ขณะเกิดเหตุโจทก์ดำรงตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับ การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2557 ข้อ 10 (1) สโมสรรัฐสภาไม่ได้เป็นนิติบุคคลที่อยู่ในหน้าที่ควบคุมดูแลของโจทก์และมิได้เป็นส่วนราชการในสังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรตามประกาศรัฐสภา โดยผู้จัดการสโมสรรัฐสภาและคณะกรรมการสโมสรรัฐสภามีอำนาจดูแลและจัดการบริหารทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา อนุมัติการจ่ายเงินของสโมสรรัฐสภา และจัดการซึ่งกิจการโดยทั่วไปของสโมสรรัฐสภา โจทก์มิได้เป็นคณะกรรมการสโมสรรัฐสภาหรือผู้จัดการสโมสรรัฐสภา จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารงานหรือจัดการทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา คำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยเป็นประธานกรรมการสโมสรรัฐสภา และผู้จัดการสโมสรจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มิได้ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะมีอำนาจเข้าบริหารกิจการและทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา โจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติจึงไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินหรือเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา การเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาหรือไม่ ต้องปรากฏข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งว่าผู้นั้นได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิด ทั้งการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการอันเป็นผลเสียหายแก่รัฐ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายหรือกระทบกระเทือนต่อสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ การกระทำความผิดของจําเลยที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงเป็นการกระทำต่อรัฐซึ่งเป็นอำนาจของหน้าที่ของพนักงานอัยการที่จะฟ้องขอให้ลงโทษผู้กระทำความผิดดังกล่าวตาม ป วิ อ. มาตรา 28 (1) โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจําเลยในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147, 151, 157, 334 และ 335
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 157, 334, 335
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ดำรงตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ต่อมาที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2557 ซึ่งข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติดังกล่าวตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 13 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีอำนาจตราข้อบังคับเกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา และกรรมาธิการ วิธีการประชุม การเสนอ และการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติและร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ การเสนอญัตติ การอภิปราย การลงมติ การตั้งกระทู้ การรักษาระเบียบและความเรียบร้อย และกิจการอื่นเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่” แต่อำนาจหน้าที่ดังกล่าวเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อให้การประชุมในเรื่องต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยเฉพาะข้อความที่ว่า “กิจการอื่นตามอำนาจหน้าที่” นั้น ย่อมต้องหมายความว่าอำนาจหน้าที่ของโจทก์ตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อำนาจ เมื่อมาตรา 2 วรรคสองของรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันบัญญัติเฉพาะให้บทบัญญัติของหมวด 2 พระมหากษัตริย์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557 ยังคงใช้บังคับต่อไปเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญนี้ และภายใต้บังคับมาตรา 43 วรรคหนึ่ง ระบุว่าที่ใดในบทบัญญัติดังกล่าวอ้างถึงรัฐสภาหรือประธานรัฐสภาให้หมายถึงสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามรัฐธรรมนูญนี้ แล้วแต่กรณี ดังนั้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 จึงไม่มีบทบัญญัติให้โจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีอำนาจเกี่ยวกับการจัดการดูแลทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา ทั้งข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนและฎีกาของโจทก์ได้ความว่า การบริหารสโมสรรัฐสภาต้องดำเนินการตามข้อบังคับสโมสรรัฐสภา พ.ศ. 2546 เมื่อพิจารณาข้อบังคับสโมสรรัฐสภาดังกล่าวที่ระบุว่า สโมสรรัฐสภาเป็นสถานที่ให้บริการแก่สมาชิกรัฐสภา รัฐมนตรี และสมาชิกสโมสรในการพบปะสังสรรค์ นันทนาการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์แก่มวลสมาชิก โดยสมาชิกต้องเสียค่าธรรมเนียม ค่าบำรุงและค่าบริการสมาชิกตามที่คณะกรรมการกำหนด สำหรับการบริการของสโมสรรัฐสภาต้องดำเนินการโดยคณะกรรมการสโมสรรัฐสภา ส่วนที่มาของกรรมการสโมสรรัฐสภาตามข้อบังคับข้อ 18 และ ข้อ 19 ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยที่ประชุมของสมาชิกสโมสรรัฐสภา และคณะกรรมการสโมสรรัฐสภาเลือกกรรมการด้วยกันหนึ่งคนเป็นนายกสโมสร และให้นายกสโมสรแต่งตั้งผู้จัดการสโมสรรัฐสภา คณะกรรมการสโมสรรัฐสภาและผู้จัดการสโมสรรัฐสภามีอำนาจดูแลรักษาและจัดการบริหารทรัพย์สินของสโมสร อนุมัติการสั่งจ่ายเงินของสโมสร ส่วนผู้จัดการสโมสรมีหน้าที่จัดการสโมสรตามวัตถุประสงค์ ดูแลและจัดการซึ่งกิจการโดยทั่วไปของสโมสร กับให้ผู้จัดการสโมสรเป็นตัวแทนสโมสรในนิติสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกในเรื่องกิจการและทรัพย์สินของสโมสรตามข้อบังคับข้อ 20, 30 และ 31 โจทก์มิได้เป็นคณะกรรมการสโมสรรัฐสภา หรือผู้จัดการสโมสรรัฐสภา จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารงานหรือจัดการทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา แม้โจทก์มีอำนาจหน้าที่ควบคุมและดำเนินกิจการของสภาตามข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2557 ข้อ 10 (1) แต่สโมสรรัฐสภาไม่ได้เป็นนิติบุคคลที่อยู่ในหน้าที่ควบคุมดูแลของโจทก์ และไม่ได้เป็นส่วนราชการในสังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตามประกาศรัฐสภา เรื่อง การแบ่งส่วนราชการในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2545 แม้จะมีหน่วยงานและข้าราชการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานสโมสรรัฐสภา โดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้มอบให้สำนักบริหารงานกลางมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับกิจการสโมสรรัฐสภา และสำนักคลังและงบประมาณมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีในสโมสรรัฐสภาและด้านการเงินของสโมสรรัฐสภา แต่อำนาจหน้าที่ดังกล่าวเป็นเพียงการมอบหมายงานให้สำนักบริหารกลางและสำนักงานคลังและงบประมาณ ซึ่งเป็นหน่วยงานและข้าราชการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรไปช่วยดูแลงานของสโมสรรัฐสภา อันมีลักษณะเป็นงานในภาพรวมของการดำเนินการเกี่ยวกับกิจการสโมสรรัฐสภาเท่านั้น แต่การบริหารสโมสรรัฐสภาเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสโมสรรัฐสภา และผู้จัดการสโมสรรัฐสภาตามข้อบังคับสโมสรรัฐสภาข้างต้น โจทก์ในฐานะประธานรัฐสภามีอำนาจสั่งให้คณะกรรมการยุติการดำเนินการเมื่อปรากฏว่าคณะกรรมการได้ดำเนินการขัดต่อวัตถุประสงค์ของสโมสร หรืออาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสโมสร รวมทั้งมีอำนาจดำเนินการอื่นตามสมควร ซึ่งเป็นเรื่องการกำกับดูแลตามที่ข้อบังคับสโมสรรัฐสภา พ.ศ. 2546 ข้อ 21 กำหนดไว้เท่านั้น ไม่ได้ให้โจทก์เข้ามามีอำนาจในการบริหารและจัดการทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา โจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินหรือเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา และไม่ใช่อำนาจหน้าที่ประธานรัฐสภาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ส่วนที่โจทก์อ้างในทำนองว่าโจทก์ในฐานะประธานรัฐสภารักษาการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการฝ่ายรัฐสภา พ.ศ. 2554 ซึ่งโจทก์อ้างเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งว่าโจทก์อยู่ในฐานะที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยกับพวกตามฟ้อง เห็นว่า การที่กฎหมายบัญญัติให้มีผู้รักษาการก็เพื่อให้ทราบถึงผู้ดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ลำพังเป็นผู้รักษาการตามกฎหมายไม่ได้หมายความรวมถึงให้โจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีอาญาได้ในทุกกรณี การเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาหรือไม่ต้องปรากฏข้อเท็จจริงโดยชัดแจงว่า ผู้นั้นได้รับความเสียหายโดยตรง โดยเฉพาะการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151 และ 157 เป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการอันเป็นผลเสียหายแก่รัฐ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหายมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายหรือกระทบกระเทือนต่อสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ เมื่อความผิดดังกล่าวเป็นความผิดที่กระทำต่อรัฐ จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการที่จะฟ้องขอให้ลงโทษผู้กระทำความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28 (1) ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าตามข้อบังคับสโมสรรัฐสภา พ.ศ. 2546 หมวด 1 ข้อ 10 (2) ระบุว่า สมาชิกสามัญ ได้แก่ สมาชิกรัฐสภา รัฐมนตรี โจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจึงเป็นสมาชิกสโมสรรัฐสภา โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายด้วยนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องและฎีกาอ้างว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะประธานรัฐสภา ไม่ได้ฟ้องในฐานะส่วนตัว การที่โจทก์ฎีกาดังกล่าวจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายในฐานะส่วนตัวที่เป็นสมาชิกสโมสรรัฐสภา ขัดกับที่โจทก์บรรยายฟ้องและฎีกามาข้างต้น ประกอบกับคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา เป็นผู้มีหน้าที่จัดการ รักษาทรัพย์ ได้กระทำการหรือละเว้นกระทำการในหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือกระทำการในหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รักษาทรัพย์ได้เบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์ไป และเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการ รักษาทรัพย์ใด ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตเป็นการเสียหายแก่รัฐ หรือเจ้าของทรัพย์นั้น และเป็นเจ้าพนักงานเอาไปเสียซึ่งทรัพย์ใดอันเป็นหน้าที่ของตนที่จะปกครองหรือรักษาไว้ หรือยอมให้ผู้อื่นกระทำเช่นนั้น ทั้งยังเป็นการลักเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต การกระทำของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสโมสรรัฐสภา โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษอย่างไร ฎีกาโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง ส่วนโจทก์ฎีกาต่อไปว่าในขณะเกิดเหตุไม่มีคณะกรรมการสโมสรรัฐสภา เพราะคณะรักษาความสงบแห่งชาติประกาศให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสิ้นสุดลง ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เลขหน้า 187, 190 และ 198 คณะกรรมการสโมสรรัฐสภาจึงสิ้นสภาพ ไม่มีอำนาจบริหารจัดการทรัพย์สินของสโมสร แม้ต่อมานายจเร เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลย มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสโมสรรัฐสภา โดยให้จำเลยเป็นประธานกรรมการและผู้จัดการสโมสรตามคำสั่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่ 1292/2557 นั้น คำสั่งดังกล่าวเป็นการกระทำไปโดยไม่มีอำนาจ ดังนั้น คำสั่งที่แต่งตั้งคณะกรรมการสโมสรรัฐสภา ที่จำเลยเป็นประธานสโมสรและแต่งตั้งกรรมการสโมสรรัฐสภา จึงเป็นคำสั่งที่มิชอบและโดยสภาพกรรมการสโมสรรัฐสภาย่อมไม่ดำเนินคดีแก่จำเลย โจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติย่อมเป็นผู้เสียหายฟ้องคดีนี้ได้นั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารกิจการและทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภาตามที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น การที่นายจเรมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสโมสรรัฐสภาจะเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร เป็นกรณีที่ต้องไปว่ากล่าวอีกส่วนหนึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะมีอำนาจเข้าบริหารกิจการและทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา ดังนี้ เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารกิจการสโมสรรัฐสภาจึงไม่ใช่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภาตามข้อบังคับสโมสรรัฐสภา พ.ศ. 2546 โจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติย่อมไม่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง โจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 157, 334 และ 335 ส่วนฎีกาข้ออื่นของโจทก์ที่อ้างว่าโจทก์ในฐานะประธานรัฐสภาเป็นผู้เสียหายเป็นฎีกาในรายละเอียดปลีกย่อยไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ดังนี้ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่าจำเลยกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน
ขณะเกิดเหตุโจทก์ดำรงตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับ การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2557 ข้อ 10 (1) สโมสรรัฐสภาไม่ได้เป็นนิติบุคคลที่อยู่ในหน้าที่ควบคุมดูแลของโจทก์และมิได้เป็นส่วนราชการในสังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรตามประกาศรัฐสภา โดยผู้จัดการสโมสรรัฐสภาและคณะกรรมการสโมสรรัฐสภามีอำนาจดูแลและจัดการบริหารทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา อนุมัติการจ่ายเงินของสโมสรรัฐสภา และจัดการซึ่งกิจการโดยทั่วไปของสโมสรรัฐสภา โจทก์มิได้เป็นคณะกรรมการสโมสรรัฐสภาหรือผู้จัดการสโมสรรัฐสภา จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารงานหรือจัดการทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา คำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยเป็นประธานกรรมการสโมสรรัฐสภา และผู้จัดการสโมสรจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มิได้ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะมีอำนาจเข้าบริหารกิจการและทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา โจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติจึงไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินหรือเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา การเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาหรือไม่ ต้องปรากฏข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งว่าผู้นั้นได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิด ทั้งการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการอันเป็นผลเสียหายแก่รัฐ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายหรือกระทบกระเทือนต่อสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ การกระทำความผิดของจําเลยที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงเป็นการกระทำต่อรัฐซึ่งเป็นอำนาจของหน้าที่ของพนักงานอัยการที่จะฟ้องขอให้ลงโทษผู้กระทำความผิดดังกล่าวตาม ป วิ อ. มาตรา 28 (1) โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจําเลยในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147, 151, 157, 334 และ 335
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 157, 334, 335
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ดำรงตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ต่อมาที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2557 ซึ่งข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติดังกล่าวตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 13 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีอำนาจตราข้อบังคับเกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา และกรรมาธิการ วิธีการประชุม การเสนอ และการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติและร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ การเสนอญัตติ การอภิปราย การลงมติ การตั้งกระทู้ การรักษาระเบียบและความเรียบร้อย และกิจการอื่นเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่” แต่อำนาจหน้าที่ดังกล่าวเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อให้การประชุมในเรื่องต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยเฉพาะข้อความที่ว่า “กิจการอื่นตามอำนาจหน้าที่” นั้น ย่อมต้องหมายความว่าอำนาจหน้าที่ของโจทก์ตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อำนาจ เมื่อมาตรา 2 วรรคสองของรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันบัญญัติเฉพาะให้บทบัญญัติของหมวด 2 พระมหากษัตริย์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557 ยังคงใช้บังคับต่อไปเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญนี้ และภายใต้บังคับมาตรา 43 วรรคหนึ่ง ระบุว่าที่ใดในบทบัญญัติดังกล่าวอ้างถึงรัฐสภาหรือประธานรัฐสภาให้หมายถึงสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามรัฐธรรมนูญนี้ แล้วแต่กรณี ดังนั้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 จึงไม่มีบทบัญญัติให้โจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีอำนาจเกี่ยวกับการจัดการดูแลทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา ทั้งข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนและฎีกาของโจทก์ได้ความว่า การบริหารสโมสรรัฐสภาต้องดำเนินการตามข้อบังคับสโมสรรัฐสภา พ.ศ. 2546 เมื่อพิจารณาข้อบังคับสโมสรรัฐสภาดังกล่าวที่ระบุว่า สโมสรรัฐสภาเป็นสถานที่ให้บริการแก่สมาชิกรัฐสภา รัฐมนตรี และสมาชิกสโมสรในการพบปะสังสรรค์ นันทนาการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์แก่มวลสมาชิก โดยสมาชิกต้องเสียค่าธรรมเนียม ค่าบำรุงและค่าบริการสมาชิกตามที่คณะกรรมการกำหนด สำหรับการบริการของสโมสรรัฐสภาต้องดำเนินการโดยคณะกรรมการสโมสรรัฐสภา ส่วนที่มาของกรรมการสโมสรรัฐสภาตามข้อบังคับข้อ 18 และ ข้อ 19 ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยที่ประชุมของสมาชิกสโมสรรัฐสภา และคณะกรรมการสโมสรรัฐสภาเลือกกรรมการด้วยกันหนึ่งคนเป็นนายกสโมสร และให้นายกสโมสรแต่งตั้งผู้จัดการสโมสรรัฐสภา คณะกรรมการสโมสรรัฐสภาและผู้จัดการสโมสรรัฐสภามีอำนาจดูแลรักษาและจัดการบริหารทรัพย์สินของสโมสร อนุมัติการสั่งจ่ายเงินของสโมสร ส่วนผู้จัดการสโมสรมีหน้าที่จัดการสโมสรตามวัตถุประสงค์ ดูแลและจัดการซึ่งกิจการโดยทั่วไปของสโมสร กับให้ผู้จัดการสโมสรเป็นตัวแทนสโมสรในนิติสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกในเรื่องกิจการและทรัพย์สินของสโมสรตามข้อบังคับข้อ 20, 30 และ 31 โจทก์มิได้เป็นคณะกรรมการสโมสรรัฐสภา หรือผู้จัดการสโมสรรัฐสภา จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารงานหรือจัดการทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา แม้โจทก์มีอำนาจหน้าที่ควบคุมและดำเนินกิจการของสภาตามข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2557 ข้อ 10 (1) แต่สโมสรรัฐสภาไม่ได้เป็นนิติบุคคลที่อยู่ในหน้าที่ควบคุมดูแลของโจทก์ และไม่ได้เป็นส่วนราชการในสังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตามประกาศรัฐสภา เรื่อง การแบ่งส่วนราชการในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2545 แม้จะมีหน่วยงานและข้าราชการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานสโมสรรัฐสภา โดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้มอบให้สำนักบริหารงานกลางมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับกิจการสโมสรรัฐสภา และสำนักคลังและงบประมาณมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีในสโมสรรัฐสภาและด้านการเงินของสโมสรรัฐสภา แต่อำนาจหน้าที่ดังกล่าวเป็นเพียงการมอบหมายงานให้สำนักบริหารกลางและสำนักงานคลังและงบประมาณ ซึ่งเป็นหน่วยงานและข้าราชการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรไปช่วยดูแลงานของสโมสรรัฐสภา อันมีลักษณะเป็นงานในภาพรวมของการดำเนินการเกี่ยวกับกิจการสโมสรรัฐสภาเท่านั้น แต่การบริหารสโมสรรัฐสภาเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสโมสรรัฐสภา และผู้จัดการสโมสรรัฐสภาตามข้อบังคับสโมสรรัฐสภาข้างต้น โจทก์ในฐานะประธานรัฐสภามีอำนาจสั่งให้คณะกรรมการยุติการดำเนินการเมื่อปรากฏว่าคณะกรรมการได้ดำเนินการขัดต่อวัตถุประสงค์ของสโมสร หรืออาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสโมสร รวมทั้งมีอำนาจดำเนินการอื่นตามสมควร ซึ่งเป็นเรื่องการกำกับดูแลตามที่ข้อบังคับสโมสรรัฐสภา พ.ศ. 2546 ข้อ 21 กำหนดไว้เท่านั้น ไม่ได้ให้โจทก์เข้ามามีอำนาจในการบริหารและจัดการทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา โจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินหรือเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา และไม่ใช่อำนาจหน้าที่ประธานรัฐสภาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ส่วนที่โจทก์อ้างในทำนองว่าโจทก์ในฐานะประธานรัฐสภารักษาการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการฝ่ายรัฐสภา พ.ศ. 2554 ซึ่งโจทก์อ้างเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งว่าโจทก์อยู่ในฐานะที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยกับพวกตามฟ้อง เห็นว่า การที่กฎหมายบัญญัติให้มีผู้รักษาการก็เพื่อให้ทราบถึงผู้ดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ลำพังเป็นผู้รักษาการตามกฎหมายไม่ได้หมายความรวมถึงให้โจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีอาญาได้ในทุกกรณี การเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาหรือไม่ต้องปรากฏข้อเท็จจริงโดยชัดแจงว่า ผู้นั้นได้รับความเสียหายโดยตรง โดยเฉพาะการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151 และ 157 เป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการอันเป็นผลเสียหายแก่รัฐ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหายมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายหรือกระทบกระเทือนต่อสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ เมื่อความผิดดังกล่าวเป็นความผิดที่กระทำต่อรัฐ จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการที่จะฟ้องขอให้ลงโทษผู้กระทำความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28 (1) ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าตามข้อบังคับสโมสรรัฐสภา พ.ศ. 2546 หมวด 1 ข้อ 10 (2) ระบุว่า สมาชิกสามัญ ได้แก่ สมาชิกรัฐสภา รัฐมนตรี โจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจึงเป็นสมาชิกสโมสรรัฐสภา โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายด้วยนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องและฎีกาอ้างว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะประธานรัฐสภา ไม่ได้ฟ้องในฐานะส่วนตัว การที่โจทก์ฎีกาดังกล่าวจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายในฐานะส่วนตัวที่เป็นสมาชิกสโมสรรัฐสภา ขัดกับที่โจทก์บรรยายฟ้องและฎีกามาข้างต้น ประกอบกับคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา เป็นผู้มีหน้าที่จัดการ รักษาทรัพย์ ได้กระทำการหรือละเว้นกระทำการในหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือกระทำการในหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รักษาทรัพย์ได้เบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์ไป และเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการ รักษาทรัพย์ใด ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตเป็นการเสียหายแก่รัฐ หรือเจ้าของทรัพย์นั้น และเป็นเจ้าพนักงานเอาไปเสียซึ่งทรัพย์ใดอันเป็นหน้าที่ของตนที่จะปกครองหรือรักษาไว้ หรือยอมให้ผู้อื่นกระทำเช่นนั้น ทั้งยังเป็นการลักเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต การกระทำของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสโมสรรัฐสภา โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษอย่างไร ฎีกาโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง ส่วนโจทก์ฎีกาต่อไปว่าในขณะเกิดเหตุไม่มีคณะกรรมการสโมสรรัฐสภา เพราะคณะรักษาความสงบแห่งชาติประกาศให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสิ้นสุดลง ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เลขหน้า 187, 190 และ 198 คณะกรรมการสโมสรรัฐสภาจึงสิ้นสภาพ ไม่มีอำนาจบริหารจัดการทรัพย์สินของสโมสร แม้ต่อมานายจเร เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลย มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสโมสรรัฐสภา โดยให้จำเลยเป็นประธานกรรมการและผู้จัดการสโมสรตามคำสั่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่ 1292/2557 นั้น คำสั่งดังกล่าวเป็นการกระทำไปโดยไม่มีอำนาจ ดังนั้น คำสั่งที่แต่งตั้งคณะกรรมการสโมสรรัฐสภา ที่จำเลยเป็นประธานสโมสรและแต่งตั้งกรรมการสโมสรรัฐสภา จึงเป็นคำสั่งที่มิชอบและโดยสภาพกรรมการสโมสรรัฐสภาย่อมไม่ดำเนินคดีแก่จำเลย โจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติย่อมเป็นผู้เสียหายฟ้องคดีนี้ได้นั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารกิจการและทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภาตามที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น การที่นายจเรมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสโมสรรัฐสภาจะเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร เป็นกรณีที่ต้องไปว่ากล่าวอีกส่วนหนึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะมีอำนาจเข้าบริหารกิจการและทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภา ดังนี้ เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารกิจการสโมสรรัฐสภาจึงไม่ใช่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินของสโมสรรัฐสภาตามข้อบังคับสโมสรรัฐสภา พ.ศ. 2546 โจทก์ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติย่อมไม่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง โจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 157, 334 และ 335 ส่วนฎีกาข้ออื่นของโจทก์ที่อ้างว่าโจทก์ในฐานะประธานรัฐสภาเป็นผู้เสียหายเป็นฎีกาในรายละเอียดปลีกย่อยไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ดังนี้ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่าจำเลยกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน
มาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 บัญญัติมิให้นําบทบัญญัติในมาตรา 17/1 และมาตรา 65 แห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาใช้บังคับแก่อาคารชุดซึ่งได้จดทะเบียนเป็นอาคารชุดและมีห้องชุดที่ใช้เพื่อประกอบการค้าอยู่ก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ดังนั้น นอกจากจะต้องจดทะเบียนเป็นอาคารชุดก่อนวันที่ พ.ร.บ.อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับแล้วยังต้องมีห้องชุดที่ใช้เพื่อประกอบการค้าอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติอาคารชุดฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับด้วย เมื่อจำเลยเพิ่งนําพื้นที่ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด ช. ก่อสร้างร้านกาแฟ ร้านตัดผม ร้านสปา ห้องสำนักงานบริหารโรงแรมของจำเลย ห้องเก็บของและห้องน้ำของจำเลย ภายหลังจาก พ.ร.บ.อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับแล้ว มิใช่กรณีห้องชุดที่ใช้เพื่อประกอบการค้ามีอยู่ก่อนวันที่ พ.ร.บ.อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับ มาตรา 17/1 และมาตรา 65 แห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 จึงมีผลใช้บังคับแก่นิติบุคคลอาคารชุด ช. ด้วย และเมื่อข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ช. ข้อที่ 26.18 กำหนดว่าเจ้าของร่วมหรือผู้ใช้ประโยชน์ห้องชุดจะใช้พื้นที่จอดรถเพื่อการอื่นมิได้นอกจากการใช้เพื่อจอดรถ และจะต้องจอดรถตามตำแหน่งที่จอดรถของอาคารชุดตามข้อตกลงที่ได้กำหนดไว้เท่านั้น และข้อบังคับข้อที่ 26.19 กำหนดให้คณะกรรมการหรือที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมโดยผู้จัดการมีอำนาจในการงดให้บริการสาธารณูปโภค มีอำนาจริบเงินค่าประกันใด ๆ หรือเรียกเก็บค่าเสียหาย หรือระงับยกเลิกมิให้ดำเนินการ หรือสั่งการให้รื้อถอนหรือเข้ารื้อถอนส่วนใด ๆ รวมทั้งสั่งการให้ปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในสภาพเดิมด้วยค่าใช้จ่ายของเจ้าของร่วมนั้น อันเป็นบทบังคับมิให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพย์ส่วนกลางโดยฝ่าฝืนข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ช. และฝ่าฝืนต่อมาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 การลงมติในการประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมครั้งที่ 1/2553 ที่อนุญาตให้จำเลยสามารถนําพื้นที่ส่วนบุคคลของจำเลยและพื้นที่ส่วนกลางไปทำประโยชน์ในเชิงพาณิชย์โดยสร้างร้านกาแฟ ร้านตัดผม ร้านสปา ห้องสำนักงานของจำเลย ห้องเก็บของและห้องน้ำของจำเลยได้ จึงเป็นการขัดต่อข้อบังคับข้อที่ 26.18 นอกจากนั้นจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดในอาคารชุด ช. โดยมีอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดเกินกว่ากึ่งหนึ่งของอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางทั้งหมด จำเลยเพียงผู้เดียวจึงมีคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงทั้งหมด แต่ในการลงมติในการประชุมครั้งดังกล่าวไม่มีการลดจำนวนคะแนนเสียงของจำเลยลงมาเหลือเท่ากับคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมอื่น ๆ รวมกัน ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 45 วรรคสอง มติดังกล่าวจึงไม่ชอบ จำเลยไม่อาจอ้างเอาผลการลงมติดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่ตน การที่จำเลยนําเอาพื้นที่จอดรถส่วนกลางไปประกอบการค้าเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของจำเลยโดยนิติบุคคลอาคารชุด ช. มิได้มีการจัดพื้นที่ของอาคารชุดเพื่อประกอบการค้าไว้ก่อนแล้ว จึงเป็นความผิดตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 17/1, 65 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์และจำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 17/1 วรรคสอง, 65 ปรับ 50,000 บาท และปรับอีกวันละ 5,000 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสี่ คงปรับ 37,500 บาท และปรับอีกวันละ 3,750 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 29/1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า นิติบุคคลอาคารชุด ช. จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลอาคารชุดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2550 โจทก์และนายปธิกร เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในห้องชุดเลขที่ 26/140 ของอาคารชุด ช. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 2240, 2241, 2623 และ 51363 มีอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง 64 ส่วน ใน 60,000 ส่วน จำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทบริษัทจำกัด มีนายสาธร เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนคนหนึ่ง จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในห้องชุดของอาคารชุด ช. ห้องชุดเลขที่ 26/1, 26/2, 26/276 ถึง 284 และจำเลยเป็นเจ้าของผู้ประกอบกิจการโรงแรม ช. ซึ่งมีอาคารประกอบกิจการโรงแรมอยู่ติดกับอาคารของอาคารชุด ช. เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2553 นิติบุคคลอาคารชุด ช. จัดประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมครั้งที่ 1 โดยในวาระที่ 9 เสียงส่วนใหญ่ของเจ้าของร่วมที่เข้าประชุมมีมติให้นิติบุคคลอาคารชุด ช. ลงนามในบันทึกข้อตกลงการใช้ประโยชน์ร่วมกัน การชำระค่าใช้จ่าย และข้อตกลงต่างตอบแทนกับจำเลย นิติบุคคลอาคารชุด ช. ลงนามในบันทึกข้อตกลงการใช้ประโยชน์ร่วมกัน การชำระค่าใช้จ่าย และข้อตกลงต่างตอบแทนกับจำเลยแล้ว แต่ยังมิได้มีการนำมติของที่ประชุมใหญ่ดังกล่าวไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมาจำเลยนำพื้นที่จอดรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนบุคคลของจำเลยและพื้นที่จอดรถยนต์พร้อมทางเดินรถซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด ช. ไปก่อสร้างปรับปรุงเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์เพื่อประโยชน์ของจำเลยโดยก่อสร้างเป็นร้านกาแฟ ร้านตัดผม ร้านสปา ห้องสำนักงานบริหารโรงแรมของจำเลย ห้องเก็บของและห้องน้ำของจำเลยโดยอาศัยบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า มาตรา 17/1 และมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับแก่นิติบุคคลอาคารชุด ช. ด้วย หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 17/1, 65 เมื่อพิจารณาตามพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 6 มีนาคม 2551 ซึ่งมาตรา 2 ของพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป และมาตรา 32 บัญญัติมิให้นำบทบัญญัติในมาตรา 17/1 และมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาใช้บังคับแก่อาคารชุดซึ่งได้จดทะเบียนเป็นอาคารชุดและมีห้องชุดที่ใช้เพื่อการประกอบการค้าอยู่ก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ดังนี้ แม้พระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับในวันที่ 4 กรกฎาคม 2551 อันเป็นวันภายหลังจากที่จดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุด ช. ในวันที่ 28 ธันวาคม 2550 แล้วก็ตาม แต่ตามบทมาตราดังกล่าวนอกจากต้องจดทะเบียนเป็นอาคารชุดก่อนวันที่พระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับแล้วยังต้องมีห้องชุดที่ใช้เพื่อประกอบการค้าอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติอาคารชุดฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับด้วย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยอาศัยการลงนามในบันทึกข้อตกลงการใช้ประโยชน์ร่วมกัน การชำระค่าใช้จ่ายและข้อตกลงต่างตอบแทนระหว่างนิติบุคคลอาคารชุด ช. กับจำเลย ในการก่อสร้างปรับปรุงพื้นที่ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด ช. เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์เพื่อประโยชน์ของจำเลย จึงฟังได้ว่าจำเลยเพิ่งนำพื้นที่ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด ช. ก่อสร้างร้านกาแฟ ร้านตัดผม ร้านสปา ห้องสำนักงานบริหารโรงแรมของจำเลย ห้องเก็บของและห้องน้ำของจำเลยภายหลังการลงนามในวันที่ 22 มีนาคม 2553 อันเป็นเวลาภายหลังจากพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลบังคับใช้แล้ว มิใช่เป็นกรณีห้องชุดที่ใช้เพื่อประกอบการค้ามีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับ ดังนั้น มาตรา 17/1 และมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 จึงมีผลใช้บังคับแก่นิติบุคคลอาคารชุด ช. ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาในปัญหาข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 4 บัญญัติว่า ทรัพย์ส่วนกลาง หมายความถึง ส่วนของอาคารชุดที่มิใช่ห้องชุด ที่ดินที่ตั้งอาคารชุด และที่ดินหรือทรัพย์สินอื่นที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกันสำหรับเจ้าของร่วม และมาตรา 13 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เจ้าของห้องชุดมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนบุคคลที่เป็นของตน และมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลาง ทั้งตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 14 ยังบัญญัติถึงอัตราส่วนในกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลางของเจ้าของร่วมให้เป็นไปตามอัตราส่วนระหว่างเนื้อที่ของห้องชุดแต่ละห้องชุดกับเนื้อที่ของห้องชุดทั้งหมดในอาคารชุดนั้นในขณะที่ขอจดทะเบียนอาคารชุดตามมาตรา 6 ทั้งนี้การดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางตามมาตรา 14 นั้น ก็เพื่อจะได้นำเงินดังกล่าวไปเป็นค่าใช้จ่ายในกิจกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางอันเป็นทรัพย์ที่มีไว้เพื่อประโยชน์ของเจ้าของร่วม ซึ่งเจ้าของร่วมผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการบำรุงรักษาทรัพย์ส่วนกลางย่อมรวมถึงโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในห้องชุดเลขที่ 26/140 ของอาคารชุด ช. โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมและมีสิทธิใช้สอยหรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด ช. รวมถึงมีภาระต้องร่วมรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางด้วย เมื่อพิจารณาประกอบกับข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ช. กำหนดไว้ว่า ถนนภายในบริเวณโครงการ ที่จอดรถส่วนกลางภายในและภายนอก ที่จอดรถยนต์ส่วนกลางเป็นทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด โจทก์จึงมีสิทธิใช้และได้รับประโยชน์จากทรัพย์ส่วนกลางดังกล่าวของนิติบุคคลอาคารชุด ช. ด้วย การที่จำเลยนำพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด ช. และพื้นที่ส่วนบุคคลของจำเลยไปก่อสร้างปรับปรุงเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์เพื่อประโยชน์ของจำเลย โดยก่อสร้างเป็นร้านกาแฟ ร้านตัดผม ร้านสปา ห้องสำนักงานบริหารโรงแรมของจำเลย ห้องเก็บของและห้องน้ำของจำเลย ย่อมส่งผลกระทบต่อโจทก์ในการใช้สอยและได้รับประโยชน์จากทรัพย์ส่วนกลาง จากการที่จำเลยนำทรัพย์ส่วนกลางดังกล่าวไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของจำเลย โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าวจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) และมาตรา 28 (2) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาในปัญหาข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หรือไม่ เห็นว่า ทรัพย์ส่วนกลางเป็นทรัพย์สินอื่นที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกันสำหรับเจ้าของร่วมตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ซึ่งตามมาตรา 17 บัญญัติให้การจัดการและการใช้ทรัพย์ส่วนกลางให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 และตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ทั้งนี้เมื่อพิจารณาข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ช. ข้อที่ 26.18 ซึ่งกำหนดว่าเจ้าของร่วมหรือผู้ใช้ประโยชน์ห้องชุดจะใช้พื้นที่จอดรถเพื่อการอื่นมิได้นอกจากการใช้เพื่อจอดรถ และจะต้องจอดรถตามตำแหน่งที่จอดรถของอาคารชุดตามข้อตกลงที่ได้กำหนดไว้เท่านั้น และข้อบังคับข้อที่ 26.19 ที่ว่าเจ้าของร่วมหรือผู้ใช้ประโยชน์ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อ 26.18 คณะกรรมการหรือที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมโดยผู้จัดการมีอำนาจในการงดให้บริการสาธารณูปโภค มีอำนาจริบเงินค่าประกันใด ๆ หรือเรียกเก็บค่าเสียหาย หรือระงับยกเลิกมิให้ดำเนินการหรือสั่งการให้รื้อถอนหรือเข้ารื้อถอนส่วนใด ๆ รวมทั้งสั่งการให้ปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในสภาพเดิมด้วยค่าใช้จ่ายของเจ้าของร่วมนั้น อันเป็นบทบังคับมิให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพย์ส่วนกลางโดยฝ่าฝืนต่อข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ช. และฝ่าฝืนต่อมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ดังนั้น การลงมติในวาระการประชุมที่ 9 คราวประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2553 ที่อนุญาตให้จำเลยสามารถนำพื้นที่ส่วนบุคคลของจำเลยและพื้นที่ส่วนกลางไปทำประโยชน์ในเชิงพาณิชย์โดยสร้างร้านกาแฟ ร้านตัดผม ร้านสปา ห้องสำนักงานของจำเลย ห้องเก็บของและห้องน้ำของจำเลยได้ อันเป็นการนำเอาทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุดไปใช้เพื่อประโยชน์แก่จำเลย จึงเป็นการขัดต่อข้อบังคับข้อที่ 26.18 นอกจากนี้ตามมาตรา 45 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 บัญญัติว่า ถ้าเจ้าของร่วมคนเดียวมีคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงทั้งหมดให้ลดจำนวนคะแนนเสียงของผู้นั้นลงมาเหลือเท่ากับจำนวนคะแนนเสียงของบรรดาเจ้าของร่วมอื่น ๆ รวมกัน ในส่วนนี้โจทก์นำสืบยืนยันโดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้างเป็นอย่างอื่นว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดในอาคารชุด ช. โดยในอาคาร 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 26/18, 26/25, 26/32 ถึง 34, 26/40 ถึง 42, 26/49, 26/57, 26/66 รวม 11 ห้องชุด มีอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง 1,218 ส่วน ใน 60,000 ส่วน และอาคาร 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 26/276 ถึง 535 รวม 260 ห้องชุด มีอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางอีก 29,648 ส่วน ใน 60,000 ส่วน รวมแล้วจำเลยเพียงผู้เดียวมีอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุด ช. 30,866 ส่วน ใน 60,000 ส่วน คิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 51.44 ส่วนเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดรายอื่น ๆ ในอาคารชุด ช. มีอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางรวมเพียง 26,903 ส่วน คิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 44.84 ดังนั้น จำเลยเพียงผู้เดียวจึงมีคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงทั้งหมด ฉะนั้นในการลงคะแนนเสียงจำเลยจะต้องลดจำนวนคะแนนเสียงของจำเลยลงมาเหลือเท่ากับจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมอื่น ๆ รวมกัน ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 45 วรรคสอง แต่กลับได้ความตามที่จำเลยนำสืบว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2553 มีการประชุมใหญ่ของเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในอาคารชุด ช. และที่ประชุมใหญ่มีมติเสียงข้างมาก 44,149 ส่วน จากทั้งหมด 60,000 ส่วน ให้นิติบุคคลอาคารชุด ช. ทำบันทึกข้อตกลงการใช้ประโยชน์ร่วมกัน การชำระค่าใช้จ่ายและข้อตกลงต่างตอบแทนกับจำเลยได้ โดยไม่ปรากฏว่ามีการลดจำนวนคะแนนเสียงของจำเลยลงมาเหลือเท่ากับจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมอื่น ๆ มติดังกล่าวจึงไม่ชอบ จำเลยไม่อาจอ้างเอาผลการลงมติดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่ตน โดยนำเอาพื้นที่จอดรถส่วนกลางซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด ช. ไปก่อสร้างร้านกาแฟ ร้านตัดผม ร้านสปา ห้องสำนักงานบริหารโรงแรมของจำเลย ห้องเก็บของและห้องน้ำของจำเลยเพื่อผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของจำเลยได้ การที่จำเลยนำเอาพื้นที่ส่วนกลางไปประกอบการค้าเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของจำเลยโดยนิติบุคคลอาคารชุด ช. มิได้มีการจัดพื้นที่ของอาคารชุด ช. เพื่อประกอบการค้าไว้ก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง ดังที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดและถูกต้องแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาในปัญหาข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า มีเหตุที่จะลงโทษสถานเบา หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 65 บัญญัติว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 17/1 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท และปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนอยู่ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 17/1 วรรคสอง, 65 ปรับ 50,000 บาท และปรับอีกวันละ 5,000 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสี่ คงปรับ 37,500 บาท และปรับอีกวันละ 3,750 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนนั้น เป็นการวางโทษและลดโทษให้แก่จำเลยเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
มาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 บัญญัติมิให้นําบทบัญญัติในมาตรา 17/1 และมาตรา 65 แห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาใช้บังคับแก่อาคารชุดซึ่งได้จดทะเบียนเป็นอาคารชุดและมีห้องชุดที่ใช้เพื่อประกอบการค้าอยู่ก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ดังนั้น นอกจากจะต้องจดทะเบียนเป็นอาคารชุดก่อนวันที่ พ.ร.บ.อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับแล้วยังต้องมีห้องชุดที่ใช้เพื่อประกอบการค้าอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติอาคารชุดฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับด้วย เมื่อจำเลยเพิ่งนําพื้นที่ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด ช. ก่อสร้างร้านกาแฟ ร้านตัดผม ร้านสปา ห้องสำนักงานบริหารโรงแรมของจำเลย ห้องเก็บของและห้องน้ำของจำเลย ภายหลังจาก พ.ร.บ.อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับแล้ว มิใช่กรณีห้องชุดที่ใช้เพื่อประกอบการค้ามีอยู่ก่อนวันที่ พ.ร.บ.อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับ มาตรา 17/1 และมาตรา 65 แห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 จึงมีผลใช้บังคับแก่นิติบุคคลอาคารชุด ช. ด้วย และเมื่อข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ช. ข้อที่ 26.18 กำหนดว่าเจ้าของร่วมหรือผู้ใช้ประโยชน์ห้องชุดจะใช้พื้นที่จอดรถเพื่อการอื่นมิได้นอกจากการใช้เพื่อจอดรถ และจะต้องจอดรถตามตำแหน่งที่จอดรถของอาคารชุดตามข้อตกลงที่ได้กำหนดไว้เท่านั้น และข้อบังคับข้อที่ 26.19 กำหนดให้คณะกรรมการหรือที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมโดยผู้จัดการมีอำนาจในการงดให้บริการสาธารณูปโภค มีอำนาจริบเงินค่าประกันใด ๆ หรือเรียกเก็บค่าเสียหาย หรือระงับยกเลิกมิให้ดำเนินการ หรือสั่งการให้รื้อถอนหรือเข้ารื้อถอนส่วนใด ๆ รวมทั้งสั่งการให้ปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในสภาพเดิมด้วยค่าใช้จ่ายของเจ้าของร่วมนั้น อันเป็นบทบังคับมิให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพย์ส่วนกลางโดยฝ่าฝืนข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ช. และฝ่าฝืนต่อมาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 การลงมติในการประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมครั้งที่ 1/2553 ที่อนุญาตให้จำเลยสามารถนําพื้นที่ส่วนบุคคลของจำเลยและพื้นที่ส่วนกลางไปทำประโยชน์ในเชิงพาณิชย์โดยสร้างร้านกาแฟ ร้านตัดผม ร้านสปา ห้องสำนักงานของจำเลย ห้องเก็บของและห้องน้ำของจำเลยได้ จึงเป็นการขัดต่อข้อบังคับข้อที่ 26.18 นอกจากนั้นจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดในอาคารชุด ช. โดยมีอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดเกินกว่ากึ่งหนึ่งของอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางทั้งหมด จำเลยเพียงผู้เดียวจึงมีคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงทั้งหมด แต่ในการลงมติในการประชุมครั้งดังกล่าวไม่มีการลดจำนวนคะแนนเสียงของจำเลยลงมาเหลือเท่ากับคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมอื่น ๆ รวมกัน ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 45 วรรคสอง มติดังกล่าวจึงไม่ชอบ จำเลยไม่อาจอ้างเอาผลการลงมติดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่ตน การที่จำเลยนําเอาพื้นที่จอดรถส่วนกลางไปประกอบการค้าเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของจำเลยโดยนิติบุคคลอาคารชุด ช. มิได้มีการจัดพื้นที่ของอาคารชุดเพื่อประกอบการค้าไว้ก่อนแล้ว จึงเป็นความผิดตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 17/1, 65 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์และจำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 17/1 วรรคสอง, 65 ปรับ 50,000 บาท และปรับอีกวันละ 5,000 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสี่ คงปรับ 37,500 บาท และปรับอีกวันละ 3,750 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 29/1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า นิติบุคคลอาคารชุด ช. จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลอาคารชุดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2550 โจทก์และนายปธิกร เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในห้องชุดเลขที่ 26/140 ของอาคารชุด ช. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 2240, 2241, 2623 และ 51363 มีอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง 64 ส่วน ใน 60,000 ส่วน จำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทบริษัทจำกัด มีนายสาธร เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนคนหนึ่ง จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในห้องชุดของอาคารชุด ช. ห้องชุดเลขที่ 26/1, 26/2, 26/276 ถึง 284 และจำเลยเป็นเจ้าของผู้ประกอบกิจการโรงแรม ช. ซึ่งมีอาคารประกอบกิจการโรงแรมอยู่ติดกับอาคารของอาคารชุด ช. เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2553 นิติบุคคลอาคารชุด ช. จัดประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมครั้งที่ 1 โดยในวาระที่ 9 เสียงส่วนใหญ่ของเจ้าของร่วมที่เข้าประชุมมีมติให้นิติบุคคลอาคารชุด ช. ลงนามในบันทึกข้อตกลงการใช้ประโยชน์ร่วมกัน การชำระค่าใช้จ่าย และข้อตกลงต่างตอบแทนกับจำเลย นิติบุคคลอาคารชุด ช. ลงนามในบันทึกข้อตกลงการใช้ประโยชน์ร่วมกัน การชำระค่าใช้จ่าย และข้อตกลงต่างตอบแทนกับจำเลยแล้ว แต่ยังมิได้มีการนำมติของที่ประชุมใหญ่ดังกล่าวไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมาจำเลยนำพื้นที่จอดรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนบุคคลของจำเลยและพื้นที่จอดรถยนต์พร้อมทางเดินรถซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด ช. ไปก่อสร้างปรับปรุงเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์เพื่อประโยชน์ของจำเลยโดยก่อสร้างเป็นร้านกาแฟ ร้านตัดผม ร้านสปา ห้องสำนักงานบริหารโรงแรมของจำเลย ห้องเก็บของและห้องน้ำของจำเลยโดยอาศัยบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า มาตรา 17/1 และมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับแก่นิติบุคคลอาคารชุด ช. ด้วย หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 17/1, 65 เมื่อพิจารณาตามพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 6 มีนาคม 2551 ซึ่งมาตรา 2 ของพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป และมาตรา 32 บัญญัติมิให้นำบทบัญญัติในมาตรา 17/1 และมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาใช้บังคับแก่อาคารชุดซึ่งได้จดทะเบียนเป็นอาคารชุดและมีห้องชุดที่ใช้เพื่อการประกอบการค้าอยู่ก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ดังนี้ แม้พระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับในวันที่ 4 กรกฎาคม 2551 อันเป็นวันภายหลังจากที่จดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุด ช. ในวันที่ 28 ธันวาคม 2550 แล้วก็ตาม แต่ตามบทมาตราดังกล่าวนอกจากต้องจดทะเบียนเป็นอาคารชุดก่อนวันที่พระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับแล้วยังต้องมีห้องชุดที่ใช้เพื่อประกอบการค้าอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติอาคารชุดฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับด้วย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยอาศัยการลงนามในบันทึกข้อตกลงการใช้ประโยชน์ร่วมกัน การชำระค่าใช้จ่ายและข้อตกลงต่างตอบแทนระหว่างนิติบุคคลอาคารชุด ช. กับจำเลย ในการก่อสร้างปรับปรุงพื้นที่ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด ช. เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์เพื่อประโยชน์ของจำเลย จึงฟังได้ว่าจำเลยเพิ่งนำพื้นที่ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด ช. ก่อสร้างร้านกาแฟ ร้านตัดผม ร้านสปา ห้องสำนักงานบริหารโรงแรมของจำเลย ห้องเก็บของและห้องน้ำของจำเลยภายหลังการลงนามในวันที่ 22 มีนาคม 2553 อันเป็นเวลาภายหลังจากพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลบังคับใช้แล้ว มิใช่เป็นกรณีห้องชุดที่ใช้เพื่อประกอบการค้ามีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับ ดังนั้น มาตรา 17/1 และมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 จึงมีผลใช้บังคับแก่นิติบุคคลอาคารชุด ช. ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาในปัญหาข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 4 บัญญัติว่า ทรัพย์ส่วนกลาง หมายความถึง ส่วนของอาคารชุดที่มิใช่ห้องชุด ที่ดินที่ตั้งอาคารชุด และที่ดินหรือทรัพย์สินอื่นที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกันสำหรับเจ้าของร่วม และมาตรา 13 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เจ้าของห้องชุดมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนบุคคลที่เป็นของตน และมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลาง ทั้งตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 14 ยังบัญญัติถึงอัตราส่วนในกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลางของเจ้าของร่วมให้เป็นไปตามอัตราส่วนระหว่างเนื้อที่ของห้องชุดแต่ละห้องชุดกับเนื้อที่ของห้องชุดทั้งหมดในอาคารชุดนั้นในขณะที่ขอจดทะเบียนอาคารชุดตามมาตรา 6 ทั้งนี้การดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางตามมาตรา 14 นั้น ก็เพื่อจะได้นำเงินดังกล่าวไปเป็นค่าใช้จ่ายในกิจกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางอันเป็นทรัพย์ที่มีไว้เพื่อประโยชน์ของเจ้าของร่วม ซึ่งเจ้าของร่วมผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการบำรุงรักษาทรัพย์ส่วนกลางย่อมรวมถึงโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในห้องชุดเลขที่ 26/140 ของอาคารชุด ช. โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมและมีสิทธิใช้สอยหรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด ช. รวมถึงมีภาระต้องร่วมรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางด้วย เมื่อพิจารณาประกอบกับข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ช. กำหนดไว้ว่า ถนนภายในบริเวณโครงการ ที่จอดรถส่วนกลางภายในและภายนอก ที่จอดรถยนต์ส่วนกลางเป็นทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด โจทก์จึงมีสิทธิใช้และได้รับประโยชน์จากทรัพย์ส่วนกลางดังกล่าวของนิติบุคคลอาคารชุด ช. ด้วย การที่จำเลยนำพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด ช. และพื้นที่ส่วนบุคคลของจำเลยไปก่อสร้างปรับปรุงเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์เพื่อประโยชน์ของจำเลย โดยก่อสร้างเป็นร้านกาแฟ ร้านตัดผม ร้านสปา ห้องสำนักงานบริหารโรงแรมของจำเลย ห้องเก็บของและห้องน้ำของจำเลย ย่อมส่งผลกระทบต่อโจทก์ในการใช้สอยและได้รับประโยชน์จากทรัพย์ส่วนกลาง จากการที่จำเลยนำทรัพย์ส่วนกลางดังกล่าวไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของจำเลย โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าวจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) และมาตรา 28 (2) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาในปัญหาข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หรือไม่ เห็นว่า ทรัพย์ส่วนกลางเป็นทรัพย์สินอื่นที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกันสำหรับเจ้าของร่วมตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ซึ่งตามมาตรา 17 บัญญัติให้การจัดการและการใช้ทรัพย์ส่วนกลางให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 และตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ทั้งนี้เมื่อพิจารณาข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ช. ข้อที่ 26.18 ซึ่งกำหนดว่าเจ้าของร่วมหรือผู้ใช้ประโยชน์ห้องชุดจะใช้พื้นที่จอดรถเพื่อการอื่นมิได้นอกจากการใช้เพื่อจอดรถ และจะต้องจอดรถตามตำแหน่งที่จอดรถของอาคารชุดตามข้อตกลงที่ได้กำหนดไว้เท่านั้น และข้อบังคับข้อที่ 26.19 ที่ว่าเจ้าของร่วมหรือผู้ใช้ประโยชน์ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อ 26.18 คณะกรรมการหรือที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมโดยผู้จัดการมีอำนาจในการงดให้บริการสาธารณูปโภค มีอำนาจริบเงินค่าประกันใด ๆ หรือเรียกเก็บค่าเสียหาย หรือระงับยกเลิกมิให้ดำเนินการหรือสั่งการให้รื้อถอนหรือเข้ารื้อถอนส่วนใด ๆ รวมทั้งสั่งการให้ปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในสภาพเดิมด้วยค่าใช้จ่ายของเจ้าของร่วมนั้น อันเป็นบทบังคับมิให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพย์ส่วนกลางโดยฝ่าฝืนต่อข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ช. และฝ่าฝืนต่อมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ดังนั้น การลงมติในวาระการประชุมที่ 9 คราวประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2553 ที่อนุญาตให้จำเลยสามารถนำพื้นที่ส่วนบุคคลของจำเลยและพื้นที่ส่วนกลางไปทำประโยชน์ในเชิงพาณิชย์โดยสร้างร้านกาแฟ ร้านตัดผม ร้านสปา ห้องสำนักงานของจำเลย ห้องเก็บของและห้องน้ำของจำเลยได้ อันเป็นการนำเอาทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุดไปใช้เพื่อประโยชน์แก่จำเลย จึงเป็นการขัดต่อข้อบังคับข้อที่ 26.18 นอกจากนี้ตามมาตรา 45 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 บัญญัติว่า ถ้าเจ้าของร่วมคนเดียวมีคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงทั้งหมดให้ลดจำนวนคะแนนเสียงของผู้นั้นลงมาเหลือเท่ากับจำนวนคะแนนเสียงของบรรดาเจ้าของร่วมอื่น ๆ รวมกัน ในส่วนนี้โจทก์นำสืบยืนยันโดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้างเป็นอย่างอื่นว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดในอาคารชุด ช. โดยในอาคาร 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 26/18, 26/25, 26/32 ถึง 34, 26/40 ถึง 42, 26/49, 26/57, 26/66 รวม 11 ห้องชุด มีอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง 1,218 ส่วน ใน 60,000 ส่วน และอาคาร 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 26/276 ถึง 535 รวม 260 ห้องชุด มีอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางอีก 29,648 ส่วน ใน 60,000 ส่วน รวมแล้วจำเลยเพียงผู้เดียวมีอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุด ช. 30,866 ส่วน ใน 60,000 ส่วน คิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 51.44 ส่วนเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดรายอื่น ๆ ในอาคารชุด ช. มีอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางรวมเพียง 26,903 ส่วน คิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 44.84 ดังนั้น จำเลยเพียงผู้เดียวจึงมีคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงทั้งหมด ฉะนั้นในการลงคะแนนเสียงจำเลยจะต้องลดจำนวนคะแนนเสียงของจำเลยลงมาเหลือเท่ากับจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมอื่น ๆ รวมกัน ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 45 วรรคสอง แต่กลับได้ความตามที่จำเลยนำสืบว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2553 มีการประชุมใหญ่ของเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในอาคารชุด ช. และที่ประชุมใหญ่มีมติเสียงข้างมาก 44,149 ส่วน จากทั้งหมด 60,000 ส่วน ให้นิติบุคคลอาคารชุด ช. ทำบันทึกข้อตกลงการใช้ประโยชน์ร่วมกัน การชำระค่าใช้จ่ายและข้อตกลงต่างตอบแทนกับจำเลยได้ โดยไม่ปรากฏว่ามีการลดจำนวนคะแนนเสียงของจำเลยลงมาเหลือเท่ากับจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมอื่น ๆ มติดังกล่าวจึงไม่ชอบ จำเลยไม่อาจอ้างเอาผลการลงมติดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่ตน โดยนำเอาพื้นที่จอดรถส่วนกลางซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด ช. ไปก่อสร้างร้านกาแฟ ร้านตัดผม ร้านสปา ห้องสำนักงานบริหารโรงแรมของจำเลย ห้องเก็บของและห้องน้ำของจำเลยเพื่อผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของจำเลยได้ การที่จำเลยนำเอาพื้นที่ส่วนกลางไปประกอบการค้าเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของจำเลยโดยนิติบุคคลอาคารชุด ช. มิได้มีการจัดพื้นที่ของอาคารชุด ช. เพื่อประกอบการค้าไว้ก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง ดังที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดและถูกต้องแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาในปัญหาข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า มีเหตุที่จะลงโทษสถานเบา หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 65 บัญญัติว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 17/1 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท และปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนอยู่ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 17/1 วรรคสอง, 65 ปรับ 50,000 บาท และปรับอีกวันละ 5,000 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสี่ คงปรับ 37,500 บาท และปรับอีกวันละ 3,750 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนนั้น เป็นการวางโทษและลดโทษให้แก่จำเลยเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ มาตรา 158 (5) หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับวันเดือนปีที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน เป็นการไม่ได้บรรยายฟ้องข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลากระทำความผิด เห็นว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 บัญญัติว่า “ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (1) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฯลฯ เมื่อได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ดนั้น ผู้ออกเช็คมีความผิด” ตามบทบัญญัติดังกล่าวการออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วยอันเป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิด การที่โจทก์บรรยายฟ้องมีสาระสำคัญว่า จำเลยออกเช็คให้แก่โจทก์ อันเนื่องจากมีข้อตกลงการซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างจำเลยกับโจทก์ที่มีต่อกันจำนวนหลายรายการและหลายคราว โดยจำเลยยังคงค้างชำระค่าหุ้นที่จำเลยเป็นผู้ดำเนินการขายหลักทรัพย์ให้แก่โจทก์ ซึ่งเป็นมูลหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ครั้นเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน การกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค จึงเป็นที่เห็นได้ว่าคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และได้บรรยายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยครบถ้วนเพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้แล้ว โดยจำเลยนำสืบต่อสู้ มิได้หลงเข้าใจผิดเกี่ยวกับเวลาที่กระทำความผิด ทั้งโจทก์ยังบรรยายฟ้องด้วยว่า เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระ โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินตามระเบียบวิธีการของธนาคาร แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลเหมือนกันว่า “เงินในบัญชีไม่พอจ่าย” พร้อมทั้งคืนเช็คและใบคืนเช็คให้แก่โจทก์ฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2562 ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2562 ฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562 ฉบับที่ 4 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ฉบับที่ 5 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2562 และฉบับที่ 6 เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2563 โดยโจทก์ได้ส่งสำเนาเช็ค สำเนาใบแจ้งผลเช็คคืน และสำเนาใบนำส่งเช็คคืนและแจ้งการหักบัญชีของเช็คทั้งหกฉบับมาท้ายฟ้อง ซึ่งสำเนาใบแจ้งผลเช็คคืน และสำเนาใบนำส่งเช็คคืนและแจ้งการหักบัญชี ระบุวันที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน คือวันที่ที่โจทก์ได้รับเช็คคืนจากธนาคาร ถือว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิดเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 นับโทษจำเลยทั้งสองสำนวนต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 1768/2562 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 393/2563 (ที่ถูกคือ อ.398/2563) คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 397/2563 ของศาลชั้นต้น และนับโทษในสำนวนแรกต่อจากโทษในสำนวนหลัง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 สำนวนแรก จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง สำนวนหลัง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวมจำคุกสำนวนละ 24 เดือน นับโทษจำคุกสำนวนแรกต่อจากสำนวนหลัง และนับโทษทั้งสองสำนวนนี้ต่อจากโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 1768/2562 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 397/2563 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 398/2563 ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เบื้องต้นโดยคู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2561 จำเลยทำหนังสือยืนยันความรับผิดชอบต่อโจทก์ ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 จำเลยออกเช็คธนาคาร ก. 6 ฉบับ ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 จำนวนเงิน 20,000,000 บาท ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2562 จำนวนเงิน 20,000,000 บาท ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 30 กันยายน 2562 จำนวนเงิน 20,000,000 บาท ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2562 จำนวนเงิน 20,000,000 บาท ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2562 จำนวนเงิน 20,000,000 บาท และฉบับที่ 6 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 จำนวนเงิน 28,106,869 บาท มอบให้แก่โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระ โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินตามวิธีการของธนาคาร แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลเหมือนกันว่า “เงินในบัญชีไม่พอจ่าย” ตามเช็คและใบแจ้งผลเช็คคืน และใบนำส่งเช็คคืนและแจ้งการหักบัญชี
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 บัญญัติว่า “ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (1) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฯลฯ เมื่อได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น ผู้ออกเช็คมีความผิด” ตามบทบัญญัติดังกล่าวการออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วย อันเป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิด การที่โจทก์บรรยายฟ้องทั้งสองสำนวนมีสาระสำคัญว่าจำเลยออกเช็คให้แก่โจทก์ อันเนื่องจากมีข้อตกลงการซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างจำเลยกับโจทก์ที่มีต่อกันจำนวนหลายรายการและหลายคราว โดยจำเลยยังคงค้างชำระค่าหุ้นที่จำเลยเป็นผู้ดำเนินการขายหลักทรัพย์ให้แก่โจทก์ ซึ่งเป็นมูลหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ครั้นเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน การกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค จึงเป็นที่เห็นได้ว่าคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และได้บรรยายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยครบถ้วนเพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้แล้ว โดยจำเลยนำสืบต่อสู้ มิได้หลงเข้าใจผิดเกี่ยวกับเวลาที่กระทำความผิด ทั้งโจทก์ยังบรรยายฟ้องด้วยว่า เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระ โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินตามระเบียบและวิธีการของธนาคาร แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลเหมือนกันว่า “เงินในบัญชีไม่พอจ่าย” พร้อมทั้งคืนเช็คและใบคืนเช็คให้แก่โจทก์ ฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2562 ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2562 ฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562 ฉบับที่ 4 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ฉบับที่ 5 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2562 และฉบับที่ 6 เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2563 โดยโจทก์ได้ส่งสำเนาเช็ค สำเนาใบแจ้งผลเช็คคืน และสำเนาใบนำส่งเช็คคืนและแจ้งการหักบัญชีของเช็คทั้งหกฉบับมาท้ายฟ้อง ซึ่งสำเนาใบแจ้งผลเช็คคืน และสำเนาใบนำส่งเช็คคืนและแจ้งการหักบัญชี ระบุวันที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน คือวันที่ที่โจทก์ได้รับเช็คคืนจากธนาคาร ถือว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิดเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า จำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์เบิกความยืนยันถึงมูลหนี้ที่จำเลยออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นลำดับ และมีรายการสถานะหุ้นและเงินล่าสุดประจำวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นพยานหลักฐานสนับสนุน โดยจำเลยมิได้นำสืบปฏิเสธเกี่ยวกับเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว เท่ากับจำเลยยอมรับว่าได้ทำหนังสือยืนยันความรับผิดชอบต่อโจทก์ โดยออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับมอบให้แก่โจทก์ ซึ่งหนังสือยืนยันความรับผิดชอบ ข้อ 1 มีข้อความระบุว่า ฝ่ายที่หนึ่ง (จำเลย) ค้างชำระค่าหุ้นที่ฝ่ายที่หนึ่งเป็นผู้ดำเนินการขายหลักทรัพย์ให้แก่ฝ่ายที่สอง (โจทก์) เป็นเงิน 128,106,869 บาท โดยฝ่ายที่หนึ่งตกลงจะชำระค่าหุ้นให้แก่ฝ่ายที่สองเป็นงวด ๆ ดังต่อไปนี้ ...ในการชำระเงินดังกล่าวข้างต้น ฝ่ายที่หนึ่งตกลงชำระเป็นเช็คธนาคารทั้งหมด 6 ฉบับ ให้แก่ฝ่ายที่สอง โดยระบุรายการเช็คที่จำเลยสั่งจ่าย 6 ฉบับ ซึ่งมียอดเงินตรงกันกับยอดเงินตามที่ระบุว่าจำเลยจะชำระค่าหุ้นให้แก่โจทก์ในแต่ละงวด และมีรายละเอียดตรงกับเช็คพิพาททั้งหกฉบับทุกประการ หนังสือยืนยันความรับผิดชอบดังกล่าว ไม่มีข้อความตอนใดที่แสดงให้เห็นว่ายอดหนี้ 128,106,869 บาท เป็นยอดหนี้ประมาณการที่ยังไม่หักต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยอ้างว่าจำเลยได้ให้หุ้นลมหรือหุ้นที่ไม่ใช้เงินแก่โจทก์ไปลงทุนนั้น จำเลยกลับเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านรับว่า รายการหุ้นตามเอกสารหมาย จ.8 เป็นหุ้นที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ไม่อาจซื้อขายเป็นหุ้นลมได้ โดยจะต้องมีการเปิดบัญชีและหลักทรัพย์ค้ำประกัน และหุ้นตามรายการดังกล่าวโจทก์มอบหมายให้จำเลยทำการซื้อผ่านตลาดหลักทรัพย์ ข้อกล่าวอ้างของจำเลยจึงมีพิรุธไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ หากเป็นการร่วมลงทุนดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ย่อมต้องเป็นการลงทุนเพื่อนำผลกำไรมาแบ่งปันกัน ขณะเดียวกันก็ต้องรับผิดชอบในผลขาดทุนร่วมกัน ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์กับจำเลยตกลงที่จะร่วมลงทุนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ด้วยกัน แต่โจทก์ไม่มีเงินลงทุน จำเลยจึงได้ให้หุ้นลมหรือหุ้นที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนแก่โจทก์ไปลงทุนก่อน เมื่อขายหุ้นได้กำไรก็จะนำมาแบ่งกัน แต่ถ้าขายแล้วขาดทุน จำเลยจะเป็นผู้รับผิดชอบเพียงคนเดียวจึงขัดต่อเหตุผล พฤติการณ์เชื่อว่าโจทก์ฝากเงินจำเลยไปลงทุนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจริง เมื่อจำเลยยอมรับว่าลงลายมือชื่อในหนังสือยืนยันความรับผิดชอบและออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับมอบให้แก่โจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่โจทก์ ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่าโจทก์หลอกลวงให้จำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือยืนยันความรับผิดชอบและออกเช็คพิพาทโดยบอกว่าจะไม่ฟ้องคดีนั้น ได้ความจากจำเลยเบิกความว่า ณ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 มีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 128,000,000 บาทเศษ จำเลยกับโจทก์จึงร่วมกันทำรายการสถานะหุ้นและเงินล่าสุดประจำวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 โจทก์บอกว่าต้องการใช้เงิน จึงให้จำเลยออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับให้แก่โจทก์ ยอดกำไรดังกล่าวยังไม่หักยอดหุ้นบางตัวที่ยังไม่ขายและอาจจะขาดทุน โจทก์บอกว่าหุ้นตัวที่ขาดทุนไม่ต้องมาหักจากโจทก์ได้หรือไม่ จำเลยบอกว่าไม่มีปัญหา จึงเป็นการยอมรับว่าจำเลยออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่โจทก์ ทั้งหากจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.1 และออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับเป็นจำนวนเงินรวมกันสูงถึง 128,000,000 บาทเศษ จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่โจทก์ตามหนังสือยืนยันความรับผิดชอบ อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อธนาคารตามเช็คพิพาททั้งหกฉบับปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลเหมือนกันว่า “เงินในบัญชีไม่พอจ่าย” การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อล้วนฟังไม่ขึ้น ส่วนข้ออ้างอื่น ๆ ในฎีกาของจำเลยนอกจากที่วินิจฉัยมาแล้ว ไม่เป็นสาระสำคัญอันจะทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ มาตรา 158 (5) หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับวันเดือนปีที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน เป็นการไม่ได้บรรยายฟ้องข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลากระทำความผิด เห็นว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 บัญญัติว่า “ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (1) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฯลฯ เมื่อได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ดนั้น ผู้ออกเช็คมีความผิด” ตามบทบัญญัติดังกล่าวการออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วยอันเป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิด การที่โจทก์บรรยายฟ้องมีสาระสำคัญว่า จำเลยออกเช็คให้แก่โจทก์ อันเนื่องจากมีข้อตกลงการซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างจำเลยกับโจทก์ที่มีต่อกันจำนวนหลายรายการและหลายคราว โดยจำเลยยังคงค้างชำระค่าหุ้นที่จำเลยเป็นผู้ดำเนินการขายหลักทรัพย์ให้แก่โจทก์ ซึ่งเป็นมูลหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ครั้นเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน การกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค จึงเป็นที่เห็นได้ว่าคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และได้บรรยายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยครบถ้วนเพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้แล้ว โดยจำเลยนำสืบต่อสู้ มิได้หลงเข้าใจผิดเกี่ยวกับเวลาที่กระทำความผิด ทั้งโจทก์ยังบรรยายฟ้องด้วยว่า เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระ โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินตามระเบียบวิธีการของธนาคาร แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลเหมือนกันว่า “เงินในบัญชีไม่พอจ่าย” พร้อมทั้งคืนเช็คและใบคืนเช็คให้แก่โจทก์ฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2562 ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2562 ฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562 ฉบับที่ 4 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ฉบับที่ 5 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2562 และฉบับที่ 6 เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2563 โดยโจทก์ได้ส่งสำเนาเช็ค สำเนาใบแจ้งผลเช็คคืน และสำเนาใบนำส่งเช็คคืนและแจ้งการหักบัญชีของเช็คทั้งหกฉบับมาท้ายฟ้อง ซึ่งสำเนาใบแจ้งผลเช็คคืน และสำเนาใบนำส่งเช็คคืนและแจ้งการหักบัญชี ระบุวันที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน คือวันที่ที่โจทก์ได้รับเช็คคืนจากธนาคาร ถือว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิดเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 นับโทษจำเลยทั้งสองสำนวนต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 1768/2562 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 393/2563 (ที่ถูกคือ อ.398/2563) คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 397/2563 ของศาลชั้นต้น และนับโทษในสำนวนแรกต่อจากโทษในสำนวนหลัง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 สำนวนแรก จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง สำนวนหลัง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวมจำคุกสำนวนละ 24 เดือน นับโทษจำคุกสำนวนแรกต่อจากสำนวนหลัง และนับโทษทั้งสองสำนวนนี้ต่อจากโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 1768/2562 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 397/2563 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 398/2563 ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เบื้องต้นโดยคู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2561 จำเลยทำหนังสือยืนยันความรับผิดชอบต่อโจทก์ ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 จำเลยออกเช็คธนาคาร ก. 6 ฉบับ ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 จำนวนเงิน 20,000,000 บาท ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2562 จำนวนเงิน 20,000,000 บาท ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 30 กันยายน 2562 จำนวนเงิน 20,000,000 บาท ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2562 จำนวนเงิน 20,000,000 บาท ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2562 จำนวนเงิน 20,000,000 บาท และฉบับที่ 6 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 จำนวนเงิน 28,106,869 บาท มอบให้แก่โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระ โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินตามวิธีการของธนาคาร แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลเหมือนกันว่า “เงินในบัญชีไม่พอจ่าย” ตามเช็คและใบแจ้งผลเช็คคืน และใบนำส่งเช็คคืนและแจ้งการหักบัญชี
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 บัญญัติว่า “ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (1) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฯลฯ เมื่อได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น ผู้ออกเช็คมีความผิด” ตามบทบัญญัติดังกล่าวการออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วย อันเป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิด การที่โจทก์บรรยายฟ้องทั้งสองสำนวนมีสาระสำคัญว่าจำเลยออกเช็คให้แก่โจทก์ อันเนื่องจากมีข้อตกลงการซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างจำเลยกับโจทก์ที่มีต่อกันจำนวนหลายรายการและหลายคราว โดยจำเลยยังคงค้างชำระค่าหุ้นที่จำเลยเป็นผู้ดำเนินการขายหลักทรัพย์ให้แก่โจทก์ ซึ่งเป็นมูลหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ครั้นเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน การกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค จึงเป็นที่เห็นได้ว่าคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และได้บรรยายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยครบถ้วนเพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้แล้ว โดยจำเลยนำสืบต่อสู้ มิได้หลงเข้าใจผิดเกี่ยวกับเวลาที่กระทำความผิด ทั้งโจทก์ยังบรรยายฟ้องด้วยว่า เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระ โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินตามระเบียบและวิธีการของธนาคาร แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลเหมือนกันว่า “เงินในบัญชีไม่พอจ่าย” พร้อมทั้งคืนเช็คและใบคืนเช็คให้แก่โจทก์ ฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2562 ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2562 ฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562 ฉบับที่ 4 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ฉบับที่ 5 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2562 และฉบับที่ 6 เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2563 โดยโจทก์ได้ส่งสำเนาเช็ค สำเนาใบแจ้งผลเช็คคืน และสำเนาใบนำส่งเช็คคืนและแจ้งการหักบัญชีของเช็คทั้งหกฉบับมาท้ายฟ้อง ซึ่งสำเนาใบแจ้งผลเช็คคืน และสำเนาใบนำส่งเช็คคืนและแจ้งการหักบัญชี ระบุวันที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน คือวันที่ที่โจทก์ได้รับเช็คคืนจากธนาคาร ถือว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิดเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า จำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์เบิกความยืนยันถึงมูลหนี้ที่จำเลยออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นลำดับ และมีรายการสถานะหุ้นและเงินล่าสุดประจำวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นพยานหลักฐานสนับสนุน โดยจำเลยมิได้นำสืบปฏิเสธเกี่ยวกับเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว เท่ากับจำเลยยอมรับว่าได้ทำหนังสือยืนยันความรับผิดชอบต่อโจทก์ โดยออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับมอบให้แก่โจทก์ ซึ่งหนังสือยืนยันความรับผิดชอบ ข้อ 1 มีข้อความระบุว่า ฝ่ายที่หนึ่ง (จำเลย) ค้างชำระค่าหุ้นที่ฝ่ายที่หนึ่งเป็นผู้ดำเนินการขายหลักทรัพย์ให้แก่ฝ่ายที่สอง (โจทก์) เป็นเงิน 128,106,869 บาท โดยฝ่ายที่หนึ่งตกลงจะชำระค่าหุ้นให้แก่ฝ่ายที่สองเป็นงวด ๆ ดังต่อไปนี้ ...ในการชำระเงินดังกล่าวข้างต้น ฝ่ายที่หนึ่งตกลงชำระเป็นเช็คธนาคารทั้งหมด 6 ฉบับ ให้แก่ฝ่ายที่สอง โดยระบุรายการเช็คที่จำเลยสั่งจ่าย 6 ฉบับ ซึ่งมียอดเงินตรงกันกับยอดเงินตามที่ระบุว่าจำเลยจะชำระค่าหุ้นให้แก่โจทก์ในแต่ละงวด และมีรายละเอียดตรงกับเช็คพิพาททั้งหกฉบับทุกประการ หนังสือยืนยันความรับผิดชอบดังกล่าว ไม่มีข้อความตอนใดที่แสดงให้เห็นว่ายอดหนี้ 128,106,869 บาท เป็นยอดหนี้ประมาณการที่ยังไม่หักต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยอ้างว่าจำเลยได้ให้หุ้นลมหรือหุ้นที่ไม่ใช้เงินแก่โจทก์ไปลงทุนนั้น จำเลยกลับเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านรับว่า รายการหุ้นตามเอกสารหมาย จ.8 เป็นหุ้นที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ไม่อาจซื้อขายเป็นหุ้นลมได้ โดยจะต้องมีการเปิดบัญชีและหลักทรัพย์ค้ำประกัน และหุ้นตามรายการดังกล่าวโจทก์มอบหมายให้จำเลยทำการซื้อผ่านตลาดหลักทรัพย์ ข้อกล่าวอ้างของจำเลยจึงมีพิรุธไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ หากเป็นการร่วมลงทุนดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ย่อมต้องเป็นการลงทุนเพื่อนำผลกำไรมาแบ่งปันกัน ขณะเดียวกันก็ต้องรับผิดชอบในผลขาดทุนร่วมกัน ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์กับจำเลยตกลงที่จะร่วมลงทุนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ด้วยกัน แต่โจทก์ไม่มีเงินลงทุน จำเลยจึงได้ให้หุ้นลมหรือหุ้นที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนแก่โจทก์ไปลงทุนก่อน เมื่อขายหุ้นได้กำไรก็จะนำมาแบ่งกัน แต่ถ้าขายแล้วขาดทุน จำเลยจะเป็นผู้รับผิดชอบเพียงคนเดียวจึงขัดต่อเหตุผล พฤติการณ์เชื่อว่าโจทก์ฝากเงินจำเลยไปลงทุนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจริง เมื่อจำเลยยอมรับว่าลงลายมือชื่อในหนังสือยืนยันความรับผิดชอบและออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับมอบให้แก่โจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่โจทก์ ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่าโจทก์หลอกลวงให้จำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือยืนยันความรับผิดชอบและออกเช็คพิพาทโดยบอกว่าจะไม่ฟ้องคดีนั้น ได้ความจากจำเลยเบิกความว่า ณ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 มีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 128,000,000 บาทเศษ จำเลยกับโจทก์จึงร่วมกันทำรายการสถานะหุ้นและเงินล่าสุดประจำวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 โจทก์บอกว่าต้องการใช้เงิน จึงให้จำเลยออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับให้แก่โจทก์ ยอดกำไรดังกล่าวยังไม่หักยอดหุ้นบางตัวที่ยังไม่ขายและอาจจะขาดทุน โจทก์บอกว่าหุ้นตัวที่ขาดทุนไม่ต้องมาหักจากโจทก์ได้หรือไม่ จำเลยบอกว่าไม่มีปัญหา จึงเป็นการยอมรับว่าจำเลยออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่โจทก์ ทั้งหากจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.1 และออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับเป็นจำนวนเงินรวมกันสูงถึง 128,000,000 บาทเศษ จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่โจทก์ตามหนังสือยืนยันความรับผิดชอบ อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อธนาคารตามเช็คพิพาททั้งหกฉบับปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลเหมือนกันว่า “เงินในบัญชีไม่พอจ่าย” การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อล้วนฟังไม่ขึ้น ส่วนข้ออ้างอื่น ๆ ในฎีกาของจำเลยนอกจากที่วินิจฉัยมาแล้ว ไม่เป็นสาระสำคัญอันจะทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำความผิด ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่าไม่มีเจตนากระทำความผิดเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งขัดแย้งกับคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
ป.รัษฎากร บัญญัติให้ผู้ใช้ใบกำกับภาษีปลอม ต้องรับผิดทางแพ่งโดยเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามมาตรา 89 (7) และ 89/1 และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 90/4 (7) อีกทางหนึ่งด้วย การที่จำเลยทั้งสองชำระค่าภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามฟ้อง ข้อ 1.3 และ 1.4 ครบถ้วนก็เป็นเรื่องของความรับผิดทางแพ่งมีผลให้หนี้ภาษีอันเป็นหนี้ทางแพ่งระงับ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับความรับผิดทางอาญาหาใช่ทำให้ความรับผิดทางอาญาระงับไปด้วยไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลรัษฎากร มาตรา 90/4 (7), 90/5 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 90/4 (7) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 90/4 (7), 90/5 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 100,000 บาท รวม 4 กระทง ปรับเป็นเงิน 400,000 บาท ให้จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 2 ปี รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 8 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาท คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับการกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1.1 และข้อ 1.2 เป็นการกระทำกรรมเดียว ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองเพียงกระทงเดียว และเมื่อรวมกับโทษตามฟ้องข้อ 1.3 และข้อ 1.4 แล้ว เป็น 3 กระทง ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 50,000 บาท รวม 3 กระทง เป็นปรับ 150,000 บาท ให้จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 75,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำความผิด ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่าไม่มีเจตนากระทำความผิดเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งขัดแย้งกับคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการต่อมาว่า จำเลยทั้งสองชำระค่าภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มสำหรับเดือนภาษีกรกฎาคม 2556 และเดือนภาษีพฤศจิกายน 2556 ตามฟ้องข้อ 1.3 และ 1.4 ครบถ้วนแล้ว ความรับผิดทางอาญาตามฟ้องข้อ 1.3 และ 1.4 ของจำเลยทั้งสองระงับไปหรือไม่ เห็นว่า ประมวลรัษฎากรบัญญัติให้ผู้ใช้ใบกำกับภาษีปลอม ต้องรับผิดทางแพ่งโดยเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ตามมาตรา 89 (7) และ 89/1 และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 90/4 (7) อีกทางหนึ่งด้วย การที่จำเลยทั้งสองชำระค่าภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามฟ้องข้อ 1.3 และ 1.4 ครบถ้วนก็เป็นเรื่องของความรับผิดทางแพ่ง มีผลให้หนี้ภาษีอันเป็นหนี้ทางแพ่งระงับ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับความรับผิดทางอาญาหาใช่ทำให้ความรับผิดทางอาญาระงับไปด้วยไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการสุดท้ายว่า มีเหตุรอการลงโทษหรือลงโทษสถานเบาให้แก่จำเลยที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งมีฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ร่วมใช้ใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไปใช้ในการเครดิตภาษีเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการทุจริตแสวงหาประโยชน์จากการคดโกงภาษีของรัฐ ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจถือได้ว่าเป็นความผิดร้ายแรง แม้จำเลยที่ 2 จะให้การรับสารภาพและไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงถึงสภาพความผิดแล้วไม่ควรรอการลงโทษให้ ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 มานั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่เมื่อจำเลยทั้งสองได้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กรมสรรพากรไปแล้วบางส่วนคงเหลือเพียงหนี้ภาษีสำหรับเดือนภาษีสิงหาคม 2555 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 1 ปี เป็นการใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยที่ 2 หนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่รูปคดี ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 4 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำความผิด ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่าไม่มีเจตนากระทำความผิดเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งขัดแย้งกับคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
ป.รัษฎากร บัญญัติให้ผู้ใช้ใบกำกับภาษีปลอม ต้องรับผิดทางแพ่งโดยเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามมาตรา 89 (7) และ 89/1 และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 90/4 (7) อีกทางหนึ่งด้วย การที่จำเลยทั้งสองชำระค่าภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามฟ้อง ข้อ 1.3 และ 1.4 ครบถ้วนก็เป็นเรื่องของความรับผิดทางแพ่งมีผลให้หนี้ภาษีอันเป็นหนี้ทางแพ่งระงับ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับความรับผิดทางอาญาหาใช่ทำให้ความรับผิดทางอาญาระงับไปด้วยไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลรัษฎากร มาตรา 90/4 (7), 90/5 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 90/4 (7) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 90/4 (7), 90/5 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 100,000 บาท รวม 4 กระทง ปรับเป็นเงิน 400,000 บาท ให้จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 2 ปี รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 8 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาท คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับการกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1.1 และข้อ 1.2 เป็นการกระทำกรรมเดียว ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองเพียงกระทงเดียว และเมื่อรวมกับโทษตามฟ้องข้อ 1.3 และข้อ 1.4 แล้ว เป็น 3 กระทง ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 50,000 บาท รวม 3 กระทง เป็นปรับ 150,000 บาท ให้จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 75,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำความผิด ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่าไม่มีเจตนากระทำความผิดเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งขัดแย้งกับคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการต่อมาว่า จำเลยทั้งสองชำระค่าภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มสำหรับเดือนภาษีกรกฎาคม 2556 และเดือนภาษีพฤศจิกายน 2556 ตามฟ้องข้อ 1.3 และ 1.4 ครบถ้วนแล้ว ความรับผิดทางอาญาตามฟ้องข้อ 1.3 และ 1.4 ของจำเลยทั้งสองระงับไปหรือไม่ เห็นว่า ประมวลรัษฎากรบัญญัติให้ผู้ใช้ใบกำกับภาษีปลอม ต้องรับผิดทางแพ่งโดยเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ตามมาตรา 89 (7) และ 89/1 และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 90/4 (7) อีกทางหนึ่งด้วย การที่จำเลยทั้งสองชำระค่าภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามฟ้องข้อ 1.3 และ 1.4 ครบถ้วนก็เป็นเรื่องของความรับผิดทางแพ่ง มีผลให้หนี้ภาษีอันเป็นหนี้ทางแพ่งระงับ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับความรับผิดทางอาญาหาใช่ทำให้ความรับผิดทางอาญาระงับไปด้วยไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการสุดท้ายว่า มีเหตุรอการลงโทษหรือลงโทษสถานเบาให้แก่จำเลยที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งมีฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ร่วมใช้ใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไปใช้ในการเครดิตภาษีเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการทุจริตแสวงหาประโยชน์จากการคดโกงภาษีของรัฐ ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจถือได้ว่าเป็นความผิดร้ายแรง แม้จำเลยที่ 2 จะให้การรับสารภาพและไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงถึงสภาพความผิดแล้วไม่ควรรอการลงโทษให้ ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 มานั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่เมื่อจำเลยทั้งสองได้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กรมสรรพากรไปแล้วบางส่วนคงเหลือเพียงหนี้ภาษีสำหรับเดือนภาษีสิงหาคม 2555 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 1 ปี เป็นการใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยที่ 2 หนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่รูปคดี ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 4 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก บัญญัติว่า “เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง หรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลัง แล้วแต่กรณี” ดังนั้น เมื่อคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1193/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 30,000 บาท เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1930/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 40,000 บาท เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2560 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1582/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 120,000 บาท เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 โดยศาลในทั้งสามคดีรอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนดคดีละ 2 ปี ทั้งนี้ การที่ศาลที่พิพากษาคดีหลังจะนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษจำเลยไว้ในคดีก่อนทั้งสามคดีมาบวกเข้ากับโทษจำคุกจำเลยในคดีหลังได้ จะต้องได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีหลังในระหว่างเวลาที่ยังอยู่ภายในกำหนดเวลาการรอการลงโทษจำคุกจำเลยในคดีก่อน แต่คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถจัดหางานหรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศ และฐานฉ้อโกง อันเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 โดยความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวล้วนเป็นความผิดสำเร็จเมื่อผู้กระทำความผิดลงมือหลอกลวงและได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหาย มิใช่ความผิดต่อเนื่องกัน การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงเท่ากับกล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องทั้งภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษและภายหลังจากนั้น กรณีจึงมิต้องตาม ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก และไม่อาจนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนทั้งสามคดีมาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำคุกของจำเลยในคดีนี้ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 4, 91 ตรี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 341 ให้จำเลยคืนเงิน 25,000 บาท แก่ผู้เสียหาย และบวกโทษจำคุกจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1193/2560 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1930/2560 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1582/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว เข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน บวกโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน, 1 ปี 6 เดือน และ 4 ปี 6 เดือน ของจำเลย ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1193/2560 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1930/2560 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1582/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว เข้ากับโทษจำคุกคดีนี้ เป็นจำคุก 7 ปี 24 เดือน ให้จำเลยคืนเงิน 15,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำหน่ายคดีเฉพาะความผิดฐานฉ้อโกงเสียจากสารบบความ ยกคำขอให้จำเลยคืนเงินที่ฉ้อโกงไปแก่ผู้เสียหาย ไม่นำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1193/2560 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1930/2560 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1582/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว บวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ คงจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า จำเลยกระทำความผิดฐานหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถจัดหางานหรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ว่า จำเลยหลอกลวงผู้เสียหาย และผู้เสียหายส่งมอบเงิน 25,000 บาท ให้แก่จำเลย ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ต่อมาผู้เสียหายรู้ว่าถูกจำเลยหลอกลวงเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ไม่ได้กล่าวไว้ในฟ้อง อีกทั้งโจทก์มิได้นำสืบพยานหลักฐานไว้ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โดยโจทก์เพิ่งจะยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นว่าในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง อันต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า สามารถบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษจำเลยไว้ในคดีก่อนทั้งสามคดีเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคแรก บัญญัติว่า “เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง หรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลัง แล้วแต่กรณี” ดังนั้น เมื่อคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1193/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 30,000 บาท เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1930/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 40,000 บาท เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2560 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1582/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 120,000 บาท เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 โดยศาลในทั้งสามคดีรอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนดคดีละ 2 ปี ทั้งนี้ การที่ศาลที่พิพากษาคดีหลังจะนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษจำเลยไว้ในคดีก่อนทั้งสามคดีมาบวกเข้ากับโทษจำคุกจำเลยในคดีหลังได้ จะต้องได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีหลังในระหว่างเวลาที่ยังอยู่ภายในกำหนดเวลาการรอการลงโทษจำคุกจำเลยในคดีก่อน แต่คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถจัดหางานหรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ และฐานฉ้อโกง อันเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 โดยความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวล้วนเป็นความผิดสำเร็จเมื่อผู้กระทำความผิดลงมือหลอกลวงและได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหาย มิใช่ความผิดต่อเนื่องกันดังที่โจทก์ฎีกา การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงเท่ากับกล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องทั้งภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษและภายหลังจากนั้นกรณีจึงมิต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคแรก และไม่อาจนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนทั้งสามคดีมาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน โดยไม่นำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1193/2560 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1930/2560 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1582/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว มาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก บัญญัติว่า “เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง หรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลัง แล้วแต่กรณี” ดังนั้น เมื่อคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1193/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 30,000 บาท เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1930/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 40,000 บาท เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2560 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1582/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 120,000 บาท เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 โดยศาลในทั้งสามคดีรอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนดคดีละ 2 ปี ทั้งนี้ การที่ศาลที่พิพากษาคดีหลังจะนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษจำเลยไว้ในคดีก่อนทั้งสามคดีมาบวกเข้ากับโทษจำคุกจำเลยในคดีหลังได้ จะต้องได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีหลังในระหว่างเวลาที่ยังอยู่ภายในกำหนดเวลาการรอการลงโทษจำคุกจำเลยในคดีก่อน แต่คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถจัดหางานหรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศ และฐานฉ้อโกง อันเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 โดยความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวล้วนเป็นความผิดสำเร็จเมื่อผู้กระทำความผิดลงมือหลอกลวงและได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหาย มิใช่ความผิดต่อเนื่องกัน การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงเท่ากับกล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องทั้งภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษและภายหลังจากนั้น กรณีจึงมิต้องตาม ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก และไม่อาจนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนทั้งสามคดีมาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำคุกของจำเลยในคดีนี้ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 4, 91 ตรี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 341 ให้จำเลยคืนเงิน 25,000 บาท แก่ผู้เสียหาย และบวกโทษจำคุกจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1193/2560 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1930/2560 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1582/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว เข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน บวกโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน, 1 ปี 6 เดือน และ 4 ปี 6 เดือน ของจำเลย ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1193/2560 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1930/2560 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1582/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว เข้ากับโทษจำคุกคดีนี้ เป็นจำคุก 7 ปี 24 เดือน ให้จำเลยคืนเงิน 15,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำหน่ายคดีเฉพาะความผิดฐานฉ้อโกงเสียจากสารบบความ ยกคำขอให้จำเลยคืนเงินที่ฉ้อโกงไปแก่ผู้เสียหาย ไม่นำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1193/2560 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1930/2560 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1582/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว บวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ คงจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า จำเลยกระทำความผิดฐานหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถจัดหางานหรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ว่า จำเลยหลอกลวงผู้เสียหาย และผู้เสียหายส่งมอบเงิน 25,000 บาท ให้แก่จำเลย ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ต่อมาผู้เสียหายรู้ว่าถูกจำเลยหลอกลวงเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ไม่ได้กล่าวไว้ในฟ้อง อีกทั้งโจทก์มิได้นำสืบพยานหลักฐานไว้ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โดยโจทก์เพิ่งจะยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นว่าในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง อันต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า สามารถบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษจำเลยไว้ในคดีก่อนทั้งสามคดีเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคแรก บัญญัติว่า “เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง หรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลัง แล้วแต่กรณี” ดังนั้น เมื่อคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1193/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 30,000 บาท เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1930/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 40,000 บาท เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2560 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1582/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 120,000 บาท เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 โดยศาลในทั้งสามคดีรอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนดคดีละ 2 ปี ทั้งนี้ การที่ศาลที่พิพากษาคดีหลังจะนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษจำเลยไว้ในคดีก่อนทั้งสามคดีมาบวกเข้ากับโทษจำคุกจำเลยในคดีหลังได้ จะต้องได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีหลังในระหว่างเวลาที่ยังอยู่ภายในกำหนดเวลาการรอการลงโทษจำคุกจำเลยในคดีก่อน แต่คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถจัดหางานหรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ และฐานฉ้อโกง อันเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 โดยความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวล้วนเป็นความผิดสำเร็จเมื่อผู้กระทำความผิดลงมือหลอกลวงและได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหาย มิใช่ความผิดต่อเนื่องกันดังที่โจทก์ฎีกา การบรรยายฟ้องของโจทก์จึงเท่ากับกล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องทั้งภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษและภายหลังจากนั้นกรณีจึงมิต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคแรก และไม่อาจนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนทั้งสามคดีมาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาลงโทษจำเลยให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน โดยไม่นำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1193/2560 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1930/2560 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1582/2560 ของศาลจังหวัดภูเขียว มาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
แม้โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 เกินกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคหนึ่ง แต่นอกจากจำเลยที่ 2 จะถูกฟ้องในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันแล้ว ยังถูกฟ้องในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างจำเลยที่ 1 อีกด้วย จำเลยที่ 2 จึงเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดซึ่งต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างจำเลยที่ 1 ไม่มีจำกัด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1070, 1077 (2) ประกอบมาตรา 1087 จำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดไม่ถูกจำกัดความรับผิดดังเช่นในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกัน จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในต้นเงินและดอกเบี้ยตลอดจนค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยของค่าธรรมเนียมดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 720,400.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 586,686.45 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 21,087.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 720,400.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ของต้นเงิน 607,773.95 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 มกราคม 2564) ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินคงเหลือนับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลาที่มีพระราชกฤษฎีกาประกาศให้มีผลบังคับ แต่ดอกเบี้ยทุกช่วงเวลาให้ไม่เกินอัตราร้อยละ 10 ต่อปี หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แทน ส่วนดอกเบี้ยให้ร่วมรับผิดนับแต่วันที่ 29 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 28 มิถุนายน 2563 กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 720,400.35 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ของต้นเงิน 607,773.95 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์โดยไม่จำกัดจำนวนหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อลูกหนี้ผิดนัด ให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด…และวรรคสองบัญญัติว่า ในกรณีที่เจ้าหนี้มิได้มีหนังสือบอกกล่าวภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง แม้ปรากฏว่าโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 เกินกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ 29 เมษายน 2563 อันเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดก็ตาม แต่นอกจากจำเลยที่ 2 จะถูกฟ้องในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันแล้ว ยังถูกฟ้องในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างจำเลยที่ 1 อีกด้วย จำเลยที่ 2 จึงเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดซึ่งต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างจำเลยที่ 1 ไม่มีจำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1070, 1077 (2) ประกอบมาตรา 1087 จำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดไม่ถูกจำกัดความรับผิดดังเช่นในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกัน จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในต้นเงินและดอกเบี้ยตลอดจนค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยของค่าธรรมเนียมดังกล่าว ปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่วินิจฉัยให้ เป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดเป็นเงิน 720,400.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ของต้นเงิน 607,773.95 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
แม้โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 เกินกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคหนึ่ง แต่นอกจากจำเลยที่ 2 จะถูกฟ้องในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันแล้ว ยังถูกฟ้องในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างจำเลยที่ 1 อีกด้วย จำเลยที่ 2 จึงเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดซึ่งต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างจำเลยที่ 1 ไม่มีจำกัด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1070, 1077 (2) ประกอบมาตรา 1087 จำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดไม่ถูกจำกัดความรับผิดดังเช่นในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกัน จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในต้นเงินและดอกเบี้ยตลอดจนค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยของค่าธรรมเนียมดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 720,400.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 586,686.45 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 21,087.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 720,400.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ของต้นเงิน 607,773.95 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 มกราคม 2564) ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินคงเหลือนับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลาที่มีพระราชกฤษฎีกาประกาศให้มีผลบังคับ แต่ดอกเบี้ยทุกช่วงเวลาให้ไม่เกินอัตราร้อยละ 10 ต่อปี หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แทน ส่วนดอกเบี้ยให้ร่วมรับผิดนับแต่วันที่ 29 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 28 มิถุนายน 2563 กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 720,400.35 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ของต้นเงิน 607,773.95 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์โดยไม่จำกัดจำนวนหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อลูกหนี้ผิดนัด ให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด…และวรรคสองบัญญัติว่า ในกรณีที่เจ้าหนี้มิได้มีหนังสือบอกกล่าวภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง แม้ปรากฏว่าโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 เกินกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ 29 เมษายน 2563 อันเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดก็ตาม แต่นอกจากจำเลยที่ 2 จะถูกฟ้องในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันแล้ว ยังถูกฟ้องในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างจำเลยที่ 1 อีกด้วย จำเลยที่ 2 จึงเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดซึ่งต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างจำเลยที่ 1 ไม่มีจำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1070, 1077 (2) ประกอบมาตรา 1087 จำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดไม่ถูกจำกัดความรับผิดดังเช่นในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกัน จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในต้นเงินและดอกเบี้ยตลอดจนค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยของค่าธรรมเนียมดังกล่าว ปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่วินิจฉัยให้ เป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดเป็นเงิน 720,400.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ของต้นเงิน 607,773.95 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การลงโทษปรับแก่ผู้กระทำความผิดหลายคนที่ร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรในขณะที่ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 มีผลใช้บังคับ ต้องกำหนดให้ผู้ร่วมกระทำความผิดรับผิดรวมกันเป็นเงินจำนวนสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว เมื่อมาตรา 27 ทวิ เป็นบทบัญญัติต่อท้ายและเป็นความผิดต่อเนื่องจากมาตรา 27 ก็ต้องบังคับเรื่องโทษปรับเช่นเดียวกัน แต่ต่อมาภายหลังได้มี พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 3 ให้ยกเลิก พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 โดย พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 บัญญัติให้การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสี่ตามฟ้องฐานร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบของนั้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ เห็นได้ว่า พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 บัญญัติไว้แตกต่างจาก พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 โดย พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 ไม่มีข้อความว่า “สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ” ดังเช่น พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ดังนั้น พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นภายหลังและใช้ในขณะจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดจึงมีวัตถุประสงค์ลงโทษปรับแก่จำเลยเป็นรายบุคคลโดยไม่พักต้องคำนึงถึงจำนวนรวมของค่าปรับสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ดังเช่น พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่เดิม ไม่อาจนำกรณีของมาตรา 27 กับมาตรา 27 ทวิ ซึ่งอยู่ใน พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ฉบับเดียวกันมาใช้เทียบเคียงได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 3, 4, 166, 242, 252 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 11, 18, 62 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9 และริบใบพืชกระท่อมของกลางที่เจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้ และจ่ายเงินรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2560 (ที่ถูก พ.ศ. 2522 และต้องระบุมาตรา 11 ด้วย) มาตรา 18 วรรคสอง, 62 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร ปรับคนละ 354,200 บาท ฐานเป็นบุคคลสัญชาติไทยเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง (ที่ถูก และฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานเป็นบุคคลสัญชาติไทยเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง) ปรับคนละ 2,000 บาท จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับคนละ 178,100 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้กักขังแทนค่าปรับได้เกินหนึ่งปีแต่ไม่เกินสองปี ริบของกลาง จ่ายเงินรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมร้อยละยี่สิบของราคาของกลางหรือค่าปรับ ตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 8 วรรคสอง
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยทั้งสี่มีประการเดียวว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ที่ให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสี่คนละสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 บัญญัติว่า “ผู้ใดนำหรือพาของที่ยังมิได้เสียค่าภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของต้องห้าม หรือที่ยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร... สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปี หรือทั้งปรับทั้งจำ” ดังนั้น การลงโทษปรับแก่ผู้กระทำความผิดหลายคนที่ร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรในขณะที่กฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับจึงต้องกำหนดให้ผู้ร่วมกระทำความผิดรับผิดรวมกันเป็นเงินจำนวนสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว เมื่อมาตรา 27 ทวิ เป็นบทบัญญัติต่อท้ายและเป็นความผิดต่อเนื่องจากมาตรา 27 ก็ต้องบังคับเรื่องโทษปรับเช่นเดียวกัน แต่ต่อมาภายหลังได้มีพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 โดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 บัญญัติให้การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสี่ตามฟ้องฐานร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบของนั้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ เห็นได้ว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 บัญญัติไว้แตกต่างจากพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 โดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 ไม่มีข้อความว่า “สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ” ดังเช่นพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ดังนั้น พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นภายหลังและใช้ในขณะจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดจึงมีวัตถุประสงค์ลงโทษปรับแก่จำเลยเป็นรายบุคคลโดยไม่พักต้องคำนึงถึงจำนวนรวมของค่าปรับสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ดังเช่นพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ที่เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่เดิม ไม่อาจนำกรณีของมาตรา 27 กับมาตรา 27 ทวิ ซึ่งอยู่ในพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ฉบับเดียวกันมาใช้เทียบเคียงได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษปรับจำเลยทั้งสี่เป็นเงินจำนวนคนละสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วสำหรับความผิดฐานนี้จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
การลงโทษปรับแก่ผู้กระทำความผิดหลายคนที่ร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรในขณะที่ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 มีผลใช้บังคับ ต้องกำหนดให้ผู้ร่วมกระทำความผิดรับผิดรวมกันเป็นเงินจำนวนสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว เมื่อมาตรา 27 ทวิ เป็นบทบัญญัติต่อท้ายและเป็นความผิดต่อเนื่องจากมาตรา 27 ก็ต้องบังคับเรื่องโทษปรับเช่นเดียวกัน แต่ต่อมาภายหลังได้มี พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 3 ให้ยกเลิก พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 โดย พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 บัญญัติให้การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสี่ตามฟ้องฐานร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบของนั้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ เห็นได้ว่า พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 บัญญัติไว้แตกต่างจาก พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 โดย พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 ไม่มีข้อความว่า “สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ” ดังเช่น พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ดังนั้น พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นภายหลังและใช้ในขณะจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดจึงมีวัตถุประสงค์ลงโทษปรับแก่จำเลยเป็นรายบุคคลโดยไม่พักต้องคำนึงถึงจำนวนรวมของค่าปรับสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ดังเช่น พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่เดิม ไม่อาจนำกรณีของมาตรา 27 กับมาตรา 27 ทวิ ซึ่งอยู่ใน พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ฉบับเดียวกันมาใช้เทียบเคียงได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 3, 4, 166, 242, 252 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 11, 18, 62 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9 และริบใบพืชกระท่อมของกลางที่เจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้ และจ่ายเงินรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2560 (ที่ถูก พ.ศ. 2522 และต้องระบุมาตรา 11 ด้วย) มาตรา 18 วรรคสอง, 62 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร ปรับคนละ 354,200 บาท ฐานเป็นบุคคลสัญชาติไทยเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง (ที่ถูก และฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานเป็นบุคคลสัญชาติไทยเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง) ปรับคนละ 2,000 บาท จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับคนละ 178,100 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้กักขังแทนค่าปรับได้เกินหนึ่งปีแต่ไม่เกินสองปี ริบของกลาง จ่ายเงินรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมร้อยละยี่สิบของราคาของกลางหรือค่าปรับ ตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 8 วรรคสอง
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยทั้งสี่มีประการเดียวว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ที่ให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสี่คนละสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 บัญญัติว่า “ผู้ใดนำหรือพาของที่ยังมิได้เสียค่าภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของต้องห้าม หรือที่ยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร... สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปี หรือทั้งปรับทั้งจำ” ดังนั้น การลงโทษปรับแก่ผู้กระทำความผิดหลายคนที่ร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรในขณะที่กฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับจึงต้องกำหนดให้ผู้ร่วมกระทำความผิดรับผิดรวมกันเป็นเงินจำนวนสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว เมื่อมาตรา 27 ทวิ เป็นบทบัญญัติต่อท้ายและเป็นความผิดต่อเนื่องจากมาตรา 27 ก็ต้องบังคับเรื่องโทษปรับเช่นเดียวกัน แต่ต่อมาภายหลังได้มีพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 โดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 บัญญัติให้การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสี่ตามฟ้องฐานร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบของนั้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ เห็นได้ว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 บัญญัติไว้แตกต่างจากพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 โดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 ไม่มีข้อความว่า “สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ” ดังเช่นพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ดังนั้น พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นภายหลังและใช้ในขณะจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดจึงมีวัตถุประสงค์ลงโทษปรับแก่จำเลยเป็นรายบุคคลโดยไม่พักต้องคำนึงถึงจำนวนรวมของค่าปรับสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ดังเช่นพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ที่เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่เดิม ไม่อาจนำกรณีของมาตรา 27 กับมาตรา 27 ทวิ ซึ่งอยู่ในพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ฉบับเดียวกันมาใช้เทียบเคียงได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษปรับจำเลยทั้งสี่เป็นเงินจำนวนคนละสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วสำหรับความผิดฐานนี้จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
เมื่อฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำความผิดของจำเลย ฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งบุหรี่ของกลาง อันเป็นสินค้าที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร และบรรยายฟ้องตอนท้ายว่าจำเลยใช้รถยนต์เก๋งของกลางดังกล่าวเป็นยานพาหนะในการย้าย ซ่อนเร้น และขนบุหรี่ของกลางที่ยังมิได้เสียภาษีและมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรจากพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อนำไปยังจังหวัดระนอง เห็นได้ว่าฟ้องของโจทก์บรรยายเป็นที่เข้าใจแล้วว่าจำเลยใช้รถยนต์เก๋งของกลางเป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 246 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงฟังได้ว่ารถยนต์เก๋งของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดเป็นทรัพย์ที่ให้ริบตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 165 วรรคหนึ่ง เจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 165 ต้องการให้ศาลมีอำนาจริบทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการย้าย ซ่อนเร้น หรือขนของที่มิได้เสียอากร การที่จำเลยใช้รถยนต์เก๋งของกลางเป็นยานพาหนะในการย้าย ซ่อนเร้น และขนบุหรี่ของกลาง 610 ซอง จากพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อมุ่งหน้าไปยังจังหวัดระนอง อันเป็นระยะทางข้ามจังหวัด หากไม่มีรถยนต์เก๋งของกลางมาบรรทุกบุหรี่ของกลางจำนวนมากถึง 610 ซอง ย่อมไม่สามารถขนย้ายบุหรี่ของกลางจำนวนมากดังกล่าวได้สำเร็จ ลักษณะการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นการใช้รถยนต์เก๋งของกลางดังกล่าวเป็นยานพาหนะในการย้าย ซ่อนเร้น และขนบุหรี่ของกลางที่ยังไม่ได้เสียภาษีและไม่ผ่านพิธีการศุลกากรตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 4, 165, 242, 246 พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 4, 5, 159, 203, 207 กับริบบุหรี่ต่างประเทศและรถยนต์เก๋งของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 166, 242, 246 วรรคแรก พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 159, 203 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 246 ฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับไว้ด้วยประการใด ๆ ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีการศุลกากร และมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่เป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน และปรับ 85,227.80 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 42,613.90 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบบุหรี่ต่างประเทศของกลาง ยกคำขอให้ริบรถยนต์เก๋งของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 246 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 242 พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 159, 203 (1) การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 246 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 242 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 6 เดือน และปรับ 191,296 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 95,648 บาท โดยยังคงรอการลงโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ริบรถยนต์เก๋ง ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่ให้ริบรถยนต์เก๋งของกลางชอบหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 165 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “...ยานพาหนะอื่นใด เว้นแต่อากาศยาน หีบห่อ ภาชนะบรรจุ หรือสิ่งใด ๆ หากได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการย้าย ซ่อนเร้น หรือขนของที่มิได้เสียอากร ของต้องห้าม ของต้องกํากัด หรือของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร ให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่” เมื่อฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำความผิดของจำเลยฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งบุหรี่ของกลาง อันเป็นสินค้าที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร และบรรยายฟ้องตอนท้ายว่าจำเลยใช้รถยนต์เก๋งของกลางดังกล่าวเป็นยานพาหนะในการย้าย ซ่อนเร้น และขนบุหรี่ของกลางที่ยังมิได้เสียภาษีและมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรจากพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อนำไปยังจังหวัดระนอง เห็นได้ว่าฟ้องของโจทก์บรรยายเป็นที่เข้าใจแล้วว่าจำเลยใช้รถยนต์เก๋งของกลางเป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 246 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงฟังได้ว่ารถยนต์เก๋งของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดเป็นทรัพย์ที่ให้ริบตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 165 วรรคหนึ่ง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า รถยนต์เก๋งโดยสภาพเป็นยานพาหนะที่บุคคลทั่วไปใช้สัญจรไปมาเป็นธรรมดาในชีวิตประจำวันและมิได้มีการดัดแปลงสภาพให้มีช่องลับเพื่อซุกซ่อนบุหรี่ของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง นั้น เห็นว่า เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 165 ต้องการให้ศาลมีอำนาจริบทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการย้าย ซ่อนเร้น หรือขนของที่มิได้เสียอากร การที่จำเลยใช้รถยนต์เก๋งของกลางเป็นยานพาหนะในการย้าย ซ่อนเร้น และขนบุหรี่ของกลาง 610 ซอง จากพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อมุ่งหน้าไปยังจังหวัดระนอง อันเป็นระยะทางข้ามจังหวัด หากไม่มีรถยนต์เก๋งของกลางมาบรรทุกบุหรี่ของกลางจำนวนมากถึง 610 ซอง ย่อมไม่สามารถขนย้ายบุหรี่ของกลางจำนวนมากดังกล่าวได้สำเร็จ ลักษณะการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นการใช้รถยนต์เก๋งของกลางดังกล่าวเป็นยานพาหนะในการย้าย ซ่อนเร้น และขนบุหรี่ของกลางที่ยังไม่ได้เสียภาษีและไม่ผ่านพิธีการศุลกากรตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาให้ริบรถยนต์เก๋งของกลางนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
เมื่อฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำความผิดของจำเลย ฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งบุหรี่ของกลาง อันเป็นสินค้าที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร และบรรยายฟ้องตอนท้ายว่าจำเลยใช้รถยนต์เก๋งของกลางดังกล่าวเป็นยานพาหนะในการย้าย ซ่อนเร้น และขนบุหรี่ของกลางที่ยังมิได้เสียภาษีและมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรจากพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อนำไปยังจังหวัดระนอง เห็นได้ว่าฟ้องของโจทก์บรรยายเป็นที่เข้าใจแล้วว่าจำเลยใช้รถยนต์เก๋งของกลางเป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 246 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงฟังได้ว่ารถยนต์เก๋งของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดเป็นทรัพย์ที่ให้ริบตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 165 วรรคหนึ่ง เจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 165 ต้องการให้ศาลมีอำนาจริบทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการย้าย ซ่อนเร้น หรือขนของที่มิได้เสียอากร การที่จำเลยใช้รถยนต์เก๋งของกลางเป็นยานพาหนะในการย้าย ซ่อนเร้น และขนบุหรี่ของกลาง 610 ซอง จากพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อมุ่งหน้าไปยังจังหวัดระนอง อันเป็นระยะทางข้ามจังหวัด หากไม่มีรถยนต์เก๋งของกลางมาบรรทุกบุหรี่ของกลางจำนวนมากถึง 610 ซอง ย่อมไม่สามารถขนย้ายบุหรี่ของกลางจำนวนมากดังกล่าวได้สำเร็จ ลักษณะการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นการใช้รถยนต์เก๋งของกลางดังกล่าวเป็นยานพาหนะในการย้าย ซ่อนเร้น และขนบุหรี่ของกลางที่ยังไม่ได้เสียภาษีและไม่ผ่านพิธีการศุลกากรตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 4, 165, 242, 246 พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 4, 5, 159, 203, 207 กับริบบุหรี่ต่างประเทศและรถยนต์เก๋งของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 166, 242, 246 วรรคแรก พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 159, 203 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 246 ฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับไว้ด้วยประการใด ๆ ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีการศุลกากร และมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่เป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน และปรับ 85,227.80 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 42,613.90 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบบุหรี่ต่างประเทศของกลาง ยกคำขอให้ริบรถยนต์เก๋งของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 246 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 242 พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 159, 203 (1) การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 246 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 242 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 6 เดือน และปรับ 191,296 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 95,648 บาท โดยยังคงรอการลงโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ริบรถยนต์เก๋ง ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่ให้ริบรถยนต์เก๋งของกลางชอบหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 165 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “...ยานพาหนะอื่นใด เว้นแต่อากาศยาน หีบห่อ ภาชนะบรรจุ หรือสิ่งใด ๆ หากได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการย้าย ซ่อนเร้น หรือขนของที่มิได้เสียอากร ของต้องห้าม ของต้องกํากัด หรือของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร ให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่” เมื่อฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำความผิดของจำเลยฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งบุหรี่ของกลาง อันเป็นสินค้าที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร และบรรยายฟ้องตอนท้ายว่าจำเลยใช้รถยนต์เก๋งของกลางดังกล่าวเป็นยานพาหนะในการย้าย ซ่อนเร้น และขนบุหรี่ของกลางที่ยังมิได้เสียภาษีและมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรจากพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อนำไปยังจังหวัดระนอง เห็นได้ว่าฟ้องของโจทก์บรรยายเป็นที่เข้าใจแล้วว่าจำเลยใช้รถยนต์เก๋งของกลางเป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 246 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงฟังได้ว่ารถยนต์เก๋งของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดเป็นทรัพย์ที่ให้ริบตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 165 วรรคหนึ่ง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า รถยนต์เก๋งโดยสภาพเป็นยานพาหนะที่บุคคลทั่วไปใช้สัญจรไปมาเป็นธรรมดาในชีวิตประจำวันและมิได้มีการดัดแปลงสภาพให้มีช่องลับเพื่อซุกซ่อนบุหรี่ของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง นั้น เห็นว่า เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 165 ต้องการให้ศาลมีอำนาจริบทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการย้าย ซ่อนเร้น หรือขนของที่มิได้เสียอากร การที่จำเลยใช้รถยนต์เก๋งของกลางเป็นยานพาหนะในการย้าย ซ่อนเร้น และขนบุหรี่ของกลาง 610 ซอง จากพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อมุ่งหน้าไปยังจังหวัดระนอง อันเป็นระยะทางข้ามจังหวัด หากไม่มีรถยนต์เก๋งของกลางมาบรรทุกบุหรี่ของกลางจำนวนมากถึง 610 ซอง ย่อมไม่สามารถขนย้ายบุหรี่ของกลางจำนวนมากดังกล่าวได้สำเร็จ ลักษณะการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นการใช้รถยนต์เก๋งของกลางดังกล่าวเป็นยานพาหนะในการย้าย ซ่อนเร้น และขนบุหรี่ของกลางที่ยังไม่ได้เสียภาษีและไม่ผ่านพิธีการศุลกากรตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาให้ริบรถยนต์เก๋งของกลางนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่ง สำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่รับผิดชอบในการจดทะเบียนรูปพรรณพ่อม้า แม่ม้า และลูกม้าที่นำเข้าหรือเกิดในประเทศไทย รวมทั้งจัดทำเอกสารบรรยายรูปพรรณและบันทึกข้อมูลจำเพาะสำหรับใช้ในการตรวจรูปพรรณม้า เมื่อหนังสือตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 และเอกสารการจดบันทึกทะเบียนลูกม้าลงในสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดทำขึ้น แม้ข้อความในเอกสารบางส่วนอาจเป็นข้อความเท็จหรือไม่ก็ตาม แต่ก็หาทำให้จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานปลอมเอกสารดังกล่าวไม่ เพราะจำเลยที่ 1 มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำเอกสารดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 264, 265 และ 268
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาตและจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 (ที่ถูก มาตรา 264 วรรคแรก (เดิม)), 268 (ที่ถูก มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก (เดิม)) ให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 (ที่ถูก มาตรา 264 วรรคแรก (เดิม)) เพียงกระทงเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 3 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ฎีกาโต้เถียงว่า โจทก์ซื้อและนำเข้าแม่ม้าอีซี่บีทส์ ซึ่งมีลูกติดท้องมาจากการประมูลขายที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งระบุว่ามีการผสมพันธุ์กับพ่อม้าชื่อแอนโทเนียส ต่อมาแม่ม้าอีซี่บีทส์คลอดลูกม้าอีซี่บีทส์หรือภายหลังชื่อม้ารัชโยธิน เป็นเพศผู้ โจทก์ได้ไปแจ้งลูกม้าเกิดใหม่ตามกฎระเบียบของสำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย โดยระบุพ่อม้าชื่อแอนโทเนียส แม่ม้าชื่ออีซี่บีทส์ วันที่ 14 กรกฎาคม 2554 สำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย มีหนังสือแจ้งโจทก์ถึงผลการตรวจดีเอ็นเอลูกม้าขัดแย้ง โดยระบุว่ามีการดึงขนตรวจดีเอ็นเอสองครั้ง คือวันที่ 4 ธันวาคม 2552 และวันที่ 8 มิถุนายน 2554 ตามหนังสือดังกล่าวระบุให้โจทก์ตรวจสอบความถูกต้องกับผู้ขายแม่ม้าอีกครั้ง โจทก์จึงดึงขนแม่ม้าและลูกม้าอีซี่บีทส์ และมีการส่งไปตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอที่ห้องแล็บ เวทเจ็น (Vetgen) สหรัฐอเมริกา ผลการตรวจระบุว่าแม่ม้าอีซี่บีทส์ และพ่อม้าแอนโทเนียส อยู่ในเกณฑ์ที่เป็นแม่และพ่อของลูกม้า และไม่สามารถถูกตัดออกจากการเป็นแม่และพ่อของลูกม้า ต่อมาวันที่ 19 มิถุนายน 2555 และวันที่ 22 มิถุนายน 2555 โจทก์มีหนังสือข้อความอนุเคราะห์จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการสำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย เพื่อให้ออกเล่มทะเบียนให้แก่ลูกม้าอีซี่บีทส์ แต่จำเลยที่ 1 มีหนังสือตอบกลับว่า ไม่สามารถจดทะเบียนให้ลูกม้าจากแม่ม้าอีซี่บีทส์ได้ เพราะผลการตรวจสอบดีเอ็นเอทั้งสองครั้งปรากฏว่าผลขัดแย้ง ต่อมาวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 โจทก์ประสงค์ให้ตรวจดีเอ็นเอลูกม้าอีซี่บีทส์อีกครั้ง จึงนำลูกม้าอีซี่บีทส์ไปดึงขนเก็บเป็นตัวอย่างเพื่อตรวจดีเอ็นเอที่สมาคมแห่งประเทศไทย ร. และมีการส่งไปตรวจเปรียบเทียบที่ห้องแล็บมหาวิทยาลัย จ. และวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 จำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งผลการตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอของแม่ม้าและลูกม้าอีซี่บีทส์ ว่าไม่ขัดแย้งกัน ส่วนผลการตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอของลูกม้าอีซี่บีทส์ และพ่อม้าแอนโทเนียส ทั้งผลการตรวจของห้องแล็บมหาวิทยาลัย จ. ที่มีอยู่กับที่ได้รับมาจากประเทศออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกาปรากฏว่าขัดแย้ง สำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทยจึงไม่สามารถทำการจดทะเบียนให้ลูกม้าอีซี่บีทส์ได้ และในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2555 ได้มีการประชุมของสมาคมแห่งประเทศไทย ร. เพื่อหาทางแก้ไข และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพิจารณาตรวจสอบหาข้อเท็จจริงถึงเรื่องดังกล่าว ต่อมามีมติของคณะกรรมการให้มีการดึงขนของลูกม้าอีซี่บีทส์ เพื่อไปตรวจที่ประเทศญี่ปุ่น แต่เจ้าหน้าที่ไม่แจ้งที่อยู่ของห้องแล็บที่จะส่งตรวจให้โจทก์ทราบ โจทก์จึงไม่ยอมชำระค่าส่งและยกเลิกการส่งไปตรวจที่ประเทศญี่ปุ่น ต่อมาวันที่ 28 พฤษภาคม 2556 โจทก์ได้ฟ้องร้องสมาคมแห่งประเทศไทย ร. จำเลยที่ 1 และพลเอก บ. ในข้อหาละเมิด เรียกค่าเสียหาย คดีหมายเลขดำที่ 2061/2556 ของศาลแพ่ง ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าวโจทก์ได้มอบอำนาจให้นาง ร. ภริยาโจทก์ยื่นหนังสือถึงพลเอก บ. ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วม ขอแจ้งพ่อพันธุ์ม้าเพื่อการขอตรวจพันธุ์ม้าใหม่ โดยมีการระบุชื่อพ่อม้าจำนวน 12 ตัว และได้มีการส่งตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอของลูกม้าอีซี่บีทส์ กับพ่อม้าจำนวน 12 ตัว ดังกล่าวไปยังห้องแล็บมหาวิทยาลัย จ. วันที่ 21 สิงหาคม 2556 ห้องแล็บมหาวิทยาลัย จ. มีหนังสือรายงานผลการตรวจสอบหาลักษณะดีเอ็นเอของม้าโดยปรากฏผลการตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอของพ่อม้าไดแลน แม่ม้าและลูกม้าอีซี่บีทส์ว่าผลการตรวจไม่ขัดแย้ง ซึ่งแสดงว่าลูกม้าอีซี่บีทส์เป็นลูกม้าของพ่อม้าไดแลน และสำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทยได้รับจดทะเบียนให้ลูกม้าอีซี่บีทส์ และออกสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่ง โดยระบุชื่อพ่อม้าไดแลน และโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีแพ่งดังกล่าว ภายหลังโจทก์ได้รับสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งของม้ารัชโยธินแล้ว โจทก์ได้ส่งขนม้าไปยังสำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศออสเตรเลียและสำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศอินเดีย เพื่อทำการตรวจเปรียบเทียบทางนิติวิทยาศาสตร์ และผลการตรวจปรากฏว่าพ่อม้าของลูกม้าอีซี่บีทส์ คือ พ่อม้าแอนโทเนียส เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2559 ในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ได้มีการส่งขนม้าของม้ารัชโยธินไปยังสำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศออสเตรเลียเพื่อทำการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอว่าตัวอย่างขนม้าของแม่ม้าและลูกม้าอีซี่บีทส์ ตรงกับดีเอ็นเอของพ่อม้าไดแลน หรือพ่อม้าแอนโทเนียส ปรากฏว่า สำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศออสเตรเลียได้ส่งขนม้าเข้าตรวจในห้องแล็บ ของมหาวิทยาลัย ม. ประเทศนิวซีแลนด์ ผลการตรวจดังกล่าวปรากฏว่าดีเอ็นเอของพ่อม้าที่ตรงกับลูกม้าอีซี่บีทส์ คือ ดีเอ็นเอของพ่อม้าแอนโทเนียส ส่วนพ่อม้าไดแลน ผลการตรวจปรากฏว่ามีดีเอ็นเอต่างกับลูกม้าอีซี่บีทส์ จึงไม่สามารถเป็นพ่อลูกกันได้
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า คำฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานปลอมเอกสารเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ คดีนี้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์นำลูกม้าที่เกิดจากแม่ม้าอีซี่บีทส์ และพ่อม้าชื่อแอนโตนิอุส หรือแอนโทเนียส พร้อมหลักฐานลูกม้าไปจดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งกับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2552 จำเลยที่ 1 ได้อ้างว่าทำการตรวจสอบดีเอ็นเอถึงสองครั้ง ผลการตรวจดีเอ็นเอลูกม้ากับพ่อม้าไม่ตรงกัน จำเลยที่ 1 จึงไม่รับจดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ลูกม้าในประเทศไทยให้กับโจทก์ โจทก์ทราบในภายหลังว่าสำนักงานตรวจสอบสายพันธุ์ม้าและโรคติดต่อทางโลหิต คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัย จ. ไม่เคยทำการตรวจสอบดีเอ็นเอลูกม้าเทียบกับพ่อม้าแอนโทเนียส ซึ่งเป็นพ่อม้าที่แท้จริงแต่ประการใด แต่จำเลยที่ 1 ได้แจ้งผลในเอกสารการตรวจดีเอ็นเอ ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2554 ว่าลูกม้ามีดีเอ็นเอไม่ตรงกับพ่อม้าดังกล่าว อันเป็นข้อความอันเป็นเท็จ นอกจากนี้เอกสารใบรับรองการผสมพันธุ์ได้บันทึกการผสมพันธุ์ม้าระหว่างแม่ม้าอีซี่บีทส์ กับพ่อม้าแอนโทเนียส มิได้ทำการผสมพันธุ์กับพ่อม้าไดแลน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ลูกม้าจะมีดีเอ็นเอตรงกับพ่อม้าไดแลน เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับเอกสารรายงานผลการตรวจสอบหาลักษณะดีเอ็นเอของม้า ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2556 จากจำเลยที่ 2 แจ้งว่าผลการตรวจดีเอ็นเอของลูกม้ากับดีเอ็นเอของพ่อม้าไดแลน ไม่ขัดแย้งกัน อันเป็นข้อความอันเป็นเท็จและจำเลยที่ 1 ได้ทำการจดบันทึกทะเบียนลูกม้าลงในสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย โดยระบุพ่อม้าชื่อไดแลน อันเป็นผลให้ลูกม้าของโจทก์ได้รับการจดทะเบียนผิดไปจากความเป็นจริง เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอม เห็นว่า คำฟ้องดังกล่าวครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 แล้ว ส่วนข้อเท็จจริงเรื่องว่าเป็นการปลอมลายมือชื่อของผู้อื่นลงในเอกสารฉบับใดขึ้นมาหรือจำเลยที่ 1 กรอกข้อความหรือตัดทอนข้อความในเอกสารฉบับใดซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่น โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้อื่นหาใช่องค์ประกอบความผิดดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกามาไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อต่อไปว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ออกหนังสือจดหมายที่ 111/2554 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2554 ซึ่งลงนามโดยจำเลยที่ 1 ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ซึ่งตรงกับเอกสารหมาย จ.4 และการที่จำเลยที่ 1 ออกเอกสารการจดบันทึกทะเบียนลูกม้าลงในสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ซึ่งตรงกับเอกสารหมาย จ.14 หรือ จ.41 เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่ง สำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย อยู่ในกำกับดูแลของสมาคมแห่งประเทศไทย ร. ทำหน้าที่รับผิดชอบในการจดทะเบียนรูปพรรณพ่อม้า แม่ม้า และลูกม้าที่นำเข้าหรือเกิดในประเทศไทย รวมทั้งจัดทำเอกสารบรรยายรูปพรรณและบันทึกข้อมูลจำเพาะสำหรับใช้ในการตรวจรูปพรรณม้า เมื่อหนังสือตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 และเอกสารการจดบันทึกทะเบียนลูกม้าลงในสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ซึ่งตรงกับเอกสารหมาย จ.14 หรือ จ.41 ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดทำขึ้น แม้ข้อความในเอกสารบางส่วนอาจเป็นข้อความเท็จหรือไม่ก็ตาม แต่ก็หาทำให้จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานปลอมเอกสารดังกล่าวไม่ เพราะจำเลยที่ 1 มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำเอกสารดังกล่าว ส่วนความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 นำเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ไปประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ม้าแข่งตามสำเนาเอกสารหนังสือโปรแกรมม้าแข่ง ฉบับวันที่ 9 พฤศจิกายน 2557 ถือว่าจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารปลอมดังกล่าวนั้น ก็ไม่ปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีภาระการพิสูจน์ในเรื่องนี้จะได้ยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้นำเอกสารดังกล่าวไปลงโฆษณาไว้จริงหรือไม่ ทั้งเมื่อตรวจดูเอกสารดังกล่าวแล้วก็ไม่ปรากฏข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้นำเอกสารดังกล่าวไปลงโฆษณา พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาในความผิดฐานใช้เอกสารปลอมจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ส่วนการที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ปลอมเอกสารดีเอ็นเอโปรไฟล์พ่อม้าไดแลน โดยการนำรหัสดีเอ็นเอโปรไฟล์ของพ่อม้าที่แท้จริงไปใส่เป็นรหัสดีเอ็นเอในเอกสารดีเอ็นเอโปรไฟล์ของพ่อม้าไดแลน แล้ววินิจฉัยว่าเอกสารหมาย จ.14 หรือ จ.41 เป็นเอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 1 นำเอกสารหมายดังกล่าวไปใช้เพื่อแลกกับการที่โจทก์ถอนฟ้องคดีแพ่งจึงเป็นการใช้เอกสารปลอมนั้น เป็นข้อเท็จจริงนอกคำฟ้อง ไม่สามารถนำมารับฟังได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้างต้นฟังขึ้น ส่วนฎีกานอกจากนี้ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่ง สำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่รับผิดชอบในการจดทะเบียนรูปพรรณพ่อม้า แม่ม้า และลูกม้าที่นำเข้าหรือเกิดในประเทศไทย รวมทั้งจัดทำเอกสารบรรยายรูปพรรณและบันทึกข้อมูลจำเพาะสำหรับใช้ในการตรวจรูปพรรณม้า เมื่อหนังสือตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 และเอกสารการจดบันทึกทะเบียนลูกม้าลงในสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดทำขึ้น แม้ข้อความในเอกสารบางส่วนอาจเป็นข้อความเท็จหรือไม่ก็ตาม แต่ก็หาทำให้จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานปลอมเอกสารดังกล่าวไม่ เพราะจำเลยที่ 1 มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำเอกสารดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 264, 265 และ 268
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาตและจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 (ที่ถูก มาตรา 264 วรรคแรก (เดิม)), 268 (ที่ถูก มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก (เดิม)) ให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 (ที่ถูก มาตรา 264 วรรคแรก (เดิม)) เพียงกระทงเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 3 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ฎีกาโต้เถียงว่า โจทก์ซื้อและนำเข้าแม่ม้าอีซี่บีทส์ ซึ่งมีลูกติดท้องมาจากการประมูลขายที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งระบุว่ามีการผสมพันธุ์กับพ่อม้าชื่อแอนโทเนียส ต่อมาแม่ม้าอีซี่บีทส์คลอดลูกม้าอีซี่บีทส์หรือภายหลังชื่อม้ารัชโยธิน เป็นเพศผู้ โจทก์ได้ไปแจ้งลูกม้าเกิดใหม่ตามกฎระเบียบของสำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย โดยระบุพ่อม้าชื่อแอนโทเนียส แม่ม้าชื่ออีซี่บีทส์ วันที่ 14 กรกฎาคม 2554 สำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย มีหนังสือแจ้งโจทก์ถึงผลการตรวจดีเอ็นเอลูกม้าขัดแย้ง โดยระบุว่ามีการดึงขนตรวจดีเอ็นเอสองครั้ง คือวันที่ 4 ธันวาคม 2552 และวันที่ 8 มิถุนายน 2554 ตามหนังสือดังกล่าวระบุให้โจทก์ตรวจสอบความถูกต้องกับผู้ขายแม่ม้าอีกครั้ง โจทก์จึงดึงขนแม่ม้าและลูกม้าอีซี่บีทส์ และมีการส่งไปตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอที่ห้องแล็บ เวทเจ็น (Vetgen) สหรัฐอเมริกา ผลการตรวจระบุว่าแม่ม้าอีซี่บีทส์ และพ่อม้าแอนโทเนียส อยู่ในเกณฑ์ที่เป็นแม่และพ่อของลูกม้า และไม่สามารถถูกตัดออกจากการเป็นแม่และพ่อของลูกม้า ต่อมาวันที่ 19 มิถุนายน 2555 และวันที่ 22 มิถุนายน 2555 โจทก์มีหนังสือข้อความอนุเคราะห์จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการสำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย เพื่อให้ออกเล่มทะเบียนให้แก่ลูกม้าอีซี่บีทส์ แต่จำเลยที่ 1 มีหนังสือตอบกลับว่า ไม่สามารถจดทะเบียนให้ลูกม้าจากแม่ม้าอีซี่บีทส์ได้ เพราะผลการตรวจสอบดีเอ็นเอทั้งสองครั้งปรากฏว่าผลขัดแย้ง ต่อมาวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 โจทก์ประสงค์ให้ตรวจดีเอ็นเอลูกม้าอีซี่บีทส์อีกครั้ง จึงนำลูกม้าอีซี่บีทส์ไปดึงขนเก็บเป็นตัวอย่างเพื่อตรวจดีเอ็นเอที่สมาคมแห่งประเทศไทย ร. และมีการส่งไปตรวจเปรียบเทียบที่ห้องแล็บมหาวิทยาลัย จ. และวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 จำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งผลการตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอของแม่ม้าและลูกม้าอีซี่บีทส์ ว่าไม่ขัดแย้งกัน ส่วนผลการตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอของลูกม้าอีซี่บีทส์ และพ่อม้าแอนโทเนียส ทั้งผลการตรวจของห้องแล็บมหาวิทยาลัย จ. ที่มีอยู่กับที่ได้รับมาจากประเทศออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกาปรากฏว่าขัดแย้ง สำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทยจึงไม่สามารถทำการจดทะเบียนให้ลูกม้าอีซี่บีทส์ได้ และในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2555 ได้มีการประชุมของสมาคมแห่งประเทศไทย ร. เพื่อหาทางแก้ไข และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพิจารณาตรวจสอบหาข้อเท็จจริงถึงเรื่องดังกล่าว ต่อมามีมติของคณะกรรมการให้มีการดึงขนของลูกม้าอีซี่บีทส์ เพื่อไปตรวจที่ประเทศญี่ปุ่น แต่เจ้าหน้าที่ไม่แจ้งที่อยู่ของห้องแล็บที่จะส่งตรวจให้โจทก์ทราบ โจทก์จึงไม่ยอมชำระค่าส่งและยกเลิกการส่งไปตรวจที่ประเทศญี่ปุ่น ต่อมาวันที่ 28 พฤษภาคม 2556 โจทก์ได้ฟ้องร้องสมาคมแห่งประเทศไทย ร. จำเลยที่ 1 และพลเอก บ. ในข้อหาละเมิด เรียกค่าเสียหาย คดีหมายเลขดำที่ 2061/2556 ของศาลแพ่ง ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าวโจทก์ได้มอบอำนาจให้นาง ร. ภริยาโจทก์ยื่นหนังสือถึงพลเอก บ. ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วม ขอแจ้งพ่อพันธุ์ม้าเพื่อการขอตรวจพันธุ์ม้าใหม่ โดยมีการระบุชื่อพ่อม้าจำนวน 12 ตัว และได้มีการส่งตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอของลูกม้าอีซี่บีทส์ กับพ่อม้าจำนวน 12 ตัว ดังกล่าวไปยังห้องแล็บมหาวิทยาลัย จ. วันที่ 21 สิงหาคม 2556 ห้องแล็บมหาวิทยาลัย จ. มีหนังสือรายงานผลการตรวจสอบหาลักษณะดีเอ็นเอของม้าโดยปรากฏผลการตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอของพ่อม้าไดแลน แม่ม้าและลูกม้าอีซี่บีทส์ว่าผลการตรวจไม่ขัดแย้ง ซึ่งแสดงว่าลูกม้าอีซี่บีทส์เป็นลูกม้าของพ่อม้าไดแลน และสำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทยได้รับจดทะเบียนให้ลูกม้าอีซี่บีทส์ และออกสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่ง โดยระบุชื่อพ่อม้าไดแลน และโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีแพ่งดังกล่าว ภายหลังโจทก์ได้รับสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งของม้ารัชโยธินแล้ว โจทก์ได้ส่งขนม้าไปยังสำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศออสเตรเลียและสำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศอินเดีย เพื่อทำการตรวจเปรียบเทียบทางนิติวิทยาศาสตร์ และผลการตรวจปรากฏว่าพ่อม้าของลูกม้าอีซี่บีทส์ คือ พ่อม้าแอนโทเนียส เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2559 ในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ได้มีการส่งขนม้าของม้ารัชโยธินไปยังสำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศออสเตรเลียเพื่อทำการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอว่าตัวอย่างขนม้าของแม่ม้าและลูกม้าอีซี่บีทส์ ตรงกับดีเอ็นเอของพ่อม้าไดแลน หรือพ่อม้าแอนโทเนียส ปรากฏว่า สำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศออสเตรเลียได้ส่งขนม้าเข้าตรวจในห้องแล็บ ของมหาวิทยาลัย ม. ประเทศนิวซีแลนด์ ผลการตรวจดังกล่าวปรากฏว่าดีเอ็นเอของพ่อม้าที่ตรงกับลูกม้าอีซี่บีทส์ คือ ดีเอ็นเอของพ่อม้าแอนโทเนียส ส่วนพ่อม้าไดแลน ผลการตรวจปรากฏว่ามีดีเอ็นเอต่างกับลูกม้าอีซี่บีทส์ จึงไม่สามารถเป็นพ่อลูกกันได้
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า คำฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานปลอมเอกสารเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ คดีนี้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์นำลูกม้าที่เกิดจากแม่ม้าอีซี่บีทส์ และพ่อม้าชื่อแอนโตนิอุส หรือแอนโทเนียส พร้อมหลักฐานลูกม้าไปจดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งกับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2552 จำเลยที่ 1 ได้อ้างว่าทำการตรวจสอบดีเอ็นเอถึงสองครั้ง ผลการตรวจดีเอ็นเอลูกม้ากับพ่อม้าไม่ตรงกัน จำเลยที่ 1 จึงไม่รับจดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ลูกม้าในประเทศไทยให้กับโจทก์ โจทก์ทราบในภายหลังว่าสำนักงานตรวจสอบสายพันธุ์ม้าและโรคติดต่อทางโลหิต คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัย จ. ไม่เคยทำการตรวจสอบดีเอ็นเอลูกม้าเทียบกับพ่อม้าแอนโทเนียส ซึ่งเป็นพ่อม้าที่แท้จริงแต่ประการใด แต่จำเลยที่ 1 ได้แจ้งผลในเอกสารการตรวจดีเอ็นเอ ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2554 ว่าลูกม้ามีดีเอ็นเอไม่ตรงกับพ่อม้าดังกล่าว อันเป็นข้อความอันเป็นเท็จ นอกจากนี้เอกสารใบรับรองการผสมพันธุ์ได้บันทึกการผสมพันธุ์ม้าระหว่างแม่ม้าอีซี่บีทส์ กับพ่อม้าแอนโทเนียส มิได้ทำการผสมพันธุ์กับพ่อม้าไดแลน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ลูกม้าจะมีดีเอ็นเอตรงกับพ่อม้าไดแลน เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับเอกสารรายงานผลการตรวจสอบหาลักษณะดีเอ็นเอของม้า ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2556 จากจำเลยที่ 2 แจ้งว่าผลการตรวจดีเอ็นเอของลูกม้ากับดีเอ็นเอของพ่อม้าไดแลน ไม่ขัดแย้งกัน อันเป็นข้อความอันเป็นเท็จและจำเลยที่ 1 ได้ทำการจดบันทึกทะเบียนลูกม้าลงในสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย โดยระบุพ่อม้าชื่อไดแลน อันเป็นผลให้ลูกม้าของโจทก์ได้รับการจดทะเบียนผิดไปจากความเป็นจริง เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอม เห็นว่า คำฟ้องดังกล่าวครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 แล้ว ส่วนข้อเท็จจริงเรื่องว่าเป็นการปลอมลายมือชื่อของผู้อื่นลงในเอกสารฉบับใดขึ้นมาหรือจำเลยที่ 1 กรอกข้อความหรือตัดทอนข้อความในเอกสารฉบับใดซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่น โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้อื่นหาใช่องค์ประกอบความผิดดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกามาไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อต่อไปว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ออกหนังสือจดหมายที่ 111/2554 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2554 ซึ่งลงนามโดยจำเลยที่ 1 ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ซึ่งตรงกับเอกสารหมาย จ.4 และการที่จำเลยที่ 1 ออกเอกสารการจดบันทึกทะเบียนลูกม้าลงในสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ซึ่งตรงกับเอกสารหมาย จ.14 หรือ จ.41 เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่ง สำนักงานสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย อยู่ในกำกับดูแลของสมาคมแห่งประเทศไทย ร. ทำหน้าที่รับผิดชอบในการจดทะเบียนรูปพรรณพ่อม้า แม่ม้า และลูกม้าที่นำเข้าหรือเกิดในประเทศไทย รวมทั้งจัดทำเอกสารบรรยายรูปพรรณและบันทึกข้อมูลจำเพาะสำหรับใช้ในการตรวจรูปพรรณม้า เมื่อหนังสือตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 และเอกสารการจดบันทึกทะเบียนลูกม้าลงในสมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่งแห่งประเทศไทย ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ซึ่งตรงกับเอกสารหมาย จ.14 หรือ จ.41 ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดทำขึ้น แม้ข้อความในเอกสารบางส่วนอาจเป็นข้อความเท็จหรือไม่ก็ตาม แต่ก็หาทำให้จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานปลอมเอกสารดังกล่าวไม่ เพราะจำเลยที่ 1 มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำเอกสารดังกล่าว ส่วนความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 นำเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ไปประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ม้าแข่งตามสำเนาเอกสารหนังสือโปรแกรมม้าแข่ง ฉบับวันที่ 9 พฤศจิกายน 2557 ถือว่าจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารปลอมดังกล่าวนั้น ก็ไม่ปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีภาระการพิสูจน์ในเรื่องนี้จะได้ยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้นำเอกสารดังกล่าวไปลงโฆษณาไว้จริงหรือไม่ ทั้งเมื่อตรวจดูเอกสารดังกล่าวแล้วก็ไม่ปรากฏข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้นำเอกสารดังกล่าวไปลงโฆษณา พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาในความผิดฐานใช้เอกสารปลอมจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ส่วนการที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ปลอมเอกสารดีเอ็นเอโปรไฟล์พ่อม้าไดแลน โดยการนำรหัสดีเอ็นเอโปรไฟล์ของพ่อม้าที่แท้จริงไปใส่เป็นรหัสดีเอ็นเอในเอกสารดีเอ็นเอโปรไฟล์ของพ่อม้าไดแลน แล้ววินิจฉัยว่าเอกสารหมาย จ.14 หรือ จ.41 เป็นเอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 1 นำเอกสารหมายดังกล่าวไปใช้เพื่อแลกกับการที่โจทก์ถอนฟ้องคดีแพ่งจึงเป็นการใช้เอกสารปลอมนั้น เป็นข้อเท็จจริงนอกคำฟ้อง ไม่สามารถนำมารับฟังได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้างต้นฟังขึ้น ส่วนฎีกานอกจากนี้ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์แยกฟ้องการกระทำผิดของจำเลยทั้งสามข้อโดยคำฟ้อง 1.1 และข้อ 1.2 โจทก์ระบุวันเวลากระทำผิดอย่างเดียวกันคือระหว่างวันนี้ 1 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2559 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดกับบรรยายการกระทำของจำเลยทั้งสามตามข้อ 1.1 ว่า ร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารโฉนดที่ดินของผู้เสียหาย และข้อ 1.2 ว่า ภายหลังเกิดเหตุข้อ 1.1 ร่วมกันปลอม ทำปลอมหนังสือมอบอำนาจ (ท.ค. 21) ขึ้นทั้งฉบับ จากนั้นบรรยายการกระทำตามฟ้องข้อ 1.3 ว่า วันที่ 1 มีนาคม 2559 เวลากลางวัน ภายหลังเกิดเหตุข้อ 1.2 ร่วมกันใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมตามฟ้องข้อ 1.2 อ้างแสดงตนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องโจทก์แต่ละข้อล้วนเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันโดยจำเลยทั้งสามมีเจตนาอย่างเดียวคือเพื่อจะทำสัญญาขายฝากที่ดินของผู้เสียหายกับ ท. ให้ได้ การกระทำได้ของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 188, 264, 268
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 (เดิม), 264 วรรคหนึ่ง (เดิม), 268 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 264 วรรคหนึ่ง (เดิม) ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยทั้งสามร่วมกันเป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารปลอมด้วยตนเอง ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมกระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ 5 ปี
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 (เดิม), 264 วรรคแรก (เดิม), 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก (เดิม) ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 จำคุกคนละ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์แม้จะแยกฟ้องถึงการกระทำผิดของจำเลยทั้งสามมาเป็น 3 ข้อ คือ ข้อ 1.1 ถึงข้อ 1.3 แต่ตามคำฟ้องข้อ 1.1 และข้อ 1.2 โจทก์ระบุวันเวลากระทำผิดอย่างเดียวกัน คือ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2559 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด โดยบรรยายการกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องข้อ 1.1 ว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารโฉนดที่ดินของผู้เสียหาย และบรรยายการกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องข้อ 1.2 ว่า ตามวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 1.1 ภายหลังเกิดเหตุตามฟ้องข้อ 1.1 แล้ว วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสามร่วมกันทำปลอมหนังสือมอบอำนาจ (ท.ด. 21) ขึ้นทั้งฉบับ และบรรยายการกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องข้อ 1.3 ว่า วันที่ 1 มีนาคม 2559 เวลากลางวัน ภายหลังจากที่จำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้องข้อ 1.2 แล้ว จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เอกสารหนังสือมอบอำนาจปลอมที่จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องข้อ 1.2 ใช้อ้างแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องโจทก์แต่ละข้อล้วนเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกัน โดยจำเลยทั้งสามมีเจตนาอย่างเดียวคือเพื่อจะทำสัญญาขายฝากที่ดินของผู้เสียหายกับนางกิ่งจันทร์ให้ได้ นางกิ่งจันทร์จะได้มอบเงินตามสัญญาดังกล่าวให้จำเลยทั้งสาม การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่เป็นการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
โจทก์แยกฟ้องการกระทำผิดของจำเลยทั้งสามข้อโดยคำฟ้อง 1.1 และข้อ 1.2 โจทก์ระบุวันเวลากระทำผิดอย่างเดียวกันคือระหว่างวันนี้ 1 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2559 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดกับบรรยายการกระทำของจำเลยทั้งสามตามข้อ 1.1 ว่า ร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารโฉนดที่ดินของผู้เสียหาย และข้อ 1.2 ว่า ภายหลังเกิดเหตุข้อ 1.1 ร่วมกันปลอม ทำปลอมหนังสือมอบอำนาจ (ท.ค. 21) ขึ้นทั้งฉบับ จากนั้นบรรยายการกระทำตามฟ้องข้อ 1.3 ว่า วันที่ 1 มีนาคม 2559 เวลากลางวัน ภายหลังเกิดเหตุข้อ 1.2 ร่วมกันใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมตามฟ้องข้อ 1.2 อ้างแสดงตนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องโจทก์แต่ละข้อล้วนเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันโดยจำเลยทั้งสามมีเจตนาอย่างเดียวคือเพื่อจะทำสัญญาขายฝากที่ดินของผู้เสียหายกับ ท. ให้ได้ การกระทำได้ของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 188, 264, 268
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 (เดิม), 264 วรรคหนึ่ง (เดิม), 268 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 264 วรรคหนึ่ง (เดิม) ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยทั้งสามร่วมกันเป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารปลอมด้วยตนเอง ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมกระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ 5 ปี
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 (เดิม), 264 วรรคแรก (เดิม), 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก (เดิม) ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 จำคุกคนละ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์แม้จะแยกฟ้องถึงการกระทำผิดของจำเลยทั้งสามมาเป็น 3 ข้อ คือ ข้อ 1.1 ถึงข้อ 1.3 แต่ตามคำฟ้องข้อ 1.1 และข้อ 1.2 โจทก์ระบุวันเวลากระทำผิดอย่างเดียวกัน คือ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2559 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด โดยบรรยายการกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องข้อ 1.1 ว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารโฉนดที่ดินของผู้เสียหาย และบรรยายการกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องข้อ 1.2 ว่า ตามวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 1.1 ภายหลังเกิดเหตุตามฟ้องข้อ 1.1 แล้ว วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสามร่วมกันทำปลอมหนังสือมอบอำนาจ (ท.ด. 21) ขึ้นทั้งฉบับ และบรรยายการกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องข้อ 1.3 ว่า วันที่ 1 มีนาคม 2559 เวลากลางวัน ภายหลังจากที่จำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้องข้อ 1.2 แล้ว จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เอกสารหนังสือมอบอำนาจปลอมที่จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องข้อ 1.2 ใช้อ้างแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องโจทก์แต่ละข้อล้วนเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกัน โดยจำเลยทั้งสามมีเจตนาอย่างเดียวคือเพื่อจะทำสัญญาขายฝากที่ดินของผู้เสียหายกับนางกิ่งจันทร์ให้ได้ นางกิ่งจันทร์จะได้มอบเงินตามสัญญาดังกล่าวให้จำเลยทั้งสาม การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่เป็นการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
แม้ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 ให้อำนาจศาลลงโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ที่ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น แต่ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่ามีการนำสืบกันมาแล้วในศาลชั้นต้นตามประเด็นแห่งคดี คดีนี้จำเลยมิได้ยื่นคำร้องหรือแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลสำคัญในคดีต่อเจ้าพนักงานตำรวจ จนสามารถขยายผลจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดก็ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้กระทำความผิดดังกล่าว หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงในการจับกุมนั้นไม่ปรากฏในทางนำสืบของพยานโจทก์และคำให้การจำเลยในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยเพิ่งยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ จึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 ริบของกลางและเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง จำคุก 5 ปี และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 เป็นจำคุก 7 ปี 6 เดือน และปรับ 600,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 9 เดือน และปรับ 300,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 การกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ อันจะเป็นเหตุให้สมควรใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นหรือไม่ เห็นว่า แม้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 ให้อำนาจศาลลงโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ที่ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น แต่ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่ามีการนำสืบกันมาแล้วในศาลชั้นต้นตามประเด็นแห่งคดี คดีนี้จำเลยมิได้ยื่นคำร้องหรือแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลสำคัญในคดีต่อเจ้าพนักงานตำรวจ จนสามารถขยายผลจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 195 เม็ด และชนิดเกล็ดสีขาวน้ำหนักชั่งไม่รวมถุงบรรจุประมาณ 5.70 กรัม ตามสำเนาหนังสือรับรองของตำรวจภูธรจังหวัดระยองลงวันที่ 18 มกราคม 2564 และสำเนาบันทึกการจับกุมลงวันที่ 8 ธันวาคม 2563 เอกสารแนบท้ายอุทธรณ์เพิ่มเติมของจำเลยนั้น ก็ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายโชคผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดดังกล่าวได้ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงในการจับกุมนายโชคดังกล่าวไม่ปรากฏในทางนำสืบของพยานโจทก์และคำให้การของจำเลยในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น แต่จำเลยเพิ่งยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ จึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการต่อไปว่า สมควรลงโทษจำเลยสถานเบาหรือไม่ เห็นว่า เมทแอมเฟตามีนชนิดวัตถุเกล็ดสีขาวของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีจำนวน 4 ถุง น้ำหนักสุทธิ 1.727 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ถึง 1.698 กรัม ซึ่งมิใช่จำนวนเล็กน้อย ที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษจำเลยก่อนเพิ่มโทษและลดโทษจำคุก 5 ปี และปรับ 400,000 บาท ให้แก่จำเลยนั้น เหมาะสมกับสภาพความผิดและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการสุดท้ายว่า มีเหตุต้องใช้กฎหมายใหม่ในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยบังคับแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 หรือไม่ เห็นว่า เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับ โดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน แต่มาตรา 21 วรรคหนึ่ง ยังให้บทบัญญัติที่ให้สันนิษฐานว่าเป็นการกระทำเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปทั้งฉบับ มีผลใช้บังคับแก่คดีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วก่อนวันที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดใช้บังคับจนกว่าคดีถึงที่สุด บทสันนิษฐานตามกฎหมายเดิมในมาตรา 15 ที่ว่า การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามปริมาณที่กำหนดให้สันนิษฐานว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงยังมีผลใช้บังคับต่อไปในคดีนี้ที่ยังไม่ถึงที่สุด และตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงยังคงเป็นความผิดอยู่ แต่นำไปรวมไว้เป็นความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามกฎหมายใหม่ มาตรา 90, 145 เมื่อตามกฎหมายเดิมมาตรา 15 ประกอบมาตรา 66 บัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้นโดยถือเอาเพียงปริมาณของยาเสพติดเป็นสำคัญ แต่กฎหมายใหม่ มาตรา 145 บทบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้นโดยถือเอาพฤติการณ์ในการกระทำความผิดและบทบาทหน้าที่ในการกระทำผิดเป็นสำคัญ ไม่ได้ถือเอาเพียงปริมาณดังเช่นกฎหมายเดิมอีกต่อไป แม้ปริมาณที่มากขึ้นอาจบ่งชี้ถึงพฤติการณ์ในการกระทำความผิดและบทบาทหน้าที่ได้ระดับหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อกฎหมายใหม่ไม่ได้ให้ศาลลงโทษหนักขึ้นเพียงเพราะปริมาณยาเสพติดให้โทษดังเช่นในกฎหมายเดิม แต่ต้องมีพฤติการณ์และบทบาทหน้าที่ตามที่กฎหมายใหม่กำหนดไว้ด้วย จึงจะมีความผิดตามกฎหมายใหม่ มาตรา 145 วรรสองหรือวรรคสามได้ ดังนั้น ถ้าผู้กระทำความผิดมีพฤติการณ์หรือบทบาทหน้าที่ตามกฎหมายใหม่ มาตรา 145 วรรคสองหรือวรรคสาม ศาลย่อมมีอำนาจปรับบทความผิดตามมาตรา 145 วรรสอง หรือวรรคสามได้ ปัญหาว่า การกระทำของจำเลยต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคใด นั้น คดีนี้ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ ปรากฏข้อเท็จจริงแต่เพียงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเท่านั้น เมื่อไม่ปรกฏชัดว่าจำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายในราคาเท่าใด จำหน่ายแก่ใครบ้างและจำหน่ายมาแล้วบ่อยครั้งเพียงใด จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อการค้าตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) และเมื่อไม่ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองดังกล่าวเป็นการเป็นการทำให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนได้อย่างไร จึงฟังไม่ได้ว่าทำให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) คดีคงฟังได้เพียงว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 145 วรรคหนึ่ง ที่มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท อันเป็นกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิดและเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
ส่วนที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 นั้น เมื่อตามกฎหมายเดิม มาตรา 97 ที่บัญญัติให้ศาลเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งแก่ผู้กระทำความผิดตามกฎหมายเดิมอีกในระหว่างที่ยังต้องรับโทษอยู่หรือภายในเวลาห้าปี นับแต่วันพ้นโทษได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ส่วนกฎหมายใหม่ก็ไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษเช่นเดิมอีก ดังนั้น ศาลจึงไม่อาจเพิ่มโทษทั้งตามกฎหมายเดิมที่ถูกยกเลิกไปแล้วและตามกฎหมายใหม่ได้ แต่เมื่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 บัญญัติว่า บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา ให้นำไปใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย ดังนั้น แม้กฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันเป็นกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้บัญญัติเรื่องเพิ่มโทษเพราะกระทำผิดอีกไว้ ก็มิได้หมายความว่า ศาลไม่อาจเพิ่มโทษตามบทบัญญัติที่ใช้แก่ความความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีกโดยไม่เข็ดหลาบและโจทก์ได้ขอให้เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายเดิม มาตรา 97 ไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์จะขอเพิ่มโทษจำเลยฐานไม่เข็ดหลาบและได้กล่าวในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 วรรคหนึ่ง แล้วด้วย ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยได้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง จำคุก 5 ปี และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน และปรับ 533,333.33 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 266,666.66 บาท การกักขังแทนค่าปรับและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
แม้ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 ให้อำนาจศาลลงโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ที่ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น แต่ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่ามีการนำสืบกันมาแล้วในศาลชั้นต้นตามประเด็นแห่งคดี คดีนี้จำเลยมิได้ยื่นคำร้องหรือแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลสำคัญในคดีต่อเจ้าพนักงานตำรวจ จนสามารถขยายผลจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดก็ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้กระทำความผิดดังกล่าว หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงในการจับกุมนั้นไม่ปรากฏในทางนำสืบของพยานโจทก์และคำให้การจำเลยในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยเพิ่งยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ จึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 ริบของกลางและเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง จำคุก 5 ปี และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 เป็นจำคุก 7 ปี 6 เดือน และปรับ 600,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 9 เดือน และปรับ 300,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 การกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ อันจะเป็นเหตุให้สมควรใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นหรือไม่ เห็นว่า แม้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 ให้อำนาจศาลลงโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ที่ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น แต่ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่ามีการนำสืบกันมาแล้วในศาลชั้นต้นตามประเด็นแห่งคดี คดีนี้จำเลยมิได้ยื่นคำร้องหรือแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลสำคัญในคดีต่อเจ้าพนักงานตำรวจ จนสามารถขยายผลจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 195 เม็ด และชนิดเกล็ดสีขาวน้ำหนักชั่งไม่รวมถุงบรรจุประมาณ 5.70 กรัม ตามสำเนาหนังสือรับรองของตำรวจภูธรจังหวัดระยองลงวันที่ 18 มกราคม 2564 และสำเนาบันทึกการจับกุมลงวันที่ 8 ธันวาคม 2563 เอกสารแนบท้ายอุทธรณ์เพิ่มเติมของจำเลยนั้น ก็ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายโชคผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดดังกล่าวได้ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงในการจับกุมนายโชคดังกล่าวไม่ปรากฏในทางนำสืบของพยานโจทก์และคำให้การของจำเลยในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น แต่จำเลยเพิ่งยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ จึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการต่อไปว่า สมควรลงโทษจำเลยสถานเบาหรือไม่ เห็นว่า เมทแอมเฟตามีนชนิดวัตถุเกล็ดสีขาวของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีจำนวน 4 ถุง น้ำหนักสุทธิ 1.727 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ถึง 1.698 กรัม ซึ่งมิใช่จำนวนเล็กน้อย ที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษจำเลยก่อนเพิ่มโทษและลดโทษจำคุก 5 ปี และปรับ 400,000 บาท ให้แก่จำเลยนั้น เหมาะสมกับสภาพความผิดและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการสุดท้ายว่า มีเหตุต้องใช้กฎหมายใหม่ในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยบังคับแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 หรือไม่ เห็นว่า เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับ โดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน แต่มาตรา 21 วรรคหนึ่ง ยังให้บทบัญญัติที่ให้สันนิษฐานว่าเป็นการกระทำเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปทั้งฉบับ มีผลใช้บังคับแก่คดีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วก่อนวันที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดใช้บังคับจนกว่าคดีถึงที่สุด บทสันนิษฐานตามกฎหมายเดิมในมาตรา 15 ที่ว่า การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามปริมาณที่กำหนดให้สันนิษฐานว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงยังมีผลใช้บังคับต่อไปในคดีนี้ที่ยังไม่ถึงที่สุด และตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงยังคงเป็นความผิดอยู่ แต่นำไปรวมไว้เป็นความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามกฎหมายใหม่ มาตรา 90, 145 เมื่อตามกฎหมายเดิมมาตรา 15 ประกอบมาตรา 66 บัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้นโดยถือเอาเพียงปริมาณของยาเสพติดเป็นสำคัญ แต่กฎหมายใหม่ มาตรา 145 บทบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้นโดยถือเอาพฤติการณ์ในการกระทำความผิดและบทบาทหน้าที่ในการกระทำผิดเป็นสำคัญ ไม่ได้ถือเอาเพียงปริมาณดังเช่นกฎหมายเดิมอีกต่อไป แม้ปริมาณที่มากขึ้นอาจบ่งชี้ถึงพฤติการณ์ในการกระทำความผิดและบทบาทหน้าที่ได้ระดับหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อกฎหมายใหม่ไม่ได้ให้ศาลลงโทษหนักขึ้นเพียงเพราะปริมาณยาเสพติดให้โทษดังเช่นในกฎหมายเดิม แต่ต้องมีพฤติการณ์และบทบาทหน้าที่ตามที่กฎหมายใหม่กำหนดไว้ด้วย จึงจะมีความผิดตามกฎหมายใหม่ มาตรา 145 วรรสองหรือวรรคสามได้ ดังนั้น ถ้าผู้กระทำความผิดมีพฤติการณ์หรือบทบาทหน้าที่ตามกฎหมายใหม่ มาตรา 145 วรรคสองหรือวรรคสาม ศาลย่อมมีอำนาจปรับบทความผิดตามมาตรา 145 วรรสอง หรือวรรคสามได้ ปัญหาว่า การกระทำของจำเลยต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคใด นั้น คดีนี้ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ ปรากฏข้อเท็จจริงแต่เพียงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเท่านั้น เมื่อไม่ปรกฏชัดว่าจำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายในราคาเท่าใด จำหน่ายแก่ใครบ้างและจำหน่ายมาแล้วบ่อยครั้งเพียงใด จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อการค้าตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) และเมื่อไม่ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองดังกล่าวเป็นการเป็นการทำให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนได้อย่างไร จึงฟังไม่ได้ว่าทำให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) คดีคงฟังได้เพียงว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 145 วรรคหนึ่ง ที่มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท อันเป็นกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิดและเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
ส่วนที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 นั้น เมื่อตามกฎหมายเดิม มาตรา 97 ที่บัญญัติให้ศาลเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งแก่ผู้กระทำความผิดตามกฎหมายเดิมอีกในระหว่างที่ยังต้องรับโทษอยู่หรือภายในเวลาห้าปี นับแต่วันพ้นโทษได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ส่วนกฎหมายใหม่ก็ไม่มีบทบัญญัติให้เพิ่มโทษเช่นเดิมอีก ดังนั้น ศาลจึงไม่อาจเพิ่มโทษทั้งตามกฎหมายเดิมที่ถูกยกเลิกไปแล้วและตามกฎหมายใหม่ได้ แต่เมื่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 บัญญัติว่า บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา ให้นำไปใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย ดังนั้น แม้กฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันเป็นกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้บัญญัติเรื่องเพิ่มโทษเพราะกระทำผิดอีกไว้ ก็มิได้หมายความว่า ศาลไม่อาจเพิ่มโทษตามบทบัญญัติที่ใช้แก่ความความผิดทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีกโดยไม่เข็ดหลาบและโจทก์ได้ขอให้เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายเดิม มาตรา 97 ไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์จะขอเพิ่มโทษจำเลยฐานไม่เข็ดหลาบและได้กล่าวในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 วรรคหนึ่ง แล้วด้วย ศาลย่อมมีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยได้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ที่เป็นบททั่วไปได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง จำคุก 5 ปี และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน และปรับ 533,333.33 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 266,666.66 บาท การกักขังแทนค่าปรับและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) นั้น โจทก์ต้องบรรยายฟ้องถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด รวมทั้งต้องเป็นข้อเท็จจริงที่จะทำให้จำเลยเข้าใจว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดอย่างไร คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องในส่วนการกระทำความผิดของจำเลยว่า “..จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ผลงานนวนิยายของโจทก์ดังกล่าวด้วยการคัดลอกและดัดแปลงบทสนทนาของตัวละคร บริบทของตัวละคร และบริบทของฉากในนวนิยายของโจทก์ที่เป็นฉากสำคัญหลาย ๆ ฉาก ในนวนิยายของโจทก์แต่ละเล่มแล้วนำไปเรียบเรียงไว้ในบทนวนิยายของจำเลย...” อันเป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์บางส่วนที่อยู่ในนวนิยาย 2 เล่ม ของโจทก์ หาใช่เป็นการคัดลอกดัดแปลงนวนิยายทั้งฉบับทั้ง 2 เล่ม ที่การบรรยายฟ้องนี้อาจจะทำให้จำเลยพอเข้าใจได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดอย่างไร แต่เมื่อเป็นการคัดลอกดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์เพียงบางส่วน โจทก์ย่อมจะต้องบรรยายฟ้องข้อเท็จจริงให้พอเข้าใจได้ว่าบทสนทนาของตัวละคร บริบทของตัวละคร และบริบทของฉากในนวนิยายของโจทก์ที่เป็นฉากสำคัญหลาย ๆ ฉากนั้น เป็นส่วนไหนในนวนิยายเล่มใดใน 2 เล่ม ของโจทก์ และจำเลยคัดลอกและดัดแปลงงานดังกล่าวอย่างไร รวมทั้งนำไปใช้อยู่ในส่วนไหนของนวนิยายของจำเลย อันจะทำให้จำเลยสามารถเทียบเคียงได้ว่า ข้อความที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์นั้นเป็นการคัดลอกดัดแปลงจริงหรือไม่ กรณีเช่นนี้หาใช่รายละเอียดที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นหรือเป็นเรื่องที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในภายหลังดังที่โจทก์ฎีกาไม่ อีกทั้งเป็นการพิจารณาถึงการแสดงออก (Expression) ไม่ใช่แนวคิด (Idea) ต่างจากที่โจทก์ฎีกาว่า การวินิจฉัยต้องพิจารณาเนื้อหาของงานทั้งหมดโดยรวมประกอบกัน มิใช่แยกพิจารณาออกมาเป็นส่วน ๆ เฉพาะที่มีการคัดลอกเท่านั้น อนึ่ง การบรรยายฟ้องที่เพียงใช้ข้อความตามกฎหมาย เช่น การทำซ้ำหรือดัดแปลง โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามสมควรว่าเป็นการทำซ้ำหรือดัดแปลงอย่างไร ย่อมไม่อาจทำให้จำเลยสามารถเข้าใจฟ้องของโจทก์ได้ ประกอบกับปัญหานี้เป็นการพิจารณาเฉพาะในส่วนของการบรรยายฟ้องเรื่องการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด จึงไม่เกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องอื่น ๆ ส่วนการพิจารณาว่าฟ้องของโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากฟ้องเท่านั้น ไม่อาจนำเอกสารท้ายฟ้องมาพิจารณาประกอบได้ ทั้งเป็นขั้นตอนที่ต้องพิจารณาก่อนไต่สวนมูลฟ้อง จึงไม่อาจนำข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนมูลฟ้องมาพิจารณาประกอบเช่นกัน เมื่อฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในส่วนของการกระทำความผิดของจำเลยว่า การละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์บางส่วนด้วยการทำซ้ำหรือดัดแปลงนั้นถูกกระทำโดยจำเลยในส่วนไหน อย่างไร ย่อมต้องถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องไม่ชอบตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 27, 69, 76 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหาย 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยระงับการเผยแพร่หรือจัดจำหน่ายนวนิยายเรื่อง “Thank you คุณคนดี” ทุกช่องทาง และห้ามดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการแก้ไข ดัดแปลง เพื่อนำนวนิยายเรื่องดังกล่าวไปเผยแพร่หรือจัดจำหน่ายใหม่ ให้จำเลยทำหนังสือชี้แจงความจริงให้บุคคลทั่วไปทราบว่าจำเลยคัดลอกและดัดแปลงบทนวนิยายทั้งสองเรื่องของโจทก์ส่วนใดบ้างกับนำไปแต่งและเรียบเรียงในนวนิยายของจำเลยส่วนใดบ้าง โดยยินยอมให้โจทก์นำหนังสือดังกล่าวโพสต์ลงในเฟซบุ๊กและช่องทางที่โจทก์มีต่อนักอ่านของโจทก์เป็นระยะเวลา 30 วัน หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง ไม่รับฟ้องคดีส่วนแพ่ง คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่โจทก์
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์บรรยายฟ้องคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายแล้วหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) นั้น โจทก์ต้องบรรยายฟ้องถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด รวมทั้งต้องเป็นข้อเท็จจริงที่จะทำให้จำเลยเข้าใจว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดอย่างไร คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องในส่วนของการกระทำความผิดของจำเลยว่า “...จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ผลงานนวนิยายของโจทก์ดังกล่าวด้วยการคัดลอกและดัดแปลงบทสนทนาของตัวละคร บริบทของตัวละคร และบริบทของฉากในนวนิยายของโจทก์ที่เป็นฉากสำคัญหลาย ๆ ฉาก ในนวนิยายของโจทก์แต่ละเล่มแล้วนำไปเรียบเรียงไว้ในบทนวนิยายเรื่อง “Thank you คุณคนดี” ของจำเลย...” อันเป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์บางส่วนที่อยู่ในนวนิยาย 2 เล่ม ของโจทก์ หาใช่เป็นการคัดลอกดัดแปลงนวนิยายทั้งฉบับทั้ง 2 เล่ม ที่การบรรยายฟ้องเช่นนี้อาจจะทำให้จำเลยพอเข้าใจได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดอย่างไร แต่เมื่อเป็นการคัดลอกดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์เพียงบางส่วน โจทก์ย่อมจะต้องบรรยายฟ้องข้อเท็จจริงให้พอเข้าใจได้ว่าบทสนทนาของตัวละคร บริบทของตัวละคร และบริบทของฉากในนวนิยายของโจทก์ที่เป็นฉากสำคัญหลาย ๆ ฉากนั้น เป็นส่วนไหนในนวนิยายเล่มใดใน 2 เล่ม ของโจทก์ และจำเลยคัดลอกและดัดแปลงงานดังกล่าวอย่างไร รวมทั้งนำไปใช้อยู่ในส่วนไหนของนวนิยายของจำเลย อันจะทำให้จำเลยสามารถเทียบเคียงได้ว่า ข้อความที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์นั้นเป็นการคัดลอกดัดแปลงจริงหรือไม่ กรณีเช่นนี้หาใช่รายละเอียดที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นหรือเป็นเรื่องที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในภายหลังดังที่โจทก์ฎีกาไม่ อีกทั้งเป็นการพิจารณาถึงการแสดงออก (Expression) ไม่ใช่แนวคิด (Idea) ต่างจากที่โจทก์ฎีกาว่าการวินิจฉัยต้องพิจารณาเนื้อหาของงานทั้งหมดโดยรวมประกอบกัน มิใช่แยกพิจารณาออกมาเป็นส่วน ๆ เฉพาะที่มีการคัดลอกเท่านั้น อนึ่ง การบรรยายฟ้องที่เพียงใช้ข้อความตามกฎหมาย เช่น การทำซ้ำหรือดัดแปลง โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามสมควรว่าเป็นการทำซ้ำหรือดัดแปลงอย่างไร ย่อมไม่อาจทำให้จำเลยสามารถเข้าใจฟ้องของโจทก์ได้ ประกอบกับปัญหานี้เป็นการพิจารณาเฉพาะในส่วนของการบรรยายฟ้องเรื่องการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด จึงไม่เกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องอื่น ๆ ส่วนการพิจารณาว่าฟ้องของโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากฟ้องเท่านั้น ไม่อาจนำเอกสารท้ายฟ้องมาพิจารณาประกอบได้ ทั้งเป็นขั้นตอนที่ต้องพิจารณาก่อนที่จะมีการไต่สวนมูลฟ้อง จึงไม่อาจนำข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนมูลฟ้องมาพิจารณาประกอบเช่นกัน สำหรับการเปรียบเทียบการบรรยายฟ้องคดีละเมิดลิขสิทธิ์กับคดีอาญาประเภทอื่นนั้น ถ้าพิจารณาตามหลักการข้างต้นแล้วก็จะไม่ได้แตกต่างกัน หากแต่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ฎีกาของโจทก์อ้างถึงนั้นมีข้อเท็จจริงไม่ตรงกับเรื่องนี้ เมื่อฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในส่วนของการกระทำความผิดของจำเลยว่า การละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์บางส่วนด้วยการทำซ้ำหรือดัดแปลงนั้นถูกกระทำโดยจำเลยในส่วนไหน อย่างไร ย่อมต้องถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องไม่ชอบตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) นั้น โจทก์ต้องบรรยายฟ้องถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด รวมทั้งต้องเป็นข้อเท็จจริงที่จะทำให้จำเลยเข้าใจว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดอย่างไร คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องในส่วนการกระทำความผิดของจำเลยว่า “..จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ผลงานนวนิยายของโจทก์ดังกล่าวด้วยการคัดลอกและดัดแปลงบทสนทนาของตัวละคร บริบทของตัวละคร และบริบทของฉากในนวนิยายของโจทก์ที่เป็นฉากสำคัญหลาย ๆ ฉาก ในนวนิยายของโจทก์แต่ละเล่มแล้วนำไปเรียบเรียงไว้ในบทนวนิยายของจำเลย...” อันเป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์บางส่วนที่อยู่ในนวนิยาย 2 เล่ม ของโจทก์ หาใช่เป็นการคัดลอกดัดแปลงนวนิยายทั้งฉบับทั้ง 2 เล่ม ที่การบรรยายฟ้องนี้อาจจะทำให้จำเลยพอเข้าใจได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดอย่างไร แต่เมื่อเป็นการคัดลอกดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์เพียงบางส่วน โจทก์ย่อมจะต้องบรรยายฟ้องข้อเท็จจริงให้พอเข้าใจได้ว่าบทสนทนาของตัวละคร บริบทของตัวละคร และบริบทของฉากในนวนิยายของโจทก์ที่เป็นฉากสำคัญหลาย ๆ ฉากนั้น เป็นส่วนไหนในนวนิยายเล่มใดใน 2 เล่ม ของโจทก์ และจำเลยคัดลอกและดัดแปลงงานดังกล่าวอย่างไร รวมทั้งนำไปใช้อยู่ในส่วนไหนของนวนิยายของจำเลย อันจะทำให้จำเลยสามารถเทียบเคียงได้ว่า ข้อความที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์นั้นเป็นการคัดลอกดัดแปลงจริงหรือไม่ กรณีเช่นนี้หาใช่รายละเอียดที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นหรือเป็นเรื่องที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในภายหลังดังที่โจทก์ฎีกาไม่ อีกทั้งเป็นการพิจารณาถึงการแสดงออก (Expression) ไม่ใช่แนวคิด (Idea) ต่างจากที่โจทก์ฎีกาว่า การวินิจฉัยต้องพิจารณาเนื้อหาของงานทั้งหมดโดยรวมประกอบกัน มิใช่แยกพิจารณาออกมาเป็นส่วน ๆ เฉพาะที่มีการคัดลอกเท่านั้น อนึ่ง การบรรยายฟ้องที่เพียงใช้ข้อความตามกฎหมาย เช่น การทำซ้ำหรือดัดแปลง โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามสมควรว่าเป็นการทำซ้ำหรือดัดแปลงอย่างไร ย่อมไม่อาจทำให้จำเลยสามารถเข้าใจฟ้องของโจทก์ได้ ประกอบกับปัญหานี้เป็นการพิจารณาเฉพาะในส่วนของการบรรยายฟ้องเรื่องการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด จึงไม่เกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องอื่น ๆ ส่วนการพิจารณาว่าฟ้องของโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากฟ้องเท่านั้น ไม่อาจนำเอกสารท้ายฟ้องมาพิจารณาประกอบได้ ทั้งเป็นขั้นตอนที่ต้องพิจารณาก่อนไต่สวนมูลฟ้อง จึงไม่อาจนำข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนมูลฟ้องมาพิจารณาประกอบเช่นกัน เมื่อฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในส่วนของการกระทำความผิดของจำเลยว่า การละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์บางส่วนด้วยการทำซ้ำหรือดัดแปลงนั้นถูกกระทำโดยจำเลยในส่วนไหน อย่างไร ย่อมต้องถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องไม่ชอบตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 27, 69, 76 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหาย 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยระงับการเผยแพร่หรือจัดจำหน่ายนวนิยายเรื่อง “Thank you คุณคนดี” ทุกช่องทาง และห้ามดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการแก้ไข ดัดแปลง เพื่อนำนวนิยายเรื่องดังกล่าวไปเผยแพร่หรือจัดจำหน่ายใหม่ ให้จำเลยทำหนังสือชี้แจงความจริงให้บุคคลทั่วไปทราบว่าจำเลยคัดลอกและดัดแปลงบทนวนิยายทั้งสองเรื่องของโจทก์ส่วนใดบ้างกับนำไปแต่งและเรียบเรียงในนวนิยายของจำเลยส่วนใดบ้าง โดยยินยอมให้โจทก์นำหนังสือดังกล่าวโพสต์ลงในเฟซบุ๊กและช่องทางที่โจทก์มีต่อนักอ่านของโจทก์เป็นระยะเวลา 30 วัน หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง ไม่รับฟ้องคดีส่วนแพ่ง คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่โจทก์
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์บรรยายฟ้องคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายแล้วหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) นั้น โจทก์ต้องบรรยายฟ้องถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด รวมทั้งต้องเป็นข้อเท็จจริงที่จะทำให้จำเลยเข้าใจว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดอย่างไร คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องในส่วนของการกระทำความผิดของจำเลยว่า “...จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ผลงานนวนิยายของโจทก์ดังกล่าวด้วยการคัดลอกและดัดแปลงบทสนทนาของตัวละคร บริบทของตัวละคร และบริบทของฉากในนวนิยายของโจทก์ที่เป็นฉากสำคัญหลาย ๆ ฉาก ในนวนิยายของโจทก์แต่ละเล่มแล้วนำไปเรียบเรียงไว้ในบทนวนิยายเรื่อง “Thank you คุณคนดี” ของจำเลย...” อันเป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์บางส่วนที่อยู่ในนวนิยาย 2 เล่ม ของโจทก์ หาใช่เป็นการคัดลอกดัดแปลงนวนิยายทั้งฉบับทั้ง 2 เล่ม ที่การบรรยายฟ้องเช่นนี้อาจจะทำให้จำเลยพอเข้าใจได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดอย่างไร แต่เมื่อเป็นการคัดลอกดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์เพียงบางส่วน โจทก์ย่อมจะต้องบรรยายฟ้องข้อเท็จจริงให้พอเข้าใจได้ว่าบทสนทนาของตัวละคร บริบทของตัวละคร และบริบทของฉากในนวนิยายของโจทก์ที่เป็นฉากสำคัญหลาย ๆ ฉากนั้น เป็นส่วนไหนในนวนิยายเล่มใดใน 2 เล่ม ของโจทก์ และจำเลยคัดลอกและดัดแปลงงานดังกล่าวอย่างไร รวมทั้งนำไปใช้อยู่ในส่วนไหนของนวนิยายของจำเลย อันจะทำให้จำเลยสามารถเทียบเคียงได้ว่า ข้อความที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์นั้นเป็นการคัดลอกดัดแปลงจริงหรือไม่ กรณีเช่นนี้หาใช่รายละเอียดที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นหรือเป็นเรื่องที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในภายหลังดังที่โจทก์ฎีกาไม่ อีกทั้งเป็นการพิจารณาถึงการแสดงออก (Expression) ไม่ใช่แนวคิด (Idea) ต่างจากที่โจทก์ฎีกาว่าการวินิจฉัยต้องพิจารณาเนื้อหาของงานทั้งหมดโดยรวมประกอบกัน มิใช่แยกพิจารณาออกมาเป็นส่วน ๆ เฉพาะที่มีการคัดลอกเท่านั้น อนึ่ง การบรรยายฟ้องที่เพียงใช้ข้อความตามกฎหมาย เช่น การทำซ้ำหรือดัดแปลง โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามสมควรว่าเป็นการทำซ้ำหรือดัดแปลงอย่างไร ย่อมไม่อาจทำให้จำเลยสามารถเข้าใจฟ้องของโจทก์ได้ ประกอบกับปัญหานี้เป็นการพิจารณาเฉพาะในส่วนของการบรรยายฟ้องเรื่องการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด จึงไม่เกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องอื่น ๆ ส่วนการพิจารณาว่าฟ้องของโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากฟ้องเท่านั้น ไม่อาจนำเอกสารท้ายฟ้องมาพิจารณาประกอบได้ ทั้งเป็นขั้นตอนที่ต้องพิจารณาก่อนที่จะมีการไต่สวนมูลฟ้อง จึงไม่อาจนำข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนมูลฟ้องมาพิจารณาประกอบเช่นกัน สำหรับการเปรียบเทียบการบรรยายฟ้องคดีละเมิดลิขสิทธิ์กับคดีอาญาประเภทอื่นนั้น ถ้าพิจารณาตามหลักการข้างต้นแล้วก็จะไม่ได้แตกต่างกัน หากแต่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ฎีกาของโจทก์อ้างถึงนั้นมีข้อเท็จจริงไม่ตรงกับเรื่องนี้ เมื่อฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในส่วนของการกระทำความผิดของจำเลยว่า การละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์บางส่วนด้วยการทำซ้ำหรือดัดแปลงนั้นถูกกระทำโดยจำเลยในส่วนไหน อย่างไร ย่อมต้องถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องไม่ชอบตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
คำให้การของผู้คัดค้านในคดีแพ่งที่ผู้ร้องยื่นฟ้องก่อนเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการที่ว่าต้องนำข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการเป็นเพียงการอ้างว่าสัญญาต่าง ๆ ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างในคำฟ้องล้วนมีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการเท่านั้น โดยไม่มีข้อความแสดงถึงการยอมรับว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านผูกพันกันในข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องแต่อย่างใด คำให้การดังกล่าวจึงไม่ใช่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านยอมรับว่าข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องต้องระงับโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการ ยังไม่ถือว่ามีสัญญาอนุญาโตตุลาการระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านเกิดขึ้นตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 11 วรรคสอง
แม้ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 คณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยขอบเขตอำนาจของตนรวมถึงความมีอยู่หรือความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการได้ก็ตาม แต่ในเรื่องขอบเขตอำนาจของคณะอนุญาโตตุลาการ ความมีอยู่ ความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการ รวมไปถึงปัญหาว่าสัญญาดังกล่าวผูกพันผู้ร้องหรือไม่นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนที่ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธการขอบังคับตามคำชี้ขาดได้ถ้าการบังคับตามคำชี้ขาดนั้นจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 44
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอก บุคคลภายนอกก็มีสิทธิเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้ แต่เมื่อพิจารณาสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องแล้ว คู่สัญญาไม่ได้ตกลงว่าจะชำระหนี้ใดแก่ผู้ร้อง ข้อสัญญาที่ผู้ร้องอ้างถึง มีลักษณะเป็นการประมาณรายรับจากการลงทุนที่ตกลงกันระหว่างคู่สัญญาหรือผู้ถือหุ้นทั้งสองฝ่ายของผู้ร้อง ทั้งยังไม่อาจถือเป็นหนี้ที่แน่นอน โดยผู้ร้องมีลักษณะเป็นเพียงตัวแทนของคู่สัญญาในการดำเนินการต่าง ๆ แทนคู่สัญญา ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก และผู้ร้องก็ไม่มีฐานะเป็นคู่สัญญาหรือบุคคลอันจะมีสิทธิตามสัญญาดังกล่าว เมื่อผู้ร้องเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการด้วยข้อกำหนดสัญญาอนุญาโตตุลาการตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้อง แต่ผู้ร้องมิใช่คู่สัญญาดังกล่าว ผู้ร้องย่อมไม่อาจอาศัยข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการตามสัญญาดังกล่าวเพื่อเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการได้ ดังนั้นคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในคดีนี้จึงเป็นคำชี้ขาดวินิจฉัยข้อพิพาทซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ และการยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดในคดีนี้ย่อมจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้คงเรียกผู้ร้องในสำนวนแรกซึ่งเป็นผู้คัดค้านในสำนวนหลังว่า ผู้ร้อง เรียกผู้คัดค้านในสำนวนแรกซึ่งเป็นผู้ร้องในสำนวนหลังว่า ผู้คัดค้าน
สำนวนแรก ผู้ร้องยื่นคำร้องขอบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ สถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 37/2561 หมายเลขแดงที่ 23/2563 โดยให้ผู้คัดค้านชำระต้นเงินจำนวน 579,411,812.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยคำนวณถึงวันที่ 2 เมษายน 2563 อันเป็นวันยื่นคำร้องนี้ คิดเป็นเงิน 77,118,827.50 บาท รวมเป็นเงิน 656,530,640.50 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 579,411,812.87 บาท นับแต่วันถัดจากวันยื่นคำร้องนี้เป็นต้นไปจนกว่าผู้คัดค้านจะชำระหนี้ต้นเงินให้แก่ผู้ร้องจนเสร็จสิ้น
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
สำนวนหลัง ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการตามสำนวนแรกโดยกล่าวอ้างเหตุผลในทำนองเดียวกับที่ยื่นคำคัดค้านในไว้ในสำนวนแรก
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดคณะอนุญาโตตุลาการข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 37/2561 หมายเลขแดงที่ 23/2563 ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้านทั้งสองสำนวน โดยกำหนดค่าทนายความสำนวนละ 50,000 บาท ทั้งนี้ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น เพราะไม่มีผลให้คำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลง
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ว่า การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดในคดีนี้จะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ ผู้ร้องอุทธรณ์แยกเป็นหลายประเด็น ได้แก่ สัญญาอนุญาโตตุลาการระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านเกิดขึ้นแล้วตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 11 คำชี้ขาดวินิจฉัยข้อพิพาทอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ ไม่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ผู้ร้องมีสิทธิตามสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 ถึง 376 ผู้คัดค้านใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการยื่นคำร้องและยื่นคำคัดค้าน และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ศาลชั้นต้นอ้างมามีข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ สำหรับประเด็นว่า สัญญาอนุญาโตตุลาการระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านเกิดขึ้นแล้วตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 11 และผู้คัดค้านใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนั้น เห็นว่า เมื่อพิจารณารายละเอียดในคดีหมายเลขดำที่ พ.4067/2560 ของศาลชั้นต้นที่ผู้ร้องยื่นฟ้องก่อนเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการนั้น ตามคำฟ้องในคดีดังกล่าวผู้ร้องกล่าวอ้างถึงสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้อง สัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณา (โครงการแอลอีดี) สัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณา (โครงการการทางพิเศษ) สัญญากู้เงินกับสัญญากู้เงินเพิ่มเติมครั้งที่ 1 และสัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณาแต่เพียงผู้เดียว (โครงการหอนาฬิกา) แต่คำให้การคดีดังกล่าวผู้คัดค้านให้การปฏิเสธเกี่ยวกับสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องทำนองว่าเป็นสัญญาระหว่างผู้คัดค้านกับบริษัท ด. ไม่ใช่สัญญาระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้าน ผู้ร้องจึงไม่ใช่คู่สัญญากับผู้คัดค้าน และไม่มีอำนาจฟ้องผู้คัดค้าน ส่วนที่ผู้คัดค้านให้การในทำนองว่าต้องนำข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการและยื่นคำร้องขอให้จำหน่ายคดีนั้น ก็เป็นการอ้างเพียงว่าสัญญาต่าง ๆ ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างในคำฟ้องล้วนมีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการเท่านั้น โดยไม่มีข้อความแสดงถึงการยอมรับว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านผูกพันกันในข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องแต่อย่างใด คำให้การดังกล่าวจึงไม่ใช่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านยอมรับว่าข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องต้องระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการ ทั้งคดีดังกล่าวผู้ร้องก็เป็นฝ่ายยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเอง นอกจากนี้ ในชั้นอนุญาโตตุลาการผู้คัดค้านก็ยื่นคำคัดค้านปฏิเสธในทำนองเดียวกันว่าผู้ร้องไม่ใช่คู่สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องและไม่มีอำนาจเสนอข้อพิพาท กรณีย่อมไม่อาจถือได้ว่ามีสัญญาอนุญาโตตุลาการตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 11 วรรคสอง ดังที่ผู้ร้องอุทธรณ์ ส่วนที่ภายหลังผู้คัดค้านฟ้องคดีหมายเลขดำที่ พ.2268/2563 ต่อศาลชั้นต้น ก็เป็นการฟ้องนายสุรเชษฐ์ บริษัท ด. และบริษัท ล. เป็นจำเลย โดยไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวด้วย จึงเป็นเรื่องระหว่างคู่ความในคดีดังกล่าวและไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาในคดีนี้ ข้ออ้างในประเด็นนี้ของผู้ร้องจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง และกรณียังรับฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
สำหรับประเด็นว่า คำชี้ขาดวินิจฉัยข้อพิพาทอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ ไม่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการนั้น เห็นว่า แม้ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 คณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยขอบเขตอำนาจของตนรวมถึงความมีอยู่หรือความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการได้ก็ตาม แต่ในเรื่องขอบเขตอำนาจของคณะอนุญาโตตุลาการ ความมีอยู่ ความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการ รวมไปถึงปัญหาว่าสัญญาดังกล่าวผูกพันผู้ร้องหรือไม่นั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ที่ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธการขอบังคับตามคำชี้ขาดได้ถ้าการบังคับตามคำชี้ขาดนั้นจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 44 ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการด้วยสัญญา 5 ฉบับ สัญญาแต่ละฉบับเกี่ยวข้องโยงใยกันถึงขนาดที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ โดยนอกจากจะมีวัตถุประสงค์เกี่ยวข้องโยงใยกันแล้ว องค์ประกอบและข้อสัญญาอื่นในสัญญาทั้งหมดยังมีการอ้างอิงและส่งผลถึงกันด้วยนั้น เห็นว่า แม้ตามคำเสนอข้อพิพาทของผู้ร้องจะอ้างถึงสัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณา (โครงการแอลอีดี) สัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณา (โครงการการทางพิเศษ) สัญญากู้เงินและสัญญากู้เงินเพิ่มเติมเพื่อลงทุนในโครงการหอนาฬิกา และสัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณาแต่เพียงผู้เดียว (โครงการหอนาฬิกา) มาด้วย ก็เป็นการอ้างเพียงเพื่อให้เห็นว่ามีการทำสัญญาเหล่านั้นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องแล้วเท่านั้น แต่ข้ออ้างที่ผู้ร้องอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในการเรียกค่าเสียหายให้ผู้คัดค้านต้องรับผิดต่อผู้ร้องนั้นล้วนมาจากการอ้างว่าผู้คัดค้านกระทำการไม่สุจริต จงใจไม่ปฏิบัติตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้อง ไม่ได้จัดหารายได้ จัดหารายได้ไม่เพียงพอแก่การประกอบการของผู้ร้อง ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย อันเป็นการผิดข้อตกลงในการประกันรายได้ขั้นต่ำหรือ “Minimum Guarantee” จำนวน 100,000,000 บาท ตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องข้อ 4.1 (ช) รวมถึงผิดข้อตกลงที่ผู้คัดค้านให้ไว้เกี่ยวกับรายการรายได้ของโครงการต่าง ๆ ในระหว่างการเจรจาตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้อง ทั้งเมื่อพิจารณาสัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณาในโครงการต่าง ๆ รวมถึงสัญญากู้เงินที่อ้างมาในคำเสนอข้อพิพาทก็ไม่มีการตกลงในลักษณะประกันรายได้ดังเช่นที่ผู้ร้องอ้างในสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องแต่อย่างใด ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้ร้องเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการด้วยข้อกำหนดสัญญาอนุญาโตตุลาการตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องแล้ว ตามข้อความเบื้องต้นในหน้าแรกของสัญญาระบุว่า สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาระหว่างบริษัท ด. กับผู้คัดค้าน โดยคู่สัญญาประสงค์ที่จะเข้าร่วมลงทุนในผู้ร้องร่วมกันเพื่อการลงทุนให้ได้มาซึ่งสัญญาสัมปทานและประกอบธุรกิจด้านการตลาดและการโฆษณาในพื้นที่ที่ได้สิทธิตามสัญญาสัมปทาน และคู่สัญญามีความประสงค์ที่จะกำหนดเงื่อนไขในการลงทุนในผู้ร้องรวมถึงแนวทางในการบริหารและดำเนินการผู้ร้องร่วมกันภายใต้เงื่อนไขและข้อตกลงของสัญญาดังกล่าว ซึ่งในการร่วมลงทุนนั้น สัญญาข้อ 2 กำหนดเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อผู้ร้อง การโอน ซื้อขาย เพิ่มทุนในหุ้นของผู้ร้อง โดยให้บริษัท ด. ถือหุ้นร้อยละ 70 ส่วนผู้คัดค้านถือหุ้นร้อยละ 30 และในกรณีเกิดเหตุผิดสัญญา คู่สัญญาที่มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาก็มีสิทธิบังคับให้คู่สัญญาฝ่ายที่ผิดสัญญาซื้อหรือขายหุ้นได้ตามที่ระบุไว้ในสัญญาข้อ 11.2 และในสัญญาข้อ 16.5 ในหัวข้อ “สัญญาทั้งฉบับ” ระบุว่า “สัญญานี้เป็นสัญญาฉบับเดียวและเฉพาะระหว่างคู่สัญญาเกี่ยวกับเรื่องของสัญญานี้ …” จากข้อต่าง ๆ ข้างต้นทำให้เห็นได้ว่าสัญญาดังกล่าวเป็นการร่วมลงทุนระหว่างบริษัท ด. กับผู้คัดค้าน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของผู้ร้อง มีสาระสำคัญในการกำหนดหน้าที่ของคู่สัญญาในการบริหารจัดการผู้ร้อง โดยมิได้มีเจตนาให้ผู้ร้องมีฐานะเป็นคู่สัญญาด้วย แม้สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องจะอ้างอิงถึงสัญญาอื่นด้วย แต่ก็มีลักษณะเป็นเพียงการกำหนดแผนงานและวิธีดำเนินการของโครงการต่าง ๆ อันเป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องแยกทำสัญญาต่างหาก ซึ่งเมื่อพิจารณาสัญญาต่าง ๆ ที่มีการอ้างถึง อันได้แก่สัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณาในโครงการต่าง ๆ รวมถึงสัญญากู้เงิน ก็ล้วนมีข้อกำหนดถึงสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สัญญาในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่ตกลงร่วมกันไว้ในแต่ละสัญญา แม้สัญญาเหล่านั้นจะอ้างถึงข้อตกลงบางประการในสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้อง แต่ก็เป็นการอ้างอิงเพียงเพื่อให้ทราบถึงที่มาและเจตนารมณ์ของคู่สัญญาในการปฏิบัติตามสัญญาแต่ละสัญญาเท่านั้น โดยมิได้มีข้อกำหนดในทำนองให้คู่สัญญาเหล่านั้นต้องผูกพันตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องหรือให้ถือว่าเป็นคู่สัญญาตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องด้วย ด้วยเหตุนี้ หากเกิดข้อโต้แย้งตามสัญญาใด คู่สัญญาย่อมสามารถดำเนินคดีกันตามข้อตกลงในสัญญานั้น ๆ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องฟ้องตามสัญญาอื่นด้วย ดังนั้น สัญญาแต่ละฉบับจึงมิได้เกี่ยวข้องโยงใยกันถึงขนาดที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ที่ผู้ร้องอ้างต่อไปว่า คู่สัญญามีเจตนาให้ผู้ร้องเข้าร่วมลงทุนด้วย โดยสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องข้อ 11.1 (ง) ระบุว่า “หากมีเหตุผิดนัดผิดสัญญา หรือเหตุที่อาจนำไปสู่เหตุผิดนัดผิดสัญญาของบริษัท ด. หรือผู้โอน หรือผู้ให้เช่าช่วง หรือผู้ขายใด ๆ ตามสัญญาเช่าช่วง หรือสัญญาโอนสิทธิหน้าที่ หรือตามสัญญาซื้อขายและสัญญาโอนสิทธิที่เกี่ยวข้องกับสัญญาโครงการแอลอีดีเดิมของบริษัท ด. ที่ทำขึ้นตามข้อ 4 ของสัญญานี้ ซึ่งในกรณีดังกล่าวให้ถือเป็นเหตุผิดสัญญานี้ของบริษัท ด.” จึงเป็นการกำหนดเกี่ยวกับการผิดสัญญาในลักษณะข้ามหรือไขว้กัน โดยหากผิดสัญญาใดสัญญาหนึ่งให้ถือว่าเป็นการผิดสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องด้วยนั้น เห็นว่า สัญญาข้อดังกล่าวเป็นเพียงการกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการในโครงการแอลอีดี อันมีลักษณะเป็นการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของบริษัท ด. ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง อันเป็นเรื่องระหว่างบริษัท ด. กับผู้คัดค้านในการร่วมลงทุนเท่านั้น โดยมิได้ระบุให้ผู้ร้องได้รับสิทธิหรือต้องรับผิดแต่อย่างใด นอกจากนี้ ตามสัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณาในโครงการต่าง ๆ รวมถึงสัญญากู้นั้น ก็มิได้ระบุข้อความในทำนองให้ถือว่าการผิดสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องเป็นการผิดสัญญาเหล่านั้นด้วย ข้ออ้างนี้ของผู้ร้องจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง สำหรับประเด็นที่ผู้ร้องอ้างว่า สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกและผู้ร้องมีสิทธิตามสัญญาดังกล่าวนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอก บุคคลภายนอกก็มีสิทธิเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้ แต่เมื่อพิจารณาสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องแล้ว สัญญาดังกล่าวมีสาระสำคัญในการกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ร้องระหว่างคู่สัญญาเพื่อให้ผู้ร้องสามารถบริหารงานดำเนินการได้ กำหนดหน้าที่ต่าง ๆ ให้คู่สัญญาดำเนินการเพื่อให้ผู้ร้องซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างคู่สัญญาสามารถประกอบกิจการได้ตามวัตถุประสงค์ของสัญญา และหารือถึงความเป็นไปได้ในทางธุรกิจที่จะให้ผู้ร้องลงทุนในทรัพย์สินและสิทธิตามสัญญาโครงการแอลอีดีเดิมของบริษัทดีไลท์ มัลติมีเดีย จำกัด พร้อมสัญญาสัมปทานในอนาคต โดยคู่สัญญาไม่ได้ตกลงว่าจะชำระหนี้ใดแก่ผู้ร้อง แม้ผู้ร้องจะอ้างถึงสัญญาข้อ 4.1 (ช) ที่ตกลงเกี่ยวกับ “Minimum Guarantee” แต่เมื่อพิจารณาข้อความในสัญญาข้อดังกล่าวที่ระบุว่า “คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้ตกลงและเห็นชอบถึงจำนวน Minimum Guarantee ของยอดขายก่อนหักค่าใช้จ่าย (จำนวนเงินตามใบแจ้งหนี้ที่ผู้คัดค้านเรียกเก็บและรับชำระจากลูกค้า) ซึ่งทางผู้คัดค้านเป็นตัวแทนขายให้แก่ผู้ร้องภายใต้สัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณาระหว่างผู้ร้องและผู้คัดค้านตามข้อ 3.5 โดยผู้คัดค้านจะพิจารณาให้ Minimum Guarantee จำนวน 100,000,000 บาท ต่อปี ภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้ ...” จะเห็นได้ว่า สัญญาข้อ 4.1 (ช) เป็นเพียงรายละเอียดเกี่ยวกับยอดขายที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุน อันมีลักษณะเป็นการประมาณรายรับจากการลงุทนที่ตกลงกันระหว่างคู่สัญญาหรือผู้ถือหุ้นทั้งสองฝ่ายของผู้ร้อง ทั้งยังไม่อาจถือเป็นหนี้ที่แน่นอน เนื่องจากตอนท้ายของสัญญาข้อนี้ยังกำหนดให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขปลีกย่อยตามสัญญาข้อ 4.1 (ช) (1) ถึง (4) อีก ทั้งตามข้อ 4.1 (ช) (3) คู่สัญญาอาจหารือและปรับ “Minimum Guarantee” ให้ลดลงตามสมควรได้ โดยมิได้แสดงให้เห็นว่าคู่สัญญามีเจตนาจะชำระหนี้ใดแก่ผู้ร้อง ข้อตกลงดังกล่าวแสดงให้เห็นเพียงการคาดการณ์ผลจากการลงทุนร่วมกันระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น โดยผู้ร้องมีลักษณะเป็นเพียงตัวแทนของคู่สัญญาในการดำเนินการต่าง ๆ แทนคู่สัญญาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการลงทุนร่วมกัน สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกดังที่ผู้ร้องอ้าง และผู้ร้องก็ไม่มีฐานะเป็นคู่สัญญาหรือบุคคลอันจะมีสิทธิตามสัญญาดังกล่าว เมื่อผู้ร้องเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการด้วยข้อกำหนดสัญญาอนุญาโตตุลาการตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้อง แต่ผู้ร้องมิใช่คู่สัญญาดังกล่าว ผู้ร้องย่อมไม่อาจอาศัยข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการตามสัญญาดังกล่าวเพื่อเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการได้ ดังนั้น คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในคดีนี้จึงเป็นคำชี้ขาดวินิจฉัยข้อพิพาทซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ และการยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดในคดีนี้ย่อมจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เมื่อได้ความดังนี้แล้ว กรณีไม่จึงจำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์อื่นของผู้ร้องอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในคดีนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
อนึ่ง คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในสำนวนแรก และศาลชั้นต้นให้พิจารณาพิพากษารวมกับสำนวนหลังที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำพิพากษาในส่วนคำร้องของผู้ร้องในสำนวนแรก จึงเห็นสมควรมีคำพิพากษาให้ครบถ้วน นอกจากนี้ ตามตาราง 1 (1) (ข) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กำหนดให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมศาล (ค่าขึ้นศาล) จากคู่พิพาทในลักษณะของคดีคำร้องขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเทศหรือคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเทศนั้น เป็นการกำหนดให้เรียกเก็บค่าขึ้นศาลจากคู่พิพาทที่ยื่นคำร้องขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดหรือคู่พิพาทที่ยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดแล้วแต่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เพียงฝ่ายเดียว คดีนี้เป็นกรณีที่ทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านซึ่งเป็นคู่พิพาทต่างฝ่ายต่างยื่นคำร้องในมูลความแห่งคดีเดียวกัน โดยผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ส่วนผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในมูลคดีคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเรื่องเดียวกัน โดยต่างฝ่ายต่างเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 (1) (ข) เป็นเหตุให้ค่าขึ้นศาลดังกล่าวเมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนสูงกว่าค่าขึ้นศาลที่คู่พิพาทเหล่านั้นต้องชำระในกรณีที่มิได้แยกยื่นคำร้องกัน กรณีจึงมีเหตุสมควรมีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่คู่พิพาทเหล่านั้นตามส่วนของค่าขึ้นศาลที่คู่พิพาทแต่ละฝ่ายได้ชำระไป ทั้งนี้โดยเทียบเคียงกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคห้า ในฐานะเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคสอง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
พิพากษาแก้ให้ยกคำร้องขอบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการของผู้ร้องด้วย ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นที่ผู้ร้องเสียมา 656,530 บาท แก่ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง และที่ผู้คัดค้านเสียมา 579,411 บาท แก่ผู้คัดค้านกึ่งหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
คำให้การของผู้คัดค้านในคดีแพ่งที่ผู้ร้องยื่นฟ้องก่อนเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการที่ว่าต้องนำข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการเป็นเพียงการอ้างว่าสัญญาต่าง ๆ ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างในคำฟ้องล้วนมีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการเท่านั้น โดยไม่มีข้อความแสดงถึงการยอมรับว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านผูกพันกันในข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องแต่อย่างใด คำให้การดังกล่าวจึงไม่ใช่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านยอมรับว่าข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องต้องระงับโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการ ยังไม่ถือว่ามีสัญญาอนุญาโตตุลาการระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านเกิดขึ้นตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 11 วรรคสอง
แม้ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 คณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยขอบเขตอำนาจของตนรวมถึงความมีอยู่หรือความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการได้ก็ตาม แต่ในเรื่องขอบเขตอำนาจของคณะอนุญาโตตุลาการ ความมีอยู่ ความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการ รวมไปถึงปัญหาว่าสัญญาดังกล่าวผูกพันผู้ร้องหรือไม่นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนที่ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธการขอบังคับตามคำชี้ขาดได้ถ้าการบังคับตามคำชี้ขาดนั้นจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 44
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอก บุคคลภายนอกก็มีสิทธิเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้ แต่เมื่อพิจารณาสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องแล้ว คู่สัญญาไม่ได้ตกลงว่าจะชำระหนี้ใดแก่ผู้ร้อง ข้อสัญญาที่ผู้ร้องอ้างถึง มีลักษณะเป็นการประมาณรายรับจากการลงทุนที่ตกลงกันระหว่างคู่สัญญาหรือผู้ถือหุ้นทั้งสองฝ่ายของผู้ร้อง ทั้งยังไม่อาจถือเป็นหนี้ที่แน่นอน โดยผู้ร้องมีลักษณะเป็นเพียงตัวแทนของคู่สัญญาในการดำเนินการต่าง ๆ แทนคู่สัญญา ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก และผู้ร้องก็ไม่มีฐานะเป็นคู่สัญญาหรือบุคคลอันจะมีสิทธิตามสัญญาดังกล่าว เมื่อผู้ร้องเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการด้วยข้อกำหนดสัญญาอนุญาโตตุลาการตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้อง แต่ผู้ร้องมิใช่คู่สัญญาดังกล่าว ผู้ร้องย่อมไม่อาจอาศัยข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการตามสัญญาดังกล่าวเพื่อเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการได้ ดังนั้นคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในคดีนี้จึงเป็นคำชี้ขาดวินิจฉัยข้อพิพาทซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ และการยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดในคดีนี้ย่อมจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้คงเรียกผู้ร้องในสำนวนแรกซึ่งเป็นผู้คัดค้านในสำนวนหลังว่า ผู้ร้อง เรียกผู้คัดค้านในสำนวนแรกซึ่งเป็นผู้ร้องในสำนวนหลังว่า ผู้คัดค้าน
สำนวนแรก ผู้ร้องยื่นคำร้องขอบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ สถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 37/2561 หมายเลขแดงที่ 23/2563 โดยให้ผู้คัดค้านชำระต้นเงินจำนวน 579,411,812.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยคำนวณถึงวันที่ 2 เมษายน 2563 อันเป็นวันยื่นคำร้องนี้ คิดเป็นเงิน 77,118,827.50 บาท รวมเป็นเงิน 656,530,640.50 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 579,411,812.87 บาท นับแต่วันถัดจากวันยื่นคำร้องนี้เป็นต้นไปจนกว่าผู้คัดค้านจะชำระหนี้ต้นเงินให้แก่ผู้ร้องจนเสร็จสิ้น
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
สำนวนหลัง ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการตามสำนวนแรกโดยกล่าวอ้างเหตุผลในทำนองเดียวกับที่ยื่นคำคัดค้านในไว้ในสำนวนแรก
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดคณะอนุญาโตตุลาการข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 37/2561 หมายเลขแดงที่ 23/2563 ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้านทั้งสองสำนวน โดยกำหนดค่าทนายความสำนวนละ 50,000 บาท ทั้งนี้ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น เพราะไม่มีผลให้คำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลง
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ว่า การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดในคดีนี้จะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ ผู้ร้องอุทธรณ์แยกเป็นหลายประเด็น ได้แก่ สัญญาอนุญาโตตุลาการระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านเกิดขึ้นแล้วตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 11 คำชี้ขาดวินิจฉัยข้อพิพาทอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ ไม่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ผู้ร้องมีสิทธิตามสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 ถึง 376 ผู้คัดค้านใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการยื่นคำร้องและยื่นคำคัดค้าน และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ศาลชั้นต้นอ้างมามีข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ สำหรับประเด็นว่า สัญญาอนุญาโตตุลาการระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านเกิดขึ้นแล้วตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 11 และผู้คัดค้านใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนั้น เห็นว่า เมื่อพิจารณารายละเอียดในคดีหมายเลขดำที่ พ.4067/2560 ของศาลชั้นต้นที่ผู้ร้องยื่นฟ้องก่อนเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการนั้น ตามคำฟ้องในคดีดังกล่าวผู้ร้องกล่าวอ้างถึงสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้อง สัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณา (โครงการแอลอีดี) สัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณา (โครงการการทางพิเศษ) สัญญากู้เงินกับสัญญากู้เงินเพิ่มเติมครั้งที่ 1 และสัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณาแต่เพียงผู้เดียว (โครงการหอนาฬิกา) แต่คำให้การคดีดังกล่าวผู้คัดค้านให้การปฏิเสธเกี่ยวกับสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องทำนองว่าเป็นสัญญาระหว่างผู้คัดค้านกับบริษัท ด. ไม่ใช่สัญญาระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้าน ผู้ร้องจึงไม่ใช่คู่สัญญากับผู้คัดค้าน และไม่มีอำนาจฟ้องผู้คัดค้าน ส่วนที่ผู้คัดค้านให้การในทำนองว่าต้องนำข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการและยื่นคำร้องขอให้จำหน่ายคดีนั้น ก็เป็นการอ้างเพียงว่าสัญญาต่าง ๆ ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างในคำฟ้องล้วนมีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการเท่านั้น โดยไม่มีข้อความแสดงถึงการยอมรับว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านผูกพันกันในข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องแต่อย่างใด คำให้การดังกล่าวจึงไม่ใช่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านยอมรับว่าข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องต้องระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการ ทั้งคดีดังกล่าวผู้ร้องก็เป็นฝ่ายยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเอง นอกจากนี้ ในชั้นอนุญาโตตุลาการผู้คัดค้านก็ยื่นคำคัดค้านปฏิเสธในทำนองเดียวกันว่าผู้ร้องไม่ใช่คู่สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องและไม่มีอำนาจเสนอข้อพิพาท กรณีย่อมไม่อาจถือได้ว่ามีสัญญาอนุญาโตตุลาการตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 11 วรรคสอง ดังที่ผู้ร้องอุทธรณ์ ส่วนที่ภายหลังผู้คัดค้านฟ้องคดีหมายเลขดำที่ พ.2268/2563 ต่อศาลชั้นต้น ก็เป็นการฟ้องนายสุรเชษฐ์ บริษัท ด. และบริษัท ล. เป็นจำเลย โดยไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวด้วย จึงเป็นเรื่องระหว่างคู่ความในคดีดังกล่าวและไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาในคดีนี้ ข้ออ้างในประเด็นนี้ของผู้ร้องจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง และกรณียังรับฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
สำหรับประเด็นว่า คำชี้ขาดวินิจฉัยข้อพิพาทอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ ไม่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการนั้น เห็นว่า แม้ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 คณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยขอบเขตอำนาจของตนรวมถึงความมีอยู่หรือความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการได้ก็ตาม แต่ในเรื่องขอบเขตอำนาจของคณะอนุญาโตตุลาการ ความมีอยู่ ความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการ รวมไปถึงปัญหาว่าสัญญาดังกล่าวผูกพันผู้ร้องหรือไม่นั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ที่ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธการขอบังคับตามคำชี้ขาดได้ถ้าการบังคับตามคำชี้ขาดนั้นจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 44 ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการด้วยสัญญา 5 ฉบับ สัญญาแต่ละฉบับเกี่ยวข้องโยงใยกันถึงขนาดที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ โดยนอกจากจะมีวัตถุประสงค์เกี่ยวข้องโยงใยกันแล้ว องค์ประกอบและข้อสัญญาอื่นในสัญญาทั้งหมดยังมีการอ้างอิงและส่งผลถึงกันด้วยนั้น เห็นว่า แม้ตามคำเสนอข้อพิพาทของผู้ร้องจะอ้างถึงสัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณา (โครงการแอลอีดี) สัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณา (โครงการการทางพิเศษ) สัญญากู้เงินและสัญญากู้เงินเพิ่มเติมเพื่อลงทุนในโครงการหอนาฬิกา และสัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณาแต่เพียงผู้เดียว (โครงการหอนาฬิกา) มาด้วย ก็เป็นการอ้างเพียงเพื่อให้เห็นว่ามีการทำสัญญาเหล่านั้นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องแล้วเท่านั้น แต่ข้ออ้างที่ผู้ร้องอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในการเรียกค่าเสียหายให้ผู้คัดค้านต้องรับผิดต่อผู้ร้องนั้นล้วนมาจากการอ้างว่าผู้คัดค้านกระทำการไม่สุจริต จงใจไม่ปฏิบัติตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้อง ไม่ได้จัดหารายได้ จัดหารายได้ไม่เพียงพอแก่การประกอบการของผู้ร้อง ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย อันเป็นการผิดข้อตกลงในการประกันรายได้ขั้นต่ำหรือ “Minimum Guarantee” จำนวน 100,000,000 บาท ตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องข้อ 4.1 (ช) รวมถึงผิดข้อตกลงที่ผู้คัดค้านให้ไว้เกี่ยวกับรายการรายได้ของโครงการต่าง ๆ ในระหว่างการเจรจาตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้อง ทั้งเมื่อพิจารณาสัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณาในโครงการต่าง ๆ รวมถึงสัญญากู้เงินที่อ้างมาในคำเสนอข้อพิพาทก็ไม่มีการตกลงในลักษณะประกันรายได้ดังเช่นที่ผู้ร้องอ้างในสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องแต่อย่างใด ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้ร้องเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการด้วยข้อกำหนดสัญญาอนุญาโตตุลาการตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องแล้ว ตามข้อความเบื้องต้นในหน้าแรกของสัญญาระบุว่า สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาระหว่างบริษัท ด. กับผู้คัดค้าน โดยคู่สัญญาประสงค์ที่จะเข้าร่วมลงทุนในผู้ร้องร่วมกันเพื่อการลงทุนให้ได้มาซึ่งสัญญาสัมปทานและประกอบธุรกิจด้านการตลาดและการโฆษณาในพื้นที่ที่ได้สิทธิตามสัญญาสัมปทาน และคู่สัญญามีความประสงค์ที่จะกำหนดเงื่อนไขในการลงทุนในผู้ร้องรวมถึงแนวทางในการบริหารและดำเนินการผู้ร้องร่วมกันภายใต้เงื่อนไขและข้อตกลงของสัญญาดังกล่าว ซึ่งในการร่วมลงทุนนั้น สัญญาข้อ 2 กำหนดเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อผู้ร้อง การโอน ซื้อขาย เพิ่มทุนในหุ้นของผู้ร้อง โดยให้บริษัท ด. ถือหุ้นร้อยละ 70 ส่วนผู้คัดค้านถือหุ้นร้อยละ 30 และในกรณีเกิดเหตุผิดสัญญา คู่สัญญาที่มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาก็มีสิทธิบังคับให้คู่สัญญาฝ่ายที่ผิดสัญญาซื้อหรือขายหุ้นได้ตามที่ระบุไว้ในสัญญาข้อ 11.2 และในสัญญาข้อ 16.5 ในหัวข้อ “สัญญาทั้งฉบับ” ระบุว่า “สัญญานี้เป็นสัญญาฉบับเดียวและเฉพาะระหว่างคู่สัญญาเกี่ยวกับเรื่องของสัญญานี้ …” จากข้อต่าง ๆ ข้างต้นทำให้เห็นได้ว่าสัญญาดังกล่าวเป็นการร่วมลงทุนระหว่างบริษัท ด. กับผู้คัดค้าน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของผู้ร้อง มีสาระสำคัญในการกำหนดหน้าที่ของคู่สัญญาในการบริหารจัดการผู้ร้อง โดยมิได้มีเจตนาให้ผู้ร้องมีฐานะเป็นคู่สัญญาด้วย แม้สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องจะอ้างอิงถึงสัญญาอื่นด้วย แต่ก็มีลักษณะเป็นเพียงการกำหนดแผนงานและวิธีดำเนินการของโครงการต่าง ๆ อันเป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องแยกทำสัญญาต่างหาก ซึ่งเมื่อพิจารณาสัญญาต่าง ๆ ที่มีการอ้างถึง อันได้แก่สัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณาในโครงการต่าง ๆ รวมถึงสัญญากู้เงิน ก็ล้วนมีข้อกำหนดถึงสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สัญญาในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่ตกลงร่วมกันไว้ในแต่ละสัญญา แม้สัญญาเหล่านั้นจะอ้างถึงข้อตกลงบางประการในสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้อง แต่ก็เป็นการอ้างอิงเพียงเพื่อให้ทราบถึงที่มาและเจตนารมณ์ของคู่สัญญาในการปฏิบัติตามสัญญาแต่ละสัญญาเท่านั้น โดยมิได้มีข้อกำหนดในทำนองให้คู่สัญญาเหล่านั้นต้องผูกพันตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องหรือให้ถือว่าเป็นคู่สัญญาตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องด้วย ด้วยเหตุนี้ หากเกิดข้อโต้แย้งตามสัญญาใด คู่สัญญาย่อมสามารถดำเนินคดีกันตามข้อตกลงในสัญญานั้น ๆ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องฟ้องตามสัญญาอื่นด้วย ดังนั้น สัญญาแต่ละฉบับจึงมิได้เกี่ยวข้องโยงใยกันถึงขนาดที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ที่ผู้ร้องอ้างต่อไปว่า คู่สัญญามีเจตนาให้ผู้ร้องเข้าร่วมลงทุนด้วย โดยสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องข้อ 11.1 (ง) ระบุว่า “หากมีเหตุผิดนัดผิดสัญญา หรือเหตุที่อาจนำไปสู่เหตุผิดนัดผิดสัญญาของบริษัท ด. หรือผู้โอน หรือผู้ให้เช่าช่วง หรือผู้ขายใด ๆ ตามสัญญาเช่าช่วง หรือสัญญาโอนสิทธิหน้าที่ หรือตามสัญญาซื้อขายและสัญญาโอนสิทธิที่เกี่ยวข้องกับสัญญาโครงการแอลอีดีเดิมของบริษัท ด. ที่ทำขึ้นตามข้อ 4 ของสัญญานี้ ซึ่งในกรณีดังกล่าวให้ถือเป็นเหตุผิดสัญญานี้ของบริษัท ด.” จึงเป็นการกำหนดเกี่ยวกับการผิดสัญญาในลักษณะข้ามหรือไขว้กัน โดยหากผิดสัญญาใดสัญญาหนึ่งให้ถือว่าเป็นการผิดสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องด้วยนั้น เห็นว่า สัญญาข้อดังกล่าวเป็นเพียงการกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการในโครงการแอลอีดี อันมีลักษณะเป็นการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของบริษัท ด. ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง อันเป็นเรื่องระหว่างบริษัท ด. กับผู้คัดค้านในการร่วมลงทุนเท่านั้น โดยมิได้ระบุให้ผู้ร้องได้รับสิทธิหรือต้องรับผิดแต่อย่างใด นอกจากนี้ ตามสัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณาในโครงการต่าง ๆ รวมถึงสัญญากู้นั้น ก็มิได้ระบุข้อความในทำนองให้ถือว่าการผิดสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องเป็นการผิดสัญญาเหล่านั้นด้วย ข้ออ้างนี้ของผู้ร้องจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง สำหรับประเด็นที่ผู้ร้องอ้างว่า สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกและผู้ร้องมีสิทธิตามสัญญาดังกล่าวนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอก บุคคลภายนอกก็มีสิทธิเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้ แต่เมื่อพิจารณาสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องแล้ว สัญญาดังกล่าวมีสาระสำคัญในการกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ร้องระหว่างคู่สัญญาเพื่อให้ผู้ร้องสามารถบริหารงานดำเนินการได้ กำหนดหน้าที่ต่าง ๆ ให้คู่สัญญาดำเนินการเพื่อให้ผู้ร้องซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างคู่สัญญาสามารถประกอบกิจการได้ตามวัตถุประสงค์ของสัญญา และหารือถึงความเป็นไปได้ในทางธุรกิจที่จะให้ผู้ร้องลงทุนในทรัพย์สินและสิทธิตามสัญญาโครงการแอลอีดีเดิมของบริษัทดีไลท์ มัลติมีเดีย จำกัด พร้อมสัญญาสัมปทานในอนาคต โดยคู่สัญญาไม่ได้ตกลงว่าจะชำระหนี้ใดแก่ผู้ร้อง แม้ผู้ร้องจะอ้างถึงสัญญาข้อ 4.1 (ช) ที่ตกลงเกี่ยวกับ “Minimum Guarantee” แต่เมื่อพิจารณาข้อความในสัญญาข้อดังกล่าวที่ระบุว่า “คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้ตกลงและเห็นชอบถึงจำนวน Minimum Guarantee ของยอดขายก่อนหักค่าใช้จ่าย (จำนวนเงินตามใบแจ้งหนี้ที่ผู้คัดค้านเรียกเก็บและรับชำระจากลูกค้า) ซึ่งทางผู้คัดค้านเป็นตัวแทนขายให้แก่ผู้ร้องภายใต้สัญญาการให้สิทธิจัดหาลูกค้าเพื่อใช้สื่อโฆษณาระหว่างผู้ร้องและผู้คัดค้านตามข้อ 3.5 โดยผู้คัดค้านจะพิจารณาให้ Minimum Guarantee จำนวน 100,000,000 บาท ต่อปี ภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้ ...” จะเห็นได้ว่า สัญญาข้อ 4.1 (ช) เป็นเพียงรายละเอียดเกี่ยวกับยอดขายที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุน อันมีลักษณะเป็นการประมาณรายรับจากการลงุทนที่ตกลงกันระหว่างคู่สัญญาหรือผู้ถือหุ้นทั้งสองฝ่ายของผู้ร้อง ทั้งยังไม่อาจถือเป็นหนี้ที่แน่นอน เนื่องจากตอนท้ายของสัญญาข้อนี้ยังกำหนดให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขปลีกย่อยตามสัญญาข้อ 4.1 (ช) (1) ถึง (4) อีก ทั้งตามข้อ 4.1 (ช) (3) คู่สัญญาอาจหารือและปรับ “Minimum Guarantee” ให้ลดลงตามสมควรได้ โดยมิได้แสดงให้เห็นว่าคู่สัญญามีเจตนาจะชำระหนี้ใดแก่ผู้ร้อง ข้อตกลงดังกล่าวแสดงให้เห็นเพียงการคาดการณ์ผลจากการลงทุนร่วมกันระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น โดยผู้ร้องมีลักษณะเป็นเพียงตัวแทนของคู่สัญญาในการดำเนินการต่าง ๆ แทนคู่สัญญาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการลงทุนร่วมกัน สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้องจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกดังที่ผู้ร้องอ้าง และผู้ร้องก็ไม่มีฐานะเป็นคู่สัญญาหรือบุคคลอันจะมีสิทธิตามสัญญาดังกล่าว เมื่อผู้ร้องเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการด้วยข้อกำหนดสัญญาอนุญาโตตุลาการตามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของผู้ร้อง แต่ผู้ร้องมิใช่คู่สัญญาดังกล่าว ผู้ร้องย่อมไม่อาจอาศัยข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการตามสัญญาดังกล่าวเพื่อเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการได้ ดังนั้น คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในคดีนี้จึงเป็นคำชี้ขาดวินิจฉัยข้อพิพาทซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ และการยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดในคดีนี้ย่อมจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เมื่อได้ความดังนี้แล้ว กรณีไม่จึงจำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์อื่นของผู้ร้องอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในคดีนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
อนึ่ง คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในสำนวนแรก และศาลชั้นต้นให้พิจารณาพิพากษารวมกับสำนวนหลังที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำพิพากษาในส่วนคำร้องของผู้ร้องในสำนวนแรก จึงเห็นสมควรมีคำพิพากษาให้ครบถ้วน นอกจากนี้ ตามตาราง 1 (1) (ข) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กำหนดให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมศาล (ค่าขึ้นศาล) จากคู่พิพาทในลักษณะของคดีคำร้องขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเทศหรือคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเทศนั้น เป็นการกำหนดให้เรียกเก็บค่าขึ้นศาลจากคู่พิพาทที่ยื่นคำร้องขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดหรือคู่พิพาทที่ยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดแล้วแต่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เพียงฝ่ายเดียว คดีนี้เป็นกรณีที่ทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านซึ่งเป็นคู่พิพาทต่างฝ่ายต่างยื่นคำร้องในมูลความแห่งคดีเดียวกัน โดยผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ส่วนผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในมูลคดีคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเรื่องเดียวกัน โดยต่างฝ่ายต่างเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 (1) (ข) เป็นเหตุให้ค่าขึ้นศาลดังกล่าวเมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนสูงกว่าค่าขึ้นศาลที่คู่พิพาทเหล่านั้นต้องชำระในกรณีที่มิได้แยกยื่นคำร้องกัน กรณีจึงมีเหตุสมควรมีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่คู่พิพาทเหล่านั้นตามส่วนของค่าขึ้นศาลที่คู่พิพาทแต่ละฝ่ายได้ชำระไป ทั้งนี้โดยเทียบเคียงกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคห้า ในฐานะเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคสอง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
พิพากษาแก้ให้ยกคำร้องขอบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการของผู้ร้องด้วย ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นที่ผู้ร้องเสียมา 656,530 บาท แก่ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง และที่ผู้คัดค้านเสียมา 579,411 บาท แก่ผู้คัดค้านกึ่งหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 17 บัญญัติว่า การจัดการและการใช้ทรัพย์ส่วนกลางให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ และตามข้อบังคับ มาตรา 33 วรรคสอง บัญญัติว่า นิติบุคคลอาคารชุดมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง และให้มีอำนาจกระทำการใด ๆ เพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ทั้งนี้ ตามมติของเจ้าของร่วมภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 35 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ให้นิติบุคคลอาคารชุดมีผู้จัดการคนหนึ่ง ... มาตรา 36 บัญญัติว่า ผู้จัดการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) ปฏิบัติการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามมาตรา 33 ตามข้อบังคับหรือตามมติของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมหรือคณะกรรมการ ทั้งนี้ โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ... ซึ่งในมาตรา 39 บัญญัติว่า นิติบุคคลอาคารชุดอาจใช้สิทธิของเจ้าของร่วมครอบไปถึงทรัพย์ส่วนกลางทั้งหมดในการต่อสู้บุคคลภายนอก หรือเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืน เพื่อประโยชน์ของเจ้าของร่วมทั้งหมด เห็นได้ชัดว่า การจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุดยังคงเป็นอำนาจเด็ดขาดของเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดอยู่ เพียงแต่ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 ให้อำนาจเพิ่มเติมแก่นิติบุคคลอาคารชุดในการใช้สิทธิของเจ้าของร่วมครอบไปถึงทรัพย์ส่วนกลางทั้งหมดในการต่อสู้บุคคลภายนอก หรือเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืน เพื่อประโยชน์ของเจ้าของร่วมทั้งหมดโดยบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่จำต้องแสดงเจตนามอบอำนาจให้แก่นิติบุคคลไปดำเนินการเป็นราย ๆ ไปอีกในการปกปักรักษาทรัพย์ส่วนกลาง เพื่อความสะดวกแก่เจ้าของร่วมอาคารชุด เนื่องจากเจ้าของร่วมแต่ละอาคารชุดมีเป็นจำนวนมาก เมื่อไม่มีบทบัญญัติมาตราใดโดยชัดแจ้งตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 ลบล้างอำนาจของเจ้าของรวมในการจัดการทรัพย์สินดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1358 การฟ้องคดีเพื่อขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ประกอบธุรกิจขายห้องชุดชำระค่าเสียหายจากการที่ทรัพย์ส่วนกลางเกิดความชำรุดบกพร่องตามฟ้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์ตามสภาพปกติของทรัพย์สินนั้นตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงเป็นการจัดการทรัพย์สินตามธรรมดาเพื่อรักษาทรัพย์สินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1358 วรรคสอง โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่หรือเจ้าของร่วมคนใดคนหนึ่งมีสิทธิจัดการได้เสมอโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่วมคนอื่นก่อน ส่วนข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด อ. หมวดที่ 3 ว่าด้วยวัตถุประสงค์นิติบุคคลอาคารชุด หมวดที่ 4 ว่าด้วยผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด หมวดที่ 13 ว่าด้วยการประชุมใหญ่เจ้าของร่วม เป็นข้อบังคับที่อนุวัติการตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 หามีผลทำให้อำนาจแห่งเจ้าของกรรมสิทธิ์อันเป็นทรัพยสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่บรรยายฟ้องมาด้วยว่า นิติบุคคลอาคารชุดเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิฟ้องแทนโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่ตามกฎหมาย โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้และจะขอให้หมายเรียกนิติบุคคลอาคารชุดเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมต่อไป เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกให้โจทก์ร่วมเข้ามาในคดีตามคำร้องขอของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่โดยโจทก์ร่วมมิได้คัดค้านข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมต่างมีอำนาจฟ้อง และการที่โจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์จึงชอบแล้ว
โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 62,404,063.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่ ให้จำเลยดำเนินการเปลี่ยนโต๊ะอ่านหนังสือในห้องสมุดให้มีขนาดเล็กลงสำหรับนั่งคนเดียว แก้ไขน้ำท่วมขังถนน ฝาท่อ บ่อบำบัดน้ำเสีย พื้นที่ทางเดินส่วนกลางแต่ละชั้นให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ให้เป็นไปตามแบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หากเพิกเฉยให้บุคคลภายนอกกระทำการแทนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตามจริง ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงท่อ ให้เป็นไปตามแบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หากเพิกเฉยให้บุคคลภายนอกกระทำการแทนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตามจริง หรือชำระเงิน 6,619,283.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงกระจกอะลูมิเนียมทั้งอาคารให้เป็นไปตามแบบ หากเพิกเฉยให้บุคคลภายนอกกระทำการแทนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตามจริง หรือชำระเงิน 64,012,717.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ให้จำเลยจัดทำพื้นที่สีเขียว เครื่องหมายลูกศรจราจรให้ตรงตามแบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ แก้ไขน้ำประปามีกลิ่นเหม็นโดยติดตั้งระบบกันซึม และแก้ไขข้อบกพร่องในส่วนประตูล็อบบี้ มอเตอร์เติมอากาศในบ่อบำบัด เคมีภัณฑ์ที่จำเป็นในการบำบัดสระว่ายน้ำ ให้เป็นไปตามแบบแปลนและรายการประกอบ แบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หากเพิกเฉยให้บุคคลภายนอกกระทำการแทนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตามจริง
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่ขอให้ศาลชั้นต้นหมายเรียกนิติบุคคลอาคารชุด อ. เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 40,756,063.39 บาท และชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 ตุลาคม 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม ให้จำเลยแก้ไขน้ำท่วมขังถนน ฝาท่อ และบ่อบำบัดน้ำเสียให้เป็นไปตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้จำเลยแก้ไขพื้นที่ทางเดินส่วนกลางแต่ละชั้นให้เป็นไปตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้จำเลยดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงวัสดุอุปกรณ์ในส่วนของท่อพีวีซีเป็นท่อเหล็กอาบสังกะสี (กัลวาไนซ์) ตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือให้จำเลยชำระเงิน 6,619,283.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ให้จำเลยจัดทำพื้นที่สีเขียวและเครื่องหมายลูกศรจราจรตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ คำขออื่นให้ยก กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วม โดยกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 40,000 บาท กับค่าทนายความ 40,000 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมได้รับยกเว้นนั้นให้จำเลยนำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ร่วม
โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่ โจทก์ร่วม และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 36,356,063.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 ตุลาคม 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม ให้จำเลยแก้ไขพื้นที่สีเขียวให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 และแก้ไขลูกศรจราจรทางเข้าออกอาคารและถนนรอบอาคารให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการจราจร ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ 10,000,000 บาท แก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ดำเนินการก่อสร้างอาคารชุด 1 หลัง จำนวน 317 ห้อง โครงการ อ. บนที่ดินโฉนดเลขที่ 1213 โดยจำเลยจดทะเบียนอาคารชุดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2556 และจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดชื่อ นิติบุคคลอาคารชุด อ. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2556 โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดในโครงการดังกล่าว ระหว่างวันที่ 17 เมษายน 2558 ถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2560 โจทก์ร่วมและจำเลยมีหนังสือโต้ตอบกันหลายฉบับเกี่ยวกับเรื่องการส่งมอบพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางในสภาพไม่เรียบร้อย มีความชำรุดบกพร่อง วันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 จำเลยว่าจ้างบริษัท อ. ตรวจสอบอาคารงานโครงสร้างหรือสถาปัตยกรรม และว่าจ้างบริษัท ท. ตรวจสอบงานระบบวิศวกรรมของโครงการพิพาท วันที่ 30 มกราคม 2562 ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยตกลงนำเงิน 9,816,063.39 บาท ซึ่งเป็นเงินค่าใช้จ่ายทรัพย์ส่วนกลางตามคำฟ้องข้อ 6.2 และเงิน 40,000 บาท ซึ่งเป็นกรณีที่โจทก์และโจทก์ร่วมเรียกร้องให้จำเลยเปลี่ยนโต๊ะอ่านหนังสือในห้องสมุดตามคำฟ้องข้อ 6.4 มาวางศาลภายใน 90 วัน นอกจากนี้ โจทก์และโจทก์ร่วมไม่ติดใจเรียกร้องให้จำเลยดำเนินการแก้ไขประตูห้องล็อบบี้ มอเตอร์เติมอากาศในบ่อบำบัด และเคมีภัณฑ์ที่จำเป็นในการบำบัดสระว่ายน้ำตามคำฟ้องข้อ 6.11 วันที่ 29 เมษายน 2562 จำเลยวางเงินจำนวนดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระให้แก่โจทก์ร่วม วันที่ 10 พฤษภาคม 2562 โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอรับเงินนั้นไป
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกาข้อแรกว่า โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมมีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 17 บัญญัติว่า การจัดการและการใช้ทรัพย์ส่วนกลางให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ และตามข้อบังคับ มาตรา 33 วรรคสอง บัญญัติว่า นิติบุคคลอาคารชุดมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง และให้มีอำนาจกระทำการใด ๆ เพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ทั้งนี้ ตามมติของเจ้าของร่วมภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 35 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ให้นิติบุคคลอาคารชุดมีผู้จัดการคนหนึ่ง ... มาตรา 36 บัญญัติว่า ผู้จัดการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) ปฏิบัติการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามมาตรา 33 ตามข้อบังคับหรือตามมติของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมหรือคณะกรรมการ ทั้งนี้ โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ... ซึ่งในมาตรา 39 บัญญัติว่า นิติบุคคลอาคารชุดอาจใช้สิทธิของเจ้าของร่วมครอบไปถึงทรัพย์ส่วนกลางทั้งหมดในการต่อสู้บุคคลภายนอก หรือเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืน เพื่อประโยชน์ของเจ้าของร่วมทั้งหมด เห็นได้ชัดว่า การจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุดยังคงเป็นอำนาจเด็ดขาดของเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดอยู่ เพียงแต่ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ให้อำนาจเพิ่มเติมแก่นิติบุคคลอาคารชุดในการใช้สิทธิของเจ้าของร่วมครอบไปถึงทรัพย์ส่วนกลางทั้งหมดในการต่อสู้บุคคลภายนอก หรือเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืน เพื่อประโยชน์ของเจ้าของร่วมทั้งหมดโดยบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่จำต้องแสดงเจตนามอบอำนาจให้แก่นิติบุคคลไปดำเนินการเป็นราย ๆ ไปอีกในการปกปักรักษาทรัพย์ส่วนกลาง เพื่อความสะดวกแก่เจ้าของร่วมอาคารชุด เนื่องจากเจ้าของร่วมแต่ละอาคารชุดมีเป็นจำนวนมาก เมื่อไม่มีบทบัญญัติมาตราใดโดยชัดแจ้งตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ลบล้างอำนาจของเจ้าของรวมในการจัดการทรัพย์สินดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1358 การฟ้องคดีเพื่อขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ประกอบธุรกิจขายห้องชุดชำระค่าเสียหายจากการที่ทรัพย์ส่วนกลางเกิดความชำรุดบกพร่องตามฟ้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์ตามสภาพปกติของทรัพย์สินนั้นตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงเป็นการจัดการทรัพย์สินตามธรรมดาเพื่อรักษาทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1358 วรรคสอง โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่หรือเจ้าของร่วมคนใดคนหนึ่งมีสิทธิจัดการได้เสมอโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่วมคนอื่นก่อน ส่วนข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด อ. หมวดที่ 3 ว่าด้วยวัตถุประสงค์นิติบุคคลอาคารชุด หมวดที่ 4 ว่าด้วยผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด หมวดที่ 13 ว่าด้วยการประชุมใหญ่เจ้าของร่วมดังที่จำเลยอ้างมาในฎีกา เป็นข้อบังคับที่อนุวัติการตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 หามีผลทำให้อำนาจแห่งเจ้าของกรรมสิทธิ์อันเป็นทรัพยสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่บรรยายฟ้องมาด้วยว่า นิติบุคคลอาคารชุดฯ เพิกเฉยไม่ใช้สิทธิฟ้องแทนโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่ตามกฎหมาย โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้และจะขอให้หมายเรียกนิติบุคคลอาคารชุดฯ เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมต่อไป เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกให้โจทก์ร่วมเข้ามาในคดีตามคำร้องขอของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่โดยโจทก์ร่วมมิได้คัดค้านข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมต่างมีอำนาจฟ้อง และการที่โจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์จึงชอบแล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกาข้อต่อไปมีว่า จำเลยต้องรับผิดค่าเสียหายเรื่องท่อประปา ท่อน้ำเสีย ท่อน้ำโสโครก และท่อน้ำฝนของพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมในข้อ 6.7 ขอให้บังคับจำเลยดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างส่วนที่เป็นท่อพีวีซีให้เป็นไปตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือให้จำเลยชำระเงิน 6,619,283.50 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การต่อสู้แต่เพียงว่า จำเลยเลือกใช้ท่อพีวีซีแทนท่อเหล็กอาบสังกะสีเนื่องจากท่อพีวีซีมีคุณภาพและอายุการใช้งานดีกว่าและเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของร่วมทุกคน เท่ากับจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงว่า จำเลยเปลี่ยนแปลงวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างส่วนท่อประปาที่ต้องใช้ท่อเหล็กอาบสังกะสีเป็นท่อพีวีซีแทน ซึ่งไม่เป็นไปตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ดังที่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมกล่าวอ้าง ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ความเสียหายเกิดจากการติดตั้งท่อประปาไม่เรียบร้อย มิใช่เป็นปัญหาเรื่องคุณภาพท่อพีวีซีต่ำกว่าท่อเหล็กอาบสังกะสี จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนท่อน้ำเสีย ท่อน้ำโสโครก และท่อน้ำฝนของพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางนั้น ปรากฏตามรายงานการสำรวจความเสียหายของบริษัท ท. สรุปใจความได้ว่า ท่อน้ำเสีย ท่อน้ำโสโครกและท่อน้ำฝนตามแผนผัง แบบแปลนและรายงานประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ระบุว่า ต้องเป็นท่อพีวีซีชั้นความดัน 13.5 บาร์ แต่หน้างานเป็นท่อพีวีซีชั้นความดัน 8.5 บาร์ จำเลยนำสืบต่อสู้แต่เพียงว่า จำเลยแก้ไขความเสียหายของท่อประปาแล้วดังที่ระบุไว้ในรายงานการประชุมครั้งที่ 4/2559 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2559 มิได้โต้แย้งว่าจำเลยใช้ท่อพีวีซีในส่วนท่อน้ำเสีย ท่อน้ำโสโครกและท่อน้ำฝนตรงตามหน่วยรับแรงดันที่กำหนดของท่อนั้น แสดงว่าจำเลยใช้ท่อพีวีซีในส่วนนี้ไม่เป็นไปตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และอยู่ในประเด็นตามคำฟ้องและคำขอบังคับให้จำเลยดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างส่วนที่เป็นท่อพีวีซีให้เป็นไปตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยให้จำเลยดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงวัสดุและอุปกรณ์ท่อพีวีซีที่ใช้ในการก่อสร้างทั้งในส่วนที่เป็นท่อประปา ท่อน้ำเสีย ท่อน้ำโสโครก และท่อน้ำฝนของพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางให้เป็นไปตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หากไม่ดำเนินการให้จำเลยชำระเงิน 6,619,283.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยจึงชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ข้อต่อสู้ของจำเลยในประเด็นนี้ ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อต่อไปตามฎีกาของโจทก์ร่วมซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกามีว่า จำเลยต้องแก้ไขเปลี่ยนกระจกอะลูมิเนียมทั้งอาคารหรือชำระเงิน 64,012,717.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ร่วมหรือไม่ เห็นว่า คำขอของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมที่ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงกระจกที่ติดตั้งทั้งอาคารให้เป็นไปตามแบบแปลนและรายการของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ประกอบไปด้วยกระจกที่ติดตั้งทั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางและพื้นที่ทรัพย์ส่วนบุคคลในส่วนห้องชุด โจทก์ร่วมฎีกาเพียงฝ่ายเดียว โดยโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่มิได้ฎีกา ในชั้นนี้จึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยเฉพาะขนาดความหนาของกระจกที่ติดตั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลาง อันเป็นอำนาจตามกฎหมายของโจทก์ร่วมในการจัดการและดูแลทรัพย์ส่วนกลางเท่านั้น เมื่อพิจารณาเอกสารหมาย จ.26 ล.13 และ ล.28 โดยละเอียดแล้ว ล้วนมีรายการที่ระบุชื่อจำเลยเจ้าของโครงการ รายชื่อผู้ออกแบบ สถาปนิก วิศวกรโครงสร้าง วิศวกรไฟฟ้า วิศวกรเครื่องกล วิศวกรสุขาภิบาล ผู้ออกแบบภูมิสถาปัตย์ ผู้ออกแบบงานโครงสร้าง ผู้ควบคุมงานก่อสร้าง คู่สัญญารับจ้างก่อสร้าง เหมือนกัน เพียงแต่เป็นแบบแปลนการก่อสร้างอาคารชุดคนละส่วนกัน กล่าวคือ เอกสารหมาย จ.26 เป็นแบบแปลนหน้าต่างและประตูที่มีกระจกติดตั้งด้วย เอกสารหมาย ล.13 เป็นแบบแปลนขยายหน้าต่างอะลูมิเนียม ส่วนเอกสารหมาย ล.28 เป็นแบบแปลนพื้นชั้นที่ 10 ที่ 11 ที่ 12 ที่ 17 ที่ 19 และที่ 20 โดยเฉพาะเอกสารหมาย จ.26 แผ่นที่ 1 และที่ 2 มีความสอดคล้องกับรายการคำนวณกระจกของโครงการที่จำเลยเองเป็นฝ่ายมอบหมายให้วิศวกรทำการสำรวจความปลอดภัยของแรงลมที่ปะทะกับกระจกทั้งที่ติดตั้งทั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางและพื้นที่ทรัพย์ส่วนบุคคลเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2562 ภายหลังเกิดข้อโต้แย้งระหว่างโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่กับจำเลยแล้ว ตัวอย่างเช่น กระจกที่ติดตั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลาง รหัส W1 ถึง W11 W11a W12 A01 A02 A03 A06 การศึกษาของวิศวกรในเรื่องดังกล่าวจึงน่าเชื่อว่าอาศัยแบบแปลนการก่อสร้างเอกสารหมาย จ.26 เป็นแนวทางในการพิจารณา ข้อเท็จจริงจึงมีน้ำหนักรับฟังว่า เแบบแปลนการก่อสร้างอาคารชุดเอกสารหมาย จ.26 เป็นส่วนหนึ่งของแบบแปลนการก่อสร้างอาคารชุดที่จำเลยขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นเดียวกับเอกสารหมาย ล.13 และ ล.28 ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏตามเอกสารหมาย จ.26 แผ่นที่ 1 และที่ 2 ว่า กระจกที่ติดตั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลาง รหัส W1 ถึง W11 W11a W12 A01 A02 A03 A06 ระบุความหนาของกระจกขนาด 12.38 มิลลิเมตร ทั้งสิ้น การที่จำเลยใช้กระจกที่ติดตั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางขนาดความหนาของกระจกเพียง 6.38 มิลลิเมตร ตามรายการคำนวณกระจกของโครงการตามเอกสารหมาย ล.30 จึงผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า กระจกที่ติดตั้งมีคุณสมบัติและอายุการใช้งานไม่แตกต่างกับที่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมเรียกร้อง ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัว เพราะเป็นกรณีที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงและปลอดภัยต่อเจ้าของห้องชุดภายในโครงการทุกคน และทางราชการได้ตรวจสอบแบบแปลนก่อนออกใบอนุญาตให้ก่อสร้างแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ จำเลยจึงมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกระจกที่ติดตั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางทั้งอาคารให้เป็นไปตามแบบแปลนและรายการตามที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนที่โจทก์ร่วมมีคำขอว่า หากจำเลยไม่ดำเนินการให้บุคคลภายนอกเป็นผู้ดำเนินการ โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตามความจริง นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในภาค 4 หมวด 5 โจทก์ร่วมชอบที่จะร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาต่อไป และที่โจทก์ร่วมมีคำขอว่า หากจำเลยไม่ดำเนินการ ขอให้บังคับชำระเงิน 64,012,717.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป โดยอาศัยรายการคิดคำนวณของบริษัท ภ. ตามเอกสารหมาย จ.27 เป็นหลักฐานสำคัญ นั้น เอกสารดังกล่าวเป็นรายการค่าวัสดุ ค่ารื้อถอนและติดตั้งกระจกทั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางและทรัพย์ส่วนบุคคล ไม่อาจแยกแยะได้อย่างแจ้งชัดว่ารายการใดเป็นพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางหรือทรัพย์ส่วนบุคคล และจำนวนหน่วยการนับของกระจกที่จะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางถูกต้องครบถ้วนตามแบบแปลนการก่อสร้างอาคารที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่ จึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้ได้ แต่เพื่อให้การบังคับคดีประเภทหนี้กระทำการในคดีผู้บริโภคมีประสิทธิภาพอย่างเหมาะสม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 39 เห็นสมควรกำหนดระยะเวลาให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา หากจำเลยไม่ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนด ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายวันละ 100,000 บาท จนกว่าจำเลยจะดำเนินการแล้วเสร็จให้แก่โจทก์ร่วม ฎีกาของโจทก์ร่วมในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกาข้อสุดท้ายมีว่า จำเลยต้องรับผิดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษหรือไม่ เพียงใด จำเลยฎีกาว่า พฤติการณ์ของจำเลยไม่เข้าเหตุตามกฎหมายที่จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษถึง 10,000,000 บาท ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองว่า จำเลยก่อสร้างอาคารชุดชำรุดบกพร่องและใช้วัสดุไม่ได้มาตรฐานหลายรายการ พื้นที่ช่องจอดรถขนาดไม่ได้มาตรฐานและขาดจำนวน ไม่ถูกต้องตามแบบแปลนการก่อสร้างอาคารชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่จัดทำพื้นที่สีเขียวและเครื่องหมายจราจรให้ครบถ้วน นอกจากข้อเท็จจริงดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้นแล้วยังปรากฏอีกว่า ขนาดความหนาของกระจกที่ติดตั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดไม่เป็นไปตามแบบแปลนและรายการตามที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ทำให้ขาดความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ย่อมเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และเจ้าของห้องชุดอื่นได้รับความเสียหายไม่สามารถพักอาศัยอยู่ได้โดยปกติสุข อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษนั้นชอบแล้ว อย่างไรก็ตาม ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยมีความพยายามที่จะบรรเทาและเยียวยาความเสียหาย โดยจำเลยนำเงิน 9,816,063.39 บาท ซึ่งเป็นเงินค่าใช้จ่ายทรัพย์ส่วนกลางตามคำฟ้องข้อ 6.2 และเงิน 40,000 บาท ซึ่งเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมเรียกร้องให้จำเลยเปลี่ยนโต๊ะอ่านหนังสือในห้องสมุดตามคำฟ้องข้อ 6.4 มาวางศาลตามที่ทั้งสองฝ่ายเคยเจรจาตกลงกัน และโจทก์ร่วมได้รับเงินค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวไปแล้ว อันเป็นประโยชน์แก่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และเจ้าของห้องชุดอื่นโดยรวม สมควรกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษให้เหมาะสมแก่รูปคดีโดยให้จำเลยรับผิดเป็นเงิน 5,000,000 บาท ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
เนื่องจากมีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้ใช้ข้อความใหม่แทน ซึ่งมีผลให้กรณีเสียดอกเบี้ยให้แก่กัน และมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยโดยนิติกรรมหรือกฎหมายอันชัดแจ้งให้ใช้ดอกเบี้ยร้อยละสามต่อปี เว้นแต่เจ้าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยในช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ดังนั้น ดอกเบี้ยของเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมจึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่แก้ไขใหม่ โดยโจทก์ร่วมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง คือ วันที่ 6 ตุลาคม 2560 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม โดยดอกเบี้ยในส่วนนี้ให้ปรับเปลี่ยนไปตามอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนดโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ร่วมขอ ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) มาตรา 246 และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7
อนึ่ง ทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ของจำเลยเป็นเงิน 47,519,283.50 บาท ไม่เกินห้าสิบล้านบาท คิดค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ในอัตราร้อยละ 2 แต่ไม่เกินสองแสนบาท ตามตาราง 1 (1) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จำเลยชำระค่าขึ้นศาลในส่วนนี้มา 207,371 บาท เกินไป 7,371 บาท จึงต้องคืนส่วนที่เกินให้แก่จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกระจกที่ติดตั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางทั้งอาคารให้เป็นไปตามแบบแปลนและรายการตามที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 180 วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา หากพ้นกำหนดแล้วจำเลยไม่ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนด ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายวันละ 100,000 บาท จนกว่าจำเลยจะดำเนินการแล้วเสร็จ และชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ 5,000,000 บาท กับให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 36,356,063.39 บาท นับแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม สำหรับดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ให้ปรับเปลี่ยนตามอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนดโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ร่วมขอ คำขออื่นของโจทก์ร่วมให้ยก คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ 7,371 บาท แก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 17 บัญญัติว่า การจัดการและการใช้ทรัพย์ส่วนกลางให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ และตามข้อบังคับ มาตรา 33 วรรคสอง บัญญัติว่า นิติบุคคลอาคารชุดมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง และให้มีอำนาจกระทำการใด ๆ เพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ทั้งนี้ ตามมติของเจ้าของร่วมภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 35 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ให้นิติบุคคลอาคารชุดมีผู้จัดการคนหนึ่ง ... มาตรา 36 บัญญัติว่า ผู้จัดการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) ปฏิบัติการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามมาตรา 33 ตามข้อบังคับหรือตามมติของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมหรือคณะกรรมการ ทั้งนี้ โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ... ซึ่งในมาตรา 39 บัญญัติว่า นิติบุคคลอาคารชุดอาจใช้สิทธิของเจ้าของร่วมครอบไปถึงทรัพย์ส่วนกลางทั้งหมดในการต่อสู้บุคคลภายนอก หรือเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืน เพื่อประโยชน์ของเจ้าของร่วมทั้งหมด เห็นได้ชัดว่า การจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุดยังคงเป็นอำนาจเด็ดขาดของเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดอยู่ เพียงแต่ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 ให้อำนาจเพิ่มเติมแก่นิติบุคคลอาคารชุดในการใช้สิทธิของเจ้าของร่วมครอบไปถึงทรัพย์ส่วนกลางทั้งหมดในการต่อสู้บุคคลภายนอก หรือเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืน เพื่อประโยชน์ของเจ้าของร่วมทั้งหมดโดยบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่จำต้องแสดงเจตนามอบอำนาจให้แก่นิติบุคคลไปดำเนินการเป็นราย ๆ ไปอีกในการปกปักรักษาทรัพย์ส่วนกลาง เพื่อความสะดวกแก่เจ้าของร่วมอาคารชุด เนื่องจากเจ้าของร่วมแต่ละอาคารชุดมีเป็นจำนวนมาก เมื่อไม่มีบทบัญญัติมาตราใดโดยชัดแจ้งตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 ลบล้างอำนาจของเจ้าของรวมในการจัดการทรัพย์สินดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1358 การฟ้องคดีเพื่อขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ประกอบธุรกิจขายห้องชุดชำระค่าเสียหายจากการที่ทรัพย์ส่วนกลางเกิดความชำรุดบกพร่องตามฟ้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์ตามสภาพปกติของทรัพย์สินนั้นตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงเป็นการจัดการทรัพย์สินตามธรรมดาเพื่อรักษาทรัพย์สินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1358 วรรคสอง โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่หรือเจ้าของร่วมคนใดคนหนึ่งมีสิทธิจัดการได้เสมอโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่วมคนอื่นก่อน ส่วนข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด อ. หมวดที่ 3 ว่าด้วยวัตถุประสงค์นิติบุคคลอาคารชุด หมวดที่ 4 ว่าด้วยผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด หมวดที่ 13 ว่าด้วยการประชุมใหญ่เจ้าของร่วม เป็นข้อบังคับที่อนุวัติการตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 หามีผลทำให้อำนาจแห่งเจ้าของกรรมสิทธิ์อันเป็นทรัพยสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่บรรยายฟ้องมาด้วยว่า นิติบุคคลอาคารชุดเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิฟ้องแทนโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่ตามกฎหมาย โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้และจะขอให้หมายเรียกนิติบุคคลอาคารชุดเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมต่อไป เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกให้โจทก์ร่วมเข้ามาในคดีตามคำร้องขอของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่โดยโจทก์ร่วมมิได้คัดค้านข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมต่างมีอำนาจฟ้อง และการที่โจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์จึงชอบแล้ว
โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 62,404,063.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่ ให้จำเลยดำเนินการเปลี่ยนโต๊ะอ่านหนังสือในห้องสมุดให้มีขนาดเล็กลงสำหรับนั่งคนเดียว แก้ไขน้ำท่วมขังถนน ฝาท่อ บ่อบำบัดน้ำเสีย พื้นที่ทางเดินส่วนกลางแต่ละชั้นให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ให้เป็นไปตามแบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หากเพิกเฉยให้บุคคลภายนอกกระทำการแทนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตามจริง ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงท่อ ให้เป็นไปตามแบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หากเพิกเฉยให้บุคคลภายนอกกระทำการแทนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตามจริง หรือชำระเงิน 6,619,283.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงกระจกอะลูมิเนียมทั้งอาคารให้เป็นไปตามแบบ หากเพิกเฉยให้บุคคลภายนอกกระทำการแทนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตามจริง หรือชำระเงิน 64,012,717.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ให้จำเลยจัดทำพื้นที่สีเขียว เครื่องหมายลูกศรจราจรให้ตรงตามแบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ แก้ไขน้ำประปามีกลิ่นเหม็นโดยติดตั้งระบบกันซึม และแก้ไขข้อบกพร่องในส่วนประตูล็อบบี้ มอเตอร์เติมอากาศในบ่อบำบัด เคมีภัณฑ์ที่จำเป็นในการบำบัดสระว่ายน้ำ ให้เป็นไปตามแบบแปลนและรายการประกอบ แบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หากเพิกเฉยให้บุคคลภายนอกกระทำการแทนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตามจริง
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่ขอให้ศาลชั้นต้นหมายเรียกนิติบุคคลอาคารชุด อ. เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 40,756,063.39 บาท และชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 ตุลาคม 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม ให้จำเลยแก้ไขน้ำท่วมขังถนน ฝาท่อ และบ่อบำบัดน้ำเสียให้เป็นไปตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้จำเลยแก้ไขพื้นที่ทางเดินส่วนกลางแต่ละชั้นให้เป็นไปตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้จำเลยดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงวัสดุอุปกรณ์ในส่วนของท่อพีวีซีเป็นท่อเหล็กอาบสังกะสี (กัลวาไนซ์) ตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือให้จำเลยชำระเงิน 6,619,283.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ให้จำเลยจัดทำพื้นที่สีเขียวและเครื่องหมายลูกศรจราจรตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ คำขออื่นให้ยก กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วม โดยกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 40,000 บาท กับค่าทนายความ 40,000 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมได้รับยกเว้นนั้นให้จำเลยนำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ร่วม
โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่ โจทก์ร่วม และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 36,356,063.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 ตุลาคม 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม ให้จำเลยแก้ไขพื้นที่สีเขียวให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 และแก้ไขลูกศรจราจรทางเข้าออกอาคารและถนนรอบอาคารให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการจราจร ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ 10,000,000 บาท แก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ดำเนินการก่อสร้างอาคารชุด 1 หลัง จำนวน 317 ห้อง โครงการ อ. บนที่ดินโฉนดเลขที่ 1213 โดยจำเลยจดทะเบียนอาคารชุดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2556 และจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดชื่อ นิติบุคคลอาคารชุด อ. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2556 โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดในโครงการดังกล่าว ระหว่างวันที่ 17 เมษายน 2558 ถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2560 โจทก์ร่วมและจำเลยมีหนังสือโต้ตอบกันหลายฉบับเกี่ยวกับเรื่องการส่งมอบพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางในสภาพไม่เรียบร้อย มีความชำรุดบกพร่อง วันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 จำเลยว่าจ้างบริษัท อ. ตรวจสอบอาคารงานโครงสร้างหรือสถาปัตยกรรม และว่าจ้างบริษัท ท. ตรวจสอบงานระบบวิศวกรรมของโครงการพิพาท วันที่ 30 มกราคม 2562 ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยตกลงนำเงิน 9,816,063.39 บาท ซึ่งเป็นเงินค่าใช้จ่ายทรัพย์ส่วนกลางตามคำฟ้องข้อ 6.2 และเงิน 40,000 บาท ซึ่งเป็นกรณีที่โจทก์และโจทก์ร่วมเรียกร้องให้จำเลยเปลี่ยนโต๊ะอ่านหนังสือในห้องสมุดตามคำฟ้องข้อ 6.4 มาวางศาลภายใน 90 วัน นอกจากนี้ โจทก์และโจทก์ร่วมไม่ติดใจเรียกร้องให้จำเลยดำเนินการแก้ไขประตูห้องล็อบบี้ มอเตอร์เติมอากาศในบ่อบำบัด และเคมีภัณฑ์ที่จำเป็นในการบำบัดสระว่ายน้ำตามคำฟ้องข้อ 6.11 วันที่ 29 เมษายน 2562 จำเลยวางเงินจำนวนดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระให้แก่โจทก์ร่วม วันที่ 10 พฤษภาคม 2562 โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอรับเงินนั้นไป
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกาข้อแรกว่า โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมมีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 17 บัญญัติว่า การจัดการและการใช้ทรัพย์ส่วนกลางให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ และตามข้อบังคับ มาตรา 33 วรรคสอง บัญญัติว่า นิติบุคคลอาคารชุดมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง และให้มีอำนาจกระทำการใด ๆ เพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ทั้งนี้ ตามมติของเจ้าของร่วมภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 35 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ให้นิติบุคคลอาคารชุดมีผู้จัดการคนหนึ่ง ... มาตรา 36 บัญญัติว่า ผู้จัดการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) ปฏิบัติการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามมาตรา 33 ตามข้อบังคับหรือตามมติของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมหรือคณะกรรมการ ทั้งนี้ โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ... ซึ่งในมาตรา 39 บัญญัติว่า นิติบุคคลอาคารชุดอาจใช้สิทธิของเจ้าของร่วมครอบไปถึงทรัพย์ส่วนกลางทั้งหมดในการต่อสู้บุคคลภายนอก หรือเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืน เพื่อประโยชน์ของเจ้าของร่วมทั้งหมด เห็นได้ชัดว่า การจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุดยังคงเป็นอำนาจเด็ดขาดของเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดอยู่ เพียงแต่ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ให้อำนาจเพิ่มเติมแก่นิติบุคคลอาคารชุดในการใช้สิทธิของเจ้าของร่วมครอบไปถึงทรัพย์ส่วนกลางทั้งหมดในการต่อสู้บุคคลภายนอก หรือเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืน เพื่อประโยชน์ของเจ้าของร่วมทั้งหมดโดยบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่จำต้องแสดงเจตนามอบอำนาจให้แก่นิติบุคคลไปดำเนินการเป็นราย ๆ ไปอีกในการปกปักรักษาทรัพย์ส่วนกลาง เพื่อความสะดวกแก่เจ้าของร่วมอาคารชุด เนื่องจากเจ้าของร่วมแต่ละอาคารชุดมีเป็นจำนวนมาก เมื่อไม่มีบทบัญญัติมาตราใดโดยชัดแจ้งตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ลบล้างอำนาจของเจ้าของรวมในการจัดการทรัพย์สินดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1358 การฟ้องคดีเพื่อขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ประกอบธุรกิจขายห้องชุดชำระค่าเสียหายจากการที่ทรัพย์ส่วนกลางเกิดความชำรุดบกพร่องตามฟ้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์ตามสภาพปกติของทรัพย์สินนั้นตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงเป็นการจัดการทรัพย์สินตามธรรมดาเพื่อรักษาทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1358 วรรคสอง โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่หรือเจ้าของร่วมคนใดคนหนึ่งมีสิทธิจัดการได้เสมอโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่วมคนอื่นก่อน ส่วนข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด อ. หมวดที่ 3 ว่าด้วยวัตถุประสงค์นิติบุคคลอาคารชุด หมวดที่ 4 ว่าด้วยผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด หมวดที่ 13 ว่าด้วยการประชุมใหญ่เจ้าของร่วมดังที่จำเลยอ้างมาในฎีกา เป็นข้อบังคับที่อนุวัติการตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 หามีผลทำให้อำนาจแห่งเจ้าของกรรมสิทธิ์อันเป็นทรัพยสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่บรรยายฟ้องมาด้วยว่า นิติบุคคลอาคารชุดฯ เพิกเฉยไม่ใช้สิทธิฟ้องแทนโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่ตามกฎหมาย โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้และจะขอให้หมายเรียกนิติบุคคลอาคารชุดฯ เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมต่อไป เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกให้โจทก์ร่วมเข้ามาในคดีตามคำร้องขอของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่โดยโจทก์ร่วมมิได้คัดค้านข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมต่างมีอำนาจฟ้อง และการที่โจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์จึงชอบแล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกาข้อต่อไปมีว่า จำเลยต้องรับผิดค่าเสียหายเรื่องท่อประปา ท่อน้ำเสีย ท่อน้ำโสโครก และท่อน้ำฝนของพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมในข้อ 6.7 ขอให้บังคับจำเลยดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างส่วนที่เป็นท่อพีวีซีให้เป็นไปตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือให้จำเลยชำระเงิน 6,619,283.50 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การต่อสู้แต่เพียงว่า จำเลยเลือกใช้ท่อพีวีซีแทนท่อเหล็กอาบสังกะสีเนื่องจากท่อพีวีซีมีคุณภาพและอายุการใช้งานดีกว่าและเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของร่วมทุกคน เท่ากับจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงว่า จำเลยเปลี่ยนแปลงวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างส่วนท่อประปาที่ต้องใช้ท่อเหล็กอาบสังกะสีเป็นท่อพีวีซีแทน ซึ่งไม่เป็นไปตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ดังที่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมกล่าวอ้าง ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ความเสียหายเกิดจากการติดตั้งท่อประปาไม่เรียบร้อย มิใช่เป็นปัญหาเรื่องคุณภาพท่อพีวีซีต่ำกว่าท่อเหล็กอาบสังกะสี จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนท่อน้ำเสีย ท่อน้ำโสโครก และท่อน้ำฝนของพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางนั้น ปรากฏตามรายงานการสำรวจความเสียหายของบริษัท ท. สรุปใจความได้ว่า ท่อน้ำเสีย ท่อน้ำโสโครกและท่อน้ำฝนตามแผนผัง แบบแปลนและรายงานประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ระบุว่า ต้องเป็นท่อพีวีซีชั้นความดัน 13.5 บาร์ แต่หน้างานเป็นท่อพีวีซีชั้นความดัน 8.5 บาร์ จำเลยนำสืบต่อสู้แต่เพียงว่า จำเลยแก้ไขความเสียหายของท่อประปาแล้วดังที่ระบุไว้ในรายงานการประชุมครั้งที่ 4/2559 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2559 มิได้โต้แย้งว่าจำเลยใช้ท่อพีวีซีในส่วนท่อน้ำเสีย ท่อน้ำโสโครกและท่อน้ำฝนตรงตามหน่วยรับแรงดันที่กำหนดของท่อนั้น แสดงว่าจำเลยใช้ท่อพีวีซีในส่วนนี้ไม่เป็นไปตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และอยู่ในประเด็นตามคำฟ้องและคำขอบังคับให้จำเลยดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างส่วนที่เป็นท่อพีวีซีให้เป็นไปตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยให้จำเลยดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงวัสดุและอุปกรณ์ท่อพีวีซีที่ใช้ในการก่อสร้างทั้งในส่วนที่เป็นท่อประปา ท่อน้ำเสีย ท่อน้ำโสโครก และท่อน้ำฝนของพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางให้เป็นไปตามแผนผัง แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หากไม่ดำเนินการให้จำเลยชำระเงิน 6,619,283.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยจึงชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ข้อต่อสู้ของจำเลยในประเด็นนี้ ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อต่อไปตามฎีกาของโจทก์ร่วมซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกามีว่า จำเลยต้องแก้ไขเปลี่ยนกระจกอะลูมิเนียมทั้งอาคารหรือชำระเงิน 64,012,717.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ร่วมหรือไม่ เห็นว่า คำขอของโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมที่ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงกระจกที่ติดตั้งทั้งอาคารให้เป็นไปตามแบบแปลนและรายการของห้องชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ประกอบไปด้วยกระจกที่ติดตั้งทั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางและพื้นที่ทรัพย์ส่วนบุคคลในส่วนห้องชุด โจทก์ร่วมฎีกาเพียงฝ่ายเดียว โดยโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่มิได้ฎีกา ในชั้นนี้จึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยเฉพาะขนาดความหนาของกระจกที่ติดตั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลาง อันเป็นอำนาจตามกฎหมายของโจทก์ร่วมในการจัดการและดูแลทรัพย์ส่วนกลางเท่านั้น เมื่อพิจารณาเอกสารหมาย จ.26 ล.13 และ ล.28 โดยละเอียดแล้ว ล้วนมีรายการที่ระบุชื่อจำเลยเจ้าของโครงการ รายชื่อผู้ออกแบบ สถาปนิก วิศวกรโครงสร้าง วิศวกรไฟฟ้า วิศวกรเครื่องกล วิศวกรสุขาภิบาล ผู้ออกแบบภูมิสถาปัตย์ ผู้ออกแบบงานโครงสร้าง ผู้ควบคุมงานก่อสร้าง คู่สัญญารับจ้างก่อสร้าง เหมือนกัน เพียงแต่เป็นแบบแปลนการก่อสร้างอาคารชุดคนละส่วนกัน กล่าวคือ เอกสารหมาย จ.26 เป็นแบบแปลนหน้าต่างและประตูที่มีกระจกติดตั้งด้วย เอกสารหมาย ล.13 เป็นแบบแปลนขยายหน้าต่างอะลูมิเนียม ส่วนเอกสารหมาย ล.28 เป็นแบบแปลนพื้นชั้นที่ 10 ที่ 11 ที่ 12 ที่ 17 ที่ 19 และที่ 20 โดยเฉพาะเอกสารหมาย จ.26 แผ่นที่ 1 และที่ 2 มีความสอดคล้องกับรายการคำนวณกระจกของโครงการที่จำเลยเองเป็นฝ่ายมอบหมายให้วิศวกรทำการสำรวจความปลอดภัยของแรงลมที่ปะทะกับกระจกทั้งที่ติดตั้งทั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางและพื้นที่ทรัพย์ส่วนบุคคลเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2562 ภายหลังเกิดข้อโต้แย้งระหว่างโจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่กับจำเลยแล้ว ตัวอย่างเช่น กระจกที่ติดตั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลาง รหัส W1 ถึง W11 W11a W12 A01 A02 A03 A06 การศึกษาของวิศวกรในเรื่องดังกล่าวจึงน่าเชื่อว่าอาศัยแบบแปลนการก่อสร้างเอกสารหมาย จ.26 เป็นแนวทางในการพิจารณา ข้อเท็จจริงจึงมีน้ำหนักรับฟังว่า เแบบแปลนการก่อสร้างอาคารชุดเอกสารหมาย จ.26 เป็นส่วนหนึ่งของแบบแปลนการก่อสร้างอาคารชุดที่จำเลยขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นเดียวกับเอกสารหมาย ล.13 และ ล.28 ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏตามเอกสารหมาย จ.26 แผ่นที่ 1 และที่ 2 ว่า กระจกที่ติดตั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลาง รหัส W1 ถึง W11 W11a W12 A01 A02 A03 A06 ระบุความหนาของกระจกขนาด 12.38 มิลลิเมตร ทั้งสิ้น การที่จำเลยใช้กระจกที่ติดตั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางขนาดความหนาของกระจกเพียง 6.38 มิลลิเมตร ตามรายการคำนวณกระจกของโครงการตามเอกสารหมาย ล.30 จึงผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า กระจกที่ติดตั้งมีคุณสมบัติและอายุการใช้งานไม่แตกต่างกับที่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมเรียกร้อง ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัว เพราะเป็นกรณีที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงและปลอดภัยต่อเจ้าของห้องชุดภายในโครงการทุกคน และทางราชการได้ตรวจสอบแบบแปลนก่อนออกใบอนุญาตให้ก่อสร้างแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ จำเลยจึงมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกระจกที่ติดตั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางทั้งอาคารให้เป็นไปตามแบบแปลนและรายการตามที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนที่โจทก์ร่วมมีคำขอว่า หากจำเลยไม่ดำเนินการให้บุคคลภายนอกเป็นผู้ดำเนินการ โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตามความจริง นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในภาค 4 หมวด 5 โจทก์ร่วมชอบที่จะร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาต่อไป และที่โจทก์ร่วมมีคำขอว่า หากจำเลยไม่ดำเนินการ ขอให้บังคับชำระเงิน 64,012,717.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป โดยอาศัยรายการคิดคำนวณของบริษัท ภ. ตามเอกสารหมาย จ.27 เป็นหลักฐานสำคัญ นั้น เอกสารดังกล่าวเป็นรายการค่าวัสดุ ค่ารื้อถอนและติดตั้งกระจกทั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางและทรัพย์ส่วนบุคคล ไม่อาจแยกแยะได้อย่างแจ้งชัดว่ารายการใดเป็นพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางหรือทรัพย์ส่วนบุคคล และจำนวนหน่วยการนับของกระจกที่จะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางถูกต้องครบถ้วนตามแบบแปลนการก่อสร้างอาคารที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่ จึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้ได้ แต่เพื่อให้การบังคับคดีประเภทหนี้กระทำการในคดีผู้บริโภคมีประสิทธิภาพอย่างเหมาะสม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 39 เห็นสมควรกำหนดระยะเวลาให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา หากจำเลยไม่ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนด ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายวันละ 100,000 บาท จนกว่าจำเลยจะดำเนินการแล้วเสร็จให้แก่โจทก์ร่วม ฎีกาของโจทก์ร่วมในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกาข้อสุดท้ายมีว่า จำเลยต้องรับผิดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษหรือไม่ เพียงใด จำเลยฎีกาว่า พฤติการณ์ของจำเลยไม่เข้าเหตุตามกฎหมายที่จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษถึง 10,000,000 บาท ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองว่า จำเลยก่อสร้างอาคารชุดชำรุดบกพร่องและใช้วัสดุไม่ได้มาตรฐานหลายรายการ พื้นที่ช่องจอดรถขนาดไม่ได้มาตรฐานและขาดจำนวน ไม่ถูกต้องตามแบบแปลนการก่อสร้างอาคารชุดที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่จัดทำพื้นที่สีเขียวและเครื่องหมายจราจรให้ครบถ้วน นอกจากข้อเท็จจริงดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้นแล้วยังปรากฏอีกว่า ขนาดความหนาของกระจกที่ติดตั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดไม่เป็นไปตามแบบแปลนและรายการตามที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ทำให้ขาดความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ย่อมเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และเจ้าของห้องชุดอื่นได้รับความเสียหายไม่สามารถพักอาศัยอยู่ได้โดยปกติสุข อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษนั้นชอบแล้ว อย่างไรก็ตาม ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยมีความพยายามที่จะบรรเทาและเยียวยาความเสียหาย โดยจำเลยนำเงิน 9,816,063.39 บาท ซึ่งเป็นเงินค่าใช้จ่ายทรัพย์ส่วนกลางตามคำฟ้องข้อ 6.2 และเงิน 40,000 บาท ซึ่งเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และโจทก์ร่วมเรียกร้องให้จำเลยเปลี่ยนโต๊ะอ่านหนังสือในห้องสมุดตามคำฟ้องข้อ 6.4 มาวางศาลตามที่ทั้งสองฝ่ายเคยเจรจาตกลงกัน และโจทก์ร่วมได้รับเงินค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวไปแล้ว อันเป็นประโยชน์แก่โจทก์ทั้งเจ็ดสิบสี่และเจ้าของห้องชุดอื่นโดยรวม สมควรกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษให้เหมาะสมแก่รูปคดีโดยให้จำเลยรับผิดเป็นเงิน 5,000,000 บาท ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
เนื่องจากมีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้ใช้ข้อความใหม่แทน ซึ่งมีผลให้กรณีเสียดอกเบี้ยให้แก่กัน และมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยโดยนิติกรรมหรือกฎหมายอันชัดแจ้งให้ใช้ดอกเบี้ยร้อยละสามต่อปี เว้นแต่เจ้าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยในช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ดังนั้น ดอกเบี้ยของเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมจึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่แก้ไขใหม่ โดยโจทก์ร่วมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง คือ วันที่ 6 ตุลาคม 2560 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม โดยดอกเบี้ยในส่วนนี้ให้ปรับเปลี่ยนไปตามอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนดโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ร่วมขอ ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) มาตรา 246 และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7
อนึ่ง ทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ของจำเลยเป็นเงิน 47,519,283.50 บาท ไม่เกินห้าสิบล้านบาท คิดค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ในอัตราร้อยละ 2 แต่ไม่เกินสองแสนบาท ตามตาราง 1 (1) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จำเลยชำระค่าขึ้นศาลในส่วนนี้มา 207,371 บาท เกินไป 7,371 บาท จึงต้องคืนส่วนที่เกินให้แก่จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกระจกที่ติดตั้งในพื้นที่ทรัพย์ส่วนกลางทั้งอาคารให้เป็นไปตามแบบแปลนและรายการตามที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 180 วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา หากพ้นกำหนดแล้วจำเลยไม่ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนด ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายวันละ 100,000 บาท จนกว่าจำเลยจะดำเนินการแล้วเสร็จ และชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ 5,000,000 บาท กับให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 36,356,063.39 บาท นับแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม สำหรับดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ให้ปรับเปลี่ยนตามอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนดโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ร่วมขอ คำขออื่นของโจทก์ร่วมให้ยก คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ 7,371 บาท แก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การตีความสัญญาต้องเป็นไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 368 คือต้องถือหลักตามความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายจะถือเอาเจตนาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวไม่ได้ นอกจากนี้ การตีความสัญญาเพื่อให้เห็นถึงการแสดงเจตนาของคู่สัญญานั้นให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรืออักษรตามมาตรา 171 สัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 2 กำหนดให้บุคคลฝ่ายโจทก์ผู้มีสิทธิได้รับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทจากฝ่ายจำเลยไล่เรียงกันไป ก. (โจทก์ในคดีแพ่ง) ท. และโจทก์ ขึ้นอยู่กับการมีชีวิตอยู่ของบุคคลนั้น ๆ ในขณะที่ฝ่ายจำเลยโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกพิพาทให้ นอกจากนี้ ข้อ 3 ก็กำหนดให้ฝ่ายจำเลยแบ่งแยกที่ดินอีกแปลงหนึ่งให้แก่ฝ่ายโจทก์ไล่เรียงลำดับกันไปโดยมีเงื่อนไขเดียวกันกับข้อ 2 แสดงให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายว่าบุคคลฝ่ายโจทก์ที่จะได้รับชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 เป็นลำดับไป การตีความข้อความตอนท้ายของสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 ที่ว่า “…หากว่าจำเลยที่ 2 (หมายถึงจำเลย) ไม่ไปดำเนินการซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนจากบุคคลภายนอกและโอนให้แก่โจทก์ภายในกำหนดจำเลยที่ 2 (หมายถึงจำเลย) ยินยอมชำระเงินคืนให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน)” คำว่า “โจทก์” ดังกล่าว จึงต้องแปลความหมายว่าฝ่ายโจทก์ ซึ่งรวมถึงโจทก์ในคดีนี้ด้วยเนื่องจาก ก. และ ท. ได้ถึงแก่ความตายแล้วก่อนครบกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินคืนแก่โจทก์ 1,000,000 บาท เมื่อจำเลยไม่ชำระ จำเลยจึงเป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาทตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (2)
เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์ได้ร้องขอต่อศาลให้บังคับคดีตามคำพิพากษาโดยศาลได้ออกหมายบังคับคดี และโจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยพบว่าจำเลยมีที่ดินโฉนดเลขที่ 6329 มีราคาประเมินเพียง 58,800 บาท ไม่เพียงพอที่จะยึดมาชำระหนี้ได้กรณีจึงเข้าข้อสันนิษฐานตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 (5) ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว จำเลยให้การและส่งบันทึกถ้อยคำว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6329 มีราคาซื้อขายในท้องตลาดไม่ต่ำกว่า 400,000 บาท แต่ไม่ได้ส่งหลักฐานใด ๆ จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดแล้ว จำเลยไม่สามารถนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ จึงฟังว่าจำเลยมีหนี้สินพ้นตัวตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (1)
แม้จำเลยจะรับราชการตำรวจและเคยเสนอจะโอนที่ดินตีใช้หนี้โจทก์ก็ตาม แต่ที่ดินที่จำเลยเสนอตีโอนใช้หนี้นั้นมีราคาประเมินเพียง 58,800 บาท ประกอบกับจำเลยไม่เคยชำระหนี้คืนให้แก่โจทก์เลย กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย
โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยให้หักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้โต้แย้งว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลจังหวัดอุดรธานี คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1491/2555 ซึ่งศาลพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2555 โดยสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 กำหนดให้จำเลยซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4333 คืนจากนางสาวนารีรัตน์ และโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นายแก้ว (โจทก์ในคดีแพ่ง) ภายใน 3 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากนายแก้ว (โจทก์ในคดีแพ่ง) ถึงแก่ความตายก่อนครบกำหนด ให้โอนที่ดินให้แก่นางทองศรี หากนางทองศรีถึงแก่ความตายก่อนครบกำหนด ให้โอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนและโอนให้แก่นายแก้ว (โจทก์ในคดีแพ่ง) ภายในกำหนด จำเลยยอมชำระเงินให้แก่นายแก้ว (โจทก์ในคดีแพ่ง) 1,000,000 บาท แต่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม จนนายแก้ว (โจทก์ในคดีแพ่ง) และนางทองศรีถึงแก่ความตาย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาทหรือไม่ เห็นว่า การตีความสัญญาต้องเป็นไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 คือ ต้องถือหลักตามความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายจะถือเอาเจตนาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวไม่ได้ นอกจากนี้ การตีความสัญญาเพื่อให้เห็นถึงการแสดงเจตนาของคู่สัญญานั้นให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษรตามมาตรา 171 ด้วย เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับความหมายของข้อความในสัญญา ศาลจึงต้องแสวงหาเจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายโดยค้นหาเอาจากข้อความในสัญญาทั้งฉบับ รวมทั้งพฤติการณ์ที่คู่สัญญาปฏิบัติต่อกันหลังจากทำสัญญานั้นด้วย จากข้อความตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 กำหนดให้บุคคลฝ่ายโจทก์ผู้มีสิทธิได้รับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทจากฝ่ายจำเลยไล่เรียงกันไปจากนายแก้ว (โจทก์ในคดีแพ่ง) นางทองศรี และโจทก์ ขึ้นอยู่กับการมีชีวิตอยู่ของบุคคลนั้น ๆ ในขณะที่ฝ่ายจำเลยโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทให้ นอกจากนี้ ข้อ 3 ก็มีการกำหนดให้ฝ่ายจำเลยแบ่งแยกที่ดินอีกแปลงหนึ่งให้แก่ฝ่ายโจทก์ไล่เรียงลำดับกันไปโดยมีเงื่อนไขเดียวกันกับข้อ 2 แสดงให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายว่าบุคคลฝ่ายโจทก์ที่จะได้รับชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 เป็นลำดับไป ประกอบกับในชั้นยื่นคำให้การและชั้นพิจารณา จำเลยไม่เคยโต้แย้งว่าจำเลยไม่มีภาระหนี้ที่ต้องชำระเงิน 1,000,000 บาท แก่โจทก์ ทั้งจำเลยยังเสนอที่จะประนอมหนี้กับโจทก์มาโดยตลอด โดยจำเลยเสนอที่จะโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 6329 เพื่อตีใช้หนี้โจทก์เป็นเงิน 400,000 บาท ซึ่งหากจำเลยเห็นว่าตนเป็นหนี้โจทก์เพียง 142,857.143 บาท ตามที่ฎีกาจริง ที่ผ่านมา จำเลยก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องนำทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่าจำนวนหนี้ถึงกว่าสองเท่าไปตีใช้หนี้โจทก์ ข้อต่อสู้ของจำเลยในประเด็นนี้มีเพียงการโต้แย้งเรื่องโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากต้นเงิน 1,000,000 บาท เท่านั้น ดังนั้น การตีความข้อความตอนท้ายของสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 ที่ว่า “...หากว่าจำเลยที่ 2 (หมายถึงจำเลย) ไม่ไปดำเนินการซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนจากบุคคลภายนอกและโอนให้แก่โจทก์ภายในกำหนด จำเลยที่ 2 (หมายถึงจำเลย) ยินยอมชำระเงินคืนให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน)” คำว่า “โจทก์” ดังกล่าว จึงต้องแปลความหมายว่า ฝ่ายโจทก์ ซึ่งรวมถึงโจทก์ในคดีนี้ด้วยเนื่องจากนายแก้วและนางทองศรีได้ถึงแก่ความตายแล้วก่อนครบกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินคืนแก่โจทก์ 1,000,000 บาท เมื่อจำเลยไม่ชำระ จำเลยจึงเป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาทตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (2) ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
คดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ได้ร้องขอต่อศาลให้บังคับคดีตามคำพิพากษาโดยศาลได้ออกหมายบังคับคดีจำเลย และโจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยพบว่าจำเลยมีที่ดินโฉนดเลขที่ 6329 มีราคาประเมินเพียง 58,800 บาท ไม่เพียงพอที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ กรณีจึงเข้าข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 (5) ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว จำเลยให้การและส่งบันทึกถ้อยคำว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6329 มีราคาซื้อขายในท้องตลาดไม่ต่ำกว่า 400,000 บาท แต่ไม่ได้ส่งหลักฐานใด ๆ ประกอบการยืนยันว่าที่ดินดังกล่าวมีราคาตามที่จำเลยกล่าวอ้าง จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง และจำเลยไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าจำเลยมีทรัพย์สินอื่นใดอีกหรือไม่ นอกจากนี้ ยังได้ความจากที่จำเลยตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า จำเลยเป็นหนี้สหกรณ์ตำรวจประมาณ 400,000 ถึง 500,000 บาท เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดแล้ว จำเลยไม่สามารถนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ จึงฟังว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 9 (1) ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า กรณีมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2555 ภายในระยะเวลาที่กำหนด แม้จำเลยจะรับราชการตำรวจและเคยเสนอจะโอนที่ดินตีใช้หนี้โจทก์ก็ตาม แต่ที่ดินที่จำเลยเสนอตีโอนใช้หนี้นั้นมีราคาประเมินเพียง 58,800 บาท ประกอบกับจำเลยไม่เคยชำระหนี้คืนให้แก่โจทก์เลย กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การตีความสัญญาต้องเป็นไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 368 คือต้องถือหลักตามความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายจะถือเอาเจตนาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวไม่ได้ นอกจากนี้ การตีความสัญญาเพื่อให้เห็นถึงการแสดงเจตนาของคู่สัญญานั้นให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรืออักษรตามมาตรา 171 สัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 2 กำหนดให้บุคคลฝ่ายโจทก์ผู้มีสิทธิได้รับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทจากฝ่ายจำเลยไล่เรียงกันไป ก. (โจทก์ในคดีแพ่ง) ท. และโจทก์ ขึ้นอยู่กับการมีชีวิตอยู่ของบุคคลนั้น ๆ ในขณะที่ฝ่ายจำเลยโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกพิพาทให้ นอกจากนี้ ข้อ 3 ก็กำหนดให้ฝ่ายจำเลยแบ่งแยกที่ดินอีกแปลงหนึ่งให้แก่ฝ่ายโจทก์ไล่เรียงลำดับกันไปโดยมีเงื่อนไขเดียวกันกับข้อ 2 แสดงให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายว่าบุคคลฝ่ายโจทก์ที่จะได้รับชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 เป็นลำดับไป การตีความข้อความตอนท้ายของสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 ที่ว่า “…หากว่าจำเลยที่ 2 (หมายถึงจำเลย) ไม่ไปดำเนินการซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนจากบุคคลภายนอกและโอนให้แก่โจทก์ภายในกำหนดจำเลยที่ 2 (หมายถึงจำเลย) ยินยอมชำระเงินคืนให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน)” คำว่า “โจทก์” ดังกล่าว จึงต้องแปลความหมายว่าฝ่ายโจทก์ ซึ่งรวมถึงโจทก์ในคดีนี้ด้วยเนื่องจาก ก. และ ท. ได้ถึงแก่ความตายแล้วก่อนครบกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินคืนแก่โจทก์ 1,000,000 บาท เมื่อจำเลยไม่ชำระ จำเลยจึงเป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาทตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (2)
เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์ได้ร้องขอต่อศาลให้บังคับคดีตามคำพิพากษาโดยศาลได้ออกหมายบังคับคดี และโจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยพบว่าจำเลยมีที่ดินโฉนดเลขที่ 6329 มีราคาประเมินเพียง 58,800 บาท ไม่เพียงพอที่จะยึดมาชำระหนี้ได้กรณีจึงเข้าข้อสันนิษฐานตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 (5) ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว จำเลยให้การและส่งบันทึกถ้อยคำว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6329 มีราคาซื้อขายในท้องตลาดไม่ต่ำกว่า 400,000 บาท แต่ไม่ได้ส่งหลักฐานใด ๆ จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดแล้ว จำเลยไม่สามารถนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ จึงฟังว่าจำเลยมีหนี้สินพ้นตัวตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (1)
แม้จำเลยจะรับราชการตำรวจและเคยเสนอจะโอนที่ดินตีใช้หนี้โจทก์ก็ตาม แต่ที่ดินที่จำเลยเสนอตีโอนใช้หนี้นั้นมีราคาประเมินเพียง 58,800 บาท ประกอบกับจำเลยไม่เคยชำระหนี้คืนให้แก่โจทก์เลย กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย
โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยให้หักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้โต้แย้งว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลจังหวัดอุดรธานี คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1491/2555 ซึ่งศาลพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2555 โดยสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 กำหนดให้จำเลยซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4333 คืนจากนางสาวนารีรัตน์ และโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นายแก้ว (โจทก์ในคดีแพ่ง) ภายใน 3 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากนายแก้ว (โจทก์ในคดีแพ่ง) ถึงแก่ความตายก่อนครบกำหนด ให้โอนที่ดินให้แก่นางทองศรี หากนางทองศรีถึงแก่ความตายก่อนครบกำหนด ให้โอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนและโอนให้แก่นายแก้ว (โจทก์ในคดีแพ่ง) ภายในกำหนด จำเลยยอมชำระเงินให้แก่นายแก้ว (โจทก์ในคดีแพ่ง) 1,000,000 บาท แต่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม จนนายแก้ว (โจทก์ในคดีแพ่ง) และนางทองศรีถึงแก่ความตาย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาทหรือไม่ เห็นว่า การตีความสัญญาต้องเป็นไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 คือ ต้องถือหลักตามความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายจะถือเอาเจตนาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวไม่ได้ นอกจากนี้ การตีความสัญญาเพื่อให้เห็นถึงการแสดงเจตนาของคู่สัญญานั้นให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษรตามมาตรา 171 ด้วย เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับความหมายของข้อความในสัญญา ศาลจึงต้องแสวงหาเจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายโดยค้นหาเอาจากข้อความในสัญญาทั้งฉบับ รวมทั้งพฤติการณ์ที่คู่สัญญาปฏิบัติต่อกันหลังจากทำสัญญานั้นด้วย จากข้อความตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 กำหนดให้บุคคลฝ่ายโจทก์ผู้มีสิทธิได้รับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทจากฝ่ายจำเลยไล่เรียงกันไปจากนายแก้ว (โจทก์ในคดีแพ่ง) นางทองศรี และโจทก์ ขึ้นอยู่กับการมีชีวิตอยู่ของบุคคลนั้น ๆ ในขณะที่ฝ่ายจำเลยโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทให้ นอกจากนี้ ข้อ 3 ก็มีการกำหนดให้ฝ่ายจำเลยแบ่งแยกที่ดินอีกแปลงหนึ่งให้แก่ฝ่ายโจทก์ไล่เรียงลำดับกันไปโดยมีเงื่อนไขเดียวกันกับข้อ 2 แสดงให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายว่าบุคคลฝ่ายโจทก์ที่จะได้รับชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 เป็นลำดับไป ประกอบกับในชั้นยื่นคำให้การและชั้นพิจารณา จำเลยไม่เคยโต้แย้งว่าจำเลยไม่มีภาระหนี้ที่ต้องชำระเงิน 1,000,000 บาท แก่โจทก์ ทั้งจำเลยยังเสนอที่จะประนอมหนี้กับโจทก์มาโดยตลอด โดยจำเลยเสนอที่จะโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 6329 เพื่อตีใช้หนี้โจทก์เป็นเงิน 400,000 บาท ซึ่งหากจำเลยเห็นว่าตนเป็นหนี้โจทก์เพียง 142,857.143 บาท ตามที่ฎีกาจริง ที่ผ่านมา จำเลยก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องนำทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่าจำนวนหนี้ถึงกว่าสองเท่าไปตีใช้หนี้โจทก์ ข้อต่อสู้ของจำเลยในประเด็นนี้มีเพียงการโต้แย้งเรื่องโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากต้นเงิน 1,000,000 บาท เท่านั้น ดังนั้น การตีความข้อความตอนท้ายของสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 ที่ว่า “...หากว่าจำเลยที่ 2 (หมายถึงจำเลย) ไม่ไปดำเนินการซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนจากบุคคลภายนอกและโอนให้แก่โจทก์ภายในกำหนด จำเลยที่ 2 (หมายถึงจำเลย) ยินยอมชำระเงินคืนให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน)” คำว่า “โจทก์” ดังกล่าว จึงต้องแปลความหมายว่า ฝ่ายโจทก์ ซึ่งรวมถึงโจทก์ในคดีนี้ด้วยเนื่องจากนายแก้วและนางทองศรีได้ถึงแก่ความตายแล้วก่อนครบกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินคืนแก่โจทก์ 1,000,000 บาท เมื่อจำเลยไม่ชำระ จำเลยจึงเป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาทตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (2) ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
คดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ได้ร้องขอต่อศาลให้บังคับคดีตามคำพิพากษาโดยศาลได้ออกหมายบังคับคดีจำเลย และโจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยพบว่าจำเลยมีที่ดินโฉนดเลขที่ 6329 มีราคาประเมินเพียง 58,800 บาท ไม่เพียงพอที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ กรณีจึงเข้าข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 (5) ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว จำเลยให้การและส่งบันทึกถ้อยคำว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6329 มีราคาซื้อขายในท้องตลาดไม่ต่ำกว่า 400,000 บาท แต่ไม่ได้ส่งหลักฐานใด ๆ ประกอบการยืนยันว่าที่ดินดังกล่าวมีราคาตามที่จำเลยกล่าวอ้าง จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง และจำเลยไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าจำเลยมีทรัพย์สินอื่นใดอีกหรือไม่ นอกจากนี้ ยังได้ความจากที่จำเลยตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า จำเลยเป็นหนี้สหกรณ์ตำรวจประมาณ 400,000 ถึง 500,000 บาท เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดแล้ว จำเลยไม่สามารถนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ จึงฟังว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 9 (1) ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า กรณีมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2555 ภายในระยะเวลาที่กำหนด แม้จำเลยจะรับราชการตำรวจและเคยเสนอจะโอนที่ดินตีใช้หนี้โจทก์ก็ตาม แต่ที่ดินที่จำเลยเสนอตีโอนใช้หนี้นั้นมีราคาประเมินเพียง 58,800 บาท ประกอบกับจำเลยไม่เคยชำระหนี้คืนให้แก่โจทก์เลย กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ป.พ.พ. มาตรา 1754 การฟ้องคดีพิพาทเกี่ยวด้วยทรัพย์มรดกระหว่างทายาทด้วยกัน มีอายุความ 1 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก แต่ต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย เว้นแต่กรณีตามมาตรา 1748 วรรคหนึ่ง ที่ทายาทคนใดครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งกัน ทายาทคนนั้นมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 แล้วก็ดี สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 คดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งระหว่างทายาท คำวินิจฉัยดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ที่ 4 และจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงต้องรับฟังว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 เป็นทรัพย์มรดกของ ผ. ที่ยังมิได้แบ่งปันระหว่างทายาท โจทก์ที่ 4 ซึ่งเป็นทายาทผู้ครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งปัน ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้แม้จะเกิน 10 ปี นับแต่ ผ. เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ทั้งมีผลถึงโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ซึ่งเป็นคู่ความร่วม โจทก์ทั้งห้าจึงสามารถฟ้องแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยซึ่งเป็นทายาทได้ แม้จะเกิน 10 ปี นับแต่ ผ. เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย คดีโจทก์ทั้งห้าสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 จึงไม่ขาดอายุความ
ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 245037 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทแปลงที่ 2 เป็นที่ดินที่แบ่งแยกออกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6278 ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทได้ครอบครองที่ดินพิพาทแปลงดังกล่าวด้วย ซึ่งจะทำให้โจทก์ทั้งห้าสามารถฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกได้ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 การที่โจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทของ ผ. ฟ้องแบ่งทรัพย์มรดกที่ดินแปลงดังกล่าวจากจำเลยซึ่งเป็นทายาทด้วยกัน จึงต้องดำเนินคดีภายใน 1 ปี หรือ 10 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย เมื่อ ผ. เจ้ามรดกถึงแก่ความตายในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2531 โจทก์ทั้งห้าฟ้องคดีนี้วันที่ 3 พฤษภาคม 2562 ซึ่งเกินกว่า 10 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย คดีโจทก์ทั้งห้าสำหรับการฟ้องขอแบ่งมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 245037 จึงขาดอายุความ ทั้งกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งห้าว่า มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกของ ผ. แล้วหรือไม่ เนื่องจากไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งห้ามีสิทธิในทรัพย์มรดกของ ผ. 2 ใน 3 ส่วน ซึ่งเกินกว่าที่โจทก์ทั้งห้าขอมาเพียงกึ่งหนึ่งนั้นเป็นการพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือไม่ แม้ประเด็นดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัย แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว จึงเห็นควรวินิจฉัยไปเลยทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยอีก เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอแบ่งมรดกจากจำเลย แม้จะอ้างว่าทรัพย์มรดกมีเพียงครึ่งหนึ่ง แต่ทางพิจารณาได้ความว่า ทรัพย์มรดกมีจำนวน 2 ใน 3 ส่วน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าทรัพย์มรดกมี 2 ใน 3 ส่วน แล้วแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทตามสิทธิที่มีอยู่นั้น จึงหาเกินคำขอไม่
โจทก์ทั้งห้าฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งห้าลงในโฉนดที่ดินเลขที่ 2508 และโฉนดที่ดินเลขที่ 245037 ให้โจทก์ทั้งห้ากับจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์คนละเท่ากัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากโจทก์ทั้งห้าและจำเลยตกลงกันไม่ได้ให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ทั้งห้าจำนวน 5 ใน 6 ส่วนของเงินที่ได้รับ หากจำเลยไม่สามารถปฏิบัติได้ให้ใช้ราคาทรัพย์สินแทนเป็นเงิน 50,390,000 บาท
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งห้าลงในที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 และโฉนดเลขที่ 245037 ให้แก่โจทก์ทั้งห้าคนละสองในยี่สิบเจ็ดส่วน หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนได้ให้ประมูลราคาระหว่างกันเอง ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 และโฉนดเลขที่ 245037 ดังกล่าวออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใดให้แบ่งแก่โจทก์ทั้งห้าคนละ 2 ใน 27 ส่วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งห้า โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 40,000 บาท
โจทก์ทั้งห้าฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้โดยที่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า นายผิว กับนางหอม อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 พ.ศ. 2477 ใช้บังคับ มีบุตรด้วยกัน 8 คน คือ นายทองสุข โจทก์ที่ 2 นางพรพรรณ โจทก์ที่ 3 นายเกษม โจทก์ที่ 4 โจทก์ที่ 5 และจำเลย นายทองสุขถึงแก่ความตายแล้วเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2535 นายทองสุขจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 1 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2503 ครั้นวันที่ 23 กันยายน 2509 นางหอมซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 จากนายเยื้อนและนายสุวรรณ ต่อมานายผิวกับนางหอมปลูกสร้างบ้านพักอาศัยเลขที่ 4, 4/1 และ 4/2 ลงบนที่ดินแปลงนี้ โดยมีนายผิว นางหอม โจทก์ที่ 4 จำเลย และนายธัญญาพงษ์ ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ที่ 2 พักอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 4 โจทก์ที่ 2 พักอาศัยในบ้านเลขที่ 4/1 โจทก์ที่ 5 พักอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 4/2 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2536 นางหอมจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินในนามเดิมออกไป 2 ไร่ 3 งาน 96 ตารางวา เป็นโฉนดเลขที่ 237128 และขายที่ดินโฉนดแปลงนี้ดังกล่าวให้แก่บริษัท ร. คงเหลือเนื้อที่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 จำนวน 1 ไร่ 3 งาน 77 ตารางวา อันเป็นที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2538 นางหอมจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นจำเลย ส่วนที่ดินแปลงที่ 2 โฉนดเลขที่ 6278 เนื้อที่ 13 ไร่ 3 งาน 70 ตารางวา มีชื่อนายทองสุข โจทก์ที่ 2 และที่ 3 นางสาวรำพรรณ และนายเกษม รวม 5 คน เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ต่อมาเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2503 นายผิวยื่นคำขอใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทำนิติกรรมแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ที่ 3 และนายเกษมออกมารวมจำนวนเนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 70 ตารางวา ส่วนที่เหลือเนื้อที่ 8 ไร่ คงมีชื่อนายทองสุข โจทก์ที่ 2 และนางสาวรำพรรณถือกรรมสิทธิ์รวม ต่อมาที่ดินในส่วนของโจทก์ที่ 3 และนายเกษม ในวันที่ 13 มกราคม 2504 นายผิวยื่นคำขอรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวม เพราะนายผิวกำลังเดือดร้อนเรื่องการเงินเพื่อจะนำไปชำระหนี้สิน และวันที่ 12 พฤษภาคม 2504 นายผิวจัดการจดทะเบียนแบ่งขายที่ดินแทนโจทก์ที่ 3 และนายเกษมให้แก่ผู้อื่น และในวันดังกล่าวโจทก์ที่ 3 ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่นางศรีนวล คงเหลือเนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 38 ตารางวา มีชื่อนายเกษมถือกรรมสิทธิ์ เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2518 นายเกษมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวในส่วนที่เหลือให้แก่นางหอม ต่อมาวันที่ 21 มกราคม 2540 นางหอมใส่ชื่อเด็กชายยุทธการและเด็กชายชาญรบ ซึ่งเป็นบุตรของนายเกษมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงดังกล่าว ต่อมาวันที่ 20 ตุลาคม 2541 นางหอมจดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 6278 เฉพาะส่วนของนางหอมพร้อมตึกแถว 2 ชั้น เลขที่ 39/62, 39/63, 39/64, 39/65, 39/66 ให้แก่จำเลย หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2544 ที่ดินแปลงดังกล่าวได้ถูกเวนคืนบางส่วนโดยเด็กชายยุทธการและเด็กชายชาญรบได้รับเงินค่าเวนคืนที่ดินไปเรียบร้อยแล้ว และในวันดังกล่าวจำเลยดำเนินการขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมออกจากโฉนดที่ดินเลขที่ 6278 แล้วออกโฉนดใหม่เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 245037 โดยจำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ เนื้อที่ 2 ไร่ 28 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทแปลงที่ 2 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2531 นายผิวถึงแก่ความตายด้วยสาเหตุหัวใจล้มเหลวเนื่องจากชราภาพ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2538 นางหอมทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 77 ตารางวา ให้แก่จำเลย เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2552 นางหอมถึงแก่ความตายด้วยโรคภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ วันที่ 1 เมษายน 2562 จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 4 และนายธัญญาพงษ์ ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ที่ 2 ให้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 4 ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ 784/2562 ของศาลชั้นต้น ที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 และเลขที่ 245037 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นสินสมรสระหว่างนายผิวกับนางหอม เมื่อนายผิวถึงแก่ความตาย การสมรสระหว่างนายผิวกับนางหอมย่อมสิ้นสุดลง การแบ่งสินสมรสของนายผิวกับนางหอมซึ่งสมรสกันก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 พ.ศ. 2477 ใช้บังคับ จึงต้องแบ่งกันตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 68 โดยฝ่ายชายมีสิทธิในสินสมรสได้ 2 ใน 3 ส่วน ฝ่ายหญิงได้ 1 ใน 3 ส่วน ที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 และเลขที่ 245037 จำนวน 2 ใน 3 ส่วน จึงเป็นทรัพย์มรดกของนายผิว ซึ่งต้องแบ่งปันกันระหว่างทายาทโดยธรรมซึ่งได้แก่ นายทองสุข โจทก์ที่ 2 นางพรพรรณ โจทก์ที่ 3 นายเกษม โจทก์ที่ 4 โจทก์ที่ 5 จำเลย และนางหอมคู่สมรสซึ่งมีสิทธิได้ส่วนแบ่งมรดกเสมือนทายาทชั้นบุตร ส่วนที่เหลือ 1 ใน 3 ส่วน เป็นกรรมสิทธิ์ของนางหอม และนางหอมมีสิทธิจดทะเบียนยกที่ดินส่วนที่ตนมีสิทธิได้รับมรดกของนายผิวและที่ดินในส่วนของตน 1 ใน 3 ส่วน ให้แก่จำเลย คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งห้าว่า ฟ้องโจทก์ทั้งห้าขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 การฟ้องคดีพิพาทเกี่ยวด้วยทรัพย์มรดกระหว่างทายาทด้วยกัน มีอายุความ 1 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก แต่ต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย เว้นแต่กรณีตามมาตรา 1748 วรรคหนึ่ง ที่ทายาทคนใดครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งกัน ทายาทคนนั้นมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 แล้วก็ดี สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 ข้อเท็จจริงปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และหนังสือรับรองคดีถึงที่สุดท้ายฎีกาของโจทก์ทั้งห้า ซึ่งจำเลยไม่ได้โต้แย้งว่า ในคดีแพ่งที่จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 4 กับพวกออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดโดยวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งระหว่างทายาท คำวินิจฉัยดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ที่ 4 และจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงต้องรับฟังว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 เป็นทรัพย์มรดกของนายผิวที่ยังมิได้แบ่งปันระหว่างทายาท โจทก์ที่ 4 ซึ่งเป็นทายาทผู้ครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งปัน ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้แม้จะเกิน 10 ปี นับแต่นายผิวเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ทั้งมีผลถึงโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ซึ่งเป็นคู่ความร่วม โจทก์ทั้งห้าจึงสามารถฟ้องแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยซึ่งเป็นทายาทได้ แม้จะเกิน 10 ปี นับแต่นายผิวเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย คดีโจทก์ทั้งห้าสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของโจทก์ทั้งห้าในส่วนนี้ฟังขึ้น
ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 245037 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทแปลงที่ 2 นั้น เป็นที่ดินที่แบ่งแยกออกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6278 นั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ภายหลังจากที่นายทองสุข โจทก์ที่ 2 และที่ 3 นางสาวรำพรรณ และนายเกษมแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินกันแล้ว คงเหลือนายเกษมแต่ผู้เดียวถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 6278 ส่วนเหลือ เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2518 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่นายผิวเจ้ามรดกจะถึงแก่ความตายนายเกษมได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6278 ให้แก่นางหอม ซึ่งต่อมานางหอมได้ใส่ชื่อเด็กชายยุทธการและเด็กชายชาญรบถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน และเมื่อมีการเวนคืนที่ดินบางส่วนของที่ดินแปลงดังกล่าว เด็กชายยุทธการและเด็กชายชาญรบเป็นผู้รับเงินค่าเวนคืนที่ดินไป ที่ดินส่วนที่เหลือนางหอมยกให้จำเลย และจำเลยได้ขอออกโฉนดที่ดินใหม่เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 245037 โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทได้ครอบครองที่ดินพิพาทแปลงดังกล่าวด้วย ซึ่งจะทำให้โจทก์ทั้งห้าสามารถฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกได้ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 การที่โจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทของนายผิวฟ้องแบ่งทรัพย์มรดกที่ดินแปลงดังกล่าวจากจำเลยซึ่งเป็นทายาทด้วยกัน จึงต้องดำเนินคดีภายใน 1 ปี หรือ 10 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย เมื่อนายผิวเจ้ามรดกถึงแก่ความตายในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2531 โจทก์ทั้งห้าฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2562 ซึ่งเกินกว่า 10 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย คดีโจทก์ทั้งห้าสำหรับการฟ้องขอแบ่งมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 245037 จึงขาดอายุความ ทั้งกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งห้าว่า มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกของนายผิวแล้วหรือไม่ เนื่องจากไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ทั้งห้าในส่วนนี้ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ทั้งห้าในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับประเด็นตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งห้ามีสิทธิในทรัพย์มรดกของนายผิว 2 ใน 3 ส่วน ซึ่งเกินกว่าที่โจทก์ทั้งห้าขอมาเพียงกึ่งหนึ่งนั้นเป็นการพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือไม่ แม้ประเด็นดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัย แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว จึงเห็นควรวินิจฉัยไปเลยทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยอีก เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอแบ่งมรดกจากจำเลย แม้จะอ้างว่าทรัพย์มรดกมีเพียงครึ่งหนึ่ง แต่ทางพิจารณาได้ความว่า ทรัพย์มรดกมีจำนวน 2 ใน 3 ส่วน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าทรัพย์มรดกมี 2 ใน 3 ส่วน แล้วแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทตามสิทธิที่มีอยู่นั้น จึงหาเกินคำขอไม่ อุทธรณ์ของจำเลยส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งห้าลงในที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 ให้แก่โจทก์ทั้งห้าคนละ 2 ใน 27 ส่วน หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนได้ให้ประมูลราคากันเอง ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใดให้แบ่งแก่โจทก์ทั้งห้าคนละ 2 ใน 27 ส่วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ป.พ.พ. มาตรา 1754 การฟ้องคดีพิพาทเกี่ยวด้วยทรัพย์มรดกระหว่างทายาทด้วยกัน มีอายุความ 1 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก แต่ต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย เว้นแต่กรณีตามมาตรา 1748 วรรคหนึ่ง ที่ทายาทคนใดครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งกัน ทายาทคนนั้นมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 แล้วก็ดี สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 คดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งระหว่างทายาท คำวินิจฉัยดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ที่ 4 และจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงต้องรับฟังว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 เป็นทรัพย์มรดกของ ผ. ที่ยังมิได้แบ่งปันระหว่างทายาท โจทก์ที่ 4 ซึ่งเป็นทายาทผู้ครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งปัน ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้แม้จะเกิน 10 ปี นับแต่ ผ. เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ทั้งมีผลถึงโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ซึ่งเป็นคู่ความร่วม โจทก์ทั้งห้าจึงสามารถฟ้องแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยซึ่งเป็นทายาทได้ แม้จะเกิน 10 ปี นับแต่ ผ. เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย คดีโจทก์ทั้งห้าสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 จึงไม่ขาดอายุความ
ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 245037 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทแปลงที่ 2 เป็นที่ดินที่แบ่งแยกออกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6278 ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทได้ครอบครองที่ดินพิพาทแปลงดังกล่าวด้วย ซึ่งจะทำให้โจทก์ทั้งห้าสามารถฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกได้ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 การที่โจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทของ ผ. ฟ้องแบ่งทรัพย์มรดกที่ดินแปลงดังกล่าวจากจำเลยซึ่งเป็นทายาทด้วยกัน จึงต้องดำเนินคดีภายใน 1 ปี หรือ 10 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย เมื่อ ผ. เจ้ามรดกถึงแก่ความตายในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2531 โจทก์ทั้งห้าฟ้องคดีนี้วันที่ 3 พฤษภาคม 2562 ซึ่งเกินกว่า 10 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย คดีโจทก์ทั้งห้าสำหรับการฟ้องขอแบ่งมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 245037 จึงขาดอายุความ ทั้งกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งห้าว่า มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกของ ผ. แล้วหรือไม่ เนื่องจากไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งห้ามีสิทธิในทรัพย์มรดกของ ผ. 2 ใน 3 ส่วน ซึ่งเกินกว่าที่โจทก์ทั้งห้าขอมาเพียงกึ่งหนึ่งนั้นเป็นการพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือไม่ แม้ประเด็นดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัย แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว จึงเห็นควรวินิจฉัยไปเลยทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยอีก เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอแบ่งมรดกจากจำเลย แม้จะอ้างว่าทรัพย์มรดกมีเพียงครึ่งหนึ่ง แต่ทางพิจารณาได้ความว่า ทรัพย์มรดกมีจำนวน 2 ใน 3 ส่วน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าทรัพย์มรดกมี 2 ใน 3 ส่วน แล้วแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทตามสิทธิที่มีอยู่นั้น จึงหาเกินคำขอไม่
โจทก์ทั้งห้าฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งห้าลงในโฉนดที่ดินเลขที่ 2508 และโฉนดที่ดินเลขที่ 245037 ให้โจทก์ทั้งห้ากับจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์คนละเท่ากัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากโจทก์ทั้งห้าและจำเลยตกลงกันไม่ได้ให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ทั้งห้าจำนวน 5 ใน 6 ส่วนของเงินที่ได้รับ หากจำเลยไม่สามารถปฏิบัติได้ให้ใช้ราคาทรัพย์สินแทนเป็นเงิน 50,390,000 บาท
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งห้าลงในที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 และโฉนดเลขที่ 245037 ให้แก่โจทก์ทั้งห้าคนละสองในยี่สิบเจ็ดส่วน หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนได้ให้ประมูลราคาระหว่างกันเอง ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 และโฉนดเลขที่ 245037 ดังกล่าวออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใดให้แบ่งแก่โจทก์ทั้งห้าคนละ 2 ใน 27 ส่วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งห้า โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 40,000 บาท
โจทก์ทั้งห้าฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้โดยที่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า นายผิว กับนางหอม อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 พ.ศ. 2477 ใช้บังคับ มีบุตรด้วยกัน 8 คน คือ นายทองสุข โจทก์ที่ 2 นางพรพรรณ โจทก์ที่ 3 นายเกษม โจทก์ที่ 4 โจทก์ที่ 5 และจำเลย นายทองสุขถึงแก่ความตายแล้วเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2535 นายทองสุขจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 1 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2503 ครั้นวันที่ 23 กันยายน 2509 นางหอมซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 จากนายเยื้อนและนายสุวรรณ ต่อมานายผิวกับนางหอมปลูกสร้างบ้านพักอาศัยเลขที่ 4, 4/1 และ 4/2 ลงบนที่ดินแปลงนี้ โดยมีนายผิว นางหอม โจทก์ที่ 4 จำเลย และนายธัญญาพงษ์ ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ที่ 2 พักอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 4 โจทก์ที่ 2 พักอาศัยในบ้านเลขที่ 4/1 โจทก์ที่ 5 พักอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 4/2 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2536 นางหอมจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินในนามเดิมออกไป 2 ไร่ 3 งาน 96 ตารางวา เป็นโฉนดเลขที่ 237128 และขายที่ดินโฉนดแปลงนี้ดังกล่าวให้แก่บริษัท ร. คงเหลือเนื้อที่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 จำนวน 1 ไร่ 3 งาน 77 ตารางวา อันเป็นที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2538 นางหอมจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นจำเลย ส่วนที่ดินแปลงที่ 2 โฉนดเลขที่ 6278 เนื้อที่ 13 ไร่ 3 งาน 70 ตารางวา มีชื่อนายทองสุข โจทก์ที่ 2 และที่ 3 นางสาวรำพรรณ และนายเกษม รวม 5 คน เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ต่อมาเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2503 นายผิวยื่นคำขอใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทำนิติกรรมแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ที่ 3 และนายเกษมออกมารวมจำนวนเนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 70 ตารางวา ส่วนที่เหลือเนื้อที่ 8 ไร่ คงมีชื่อนายทองสุข โจทก์ที่ 2 และนางสาวรำพรรณถือกรรมสิทธิ์รวม ต่อมาที่ดินในส่วนของโจทก์ที่ 3 และนายเกษม ในวันที่ 13 มกราคม 2504 นายผิวยื่นคำขอรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวม เพราะนายผิวกำลังเดือดร้อนเรื่องการเงินเพื่อจะนำไปชำระหนี้สิน และวันที่ 12 พฤษภาคม 2504 นายผิวจัดการจดทะเบียนแบ่งขายที่ดินแทนโจทก์ที่ 3 และนายเกษมให้แก่ผู้อื่น และในวันดังกล่าวโจทก์ที่ 3 ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่นางศรีนวล คงเหลือเนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 38 ตารางวา มีชื่อนายเกษมถือกรรมสิทธิ์ เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2518 นายเกษมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวในส่วนที่เหลือให้แก่นางหอม ต่อมาวันที่ 21 มกราคม 2540 นางหอมใส่ชื่อเด็กชายยุทธการและเด็กชายชาญรบ ซึ่งเป็นบุตรของนายเกษมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงดังกล่าว ต่อมาวันที่ 20 ตุลาคม 2541 นางหอมจดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 6278 เฉพาะส่วนของนางหอมพร้อมตึกแถว 2 ชั้น เลขที่ 39/62, 39/63, 39/64, 39/65, 39/66 ให้แก่จำเลย หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2544 ที่ดินแปลงดังกล่าวได้ถูกเวนคืนบางส่วนโดยเด็กชายยุทธการและเด็กชายชาญรบได้รับเงินค่าเวนคืนที่ดินไปเรียบร้อยแล้ว และในวันดังกล่าวจำเลยดำเนินการขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมออกจากโฉนดที่ดินเลขที่ 6278 แล้วออกโฉนดใหม่เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 245037 โดยจำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ เนื้อที่ 2 ไร่ 28 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทแปลงที่ 2 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2531 นายผิวถึงแก่ความตายด้วยสาเหตุหัวใจล้มเหลวเนื่องจากชราภาพ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2538 นางหอมทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 77 ตารางวา ให้แก่จำเลย เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2552 นางหอมถึงแก่ความตายด้วยโรคภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ วันที่ 1 เมษายน 2562 จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 4 และนายธัญญาพงษ์ ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ที่ 2 ให้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 4 ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ 784/2562 ของศาลชั้นต้น ที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 และเลขที่ 245037 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นสินสมรสระหว่างนายผิวกับนางหอม เมื่อนายผิวถึงแก่ความตาย การสมรสระหว่างนายผิวกับนางหอมย่อมสิ้นสุดลง การแบ่งสินสมรสของนายผิวกับนางหอมซึ่งสมรสกันก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 พ.ศ. 2477 ใช้บังคับ จึงต้องแบ่งกันตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 68 โดยฝ่ายชายมีสิทธิในสินสมรสได้ 2 ใน 3 ส่วน ฝ่ายหญิงได้ 1 ใน 3 ส่วน ที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 และเลขที่ 245037 จำนวน 2 ใน 3 ส่วน จึงเป็นทรัพย์มรดกของนายผิว ซึ่งต้องแบ่งปันกันระหว่างทายาทโดยธรรมซึ่งได้แก่ นายทองสุข โจทก์ที่ 2 นางพรพรรณ โจทก์ที่ 3 นายเกษม โจทก์ที่ 4 โจทก์ที่ 5 จำเลย และนางหอมคู่สมรสซึ่งมีสิทธิได้ส่วนแบ่งมรดกเสมือนทายาทชั้นบุตร ส่วนที่เหลือ 1 ใน 3 ส่วน เป็นกรรมสิทธิ์ของนางหอม และนางหอมมีสิทธิจดทะเบียนยกที่ดินส่วนที่ตนมีสิทธิได้รับมรดกของนายผิวและที่ดินในส่วนของตน 1 ใน 3 ส่วน ให้แก่จำเลย คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งห้าว่า ฟ้องโจทก์ทั้งห้าขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 การฟ้องคดีพิพาทเกี่ยวด้วยทรัพย์มรดกระหว่างทายาทด้วยกัน มีอายุความ 1 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก แต่ต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย เว้นแต่กรณีตามมาตรา 1748 วรรคหนึ่ง ที่ทายาทคนใดครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งกัน ทายาทคนนั้นมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 แล้วก็ดี สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 ข้อเท็จจริงปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และหนังสือรับรองคดีถึงที่สุดท้ายฎีกาของโจทก์ทั้งห้า ซึ่งจำเลยไม่ได้โต้แย้งว่า ในคดีแพ่งที่จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 4 กับพวกออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดโดยวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งระหว่างทายาท คำวินิจฉัยดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ที่ 4 และจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงต้องรับฟังว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 เป็นทรัพย์มรดกของนายผิวที่ยังมิได้แบ่งปันระหว่างทายาท โจทก์ที่ 4 ซึ่งเป็นทายาทผู้ครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งปัน ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้แม้จะเกิน 10 ปี นับแต่นายผิวเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ทั้งมีผลถึงโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ซึ่งเป็นคู่ความร่วม โจทก์ทั้งห้าจึงสามารถฟ้องแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยซึ่งเป็นทายาทได้ แม้จะเกิน 10 ปี นับแต่นายผิวเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย คดีโจทก์ทั้งห้าสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของโจทก์ทั้งห้าในส่วนนี้ฟังขึ้น
ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 245037 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทแปลงที่ 2 นั้น เป็นที่ดินที่แบ่งแยกออกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6278 นั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ภายหลังจากที่นายทองสุข โจทก์ที่ 2 และที่ 3 นางสาวรำพรรณ และนายเกษมแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินกันแล้ว คงเหลือนายเกษมแต่ผู้เดียวถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 6278 ส่วนเหลือ เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2518 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่นายผิวเจ้ามรดกจะถึงแก่ความตายนายเกษมได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6278 ให้แก่นางหอม ซึ่งต่อมานางหอมได้ใส่ชื่อเด็กชายยุทธการและเด็กชายชาญรบถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน และเมื่อมีการเวนคืนที่ดินบางส่วนของที่ดินแปลงดังกล่าว เด็กชายยุทธการและเด็กชายชาญรบเป็นผู้รับเงินค่าเวนคืนที่ดินไป ที่ดินส่วนที่เหลือนางหอมยกให้จำเลย และจำเลยได้ขอออกโฉนดที่ดินใหม่เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 245037 โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทได้ครอบครองที่ดินพิพาทแปลงดังกล่าวด้วย ซึ่งจะทำให้โจทก์ทั้งห้าสามารถฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกได้ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 การที่โจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทของนายผิวฟ้องแบ่งทรัพย์มรดกที่ดินแปลงดังกล่าวจากจำเลยซึ่งเป็นทายาทด้วยกัน จึงต้องดำเนินคดีภายใน 1 ปี หรือ 10 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย เมื่อนายผิวเจ้ามรดกถึงแก่ความตายในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2531 โจทก์ทั้งห้าฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2562 ซึ่งเกินกว่า 10 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย คดีโจทก์ทั้งห้าสำหรับการฟ้องขอแบ่งมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 245037 จึงขาดอายุความ ทั้งกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งห้าว่า มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกของนายผิวแล้วหรือไม่ เนื่องจากไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ทั้งห้าในส่วนนี้ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ทั้งห้าในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับประเด็นตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งห้ามีสิทธิในทรัพย์มรดกของนายผิว 2 ใน 3 ส่วน ซึ่งเกินกว่าที่โจทก์ทั้งห้าขอมาเพียงกึ่งหนึ่งนั้นเป็นการพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือไม่ แม้ประเด็นดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัย แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว จึงเห็นควรวินิจฉัยไปเลยทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยอีก เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอแบ่งมรดกจากจำเลย แม้จะอ้างว่าทรัพย์มรดกมีเพียงครึ่งหนึ่ง แต่ทางพิจารณาได้ความว่า ทรัพย์มรดกมีจำนวน 2 ใน 3 ส่วน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าทรัพย์มรดกมี 2 ใน 3 ส่วน แล้วแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทตามสิทธิที่มีอยู่นั้น จึงหาเกินคำขอไม่ อุทธรณ์ของจำเลยส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งห้าลงในที่ดินโฉนดเลขที่ 2508 ให้แก่โจทก์ทั้งห้าคนละ 2 ใน 27 ส่วน หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนได้ให้ประมูลราคากันเอง ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใดให้แบ่งแก่โจทก์ทั้งห้าคนละ 2 ใน 27 ส่วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 31 (1), 33 กฎหมายดังกล่าวให้ศาลมีอำนาจพิเศษในการสั่งลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องมีผู้ใดร้องขอหรือเป็นโจทก์ฟ้อง ส่วนความผิดของจำเลยคดีนี้เป็นเรื่องปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมโดยพนักงานอัยการเป็นโจทก์ จึงเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกับความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกจำเลยและคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์คดีนี้ย่อมไม่ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 267, 268
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก (เดิม), 265 (เดิม), 267 (เดิม), 268 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก (เดิม) ประกอบมาตรา 265 (เดิม) และประกอบมาตรา 267 (เดิม), 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 4 กระทง แต่ละกระทงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 (เดิม), 83 ตามมาตรา 268 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 16 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า จำเลยเป็นภริยาของนายชัยสิทธิ์ บ้านของจำเลยอยู่ใกล้บ้านของนางกรณิศ ผู้เสียหาย จำเลย นายชัยสิทธิ์ และผู้เสียหายรู้จักกันมาตั้งแต่ต้นปี 2554 ช่วงแรกนายชัยสิทธิ์มายืมสลากออมสินและโฉนดที่ดินของผู้เสียหายไปใช้เป็นหลักประกันในการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ศาลชั้นต้นโดยให้ผลตอบแทนเป็นเงินประมาณปี 2556 ถึง 2557 ผู้เสียหายขึ้นทะเบียนเจ้าของหลักทรัพย์ไว้ที่ศาลชั้นต้น หากผู้เสียหายไม่สามารถมาศาลได้ก็จะมอบอำนาจให้นายชัยสิทธิ์นำหลักทรัพย์มายื่นประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยแทน โดยนายชัยสิทธิ์หรือจำเลยจะเป็นผู้นำเอกสารเกี่ยวกับการขอปล่อยชั่วคราวไปให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อที่บ้าน ต่อมาธนาคารออมสินมีหนังสือแจ้งให้ผู้เสียหายส่งเงินตามสลากออมสินไปให้ศาล ผู้เสียหายพยายามติดต่อนายชัยสิทธิ์และจำเลยแต่ติดต่อไม่ได้ ผู้เสียหายจึงได้ไปตรวจสอบที่ศาลพบว่ามีการนำสลากออมสินของผู้เสียหายไปใช้เป็นหลักประกันนายเจริญชัย ผู้ต้องหา แล้วผู้ต้องหาหลบหนีเป็นการผิดสัญญาประกันต้องชำระค่าปรับ 360,000 บาท นอกจากนี้ยังมีการนำหลักประกันของผู้เสียหายไปใช้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยอื่นอีกหลายราย ได้แก่ นายกฤษณะพงศ์จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 5001/2559 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2559 นายไพบูลย์ ผู้ต้องหาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ฝ.2120/2559 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2559 และนายเจริญชัย ผู้ต้องหาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ฝ.2741/2559 เมื่อวันที่ 20 และ 26 ธันวาคม 2559
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) หรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1), 33 กฎหมายดังกล่าวให้ศาลมีอำนาจพิเศษในการสั่งลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องมีผู้ใดร้องขอหรือเป็นโจทก์ฟ้อง ส่วนความผิดของจำเลยคดีนี้เป็นเรื่องปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมโดยพนักงานอัยการเป็นโจทก์ จึงเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกับความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกจำเลยและคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์คดีนี้ย่อมไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) ดังที่จำเลยฎีกา โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยมีความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 หรือไม่ เมื่อผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่ามิได้มอบอำนาจให้จำเลยและนายชัยสิทธิ์นำสลากออมสินของผู้เสียหายไปเป็นหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ต้องหาและจำเลยทุกรายตามฟ้อง ประกอบกับภาพถ่ายด้านหลังสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ขอประกันที่ยื่นประกอบคำร้องขอปล่อยชั่วคราวจำเลยและผู้ต้องหาก็เป็นภาพถ่ายด้านหลังบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยซึ่งเป็นข้อพิรุธทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน ทุกครั้งที่นายชัยสิทธิ์และจำเลยมายื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนายพิเชษฐ์และนางพัชรินทร์ก็ไม่เคยพบเห็นผู้เสียหายมาศาลเลย ทั้งผู้เสียหาย นายพิเชษฐ์ และนางพัชรินทร์ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลย ส่วนที่จำเลยอ้างว่าจำเลยเพียงแต่นำหนังสือรับรองและสลากออมสินไปให้แก่นายชัยสิทธิ์ตามที่ผู้เสียหายมอบหมายเท่านั้น การที่นายชัยสิทธิ์ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายให้ลงลายมือชื่อแทนเป็นเรื่องระหว่างนายชัยสิทธิ์กับผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยนั้น จำเลยมีเพียงตัวจำเลยเบิกความลอย ๆ ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ พยานหลักฐานโจทก์ตามที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอรับฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 31 (1), 33 กฎหมายดังกล่าวให้ศาลมีอำนาจพิเศษในการสั่งลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องมีผู้ใดร้องขอหรือเป็นโจทก์ฟ้อง ส่วนความผิดของจำเลยคดีนี้เป็นเรื่องปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมโดยพนักงานอัยการเป็นโจทก์ จึงเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกับความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกจำเลยและคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์คดีนี้ย่อมไม่ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 267, 268
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก (เดิม), 265 (เดิม), 267 (เดิม), 268 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก (เดิม) ประกอบมาตรา 265 (เดิม) และประกอบมาตรา 267 (เดิม), 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 4 กระทง แต่ละกระทงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 (เดิม), 83 ตามมาตรา 268 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 16 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า จำเลยเป็นภริยาของนายชัยสิทธิ์ บ้านของจำเลยอยู่ใกล้บ้านของนางกรณิศ ผู้เสียหาย จำเลย นายชัยสิทธิ์ และผู้เสียหายรู้จักกันมาตั้งแต่ต้นปี 2554 ช่วงแรกนายชัยสิทธิ์มายืมสลากออมสินและโฉนดที่ดินของผู้เสียหายไปใช้เป็นหลักประกันในการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ศาลชั้นต้นโดยให้ผลตอบแทนเป็นเงินประมาณปี 2556 ถึง 2557 ผู้เสียหายขึ้นทะเบียนเจ้าของหลักทรัพย์ไว้ที่ศาลชั้นต้น หากผู้เสียหายไม่สามารถมาศาลได้ก็จะมอบอำนาจให้นายชัยสิทธิ์นำหลักทรัพย์มายื่นประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยแทน โดยนายชัยสิทธิ์หรือจำเลยจะเป็นผู้นำเอกสารเกี่ยวกับการขอปล่อยชั่วคราวไปให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อที่บ้าน ต่อมาธนาคารออมสินมีหนังสือแจ้งให้ผู้เสียหายส่งเงินตามสลากออมสินไปให้ศาล ผู้เสียหายพยายามติดต่อนายชัยสิทธิ์และจำเลยแต่ติดต่อไม่ได้ ผู้เสียหายจึงได้ไปตรวจสอบที่ศาลพบว่ามีการนำสลากออมสินของผู้เสียหายไปใช้เป็นหลักประกันนายเจริญชัย ผู้ต้องหา แล้วผู้ต้องหาหลบหนีเป็นการผิดสัญญาประกันต้องชำระค่าปรับ 360,000 บาท นอกจากนี้ยังมีการนำหลักประกันของผู้เสียหายไปใช้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยอื่นอีกหลายราย ได้แก่ นายกฤษณะพงศ์จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 5001/2559 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2559 นายไพบูลย์ ผู้ต้องหาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ฝ.2120/2559 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2559 และนายเจริญชัย ผู้ต้องหาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ฝ.2741/2559 เมื่อวันที่ 20 และ 26 ธันวาคม 2559
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) หรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1), 33 กฎหมายดังกล่าวให้ศาลมีอำนาจพิเศษในการสั่งลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องมีผู้ใดร้องขอหรือเป็นโจทก์ฟ้อง ส่วนความผิดของจำเลยคดีนี้เป็นเรื่องปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมโดยพนักงานอัยการเป็นโจทก์ จึงเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกับความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกจำเลยและคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์คดีนี้ย่อมไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) ดังที่จำเลยฎีกา โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยมีความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 หรือไม่ เมื่อผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่ามิได้มอบอำนาจให้จำเลยและนายชัยสิทธิ์นำสลากออมสินของผู้เสียหายไปเป็นหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ต้องหาและจำเลยทุกรายตามฟ้อง ประกอบกับภาพถ่ายด้านหลังสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ขอประกันที่ยื่นประกอบคำร้องขอปล่อยชั่วคราวจำเลยและผู้ต้องหาก็เป็นภาพถ่ายด้านหลังบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยซึ่งเป็นข้อพิรุธทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน ทุกครั้งที่นายชัยสิทธิ์และจำเลยมายื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนายพิเชษฐ์และนางพัชรินทร์ก็ไม่เคยพบเห็นผู้เสียหายมาศาลเลย ทั้งผู้เสียหาย นายพิเชษฐ์ และนางพัชรินทร์ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลย ส่วนที่จำเลยอ้างว่าจำเลยเพียงแต่นำหนังสือรับรองและสลากออมสินไปให้แก่นายชัยสิทธิ์ตามที่ผู้เสียหายมอบหมายเท่านั้น การที่นายชัยสิทธิ์ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายให้ลงลายมือชื่อแทนเป็นเรื่องระหว่างนายชัยสิทธิ์กับผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยนั้น จำเลยมีเพียงตัวจำเลยเบิกความลอย ๆ ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ พยานหลักฐานโจทก์ตามที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอรับฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน
โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตาม พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการดังต่อไปนี้... (6) .. ให้เช่า ให้เช่าซื้อ (7) จัดให้ได้มา ซื้อ... เช่าซื้อ... (9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งแยกจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน และต้องอยู่ในบังคับ พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ... เพราะโจทก์มิได้อยู่ในข้อยกเว้นตามมาตรา 5 (2) ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรองรับ ควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีเป็นการเฉพาะ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน และโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระมาแล้วและกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/229 และส่งมอบคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 197,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และค่าขาดประโยชน์ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์และสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. ร่วมกันหรือแทนกันรับเงินจากจำเลยเพื่อเป็นการชำระหนี้ ค่าที่ดินที่เช่าซื้อ กับออกหนังสือให้จำเลยเพื่อใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างต่อเจ้าพนักงานที่ดิน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ หรือให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงิน 110,372 บาท แก่จำเลยและชำระค่าเสียหายที่จำเลย ต่อเติมบ้าน 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 260,372 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องและให้ยกฟ้องแย้งในส่วนที่มีคำขอบังคับเอาแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ ม.
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นายเรืองศิลป์ ประธานกรรมการ มีอำนาจ ลงลายมือชื่อในเอกสารต่าง ๆ และดำเนินคดีแทนโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยทราบดีอยู่ก่อนแล้วว่าโจทก์นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่บุคคลอื่น จำเลยอ้างว่าไม่ชำระค่าเช่าซื้อเพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ จำเลยต่อเติมบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/229 โดยให้ส่งมอบสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ ให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 120,940 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากสิ่งปลูกสร้าง ให้ชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปแต่ไม่เกิน 12 เดือน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งและนำสืบรับกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ประเภทสหกรณ์บริการ มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก มีนายเรืองศิลป์ เป็นประธานกรรมการ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไปและมีอำนาจฟ้องร้องดำเนินคดีแทนโจทก์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินบางส่วนของโฉนดที่ดินเลขที่ 38760 เนื้อที่ 28 ตารางวา จากโจทก์เป็นเงิน 570,000 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน เดือนละ 2,380 บาท รวม 240 งวด ทุกวันที่ 1 ของเดือน เริ่มชำระตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 เป็นต้นไป หลังจากทำสัญญาจำเลยชำระค่าเช่าซื้อเป็นเงิน 110,372 บาท โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2557 จำนวน 22,860 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีกเลย โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นแรกว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อโดยชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลจะหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายใดอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) หรือไม่ ย่อมเป็นดุลพินิจของศาล หากศาลเห็นไม่สมควรจะไม่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยก็ได้ เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นแต่เพียงว่า หนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีระเบียบหรือข้อบังคับให้ประธานกรรมการสหกรณ์แต่ผู้เดียวมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญเป็นผู้แทนในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกหรือกระทำการแทนโจทก์ โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นในประเด็นตามที่จำเลยฎีกาโจทก์ย่อมไม่มีโอกาสที่จะนำพยานหลักฐานเข้านำสืบให้เห็นว่าในขณะทำสัญญาเช่าซื้อนายจีระศักดิ์เป็นประธานกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่ อันเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาต่อไปว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 บัญญัติว่า พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่ (1) การจัดสรรที่ดินของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย (2) การจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการ ดังต่อไปนี้... (6) ให้กู้ ให้สินเชื่อ ให้ยืม ให้เช่า ให้เช่าซื้อ โอน รับจำนองหรือรับจำนำ ซึ่งทรัพย์สินแก่สมาชิกหรือของสมาชิก (7) จัดให้ได้มา ซื้อ ถือกรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธิครอบครอง กู้ ยืม เช่า เช่าซื้อ รับโอนสิทธิการเช่าหรือสิทธิการเช่าซื้อ จำนอง จำนำ ขายหรือจำหน่ายด้วยวิธีอื่นใดซึ่งทรัพย์สิน... (9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ ซึ่งเมื่อพิจารณาวัตถุประสงค์ของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นวัตถุประสงค์โดยทั่วไปโดยพระราชบัญญัติสหกรณ์ดังกล่าวมิได้มีวัตถุประสงค์หรือมีบทบัญญัติกฎหมายที่กำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินไว้โดยเฉพาะ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน...จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์มิได้ตกอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) หรือได้รับยกเว้นตามพระราชบัญญัติดังกล่าว อันเนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่จัดสรรที่ดินตามกฎหมายเฉพาะ หรือการจัดสรรที่ดินของโจทก์ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น ซึ่งตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะยกเว้นมิให้นำกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาใช้บังคับเป็นการซ้ำซ้อนกับการดำเนินการจัดสรรที่ดินที่อาศัยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะหรือได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายอื่น ซึ่งมีการควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่อื่นอยู่แล้ว เมื่อโจทก์นำที่ดินออกจัดสรรแบ่งขายให้สมาชิกรวมทั้งจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรร ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ การจัดสรรที่ดินของโจทก์จึงไม่ชอบ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม แต่ก็เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น ไม่มีผลทำให้การแบ่งแยกจัดสรรที่ดินดังกล่าวออกจำหน่ายไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การจัดสรรที่ดิน ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน และกฎหมายก็ไม่ได้มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งว่าหากไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรแล้ว จะไม่สามารถขออนุญาตจัดสรรภายหลังได้ การที่โจทก์ไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินอันเป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ดังกล่าวนั้น จึงหาทำให้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นต่อไปมีว่า จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือไม่ เห็นว่า จากข้อกฎหมายดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์และจำเลยต่างไม่ทราบว่าโจทก์อยู่ในบังคับที่ต้องขออนุญาตจัดสรรที่ดินต่อคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ดังนั้น หากจำเลยชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาโดยครบถ้วน โจทก์ย่อมมีหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะผู้ให้เช่าซื้อโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยโดยปลอดจำนองตามสัญญา จำเลยไม่อาจยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นปฏิเสธไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ จำเลยยอมรับมาในฎีกาว่า จำเลยชำระค่าเช่าซื้อครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2557 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้อง เมื่อการชำระค่าเช่าซื้อกำหนดชำระทุกวันที่ 1 ของเดือน อันเป็นการกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน แต่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตลอดมาเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์ย่อมใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นสุดท้ายมีว่า โจทก์ต้องรับผิดตามฟ้องแย้งหรือไม่ เห็นว่า จากข้อเท็จจริงดังได้วินิจฉัยมาแล้วฟังได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระจำนวนดังกล่าวมาแล้วและกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีหน้าที่คืนเงินค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
อนึ่ง ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 และมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และบัญญัติให้ใช้ความใหม่ว่า ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี... และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 224 เดิม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความใหม่ว่า หนี้เงินนั้น ให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี และพระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 7 บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 การที่จำเลยต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จึงเป็นหนี้เงิน โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้อัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จ แต่ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ ส่วนอัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยต้องชำระหนี้แก่โจทก์ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 เดิม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 120,940 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากทรัพย์ที่เช่าซื้อ ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตาม พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการดังต่อไปนี้... (6) .. ให้เช่า ให้เช่าซื้อ (7) จัดให้ได้มา ซื้อ... เช่าซื้อ... (9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งแยกจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน และต้องอยู่ในบังคับ พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ... เพราะโจทก์มิได้อยู่ในข้อยกเว้นตามมาตรา 5 (2) ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรองรับ ควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีเป็นการเฉพาะ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน และโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระมาแล้วและกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/229 และส่งมอบคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 197,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และค่าขาดประโยชน์ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์และสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. ร่วมกันหรือแทนกันรับเงินจากจำเลยเพื่อเป็นการชำระหนี้ ค่าที่ดินที่เช่าซื้อ กับออกหนังสือให้จำเลยเพื่อใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างต่อเจ้าพนักงานที่ดิน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ หรือให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงิน 110,372 บาท แก่จำเลยและชำระค่าเสียหายที่จำเลย ต่อเติมบ้าน 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 260,372 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องและให้ยกฟ้องแย้งในส่วนที่มีคำขอบังคับเอาแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ ม.
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นายเรืองศิลป์ ประธานกรรมการ มีอำนาจ ลงลายมือชื่อในเอกสารต่าง ๆ และดำเนินคดีแทนโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยทราบดีอยู่ก่อนแล้วว่าโจทก์นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่บุคคลอื่น จำเลยอ้างว่าไม่ชำระค่าเช่าซื้อเพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ จำเลยต่อเติมบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/229 โดยให้ส่งมอบสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ ให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 120,940 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากสิ่งปลูกสร้าง ให้ชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปแต่ไม่เกิน 12 เดือน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งและนำสืบรับกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ประเภทสหกรณ์บริการ มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก มีนายเรืองศิลป์ เป็นประธานกรรมการ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไปและมีอำนาจฟ้องร้องดำเนินคดีแทนโจทก์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินบางส่วนของโฉนดที่ดินเลขที่ 38760 เนื้อที่ 28 ตารางวา จากโจทก์เป็นเงิน 570,000 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน เดือนละ 2,380 บาท รวม 240 งวด ทุกวันที่ 1 ของเดือน เริ่มชำระตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 เป็นต้นไป หลังจากทำสัญญาจำเลยชำระค่าเช่าซื้อเป็นเงิน 110,372 บาท โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2557 จำนวน 22,860 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีกเลย โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นแรกว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อโดยชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลจะหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายใดอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) หรือไม่ ย่อมเป็นดุลพินิจของศาล หากศาลเห็นไม่สมควรจะไม่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยก็ได้ เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นแต่เพียงว่า หนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีระเบียบหรือข้อบังคับให้ประธานกรรมการสหกรณ์แต่ผู้เดียวมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญเป็นผู้แทนในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกหรือกระทำการแทนโจทก์ โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นในประเด็นตามที่จำเลยฎีกาโจทก์ย่อมไม่มีโอกาสที่จะนำพยานหลักฐานเข้านำสืบให้เห็นว่าในขณะทำสัญญาเช่าซื้อนายจีระศักดิ์เป็นประธานกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่ อันเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาต่อไปว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 บัญญัติว่า พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่ (1) การจัดสรรที่ดินของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย (2) การจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการ ดังต่อไปนี้... (6) ให้กู้ ให้สินเชื่อ ให้ยืม ให้เช่า ให้เช่าซื้อ โอน รับจำนองหรือรับจำนำ ซึ่งทรัพย์สินแก่สมาชิกหรือของสมาชิก (7) จัดให้ได้มา ซื้อ ถือกรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธิครอบครอง กู้ ยืม เช่า เช่าซื้อ รับโอนสิทธิการเช่าหรือสิทธิการเช่าซื้อ จำนอง จำนำ ขายหรือจำหน่ายด้วยวิธีอื่นใดซึ่งทรัพย์สิน... (9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ ซึ่งเมื่อพิจารณาวัตถุประสงค์ของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นวัตถุประสงค์โดยทั่วไปโดยพระราชบัญญัติสหกรณ์ดังกล่าวมิได้มีวัตถุประสงค์หรือมีบทบัญญัติกฎหมายที่กำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินไว้โดยเฉพาะ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน...จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์มิได้ตกอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) หรือได้รับยกเว้นตามพระราชบัญญัติดังกล่าว อันเนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่จัดสรรที่ดินตามกฎหมายเฉพาะ หรือการจัดสรรที่ดินของโจทก์ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น ซึ่งตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะยกเว้นมิให้นำกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาใช้บังคับเป็นการซ้ำซ้อนกับการดำเนินการจัดสรรที่ดินที่อาศัยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะหรือได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายอื่น ซึ่งมีการควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่อื่นอยู่แล้ว เมื่อโจทก์นำที่ดินออกจัดสรรแบ่งขายให้สมาชิกรวมทั้งจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรร ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ การจัดสรรที่ดินของโจทก์จึงไม่ชอบ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม แต่ก็เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น ไม่มีผลทำให้การแบ่งแยกจัดสรรที่ดินดังกล่าวออกจำหน่ายไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การจัดสรรที่ดิน ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน และกฎหมายก็ไม่ได้มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งว่าหากไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรแล้ว จะไม่สามารถขออนุญาตจัดสรรภายหลังได้ การที่โจทก์ไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินอันเป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ดังกล่าวนั้น จึงหาทำให้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นต่อไปมีว่า จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือไม่ เห็นว่า จากข้อกฎหมายดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์และจำเลยต่างไม่ทราบว่าโจทก์อยู่ในบังคับที่ต้องขออนุญาตจัดสรรที่ดินต่อคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ดังนั้น หากจำเลยชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาโดยครบถ้วน โจทก์ย่อมมีหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะผู้ให้เช่าซื้อโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยโดยปลอดจำนองตามสัญญา จำเลยไม่อาจยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นปฏิเสธไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ จำเลยยอมรับมาในฎีกาว่า จำเลยชำระค่าเช่าซื้อครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2557 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้อง เมื่อการชำระค่าเช่าซื้อกำหนดชำระทุกวันที่ 1 ของเดือน อันเป็นการกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน แต่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตลอดมาเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์ย่อมใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นสุดท้ายมีว่า โจทก์ต้องรับผิดตามฟ้องแย้งหรือไม่ เห็นว่า จากข้อเท็จจริงดังได้วินิจฉัยมาแล้วฟังได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระจำนวนดังกล่าวมาแล้วและกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีหน้าที่คืนเงินค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
อนึ่ง ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 และมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และบัญญัติให้ใช้ความใหม่ว่า ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี... และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 224 เดิม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความใหม่ว่า หนี้เงินนั้น ให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี และพระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 7 บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 การที่จำเลยต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จึงเป็นหนี้เงิน โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้อัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จ แต่ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ ส่วนอัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยต้องชำระหนี้แก่โจทก์ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 เดิม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 120,940 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากทรัพย์ที่เช่าซื้อ ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การที่ผู้จัดสรรที่ดินไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินจากคณะกรรมการก่อนมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/2524 เรื่อง กรมตำรวจจัดสรรสวัสดิการให้แก่ข้าราชการทำเรื่องเช่าซื้อโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินก่อน ก็ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5553/2537, 1112/2542 และ 6759/2544 แม้ผู้จัดสรรที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็เป็นเพียงการดำเนินการฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้วินิจฉัยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐที่จะเข้าไปควบคุมผู้จัดสรรที่ดินให้ดำเนินการด้านสาธารณูปโภคให้เป็นไปตามที่ทางราชการกำหนดเท่านั้น ซึ่งเป็นคนละส่วนกับการที่โจทก์และจำเลยจะทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท และตามสัญญาไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งจึงไม่ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 ก้อง ศิวะเกื้อ
โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตาม พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการดังต่อไปนี้...(6) ให้เช่า ให้เช่าซื้อ (7) จัดให้ได้มา ซื้อ เช่าซื้อ (9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน และต้องอยู่ในบังคับ พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ เพราะโจทก์มิได้อยู่ในข้อยกเว้นตามมาตรา 5 (2) ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรับรอง ควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีเป็นการเฉพาะ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน และโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระมาแล้ว และกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/230 และส่งมอบคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 197,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และค่าขาดประโยชน์ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์และสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. ร่วมกันหรือแทนกันรับเงินจากจำเลยเพื่อเป็นการชำระหนี้ค่าที่ดินที่เช่าซื้อ กับออกหนังสือให้จำเลยเพื่อใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างต่อเจ้าพนักงานที่ดิน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ หรือให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงิน 110,372 บาท แก่จำเลยและชำระค่าเสียหายที่จำเลยต่อเติมบ้าน 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 260,372 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องและให้ยกฟ้องแย้งในส่วนที่มีคำขอบังคับเอาแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ ม.
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/230 โดยให้ส่งมอบสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ ให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 120,940 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากสิ่งปลูกสร้าง ให้ชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปแต่ไม่เกิน 12 เดือน นับแต่วันที่มีคำพิพากษาและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งและนำสืบรับกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ประเภทสหกรณ์บริการ มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก มีนายเรืองศิลป์ เป็นประธานกรรมการ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไปและมีอำนาจฟ้องร้องดำเนินคดีแทนโจทก์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินบางส่วนของโฉนดที่ดินเลขที่ 38760 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองระเวียง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 28 ตารางวา จากโจทก์เป็นเงิน 570,000 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน เดือนละ 2,380 บาท รวม 240 งวด ทุกวันที่ 1 ของเดือนเริ่มชำระตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 เป็นต้นไป หลังจากทำสัญญาจำเลยชำระค่าเช่าซื้อเป็นเงิน 110,372 บาท โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2557 จำนวน 22,860 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีกเลยโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นแรกว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อโดยชอบหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อนายจีระศักดิ์ ไม่ได้เป็นประธานกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ เท่ากับโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาเช่าซื้อจึงไม่เป็นไปตามแบบดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 วรรคสอง ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 152 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยย่อมเป็นการไม่ชอบ นั้น เห็นว่า การที่ศาลจะหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายใดอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 (5) หรือไม่ ย่อมเป็นดุลพินิจของศาล หากศาลเห็นไม่สมควรจะไม่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยก็ได้ เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นแต่เพียงว่า หนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีระเบียบหรือข้อบังคับให้ประธานกรรมการสหกรณ์แต่ผู้เดียวมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญเป็นผู้แทนในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกหรือกระทำการแทนโจทก์ โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นในประเด็นตามที่จำเลยฎีกาโจทก์ย่อมไม่มีโอกาสที่จะนำพยานหลักฐานเข้านำสืบให้เห็นว่าในขณะทำสัญญาเช่าซื้อนายจีระศักดิ์เป็นประธานกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่ อันเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาต่อไปว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครราชสีมา จึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 นั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 บัญญัติว่า พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่ (1) การจัดสรรที่ดินของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย (2) การจัดสรรที่ดินได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการ ดังต่อไปนี้... (6) ให้กู้ ให้สินเชื่อ ให้ยืม ให้เช่า ให้เช่าซื้อ โอน รับจำนองหรือรับจำนำ ซึ่งทรัพย์สินแก่สมาชิกหรือของสมาชิก (7) จัดให้ได้มา ซื้อ ถือกรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธิครอบครอง กู้ ยืม เช่า เช่าซื้อ รับโอนสิทธิการเช่าหรือสิทธิการเช่าซื้อ จำนองหรือจำนำ ขายหรือจำหน่ายด้วยวิธีอื่นใดซึ่งทรัพย์สิน...(9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ ซึ่งเมื่อพิจารณาวัตถุประสงค์ของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นวัตถุประสงค์โดยทั่วไปโดยพระราชบัญญัติสหกรณ์ดังกล่าวมิได้มีวัตถุประสงค์หรือมีบทบัญญัติกฎหมายที่กำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินไว้โดยเฉพาะ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 ตำบลหนองระเวียง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน...จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์มิได้ตกอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) หรือได้รับยกเว้นตามพระราชบัญญัติดังกล่าว อันเนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่จัดสรรที่ดินตามกฎหมายเฉพาะ หรือการจัดสรรที่ดินของโจทก์ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น ซึ่งตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะยกเว้นมิให้นำกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาใช้บังคับเป็นการซ้ำซ้อนกับการดำเนินการจัดสรรที่ดินที่อาศัยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะหรือได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายอื่น ซึ่งมีการควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่อื่นอยู่แล้ว เมื่อโจทก์นำที่ดินออกจัดสรรแบ่งขายให้สมาชิกรวมทั้งจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรร ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ การจัดสรรที่ดินของโจทก์จึงไม่ชอบ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม แต่ก็เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น ไม่มีผลทำให้การแบ่งแยกจัดสรรที่ดินดังกล่าวออกจำหน่ายไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน และกฎหมายก็ไม่ได้มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งว่าหากไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรแล้วจะไม่สามารถขออนุญาตจัดสรรภายหลังได้ การที่โจทก์ไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินอันเป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ดังกล่าวนั้นจึงหาทำให้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นต่อไปมีว่า จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า แม้จำเลยผ่อนชำระค่าเช่าซื้อจนครบถ้วน โจทก์ก็ไม่สามารถโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยได้ เพราะโจทก์ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินตามกฎหมาย การที่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดต่อ ๆ มา จึงหาได้ชื่อว่าเป็นลูกหนี้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 205 โจทก์จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยหาได้ไม่ นั้น เห็นว่า จากข้อกฎหมายดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงขณะทำสัญญา ซึ่งโจทก์และจำเลยต่างไม่ทราบว่าโจทก์อยู่ในบังคับที่ต้องขออนุญาตจัดสรรที่ดินต่อคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ดังนั้นหากจำเลยชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาโดยครบถ้วน โจทก์ย่อมมีหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะผู้ให้เช่าซื้อโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยโดยปลอดจำนองตามสัญญา จำเลยไม่อาจยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นปฏิเสธไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ จำเลยยอมรับมาในฎีกาว่า จำเลยชำระค่าเช่าซื้อครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2547 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้อง เมื่อการชำระค่าเช่าซื้อกำหนดชำระทุกวันที่ 1 ของเดือน อันเป็นการกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน แต่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตลอดมาเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์ย่อมใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นสุดท้ายมีว่า โจทก์ต้องรับผิดตามฟ้องแย้งหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ต้องนำเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยชำระมาแล้ว 110,372 บาท คืนให้แก่จำเลย เนื่องจากจำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา นั้น เห็นว่าจากข้อเท็จจริงดังได้วินิจฉัยมาแล้วฟังได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระจำนวนดังกล่าวมาแล้วและกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีหน้าที่คืนเงินค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
อนึ่ง ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีการออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิมและบัญญัติให้ใช้ความใหม่ว่า ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละสามต่อปี... และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 224 เดิม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และบัญญัติให้ใช้ความใหม่ว่า หนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี... และพระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 7 บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในหนี้เงินได้ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จแต่ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ ส่วนดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 โจทก์ยังคงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 เดิม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 120,940 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากทรัพย์ที่เช่าซื้อ ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตาม พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการดังต่อไปนี้...(6) ให้เช่า ให้เช่าซื้อ (7) จัดให้ได้มา ซื้อ เช่าซื้อ (9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน และต้องอยู่ในบังคับ พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ เพราะโจทก์มิได้อยู่ในข้อยกเว้นตามมาตรา 5 (2) ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรับรอง ควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีเป็นการเฉพาะ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน และโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระมาแล้ว และกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/230 และส่งมอบคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 197,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และค่าขาดประโยชน์ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์และสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. ร่วมกันหรือแทนกันรับเงินจากจำเลยเพื่อเป็นการชำระหนี้ค่าที่ดินที่เช่าซื้อ กับออกหนังสือให้จำเลยเพื่อใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างต่อเจ้าพนักงานที่ดิน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ หรือให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงิน 110,372 บาท แก่จำเลยและชำระค่าเสียหายที่จำเลยต่อเติมบ้าน 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 260,372 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องและให้ยกฟ้องแย้งในส่วนที่มีคำขอบังคับเอาแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ ม.
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/230 โดยให้ส่งมอบสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ ให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 120,940 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากสิ่งปลูกสร้าง ให้ชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปแต่ไม่เกิน 12 เดือน นับแต่วันที่มีคำพิพากษาและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งและนำสืบรับกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ประเภทสหกรณ์บริการ มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก มีนายเรืองศิลป์ เป็นประธานกรรมการ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไปและมีอำนาจฟ้องร้องดำเนินคดีแทนโจทก์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินบางส่วนของโฉนดที่ดินเลขที่ 38760 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองระเวียง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 28 ตารางวา จากโจทก์เป็นเงิน 570,000 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน เดือนละ 2,380 บาท รวม 240 งวด ทุกวันที่ 1 ของเดือนเริ่มชำระตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 เป็นต้นไป หลังจากทำสัญญาจำเลยชำระค่าเช่าซื้อเป็นเงิน 110,372 บาท โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2557 จำนวน 22,860 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีกเลยโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นแรกว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อโดยชอบหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อนายจีระศักดิ์ ไม่ได้เป็นประธานกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ เท่ากับโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาเช่าซื้อจึงไม่เป็นไปตามแบบดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 วรรคสอง ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 152 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยย่อมเป็นการไม่ชอบ นั้น เห็นว่า การที่ศาลจะหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายใดอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 (5) หรือไม่ ย่อมเป็นดุลพินิจของศาล หากศาลเห็นไม่สมควรจะไม่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยก็ได้ เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นแต่เพียงว่า หนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีระเบียบหรือข้อบังคับให้ประธานกรรมการสหกรณ์แต่ผู้เดียวมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญเป็นผู้แทนในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกหรือกระทำการแทนโจทก์ โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นในประเด็นตามที่จำเลยฎีกาโจทก์ย่อมไม่มีโอกาสที่จะนำพยานหลักฐานเข้านำสืบให้เห็นว่าในขณะทำสัญญาเช่าซื้อนายจีระศักดิ์เป็นประธานกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่ อันเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาต่อไปว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครราชสีมา จึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 นั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 บัญญัติว่า พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่ (1) การจัดสรรที่ดินของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย (2) การจัดสรรที่ดินได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการ ดังต่อไปนี้... (6) ให้กู้ ให้สินเชื่อ ให้ยืม ให้เช่า ให้เช่าซื้อ โอน รับจำนองหรือรับจำนำ ซึ่งทรัพย์สินแก่สมาชิกหรือของสมาชิก (7) จัดให้ได้มา ซื้อ ถือกรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธิครอบครอง กู้ ยืม เช่า เช่าซื้อ รับโอนสิทธิการเช่าหรือสิทธิการเช่าซื้อ จำนองหรือจำนำ ขายหรือจำหน่ายด้วยวิธีอื่นใดซึ่งทรัพย์สิน...(9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ ซึ่งเมื่อพิจารณาวัตถุประสงค์ของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นวัตถุประสงค์โดยทั่วไปโดยพระราชบัญญัติสหกรณ์ดังกล่าวมิได้มีวัตถุประสงค์หรือมีบทบัญญัติกฎหมายที่กำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินไว้โดยเฉพาะ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 ตำบลหนองระเวียง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน...จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์มิได้ตกอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) หรือได้รับยกเว้นตามพระราชบัญญัติดังกล่าว อันเนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่จัดสรรที่ดินตามกฎหมายเฉพาะ หรือการจัดสรรที่ดินของโจทก์ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น ซึ่งตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะยกเว้นมิให้นำกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาใช้บังคับเป็นการซ้ำซ้อนกับการดำเนินการจัดสรรที่ดินที่อาศัยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะหรือได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายอื่น ซึ่งมีการควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่อื่นอยู่แล้ว เมื่อโจทก์นำที่ดินออกจัดสรรแบ่งขายให้สมาชิกรวมทั้งจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรร ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ การจัดสรรที่ดินของโจทก์จึงไม่ชอบ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม แต่ก็เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น ไม่มีผลทำให้การแบ่งแยกจัดสรรที่ดินดังกล่าวออกจำหน่ายไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน และกฎหมายก็ไม่ได้มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งว่าหากไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรแล้วจะไม่สามารถขออนุญาตจัดสรรภายหลังได้ การที่โจทก์ไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินอันเป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ดังกล่าวนั้นจึงหาทำให้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นต่อไปมีว่า จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า แม้จำเลยผ่อนชำระค่าเช่าซื้อจนครบถ้วน โจทก์ก็ไม่สามารถโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยได้ เพราะโจทก์ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินตามกฎหมาย การที่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดต่อ ๆ มา จึงหาได้ชื่อว่าเป็นลูกหนี้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 205 โจทก์จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยหาได้ไม่ นั้น เห็นว่า จากข้อกฎหมายดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงขณะทำสัญญา ซึ่งโจทก์และจำเลยต่างไม่ทราบว่าโจทก์อยู่ในบังคับที่ต้องขออนุญาตจัดสรรที่ดินต่อคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ดังนั้นหากจำเลยชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาโดยครบถ้วน โจทก์ย่อมมีหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะผู้ให้เช่าซื้อโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยโดยปลอดจำนองตามสัญญา จำเลยไม่อาจยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นปฏิเสธไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ จำเลยยอมรับมาในฎีกาว่า จำเลยชำระค่าเช่าซื้อครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2547 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้อง เมื่อการชำระค่าเช่าซื้อกำหนดชำระทุกวันที่ 1 ของเดือน อันเป็นการกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน แต่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตลอดมาเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์ย่อมใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นสุดท้ายมีว่า โจทก์ต้องรับผิดตามฟ้องแย้งหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ต้องนำเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยชำระมาแล้ว 110,372 บาท คืนให้แก่จำเลย เนื่องจากจำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา นั้น เห็นว่าจากข้อเท็จจริงดังได้วินิจฉัยมาแล้วฟังได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระจำนวนดังกล่าวมาแล้วและกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีหน้าที่คืนเงินค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
อนึ่ง ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีการออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิมและบัญญัติให้ใช้ความใหม่ว่า ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละสามต่อปี... และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 224 เดิม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และบัญญัติให้ใช้ความใหม่ว่า หนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี... และพระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 7 บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในหนี้เงินได้ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จแต่ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ ส่วนดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 โจทก์ยังคงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 เดิม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 120,940 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากทรัพย์ที่เช่าซื้อ ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การที่ผู้จัดสรรที่ดินไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินจากคณะกรรมการก่อน มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/2524 เรื่องกรมตำรวจจัดสรรสวัสดิการให้แก่ข้าราชการทำเรื่องเช่าซื้อโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินก่อน ก็ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5553/2537, 1112/2542 และ 6759/2544 แม้ผู้จัดสรรที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็เป็นเพียงการดำเนินการฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้วินิจฉัยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 286 ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐที่จะเข้าไปควบคุมผู้จัดสรรที่ดินให้ดำเนินการด้านสาธารณูปโภคให้เป็นไปตามที่ทางราชการกำหนดเท่านั้น ซึ่งเป็นคนละส่วนกับการที่โจทก์และจำเลยจะทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท และตามสัญญาไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งจึงไม่ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150ก้อง ศิวะเกื้อ
คดีนี้เป็นคดีอาญา ซึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 252 กำหนดไว้ว่า ในคดีอาญาทั้งหลายห้ามมิให้ศาลยุติธรรมเรียกค่าธรรมเนียมนอกจากที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ ซึ่งบทบัญญัติในหมวดนี้ในส่วนของจำเลยไม่ได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องบังคับไปตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่ง จำเลยจึงไม่ต้องเสีย ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสามมิได้เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็มีอำนาจวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่ง
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341, 342 ให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 984/2561 ของศาลชั้นต้น และขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงิน 6,800,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้นับโทษต่อ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยทั้งสองมิได้กระทำความผิดตามฟ้อง จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงิน 6,800,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ 3 ไม่ให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342 (1) ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี ทางนำสืบและคำเบิกความของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 984/2561 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังไม่มีคำพิพากษาจึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงิน 6,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มีนาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องในคดีส่วนแพ่งใหม่ ส่วนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำเลยทั้งสามไม่ได้ชำระมาจึงไม่จำต้องสั่งคืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเพื่อนกับนาง ฐ. จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของจำเลยที่ 2 นาย พ. เป็นน้องชายของจำเลยที่ 2 โจทก์รู้จักจำเลยทั้งสามจากการแนะนำของนาง ฐ.
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ก่อนที่โจทก์และนาง ฐ. จะร่วมลงทุนเข้าหุ้นในกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. จำเลยที่ 2 กับนาย พ. น้องชายของจำเลยที่ 2 ร่วมก่อตั้งโรงเรียนกวดวิชา บ. สาขาชลบุรี ตั้งแต่ปี 2558 มีจำเลยที่ 3 เป็นครูสอนมาตั้งแต่ก่อตั้ง ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นครูสอนตั้งแต่ปลายปี 2559 แสดงว่าก่อนที่โจทก์กับนาง ฐ. จะร่วมลงทุนเข้าหุ้น โรงเรียนกวดวิชา บ. ก่อตั้งและดำเนินการสอนมาก่อนหน้านั้นแล้ว อันเป็นการยืนยันว่าโรงเรียนกวดวิชา บ. มีอยู่จริง และเปิดทำการสอนจริง ต่อมาวันที่ 24 เมษายน 2560 นาง ฐ. ร่วมลงทุนเปิดโรงเรียนกวดวิชา บ. ในอำเภอศรีราชา และวันที่ 8 มิถุนายน 2560 นาง ฐ. ร่วมกับจำเลยที่ 3 ซื้อหุ้นโรงเรียนกวดวิชา บ. สาขาชลบุรี จากจำเลยที่ 2 และประมาณเดือนกรกฎาคม 2560 โจทก์โอนเงิน 6,800,000 บาท เพื่อร่วมลงทุนเข้าบัญชีธนาคารของนาง ฐ. เมื่อนับระยะเวลานับแต่โรงเรียนกวดวิชา บ. ก่อตั้งจนกระทั่งโจทก์กับนาง ฐ. มาร่วมลงทุน โรงเรียนกวดวิชา บ. เปิดดำเนินการมาเป็นเวลา 2 ปี แล้ว การดำเนินการตลอดระยะเวลา 2 ปี มีนักเรียนมากวดวิชาจำนวนมาก ยากที่จำเลยทั้งสามจะสร้างเรื่องมาหลอกลวงโจทก์หากไม่มีการดำเนินการจริง ต่อมานาง ฐ. ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของโจทก์แนะนำโจทก์ให้ร่วมลงทุนเข้าหุ้นในกิจการโรงเรียนกวดวิชา บ. เนื่องจากนาง ฐ. ซึ่งเป็นหุ้นส่วนได้เข้าไปบริหารโรงเรียนกวดวิชา บ. แล้วเห็นว่ามีการเรียนการสอนจริง และมีรายได้เข้ามาจริง และก่อนที่โจทก์ร่วมลงทุน โจทก์ได้ตรวจดูกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. ด้วยตนเอง โดยการนำรหัสที่ได้รับจากจำเลยที่ 3 ไปเปิดดูการดำเนินการของโรงเรียนแล้ว ทั้งยังได้พูดคุยกับจำเลยที่ 2 ถึงเรื่องร่วมลงทุน เมื่อได้ความว่า โจทก์เป็นนักธุรกิจประกอบกิจการขนส่ง แสดงว่าก่อนที่โจทก์จะตกลงร่วมทุนในกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. โจทก์ได้ตรวจสอบกิจการของโรงเรียนอย่างรอบคอบ วิเคราะห์ความเป็นไปได้ ความเสี่ยง ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นอย่างดีแล้ว ก่อนที่โจทก์จะร่วมทุน กรณีจึงน่าเชื่อว่า การที่โจทก์ตกลงลงทุนเข้าหุ้นในกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. เกิดจากการชักชวนของนาง ฐ. เพื่อนสนิทของโจทก์ เพราะนาง ฐ. ได้ลงทุนเข้าหุ้นก่อนโจทก์ ไม่ได้เกิดจากการหลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นอาจารย์ พ. ตามที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ต่อมาโจทก์และนาง ฐ. เข้ามาช่วยบริหารโรงเรียนกวดวิชา บ. แล้วเห็นว่าการบริหารจัดการโรงเรียนไม่โปร่งใส มีการถอนเงินส่วนกลางไปใช้ส่วนตัว ทั้งโจทก์และนาง ฐ. เห็นว่าทางโรงเรียนกวดวิชา บ. ได้เก็บเงินค่ากวดวิชารายละ 130,000 บาท มีผู้สมัครประมาณ 100 ราย มีรายได้ประมาณ 13,000,000 บาท โดยรับรองผลว่า หากผู้สมัครไม่สามารถเข้าเรียนที่โรงเรียน ช. ได้ทางโรงเรียนกวดวิชา บ. จะคืนเงินให้ผู้สมัคร โจทก์และนาง ฐ. จึงประสงค์ที่จะถอนหุ้น เพราะเกรงว่าจะต้องร่วมรับผิดชอบในการคืนเงินดังกล่าว ฉะนั้น การที่โจทก์ตกลงร่วมลงทุนกับจำเลยทั้งสามเพราะเห็นว่าจำเลยทั้งสามประกอบกิจการในโรงเรียนกวดวิชาจริง และหากร่วมลงทุนด้วยแล้วจะได้รับผลตอบแทนที่ดี โดยมีการวิเคราะห์ถึงข้อมูลต่าง ๆ ก่อนแล้วจึงตัดสินใจเข้าร่วมลงทุน เชื่อว่าโจทก์ตกลงร่วมลงทุนกับจำเลยทั้งสามด้วยความสมัครใจ มิใช่เกิดจากการที่จำเลยทั้งสามร่วมกันหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยทั้งสามไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ได้รับรองไว้กับโจทก์ก็เป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ซึ่งโจทก์ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นเรื่องหนึ่งต่างหาก พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมาตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันชดใช้เงิน 6,800,000 บาท ให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อคดีนี้ศาลวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ซึ่งโจทก์ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก และที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีส่วนแพ่ง แต่จำเลยทั้งสามมิได้วางค่าฤชาธรรมเนียมที่เป็นค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในคดีส่วนแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 จึงไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่ง ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีส่วนแพ่ง คดีในส่วนแพ่งถือว่าถึงที่สุดแล้วนั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีอาญา ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 252 กำหนดไว้ว่า ในคดีอาญาทั้งหลายห้ามมิให้ศาลยุติธรรมเรียกค่าธรรมเนียมนอกจากที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ ซึ่งบทบัญญัติในหมวดนี้ในส่วนของจำเลยมิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องบังคับไปตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น เมื่อค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่ง จำเลยจึงไม่ต้องเสีย ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสามมิได้เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาด้วยตามที่โจทก์ฎีกามาก็ตาม ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็มีอำนาจวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนข้ออ้างตามฎีกาของโจทก์ข้ออื่น ๆ ไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
คดีนี้เป็นคดีอาญา ซึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 252 กำหนดไว้ว่า ในคดีอาญาทั้งหลายห้ามมิให้ศาลยุติธรรมเรียกค่าธรรมเนียมนอกจากที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ ซึ่งบทบัญญัติในหมวดนี้ในส่วนของจำเลยไม่ได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องบังคับไปตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่ง จำเลยจึงไม่ต้องเสีย ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสามมิได้เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็มีอำนาจวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่ง
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341, 342 ให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 984/2561 ของศาลชั้นต้น และขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงิน 6,800,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้นับโทษต่อ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยทั้งสองมิได้กระทำความผิดตามฟ้อง จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงิน 6,800,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ 3 ไม่ให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342 (1) ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี ทางนำสืบและคำเบิกความของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 984/2561 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังไม่มีคำพิพากษาจึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงิน 6,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มีนาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องในคดีส่วนแพ่งใหม่ ส่วนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำเลยทั้งสามไม่ได้ชำระมาจึงไม่จำต้องสั่งคืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเพื่อนกับนาง ฐ. จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของจำเลยที่ 2 นาย พ. เป็นน้องชายของจำเลยที่ 2 โจทก์รู้จักจำเลยทั้งสามจากการแนะนำของนาง ฐ.
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ก่อนที่โจทก์และนาง ฐ. จะร่วมลงทุนเข้าหุ้นในกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. จำเลยที่ 2 กับนาย พ. น้องชายของจำเลยที่ 2 ร่วมก่อตั้งโรงเรียนกวดวิชา บ. สาขาชลบุรี ตั้งแต่ปี 2558 มีจำเลยที่ 3 เป็นครูสอนมาตั้งแต่ก่อตั้ง ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นครูสอนตั้งแต่ปลายปี 2559 แสดงว่าก่อนที่โจทก์กับนาง ฐ. จะร่วมลงทุนเข้าหุ้น โรงเรียนกวดวิชา บ. ก่อตั้งและดำเนินการสอนมาก่อนหน้านั้นแล้ว อันเป็นการยืนยันว่าโรงเรียนกวดวิชา บ. มีอยู่จริง และเปิดทำการสอนจริง ต่อมาวันที่ 24 เมษายน 2560 นาง ฐ. ร่วมลงทุนเปิดโรงเรียนกวดวิชา บ. ในอำเภอศรีราชา และวันที่ 8 มิถุนายน 2560 นาง ฐ. ร่วมกับจำเลยที่ 3 ซื้อหุ้นโรงเรียนกวดวิชา บ. สาขาชลบุรี จากจำเลยที่ 2 และประมาณเดือนกรกฎาคม 2560 โจทก์โอนเงิน 6,800,000 บาท เพื่อร่วมลงทุนเข้าบัญชีธนาคารของนาง ฐ. เมื่อนับระยะเวลานับแต่โรงเรียนกวดวิชา บ. ก่อตั้งจนกระทั่งโจทก์กับนาง ฐ. มาร่วมลงทุน โรงเรียนกวดวิชา บ. เปิดดำเนินการมาเป็นเวลา 2 ปี แล้ว การดำเนินการตลอดระยะเวลา 2 ปี มีนักเรียนมากวดวิชาจำนวนมาก ยากที่จำเลยทั้งสามจะสร้างเรื่องมาหลอกลวงโจทก์หากไม่มีการดำเนินการจริง ต่อมานาง ฐ. ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของโจทก์แนะนำโจทก์ให้ร่วมลงทุนเข้าหุ้นในกิจการโรงเรียนกวดวิชา บ. เนื่องจากนาง ฐ. ซึ่งเป็นหุ้นส่วนได้เข้าไปบริหารโรงเรียนกวดวิชา บ. แล้วเห็นว่ามีการเรียนการสอนจริง และมีรายได้เข้ามาจริง และก่อนที่โจทก์ร่วมลงทุน โจทก์ได้ตรวจดูกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. ด้วยตนเอง โดยการนำรหัสที่ได้รับจากจำเลยที่ 3 ไปเปิดดูการดำเนินการของโรงเรียนแล้ว ทั้งยังได้พูดคุยกับจำเลยที่ 2 ถึงเรื่องร่วมลงทุน เมื่อได้ความว่า โจทก์เป็นนักธุรกิจประกอบกิจการขนส่ง แสดงว่าก่อนที่โจทก์จะตกลงร่วมทุนในกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. โจทก์ได้ตรวจสอบกิจการของโรงเรียนอย่างรอบคอบ วิเคราะห์ความเป็นไปได้ ความเสี่ยง ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นอย่างดีแล้ว ก่อนที่โจทก์จะร่วมทุน กรณีจึงน่าเชื่อว่า การที่โจทก์ตกลงลงทุนเข้าหุ้นในกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. เกิดจากการชักชวนของนาง ฐ. เพื่อนสนิทของโจทก์ เพราะนาง ฐ. ได้ลงทุนเข้าหุ้นก่อนโจทก์ ไม่ได้เกิดจากการหลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นอาจารย์ พ. ตามที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ต่อมาโจทก์และนาง ฐ. เข้ามาช่วยบริหารโรงเรียนกวดวิชา บ. แล้วเห็นว่าการบริหารจัดการโรงเรียนไม่โปร่งใส มีการถอนเงินส่วนกลางไปใช้ส่วนตัว ทั้งโจทก์และนาง ฐ. เห็นว่าทางโรงเรียนกวดวิชา บ. ได้เก็บเงินค่ากวดวิชารายละ 130,000 บาท มีผู้สมัครประมาณ 100 ราย มีรายได้ประมาณ 13,000,000 บาท โดยรับรองผลว่า หากผู้สมัครไม่สามารถเข้าเรียนที่โรงเรียน ช. ได้ทางโรงเรียนกวดวิชา บ. จะคืนเงินให้ผู้สมัคร โจทก์และนาง ฐ. จึงประสงค์ที่จะถอนหุ้น เพราะเกรงว่าจะต้องร่วมรับผิดชอบในการคืนเงินดังกล่าว ฉะนั้น การที่โจทก์ตกลงร่วมลงทุนกับจำเลยทั้งสามเพราะเห็นว่าจำเลยทั้งสามประกอบกิจการในโรงเรียนกวดวิชาจริง และหากร่วมลงทุนด้วยแล้วจะได้รับผลตอบแทนที่ดี โดยมีการวิเคราะห์ถึงข้อมูลต่าง ๆ ก่อนแล้วจึงตัดสินใจเข้าร่วมลงทุน เชื่อว่าโจทก์ตกลงร่วมลงทุนกับจำเลยทั้งสามด้วยความสมัครใจ มิใช่เกิดจากการที่จำเลยทั้งสามร่วมกันหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยทั้งสามไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ได้รับรองไว้กับโจทก์ก็เป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ซึ่งโจทก์ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นเรื่องหนึ่งต่างหาก พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมาตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันชดใช้เงิน 6,800,000 บาท ให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อคดีนี้ศาลวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ซึ่งโจทก์ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก และที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีส่วนแพ่ง แต่จำเลยทั้งสามมิได้วางค่าฤชาธรรมเนียมที่เป็นค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในคดีส่วนแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 จึงไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่ง ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีส่วนแพ่ง คดีในส่วนแพ่งถือว่าถึงที่สุดแล้วนั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีอาญา ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 252 กำหนดไว้ว่า ในคดีอาญาทั้งหลายห้ามมิให้ศาลยุติธรรมเรียกค่าธรรมเนียมนอกจากที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ ซึ่งบทบัญญัติในหมวดนี้ในส่วนของจำเลยมิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องบังคับไปตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น เมื่อค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่ง จำเลยจึงไม่ต้องเสีย ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสามมิได้เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาด้วยตามที่โจทก์ฎีกามาก็ตาม ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็มีอำนาจวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนข้ออ้างตามฎีกาของโจทก์ข้ออื่น ๆ ไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|