฐิตามินทร์" จำเลยมีโปรแกรมไลน์ (LINE) บัญชีชื่อ SHIRLEYT โจทก์กับจำเลยพบและรู้จักกันบนเครื่องบินโดยสารระหว่างเดินทางไปสมาพันธรัฐสวิส และเป็นการพบกันเพียงครั้งเดียว จากนั้นโจทก์และจำเลยใช้โปรแกรมไลน์ (LINE) ดังกล่าวส่งข้อความสนทนากัน โจทก์โอนเงินให้จำเลย 20 ครั้ง ต่อมาจำเลยแจ้งโจทก์ว่าธุรกิจที่นำเงินจากโจทก์ไปลงทุนไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ โจทก์จึงไม่ประสงค์จะสนับสนุนทางการเงินแก่จำเลยอีกต่อไป และทวงถามให้จำเลยคืนเงินดังกล่าว แต่จำเลยไม่ชำระคืน โจทก์จึงให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามส่งไปยังจำเลยทางไปรษณีย์ว่าให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถาม จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 แต่จำเลยยังคงเพิกเฉย โจทก์จึงมอบอำนาจให้นายเกรียงศักดิ์บิดาโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ สำหรับจำนวนเงินที่จำเลยรับว่าได้รับโอนจากโจทก์เป็นเงินรวม 2,100,000 บาท นั้น ศาลตรวจดูแล้วปรากฏว่าจำนวนเงินตามฟ้องที่ถูกต้องรวมเป็นเงิน 2,150,000 บาท อย่างไรก็ตามเมื่อโจทก์ไม่ฎีกา ข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 006 – 1 – 82xxx – x ของจำเลย 20 ครั้ง รวมเป็นเงิน 2,100,000 บาท และจำเลยได้รับเงินดังกล่าวครบถ้วนแล้ว จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาโดยสรุปว่า ข้อความที่โจทก์ส่งให้แก่จำเลยทางโปรแกรมไลน์ (LINE) ว่า "การกู้ยืมเงินนี้ไม่คิดดอกเบี้ยและยังไม่บังคับวันกำหนดชำระคืน" ย่อมแสดงให้เห็นว่าการโอนเงินดังกล่าวโจทก์จำเลยมิได้มีเจตนาให้ผูกพันเป็นการกู้ยืมเงินที่แท้จริง ข้อความที่โจทก์สนทนากับจำเลยทางโปรแกรมไลน์ (LINE) เป็นข้อความที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาร่วมลงทุนประกอบกิจการค้าขายเสื้อผ้าและหน่อไม้กับจำเลย และภาพถ่ายที่จำเลยอ้างส่งก็แสดงถึงสินค้าที่จำเลยนำเงินที่โจทก์โอนให้ไปใช้ดำเนินกิจการบางส่วนแล้ว พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักรับฟังได้ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่" คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงิน 20 ครั้ง แต่ในการบรรยายฟ้องปรากฏว่า ในการกู้ยืมเงินครั้งที่ 1 โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2562 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 50,000 บาท โดยโจทก์โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 006 – 1 – 82xxx – x ชื่อบัญชี "น.ส. ฐิตามินทร์" ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากของจำเลย ส่วนการกู้ยืมเงินครั้งที่ 2 ถึง 20 โจทก์บรรยายฟ้องทำนองเดียวกันว่า เมื่อวันที่ (ระบุวันเดือนปี) โจทก์ส่งข้อความถึงจำเลยทางโปรแกรมไลน์ (LINE) ดังกล่าวว่า "นายชิษณุจะจัดทำธุรกรรมให้ยืมเงินจำนวน (ระบุจำนวนเงิน) ให้แก่นางสาวฐิตามินทร์ เพื่อใช้ลงทุนในธุรกิจ" โดยให้จำเลยพิมพ์คำว่า "ตกลง" เพื่อตกลงการกู้ยืม จำเลยได้ตกลงกู้ยืมเงิน โจทก์จึงโอนเงินให้แก่จำเลยเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 006 – 1 – 82xxx – x ของจำเลย แม้จำเลยให้การรับว่า ได้รับเงินที่โอนจากโจทก์แล้วทั้งยี่สิบครั้ง และพิมพ์คำว่า "ตกลง" โปรแกรมไลน์ (LINE) ตามที่โจทก์ให้พิมพ์ แต่การรับของจำเลยก็เป็นการรับตามที่ปรากฏตามฟ้องเท่านั้น จำเลยยังมีข้อต่อสู้อยู่ว่าการโอนเงินดังกล่าวไม่ใช่เป็นการกู้ยืมเงิน แต่เป็นการร่วมกันลงทุนประกอบธุรกิจออกแบบ ค้าขายเสื้อผ้า และส่งออกหน่อไม้ในลักษณะของการตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งยังไม่มีการชำระบัญชี โจทก์จึงยังไม่สามารถฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลย หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อของจำเลยซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นผู้กู้ยืมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นพยานหลักฐานที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จริงหรือไม่ เมื่อสืบพยานโจทก์ก็อ้างเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1 ถึง 24 เป็นพยานหลักฐาน ซึ่งเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 2 ถึง 21 ศาลชั้นต้นได้หมายเป็นเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.22 ตามลำดับ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 2 (ที่โจทก์อ้างว่าเป็นการกู้ยืมเงินครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2562) กลายเป็นเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งเป็นเอกสารท้ายคำฟ้องเดิม โดยไม่มีเอกสารเพิ่มเติมอีก โดยเอกสารหมาย จ.3 เป็นเพียงสำเนาเอกสารที่ธนาคารออกให้เป็นหลักฐานว่า ธนาคารได้ทำการโอนเงิน 50,000 บาท เข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 เท่านั้น ไม่มีข้อความในเรื่องการกู้ยืมเงิน ถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมครั้งที่ 1 เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้ยืมมาแสดง ส่วนเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 20 และหมายเลข 21 (ที่โจทก์อ้างว่าเป็นการกู้ยืมตามฟ้องครั้งที่ 19 และ 20 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2562 และวันที่ 3 กันยายน 2562) กลายเป็นเอกสารหมาย จ.21 และ จ.22 ซึ่งไม่ปรากฏข้อความที่จำเลยพิมพ์ตอบ"ตกลง" เพื่อตกลงการกู้ยืมเงินตามที่โจทก์อ้างว่าเป็นการกู้ยืมเงินครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2562 และวันที่ 3 กันยายน 2562 จำนวนเงิน 50,000 บาท และ 100,000 บาท แต่อย่างใด ถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้ยืมเป็นสำคัญมาแสดง โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีแก่จำเลยสำหรับการกู้ยืมครั้งที่ 1 ครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง สำหรับการกู้ยืมเงินครั้งที่ 2 ถึงครั้งที่ 18 โจทก์มีสำเนาโปรแกรมไลน์ (LINE) เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 3 ถึง 19 ตรงกับเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.20 ซึ่งโจทก์ส่งข้อความถึงจำเลยในทำนองเดียวกันว่า "นายชิษณุจะจัดทำธุรกรรมให้ยืมเงินจำนวน (ระบุจำนวนเงิน) ให้แก่นางสาวฐิตามินทร์ เพื่อใช้ลงทุนในธุรกิจ การกู้ยืมเงินนี้ไม่คิดดอกเบี้ยและยังไม่บังคับวันกำหนดชำระเงินคืน ลงวันที่... (พิมพ์ตกลงเพื่อยืนยัน)" ซึ่งจำเลยได้พิมพ์ข้อความว่า "ตกลง" ตอบกลับมาปรากฏในสำเนาโปรแกรมไลน์ (LINE) ดังกล่าวมาแสดง ซึ่งจำเลยก็ยอมรับว่ามีการส่งข้อความโต้ตอบกันเช่นนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยจริง การสนทนาทางโปรแกรมไลน์ (LINE) ดังกล่าวเป็นการส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ถือว่าเป็นการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เมื่ออ่านข้อความสนทนาของโจทก์และจำเลยประกอบกันแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงกันโดยโจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินและจำเลยตกลงกู้ยืมเงินแต่ละครั้งตามจำนวนที่ระบุไว้ในสำเนาโปรแกรมไลน์ (LINE) ดังกล่าว แม้ไม่มีการลงลายมือชื่อจำเลยลงไว้ก็ตาม เมื่อจำเลยยอมรับว่าส่งข้อความตอบตกลงการที่โจทก์จะให้กู้ยืมเงินจริง ข้อความสนทนาทางโปรแกรมไลน์ (LINE) ดังกล่าวจึงถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อของจำเลยผู้กู้ยืมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 7, 8, 9 โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ การที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า ไม่ใช่การกู้ยืมเงิน แต่เป็นเรื่องที่โจทก์นำเงินมาร่วมลงทุนประกอบธุรกิจออกแบบ ค้าขายเสื้อผ้า รวมถึงธุรกิจส่งออกหน่อไม้กับจำเลย ปัจจุบันยังไม่มีการชำระบัญชี โจทก์จึงยังไม่สามารถฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยได้ เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ แตกต่างไปจากหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินที่โจทก์จำเลยทำกันไว้ ภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้จึงตกแก่จำเลย จำเลยคงมีแต่จำเลยเบิกความ ซึ่งคำเบิกความดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่มีรายละเอียดว่า จำเลยซื้อผ้าอันเป็นวัตถุดิบในการผลิตเสื้อผ้าจากผู้จำหน่ายผ้ารายใดในย่านพาหุรัด จำนวนเท่าใด และเมื่อใด จำเลยนำผ้าไปให้ช่างรายใดที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผลิตตัดเย็บ เป็นชุดอะไรบ้าง จำนวนเท่าใด และเมื่อใด ทั้งจำเลยไม่มีพยานปากอื่นมาเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของจำเลย แม้แต่เพื่อนของจำเลย 2 คน ที่จำเลยอ้างว่าได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้นำเงินที่โจทก์ส่งให้มาว่าจ้างเป็นผู้ช่วยในการประกอบธุรกิจเสื้อผ้า ชุดแฟชั่น ผู้จำหน่ายผ้าให้แก่จำเลยย่านพาหุรัด ช่างที่รับผลิตตัดเย็บเสื้อผ้าให้แก่จำเลย และนางแบบสองคน ที่จำเลยอ้างว่าสวมเสื้อผ้าและชุดแฟชั่นที่จำเลยผลิตมาเบิกความ ส่วนภาพถ่ายหมาย ล.1 และ ล.4 เป็นเพียงภาพผ้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นผ้าสำเร็จรูปมีลวดลายอยู่แล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นผ้าที่โจทก์ออกแบบลวดลาย อีกทั้งผ้าตามภาพถ่ายดังกล่าวมีจำนวนน้อย ไม่สอดคล้องกับจำนวนเงินที่โจทก์โอนมาให้ เอกสารหมาย ล.3 แผ่นที่ 2 ซึ่งเป็นข้อความสนทนาผ่านโปรแกรมไลน์ (LINE) ที่จำเลยอ้างว่าใช้ติดต่อกับนางแบบชื่อแพม ก็เป็นการติดต่อเพื่อขอหมายเลขโทรศัพท์จากนางแบบคนดังกล่าวเท่านั้น ภาพถ่ายหมาย ล.3 แผ่นที่ 3 และแผ่นที่ 4 เป็นภาพถ่ายนางแบบสวมชุดแฟชั่นโดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นชุดแฟชั่นที่จำเลยผลิตขึ้นและการถ่ายภาพดังกล่าวเกิดขึ้นจากการว่าจ้างของจำเลย ส่วนธุรกิจส่งออกหน่อไม้และผักกาด (ดอง) ปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยว่า จำเลยได้รับอนุญาตจากบิดาให้ใช้โรงงานหน่อไม้ดองของบิดาซึ่งหยุดกิจการไปแล้วเป็นสถานที่ในการผลิต และจำเลยเป็นฝ่ายซื้อหาหน่อไม้ ผักกาด และวัตถุดิบในการผลิต แต่จำเลยไม่นำสืบรายละเอียดว่า ซื้อวัตถุดิบในการผลิตจากผู้จำหน่ายรายใด จากที่ไหนบ้าง เมื่อใด และจำนวนเท่าใด และจำเลยไม่นำบิดาจำเลยและผู้ที่จำหน่ายวัตถุดิบในการผลิตหน่อไม้มาเบิกความเป็นพยานให้แก่จำเลย และไม่มีหลักฐานภาพถ่ายการประกอบธุรกิจดังกล่าวมาแสดง การลงทุนประกอบธุรกิจเสื้อผ้า ชุดแฟชั่น และธุรกิจส่งออกหน่อไม้และผักกาด (ดอง) เป็นการประกอบธุรกิจที่มีปริมาณการผลิต รายละเอียดและความซับซ้อนอยู่ไม่น้อย แต่กลับไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายแยกประเภทเพื่อให้เห็นว่าซื้อวัตถุดิบในการผลิตมาเมื่อใด จำนวนเท่าใดและเป็นเงินเท่าใด เสียค่าใช้จ่ายในการผลิตเท่าใด จำหน่ายได้เมื่อใดเป็นจำนวนและเป็นเงินเท่าใด ได้กำไรหรือขาดทุนอย่างไรเท่าใด และจะต้องแบ่งกันกับโจทก์จำนวนเท่าใดและอย่างไร ซึ่งเป็นการผิดปกติวิสัยของการประกอบธุรกิจที่มีปริมาณการผลิต รายละเอียด และความซับซ้อนเช่นนี้ การที่โจทก์ส่งข้อความถึงจำเลยทางโปรแกรมไลน์ (LINE) ว่าเป็นเรื่องให้กู้ยืมเงิน และให้จำเลยพิมพ์ "ตกลง" เพื่อยืนยันก่อนที่โจทก์จะโอนเงินทุกครั้ง ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่า จำเลยย่อมรู้ว่าเป็นเรื่องการกู้ยืมเงิน ประกอบกับโจทก์และจำเลยพบกันเพียงครั้งเดียวบนเครื่องบินโดยสาร แม้ข้อความสนทนาที่โจทก์ส่งถึงจำเลยทางโปรแกรมไลน์ (LINE) จะมีข้อความเกี้ยวพาราสีจำเลยอยู่บ้าง และยังมีข้อความเป็นบันทึกช่วยจำว่า Funding (เงินลงทุน) Investment (การลงทุน) หรือ business (ธุรกิจ) ในตอนท้ายของสำเนาแบบโอนเงินสำเร็จก็ตาม แต่การที่โจทก์ให้จำเลยตอบตกลงในข้อความที่ให้กู้ยืมเงินทางโปรแกรมไลน์ (LINE) ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งจำเลยก็ตอบตกลงแสดงว่าโจทก์และจำเลยประสงค์จะผูกพันกันในลักษณะการกู้ยืมเงิน จึงไม่พอฟังว่าเป็นเรื่องร่วมลงทุน พยานหลักฐานจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อยไม่เพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า การที่โจทก์โอนเงินให้แก่จำเลย จึงมิใช่เป็นการร่วมลงทุนอันเป็นการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญ แต่เป็นการให้จำเลยกู้ยืมเงิน และพิพากษาให้จำเลยชำระเงินที่โจทก์โอนให้ครั้งที่ 2 ถึงที่ 18 พร้อมดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์นั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้จำเลยชำระเงินที่โจทก์โอนให้ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 พร้อมดอกเบี้ยด้วยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฏีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 1,950,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวในอัตราและระยะเวลาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 กำหนด ยกฟ้องสำหรับเงินที่โจทก์โอนให้ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6
แม้จำเลยให้การรับว่าได้รับเงินโอนจากโจทก์แล้วทั้งยี่สิบครั้งและพิมพ์คำว่า "ตกลง" ในโปรแกรมไลน์ (LINE) ตามที่โจทก์ให้พิมพ์ แต่การรับของจำเลยเป็นการรับตามที่ปรากฏในฟ้องเท่านั้น จำเลยยังมีข้อต่อสู้ว่าการโอนเงินดังกล่าวไม่ใช่เป็นการกู้ยืมเงินแต่เป็นการร่วมลงทุนประกอบธุรกิจออกแบบ ค้าขายเสื้อผ้า และส่งออกหน่อไม้ในลักษณะของการตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งยังไม่มีการชำระบัญชี โจทก์จึงยังไม่สามารถฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลย หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อของจำเลยซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นผู้กู้ยืมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นพยานหลักฐานที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จริงหรือไม่ เมื่อการกู้ยืมเงินครั้งที่ 1 โจทก์อ้างเพียงสำเนาเอกสารที่ธนาคารออกให้เป็นหลักฐานว่า ธนาคารได้ทำการโอนเงิน 50,000 บาท เข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 เท่านั้น ไม่มีข้อความในเรื่องการกู้ยืมเงิน ถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมครั้งที่ 1 เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้ยืมมาแสดง ส่วนการกู้ยืมครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 ไม่ปรากฏข้อความที่จำเลยพิมพ์ตอบ "ตกลง" เพื่อตกลงการกู้ยืมเงินตามที่โจทก์อ้างว่าเป็นการกู้ยืมเงินครั้งดังกล่าวแต่อย่างใด ถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้ยืมเป็นสำคัญมาแสดง โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีแก่จำเลยสำหรับการกู้ยืมครั้งที่ 1 ครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 ไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง
สำหรับการกู้ยืมเงินครั้งที่ 2 ถึงครั้งที่ 18 ซึ่งโจทก์ส่งข้อความถึงจำเลยในทำนองเดียวกันว่า "ช. จะจัดทำธุรกรรมให้ยืมเงินจำนวน (ระบุจำนวนเงิน) ให้แก่ ฐ. เพื่อใช้ลงทุนในธุรกิจ การกู้ยืมเงินนี้ไม่คิดดอกเบี้ยและยังไม่บังคับวันกำหนดชำระเงินคืน ลงวันที่... (พิมพ์ตกลงเพื่อยืนยัน)" ซึ่งจำเลยได้พิมพ์ข้อความว่า "ตกลง" ตอบกลับมาในโปรแกรมไลน์ (LINE) ซึ่งจำเลยรับว่ามีการส่งข้อความโต้ตอบเช่นนี้จริง การสนทนาทางโปรแกรมไลน์ (LINE) เป็นการส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ถือว่าเป็นการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เมื่ออ่านข้อความสนทนาของโจทก์และจำเลยประกอบกันแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงกันโดยโจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินและจำเลยตกลงกู้ยืมเงินแต่ละครั้งตามจำนวนที่ระบุในโปรแกรมไลน์ (LINE) แม้ไม่มีการลงลายมือชื่อจำเลยไว้แต่เมื่อจำเลยยอมรับว่าส่งข้อความตอบตกลงการที่โจทก์จะให้กู้ยืมเงินจริง ข้อความสนทนาทางโปรแกรมไลน์ (LINE) จึงถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อของจำเลยผู้กู้ยืมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 7, 8, 9 โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,366,630.14 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงิน 2,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 มีนาคม 2564 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามฟ้อง ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 8,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2532 จบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านวิศวกรรมศาสตร์ ขณะเกิดเหตุพิพาทอายุ 29 ปีเศษ ประกอบอาชีพการงานอยู่ที่สมาพันธรัฐสวิส จำเลยเกิดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2541 ขณะเกิดเหตุพิพาทอายุ 20 ปีเศษ ไม่ได้ประกอบอาชีพ จำเลยมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคาร ก. สาขาบิ๊กซี นครสวรรค์ (วี - สแควร์) บัญชีเลขที่ 006 – 1 – 82xxx – x ชื่อบัญชี "น.ส. ฐิตามินทร์" จำเลยมีโปรแกรมไลน์ (LINE) บัญชีชื่อ SHIRLEYT โจทก์กับจำเลยพบและรู้จักกันบนเครื่องบินโดยสารระหว่างเดินทางไปสมาพันธรัฐสวิส และเป็นการพบกันเพียงครั้งเดียว จากนั้นโจทก์และจำเลยใช้โปรแกรมไลน์ (LINE) ดังกล่าวส่งข้อความสนทนากัน โจทก์โอนเงินให้จำเลย 20 ครั้ง ต่อมาจำเลยแจ้งโจทก์ว่าธุรกิจที่นำเงินจากโจทก์ไปลงทุนไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ โจทก์จึงไม่ประสงค์จะสนับสนุนทางการเงินแก่จำเลยอีกต่อไป และทวงถามให้จำเลยคืนเงินดังกล่าว แต่จำเลยไม่ชำระคืน โจทก์จึงให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามส่งไปยังจำเลยทางไปรษณีย์ว่าให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถาม จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 แต่จำเลยยังคงเพิกเฉย โจทก์จึงมอบอำนาจให้นายเกรียงศักดิ์บิดาโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ สำหรับจำนวนเงินที่จำเลยรับว่าได้รับโอนจากโจทก์เป็นเงินรวม 2,100,000 บาท นั้น ศาลตรวจดูแล้วปรากฏว่าจำนวนเงินตามฟ้องที่ถูกต้องรวมเป็นเงิน 2,150,000 บาท อย่างไรก็ตามเมื่อโจทก์ไม่ฎีกา ข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 006 – 1 – 82xxx – x ของจำเลย 20 ครั้ง รวมเป็นเงิน 2,100,000 บาท และจำเลยได้รับเงินดังกล่าวครบถ้วนแล้ว จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาโดยสรุปว่า ข้อความที่โจทก์ส่งให้แก่จำเลยทางโปรแกรมไลน์ (LINE) ว่า "การกู้ยืมเงินนี้ไม่คิดดอกเบี้ยและยังไม่บังคับวันกำหนดชำระคืน" ย่อมแสดงให้เห็นว่าการโอนเงินดังกล่าวโจทก์จำเลยมิได้มีเจตนาให้ผูกพันเป็นการกู้ยืมเงินที่แท้จริง ข้อความที่โจทก์สนทนากับจำเลยทางโปรแกรมไลน์ (LINE) เป็นข้อความที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาร่วมลงทุนประกอบกิจการค้าขายเสื้อผ้าและหน่อไม้กับจำเลย และภาพถ่ายที่จำเลยอ้างส่งก็แสดงถึงสินค้าที่จำเลยนำเงินที่โจทก์โอนให้ไปใช้ดำเนินกิจการบางส่วนแล้ว พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักรับฟังได้ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่" คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงิน 20 ครั้ง แต่ในการบรรยายฟ้องปรากฏว่า ในการกู้ยืมเงินครั้งที่ 1 โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2562 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 50,000 บาท โดยโจทก์โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 006 – 1 – 82xxx – x ชื่อบัญชี "น.ส. ฐิตามินทร์" ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากของจำเลย ส่วนการกู้ยืมเงินครั้งที่ 2 ถึง 20 โจทก์บรรยายฟ้องทำนองเดียวกันว่า เมื่อวันที่ (ระบุวันเดือนปี) โจทก์ส่งข้อความถึงจำเลยทางโปรแกรมไลน์ (LINE) ดังกล่าวว่า "นายชิษณุจะจัดทำธุรกรรมให้ยืมเงินจำนวน (ระบุจำนวนเงิน) ให้แก่นางสาวฐิตามินทร์ เพื่อใช้ลงทุนในธุรกิจ" โดยให้จำเลยพิมพ์คำว่า "ตกลง" เพื่อตกลงการกู้ยืม จำเลยได้ตกลงกู้ยืมเงิน โจทก์จึงโอนเงินให้แก่จำเลยเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 006 – 1 – 82xxx – x ของจำเลย แม้จำเลยให้การรับว่า ได้รับเงินที่โอนจากโจทก์แล้วทั้งยี่สิบครั้ง และพิมพ์คำว่า "ตกลง" โปรแกรมไลน์ (LINE) ตามที่โจทก์ให้พิมพ์ แต่การรับของจำเลยก็เป็นการรับตามที่ปรากฏตามฟ้องเท่านั้น จำเลยยังมีข้อต่อสู้อยู่ว่าการโอนเงินดังกล่าวไม่ใช่เป็นการกู้ยืมเงิน แต่เป็นการร่วมกันลงทุนประกอบธุรกิจออกแบบ ค้าขายเสื้อผ้า และส่งออกหน่อไม้ในลักษณะของการตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งยังไม่มีการชำระบัญชี โจทก์จึงยังไม่สามารถฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลย หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อของจำเลยซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นผู้กู้ยืมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นพยานหลักฐานที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จริงหรือไม่ เมื่อสืบพยานโจทก์ก็อ้างเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1 ถึง 24 เป็นพยานหลักฐาน ซึ่งเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 2 ถึง 21 ศาลชั้นต้นได้หมายเป็นเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.22 ตามลำดับ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 2 (ที่โจทก์อ้างว่าเป็นการกู้ยืมเงินครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2562) กลายเป็นเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งเป็นเอกสารท้ายคำฟ้องเดิม โดยไม่มีเอกสารเพิ่มเติมอีก โดยเอกสารหมาย จ.3 เป็นเพียงสำเนาเอกสารที่ธนาคารออกให้เป็นหลักฐานว่า ธนาคารได้ทำการโอนเงิน 50,000 บาท เข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 เท่านั้น ไม่มีข้อความในเรื่องการกู้ยืมเงิน ถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมครั้งที่ 1 เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้ยืมมาแสดง ส่วนเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 20 และหมายเลข 21 (ที่โจทก์อ้างว่าเป็นการกู้ยืมตามฟ้องครั้งที่ 19 และ 20 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2562 และวันที่ 3 กันยายน 2562) กลายเป็นเอกสารหมาย จ.21 และ จ.22 ซึ่งไม่ปรากฏข้อความที่จำเลยพิมพ์ตอบ"ตกลง" เพื่อตกลงการกู้ยืมเงินตามที่โจทก์อ้างว่าเป็นการกู้ยืมเงินครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2562 และวันที่ 3 กันยายน 2562 จำนวนเงิน 50,000 บาท และ 100,000 บาท แต่อย่างใด ถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้ยืมเป็นสำคัญมาแสดง โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีแก่จำเลยสำหรับการกู้ยืมครั้งที่ 1 ครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง สำหรับการกู้ยืมเงินครั้งที่ 2 ถึงครั้งที่ 18 โจทก์มีสำเนาโปรแกรมไลน์ (LINE) เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 3 ถึง 19 ตรงกับเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.20 ซึ่งโจทก์ส่งข้อความถึงจำเลยในทำนองเดียวกันว่า "นายชิษณุจะจัดทำธุรกรรมให้ยืมเงินจำนวน (ระบุจำนวนเงิน) ให้แก่นางสาวฐิตามินทร์ เพื่อใช้ลงทุนในธุรกิจ การกู้ยืมเงินนี้ไม่คิดดอกเบี้ยและยังไม่บังคับวันกำหนดชำระเงินคืน ลงวันที่... (พิมพ์ตกลงเพื่อยืนยัน)" ซึ่งจำเลยได้พิมพ์ข้อความว่า "ตกลง" ตอบกลับมาปรากฏในสำเนาโปรแกรมไลน์ (LINE) ดังกล่าวมาแสดง ซึ่งจำเลยก็ยอมรับว่ามีการส่งข้อความโต้ตอบกันเช่นนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยจริง การสนทนาทางโปรแกรมไลน์ (LINE) ดังกล่าวเป็นการส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ถือว่าเป็นการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เมื่ออ่านข้อความสนทนาของโจทก์และจำเลยประกอบกันแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงกันโดยโจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินและจำเลยตกลงกู้ยืมเงินแต่ละครั้งตามจำนวนที่ระบุไว้ในสำเนาโปรแกรมไลน์ (LINE) ดังกล่าว แม้ไม่มีการลงลายมือชื่อจำเลยลงไว้ก็ตาม เมื่อจำเลยยอมรับว่าส่งข้อความตอบตกลงการที่โจทก์จะให้กู้ยืมเงินจริง ข้อความสนทนาทางโปรแกรมไลน์ (LINE) ดังกล่าวจึงถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อของจำเลยผู้กู้ยืมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 7, 8, 9 โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ การที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า ไม่ใช่การกู้ยืมเงิน แต่เป็นเรื่องที่โจทก์นำเงินมาร่วมลงทุนประกอบธุรกิจออกแบบ ค้าขายเสื้อผ้า รวมถึงธุรกิจส่งออกหน่อไม้กับจำเลย ปัจจุบันยังไม่มีการชำระบัญชี โจทก์จึงยังไม่สามารถฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยได้ เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ แตกต่างไปจากหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินที่โจทก์จำเลยทำกันไว้ ภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้จึงตกแก่จำเลย จำเลยคงมีแต่จำเลยเบิกความ ซึ่งคำเบิกความดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่มีรายละเอียดว่า จำเลยซื้อผ้าอันเป็นวัตถุดิบในการผลิตเสื้อผ้าจากผู้จำหน่ายผ้ารายใดในย่านพาหุรัด จำนวนเท่าใด และเมื่อใด จำเลยนำผ้าไปให้ช่างรายใดที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผลิตตัดเย็บ เป็นชุดอะไรบ้าง จำนวนเท่าใด และเมื่อใด ทั้งจำเลยไม่มีพยานปากอื่นมาเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของจำเลย แม้แต่เพื่อนของจำเลย 2 คน ที่จำเลยอ้างว่าได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้นำเงินที่โจทก์ส่งให้มาว่าจ้างเป็นผู้ช่วยในการประกอบธุรกิจเสื้อผ้า ชุดแฟชั่น ผู้จำหน่ายผ้าให้แก่จำเลยย่านพาหุรัด ช่างที่รับผลิตตัดเย็บเสื้อผ้าให้แก่จำเลย และนางแบบสองคน ที่จำเลยอ้างว่าสวมเสื้อผ้าและชุดแฟชั่นที่จำเลยผลิตมาเบิกความ ส่วนภาพถ่ายหมาย ล.1 และ ล.4 เป็นเพียงภาพผ้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นผ้าสำเร็จรูปมีลวดลายอยู่แล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นผ้าที่โจทก์ออกแบบลวดลาย อีกทั้งผ้าตามภาพถ่ายดังกล่าวมีจำนวนน้อย ไม่สอดคล้องกับจำนวนเงินที่โจทก์โอนมาให้ เอกสารหมาย ล.3 แผ่นที่ 2 ซึ่งเป็นข้อความสนทนาผ่านโปรแกรมไลน์ (LINE) ที่จำเลยอ้างว่าใช้ติดต่อกับนางแบบชื่อแพม ก็เป็นการติดต่อเพื่อขอหมายเลขโทรศัพท์จากนางแบบคนดังกล่าวเท่านั้น ภาพถ่ายหมาย ล.3 แผ่นที่ 3 และแผ่นที่ 4 เป็นภาพถ่ายนางแบบสวมชุดแฟชั่นโดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นชุดแฟชั่นที่จำเลยผลิตขึ้นและการถ่ายภาพดังกล่าวเกิดขึ้นจากการว่าจ้างของจำเลย ส่วนธุรกิจส่งออกหน่อไม้และผักกาด (ดอง) ปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยว่า จำเลยได้รับอนุญาตจากบิดาให้ใช้โรงงานหน่อไม้ดองของบิดาซึ่งหยุดกิจการไปแล้วเป็นสถานที่ในการผลิต และจำเลยเป็นฝ่ายซื้อหาหน่อไม้ ผักกาด และวัตถุดิบในการผลิต แต่จำเลยไม่นำสืบรายละเอียดว่า ซื้อวัตถุดิบในการผลิตจากผู้จำหน่ายรายใด จากที่ไหนบ้าง เมื่อใด และจำนวนเท่าใด และจำเลยไม่นำบิดาจำเลยและผู้ที่จำหน่ายวัตถุดิบในการผลิตหน่อไม้มาเบิกความเป็นพยานให้แก่จำเลย และไม่มีหลักฐานภาพถ่ายการประกอบธุรกิจดังกล่าวมาแสดง การลงทุนประกอบธุรกิจเสื้อผ้า ชุดแฟชั่น และธุรกิจส่งออกหน่อไม้และผักกาด (ดอง) เป็นการประกอบธุรกิจที่มีปริมาณการผลิต รายละเอียดและความซับซ้อนอยู่ไม่น้อย แต่กลับไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายแยกประเภทเพื่อให้เห็นว่าซื้อวัตถุดิบในการผลิตมาเมื่อใด จำนวนเท่าใดและเป็นเงินเท่าใด เสียค่าใช้จ่ายในการผลิตเท่าใด จำหน่ายได้เมื่อใดเป็นจำนวนและเป็นเงินเท่าใด ได้กำไรหรือขาดทุนอย่างไรเท่าใด และจะต้องแบ่งกันกับโจทก์จำนวนเท่าใดและอย่างไร ซึ่งเป็นการผิดปกติวิสัยของการประกอบธุรกิจที่มีปริมาณการผลิต รายละเอียด และความซับซ้อนเช่นนี้ การที่โจทก์ส่งข้อความถึงจำเลยทางโปรแกรมไลน์ (LINE) ว่าเป็นเรื่องให้กู้ยืมเงิน และให้จำเลยพิมพ์ "ตกลง" เพื่อยืนยันก่อนที่โจทก์จะโอนเงินทุกครั้ง ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่า จำเลยย่อมรู้ว่าเป็นเรื่องการกู้ยืมเงิน ประกอบกับโจทก์และจำเลยพบกันเพียงครั้งเดียวบนเครื่องบินโดยสาร แม้ข้อความสนทนาที่โจทก์ส่งถึงจำเลยทางโปรแกรมไลน์ (LINE) จะมีข้อความเกี้ยวพาราสีจำเลยอยู่บ้าง และยังมีข้อความเป็นบันทึกช่วยจำว่า Funding (เงินลงทุน) Investment (การลงทุน) หรือ business (ธุรกิจ) ในตอนท้ายของสำเนาแบบโอนเงินสำเร็จก็ตาม แต่การที่โจทก์ให้จำเลยตอบตกลงในข้อความที่ให้กู้ยืมเงินทางโปรแกรมไลน์ (LINE) ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งจำเลยก็ตอบตกลงแสดงว่าโจทก์และจำเลยประสงค์จะผูกพันกันในลักษณะการกู้ยืมเงิน จึงไม่พอฟังว่าเป็นเรื่องร่วมลงทุน พยานหลักฐานจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อยไม่เพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า การที่โจทก์โอนเงินให้แก่จำเลย จึงมิใช่เป็นการร่วมลงทุนอันเป็นการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญ แต่เป็นการให้จำเลยกู้ยืมเงิน และพิพากษาให้จำเลยชำระเงินที่โจทก์โอนให้ครั้งที่ 2 ถึงที่ 18 พร้อมดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์นั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้จำเลยชำระเงินที่โจทก์โอนให้ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 พร้อมดอกเบี้ยด้วยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฏีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 1,950,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวในอัตราและระยะเวลาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 กำหนด ยกฟ้องสำหรับเงินที่โจทก์โอนให้ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาอ้างว่า คำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีกับคำร้องของดการบังคับคดีที่จำเลยทั้งสี่ยื่นต่อศาลชั้นต้นถือเป็นคำร้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 วรรคหนึ่งและวรรคสาม ซึ่งชอบที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดี นั้น เมื่อพิจารณา ป.วิ.พ. มาตรา 295 วรรคสาม บัญญัติว่า "การยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองอาจกระทำได้ไม่ว่าในเวลาใดก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง แต่ต้องไม่ช้ากว่าสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ทั้งนี้ ผู้ยื่นคำร้องต้องมิได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากได้ทราบเรื่องบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมายนั้นแล้ว หรือต้องมิได้ให้สัตยาบันแก่การกระทำนั้น และในกรณีเช่นว่านี้ผู้ยื่นคำร้องจะขอต่อศาลในขณะเดียวกันนั้น ให้มีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างวินิจฉัยชี้ขาดก็ได้" บทบัญญัติดังกล่าวในตอนท้ายอันเกี่ยวกับการที่ผู้ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีจะขอให้ศาลมีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ก็ได้ในระหว่างวินิจฉัยชี้ขาดคำร้อง มิได้เป็นบทบังคับศาลให้ต้องมีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างพิจารณาคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีแต่ประการใด การพิจารณาว่าในระหว่างนั้นมีเหตุสมควรงดการบังคับคดีหรือไม่ ย่อมเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาสั่งตามดุลพินิจที่เห็นสมควรเป็นรายกรณีไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องของดการบังคับคดีของจำเลยทั้งสี่ว่า "ศาลได้มีคำสั่งนัดไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีคำร้องนี้จึงตกไปในตัว" จึงมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นยกคำร้องของดการบังคับคดีของจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นตามที่เห็นสมควร และเมื่อศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดไว้ตามคำขอของจำเลยทั้งสี่ ทั้งกรณีไม่ต้องด้วยเหตุใด ๆ ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะงดการบังคับคดีไว้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 (1) ถึง (4) กับมาตรา 290 แล้ว การบังคับคดีและขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำไปเพื่อบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้เป็นไปตามคำพิพากษาตามยอมจึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีเหตุต้องเพิกถอนการขายทอดตลาด
คดีสืบเนื่องจากภายหลังศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสี่รับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยทั้งสี่เพิกเฉยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ต่อมาวันที่ 5 พฤศจิกายน 2556 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 19421 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 4 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ศาลแพ่งมีคำสั่งอนุญาตให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 โดยผู้ซื้อทรัพย์ประมูลซื้อทรัพย์ได้ในราคา 6,950,000 บาท
จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานข้อเท็จจริงว่า การขายทอดตลาดนัดแรกในวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายไว้ก่อน เนื่องจากส่งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ซื้อเดิมไม่ครบระยะเวลาตามกฎหมาย ส่วนการขายนัดที่ 2 โจทก์มาดูแลการขายแต่ฝ่ายจำเลยกับผู้ซื้อเดิมไม่มา เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเริ่มต้นขายทรัพย์ในราคา 16,130,000 บาท ไม่มีผู้ใดเข้าสู้ราคาจึงเลื่อนไปขายต่อในนัดหน้า ครั้นนัดที่ 3 วันที่ 23 สิงหาคม 2562 ผู้แทนโจทก์มาดูแลการขาย ฝ่ายจำเลยกับผู้ซื้อเดิมทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มา และผู้ซื้อทรัพย์ประมูลซื้อทรัพย์ได้ในราคา 6,950,000 บาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสี่ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2556 ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสี่รับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ต่อจากนั้นวันที่ 5 พฤศจิกายน 2556 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 19421 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 4 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เพื่อนำออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 และเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวรวม 4 นัด โดยผู้ซื้อทรัพย์ประมูลซื้อทรัพย์ได้ในราคา 6,950,000 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาเพียงประการเดียวว่า คดีมีเหตุให้เพิกถอนการขายทอดตลาดหรือไม่ เห็นว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาอ้างว่า คำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีกับคำร้องของดการบังคับคดีฉบับลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 ที่จำเลยทั้งสี่ยื่นต่อศาลชั้นต้นเป็นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 วรรคหนึ่ง ซึ่งต้องงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีตามมาตรา 295 วรรคสาม นั้น เมื่อพิจารณาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า "การยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองอาจกระทำได้ไม่ว่าในเวลาใดก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง แต่ต้องไม่ช้ากว่าสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ทั้งนี้ ผู้ยื่นคำร้องต้องมิได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากได้ทราบเรื่องบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมายนั้นแล้ว หรือต้องมิได้ให้สัตยาบันแก่การกระทำนั้น และในกรณีเช่นว่านี้ผู้ยื่นคำร้องจะขอต่อศาลในขณะเดียวกันนั้นให้มีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างวินิจฉัยชี้ขาดก็ได้" บทบัญญัติดังกล่าวในตอนท้าย อันเกี่ยวกับการที่ผู้ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีจะขอให้ศาลมีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ก็ได้ในระหว่างวินิจฉัยชี้ขาดคำร้อง มิได้เป็นบทบังคับศาลให้ต้องมีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างพิจารณาคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีแต่ประการใด การพิจารณาว่าในระหว่างนั้นมีเหตุสมควรงดการบังคับคดีหรือไม่ ย่อมเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาสั่งตามดุลพินิจที่เห็นสมควรเป็นรายกรณีไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องของดการบังคับคดีของจำเลยทั้งสี่ ฉบับลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 ว่า "ศาลได้มีคำสั่งนัดไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีคำร้องนี้จึงตกไปในตัว" จึงมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นยกคำร้องของดการบังคับคดีของจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นตามที่เห็นสมควร และเมื่อศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดไว้ตามคำขอของจำเลยทั้งสี่ ทั้งกรณีไม่ต้องด้วยเหตุใด ๆ ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะงดการบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 (1) ถึง (4) กับมาตรา 290 แล้ว การบังคับคดีและขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำไปเพื่อบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้เป็นไปตามคำพิพากษาตามยอมจึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่มีเหตุต้องเพิกถอนการขายทอดตลาดดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา 8,000 บาท แทนผู้ซื้อทรัพย์
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาอ้างว่า คำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีกับคำร้องของดการบังคับคดีที่จำเลยทั้งสี่ยื่นต่อศาลชั้นต้นถือเป็นคำร้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 วรรคหนึ่งและวรรคสาม ซึ่งชอบที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดี นั้น เมื่อพิจารณา ป.วิ.พ. มาตรา 295 วรรคสาม บัญญัติว่า "การยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองอาจกระทำได้ไม่ว่าในเวลาใดก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง แต่ต้องไม่ช้ากว่าสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ทั้งนี้ ผู้ยื่นคำร้องต้องมิได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากได้ทราบเรื่องบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมายนั้นแล้ว หรือต้องมิได้ให้สัตยาบันแก่การกระทำนั้น และในกรณีเช่นว่านี้ผู้ยื่นคำร้องจะขอต่อศาลในขณะเดียวกันนั้น ให้มีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างวินิจฉัยชี้ขาดก็ได้" บทบัญญัติดังกล่าวในตอนท้ายอันเกี่ยวกับการที่ผู้ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีจะขอให้ศาลมีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ก็ได้ในระหว่างวินิจฉัยชี้ขาดคำร้อง มิได้เป็นบทบังคับศาลให้ต้องมีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างพิจารณาคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีแต่ประการใด การพิจารณาว่าในระหว่างนั้นมีเหตุสมควรงดการบังคับคดีหรือไม่ ย่อมเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาสั่งตามดุลพินิจที่เห็นสมควรเป็นรายกรณีไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องของดการบังคับคดีของจำเลยทั้งสี่ว่า "ศาลได้มีคำสั่งนัดไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีคำร้องนี้จึงตกไปในตัว" จึงมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นยกคำร้องของดการบังคับคดีของจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นตามที่เห็นสมควร และเมื่อศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดไว้ตามคำขอของจำเลยทั้งสี่ ทั้งกรณีไม่ต้องด้วยเหตุใด ๆ ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะงดการบังคับคดีไว้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 (1) ถึง (4) กับมาตรา 290 แล้ว การบังคับคดีและขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำไปเพื่อบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้เป็นไปตามคำพิพากษาตามยอมจึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีเหตุต้องเพิกถอนการขายทอดตลาด
คดีสืบเนื่องจากภายหลังศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสี่รับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยทั้งสี่เพิกเฉยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ต่อมาวันที่ 5 พฤศจิกายน 2556 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 19421 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 4 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ศาลแพ่งมีคำสั่งอนุญาตให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 โดยผู้ซื้อทรัพย์ประมูลซื้อทรัพย์ได้ในราคา 6,950,000 บาท
จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานข้อเท็จจริงว่า การขายทอดตลาดนัดแรกในวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายไว้ก่อน เนื่องจากส่งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ซื้อเดิมไม่ครบระยะเวลาตามกฎหมาย ส่วนการขายนัดที่ 2 โจทก์มาดูแลการขายแต่ฝ่ายจำเลยกับผู้ซื้อเดิมไม่มา เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเริ่มต้นขายทรัพย์ในราคา 16,130,000 บาท ไม่มีผู้ใดเข้าสู้ราคาจึงเลื่อนไปขายต่อในนัดหน้า ครั้นนัดที่ 3 วันที่ 23 สิงหาคม 2562 ผู้แทนโจทก์มาดูแลการขาย ฝ่ายจำเลยกับผู้ซื้อเดิมทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มา และผู้ซื้อทรัพย์ประมูลซื้อทรัพย์ได้ในราคา 6,950,000 บาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสี่ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2556 ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสี่รับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ต่อจากนั้นวันที่ 5 พฤศจิกายน 2556 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 19421 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 4 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เพื่อนำออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 และเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวรวม 4 นัด โดยผู้ซื้อทรัพย์ประมูลซื้อทรัพย์ได้ในราคา 6,950,000 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาเพียงประการเดียวว่า คดีมีเหตุให้เพิกถอนการขายทอดตลาดหรือไม่ เห็นว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาอ้างว่า คำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีกับคำร้องของดการบังคับคดีฉบับลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 ที่จำเลยทั้งสี่ยื่นต่อศาลชั้นต้นเป็นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 วรรคหนึ่ง ซึ่งต้องงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีตามมาตรา 295 วรรคสาม นั้น เมื่อพิจารณาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า "การยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองอาจกระทำได้ไม่ว่าในเวลาใดก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง แต่ต้องไม่ช้ากว่าสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ทั้งนี้ ผู้ยื่นคำร้องต้องมิได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากได้ทราบเรื่องบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมายนั้นแล้ว หรือต้องมิได้ให้สัตยาบันแก่การกระทำนั้น และในกรณีเช่นว่านี้ผู้ยื่นคำร้องจะขอต่อศาลในขณะเดียวกันนั้นให้มีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างวินิจฉัยชี้ขาดก็ได้" บทบัญญัติดังกล่าวในตอนท้าย อันเกี่ยวกับการที่ผู้ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีจะขอให้ศาลมีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ก็ได้ในระหว่างวินิจฉัยชี้ขาดคำร้อง มิได้เป็นบทบังคับศาลให้ต้องมีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างพิจารณาคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีแต่ประการใด การพิจารณาว่าในระหว่างนั้นมีเหตุสมควรงดการบังคับคดีหรือไม่ ย่อมเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาสั่งตามดุลพินิจที่เห็นสมควรเป็นรายกรณีไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องของดการบังคับคดีของจำเลยทั้งสี่ ฉบับลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 ว่า "ศาลได้มีคำสั่งนัดไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีคำร้องนี้จึงตกไปในตัว" จึงมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นยกคำร้องของดการบังคับคดีของจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นตามที่เห็นสมควร และเมื่อศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดไว้ตามคำขอของจำเลยทั้งสี่ ทั้งกรณีไม่ต้องด้วยเหตุใด ๆ ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะงดการบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 (1) ถึง (4) กับมาตรา 290 แล้ว การบังคับคดีและขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำไปเพื่อบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้เป็นไปตามคำพิพากษาตามยอมจึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่มีเหตุต้องเพิกถอนการขายทอดตลาดดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา 8,000 บาท แทนผู้ซื้อทรัพย์
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้าย โจทก์คงมีคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีลักษณะเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกันกระทำผิดด้วยกัน แต่ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายบังคับโดยเด็ดขาดห้ามมิให้รับฟังคำซัดทอดนั้นและข้อเท็จจริงตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ก็เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 บอกเล่าถึงความเป็นไปในการกระทำความผิด มิใช่กระทำไปโดยมุ่งต่อผลเพื่อให้จำเลยที่ 1 พ้นผิดแล้วให้จำเลยที่ 2 รับผิดเพียงลำพัง คำซัดทอดของจำเลยที่ 1 จึงรับฟังได้ แต่อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่า พยานซัดทอด หรือพยานที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้านนั้น ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227/1 วรรคหนึ่ง สำหรับคดีนี้โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นถึงพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีและไม่มีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุนคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 แม้โจทก์มีพันตำรวจโท พ. พนักงานสอบสวน เบิกความว่า ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพก็ตาม แต่คำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวมิใช่พยานหลักฐานที่มีแหล่งที่มาเป็นอิสระต่างหากจากคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ทั้งไม่มีคุณค่าเชิงพิสูจน์ที่สามารถสนับสนุนให้คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย อันถือว่าเป็นพยานหลักฐานประกอบอื่นตามความหมายของพยานหลักฐานประกอบที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227/1 วรรคสอง กรณีจึงไม่ใช่พยานหลักฐานประกอบอื่นที่สนับสนุนให้คำซัดทอดของจำเลยที่ 1 มีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานบุคคลอื่นมานำสืบเกี่ยวกับการร่วมกันกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 อีก เช่นนี้ คำซัดทอดของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีเหตุผลอันหนักแน่น ไม่อาจนำมารับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ขับรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตายหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 2 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง
เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์เป็นที่สงสัยว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ขับรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตายดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แม้ความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องในความผิดสองฐานนั้นได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และ 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 288, 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ 72, 72 ทวิ ริบอาวุธปืน ซองกระสุนปืน หัวกระสุนปืน และรถยนต์ของกลาง เพิ่มโทษจำเลยทั้งสองตามกฎหมาย และนับโทษจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 617/2565 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษและนับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นางพงษ์ศิริ มารดาของนายพงศ์เทพ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าปลงศพ 150,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะ 2,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ต่อมาผู้ร้องขอถอนคำร้องศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชนและฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น (ที่ถูก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน เพิ่มโทษจำเลยทั้งสองคนละกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น เมื่อศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตจำเลยทั้งสองแล้ว จึงเพิ่มโทษไม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นจำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นจำคุกคนละ 8 เดือน คำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยทั้งสอง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น คงจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายกับเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต คงจำคุกคนละ 10 เดือน 20 วัน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุกคนละ 4 เดือน 40 วัน รวมจำคุกคนละ 33 ปี 18 เดือน 60 วัน ริบอาวุธปืน ซองกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนของกลาง ยกคำขอให้ริบรถยนต์ของกลางและให้คืนแก่เจ้าของ ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 617/2565 ของศาลชั้นต้น ปรากฏว่าในคดีดังกล่าวศาลพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 เดือน แต่จำเลยที่ 1 ถูกคุมขังเกินกำหนดเวลาต้องโทษจำคุกไปแล้ว จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ คำขอส่วนนี้จึงให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2564 เวลาประมาณ 0.30 นาฬิกา ขณะที่นายพงศ์เทพ ผู้ตาย ขับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน กย xxxx ลพบุรี ไปตามถนนพหลโยธินถึงหน้าร้าน ม. ตำบลท่าศาลา อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี มีคนร้ายขับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ชภ xxxx กรุงเทพมหานคร ของกลาง แซงรถยนต์ของผู้ตายทางด้านขวา แล้วจำเลยที่ 1 ซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับใช้อาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายของกลางยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 2 มีว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ขับรถยนต์ของกลางในขณะที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตาย โจทก์คงมีคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ที่ให้การได้ความว่า วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของกลางไปรับจำเลยที่ 2 แล้วให้จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของกลาง โดยจำเลยที่ 1 นั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับ ไปยังหน้าวัด ท. เมื่อถึงบริเวณดังกล่าวเวลาประมาณ 20 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ลงจากรถยนต์ของกลางไปรับเมทแอมเฟตามีนแล้วกลับขึ้นรถยนต์ของกลาง จากนั้นจำเลยที่ 1 โทรศัพท์ติดต่อนายออยให้มารับเมทแอมเฟตามีนยังสถานที่นัดหมาย เมื่อจำเลยที่ 1 ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้นายออยแล้วจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของกลางไปบ้านเช่าของจำเลยที่ 2 เพื่อนำเมทแอมเฟตามีนไปเก็บไว้ ระหว่างทางนายโน้ตโทรศัพท์ติดต่อจำเลยที่ 1 เพื่อขอซื้อเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 ให้นายโน้ตไปรอที่หน้าโรงเรียน ว. ต่อมาขณะจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของกลางมาถึงบริเวณวงเวียนพระนารายณ์ จำเลยที่ 2 บอกจำเลยที่ 1 ว่า รถยนต์ ยี่ห้อมาสด้า สีแดง ขับช้าแปลก ๆ หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของกลางไปโรงเรียน ว. แล้วจำเลยที่ 1 ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้นายกล้าขณะนั้นจำเลยที่ 2 บอกจำเลยที่ 1 ว่า รถยนต์ยี่ห้อมาสด้า สีแดง คันเดิมขับผ่านมาช้า ๆ จำเลยที่ 1 จึงให้จำเลยที่ 2 ขับรถตามไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องแซง จนกระทั่งจำเลยที่ 1 เกิดความระแวงเรื่องที่จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนอยู่ในรถว่ากลุ่มนายโน้ตที่เคยติดเงินจำเลยที่ 1 จะขับรถมาทำร้ายจำเลยที่ 1 ประกอบกับจำเลยที่ 1 เป็นคนใจร้อนและมีอาวุธปืนอยู่ในกระเป๋าด้วย เมื่อจำเลยที่ 2 ขับรถแซงรถยนต์ ยี่ห้อมาสด้า สีแดง ขึ้นไปจำเลยที่ 1 จึงลดกระจกรถลง ขณะผ่านไปด้านหน้ารถ จำเลยที่ 1 จึงใช้อาวุธปืนยิงไปบริเวณตัวถังรถยนต์ ยี่ห้อมาสด้า สีแดง 1 นัด แล้วจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ขับรถหลบหนี ซึ่งคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมีลักษณะเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกันกระทำผิดด้วยกัน แต่ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายบังคับโดยเด็ดขาดห้ามมิให้รับฟังคำซัดทอดนั้นและข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวก็เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 บอกเล่าถึงความเป็นไปในการกระทำความผิด มิใช่กระทำไปโดยมุ่งต่อผลเพื่อให้จำเลยที่ 1 พ้นผิดแล้วให้จำเลยที่ 2 รับผิดเพียงลำพัง คำซัดทอดของจำเลยที่ 1 จึงรับฟังได้ แต่อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่า พยานซัดทอด หรือพยานที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้านนั้น ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 วรรคหนึ่ง สำหรับคดีนี้โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นถึงพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีและไม่มีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุนคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 แม้โจทก์มีพันตำรวจโทพงศ์พิชิต พนักงานสอบสวน เบิกความว่า ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพก็ตาม แต่คำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวมิใช่พยานหลักฐานที่มีแหล่งที่มาเป็นอิสระต่างหากจากคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ทั้งไม่มีคุณค่าเชิงพิสูจน์ที่สามารถสนับสนุนให้คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย อันถือว่าเป็นพยานหลักฐานประกอบอื่นตามความหมายของพยานหลักฐานประกอบที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227/1 วรรคสอง กรณีจึงไม่ใช่พยานหลักฐานประกอบอื่นที่สนับสนุนให้คำซัดทอดของจำเลยที่ 1 มีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ ปัญหาที่ต้องพิเคราะห์ต่อไป คือ คำซัดทอดของจำเลยที่ 1 มีเหตุผลหนักแน่นหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจตรีอภิเชษฐ์ เจ้าพนักงานตำรวจผู้สืบสวนคดีนี้ เบิกความเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ได้ความว่า การสืบสวนยืนยันได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 1323, 7868 และ 3956 พยานตรวจสอบการใช้หมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวพบว่าช่วงเดือนเมษายนมีการโทรศัพท์ติดต่อกับผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 บ่อยครั้ง หลังจากนั้นพยานขอข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของหมายเลขที่ลงท้ายด้วย 7603 จากบริษัท อ. พบว่าผู้ลงทะเบียนใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลขดังกล่าวคือ นางสาวนุสรา อดีตภริยาจำเลยที่ 2 และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 ใช้งานร่วมกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อออปโป้ A 7 และโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อวีโว่ รุ่น Y 15 ต่อมาพยานสะกดรอยตามนางสาวนุสราพบว่าชีวิตประจำวันของนางสาวนุสราไม่สอดคล้องกับการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 พยานจึงเชื่อว่านางสาวนุสราไม่ได้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลขดังกล่าวจากนั้นพยานทำแผงผังข้อมูลเครือข่ายพบว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 ใช้ติดต่อกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 2773 และ 0897 ของนางสาวนุสราด้วย และยังใช้ติดต่อกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 1323, 7868 และ 3956 ของจำเลยที่ 1 กับบุคคลที่ใช้ชื่อสกุลแก้วแดงดีด้วย พยานมีความเห็นว่าผู้ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 ต้องมีความสนิทสนมกับนางสาวนุสรา จำเลยที่ 1 และคนที่อยู่ในตระกูลแก้วแดงดี โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลขดังกล่าว หลังจากนั้นพยานตรวจสอบการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 ทั้งช่วงก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุพบว่ามีความสัมพันธ์กับหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 1 โดยมีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่บริเวณใกล้เคียงกันและสอดคล้องกับรถยนต์สีดำที่ขับผ่านก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ จึงเชื่อว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 อยู่ในรถยนต์คันดังกล่าวด้วย ต่อมาพยานทราบว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 ได้พร้อมโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อวีโว่ Y 15 ซึ่งหมายเลขอีมี่ของโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าวตรงกับที่พยานดำเนินการตรวจสอบ พยานจึงสรุปว่าจำเลยที่ 1 เดินทางมากับจำเลยที่ 2 ช่วงก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ เห็นว่า คำเบิกความของพันตำรวจตรีอภิเชษฐ์ที่ว่าจำเลยที่ 2 อยู่กับจำเลยที่ 1 ในขณะเกิดเหตุนั้นเป็นความเห็นที่ได้มาจากการวิเคราะห์และตรวจสอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 ที่นางสาวนุสรา อดีตภริยาจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ลงทะเบียนใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่กับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เท่านั้น โดยโจทก์ไม่มีพยานบุคคลมาเบิกความสนับสนุนคำเบิกของพันตำรวจตรีอภิเชษฐ์ให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 ของนางสาวนุสรา ทั้งข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานการสืบสวนระบุว่า โทรศัพท์เคลื่อนที่ หมายเลข 06 5923 7603 ใช้งานกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อ OPPO รุ่น A 7 รหัสสากลประจำอุปกรณ์เคลื่อนที่ (IMEI) : 867299048692390 และโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อ Vivo รุ่น Y 15 2019 รหัสสากลประจำอุปกรณ์เคลื่อนที่ (IMEI) : 861128049555610 แต่ตามบันทึกการจับกุมระบุว่า เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมตรวจสอบพบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 2 ยี่ห้อ Vivo รุ่น 1901 หมายเลข IMEI 1 : 861128049555615 และหมายเลข IMEI 2 : 861128049555607 หมายเลขโทรศัพท์ 09 9495 4407 ซึ่งตรงตามรายการตรวจยึดของกลางและภาพถ่าย โดยเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมจำเลยที่ 2 ไม่ได้ยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อ Vivo รุ่น Y 152019 รหัสสากลประจำอุปกรณ์เคลื่อนที่ (IMEI) : 861128049555610 ที่พันตำรวจตรีอภิเชษฐ์ใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์และตรวจสอบดังที่เบิกความไว้เป็นของกลาง ดังนี้ คำเบิกความของพันตำรวจตรีอภิเชษฐ์ซึ่งได้มาจากการวิเคราะห์และตรวจสอบจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 ที่นางสาวนุสราอดีตภริยาจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงทะเบียนใช้โทรศัพท์เคลื่อนกับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานบุคคลอื่นมานำสืบเกี่ยวกับการร่วมกันกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 อีกเช่นนี้ คำซัดทอดของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีเหตุผลอันหนักแน่น ไม่อาจนำมารับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ขับรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตายหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์เป็นที่สงสัยว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ขับรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตายดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แม้ความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องในความผิดสองฐานนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และ 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้าย โจทก์คงมีคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีลักษณะเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกันกระทำผิดด้วยกัน แต่ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายบังคับโดยเด็ดขาดห้ามมิให้รับฟังคำซัดทอดนั้นและข้อเท็จจริงตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ก็เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 บอกเล่าถึงความเป็นไปในการกระทำความผิด มิใช่กระทำไปโดยมุ่งต่อผลเพื่อให้จำเลยที่ 1 พ้นผิดแล้วให้จำเลยที่ 2 รับผิดเพียงลำพัง คำซัดทอดของจำเลยที่ 1 จึงรับฟังได้ แต่อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่า พยานซัดทอด หรือพยานที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้านนั้น ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227/1 วรรคหนึ่ง สำหรับคดีนี้โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นถึงพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีและไม่มีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุนคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 แม้โจทก์มีพันตำรวจโท พ. พนักงานสอบสวน เบิกความว่า ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพก็ตาม แต่คำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวมิใช่พยานหลักฐานที่มีแหล่งที่มาเป็นอิสระต่างหากจากคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ทั้งไม่มีคุณค่าเชิงพิสูจน์ที่สามารถสนับสนุนให้คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย อันถือว่าเป็นพยานหลักฐานประกอบอื่นตามความหมายของพยานหลักฐานประกอบที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227/1 วรรคสอง กรณีจึงไม่ใช่พยานหลักฐานประกอบอื่นที่สนับสนุนให้คำซัดทอดของจำเลยที่ 1 มีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานบุคคลอื่นมานำสืบเกี่ยวกับการร่วมกันกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 อีก เช่นนี้ คำซัดทอดของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีเหตุผลอันหนักแน่น ไม่อาจนำมารับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ขับรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตายหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 2 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง
เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์เป็นที่สงสัยว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ขับรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตายดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แม้ความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องในความผิดสองฐานนั้นได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และ 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 288, 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ 72, 72 ทวิ ริบอาวุธปืน ซองกระสุนปืน หัวกระสุนปืน และรถยนต์ของกลาง เพิ่มโทษจำเลยทั้งสองตามกฎหมาย และนับโทษจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 617/2565 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษและนับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นางพงษ์ศิริ มารดาของนายพงศ์เทพ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าปลงศพ 150,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะ 2,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ต่อมาผู้ร้องขอถอนคำร้องศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชนและฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น (ที่ถูก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน เพิ่มโทษจำเลยทั้งสองคนละกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น เมื่อศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตจำเลยทั้งสองแล้ว จึงเพิ่มโทษไม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นจำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นจำคุกคนละ 8 เดือน คำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยทั้งสอง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น คงจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายกับเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต คงจำคุกคนละ 10 เดือน 20 วัน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุกคนละ 4 เดือน 40 วัน รวมจำคุกคนละ 33 ปี 18 เดือน 60 วัน ริบอาวุธปืน ซองกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนของกลาง ยกคำขอให้ริบรถยนต์ของกลางและให้คืนแก่เจ้าของ ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 617/2565 ของศาลชั้นต้น ปรากฏว่าในคดีดังกล่าวศาลพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 เดือน แต่จำเลยที่ 1 ถูกคุมขังเกินกำหนดเวลาต้องโทษจำคุกไปแล้ว จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ คำขอส่วนนี้จึงให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2564 เวลาประมาณ 0.30 นาฬิกา ขณะที่นายพงศ์เทพ ผู้ตาย ขับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน กย xxxx ลพบุรี ไปตามถนนพหลโยธินถึงหน้าร้าน ม. ตำบลท่าศาลา อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี มีคนร้ายขับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ชภ xxxx กรุงเทพมหานคร ของกลาง แซงรถยนต์ของผู้ตายทางด้านขวา แล้วจำเลยที่ 1 ซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับใช้อาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายของกลางยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 2 มีว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ขับรถยนต์ของกลางในขณะที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตาย โจทก์คงมีคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ที่ให้การได้ความว่า วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของกลางไปรับจำเลยที่ 2 แล้วให้จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของกลาง โดยจำเลยที่ 1 นั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับ ไปยังหน้าวัด ท. เมื่อถึงบริเวณดังกล่าวเวลาประมาณ 20 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ลงจากรถยนต์ของกลางไปรับเมทแอมเฟตามีนแล้วกลับขึ้นรถยนต์ของกลาง จากนั้นจำเลยที่ 1 โทรศัพท์ติดต่อนายออยให้มารับเมทแอมเฟตามีนยังสถานที่นัดหมาย เมื่อจำเลยที่ 1 ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้นายออยแล้วจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของกลางไปบ้านเช่าของจำเลยที่ 2 เพื่อนำเมทแอมเฟตามีนไปเก็บไว้ ระหว่างทางนายโน้ตโทรศัพท์ติดต่อจำเลยที่ 1 เพื่อขอซื้อเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 ให้นายโน้ตไปรอที่หน้าโรงเรียน ว. ต่อมาขณะจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของกลางมาถึงบริเวณวงเวียนพระนารายณ์ จำเลยที่ 2 บอกจำเลยที่ 1 ว่า รถยนต์ ยี่ห้อมาสด้า สีแดง ขับช้าแปลก ๆ หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของกลางไปโรงเรียน ว. แล้วจำเลยที่ 1 ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้นายกล้าขณะนั้นจำเลยที่ 2 บอกจำเลยที่ 1 ว่า รถยนต์ยี่ห้อมาสด้า สีแดง คันเดิมขับผ่านมาช้า ๆ จำเลยที่ 1 จึงให้จำเลยที่ 2 ขับรถตามไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องแซง จนกระทั่งจำเลยที่ 1 เกิดความระแวงเรื่องที่จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนอยู่ในรถว่ากลุ่มนายโน้ตที่เคยติดเงินจำเลยที่ 1 จะขับรถมาทำร้ายจำเลยที่ 1 ประกอบกับจำเลยที่ 1 เป็นคนใจร้อนและมีอาวุธปืนอยู่ในกระเป๋าด้วย เมื่อจำเลยที่ 2 ขับรถแซงรถยนต์ ยี่ห้อมาสด้า สีแดง ขึ้นไปจำเลยที่ 1 จึงลดกระจกรถลง ขณะผ่านไปด้านหน้ารถ จำเลยที่ 1 จึงใช้อาวุธปืนยิงไปบริเวณตัวถังรถยนต์ ยี่ห้อมาสด้า สีแดง 1 นัด แล้วจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ขับรถหลบหนี ซึ่งคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมีลักษณะเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกันกระทำผิดด้วยกัน แต่ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายบังคับโดยเด็ดขาดห้ามมิให้รับฟังคำซัดทอดนั้นและข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวก็เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 บอกเล่าถึงความเป็นไปในการกระทำความผิด มิใช่กระทำไปโดยมุ่งต่อผลเพื่อให้จำเลยที่ 1 พ้นผิดแล้วให้จำเลยที่ 2 รับผิดเพียงลำพัง คำซัดทอดของจำเลยที่ 1 จึงรับฟังได้ แต่อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่า พยานซัดทอด หรือพยานที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้านนั้น ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 วรรคหนึ่ง สำหรับคดีนี้โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นถึงพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีและไม่มีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุนคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 แม้โจทก์มีพันตำรวจโทพงศ์พิชิต พนักงานสอบสวน เบิกความว่า ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพก็ตาม แต่คำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวมิใช่พยานหลักฐานที่มีแหล่งที่มาเป็นอิสระต่างหากจากคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ทั้งไม่มีคุณค่าเชิงพิสูจน์ที่สามารถสนับสนุนให้คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย อันถือว่าเป็นพยานหลักฐานประกอบอื่นตามความหมายของพยานหลักฐานประกอบที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227/1 วรรคสอง กรณีจึงไม่ใช่พยานหลักฐานประกอบอื่นที่สนับสนุนให้คำซัดทอดของจำเลยที่ 1 มีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ ปัญหาที่ต้องพิเคราะห์ต่อไป คือ คำซัดทอดของจำเลยที่ 1 มีเหตุผลหนักแน่นหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจตรีอภิเชษฐ์ เจ้าพนักงานตำรวจผู้สืบสวนคดีนี้ เบิกความเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ได้ความว่า การสืบสวนยืนยันได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 1323, 7868 และ 3956 พยานตรวจสอบการใช้หมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวพบว่าช่วงเดือนเมษายนมีการโทรศัพท์ติดต่อกับผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 บ่อยครั้ง หลังจากนั้นพยานขอข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของหมายเลขที่ลงท้ายด้วย 7603 จากบริษัท อ. พบว่าผู้ลงทะเบียนใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลขดังกล่าวคือ นางสาวนุสรา อดีตภริยาจำเลยที่ 2 และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 ใช้งานร่วมกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อออปโป้ A 7 และโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อวีโว่ รุ่น Y 15 ต่อมาพยานสะกดรอยตามนางสาวนุสราพบว่าชีวิตประจำวันของนางสาวนุสราไม่สอดคล้องกับการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 พยานจึงเชื่อว่านางสาวนุสราไม่ได้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลขดังกล่าวจากนั้นพยานทำแผงผังข้อมูลเครือข่ายพบว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 ใช้ติดต่อกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 2773 และ 0897 ของนางสาวนุสราด้วย และยังใช้ติดต่อกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 1323, 7868 และ 3956 ของจำเลยที่ 1 กับบุคคลที่ใช้ชื่อสกุลแก้วแดงดีด้วย พยานมีความเห็นว่าผู้ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 ต้องมีความสนิทสนมกับนางสาวนุสรา จำเลยที่ 1 และคนที่อยู่ในตระกูลแก้วแดงดี โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลขดังกล่าว หลังจากนั้นพยานตรวจสอบการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 ทั้งช่วงก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุพบว่ามีความสัมพันธ์กับหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 1 โดยมีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่บริเวณใกล้เคียงกันและสอดคล้องกับรถยนต์สีดำที่ขับผ่านก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ จึงเชื่อว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 อยู่ในรถยนต์คันดังกล่าวด้วย ต่อมาพยานทราบว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 ได้พร้อมโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อวีโว่ Y 15 ซึ่งหมายเลขอีมี่ของโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าวตรงกับที่พยานดำเนินการตรวจสอบ พยานจึงสรุปว่าจำเลยที่ 1 เดินทางมากับจำเลยที่ 2 ช่วงก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ เห็นว่า คำเบิกความของพันตำรวจตรีอภิเชษฐ์ที่ว่าจำเลยที่ 2 อยู่กับจำเลยที่ 1 ในขณะเกิดเหตุนั้นเป็นความเห็นที่ได้มาจากการวิเคราะห์และตรวจสอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 ที่นางสาวนุสรา อดีตภริยาจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ลงทะเบียนใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่กับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เท่านั้น โดยโจทก์ไม่มีพยานบุคคลมาเบิกความสนับสนุนคำเบิกของพันตำรวจตรีอภิเชษฐ์ให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 ของนางสาวนุสรา ทั้งข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานการสืบสวนระบุว่า โทรศัพท์เคลื่อนที่ หมายเลข 06 5923 7603 ใช้งานกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อ OPPO รุ่น A 7 รหัสสากลประจำอุปกรณ์เคลื่อนที่ (IMEI) : 867299048692390 และโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อ Vivo รุ่น Y 15 2019 รหัสสากลประจำอุปกรณ์เคลื่อนที่ (IMEI) : 861128049555610 แต่ตามบันทึกการจับกุมระบุว่า เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมตรวจสอบพบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 2 ยี่ห้อ Vivo รุ่น 1901 หมายเลข IMEI 1 : 861128049555615 และหมายเลข IMEI 2 : 861128049555607 หมายเลขโทรศัพท์ 09 9495 4407 ซึ่งตรงตามรายการตรวจยึดของกลางและภาพถ่าย โดยเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมจำเลยที่ 2 ไม่ได้ยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อ Vivo รุ่น Y 152019 รหัสสากลประจำอุปกรณ์เคลื่อนที่ (IMEI) : 861128049555610 ที่พันตำรวจตรีอภิเชษฐ์ใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์และตรวจสอบดังที่เบิกความไว้เป็นของกลาง ดังนี้ คำเบิกความของพันตำรวจตรีอภิเชษฐ์ซึ่งได้มาจากการวิเคราะห์และตรวจสอบจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 7603 ที่นางสาวนุสราอดีตภริยาจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงทะเบียนใช้โทรศัพท์เคลื่อนกับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานบุคคลอื่นมานำสืบเกี่ยวกับการร่วมกันกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 อีกเช่นนี้ คำซัดทอดของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีเหตุผลอันหนักแน่น ไม่อาจนำมารับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ขับรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตายหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์เป็นที่สงสัยว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ขับรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตายดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แม้ความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องในความผิดสองฐานนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และ 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
จ. เป็นบุพการีของ น. ผู้ตาย จ. จึงอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายเช่นเดียวกับ ร. โจทก์ร่วม ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) เมื่อโจทก์ร่วมถึงแก่ความตาย การที่ จ. ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ร่วมเดิม ถือได้ว่า จ. ประสงค์ขอใช้สิทธิของตนที่มีอยู่เดิมตั้งแต่แรกในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนด้วยอีกคนหนึ่งเช่นเดียวกับโจทก์ร่วมเพื่อสืบสิทธิดำเนินคดีแทนโจทก์ร่วม ย่อมถือว่า จ. เข้าสืบสิทธิดำเนินคดีแทน ร. โจทก์ร่วม เมื่อ ร. ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ จ. เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการและรับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมไว้พิจารณาต่อไป จึงชอบด้วยกฎหมาย จ. จึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 288 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง
ระหว่างพิจารณา นายรัตน์ บิดาของนางสาวนวพร ผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน ริบสากครกหิน สากไม้ และอาวุธมีดของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ระหว่างพิจารณา นายรัตน์ ถึงแก่ความตาย นางจีรารัตน์ อดีตภริยาของนายรัตน์และเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสาวนวพร ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่นายรัตน์ โจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 20 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า จำเลยและนางสาวนวพร ผู้ตาย จดทะเบียนสมรสกันเมื่อปี 2558 มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กหญิงกอปรรัก ทั้งหมดอาศัยอยู่ที่บ้านโจทก์ร่วม ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยมีเจตนาฆ่าใช้มีดทำครัวปลายแหลม ขนาดความยาวรวมด้าม 35 เซนติเมตร 1 เล่ม สากครกหิน น้ำหนักรวมประมาณ 0.77 กิโลกรัม และสากไม้ น้ำหนัก 0.31 กิโลกรัม ฟัน แทง ทุบ และตีประทุษร้ายผู้ตายอย่างแรงหลายครั้ง ผู้ตายมีบาดแผลถูกฟันบริเวณหนังศีรษะ 4 บาดแผลยาว 1.5 ถึง 5.5 เซนติเมตร บาดแผลถูกฟันตื้นบริเวณใต้ตาขวายาว 4 เซนติเมตร บาดแผลถูกฟันตื้นบริเวณแก้มขวายาว 1 เซนติเมตร เบ้าตาทั้งสองข้างฟกช้ำร่วมกับเลือดออกในเยื่อบุตาขาว ริมฝีปากฟกช้ำฉีกขาดทั้งบนและล่าง บาดแผลถูกแทงบริเวณขากรรไกรล่างด้านขวายาว 4 เซนติเมตร บาดแผลถูกแทงบริเวณลำคอด้านขวายาว 2.5 เซนติเมตร ลึกถึงหลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณคอ บาดแผลถูกฟันบริเวณไหล่ขวายาว 1 เซนติเมตร บาดแผลถูกแทงบริเวณหลังต้นแขนขวายาว 2 เซนติเมตร พบรอยประทับด้ามมีดรอบปากแผล บาดแผลฟกช้ำบริเวณหน้าอกขวากว้าง 5 เซนติเมตร ยาว 7 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณไหล่ซ้าย เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำหลายบาดแผลบริเวณแขนซ้ายท่อนล่าง เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ถึง 2 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณหลังศอกขวา เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณหลังมือขวา เส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณนิ้วโป้งมือขวา นิ้วชี้และนิ้วกลางมือซ้าย แผลเป็นลักษณะขนานกันหลายบาดแผลบริเวณต้นแขนขวา 5 บาดแผล หน้าอกขวา 8 บาดแผล ไหล่ซ้าย 4 บาดแผล หน้าท้องซ้ายบน 5 บาดแผล เนื้อสมองคั่งเลือด กล้ามเนื้อคอฟกช้ำ หลอดเลือดแดงใหญ่คาโรติดข้างขวาฉีกขาด สาเหตุการตายโดยตรงเนื่องจากบาดแผลถูกแทงบริเวณลำคอด้านหน้า ผู้ตายเป็นบุตรของนายรัตน์ และนางจีรารัตน์ ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น นายรัตน์ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามคำร้องลงวันที่ 19 กันยายน 2565 ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายรัตน์เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ต่อมาวันที่ 21 ธันวาคม 2565 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้คู่ความฟัง แต่ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาดังกล่าว ทนายโจทก์ร่วมแถลงต่อศาลว่า เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2565 นายรัตน์ถึงแก่ความตาย นางจีรารัตน์ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ร่วมเดิมตามคำร้องลงวันที่ 19 มกราคม 2566 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นมารดาของผู้ตายประสงค์ใช้สิทธิของตนในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) จึงอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ตามขอ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า นางจีรารัตน์มีสิทธิยื่นอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า นางจีรารัตน์เป็นบุพการีของนางสาวนวพร ผู้ตาย นางจีรารัตน์จึงอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายเช่นเดียวกับนายรัตน์ โจทก์ร่วม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) เมื่อโจทก์ร่วมถึงแก่ความตาย การที่นางจีรารัตน์ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ร่วมเดิม ถือได้ว่านางจีรารัตน์ประสงค์ขอใช้สิทธิของตนที่มีอยู่เดิมตั้งแต่แรกในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนด้วยอีกคนหนึ่งเช่นเดียวกับโจทก์ร่วม เพื่อสืบสิทธิดำเนินคดีแทนโจทก์ร่วม ย่อมถือว่านางจีรารัตน์เข้าสืบสิทธิดำเนินคดีแทนนายรัตน์ โจทก์ร่วม เมื่อนายรัตน์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางจีรารัตน์เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการและรับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมไว้พิจารณาต่อไปจึงชอบด้วยกฎหมาย นางจีรารัตน์จึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำเลยเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยใช้มีดทำครัวปลายแหลม สากครกหิน และสากไม้ ฟัน แทง ทุบ และตีประทุษร้ายผู้ตายอย่างแรงหลายครั้ง ทั้งตามรายงานตรวจศพระบุว่าผู้ตายมีบาดแผลหลายแห่ง สาเหตุการตายเนื่องจากบาดแผลถูกแทงบริเวณลำคอด้านหน้า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นการกระทำต่อผู้ตายซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าอย่างรุนแรง ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยหลังลดโทษกึ่งหนึ่ง 10 ปี นั้น นับว่าเหมาะสมและเป็นคุณแก่จำเลยมากอยู่แล้ว ศาลฎีกาไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
จ. เป็นบุพการีของ น. ผู้ตาย จ. จึงอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายเช่นเดียวกับ ร. โจทก์ร่วม ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) เมื่อโจทก์ร่วมถึงแก่ความตาย การที่ จ. ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ร่วมเดิม ถือได้ว่า จ. ประสงค์ขอใช้สิทธิของตนที่มีอยู่เดิมตั้งแต่แรกในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนด้วยอีกคนหนึ่งเช่นเดียวกับโจทก์ร่วมเพื่อสืบสิทธิดำเนินคดีแทนโจทก์ร่วม ย่อมถือว่า จ. เข้าสืบสิทธิดำเนินคดีแทน ร. โจทก์ร่วม เมื่อ ร. ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ จ. เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการและรับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมไว้พิจารณาต่อไป จึงชอบด้วยกฎหมาย จ. จึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 288 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง
ระหว่างพิจารณา นายรัตน์ บิดาของนางสาวนวพร ผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน ริบสากครกหิน สากไม้ และอาวุธมีดของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ระหว่างพิจารณา นายรัตน์ ถึงแก่ความตาย นางจีรารัตน์ อดีตภริยาของนายรัตน์และเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสาวนวพร ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่นายรัตน์ โจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 20 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า จำเลยและนางสาวนวพร ผู้ตาย จดทะเบียนสมรสกันเมื่อปี 2558 มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กหญิงกอปรรัก ทั้งหมดอาศัยอยู่ที่บ้านโจทก์ร่วม ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยมีเจตนาฆ่าใช้มีดทำครัวปลายแหลม ขนาดความยาวรวมด้าม 35 เซนติเมตร 1 เล่ม สากครกหิน น้ำหนักรวมประมาณ 0.77 กิโลกรัม และสากไม้ น้ำหนัก 0.31 กิโลกรัม ฟัน แทง ทุบ และตีประทุษร้ายผู้ตายอย่างแรงหลายครั้ง ผู้ตายมีบาดแผลถูกฟันบริเวณหนังศีรษะ 4 บาดแผลยาว 1.5 ถึง 5.5 เซนติเมตร บาดแผลถูกฟันตื้นบริเวณใต้ตาขวายาว 4 เซนติเมตร บาดแผลถูกฟันตื้นบริเวณแก้มขวายาว 1 เซนติเมตร เบ้าตาทั้งสองข้างฟกช้ำร่วมกับเลือดออกในเยื่อบุตาขาว ริมฝีปากฟกช้ำฉีกขาดทั้งบนและล่าง บาดแผลถูกแทงบริเวณขากรรไกรล่างด้านขวายาว 4 เซนติเมตร บาดแผลถูกแทงบริเวณลำคอด้านขวายาว 2.5 เซนติเมตร ลึกถึงหลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณคอ บาดแผลถูกฟันบริเวณไหล่ขวายาว 1 เซนติเมตร บาดแผลถูกแทงบริเวณหลังต้นแขนขวายาว 2 เซนติเมตร พบรอยประทับด้ามมีดรอบปากแผล บาดแผลฟกช้ำบริเวณหน้าอกขวากว้าง 5 เซนติเมตร ยาว 7 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณไหล่ซ้าย เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำหลายบาดแผลบริเวณแขนซ้ายท่อนล่าง เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ถึง 2 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณหลังศอกขวา เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณหลังมือขวา เส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณนิ้วโป้งมือขวา นิ้วชี้และนิ้วกลางมือซ้าย แผลเป็นลักษณะขนานกันหลายบาดแผลบริเวณต้นแขนขวา 5 บาดแผล หน้าอกขวา 8 บาดแผล ไหล่ซ้าย 4 บาดแผล หน้าท้องซ้ายบน 5 บาดแผล เนื้อสมองคั่งเลือด กล้ามเนื้อคอฟกช้ำ หลอดเลือดแดงใหญ่คาโรติดข้างขวาฉีกขาด สาเหตุการตายโดยตรงเนื่องจากบาดแผลถูกแทงบริเวณลำคอด้านหน้า ผู้ตายเป็นบุตรของนายรัตน์ และนางจีรารัตน์ ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น นายรัตน์ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามคำร้องลงวันที่ 19 กันยายน 2565 ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายรัตน์เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ต่อมาวันที่ 21 ธันวาคม 2565 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้คู่ความฟัง แต่ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาดังกล่าว ทนายโจทก์ร่วมแถลงต่อศาลว่า เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2565 นายรัตน์ถึงแก่ความตาย นางจีรารัตน์ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ร่วมเดิมตามคำร้องลงวันที่ 19 มกราคม 2566 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นมารดาของผู้ตายประสงค์ใช้สิทธิของตนในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) จึงอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ตามขอ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า นางจีรารัตน์มีสิทธิยื่นอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า นางจีรารัตน์เป็นบุพการีของนางสาวนวพร ผู้ตาย นางจีรารัตน์จึงอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายเช่นเดียวกับนายรัตน์ โจทก์ร่วม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) เมื่อโจทก์ร่วมถึงแก่ความตาย การที่นางจีรารัตน์ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ร่วมเดิม ถือได้ว่านางจีรารัตน์ประสงค์ขอใช้สิทธิของตนที่มีอยู่เดิมตั้งแต่แรกในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนด้วยอีกคนหนึ่งเช่นเดียวกับโจทก์ร่วม เพื่อสืบสิทธิดำเนินคดีแทนโจทก์ร่วม ย่อมถือว่านางจีรารัตน์เข้าสืบสิทธิดำเนินคดีแทนนายรัตน์ โจทก์ร่วม เมื่อนายรัตน์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางจีรารัตน์เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการและรับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมไว้พิจารณาต่อไปจึงชอบด้วยกฎหมาย นางจีรารัตน์จึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำเลยเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยใช้มีดทำครัวปลายแหลม สากครกหิน และสากไม้ ฟัน แทง ทุบ และตีประทุษร้ายผู้ตายอย่างแรงหลายครั้ง ทั้งตามรายงานตรวจศพระบุว่าผู้ตายมีบาดแผลหลายแห่ง สาเหตุการตายเนื่องจากบาดแผลถูกแทงบริเวณลำคอด้านหน้า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นการกระทำต่อผู้ตายซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าอย่างรุนแรง ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยหลังลดโทษกึ่งหนึ่ง 10 ปี นั้น นับว่าเหมาะสมและเป็นคุณแก่จำเลยมากอยู่แล้ว ศาลฎีกาไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านชำระหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้อันได้แก่ ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง จากเงินที่ผู้คัดค้านได้รับจากการขายทอดตลาดห้องชุดพิพาททั้งสามห้องของจำเลย แม้หนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางค้างชำระเป็นเงินค้างจ่ายซึ่งมีกำหนดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (4) ก็ตาม แต่หนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ที่ค้างชำระเกินเวลา 5 ปี ก็ยังไม่ระงับ เพราะสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความนั้น มีผลให้ลูกหนี้มีสิทธิจะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้เท่านั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/10 ประกอบกับในการขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุด ผู้ร้องจะต้องได้รับชำระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางครบถ้วนแล้วตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 29 วรรคสอง อันเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์คุ้มครองประชาชนที่ซื้อห้องชุดเพื่อการอยู่อาศัย บทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 309 จัตวา วรรคสอง (เดิม) ดังนั้น ผู้คัดค้านจึงไม่อาจอ้างเหตุขาดอายุความเพื่อปฏิเสธการชำระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มส่วนที่ย้อนหลังเกิน 5 ปี ได้
ป.วิ.พ. มาตรา 309 จัตวา วรรคสอง (เดิม) บัญญัติให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าใช้จ่ายแก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้จำนอง ผู้ร้องแจ้งหนี้บุริมสิทธิอันเกิดจากค่าใช้จ่ายในการจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 41 วรรคท้าย ย่อมทำให้ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิอยู่ในลำดับก่อนเจ้าหนี้จำนองด้วย
คดีสืบเนื่องจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2553 และพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2554
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านนำเงินค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด 1,316,316 บาท ชำระให้ผู้ร้องพร้อมค่าเสียหายอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ผู้คัดค้านครอบครองเงินดังกล่าวจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับ ให้ผู้คัดค้านกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดห้องชุดเลขที่ 88/101, 88/103 และ 88/416 อาคารเลขที่ 1 ชื่ออาคารชุด ว. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 156117 ของจำเลย ชำระค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้แก่ผู้ร้องตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด นับแต่วันที่ห้องชุดแต่ละห้องมีค่าใช้จ่ายค้างชำระจนถึงวันขายทอดตลาด พร้อมเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระเป็นเวลา 6 เดือน โดยไม่คิดทบต้น ตามที่กำหนดในข้อบังคับของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องและผู้คัดค้านฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า หลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย ผู้คัดค้านได้ยึดห้องชุดเลขที่ 88/101, 88/103 และ 88/416 อาคารเลขที่ 1 ชื่ออาคารชุด ว. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 156117 ของจำเลย ซึ่งมีผู้ร้องเป็นนิติบุคคลอาคารชุด วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 ผู้คัดค้านขอให้ผู้ร้องตรวจสอบและแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระ ผู้ร้องได้แจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดเป็นเงิน 1,316,316 บาท ต่อมาห้องชุดเลขที่ 88/101 ขายได้วันที่ 4 สิงหาคม 2559 ในราคา 1,590,000 บาท ห้องชุดเลขที่ 88/103 ขายได้วันที่ 17 พฤศจิกายน 2559 ในราคา 1,350,000 บาท และห้องชุดเลขที่ 88/416 ขายได้วันที่ 6 ตุลาคม 2559 ในราคา 1,100,000 บาท รวม 3 ห้อง ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น 4,040,000 บาท วันที่ 28 มีนาคม 2561 ผู้ร้องแจ้งหนี้บุริมสิทธิอันเกิดจากค่าใช้จ่ายในการจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง แก่นางสาวกิตต์รวี นักวิชาการที่ดินปฏิบัติการ ต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม 2562 ผู้คัดค้านกันเงินค่าใช้จ่ายส่วนกลาง พร้อมเงินเพิ่มร้อยละ 12 ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี เพื่อชำระหนี้ให้ผู้ร้องทั้งสิ้น 376,320 บาท
เห็นควรวินิจฉัยฎีกาของผู้คัดค้านประการแรกก่อนว่า ผู้คัดค้านจะยกปัญหาอายุความขึ้นปฏิเสธการชำระหนี้ค่าใช้จ่ายที่ผู้ร้องได้แจ้งต่อผู้คัดค้าน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 จัตวา (เดิม) แล้ว ได้หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การขายทอดตลาดห้องชุดพิพาททั้งสามห้องของจำเลยในคดีล้มละลาย ผู้คัดค้านต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 จัตวา วรรคสอง (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น โดยอนุโลมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14 โดยผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องบอกกล่าวให้ผู้ร้องแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดต่อผู้คัดค้านภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำบอกกล่าว เมื่อขายทอดตลาดแล้วให้ผู้คัดค้านกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไว้เพื่อชำระหนี้ที่ค้างชำระดังกล่าวจนถึงวันขายทอดตลาดแก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้จำนอง คดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านชำระหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้อันได้แก่ ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง จากเงินที่ผู้คัดค้านได้รับจากการขายทอดตลาดห้องชุดพิพาททั้งสามห้องของจำเลย แม้จะถือว่าหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางค้างชำระเป็นเงินค้างจ่ายซึ่งมีกำหนดอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (4) ดังที่ผู้คัดค้านอ้างก็ตาม แต่หนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ที่ค้างชำระเกินเวลา 5 ปี ซึ่งขาดอายุความนั้น ก็ยังไม่ระงับ เพราะสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความนั้นมีผลให้ลูกหนี้มีสิทธิจะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้เท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/10 ประกอบกับในการขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุด ผู้ร้องจะต้องได้รับชำระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางครบถ้วนแล้วตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 29 วรรคสอง อันเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์คุ้มครองประชาชนที่ซื้อห้องชุดเพื่อการอยู่อาศัย บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 จัตวา วรรคสอง (เดิม) เพียงแต่ยกเว้นให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อห้องชุดจากการขายทอดตลาดโดยไม่ต้องใช้หนังสือรับรองการปลอดหนี้ เพราะผู้คัดค้านมีหน้าที่ต้องกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไว้เพื่อชำระหนี้ที่ค้างชำระดังกล่าวแก่ผู้ร้องจนครบถ้วนถึงวันขายทอดตลาดแล้ว ดังนั้น ผู้คัดค้านจึงไม่อาจอ้างเหตุขาดอายุความขึ้นเพื่อปฏิเสธการชำระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มส่วนที่ย้อนหลังเกิน 5 ปีได้ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยประเด็นนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านและผู้ร้องประการต่อไปว่า ผู้คัดค้านต้องกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดห้องชุดพิพาททั้งสามห้องของจำเลยให้แก่ผู้ร้องเป็นจำนวนเท่าใด โดยผู้คัดค้านฎีกาว่า ตามคำสั่งกรมบังคับคดีที่ 57/2561 ลงวันที่ 24 มกราคม 2561 เรื่องค่าใช้จ่ายส่วนกลางสำหรับห้องชุด ค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคสำหรับที่ดินจัดสรร ข้อ 4 ได้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กันเงินที่ค้างชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางในกรณีห้องชุดเฉพาะที่เป็นบุริมสิทธิเหนือห้องชุดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 41 (2) โดยคำนวณถึงวันขายทอดตลาด แต่ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ค้างชำระจนถึงวันที่เคาะไม้ขายต้องเป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี เพื่อจ่ายให้แก่นิติบุคคลอาคารชุด ซึ่งผู้คัดค้านได้กันเงินค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มทั้งสามห้อง จำนวน 376,320 บาท ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่วนผู้ร้องฎีกาในประเด็นนี้ว่า เงินเพิ่มที่กำหนดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18/1 วรรคสอง เป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 ด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านไปพร้อมกัน โดยเห็นว่า เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการให้บริการส่วนรวมและค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาและการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 ภายในเวลาที่กำหนด จำเลยต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในข้อบังคับของผู้ร้องตามมาตรา 18/1 วรรคหนึ่ง ซึ่งในวรรคท้ายของมาตรา 18/1 ได้บัญญัติอย่างชัดเจนว่าเฉพาะเงินเพิ่มตามวรรคหนึ่งให้ถือเป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 ดังนั้น เงินเพิ่มตามมาตรา 18/1 วรรคสอง ซึ่งกำหนดให้เจ้าของร่วมที่ค้างชำระเงินตามมาตรา 18 ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 ต่อปี จึงไม่ถือเป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 ผู้ร้องจึงมีสิทธิได้รับการกันเงินจากการขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าใช้จ่ายค้างชำระของห้องชุดพิพาททั้งสามห้องนับแต่วันที่ห้องชุดแต่ละห้องมีหนี้ค่าใช้จ่ายค้างชำระจนถึงวันขายทอดตลาด พร้อมกับเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในข้อบังคับของผู้ร้อง ผู้คัดค้านจึงมีหน้าที่ต้องกันเงินชำระหนี้ดังกล่าวแก่ผู้ร้องตามกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยและพิพากษาให้ผู้คัดค้านกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าใช้จ่ายค้างชำระของห้องชุดพิพาททั้งสามห้องนับแต่วันที่ห้องชุดแต่ละห้องมีหนี้ค่าใช้จ่ายค้างชำระจนถึงวันขายทอดตลาดแก่ผู้ร้อง พร้อมกับเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระโดยจำกัดเป็นเวลาเพียง 6 เดือน โดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในข้อบังคับของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วนเนื่องจากตามมาตรา 18/1 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องมีสิทธิเรียกให้ผู้คัดค้านเสียเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ตามที่กำหนดในข้อบังคับจนถึงวันขายทอดตลาด ศาลฎีกาจึงเห็นควรพิพากษาแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนนี้ให้ถูกต้อง ฎีกาข้อนี้ของทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องอีกประการหนึ่งว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่ระบุให้ผู้คัดค้านกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดห้องชุด เพื่อชำระค่าใช้จ่ายตามคำร้องแก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้จำนองชอบหรือไม่ และสมควรกำหนดให้ผู้คัดค้านชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ร้องหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 จัตวา วรรคสอง (เดิม) บัญญัติให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าใช้จ่ายแก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้จำนอง ซึ่งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษก็ได้วินิจฉัยรับรองสิทธิของผู้ร้องในข้อนี้ไว้แล้วว่า ผู้ร้องแจ้งหนี้บุริมสิทธิอันเกิดจากค่าใช้จ่ายในการจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 41 วรรคท้าย ย่อมทำให้ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิอยู่ในลำดับก่อนเจ้าหนี้จำนองด้วย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่ระบุผลแห่งคำวินิจฉัยดังกล่าวในคำพิพากษานั้น เป็นข้อผิดหลงเล็กน้อย จึงต้องแก้ไขให้ชัดเจน ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาขอให้สั่งให้ผู้คัดค้านชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ร้องด้วยนั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยโดยชัดแจ้งและชอบด้วยเหตุผลแล้ว ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก ฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้คัดค้านกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดห้องชุดเลขที่ 88/101, 88/103 และ 88/416 อาคารเลขที่ 1 ชื่ออาคารชุด ว. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 156117 แขวงตลาดบางเขน เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ของจำเลย ชำระหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้แก่ผู้ร้องตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 นับแต่วันที่ห้องชุดแต่ละห้องมีค่าใช้จ่ายค้างชำระจนถึงวันขายทอดตลาด พร้อมเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระโดยไม่คิดทบต้น ตามที่กำหนดในข้อบังคับของผู้ร้อง ก่อนเจ้าหนี้จำนอง คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ทั้งสามศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านชำระหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้อันได้แก่ ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง จากเงินที่ผู้คัดค้านได้รับจากการขายทอดตลาดห้องชุดพิพาททั้งสามห้องของจำเลย แม้หนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางค้างชำระเป็นเงินค้างจ่ายซึ่งมีกำหนดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (4) ก็ตาม แต่หนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ที่ค้างชำระเกินเวลา 5 ปี ก็ยังไม่ระงับ เพราะสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความนั้น มีผลให้ลูกหนี้มีสิทธิจะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้เท่านั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/10 ประกอบกับในการขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุด ผู้ร้องจะต้องได้รับชำระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางครบถ้วนแล้วตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 29 วรรคสอง อันเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์คุ้มครองประชาชนที่ซื้อห้องชุดเพื่อการอยู่อาศัย บทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 309 จัตวา วรรคสอง (เดิม) ดังนั้น ผู้คัดค้านจึงไม่อาจอ้างเหตุขาดอายุความเพื่อปฏิเสธการชำระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มส่วนที่ย้อนหลังเกิน 5 ปี ได้
ป.วิ.พ. มาตรา 309 จัตวา วรรคสอง (เดิม) บัญญัติให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าใช้จ่ายแก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้จำนอง ผู้ร้องแจ้งหนี้บุริมสิทธิอันเกิดจากค่าใช้จ่ายในการจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 41 วรรคท้าย ย่อมทำให้ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิอยู่ในลำดับก่อนเจ้าหนี้จำนองด้วย
คดีสืบเนื่องจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2553 และพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2554
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านนำเงินค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด 1,316,316 บาท ชำระให้ผู้ร้องพร้อมค่าเสียหายอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ผู้คัดค้านครอบครองเงินดังกล่าวจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับ ให้ผู้คัดค้านกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดห้องชุดเลขที่ 88/101, 88/103 และ 88/416 อาคารเลขที่ 1 ชื่ออาคารชุด ว. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 156117 ของจำเลย ชำระค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้แก่ผู้ร้องตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด นับแต่วันที่ห้องชุดแต่ละห้องมีค่าใช้จ่ายค้างชำระจนถึงวันขายทอดตลาด พร้อมเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระเป็นเวลา 6 เดือน โดยไม่คิดทบต้น ตามที่กำหนดในข้อบังคับของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องและผู้คัดค้านฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า หลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย ผู้คัดค้านได้ยึดห้องชุดเลขที่ 88/101, 88/103 และ 88/416 อาคารเลขที่ 1 ชื่ออาคารชุด ว. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 156117 ของจำเลย ซึ่งมีผู้ร้องเป็นนิติบุคคลอาคารชุด วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 ผู้คัดค้านขอให้ผู้ร้องตรวจสอบและแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระ ผู้ร้องได้แจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดเป็นเงิน 1,316,316 บาท ต่อมาห้องชุดเลขที่ 88/101 ขายได้วันที่ 4 สิงหาคม 2559 ในราคา 1,590,000 บาท ห้องชุดเลขที่ 88/103 ขายได้วันที่ 17 พฤศจิกายน 2559 ในราคา 1,350,000 บาท และห้องชุดเลขที่ 88/416 ขายได้วันที่ 6 ตุลาคม 2559 ในราคา 1,100,000 บาท รวม 3 ห้อง ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น 4,040,000 บาท วันที่ 28 มีนาคม 2561 ผู้ร้องแจ้งหนี้บุริมสิทธิอันเกิดจากค่าใช้จ่ายในการจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง แก่นางสาวกิตต์รวี นักวิชาการที่ดินปฏิบัติการ ต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม 2562 ผู้คัดค้านกันเงินค่าใช้จ่ายส่วนกลาง พร้อมเงินเพิ่มร้อยละ 12 ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี เพื่อชำระหนี้ให้ผู้ร้องทั้งสิ้น 376,320 บาท
เห็นควรวินิจฉัยฎีกาของผู้คัดค้านประการแรกก่อนว่า ผู้คัดค้านจะยกปัญหาอายุความขึ้นปฏิเสธการชำระหนี้ค่าใช้จ่ายที่ผู้ร้องได้แจ้งต่อผู้คัดค้าน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 จัตวา (เดิม) แล้ว ได้หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การขายทอดตลาดห้องชุดพิพาททั้งสามห้องของจำเลยในคดีล้มละลาย ผู้คัดค้านต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 จัตวา วรรคสอง (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น โดยอนุโลมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14 โดยผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องบอกกล่าวให้ผู้ร้องแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดต่อผู้คัดค้านภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำบอกกล่าว เมื่อขายทอดตลาดแล้วให้ผู้คัดค้านกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไว้เพื่อชำระหนี้ที่ค้างชำระดังกล่าวจนถึงวันขายทอดตลาดแก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้จำนอง คดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านชำระหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้อันได้แก่ ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง จากเงินที่ผู้คัดค้านได้รับจากการขายทอดตลาดห้องชุดพิพาททั้งสามห้องของจำเลย แม้จะถือว่าหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางค้างชำระเป็นเงินค้างจ่ายซึ่งมีกำหนดอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (4) ดังที่ผู้คัดค้านอ้างก็ตาม แต่หนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ที่ค้างชำระเกินเวลา 5 ปี ซึ่งขาดอายุความนั้น ก็ยังไม่ระงับ เพราะสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความนั้นมีผลให้ลูกหนี้มีสิทธิจะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้เท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/10 ประกอบกับในการขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุด ผู้ร้องจะต้องได้รับชำระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางครบถ้วนแล้วตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 29 วรรคสอง อันเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์คุ้มครองประชาชนที่ซื้อห้องชุดเพื่อการอยู่อาศัย บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 จัตวา วรรคสอง (เดิม) เพียงแต่ยกเว้นให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อห้องชุดจากการขายทอดตลาดโดยไม่ต้องใช้หนังสือรับรองการปลอดหนี้ เพราะผู้คัดค้านมีหน้าที่ต้องกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไว้เพื่อชำระหนี้ที่ค้างชำระดังกล่าวแก่ผู้ร้องจนครบถ้วนถึงวันขายทอดตลาดแล้ว ดังนั้น ผู้คัดค้านจึงไม่อาจอ้างเหตุขาดอายุความขึ้นเพื่อปฏิเสธการชำระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มส่วนที่ย้อนหลังเกิน 5 ปีได้ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยประเด็นนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านและผู้ร้องประการต่อไปว่า ผู้คัดค้านต้องกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดห้องชุดพิพาททั้งสามห้องของจำเลยให้แก่ผู้ร้องเป็นจำนวนเท่าใด โดยผู้คัดค้านฎีกาว่า ตามคำสั่งกรมบังคับคดีที่ 57/2561 ลงวันที่ 24 มกราคม 2561 เรื่องค่าใช้จ่ายส่วนกลางสำหรับห้องชุด ค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคสำหรับที่ดินจัดสรร ข้อ 4 ได้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กันเงินที่ค้างชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางในกรณีห้องชุดเฉพาะที่เป็นบุริมสิทธิเหนือห้องชุดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 41 (2) โดยคำนวณถึงวันขายทอดตลาด แต่ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ค้างชำระจนถึงวันที่เคาะไม้ขายต้องเป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี เพื่อจ่ายให้แก่นิติบุคคลอาคารชุด ซึ่งผู้คัดค้านได้กันเงินค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มทั้งสามห้อง จำนวน 376,320 บาท ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่วนผู้ร้องฎีกาในประเด็นนี้ว่า เงินเพิ่มที่กำหนดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18/1 วรรคสอง เป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 ด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านไปพร้อมกัน โดยเห็นว่า เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการให้บริการส่วนรวมและค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาและการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 ภายในเวลาที่กำหนด จำเลยต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในข้อบังคับของผู้ร้องตามมาตรา 18/1 วรรคหนึ่ง ซึ่งในวรรคท้ายของมาตรา 18/1 ได้บัญญัติอย่างชัดเจนว่าเฉพาะเงินเพิ่มตามวรรคหนึ่งให้ถือเป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 ดังนั้น เงินเพิ่มตามมาตรา 18/1 วรรคสอง ซึ่งกำหนดให้เจ้าของร่วมที่ค้างชำระเงินตามมาตรา 18 ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 ต่อปี จึงไม่ถือเป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 ผู้ร้องจึงมีสิทธิได้รับการกันเงินจากการขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าใช้จ่ายค้างชำระของห้องชุดพิพาททั้งสามห้องนับแต่วันที่ห้องชุดแต่ละห้องมีหนี้ค่าใช้จ่ายค้างชำระจนถึงวันขายทอดตลาด พร้อมกับเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในข้อบังคับของผู้ร้อง ผู้คัดค้านจึงมีหน้าที่ต้องกันเงินชำระหนี้ดังกล่าวแก่ผู้ร้องตามกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยและพิพากษาให้ผู้คัดค้านกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าใช้จ่ายค้างชำระของห้องชุดพิพาททั้งสามห้องนับแต่วันที่ห้องชุดแต่ละห้องมีหนี้ค่าใช้จ่ายค้างชำระจนถึงวันขายทอดตลาดแก่ผู้ร้อง พร้อมกับเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระโดยจำกัดเป็นเวลาเพียง 6 เดือน โดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในข้อบังคับของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วนเนื่องจากตามมาตรา 18/1 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องมีสิทธิเรียกให้ผู้คัดค้านเสียเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ตามที่กำหนดในข้อบังคับจนถึงวันขายทอดตลาด ศาลฎีกาจึงเห็นควรพิพากษาแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนนี้ให้ถูกต้อง ฎีกาข้อนี้ของทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องอีกประการหนึ่งว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่ระบุให้ผู้คัดค้านกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดห้องชุด เพื่อชำระค่าใช้จ่ายตามคำร้องแก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้จำนองชอบหรือไม่ และสมควรกำหนดให้ผู้คัดค้านชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ร้องหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 จัตวา วรรคสอง (เดิม) บัญญัติให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าใช้จ่ายแก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้จำนอง ซึ่งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษก็ได้วินิจฉัยรับรองสิทธิของผู้ร้องในข้อนี้ไว้แล้วว่า ผู้ร้องแจ้งหนี้บุริมสิทธิอันเกิดจากค่าใช้จ่ายในการจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18 วรรคสอง แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 41 วรรคท้าย ย่อมทำให้ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิอยู่ในลำดับก่อนเจ้าหนี้จำนองด้วย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่ระบุผลแห่งคำวินิจฉัยดังกล่าวในคำพิพากษานั้น เป็นข้อผิดหลงเล็กน้อย จึงต้องแก้ไขให้ชัดเจน ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาขอให้สั่งให้ผู้คัดค้านชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ร้องด้วยนั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยโดยชัดแจ้งและชอบด้วยเหตุผลแล้ว ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก ฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้คัดค้านกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดห้องชุดเลขที่ 88/101, 88/103 และ 88/416 อาคารเลขที่ 1 ชื่ออาคารชุด ว. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 156117 แขวงตลาดบางเขน เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ของจำเลย ชำระหนี้ค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้แก่ผู้ร้องตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 นับแต่วันที่ห้องชุดแต่ละห้องมีค่าใช้จ่ายค้างชำระจนถึงวันขายทอดตลาด พร้อมเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระโดยไม่คิดทบต้น ตามที่กำหนดในข้อบังคับของผู้ร้อง ก่อนเจ้าหนี้จำนอง คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ทั้งสามศาลให้เป็นพับ
สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของตาม ป.พ.พ. มาตรา 587 ถือเอาผลสำเร็จแห่งการงานที่จ้างเป็นสำคัญ และการจ่ายสินจ้างถือเอาความสำเร็จของผลงานหรือตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อสัญญาจ้างดังกล่าวกำหนดชำระค่าจ้าง 3 งวด แต่มีเฉพาะงวดที่ 1 เท่านั้น ที่ถึงกำหนดชำระ ต้องถือว่าเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระให้แก่โจทก์ทั้ง 9 ครั้ง เป็นการชำระหนี้ในงวดที่ 1 ซึ่งถึงกำหนดชำระแล้ว ตามมาตรา 328 วรรคสอง อันมีผลทำให้อายุความในหนี้ค่าจ่างว่าความงวดที่ 1 สะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) และต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันชำระหนี้ครั้งสุดท้ายตามมาตรา 193/15 วรรคสอง คำฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องเรียกเอาค่าการงานมีอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (16) เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ครั้งสุดท้าย ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่ขาดอายุความ
อย่างไรก็ตาม จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วมในสัญญาจ้างว่าความ มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ การที่จำเลยที่ 2 ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือว่า จำเลยที่ 1 ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 59 (1) และข้อความจริงใด เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษเฉพาะแต่ตัวลูกหนี้คนนั้นเท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 295 การที่จำเลยที่ 2 เพียงคนเดียวชำระหนี้แก่โจทก์ อายุความจึงสะดุดหยุดลงเฉพาะแก่จำเลยที่ 2 หามีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมไม่ หนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงต้องเริ่มนับแต่วันทำสัญญาจ้างซึ่งเป็นเวลาขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 193/12 เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์ตามสัญญาจ้างว่าความในงวดที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความ
สำหรับค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 กำหนดชำระเมื่อสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วเสร็จ และงวดที่ 3 กำหนดชำระหนี้ก่อนนัดฟังคำพิพากษา 15 วัน มิใช่หนี้ที่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อโจทก์ว่าความให้แก่จำเลยทั้งสองแล้วเสร็จโดยตกลงกับคู่กรณีได้ ถือว่าหนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ถึงกำหนดชำระในวันดังกล่าว ตราบใดที่โจทก์ยังไม่เตือนให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ จำเลยทั้งสองจึงยังไม่ได้ชื่อว่าผิดนัด เมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสองมีกำหนดเวลาให้นำเงินมาชำระหนี้ภายใน 7 วัน และจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามแล้ว แต่เมื่อครบกำหนด 7 วัน จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ถือว่าจำเลยทั้งสองตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้วตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดสำหรับค่าจ้างว่าความในงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ได้ในวันถัดจากวันครบกำหนดชำระหนี้ดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,880,263.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,630,049 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ชำระเงิน 729,951 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,880,263.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,630,049 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 330,049 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปนั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาให้ใน 2 ประเด็น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2560 จำเลยทั้งสองทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความดำเนินคดีเรื่องที่ดินที่จำเลยทั้งสองมีข้อพิพาทกับทายาทอื่น โดยตกลงค่าจ้างเป็นค่าว่าความ ค่าวิชาชีพทนายความ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีรวมเป็นเงิน 3,000,000 บาท แบ่งชำระเป็น 3 งวด สัญญาข้อ 2.1 ระบุว่า งวดที่ 1 ชำระ 1,000,000 บาท เมื่อตกลงทำสัญญาจ้างว่าความให้ดำเนินคดี ข้อ 2.2 ระบุว่า งวดที่ 2 ชำระ 1,000,000 บาท เมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วเสร็จ และข้อ 2.3 ระบุว่า งวดสุดท้ายชำระ 1,000,000 บาท ก่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น 15 วัน โจทก์ดำเนินการฟ้องร้องและดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลจังหวัดชุมพรให้แก่จำเลยทั้งสองรวม 3 คดี คือ คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 โดยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 โจทก์และจำเลยได้ทำการสืบพยานกันเสร็จสิ้นในวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 และศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 15 มิถุนายน 2561 ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 อยู่ระหว่างนัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย ต่อมาวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 คู่ความในคดีทั้งสามสามารถตกลงกันได้ โดยคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอม ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกมีว่า ฟ้องโจทก์ตามสัญญาจ้างว่าความ ข้อ 2.1 ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงว่าจ้างกันในราคา 3,000,000 บาท แบ่งชำระเป็น 3 งวด สัญญาข้อ 2.1 ระบุว่า งวดที่ 1 ชำระ 1,000,000 บาท เมื่อตกลงทำสัญญาจ้างว่าความให้ดำเนินคดี ข้อ 2.2 ระบุว่า งวดที่ 2 ชำระ 1,000,000 บาท เมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วเสร็จ และข้อ 2.3 ระบุว่า งวดสุดท้ายชำระ 1,000,000 บาท ก่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น 15 วัน ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 2 ชำระเงินให้โจทก์มาแล้ว 9 ครั้ง รวมเป็นเงิน 369,951 บาท โดยชำระครั้งสุดท้ายในวันที่ 7 พฤษภาคม 2561 การชำระเงินแต่ละครั้งจำเลยที่ 2 มิได้ระบุว่าชำระหนี้ในงวดใด เมื่อปรากฏว่า ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2561 มีเฉพาะหนี้งวดที่ 1 ตามสัญญาข้อ 2.1 เท่านั้นที่ถึงกำหนดชำระ ส่วนหนี้งวดที่ 2 และงวดที่ 3 ยังไม่ถึงกำหนดชำระเนื่องจากทั้งสามคดียังสืบพยานโจทก์จำเลยไม่แล้วเสร็จและยังไม่มีคดีใดนัดฟังคำพิพากษา จึงต้องถือว่าเงินที่จำเลยที่ 2 ชำระให้แก่โจทก์ทั้ง 9 ครั้ง เป็นการชำระหนี้ในงวดที่ 1 ซึ่งถึงกำหนดชำระแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328 วรรคสอง มีผลทำให้อายุความในหนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 สะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) และต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2561 ตามมาตรา 193/15 วรรคสอง คำฟ้องโจทก์เป็นกรณีทนายความฟ้องเรียกเอาค่าการงานที่ทำให้ มีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (16) เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ยังไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ครั้งสุดท้าย ฟ้องโจทก์ตามสัญญาจ้างว่าความข้อ 2.1 ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงยังไม่ขาดอายุความ อย่างไรก็ตามจำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วม มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ การที่จำเลยที่ 2 ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 (1) และข้อความจริงใดเมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษเฉพาะแต่ลูกหนี้คนนั้นเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 295 การที่จำเลยที่ 2 เพียงคนเดียวชำระหนี้ให้แก่โจทก์ อายุความจึงสะดุดหยุดลงเฉพาะแก่จำเลยที่ 2 หามีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมไม่ หนี้ค่าว่าความงวดที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2560 ซึ่งเป็นเวลาขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 193/12 เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 ปี ฟ้องโจทก์ตามสัญญาจ้างว่าความข้อ 2.1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความ ฎีกาของโจทก์ประเด็นนี้ฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อที่สองมีว่า โจทก์ควรได้รับค่าจ้างว่าความเท่าใด เห็นว่า สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 จึงถือเอาผลสำเร็จแห่งการงานที่จ้างเป็นสำคัญ และการจ่ายสินจ้างต้องถือเอาความสำเร็จของผลงานหรือตามที่ตกลงกันไว้ ดังนั้น คู่สัญญาอาจจะตกลงเงื่อนไข เงื่อนเวลา หรือขั้นตอนในการชำระหนี้กันอย่างไรก็ได้ การที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงเงื่อนไขการชำระเงินค่าจ้างว่าความกันไว้โดยแบ่งชำระเป็น 3 งวด งวดที่ 1 จำนวน 1,000,000 บาท เมื่อตกลงทำสัญญาจ้างว่าความให้ดำเนินคดี งวดที่ 2 จำนวน 1,000,000 บาท เมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วเสร็จ และงวดสุดท้ายจำนวน 1,000,000 บาท ก่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น 15 วัน ย่อมสามารถกระทำได้ และข้อตกลงดังกล่าวมิใช่เป็นการกำหนดค่าเสียหายกันไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับซึ่งหากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยแต่อย่างใด เมื่อโจทก์ทำการงานโดยดำเนินคดีให้แก่จำเลยทั้งสองที่ศาลจังหวัดชุมพรรวม 3 คดี จนต่อมาวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 จำเลยทั้งสองสามารถตกลงกับคู่กรณีในคดีทั้งสามได้ โดยคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอม ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้ทำการงานสำเร็จตามที่ตกลงว่าจ้างกันแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับสินจ้างตามผลแห่งการงานที่ได้กระทำไป อย่างไรก็ดี เมื่อคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 สำเร็จไปเพราะมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอม ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 สำเร็จไปโดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจพิจารณาอัตราค่าจ้างให้ตามสมควรแก่ผลแห่งการงานที่โจทก์ได้กระทำไป เมื่อพิเคราะห์ถึงการงานที่โจทก์ทำ โดยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 โจทก์และจำเลยได้ทำการสืบพยานกันเสร็จสิ้นแล้ว อยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษา ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 อยู่ระหว่างนัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย ยังมิได้มีการสืบพยานแต่อย่างใด ดังนี้ จึงเห็นควรกำหนดค่าจ้างว่าความให้โจทก์ตามสัญญาข้อ 2.1 ถึงข้อ 2.3 ในแต่ละงวดจำนวนครึ่งหนึ่ง กล่าวคือ งวดที่ 1 จำนวน 500,000 บาท งวดที่ 2 จำนวน 500,000 บาท และงวดที่ 3 จำนวน 500,000 บาท เมื่อนำเงินที่จำเลยที่ 2 ชำระให้แก่โจทก์มาแล้ว 369,951 ซึ่งเป็นการชำระหนี้ในงวดที่ 1 ตามที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วมาหักออกจากค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 คงเหลือค่าจ้างว่าความในงวดที่ 1 จำนวน 130,049 บาท รวมเป็นเงินค่าจ้างว่าความทั้งสามงวดที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสิ้น 1,130,049 บาท ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 เนื่องจากคดีขาดอายุความ จึงคงเหลือค่าว่าความในงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสิ้น 1,000,000 บาท และโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยทั้งสองผิดนัดเป็นต้นไป โดยค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 มีกำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทินในวันทำสัญญาคือวันที่ 11 กันยายน 2560 เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามกำหนด จึงตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดได้ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง นับแต่วันที่ 12 กันยายน 2560 เป็นต้นไป อย่างไรก็ดี เมื่อคำฟ้องโจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 จึงกำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยสำหรับค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 ได้นับแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 ตามที่โจทก์ขอ สำหรับค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 และงวดที่ 3 นั้น มิใช่หนี้ที่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อคดีที่โจทก์ว่าความให้แก่จำเลยทั้งสองในศาลจังหวัดชุมพรทั้งสามคดี จำเลยทั้งสองสามารถตกลงกับคู่กรณีได้ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 จึงถือว่าหนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ถึงกำหนดชำระในวันที่ดังกล่าว แต่ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้เตือนให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ จำเลยทั้งสองก็ยังไม่ได้ชื่อว่าผิดนัด ต่อมาเมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสองโดยกำหนดเวลาให้นำเงินมาชำระหนี้ภายใน 7 วัน จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ครบกำหนด 7 วัน ในวันที่ 3 ธันวาคม 2561 จำเลยที่ 1 มิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ดังนี้ จึงถือว่าจำเลยที่ 1 ตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้วตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง และโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดสำหรับค่าจ้างว่าความในงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ได้นับแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป ส่วนจำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2561 ครบกำหนด 7 วัน ในวันที่ 2 ธันวาคม 2561 จำเลยที่ 2 มิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามหนังสือทวงถามดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้วตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง และโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดได้นับแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป ฎีกาของโจทก์ประเด็นนี้ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป โดยมิได้กำหนดว่ากรณีที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ก็ให้ใช้ดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนนั้นและต้องบวกเพิ่มอีกร้อยละ 2 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ประกอบมาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ตามพระราชกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 เป็นการไม่ชอบ ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 1,113,049 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 และของต้นเงิน 1,000,000 บาท นับแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 ต้นเงินจำนวนดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ชำระให้แก่โจทก์จำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยของต้นเงินทุกจำนวนให้ชำระในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ถ้ากระทรวงการคลังกำหนดปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปนั้นบวกด้วยอัตราร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของตาม ป.พ.พ. มาตรา 587 ถือเอาผลสำเร็จแห่งการงานที่จ้างเป็นสำคัญ และการจ่ายสินจ้างถือเอาความสำเร็จของผลงานหรือตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อสัญญาจ้างดังกล่าวกำหนดชำระค่าจ้าง 3 งวด แต่มีเฉพาะงวดที่ 1 เท่านั้น ที่ถึงกำหนดชำระ ต้องถือว่าเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระให้แก่โจทก์ทั้ง 9 ครั้ง เป็นการชำระหนี้ในงวดที่ 1 ซึ่งถึงกำหนดชำระแล้ว ตามมาตรา 328 วรรคสอง อันมีผลทำให้อายุความในหนี้ค่าจ่างว่าความงวดที่ 1 สะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) และต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันชำระหนี้ครั้งสุดท้ายตามมาตรา 193/15 วรรคสอง คำฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องเรียกเอาค่าการงานมีอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (16) เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ครั้งสุดท้าย ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่ขาดอายุความ
อย่างไรก็ตาม จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วมในสัญญาจ้างว่าความ มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ การที่จำเลยที่ 2 ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือว่า จำเลยที่ 1 ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 59 (1) และข้อความจริงใด เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษเฉพาะแต่ตัวลูกหนี้คนนั้นเท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 295 การที่จำเลยที่ 2 เพียงคนเดียวชำระหนี้แก่โจทก์ อายุความจึงสะดุดหยุดลงเฉพาะแก่จำเลยที่ 2 หามีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมไม่ หนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงต้องเริ่มนับแต่วันทำสัญญาจ้างซึ่งเป็นเวลาขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 193/12 เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์ตามสัญญาจ้างว่าความในงวดที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความ
สำหรับค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 กำหนดชำระเมื่อสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วเสร็จ และงวดที่ 3 กำหนดชำระหนี้ก่อนนัดฟังคำพิพากษา 15 วัน มิใช่หนี้ที่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อโจทก์ว่าความให้แก่จำเลยทั้งสองแล้วเสร็จโดยตกลงกับคู่กรณีได้ ถือว่าหนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ถึงกำหนดชำระในวันดังกล่าว ตราบใดที่โจทก์ยังไม่เตือนให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ จำเลยทั้งสองจึงยังไม่ได้ชื่อว่าผิดนัด เมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสองมีกำหนดเวลาให้นำเงินมาชำระหนี้ภายใน 7 วัน และจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามแล้ว แต่เมื่อครบกำหนด 7 วัน จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ถือว่าจำเลยทั้งสองตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้วตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดสำหรับค่าจ้างว่าความในงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ได้ในวันถัดจากวันครบกำหนดชำระหนี้ดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,880,263.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,630,049 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ชำระเงิน 729,951 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,880,263.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,630,049 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 330,049 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปนั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาให้ใน 2 ประเด็น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2560 จำเลยทั้งสองทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความดำเนินคดีเรื่องที่ดินที่จำเลยทั้งสองมีข้อพิพาทกับทายาทอื่น โดยตกลงค่าจ้างเป็นค่าว่าความ ค่าวิชาชีพทนายความ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีรวมเป็นเงิน 3,000,000 บาท แบ่งชำระเป็น 3 งวด สัญญาข้อ 2.1 ระบุว่า งวดที่ 1 ชำระ 1,000,000 บาท เมื่อตกลงทำสัญญาจ้างว่าความให้ดำเนินคดี ข้อ 2.2 ระบุว่า งวดที่ 2 ชำระ 1,000,000 บาท เมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วเสร็จ และข้อ 2.3 ระบุว่า งวดสุดท้ายชำระ 1,000,000 บาท ก่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น 15 วัน โจทก์ดำเนินการฟ้องร้องและดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลจังหวัดชุมพรให้แก่จำเลยทั้งสองรวม 3 คดี คือ คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 โดยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 โจทก์และจำเลยได้ทำการสืบพยานกันเสร็จสิ้นในวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 และศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 15 มิถุนายน 2561 ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 อยู่ระหว่างนัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย ต่อมาวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 คู่ความในคดีทั้งสามสามารถตกลงกันได้ โดยคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอม ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกมีว่า ฟ้องโจทก์ตามสัญญาจ้างว่าความ ข้อ 2.1 ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงว่าจ้างกันในราคา 3,000,000 บาท แบ่งชำระเป็น 3 งวด สัญญาข้อ 2.1 ระบุว่า งวดที่ 1 ชำระ 1,000,000 บาท เมื่อตกลงทำสัญญาจ้างว่าความให้ดำเนินคดี ข้อ 2.2 ระบุว่า งวดที่ 2 ชำระ 1,000,000 บาท เมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วเสร็จ และข้อ 2.3 ระบุว่า งวดสุดท้ายชำระ 1,000,000 บาท ก่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น 15 วัน ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 2 ชำระเงินให้โจทก์มาแล้ว 9 ครั้ง รวมเป็นเงิน 369,951 บาท โดยชำระครั้งสุดท้ายในวันที่ 7 พฤษภาคม 2561 การชำระเงินแต่ละครั้งจำเลยที่ 2 มิได้ระบุว่าชำระหนี้ในงวดใด เมื่อปรากฏว่า ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2561 มีเฉพาะหนี้งวดที่ 1 ตามสัญญาข้อ 2.1 เท่านั้นที่ถึงกำหนดชำระ ส่วนหนี้งวดที่ 2 และงวดที่ 3 ยังไม่ถึงกำหนดชำระเนื่องจากทั้งสามคดียังสืบพยานโจทก์จำเลยไม่แล้วเสร็จและยังไม่มีคดีใดนัดฟังคำพิพากษา จึงต้องถือว่าเงินที่จำเลยที่ 2 ชำระให้แก่โจทก์ทั้ง 9 ครั้ง เป็นการชำระหนี้ในงวดที่ 1 ซึ่งถึงกำหนดชำระแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328 วรรคสอง มีผลทำให้อายุความในหนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 สะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) และต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2561 ตามมาตรา 193/15 วรรคสอง คำฟ้องโจทก์เป็นกรณีทนายความฟ้องเรียกเอาค่าการงานที่ทำให้ มีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (16) เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ยังไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ครั้งสุดท้าย ฟ้องโจทก์ตามสัญญาจ้างว่าความข้อ 2.1 ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงยังไม่ขาดอายุความ อย่างไรก็ตามจำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วม มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ การที่จำเลยที่ 2 ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 (1) และข้อความจริงใดเมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษเฉพาะแต่ลูกหนี้คนนั้นเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 295 การที่จำเลยที่ 2 เพียงคนเดียวชำระหนี้ให้แก่โจทก์ อายุความจึงสะดุดหยุดลงเฉพาะแก่จำเลยที่ 2 หามีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมไม่ หนี้ค่าว่าความงวดที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2560 ซึ่งเป็นเวลาขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 193/12 เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 ปี ฟ้องโจทก์ตามสัญญาจ้างว่าความข้อ 2.1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความ ฎีกาของโจทก์ประเด็นนี้ฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อที่สองมีว่า โจทก์ควรได้รับค่าจ้างว่าความเท่าใด เห็นว่า สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 จึงถือเอาผลสำเร็จแห่งการงานที่จ้างเป็นสำคัญ และการจ่ายสินจ้างต้องถือเอาความสำเร็จของผลงานหรือตามที่ตกลงกันไว้ ดังนั้น คู่สัญญาอาจจะตกลงเงื่อนไข เงื่อนเวลา หรือขั้นตอนในการชำระหนี้กันอย่างไรก็ได้ การที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงเงื่อนไขการชำระเงินค่าจ้างว่าความกันไว้โดยแบ่งชำระเป็น 3 งวด งวดที่ 1 จำนวน 1,000,000 บาท เมื่อตกลงทำสัญญาจ้างว่าความให้ดำเนินคดี งวดที่ 2 จำนวน 1,000,000 บาท เมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วเสร็จ และงวดสุดท้ายจำนวน 1,000,000 บาท ก่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น 15 วัน ย่อมสามารถกระทำได้ และข้อตกลงดังกล่าวมิใช่เป็นการกำหนดค่าเสียหายกันไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับซึ่งหากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยแต่อย่างใด เมื่อโจทก์ทำการงานโดยดำเนินคดีให้แก่จำเลยทั้งสองที่ศาลจังหวัดชุมพรรวม 3 คดี จนต่อมาวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 จำเลยทั้งสองสามารถตกลงกับคู่กรณีในคดีทั้งสามได้ โดยคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอม ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้ทำการงานสำเร็จตามที่ตกลงว่าจ้างกันแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับสินจ้างตามผลแห่งการงานที่ได้กระทำไป อย่างไรก็ดี เมื่อคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 สำเร็จไปเพราะมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอม ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 สำเร็จไปโดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจพิจารณาอัตราค่าจ้างให้ตามสมควรแก่ผลแห่งการงานที่โจทก์ได้กระทำไป เมื่อพิเคราะห์ถึงการงานที่โจทก์ทำ โดยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 โจทก์และจำเลยได้ทำการสืบพยานกันเสร็จสิ้นแล้ว อยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษา ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 อยู่ระหว่างนัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย ยังมิได้มีการสืบพยานแต่อย่างใด ดังนี้ จึงเห็นควรกำหนดค่าจ้างว่าความให้โจทก์ตามสัญญาข้อ 2.1 ถึงข้อ 2.3 ในแต่ละงวดจำนวนครึ่งหนึ่ง กล่าวคือ งวดที่ 1 จำนวน 500,000 บาท งวดที่ 2 จำนวน 500,000 บาท และงวดที่ 3 จำนวน 500,000 บาท เมื่อนำเงินที่จำเลยที่ 2 ชำระให้แก่โจทก์มาแล้ว 369,951 ซึ่งเป็นการชำระหนี้ในงวดที่ 1 ตามที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วมาหักออกจากค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 คงเหลือค่าจ้างว่าความในงวดที่ 1 จำนวน 130,049 บาท รวมเป็นเงินค่าจ้างว่าความทั้งสามงวดที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสิ้น 1,130,049 บาท ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 เนื่องจากคดีขาดอายุความ จึงคงเหลือค่าว่าความในงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสิ้น 1,000,000 บาท และโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยทั้งสองผิดนัดเป็นต้นไป โดยค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 มีกำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทินในวันทำสัญญาคือวันที่ 11 กันยายน 2560 เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามกำหนด จึงตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดได้ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง นับแต่วันที่ 12 กันยายน 2560 เป็นต้นไป อย่างไรก็ดี เมื่อคำฟ้องโจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 จึงกำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยสำหรับค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 ได้นับแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 ตามที่โจทก์ขอ สำหรับค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 และงวดที่ 3 นั้น มิใช่หนี้ที่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อคดีที่โจทก์ว่าความให้แก่จำเลยทั้งสองในศาลจังหวัดชุมพรทั้งสามคดี จำเลยทั้งสองสามารถตกลงกับคู่กรณีได้ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 จึงถือว่าหนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ถึงกำหนดชำระในวันที่ดังกล่าว แต่ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้เตือนให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ จำเลยทั้งสองก็ยังไม่ได้ชื่อว่าผิดนัด ต่อมาเมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสองโดยกำหนดเวลาให้นำเงินมาชำระหนี้ภายใน 7 วัน จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ครบกำหนด 7 วัน ในวันที่ 3 ธันวาคม 2561 จำเลยที่ 1 มิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ดังนี้ จึงถือว่าจำเลยที่ 1 ตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้วตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง และโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดสำหรับค่าจ้างว่าความในงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ได้นับแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป ส่วนจำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2561 ครบกำหนด 7 วัน ในวันที่ 2 ธันวาคม 2561 จำเลยที่ 2 มิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามหนังสือทวงถามดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้วตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง และโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดได้นับแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป ฎีกาของโจทก์ประเด็นนี้ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป โดยมิได้กำหนดว่ากรณีที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ก็ให้ใช้ดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนนั้นและต้องบวกเพิ่มอีกร้อยละ 2 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ประกอบมาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ตามพระราชกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 เป็นการไม่ชอบ ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 1,113,049 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 และของต้นเงิน 1,000,000 บาท นับแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 ต้นเงินจำนวนดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ชำระให้แก่โจทก์จำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยของต้นเงินทุกจำนวนให้ชำระในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ถ้ากระทรวงการคลังกำหนดปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปนั้นบวกด้วยอัตราร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษที่ศาลจะสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ได้นั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อศาลได้กำหนดให้มีการชดใช้ค่าเสียหายที่แท้จริงเสียก่อนเพื่อนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ แต่คดีนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินตามสัญญาซื้อขายห้องชุดแก่ผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยรับเงินไป โดยให้ผู้บริโภคจดทะเบียนห้องชุดพิพาทคืนแก่จำเลยอันเป็นผลมาจากสัญญาซื้อขายห้องชุดเลิกกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง มิได้เป็นการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคท้าย ศาลจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนหรือชดใช้เงินแก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค จำนวน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้แก่ผู้บริโภคเสร็จสิ้น แล้วให้ผู้บริโภคโอนห้องชุดเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี เนื้อที่ 45.96 ตารางเมตร (ที่ถูก 45.69 ตารางเมตร) ให้แก่จำเลย โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินแก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค จำนวน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2558 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้บริโภค และให้จำเลยชำระค่าเสียหายอีก 2 เท่า เป็นเงิน 4,829,220 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 15 มีนาคม 2564) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้บริโภค แล้วให้ผู้บริโภคโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี โครงการ อ. เนื้อที่ 45.69 ตารางเมตร คืนแก่จำเลยโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับยกเว้นนั้นให้จำเลยชำระต่อศาลในนามโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่กำหนดให้จำเลยรับผิดดอกเบี้ยของค่าเสียหายเชิงลงโทษและส่วนที่ให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2558 นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภคกับจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายห้องชุดในโครงการ อ. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 81383 จำนวน 1 ห้อง ห้องเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี เนื้อที่ 45.69 ตารางเมตร ในราคา 2,414,610 บาท โดยผู้บริโภคชำระเงินครบถ้วนและได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจากจำเลยและเข้าพักอาศัยในห้องชุดแล้ว ต่อมาปรากฏว่าในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2559 ห้องชุดดังกล่าวมีน้ำรั่วซึมจากชั้นดาดฟ้าทุกครั้งที่ฝนตก ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าพักอาศัยในห้องชุดได้อย่างปกติสุข ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าวจำเลยไม่สามารถแก้ไขซ่อมแซมได้ตามหลักวิศวกรรมอันเป็นการผิดสัญญาซื้อขาย และผู้บริโภคบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว สำหรับปัญหาที่ว่า โจทก์มีสิทธิเลิกสัญญาซื้อขายหรือไม่ นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ผู้บริโภคมีสิทธิเลิกสัญญาได้ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา ปัญหาข้อนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าการกระทําที่ถูกฟ้องร้องเกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทําโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นําพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภคหรือกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เมื่อศาลมีคําพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้บริโภค ให้ศาลมีอํานาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจํานวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกําหนดได้ตามที่เห็นสมควร..." ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษที่ศาลจะสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ได้นั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อศาลได้กำหนดให้มีการชดใช้ค่าเสียหายที่แท้จริงเสียก่อนเพื่อนำมาใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ แต่คดีนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินตามสัญญาซื้อขายห้องชุดเป็นเงิน 2,414,610 บาท แก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยรับเงินไป โดยให้ผู้บริโภคจดทะเบียนห้องชุดที่พิพาทคืนแก่จำเลยอันเป็นผลมาจากการที่สัญญาซื้อขายห้องชุดเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง มิได้เป็นการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาตามมาตรา 391 วรรคท้าย ศาลจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจากเงิน 2,414,610 บาท ได้ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในคดีนี้มาและศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้มานั้น จึงไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเป็นเงิน 4,829,220 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษที่ศาลจะสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ได้นั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อศาลได้กำหนดให้มีการชดใช้ค่าเสียหายที่แท้จริงเสียก่อนเพื่อนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ แต่คดีนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินตามสัญญาซื้อขายห้องชุดแก่ผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยรับเงินไป โดยให้ผู้บริโภคจดทะเบียนห้องชุดพิพาทคืนแก่จำเลยอันเป็นผลมาจากสัญญาซื้อขายห้องชุดเลิกกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง มิได้เป็นการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคท้าย ศาลจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนหรือชดใช้เงินแก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค จำนวน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้แก่ผู้บริโภคเสร็จสิ้น แล้วให้ผู้บริโภคโอนห้องชุดเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี เนื้อที่ 45.96 ตารางเมตร (ที่ถูก 45.69 ตารางเมตร) ให้แก่จำเลย โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินแก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค จำนวน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2558 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้บริโภค และให้จำเลยชำระค่าเสียหายอีก 2 เท่า เป็นเงิน 4,829,220 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 15 มีนาคม 2564) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้บริโภค แล้วให้ผู้บริโภคโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี โครงการ อ. เนื้อที่ 45.69 ตารางเมตร คืนแก่จำเลยโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับยกเว้นนั้นให้จำเลยชำระต่อศาลในนามโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่กำหนดให้จำเลยรับผิดดอกเบี้ยของค่าเสียหายเชิงลงโทษและส่วนที่ให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2558 นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภคกับจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายห้องชุดในโครงการ อ. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 81383 จำนวน 1 ห้อง ห้องเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี เนื้อที่ 45.69 ตารางเมตร ในราคา 2,414,610 บาท โดยผู้บริโภคชำระเงินครบถ้วนและได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจากจำเลยและเข้าพักอาศัยในห้องชุดแล้ว ต่อมาปรากฏว่าในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2559 ห้องชุดดังกล่าวมีน้ำรั่วซึมจากชั้นดาดฟ้าทุกครั้งที่ฝนตก ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าพักอาศัยในห้องชุดได้อย่างปกติสุข ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าวจำเลยไม่สามารถแก้ไขซ่อมแซมได้ตามหลักวิศวกรรมอันเป็นการผิดสัญญาซื้อขาย และผู้บริโภคบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว สำหรับปัญหาที่ว่า โจทก์มีสิทธิเลิกสัญญาซื้อขายหรือไม่ นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ผู้บริโภคมีสิทธิเลิกสัญญาได้ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา ปัญหาข้อนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าการกระทําที่ถูกฟ้องร้องเกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทําโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นําพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภคหรือกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เมื่อศาลมีคําพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้บริโภค ให้ศาลมีอํานาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจํานวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกําหนดได้ตามที่เห็นสมควร..." ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษที่ศาลจะสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ได้นั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อศาลได้กำหนดให้มีการชดใช้ค่าเสียหายที่แท้จริงเสียก่อนเพื่อนำมาใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ แต่คดีนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินตามสัญญาซื้อขายห้องชุดเป็นเงิน 2,414,610 บาท แก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยรับเงินไป โดยให้ผู้บริโภคจดทะเบียนห้องชุดที่พิพาทคืนแก่จำเลยอันเป็นผลมาจากการที่สัญญาซื้อขายห้องชุดเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง มิได้เป็นการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาตามมาตรา 391 วรรคท้าย ศาลจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจากเงิน 2,414,610 บาท ได้ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในคดีนี้มาและศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้มานั้น จึงไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเป็นเงิน 4,829,220 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองรถที่โจทก์รับประกันภัยยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถในขณะเกิดเหตุ ทั้งที่ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 เมาสุราซึ่งจากผลการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์จำเลยที่ 1 มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 102 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายและกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์กำหนด เมื่อจำเลยที่ 1 มีอาการมึนเมาแล้ว แต่จำเลยที่ 2 ก็ยังรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถโดยจำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาในรถที่จำเลยที่ 1 ขับด้วย จำเลยที่ 2 ย่อมทราบดีว่าการขับรถในขณะเมาสุราอาจทำให้ผู้ขับขี่หย่อนสมรรถภาพในการควบคุมบังคับรถให้อยู่ในทิศทางและช่องเดินรถของตน ทั้งไม่อาจควบคุมความเร็วของรถให้ช้าลงหรือหยุดรถเมื่อจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นได้ การที่จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถดังกล่าวย่อมเล็งเห็นว่าจะเกิดอุบัติเหตุได้ กรณีถือว่าจำเลยที่ 2 ผู้ครอบครองรถไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอในการควบคุมดูแลรถซึ่งอยู่ในความครอบครอง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของบุคคลภายนอกที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกันด้วย จำเลยที่ 2 จึงมีส่วนประมาทก่อให้เกิดเหตุละเมิดครั้งนี้ และต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบุคคลภายนอกด้วย นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถที่โจทก์รับประกันภัยในขณะเมาสุราเป็นการผิดเงื่อนไขและความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ข้อ 7.6 เมื่อโจทก์ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความรับผิดที่จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกไปแล้ว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้จ่ายไปนั้นคืนให้แก่โจทก์ตามที่กำหนดในข้อ 8 ข้อสัญญาพิเศษ อันเป็นเงื่อนไขการยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,804,756 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,708,645 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,708,645 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 3 กรกฎาคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์รับประกันภัยรถกระบะไว้จากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถคันดังกล่าว ตามเงื่อนไขและความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ข้อ 4 ระบุว่า การคุ้มครองความรับผิดของผู้ขับขี่ บริษัทจะถือว่าผู้ขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง แต่มีเงื่อนไขว่า ข้อ 4.1 บุคคลนั้นต้องปฏิบัติตนเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย และอยู่ภายใต้ข้อกำหนดตามกรมธรรม์ประกันภัย... ข้อ 7 การยกเว้นทั่วไป การประกันภัยตามหมวดนี้ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจาก... ข้อ 7.6 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดให้ถือว่าเมาสุรา ข้อ 8 ข้อสัญญาพิเศษ... ส่วนเงื่อนไขในข้อ 7.6 บริษัทจะไม่นำมาเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิด ในกรณีที่บริษัทไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายหรือรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยต่อผู้เอาประกันภัย แต่บริษัทได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้วในความรับผิดที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกไปแล้วผู้เอาประกันต้องใช้จำนวนเงินที่บริษัทได้จ่ายไปนั้นคืนภายใน 7 วัน นับแต่ได้รับหนังสือเรียกร้องจากบริษัท คดีนี้ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2561 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะที่โจทก์รับประกันภัยโดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถคันดังกล่าวยินยอมและนั่งโดยสารมาด้วย จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทด้วยความเร็วสูงและในขณะเมาสุรามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 102 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ทำให้ไม่สามารถควบคุมรถได้ รถที่จำเลยที่ 1 ขับเสียหลักไปทางขวาข้ามเกาะแบ่งกึ่งกลางถนนแล้วพุ่งชนรถยนต์คันอื่นอีก 3 คัน เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ต่อมาจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นคดีอาญา และให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปเป็นเงิน 1,708,645 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้ชำระให้แก่บุคคลภายนอกไปคืนให้แก่โจทก์ คู่ความไม่อุทธรณ์ฎีกา คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะที่โจทก์รับประกันภัยโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัย และจำเลยที่ 2 นั่งโดยสารไปด้วย ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทด้วยความเร็วสูงและในขณะเมาสุราจนเกิดเหตุละเมิด อันเป็นการปฏิบัติผิดเงื่อนไขหรือข้อกำหนดที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายของรถกระบะที่รับประกันภัยและบุคคลที่โดยสารมาในรถ แต่โจทก์ยังต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหาย เมื่อโจทก์ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่ได้ชำระไปคืนจากจำเลยทั้งสอง สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 อาศัยข้ออ้างว่าจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยและผู้ครอบครองรถ ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถขณะเมาสุราโดยจำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาด้วย อันเป็นการกระทำผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์ไม่ได้บรรยายคำฟ้องให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้มอบหมายหรือสั่งการให้จำเลยที่ 1 ขับรถไปในขณะเกิดเหตุ ดังนั้น ในส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะ ทั้งที่ทราบว่าจำเลยที่ 1 เมาสุราและนั่งโดยสารมาด้วย จำเลยที่ 2 สามารถบังคับบัญชา ออกคำสั่งหรือสั่งการให้จำเลยที่ 1 ขับรถเร็วหรือช้าได้ จำเลยที่ 2 เป็นผู้มอบหมายหรือสั่งการให้จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ในขณะเกิดเหตุ ถือว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิดสัญญาประกันภัยและผิดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย เมื่อโจทก์ได้ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 ได้ตามกฎหมายและเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย จึงเป็นการอุทธรณ์ที่เกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากสภาพแห่งข้อหาที่โจทก์ได้บรรยายไว้ในคำฟ้อง อุทธรณ์ของโจทก์ที่อ้างว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้มอบหมายหรือสั่งการให้จำเลยที่ 1 ขับรถในขณะเกิดเหตุจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่นอกเหนือจากปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวแล้ว โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อโต้แย้งที่ว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยและเป็นผู้ครอบครองรถกระบะที่เอาประกันภัย ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะ ทั้งที่ทราบว่าจำเลยที่ 1 เมาสุราและนั่งโดยสารมาด้วย ถือว่าจำเลยที่ 2 ผิดสัญญาประกันภัยและผิดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ เมื่อโจทก์ยังคงฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยชี้ขาดไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองรถที่โจทก์รับประกันภัยยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถในขณะเกิดเหตุ ทั้งที่ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 เมาสุราซึ่งจากผลการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ จำเลยที่ 1 มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 102 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายและกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์กำหนด เมื่อจำเลยที่ 1 มีอาการมึนเมาแล้ว แต่จำเลยที่ 2 ก็ยังรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถ โดยจำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาในรถที่จำเลยที่ 1 ขับด้วย จำเลยที่ 2 ย่อมทราบดีว่า การขับรถในขณะเมาสุราอาจทำให้ผู้ขับขี่หย่อนสมรรถภาพในการควบคุมบังคับรถให้อยู่ในทิศทางและช่องเดินรถของตน ทั้งไม่อาจควบคุมความเร็วของรถให้ช้าลงหรือหยุดรถเมื่อจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นได้ การที่จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถดังกล่าว ย่อมเล็งเห็นว่าจะเกิดอุบัติเหตุได้ กรณีถือว่าจำเลยที่ 2 ผู้ครอบครองรถไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอในการควบคุมดูแลรถซึ่งอยู่ในความครอบครอง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของบุคคลภายนอกที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกันด้วย จำเลยที่ 2 จึงมีส่วนประมาทก่อให้เกิดเหตุละเมิดครั้งนี้ และต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบุคคลภายนอกด้วย นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถที่โจทก์รับประกันภัยในขณะเมาสุราเป็นการผิดเงื่อนไขและความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ข้อ 7.6 เมื่อโจทก์ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความรับผิดที่จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกไปแล้ว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้จ่ายไปนั้นคืนให้แก่โจทก์ตามที่กำหนดในข้อ 8 ข้อสัญญาพิเศษ อันเป็นเงื่อนไขการยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
อนึ่ง เนื่องจากได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยพระราชกำหนดดังกล่าวได้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 วรรคหนึ่ง เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดหลังจากวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ และปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,708,645 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 3 กรกฎาคม 2563) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ใช้อัตราที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองรถที่โจทก์รับประกันภัยยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถในขณะเกิดเหตุ ทั้งที่ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 เมาสุราซึ่งจากผลการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์จำเลยที่ 1 มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 102 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายและกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์กำหนด เมื่อจำเลยที่ 1 มีอาการมึนเมาแล้ว แต่จำเลยที่ 2 ก็ยังรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถโดยจำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาในรถที่จำเลยที่ 1 ขับด้วย จำเลยที่ 2 ย่อมทราบดีว่าการขับรถในขณะเมาสุราอาจทำให้ผู้ขับขี่หย่อนสมรรถภาพในการควบคุมบังคับรถให้อยู่ในทิศทางและช่องเดินรถของตน ทั้งไม่อาจควบคุมความเร็วของรถให้ช้าลงหรือหยุดรถเมื่อจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นได้ การที่จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถดังกล่าวย่อมเล็งเห็นว่าจะเกิดอุบัติเหตุได้ กรณีถือว่าจำเลยที่ 2 ผู้ครอบครองรถไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอในการควบคุมดูแลรถซึ่งอยู่ในความครอบครอง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของบุคคลภายนอกที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกันด้วย จำเลยที่ 2 จึงมีส่วนประมาทก่อให้เกิดเหตุละเมิดครั้งนี้ และต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบุคคลภายนอกด้วย นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถที่โจทก์รับประกันภัยในขณะเมาสุราเป็นการผิดเงื่อนไขและความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ข้อ 7.6 เมื่อโจทก์ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความรับผิดที่จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกไปแล้ว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้จ่ายไปนั้นคืนให้แก่โจทก์ตามที่กำหนดในข้อ 8 ข้อสัญญาพิเศษ อันเป็นเงื่อนไขการยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,804,756 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,708,645 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,708,645 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 3 กรกฎาคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์รับประกันภัยรถกระบะไว้จากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถคันดังกล่าว ตามเงื่อนไขและความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ข้อ 4 ระบุว่า การคุ้มครองความรับผิดของผู้ขับขี่ บริษัทจะถือว่าผู้ขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง แต่มีเงื่อนไขว่า ข้อ 4.1 บุคคลนั้นต้องปฏิบัติตนเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย และอยู่ภายใต้ข้อกำหนดตามกรมธรรม์ประกันภัย... ข้อ 7 การยกเว้นทั่วไป การประกันภัยตามหมวดนี้ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจาก... ข้อ 7.6 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดให้ถือว่าเมาสุรา ข้อ 8 ข้อสัญญาพิเศษ... ส่วนเงื่อนไขในข้อ 7.6 บริษัทจะไม่นำมาเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิด ในกรณีที่บริษัทไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายหรือรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยต่อผู้เอาประกันภัย แต่บริษัทได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้วในความรับผิดที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกไปแล้วผู้เอาประกันต้องใช้จำนวนเงินที่บริษัทได้จ่ายไปนั้นคืนภายใน 7 วัน นับแต่ได้รับหนังสือเรียกร้องจากบริษัท คดีนี้ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2561 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะที่โจทก์รับประกันภัยโดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถคันดังกล่าวยินยอมและนั่งโดยสารมาด้วย จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทด้วยความเร็วสูงและในขณะเมาสุรามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 102 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ทำให้ไม่สามารถควบคุมรถได้ รถที่จำเลยที่ 1 ขับเสียหลักไปทางขวาข้ามเกาะแบ่งกึ่งกลางถนนแล้วพุ่งชนรถยนต์คันอื่นอีก 3 คัน เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ต่อมาจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นคดีอาญา และให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปเป็นเงิน 1,708,645 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้ชำระให้แก่บุคคลภายนอกไปคืนให้แก่โจทก์ คู่ความไม่อุทธรณ์ฎีกา คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะที่โจทก์รับประกันภัยโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัย และจำเลยที่ 2 นั่งโดยสารไปด้วย ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทด้วยความเร็วสูงและในขณะเมาสุราจนเกิดเหตุละเมิด อันเป็นการปฏิบัติผิดเงื่อนไขหรือข้อกำหนดที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายของรถกระบะที่รับประกันภัยและบุคคลที่โดยสารมาในรถ แต่โจทก์ยังต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหาย เมื่อโจทก์ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่ได้ชำระไปคืนจากจำเลยทั้งสอง สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 อาศัยข้ออ้างว่าจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยและผู้ครอบครองรถ ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถขณะเมาสุราโดยจำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาด้วย อันเป็นการกระทำผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์ไม่ได้บรรยายคำฟ้องให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้มอบหมายหรือสั่งการให้จำเลยที่ 1 ขับรถไปในขณะเกิดเหตุ ดังนั้น ในส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะ ทั้งที่ทราบว่าจำเลยที่ 1 เมาสุราและนั่งโดยสารมาด้วย จำเลยที่ 2 สามารถบังคับบัญชา ออกคำสั่งหรือสั่งการให้จำเลยที่ 1 ขับรถเร็วหรือช้าได้ จำเลยที่ 2 เป็นผู้มอบหมายหรือสั่งการให้จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ในขณะเกิดเหตุ ถือว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิดสัญญาประกันภัยและผิดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย เมื่อโจทก์ได้ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 ได้ตามกฎหมายและเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย จึงเป็นการอุทธรณ์ที่เกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากสภาพแห่งข้อหาที่โจทก์ได้บรรยายไว้ในคำฟ้อง อุทธรณ์ของโจทก์ที่อ้างว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้มอบหมายหรือสั่งการให้จำเลยที่ 1 ขับรถในขณะเกิดเหตุจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่นอกเหนือจากปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวแล้ว โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อโต้แย้งที่ว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยและเป็นผู้ครอบครองรถกระบะที่เอาประกันภัย ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะ ทั้งที่ทราบว่าจำเลยที่ 1 เมาสุราและนั่งโดยสารมาด้วย ถือว่าจำเลยที่ 2 ผิดสัญญาประกันภัยและผิดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ เมื่อโจทก์ยังคงฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยชี้ขาดไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองรถที่โจทก์รับประกันภัยยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถในขณะเกิดเหตุ ทั้งที่ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 เมาสุราซึ่งจากผลการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ จำเลยที่ 1 มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 102 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายและกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์กำหนด เมื่อจำเลยที่ 1 มีอาการมึนเมาแล้ว แต่จำเลยที่ 2 ก็ยังรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถ โดยจำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาในรถที่จำเลยที่ 1 ขับด้วย จำเลยที่ 2 ย่อมทราบดีว่า การขับรถในขณะเมาสุราอาจทำให้ผู้ขับขี่หย่อนสมรรถภาพในการควบคุมบังคับรถให้อยู่ในทิศทางและช่องเดินรถของตน ทั้งไม่อาจควบคุมความเร็วของรถให้ช้าลงหรือหยุดรถเมื่อจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นได้ การที่จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถดังกล่าว ย่อมเล็งเห็นว่าจะเกิดอุบัติเหตุได้ กรณีถือว่าจำเลยที่ 2 ผู้ครอบครองรถไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอในการควบคุมดูแลรถซึ่งอยู่ในความครอบครอง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของบุคคลภายนอกที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกันด้วย จำเลยที่ 2 จึงมีส่วนประมาทก่อให้เกิดเหตุละเมิดครั้งนี้ และต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบุคคลภายนอกด้วย นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถที่โจทก์รับประกันภัยในขณะเมาสุราเป็นการผิดเงื่อนไขและความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ข้อ 7.6 เมื่อโจทก์ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความรับผิดที่จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกไปแล้ว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้จ่ายไปนั้นคืนให้แก่โจทก์ตามที่กำหนดในข้อ 8 ข้อสัญญาพิเศษ อันเป็นเงื่อนไขการยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
อนึ่ง เนื่องจากได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยพระราชกำหนดดังกล่าวได้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 วรรคหนึ่ง เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดหลังจากวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ และปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,708,645 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 3 กรกฎาคม 2563) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ใช้อัตราที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังวันที่ 4 กันยายน 2556 โดยศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังโดยระบุในหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดว่า ให้จำคุกตลอดชีวิต นับตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2556 จำเลยต้องขังมาแล้ว 1,151 วัน คิดหักให้ด้วย เป็นการออกหมายจำคุกตามคำพิพากษาโดยชอบแล้ว การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าจะต้องบังคับโทษตามคำพิพากษาในคดีนี้ ควบหรือซ้อนกับคดีที่ขอให้นับโทษต่อ และขอให้แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดนั้น เป็นการโต้แย้งว่าคดีที่ขอให้นับโทษจำคุกต่อดังกล่าวไม่ต้องนับโทษต่อจากโทษจำคุกในคดีนี้ ซึ่งจำเลยจะต้องไปว่ากล่าวในคดีที่ขอให้นับโทษต่อ หาใช่มายื่นคำร้องในคดีนี้ไม่
คดีสืบเนื่องมาจากคดีนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม, 317 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุก 10 ปี ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง จำคุกตลอดชีวิต เมื่อรวมโทษทุกกระทงของจำเลยแล้ว คงให้จำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โดยศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดลงวันที่ 4 กันยายน 2556 ให้จำคุกตลอดชีวิตนับแต่วันที่ 4 กันยายน 2556
จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 ต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษ คดีถึงที่สุดแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2554 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2888/2554 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3013/2554 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3264/2554 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4118/2555 ของศาลชั้นต้น จำเลยมีความประสงค์ขอทราบว่า จำเลยถูกบังคับโทษตามคำพิพากษาคดีใดเป็นคดีแรกและคดีใดเป็นคดีถัดไป ทั้งนี้จำเลยต้องโทษจำคุกมาตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2554 และต้องขังมาแล้ว 1,151 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ได้ตรวจสำนวนประกอบคำร้องแล้วคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2550 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ต่อมาศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ลงวันที่ 4 กันยายน 2556 การนับโทษจำคุกจึงต้องเริ่มนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2550 เป็นคดีแรก คือ คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 แล้วให้นับโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2554, 2888/2554, 3013/2554, 3264/2554 และ 4118/2555 ของศาลชั้นต้นตามลำดับ และศาลชั้นต้นมีหนังสือลงวันที่ 17 สิงหาคม 2565 แจ้งลำดับการบังคับโทษจำคุกตามคำพิพากษาให้จำเลยทราบแล้ว
ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ต่อศาลชั้นต้นว่า การนับโทษ (ลำดับการบังคับโทษตามคำพิพากษา) ของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้อง จะต้องบังคับโทษตามคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 ควบกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2554, 2888/2554, 3013/2554, 3264/2554 และ 4118 /2555 ของศาลชั้นต้น และขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นได้ระบุชัดว่าให้นับโทษต่อในคำพิพากษา (ลำดับการบังคับโทษตามคำพิพากษา) และคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า คดีนี้ (คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 ของศาลชั้นต้น) ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยจำคุกตลอดชีวิต ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังวันที่ 11 เมษายน 2550 ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้จำเลยฟังวันที่ 8 กันยายน 2552 และศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้โจทก์ฟังวันที่ 16 ตุลาคม 2552 ต่อมาศาลฎีกาพิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังวันที่ 4 กันยายน 2556 และออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดโดยระบุในหมายว่า ให้จำคุกจำเลยตลอดชีวิตนับตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2556 จำเลยต้องขังมาแล้ว 1,151 วัน คิดหักให้ด้วย หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษา ยกฟ้องโจทก์คดีนี้ จำเลยถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553, 767/2554, 2888/2554, 3013/2554, 3264/2554 และ 4118/2555 ปรากฏตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องโทษจำคุก 13 เดือน 10 วัน คดีถึงที่สุดวันที่ 6 ตุลาคม 2554 หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2554 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 และ 1729/2553 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดวันที่ 19 พฤษภาคม 2555 หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2888/2554 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องโทษจำคุก 6 เดือน นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553 และ 767/2554 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดวันที่ 27 ตุลาคม 2554 หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3013/2554 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องโทษจำคุก 4 เดือน นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 861/2550, 1729/2553, 767/2554 และ 2888/2554 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดวันที่ 6 พฤศจิกายน 2554 ส่วนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3264/2554 และ 4118/2555 ของศาลชั้นต้น ปรากฏตามหนังสือศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 17 สิงหาคม 2565 ที่แจ้งคำสั่งศาลชั้นต้นให้จำเลยทราบ และคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3264/2554 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี และปรับ 200,000 บาท นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553, 767/2554 และ 2888/2554 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดในวันที่ 9 ธันวาคม 2554 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4118/2555 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี และปรับ 200,000 บาท นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553, 767/2554, 2888/2554, 3013/2554 และ 3264/2554 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดในวันที่ 9 ธันวาคม 2555 สำหรับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553 ของศาลชั้นต้น จำเลยพ้นโทษแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ (คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 ของศาลชั้นต้น) ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังวันที่ 4 กันยายน 2556 โดยศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังโดยระบุในหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดว่า ให้จำคุกตลอดชีวิต นับตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2556 จำเลยต้องขังมาแล้ว 1,151 วัน คิดหักให้ด้วย เป็นการออกหมายจำคุกตามคำพิพากษาโดยชอบแล้ว การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า จะต้องบังคับโทษตามคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 ควบหรือซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2554, 2888/2554, 3013/2554, 3264/2554 และ 4118/2555 และขอให้แก้ไขตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดนั้น เป็นการโต้แย้งว่าคดีที่ขอให้นับโทษจำคุกดังกล่าวไม่ต้องนับโทษต่อจากโทษจำคุกในคดีนี้ ซึ่งจำเลยจะต้องไปว่ากล่าวในคดีที่ขอให้นับโทษต่อ หาใช่มายื่นคำร้องในคดีนี้ไม่ การที่จำเลยยื่นคำร้องมาในคดีนี้จึงไม่ถูกต้อง ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังวันที่ 4 กันยายน 2556 โดยศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังโดยระบุในหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดว่า ให้จำคุกตลอดชีวิต นับตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2556 จำเลยต้องขังมาแล้ว 1,151 วัน คิดหักให้ด้วย เป็นการออกหมายจำคุกตามคำพิพากษาโดยชอบแล้ว การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าจะต้องบังคับโทษตามคำพิพากษาในคดีนี้ ควบหรือซ้อนกับคดีที่ขอให้นับโทษต่อ และขอให้แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดนั้น เป็นการโต้แย้งว่าคดีที่ขอให้นับโทษจำคุกต่อดังกล่าวไม่ต้องนับโทษต่อจากโทษจำคุกในคดีนี้ ซึ่งจำเลยจะต้องไปว่ากล่าวในคดีที่ขอให้นับโทษต่อ หาใช่มายื่นคำร้องในคดีนี้ไม่
คดีสืบเนื่องมาจากคดีนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม, 317 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุก 10 ปี ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง จำคุกตลอดชีวิต เมื่อรวมโทษทุกกระทงของจำเลยแล้ว คงให้จำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โดยศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดลงวันที่ 4 กันยายน 2556 ให้จำคุกตลอดชีวิตนับแต่วันที่ 4 กันยายน 2556
จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 ต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษ คดีถึงที่สุดแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2554 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2888/2554 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3013/2554 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3264/2554 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4118/2555 ของศาลชั้นต้น จำเลยมีความประสงค์ขอทราบว่า จำเลยถูกบังคับโทษตามคำพิพากษาคดีใดเป็นคดีแรกและคดีใดเป็นคดีถัดไป ทั้งนี้จำเลยต้องโทษจำคุกมาตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2554 และต้องขังมาแล้ว 1,151 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ได้ตรวจสำนวนประกอบคำร้องแล้วคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2550 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ต่อมาศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ลงวันที่ 4 กันยายน 2556 การนับโทษจำคุกจึงต้องเริ่มนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2550 เป็นคดีแรก คือ คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 แล้วให้นับโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2554, 2888/2554, 3013/2554, 3264/2554 และ 4118/2555 ของศาลชั้นต้นตามลำดับ และศาลชั้นต้นมีหนังสือลงวันที่ 17 สิงหาคม 2565 แจ้งลำดับการบังคับโทษจำคุกตามคำพิพากษาให้จำเลยทราบแล้ว
ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ต่อศาลชั้นต้นว่า การนับโทษ (ลำดับการบังคับโทษตามคำพิพากษา) ของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้อง จะต้องบังคับโทษตามคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 ควบกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2554, 2888/2554, 3013/2554, 3264/2554 และ 4118 /2555 ของศาลชั้นต้น และขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นได้ระบุชัดว่าให้นับโทษต่อในคำพิพากษา (ลำดับการบังคับโทษตามคำพิพากษา) และคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า คดีนี้ (คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 ของศาลชั้นต้น) ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยจำคุกตลอดชีวิต ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังวันที่ 11 เมษายน 2550 ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้จำเลยฟังวันที่ 8 กันยายน 2552 และศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้โจทก์ฟังวันที่ 16 ตุลาคม 2552 ต่อมาศาลฎีกาพิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังวันที่ 4 กันยายน 2556 และออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดโดยระบุในหมายว่า ให้จำคุกจำเลยตลอดชีวิตนับตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2556 จำเลยต้องขังมาแล้ว 1,151 วัน คิดหักให้ด้วย หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษา ยกฟ้องโจทก์คดีนี้ จำเลยถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553, 767/2554, 2888/2554, 3013/2554, 3264/2554 และ 4118/2555 ปรากฏตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องโทษจำคุก 13 เดือน 10 วัน คดีถึงที่สุดวันที่ 6 ตุลาคม 2554 หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2554 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 และ 1729/2553 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดวันที่ 19 พฤษภาคม 2555 หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2888/2554 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องโทษจำคุก 6 เดือน นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553 และ 767/2554 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดวันที่ 27 ตุลาคม 2554 หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3013/2554 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องโทษจำคุก 4 เดือน นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 861/2550, 1729/2553, 767/2554 และ 2888/2554 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดวันที่ 6 พฤศจิกายน 2554 ส่วนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3264/2554 และ 4118/2555 ของศาลชั้นต้น ปรากฏตามหนังสือศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 17 สิงหาคม 2565 ที่แจ้งคำสั่งศาลชั้นต้นให้จำเลยทราบ และคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3264/2554 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี และปรับ 200,000 บาท นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553, 767/2554 และ 2888/2554 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดในวันที่ 9 ธันวาคม 2554 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4118/2555 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี และปรับ 200,000 บาท นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553, 767/2554, 2888/2554, 3013/2554 และ 3264/2554 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดในวันที่ 9 ธันวาคม 2555 สำหรับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1729/2553 ของศาลชั้นต้น จำเลยพ้นโทษแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ (คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 ของศาลชั้นต้น) ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังวันที่ 4 กันยายน 2556 โดยศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังโดยระบุในหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดว่า ให้จำคุกตลอดชีวิต นับตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2556 จำเลยต้องขังมาแล้ว 1,151 วัน คิดหักให้ด้วย เป็นการออกหมายจำคุกตามคำพิพากษาโดยชอบแล้ว การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า จะต้องบังคับโทษตามคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 774/2550 ควบหรือซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2554, 2888/2554, 3013/2554, 3264/2554 และ 4118/2555 และขอให้แก้ไขตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดนั้น เป็นการโต้แย้งว่าคดีที่ขอให้นับโทษจำคุกดังกล่าวไม่ต้องนับโทษต่อจากโทษจำคุกในคดีนี้ ซึ่งจำเลยจะต้องไปว่ากล่าวในคดีที่ขอให้นับโทษต่อ หาใช่มายื่นคำร้องในคดีนี้ไม่ การที่จำเลยยื่นคำร้องมาในคดีนี้จึงไม่ถูกต้อง ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
คดีก่อนมีประเด็นว่า โจทก์ทั้งเจ็ดมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสิบห้าออกไปจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสิบห้าได้หรือไม่ ซึ่งที่ดินพิพาทในคดีก่อนก็คือที่ดินพิพาทแปลงเดียวกันกับคดีนี้ แม้คดีนี้โจทก์จะเปลี่ยนรูปคดีจากเรื่องขับไล่และเรียกค่าเสียหายเป็นการเรียกทรัพย์คืนและเรียกค่าเสียหาย แต่ก็มีคำขอให้จำเลยออกไปจากสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทแปลงเดิมเหมือนคดีก่อน ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับว่า ประเด็นข้อนี้มีอยู่แล้วในคดีก่อนเป็นแต่ศาลยังมิได้วินิจฉัย เพราะศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปตามคำท้า แม้ในคดีก่อนศาลจะมิได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีโดยตรง เนื่องจากคู่ความตกลงท้ากันเฉพาะผลคดีแพ่งเรื่องอื่นเป็นข้อแพ้ชนะ แต่เมื่อศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีก่อนไปตามคำท้าของคู่ความให้โจทก์แพ้คดีโดยพิพากษายกฟ้องไปแล้ว คำพิพากษาคดีก่อนย่อมผูกพันคู่ความว่าจำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่อาจฟ้องจำเลยให้ออกไปจากที่ดินพิพาทเป็นคดีนี้ได้อีก มิฉะนั้นผู้ที่แพ้คดีตามคำท้าก็จะนำคดีมาฟ้องร้องใหม่อีกโดยไม่จบสิ้น อีกทั้งคู่ความในคดีก่อนและคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกัน และคดีก่อนได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีที่มีประเด็นเดียวกันและคดีถึงที่สุดแล้วมาฟ้องใหม่อีกเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 อีกด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยดำเนินการเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนที่ดินกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ ให้พ้นจากที่ดินกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย พร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไป และส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทคืนโจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะดำเนินการแล้วเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องและคำให้การ แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า มีคดีที่เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3165 รวม 4 คดี คดีแรก คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 476/2556 และ 1055/2556 หมายเลขแดงที่ 1051 - 1052/2557 ของศาลชั้นต้น โจทก์คดีนี้และเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอีกหกคนเป็นโจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขับไล่เทศบาลตำบลบ้านหมอเป็นจำเลยที่ 1 นายสุทธิชัย เป็นจำเลยที่ 2 ออกจากที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่า เจ้าของที่ดินพิพาทคนเดิมได้ยกที่ดินดังกล่าวให้แก่ทางราชการตั้งแต่ปี 2498 เพื่อใช้ที่ดินเพื่อสาธารณประโยชน์ นายชาญจดทะเบียนการได้มาซึ่งที่ดินเป็นการขัดต่อกฎหมาย นายชาญจึงไม่มีอำนาจโอนที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ด จำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าที่ดินกับนายชาญเนื่องจากสำคัญผิด นิติกรรมการเช่าเป็นโมฆะ โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าและค่าเสียหาย คดีดังกล่าวถึงที่สุดในชั้นฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งเจ็ด ให้จำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ทั้งเจ็ด 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721 - 722/2560 ในระหว่างฟ้องคดีแรกนั้น ได้มีการฟ้องคดีที่ 2 คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 306/2557 หมายเลขแดงที่ 561/2558 ของศาลชั้นต้น โดยนายชาติชาย โจทก์ที่ 3 ในคดีแรก เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีแรกในข้อหาละเมิด ขับไล่ ในที่ดินพิพาทแปลงเดิม ในส่วนที่จำเลยทั้งสองเข้ามาทำถนน ปักป้ายบอกชื่อถนน ชื่อซอย ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าถนนในที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะสามารถขับรถเข้าไปได้ ขอให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนถนนพร้อมป้ายชื่อออกจากที่ดิน และห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งหกฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองในที่ดินพิพาทแปลงเดียวกันต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแรกแล้ว และคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณา การที่โจทก์กับพวกมายื่นฟ้องขับไล่ให้จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทอีก จึงเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกันในระหว่างพิจารณา เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามกฎหมาย ระหว่างการพิจารณาของคดีที่ 2 ได้มีการฟ้องคดีที่ 3 เป็นคดีผู้บริโภคเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2558 โดยมีโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสิบห้าซึ่งเป็นผู้เช่าในที่ดินแปลงเดียวกันเป็นจำเลย ให้ขับไล่จำเลยแต่ละรายและเรียกค่าเสียหาย 15 คดี ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 143/2558 ถึง ผบ 157/2558 โดยโจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 3 คือโจทก์และจำเลยคดีนี้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 9 ในคดีดังกล่าวให้การต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทบางส่วนเป็นถนนสาธารณะ บางส่วนเป็นสถานที่ราชการ บางส่วนเป็นสวนสาธารณะ โจทก์ทั้งเจ็ดไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 9 อาศัยอยู่ และไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 4 ที่ 8 และที่ 10 ถึงที่ 15 ให้การทำนองเดียวกันว่า ไม่เคยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ทั้งเจ็ด บิดามารดาจำเลยที่ 4 ที่ 8 และที่ 10 ถึงที่ 15 อาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยสงบ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมานานกว่า 50 ปี ที่ดินพิพาทที่ใช้ปลูกสร้างบ้านจึงตกเป็นของบิดามารดาจำเลยที่ 4 ที่ 8 และที่ 10 ถึงที่ 15 โดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 7 ให้การว่า จำเลยที่ 7 ปลูกสร้างบ้านโดยไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นเจ้าของที่ดิน จำเลยที่ 7 จ่ายค่าเช่าแล้ว เมื่อยังไม่ครบกำหนดชำระค่าเช่า จำเลยที่ 7 จึงไม่ต้องจ่ายค่าเช่าอีก ระหว่างพิจารณาคู่ความตกลงท้ากันให้เอาผลคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีที่ 2 คือคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 306/2557 ของศาลชั้นต้น ระหว่างนายชาติชาย โจทก์ กับเทศบาลตำบลบ้านหมอ ที่ 1 นายสุทธิชัย ที่ 2 จำเลย เป็นผลแพ้ชนะในคดี หากในคดีที่ 2 ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ทั้งเจ็ดในคดีที่ 3 ยอมแพ้โดยยอมให้ยกฟ้อง หากในคดีที่ 2 ศาลพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี จำเลยทั้งสิบห้ายอมแพ้คดีโดยจะยอมออกจากที่ดินพิพาท และยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งเจ็ดโดยให้ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดให้ตามที่เห็นสมควร ศาลชั้นต้นในคดีที่ 3 อนุญาตให้เป็นไปตามที่คู่ความท้ากัน ปรากฏว่าคดีที่ 2 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีที่ 2 และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1051 – 1052/2557 ของศาลชั้นต้น มีคู่ความรายเดียวกันและประเด็นข้อพิพาทเป็นอย่างเดียวกัน ซึ่งฝ่ายโจทก์สามารถขอให้ขับไล่รวมไปในคดีก่อนได้ แต่หาได้กระทำไม่ และคำขอบังคับของคดีแรกและคดีที่ 2 คือขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท และศาลได้วินิจฉัยไว้ในคดีแรกแล้วว่าที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนที่ดินมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน และพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารโดยให้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ดังนั้น การวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้ในคดีแรก โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งหกจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีที่ 2 อีก พิพากษายกฟ้อง ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 561/2558 ของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน คดีที่ 2 ถึงที่สุด จำเลยทั้งสิบห้าในคดีที่ 3 จึงชนะคดีตามคำท้า ซึ่งศาลชั้นต้นคดีที่ 3 วินิจฉัยว่า คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 306/2557 หมายเลขแดงที่ 561/2558 ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง จำเลยทั้งสิบห้าจึงเป็นฝ่ายชนะคดีตามคำท้า และพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2564 เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 109/2558 ถึง ผบ 123/2558 ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 มีการฟ้องคดีนี้เป็นคดีที่ 4 โดยโจทก์ที่ 2 ในคดีที่ 3 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ในคดีที่ 3 เป็นจำเลย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ เห็นว่า ในคดีก่อนคือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 109/2558 ถึง ผบ 123/2558 ที่โจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ที่ 2 และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ 3 คดีมีประเด็นว่า โจทก์ทั้งเจ็ดมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสิบห้าออกไปจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสิบห้าได้หรือไม่ ซึ่งที่ดินพิพาทในคดีก่อนก็คือที่ดินพิพาทแปลงเดียวกันกับคดีนี้ แม้คดีนี้โจทก์จะเปลี่ยนรูปคดีจากเรื่องขับไล่และเรียกค่าเสียหายเป็นการเรียกทรัพย์คืนและเรียกค่าเสียหาย แต่ก็มีคำขอให้จำเลยออกไปจากสิ่งปลูกสร้างบ้านในที่ดินพิพาทแปลงเดิมเหมือนคดีก่อน ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับว่าประเด็นข้อนี้มีอยู่แล้วในคดีก่อนเป็นแต่ศาลยังมิได้วินิจฉัย เพราะศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปตามคำท้า แม้ในคดีก่อนศาลจะมิได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีโดยตรง เนื่องจากคู่ความตกลงท้ากันเฉพาะผลคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 306/2557 หมายเลขแดงที่ 561/2558 เป็นข้อแพ้ชนะ แต่เมื่อศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีก่อนไปตามคำท้าของคู่ความให้โจทก์แพ้คดีโดยพิพากษายกฟ้องไปแล้ว คำพิพากษาคดีก่อนย่อมผูกพันคู่ความว่า จำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทโดยโจทก์ขับไล่ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ดังนั้น โจทก์ซึ่งแพ้คดีและถูกยกฟ้องไปแล้วในคดีก่อน จึงไม่อาจฟ้องจำเลยให้ออกไปจากที่ดินพิพาทเป็นคดีนี้ได้อีกต่อไป มิฉะนั้นผู้ที่แพ้คดีตามคำท้าก็จะนำคดีมาฟ้องร้องใหม่อีกโดยไม่จบสิ้น อีกทั้งคู่ความในคดีก่อนและคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกัน และคดีก่อนได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีที่มีประเด็นเดียวกันและคดีถึงที่สุดแล้วมาฟ้องใหม่อีก เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 อีกด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
คดีก่อนมีประเด็นว่า โจทก์ทั้งเจ็ดมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสิบห้าออกไปจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสิบห้าได้หรือไม่ ซึ่งที่ดินพิพาทในคดีก่อนก็คือที่ดินพิพาทแปลงเดียวกันกับคดีนี้ แม้คดีนี้โจทก์จะเปลี่ยนรูปคดีจากเรื่องขับไล่และเรียกค่าเสียหายเป็นการเรียกทรัพย์คืนและเรียกค่าเสียหาย แต่ก็มีคำขอให้จำเลยออกไปจากสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทแปลงเดิมเหมือนคดีก่อน ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับว่า ประเด็นข้อนี้มีอยู่แล้วในคดีก่อนเป็นแต่ศาลยังมิได้วินิจฉัย เพราะศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปตามคำท้า แม้ในคดีก่อนศาลจะมิได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีโดยตรง เนื่องจากคู่ความตกลงท้ากันเฉพาะผลคดีแพ่งเรื่องอื่นเป็นข้อแพ้ชนะ แต่เมื่อศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีก่อนไปตามคำท้าของคู่ความให้โจทก์แพ้คดีโดยพิพากษายกฟ้องไปแล้ว คำพิพากษาคดีก่อนย่อมผูกพันคู่ความว่าจำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่อาจฟ้องจำเลยให้ออกไปจากที่ดินพิพาทเป็นคดีนี้ได้อีก มิฉะนั้นผู้ที่แพ้คดีตามคำท้าก็จะนำคดีมาฟ้องร้องใหม่อีกโดยไม่จบสิ้น อีกทั้งคู่ความในคดีก่อนและคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกัน และคดีก่อนได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีที่มีประเด็นเดียวกันและคดีถึงที่สุดแล้วมาฟ้องใหม่อีกเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 อีกด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยดำเนินการเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนที่ดินกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ ให้พ้นจากที่ดินกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย พร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไป และส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทคืนโจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะดำเนินการแล้วเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องและคำให้การ แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า มีคดีที่เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3165 รวม 4 คดี คดีแรก คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 476/2556 และ 1055/2556 หมายเลขแดงที่ 1051 - 1052/2557 ของศาลชั้นต้น โจทก์คดีนี้และเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอีกหกคนเป็นโจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขับไล่เทศบาลตำบลบ้านหมอเป็นจำเลยที่ 1 นายสุทธิชัย เป็นจำเลยที่ 2 ออกจากที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่า เจ้าของที่ดินพิพาทคนเดิมได้ยกที่ดินดังกล่าวให้แก่ทางราชการตั้งแต่ปี 2498 เพื่อใช้ที่ดินเพื่อสาธารณประโยชน์ นายชาญจดทะเบียนการได้มาซึ่งที่ดินเป็นการขัดต่อกฎหมาย นายชาญจึงไม่มีอำนาจโอนที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ด จำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าที่ดินกับนายชาญเนื่องจากสำคัญผิด นิติกรรมการเช่าเป็นโมฆะ โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าและค่าเสียหาย คดีดังกล่าวถึงที่สุดในชั้นฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งเจ็ด ให้จำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ทั้งเจ็ด 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721 - 722/2560 ในระหว่างฟ้องคดีแรกนั้น ได้มีการฟ้องคดีที่ 2 คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 306/2557 หมายเลขแดงที่ 561/2558 ของศาลชั้นต้น โดยนายชาติชาย โจทก์ที่ 3 ในคดีแรก เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีแรกในข้อหาละเมิด ขับไล่ ในที่ดินพิพาทแปลงเดิม ในส่วนที่จำเลยทั้งสองเข้ามาทำถนน ปักป้ายบอกชื่อถนน ชื่อซอย ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าถนนในที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะสามารถขับรถเข้าไปได้ ขอให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนถนนพร้อมป้ายชื่อออกจากที่ดิน และห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งหกฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองในที่ดินพิพาทแปลงเดียวกันต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแรกแล้ว และคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณา การที่โจทก์กับพวกมายื่นฟ้องขับไล่ให้จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทอีก จึงเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกันในระหว่างพิจารณา เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามกฎหมาย ระหว่างการพิจารณาของคดีที่ 2 ได้มีการฟ้องคดีที่ 3 เป็นคดีผู้บริโภคเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2558 โดยมีโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสิบห้าซึ่งเป็นผู้เช่าในที่ดินแปลงเดียวกันเป็นจำเลย ให้ขับไล่จำเลยแต่ละรายและเรียกค่าเสียหาย 15 คดี ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 143/2558 ถึง ผบ 157/2558 โดยโจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 3 คือโจทก์และจำเลยคดีนี้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 9 ในคดีดังกล่าวให้การต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทบางส่วนเป็นถนนสาธารณะ บางส่วนเป็นสถานที่ราชการ บางส่วนเป็นสวนสาธารณะ โจทก์ทั้งเจ็ดไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 9 อาศัยอยู่ และไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 4 ที่ 8 และที่ 10 ถึงที่ 15 ให้การทำนองเดียวกันว่า ไม่เคยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ทั้งเจ็ด บิดามารดาจำเลยที่ 4 ที่ 8 และที่ 10 ถึงที่ 15 อาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยสงบ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมานานกว่า 50 ปี ที่ดินพิพาทที่ใช้ปลูกสร้างบ้านจึงตกเป็นของบิดามารดาจำเลยที่ 4 ที่ 8 และที่ 10 ถึงที่ 15 โดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 7 ให้การว่า จำเลยที่ 7 ปลูกสร้างบ้านโดยไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นเจ้าของที่ดิน จำเลยที่ 7 จ่ายค่าเช่าแล้ว เมื่อยังไม่ครบกำหนดชำระค่าเช่า จำเลยที่ 7 จึงไม่ต้องจ่ายค่าเช่าอีก ระหว่างพิจารณาคู่ความตกลงท้ากันให้เอาผลคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีที่ 2 คือคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 306/2557 ของศาลชั้นต้น ระหว่างนายชาติชาย โจทก์ กับเทศบาลตำบลบ้านหมอ ที่ 1 นายสุทธิชัย ที่ 2 จำเลย เป็นผลแพ้ชนะในคดี หากในคดีที่ 2 ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ทั้งเจ็ดในคดีที่ 3 ยอมแพ้โดยยอมให้ยกฟ้อง หากในคดีที่ 2 ศาลพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี จำเลยทั้งสิบห้ายอมแพ้คดีโดยจะยอมออกจากที่ดินพิพาท และยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งเจ็ดโดยให้ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดให้ตามที่เห็นสมควร ศาลชั้นต้นในคดีที่ 3 อนุญาตให้เป็นไปตามที่คู่ความท้ากัน ปรากฏว่าคดีที่ 2 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีที่ 2 และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1051 – 1052/2557 ของศาลชั้นต้น มีคู่ความรายเดียวกันและประเด็นข้อพิพาทเป็นอย่างเดียวกัน ซึ่งฝ่ายโจทก์สามารถขอให้ขับไล่รวมไปในคดีก่อนได้ แต่หาได้กระทำไม่ และคำขอบังคับของคดีแรกและคดีที่ 2 คือขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท และศาลได้วินิจฉัยไว้ในคดีแรกแล้วว่าที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนที่ดินมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน และพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารโดยให้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ดังนั้น การวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้ในคดีแรก โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งหกจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีที่ 2 อีก พิพากษายกฟ้อง ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 561/2558 ของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน คดีที่ 2 ถึงที่สุด จำเลยทั้งสิบห้าในคดีที่ 3 จึงชนะคดีตามคำท้า ซึ่งศาลชั้นต้นคดีที่ 3 วินิจฉัยว่า คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 306/2557 หมายเลขแดงที่ 561/2558 ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง จำเลยทั้งสิบห้าจึงเป็นฝ่ายชนะคดีตามคำท้า และพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2564 เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 109/2558 ถึง ผบ 123/2558 ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 มีการฟ้องคดีนี้เป็นคดีที่ 4 โดยโจทก์ที่ 2 ในคดีที่ 3 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ในคดีที่ 3 เป็นจำเลย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ เห็นว่า ในคดีก่อนคือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 109/2558 ถึง ผบ 123/2558 ที่โจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ที่ 2 และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ 3 คดีมีประเด็นว่า โจทก์ทั้งเจ็ดมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสิบห้าออกไปจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสิบห้าได้หรือไม่ ซึ่งที่ดินพิพาทในคดีก่อนก็คือที่ดินพิพาทแปลงเดียวกันกับคดีนี้ แม้คดีนี้โจทก์จะเปลี่ยนรูปคดีจากเรื่องขับไล่และเรียกค่าเสียหายเป็นการเรียกทรัพย์คืนและเรียกค่าเสียหาย แต่ก็มีคำขอให้จำเลยออกไปจากสิ่งปลูกสร้างบ้านในที่ดินพิพาทแปลงเดิมเหมือนคดีก่อน ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับว่าประเด็นข้อนี้มีอยู่แล้วในคดีก่อนเป็นแต่ศาลยังมิได้วินิจฉัย เพราะศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปตามคำท้า แม้ในคดีก่อนศาลจะมิได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีโดยตรง เนื่องจากคู่ความตกลงท้ากันเฉพาะผลคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 306/2557 หมายเลขแดงที่ 561/2558 เป็นข้อแพ้ชนะ แต่เมื่อศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีก่อนไปตามคำท้าของคู่ความให้โจทก์แพ้คดีโดยพิพากษายกฟ้องไปแล้ว คำพิพากษาคดีก่อนย่อมผูกพันคู่ความว่า จำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทโดยโจทก์ขับไล่ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ดังนั้น โจทก์ซึ่งแพ้คดีและถูกยกฟ้องไปแล้วในคดีก่อน จึงไม่อาจฟ้องจำเลยให้ออกไปจากที่ดินพิพาทเป็นคดีนี้ได้อีกต่อไป มิฉะนั้นผู้ที่แพ้คดีตามคำท้าก็จะนำคดีมาฟ้องร้องใหม่อีกโดยไม่จบสิ้น อีกทั้งคู่ความในคดีก่อนและคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกัน และคดีก่อนได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีที่มีประเด็นเดียวกันและคดีถึงที่สุดแล้วมาฟ้องใหม่อีก เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 อีกด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
พยานหลักฐานของโจทก์เมื่อรับฟังประกอบกันทั้งหมดแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นเป็นใจและร่วมเป็นตัวการในการกระทำความผิดตามฟ้องกับ น. ด้วยการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยจำเลยทำหน้าที่ขับรถในการขนลำเลียงเมทแอมเฟตามีนให้กับ น. ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดเพียงฐานเป็นผู้สนับสนุน น. ในการกระทำความผิดตามฟ้อง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดตามฟ้อง แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้เองและปรับบทความผิดให้ถูกต้องได้โดยลงโทษจำเลยไม่เกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 100/1 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83 และเพิ่มโทษตามกฎหมาย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำคุก 7 ปี 4 เดือน และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 เป็นจำคุก 10 ปี 12 เดือน และปรับ 600,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 15 เดือน และปรับ 450,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นนี้รับฟังยุติได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยกับนายนิพนธ์ ได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนของกลาง จุดพบเมทแอมเฟตามีนของกลางบริเวณใต้คันเกียร์รถกระบะ พนักงานสอบสวนส่งเมทแอมเฟตามีนของกลางไปตรวจพิสูจน์ ผลการตรวจพิสูจน์พบว่ามีน้ำหนักสุทธิรวม 27.073 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 7.679 นายนิพนธ์ให้การรับสารภาพ ศาลได้พิพากษาลงโทษไปแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 1897/2563 ของศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์เมื่อรับฟังประกอบกันทั้งหมดแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยมีส่วนรู้เห็นเป็นใจและร่วมเป็นตัวการในการกระทำความผิดตามฟ้องกับนายนิพนธ์ด้วยการแบ่งหน้าที่กันทำโดยจำเลยทำหน้าที่ขับรถในการขนลำเลียงเมทแอมเฟตามีนของกลางให้กับนายนิพนธ์ แม้โจทก์จะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับจำเลยมาก่อนดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาก็ตาม ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดเพียงฐานเป็นผู้สนับสนุนนายนิพนธ์ในการกระทำความผิดตามฟ้อง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดตามฟ้อง แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้เองและปรับบทความผิดให้ถูกต้องได้โดยลงโทษจำเลยไม่เกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลยมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับโดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน ซึ่งตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า "จำหน่าย" ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย และการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนได้บัญญัติบทความผิดและบทกำหนดโทษไว้ในมาตรา 90, 145 แสดงว่าประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่ได้ยกเลิกความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ได้นำไปรวมไว้เป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โดยมาตรา 145 วรรคหนึ่ง ถึงวรรคสามกำหนดโทษหนักเบาตามพฤติการณ์ในการกระทำความผิดหรือบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดเป็นสำคัญ ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคใด นั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมทแอมเฟตามีนที่จำเลยร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณสารบริสุทธิ์เพียง 7.679 กรัม ประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดีได้ความว่าจำเลยเป็นเพียงผู้ร่วมในการครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางเท่านั้น จึงต้องปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามกฎหมายใหม่ มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ที่มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบห้าปีและปรับไม่เกินหนึ่งล้านห้าแสนบาท และเมื่อกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างจากกฎหมายใหม่ที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด จึงต้องใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดซึ่งเป็นคุณมากกว่าบังคับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 และที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 เมื่อตามกฎหมายเดิมมาตรา 97 ที่บัญญัติให้ศาลเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งแก่ผู้กระทำความผิดตามกฎหมายเดิมอีกในระหว่างที่ยังต้องรับโทษอยู่หรือภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ส่วนกฎหมายใหม่ก็ไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษเช่นเดิมอีก ดังนั้น ศาลจึงไม่อาจเพิ่มโทษทั้งตามกฎหมายเดิมที่ถูกยกเลิกไปแล้วและตามกฎหมายใหม่ได้ แต่เมื่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 บัญญัติว่า บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญาให้ใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย ดังนั้น แม้กฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับยาเสพติดอันเป็นกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้บัญญัติเรื่องเพิ่มโทษเพราะกระทำผิดอีกไว้ ก็มิได้หมายความว่าศาลไม่อาจเพิ่มโทษตามบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยกระทำความผิดอีกโดยไม่เข็ดหลาบและโจทก์ได้ขอให้เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายเดิมมาตรา 97 ไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์ขอเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบและได้กล่าวในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 แล้วด้วย ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้ ปัญหาดังกล่าวล้วนเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุก 7 ปี 4 เดือน และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 9 ปี 9 เดือน 10 วัน และปรับ 533,333.33 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 4 เดือน และปรับ 400,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกินหนึ่งปี แต่ไม่เกินสองปี
พยานหลักฐานของโจทก์เมื่อรับฟังประกอบกันทั้งหมดแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นเป็นใจและร่วมเป็นตัวการในการกระทำความผิดตามฟ้องกับ น. ด้วยการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยจำเลยทำหน้าที่ขับรถในการขนลำเลียงเมทแอมเฟตามีนให้กับ น. ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดเพียงฐานเป็นผู้สนับสนุน น. ในการกระทำความผิดตามฟ้อง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดตามฟ้อง แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้เองและปรับบทความผิดให้ถูกต้องได้โดยลงโทษจำเลยไม่เกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 100/1 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83 และเพิ่มโทษตามกฎหมาย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำคุก 7 ปี 4 เดือน และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 เป็นจำคุก 10 ปี 12 เดือน และปรับ 600,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 15 เดือน และปรับ 450,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นนี้รับฟังยุติได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยกับนายนิพนธ์ ได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนของกลาง จุดพบเมทแอมเฟตามีนของกลางบริเวณใต้คันเกียร์รถกระบะ พนักงานสอบสวนส่งเมทแอมเฟตามีนของกลางไปตรวจพิสูจน์ ผลการตรวจพิสูจน์พบว่ามีน้ำหนักสุทธิรวม 27.073 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 7.679 นายนิพนธ์ให้การรับสารภาพ ศาลได้พิพากษาลงโทษไปแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 1897/2563 ของศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์เมื่อรับฟังประกอบกันทั้งหมดแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยมีส่วนรู้เห็นเป็นใจและร่วมเป็นตัวการในการกระทำความผิดตามฟ้องกับนายนิพนธ์ด้วยการแบ่งหน้าที่กันทำโดยจำเลยทำหน้าที่ขับรถในการขนลำเลียงเมทแอมเฟตามีนของกลางให้กับนายนิพนธ์ แม้โจทก์จะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับจำเลยมาก่อนดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาก็ตาม ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดเพียงฐานเป็นผู้สนับสนุนนายนิพนธ์ในการกระทำความผิดตามฟ้อง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดตามฟ้อง แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้เองและปรับบทความผิดให้ถูกต้องได้โดยลงโทษจำเลยไม่เกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลยมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับโดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน ซึ่งตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า "จำหน่าย" ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย และการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนได้บัญญัติบทความผิดและบทกำหนดโทษไว้ในมาตรา 90, 145 แสดงว่าประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่ได้ยกเลิกความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ได้นำไปรวมไว้เป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โดยมาตรา 145 วรรคหนึ่ง ถึงวรรคสามกำหนดโทษหนักเบาตามพฤติการณ์ในการกระทำความผิดหรือบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดเป็นสำคัญ ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคใด นั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมทแอมเฟตามีนที่จำเลยร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณสารบริสุทธิ์เพียง 7.679 กรัม ประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดีได้ความว่าจำเลยเป็นเพียงผู้ร่วมในการครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางเท่านั้น จึงต้องปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามกฎหมายใหม่ มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ที่มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบห้าปีและปรับไม่เกินหนึ่งล้านห้าแสนบาท และเมื่อกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างจากกฎหมายใหม่ที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด จึงต้องใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดซึ่งเป็นคุณมากกว่าบังคับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 และที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 เมื่อตามกฎหมายเดิมมาตรา 97 ที่บัญญัติให้ศาลเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งแก่ผู้กระทำความผิดตามกฎหมายเดิมอีกในระหว่างที่ยังต้องรับโทษอยู่หรือภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ส่วนกฎหมายใหม่ก็ไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษเช่นเดิมอีก ดังนั้น ศาลจึงไม่อาจเพิ่มโทษทั้งตามกฎหมายเดิมที่ถูกยกเลิกไปแล้วและตามกฎหมายใหม่ได้ แต่เมื่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 บัญญัติว่า บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญาให้ใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย ดังนั้น แม้กฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับยาเสพติดอันเป็นกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้บัญญัติเรื่องเพิ่มโทษเพราะกระทำผิดอีกไว้ ก็มิได้หมายความว่าศาลไม่อาจเพิ่มโทษตามบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยกระทำความผิดอีกโดยไม่เข็ดหลาบและโจทก์ได้ขอให้เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายเดิมมาตรา 97 ไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์ขอเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบและได้กล่าวในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 แล้วด้วย ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้ ปัญหาดังกล่าวล้วนเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุก 7 ปี 4 เดือน และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 9 ปี 9 เดือน 10 วัน และปรับ 533,333.33 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 4 เดือน และปรับ 400,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกินหนึ่งปี แต่ไม่เกินสองปี
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และโจทก์บรรยายฟ้องในส่วนของการขอเพิ่มโทษว่า ก่อนคดีนี้ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 2 ปี 16 เดือน 15 วัน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1325/2558 ของศาลจังหวัดเดชอุดม จำเลยพ้นโทษคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 ภายในกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ จำเลยกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีก ขอให้เพิ่มโทษจำคุกจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย โดยแนบข้อมูลทะเบียนราษฎร และรายละเอียดข้อมูลผู้ต้องขัง กรมราชทัณฑ์ ซึ่งระบุชัดเจนทั้งชื่อและชื่อสกุลจำเลย เลขประจำตัวประชาชนจำเลย ซึ่งมีข้อมูลว่าจำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาและพ้นโทษโดยปล่อยตัวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 กับมีรูปถ่ายจำเลยในเอกสารดังกล่าว ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วย เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา ถือได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องรวมถึงรับว่าจำเลยเคยต้องโทษและพ้นโทษในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้เพิ่มโทษดังกล่าวด้วยแล้ว เมื่อคดีนี้ศาลจะลงโทษถึงจำคุก จึงอยู่ในเงื่อนไขที่จะเพิ่มโทษแก่จำเลยหนึ่งในสามของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดคดีนี้ตาม ป.อ. มาตรา 92 และเมื่อจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเกิน 6 เดือน จึงไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ตาม ป.อ. มาตรา 56 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่เพิ่มโทษจำเลยและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยจึงไม่ชอบ อย่างไรก็ตาม คดีนี้จำเลยกระทำความผิดเสพเมทแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยและคดีที่จำเลยเคยต้องโทษมาก่อนเป็นการกระทำความผิดเมื่อปี 2558 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว อีกทั้งการลงโทษจำคุกในระยะสั้นไม่น่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคม จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวโดยนำเงื่อนไขเพื่อควบคุมความประพฤติตามมาตรา 56 แห่ง ป.อ. มาใช้แทนการลงโทษจำคุกตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 166
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1, 29, 104, 162 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 และเพิ่มโทษจำคุกจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จำคุก 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายในกำหนดเวลา 1 ปี และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ เป็นเวลา 12 ชั่วโมง ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษหรือสิ่งมึนเมาทุกชนิด และยินยอมให้ตรวจสารเสพติดให้โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่เพิ่มโทษจำเลยและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และโจทก์บรรยายฟ้องในส่วนของการขอเพิ่มโทษว่า ก่อนคดีนี้ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 2 ปี 16 เดือน 15 วัน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1325/2558 ของศาลจังหวัดเดชอุดม จำเลยพ้นโทษคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 ภายในกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ จำเลยกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีก ขอให้เพิ่มโทษจำคุกจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย โดยแนบข้อมูลทะเบียนราษฎร และรายละเอียดข้อมูลผู้ต้องขังกรมราชทัณฑ์ ซึ่งระบุชัดเจนทั้งชื่อและชื่อสกุลจำเลย เลขประจำตัวประชาชนจำเลย ซึ่งมีข้อมูลว่าจำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาและพ้นโทษโดยปล่อยตัวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 กับมีรูปถ่ายจำเลยในเอกสารดังกล่าว ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วย เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา ถือได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องรวมถึงรับว่าจำเลยเคยต้องโทษและพ้นโทษในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้เพิ่มโทษดังกล่าวด้วยแล้ว เมื่อคดีนี้ศาลจะลงโทษถึงจำคุก จึงอยู่ในเงื่อนไขที่จะเพิ่มโทษแก่จำเลยหนึ่งในสามของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 และเมื่อจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเกิน 6 เดือน จึงไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่เพิ่มโทษจำเลยและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยจึงไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม คดีนี้จำเลยกระทำความผิดเสพเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยและคดีที่จำเลยเคยต้องโทษมาก่อนเป็นการกระทำความผิดเมื่อปี 2558 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว อีกทั้งการลงโทษจำคุกในระยะสั้นไม่น่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคม จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวโดยนำเงื่อนไขเพื่อควบคุมความประพฤติตามมาตรา 56 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาใช้แทนการลงโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 166
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จำคุก 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 2 เดือน 20 วัน และปรับ 5,333.33 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน 10 วัน และปรับ 2,666.66 บาท ให้คุมความประพฤติจำเลยเป็นเวลา 1 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟังแทนการลงโทษจำคุก โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ตามวันเวลาที่พนักงานคุมประพฤติกำหนด และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือสิ่งมึนเมาทุกชนิด และยินยอมให้ตรวจสารเสพติดให้โทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 166 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และโจทก์บรรยายฟ้องในส่วนของการขอเพิ่มโทษว่า ก่อนคดีนี้ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 2 ปี 16 เดือน 15 วัน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1325/2558 ของศาลจังหวัดเดชอุดม จำเลยพ้นโทษคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 ภายในกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ จำเลยกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีก ขอให้เพิ่มโทษจำคุกจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย โดยแนบข้อมูลทะเบียนราษฎร และรายละเอียดข้อมูลผู้ต้องขัง กรมราชทัณฑ์ ซึ่งระบุชัดเจนทั้งชื่อและชื่อสกุลจำเลย เลขประจำตัวประชาชนจำเลย ซึ่งมีข้อมูลว่าจำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาและพ้นโทษโดยปล่อยตัวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 กับมีรูปถ่ายจำเลยในเอกสารดังกล่าว ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วย เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา ถือได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องรวมถึงรับว่าจำเลยเคยต้องโทษและพ้นโทษในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้เพิ่มโทษดังกล่าวด้วยแล้ว เมื่อคดีนี้ศาลจะลงโทษถึงจำคุก จึงอยู่ในเงื่อนไขที่จะเพิ่มโทษแก่จำเลยหนึ่งในสามของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดคดีนี้ตาม ป.อ. มาตรา 92 และเมื่อจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเกิน 6 เดือน จึงไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ตาม ป.อ. มาตรา 56 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่เพิ่มโทษจำเลยและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยจึงไม่ชอบ อย่างไรก็ตาม คดีนี้จำเลยกระทำความผิดเสพเมทแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยและคดีที่จำเลยเคยต้องโทษมาก่อนเป็นการกระทำความผิดเมื่อปี 2558 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว อีกทั้งการลงโทษจำคุกในระยะสั้นไม่น่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคม จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวโดยนำเงื่อนไขเพื่อควบคุมความประพฤติตามมาตรา 56 แห่ง ป.อ. มาใช้แทนการลงโทษจำคุกตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 166
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1, 29, 104, 162 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 และเพิ่มโทษจำคุกจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จำคุก 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายในกำหนดเวลา 1 ปี และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ เป็นเวลา 12 ชั่วโมง ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษหรือสิ่งมึนเมาทุกชนิด และยินยอมให้ตรวจสารเสพติดให้โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่เพิ่มโทษจำเลยและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และโจทก์บรรยายฟ้องในส่วนของการขอเพิ่มโทษว่า ก่อนคดีนี้ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 2 ปี 16 เดือน 15 วัน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1325/2558 ของศาลจังหวัดเดชอุดม จำเลยพ้นโทษคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 ภายในกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ จำเลยกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีก ขอให้เพิ่มโทษจำคุกจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย โดยแนบข้อมูลทะเบียนราษฎร และรายละเอียดข้อมูลผู้ต้องขังกรมราชทัณฑ์ ซึ่งระบุชัดเจนทั้งชื่อและชื่อสกุลจำเลย เลขประจำตัวประชาชนจำเลย ซึ่งมีข้อมูลว่าจำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาและพ้นโทษโดยปล่อยตัวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 กับมีรูปถ่ายจำเลยในเอกสารดังกล่าว ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วย เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา ถือได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องรวมถึงรับว่าจำเลยเคยต้องโทษและพ้นโทษในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้เพิ่มโทษดังกล่าวด้วยแล้ว เมื่อคดีนี้ศาลจะลงโทษถึงจำคุก จึงอยู่ในเงื่อนไขที่จะเพิ่มโทษแก่จำเลยหนึ่งในสามของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 และเมื่อจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเกิน 6 เดือน จึงไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่เพิ่มโทษจำเลยและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยจึงไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม คดีนี้จำเลยกระทำความผิดเสพเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยและคดีที่จำเลยเคยต้องโทษมาก่อนเป็นการกระทำความผิดเมื่อปี 2558 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว อีกทั้งการลงโทษจำคุกในระยะสั้นไม่น่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคม จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวโดยนำเงื่อนไขเพื่อควบคุมความประพฤติตามมาตรา 56 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาใช้แทนการลงโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 166
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จำคุก 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 2 เดือน 20 วัน และปรับ 5,333.33 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน 10 วัน และปรับ 2,666.66 บาท ให้คุมความประพฤติจำเลยเป็นเวลา 1 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟังแทนการลงโทษจำคุก โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ตามวันเวลาที่พนักงานคุมประพฤติกำหนด และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือสิ่งมึนเมาทุกชนิด และยินยอมให้ตรวจสารเสพติดให้โทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 166 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
ในการเสนอคำฟ้องนั้น ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) บัญญัติว่า "คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่" คำว่า "มูลคดี" หมายถึง เหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้อง มูลคดีของเรื่องนี้เป็นเรื่องสัญญาซื้อขาย การที่จำเลยที่ 2 หรือพนักงานร้าน บ. ของจำเลยที่ 2 โทรศัพท์สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 356 บัญญัติให้ถือว่าเป็นคำเสนอแก่บุคคลผู้อยู่เฉพาะหน้าด้วยเช่นกันนั้น คงมีผลแต่เพียงว่า การที่บุคคลคนหนึ่งทำคำเสนอไปยังบุคคลอีกคนหนึ่งทางโทรศัพท์ดังกล่าว หากมิได้บ่งระยะเวลาให้ทำคำสนองไว้ เสนอ ณ ที่ใดเวลาใดก็ย่อมจะสนองรับได้แต่ ณ ที่นั้นเวลานั้นเท่านั้น มิได้บัญญัติไปถึงกับให้ถือว่าขณะนั้นทั้งผู้เสนอและผู้สนองอยู่ในสถานที่เดียวกันด้วย ข้อเท็จจริงยังคงต้องฟังว่า ขณะมีการเจรจาตกลงทำสัญญาซื้อขายรายนี้ จำเลยที่ 2 หรือพนักงานร้าน บ. ของจำเลยที่ 2 เจรจาอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนโจทก์เจรจาอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ดังนั้น ทั้งจังหวัดสมุทรปราการที่โจทก์อยู่และจังหวัดกาญจนบุรีที่จำเลยที่ 2 อยู่ จึงต่างเป็นสถานที่ก่อให้เกิดสัญญาซื้อขายรายนี้ร่วมกัน โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้น (ศาลแขวงสมุทรปราการ) อันเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลได้ การที่จำเลยที่ 2 ผู้เสนอได้รับคำสนองรับจากโจทก์นั้นเป็นแต่เพียงข้อพิจารณาว่าสัญญาเกิดขึ้นแล้วหรือไม่เท่านั้น มิได้ทำให้สถานที่ที่จำเลยที่ 2 อยู่เป็นสถานที่มูลคดีเกิดเพียงแห่งเดียวแต่อย่างใด
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 151,187.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 113,168 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 113,168 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 กันยายน 2561 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีสำนักงานตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น (ศาลแขวงสมุทรปราการ) จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของร้าน บ. ประกอบธุรกิจจำหน่ายยางรถยนต์ ตั้งอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดกาญจนบุรี การติดต่อสั่งซื้อสินค้าทั้งหมดตามฟ้อง จำเลยที่ 2 หรือพนักงานร้าน บ. ของจำเลยที่ 2 โทรศัพท์สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ หากโจทก์มีสินค้าก็จะตอบตกลงขายให้ทางโทรศัพท์ โดยโจทก์ออกหลักฐานสำเนาใบกำกับภาษี/สำเนาใบกำกับสินค้า อันเป็นหลักฐานการซื้อขายที่บริษัทโจทก์
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ฎีกามีประการเดียวว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้น (ศาลแขวงสมุทรปราการ) หรือไม่ เห็นว่า ในการเสนอคำฟ้องนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (1) บัญญัติว่า "คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่" คำว่า "มูลคดี" หมายถึง เหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้อง มูลคดีของเรื่องนี้เป็นเรื่องสัญญาซื้อขาย การที่จำเลยที่ 2 หรือพนักงานร้าน บ. ของจำเลยที่ 2 โทรศัพท์สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 356 บัญญัติให้ถือว่าเป็นคำเสนอแก่บุคคลผู้อยู่เฉพาะหน้าด้วยเช่นกันนั้น คงมีผลแต่เพียงว่า การที่บุคคลคนหนึ่งทำคำเสนอไปยังบุคคลอีกคนหนึ่งทางโทรศัพท์ดังกล่าว หากมิได้บ่งระยะเวลาให้ทำคำสนองไว้ เสนอ ณ ที่ใดเวลาใดก็ย่อมจะสนองรับได้แต่ ณ ที่นั้นเวลานั้นเท่านั้น มิได้บัญญัติไปถึงกับให้ถือว่าขณะนั้นทั้งผู้เสนอและผู้สนองอยู่ในสถานที่เดียวกันด้วย ข้อเท็จจริงยังคงต้องฟังว่า ขณะมีการเจรจาตกลงทำสัญญาซื้อขายรายนี้ จำเลยที่ 2 หรือพนักงานร้าน บ. ของจำเลยที่ 2 เจรจาอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนโจทก์เจรจาอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ดังนั้น ทั้งจังหวัดสมุทรปราการที่โจทก์อยู่และจังหวัดกาญจนบุรีที่จำเลยที่ 2 อยู่ จึงต่างเป็นสถานที่ก่อให้เกิดสัญญาซื้อขายรายนี้ร่วมกัน โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้น (ศาลแขวงสมุทรปราการ) อันเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลได้ การที่จำเลยที่ 2 ผู้เสนอได้รับคำสนองรับจากโจทก์นั้นเป็นแต่เพียงข้อพิจารณาว่าสัญญาเกิดขึ้นแล้วหรือไม่เท่านั้น มิได้ทำให้สถานที่ที่จำเลยที่ 2 อยู่เป็นสถานที่มูลคดีเกิดเพียงแห่งเดียวแต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาว่า โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้น (ศาลแขวงสมุทรปราการ) อันเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลได้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ในการเสนอคำฟ้องนั้น ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) บัญญัติว่า "คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่" คำว่า "มูลคดี" หมายถึง เหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้อง มูลคดีของเรื่องนี้เป็นเรื่องสัญญาซื้อขาย การที่จำเลยที่ 2 หรือพนักงานร้าน บ. ของจำเลยที่ 2 โทรศัพท์สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 356 บัญญัติให้ถือว่าเป็นคำเสนอแก่บุคคลผู้อยู่เฉพาะหน้าด้วยเช่นกันนั้น คงมีผลแต่เพียงว่า การที่บุคคลคนหนึ่งทำคำเสนอไปยังบุคคลอีกคนหนึ่งทางโทรศัพท์ดังกล่าว หากมิได้บ่งระยะเวลาให้ทำคำสนองไว้ เสนอ ณ ที่ใดเวลาใดก็ย่อมจะสนองรับได้แต่ ณ ที่นั้นเวลานั้นเท่านั้น มิได้บัญญัติไปถึงกับให้ถือว่าขณะนั้นทั้งผู้เสนอและผู้สนองอยู่ในสถานที่เดียวกันด้วย ข้อเท็จจริงยังคงต้องฟังว่า ขณะมีการเจรจาตกลงทำสัญญาซื้อขายรายนี้ จำเลยที่ 2 หรือพนักงานร้าน บ. ของจำเลยที่ 2 เจรจาอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนโจทก์เจรจาอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ดังนั้น ทั้งจังหวัดสมุทรปราการที่โจทก์อยู่และจังหวัดกาญจนบุรีที่จำเลยที่ 2 อยู่ จึงต่างเป็นสถานที่ก่อให้เกิดสัญญาซื้อขายรายนี้ร่วมกัน โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้น (ศาลแขวงสมุทรปราการ) อันเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลได้ การที่จำเลยที่ 2 ผู้เสนอได้รับคำสนองรับจากโจทก์นั้นเป็นแต่เพียงข้อพิจารณาว่าสัญญาเกิดขึ้นแล้วหรือไม่เท่านั้น มิได้ทำให้สถานที่ที่จำเลยที่ 2 อยู่เป็นสถานที่มูลคดีเกิดเพียงแห่งเดียวแต่อย่างใด
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 151,187.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 113,168 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 113,168 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 กันยายน 2561 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีสำนักงานตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น (ศาลแขวงสมุทรปราการ) จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของร้าน บ. ประกอบธุรกิจจำหน่ายยางรถยนต์ ตั้งอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดกาญจนบุรี การติดต่อสั่งซื้อสินค้าทั้งหมดตามฟ้อง จำเลยที่ 2 หรือพนักงานร้าน บ. ของจำเลยที่ 2 โทรศัพท์สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ หากโจทก์มีสินค้าก็จะตอบตกลงขายให้ทางโทรศัพท์ โดยโจทก์ออกหลักฐานสำเนาใบกำกับภาษี/สำเนาใบกำกับสินค้า อันเป็นหลักฐานการซื้อขายที่บริษัทโจทก์
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ฎีกามีประการเดียวว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้น (ศาลแขวงสมุทรปราการ) หรือไม่ เห็นว่า ในการเสนอคำฟ้องนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (1) บัญญัติว่า "คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่" คำว่า "มูลคดี" หมายถึง เหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้อง มูลคดีของเรื่องนี้เป็นเรื่องสัญญาซื้อขาย การที่จำเลยที่ 2 หรือพนักงานร้าน บ. ของจำเลยที่ 2 โทรศัพท์สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 356 บัญญัติให้ถือว่าเป็นคำเสนอแก่บุคคลผู้อยู่เฉพาะหน้าด้วยเช่นกันนั้น คงมีผลแต่เพียงว่า การที่บุคคลคนหนึ่งทำคำเสนอไปยังบุคคลอีกคนหนึ่งทางโทรศัพท์ดังกล่าว หากมิได้บ่งระยะเวลาให้ทำคำสนองไว้ เสนอ ณ ที่ใดเวลาใดก็ย่อมจะสนองรับได้แต่ ณ ที่นั้นเวลานั้นเท่านั้น มิได้บัญญัติไปถึงกับให้ถือว่าขณะนั้นทั้งผู้เสนอและผู้สนองอยู่ในสถานที่เดียวกันด้วย ข้อเท็จจริงยังคงต้องฟังว่า ขณะมีการเจรจาตกลงทำสัญญาซื้อขายรายนี้ จำเลยที่ 2 หรือพนักงานร้าน บ. ของจำเลยที่ 2 เจรจาอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนโจทก์เจรจาอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ดังนั้น ทั้งจังหวัดสมุทรปราการที่โจทก์อยู่และจังหวัดกาญจนบุรีที่จำเลยที่ 2 อยู่ จึงต่างเป็นสถานที่ก่อให้เกิดสัญญาซื้อขายรายนี้ร่วมกัน โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้น (ศาลแขวงสมุทรปราการ) อันเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลได้ การที่จำเลยที่ 2 ผู้เสนอได้รับคำสนองรับจากโจทก์นั้นเป็นแต่เพียงข้อพิจารณาว่าสัญญาเกิดขึ้นแล้วหรือไม่เท่านั้น มิได้ทำให้สถานที่ที่จำเลยที่ 2 อยู่เป็นสถานที่มูลคดีเกิดเพียงแห่งเดียวแต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาว่า โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้น (ศาลแขวงสมุทรปราการ) อันเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลได้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีฟ้องหย่าและแบ่งสินสมรสเรื่องก่อน กำหนดให้ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และจำเลยตกลงแบ่งเงินค่าเช่าที่เกิดจากการให้เช่าที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในอัตรา 40 ส่วน ใน 100 ส่วน ของค่าเช่าที่เกิดจากการให้เช่าจากบริษัท ป. หรือบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมตลอดไปจนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตาย ก่อให้เกิดหนี้ผูกพันระหว่างกันที่จำเลยจะต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามเงื่อนไขที่กำหนด แม้ไม่มีข้อกำหนดใดห้ามมิให้จำเลยขายที่ดินพิพาทในอันที่โจทก์จะนำมาใช้อ้างว่าจำเลยกระทำผิดข้อสัญญาประนีประนอมยอมความได้ และจำเลยในฐานะเจ้าของที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิขายที่ดินพิพาทได้อย่างอิสระก็ตาม แต่เมื่อในเวลาที่จำเลยขายที่ดินพิพาทนั้นโจทก์ยังไม่ถึงแก่ความตายอันเป็นเงื่อนไขซึ่งเป็นสาระสำคัญของข้อตกลงที่โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งของเงินค่าเช่าจนกว่าจะถึงแก่ความตาย ย่อมเป็นการทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจะทำได้ เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพื่อค่าเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้นั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 3,840,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 (ที่ถูก ร้อยละ 5 ต่อปี) นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 สิงหาคม 2564) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 2,000 บาท
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 30,000 บาท
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เดิมโจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยากัน ในปี 2559 โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยและแบ่งสินสมรสโจทก์กับจำเลยตกลงกันได้ มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์กับจำเลยตกลงหย่าขาดจากกันและแบ่งทรัพย์สินระหว่างกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2560 และศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดตาก (แม่สอด) มีคำพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ พด. 39/2560 ในข้อ 5 ของสัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่า โจทก์ตกลงมอบการครอบครองที่ดิน ภ.บ.ท. 5 (ที่ดินพิพาท) เลขสำรวจที่ 101/53 เนื้อที่ 20 ไร่ โดยเป็นชื่อของนางลัดดา (จำเลย) อยู่ ให้แก่จำเลย และในข้อ 6 ระบุว่า จำเลยตกลงมอบหรือแบ่งเงินค่าเช่าที่เกิดจากการเช่าที่ดิน ภ.บ.ท. 5 ...ตามข้อ 5 (ที่ดินพิพาท) แก่โจทก์ เป็นจำนวนอัตรา 40 ส่วน ใน 100 ส่วน ของค่าเช่าที่เกิดขึ้นจากการให้เช่ากับบริษัท ป. หรือบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมตลอดไปแก่โจทก์จนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตาย โดยจำเลยจะโอนเงินเข้าบัญชีโจทก์หลังได้รับค่าเช่าภายในเวลาอันควร หลังจากนั้นในวันที่ 26 ธันวาคม 2563 จำเลยได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่นายวรวัฒน์ ในราคา 8,500,000 บาท โจทก์จึงได้นำเหตุแห่งการขายที่ดินของจำเลยมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาวินิจฉัยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้วปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีก่อน ไม่มีข้อใดเลยที่ห้ามมิให้จำเลยขายที่ดินพิพาทแก่บุคคลภายนอก การที่จำเลยเจ้าของทรัพยสิทธิขายให้บุคคลภายนอกจึงเป็นการขายไปตามสิทธิที่ตนมีตามกฎหมายโดยชอบ โจทก์ไม่อาจอ้างว่าจำเลยจงใจทำให้การชำระหนี้ของจำเลยที่มีต่อโจทก์เป็นการพ้นวิสัยและไม่สุจริต การที่สัญญากำหนดให้จำเลยแบ่งเงินค่าเช่าให้โจทก์ตามอัตราส่วนของค่าเช่าที่เกิดจากการให้เช่าที่ดินพิพาทตลอดไปจนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตายนั้น เป็นเพียงกำหนดเงื่อนเวลาสิ้นสุดในการได้ส่วนแบ่งค่าเช่าเท่านั้น สิทธิของโจทก์ยังคงมีอยู่ต่อเมื่อจำเลยยังคงมีสิทธิครอบครองในที่ดินและมีการเช่าในที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยขายที่ดินพิพาทไป สิทธิของโจทก์ก็ระงับสิ้นตามไปเช่นกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีฟ้องหย่าและแบ่งสินสมรสเรื่องก่อน กำหนดให้ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และจำเลยตกลงแบ่งเงินค่าเช่าที่เกิดจากการให้เช่าที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในอัตรา 40 ส่วน ใน 100 ส่วน ของค่าเช่าที่เกิดขึ้นจากการให้เช่าจากบริษัท ป. หรือบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมตลอดไปจนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตาย ก่อให้เกิดหนี้ผูกพันระหว่างกันที่จำเลยจะต้องทำการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามเงื่อนไขที่กำหนด จริงอยู่แม้จะไม่มีข้อกำหนดใดห้ามมิให้จำเลยขายที่ดินพิพาทในอันที่โจทก์จะนำมาใช้อ้างว่าจำเลยกระทำผิดข้อสัญญาประนีประนอมยอมความได้ และจำเลยในฐานะเจ้าของที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิขายที่ดินพิพาทได้อย่างอิสระก็ตาม แต่เมื่อในเวลาที่จำเลยขายที่ดินพิพาทนั้นโจทก์ยังไม่ถึงแก่ความตายอันเป็นเงื่อนไขซึ่งเป็นสาระสำคัญของข้อตกลงที่โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งของเงินค่าเช่าจนกว่าจะถึงแก่ความตาย จึงเป็นการทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจะทำได้ เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพื่อค่าเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้นั้น ดังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 218 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาวินิจฉัยประการหลังว่า โจทก์ควรได้รับค่าเสียหายเพียงใด เห็นว่า การจะมีชีวิตดำรงอยู่นานเพียงใดเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ทั้งหากไม่มีการขายที่ดินพิพาทการจะมีผู้เช่าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอีกต่อไปหรือไม่ เช่านานเพียงใด ก็ไม่แน่นอนอีกเช่นกัน โจทก์เองก็รับมาในฎีกาว่าหากไม่มีการเช่าในที่ดินพิพาท โจทก์จะไม่มีสิทธิได้รับเงินส่วนแบ่งแต่อย่างใด ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นคำนึงถึงอายุของโจทก์และโอกาสความเป็นไปได้ที่จะมีการเช่าที่ดินพิพาทแล้วกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 1,000,000 บาท นั้น นับว่าเหมาะสมชอบด้วยรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลต่างให้เป็นพับกันไป
ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีฟ้องหย่าและแบ่งสินสมรสเรื่องก่อน กำหนดให้ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และจำเลยตกลงแบ่งเงินค่าเช่าที่เกิดจากการให้เช่าที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในอัตรา 40 ส่วน ใน 100 ส่วน ของค่าเช่าที่เกิดจากการให้เช่าจากบริษัท ป. หรือบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมตลอดไปจนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตาย ก่อให้เกิดหนี้ผูกพันระหว่างกันที่จำเลยจะต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามเงื่อนไขที่กำหนด แม้ไม่มีข้อกำหนดใดห้ามมิให้จำเลยขายที่ดินพิพาทในอันที่โจทก์จะนำมาใช้อ้างว่าจำเลยกระทำผิดข้อสัญญาประนีประนอมยอมความได้ และจำเลยในฐานะเจ้าของที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิขายที่ดินพิพาทได้อย่างอิสระก็ตาม แต่เมื่อในเวลาที่จำเลยขายที่ดินพิพาทนั้นโจทก์ยังไม่ถึงแก่ความตายอันเป็นเงื่อนไขซึ่งเป็นสาระสำคัญของข้อตกลงที่โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งของเงินค่าเช่าจนกว่าจะถึงแก่ความตาย ย่อมเป็นการทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจะทำได้ เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพื่อค่าเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้นั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 3,840,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 (ที่ถูก ร้อยละ 5 ต่อปี) นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 สิงหาคม 2564) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 2,000 บาท
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 30,000 บาท
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เดิมโจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยากัน ในปี 2559 โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยและแบ่งสินสมรสโจทก์กับจำเลยตกลงกันได้ มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์กับจำเลยตกลงหย่าขาดจากกันและแบ่งทรัพย์สินระหว่างกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2560 และศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดตาก (แม่สอด) มีคำพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ พด. 39/2560 ในข้อ 5 ของสัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่า โจทก์ตกลงมอบการครอบครองที่ดิน ภ.บ.ท. 5 (ที่ดินพิพาท) เลขสำรวจที่ 101/53 เนื้อที่ 20 ไร่ โดยเป็นชื่อของนางลัดดา (จำเลย) อยู่ ให้แก่จำเลย และในข้อ 6 ระบุว่า จำเลยตกลงมอบหรือแบ่งเงินค่าเช่าที่เกิดจากการเช่าที่ดิน ภ.บ.ท. 5 ...ตามข้อ 5 (ที่ดินพิพาท) แก่โจทก์ เป็นจำนวนอัตรา 40 ส่วน ใน 100 ส่วน ของค่าเช่าที่เกิดขึ้นจากการให้เช่ากับบริษัท ป. หรือบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมตลอดไปแก่โจทก์จนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตาย โดยจำเลยจะโอนเงินเข้าบัญชีโจทก์หลังได้รับค่าเช่าภายในเวลาอันควร หลังจากนั้นในวันที่ 26 ธันวาคม 2563 จำเลยได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่นายวรวัฒน์ ในราคา 8,500,000 บาท โจทก์จึงได้นำเหตุแห่งการขายที่ดินของจำเลยมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาวินิจฉัยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้วปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีก่อน ไม่มีข้อใดเลยที่ห้ามมิให้จำเลยขายที่ดินพิพาทแก่บุคคลภายนอก การที่จำเลยเจ้าของทรัพยสิทธิขายให้บุคคลภายนอกจึงเป็นการขายไปตามสิทธิที่ตนมีตามกฎหมายโดยชอบ โจทก์ไม่อาจอ้างว่าจำเลยจงใจทำให้การชำระหนี้ของจำเลยที่มีต่อโจทก์เป็นการพ้นวิสัยและไม่สุจริต การที่สัญญากำหนดให้จำเลยแบ่งเงินค่าเช่าให้โจทก์ตามอัตราส่วนของค่าเช่าที่เกิดจากการให้เช่าที่ดินพิพาทตลอดไปจนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตายนั้น เป็นเพียงกำหนดเงื่อนเวลาสิ้นสุดในการได้ส่วนแบ่งค่าเช่าเท่านั้น สิทธิของโจทก์ยังคงมีอยู่ต่อเมื่อจำเลยยังคงมีสิทธิครอบครองในที่ดินและมีการเช่าในที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยขายที่ดินพิพาทไป สิทธิของโจทก์ก็ระงับสิ้นตามไปเช่นกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีฟ้องหย่าและแบ่งสินสมรสเรื่องก่อน กำหนดให้ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และจำเลยตกลงแบ่งเงินค่าเช่าที่เกิดจากการให้เช่าที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในอัตรา 40 ส่วน ใน 100 ส่วน ของค่าเช่าที่เกิดขึ้นจากการให้เช่าจากบริษัท ป. หรือบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมตลอดไปจนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตาย ก่อให้เกิดหนี้ผูกพันระหว่างกันที่จำเลยจะต้องทำการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามเงื่อนไขที่กำหนด จริงอยู่แม้จะไม่มีข้อกำหนดใดห้ามมิให้จำเลยขายที่ดินพิพาทในอันที่โจทก์จะนำมาใช้อ้างว่าจำเลยกระทำผิดข้อสัญญาประนีประนอมยอมความได้ และจำเลยในฐานะเจ้าของที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิขายที่ดินพิพาทได้อย่างอิสระก็ตาม แต่เมื่อในเวลาที่จำเลยขายที่ดินพิพาทนั้นโจทก์ยังไม่ถึงแก่ความตายอันเป็นเงื่อนไขซึ่งเป็นสาระสำคัญของข้อตกลงที่โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งของเงินค่าเช่าจนกว่าจะถึงแก่ความตาย จึงเป็นการทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจะทำได้ เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพื่อค่าเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้นั้น ดังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 218 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาวินิจฉัยประการหลังว่า โจทก์ควรได้รับค่าเสียหายเพียงใด เห็นว่า การจะมีชีวิตดำรงอยู่นานเพียงใดเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ทั้งหากไม่มีการขายที่ดินพิพาทการจะมีผู้เช่าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอีกต่อไปหรือไม่ เช่านานเพียงใด ก็ไม่แน่นอนอีกเช่นกัน โจทก์เองก็รับมาในฎีกาว่าหากไม่มีการเช่าในที่ดินพิพาท โจทก์จะไม่มีสิทธิได้รับเงินส่วนแบ่งแต่อย่างใด ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นคำนึงถึงอายุของโจทก์และโอกาสความเป็นไปได้ที่จะมีการเช่าที่ดินพิพาทแล้วกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 1,000,000 บาท นั้น นับว่าเหมาะสมชอบด้วยรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลต่างให้เป็นพับกันไป
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1734 บัญญัติว่า "เจ้าหนี้กองมรดกชอบแต่จะได้รับการชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น" การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์และต่อมาจำเลยถึงแก่ความตาย ถือได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกของจำเลยตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องและต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม ที่ดินพิพาทยังมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของจำเลย ดังนี้ แม้ที่ดินพิพาทจะโอนใส่ชื่อ พ. ทายาทจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แล้วก็ตาม แต่ พ. เพิ่งรับโอนที่ดินพิพาทมาหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมและคดีอยู่ในระหว่างการบังคับคดี ตราบใดที่โจทก์เจ้าหนี้กองมรดกยังไม่ได้รับชำระหนี้ ให้ถือว่าที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกยังคงอยู่ในระหว่างจัดการตาม ป.พ.พ. มาตรา 1736 การที่ พ. รับโอนที่ดินพิพาทมาไม่มีผลทำให้ที่ดินพิพาทพ้นจากสภาพการเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของจำเลยที่จะต้องรับผิดชำระหนี้สินของจำเลยให้แก่เจ้าหนี้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้กองมรดกย่อมมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากที่ดินพิพาทโดยไม่จำต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจยึดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของจำเลยมาบังคับคดีได้
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ให้จำเลยชำระเงิน 195,066 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 167,200 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือนไม่น้อยกว่าเดือนละ 2,000 บาท จำเลยจะชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ต่อมาวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 จำเลยถึงแก่ความตาย วันที่ 21 ธันวาคม 2564 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษา วันที่ 19 มกราคม 2565 นางสาวพรไพรินทร์ จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 10922 จากจำเลยเป็นของนางสาวพรไพรินทร์ ต่อมาวันที่ 25 มกราคม 2565 ผู้แทนโจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาท ซึ่งมีชื่อนางสาวพรไพรินทร์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว จึงไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการกับที่ดินพิพาท
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 10922 ในฐานะกองมรดกของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เพื่อนำที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบังคับคดีว่า เมื่อที่ดินพิพาทที่ผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแถลงนำยึดมีชื่อนางสาวพรไพรินทร์ บุคคลอื่นเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1373 (ที่ถูก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373) บัญญัติว่า ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง และการที่ผู้แทนโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอยึดอสังหาริมทรัพย์พร้อมนำส่งสำเนาโฉนดที่ดินที่เจ้าพนักงานรับรองไม่เกิน 1 เดือน อันถือเป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นหรือรับรอง หรือสำเนาอันรับรองถูกต้องแห่งเอกสารนั้น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 จึงแสดงให้เห็นว่าที่ดินพิพาทที่ผู้แทนโจทก์ประสงค์นำยึดมีชื่อบุคคลอื่นที่ไม่ใช่จำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นผู้มีชื่อในทะเบียน เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเชื่อได้ว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ดังนั้น จึงไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการกับที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงิน 195,066 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 167,200 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 จำเลยถึงแก่ความตาย วันที่ 21 ธันวาคม 2564 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษา วันที่ 19 มกราคม 2565 นางสาวพรไพรินทร์ บุตรจำเลยจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 10922 จากจำเลย วันที่ 25 มกราคม 2565 ผู้แทนโจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทซึ่งเดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว จึงไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการกับที่ดินพิพาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจยึดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1734 บัญญัติว่า "เจ้าหนี้กองมรดกชอบแต่จะได้รับการชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น" การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์และต่อมาจำเลยถึงแก่ความตาย ถือได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกของจำเลยตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องและต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม ที่ดินพิพาทยังมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของจำเลย ดังนี้ แม้ที่ดินพิพาทจะโอนใส่ชื่อนางสาวพรไพรินทร์ทายาทจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แล้วก็ตาม แต่นางสาวพรไพรินทร์เพิ่งรับโอนที่ดินพิพาทมาหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมและคดีอยู่ในระหว่างการบังคับคดี ตราบใดที่โจทก์เจ้าหนี้กองมรดกยังไม่ได้รับชำระหนี้ ให้ถือว่าที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกยังคงอยู่ในระหว่างจัดการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1736 การที่นางสาวพรไพรินทร์รับโอนที่ดินพิพาทมาไม่มีผลทำให้ที่ดินพิพาทพ้นจากสภาพการเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของจำเลยที่จะต้องรับผิดชำระหนี้สินของจำเลยให้แก่เจ้าหนี้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้กองมรดกย่อมมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากที่ดินพิพาท โดยไม่จำต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจยึดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของจำเลยมาบังคับคดีได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 10922 เพื่อดำเนินการบังคับคดีต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1734 บัญญัติว่า "เจ้าหนี้กองมรดกชอบแต่จะได้รับการชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น" การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์และต่อมาจำเลยถึงแก่ความตาย ถือได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกของจำเลยตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องและต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม ที่ดินพิพาทยังมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของจำเลย ดังนี้ แม้ที่ดินพิพาทจะโอนใส่ชื่อ พ. ทายาทจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แล้วก็ตาม แต่ พ. เพิ่งรับโอนที่ดินพิพาทมาหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมและคดีอยู่ในระหว่างการบังคับคดี ตราบใดที่โจทก์เจ้าหนี้กองมรดกยังไม่ได้รับชำระหนี้ ให้ถือว่าที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกยังคงอยู่ในระหว่างจัดการตาม ป.พ.พ. มาตรา 1736 การที่ พ. รับโอนที่ดินพิพาทมาไม่มีผลทำให้ที่ดินพิพาทพ้นจากสภาพการเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของจำเลยที่จะต้องรับผิดชำระหนี้สินของจำเลยให้แก่เจ้าหนี้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้กองมรดกย่อมมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากที่ดินพิพาทโดยไม่จำต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจยึดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของจำเลยมาบังคับคดีได้
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ให้จำเลยชำระเงิน 195,066 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 167,200 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือนไม่น้อยกว่าเดือนละ 2,000 บาท จำเลยจะชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ต่อมาวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 จำเลยถึงแก่ความตาย วันที่ 21 ธันวาคม 2564 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษา วันที่ 19 มกราคม 2565 นางสาวพรไพรินทร์ จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 10922 จากจำเลยเป็นของนางสาวพรไพรินทร์ ต่อมาวันที่ 25 มกราคม 2565 ผู้แทนโจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาท ซึ่งมีชื่อนางสาวพรไพรินทร์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว จึงไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการกับที่ดินพิพาท
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 10922 ในฐานะกองมรดกของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เพื่อนำที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบังคับคดีว่า เมื่อที่ดินพิพาทที่ผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแถลงนำยึดมีชื่อนางสาวพรไพรินทร์ บุคคลอื่นเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1373 (ที่ถูก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373) บัญญัติว่า ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง และการที่ผู้แทนโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอยึดอสังหาริมทรัพย์พร้อมนำส่งสำเนาโฉนดที่ดินที่เจ้าพนักงานรับรองไม่เกิน 1 เดือน อันถือเป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นหรือรับรอง หรือสำเนาอันรับรองถูกต้องแห่งเอกสารนั้น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 จึงแสดงให้เห็นว่าที่ดินพิพาทที่ผู้แทนโจทก์ประสงค์นำยึดมีชื่อบุคคลอื่นที่ไม่ใช่จำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นผู้มีชื่อในทะเบียน เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเชื่อได้ว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ดังนั้น จึงไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการกับที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงิน 195,066 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 167,200 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 จำเลยถึงแก่ความตาย วันที่ 21 ธันวาคม 2564 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษา วันที่ 19 มกราคม 2565 นางสาวพรไพรินทร์ บุตรจำเลยจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 10922 จากจำเลย วันที่ 25 มกราคม 2565 ผู้แทนโจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทซึ่งเดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว จึงไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการกับที่ดินพิพาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจยึดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1734 บัญญัติว่า "เจ้าหนี้กองมรดกชอบแต่จะได้รับการชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น" การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์และต่อมาจำเลยถึงแก่ความตาย ถือได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกของจำเลยตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องและต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม ที่ดินพิพาทยังมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของจำเลย ดังนี้ แม้ที่ดินพิพาทจะโอนใส่ชื่อนางสาวพรไพรินทร์ทายาทจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แล้วก็ตาม แต่นางสาวพรไพรินทร์เพิ่งรับโอนที่ดินพิพาทมาหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมและคดีอยู่ในระหว่างการบังคับคดี ตราบใดที่โจทก์เจ้าหนี้กองมรดกยังไม่ได้รับชำระหนี้ ให้ถือว่าที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกยังคงอยู่ในระหว่างจัดการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1736 การที่นางสาวพรไพรินทร์รับโอนที่ดินพิพาทมาไม่มีผลทำให้ที่ดินพิพาทพ้นจากสภาพการเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของจำเลยที่จะต้องรับผิดชำระหนี้สินของจำเลยให้แก่เจ้าหนี้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้กองมรดกย่อมมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากที่ดินพิพาท โดยไม่จำต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจยึดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของจำเลยมาบังคับคดีได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 10922 เพื่อดำเนินการบังคับคดีต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
แม้ในคดีก่อนศาลพิพากษาให้รื้อถอนกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่ปิดทางภาระจำยอมออก มิได้ระบุให้รื้อถอนหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาปูนด้วย แต่ก่อนทำการรื้อถอนเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือแจ้งข้อเท็จจริงต่อศาลชั้นต้นว่าขณะเข้าทำการรื้อถอนพบว่ากำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่จะต้องรื้อถอนกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านโจทก์ และขอหารือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการรื้อถอนต่อไปได้หรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นเห็นว่าเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทตกเป็นภาระจำยอม ให้โจทก์รื้อถอนกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่ปิดทางภาระจำยอมทั้งหมดออก ย่อมมีความหมายว่าโจทก์ในฐานะเจ้าของภารยทรัพย์ไม่สามารถกระทำการใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงสามารถรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เชื่อมต่อกับกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่โจทก์ทำการก่อสร้างขึ้นใหม่ในระหว่างการพิจารณาได้ และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่รุกล้ำทางภาระจำยอมต่อไป โจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด การรื้อถอนหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาปูนของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่เป็นการบังคับคดีที่เกินไปกว่าคำพิพากษาอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่อย่างใด
ป.วิ.พ. มาตรา 296 เบญจ วรรคสอง (เดิม) กำหนดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศกำหนดการรื้อถอนไว้ ณ บริเวณที่จะทำการรื้อถอนไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ก็เพื่อให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ทราบว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจะเริ่มทำการรื้อถอนในวันใดเท่านั้น หาใช่ว่าจะต้องทำการปิดประกาศให้ทราบล่วงหน้าทุกครั้งที่จะเข้าทำการรื้อถอนไม่ เมื่อได้ความว่าในวันที่ 7 ตุลาคม 2557 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปิดประกาศแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจะเริ่มทำการรื้อถอนในวันที่ 29 ตุลาคม 2557 และหรือในวันต่อ ๆ ไปจนกว่าจะทำการแล้วเสร็จ เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมสามารถทำการรื้อถอนในวันดังกล่าวและวันต่อมาได้โดยไม่จำต้องปิดประกาศแจ้งกำหนดนัดรื้อถอนให้โจทก์ทราบใหม่ทุกครั้ง การที่จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ร้องขอและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางภาระจำยอมจึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย มิได้กระทำโดยจงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นละเมิด จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอบังคับให้ยกเลิกหรือเพิกถอนภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 31001 หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงภาระจำยอมในที่ดินดังกล่าวให้เหลือขนาดความกว้างไม่เกิน 1.50 เมตร หากจำเลยทั้งสิบเอ็ดไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 1,257,650 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชำระเงินค่าเสียหายเดือนละ 30,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสิบเอ็ดจะหยุดการกระทำละเมิดต่อโจทก์และจดทะเบียนยกเลิกหรือเพิกถอนการใช้ทางภาระจำยอม
จำเลยทั้งสิบเอ็ดให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 31001 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 799 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 30640 จำเลยที่ 3 เป็นทายาทของนางสมศรี และเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 30641 จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 30642 จำเลยที่ 5 และที่ 6 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3572 จำเลยที่ 7 และที่ 8 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 11692 จำเลยที่ 9 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 30824 และ 30825 จำเลยที่ 10 และที่ 11 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 12956 จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 นางสำราญ และนางสาวรัตนา กับพวกเคยยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้น เป็นคดีหมายเลขแดงที่ 879/2547 คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 31001 จากแนวเขตที่ดินทางด้านทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออกกว้าง 4 เมตร ยาวตลอดแนวจากแนวเขตที่ดินทางด้านทิศเหนือไปจดแนวเขตที่ดินทางด้านทิศใต้เป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 799, 30639 ถึง 30642, 3572, 11692, 30579, 30824, 30825, 12962 และ 12956 ให้จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนี้รื้อถอนกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่ปิดกั้นทางภาระจำยอมทั้งหมดออก และให้จดทะเบียนที่ดินเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินดังกล่าว หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา โจทก์ยื่นคำร้องวันที่ 4 มกราคม 2556 ขอให้ย้ายทางภาระจำยอมโดยอ้างว่าหากต้องดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ปิดกั้นทางภาระจำยอมกว้าง 4 เมตร ตามคำพิพากษาศาลฎีกาต้องรื้อถอนเสาหลักของอาคาร 3 ชั้น ซึ่งเป็นโครงสร้างของบ้านโจทก์ จะเป็นผลให้บ้านทั้งหลังพังทลายลงมา ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนแล้วมีคำสั่งเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2556 ให้ยกคำร้อง โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 จึงร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการบังคับคดี โดยในวันที่ 7 ตุลาคม 2557 เจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดประกาศกำหนดวันทำการรื้อถอนในวันที่ 29 ตุลาคม 2557 โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 27 ตุลาคม 2557 ขอให้ระงับการรื้อถอน อ้างว่ากำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกดังกล่าวกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านโจทก์ หากทำการรื้อถอนจะทำให้โครงสร้างบ้านเป็นอันตรายและเสียหาย เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีหนังสือหารือการบังคับคดีว่าศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่ปิดทางภาระจำยอมออก แต่ปัจจุบันกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกดังกล่าวกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านโจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทำการรื้อถอนได้หรือไม่ ศาลชั้นต้นนัดพร้อมคู่ความเพื่อสอบข้อเท็จจริงในวันที่ 28 มกราคม 2558 แล้วมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำทางภาระจำยอมต่อไป โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำทางภาระจำยอมในวันที่ 30 มกราคม 2560 วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2560 และวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 ได้บางส่วน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อ 2.1 และ 2.2 ซึ่งเห็นควรวินิจฉัยไปในคราวเดียวกันว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ การรื้อถอนหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นการบังคับคดีเกินกว่าคำพิพากษาและเป็นเหตุให้โครงสร้างบ้านโจทก์เป็นอันตรายหรือไม่ โจทก์ทราบประกาศวันนัดรื้อถอนของเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือไม่ และมีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้ทางภาระจำยอมมีความกว้างเกินกว่า 4 เมตร ซึ่งเกินกว่าคำพิพากษาศาลฎีกาหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดจากกระทำละเมิดอันเนื่องมาจากการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย โดยกล่าวอ้างว่าในระหว่างการบังคับคดีในคดีก่อน จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ร้องขอและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการรื้อถอนหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาปูนซึ่งเกินเลยไปจากคำพิพากษา จนเป็นเหตุให้บ้านโจทก์เกิดอันตราย โดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบวันเข้าทำการรื้อถอนล่วงหน้า รวมทั้งทำการเปิดทางภาระจำยอมมีความกว้างเกินกว่าคำพิพากษา อันเป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายอันเป็นละเมิด ขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ โจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีอันเนื่องมาจากการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 วรรคสอง ซึ่งหากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง ก็ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ความรับผิดเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นย่อมตกแก่จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ร้องขอให้ทำการรื้อถอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นคดีนี้ได้ แต่การกระทำละเมิดอันเนื่องมาจากการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายในกรณีนี้จะต้องเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ถูกบังคับคดี เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 เบญจ วรรคหนึ่ง (เดิม) บัญญัติให้การบังคับคดีในกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลกำหนดให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างจะต้องกระทำโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีเท่านั้น การที่จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ร้องขอและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการบังคับคดีรื้อถอนกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่ปิดกั้นทางภาระจำยอมทั้งหมดออกตามคำพิพากษาในคดีก่อนจึงเป็นการใช้สิทธิในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แม้ในคดีก่อนศาลพิพากษาให้รื้อถอนกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่ปิดทางภาระจำยอมออก มิได้ระบุให้รื้อถอนหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาปูนด้วย แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าก่อนทำการรื้อถอนเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือแจ้งข้อเท็จจริงต่อศาลชั้นต้นว่าขณะเข้าทำการรื้อถอนพบว่ากำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่จะต้องรื้อถอนกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านโจทก์ และขอหารือการบังคับคดีว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการรื้อถอนต่อไปได้หรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทตกเป็นภาระจำยอม ให้โจทก์รื้อถอนกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่ปิดทางภาระจำยอมทั้งหมดออก ย่อมมีความหมายว่าโจทก์ในฐานะเจ้าของภารยทรัพย์ไม่สามารถกระทำการใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงสามารถรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เชื่อมต่อกับกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่โจทก์ทำการก่อสร้างขึ้นใหม่ในระหว่างการพิจารณาได้ และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่รุกล้ำทางภาระจำยอมต่อไป โจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยให้เหตุผลว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กที่เชื่อมต่อกับกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกออกไปได้ ไม่เป็นการกลับหรือแก้ไขคำพิพากษา หรือเป็นการบังคับคดีเกินไปกว่าคำพิพากษา คดีถึงที่สุด การรื้อถอนหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาปูนของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่เป็นการบังคับคดีที่เกินไปกว่าคำพิพากษาอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่อย่างใด และเมื่อโจทก์คดีนี้เป็นคนเดียวกับจำเลยในคดีก่อน และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ในคดีนี้ เป็นคนเดียวกับโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 6 โจทก์ที่ 9 โจทก์ที่ 11 และโจทก์ที่ 12 ในคดีก่อน ทั้งหมดจึงเป็นคู่ความเดียวกัน คำพิพากษาศาลฎีกา คำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดแล้วดังกล่าว จึงย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ต้องถือว่าการที่จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ร้องขอและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการรื้อถอนหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กที่เชื่อมต่อกับกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกไม่เป็นการบังคับคดีที่เกินเลยไปกว่าคำพิพากษาอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่อย่างใด ส่วนที่โจทก์อ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่พฤติการณ์ในการรื้อถอนจนเป็นเหตุให้บ้านของโจทก์เป็นอันตรายได้รับความเสียหายนั้น กลับได้ความจากรายงานผลการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า ในวันที่ 30 มกราคม 2560 และ 3 กุมภาพันธ์ 2560 จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการรื้อถอน แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้สั่งหยุดการรื้อถอนเนื่องจากเห็นว่าอุปกรณ์ที่ใช้ทำการรื้อถอนไม่เหมาะสมกับสภาพของทรัพย์ และยังไม่มีวิศวกรควบคุมการรื้อถอน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ตัวบ้านเกินสมควร แต่การรื้อถอนในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าอุปกรณ์ที่ใช้ทำการรื้อถอนมีความเหมาะสมกับสภาพทรัพย์และมีวิศวกรมาคอยควบคุมการรื้อถอนด้วย จึงอนุญาตให้ทำการรื้อถอน โดยในการรื้อถอนมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินอื่นใด พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่พฤติการณ์ในการรื้อถอนแล้ว และหากเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่พฤติการณ์ในการรื้อถอนจนเป็นเหตุให้บ้านของโจทก์เป็นอันตรายได้รับความเสียหายตามที่โจทก์กล่าวอ้าง โจทก์คงทำการโต้แย้งคัดค้านในขณะที่ทำการรื้อถอนแล้ว เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านในขณะที่ทำการรื้อถอน เพิ่งจะมากล่าวอ้างในคดีนี้หลังจากการรื้อถอนผ่านไปเป็นเวลากว่าสามปี จึงยังฟังไม่ได้แน่ชัดว่าความเสียหายที่เกิดกับตัวบ้านที่โจทก์นำสืบมาเกิดจากการรื้อถอนของเจ้าพนักงานบังคับคดี ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่พฤติการณ์ในการรื้อถอน เป็นเหตุให้โครงสร้างบ้านของโจทก์ได้รับความเสียหายจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง และที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 นำเจ้าพนักงานบังคับเข้าทำการรื้อถอนโดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้านั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 เบญจ วรรคสอง (เดิม) กำหนดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศกำหนดการรื้อถอนไว้ ณ บริเวณที่จะทำการรื้อถอนไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ก็เพื่อให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ทราบว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจะเริ่มทำการรื้อถอนในวันใดเท่านั้น หาใช่ว่าจะต้องทำการปิดประกาศให้ทราบล่วงหน้าทุกครั้งที่จะเข้าทำการรื้อถอนไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าในวันที่ 7 ตุลาคม 2557 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปิดประกาศแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจะเริ่มทำการรื้อถอนในวันที่ 29 ตุลาคม 2557 และหรือในวันต่อ ๆ ไปจนกว่าจะทำการแล้วเสร็จ แล้วโจทก์ไปยื่นคำร้องลงวันที่ 27 ตุลาคม 2557 ต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งระงับการรื้อถอนโดยฉุกเฉิน แต่ศาลยกคำร้อง ถือได้ว่าโจทก์ทราบกำหนดวันนัดเริ่มรื้อถอนของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยชอบแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมสามารถทำการรื้อถอนในวันดังกล่าวและวันต่อมาได้โดยไม่จำต้องปิดประกาศแจ้งกำหนดนัดรื้อถอนให้โจทก์ทราบใหม่ทุกครั้ง ส่วนที่โจทก์อ้างว่ามีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้ทางภาระจำยอมมีความกว้างเกินกว่า 4 เมตร ซึ่งเกินกว่าคำพิพากษาศาลฎีกานั้น โจทก์เพียงกล่าวอ้างไว้ลอย ๆ โดยมิได้นำสืบพยานหลักฐานใดให้เห็นจริงตามที่กล่าวอ้าง ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการบังคับคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางภาระจำยอมโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย การที่จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ร้องขอและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางภาระจำยอมจึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย มิได้กระทำโดยจงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นละเมิด จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาโจทก์ข้อ 2.1 และ 2.2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
แม้ในคดีก่อนศาลพิพากษาให้รื้อถอนกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่ปิดทางภาระจำยอมออก มิได้ระบุให้รื้อถอนหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาปูนด้วย แต่ก่อนทำการรื้อถอนเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือแจ้งข้อเท็จจริงต่อศาลชั้นต้นว่าขณะเข้าทำการรื้อถอนพบว่ากำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่จะต้องรื้อถอนกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านโจทก์ และขอหารือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการรื้อถอนต่อไปได้หรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นเห็นว่าเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทตกเป็นภาระจำยอม ให้โจทก์รื้อถอนกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่ปิดทางภาระจำยอมทั้งหมดออก ย่อมมีความหมายว่าโจทก์ในฐานะเจ้าของภารยทรัพย์ไม่สามารถกระทำการใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงสามารถรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เชื่อมต่อกับกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่โจทก์ทำการก่อสร้างขึ้นใหม่ในระหว่างการพิจารณาได้ และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่รุกล้ำทางภาระจำยอมต่อไป โจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด การรื้อถอนหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาปูนของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่เป็นการบังคับคดีที่เกินไปกว่าคำพิพากษาอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่อย่างใด
ป.วิ.พ. มาตรา 296 เบญจ วรรคสอง (เดิม) กำหนดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศกำหนดการรื้อถอนไว้ ณ บริเวณที่จะทำการรื้อถอนไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ก็เพื่อให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ทราบว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจะเริ่มทำการรื้อถอนในวันใดเท่านั้น หาใช่ว่าจะต้องทำการปิดประกาศให้ทราบล่วงหน้าทุกครั้งที่จะเข้าทำการรื้อถอนไม่ เมื่อได้ความว่าในวันที่ 7 ตุลาคม 2557 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปิดประกาศแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจะเริ่มทำการรื้อถอนในวันที่ 29 ตุลาคม 2557 และหรือในวันต่อ ๆ ไปจนกว่าจะทำการแล้วเสร็จ เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมสามารถทำการรื้อถอนในวันดังกล่าวและวันต่อมาได้โดยไม่จำต้องปิดประกาศแจ้งกำหนดนัดรื้อถอนให้โจทก์ทราบใหม่ทุกครั้ง การที่จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ร้องขอและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางภาระจำยอมจึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย มิได้กระทำโดยจงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นละเมิด จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอบังคับให้ยกเลิกหรือเพิกถอนภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 31001 หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงภาระจำยอมในที่ดินดังกล่าวให้เหลือขนาดความกว้างไม่เกิน 1.50 เมตร หากจำเลยทั้งสิบเอ็ดไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 1,257,650 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชำระเงินค่าเสียหายเดือนละ 30,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสิบเอ็ดจะหยุดการกระทำละเมิดต่อโจทก์และจดทะเบียนยกเลิกหรือเพิกถอนการใช้ทางภาระจำยอม
จำเลยทั้งสิบเอ็ดให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 31001 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 799 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 30640 จำเลยที่ 3 เป็นทายาทของนางสมศรี และเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 30641 จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 30642 จำเลยที่ 5 และที่ 6 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3572 จำเลยที่ 7 และที่ 8 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 11692 จำเลยที่ 9 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 30824 และ 30825 จำเลยที่ 10 และที่ 11 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 12956 จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 นางสำราญ และนางสาวรัตนา กับพวกเคยยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้น เป็นคดีหมายเลขแดงที่ 879/2547 คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 31001 จากแนวเขตที่ดินทางด้านทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออกกว้าง 4 เมตร ยาวตลอดแนวจากแนวเขตที่ดินทางด้านทิศเหนือไปจดแนวเขตที่ดินทางด้านทิศใต้เป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 799, 30639 ถึง 30642, 3572, 11692, 30579, 30824, 30825, 12962 และ 12956 ให้จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนี้รื้อถอนกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่ปิดกั้นทางภาระจำยอมทั้งหมดออก และให้จดทะเบียนที่ดินเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินดังกล่าว หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา โจทก์ยื่นคำร้องวันที่ 4 มกราคม 2556 ขอให้ย้ายทางภาระจำยอมโดยอ้างว่าหากต้องดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ปิดกั้นทางภาระจำยอมกว้าง 4 เมตร ตามคำพิพากษาศาลฎีกาต้องรื้อถอนเสาหลักของอาคาร 3 ชั้น ซึ่งเป็นโครงสร้างของบ้านโจทก์ จะเป็นผลให้บ้านทั้งหลังพังทลายลงมา ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนแล้วมีคำสั่งเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2556 ให้ยกคำร้อง โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 จึงร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการบังคับคดี โดยในวันที่ 7 ตุลาคม 2557 เจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดประกาศกำหนดวันทำการรื้อถอนในวันที่ 29 ตุลาคม 2557 โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 27 ตุลาคม 2557 ขอให้ระงับการรื้อถอน อ้างว่ากำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกดังกล่าวกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านโจทก์ หากทำการรื้อถอนจะทำให้โครงสร้างบ้านเป็นอันตรายและเสียหาย เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีหนังสือหารือการบังคับคดีว่าศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่ปิดทางภาระจำยอมออก แต่ปัจจุบันกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกดังกล่าวกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านโจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทำการรื้อถอนได้หรือไม่ ศาลชั้นต้นนัดพร้อมคู่ความเพื่อสอบข้อเท็จจริงในวันที่ 28 มกราคม 2558 แล้วมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำทางภาระจำยอมต่อไป โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำทางภาระจำยอมในวันที่ 30 มกราคม 2560 วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2560 และวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 ได้บางส่วน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อ 2.1 และ 2.2 ซึ่งเห็นควรวินิจฉัยไปในคราวเดียวกันว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ การรื้อถอนหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นการบังคับคดีเกินกว่าคำพิพากษาและเป็นเหตุให้โครงสร้างบ้านโจทก์เป็นอันตรายหรือไม่ โจทก์ทราบประกาศวันนัดรื้อถอนของเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือไม่ และมีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้ทางภาระจำยอมมีความกว้างเกินกว่า 4 เมตร ซึ่งเกินกว่าคำพิพากษาศาลฎีกาหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดจากกระทำละเมิดอันเนื่องมาจากการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย โดยกล่าวอ้างว่าในระหว่างการบังคับคดีในคดีก่อน จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ร้องขอและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการรื้อถอนหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาปูนซึ่งเกินเลยไปจากคำพิพากษา จนเป็นเหตุให้บ้านโจทก์เกิดอันตราย โดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบวันเข้าทำการรื้อถอนล่วงหน้า รวมทั้งทำการเปิดทางภาระจำยอมมีความกว้างเกินกว่าคำพิพากษา อันเป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายอันเป็นละเมิด ขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ โจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีอันเนื่องมาจากการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 วรรคสอง ซึ่งหากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง ก็ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ความรับผิดเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นย่อมตกแก่จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ร้องขอให้ทำการรื้อถอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นคดีนี้ได้ แต่การกระทำละเมิดอันเนื่องมาจากการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายในกรณีนี้จะต้องเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ถูกบังคับคดี เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 เบญจ วรรคหนึ่ง (เดิม) บัญญัติให้การบังคับคดีในกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลกำหนดให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างจะต้องกระทำโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีเท่านั้น การที่จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ร้องขอและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการบังคับคดีรื้อถอนกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่ปิดกั้นทางภาระจำยอมทั้งหมดออกตามคำพิพากษาในคดีก่อนจึงเป็นการใช้สิทธิในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แม้ในคดีก่อนศาลพิพากษาให้รื้อถอนกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่ปิดทางภาระจำยอมออก มิได้ระบุให้รื้อถอนหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาปูนด้วย แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าก่อนทำการรื้อถอนเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือแจ้งข้อเท็จจริงต่อศาลชั้นต้นว่าขณะเข้าทำการรื้อถอนพบว่ากำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่จะต้องรื้อถอนกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านโจทก์ และขอหารือการบังคับคดีว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการรื้อถอนต่อไปได้หรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทตกเป็นภาระจำยอม ให้โจทก์รื้อถอนกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่ปิดทางภาระจำยอมทั้งหมดออก ย่อมมีความหมายว่าโจทก์ในฐานะเจ้าของภารยทรัพย์ไม่สามารถกระทำการใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงสามารถรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เชื่อมต่อกับกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกที่โจทก์ทำการก่อสร้างขึ้นใหม่ในระหว่างการพิจารณาได้ และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่รุกล้ำทางภาระจำยอมต่อไป โจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยให้เหตุผลว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กที่เชื่อมต่อกับกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกออกไปได้ ไม่เป็นการกลับหรือแก้ไขคำพิพากษา หรือเป็นการบังคับคดีเกินไปกว่าคำพิพากษา คดีถึงที่สุด การรื้อถอนหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาปูนของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่เป็นการบังคับคดีที่เกินไปกว่าคำพิพากษาอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่อย่างใด และเมื่อโจทก์คดีนี้เป็นคนเดียวกับจำเลยในคดีก่อน และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ในคดีนี้ เป็นคนเดียวกับโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 6 โจทก์ที่ 9 โจทก์ที่ 11 และโจทก์ที่ 12 ในคดีก่อน ทั้งหมดจึงเป็นคู่ความเดียวกัน คำพิพากษาศาลฎีกา คำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดแล้วดังกล่าว จึงย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ต้องถือว่าการที่จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ร้องขอและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการรื้อถอนหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กที่เชื่อมต่อกับกำแพงคอนกรีตอิฐบล็อกไม่เป็นการบังคับคดีที่เกินเลยไปกว่าคำพิพากษาอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่อย่างใด ส่วนที่โจทก์อ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่พฤติการณ์ในการรื้อถอนจนเป็นเหตุให้บ้านของโจทก์เป็นอันตรายได้รับความเสียหายนั้น กลับได้ความจากรายงานผลการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า ในวันที่ 30 มกราคม 2560 และ 3 กุมภาพันธ์ 2560 จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการรื้อถอน แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้สั่งหยุดการรื้อถอนเนื่องจากเห็นว่าอุปกรณ์ที่ใช้ทำการรื้อถอนไม่เหมาะสมกับสภาพของทรัพย์ และยังไม่มีวิศวกรควบคุมการรื้อถอน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ตัวบ้านเกินสมควร แต่การรื้อถอนในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าอุปกรณ์ที่ใช้ทำการรื้อถอนมีความเหมาะสมกับสภาพทรัพย์และมีวิศวกรมาคอยควบคุมการรื้อถอนด้วย จึงอนุญาตให้ทำการรื้อถอน โดยในการรื้อถอนมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินอื่นใด พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่พฤติการณ์ในการรื้อถอนแล้ว และหากเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่พฤติการณ์ในการรื้อถอนจนเป็นเหตุให้บ้านของโจทก์เป็นอันตรายได้รับความเสียหายตามที่โจทก์กล่าวอ้าง โจทก์คงทำการโต้แย้งคัดค้านในขณะที่ทำการรื้อถอนแล้ว เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านในขณะที่ทำการรื้อถอน เพิ่งจะมากล่าวอ้างในคดีนี้หลังจากการรื้อถอนผ่านไปเป็นเวลากว่าสามปี จึงยังฟังไม่ได้แน่ชัดว่าความเสียหายที่เกิดกับตัวบ้านที่โจทก์นำสืบมาเกิดจากการรื้อถอนของเจ้าพนักงานบังคับคดี ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่พฤติการณ์ในการรื้อถอน เป็นเหตุให้โครงสร้างบ้านของโจทก์ได้รับความเสียหายจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง และที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 นำเจ้าพนักงานบังคับเข้าทำการรื้อถอนโดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้านั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 เบญจ วรรคสอง (เดิม) กำหนดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศกำหนดการรื้อถอนไว้ ณ บริเวณที่จะทำการรื้อถอนไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ก็เพื่อให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ทราบว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจะเริ่มทำการรื้อถอนในวันใดเท่านั้น หาใช่ว่าจะต้องทำการปิดประกาศให้ทราบล่วงหน้าทุกครั้งที่จะเข้าทำการรื้อถอนไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าในวันที่ 7 ตุลาคม 2557 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปิดประกาศแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจะเริ่มทำการรื้อถอนในวันที่ 29 ตุลาคม 2557 และหรือในวันต่อ ๆ ไปจนกว่าจะทำการแล้วเสร็จ แล้วโจทก์ไปยื่นคำร้องลงวันที่ 27 ตุลาคม 2557 ต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งระงับการรื้อถอนโดยฉุกเฉิน แต่ศาลยกคำร้อง ถือได้ว่าโจทก์ทราบกำหนดวันนัดเริ่มรื้อถอนของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยชอบแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมสามารถทำการรื้อถอนในวันดังกล่าวและวันต่อมาได้โดยไม่จำต้องปิดประกาศแจ้งกำหนดนัดรื้อถอนให้โจทก์ทราบใหม่ทุกครั้ง ส่วนที่โจทก์อ้างว่ามีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้ทางภาระจำยอมมีความกว้างเกินกว่า 4 เมตร ซึ่งเกินกว่าคำพิพากษาศาลฎีกานั้น โจทก์เพียงกล่าวอ้างไว้ลอย ๆ โดยมิได้นำสืบพยานหลักฐานใดให้เห็นจริงตามที่กล่าวอ้าง ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการบังคับคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางภาระจำยอมโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย การที่จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 ร้องขอและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางภาระจำยอมจึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย มิได้กระทำโดยจงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นละเมิด จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาโจทก์ข้อ 2.1 และ 2.2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาดตามบทบัญญัติมาตรา 170 แห่ง ป.วิ.อ. ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ฎีกา หมายถึงเฉพาะคำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลเท่านั้น แต่หากเป็นการคัดค้านเรื่องผิดระเบียบ คู่ความฝ่ายที่ได้รับความเสียหายอาจยกขึ้นกล่าวอ้างได้ และศาลชั้นต้นอาจมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 จึงไม่ต้องห้ามจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแต่อย่างใด และไม่ทำให้คดีในส่วนอาญาถึงที่สุด
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2563 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่การส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยที่ 1 ทราบนัดโดยชอบแล้ว คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด จำเลยที่ 1 ไม่อาจขอให้พิจารณาใหม่ได้
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 ใหม่ และนัดไต่สวนมูลฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ในวันที่ 22 สิงหาคม 2565 ครั้นถึงวันนัดโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ศาลชั้นต้นจึงพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งคำฟ้องของโจทก์ในคดีส่วนแพ่งสำหรับจำเลยที่ 1 ต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีในส่วนอาญาถึงที่สุดแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 ซึ่งบัญญัติว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด คู่ความไม่สามารถอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้ ดังนั้นศาลชั้นต้นรับคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้เฉพาะคดีในส่วนแพ่งเท่านั้น แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาคดีในส่วนอาญาให้ยกฟ้องโจทก์ด้วยจึงไม่ชอบ เห็นว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาดตามบทบัญญัติมาตรา 170 ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ฎีกา หมายถึงเฉพาะคำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลเท่านั้น แต่หากเป็นการคัดค้านเรื่องผิดระเบียบ คู่ความฝ่ายที่ได้รับความเสียหายอาจยกขึ้นกล่าวอ้างได้ และศาลชั้นต้นอาจมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 จึงไม่ต้องห้ามจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแต่อย่างใด และไม่ทำให้คดีในส่วนอาญาถึงที่สุดตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ทราบว่าถูกฟ้องเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2565 แต่กลับยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่วันที่ 2 พฤษภาคม 2565 เกินกำหนดแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์แห่งข้ออ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง และเกินกำหนดสิบห้าวันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ประกอบมาตรา 199 จัตวา วรรคหนึ่ง จึงไม่ชอบนั้น ในข้อนี้ได้ความตามคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2565 ว่าจำเลยที่ 1 ทราบเรื่องการถูกฟ้องเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2565 เนื่องจากโจทก์ส่งข้อความและสำเนาคำฟ้องมาทางแอปพลิเคชันไลน์แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบและแจ้งให้เดินทางไปศาลวันที่ 2 พฤษภาคม 2565 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ทราบว่ามีการส่งหมายนัดไต่สวนมูลฟ้องของศาลชั้นต้นมาถึงตน กระทั่งวันที่ 25 เมษายน 2565 จำเลยที่ 1 มอบหมายให้ทนายความไปตรวจสำนวนที่ศาลชั้นต้น จึงทราบว่าโจทก์นำพยานเข้าไต่สวนเสร็จแล้วและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ประทับรับฟ้องจำเลยทั้งสองไว้พิจารณา จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ทราบกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2565 ซึ่งเป็นวันที่ทนายจำเลยที่ 1 ไปตรวจสำนวนที่ศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ วันที่ 2 พฤษภาคม 2565 จึงไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ทราบพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 ส่วนที่อ้างว่า จำเลยยื่นเกินกำหนดสิบห้าวันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ประกอบมาตรา 199 จัตวา วรรคหนึ่งนั้น บทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติการขอให้พิจารณาคดีใหม่ในคดีแพ่ง ข้อกล่าวอ้างของโจทก์จึงเป็นคนละกรณีกับคดีนี้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 โดยไม่รับฟังคำพยานของโจทก์สองปากที่ไต่สวนมูลฟ้องมาแล้วเป็นการไม่ชอบนั้น เมื่อพิจารณารายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ฉบับลงวันที่ 22 สิงหาคม 2565 ซึ่งเป็นวันนัดไต่สวนมูลฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า ทนายโจทก์แถลงว่า ประสงค์จะนำนายเทียรชัยกับนางสาววรรณธิดามาเป็นพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แต่พยานทั้งสองปากเห็นว่าได้เบิกความแล้วเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 และศาลมีคำสั่งให้คดีมีมูลไปแล้ว จึงไม่เดินทางมาศาล และจะไม่มาเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องอีก ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า การนัดไต่สวนมูลฟ้องครั้งนี้เนื่องจากส่งหมายนัดไต่สวนมูลฟ้องและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 ไม่ชอบ จึงกำหนดวันนัดไต่สวนมูลฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ขึ้นมาใหม่ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาเบิกความเท่ากับโจทก์ไม่มีพยานมาไต่สวนให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ถือว่าคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ไม่มีมูล และพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 การที่ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนมูลฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ทำให้กระบวนพิจารณาเดิมตั้งแต่การส่งหมายนัดไต่สวนและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 ตลอดจนคำสั่งที่ให้คดีมีมูลสำหรับจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นอันยกเลิกไป ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องใหม่เฉพาะจำเลยที่ 1 โจทก์ยังต้องนำพยานมาไต่สวน แม้ว่านายเทียรชัย ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ และนางสาววรรณธิดา จะมาเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วครั้งหนึ่ง แต่ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ในวันที่ 22 สิงหาคม 2565 ทนายโจทก์ยังมีหน้าที่นำพยานเข้าไต่สวนเพื่อให้ได้ความว่าคดีสำหรับจำเลยที่ 1 มีมูล หากพยานทั้งสองไม่มาศาลในวันนัดดังกล่าว ทนายโจทก์อาจแถลงขอให้ศาลชั้นต้นเลื่อนการไต่สวนออกไปก่อนเพื่อติดตามพยานทั้งสองมาไต่สวนในนัดหน้า หรือแถลงขอให้ศาลชั้นต้นนำคำเบิกความของพยานทั้งสองที่เคยเบิกความมาแล้วในชั้นไต่สวนมูลฟ้องครั้งแรกมาเป็นคำเบิกความพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องในครั้งนี้ โดยคู่ความตกลงกันก็ย่อมทำได้ แต่ทนายโจทก์หาทำเช่นนั้นไม่ กลับแถลงยืนยันว่าพยานทั้งสองจะไม่มาเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องอีก จึงถือได้ว่าเป็นความบกพร่องของทนายโจทก์เองที่ไม่มีพยานมาสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยฟังว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ฟังได้ว่าคดีสำหรับจำเลยที่ 1 มีมูล จึงเป็นการพิพากษาโดยชอบแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในส่วนแพ่ง 60,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลเฉพาะจำเลยที่ 1 โดยไม่คืนเงินค่าขึ้นศาลดังกล่าวให้แก่โจทก์ย่อมขัดต่อกฎหมายนั้น คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียว แต่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ร่วมกันรับผิดคืนเงินให้แก่โจทก์ด้วย ค่าขึ้นศาลดังกล่าวจึงเป็นค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ต้องชำระในคดีส่วนแพ่ง ไม่เกี่ยวข้องกับในคดีส่วนอาญาแต่อย่างใด อีกทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งคำฟ้องของโจทก์ในคดีส่วนแพ่งสำหรับจำเลยที่ 1 ต่อไปด้วย ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นไม่มีคำสั่งให้คืนค่าขึ้นศาล 60,000 บาท แก่โจทก์จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาปลีกย่อยของโจทก์ในประเด็นอื่นไม่มีผลทำให้คำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่วินิจฉัยให้
พิพากษายืน
คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาดตามบทบัญญัติมาตรา 170 แห่ง ป.วิ.อ. ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ฎีกา หมายถึงเฉพาะคำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลเท่านั้น แต่หากเป็นการคัดค้านเรื่องผิดระเบียบ คู่ความฝ่ายที่ได้รับความเสียหายอาจยกขึ้นกล่าวอ้างได้ และศาลชั้นต้นอาจมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 จึงไม่ต้องห้ามจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแต่อย่างใด และไม่ทำให้คดีในส่วนอาญาถึงที่สุด
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2563 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่การส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยที่ 1 ทราบนัดโดยชอบแล้ว คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด จำเลยที่ 1 ไม่อาจขอให้พิจารณาใหม่ได้
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล