การกระทำความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาผู้กระทำจะต้องมีการนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี การที่จำเลยที่ 2 ในฐานะทนายความโจทก์ ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 มิใช่การนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี แต่เป็นอำนาจที่จำเลยที่ 2 กระทำได้ตามที่โจทก์มอบหมายไว้ในใบแต่งทนายความ หากการกระทำของจำเลยที่ 2 ฝ่าฝืนความประสงค์ของโจทก์ และทำให้โจทก์เสียหายอย่างไร ก็ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ไม่มีมูลความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีอาญา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91, 341, 343, 180วรรคสอง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง และยกฟ้องคดีส่วนแพ่งโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนแพ่งสำหรับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ แต่ให้รับฟ้องคดีส่วนแพ่งระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 มีมูลความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ เห็นว่า การกระทำอันจะเป็นการฉ้อโกงประชาชน ลักษณะของการหลอกลวงที่แสดงออกด้วยข้อความเท็จ จะต้องมีเจตนากระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนทั่ว ๆ ไปโดยมุ่งหมายให้แพร่หลายทั่วไปในหมู่ประชาชน คดีนี้ได้ความจากผู้รับมอบอำนาจโจทก์ว่า ขณะจำเลยที่ 1 ชักชวนโจทก์ให้ร่วมลงทุนซื้อขายทองคำแท่งจำเลยที่ 1 ยังประกอบกิจการร้านทองตามปกติ ทั้งไม่ปรากฏจากทางไต่สวนว่าจำเลยที่ 1 ชักชวนบุคคลอื่นหรือประกาศให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 1 ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่เห็นด้วยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 รับฟังถ้อยคำเบิกความของผู้รับมอบอำนาจโจทก์ว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1เป็นเพื่อนกันมาประมาณ 40 ปี และลูกจะเรียนต่างประเทศจึงตกลงร่วมลงทุน 5,000,000 บาท เพื่อได้ผลกำไร แล้วพิจารณาว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 นั้น เห็นว่า ถ้อยคำเบิกความของผู้รับมอบอำนาจโจทก์ เป็นข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบให้ปรากฏในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 9 สามารถใช้ดุลพินิจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 9 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ไม่มีมูลความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายว่า คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 มีมูลความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาหรือไม่ เห็นว่า การกระทำความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา ผู้กระทำจะต้องมีการนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี การที่จำเลยที่ 2 ในฐานะทนายความของโจทก์ ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 มิใช่การนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี แต่เป็นอำนาจที่จำเลยที่ 2 กระทำได้ตามที่โจทก์มอบหมายไว้ในใบแต่งทนายความ หากการกระทำของจำเลยที่ 2 ฝ่าฝืนความประสงค์ของโจทก์ และทำให้โจทก์เสียหายอย่างไร ก็ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นอีกเรื่องหนึ่งคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ไม่มีมูลความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน
การกระทำความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาผู้กระทำจะต้องมีการนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี การที่จำเลยที่ 2 ในฐานะทนายความโจทก์ ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 มิใช่การนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี แต่เป็นอำนาจที่จำเลยที่ 2 กระทำได้ตามที่โจทก์มอบหมายไว้ในใบแต่งทนายความ หากการกระทำของจำเลยที่ 2 ฝ่าฝืนความประสงค์ของโจทก์ และทำให้โจทก์เสียหายอย่างไร ก็ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ไม่มีมูลความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีอาญา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91, 341, 343, 180วรรคสอง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง และยกฟ้องคดีส่วนแพ่งโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนแพ่งสำหรับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ แต่ให้รับฟ้องคดีส่วนแพ่งระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 มีมูลความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ เห็นว่า การกระทำอันจะเป็นการฉ้อโกงประชาชน ลักษณะของการหลอกลวงที่แสดงออกด้วยข้อความเท็จ จะต้องมีเจตนากระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนทั่ว ๆ ไปโดยมุ่งหมายให้แพร่หลายทั่วไปในหมู่ประชาชน คดีนี้ได้ความจากผู้รับมอบอำนาจโจทก์ว่า ขณะจำเลยที่ 1 ชักชวนโจทก์ให้ร่วมลงทุนซื้อขายทองคำแท่งจำเลยที่ 1 ยังประกอบกิจการร้านทองตามปกติ ทั้งไม่ปรากฏจากทางไต่สวนว่าจำเลยที่ 1 ชักชวนบุคคลอื่นหรือประกาศให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 1 ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่เห็นด้วยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 รับฟังถ้อยคำเบิกความของผู้รับมอบอำนาจโจทก์ว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1เป็นเพื่อนกันมาประมาณ 40 ปี และลูกจะเรียนต่างประเทศจึงตกลงร่วมลงทุน 5,000,000 บาท เพื่อได้ผลกำไร แล้วพิจารณาว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 นั้น เห็นว่า ถ้อยคำเบิกความของผู้รับมอบอำนาจโจทก์ เป็นข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบให้ปรากฏในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 9 สามารถใช้ดุลพินิจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 9 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ไม่มีมูลความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายว่า คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 มีมูลความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาหรือไม่ เห็นว่า การกระทำความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา ผู้กระทำจะต้องมีการนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี การที่จำเลยที่ 2 ในฐานะทนายความของโจทก์ ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 มิใช่การนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี แต่เป็นอำนาจที่จำเลยที่ 2 กระทำได้ตามที่โจทก์มอบหมายไว้ในใบแต่งทนายความ หากการกระทำของจำเลยที่ 2 ฝ่าฝืนความประสงค์ของโจทก์ และทำให้โจทก์เสียหายอย่างไร ก็ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นอีกเรื่องหนึ่งคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ไม่มีมูลความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 279 วรรคสาม และวรรคสี่ ประกอบมาตรา 285 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 แล้ว ฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดาน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม คงจำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี 24 เดือน ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุก 2 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นใดซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 38 กระทง เป็นจำคุก 152 ปี 304 เดือน รวมจำคุกทุกกระทง 166 ปี 328 เดือน แม้รวมโทษทุกกระทงแล้วลงโทษจำคุกจำเลย 50 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 91 (3) ก็ตาม แต่เมื่อโทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องทุกข้อหา เพราะจำเลยสำคัญผิดหรือหลงผิดในสิ่งที่ตนมิได้กระทำ จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายเพียง 5 ครั้ง แต่มิได้กระทำชำเราผู้เสียหาย และพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดอื่นนอกจากความผิดฐานอนาจารดังกล่าว การวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในปัญหาดังกล่าวจำต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากพฤติการณ์แห่งคดีและจากพยานหลักฐานที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจรับฟังมาเป็นข้อชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 279, 285
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 279 วรรคหนึ่ง วรรคสาม และวรรคสี่ (ที่ถูก ไม่ต้องปรับบทวรรคหนึ่ง) ประกอบมาตรา 285 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดานโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามกับฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดานโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 9 ปี 4 เดือน รวม 3 กระทง ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดานโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จำคุก 4 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม จำคุกกระทงละ 9 ปี 4 เดือน รวม 38 กระทง จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดานโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม คงจำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี 24 เดือน ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดานโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ คงจำคุก 2 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม คงจำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 38 กระทง เป็นจำคุก 152 ปี 304 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 166 ปี 328 เดือน เนื่องจากความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดานโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 285 และฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดานโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสี่ ประกอบมาตรา 285 มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไป เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงให้จำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 279 วรรคสาม และวรรคสี่ ประกอบมาตรา 285 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดาน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม คงจำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี 24 เดือน ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุก 2 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย คงจำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 38 กระทง เป็นจำคุก 152 ปี 304 เดือน รวมจำคุกทุกกระทง 166 ปี 328 เดือน แม้รวมโทษทุกกระทงแล้วลงโทษจำคุกจำเลย 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ก็ตาม แต่เมื่อโทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องทุกข้อหา เพราะจำเลยสำคัญผิดหรือหลงผิดในสิ่งที่ตนมิได้กระทำ จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายเพียง 5 ครั้ง แต่มิได้กระทำชำเราผู้เสียหาย และพยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดอื่นนอกจากความผิดฐานอนาจารดังกล่าว การวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในปัญหาดังกล่าวจำต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากพฤติการณ์แห่งคดีและจากพยานหลักฐานที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจรับฟังมาเป็นข้อชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยมาจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 279 วรรคสาม และวรรคสี่ ประกอบมาตรา 285 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 แล้ว ฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดาน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม คงจำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี 24 เดือน ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุก 2 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นใดซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 38 กระทง เป็นจำคุก 152 ปี 304 เดือน รวมจำคุกทุกกระทง 166 ปี 328 เดือน แม้รวมโทษทุกกระทงแล้วลงโทษจำคุกจำเลย 50 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 91 (3) ก็ตาม แต่เมื่อโทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องทุกข้อหา เพราะจำเลยสำคัญผิดหรือหลงผิดในสิ่งที่ตนมิได้กระทำ จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายเพียง 5 ครั้ง แต่มิได้กระทำชำเราผู้เสียหาย และพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดอื่นนอกจากความผิดฐานอนาจารดังกล่าว การวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในปัญหาดังกล่าวจำต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากพฤติการณ์แห่งคดีและจากพยานหลักฐานที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจรับฟังมาเป็นข้อชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 279, 285
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 279 วรรคหนึ่ง วรรคสาม และวรรคสี่ (ที่ถูก ไม่ต้องปรับบทวรรคหนึ่ง) ประกอบมาตรา 285 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดานโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามกับฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดานโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 9 ปี 4 เดือน รวม 3 กระทง ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดานโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จำคุก 4 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม จำคุกกระทงละ 9 ปี 4 เดือน รวม 38 กระทง จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดานโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม คงจำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี 24 เดือน ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดานโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ คงจำคุก 2 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม คงจำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 38 กระทง เป็นจำคุก 152 ปี 304 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 166 ปี 328 เดือน เนื่องจากความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดานโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 285 และฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดานโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสี่ ประกอบมาตรา 285 มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไป เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงให้จำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 279 วรรคสาม และวรรคสี่ ประกอบมาตรา 285 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดาน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม คงจำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี 24 เดือน ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุก 2 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย คงจำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 38 กระทง เป็นจำคุก 152 ปี 304 เดือน รวมจำคุกทุกกระทง 166 ปี 328 เดือน แม้รวมโทษทุกกระทงแล้วลงโทษจำคุกจำเลย 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ก็ตาม แต่เมื่อโทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องทุกข้อหา เพราะจำเลยสำคัญผิดหรือหลงผิดในสิ่งที่ตนมิได้กระทำ จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายเพียง 5 ครั้ง แต่มิได้กระทำชำเราผู้เสียหาย และพยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดอื่นนอกจากความผิดฐานอนาจารดังกล่าว การวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในปัญหาดังกล่าวจำต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากพฤติการณ์แห่งคดีและจากพยานหลักฐานที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจรับฟังมาเป็นข้อชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยมาจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย
แม้ในชั้นจับกุมจำเลยและ ก. จะให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมว่าเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนเป็นของทั้งสองคน แต่คำให้การดังกล่าวเป็นถ้อยคำรับสารภาพของจำเลยผู้ถูกจับที่ให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับ จึงต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยและ ก. ได้ให้ถ้อยคำต่อผู้จับกุมยอมรับว่ายาเสพติดเป็นของตัวเองจริง โดยซื้อมาจาก ค. เพื่อนำมาจำหน่ายให้แก่กลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงานในพื้นที่ ถ้อยคำดังกล่าวมิได้เป็นเพียงถ้อยคำรับสารภาพว่าได้กระทำความผิด หากแต่เป็นถ้อยคำอื่นซึ่งจำเลยและ ก. ได้ให้ถ้อยคำอื่นนั้นต่อเจ้าพนักงานผู้จับกุมภายหลังที่เจ้าพนักงานได้แจ้งสิทธิแก่จำเลยและผู้ถูกจับตามกฎหมายแล้ว ทั้งโจทก์มีภาพถ่ายประกอบสำนวนที่ได้ให้จำเลยและ ก. ชี้ของกลางที่ยึดได้ในที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยและ ก. จึงเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ที่เกิดขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย สามารถนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 นั้น ถ้อยคำอื่นตามบทบัญญัติดังกล่าวจะต้องไม่ใช่ถ้อยคำที่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลย เมื่อพิจารณาข้อความตามบันทึกจับกุมที่ระบุว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลย โดยมีรายละเอียดด้วยว่าซื้อมาจากบุคคลอื่นเพื่อนำมาจำหน่ายต่อ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยนั่นเอง จึงต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยาน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ ส่วนคำรับสารภาพชั้นจับกุมของ ก. แม้จะไม่ห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีของจำเลย แต่ก็ถือเป็นพยานบอกเล่าและซัดทอด ซึ่งมีเงื่อนไขให้รับฟังและมีน้ำหนักน้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 และ 227/1
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 100/1 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 91 บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 855/2563 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี และปรับ 450,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 6 ปี 6 เดือน และปรับ 450,000 บาท บวกโทษจำคุก 4 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 855/2563 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้ เป็นจำคุก 6 ปี 10 เดือน และปรับ 450,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน บวกโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 855/2563 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกคดีนี้แล้ว เป็นจำคุก 5 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยและนายกิตติศักดิ์ พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 36 เม็ด และอาวุธปืนประจุปากไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้และเครื่องกระสุนปืน 1 ชุด เป็นของกลาง ในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยและนายกิตติศักดิ์ว่า เสพเมทแอมเฟตามีน ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต นายกิตติศักดิ์ให้การรับสารภาพและศาลได้มีคำพิพากษาไปแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 135/2564 ของศาลชั้นต้น จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการเดียวว่า จำเลยร่วมกับนายกิตติศักดิ์กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุม แต่ก็ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยและนายกิตติศักดิ์ได้ให้ถ้อยคำต่อร้อยตำรวจโทผ่องและดาบตำรวจประจวบ ผู้จับกุมว่า ยอมรับว่ายาเสพติดดังกล่าว (36 เม็ด) เป็นของตัวเองจริง โดยซื้อยาเสพติดจากนายคำ ในราคาเม็ดละ 50 บาท โดยนายกิตติศักดิ์และจำเลยนำมาจำหน่ายต่อให้แก่กลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงานในพื้นที่ ในราคาเม็ดละ 100 บาท โดยถ้อยคำดังกล่าวมิได้เป็นเพียงเฉพาะถ้อยคำคำรับสารภาพว่าได้กระทำผิด หากแต่เป็นถ้อยคำอื่นซึ่งจำเลยและนายกิตติศักดิ์ได้ให้ถ้อยคำอื่นนั้นต่อเจ้าพนักงานผู้จับกุมภายหลังที่เจ้าพนักงานผู้นั้นได้แจ้งสิทธิแก่จำเลยและผู้ถูกจับตามกฎหมายแล้ว และลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุม ไว้เป็นหลักฐานด้วยความสมัครใจ อีกทั้งโจทก์ยังมีภาพถ่ายประกอบสำนวน ที่ร้อยตำรวจเอกพัชชระ พนักงานสอบสวน ได้ให้จำเลยและนายกิตติศักดิ์ชี้เมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนของกลางที่ยึดได้จากกระท่อมที่เกิดเหตุที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยและนายกิตติศักดิ์จริง เป็นพยานหลักฐานของโจทก์ที่เกิดขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายสามารถนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ได้เช่นกัน เห็นว่า ถ้อยคำอื่นตามบทบัญญัติดังกล่าว จะต้องไม่ใช่ถ้อยคำที่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยด้วย เมื่อถ้อยคำในบันทึกการจับกุมตามที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยรับว่าเป็นเจ้าของเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนของกลางร่วมกับนายกิตติศักดิ์โดยมีรายละเอียดด้วยว่าซื้อมาจากบุคคลอื่นเพื่อนำมาจำหน่ายต่อซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพ จึงไม่สามารถรับฟังคำรับสารภาพของจำเลยดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ ส่วนคำรับสารภาพชั้นจับกุมของนายกิตติศักดิ์แม้จะไม่ห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีของจำเลย ก็ถือเป็นพยานบอกเล่าและซัดทอดซึ่งมีเงื่อนไขให้รับฟังและมีน้ำหนักน้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 และ 227/1 ส่วนภาพถ่ายระบุเพียงว่า เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมถ่ายรูปไว้ขณะทำการตรวจค้นและตรวจยึดของกลางได้จากสถานที่เกิดเหตุเท่านั้น ไม่ได้มีข้อความว่าจำเลยให้การรับว่าเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของตน และภาพถ่ายประกอบสำนวนการสอบสวน ทำขึ้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 เป็นเอกสารที่ร้อยตำรวจเอกพัชชระพนักงานสอบสวนเป็นผู้ทำขึ้นซึ่งระบุว่า จำเลยและนายกิตติศักดิ์ชี้ยืนยันเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืน 1 ชุด ของกลาง ที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมยึดได้จากกระท่อมที่เกิดเหตุและอยู่ในความครอบครองของจำเลยและนายกิตติศักดิ์ ซึ่งจำเลยก็ให้การปฏิเสธในวันเดียวกันนั้นว่าไม่ได้กระทำผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวร่วมกับนายกิตติศักดิ์ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา โดยนำสืบว่าเหตุที่ไปกระท่อมนาที่เกิดเหตุเพราะนายกิตติศักดิ์ว่าจ้างจำเลยให้เข้าไปติดตั้งไฟฟ้าที่กระท่อมที่เกิดเหตุของนายกิตติศักดิ์ ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนของกลางบรรจุอยู่ในขวดพลาสติกพันด้วยเทปกาวสีดำซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าสะพายของนายกิตติศักดิ์ ในลักษณะมิดชิด ไม่ได้เปิดเผยชัดแจ้งถึงขนาดที่จำเลยจะรู้เห็นหรือร่วมครอบครองได้ ส่วนอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางวางอยู่บนพื้นกระท่อม ซึ่งกระท่อมดังกล่าวเป็นกระท่อมของนายกิตติศักดิ์ ย่อมเป็นไปได้ที่จำเลยจะไม่ได้รู้เห็นหรือร่วมครอบครองกับนายกิตติศักดิ์ดังนี้แล้ว พยานหลักฐานโจทก์จึงมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดกับนายกิตติศักดิ์หรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองข้อหาดังกล่าวมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
แม้ในชั้นจับกุมจำเลยและ ก. จะให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมว่าเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนเป็นของทั้งสองคน แต่คำให้การดังกล่าวเป็นถ้อยคำรับสารภาพของจำเลยผู้ถูกจับที่ให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับ จึงต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยและ ก. ได้ให้ถ้อยคำต่อผู้จับกุมยอมรับว่ายาเสพติดเป็นของตัวเองจริง โดยซื้อมาจาก ค. เพื่อนำมาจำหน่ายให้แก่กลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงานในพื้นที่ ถ้อยคำดังกล่าวมิได้เป็นเพียงถ้อยคำรับสารภาพว่าได้กระทำความผิด หากแต่เป็นถ้อยคำอื่นซึ่งจำเลยและ ก. ได้ให้ถ้อยคำอื่นนั้นต่อเจ้าพนักงานผู้จับกุมภายหลังที่เจ้าพนักงานได้แจ้งสิทธิแก่จำเลยและผู้ถูกจับตามกฎหมายแล้ว ทั้งโจทก์มีภาพถ่ายประกอบสำนวนที่ได้ให้จำเลยและ ก. ชี้ของกลางที่ยึดได้ในที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยและ ก. จึงเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ที่เกิดขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย สามารถนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 นั้น ถ้อยคำอื่นตามบทบัญญัติดังกล่าวจะต้องไม่ใช่ถ้อยคำที่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลย เมื่อพิจารณาข้อความตามบันทึกจับกุมที่ระบุว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลย โดยมีรายละเอียดด้วยว่าซื้อมาจากบุคคลอื่นเพื่อนำมาจำหน่ายต่อ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยนั่นเอง จึงต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยาน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ ส่วนคำรับสารภาพชั้นจับกุมของ ก. แม้จะไม่ห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีของจำเลย แต่ก็ถือเป็นพยานบอกเล่าและซัดทอด ซึ่งมีเงื่อนไขให้รับฟังและมีน้ำหนักน้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 และ 227/1
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 100/1 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 91 บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 855/2563 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี และปรับ 450,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 6 ปี 6 เดือน และปรับ 450,000 บาท บวกโทษจำคุก 4 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 855/2563 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้ เป็นจำคุก 6 ปี 10 เดือน และปรับ 450,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน บวกโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 855/2563 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกคดีนี้แล้ว เป็นจำคุก 5 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยและนายกิตติศักดิ์ พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 36 เม็ด และอาวุธปืนประจุปากไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้และเครื่องกระสุนปืน 1 ชุด เป็นของกลาง ในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยและนายกิตติศักดิ์ว่า เสพเมทแอมเฟตามีน ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต นายกิตติศักดิ์ให้การรับสารภาพและศาลได้มีคำพิพากษาไปแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 135/2564 ของศาลชั้นต้น จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการเดียวว่า จำเลยร่วมกับนายกิตติศักดิ์กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุม แต่ก็ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยและนายกิตติศักดิ์ได้ให้ถ้อยคำต่อร้อยตำรวจโทผ่องและดาบตำรวจประจวบ ผู้จับกุมว่า ยอมรับว่ายาเสพติดดังกล่าว (36 เม็ด) เป็นของตัวเองจริง โดยซื้อยาเสพติดจากนายคำ ในราคาเม็ดละ 50 บาท โดยนายกิตติศักดิ์และจำเลยนำมาจำหน่ายต่อให้แก่กลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงานในพื้นที่ ในราคาเม็ดละ 100 บาท โดยถ้อยคำดังกล่าวมิได้เป็นเพียงเฉพาะถ้อยคำคำรับสารภาพว่าได้กระทำผิด หากแต่เป็นถ้อยคำอื่นซึ่งจำเลยและนายกิตติศักดิ์ได้ให้ถ้อยคำอื่นนั้นต่อเจ้าพนักงานผู้จับกุมภายหลังที่เจ้าพนักงานผู้นั้นได้แจ้งสิทธิแก่จำเลยและผู้ถูกจับตามกฎหมายแล้ว และลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุม ไว้เป็นหลักฐานด้วยความสมัครใจ อีกทั้งโจทก์ยังมีภาพถ่ายประกอบสำนวน ที่ร้อยตำรวจเอกพัชชระ พนักงานสอบสวน ได้ให้จำเลยและนายกิตติศักดิ์ชี้เมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนของกลางที่ยึดได้จากกระท่อมที่เกิดเหตุที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยและนายกิตติศักดิ์จริง เป็นพยานหลักฐานของโจทก์ที่เกิดขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายสามารถนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ได้เช่นกัน เห็นว่า ถ้อยคำอื่นตามบทบัญญัติดังกล่าว จะต้องไม่ใช่ถ้อยคำที่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยด้วย เมื่อถ้อยคำในบันทึกการจับกุมตามที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยรับว่าเป็นเจ้าของเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนของกลางร่วมกับนายกิตติศักดิ์โดยมีรายละเอียดด้วยว่าซื้อมาจากบุคคลอื่นเพื่อนำมาจำหน่ายต่อซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพ จึงไม่สามารถรับฟังคำรับสารภาพของจำเลยดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ ส่วนคำรับสารภาพชั้นจับกุมของนายกิตติศักดิ์แม้จะไม่ห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีของจำเลย ก็ถือเป็นพยานบอกเล่าและซัดทอดซึ่งมีเงื่อนไขให้รับฟังและมีน้ำหนักน้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 และ 227/1 ส่วนภาพถ่ายระบุเพียงว่า เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมถ่ายรูปไว้ขณะทำการตรวจค้นและตรวจยึดของกลางได้จากสถานที่เกิดเหตุเท่านั้น ไม่ได้มีข้อความว่าจำเลยให้การรับว่าเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของตน และภาพถ่ายประกอบสำนวนการสอบสวน ทำขึ้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 เป็นเอกสารที่ร้อยตำรวจเอกพัชชระพนักงานสอบสวนเป็นผู้ทำขึ้นซึ่งระบุว่า จำเลยและนายกิตติศักดิ์ชี้ยืนยันเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืน 1 ชุด ของกลาง ที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมยึดได้จากกระท่อมที่เกิดเหตุและอยู่ในความครอบครองของจำเลยและนายกิตติศักดิ์ ซึ่งจำเลยก็ให้การปฏิเสธในวันเดียวกันนั้นว่าไม่ได้กระทำผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวร่วมกับนายกิตติศักดิ์ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา โดยนำสืบว่าเหตุที่ไปกระท่อมนาที่เกิดเหตุเพราะนายกิตติศักดิ์ว่าจ้างจำเลยให้เข้าไปติดตั้งไฟฟ้าที่กระท่อมที่เกิดเหตุของนายกิตติศักดิ์ ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนของกลางบรรจุอยู่ในขวดพลาสติกพันด้วยเทปกาวสีดำซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าสะพายของนายกิตติศักดิ์ ในลักษณะมิดชิด ไม่ได้เปิดเผยชัดแจ้งถึงขนาดที่จำเลยจะรู้เห็นหรือร่วมครอบครองได้ ส่วนอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางวางอยู่บนพื้นกระท่อม ซึ่งกระท่อมดังกล่าวเป็นกระท่อมของนายกิตติศักดิ์ ย่อมเป็นไปได้ที่จำเลยจะไม่ได้รู้เห็นหรือร่วมครอบครองกับนายกิตติศักดิ์ดังนี้แล้ว พยานหลักฐานโจทก์จึงมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดกับนายกิตติศักดิ์หรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองข้อหาดังกล่าวมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
คดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น มีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันว่า โจทก์หรือจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4570 เนื้อที่ 138 ตารางวา ที่พิพาท และบ้านเลขที่ 5 ที่ปลูกอยู่บนที่ดิน ซึ่งคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด โดยวินิจฉัยชี้ขาดว่า ที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 5 เป็นของโจทก์ ผลของคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 1 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง มิให้โต้เถียงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในคดีนี้อีก แต่คดีนี้มิได้เสร็จไปเพียงประเด็นข้างต้น หากยังมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 5 กับเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ เพียงใด การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดโดยมีคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 5 กับให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นการฟ้องเพื่อขอให้บังคับตามสิทธิของโจทก์ที่เกิดจากผลของคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสองออกไปที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีพิพาทกันเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในทรัพย์อันถือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาทรัพย์พิพาท
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 5 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบบ้านในสภาพเรียบร้อยคืนแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไป
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย โจทก์ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกนาวาโทเสน่ห์ ทายาทของจำเลยที่ 1 เข้าเป็นคู่ความแทน กับยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนาวาโทเสน่ห์เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 และอนุญาตให้ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ และโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า คำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น ผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 1 ส่วนเรื่องค่าเสียหาย จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การต่อสู้ โจทก์ไม่ประสงค์สืบพยาน ขอให้ศาลวินิจฉัยตามสมควร
จำเลยที่ 1 ยื่นคำคัดค้านขอให้พิจารณาสืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาตามรูปคดี แต่หากศาลชั้นต้นเห็นว่า คำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น ผูกพันโจทก์ คดีของโจทก์ก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 5 และให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 21 สิงหาคม 2558) เป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไป กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 1 เฉพาะประเด็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากบ้านไม้ชั้นเดียวหลังที่มีการปลูกสร้างต่อเติมติดกับบ้านเลขที่ 5 หลังเดิม และเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ได้หรือไม่ แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่มิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า นางเพ็ชรอารี มารดาของโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2518 เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินเลขที่ 4570 เนื้อที่ 2 งาน 20.2 ตารางวา ให้แก่นางเพ็ชรอารีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2538 นางเพ็ชรอารีให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ โดยสัญญาให้ระบุว่าสิ่งปลูกสร้างในที่ดินคือ บ้านตึกสองชั้น 1 หลัง ขนาด 8 x 10 เมตร ปลูกสร้างมา 10 ปี บ้านไม้สองชั้น ขนาด 8 x 10 เมตร ปลูกสร้างมา 20 ปี ส่วนบ้านไม้ชั้นเดียว 1 หลัง เป็นของจำเลยที่ 1 เมื่อปี 2557 จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์กับพวกผู้รับจำนองที่ดินว่า จำเลยที่ 1 และนายน้อย สามีของจำเลยที่ 1 ปลูกสร้างและต่อเติมบ้านเลขที่ 5 เป็นบ้านไม้ยกพื้นสูงบนที่ดินโฉนดเลขที่ 4570 อาศัยอยู่กับครอบครัว หลังจากนางเพ็ชรอารีนำที่ดินไปขอออกโฉนดที่ดินจำเลยที่ 1 ขอให้ใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวม แต่นางเพ็ชรอารีเพิกเฉย จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินเนื้อที่ 138 ตารางวา พร้อมบ้านเลขที่ 5 ด้วยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนได้กรรมสิทธิ์ เมื่อปี 2557 จำเลยที่ 1 ต้องการปรับปรุงบ้านเลขที่ 5 แต่โจทก์ห้ามและติดป้ายประกาศว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ใช้ประตูเหล็กปิดกั้นทางเข้าออกบ้านเลขที่ 5 และบ้านเลขที่ 5/1 ที่ปลูกสร้างบนที่ดินแปลงอื่นของจำเลยที่ 1 สร้างโรงเรือนเก็บของและสร้างโรงรถกั้นหน้าบ้านของจำเลยที่ 1 ด้านติดทะเล ทำให้จำเลยที่ 1 เสียหาย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 4570 เนื้อที่ 138 ตารางวา ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 กับให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 และศาลฎีกาพิพากษายืน โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 5 ที่ปลูกอยู่บนที่ดินเป็นของโจทก์ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น ระหว่างพิจารณาเจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่ที่ดินโฉนดเลขที่ 4570 และสิ่งปลูกสร้าง
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในข้อแรกตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า คดีของโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น ในสำนวนเพียงพอต่อการวินิจฉัยคดี โดยไม่จำต้องนำสำนวนมาผูกรวม จึงให้ยกคำร้องเสีย ส่วนที่คดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น มีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันว่า โจทก์หรือจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4570 เนื้อที่ 138 ตารางวา ที่พิพาท และบ้านเลขที่ 5 ที่ปลูกอยู่บนที่ดิน ซึ่งคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด โดยวินิจฉัยชี้ขาดว่า ที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 5 เป็นของโจทก์ ผลของคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง มิให้โต้เถียงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในคดีนี้อีก แต่คดีนี้มิได้เสร็จไปเพียงประเด็นข้างต้น หากยังมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 5 กับเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ เพียงใด การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิด โดยมีคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 5 กับให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นการฟ้องเพื่อขอให้บังคับตามสิทธิของโจทก์ที่เกิดจากผลของคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในข้อต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ชอบหรือไม่ เห็นว่า สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์และคำขอบังคับ เป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ไม่ยินยอมให้จำเลยที่ 1 อาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 5 ของโจทก์อีกต่อไป ขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 5 โดยจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีว่า ที่ดินส่วนที่เป็นที่ตั้งของบ้านเลขที่ 5 และบ้านเลขที่ 5 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 กับนายน้อยที่ปลูกสร้างขึ้นเพื่ออยู่อาศัยตั้งแต่ก่อนที่จำเลยที่ 1 คลอดบุตรสาวคนโต โดยไม่เคยขออนุญาตหรือได้รับความยินยอมจากโจทก์และมารดาของโจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะให้การอีกว่า จำเลยที่ 1 และนายน้อยได้ซ่อมแซมต่อเติมบ้านเลขที่ 5 เป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้น 2 หลัง ติดกัน ปัจจุบันซ่อมแซมปรับสภาพเป็นบ้านชั้นเดียว 1 หลัง ติดชายทะเล และคงสภาพเดิมเป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นอีก 1 หลัง ก็มิใช่เป็นการปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ เนื่องจากโจทก์กล่าวอ้างเฉพาะบ้านเลขที่ 5 มิได้กล่าวถึงบ้านไม้ชั้นเดียวหลังที่มีการต่อเติมติดกับบ้านเลขที่ 5 และมีคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านหลังดังกล่าวด้วย คดีจึงไม่มีประเด็นที่เกี่ยวกับบ้านไม้ชั้นเดียวหลังที่มีการต่อเติมติดกับบ้านเลขที่ 5 ศาลย่อมไม่อาจที่จะมีคำวินิจฉัยและพิพากษาบังคับจำเลยที่ 1 ในส่วนของบ้านหลังดังกล่าวได้ เพราะเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ส่วนที่คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาวินิจฉัยถึงหนังสือสัญญาให้ที่ดิน ฉบับวันที่ 14 สิงหาคม 2538 ที่มีข้อความว่า บ้านไม้ชั้นเดียว 1 หลัง เป็นของจำเลยที่ 1 น่าจะเป็นการระบุไว้เพื่อกันมิให้บ้านหลังดังกล่าวซึ่งน่าจะเป็นคนละหลังกับบ้านเลขที่ 5 ที่มีมาแต่เดิมตกเป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดเลขที่ 4570 มิได้มีผลก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในคดีนี้ด้วย เป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันต่างหาก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 1 เฉพาะประเด็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากบ้านไม้ชั้นเดียวหลังที่มีการปลูกสร้างต่อเติมติดกับบ้านเลขที่ 5 หลังเดิม และเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ได้หรือไม่ แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้คืนค่าขึ้นศาลที่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บเกินคืนแก่โจทก์ โดยอ้างว่า คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์และโจทก์ได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่ได้วินิจฉัยนั้น เห็นว่า โจทก์ได้ยกประเด็นปัญหาดังกล่าวไว้ในคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์แล้ว ย่อมมีประเด็นตามคำแก้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่ได้วินิจฉัยให้ ศาลฎีกาจึงเห็นควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียว คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสองออกไปที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีพิพาทกันเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในทรัพย์อันถือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาทรัพย์พิพาท แม้ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า คำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ว่าที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 5 ซึ่งปลูกในที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวซึ่งคือโจทก์ในคดีนี้ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาท ก็หาทำให้คดีที่มีทุนทรัพย์กลายเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ไม่ ที่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลโจทก์อย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยถูกต้อง ชอบด้วยกฎหมายแล้ว มิใช่การเรียกค่าขึ้นศาลโดยไม่ถูกต้องที่ศาลฎีกาจะต้องคืนให้แต่อย่างใด ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ
คดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น มีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันว่า โจทก์หรือจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4570 เนื้อที่ 138 ตารางวา ที่พิพาท และบ้านเลขที่ 5 ที่ปลูกอยู่บนที่ดิน ซึ่งคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด โดยวินิจฉัยชี้ขาดว่า ที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 5 เป็นของโจทก์ ผลของคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 1 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง มิให้โต้เถียงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในคดีนี้อีก แต่คดีนี้มิได้เสร็จไปเพียงประเด็นข้างต้น หากยังมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 5 กับเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ เพียงใด การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดโดยมีคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 5 กับให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นการฟ้องเพื่อขอให้บังคับตามสิทธิของโจทก์ที่เกิดจากผลของคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสองออกไปที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีพิพาทกันเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในทรัพย์อันถือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาทรัพย์พิพาท
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 5 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบบ้านในสภาพเรียบร้อยคืนแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไป
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย โจทก์ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกนาวาโทเสน่ห์ ทายาทของจำเลยที่ 1 เข้าเป็นคู่ความแทน กับยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนาวาโทเสน่ห์เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 และอนุญาตให้ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ และโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า คำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น ผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 1 ส่วนเรื่องค่าเสียหาย จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การต่อสู้ โจทก์ไม่ประสงค์สืบพยาน ขอให้ศาลวินิจฉัยตามสมควร
จำเลยที่ 1 ยื่นคำคัดค้านขอให้พิจารณาสืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาตามรูปคดี แต่หากศาลชั้นต้นเห็นว่า คำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น ผูกพันโจทก์ คดีของโจทก์ก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 5 และให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 21 สิงหาคม 2558) เป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไป กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 1 เฉพาะประเด็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากบ้านไม้ชั้นเดียวหลังที่มีการปลูกสร้างต่อเติมติดกับบ้านเลขที่ 5 หลังเดิม และเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ได้หรือไม่ แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่มิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า นางเพ็ชรอารี มารดาของโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2518 เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินเลขที่ 4570 เนื้อที่ 2 งาน 20.2 ตารางวา ให้แก่นางเพ็ชรอารีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2538 นางเพ็ชรอารีให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ โดยสัญญาให้ระบุว่าสิ่งปลูกสร้างในที่ดินคือ บ้านตึกสองชั้น 1 หลัง ขนาด 8 x 10 เมตร ปลูกสร้างมา 10 ปี บ้านไม้สองชั้น ขนาด 8 x 10 เมตร ปลูกสร้างมา 20 ปี ส่วนบ้านไม้ชั้นเดียว 1 หลัง เป็นของจำเลยที่ 1 เมื่อปี 2557 จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์กับพวกผู้รับจำนองที่ดินว่า จำเลยที่ 1 และนายน้อย สามีของจำเลยที่ 1 ปลูกสร้างและต่อเติมบ้านเลขที่ 5 เป็นบ้านไม้ยกพื้นสูงบนที่ดินโฉนดเลขที่ 4570 อาศัยอยู่กับครอบครัว หลังจากนางเพ็ชรอารีนำที่ดินไปขอออกโฉนดที่ดินจำเลยที่ 1 ขอให้ใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวม แต่นางเพ็ชรอารีเพิกเฉย จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินเนื้อที่ 138 ตารางวา พร้อมบ้านเลขที่ 5 ด้วยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนได้กรรมสิทธิ์ เมื่อปี 2557 จำเลยที่ 1 ต้องการปรับปรุงบ้านเลขที่ 5 แต่โจทก์ห้ามและติดป้ายประกาศว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ใช้ประตูเหล็กปิดกั้นทางเข้าออกบ้านเลขที่ 5 และบ้านเลขที่ 5/1 ที่ปลูกสร้างบนที่ดินแปลงอื่นของจำเลยที่ 1 สร้างโรงเรือนเก็บของและสร้างโรงรถกั้นหน้าบ้านของจำเลยที่ 1 ด้านติดทะเล ทำให้จำเลยที่ 1 เสียหาย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 4570 เนื้อที่ 138 ตารางวา ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 กับให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 และศาลฎีกาพิพากษายืน โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 5 ที่ปลูกอยู่บนที่ดินเป็นของโจทก์ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น ระหว่างพิจารณาเจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่ที่ดินโฉนดเลขที่ 4570 และสิ่งปลูกสร้าง
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในข้อแรกตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า คดีของโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น ในสำนวนเพียงพอต่อการวินิจฉัยคดี โดยไม่จำต้องนำสำนวนมาผูกรวม จึงให้ยกคำร้องเสีย ส่วนที่คดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น มีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันว่า โจทก์หรือจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4570 เนื้อที่ 138 ตารางวา ที่พิพาท และบ้านเลขที่ 5 ที่ปลูกอยู่บนที่ดิน ซึ่งคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด โดยวินิจฉัยชี้ขาดว่า ที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 5 เป็นของโจทก์ ผลของคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง มิให้โต้เถียงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในคดีนี้อีก แต่คดีนี้มิได้เสร็จไปเพียงประเด็นข้างต้น หากยังมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 5 กับเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ เพียงใด การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิด โดยมีคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 5 กับให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นการฟ้องเพื่อขอให้บังคับตามสิทธิของโจทก์ที่เกิดจากผลของคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในข้อต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ชอบหรือไม่ เห็นว่า สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์และคำขอบังคับ เป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ไม่ยินยอมให้จำเลยที่ 1 อาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 5 ของโจทก์อีกต่อไป ขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 5 โดยจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีว่า ที่ดินส่วนที่เป็นที่ตั้งของบ้านเลขที่ 5 และบ้านเลขที่ 5 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 กับนายน้อยที่ปลูกสร้างขึ้นเพื่ออยู่อาศัยตั้งแต่ก่อนที่จำเลยที่ 1 คลอดบุตรสาวคนโต โดยไม่เคยขออนุญาตหรือได้รับความยินยอมจากโจทก์และมารดาของโจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะให้การอีกว่า จำเลยที่ 1 และนายน้อยได้ซ่อมแซมต่อเติมบ้านเลขที่ 5 เป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้น 2 หลัง ติดกัน ปัจจุบันซ่อมแซมปรับสภาพเป็นบ้านชั้นเดียว 1 หลัง ติดชายทะเล และคงสภาพเดิมเป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นอีก 1 หลัง ก็มิใช่เป็นการปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ เนื่องจากโจทก์กล่าวอ้างเฉพาะบ้านเลขที่ 5 มิได้กล่าวถึงบ้านไม้ชั้นเดียวหลังที่มีการต่อเติมติดกับบ้านเลขที่ 5 และมีคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านหลังดังกล่าวด้วย คดีจึงไม่มีประเด็นที่เกี่ยวกับบ้านไม้ชั้นเดียวหลังที่มีการต่อเติมติดกับบ้านเลขที่ 5 ศาลย่อมไม่อาจที่จะมีคำวินิจฉัยและพิพากษาบังคับจำเลยที่ 1 ในส่วนของบ้านหลังดังกล่าวได้ เพราะเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ส่วนที่คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาวินิจฉัยถึงหนังสือสัญญาให้ที่ดิน ฉบับวันที่ 14 สิงหาคม 2538 ที่มีข้อความว่า บ้านไม้ชั้นเดียว 1 หลัง เป็นของจำเลยที่ 1 น่าจะเป็นการระบุไว้เพื่อกันมิให้บ้านหลังดังกล่าวซึ่งน่าจะเป็นคนละหลังกับบ้านเลขที่ 5 ที่มีมาแต่เดิมตกเป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดเลขที่ 4570 มิได้มีผลก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในคดีนี้ด้วย เป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันต่างหาก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 1 เฉพาะประเด็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากบ้านไม้ชั้นเดียวหลังที่มีการปลูกสร้างต่อเติมติดกับบ้านเลขที่ 5 หลังเดิม และเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ได้หรือไม่ แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้คืนค่าขึ้นศาลที่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บเกินคืนแก่โจทก์ โดยอ้างว่า คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์และโจทก์ได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่ได้วินิจฉัยนั้น เห็นว่า โจทก์ได้ยกประเด็นปัญหาดังกล่าวไว้ในคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์แล้ว ย่อมมีประเด็นตามคำแก้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่ได้วินิจฉัยให้ ศาลฎีกาจึงเห็นควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียว คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสองออกไปที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีพิพาทกันเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในทรัพย์อันถือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาทรัพย์พิพาท แม้ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า คำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 502/2560 ของศาลชั้นต้น มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ว่าที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 5 ซึ่งปลูกในที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวซึ่งคือโจทก์ในคดีนี้ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาท ก็หาทำให้คดีที่มีทุนทรัพย์กลายเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ไม่ ที่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลโจทก์อย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยถูกต้อง ชอบด้วยกฎหมายแล้ว มิใช่การเรียกค่าขึ้นศาลโดยไม่ถูกต้องที่ศาลฎีกาจะต้องคืนให้แต่อย่างใด ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ
พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 12 บัญญัติหลักแห่งการใช้สิทธิและการชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจไว้ว่า “ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชำระหนี้ก็ดี ผู้ประกอบธุรกิจต้องกระทำด้วยความสุจริตโดยคำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม” บทบัญญัติดังกล่าวแตกต่างจากการใช้สิทธิและการชำระหนี้ของบุคคลตาม ป.พ.พ. มาตรา 5 ที่บัญญัติให้บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต เพราะต้องการยกระดับมาตรฐานความสุจริตของผู้ประกอบธุรกิจในการใช้สิทธิและในการชำระหนี้ให้ยิ่งไปกว่าบุคคลทั่วไปจะพึงมีตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยผู้ประกอบธุรกิจต้องปฏิบัติต่อผู้บริโภคไม่ด้อยไปกว่ามาตรฐานทางการค้าของผู้ประกอบธุรกิจในกิจการทำนองเดียวกับประพฤติปฏิบัติต่อผู้บริโภค ทั้งต้องมีจริยธรรมในการประกอบกิจการภายใต้ระบบธุรกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างเสรีและเป็นธรรม มีความรับผิดชอบ ดำเนินการด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภค อันจะส่งผลต่อความก้าวหน้าในกิจการของผู้ประกอบธุรกิจควบคู่กันไป หากผู้ประกอบธุรกิจใช้สิทธิหรือชำระหนี้ในเกณฑ์ที่ด้อยกว่ามาตรฐานความสุจริตดังกล่าวแล้ว ย่อมเท่ากับว่าผู้ประกอบธุรกิจใช้สิทธิไม่สุจริต และศาลไม่อาจบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ใช้สิทธิไม่สุจริตเช่นนั้นได้ เมื่อข้อเท็จจริงอันเป็นที่มาแห่งการใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ซึ่งประกอบธุรกิจบริษัทบริหารสินทรัพย์ และรับโอนสิทธิเรียกร้องที่ธนาคาร น. เจ้าหนี้เดิมมีอยู่ต่อจำเลยทั้งสอง ไม่ปรากฏหลักฐานแสดงรายละเอียดการชำระหนี้ของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองชำระหนี้ครั้งสุดท้ายตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้แก่ธนาคาร น. ในวันใด และธนาคาร น. เจ้าหนี้เดิมอาจใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ฉบับลงวันที่ 23 เมษายน 2550 ได้ตั้งแต่เวลาใด รวมถึงโจทก์ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องมาแล้วได้ใช้สิทธิบังคับชำระหนี้จากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ในทันทีที่มีโอกาสกระทำได้หรือภายในระยะเวลาอันสมควรหรือไม่ พฤติการณ์ของธนาคาร น. เจ้าหนี้เดิมกับโจทก์ซึ่งรับโอนสิทธิเรียกร้องมาในปี 2557 ยังคงทอดเวลาให้เนิ่นช้ากว่าจะนำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 เป็นเวลาถึงห้าปีเศษ จนเป็นเหตุให้ภาระหนี้ในส่วนดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดสูงเกินไปกว่าต้นเงินที่ค้างชำระ แสดงให้เห็นว่าเจ้าหนี้เดิมและโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจใช้สิทธิเรียกร้องต่อลูกหนี้โดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้บริโภค กรณีนับเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตและไม่คำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 12 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อาศัยอำนาจตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่กำหนดให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยหลังจากวันฟ้องจึงสมควรแก่รูปคดีแล้ว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 1,557,603.03 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ของต้นเงิน 759,977.73 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 37397 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 887,198.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ต่อปี ของต้นเงิน 759,977.73 บาท นับถัดจากวันที่ 23 ตุลาคม 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหนี้ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 37397 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 887,198.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเอ็มแอลอาร์ ตามประกาศธนาคาร น. และประกาศของโจทก์ที่มีผลใช้บังคับแต่ละช่วงเวลา บวกร้อยละ 2 ต่อปี ของต้นเงิน 759,977.73 บาท นับถัดจากวันที่ 23 ตุลาคม 2557 จนถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 เมษายน 2563) ทั้งนี้ ไม่บังคับจำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยหลังจากวันฟ้อง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2539 จำเลยทั้งสองกู้เงินและรับเงินจากธนาคาร น. 1,400,000 บาท ตกลงเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี และผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามจำนวนที่กำหนดในสัญญา ในวันเดียวกันจำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 37397 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เป็นประกันการชำระหนี้ โดยตกลงว่าหากบังคับทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ยอมให้ธนาคารบังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ได้จนครบถ้วน ภายหลังจากทำสัญญากู้จำเลยทั้งสองทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้หลายครั้ง โดยครั้งสุดท้ายทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2550 โดยจำเลยที่ 1 ยอมรับว่า ณ วันที่ 30 มีนาคม 2550 จำเลยที่ 1 ค้างชำระต้นเงิน 800,741.53 บาท และดอกเบี้ย 67,374.13 บาท จำเลยทั้งสองมิได้ชำระเงินกู้ตามข้อตกลงในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ต่อมาธนาคาร น. ทำสัญญาโอนขายสิทธิเรียกร้องในสินเชื่อและหลักประกันในส่วนของจำเลยทั้งสองให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ ท. และเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2557 บริษัทดังกล่าวทำสัญญาโอนขายสิทธิเรียกร้องสินเชื่อและหลักประกันในส่วนของจำเลยทั้งสองให้แก่โจทก์
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ได้หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 12 บัญญัติหลักแห่งการใช้สิทธิและการชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจไว้ว่า “ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชำระหนี้ก็ดี ผู้ประกอบธุรกิจต้องกระทำด้วยความสุจริตโดยคำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม” บทบัญญัติดังกล่าวแตกต่างจากการใช้สิทธิและการชำระหนี้ของบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 ที่บัญญัติให้บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต เพราะต้องการยกระดับมาตรฐานความสุจริตของผู้ประกอบธุรกิจในการใช้สิทธิและในการชำระหนี้ให้ยิ่งไปกว่าบุคคลทั่วไปจะพึงมีตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยผู้ประกอบธุรกิจต้องปฏิบัติต่อผู้บริโภคไม่ด้อยไปกว่ามาตรฐานทางการค้าของผู้ประกอบธุรกิจในกิจการทำนองเดียวกับประพฤติปฏิบัติต่อผู้บริโภค ทั้งต้องมีจริยธรรมในการประกอบกิจการภายใต้ระบบธุรกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างเสรีและเป็นธรรม มีความรับผิดชอบ ดำเนินการด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภค อันจะส่งผลต่อความก้าวหน้าในกิจการของผู้ประกอบธุรกิจควบคู่กันไป หากผู้ประกอบธุรกิจใช้สิทธิหรือชำระหนี้ในเกณฑ์ที่ด้อยกว่ามาตรฐานความสุจริตดังกล่าวแล้ว ย่อมเท่ากับว่าผู้ประกอบธุรกิจใช้สิทธิไม่สุจริต และศาลไม่อาจบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ใช้สิทธิไม่สุจริตเช่นนั้นได้ เมื่อข้อเท็จจริงอันเป็นที่มาแห่งการใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ซึ่งประกอบธุรกิจบริษัทบริหารสินทรัพย์ และรับโอนสิทธิเรียกร้องที่ธนาคาร น. เจ้าหนี้เดิมมีอยู่ต่อจำเลยทั้งสอง ไม่ปรากฏหลักฐานแสดงรายละเอียดการชำระหนี้ของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองชำระหนี้ครั้งสุดท้ายตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้แก่ธนาคาร น. ในวันใด และธนาคาร น. เจ้าหนี้เดิมอาจใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ฉบับลงวันที่ 23 เมษายน 2550 ได้ตั้งแต่เวลาใด รวมถึงโจทก์ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องมาแล้วได้ใช้สิทธิบังคับชำระหนี้จากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ในทันทีที่มีโอกาสกระทำได้หรือภายในระยะเวลาอันสมควรหรือไม่ อย่างไร ลำพังข้ออ้างที่โจทก์เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกาถึงความล่าช้าในการดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสองว่าเป็นผลจากระบบงานภายในของโจทก์และธนาคารเจ้าหนี้เดิมซึ่งมีการรวมกิจการกับธนาคารอื่น จนมีการโอนหนี้รวมถึงข้อมูลลูกหนี้จำนวนมากเป็นลำดับเรื่อยมายังไม่เพียงพอที่จะรับฟังว่า เจ้าหนี้เดิมและโจทก์ผู้รับโอนหนี้ได้ใช้สิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาที่เหมาะสมแล้ว พฤติการณ์ของธนาคาร น. เจ้าหนี้เดิมกับโจทก์ซึ่งรับโอนสิทธิเรียกร้องมาในปี 2557 ยังคงทอดเวลาให้เนิ่นช้ากว่าจะนำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 เป็นเวลาถึงห้าปีเศษ จนเป็นเหตุให้ภาระหนี้ในส่วนดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดสูงเกินไปกว่าต้นเงินที่ค้างชำระ แสดงให้เห็นว่าเจ้าหนี้เดิมและโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจใช้สิทธิเรียกร้องต่อลูกหนี้โดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้บริโภค กรณีนับเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตและไม่คำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 12 ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อาศัยอำนาจบทบัญญัติดังกล่าวไม่กำหนด ให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยทั้งอัตราปกติและอัตราผิดนัดของหนี้ต้นเงินภายหลังจากวันฟ้องจึงเป็นการพิพากษาตามสมควรแก่รูปคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 12 บัญญัติหลักแห่งการใช้สิทธิและการชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจไว้ว่า “ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชำระหนี้ก็ดี ผู้ประกอบธุรกิจต้องกระทำด้วยความสุจริตโดยคำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม” บทบัญญัติดังกล่าวแตกต่างจากการใช้สิทธิและการชำระหนี้ของบุคคลตาม ป.พ.พ. มาตรา 5 ที่บัญญัติให้บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต เพราะต้องการยกระดับมาตรฐานความสุจริตของผู้ประกอบธุรกิจในการใช้สิทธิและในการชำระหนี้ให้ยิ่งไปกว่าบุคคลทั่วไปจะพึงมีตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยผู้ประกอบธุรกิจต้องปฏิบัติต่อผู้บริโภคไม่ด้อยไปกว่ามาตรฐานทางการค้าของผู้ประกอบธุรกิจในกิจการทำนองเดียวกับประพฤติปฏิบัติต่อผู้บริโภค ทั้งต้องมีจริยธรรมในการประกอบกิจการภายใต้ระบบธุรกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างเสรีและเป็นธรรม มีความรับผิดชอบ ดำเนินการด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภค อันจะส่งผลต่อความก้าวหน้าในกิจการของผู้ประกอบธุรกิจควบคู่กันไป หากผู้ประกอบธุรกิจใช้สิทธิหรือชำระหนี้ในเกณฑ์ที่ด้อยกว่ามาตรฐานความสุจริตดังกล่าวแล้ว ย่อมเท่ากับว่าผู้ประกอบธุรกิจใช้สิทธิไม่สุจริต และศาลไม่อาจบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ใช้สิทธิไม่สุจริตเช่นนั้นได้ เมื่อข้อเท็จจริงอันเป็นที่มาแห่งการใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ซึ่งประกอบธุรกิจบริษัทบริหารสินทรัพย์ และรับโอนสิทธิเรียกร้องที่ธนาคาร น. เจ้าหนี้เดิมมีอยู่ต่อจำเลยทั้งสอง ไม่ปรากฏหลักฐานแสดงรายละเอียดการชำระหนี้ของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองชำระหนี้ครั้งสุดท้ายตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้แก่ธนาคาร น. ในวันใด และธนาคาร น. เจ้าหนี้เดิมอาจใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ฉบับลงวันที่ 23 เมษายน 2550 ได้ตั้งแต่เวลาใด รวมถึงโจทก์ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องมาแล้วได้ใช้สิทธิบังคับชำระหนี้จากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ในทันทีที่มีโอกาสกระทำได้หรือภายในระยะเวลาอันสมควรหรือไม่ พฤติการณ์ของธนาคาร น. เจ้าหนี้เดิมกับโจทก์ซึ่งรับโอนสิทธิเรียกร้องมาในปี 2557 ยังคงทอดเวลาให้เนิ่นช้ากว่าจะนำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 เป็นเวลาถึงห้าปีเศษ จนเป็นเหตุให้ภาระหนี้ในส่วนดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดสูงเกินไปกว่าต้นเงินที่ค้างชำระ แสดงให้เห็นว่าเจ้าหนี้เดิมและโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจใช้สิทธิเรียกร้องต่อลูกหนี้โดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้บริโภค กรณีนับเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตและไม่คำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 12 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อาศัยอำนาจตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่กำหนดให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยหลังจากวันฟ้องจึงสมควรแก่รูปคดีแล้ว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 1,557,603.03 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ของต้นเงิน 759,977.73 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 37397 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 887,198.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ต่อปี ของต้นเงิน 759,977.73 บาท นับถัดจากวันที่ 23 ตุลาคม 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหนี้ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 37397 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 887,198.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเอ็มแอลอาร์ ตามประกาศธนาคาร น. และประกาศของโจทก์ที่มีผลใช้บังคับแต่ละช่วงเวลา บวกร้อยละ 2 ต่อปี ของต้นเงิน 759,977.73 บาท นับถัดจากวันที่ 23 ตุลาคม 2557 จนถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 เมษายน 2563) ทั้งนี้ ไม่บังคับจำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยหลังจากวันฟ้อง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2539 จำเลยทั้งสองกู้เงินและรับเงินจากธนาคาร น. 1,400,000 บาท ตกลงเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี และผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามจำนวนที่กำหนดในสัญญา ในวันเดียวกันจำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 37397 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เป็นประกันการชำระหนี้ โดยตกลงว่าหากบังคับทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ยอมให้ธนาคารบังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ได้จนครบถ้วน ภายหลังจากทำสัญญากู้จำเลยทั้งสองทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้หลายครั้ง โดยครั้งสุดท้ายทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2550 โดยจำเลยที่ 1 ยอมรับว่า ณ วันที่ 30 มีนาคม 2550 จำเลยที่ 1 ค้างชำระต้นเงิน 800,741.53 บาท และดอกเบี้ย 67,374.13 บาท จำเลยทั้งสองมิได้ชำระเงินกู้ตามข้อตกลงในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ต่อมาธนาคาร น. ทำสัญญาโอนขายสิทธิเรียกร้องในสินเชื่อและหลักประกันในส่วนของจำเลยทั้งสองให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ ท. และเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2557 บริษัทดังกล่าวทำสัญญาโอนขายสิทธิเรียกร้องสินเชื่อและหลักประกันในส่วนของจำเลยทั้งสองให้แก่โจทก์
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ได้หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 12 บัญญัติหลักแห่งการใช้สิทธิและการชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจไว้ว่า “ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชำระหนี้ก็ดี ผู้ประกอบธุรกิจต้องกระทำด้วยความสุจริตโดยคำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม” บทบัญญัติดังกล่าวแตกต่างจากการใช้สิทธิและการชำระหนี้ของบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 ที่บัญญัติให้บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต เพราะต้องการยกระดับมาตรฐานความสุจริตของผู้ประกอบธุรกิจในการใช้สิทธิและในการชำระหนี้ให้ยิ่งไปกว่าบุคคลทั่วไปจะพึงมีตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยผู้ประกอบธุรกิจต้องปฏิบัติต่อผู้บริโภคไม่ด้อยไปกว่ามาตรฐานทางการค้าของผู้ประกอบธุรกิจในกิจการทำนองเดียวกับประพฤติปฏิบัติต่อผู้บริโภค ทั้งต้องมีจริยธรรมในการประกอบกิจการภายใต้ระบบธุรกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างเสรีและเป็นธรรม มีความรับผิดชอบ ดำเนินการด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภค อันจะส่งผลต่อความก้าวหน้าในกิจการของผู้ประกอบธุรกิจควบคู่กันไป หากผู้ประกอบธุรกิจใช้สิทธิหรือชำระหนี้ในเกณฑ์ที่ด้อยกว่ามาตรฐานความสุจริตดังกล่าวแล้ว ย่อมเท่ากับว่าผู้ประกอบธุรกิจใช้สิทธิไม่สุจริต และศาลไม่อาจบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ใช้สิทธิไม่สุจริตเช่นนั้นได้ เมื่อข้อเท็จจริงอันเป็นที่มาแห่งการใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ซึ่งประกอบธุรกิจบริษัทบริหารสินทรัพย์ และรับโอนสิทธิเรียกร้องที่ธนาคาร น. เจ้าหนี้เดิมมีอยู่ต่อจำเลยทั้งสอง ไม่ปรากฏหลักฐานแสดงรายละเอียดการชำระหนี้ของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองชำระหนี้ครั้งสุดท้ายตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้แก่ธนาคาร น. ในวันใด และธนาคาร น. เจ้าหนี้เดิมอาจใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ฉบับลงวันที่ 23 เมษายน 2550 ได้ตั้งแต่เวลาใด รวมถึงโจทก์ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องมาแล้วได้ใช้สิทธิบังคับชำระหนี้จากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ในทันทีที่มีโอกาสกระทำได้หรือภายในระยะเวลาอันสมควรหรือไม่ อย่างไร ลำพังข้ออ้างที่โจทก์เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกาถึงความล่าช้าในการดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสองว่าเป็นผลจากระบบงานภายในของโจทก์และธนาคารเจ้าหนี้เดิมซึ่งมีการรวมกิจการกับธนาคารอื่น จนมีการโอนหนี้รวมถึงข้อมูลลูกหนี้จำนวนมากเป็นลำดับเรื่อยมายังไม่เพียงพอที่จะรับฟังว่า เจ้าหนี้เดิมและโจทก์ผู้รับโอนหนี้ได้ใช้สิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาที่เหมาะสมแล้ว พฤติการณ์ของธนาคาร น. เจ้าหนี้เดิมกับโจทก์ซึ่งรับโอนสิทธิเรียกร้องมาในปี 2557 ยังคงทอดเวลาให้เนิ่นช้ากว่าจะนำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 เป็นเวลาถึงห้าปีเศษ จนเป็นเหตุให้ภาระหนี้ในส่วนดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดสูงเกินไปกว่าต้นเงินที่ค้างชำระ แสดงให้เห็นว่าเจ้าหนี้เดิมและโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจใช้สิทธิเรียกร้องต่อลูกหนี้โดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้บริโภค กรณีนับเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตและไม่คำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 12 ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อาศัยอำนาจบทบัญญัติดังกล่าวไม่กำหนด ให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยทั้งอัตราปกติและอัตราผิดนัดของหนี้ต้นเงินภายหลังจากวันฟ้องจึงเป็นการพิพากษาตามสมควรแก่รูปคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ผู้ร้องรับโอนสิทธิเรียกร้องจากโจทก์และเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้รายที่ 5 โดยมีที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารตึกแถว 3 ชั้น ของจำเลยที่ 2 เป็นหลักประกันซึ่งโจทก์ได้ยึดเพื่อดำเนินการบังคับคดีไว้แล้ว ต่อมาสำนักงานเขตคันนายาวแจ้งผู้คัดค้านให้รื้อถอนอาคารดังกล่าวเนื่องจากมีสภาพหรือมีการใช้งานที่อาจเป็นอันตราย เมื่อการที่อาคารต้องถูกรื้อถอนไปในระหว่างการบังคับคดีและไม่อาจนำมาขายทอดตลาดได้เกิดจากการใช้อำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงานท้องถิ่น โดยไม่ใช่ความผิดหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือความไม่สุจริตของโจทก์หรือผู้ร้องซึ่งรับโอนสิทธิและหน้าที่จากโจทก์ ทั้งมิใช่การถอนการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 292 (2) (3) (4) (6) และ (7) ที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ขอยึดหรืออายัดทรัพย์สินต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี ตามมาตรา 169/2 วรรคสี่ ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14 กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้ผู้ร้องต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งยกคำสั่งผู้คัดค้านและมีคำสั่งให้กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินซึ่งมิใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านในฐานะผู้มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้รับแจ้งจากสำนักงานเขตคันนายาวให้รื้อถอนอาคารเลขที่ 53/38, 53/39 (ปัจจุบันเลขที่ 94, 96) ซึ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 120261 และ 12959 ของจำเลยที่ 2 ผู้คัดค้านเห็นว่าการรื้อถอนจะทำให้กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ด้อยค่าลงเข้าลักษณะการกระทำตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 145 (3) ประกอบมาตรา 41 ซึ่งผู้คัดค้านต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมเจ้าหนี้ก่อนดำเนินการ ทั้งยังมีเรื่องค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมถอนการยึด ผู้คัดค้านจึงเรียกประชุมเจ้าหนี้ครั้งอื่นโดยแจ้งว่าหากไม่มีเจ้าหนี้มาร่วมประชุมตามกำหนดนัดจะถือว่าเจ้าหนี้ยินยอมให้รื้อถอนอาคารดังกล่าวได้โดยให้สำนักงานเขตคันนายาวเป็นผู้ดำเนินการหรือจัดหา ผู้รื้อถอนและไม่ติดใจรวบรวมวัสดุอุปกรณ์หรือเศษซากจากการรื้อถอนเข้ากองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 อีกต่อไป เมื่อถึงวันนัดไม่มีเจ้าหนี้รายใดมาร่วมประชุม ผู้คัดค้านจึงถือว่าเจ้าหนี้ยินยอมให้รื้อถอนอาคารตึกแถว 3 ชั้น 3 คูหา ซึ่งเป็นทรัพย์หลักประกันของผู้ร้องดังกล่าว โดยให้ผู้ร้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมถอนการยึดทรัพย์ในคดีแพ่ง และเนื่องจากรายงานการยึดอาคารดังกล่าวระบุว่า โจทก์ในคดีแพ่งได้แถลงว่าสิ่งปลูกสร้างที่นำยึดมีสภาพทรุดโทรมมาก แสดงว่าขณะยึดโจทก์ในคดีแพ่งได้ตรวจสอบและทราบถึงสภาพของอาคารที่จะทำการยึดแล้ว เมื่อผู้ร้องรับโอนสิทธิเรียกร้องมาจากโจทก์ในคดีแพ่ง จึงต้องรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ด้วย และถือว่าผู้ร้องทราบถึงสภาพของทรัพย์ที่ยึดแล้วเช่นกัน การที่ต่อมาอาคารที่ถูกยึดไว้ถูกรื้อถอนตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 จึงไม่ใช่ความผิดของจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 169/3 ดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ผู้ร้องต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 294 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14
ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ส่วนค่าทนายความเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินคดีเองจึงไม่กำหนดให้
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษพิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ให้ผู้ร้องชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินที่ไม่มีการขายหรือจำหน่าย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ย.1490/2547 ของศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ดินโฉนดเลขที่ 120261 และ 12959 พร้อมสิ่งปลูกสร้างตึกแถว 3 ชั้น 3 คูหา เลขที่ 94 และ 96 (เดิม 53/38 และ 53/39 ตามลำดับ) เป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ต่อธนาคาร ก. เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวและถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดออกขายทอดตลาด สำนักงานเขตคันนายาวเคยมีคำสั่งลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2542 ให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการแก้ไขอาคารพิพาทเนื่องจากมีสภาพหรือมีการใช้งานที่อาจเป็นอันตราย แต่จำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามภายในเวลาที่กำหนด สำนักงานเขตคันนายาวจึงมีคำสั่งลงวันที่ 19 ธันวาคม 2543 ให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนอาคารตึกแถว 3 ชั้น 3 คูหาดังกล่าวภายใน 30 วัน ต่อมาจำเลยที่ 2 ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 หลังจากนั้นสำนักงานเขตคันนายาวมีหนังสือลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 แจ้งแก่ผู้คัดค้านในฐานะผู้มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ให้รื้อถอนอาคารดังกล่าว เนื่องจากโครงสร้างเสาของอาคารทรุดตัวยิ่งขึ้น คาน พื้น และผนังแตกร้าวเป็นแนว ประกอบกับด้านหน้าอาคารติดถนนสาธารณะ ด้านขวาโครงสร้างยึดติดกับอาคารข้างเคียง ด้านซ้ายมีร้านค้า หากพังถล่มลงจะเกิดความเสียหายยิ่งขึ้น ผู้คัดค้านจึงนัดประชุมเจ้าหนี้โดยแจ้งไปในประกาศนัดประชุมว่า หากไม่มีเจ้าหนี้มาร่วมประชุมจะถือว่าเจ้าหนี้ยินยอมให้รื้อถอนอาคารดังกล่าวได้ โดยให้ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 5 เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมถอนการยึดทรัพย์ในคดีแพ่ง และให้สำนักงานเขตคันนายาวเป็นผู้ดำเนินการหรือจัดหาผู้รื้อถอน อีกทั้งไม่ติดใจที่จะรวบรวมเงินที่ได้จากการขายหรือตีราคาวัสดุอุปกรณ์และเศษซากที่ได้จากการรื้อถอนเข้ากองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 อีกต่อไป เมื่อถึงวันนัดปรากฏว่าไม่มีเจ้าหนี้มาร่วมประชุม ผู้คัดค้านจึงถือว่าเจ้าหนี้ยินยอมให้รื้อถอนอาคารดังกล่าว และแจ้งให้ผู้ร้องถอนการยึดอาคารดังกล่าวในคดีแพ่งพร้อมชำระค่าธรรมเนียม
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า ผู้ร้องต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ในคดีแพ่งนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 120261 และ 12959 พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารตึกแถวดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิบังคับคดีไปตามคำพิพากษาโดยชอบ แต่เหตุที่อาคารดังกล่าวต้องถูกรื้อถอนไปเนื่องจากสำนักงานเขตคันนายาวมีหนังสือถึงผู้คัดค้านในฐานะผู้มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ให้รื้อถอนอาคาร ด้วยเหตุที่โครงสร้างเสาของอาคารทรุดตัวมากขึ้น คาน พื้น และผนังแตกร้าว ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แม้ขณะนำยึดโจทก์ในคดีแพ่งได้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า สิ่งปลูกสร้างสภาพทรุดโทรมมาก แต่ก็ไม่ปรากฏว่า โจทก์ในคดีแพ่งรู้อยู่แล้วว่า อาคารดังกล่าวมีสภาพเป็นอันตรายและสำนักงานเขตมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 รื้ออาคารดังกล่าวมาก่อนอันจะถือว่าเป็นความผิดหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ในคดีแพ่ง เมื่อการที่อาคารดังกล่าวต้องถูกรื้อถอนไปในระหว่างการบังคับคดีและไม่อาจนำมาขายทอดตลาดได้เกิดจากการใช้อำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงานท้องถิ่นโดยไม่ใช่ความผิดหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือความไม่สุจริตของโจทก์ในคดีแพ่งหรือผู้ร้องซึ่งรับโอนสิทธิและหน้าที่จากโจทก์ในคดีแพ่ง ทั้งมิใช่การถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (2) (3) (4) (6) และ (7) ที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ขอยึดหรืออายัดทรัพย์สินต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี ตามมาตรา 169/2 วรรคสี่ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14 กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้ผู้ร้องต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ผู้ร้องรับโอนสิทธิเรียกร้องจากโจทก์และเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้รายที่ 5 โดยมีที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารตึกแถว 3 ชั้น ของจำเลยที่ 2 เป็นหลักประกันซึ่งโจทก์ได้ยึดเพื่อดำเนินการบังคับคดีไว้แล้ว ต่อมาสำนักงานเขตคันนายาวแจ้งผู้คัดค้านให้รื้อถอนอาคารดังกล่าวเนื่องจากมีสภาพหรือมีการใช้งานที่อาจเป็นอันตราย เมื่อการที่อาคารต้องถูกรื้อถอนไปในระหว่างการบังคับคดีและไม่อาจนำมาขายทอดตลาดได้เกิดจากการใช้อำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงานท้องถิ่น โดยไม่ใช่ความผิดหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือความไม่สุจริตของโจทก์หรือผู้ร้องซึ่งรับโอนสิทธิและหน้าที่จากโจทก์ ทั้งมิใช่การถอนการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 292 (2) (3) (4) (6) และ (7) ที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ขอยึดหรืออายัดทรัพย์สินต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี ตามมาตรา 169/2 วรรคสี่ ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14 กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้ผู้ร้องต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งยกคำสั่งผู้คัดค้านและมีคำสั่งให้กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินซึ่งมิใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านในฐานะผู้มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้รับแจ้งจากสำนักงานเขตคันนายาวให้รื้อถอนอาคารเลขที่ 53/38, 53/39 (ปัจจุบันเลขที่ 94, 96) ซึ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 120261 และ 12959 ของจำเลยที่ 2 ผู้คัดค้านเห็นว่าการรื้อถอนจะทำให้กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ด้อยค่าลงเข้าลักษณะการกระทำตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 145 (3) ประกอบมาตรา 41 ซึ่งผู้คัดค้านต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมเจ้าหนี้ก่อนดำเนินการ ทั้งยังมีเรื่องค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมถอนการยึด ผู้คัดค้านจึงเรียกประชุมเจ้าหนี้ครั้งอื่นโดยแจ้งว่าหากไม่มีเจ้าหนี้มาร่วมประชุมตามกำหนดนัดจะถือว่าเจ้าหนี้ยินยอมให้รื้อถอนอาคารดังกล่าวได้โดยให้สำนักงานเขตคันนายาวเป็นผู้ดำเนินการหรือจัดหา ผู้รื้อถอนและไม่ติดใจรวบรวมวัสดุอุปกรณ์หรือเศษซากจากการรื้อถอนเข้ากองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 อีกต่อไป เมื่อถึงวันนัดไม่มีเจ้าหนี้รายใดมาร่วมประชุม ผู้คัดค้านจึงถือว่าเจ้าหนี้ยินยอมให้รื้อถอนอาคารตึกแถว 3 ชั้น 3 คูหา ซึ่งเป็นทรัพย์หลักประกันของผู้ร้องดังกล่าว โดยให้ผู้ร้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมถอนการยึดทรัพย์ในคดีแพ่ง และเนื่องจากรายงานการยึดอาคารดังกล่าวระบุว่า โจทก์ในคดีแพ่งได้แถลงว่าสิ่งปลูกสร้างที่นำยึดมีสภาพทรุดโทรมมาก แสดงว่าขณะยึดโจทก์ในคดีแพ่งได้ตรวจสอบและทราบถึงสภาพของอาคารที่จะทำการยึดแล้ว เมื่อผู้ร้องรับโอนสิทธิเรียกร้องมาจากโจทก์ในคดีแพ่ง จึงต้องรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ด้วย และถือว่าผู้ร้องทราบถึงสภาพของทรัพย์ที่ยึดแล้วเช่นกัน การที่ต่อมาอาคารที่ถูกยึดไว้ถูกรื้อถอนตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 จึงไม่ใช่ความผิดของจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 169/3 ดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ผู้ร้องต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 294 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14
ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ส่วนค่าทนายความเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินคดีเองจึงไม่กำหนดให้
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษพิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ให้ผู้ร้องชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินที่ไม่มีการขายหรือจำหน่าย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ย.1490/2547 ของศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ดินโฉนดเลขที่ 120261 และ 12959 พร้อมสิ่งปลูกสร้างตึกแถว 3 ชั้น 3 คูหา เลขที่ 94 และ 96 (เดิม 53/38 และ 53/39 ตามลำดับ) เป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ต่อธนาคาร ก. เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวและถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดออกขายทอดตลาด สำนักงานเขตคันนายาวเคยมีคำสั่งลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2542 ให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการแก้ไขอาคารพิพาทเนื่องจากมีสภาพหรือมีการใช้งานที่อาจเป็นอันตราย แต่จำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามภายในเวลาที่กำหนด สำนักงานเขตคันนายาวจึงมีคำสั่งลงวันที่ 19 ธันวาคม 2543 ให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนอาคารตึกแถว 3 ชั้น 3 คูหาดังกล่าวภายใน 30 วัน ต่อมาจำเลยที่ 2 ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 หลังจากนั้นสำนักงานเขตคันนายาวมีหนังสือลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 แจ้งแก่ผู้คัดค้านในฐานะผู้มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ให้รื้อถอนอาคารดังกล่าว เนื่องจากโครงสร้างเสาของอาคารทรุดตัวยิ่งขึ้น คาน พื้น และผนังแตกร้าวเป็นแนว ประกอบกับด้านหน้าอาคารติดถนนสาธารณะ ด้านขวาโครงสร้างยึดติดกับอาคารข้างเคียง ด้านซ้ายมีร้านค้า หากพังถล่มลงจะเกิดความเสียหายยิ่งขึ้น ผู้คัดค้านจึงนัดประชุมเจ้าหนี้โดยแจ้งไปในประกาศนัดประชุมว่า หากไม่มีเจ้าหนี้มาร่วมประชุมจะถือว่าเจ้าหนี้ยินยอมให้รื้อถอนอาคารดังกล่าวได้ โดยให้ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 5 เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมถอนการยึดทรัพย์ในคดีแพ่ง และให้สำนักงานเขตคันนายาวเป็นผู้ดำเนินการหรือจัดหาผู้รื้อถอน อีกทั้งไม่ติดใจที่จะรวบรวมเงินที่ได้จากการขายหรือตีราคาวัสดุอุปกรณ์และเศษซากที่ได้จากการรื้อถอนเข้ากองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 อีกต่อไป เมื่อถึงวันนัดปรากฏว่าไม่มีเจ้าหนี้มาร่วมประชุม ผู้คัดค้านจึงถือว่าเจ้าหนี้ยินยอมให้รื้อถอนอาคารดังกล่าว และแจ้งให้ผู้ร้องถอนการยึดอาคารดังกล่าวในคดีแพ่งพร้อมชำระค่าธรรมเนียม
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า ผู้ร้องต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ในคดีแพ่งนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 120261 และ 12959 พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารตึกแถวดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิบังคับคดีไปตามคำพิพากษาโดยชอบ แต่เหตุที่อาคารดังกล่าวต้องถูกรื้อถอนไปเนื่องจากสำนักงานเขตคันนายาวมีหนังสือถึงผู้คัดค้านในฐานะผู้มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ให้รื้อถอนอาคาร ด้วยเหตุที่โครงสร้างเสาของอาคารทรุดตัวมากขึ้น คาน พื้น และผนังแตกร้าว ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แม้ขณะนำยึดโจทก์ในคดีแพ่งได้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า สิ่งปลูกสร้างสภาพทรุดโทรมมาก แต่ก็ไม่ปรากฏว่า โจทก์ในคดีแพ่งรู้อยู่แล้วว่า อาคารดังกล่าวมีสภาพเป็นอันตรายและสำนักงานเขตมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 รื้ออาคารดังกล่าวมาก่อนอันจะถือว่าเป็นความผิดหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ในคดีแพ่ง เมื่อการที่อาคารดังกล่าวต้องถูกรื้อถอนไปในระหว่างการบังคับคดีและไม่อาจนำมาขายทอดตลาดได้เกิดจากการใช้อำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงานท้องถิ่นโดยไม่ใช่ความผิดหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือความไม่สุจริตของโจทก์ในคดีแพ่งหรือผู้ร้องซึ่งรับโอนสิทธิและหน้าที่จากโจทก์ในคดีแพ่ง ทั้งมิใช่การถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (2) (3) (4) (6) และ (7) ที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ขอยึดหรืออายัดทรัพย์สินต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี ตามมาตรา 169/2 วรรคสี่ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14 กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้ผู้ร้องต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยเบิกเงินจากโจทก์เพื่อนำไปซื้อไม้ยางพาราจากเจ้าของสวนแล้วนำมาขายให้แก่โจทก์ จากนั้นจึงหักทอนบัญชีกัน นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยจึงมีลักษณะเป็นสัญญาประเภทหนึ่งที่มิได้กำหนดแยกประเภทเป็นเอกเทศสัญญาไว้ใน ป.พ.พ. แต่มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยให้ต้องชำระหนี้ต่อกันตามสัญญาดังกล่าว แม้โจทก์ฟ้องคดีตั้งรูปเรื่องมาว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้ยืม แต่ก็ได้บรรยายฟ้องและนำสืบเข้าลักษณะสัญญาประเภทหนึ่งที่บังคับกันได้ดังวินิจฉัยไว้ข้างต้น ซึ่งในการวินิจฉัยชี้ขาดคดี ศาลย่อมมีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องมาปรับแก่คดีได้
พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 9 (3) บัญญัติเพียงว่า เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อหนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตามเท่านั้น หาได้บัญญัติว่าหนี้นั้นศาลต้องพิพากษากำหนดจำนวนแน่นอนเสียก่อนไม่ โจทก์จึงไม่จำต้องนำหนี้ดังกล่าวไปฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งก่อนที่จะฟ้องคดีล้มละลาย เมื่อรายการตัดทอนบัญชีระบุว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาทสำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา หนี้ตามฟ้องจึงเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท โจทก์ย่อมมีอำนาจนำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายได้
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยให้หักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้พับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนางสาวทัศนีย์และนายปิยะราชเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า จำเลยขอเบิกเงินจากโจทก์เพื่อนำไปซื้อไม้ยางพาราจากเจ้าของแปลงไม้ติดต่อกันหลายครั้งตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2552 ถึงเดือนธันวาคม 2562 โดยจำเลยจะเป็นผู้จัดหาแปลงไม้ยางพาราและประเมินราคาด้วยตนเอง จากนั้นจะนำมาเสนอโจทก์เพื่อขออนุมัติเงิน หากโจทก์มีคำสั่งอนุมัติ โจทก์จะส่งมอบเงินมัดจำส่วนแรกให้แก่จำเลยโดยให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้เพื่อให้จำเลยนำไปวางมัดจำกับเจ้าของสวนยางพารา ก่อนตัดโค่นไม้ยางพาราโจทก์จะส่งมอบเงินค่าไม้ยางพาราส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยโดยให้จำเลยลงชื่อรับเงินอีกครั้ง จำเลยจะตัดโค่นไม้ยางพาราเองและนำไม้ที่ได้มาขายให้แก่โจทก์แล้วหักกลบลบหนี้กันโดยวิธีตัดทอนทางบัญชี จำเลยมิได้ซื้อไม้ยางพาราในฐานะตัวแทนของโจทก์ ซึ่งคำเบิกความของนางสาวทัศนีย์และนายปิยะราชดังกล่าวล้วนสอดคล้องกับรายการตัดทอนบัญชี สัญญามัดจำหรือสัญญาซื้อขายไม้ยางพาราและใบชั่งน้ำหนัก ซึ่งระบุชื่อจำเลยว่าเป็นลูกหนี้โจทก์ ทั้งมีรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ขอเบิก จำนวนหนี้คงเหลือและการชั่งน้ำหนักไม้ที่จำเลยนำมาขายให้แก่โจทก์ซึ่งสามารถคิดคำนวณได้ว่า ณ วันฟ้องคดีนี้จำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงินจำนวนเท่าใด ทั้งรายการตัดทอนบัญชีมีลายมือชื่อของจำเลยกำกับไว้เกือบทุกรายการที่มีการเคลื่อนไหวทางบัญชี ประกอบกับจำเลยเองก็เบิกความยอมรับว่า ลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวเป็นลายมือชื่อของจำเลยจริง ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยลงลายมือชื่อในรายการตัดทอนบัญชีเพื่อรับทราบเท่านั้น เมื่อพิจารณาว่าเอกสารดังกล่าวมีข้อความระบุชัดเจนว่า ณ วันที่จำเลยลงลายมือชื่อจำเลยมีภาระหนี้คงเหลือต่อโจทก์เท่าใด ก่อนลงลายมือชื่อจำเลยย่อมต้องคาดหมายแล้วว่าเอกสารดังกล่าวอาจผูกมัดจำเลยให้ต้องรับผิดต่อโจทก์ได้ นอกจากนี้หากจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์จริง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยต้องลงลายมือชื่อยอมรับว่ามีภาระหนี้คงเหลือต่อโจทก์ ทั้งการลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวยังขัดแย้งกับข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่ว่าจำเลยเป็นเพียงตัวแทนโจทก์ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงยิ่งไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จำเลยต้องลงลายมือชื่อรับทราบภาระหนี้คงเหลือในรายการตัดทอนบัญชี เพราะจำเลยย่อมไม่มีภาระหนี้หรือความรับผิดต่อโจทก์ หากการซื้อขายไม้ยางพารากับเจ้าของสวนกระทำในฐานะตัวแทนโจทก์ดังที่จำเลยอ้าง และที่จำเลยแก้ฎีกาว่าจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อครบทุกรายการในเอกสารดังกล่าว และหลายรายการในหน้าที่ 68 และ 69 เป็นลายมือชื่อของบุคคลอื่นนั้น เมื่อพิจารณารายการตัดทอนบัญชีแล้ว เห็นว่า แม้จำเลยจะมิได้ลงลายมือชื่อในบางรายการ แต่การที่จำเลยลงลายมือชื่อในรายการต่อ ๆ มา ซึ่งมีรายการยอดคงเหลือที่รวมรายการก่อนหน้านั้นไว้ด้วยแล้ว ถือได้ว่าจำเลยยอมรับว่ารายการก่อนหน้าและยอดคงเหลือถูกต้อง ส่วนที่หลายรายการในหน้าที่ 68 และ 69 ที่เป็นลายมือชื่อของบุคคลอื่นนั้น เป็นรายการเงินคืนที่ทำให้ยอดคงเหลือลดลง ซึ่งเป็นประโยชน์แก่จำเลย และเนื่องจากหัวกระดาษในแต่ละหน้าของรายการตัดทอนบัญชีดังกล่าวมีการระบุชื่อจำเลยไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว จึงไม่อาจรับฟังว่าบุคคลอื่นลงลายมือชื่อให้ผูกพันตนเองดังที่จำเลยแก้ฎีกา รายการตัดทอนบัญชีจึงมีข้อความเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์และมีภาระหนี้เงินคงค้างต่อกันเท่าใด พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมาจึงมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยเบิกเงินโจทก์เพื่อนำไปซื้อไม้ยางพาราจากเจ้าของสวนแล้วนำมาขายให้แก่โจทก์ จากนั้นจึงหักทอนบัญชีกันตามรายการหักทอนบัญชี นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยจึงมีลักษณะเป็นสัญญาประเภทหนึ่งที่มิได้กำหนดแยกประเภทเป็นเอกเทศสัญญาไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยให้ต้องชำระหนี้ต่อกันตามสัญญาดังกล่าว แม้โจทก์จะฟ้องคดีตั้งรูปเรื่องมาว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้ยืม แต่ก็ได้บรรยายฟ้องและนำสืบเข้าลักษณะสัญญาประเภทหนึ่งที่บังคับกันได้ดังวินิจฉัยไว้ข้างต้น ซึ่งในการวินิจฉัยชี้ขาดคดี ศาลย่อมมีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องมาปรับแก่คดีได้ ส่วนที่จำเลยแก้ฎีกาว่าโจทก์ไม่เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งมาก่อน แต่กลับนำมาฟ้องเป็นคดีล้มละลาย จำเลยไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ตามกระบวนวิธีพิจารณาคดีแพ่งทั่วไป นั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (3) บัญญัติเพียงว่า เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อหนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตามเท่านั้น หาได้บัญญัติว่าหนี้นั้นศาลต้องพิพากษากำหนดจำนวนแน่นอนเสียก่อนไม่ และในการพิจารณาคดีล้มละลายจำเลยก็สามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับในการพิจารณาคดีแพ่ง โจทก์จึงไม่จำต้องนำหนี้ดังกล่าวไปฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งก่อนที่จะฟ้องคดีล้มละลาย เมื่อรายการตัดทอนบัญชีระบุว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาทสำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา หนี้ตามฟ้องจึงเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท โจทก์ย่อมมีอำนาจนำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายได้ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า หนี้ตามฟ้องยังมีข้อโต้แย้ง โจทก์จึงยังไม่อาจฟ้องให้จำเลยล้มละลายนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนปัญหาว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ และมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยังไม่ได้วินิจฉัย แต่เมื่อมีการสืบพยานโจทก์และจำเลยเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อให้คดีเสร็จไปโดยเร็ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยก่อน เห็นว่า ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้วสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 (9) ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว ซึ่งจำเลยนำสืบเพียงว่า จำเลยมีภูมิลำเนาเป็นหลักแหล่งและมีรายได้ไม่น้อยกว่าเดือนละ 70,000 บาท แต่จำเลยไม่มีเอกสารใดมายืนยันว่ามีรายได้ดังกล่าวจริง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินอื่นใดอีก ข้อนำสืบของจำเลยไม่อาจรับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่ปรากฏว่าจำเลยขวนขวายพยายามชำระหนี้แก่โจทก์ กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย
พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยเบิกเงินจากโจทก์เพื่อนำไปซื้อไม้ยางพาราจากเจ้าของสวนแล้วนำมาขายให้แก่โจทก์ จากนั้นจึงหักทอนบัญชีกัน นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยจึงมีลักษณะเป็นสัญญาประเภทหนึ่งที่มิได้กำหนดแยกประเภทเป็นเอกเทศสัญญาไว้ใน ป.พ.พ. แต่มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยให้ต้องชำระหนี้ต่อกันตามสัญญาดังกล่าว แม้โจทก์ฟ้องคดีตั้งรูปเรื่องมาว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้ยืม แต่ก็ได้บรรยายฟ้องและนำสืบเข้าลักษณะสัญญาประเภทหนึ่งที่บังคับกันได้ดังวินิจฉัยไว้ข้างต้น ซึ่งในการวินิจฉัยชี้ขาดคดี ศาลย่อมมีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องมาปรับแก่คดีได้
พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 9 (3) บัญญัติเพียงว่า เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อหนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตามเท่านั้น หาได้บัญญัติว่าหนี้นั้นศาลต้องพิพากษากำหนดจำนวนแน่นอนเสียก่อนไม่ โจทก์จึงไม่จำต้องนำหนี้ดังกล่าวไปฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งก่อนที่จะฟ้องคดีล้มละลาย เมื่อรายการตัดทอนบัญชีระบุว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาทสำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา หนี้ตามฟ้องจึงเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท โจทก์ย่อมมีอำนาจนำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายได้
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยให้หักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้พับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนางสาวทัศนีย์และนายปิยะราชเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า จำเลยขอเบิกเงินจากโจทก์เพื่อนำไปซื้อไม้ยางพาราจากเจ้าของแปลงไม้ติดต่อกันหลายครั้งตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2552 ถึงเดือนธันวาคม 2562 โดยจำเลยจะเป็นผู้จัดหาแปลงไม้ยางพาราและประเมินราคาด้วยตนเอง จากนั้นจะนำมาเสนอโจทก์เพื่อขออนุมัติเงิน หากโจทก์มีคำสั่งอนุมัติ โจทก์จะส่งมอบเงินมัดจำส่วนแรกให้แก่จำเลยโดยให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้เพื่อให้จำเลยนำไปวางมัดจำกับเจ้าของสวนยางพารา ก่อนตัดโค่นไม้ยางพาราโจทก์จะส่งมอบเงินค่าไม้ยางพาราส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยโดยให้จำเลยลงชื่อรับเงินอีกครั้ง จำเลยจะตัดโค่นไม้ยางพาราเองและนำไม้ที่ได้มาขายให้แก่โจทก์แล้วหักกลบลบหนี้กันโดยวิธีตัดทอนทางบัญชี จำเลยมิได้ซื้อไม้ยางพาราในฐานะตัวแทนของโจทก์ ซึ่งคำเบิกความของนางสาวทัศนีย์และนายปิยะราชดังกล่าวล้วนสอดคล้องกับรายการตัดทอนบัญชี สัญญามัดจำหรือสัญญาซื้อขายไม้ยางพาราและใบชั่งน้ำหนัก ซึ่งระบุชื่อจำเลยว่าเป็นลูกหนี้โจทก์ ทั้งมีรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ขอเบิก จำนวนหนี้คงเหลือและการชั่งน้ำหนักไม้ที่จำเลยนำมาขายให้แก่โจทก์ซึ่งสามารถคิดคำนวณได้ว่า ณ วันฟ้องคดีนี้จำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงินจำนวนเท่าใด ทั้งรายการตัดทอนบัญชีมีลายมือชื่อของจำเลยกำกับไว้เกือบทุกรายการที่มีการเคลื่อนไหวทางบัญชี ประกอบกับจำเลยเองก็เบิกความยอมรับว่า ลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวเป็นลายมือชื่อของจำเลยจริง ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยลงลายมือชื่อในรายการตัดทอนบัญชีเพื่อรับทราบเท่านั้น เมื่อพิจารณาว่าเอกสารดังกล่าวมีข้อความระบุชัดเจนว่า ณ วันที่จำเลยลงลายมือชื่อจำเลยมีภาระหนี้คงเหลือต่อโจทก์เท่าใด ก่อนลงลายมือชื่อจำเลยย่อมต้องคาดหมายแล้วว่าเอกสารดังกล่าวอาจผูกมัดจำเลยให้ต้องรับผิดต่อโจทก์ได้ นอกจากนี้หากจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์จริง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยต้องลงลายมือชื่อยอมรับว่ามีภาระหนี้คงเหลือต่อโจทก์ ทั้งการลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวยังขัดแย้งกับข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่ว่าจำเลยเป็นเพียงตัวแทนโจทก์ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงยิ่งไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จำเลยต้องลงลายมือชื่อรับทราบภาระหนี้คงเหลือในรายการตัดทอนบัญชี เพราะจำเลยย่อมไม่มีภาระหนี้หรือความรับผิดต่อโจทก์ หากการซื้อขายไม้ยางพารากับเจ้าของสวนกระทำในฐานะตัวแทนโจทก์ดังที่จำเลยอ้าง และที่จำเลยแก้ฎีกาว่าจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อครบทุกรายการในเอกสารดังกล่าว และหลายรายการในหน้าที่ 68 และ 69 เป็นลายมือชื่อของบุคคลอื่นนั้น เมื่อพิจารณารายการตัดทอนบัญชีแล้ว เห็นว่า แม้จำเลยจะมิได้ลงลายมือชื่อในบางรายการ แต่การที่จำเลยลงลายมือชื่อในรายการต่อ ๆ มา ซึ่งมีรายการยอดคงเหลือที่รวมรายการก่อนหน้านั้นไว้ด้วยแล้ว ถือได้ว่าจำเลยยอมรับว่ารายการก่อนหน้าและยอดคงเหลือถูกต้อง ส่วนที่หลายรายการในหน้าที่ 68 และ 69 ที่เป็นลายมือชื่อของบุคคลอื่นนั้น เป็นรายการเงินคืนที่ทำให้ยอดคงเหลือลดลง ซึ่งเป็นประโยชน์แก่จำเลย และเนื่องจากหัวกระดาษในแต่ละหน้าของรายการตัดทอนบัญชีดังกล่าวมีการระบุชื่อจำเลยไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว จึงไม่อาจรับฟังว่าบุคคลอื่นลงลายมือชื่อให้ผูกพันตนเองดังที่จำเลยแก้ฎีกา รายการตัดทอนบัญชีจึงมีข้อความเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์และมีภาระหนี้เงินคงค้างต่อกันเท่าใด พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมาจึงมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยเบิกเงินโจทก์เพื่อนำไปซื้อไม้ยางพาราจากเจ้าของสวนแล้วนำมาขายให้แก่โจทก์ จากนั้นจึงหักทอนบัญชีกันตามรายการหักทอนบัญชี นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยจึงมีลักษณะเป็นสัญญาประเภทหนึ่งที่มิได้กำหนดแยกประเภทเป็นเอกเทศสัญญาไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยให้ต้องชำระหนี้ต่อกันตามสัญญาดังกล่าว แม้โจทก์จะฟ้องคดีตั้งรูปเรื่องมาว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้ยืม แต่ก็ได้บรรยายฟ้องและนำสืบเข้าลักษณะสัญญาประเภทหนึ่งที่บังคับกันได้ดังวินิจฉัยไว้ข้างต้น ซึ่งในการวินิจฉัยชี้ขาดคดี ศาลย่อมมีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องมาปรับแก่คดีได้ ส่วนที่จำเลยแก้ฎีกาว่าโจทก์ไม่เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งมาก่อน แต่กลับนำมาฟ้องเป็นคดีล้มละลาย จำเลยไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ตามกระบวนวิธีพิจารณาคดีแพ่งทั่วไป นั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (3) บัญญัติเพียงว่า เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อหนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตามเท่านั้น หาได้บัญญัติว่าหนี้นั้นศาลต้องพิพากษากำหนดจำนวนแน่นอนเสียก่อนไม่ และในการพิจารณาคดีล้มละลายจำเลยก็สามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับในการพิจารณาคดีแพ่ง โจทก์จึงไม่จำต้องนำหนี้ดังกล่าวไปฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งก่อนที่จะฟ้องคดีล้มละลาย เมื่อรายการตัดทอนบัญชีระบุว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาทสำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา หนี้ตามฟ้องจึงเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท โจทก์ย่อมมีอำนาจนำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายได้ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า หนี้ตามฟ้องยังมีข้อโต้แย้ง โจทก์จึงยังไม่อาจฟ้องให้จำเลยล้มละลายนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนปัญหาว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ และมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยังไม่ได้วินิจฉัย แต่เมื่อมีการสืบพยานโจทก์และจำเลยเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อให้คดีเสร็จไปโดยเร็ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยก่อน เห็นว่า ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้วสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 (9) ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว ซึ่งจำเลยนำสืบเพียงว่า จำเลยมีภูมิลำเนาเป็นหลักแหล่งและมีรายได้ไม่น้อยกว่าเดือนละ 70,000 บาท แต่จำเลยไม่มีเอกสารใดมายืนยันว่ามีรายได้ดังกล่าวจริง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินอื่นใดอีก ข้อนำสืบของจำเลยไม่อาจรับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่ปรากฏว่าจำเลยขวนขวายพยายามชำระหนี้แก่โจทก์ กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย
พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
การยื่นฎีกาในคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคสอง และมาตรา 223 บัญญัติให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น และให้เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นตรวจฎีกาว่าควรจะรับส่งขึ้นไปยังศาลฎีกาหรือไม่ เมื่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ศาลชั้นต้น จึงมีอำนาจตรวจฎีกา และเมื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด ก็มีอำนาจสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไปในคำฟ้องฎีกาเสียทีเดียวได้ แม้จำเลยจะมิได้ยื่นคำร้องเพื่อขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมาด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 60, 80, 288 และริบของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ระหว่างพิจารณา นางเหี้ยง มารดานายสมศักดิ์ ผู้ตาย และเด็กหญิงนาฏยา บุตรผู้ตาย โดยนางสาวปนิตาหรือลสิตา ผู้แทนโดยชอบธรรม ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต โดยให้เรียกนางเหี้ยงว่า โจทก์ร่วมที่ 1 และเรียกเด็กหญิงนาฏยาว่า โจทก์ร่วมที่ 2
โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องว่าเป็นมารดาของผู้ตายและบุตรของผู้ตาย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 100,000 บาท และ 1,815,225 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยกระทำเพื่อป้องกันตัว จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมทั้งสอง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 72 และมาตรา 288 ประกอบมาตรา 60, 72 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยพลาดและโดยบันดาลโทสะ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี ริบของกลาง ยกคำร้องคดีส่วนแพ่ง ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ กับให้ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของนางเหี้ยง และเด็กหญิงนาฏยา
โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 20,000 บาท แก่โจทก์ร่วมที่ 1 และชำระเงิน 240,000 บาท แก่โจทก์ร่วมที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2560 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมทั้งสอง ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามที่พระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ร่วมทั้งสองขอ ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นางสาวปนิตาหรือลสิตา ผู้เสียหาย ทะเลาะวิวาทกับนางสาวธวัลพร น้องของจำเลย เมื่อเหตุการณ์ยุติแล้วจำเลยได้เตะและต่อยผู้เสียหายแล้วชักอาวุธมีดจะแทงผู้เสียหาย แต่มีคนเข้าห้ามไว้ จำเลยจึงขับรถจักรยานยนต์ออกไป จากนั้นนายเกียรติศักดิ์ พี่ชายของผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์มารับผู้เสียหาย แล้วไปจอดหน้าบ้านจำเลยและสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น จำเลยกับพวกเข้ามารุมชกต่อยนายเกียรติศักดิ์ จำเลยใช้อาวุธมีดแทงถูกศีรษะของนายเกียรติศักดิ์ ส่วนนายนิกรณ์ บิดาของจำเลยใช้ไม้ทุบตีนายเกียรติศักดิ์และชกผู้เสียหายหลายครั้ง สักพักหนึ่งมีคนเข้าห้ามไว้ ทั้งสองฝ่ายจึงหยุดทำร้ายร่างกายกัน แต่ยังคงโต้เถียงกัน ระหว่างนั้นนายสมศักดิ์ ผู้ตาย ซึ่งเป็นสามีของผู้เสียหายขับรถกระบะมาที่เกิดเหตุ นายเกียรติศักดิ์บอกผู้ตายว่าถูกจำเลยใช้อาวุธมีดแทงศีรษะ ผู้ตายจึงแย่งไม้จากนายนิกรณ์แล้วตีศีรษะนายนิกรณ์หลายครั้งจนล้มลง จากนั้นจำเลยวิ่งถืออาวุธมีดออกมาจากบ้านที่เกิดเหตุเพื่อจะเข้ามาแทงผู้เสียหาย ผู้ตายใช้ลำตัวเข้าบังผู้เสียหายไว้ คมมีดจึงไม่ถูกผู้เสียหาย แต่ไปถูกบริเวณลิ้นปี่ของผู้ตาย ทำให้อวัยวะภายในช่องอกของผู้ตายเป็นบาดแผลอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 72 และมาตรา 288 ประกอบมาตรา 60, 72 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยพลาดและโดยบันดาลโทสะ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี ยกคำร้องคดีส่วนแพ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เฉพาะคดีส่วนแพ่งเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาท แก่โจทก์ร่วมที่ 1 และชำระเงิน 240,000 บาท แก่โจทก์ร่วมที่ 2 พร้อมดอกเบี้ย จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาคดีส่วนอาญายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยในคดีส่วนอาญาเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 9 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว และจำเลยไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 9 เพื่อพิจารณาและอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำฟ้องฎีกาของจำเลยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด จึงอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และรับฎีกาจำเลย สำเนาให้อีกฝ่ายแก้...” ดังนี้ จึงเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า ฎีกาของจำเลยชอบด้วยกฎหมายที่ศาลฎีกาจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ ในปัญหานี้ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่ได้บัญญัติวิธีการขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสาม และมาตรา 252 มาใช้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ด้วยการยื่นคำร้องขออนุญาตถึงผู้พิพากษานั้น แต่ก็เป็นเพียงนำมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้เท่านั้น ทั้งเหตุผลที่ต้องให้ผู้ฎีกายื่นคำร้องดังกล่าว ก็เพื่อให้ทราบถึงเจตนาของผู้ยื่นฎีกาว่าประสงค์ให้ผู้พิพากษาคนใดพิจารณาอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพื่อที่ศาลที่รับคำร้องจะได้ส่งคำร้องพร้อมสำนวนความไปยังผู้พิพากษาดังกล่าวพิจารณาและมีคำสั่งต่อไป โดยที่การยื่นฎีกาในคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคสอง และมาตรา 223 บัญญัติให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น และให้เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นตรวจฎีกาว่าควรจะรับส่งขึ้นไปยังศาลฎีกาหรือไม่ เมื่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ศาลชั้นต้นนั้น จึงมีอำนาจตรวจฎีกา และเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด ก็ย่อมมีอำนาจสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไปในคำฟ้องฎีกาเสียทีเดียวได้ แม้จำเลยจะมิได้ยื่นคำร้องเพื่อขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมาด้วยก็ตาม เพราะถือเป็นดุลพินิจเด็ดขาดของผู้พิพากษาที่สั่งอนุญาต การที่ผู้พิพากษาดังกล่าวตรวจฎีกาแล้วเห็นว่า ข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด จึงอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และรับฎีกาของจำเลยไว้ จึงเป็นกรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องตามเจตนารมณ์แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 แล้ว ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยต่อไปได้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี การที่จำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ศาลล่างทั้งสองได้กำหนดโทษจำคุก 6 ปี ซึ่งน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดตามที่ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72 ให้อำนาจไว้ ทั้งยังลดโทษให้จำเลยอีกหนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี อันเป็นโทษที่เหมาะสมแก่สภาพความผิดแล้ว ส่วนพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายกันมาก่อนเวลาเกิดเหตุไม่นาน โดยจำเลยเองมีส่วนในการวิวาทโดยใช้มีดเป็นอาวุธทำร้ายร่างกายฝ่ายผู้เสียหายด้วย การที่จำเลยยังคงใช้มีดเป็นอาวุธแทงผู้ตายในเวลาต่อมาอีกเช่นนี้นับว่าเป็นการกระทำที่ร้ายแรง ส่วนการวางเงินต่อศาลเพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนก็เป็นเรื่องที่จำเลยต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาอยู่แล้ว แม้จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือไม่เคยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ หรือยังมีภาระต้องดูแลครอบครัวดังที่จำเลยอ้างในฎีกา ก็ยังไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมทั้งสองหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า แม้ผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดอยู่ด้วย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย นางเหี้ยงซึ่งเป็นมารดาของผู้ตาย และเด็กหญิงนาฏยาซึ่งเป็นบุตรของผู้ตาย ย่อมไม่มีอำนาจเข้ามาจัดการแทนผู้ตายและไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยก็ตาม แต่บุคคลทั้งสองเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของจำเลย จึงเป็นผู้ที่ถูกโต้แย้งสิทธิในทางแพ่งและมีสิทธิเรียกร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ตายเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยหรือไม่ ส่วนจะกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้มากน้อยเพียงใด ย่อมต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 วรรคหนึ่ง และมาตรา 438 วรรคหนึ่ง ที่ให้พิจารณาว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร ซึ่งเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว แม้ฝ่ายผู้ตายและฝ่ายจำเลยจะมีเหตุทะเลาะวิวาทกันมาก่อน แต่เหตุดังกล่าวยุติไปแล้ว การที่ในเวลาต่อมาผู้ตายใช้ไม้เป็นอาวุธตีทำร้ายนายนิกรณ์ บิดาของจำเลย จนเกิดเหตุคดีนี้ขึ้น ถือได้ว่าผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 กำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางเหี้ยงเป็นค่าปลงศพ 60,000 บาท กับค่าขาดไร้อุปการะแก่เด็กหญิงนาฏยา 720,000 บาท โดยให้จำเลยรับผิดในค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวเพียงหนึ่งในสามส่วนพร้อมด้วยดอกเบี้ย นับว่าเหมาะสมแล้ว ส่วนที่จำเลยอ้างว่ามีฐานะยากจนทำนองว่าจำเลยไม่สามารถชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำพิพากษาได้ ก็ไม่ใช่เหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 เป็นอย่างอื่น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การยื่นฎีกาในคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคสอง และมาตรา 223 บัญญัติให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น และให้เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นตรวจฎีกาว่าควรจะรับส่งขึ้นไปยังศาลฎีกาหรือไม่ เมื่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ศาลชั้นต้น จึงมีอำนาจตรวจฎีกา และเมื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด ก็มีอำนาจสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไปในคำฟ้องฎีกาเสียทีเดียวได้ แม้จำเลยจะมิได้ยื่นคำร้องเพื่อขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมาด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 60, 80, 288 และริบของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ระหว่างพิจารณา นางเหี้ยง มารดานายสมศักดิ์ ผู้ตาย และเด็กหญิงนาฏยา บุตรผู้ตาย โดยนางสาวปนิตาหรือลสิตา ผู้แทนโดยชอบธรรม ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต โดยให้เรียกนางเหี้ยงว่า โจทก์ร่วมที่ 1 และเรียกเด็กหญิงนาฏยาว่า โจทก์ร่วมที่ 2
โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องว่าเป็นมารดาของผู้ตายและบุตรของผู้ตาย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 100,000 บาท และ 1,815,225 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยกระทำเพื่อป้องกันตัว จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมทั้งสอง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 72 และมาตรา 288 ประกอบมาตรา 60, 72 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยพลาดและโดยบันดาลโทสะ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี ริบของกลาง ยกคำร้องคดีส่วนแพ่ง ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ กับให้ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของนางเหี้ยง และเด็กหญิงนาฏยา
โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 20,000 บาท แก่โจทก์ร่วมที่ 1 และชำระเงิน 240,000 บาท แก่โจทก์ร่วมที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2560 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมทั้งสอง ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามที่พระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ร่วมทั้งสองขอ ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นางสาวปนิตาหรือลสิตา ผู้เสียหาย ทะเลาะวิวาทกับนางสาวธวัลพร น้องของจำเลย เมื่อเหตุการณ์ยุติแล้วจำเลยได้เตะและต่อยผู้เสียหายแล้วชักอาวุธมีดจะแทงผู้เสียหาย แต่มีคนเข้าห้ามไว้ จำเลยจึงขับรถจักรยานยนต์ออกไป จากนั้นนายเกียรติศักดิ์ พี่ชายของผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์มารับผู้เสียหาย แล้วไปจอดหน้าบ้านจำเลยและสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น จำเลยกับพวกเข้ามารุมชกต่อยนายเกียรติศักดิ์ จำเลยใช้อาวุธมีดแทงถูกศีรษะของนายเกียรติศักดิ์ ส่วนนายนิกรณ์ บิดาของจำเลยใช้ไม้ทุบตีนายเกียรติศักดิ์และชกผู้เสียหายหลายครั้ง สักพักหนึ่งมีคนเข้าห้ามไว้ ทั้งสองฝ่ายจึงหยุดทำร้ายร่างกายกัน แต่ยังคงโต้เถียงกัน ระหว่างนั้นนายสมศักดิ์ ผู้ตาย ซึ่งเป็นสามีของผู้เสียหายขับรถกระบะมาที่เกิดเหตุ นายเกียรติศักดิ์บอกผู้ตายว่าถูกจำเลยใช้อาวุธมีดแทงศีรษะ ผู้ตายจึงแย่งไม้จากนายนิกรณ์แล้วตีศีรษะนายนิกรณ์หลายครั้งจนล้มลง จากนั้นจำเลยวิ่งถืออาวุธมีดออกมาจากบ้านที่เกิดเหตุเพื่อจะเข้ามาแทงผู้เสียหาย ผู้ตายใช้ลำตัวเข้าบังผู้เสียหายไว้ คมมีดจึงไม่ถูกผู้เสียหาย แต่ไปถูกบริเวณลิ้นปี่ของผู้ตาย ทำให้อวัยวะภายในช่องอกของผู้ตายเป็นบาดแผลอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 72 และมาตรา 288 ประกอบมาตรา 60, 72 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยพลาดและโดยบันดาลโทสะ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี ยกคำร้องคดีส่วนแพ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เฉพาะคดีส่วนแพ่งเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาท แก่โจทก์ร่วมที่ 1 และชำระเงิน 240,000 บาท แก่โจทก์ร่วมที่ 2 พร้อมดอกเบี้ย จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาคดีส่วนอาญายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยในคดีส่วนอาญาเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 9 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว และจำเลยไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 9 เพื่อพิจารณาและอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำฟ้องฎีกาของจำเลยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด จึงอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และรับฎีกาจำเลย สำเนาให้อีกฝ่ายแก้...” ดังนี้ จึงเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า ฎีกาของจำเลยชอบด้วยกฎหมายที่ศาลฎีกาจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ ในปัญหานี้ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่ได้บัญญัติวิธีการขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสาม และมาตรา 252 มาใช้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ด้วยการยื่นคำร้องขออนุญาตถึงผู้พิพากษานั้น แต่ก็เป็นเพียงนำมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้เท่านั้น ทั้งเหตุผลที่ต้องให้ผู้ฎีกายื่นคำร้องดังกล่าว ก็เพื่อให้ทราบถึงเจตนาของผู้ยื่นฎีกาว่าประสงค์ให้ผู้พิพากษาคนใดพิจารณาอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพื่อที่ศาลที่รับคำร้องจะได้ส่งคำร้องพร้อมสำนวนความไปยังผู้พิพากษาดังกล่าวพิจารณาและมีคำสั่งต่อไป โดยที่การยื่นฎีกาในคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคสอง และมาตรา 223 บัญญัติให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น และให้เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นตรวจฎีกาว่าควรจะรับส่งขึ้นไปยังศาลฎีกาหรือไม่ เมื่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ศาลชั้นต้นนั้น จึงมีอำนาจตรวจฎีกา และเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด ก็ย่อมมีอำนาจสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไปในคำฟ้องฎีกาเสียทีเดียวได้ แม้จำเลยจะมิได้ยื่นคำร้องเพื่อขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมาด้วยก็ตาม เพราะถือเป็นดุลพินิจเด็ดขาดของผู้พิพากษาที่สั่งอนุญาต การที่ผู้พิพากษาดังกล่าวตรวจฎีกาแล้วเห็นว่า ข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด จึงอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และรับฎีกาของจำเลยไว้ จึงเป็นกรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องตามเจตนารมณ์แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 แล้ว ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยต่อไปได้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี การที่จำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ศาลล่างทั้งสองได้กำหนดโทษจำคุก 6 ปี ซึ่งน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดตามที่ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72 ให้อำนาจไว้ ทั้งยังลดโทษให้จำเลยอีกหนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี อันเป็นโทษที่เหมาะสมแก่สภาพความผิดแล้ว ส่วนพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายกันมาก่อนเวลาเกิดเหตุไม่นาน โดยจำเลยเองมีส่วนในการวิวาทโดยใช้มีดเป็นอาวุธทำร้ายร่างกายฝ่ายผู้เสียหายด้วย การที่จำเลยยังคงใช้มีดเป็นอาวุธแทงผู้ตายในเวลาต่อมาอีกเช่นนี้นับว่าเป็นการกระทำที่ร้ายแรง ส่วนการวางเงินต่อศาลเพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนก็เป็นเรื่องที่จำเลยต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาอยู่แล้ว แม้จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือไม่เคยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ หรือยังมีภาระต้องดูแลครอบครัวดังที่จำเลยอ้างในฎีกา ก็ยังไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมทั้งสองหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า แม้ผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดอยู่ด้วย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย นางเหี้ยงซึ่งเป็นมารดาของผู้ตาย และเด็กหญิงนาฏยาซึ่งเป็นบุตรของผู้ตาย ย่อมไม่มีอำนาจเข้ามาจัดการแทนผู้ตายและไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยก็ตาม แต่บุคคลทั้งสองเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของจำเลย จึงเป็นผู้ที่ถูกโต้แย้งสิทธิในทางแพ่งและมีสิทธิเรียกร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ตายเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยหรือไม่ ส่วนจะกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้มากน้อยเพียงใด ย่อมต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 วรรคหนึ่ง และมาตรา 438 วรรคหนึ่ง ที่ให้พิจารณาว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร ซึ่งเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว แม้ฝ่ายผู้ตายและฝ่ายจำเลยจะมีเหตุทะเลาะวิวาทกันมาก่อน แต่เหตุดังกล่าวยุติไปแล้ว การที่ในเวลาต่อมาผู้ตายใช้ไม้เป็นอาวุธตีทำร้ายนายนิกรณ์ บิดาของจำเลย จนเกิดเหตุคดีนี้ขึ้น ถือได้ว่าผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 กำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางเหี้ยงเป็นค่าปลงศพ 60,000 บาท กับค่าขาดไร้อุปการะแก่เด็กหญิงนาฏยา 720,000 บาท โดยให้จำเลยรับผิดในค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวเพียงหนึ่งในสามส่วนพร้อมด้วยดอกเบี้ย นับว่าเหมาะสมแล้ว ส่วนที่จำเลยอ้างว่ามีฐานะยากจนทำนองว่าจำเลยไม่สามารถชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำพิพากษาได้ ก็ไม่ใช่เหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 เป็นอย่างอื่น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การทำนองเดียวกันว่าหนี้เงินกู้เป็นการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกันเพื่อใช้เป็นเงินทุนในกิจการของจำเลยที่ 1 ปัจจุบันมีการชำระหนี้แล้ว และชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจตัดสินใจ ในการบริหารงานของจำเลยที่ 1 การตัดสินใจขึ้นอยู่กับ ป. จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกู้ยืมเงินกับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อตามที่ ป. สั่ง จึงมิได้กระทำการในนามตนเองและมิได้รับเงินหรือประโยชน์ใด ๆ เงินที่กู้ยืมนำไปใช้ในกิจการของจำเลยที่ 1 ถือว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่ามีการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จริงยิ่งกว่านั้นการที่ ป. ลงลายมือชื่อทั้งในช่องผู้กู้และช่องผู้ให้กู้ตามสัญญากู้ยืมเงินและใบรับเงินกู้เอกสารหมาย จ.6 ลงลายมือชื่อช่องผู้ให้กู้ตามสัญญากู้เงินและใบรับเงินกู้เอกสารหมาย จ.7 และลงลายมือชื่ออนุมัติกรณีจำเลยที่ 1 ขอกู้ยืมเงิน 25,500,000 บาท เพื่อนำมาใช้ในการโอนที่ดิน อีกทั้ง ป. ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค 2 ฉบับ จากบัญชีโจทก์มอบให้จำเลยที่ 1 แล้วมีการเบิกถอนเงินตามเช็คไปแล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์แล้ว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์จริง กรณีนี้ไม่จำต้องอาศัยหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญมาแสดงต่อศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1
เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 มีภาระการพิสูจน์ในเรื่องนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 แต่ตามทางนำสืบของจำเลยที่ 1 คงมีแต่ตัวจำเลยที่ 2 เป็นพยานเพียงปากเดียวเบิกความลอย ๆ ว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้เงินกู้ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ จึงมีรายการหนี้เงินกู้ของโจทก์ค้างอยู่ในงบการเงินของจำเลยที่ 1 โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดตามที่ระบุไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคสอง มาแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 23,429,376.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 9 ต่อปี ของต้นเงิน 15,500,000 บาท นับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 15,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี ของต้นเงิน 15,500,000 บาท นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2557 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 27 มกราคม 2563) ต้องไม่เกิน 7,879,376.71 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน 2546 ถึงวันที่ 25 เมษายน 2556 มีนายปรีชาเป็นกรรมการผู้เดียวที่มีอำนาจลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัทกระทำการแทนบริษัทโจทก์ได้ เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2554 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในนามของจำเลยที่ 1 ส่วนนายปรีชาลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในนามของจำเลยที่ 1 และในช่องผู้ให้กู้ในนามของโจทก์ ซึ่งมีข้อความระบุว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงิน 4,500,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี และจำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้จากโจทก์เป็นเช็คธนาคาร น. สาขาย่อยสรงประภา จำนวนเงิน 4,500,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงินและใบรับเงินกู้ เอกสารหมาย จ.6 แผ่นที่ 1 และที่ 2 และเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2554 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในนามของจำเลยที่ 1 และนายปรีชาลงลายมือชื่อในช่องผู้ให้กู้ในนามของโจทก์ ซึ่งมีข้อความระบุว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงิน 25,500,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี และจำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้จากโจทก์ เป็นเช็คธนาคาร น. สาขาย่อยสรงประภา จำนวนเงิน 25,500,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงินและใบรับเงินกู้ เอกสารหมาย จ.7 ต่อมาวันที่ 9 ตุลาคม 2555 นายปรีชาถึงแก่ความตาย มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และจำเลยที่ 1 ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้เงินกู้ 15,500,000 บาท แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้หรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” ดังนั้น แม้ตามใบรับเงินฉบับลงวันที่ 21 มกราคม 2554 เอกสารหมาย จ.6 และใบรับเงินฉบับลงวันที่ 24 มิถุนายน 2554 เอกสารหมาย จ.7 จะเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน แต่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปคือ ต้องมีการลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ มิฉะนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ เมื่อพิจารณาจากเอกสารหมาย ล.6 (ที่ถูก จ.6) และ ล.7 (ที่ถูก จ.7) ว่าเป็นการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงต้องพิจารณาถึงบุคคลผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลซึ่งได้กำหนดบุคคลผู้มีอำนาจและประทับตราสำคัญของบริษัท ปรากฏตามหนังสือรับรอง ระบุว่า ระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549 ถึงวันที่ 18 ตุลาคม 2555 กรรมการผู้มีอำนาจคือ นายปรีชาลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท จึงจะผูกพันบริษัทจำเลยที่ 1 แต่ตามเอกสารหมาย ล.6 (ที่ถูก จ.6) และ ล.7 (ที่ถูก จ.7) มีการลงลายมือชื่อของนายปรีชาโดยมิได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำการแทนนิติบุคคล เมื่อไม่มีการลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ เอกสารหมาย ล.6 (ที่ถูก จ.6) และ ล.7 (ที่ถูก จ.7) ย่อมไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ นั้น เห็นว่า เมื่อพิเคราะห์ตามรูปเรื่องแห่งคดีนี้แล้ว การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การในทำนองเดียวกันซึ่งสรุปใจความได้ว่า หนี้เงินกู้ตามฟ้องเป็นการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกันเพื่อใช้เป็นเงินทุนในกิจการของจำเลยที่ 1 ปัจจุบันได้มีการชำระหนี้แล้ว และชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจตัดสินใจในการบริหารงานของจำเลยที่ 1 การตัดสินใจขึ้นอยู่กับนายปรีชา จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกู้ยืมเงินกับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อตามที่นายปรีชาสั่งให้ดำเนินการ จึงมิได้เป็นการกระทำในนามของตนเองและมิได้รับเงินหรือประโยชน์ใด ๆ เงินที่กู้ยืมนำไปใช้ในกิจการของจำเลยที่ 1 นั้น ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่า มีการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามฟ้องจริง ยิ่งกว่านั้นเมื่อพิจารณาตามเหตุผลของเรื่องแล้ว การที่นายปรีชาลงลายมือชื่อทั้งในช่องผู้กู้และช่องผู้ให้กู้ตามสัญญากู้ยืมเงินและใบรับเงินกู้เอกสารหมาย จ.6 ลงลายมือชื่อช่องผู้ให้กู้ตามสัญญากู้เงินและใบรับเงินกู้ เอกสารหมาย จ.7 และลงลายมือชื่ออนุมัติกรณีจำเลยที่ 1 ขอกู้ยืมเงิน 25,500,000 บาท เพื่อนำมาใช้ในการโอนที่ดิน อีกทั้งนายปรีชาได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคาร น. สาขาย่อยสรงประภา จำนวนเงิน 4,500,000 บาท และ 25,500,000 บาท จากบัญชีของโจทก์มอบให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วมีการเบิกถอนเงินตามเช็คไปแล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์แล้ว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์จริง กรณีนี้ไม่จำต้องอาศัยหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญมาแสดงต่อศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง แต่ประการใด ดังนั้น โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาในประเด็นข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการที่สองมีว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อพิจารณาถึงรายการในงบแสดงฐานะการเงินของโจทก์ ว่าเป็นเรื่องตัวเลขที่สรุปฐานะการเงินประจำปีของนิติบุคคลที่ยื่นต่อหน่วยราชการ ซึ่งจะเชื่อถือได้ว่าเป็นความจริงจะต้องมีพยานเอกสารอื่นมาแสดงประกอบด้วย อีกทั้งเมื่อพิเคราะห์ตามคำเบิกความพยานโจทก์ปากนางสาวเบญญาภาก็ไม่ได้ยืนยันว่า รายการให้กู้ยืม 31,398,073.53 บาท เป็นรายการหนี้ให้กู้ยืมแก่จำเลยที่ 1 นอกจากนี้แล้วโจทก์ยังมีใบเสร็จรับเงินเป็นพยานหลักฐานอันแสดงให้เห็นว่า ในปี 2556 ถึงปี 2557 จำเลยที่ 1 ยังผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่นำสืบหักล้างในเรื่องนี้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งคดีว่า ในปี 2562 และปี 2563 จำเลยที่ 1 ยังคงระบุรายการในแบบนำส่งงบการเงินของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้เงินกู้ระยะยาวของโจทก์อยู่เป็นเงิน 15,550,000 บาท เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 มีภาระการพิสูจน์ในเรื่องนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 แต่ตามทางนำสืบของจำเลยที่ 1 คงมีแต่ตัวจำเลยที่ 2 เป็นพยานเพียงปากเดียวเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ ว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้เงินกู้ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ จึงมีรายการหนี้เงินกู้ของโจทก์ค้างอยู่ในงบการเงินของจำเลยที่ 1 โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง มาแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วจริง ดังนั้น จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดรับชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาในประเด็นข้อนี้ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การทำนองเดียวกันว่าหนี้เงินกู้เป็นการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกันเพื่อใช้เป็นเงินทุนในกิจการของจำเลยที่ 1 ปัจจุบันมีการชำระหนี้แล้ว และชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจตัดสินใจ ในการบริหารงานของจำเลยที่ 1 การตัดสินใจขึ้นอยู่กับ ป. จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกู้ยืมเงินกับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อตามที่ ป. สั่ง จึงมิได้กระทำการในนามตนเองและมิได้รับเงินหรือประโยชน์ใด ๆ เงินที่กู้ยืมนำไปใช้ในกิจการของจำเลยที่ 1 ถือว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่ามีการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จริงยิ่งกว่านั้นการที่ ป. ลงลายมือชื่อทั้งในช่องผู้กู้และช่องผู้ให้กู้ตามสัญญากู้ยืมเงินและใบรับเงินกู้เอกสารหมาย จ.6 ลงลายมือชื่อช่องผู้ให้กู้ตามสัญญากู้เงินและใบรับเงินกู้เอกสารหมาย จ.7 และลงลายมือชื่ออนุมัติกรณีจำเลยที่ 1 ขอกู้ยืมเงิน 25,500,000 บาท เพื่อนำมาใช้ในการโอนที่ดิน อีกทั้ง ป. ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค 2 ฉบับ จากบัญชีโจทก์มอบให้จำเลยที่ 1 แล้วมีการเบิกถอนเงินตามเช็คไปแล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์แล้ว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์จริง กรณีนี้ไม่จำต้องอาศัยหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญมาแสดงต่อศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1
เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 มีภาระการพิสูจน์ในเรื่องนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 แต่ตามทางนำสืบของจำเลยที่ 1 คงมีแต่ตัวจำเลยที่ 2 เป็นพยานเพียงปากเดียวเบิกความลอย ๆ ว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้เงินกู้ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ จึงมีรายการหนี้เงินกู้ของโจทก์ค้างอยู่ในงบการเงินของจำเลยที่ 1 โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดตามที่ระบุไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคสอง มาแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 23,429,376.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 9 ต่อปี ของต้นเงิน 15,500,000 บาท นับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 15,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี ของต้นเงิน 15,500,000 บาท นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2557 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 27 มกราคม 2563) ต้องไม่เกิน 7,879,376.71 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน 2546 ถึงวันที่ 25 เมษายน 2556 มีนายปรีชาเป็นกรรมการผู้เดียวที่มีอำนาจลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัทกระทำการแทนบริษัทโจทก์ได้ เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2554 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในนามของจำเลยที่ 1 ส่วนนายปรีชาลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในนามของจำเลยที่ 1 และในช่องผู้ให้กู้ในนามของโจทก์ ซึ่งมีข้อความระบุว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงิน 4,500,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี และจำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้จากโจทก์เป็นเช็คธนาคาร น. สาขาย่อยสรงประภา จำนวนเงิน 4,500,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงินและใบรับเงินกู้ เอกสารหมาย จ.6 แผ่นที่ 1 และที่ 2 และเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2554 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในนามของจำเลยที่ 1 และนายปรีชาลงลายมือชื่อในช่องผู้ให้กู้ในนามของโจทก์ ซึ่งมีข้อความระบุว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงิน 25,500,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี และจำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้จากโจทก์ เป็นเช็คธนาคาร น. สาขาย่อยสรงประภา จำนวนเงิน 25,500,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงินและใบรับเงินกู้ เอกสารหมาย จ.7 ต่อมาวันที่ 9 ตุลาคม 2555 นายปรีชาถึงแก่ความตาย มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และจำเลยที่ 1 ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้เงินกู้ 15,500,000 บาท แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้หรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” ดังนั้น แม้ตามใบรับเงินฉบับลงวันที่ 21 มกราคม 2554 เอกสารหมาย จ.6 และใบรับเงินฉบับลงวันที่ 24 มิถุนายน 2554 เอกสารหมาย จ.7 จะเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน แต่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปคือ ต้องมีการลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ มิฉะนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ เมื่อพิจารณาจากเอกสารหมาย ล.6 (ที่ถูก จ.6) และ ล.7 (ที่ถูก จ.7) ว่าเป็นการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงต้องพิจารณาถึงบุคคลผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลซึ่งได้กำหนดบุคคลผู้มีอำนาจและประทับตราสำคัญของบริษัท ปรากฏตามหนังสือรับรอง ระบุว่า ระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549 ถึงวันที่ 18 ตุลาคม 2555 กรรมการผู้มีอำนาจคือ นายปรีชาลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท จึงจะผูกพันบริษัทจำเลยที่ 1 แต่ตามเอกสารหมาย ล.6 (ที่ถูก จ.6) และ ล.7 (ที่ถูก จ.7) มีการลงลายมือชื่อของนายปรีชาโดยมิได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำการแทนนิติบุคคล เมื่อไม่มีการลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ เอกสารหมาย ล.6 (ที่ถูก จ.6) และ ล.7 (ที่ถูก จ.7) ย่อมไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ นั้น เห็นว่า เมื่อพิเคราะห์ตามรูปเรื่องแห่งคดีนี้แล้ว การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การในทำนองเดียวกันซึ่งสรุปใจความได้ว่า หนี้เงินกู้ตามฟ้องเป็นการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกันเพื่อใช้เป็นเงินทุนในกิจการของจำเลยที่ 1 ปัจจุบันได้มีการชำระหนี้แล้ว และชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจตัดสินใจในการบริหารงานของจำเลยที่ 1 การตัดสินใจขึ้นอยู่กับนายปรีชา จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกู้ยืมเงินกับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อตามที่นายปรีชาสั่งให้ดำเนินการ จึงมิได้เป็นการกระทำในนามของตนเองและมิได้รับเงินหรือประโยชน์ใด ๆ เงินที่กู้ยืมนำไปใช้ในกิจการของจำเลยที่ 1 นั้น ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่า มีการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามฟ้องจริง ยิ่งกว่านั้นเมื่อพิจารณาตามเหตุผลของเรื่องแล้ว การที่นายปรีชาลงลายมือชื่อทั้งในช่องผู้กู้และช่องผู้ให้กู้ตามสัญญากู้ยืมเงินและใบรับเงินกู้เอกสารหมาย จ.6 ลงลายมือชื่อช่องผู้ให้กู้ตามสัญญากู้เงินและใบรับเงินกู้ เอกสารหมาย จ.7 และลงลายมือชื่ออนุมัติกรณีจำเลยที่ 1 ขอกู้ยืมเงิน 25,500,000 บาท เพื่อนำมาใช้ในการโอนที่ดิน อีกทั้งนายปรีชาได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคาร น. สาขาย่อยสรงประภา จำนวนเงิน 4,500,000 บาท และ 25,500,000 บาท จากบัญชีของโจทก์มอบให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วมีการเบิกถอนเงินตามเช็คไปแล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์แล้ว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์จริง กรณีนี้ไม่จำต้องอาศัยหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญมาแสดงต่อศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง แต่ประการใด ดังนั้น โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาในประเด็นข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการที่สองมีว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อพิจารณาถึงรายการในงบแสดงฐานะการเงินของโจทก์ ว่าเป็นเรื่องตัวเลขที่สรุปฐานะการเงินประจำปีของนิติบุคคลที่ยื่นต่อหน่วยราชการ ซึ่งจะเชื่อถือได้ว่าเป็นความจริงจะต้องมีพยานเอกสารอื่นมาแสดงประกอบด้วย อีกทั้งเมื่อพิเคราะห์ตามคำเบิกความพยานโจทก์ปากนางสาวเบญญาภาก็ไม่ได้ยืนยันว่า รายการให้กู้ยืม 31,398,073.53 บาท เป็นรายการหนี้ให้กู้ยืมแก่จำเลยที่ 1 นอกจากนี้แล้วโจทก์ยังมีใบเสร็จรับเงินเป็นพยานหลักฐานอันแสดงให้เห็นว่า ในปี 2556 ถึงปี 2557 จำเลยที่ 1 ยังผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่นำสืบหักล้างในเรื่องนี้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งคดีว่า ในปี 2562 และปี 2563 จำเลยที่ 1 ยังคงระบุรายการในแบบนำส่งงบการเงินของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้เงินกู้ระยะยาวของโจทก์อยู่เป็นเงิน 15,550,000 บาท เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 มีภาระการพิสูจน์ในเรื่องนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 แต่ตามทางนำสืบของจำเลยที่ 1 คงมีแต่ตัวจำเลยที่ 2 เป็นพยานเพียงปากเดียวเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ ว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้เงินกู้ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ จึงมีรายการหนี้เงินกู้ของโจทก์ค้างอยู่ในงบการเงินของจำเลยที่ 1 โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง มาแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วจริง ดังนั้น จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดรับชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาในประเด็นข้อนี้ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
เหตุการณ์ตอนแรกที่จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว การที่จำเลยกับพวกร่วมกันขับรถกระบะพาผู้เสียหายที่ 1 ออกจากบ้านที่เกิดเหตุไปยังคลองชลประทาน 2 ขวา ซึ่งอยู่คนละจังหวัด จำเลยกับพวกย่อมมีโอกาสคิดไตร่ตรองทบทวนและตัดสินใจอยู่เป็นเวลานานว่าจะยิงผู้เสียหายที่ 1 ให้ถึงแก่ความตายหรือไม่ การที่จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 จนถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ให้ถึงแก่ความตายอันเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ป.อ. มาตรา 289 (4)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288, 289 และนับโทษจำคุกคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1797/2562 ของศาลจังหวัดบุรีรัมย์
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นายจำลอง น้องชายของนายจำรัส ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อชีวิต 1,200,000 บาท และค่าปลงศพ 50,000 บาท
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 83 ให้ประหารชีวิต ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1797/2562 ของศาลจังหวัดบุรีรัมย์นั้น เนื่องจากคดีนี้ศาลลงโทษประหารชีวิตจำเลย กรณีไม่อาจนับโทษต่อได้ จึงให้ยกคำขอในส่วนนี้ และยกฟ้องข้อหาพยายามฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กับยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 จำคุกตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2548 เวลาประมาณ 17 นาฬิกา ขณะที่จำเลยกำลังเล่นตะกร้ออยู่หน้าบ้านนางเล็ก มารดาจำเลย นายจำรัส ผู้เสียหายที่ 1 และนายสุทัศน์ ผู้เสียหายที่ 2 ไปหาจำเลยที่บ้านที่เกิดเหตุ เมื่อจำเลยเห็นผู้เสียหายทั้งสองจึงเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุแล้วออกจากบ้านที่เกิดเหตุพร้อมอาวุธปืน จากนั้นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 หลายนัด กระสุนปืนถูกบริเวณลำตัวผู้เสียหายที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กายและหมดสติไป เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ฟื้นได้สติและร้องขอน้ำดื่ม พวกของจำเลยเข้าไปรุมกระทืบ เตะ และต่อยผู้เสียหายที่ 1 จนหมดสติ ต่อมาจำเลยกับพวกช่วยกันใช้เชือกมัดมือมัดเท้าของผู้เสียหายที่ 1 แล้วนำขึ้นท้ายรถกระบะขับออกจากบ้านที่เกิดเหตุพาผู้เสียหายที่ 1 ไปยังคลองชลประทาน 2 ขวา แล้วจำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้เสียหายที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ถึงแก่ความตาย ต่อมาวันที่ 4 มีนาคม 2548 มีผู้พบศพผู้เสียหายที่ 1 อยู่ในคลองชลประทาน 2 ขวา การกระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 และฐานร่วมกันฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ส่วนความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 และฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 โดยไตร่ตรองไว้ก่อน กับคดีส่วนแพ่งยุติไปตามคำพิพากษาชั้นต้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่า การกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้เสียหายที่ 1 เป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่า แม้การกระทำความผิดของจำเลยฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 และฐานร่วมกันฆ่าผู้เสียหายที่ 1 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันไม่ขาดตอนและทางนำสืบของโจทก์ไม่ได้ความว่ามีการวางแผนล่วงหน้าที่จะฆ่าผู้เสียหายที่ 1 มาก่อนดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย แต่เหตุการณ์ตอนแรกที่จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว เช่นนี้ เหตุการณ์ตอนหลังที่จำเลยกับพวกร่วมกันขับรถกระบะพาผู้เสียหายที่ 1 ออกจากบ้านที่เกิดเหตุไปยังคลองชลประทาน 2 ขวา ซึ่งอยู่คนละจังหวัดกัน แล้วร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 จนถึงแก่ความตาย จึงหาใช่จำเลยกับพวกร่วมกันกระทำในขณะที่เกิดโทสะพลุ่งขึ้นเฉพาะหน้าจากเหตุการณ์ตอนแรกในทันทีทันใดไม่ ทั้งในช่วงเวลาที่จำเลยกับพวกเดินทางไปยังคลองชลประทาน 2 ขวา เชื่อว่าจำเลยกับพวกมีโอกาสคิดไตร่ตรองทบทวนและตัดสินใจอยู่เป็นเวลานานว่าจะยิงผู้เสียหายที่ 1 ให้ถึงแก่ความตายหรือไม่ การที่จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 จนถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ให้ถึงแก่ความตายอันเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อนและให้การกระทำของจำเลยกับพวกบรรลุผลตามที่จำเลยกับพวกมีเจตนาเอาตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปฆ่าที่คลองชลประทาน 2 ขวา การกระทำของจำเลยกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยกับพวกถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น เมื่อวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งต้องลงโทษประหารชีวิตจำเลยเพียงสถานเดียวแล้ว กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ที่ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1797/2562 ของศาลจังหวัดบุรีรัมย์อันสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิตอีก
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีอาญาสำหรับจำเลยไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
เหตุการณ์ตอนแรกที่จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว การที่จำเลยกับพวกร่วมกันขับรถกระบะพาผู้เสียหายที่ 1 ออกจากบ้านที่เกิดเหตุไปยังคลองชลประทาน 2 ขวา ซึ่งอยู่คนละจังหวัด จำเลยกับพวกย่อมมีโอกาสคิดไตร่ตรองทบทวนและตัดสินใจอยู่เป็นเวลานานว่าจะยิงผู้เสียหายที่ 1 ให้ถึงแก่ความตายหรือไม่ การที่จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 จนถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ให้ถึงแก่ความตายอันเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ป.อ. มาตรา 289 (4)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288, 289 และนับโทษจำคุกคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1797/2562 ของศาลจังหวัดบุรีรัมย์
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นายจำลอง น้องชายของนายจำรัส ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อชีวิต 1,200,000 บาท และค่าปลงศพ 50,000 บาท
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 83 ให้ประหารชีวิต ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1797/2562 ของศาลจังหวัดบุรีรัมย์นั้น เนื่องจากคดีนี้ศาลลงโทษประหารชีวิตจำเลย กรณีไม่อาจนับโทษต่อได้ จึงให้ยกคำขอในส่วนนี้ และยกฟ้องข้อหาพยายามฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กับยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 จำคุกตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2548 เวลาประมาณ 17 นาฬิกา ขณะที่จำเลยกำลังเล่นตะกร้ออยู่หน้าบ้านนางเล็ก มารดาจำเลย นายจำรัส ผู้เสียหายที่ 1 และนายสุทัศน์ ผู้เสียหายที่ 2 ไปหาจำเลยที่บ้านที่เกิดเหตุ เมื่อจำเลยเห็นผู้เสียหายทั้งสองจึงเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุแล้วออกจากบ้านที่เกิดเหตุพร้อมอาวุธปืน จากนั้นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 หลายนัด กระสุนปืนถูกบริเวณลำตัวผู้เสียหายที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กายและหมดสติไป เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ฟื้นได้สติและร้องขอน้ำดื่ม พวกของจำเลยเข้าไปรุมกระทืบ เตะ และต่อยผู้เสียหายที่ 1 จนหมดสติ ต่อมาจำเลยกับพวกช่วยกันใช้เชือกมัดมือมัดเท้าของผู้เสียหายที่ 1 แล้วนำขึ้นท้ายรถกระบะขับออกจากบ้านที่เกิดเหตุพาผู้เสียหายที่ 1 ไปยังคลองชลประทาน 2 ขวา แล้วจำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้เสียหายที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ถึงแก่ความตาย ต่อมาวันที่ 4 มีนาคม 2548 มีผู้พบศพผู้เสียหายที่ 1 อยู่ในคลองชลประทาน 2 ขวา การกระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 และฐานร่วมกันฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ส่วนความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 และฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 โดยไตร่ตรองไว้ก่อน กับคดีส่วนแพ่งยุติไปตามคำพิพากษาชั้นต้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่า การกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้เสียหายที่ 1 เป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่า แม้การกระทำความผิดของจำเลยฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 และฐานร่วมกันฆ่าผู้เสียหายที่ 1 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันไม่ขาดตอนและทางนำสืบของโจทก์ไม่ได้ความว่ามีการวางแผนล่วงหน้าที่จะฆ่าผู้เสียหายที่ 1 มาก่อนดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย แต่เหตุการณ์ตอนแรกที่จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว เช่นนี้ เหตุการณ์ตอนหลังที่จำเลยกับพวกร่วมกันขับรถกระบะพาผู้เสียหายที่ 1 ออกจากบ้านที่เกิดเหตุไปยังคลองชลประทาน 2 ขวา ซึ่งอยู่คนละจังหวัดกัน แล้วร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 จนถึงแก่ความตาย จึงหาใช่จำเลยกับพวกร่วมกันกระทำในขณะที่เกิดโทสะพลุ่งขึ้นเฉพาะหน้าจากเหตุการณ์ตอนแรกในทันทีทันใดไม่ ทั้งในช่วงเวลาที่จำเลยกับพวกเดินทางไปยังคลองชลประทาน 2 ขวา เชื่อว่าจำเลยกับพวกมีโอกาสคิดไตร่ตรองทบทวนและตัดสินใจอยู่เป็นเวลานานว่าจะยิงผู้เสียหายที่ 1 ให้ถึงแก่ความตายหรือไม่ การที่จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 จนถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ให้ถึงแก่ความตายอันเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อนและให้การกระทำของจำเลยกับพวกบรรลุผลตามที่จำเลยกับพวกมีเจตนาเอาตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปฆ่าที่คลองชลประทาน 2 ขวา การกระทำของจำเลยกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยกับพวกถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น เมื่อวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งต้องลงโทษประหารชีวิตจำเลยเพียงสถานเดียวแล้ว กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ที่ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1797/2562 ของศาลจังหวัดบุรีรัมย์อันสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิตอีก
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีอาญาสำหรับจำเลยไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 3 บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (1) การผลิต การจำหน่าย การขนส่ง การมีไว้ในครอบครอง การสำรองและการส่งออกนอกราชอาณาจักรและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด...” ต่อมานายกรัฐมนตรีออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งข้อ 9/1 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่จำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด การออกคำสั่งของนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 อาศัยอำนาจตามมาตรา 3 (1) แห่ง พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 สืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นและน้ำมันดิบที่จะหาซื้อมีปริมาณลดลงอันจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทย การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการให้ผู้ค้าน้ำมันที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยอาศัยมาตรา 3 แห่ง พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 แม้มาตรานี้จะมิได้บัญญัติไว้โดยตรงให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้จัดเก็บหรือตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็ตาม แต่คำสั่งของนายกรัฐมนตรีสอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมายในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง จึงถือว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งดังกล่าวได้ ทั้งปัญหาว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งได้หรือไม่นั้น เป็นข้อกฎหมายซึ่งไม่อาจนำความเห็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใดมายืนยันได้ แม้จะได้ความตามทางนำสืบของจำเลยเกี่ยวกับผลการพิจารณาของผู้ตรวจการแผ่นดิน ครั้งที่ 22/2556 ว่า คำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ออกโดยไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการออกคำสั่งเพื่อให้เรียกเก็บเงินและจ่ายเงินชดเชยหรือจ่ายเงินคืนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ และจำเลยได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดขอให้เพิกถอนคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติมที่ 4/2554 และกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งหรือนิติกรรมทางปกครองที่เกี่ยวเนื่องกับคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว รวมทั้งขอให้เพิกถอนอำนาจในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของโจทก์ที่ 1 เป็นคดีของศาลปกครองสูงสุดก็ตาม แต่เมื่อศาลปกครองสูงสุดยังมิได้มีคำวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว กรณีจึงยังต้องถือว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยในฐานะผู้ค้าน้ำมันจึงมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีจนกว่าคำสั่งดังกล่าวจะถูกยกเลิก ที่จำเลยอ้างว่าคำสั่งที่ให้ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันมิใช่บริการสาธารณะจึงเป็นการนอกวัตถุประสงค์ และการไม่นำส่งเงินดังกล่าวเข้าคลังก่อนเป็นการมิชอบ เพื่อปฏิเสธอำนาจฟ้องของโจทก์ทั้งสองนั้น เหตุแห่งการปฏิเสธความรับผิดของจำเลยดังกล่าวเป็นคนละส่วนกับการที่จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เมื่อจำเลยเป็นผู้ค้ำน้ำมันซึ่งได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันมาก่อน จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าเป็นการนอกวัตถุประสงค์หาได้ไม่ ส่วนโจทก์ทั้งสองต้องนำส่งเงินที่ได้รับมาเข้าคลังก่อนหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องระหว่างกระทรวงการคลังกับโจทก์ทั้งสองที่ต้องดำเนินการต่อไป และที่จำเลยอ้างว่าตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธุรกิจพลังงาน พ.ศ. 2556 กับคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 ไม่มีข้อกำหนดให้โจทก์ที่ 2 มีอำนาจหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินจากผู้ค้าน้ำมันนั้น ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 26 (2) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 กำหนดว่า ในกรณีที่กรมธุรกิจพลังงาน (โจทก์ที่ 2) ตรวจพบว่ามีผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุนหรือส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง ให้โจทก์ที่ 2 แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่งหรือตามจำนวนที่ขาด โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินจากจำเลยโดยอาศัยคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เมื่อจำเลยไม่ส่งเงินเข้ากองทุนตามที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากโจทก์ที่ 2 จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน 121,048,633.29 บาท พร้อมเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน ของต้นเงินจำนวน 77,952,717 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองเพื่อนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 121,048,633.29 บาท พร้อมเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน ของต้นเงินจำนวน 77,952,717 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 1 กรกฎาคม 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองเพื่อนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 3 บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (1) การผลิต การจำหน่าย การขนส่ง การมีไว้ในครอบครอง การสำรองและการส่งออกนอกราชอาณาจักรและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด...” ต่อมานายกรัฐมนตรีออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งข้อ 9/1 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่จำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด การออกคำสั่งของนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 เป็นการออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 3 (1) แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 สืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นและน้ำมันดิบที่จะหาซื้อมีปริมาณลดลงอันจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทย การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการให้ผู้ค้าน้ำมันที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยอาศัยมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 แม้มาตรานี้จะมิได้บัญญัติไว้โดยตรงให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้จัดเก็บหรือตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็ตาม แต่คำสั่งของนายกรัฐมนตรีเป็นคำสั่งที่สอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมายในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง จึงถือว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งดังกล่าวได้ ทั้งปัญหาว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งได้หรือไม่นั้น เป็นข้อกฎหมายซึ่งไม่อาจนำความเห็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใดมายืนยันว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจหรือไม่มีอำนาจออกคำสั่งได้ แม้จะได้ความตามทางนำสืบของจำเลยว่า ผลการพิจารณาของผู้ตรวจการแผ่นดิน ครั้งที่ 22/2556 ว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ออกโดยไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการออกคำสั่งเพื่อให้เรียกเก็บเงินและจ่ายเงินชดเชยหรือจ่ายเงินคืนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ และจำเลยได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดขอให้เพิกถอนคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติมที่ 4/2554 และกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งหรือนิติกรรมทางปกครองที่เกี่ยวเนื่องกับคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว รวมทั้งขอให้เพิกถอนอำนาจในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของโจทก์ที่ 1 เป็นคดีหมายเลขดำที่ ฟร.4/2560 ของศาลปกครองสูงสุดก็ตาม แต่เมื่อศาลปกครองสูงสุดยังมิได้มีคำวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว กรณีจึงยังต้องถือว่าคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยในฐานะผู้ค้าน้ำมันจึงมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีจนกว่าคำสั่งดังกล่าวจะถูกยกเลิก ที่จำเลยอ้างว่าคำสั่งที่ให้ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันมิใช่บริการสาธารณะจึงเป็นการนอกวัตถุประสงค์และการไม่นำส่งเงินดังกล่าวเข้าคลังก่อนเป็นการมิชอบเพื่อปฏิเสธอำนาจฟ้องของโจทก์ทั้งสองนั้น เหตุแห่งการปฏิเสธความรับผิดของจำเลยดังกล่าวเป็นคนละส่วนกับการที่จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เมื่อจำเลยเป็นผู้ค้าน้ำมันซึ่งได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันมาก่อน ดังนั้น จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าเป็นการนอกวัตถุประสงค์หาได้ไม่ ส่วนโจทก์ทั้งสองต้องนำส่งเงินที่ได้รับมาเข้าคลังก่อนหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องระหว่างกระทรวงการคลังกับโจทก์ทั้งสองที่ต้องดำเนินการต่อไป และที่จำเลยอ้างว่า ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธุรกิจพลังงาน พ.ศ. 2556 คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 ไม่มีข้อกำหนดให้โจทก์ที่ 2 มีอำนาจหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินจากผู้ค้าน้ำมันนั้น ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 26 (2) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 กำหนดว่า ในกรณีที่กรมธุรกิจพลังงาน (โจทก์ที่ 2) ตรวจพบว่าผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุนหรือส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง ให้โจทก์ที่ 2 แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่งหรือตามจำนวนที่ขาด โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินจากจำเลยโดยอาศัยคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เมื่อจำเลยไม่ส่งเงินเข้ากองทุนตามที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากโจทก์ที่ 2 จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ส่วนที่จำเลยอ้างว่า พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 มาตรา 2 บัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” มาตรา 48 บัญญัติว่า “ให้โอนบรรดาเงิน ทรัพย์สิน สิทธิ และหนี้สินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ที่ออกตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ไปเป็นของกองทุนตามพระราชบัญญัตินี้” และมาตรา 49 บัญญัติว่า “เมื่อพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการยุบเลิกสถาบันบริหารพลังงาน (องค์การมหาชน) ใช้บังคับ ให้โอนบรรดาเงิน ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน รวมทั้งงบประมาณของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ไปเป็นของกองทุน โดยให้ใช้จ่ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานกองทุนหรือการบริหารกองทุน” ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกายุบเลิกสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2562 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2562 และมีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 16/2562 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และที่ 4/2554 จึงเป็นอำนาจและหน้าที่ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 นับตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2562 ซึ่งกฎหมายมีผลบังคับใช้ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีนี้อีกต่อไปนั้น ข้อเท็จจริงก็ได้ความว่า สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งได้รับโอนบรรดาเงิน ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน รวมทั้งงบประมาณของโจทก์ที่ 1 มาตามพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 มาตรา 48 และมาตรา 49 ได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ส่วนโจทก์ที่ 2 นั้น ไม่ปรากฏว่าถูกยุบเลิกแต่อย่างใด โจทก์ที่ 2 จึงยังคงมีฐานะเป็นนิติบุคคล แม้ตามพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 มาตรา 34 (2) บัญญัติให้กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร หรือกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ แล้วแต่กรณี แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุน ส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่งหรือตามจำนวนที่ขาด โดยมิได้บัญญัติให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้แจ้งให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินแล้วก็ตาม แต่เงินที่จำเลยต้องส่งเข้ากองทุนตามฟ้องนั้น เป็นกรณีที่โจทก์ที่ 2 ตรวจพบว่าจำเลยไม่ส่งเงินหรือส่งเงินไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่งตั้งแต่ก่อนพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 ประกาศใช้บังคับ และเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ 2 โดยตรงที่จะต้องมีหนังสือแจ้งจำเลยให้ส่งเงินเข้ากองทุนตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 26 (2) ซึ่งยังคงมีผลใช้บังคับในขณะนั้น สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์และฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานมีอำนาจออกประกาศให้จำเลยส่งเงินเข้ากองทุนตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 6 บัญญัติว่า “คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) เสนอนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศต่อคณะรัฐมนตรี (2) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการกำหนดราคาพลังงานให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศ... (5) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย” ดังนั้น ประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ฉบับที่ 114 พ.ศ. 2555 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง จึงเป็นประกาศที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานออกใช้บังคับตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการพิจารณาปรับราคาขายปลีกก๊าซ และกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละเดือน โดยที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 6 แม้ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ 146/2561 ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีนี้ไว้แล้วว่า คดีนี้โจทก์ที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทองค์การมหาชนตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2546 ในการ (1) ดำเนินการใด ๆ เพื่อให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน และ (4) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือคณะกรรมการมอบหมาย และยังได้วินิจฉัยต่อไปว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น เมื่อคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 9/1 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่จำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้ประกาศกำหนด จำเลยมีหน้าที่ต้องนำเงินส่งให้แก่โจทก์ที่ 1 เพื่อเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจในการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติมเอง และประเด็นต่อมาว่า จำเลยต้องชำระหนี้กองทุนน้ำมันและเงินเพิ่มแก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่ เพียงใด มิอาจวินิจฉัยต่อไปได้ด้วย ไม่อาจยึดถือเอาหลักเกณฑ์อัตราเงินที่ต้องนำส่งเข้ากองทุนเท่าใด อัตราเงินเพิ่มเท่าใด ตามประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานภายใต้กำกับดูแลของโจทก์ที่ 1 ที่ไม่มีอำนาจออกประกาศโดยชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวข้างต้นนั้น ก็เป็นเพียงคำวินิจฉัยในชั้นชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล มิใช่คำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีที่พิพาทโดยตรง ศาลฎีกาไม่จำต้องถือตามคำวินิจฉัยดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีอำนาจกระทำได้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า กฎหมายที่นำมาใช้บังคับเพื่อวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 5 และมาตรา 26 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยเพิ่งยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ และไม่จำต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 3 บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (1) การผลิต การจำหน่าย การขนส่ง การมีไว้ในครอบครอง การสำรองและการส่งออกนอกราชอาณาจักรและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด...” ต่อมานายกรัฐมนตรีออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งข้อ 9/1 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่จำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด การออกคำสั่งของนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 อาศัยอำนาจตามมาตรา 3 (1) แห่ง พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 สืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นและน้ำมันดิบที่จะหาซื้อมีปริมาณลดลงอันจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทย การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการให้ผู้ค้าน้ำมันที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยอาศัยมาตรา 3 แห่ง พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 แม้มาตรานี้จะมิได้บัญญัติไว้โดยตรงให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้จัดเก็บหรือตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็ตาม แต่คำสั่งของนายกรัฐมนตรีสอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมายในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง จึงถือว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งดังกล่าวได้ ทั้งปัญหาว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งได้หรือไม่นั้น เป็นข้อกฎหมายซึ่งไม่อาจนำความเห็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใดมายืนยันได้ แม้จะได้ความตามทางนำสืบของจำเลยเกี่ยวกับผลการพิจารณาของผู้ตรวจการแผ่นดิน ครั้งที่ 22/2556 ว่า คำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ออกโดยไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการออกคำสั่งเพื่อให้เรียกเก็บเงินและจ่ายเงินชดเชยหรือจ่ายเงินคืนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ และจำเลยได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดขอให้เพิกถอนคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติมที่ 4/2554 และกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งหรือนิติกรรมทางปกครองที่เกี่ยวเนื่องกับคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว รวมทั้งขอให้เพิกถอนอำนาจในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของโจทก์ที่ 1 เป็นคดีของศาลปกครองสูงสุดก็ตาม แต่เมื่อศาลปกครองสูงสุดยังมิได้มีคำวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว กรณีจึงยังต้องถือว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยในฐานะผู้ค้าน้ำมันจึงมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีจนกว่าคำสั่งดังกล่าวจะถูกยกเลิก ที่จำเลยอ้างว่าคำสั่งที่ให้ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันมิใช่บริการสาธารณะจึงเป็นการนอกวัตถุประสงค์ และการไม่นำส่งเงินดังกล่าวเข้าคลังก่อนเป็นการมิชอบ เพื่อปฏิเสธอำนาจฟ้องของโจทก์ทั้งสองนั้น เหตุแห่งการปฏิเสธความรับผิดของจำเลยดังกล่าวเป็นคนละส่วนกับการที่จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เมื่อจำเลยเป็นผู้ค้ำน้ำมันซึ่งได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันมาก่อน จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าเป็นการนอกวัตถุประสงค์หาได้ไม่ ส่วนโจทก์ทั้งสองต้องนำส่งเงินที่ได้รับมาเข้าคลังก่อนหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องระหว่างกระทรวงการคลังกับโจทก์ทั้งสองที่ต้องดำเนินการต่อไป และที่จำเลยอ้างว่าตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธุรกิจพลังงาน พ.ศ. 2556 กับคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 ไม่มีข้อกำหนดให้โจทก์ที่ 2 มีอำนาจหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินจากผู้ค้าน้ำมันนั้น ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 26 (2) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 กำหนดว่า ในกรณีที่กรมธุรกิจพลังงาน (โจทก์ที่ 2) ตรวจพบว่ามีผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุนหรือส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง ให้โจทก์ที่ 2 แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่งหรือตามจำนวนที่ขาด โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินจากจำเลยโดยอาศัยคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เมื่อจำเลยไม่ส่งเงินเข้ากองทุนตามที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากโจทก์ที่ 2 จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน 121,048,633.29 บาท พร้อมเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน ของต้นเงินจำนวน 77,952,717 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองเพื่อนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 121,048,633.29 บาท พร้อมเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน ของต้นเงินจำนวน 77,952,717 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 1 กรกฎาคม 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองเพื่อนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 3 บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (1) การผลิต การจำหน่าย การขนส่ง การมีไว้ในครอบครอง การสำรองและการส่งออกนอกราชอาณาจักรและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด...” ต่อมานายกรัฐมนตรีออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งข้อ 9/1 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่จำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด การออกคำสั่งของนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 เป็นการออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 3 (1) แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 สืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นและน้ำมันดิบที่จะหาซื้อมีปริมาณลดลงอันจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทย การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการให้ผู้ค้าน้ำมันที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยอาศัยมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 แม้มาตรานี้จะมิได้บัญญัติไว้โดยตรงให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้จัดเก็บหรือตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็ตาม แต่คำสั่งของนายกรัฐมนตรีเป็นคำสั่งที่สอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมายในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง จึงถือว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งดังกล่าวได้ ทั้งปัญหาว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งได้หรือไม่นั้น เป็นข้อกฎหมายซึ่งไม่อาจนำความเห็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใดมายืนยันว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจหรือไม่มีอำนาจออกคำสั่งได้ แม้จะได้ความตามทางนำสืบของจำเลยว่า ผลการพิจารณาของผู้ตรวจการแผ่นดิน ครั้งที่ 22/2556 ว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ออกโดยไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการออกคำสั่งเพื่อให้เรียกเก็บเงินและจ่ายเงินชดเชยหรือจ่ายเงินคืนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ และจำเลยได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดขอให้เพิกถอนคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติมที่ 4/2554 และกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งหรือนิติกรรมทางปกครองที่เกี่ยวเนื่องกับคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว รวมทั้งขอให้เพิกถอนอำนาจในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของโจทก์ที่ 1 เป็นคดีหมายเลขดำที่ ฟร.4/2560 ของศาลปกครองสูงสุดก็ตาม แต่เมื่อศาลปกครองสูงสุดยังมิได้มีคำวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว กรณีจึงยังต้องถือว่าคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยในฐานะผู้ค้าน้ำมันจึงมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีจนกว่าคำสั่งดังกล่าวจะถูกยกเลิก ที่จำเลยอ้างว่าคำสั่งที่ให้ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันมิใช่บริการสาธารณะจึงเป็นการนอกวัตถุประสงค์และการไม่นำส่งเงินดังกล่าวเข้าคลังก่อนเป็นการมิชอบเพื่อปฏิเสธอำนาจฟ้องของโจทก์ทั้งสองนั้น เหตุแห่งการปฏิเสธความรับผิดของจำเลยดังกล่าวเป็นคนละส่วนกับการที่จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เมื่อจำเลยเป็นผู้ค้าน้ำมันซึ่งได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันมาก่อน ดังนั้น จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าเป็นการนอกวัตถุประสงค์หาได้ไม่ ส่วนโจทก์ทั้งสองต้องนำส่งเงินที่ได้รับมาเข้าคลังก่อนหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องระหว่างกระทรวงการคลังกับโจทก์ทั้งสองที่ต้องดำเนินการต่อไป และที่จำเลยอ้างว่า ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธุรกิจพลังงาน พ.ศ. 2556 คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 ไม่มีข้อกำหนดให้โจทก์ที่ 2 มีอำนาจหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินจากผู้ค้าน้ำมันนั้น ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 26 (2) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 กำหนดว่า ในกรณีที่กรมธุรกิจพลังงาน (โจทก์ที่ 2) ตรวจพบว่าผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุนหรือส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง ให้โจทก์ที่ 2 แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่งหรือตามจำนวนที่ขาด โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินจากจำเลยโดยอาศัยคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เมื่อจำเลยไม่ส่งเงินเข้ากองทุนตามที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากโจทก์ที่ 2 จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ส่วนที่จำเลยอ้างว่า พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 มาตรา 2 บัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” มาตรา 48 บัญญัติว่า “ให้โอนบรรดาเงิน ทรัพย์สิน สิทธิ และหนี้สินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ที่ออกตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ไปเป็นของกองทุนตามพระราชบัญญัตินี้” และมาตรา 49 บัญญัติว่า “เมื่อพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการยุบเลิกสถาบันบริหารพลังงาน (องค์การมหาชน) ใช้บังคับ ให้โอนบรรดาเงิน ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน รวมทั้งงบประมาณของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ไปเป็นของกองทุน โดยให้ใช้จ่ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานกองทุนหรือการบริหารกองทุน” ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกายุบเลิกสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2562 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2562 และมีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 16/2562 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และที่ 4/2554 จึงเป็นอำนาจและหน้าที่ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 นับตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2562 ซึ่งกฎหมายมีผลบังคับใช้ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีนี้อีกต่อไปนั้น ข้อเท็จจริงก็ได้ความว่า สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งได้รับโอนบรรดาเงิน ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน รวมทั้งงบประมาณของโจทก์ที่ 1 มาตามพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 มาตรา 48 และมาตรา 49 ได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ส่วนโจทก์ที่ 2 นั้น ไม่ปรากฏว่าถูกยุบเลิกแต่อย่างใด โจทก์ที่ 2 จึงยังคงมีฐานะเป็นนิติบุคคล แม้ตามพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 มาตรา 34 (2) บัญญัติให้กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร หรือกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ แล้วแต่กรณี แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุน ส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่งหรือตามจำนวนที่ขาด โดยมิได้บัญญัติให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้แจ้งให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินแล้วก็ตาม แต่เงินที่จำเลยต้องส่งเข้ากองทุนตามฟ้องนั้น เป็นกรณีที่โจทก์ที่ 2 ตรวจพบว่าจำเลยไม่ส่งเงินหรือส่งเงินไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่งตั้งแต่ก่อนพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 ประกาศใช้บังคับ และเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ 2 โดยตรงที่จะต้องมีหนังสือแจ้งจำเลยให้ส่งเงินเข้ากองทุนตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 26 (2) ซึ่งยังคงมีผลใช้บังคับในขณะนั้น สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์และฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานมีอำนาจออกประกาศให้จำเลยส่งเงินเข้ากองทุนตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 6 บัญญัติว่า “คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) เสนอนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศต่อคณะรัฐมนตรี (2) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการกำหนดราคาพลังงานให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศ... (5) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย” ดังนั้น ประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ฉบับที่ 114 พ.ศ. 2555 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง จึงเป็นประกาศที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานออกใช้บังคับตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการพิจารณาปรับราคาขายปลีกก๊าซ และกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละเดือน โดยที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 6 แม้ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ 146/2561 ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีนี้ไว้แล้วว่า คดีนี้โจทก์ที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทองค์การมหาชนตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2546 ในการ (1) ดำเนินการใด ๆ เพื่อให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน และ (4) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือคณะกรรมการมอบหมาย และยังได้วินิจฉัยต่อไปว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น เมื่อคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 9/1 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่จำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้ประกาศกำหนด จำเลยมีหน้าที่ต้องนำเงินส่งให้แก่โจทก์ที่ 1 เพื่อเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจในการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติมเอง และประเด็นต่อมาว่า จำเลยต้องชำระหนี้กองทุนน้ำมันและเงินเพิ่มแก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่ เพียงใด มิอาจวินิจฉัยต่อไปได้ด้วย ไม่อาจยึดถือเอาหลักเกณฑ์อัตราเงินที่ต้องนำส่งเข้ากองทุนเท่าใด อัตราเงินเพิ่มเท่าใด ตามประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานภายใต้กำกับดูแลของโจทก์ที่ 1 ที่ไม่มีอำนาจออกประกาศโดยชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวข้างต้นนั้น ก็เป็นเพียงคำวินิจฉัยในชั้นชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล มิใช่คำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีที่พิพาทโดยตรง ศาลฎีกาไม่จำต้องถือตามคำวินิจฉัยดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีอำนาจกระทำได้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า กฎหมายที่นำมาใช้บังคับเพื่อวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 5 และมาตรา 26 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยเพิ่งยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ และไม่จำต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ผู้ร้องขอขายที่ดินซึ่งผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้เยาว์ เพื่อการศึกษาแก่ผู้เยาว์ซึ่งเป็นบุตร ผู้ร้องในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมมาร้องขออนุญาตทำนิติกรรมขายที่ดินต่อศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 ก็เพื่อให้ศาลกำกับดูแลให้เหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อผู้เยาว์หรือก่อความเสียหายแก่ผู้เยาว์น้อยที่สุด เมื่อได้ความว่าการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งอนาคตของผู้เยาว์และได้รับราคาที่สูงกว่าราคาประเมิน จึงเป็นเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะอนุญาตให้มีการขายได้โดยเร็วเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์ ที่ศาลชั้นต้นอ้างว่าการทำนิติกรรมขายไม่ได้รับความยินยอมจาก จ. มารดาผู้เยาว์ เป็นการวินิจฉัยขัดกับข้อเท็จจริงเนื่องจากที่ จ. ไม่ได้ดูแลผู้เยาว์และไม่อาจติดต่อได้ ส่วนที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษอ้างว่า ไม่มีเรื่องเร่งด่วนหรือเหตุฉุกเฉิน ก็ไม่ได้อยู่ในบริบทที่มาตรา 1574 กำหนดไว้ ส่วนที่อ้างว่ารอให้ผู้เยาว์ทั้งสองเจริญวัยจนบรรลุนิติภาวะตัดสินใจเอง ก็เป็นข้อวินิจฉัยที่ขัดต่อเจตนารมณ์ที่มาตรา 1574 ให้ศาลกำกับดูแลการทำนิติกรรม ไม่ใช่ปล่อยให้ช่วงเวลาที่ยังเป็นผู้เยาว์เสียไปโดยเปล่าประโยชน์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมขายที่ดินโฉนดเลขที่ 91693 พร้อมสิ่งปลูกสร้างในส่วนของผู้เยาว์ทั้งสองที่ถือกรรมสิทธิ์รวมแทนผู้เยาว์ทั้งสอง
ศาลชั้นต้นประกาศนัดไต่สวน ไม่มีผู้ใดคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้ร้องจดทะเบียนสมรสกับนางสาวจิฎาภรณ์ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2542 ระหว่างสมรสมีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ นายกรกฎ ขณะยื่นคำร้องขออายุ 21 ปี นายสิรวิชฐ์ ขณะยื่นคำร้องขออายุ 18 ปี และเด็กหญิงจิตต์สิน ขณะยื่นคำร้องขออายุ 13 ปี ผู้ร้องกับนางสาวจิฎาภรณ์เป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 91693 เนื้อที่ 85 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านพัก ในโครงการบ้านจัดสรร อ. ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ผู้ร้องกับนางสาวจิฎาภรณ์หย่า โดยให้ผู้ร้องกับนางสาวจิฎาภรณ์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสองร่วมกัน สำหรับที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง นางสาวจิฎาภรณ์ยกกรรมสิทธิ์ส่วนที่ถือร่วมกับผู้ร้องให้แก่ผู้เยาว์ทั้งสองกับนายกรกฎ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและสำเนาโฉนดที่ดิน ข้อเท็จจริงปรากฏตามทางไต่สวนและรายงานแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีครอบครัวที่ผู้เยาว์มีผลประโยชน์หรือส่วนได้เสีย ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2564 ว่าผู้เยาว์ทั้งสองกับนายกรกฎอยู่กับผู้ร้อง ผู้ร้องให้การอุปการะเลี้ยงดูคนเดียว นางสาวจิฎาภรณ์ไม่ได้ติดต่อหรือกลับมาพบผู้เยาว์ทั้งสองกับนายกรกฎอีก โดยได้ความจากนายสิรวิชฐ์และเด็กหญิงจิตต์สินว่าไม่ทราบว่านางสาวจิฎาภรณ์ไปอยู่ที่ใดขาดการติดต่อกันตั้งแต่ปี 2558
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทในส่วนของผู้เยาว์ทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์ที่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันของบุคคล 4 คน ส่วนหนึ่งเป็นของผู้ร้องซึ่งเป็นบิดาของผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมอีก 3 คน ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ร้องแม้จะต้องปกครองดูแลผู้เยาว์ทั้งสองกับนายกรกฎร่วมกับนางสาวจิฎาภรณ์ผู้เป็นมารดา แต่ความเป็นจริงผู้ร้องเพียงผู้เดียวที่แบกรับภาระทั้งค่าใช้จ่ายและการดูแลผู้เยาว์ทั้งสองกับนายกรกฎ โดยอาศัยรายได้จากค่าเช่าอาคารที่พักอาศัยเพียงเล็กน้อย เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ผู้เช่าที่พักลดลง แต่ภาระค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของผู้เยาว์ทั้งสองยังมีอยู่มากพอสมควรไม่ว่ารายจ่ายของนายสิรวิชฐ์ที่วิทยาลัย ด. หรือรายจ่ายของเด็กหญิงจิตต์สิน ที่โรงเรียน ส. รวมทั้งค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอื่น ๆ การที่ผู้ร้องจะขอขายทรัพย์กรรมสิทธิ์ร่วม จึงมีเหตุผลเพื่อการลงทุนในการศึกษาแก่ผู้เยาว์ทั้งสองให้มีความรู้เพราะการมีวิชาความรู้ย่อมสร้างโอกาสที่จะหาที่ดินที่เสียไปให้กลับมีขึ้นอีกได้ง่าย และดีกว่าการมีที่ดินแต่ไร้วิชาความรู้ อันจะทำให้ต้องสูญเสียที่ดินไปโดยง่ายในอนาคตและไร้ประโยชน์แก่ผู้เยาว์ทั้งสอง ส่วนผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมอีก 3 คน บุตรคนโตนายกรกฎบรรลุนิติภาวะแล้ว ผู้เยาว์คนที่ 2 นายสิรวิชฐ์อายุ 18 ปี มีการศึกษาตามวัย มีวุฒิภาวะพอสมควรซึ่งทั้งสองคนมีวัยและวุฒิภาวะและการศึกษาที่เพียงพอจะตัดสินใจได้ถึงความจำเป็นในการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว เพื่อประโยชน์ของผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมทุกคน รวมทั้งประโยชน์ของเด็กหญิงจิตต์สินผู้เยาว์ด้วย เมื่อผู้ร้องในฐานะของผู้แทนโดยชอบธรรมมาร้องขออนุญาตทำนิติกรรมขายที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 ที่ประสงค์จะให้ศาลกำกับดูแลเพื่อให้เหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อผู้เยาว์ทั้งสองหรือก่อความเสียหายแก่ผู้เยาว์ทั้งสองน้อยที่สุด เมื่อได้ความว่าการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งอนาคตของผู้เยาว์ทั้งสองและได้รับราคาที่สูงกว่าราคาประเมินจึงเป็นเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะอนุญาตให้มีการขายได้โดยเร็วเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์ทั้งสองโดยแท้ ที่ศาลชั้นต้นอ้างว่าการทำนิติกรรมขายไม่ได้รับความยินยอมจากนางสาวจิฎาภรณ์มารดาผู้เยาว์ทั้งสอง เป็นการวินิจฉัยโดยขัดข้อเท็จจริงที่นางสาวจิฎาภรณ์ไม่ได้ดูแลผู้เยาว์ทั้งสองและไม่อาจติดต่อได้ ข้อวินิจฉัยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์แท้จริงที่ผู้เยาว์ทั้งสองพึงได้รับ ส่วนที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษอ้างว่าไม่มีเรื่องเร่งด่วนหรือเหตุฉุกเฉิน ก็ไม่ได้อยู่ในบริบทที่มาตรา 1574 กำหนดไว้ ส่วนที่อ้างว่ารอให้ผู้เยาว์ทั้งสองเจริญวัยจนบรรลุนิติภาวะตัดสินใจเอง ก็เป็นข้อวินิจฉัยที่ขัดต่อเจตนารมณ์ที่มาตรา 1574 ให้ศาลกำกับดูแลการทำนิติกรรม ไม่ใช่ปล่อยให้ช่วงเวลาที่ยังเป็นผู้เยาว์เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แล้วเมื่อบรรลุนิติภาวะจึงค่อยมาดำเนินการ เหตุผลและคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสอง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องขายที่ดินโฉนดเลขที่ 91693 พร้อมสิ่งปลูกสร้างในส่วนที่ผู้เยาว์ทั้งสองผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องขอขายที่ดินซึ่งผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้เยาว์ เพื่อการศึกษาแก่ผู้เยาว์ซึ่งเป็นบุตร ผู้ร้องในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมมาร้องขออนุญาตทำนิติกรรมขายที่ดินต่อศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 ก็เพื่อให้ศาลกำกับดูแลให้เหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อผู้เยาว์หรือก่อความเสียหายแก่ผู้เยาว์น้อยที่สุด เมื่อได้ความว่าการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งอนาคตของผู้เยาว์และได้รับราคาที่สูงกว่าราคาประเมิน จึงเป็นเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะอนุญาตให้มีการขายได้โดยเร็วเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์ ที่ศาลชั้นต้นอ้างว่าการทำนิติกรรมขายไม่ได้รับความยินยอมจาก จ. มารดาผู้เยาว์ เป็นการวินิจฉัยขัดกับข้อเท็จจริงเนื่องจากที่ จ. ไม่ได้ดูแลผู้เยาว์และไม่อาจติดต่อได้ ส่วนที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษอ้างว่า ไม่มีเรื่องเร่งด่วนหรือเหตุฉุกเฉิน ก็ไม่ได้อยู่ในบริบทที่มาตรา 1574 กำหนดไว้ ส่วนที่อ้างว่ารอให้ผู้เยาว์ทั้งสองเจริญวัยจนบรรลุนิติภาวะตัดสินใจเอง ก็เป็นข้อวินิจฉัยที่ขัดต่อเจตนารมณ์ที่มาตรา 1574 ให้ศาลกำกับดูแลการทำนิติกรรม ไม่ใช่ปล่อยให้ช่วงเวลาที่ยังเป็นผู้เยาว์เสียไปโดยเปล่าประโยชน์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมขายที่ดินโฉนดเลขที่ 91693 พร้อมสิ่งปลูกสร้างในส่วนของผู้เยาว์ทั้งสองที่ถือกรรมสิทธิ์รวมแทนผู้เยาว์ทั้งสอง
ศาลชั้นต้นประกาศนัดไต่สวน ไม่มีผู้ใดคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้ร้องจดทะเบียนสมรสกับนางสาวจิฎาภรณ์ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2542 ระหว่างสมรสมีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ นายกรกฎ ขณะยื่นคำร้องขออายุ 21 ปี นายสิรวิชฐ์ ขณะยื่นคำร้องขออายุ 18 ปี และเด็กหญิงจิตต์สิน ขณะยื่นคำร้องขออายุ 13 ปี ผู้ร้องกับนางสาวจิฎาภรณ์เป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 91693 เนื้อที่ 85 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านพัก ในโครงการบ้านจัดสรร อ. ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ผู้ร้องกับนางสาวจิฎาภรณ์หย่า โดยให้ผู้ร้องกับนางสาวจิฎาภรณ์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสองร่วมกัน สำหรับที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง นางสาวจิฎาภรณ์ยกกรรมสิทธิ์ส่วนที่ถือร่วมกับผู้ร้องให้แก่ผู้เยาว์ทั้งสองกับนายกรกฎ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและสำเนาโฉนดที่ดิน ข้อเท็จจริงปรากฏตามทางไต่สวนและรายงานแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีครอบครัวที่ผู้เยาว์มีผลประโยชน์หรือส่วนได้เสีย ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2564 ว่าผู้เยาว์ทั้งสองกับนายกรกฎอยู่กับผู้ร้อง ผู้ร้องให้การอุปการะเลี้ยงดูคนเดียว นางสาวจิฎาภรณ์ไม่ได้ติดต่อหรือกลับมาพบผู้เยาว์ทั้งสองกับนายกรกฎอีก โดยได้ความจากนายสิรวิชฐ์และเด็กหญิงจิตต์สินว่าไม่ทราบว่านางสาวจิฎาภรณ์ไปอยู่ที่ใดขาดการติดต่อกันตั้งแต่ปี 2558
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทในส่วนของผู้เยาว์ทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์ที่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันของบุคคล 4 คน ส่วนหนึ่งเป็นของผู้ร้องซึ่งเป็นบิดาของผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมอีก 3 คน ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ร้องแม้จะต้องปกครองดูแลผู้เยาว์ทั้งสองกับนายกรกฎร่วมกับนางสาวจิฎาภรณ์ผู้เป็นมารดา แต่ความเป็นจริงผู้ร้องเพียงผู้เดียวที่แบกรับภาระทั้งค่าใช้จ่ายและการดูแลผู้เยาว์ทั้งสองกับนายกรกฎ โดยอาศัยรายได้จากค่าเช่าอาคารที่พักอาศัยเพียงเล็กน้อย เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ผู้เช่าที่พักลดลง แต่ภาระค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของผู้เยาว์ทั้งสองยังมีอยู่มากพอสมควรไม่ว่ารายจ่ายของนายสิรวิชฐ์ที่วิทยาลัย ด. หรือรายจ่ายของเด็กหญิงจิตต์สิน ที่โรงเรียน ส. รวมทั้งค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอื่น ๆ การที่ผู้ร้องจะขอขายทรัพย์กรรมสิทธิ์ร่วม จึงมีเหตุผลเพื่อการลงทุนในการศึกษาแก่ผู้เยาว์ทั้งสองให้มีความรู้เพราะการมีวิชาความรู้ย่อมสร้างโอกาสที่จะหาที่ดินที่เสียไปให้กลับมีขึ้นอีกได้ง่าย และดีกว่าการมีที่ดินแต่ไร้วิชาความรู้ อันจะทำให้ต้องสูญเสียที่ดินไปโดยง่ายในอนาคตและไร้ประโยชน์แก่ผู้เยาว์ทั้งสอง ส่วนผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมอีก 3 คน บุตรคนโตนายกรกฎบรรลุนิติภาวะแล้ว ผู้เยาว์คนที่ 2 นายสิรวิชฐ์อายุ 18 ปี มีการศึกษาตามวัย มีวุฒิภาวะพอสมควรซึ่งทั้งสองคนมีวัยและวุฒิภาวะและการศึกษาที่เพียงพอจะตัดสินใจได้ถึงความจำเป็นในการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว เพื่อประโยชน์ของผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมทุกคน รวมทั้งประโยชน์ของเด็กหญิงจิตต์สินผู้เยาว์ด้วย เมื่อผู้ร้องในฐานะของผู้แทนโดยชอบธรรมมาร้องขออนุญาตทำนิติกรรมขายที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 ที่ประสงค์จะให้ศาลกำกับดูแลเพื่อให้เหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อผู้เยาว์ทั้งสองหรือก่อความเสียหายแก่ผู้เยาว์ทั้งสองน้อยที่สุด เมื่อได้ความว่าการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งอนาคตของผู้เยาว์ทั้งสองและได้รับราคาที่สูงกว่าราคาประเมินจึงเป็นเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะอนุญาตให้มีการขายได้โดยเร็วเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์ทั้งสองโดยแท้ ที่ศาลชั้นต้นอ้างว่าการทำนิติกรรมขายไม่ได้รับความยินยอมจากนางสาวจิฎาภรณ์มารดาผู้เยาว์ทั้งสอง เป็นการวินิจฉัยโดยขัดข้อเท็จจริงที่นางสาวจิฎาภรณ์ไม่ได้ดูแลผู้เยาว์ทั้งสองและไม่อาจติดต่อได้ ข้อวินิจฉัยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์แท้จริงที่ผู้เยาว์ทั้งสองพึงได้รับ ส่วนที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษอ้างว่าไม่มีเรื่องเร่งด่วนหรือเหตุฉุกเฉิน ก็ไม่ได้อยู่ในบริบทที่มาตรา 1574 กำหนดไว้ ส่วนที่อ้างว่ารอให้ผู้เยาว์ทั้งสองเจริญวัยจนบรรลุนิติภาวะตัดสินใจเอง ก็เป็นข้อวินิจฉัยที่ขัดต่อเจตนารมณ์ที่มาตรา 1574 ให้ศาลกำกับดูแลการทำนิติกรรม ไม่ใช่ปล่อยให้ช่วงเวลาที่ยังเป็นผู้เยาว์เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แล้วเมื่อบรรลุนิติภาวะจึงค่อยมาดำเนินการ เหตุผลและคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสอง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องขายที่ดินโฉนดเลขที่ 91693 พร้อมสิ่งปลูกสร้างในส่วนที่ผู้เยาว์ทั้งสองผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์และจำเลย และขอบังคับให้จำเลยแบ่งสินสมรสทุกรายการให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง จำเลยให้การต่อสู้ว่า บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าไม่เป็นโมฆะ การจัดแบ่งสินสมรสตามข้อ 3 เป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1532 เมื่อนายทะเบียนจดทะเบียนการหย่า ถือได้ว่ามีการแบ่งทรัพย์สินอันเป็นสินสมรส โดยยกให้จำเลยทั้งหมดแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอแบ่งสินสมรสใหม่อีก เมื่อพิเคราะห์คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แล้ว ถือได้ว่าโจทก์มีเจตนาขอแบ่งสินสมรสทั้งปวงระหว่างโจทก์กับจำเลยกึ่งหนึ่งโดยขอให้ไม่ยึดถือตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่ากันด้วยความสมัครใจ บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าจึงสมบูรณ์มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยให้ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างกัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าดังกล่าวระบุสินสมรสที่ตกลงยกให้โจทก์เพียงบ้านเลขที่ 109/4 โดยไม่ได้กล่าวถึงที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 อันเป็นที่ตั้งของบ้านดังกล่าวแต่อย่างใด และโจทก์มีคำขอให้แบ่งสินสมรสอีก 5 รายการ ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยปกปิดไว้ซึ่งรวมถึงที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 ที่พิพาทด้วย แม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยแบ่งที่ดังกล่าวอันเป็นสินสมรสให้แก่โจทก์เพียงกึ่งหนึ่ง แต่โจทก์ย่อมไม่อาจบรรยายฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งแปลงได้ เพราะโจทก์ตั้งรูปเรื่องมาว่าบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของโจทก์และโจทก์ต้องการขอแบ่งสินสมรสรายการอื่น ๆ นอกจากที่ระบุไว้ในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าด้วย เมื่อข้อเท็จจริงยุติในชั้นฎีกาว่าบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่ามีผลใช้บังคับได้ และจำเลยยังไม่ได้แบ่งสินสมรสรายการที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษก็ได้วินิจฉัยแล้วว่า บ้านเลขที่ 109/4 ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 เป็นส่วนควบตามกฎหมายของที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 และเมื่อพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีในทางสุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 368 แล้วเห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยมีเจตนาแบ่งทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสระหว่างกันโดยจำเลยตกลงยกที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้แก่โจทก์ทั้งหมด โดยนับตั้งแต่วันที่มีการทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า เมื่อมูลค่าที่ดินพิพาทไม่ได้สูงเกินไปกว่าราคาประเมินกึ่งหนึ่งของสินสมรสในคดีนี้และยังอยู่ในประเด็นพิพาทว่า จำเลยต้องแบ่งสินสมรสรายการนี้ให้โจทก์หรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้โจทก์ทั้งหมด จึงไม่เป็นการพิพากษาที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 มาตรา 246 และมาตรา 252 ประกอบ พ.ร.บ. ศาลเยาวชนฯ มาตรา 182/1 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วนขอให้เพิกถอนนิติกรรมบันทึกท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์และจำเลยเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2555 กับบังคับให้จำเลยแบ่งสินสมรส คือ เงิน ทอง เพชร และโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 เนื้อที่ 50 ตารางวา พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ที่ดินโฉนดเลขที่ 166902 เนื้อที่ 98 ตารางวา ที่ดินโฉนดเลขที่ 15655 เนื้อที่ 13 ตารางวา อาคารชุดเคหะ บ. อาคารบี ห้องชุดเลขที่ 643/152 ชั้นที่ 3 เนื้อที่ 26.09 ตารางเมตร และอาคารชุดเคหะ บ. อาคารเอ ห้องชุดเลขที่ 642/124 ชั้นที่ 4 เนื้อที่ 26.09 ตารางเมตร ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ไปดำเนินการแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หรือขายทรัพย์สินดังกล่าวแล้วนำเงินมาแบ่งกันคนละกึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องโจทก์ ขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์ประกันชีวิต 484,614 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูนายณัฐพล เดือนละ 15,000 บาท นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นไปจนกว่านายณัฐพลจะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สำหรับค่าอุปการะเลี้ยงดูคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,380,000 บาท และดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 673,932 บาท รวมเป็นเงิน 2,053,932 บาท และจ่ายค่าเลี้ยงชีพจำเลยเดือนละ 20,000 บาท นับแต่เดือนพฤษภาคม 2555 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะถึงแก่ความตาย ค่าเลี้ยงชีพคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,820,000 บาท และดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 876,218 บาท รวมเป็นเงิน 2,696,218 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้แก่โจทก์ และให้โจทก์ชำระเงิน 984,614 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 484,614 บาท นับแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย และของต้นเงิน 500,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องโจทก์และค่าทนายความให้เป็นพับ กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้งจำเลยให้โจทก์ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่จำเลยชนะคดี คำขออื่นของโจทก์และจำเลยนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ โดยจำเลยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลเฉพาะค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์สองในสามส่วน
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้โจทก์ชำระเงิน 1,584,614 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 484,614 บาท นับแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอท้ายฟ้องแย้งจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์สำหรับฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2525 ต่อมาวันที่ 30 มีนาคม 2555 ได้จดทะเบียนการหย่าและทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าตามสำเนาทะเบียนการหย่าและบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า โดยมีข้อตกลงในข้อ 3 ระบุว่า “เรื่องทรัพย์สิน (1) บ้านเลขที่ 109/4...ยกให้เป็นของฝ่ายชาย...บ้านเลขที่ 109/4 ปลูกสร้างอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706” คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่า ศาลสามารถพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้แก่โจทก์ทั้งแปลงได้หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์และจำเลยและขอบังคับให้จำเลยแบ่งสินสมรสทุกรายการให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง จำเลยให้การต่อสู้ว่าบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าไม่เป็นโมฆะ การจัดแบ่งสินสมรสตามข้อ 3 เป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1532 เมื่อนายทะเบียนจดทะเบียนการหย่า ถือได้ว่ามีการแบ่งทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสโดยยกให้จำเลยทั้งหมดแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอแบ่งสินสมรสใหม่อีก เมื่อพิเคราะห์คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แล้ว ถือได้ว่าโจทก์มีเจตนาขอแบ่งสินสมรสทั้งปวงระหว่างโจทก์กับจำเลยกึ่งหนึ่งโดยขอให้ไม่ยึดถือตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่ากันด้วยความสมัครใจ บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าจึงสมบูรณ์มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยให้ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างกัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าดังกล่าวระบุสินสมรสที่ตกลงยกให้โจทก์เพียงบ้านเลขที่ 109/4 โดยไม่ได้กล่าวถึงที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 อันเป็นที่ตั้งของบ้านดังกล่าวแต่อย่างใด และโจทก์มีคำขอให้แบ่งสินสมรสอีก 5 รายการ ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยปกปิดไว้ ซึ่งรวมถึงที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 ที่พิพาทด้วย แม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยแบ่งที่ดินดังกล่าวอันเป็นสินสมรสให้แก่โจทก์เพียงกึ่งหนึ่ง แต่โจทก์ย่อมไม่อาจบรรยายฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งแปลงได้เพราะโจทก์ตั้งรูปเรื่องมาว่าบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของโจทก์และโจทก์ต้องการขอแบ่งสินสมรสรายการอื่น ๆ นอกจากที่ระบุไว้ในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าด้วย เมื่อข้อเท็จจริงยุติในชั้นฎีกาแล้วว่าบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่ามีผลใช้บังคับได้ และจำเลยยังไม่ได้แบ่งสินสมรสรายการที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษก็ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า บ้านเลขที่ 109/4 ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 ที่พิพาทเป็นส่วนควบตามกฎหมายของที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 และโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีในทางสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 แล้ว เห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยมีเจตนาแบ่งทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสระหว่างกันโดยจำเลยตกลงยกที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้แก่โจทก์ทั้งหมด โดยนับตั้งแต่วันที่มีการทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า ที่ดินพร้อมบ้านที่พิพาทตกเป็นของโจทก์ทั้งหมด เมื่อมูลค่าที่ดินที่พิพาทไม่ได้สูงเกินไปกว่าราคาประเมินกึ่งหนึ่งของสินสมรสในคดีนี้และยังอยู่ในประเด็นพิพาทว่าจำเลยต้องแบ่งสินสมรสรายการนี้ให้โจทก์หรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้แก่โจทก์ทั้งหมดจึงไม่เป็นการพิพากษาที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142, มาตรา 246 และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182/1 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมานั้นไม่ต้องความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิได้รับที่ดินทั้งแปลง ซึ่งไม่เป็นการเกินคำขอ กรณีจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งมีทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกาจำนวน 200 บาทแต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมา 31,692 บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมา 31,492 บาทแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมาจำนวน 31,492 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์และจำเลย และขอบังคับให้จำเลยแบ่งสินสมรสทุกรายการให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง จำเลยให้การต่อสู้ว่า บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าไม่เป็นโมฆะ การจัดแบ่งสินสมรสตามข้อ 3 เป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1532 เมื่อนายทะเบียนจดทะเบียนการหย่า ถือได้ว่ามีการแบ่งทรัพย์สินอันเป็นสินสมรส โดยยกให้จำเลยทั้งหมดแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอแบ่งสินสมรสใหม่อีก เมื่อพิเคราะห์คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แล้ว ถือได้ว่าโจทก์มีเจตนาขอแบ่งสินสมรสทั้งปวงระหว่างโจทก์กับจำเลยกึ่งหนึ่งโดยขอให้ไม่ยึดถือตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่ากันด้วยความสมัครใจ บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าจึงสมบูรณ์มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยให้ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างกัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าดังกล่าวระบุสินสมรสที่ตกลงยกให้โจทก์เพียงบ้านเลขที่ 109/4 โดยไม่ได้กล่าวถึงที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 อันเป็นที่ตั้งของบ้านดังกล่าวแต่อย่างใด และโจทก์มีคำขอให้แบ่งสินสมรสอีก 5 รายการ ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยปกปิดไว้ซึ่งรวมถึงที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 ที่พิพาทด้วย แม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยแบ่งที่ดังกล่าวอันเป็นสินสมรสให้แก่โจทก์เพียงกึ่งหนึ่ง แต่โจทก์ย่อมไม่อาจบรรยายฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งแปลงได้ เพราะโจทก์ตั้งรูปเรื่องมาว่าบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของโจทก์และโจทก์ต้องการขอแบ่งสินสมรสรายการอื่น ๆ นอกจากที่ระบุไว้ในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าด้วย เมื่อข้อเท็จจริงยุติในชั้นฎีกาว่าบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่ามีผลใช้บังคับได้ และจำเลยยังไม่ได้แบ่งสินสมรสรายการที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษก็ได้วินิจฉัยแล้วว่า บ้านเลขที่ 109/4 ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 เป็นส่วนควบตามกฎหมายของที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 และเมื่อพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีในทางสุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 368 แล้วเห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยมีเจตนาแบ่งทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสระหว่างกันโดยจำเลยตกลงยกที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้แก่โจทก์ทั้งหมด โดยนับตั้งแต่วันที่มีการทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า เมื่อมูลค่าที่ดินพิพาทไม่ได้สูงเกินไปกว่าราคาประเมินกึ่งหนึ่งของสินสมรสในคดีนี้และยังอยู่ในประเด็นพิพาทว่า จำเลยต้องแบ่งสินสมรสรายการนี้ให้โจทก์หรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้โจทก์ทั้งหมด จึงไม่เป็นการพิพากษาที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 มาตรา 246 และมาตรา 252 ประกอบ พ.ร.บ. ศาลเยาวชนฯ มาตรา 182/1 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วนขอให้เพิกถอนนิติกรรมบันทึกท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์และจำเลยเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2555 กับบังคับให้จำเลยแบ่งสินสมรส คือ เงิน ทอง เพชร และโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 เนื้อที่ 50 ตารางวา พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ที่ดินโฉนดเลขที่ 166902 เนื้อที่ 98 ตารางวา ที่ดินโฉนดเลขที่ 15655 เนื้อที่ 13 ตารางวา อาคารชุดเคหะ บ. อาคารบี ห้องชุดเลขที่ 643/152 ชั้นที่ 3 เนื้อที่ 26.09 ตารางเมตร และอาคารชุดเคหะ บ. อาคารเอ ห้องชุดเลขที่ 642/124 ชั้นที่ 4 เนื้อที่ 26.09 ตารางเมตร ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ไปดำเนินการแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หรือขายทรัพย์สินดังกล่าวแล้วนำเงินมาแบ่งกันคนละกึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องโจทก์ ขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์ประกันชีวิต 484,614 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูนายณัฐพล เดือนละ 15,000 บาท นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นไปจนกว่านายณัฐพลจะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สำหรับค่าอุปการะเลี้ยงดูคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,380,000 บาท และดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 673,932 บาท รวมเป็นเงิน 2,053,932 บาท และจ่ายค่าเลี้ยงชีพจำเลยเดือนละ 20,000 บาท นับแต่เดือนพฤษภาคม 2555 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะถึงแก่ความตาย ค่าเลี้ยงชีพคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,820,000 บาท และดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 876,218 บาท รวมเป็นเงิน 2,696,218 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้แก่โจทก์ และให้โจทก์ชำระเงิน 984,614 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 484,614 บาท นับแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย และของต้นเงิน 500,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องโจทก์และค่าทนายความให้เป็นพับ กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้งจำเลยให้โจทก์ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่จำเลยชนะคดี คำขออื่นของโจทก์และจำเลยนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ โดยจำเลยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลเฉพาะค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์สองในสามส่วน
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้โจทก์ชำระเงิน 1,584,614 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 484,614 บาท นับแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอท้ายฟ้องแย้งจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์สำหรับฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2525 ต่อมาวันที่ 30 มีนาคม 2555 ได้จดทะเบียนการหย่าและทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าตามสำเนาทะเบียนการหย่าและบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า โดยมีข้อตกลงในข้อ 3 ระบุว่า “เรื่องทรัพย์สิน (1) บ้านเลขที่ 109/4...ยกให้เป็นของฝ่ายชาย...บ้านเลขที่ 109/4 ปลูกสร้างอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706” คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่า ศาลสามารถพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้แก่โจทก์ทั้งแปลงได้หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์และจำเลยและขอบังคับให้จำเลยแบ่งสินสมรสทุกรายการให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง จำเลยให้การต่อสู้ว่าบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าไม่เป็นโมฆะ การจัดแบ่งสินสมรสตามข้อ 3 เป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1532 เมื่อนายทะเบียนจดทะเบียนการหย่า ถือได้ว่ามีการแบ่งทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสโดยยกให้จำเลยทั้งหมดแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอแบ่งสินสมรสใหม่อีก เมื่อพิเคราะห์คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แล้ว ถือได้ว่าโจทก์มีเจตนาขอแบ่งสินสมรสทั้งปวงระหว่างโจทก์กับจำเลยกึ่งหนึ่งโดยขอให้ไม่ยึดถือตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่ากันด้วยความสมัครใจ บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าจึงสมบูรณ์มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยให้ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างกัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าดังกล่าวระบุสินสมรสที่ตกลงยกให้โจทก์เพียงบ้านเลขที่ 109/4 โดยไม่ได้กล่าวถึงที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 อันเป็นที่ตั้งของบ้านดังกล่าวแต่อย่างใด และโจทก์มีคำขอให้แบ่งสินสมรสอีก 5 รายการ ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยปกปิดไว้ ซึ่งรวมถึงที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 ที่พิพาทด้วย แม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยแบ่งที่ดินดังกล่าวอันเป็นสินสมรสให้แก่โจทก์เพียงกึ่งหนึ่ง แต่โจทก์ย่อมไม่อาจบรรยายฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งแปลงได้เพราะโจทก์ตั้งรูปเรื่องมาว่าบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของโจทก์และโจทก์ต้องการขอแบ่งสินสมรสรายการอื่น ๆ นอกจากที่ระบุไว้ในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าด้วย เมื่อข้อเท็จจริงยุติในชั้นฎีกาแล้วว่าบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่ามีผลใช้บังคับได้ และจำเลยยังไม่ได้แบ่งสินสมรสรายการที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษก็ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า บ้านเลขที่ 109/4 ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 ที่พิพาทเป็นส่วนควบตามกฎหมายของที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 และโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีในทางสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 แล้ว เห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยมีเจตนาแบ่งทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสระหว่างกันโดยจำเลยตกลงยกที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้แก่โจทก์ทั้งหมด โดยนับตั้งแต่วันที่มีการทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า ที่ดินพร้อมบ้านที่พิพาทตกเป็นของโจทก์ทั้งหมด เมื่อมูลค่าที่ดินที่พิพาทไม่ได้สูงเกินไปกว่าราคาประเมินกึ่งหนึ่งของสินสมรสในคดีนี้และยังอยู่ในประเด็นพิพาทว่าจำเลยต้องแบ่งสินสมรสรายการนี้ให้โจทก์หรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้แก่โจทก์ทั้งหมดจึงไม่เป็นการพิพากษาที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142, มาตรา 246 และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182/1 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมานั้นไม่ต้องความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิได้รับที่ดินทั้งแปลง ซึ่งไม่เป็นการเกินคำขอ กรณีจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งมีทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกาจำนวน 200 บาทแต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมา 31,692 บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมา 31,492 บาทแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 89706 พร้อมบ้านเลขที่ 109/4 ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมาจำนวน 31,492 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
เหตุหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4/2) ไม่ได้มีเพียงระยะเวลาที่แยกกันอยู่เกินสามปีเท่านั้น ยังต้องมีองค์ประกอบอื่นอีกคือ ต้องเป็นเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาด้วย ตามฟ้องโจทก์แปลความได้ว่า นับตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่โดยสมัครใจ พฤติการณ์ต่าง ๆ ของจำเลยที่ทำให้โจทก์กับจำเลยไม่สามารถที่จะกลับมาอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุข อันเป็นการบรรยายครบองค์ประกอบเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (4/2) แล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุว่าเป็นเวลาเกินกว่า 3 ปี แต่ช่วงเวลาที่โจทก์บรรยายในฟ้องเป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นเวลาเกินกว่า 3 ปี แล้ว ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังเป็นยุติจากการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกับข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องแล้วทั้งสิ้น ไม่มีข้อเท็จจริงใดเป็นข้อเท็จจริงที่อยู่นอกคำฟ้อง ส่วนศาลชั้นต้นจะเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุตินั้นเป็นเหตุหย่าหรือไม่ และเป็นเหตุหย่าที่ปรับได้กับบทบัญญัติกฎหมายมาตราใด อนุมาตราใด เป็นอำนาจหน้าที่และเป็นความเห็นของแต่ละศาล ไม่ใช่หน้าที่ของโจทก์ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นปรับบทกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4/2) จึงไม่ถือเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องหรือเป็นการวินิจฉัยในประเด็นอื่นที่มิได้กล่าวมาในฟ้อง
ในคดีก่อนโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยรับว่า โจทก์คบหากับผู้หญิงอื่นระหว่างที่ยังอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย อีกทั้งในคดีนี้โจทก์ก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยรับว่า จำเลยฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก ม. ที่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับโจทก์เช่นกัน ดังนั้น สาเหตุที่โจทก์ไม่กลับบ้านไปหาจำเลยในคดีก่อนและคดีนี้มาจากตัวโจทก์เองที่มีพฤติกรรมอันแสดงถึงการนอกใจจำเลย ยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาทั้งที่โจทก์กับจำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่ หาใช่มาจากจำเลยไม่ ทั้งความเป็นจริงที่จำเลยต้องแยกกันอยู่กับโจทก์เกิดจากสภาพครอบครัวที่โจทก์ต้องกลับไปดูแลมารดาที่เจ็บป่วย ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ที่จะต้องกลับมาเยี่ยมเยียนดูแลบุตรภริยา ทั้งจำเลยยังรักใคร่หึงหวงในตัวโจทก์อยู่ จึงได้ฟ้อง ม. เรียกค่าทดแทนที่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับโจทก์ กรณีดังกล่าวจะถือว่าเป็นการแยกกันโดยความสมัครใจของจำเลยด้วยหาได้ไม่ ฉะนั้นคงฟังได้แต่เพียงว่า โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่มากว่า 3 ปี จริง แต่การแยกกันอยู่นั้น มิใช่ด้วยความสมัครใจของจำเลย การที่โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่เช่นนี้ก็โดยลำพังความสมัครใจของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว หาทำให้เกิดสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4/2) ไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกันหรือมีคำสั่งให้แยกกันอยู่ และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงเกวลินบุตรแต่เพียงผู้เดียว
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกัน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์แล้วเชื่อว่า โจทก์กับจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี และพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182 ดังที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า ฟ้องข้อ 4 โจทก์บรรยายฟ้องได้ความในทำนองว่า ในช่วงปี 2553 โจทก์ฟ้องหย่าจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์พยายามขอคืนดีขอให้จำเลยปรับปรุงตัวเพื่อให้ครอบครัวกลับมาอยู่กันอย่างปกติสุข แต่จำเลยไม่ยอมหลับนอนกับโจทก์และไม่ยอมกลับมาอยู่ที่บ้านเลขที่ 54 กับโจทก์ โดยจำเลยพักอาศัยอยู่บ้านญาติของจำเลยที่บ้านเลขที่ 98/94 ซึ่งเป็นความสมัครใจของจำเลยเองโจทก์ไม่ได้ขับไล่ ฟ้องข้อ 5 หลังจากโจทก์ฟ้องหย่าจำเลยในปี 2556 จำเลยยังคงไม่กลับไปอยู่กับโจทก์หรือยินยอมให้โจทก์มาอยู่กินฉันสามีภริยา ซึ่งการกระทำของจำเลยที่เคยให้การต่อศาลว่า จำเลยไม่ประสงค์จะหย่ากับโจทก์เนื่องจากสงสารบุตรและอยากอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ต่อ ทำให้โจทก์ใจอ่อนและหลงเชื่อ โจทก์จึงพยายามไปเยี่ยมบุตรแต่จำเลยไม่ให้เข้าบ้าน หลังจากนั้นตลอดระยะเวลา 3 ปี โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่ในลักษณะเช่นนี้ตลอดมาจนกระทั่งปี 2560 โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยอีกครั้ง ศาลยังคงมีคำพิพากษายกฟ้อง และฟ้องข้อ 6 โจทก์บรรยายฟ้องได้ความในทำนองว่า นับแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 ที่ศาลพิพากษายกฟ้อง จำเลยไม่เคยกลับมาใช้ชีวิตฉันสามีภริยากับโจทก์อีกเลย โจทก์ขอให้จำเลยปรับปรุงตัว โดยขอให้ต่างฝ่ายต่างปรับความเข้าใจกัน โจทก์ขอให้จำเลยช่วยเหลือดูแลกิจการของโจทก์ แต่จำเลยไม่ปรับปรุงตัว ไม่ช่วยเหลือดูแลกิจการและไม่ยอมกลับมาใช้ชีวิตฉันสามีภริยากับโจทก์ ทั้งตอนท้ายฟ้องข้อ 6 โจทก์บรรยายฟ้องว่า “ซึ่งจากข้อเท็จจริงจะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2553 ถึงปัจจุบัน โจทก์กับจำเลยไม่สามารถที่จะกลับมาอยู่ฉันสามีภริยาได้อย่างปกติสุขเป็นแน่แท้” เห็นว่าเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) นั้น ไม่ได้มีเพียงระยะเวลาที่แยกกันอยู่เกินสามปีเท่านั้น ยังต้องมีองค์ประกอบอื่นอีกคือ ต้องเป็นเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาด้วย ซึ่งเมื่ออ่านฟ้องโจทก์ทั้งฉบับแล้วแปลความได้ว่า นับตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่โดยสมัครใจ พฤติการณ์ต่าง ๆ ของจำเลยที่กล่าวมาในฟ้องทำให้โจทก์กับจำเลยไม่สามารถที่จะกลับมาอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุข อันเป็นการบรรยายครบองค์ประกอบเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (4/2) แล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุว่าเป็นเวลาเกินกว่า 3 ปี แต่ช่วงเวลาที่โจทก์บรรยายในฟ้องเป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นเวลาเกินกว่า 3 ปี แล้ว ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังเป็นยุติจากการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกับข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องแล้วทั้งสิ้น ไม่มีข้อเท็จจริงใดเป็นข้อเท็จจริงที่อยู่นอกคำฟ้อง ส่วนศาลชั้นต้นจะเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุตินั้นเป็นเหตุหย่าหรือไม่ และเป็นเหตุหย่าที่ปรับได้กับบทบัญญัติกฎหมายมาตราใด อนุมาตราใด เป็นอำนาจหน้าที่และเป็นความเห็นของแต่ละศาล ไม่ใช่หน้าที่ของโจทก์ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นปรับบทกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) จึงไม่ถือเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องหรือเป็นการวินิจฉัยในประเด็นอื่นที่มิได้กล่าวมาในฟ้อง คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์กับจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยก่อน เห็นว่า มูลเหตุแห่งการที่โจทก์ฟ้องหย่าครั้งที่ 3 เมื่อปี 2560 โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยไม่ยอมกลับมาอยู่ที่บ้านเลขที่ 54 กับโจทก์ โดยจำเลยพักอาศัยอยู่บ้านญาติของจำเลย ที่บ้านเลขที่ 98/94 ตั้งแต่ปี 2557 ถึงปัจจุบัน เมื่อไม่ปรากฏว่าในระหว่างนั้นโจทก์กับจำเลยได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วสมัครใจแยกกันอยู่อีกก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ดังนั้นมูลเหตุแห่งการฟ้องหย่าทั้งในคดีก่อนและในคดีนี้จึงเป็นมูลเหตุที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2557 ต่อเนื่องกัน จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีก่อน ซึ่งข้อเท็จจริงในคดีหมายเลขแดงที่ 173/2560 ได้ความว่า บ้านเลขที่ 98/94 ที่จำเลยกับบุตรพักอาศัยนั้น เดิมเป็นของมารดาโจทก์ต่อมาขายให้แก่น้องสาวจำเลย แล้วโจทก์พาจำเลยกับบุตรย้ายออกจากบ้านของมารดาโจทก์เลขที่ 54 ไปอยู่บ้านหลังดังกล่าวด้วยกัน ต่อมามารดาโจทก์ป่วย โจทก์จึงไปดูแลมารดาที่บ้านเลขที่ 54 จึงต้องแยกกันอยู่ แสดงว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งที่โจทก์กับจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากันตั้งแต่ย้ายออกมาจากบ้านของมารดาโจทก์เลขที่ 54 กรณีจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายแยกออกมาอยู่บ้านเลขที่ 98/94 ส่วนที่โจทก์นำสืบว่า นับตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 ที่ศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์ขอให้จำเลยปรับปรุงตัวช่วยเหลือดูแลกิจการของโจทก์ แต่จำเลยไม่ช่วยเหลือดูแลกิจการของโจทก์และไม่เคยกลับมาใช้ชีวิตฉันสามีภริยากับโจทก์อีกเลย แต่โจทก์เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยรับว่า จำเลยเคยมีคดีฟ้องร้องกับนางสาวมนันยา ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ยชพ 146/2562 ของศาลชั้นต้น เมื่อพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าเป็นคดีที่จำเลยฟ้องนางสาวมนันยาเรียกค่าทดแทนที่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับโจทก์ เหตุเกิดประมาณเดือนมิถุนายน 2562 ต่อมาได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอม และในคดีฟ้องหย่าครั้งที่ 3 โจทก์เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยรับว่า โจทก์คบหากับผู้หญิงอื่นระหว่างที่ยังอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย อีกทั้งในคดีนี้โจทก์ก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยรับว่า จำเลยฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวมนันยาเช่นกัน ดังนั้น สาเหตุที่โจทก์ไม่กลับบ้านไปหาจำเลยในคดีก่อนและคดีนี้มาจากตัวโจทก์เองที่มีพฤติกรรมอันแสดงถึงการนอกใจจำเลย ยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาทั้งที่โจทก์กับจำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่ หาใช่มาจากจำเลยไม่ ทั้งความเป็นจริงที่จำเลยต้องแยกกันอยู่กับโจทก์เกิดจากสภาพครอบครัวที่โจทก์ต้องกลับไปดูแลมารดาที่เจ็บป่วย ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ที่จะต้องกลับมาเยี่ยมเยียนดูแลบุตรภริยา โจทก์ไม่ได้นำสืบว่าจำเลยเคยช่วยเหลือดูแลกิจการของโจทก์มาก่อน ข้ออ้างที่ว่าจำเลยไม่ช่วยเหลือดูแลกิจการของโจทก์จึงเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ทั้งจำเลยยังรักใคร่หึงหวงในตัวโจทก์อยู่ จึงได้ฟ้องนางสาวมนันยาเรียกค่าทดแทนที่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับโจทก์ กรณีดังกล่าวจะถือว่าเป็นการแยกกันโดยความสมัครใจของจำเลยด้วยหาได้ไม่ ฉะนั้นข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวคงฟังได้แต่เพียงว่า โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่มากว่า 3 ปี จริง แต่การแยกกันอยู่นั้น มิใช่ด้วยความสมัครใจของจำเลย การที่โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่เช่นนี้ก็โดยลำพังความสมัครใจของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว หาทำให้เกิดสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) ไม่ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกันมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนที่ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกันมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
เหตุหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4/2) ไม่ได้มีเพียงระยะเวลาที่แยกกันอยู่เกินสามปีเท่านั้น ยังต้องมีองค์ประกอบอื่นอีกคือ ต้องเป็นเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาด้วย ตามฟ้องโจทก์แปลความได้ว่า นับตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่โดยสมัครใจ พฤติการณ์ต่าง ๆ ของจำเลยที่ทำให้โจทก์กับจำเลยไม่สามารถที่จะกลับมาอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุข อันเป็นการบรรยายครบองค์ประกอบเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (4/2) แล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุว่าเป็นเวลาเกินกว่า 3 ปี แต่ช่วงเวลาที่โจทก์บรรยายในฟ้องเป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นเวลาเกินกว่า 3 ปี แล้ว ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังเป็นยุติจากการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกับข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องแล้วทั้งสิ้น ไม่มีข้อเท็จจริงใดเป็นข้อเท็จจริงที่อยู่นอกคำฟ้อง ส่วนศาลชั้นต้นจะเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุตินั้นเป็นเหตุหย่าหรือไม่ และเป็นเหตุหย่าที่ปรับได้กับบทบัญญัติกฎหมายมาตราใด อนุมาตราใด เป็นอำนาจหน้าที่และเป็นความเห็นของแต่ละศาล ไม่ใช่หน้าที่ของโจทก์ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นปรับบทกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4/2) จึงไม่ถือเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องหรือเป็นการวินิจฉัยในประเด็นอื่นที่มิได้กล่าวมาในฟ้อง
ในคดีก่อนโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยรับว่า โจทก์คบหากับผู้หญิงอื่นระหว่างที่ยังอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย อีกทั้งในคดีนี้โจทก์ก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยรับว่า จำเลยฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก ม. ที่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับโจทก์เช่นกัน ดังนั้น สาเหตุที่โจทก์ไม่กลับบ้านไปหาจำเลยในคดีก่อนและคดีนี้มาจากตัวโจทก์เองที่มีพฤติกรรมอันแสดงถึงการนอกใจจำเลย ยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาทั้งที่โจทก์กับจำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่ หาใช่มาจากจำเลยไม่ ทั้งความเป็นจริงที่จำเลยต้องแยกกันอยู่กับโจทก์เกิดจากสภาพครอบครัวที่โจทก์ต้องกลับไปดูแลมารดาที่เจ็บป่วย ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ที่จะต้องกลับมาเยี่ยมเยียนดูแลบุตรภริยา ทั้งจำเลยยังรักใคร่หึงหวงในตัวโจทก์อยู่ จึงได้ฟ้อง ม. เรียกค่าทดแทนที่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับโจทก์ กรณีดังกล่าวจะถือว่าเป็นการแยกกันโดยความสมัครใจของจำเลยด้วยหาได้ไม่ ฉะนั้นคงฟังได้แต่เพียงว่า โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่มากว่า 3 ปี จริง แต่การแยกกันอยู่นั้น มิใช่ด้วยความสมัครใจของจำเลย การที่โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่เช่นนี้ก็โดยลำพังความสมัครใจของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว หาทำให้เกิดสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4/2) ไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกันหรือมีคำสั่งให้แยกกันอยู่ และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงเกวลินบุตรแต่เพียงผู้เดียว
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกัน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์แล้วเชื่อว่า โจทก์กับจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี และพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182 ดังที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า ฟ้องข้อ 4 โจทก์บรรยายฟ้องได้ความในทำนองว่า ในช่วงปี 2553 โจทก์ฟ้องหย่าจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์พยายามขอคืนดีขอให้จำเลยปรับปรุงตัวเพื่อให้ครอบครัวกลับมาอยู่กันอย่างปกติสุข แต่จำเลยไม่ยอมหลับนอนกับโจทก์และไม่ยอมกลับมาอยู่ที่บ้านเลขที่ 54 กับโจทก์ โดยจำเลยพักอาศัยอยู่บ้านญาติของจำเลยที่บ้านเลขที่ 98/94 ซึ่งเป็นความสมัครใจของจำเลยเองโจทก์ไม่ได้ขับไล่ ฟ้องข้อ 5 หลังจากโจทก์ฟ้องหย่าจำเลยในปี 2556 จำเลยยังคงไม่กลับไปอยู่กับโจทก์หรือยินยอมให้โจทก์มาอยู่กินฉันสามีภริยา ซึ่งการกระทำของจำเลยที่เคยให้การต่อศาลว่า จำเลยไม่ประสงค์จะหย่ากับโจทก์เนื่องจากสงสารบุตรและอยากอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ต่อ ทำให้โจทก์ใจอ่อนและหลงเชื่อ โจทก์จึงพยายามไปเยี่ยมบุตรแต่จำเลยไม่ให้เข้าบ้าน หลังจากนั้นตลอดระยะเวลา 3 ปี โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่ในลักษณะเช่นนี้ตลอดมาจนกระทั่งปี 2560 โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยอีกครั้ง ศาลยังคงมีคำพิพากษายกฟ้อง และฟ้องข้อ 6 โจทก์บรรยายฟ้องได้ความในทำนองว่า นับแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 ที่ศาลพิพากษายกฟ้อง จำเลยไม่เคยกลับมาใช้ชีวิตฉันสามีภริยากับโจทก์อีกเลย โจทก์ขอให้จำเลยปรับปรุงตัว โดยขอให้ต่างฝ่ายต่างปรับความเข้าใจกัน โจทก์ขอให้จำเลยช่วยเหลือดูแลกิจการของโจทก์ แต่จำเลยไม่ปรับปรุงตัว ไม่ช่วยเหลือดูแลกิจการและไม่ยอมกลับมาใช้ชีวิตฉันสามีภริยากับโจทก์ ทั้งตอนท้ายฟ้องข้อ 6 โจทก์บรรยายฟ้องว่า “ซึ่งจากข้อเท็จจริงจะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2553 ถึงปัจจุบัน โจทก์กับจำเลยไม่สามารถที่จะกลับมาอยู่ฉันสามีภริยาได้อย่างปกติสุขเป็นแน่แท้” เห็นว่าเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) นั้น ไม่ได้มีเพียงระยะเวลาที่แยกกันอยู่เกินสามปีเท่านั้น ยังต้องมีองค์ประกอบอื่นอีกคือ ต้องเป็นเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาด้วย ซึ่งเมื่ออ่านฟ้องโจทก์ทั้งฉบับแล้วแปลความได้ว่า นับตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่โดยสมัครใจ พฤติการณ์ต่าง ๆ ของจำเลยที่กล่าวมาในฟ้องทำให้โจทก์กับจำเลยไม่สามารถที่จะกลับมาอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุข อันเป็นการบรรยายครบองค์ประกอบเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (4/2) แล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุว่าเป็นเวลาเกินกว่า 3 ปี แต่ช่วงเวลาที่โจทก์บรรยายในฟ้องเป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นเวลาเกินกว่า 3 ปี แล้ว ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังเป็นยุติจากการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกับข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องแล้วทั้งสิ้น ไม่มีข้อเท็จจริงใดเป็นข้อเท็จจริงที่อยู่นอกคำฟ้อง ส่วนศาลชั้นต้นจะเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุตินั้นเป็นเหตุหย่าหรือไม่ และเป็นเหตุหย่าที่ปรับได้กับบทบัญญัติกฎหมายมาตราใด อนุมาตราใด เป็นอำนาจหน้าที่และเป็นความเห็นของแต่ละศาล ไม่ใช่หน้าที่ของโจทก์ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นปรับบทกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) จึงไม่ถือเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องหรือเป็นการวินิจฉัยในประเด็นอื่นที่มิได้กล่าวมาในฟ้อง คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์กับจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยก่อน เห็นว่า มูลเหตุแห่งการที่โจทก์ฟ้องหย่าครั้งที่ 3 เมื่อปี 2560 โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยไม่ยอมกลับมาอยู่ที่บ้านเลขที่ 54 กับโจทก์ โดยจำเลยพักอาศัยอยู่บ้านญาติของจำเลย ที่บ้านเลขที่ 98/94 ตั้งแต่ปี 2557 ถึงปัจจุบัน เมื่อไม่ปรากฏว่าในระหว่างนั้นโจทก์กับจำเลยได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วสมัครใจแยกกันอยู่อีกก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ดังนั้นมูลเหตุแห่งการฟ้องหย่าทั้งในคดีก่อนและในคดีนี้จึงเป็นมูลเหตุที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2557 ต่อเนื่องกัน จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีก่อน ซึ่งข้อเท็จจริงในคดีหมายเลขแดงที่ 173/2560 ได้ความว่า บ้านเลขที่ 98/94 ที่จำเลยกับบุตรพักอาศัยนั้น เดิมเป็นของมารดาโจทก์ต่อมาขายให้แก่น้องสาวจำเลย แล้วโจทก์พาจำเลยกับบุตรย้ายออกจากบ้านของมารดาโจทก์เลขที่ 54 ไปอยู่บ้านหลังดังกล่าวด้วยกัน ต่อมามารดาโจทก์ป่วย โจทก์จึงไปดูแลมารดาที่บ้านเลขที่ 54 จึงต้องแยกกันอยู่ แสดงว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งที่โจทก์กับจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากันตั้งแต่ย้ายออกมาจากบ้านของมารดาโจทก์เลขที่ 54 กรณีจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายแยกออกมาอยู่บ้านเลขที่ 98/94 ส่วนที่โจทก์นำสืบว่า นับตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 ที่ศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์ขอให้จำเลยปรับปรุงตัวช่วยเหลือดูแลกิจการของโจทก์ แต่จำเลยไม่ช่วยเหลือดูแลกิจการของโจทก์และไม่เคยกลับมาใช้ชีวิตฉันสามีภริยากับโจทก์อีกเลย แต่โจทก์เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยรับว่า จำเลยเคยมีคดีฟ้องร้องกับนางสาวมนันยา ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ยชพ 146/2562 ของศาลชั้นต้น เมื่อพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าเป็นคดีที่จำเลยฟ้องนางสาวมนันยาเรียกค่าทดแทนที่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับโจทก์ เหตุเกิดประมาณเดือนมิถุนายน 2562 ต่อมาได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอม และในคดีฟ้องหย่าครั้งที่ 3 โจทก์เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยรับว่า โจทก์คบหากับผู้หญิงอื่นระหว่างที่ยังอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย อีกทั้งในคดีนี้โจทก์ก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยรับว่า จำเลยฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวมนันยาเช่นกัน ดังนั้น สาเหตุที่โจทก์ไม่กลับบ้านไปหาจำเลยในคดีก่อนและคดีนี้มาจากตัวโจทก์เองที่มีพฤติกรรมอันแสดงถึงการนอกใจจำเลย ยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาทั้งที่โจทก์กับจำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่ หาใช่มาจากจำเลยไม่ ทั้งความเป็นจริงที่จำเลยต้องแยกกันอยู่กับโจทก์เกิดจากสภาพครอบครัวที่โจทก์ต้องกลับไปดูแลมารดาที่เจ็บป่วย ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ที่จะต้องกลับมาเยี่ยมเยียนดูแลบุตรภริยา โจทก์ไม่ได้นำสืบว่าจำเลยเคยช่วยเหลือดูแลกิจการของโจทก์มาก่อน ข้ออ้างที่ว่าจำเลยไม่ช่วยเหลือดูแลกิจการของโจทก์จึงเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ทั้งจำเลยยังรักใคร่หึงหวงในตัวโจทก์อยู่ จึงได้ฟ้องนางสาวมนันยาเรียกค่าทดแทนที่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับโจทก์ กรณีดังกล่าวจะถือว่าเป็นการแยกกันโดยความสมัครใจของจำเลยด้วยหาได้ไม่ ฉะนั้นข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวคงฟังได้แต่เพียงว่า โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่มากว่า 3 ปี จริง แต่การแยกกันอยู่นั้น มิใช่ด้วยความสมัครใจของจำเลย การที่โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่เช่นนี้ก็โดยลำพังความสมัครใจของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว หาทำให้เกิดสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) ไม่ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกันมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนที่ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกันมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินรวม 7 โฉนด เนื่องจากจำเลยปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินตามสัญญาแปลงหนึ่งว่าไม่ได้อยู่ระหว่างการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ทั้งที่จำเลยยังมีคดีพิพาทกับเจ้าของที่ดินเดิมเกี่ยวกับที่ดินแปลงดังกล่าว อันเป็นการผิดคำรับรองที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย ขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำและใช้เบี้ยปรับตามสัญญา จำเลยให้การว่า จำเลยแจ้งเรื่องข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับเจ้าของที่ดินเดิมให้โจทก์ทราบแล้ว จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเรียกเงินมัดจำ ค่าปรับหรือค่าเสียหายจากจำเลย และฟ้องแย้งว่าโจทก์ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวพร้อมอาคารสำนักงานขายและใบอนุญาตที่จำเลยได้รับอนุญาตให้จัดทำโครงการและก่อสร้างคอนโดมิเนียมจากจำเลย โครงการดังกล่าวจำเลยสร้างเพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้า หากจำหน่ายหมดจะมีกำไร 283,160,000 บาท การที่โจทก์ผิดสัญญา ไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วไม่ส่งมอบพื้นที่และอาคารสำนักงานขายคืนแก่จำเลยในสภาพเดิมและโอนสิทธิใบอนุญาตกลับคืนให้จำเลย ทำให้จำเลยเสียโอกาสในทางธุรกิจ ขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนดังกล่าว สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างอันอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องแย้ง จึงเป็นเรื่องที่จำเลยอ้างว่าได้รับความเสียหายเป็นค่าเสียโอกาสในการทำธุรกิจที่จะได้กำไรจากการก่อสร้างและจำหน่ายห้องชุดด้วยตนเอง เพราะโจทก์ผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินฉบับเดียวกัน และโจทก์ทราบรายละเอียดโครงการของจำเลยมาตั้งแต่ต้น ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 29,250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องโจทก์ และให้บังคับโจทก์ชดใช้ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงาน 12,030,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2564 ถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 12,329,926 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี จากต้นเงิน 12,030,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย ชำระค่าขาดประโยชน์จากการสูญเสียโอกาสและขาดรายได้ทางธุรกิจ 283,160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2564 ถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 285,487,342 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี จากต้นเงิน 283,160,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย ให้โจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิในใบอนุญาตก่อสร้างอาคารเลขที่ 136/2563 คืนแก่จำเลยให้เสร็จสิ้นก่อนวันสิ้นอายุของใบอนุญาตก่อสร้างเพื่อให้จำเลยสามารถขอต่อใบอนุญาตก่อสร้างออกไปได้ หากไม่สามารถคืนได้ให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 1,955,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่จำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การจำเลย ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยเห็นว่าไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับฟ้องแย้ง คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้แก่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยข้อ 3.1 และข้อ 3.3 ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาต่อไปตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ในชั้นนี้ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า ฟ้องแย้งข้อ 3.2 ของจำเลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมที่จะรับไว้พิจารณาพิพากษาหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำและใช้เบี้ยปรับพร้อมทั้งดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ โดยบรรยายฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินรวม 7 โฉนด กับจำเลยเพื่อนำที่ดินดังกล่าวไปพัฒนาสร้างเป็นอาคารชุดขายให้แก่ลูกค้าชื่อโครงการ อ. ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทจำเลยปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 16812 ซึ่งเป็นที่ดินแปลงหนึ่งที่ตกลงจะซื้อจะขายกันตามสัญญา และจำเลยให้คำรับรองต่อโจทก์ว่าขณะทำสัญญาจะซื้อจะขาย จำเลยไม่ได้มีคดีความใด ๆ ที่อยู่ระหว่างการถูกฟ้องร้องหรือดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลต่อที่ดินที่จะซื้อจะขายจากเจ้าหนี้ของจำเลย หรือผู้เช่า หรือบุคคลอื่นใด อันเป็นข้อพิพาทเกี่ยวเนื่องกับที่ดินที่จะขาย ต่อมาโจทก์ทราบจากนางสาวจุฬาลักษณ์ เจ้าของที่ดินเดิมซึ่งขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยว่านางสาวจุฬาลักษณ์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีต่อศาลว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขาย คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์จึงแจ้งขอเลื่อนกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์และให้จำเลยดำเนินการแก้ไขเรื่องดังกล่าวให้ถูกต้องภายในระยะเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากโจทก์ แต่จำเลยมิได้ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาดังกล่าว จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาตามสัญญาข้อ 1.1.3 และข้อ 8.2 โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญา ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่า จำเลยกระทำผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทโดยฝ่าฝืนต่อคำรับรองที่ให้ไว้ตามสัญญาจะซื้อจะขายและมิได้ดำเนินการแก้ไขเรื่องดังกล่าวให้ถูกต้องภายในเวลา 30 วัน ตามที่กำหนดในสัญญา อันเป็นการประพฤติผิดสัญญาทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และมีคำขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำที่ได้รับ 24,250,000 บาท และใช้เบี้ยปรับ 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากโจทก์จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับโจทก์โดยแจ้งเรื่องข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับนางสาวจุฬาลักษณ์ให้โจทก์ทราบก่อนที่โจทก์จะตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายและจ่ายเงินมัดจำให้แก่จำเลยแล้ว จึงไม่เป็นการปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องข้อพิพาทระหว่างจำเลยและนางสาวจุฬาลักษณ์ ทั้งเรื่องดังกล่าวเป็นเหตุส่วนตัวระหว่างจำเลยและนางสาวจุฬาลักษณ์ ไม่มีผลกระทบต่อการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและไม่มีผลกระทบในการที่โจทก์จะเข้าดำเนินการก่อสร้างหรือประชาสัมพันธ์โครงการของโจทก์ จึงไม่มีเหตุขัดข้องที่จะทำให้จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญากับโจทก์และไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่โจทก์จะให้จำเลยแก้ไขหรือระงับข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับนางสาวจุฬาลักษณ์ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา ไม่มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลย และไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหายจากจำเลยตามฟ้อง คำให้การของจำเลยจึงแสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้น ทั้งยกเหตุที่อ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินฉบับเดียวกันเป็นเหตุในการฟ้องแย้งว่า ในวันนัดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโจทก์ไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ตามสัญญา โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเพราะโจทก์ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวพร้อมอาคารสำนักงานขาย 1 หลัง และใบอนุญาตซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้จัดทำโครงการและก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมจากจำเลยเพื่อนำไปพัฒนาต่อในราคา 242,500,000 บาท โดยมีเงื่อนไขตามสัญญาว่านับตั้งแต่วันลงนามในสัญญาจะซื้อจะขาย จำเลยต้องยินยอมให้โจทก์เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินที่จะซื้อจะขายเพื่อทำการปรับถม ปรับปรุงที่ดิน ติดตั้งป้ายโฆษณา ตกแต่งปรับปรุง รื้อถอน ก่อสร้างเพิ่มเติมอาคารสำนักงานขายเดิมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ให้จำเลยส่งมอบใบอนุญาตก่อสร้างอาคารและเอกสารการได้รับอนุญาตให้ดำเนินโครงการบนที่ดินที่จะซื้อจะขาย รวมทั้งโอนสิทธิในใบอนุญาตก่อสร้างให้แก่โจทก์ หากโจทก์ผิดนัดไม่ชำระราคาที่ดินไม่ว่างวดใดงวดหนึ่งหรือผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งให้ถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญา ให้จำเลยเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและให้สิทธิจำเลยริบเงินมัดจำที่โจทก์ชำระไว้แล้วได้ แล้วโจทก์จะส่งมอบพื้นที่และอาคารสำนักงานขายของจำเลยกลับคืนให้แก่จำเลยในสภาพเดิมและจะโอนสิทธิในใบอนุญาตต่าง ๆ กลับคืนให้แก่จำเลย และตามฟ้องแย้งข้อ 3.2 จำเลยบรรยายว่า จำเลยมีโครงการปลูกสร้างอาคารคอนโดมิเนียมตามใบอนุญาตก่อสร้างอาคารเลขที่ 136/2563 เพื่อใช้เป็นห้องพักอาศัยบนที่ดินพิพาทรวมจำนวน 666 ห้อง เพื่อนำออกจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โครงการก่อสร้างตั้งอยู่ติดกับรถไฟฟ้าและเป็นโครงการปลูกสร้างห้องพักอาศัยพร้อมระบบสาธารณูปโภคในรูปแบบทันสมัยที่มีมาตรฐานสูงกว่าของผู้ประกอบการรายอื่นในท้องตลาด ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์การตกแต่งภายในห้องพักและเครื่องอำนวยความสะดวกที่พิเศษและต้องใช้เทคนิคพิเศษในการก่อสร้าง จำเลยตั้งราคาขายในราคาตารางเมตรละ 72,000 บาท พื้นที่ขายรวมทั้งสิ้น 20,757 ตารางเมตร เป็นเงินรวม 1,494,504,000 บาท หากจำเลยจำหน่ายห้องชุดได้หมด จำเลยจะมีกำไรร้อยละ 18.947 ของจำนวนเงินดังกล่าวเป็นเงินทั้งสิ้น 283,160,000 บาท ซึ่งโจทก์ทราบรายละเอียดของโครงการมาตั้งแต่ต้นและรู้ว่าต้องก่อสร้างอาคารคอนโดมิเนียมพร้อมกับงานระบบสาธารณูปโภคให้เสร็จในวันที่ 17 มิถุนายน 2565 ตามกำหนดระยะเวลาในใบอนุญาตก่อสร้างอาคารที่หน่วยงานราชการอนุญาต จำเลยจึงขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าเสียโอกาสในทางธุรกิจของจำเลยเป็นเงินจำนวนดังกล่าว สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างอันอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องแย้งข้อ 3.2 ของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่จำเลยอ้างว่าได้รับความเสียหายเป็นค่าเสียโอกาสในทางธุรกิจที่จะได้กำไรจากการก่อสร้างและจำหน่ายห้องชุดด้วยตนเองเพราะโจทก์ไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นการประพฤติผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินฉบับเดียวกัน และโจทก์ทราบรายละเอียดโครงการของจำเลยมาตั้งแต่ต้น ฟ้องแย้งข้อ 3.2 เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม ชอบที่จะรับฟ้องแย้งข้อดังกล่าวไว้พิจารณา ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การเสียโอกาสในทางธุรกิจของจำเลยเป็นเรื่องที่กล่าวหาว่าโจทก์กระทำละเมิดไม่ได้เกิดจากมูลหนี้ที่พิพาทกันโดยตรง ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องแย้งข้อ 3.2 ของจำเลยไว้พิจารณา แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินรวม 7 โฉนด เนื่องจากจำเลยปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินตามสัญญาแปลงหนึ่งว่าไม่ได้อยู่ระหว่างการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ทั้งที่จำเลยยังมีคดีพิพาทกับเจ้าของที่ดินเดิมเกี่ยวกับที่ดินแปลงดังกล่าว อันเป็นการผิดคำรับรองที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย ขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำและใช้เบี้ยปรับตามสัญญา จำเลยให้การว่า จำเลยแจ้งเรื่องข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับเจ้าของที่ดินเดิมให้โจทก์ทราบแล้ว จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเรียกเงินมัดจำ ค่าปรับหรือค่าเสียหายจากจำเลย และฟ้องแย้งว่าโจทก์ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวพร้อมอาคารสำนักงานขายและใบอนุญาตที่จำเลยได้รับอนุญาตให้จัดทำโครงการและก่อสร้างคอนโดมิเนียมจากจำเลย โครงการดังกล่าวจำเลยสร้างเพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้า หากจำหน่ายหมดจะมีกำไร 283,160,000 บาท การที่โจทก์ผิดสัญญา ไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วไม่ส่งมอบพื้นที่และอาคารสำนักงานขายคืนแก่จำเลยในสภาพเดิมและโอนสิทธิใบอนุญาตกลับคืนให้จำเลย ทำให้จำเลยเสียโอกาสในทางธุรกิจ ขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนดังกล่าว สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างอันอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องแย้ง จึงเป็นเรื่องที่จำเลยอ้างว่าได้รับความเสียหายเป็นค่าเสียโอกาสในการทำธุรกิจที่จะได้กำไรจากการก่อสร้างและจำหน่ายห้องชุดด้วยตนเอง เพราะโจทก์ผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินฉบับเดียวกัน และโจทก์ทราบรายละเอียดโครงการของจำเลยมาตั้งแต่ต้น ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 29,250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องโจทก์ และให้บังคับโจทก์ชดใช้ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงาน 12,030,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2564 ถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 12,329,926 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี จากต้นเงิน 12,030,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย ชำระค่าขาดประโยชน์จากการสูญเสียโอกาสและขาดรายได้ทางธุรกิจ 283,160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2564 ถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 285,487,342 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี จากต้นเงิน 283,160,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย ให้โจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิในใบอนุญาตก่อสร้างอาคารเลขที่ 136/2563 คืนแก่จำเลยให้เสร็จสิ้นก่อนวันสิ้นอายุของใบอนุญาตก่อสร้างเพื่อให้จำเลยสามารถขอต่อใบอนุญาตก่อสร้างออกไปได้ หากไม่สามารถคืนได้ให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 1,955,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่จำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การจำเลย ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยเห็นว่าไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับฟ้องแย้ง คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้แก่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยข้อ 3.1 และข้อ 3.3 ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาต่อไปตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ในชั้นนี้ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า ฟ้องแย้งข้อ 3.2 ของจำเลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมที่จะรับไว้พิจารณาพิพากษาหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำและใช้เบี้ยปรับพร้อมทั้งดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ โดยบรรยายฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินรวม 7 โฉนด กับจำเลยเพื่อนำที่ดินดังกล่าวไปพัฒนาสร้างเป็นอาคารชุดขายให้แก่ลูกค้าชื่อโครงการ อ. ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทจำเลยปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 16812 ซึ่งเป็นที่ดินแปลงหนึ่งที่ตกลงจะซื้อจะขายกันตามสัญญา และจำเลยให้คำรับรองต่อโจทก์ว่าขณะทำสัญญาจะซื้อจะขาย จำเลยไม่ได้มีคดีความใด ๆ ที่อยู่ระหว่างการถูกฟ้องร้องหรือดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลต่อที่ดินที่จะซื้อจะขายจากเจ้าหนี้ของจำเลย หรือผู้เช่า หรือบุคคลอื่นใด อันเป็นข้อพิพาทเกี่ยวเนื่องกับที่ดินที่จะขาย ต่อมาโจทก์ทราบจากนางสาวจุฬาลักษณ์ เจ้าของที่ดินเดิมซึ่งขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยว่านางสาวจุฬาลักษณ์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีต่อศาลว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขาย คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์จึงแจ้งขอเลื่อนกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์และให้จำเลยดำเนินการแก้ไขเรื่องดังกล่าวให้ถูกต้องภายในระยะเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากโจทก์ แต่จำเลยมิได้ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาดังกล่าว จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาตามสัญญาข้อ 1.1.3 และข้อ 8.2 โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญา ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่า จำเลยกระทำผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทโดยฝ่าฝืนต่อคำรับรองที่ให้ไว้ตามสัญญาจะซื้อจะขายและมิได้ดำเนินการแก้ไขเรื่องดังกล่าวให้ถูกต้องภายในเวลา 30 วัน ตามที่กำหนดในสัญญา อันเป็นการประพฤติผิดสัญญาทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และมีคำขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำที่ได้รับ 24,250,000 บาท และใช้เบี้ยปรับ 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากโจทก์จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับโจทก์โดยแจ้งเรื่องข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับนางสาวจุฬาลักษณ์ให้โจทก์ทราบก่อนที่โจทก์จะตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายและจ่ายเงินมัดจำให้แก่จำเลยแล้ว จึงไม่เป็นการปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องข้อพิพาทระหว่างจำเลยและนางสาวจุฬาลักษณ์ ทั้งเรื่องดังกล่าวเป็นเหตุส่วนตัวระหว่างจำเลยและนางสาวจุฬาลักษณ์ ไม่มีผลกระทบต่อการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและไม่มีผลกระทบในการที่โจทก์จะเข้าดำเนินการก่อสร้างหรือประชาสัมพันธ์โครงการของโจทก์ จึงไม่มีเหตุขัดข้องที่จะทำให้จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญากับโจทก์และไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่โจทก์จะให้จำเลยแก้ไขหรือระงับข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับนางสาวจุฬาลักษณ์ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา ไม่มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลย และไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหายจากจำเลยตามฟ้อง คำให้การของจำเลยจึงแสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้น ทั้งยกเหตุที่อ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินฉบับเดียวกันเป็นเหตุในการฟ้องแย้งว่า ในวันนัดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโจทก์ไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ตามสัญญา โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเพราะโจทก์ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวพร้อมอาคารสำนักงานขาย 1 หลัง และใบอนุญาตซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้จัดทำโครงการและก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมจากจำเลยเพื่อนำไปพัฒนาต่อในราคา 242,500,000 บาท โดยมีเงื่อนไขตามสัญญาว่านับตั้งแต่วันลงนามในสัญญาจะซื้อจะขาย จำเลยต้องยินยอมให้โจทก์เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินที่จะซื้อจะขายเพื่อทำการปรับถม ปรับปรุงที่ดิน ติดตั้งป้ายโฆษณา ตกแต่งปรับปรุง รื้อถอน ก่อสร้างเพิ่มเติมอาคารสำนักงานขายเดิมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ให้จำเลยส่งมอบใบอนุญาตก่อสร้างอาคารและเอกสารการได้รับอนุญาตให้ดำเนินโครงการบนที่ดินที่จะซื้อจะขาย รวมทั้งโอนสิทธิในใบอนุญาตก่อสร้างให้แก่โจทก์ หากโจทก์ผิดนัดไม่ชำระราคาที่ดินไม่ว่างวดใดงวดหนึ่งหรือผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งให้ถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญา ให้จำเลยเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและให้สิทธิจำเลยริบเงินมัดจำที่โจทก์ชำระไว้แล้วได้ แล้วโจทก์จะส่งมอบพื้นที่และอาคารสำนักงานขายของจำเลยกลับคืนให้แก่จำเลยในสภาพเดิมและจะโอนสิทธิในใบอนุญาตต่าง ๆ กลับคืนให้แก่จำเลย และตามฟ้องแย้งข้อ 3.2 จำเลยบรรยายว่า จำเลยมีโครงการปลูกสร้างอาคารคอนโดมิเนียมตามใบอนุญาตก่อสร้างอาคารเลขที่ 136/2563 เพื่อใช้เป็นห้องพักอาศัยบนที่ดินพิพาทรวมจำนวน 666 ห้อง เพื่อนำออกจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โครงการก่อสร้างตั้งอยู่ติดกับรถไฟฟ้าและเป็นโครงการปลูกสร้างห้องพักอาศัยพร้อมระบบสาธารณูปโภคในรูปแบบทันสมัยที่มีมาตรฐานสูงกว่าของผู้ประกอบการรายอื่นในท้องตลาด ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์การตกแต่งภายในห้องพักและเครื่องอำนวยความสะดวกที่พิเศษและต้องใช้เทคนิคพิเศษในการก่อสร้าง จำเลยตั้งราคาขายในราคาตารางเมตรละ 72,000 บาท พื้นที่ขายรวมทั้งสิ้น 20,757 ตารางเมตร เป็นเงินรวม 1,494,504,000 บาท หากจำเลยจำหน่ายห้องชุดได้หมด จำเลยจะมีกำไรร้อยละ 18.947 ของจำนวนเงินดังกล่าวเป็นเงินทั้งสิ้น 283,160,000 บาท ซึ่งโจทก์ทราบรายละเอียดของโครงการมาตั้งแต่ต้นและรู้ว่าต้องก่อสร้างอาคารคอนโดมิเนียมพร้อมกับงานระบบสาธารณูปโภคให้เสร็จในวันที่ 17 มิถุนายน 2565 ตามกำหนดระยะเวลาในใบอนุญาตก่อสร้างอาคารที่หน่วยงานราชการอนุญาต จำเลยจึงขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าเสียโอกาสในทางธุรกิจของจำเลยเป็นเงินจำนวนดังกล่าว สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างอันอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องแย้งข้อ 3.2 ของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่จำเลยอ้างว่าได้รับความเสียหายเป็นค่าเสียโอกาสในทางธุรกิจที่จะได้กำไรจากการก่อสร้างและจำหน่ายห้องชุดด้วยตนเองเพราะโจทก์ไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นการประพฤติผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินฉบับเดียวกัน และโจทก์ทราบรายละเอียดโครงการของจำเลยมาตั้งแต่ต้น ฟ้องแย้งข้อ 3.2 เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม ชอบที่จะรับฟ้องแย้งข้อดังกล่าวไว้พิจารณา ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การเสียโอกาสในทางธุรกิจของจำเลยเป็นเรื่องที่กล่าวหาว่าโจทก์กระทำละเมิดไม่ได้เกิดจากมูลหนี้ที่พิพาทกันโดยตรง ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องแย้งข้อ 3.2 ของจำเลยไว้พิจารณา แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
แม้โจทก์ที่ 1 มีเพียงคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมต่าง ๆ ระหว่างจำเลยทั้งสี่โดยมิได้มีคำขอให้ใช้ราคาที่ดินทั้งสองแปลงแก่โจทก์ที่ 1 ก็ตาม แต่เมื่อศาลไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวเพื่อให้ที่ดินทั้งสองแปลงกลับคืนมาเป็นของโจทก์ที่ 1 ได้ ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเท่ากับราคาที่ดินทั้งสองแปลงตามราคาที่ดินที่คู่ความแถลงรับกันแก่โจทก์ที่ 1 ได้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7397 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2557 นิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2557 นิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7415 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2558 นิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 4 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2558 นิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2559 และนิติกรรมการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2562 หากจำเลยทั้งสี่ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การขอให้ยกฟ้อง
สำนวนที่สองโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารรื้อย้ายอาคารร้านซ่อมรถจักรยานยนต์บนที่ดินโฉนดเลขที่ 61908 ห้ามจำเลยและบริวารเข้ามายุ่งเกี่ยวอีกต่อไป กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ 4,000 บาท และค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อย้ายอาคารร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์สำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 เรียกจำเลยในสำนวนที่สองว่า โจทก์ที่ 2 เรียกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 สำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 และเรียกจำเลยที่ 3 สำนวนแรกและโจทก์สำนวนที่สองว่า จำเลยที่ 3
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7397 ระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2557 การขายฝากระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2557 และให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7415 ระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2558 การขายฝากระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 4 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2558 การขายฝากระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2559 และการแบ่งแยกโฉนดที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2562 ให้จำเลยทั้งสี่ดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าว หากจำเลยทั้งสี่ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ กับให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ที่ 1 โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ให้ยกฟ้องของจำเลยที่ 3 ในสำนวนคดีหลัง ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างจำเลยที่ 3 และโจทก์ที่ 2 ให้เป็นพับ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ
จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ให้ขับไล่โจทก์ที่ 2 ขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของจำเลยที่ 3 ให้โจทก์ที่ 2 ชำระเงินแก่จำเลยที่ 3 ในอัตราเดือนละ 200 บาท นับแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2562 จนกว่าโจทก์ที่ 2 จะขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของจำเลยที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 อายุ 67 ปี มีอาชีพทำนา เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เดิมโจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 7397 และ 7415 ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.3 เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2557 โจทก์ที่ 1 กู้เงินจำเลยที่ 1 จำนวน 230,000 บาท โดยนำโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 มอบให้จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้ เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ โจทก์ที่ 1 ลงชื่อในเอกสารหลายฉบับรวมทั้งแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความมอบให้จำเลยที่ 1 ด้วย ต่อมาเดือนธันวาคม 2558 โจทก์ที่ 1 ขอกู้เงินจากจำเลยที่ 1 เพิ่มอีก 400,000 บาท โดยโจทก์ที่ 1 นำโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย จ.3 มอบให้จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ หลังจากนั้นโจทก์ที่ 1 ตรวจสอบโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงจึงทราบว่าจำเลยที่ 1 กรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจว่าโจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขายที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.3 ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 วันที่ 6 สิงหาคม 2557 จำเลยที่ 1 นำหนังสือมอบอำนาจไปจดทะเบียนขายที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ให้แก่จำเลยที่ 1 วันที่ 8 สิงหาคม 2557 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายฝากที่ดินแปลงนี้ให้แก่จำเลยที่ 4 วันที่ 18 ธันวาคม 2558 จำเลยที่ 2 นำหนังสือมอบอำนาจไปจดทะเบียนขายที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.3 ให้แก่จำเลยที่ 2 วันที่ 22 ธันวาคม 2558 จำเลยที่ 2 จดทะเบียนขายฝากที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 4 วันที่ 29 มกราคม 2559 จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนการขายฝากที่ดินแปลงนี้แล้วจดทะเบียนขายฝากให้แก่จำเลยที่ 3 ในวันเดียวกัน ต่อมาวันที่ 17 ตุลาคม 2562 จำเลยที่ 3 ดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 7415 ออกเป็นแปลงย่อย 7 แปลง ที่ดินโฉนดเลขที่ 61908 เป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 7415 มีร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ของบุตรสาวและบุตรเขยของโจทก์ที่ 1 อยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 61908 โดยบุตรสาวและบุตรเขยของโจทก์ที่ 1 มอบหมายให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ดูแลร้าน โจทก์ที่ 1 แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อหาร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม กับข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า มีเหตุต้องเพิกถอนนิติกรรมตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 สำนวนแรก และยกฟ้องของจำเลยที่ 3 ในสำนวนหลังหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ที่ 1 ทักท้วงที่จำเลยที่ 1 นำเอกสารมาให้ลงชื่อหลายฉบับ แสดงว่าโจทก์ที่ 1 รู้สึกถึงความผิดปกติแล้ว แต่โจทก์ที่ 1 ยังยอมลงชื่อในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจโดยไม่ตรวจสอบให้ดี ทั้งที่หนังสือมอบอำนาจด้านบนมีตราครุฑและคำว่า หนังสือมอบอำนาจเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่ มองเห็นได้ง่าย เมื่อพิจารณาประกอบข้อเท็จจริงที่ได้ความจากโจทก์ที่ 1 เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 3 ว่า โจทก์ที่ 1 อ่านหนังสือได้บ้าง เมื่อทนายจำเลยที่ 3 เอาหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ดู โจทก์ที่ 1 อ่านข้อความได้ว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจ และโจทก์ที่ 1 ยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 4 ถามค้านว่า ก่อนกู้เงินจากจำเลยที่ 1 โจทก์ที่ 1 เคยมีหนี้อยู่แก่เจ้าหนี้รายอื่นและเคยทำนิติกรรมขายที่ดินมาหลายครั้งแล้ว แสดงว่าโจทก์ที่ 1 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำนิติกรรมกู้ยืมเงินมาพอสมควร การละเลยไม่ตรวจสอบเอกสารก่อนลงชื่อ อีกทั้งยังมอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านซึ่งเป็นเอกสารสำคัญของตนพร้อมลงชื่อรับรองความถูกต้องให้แก่จำเลยที่ 1 เช่นนี้ ถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 กระทำการด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ดังนั้น โจทก์ที่ 1 ย่อมไม่อาจอ้างเหตุการถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงมาขอเพิกถอนนิติกรรมให้กระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนได้ ส่วนข้อที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ชอบเพราะไม่ได้แสดงเหตุผลสนับสนุนข้อวินิจฉัยที่ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริต จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ได้ทำนิติกรรมโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน นั้น เห็นว่า โจทก์ที่ 1 ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินไปยังจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกว่าเกิดจากการปลอมเอกสารการมอบอำนาจของโจทก์ที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่โจทก์ที่ 1 ไม่ได้บรรยายในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำนิติกรรมโดยไม่สุจริตและไม่ได้เสียค่าตอบแทน ยิ่งไปกว่านั้นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 วางหลักให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต การที่โจทก์ที่ 1 ไม่บรรยายฟ้องไว้ให้เป็นประเด็นเพื่อนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำการโดยไม่สุจริต คดีนี้จึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำการโดยไม่สุจริตและเสียค่าตอบแทนหรือไม่ กรณีต้องฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ทำนิติกรรมโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริต แม้ไม่ได้ให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยก็ไม่ทำให้เป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบเพราะในชั้นอุทธรณ์ไม่มีประเด็นดังกล่าวที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะต้องวินิจฉัยให้ ด้วยเหตุผลดังวินิจฉัยมา จึงไม่มีเหตุต้องเพิกถอนการทำนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 และระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 สำนวนแรก และไม่มีเหตุยกฟ้องของจำเลยที่ 3 ตามฟ้องสำนวนหลัง
อย่างไรก็ตาม การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันปลอมหนังสือมอบอำนาจโดยกรอกข้อความอันเป็นเท็จว่า โจทก์ที่ 1 ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7397 ให้แก่จำเลยที่ 1 และขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7415 ให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 นำหนังสือมอบอำนาจปลอมไปจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7397 ให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 นำหนังสือมอบอำนาจปลอมไปจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7415 ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหายต้องสูญเสียที่ดินไปเนื่องจากจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกทำนิติกรรมโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์ที่ 1 ไม่อาจเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 และระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 ได้ สภาพแห่งหนี้จึงไม่เปิดช่องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ที่ 1 ได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 แม้โจทก์ที่ 1 มีเพียงคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมต่าง ๆ ระหว่างจำเลยทั้งสี่โดยมิได้มีคำขอให้ใช้ราคาที่ดินทั้งสองแปลงแก่โจทก์ที่ 1 ก็ตาม แต่เมื่อศาลไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวเพื่อให้ที่ดินทั้งสองแปลงกลับคืนมาเป็นของโจทก์ที่ 1 ได้ ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเท่ากับราคาที่ดินทั้งสองแปลงแก่โจทก์ที่ 1 ได้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ดังนั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นราคาที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 1 ซึ่งปรากฏตามที่คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงต่อศาลร่วมกันว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 7397 มีราคา 600,000 บาท และที่ดินโฉนดเลขที่ 7415 มีราคา 3,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 3,600,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาขับไล่โจทก์ที่ 2 ออกจากที่ดินนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชดใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 3,600,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
แม้โจทก์ที่ 1 มีเพียงคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมต่าง ๆ ระหว่างจำเลยทั้งสี่โดยมิได้มีคำขอให้ใช้ราคาที่ดินทั้งสองแปลงแก่โจทก์ที่ 1 ก็ตาม แต่เมื่อศาลไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวเพื่อให้ที่ดินทั้งสองแปลงกลับคืนมาเป็นของโจทก์ที่ 1 ได้ ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเท่ากับราคาที่ดินทั้งสองแปลงตามราคาที่ดินที่คู่ความแถลงรับกันแก่โจทก์ที่ 1 ได้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7397 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2557 นิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2557 นิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7415 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2558 นิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 4 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2558 นิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2559 และนิติกรรมการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2562 หากจำเลยทั้งสี่ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การขอให้ยกฟ้อง
สำนวนที่สองโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารรื้อย้ายอาคารร้านซ่อมรถจักรยานยนต์บนที่ดินโฉนดเลขที่ 61908 ห้ามจำเลยและบริวารเข้ามายุ่งเกี่ยวอีกต่อไป กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ 4,000 บาท และค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อย้ายอาคารร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์สำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 เรียกจำเลยในสำนวนที่สองว่า โจทก์ที่ 2 เรียกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 สำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 และเรียกจำเลยที่ 3 สำนวนแรกและโจทก์สำนวนที่สองว่า จำเลยที่ 3
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7397 ระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2557 การขายฝากระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2557 และให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7415 ระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2558 การขายฝากระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 4 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2558 การขายฝากระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2559 และการแบ่งแยกโฉนดที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2562 ให้จำเลยทั้งสี่ดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าว หากจำเลยทั้งสี่ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ กับให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ที่ 1 โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ให้ยกฟ้องของจำเลยที่ 3 ในสำนวนคดีหลัง ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างจำเลยที่ 3 และโจทก์ที่ 2 ให้เป็นพับ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ
จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ให้ขับไล่โจทก์ที่ 2 ขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของจำเลยที่ 3 ให้โจทก์ที่ 2 ชำระเงินแก่จำเลยที่ 3 ในอัตราเดือนละ 200 บาท นับแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2562 จนกว่าโจทก์ที่ 2 จะขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของจำเลยที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 อายุ 67 ปี มีอาชีพทำนา เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เดิมโจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 7397 และ 7415 ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.3 เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2557 โจทก์ที่ 1 กู้เงินจำเลยที่ 1 จำนวน 230,000 บาท โดยนำโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 มอบให้จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้ เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ โจทก์ที่ 1 ลงชื่อในเอกสารหลายฉบับรวมทั้งแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความมอบให้จำเลยที่ 1 ด้วย ต่อมาเดือนธันวาคม 2558 โจทก์ที่ 1 ขอกู้เงินจากจำเลยที่ 1 เพิ่มอีก 400,000 บาท โดยโจทก์ที่ 1 นำโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย จ.3 มอบให้จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ หลังจากนั้นโจทก์ที่ 1 ตรวจสอบโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงจึงทราบว่าจำเลยที่ 1 กรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจว่าโจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขายที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.3 ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 วันที่ 6 สิงหาคม 2557 จำเลยที่ 1 นำหนังสือมอบอำนาจไปจดทะเบียนขายที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ให้แก่จำเลยที่ 1 วันที่ 8 สิงหาคม 2557 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายฝากที่ดินแปลงนี้ให้แก่จำเลยที่ 4 วันที่ 18 ธันวาคม 2558 จำเลยที่ 2 นำหนังสือมอบอำนาจไปจดทะเบียนขายที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.3 ให้แก่จำเลยที่ 2 วันที่ 22 ธันวาคม 2558 จำเลยที่ 2 จดทะเบียนขายฝากที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 4 วันที่ 29 มกราคม 2559 จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนการขายฝากที่ดินแปลงนี้แล้วจดทะเบียนขายฝากให้แก่จำเลยที่ 3 ในวันเดียวกัน ต่อมาวันที่ 17 ตุลาคม 2562 จำเลยที่ 3 ดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 7415 ออกเป็นแปลงย่อย 7 แปลง ที่ดินโฉนดเลขที่ 61908 เป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 7415 มีร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ของบุตรสาวและบุตรเขยของโจทก์ที่ 1 อยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 61908 โดยบุตรสาวและบุตรเขยของโจทก์ที่ 1 มอบหมายให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ดูแลร้าน โจทก์ที่ 1 แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อหาร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม กับข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า มีเหตุต้องเพิกถอนนิติกรรมตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 สำนวนแรก และยกฟ้องของจำเลยที่ 3 ในสำนวนหลังหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ที่ 1 ทักท้วงที่จำเลยที่ 1 นำเอกสารมาให้ลงชื่อหลายฉบับ แสดงว่าโจทก์ที่ 1 รู้สึกถึงความผิดปกติแล้ว แต่โจทก์ที่ 1 ยังยอมลงชื่อในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจโดยไม่ตรวจสอบให้ดี ทั้งที่หนังสือมอบอำนาจด้านบนมีตราครุฑและคำว่า หนังสือมอบอำนาจเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่ มองเห็นได้ง่าย เมื่อพิจารณาประกอบข้อเท็จจริงที่ได้ความจากโจทก์ที่ 1 เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 3 ว่า โจทก์ที่ 1 อ่านหนังสือได้บ้าง เมื่อทนายจำเลยที่ 3 เอาหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ดู โจทก์ที่ 1 อ่านข้อความได้ว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจ และโจทก์ที่ 1 ยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 4 ถามค้านว่า ก่อนกู้เงินจากจำเลยที่ 1 โจทก์ที่ 1 เคยมีหนี้อยู่แก่เจ้าหนี้รายอื่นและเคยทำนิติกรรมขายที่ดินมาหลายครั้งแล้ว แสดงว่าโจทก์ที่ 1 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำนิติกรรมกู้ยืมเงินมาพอสมควร การละเลยไม่ตรวจสอบเอกสารก่อนลงชื่อ อีกทั้งยังมอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านซึ่งเป็นเอกสารสำคัญของตนพร้อมลงชื่อรับรองความถูกต้องให้แก่จำเลยที่ 1 เช่นนี้ ถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 กระทำการด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ดังนั้น โจทก์ที่ 1 ย่อมไม่อาจอ้างเหตุการถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงมาขอเพิกถอนนิติกรรมให้กระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนได้ ส่วนข้อที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ชอบเพราะไม่ได้แสดงเหตุผลสนับสนุนข้อวินิจฉัยที่ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริต จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ได้ทำนิติกรรมโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน นั้น เห็นว่า โจทก์ที่ 1 ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินไปยังจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกว่าเกิดจากการปลอมเอกสารการมอบอำนาจของโจทก์ที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่โจทก์ที่ 1 ไม่ได้บรรยายในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำนิติกรรมโดยไม่สุจริตและไม่ได้เสียค่าตอบแทน ยิ่งไปกว่านั้นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 วางหลักให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต การที่โจทก์ที่ 1 ไม่บรรยายฟ้องไว้ให้เป็นประเด็นเพื่อนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำการโดยไม่สุจริต คดีนี้จึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำการโดยไม่สุจริตและเสียค่าตอบแทนหรือไม่ กรณีต้องฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ทำนิติกรรมโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริต แม้ไม่ได้ให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยก็ไม่ทำให้เป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบเพราะในชั้นอุทธรณ์ไม่มีประเด็นดังกล่าวที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะต้องวินิจฉัยให้ ด้วยเหตุผลดังวินิจฉัยมา จึงไม่มีเหตุต้องเพิกถอนการทำนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 และระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 สำนวนแรก และไม่มีเหตุยกฟ้องของจำเลยที่ 3 ตามฟ้องสำนวนหลัง
อย่างไรก็ตาม การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันปลอมหนังสือมอบอำนาจโดยกรอกข้อความอันเป็นเท็จว่า โจทก์ที่ 1 ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7397 ให้แก่จำเลยที่ 1 และขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7415 ให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 นำหนังสือมอบอำนาจปลอมไปจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7397 ให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 นำหนังสือมอบอำนาจปลอมไปจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7415 ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหายต้องสูญเสียที่ดินไปเนื่องจากจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกทำนิติกรรมโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์ที่ 1 ไม่อาจเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 และระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 ได้ สภาพแห่งหนี้จึงไม่เปิดช่องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ที่ 1 ได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 แม้โจทก์ที่ 1 มีเพียงคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมต่าง ๆ ระหว่างจำเลยทั้งสี่โดยมิได้มีคำขอให้ใช้ราคาที่ดินทั้งสองแปลงแก่โจทก์ที่ 1 ก็ตาม แต่เมื่อศาลไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวเพื่อให้ที่ดินทั้งสองแปลงกลับคืนมาเป็นของโจทก์ที่ 1 ได้ ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเท่ากับราคาที่ดินทั้งสองแปลงแก่โจทก์ที่ 1 ได้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ดังนั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นราคาที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 1 ซึ่งปรากฏตามที่คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงต่อศาลร่วมกันว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 7397 มีราคา 600,000 บาท และที่ดินโฉนดเลขที่ 7415 มีราคา 3,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 3,600,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาขับไล่โจทก์ที่ 2 ออกจากที่ดินนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชดใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 3,600,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยโพสต์ในเพจองค์กรพลังชาวพุทธว่า “#ข่าวนี้จริงหรือไม่? มีมูลหรือเปล่า? สาเหตุแท้จริงเรื่องนี้มาจากอะไร? ทำไมท่านวันนอร์?? ถึงได้ทำแบบนี้? ท่านวันนอร์? จะชี้แจงสังคมอย่างไร? #สังคมไทยกำลังเคลือบแคลง?? และจำเลยตัดต่อข้อความลงบนรูปโจทก์มีข้อความว่า “จริงหรือไม่? วันนอร์นำทีมกลุ่มวาดะห์รับบริจาคเงินช่วยเหลือโจรใต้...” จำเลยโพสต์ในเพจองค์กรพลังชาวพุทธว่า “#มันแปลกดีนะ?? เป็นไปได้อย่างไร? ท่านวันนอร์!! มีบ้านใหญ่โตสุดหรู?? แต่อยู่อย่างปลอดภัย!! อยู่อย่างเป็นสุข!! โจรชั่วมุสลิม BRN!! ไม่เคยไปรบกวน?? เป็นเพราะอะไร? เป็นเพราะอะไร?” “#มันแปลกดีนะ!! เป็นเพราะอะไร? นายวันนอร์ปลอดภัย!! ตลอด 20 ปี?? ทหาร, พระ, ผู้บริสุทธิ์ตาย! เกือบหมื่นศพ? นายวันนอร์มีวิธีอย่างไร? ถึงปลอดภัย? #ไม่เคยมีข่าวถูกคุกคามสักครั้ง “#แปลกไหมครับ? เป็นไปได้อย่างไร? ใครอธิบายได้บ้าง? โจรชั่วกบฏมุสลิม Brn!! ก่อเหตุฆ่าพระ ทหารและผู้บริสุทธิ์ ฯลฯ เกือบหมื่นศพ!!.. มาเกือบ 20 ปี!! แต่ไม่เคยเกิดเหตุร้ายใดใดกับนายวันนอร์ ครอบครัวและบริวาร รวมทั้งทรัพย์สินเลยสักครั้ง?????....” เห็นว่า การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตาม ป.อ. มาตรา 328 นั้น ผู้กระทำความผิดต้องมีเจตนาใส่ความผู้อื่นในลักษณะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ด้วยการเผยแพร่ข้อความไปยังสาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป และข้อความนั้นตามความรู้สึกของวิญญูชนโดยทั่วไปถึงขั้นทำให้ผู้อื่นนั้นน่าจะเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาข้อความที่จำเลยโพสต์และข้อความที่จำเลยนำมาใส่บนรูปโจทก์ในเพจเฟซบุ๊กของจำเลยและองค์กรพลังชาวพุทธแล้ว ทำให้วิญญูชนโดยทั่วไปที่พบเห็นและอ่านแล้ว มีความรู้สึกหรือเข้าใจได้ว่า โจทก์เป็นคนไม่ดี เกี่ยวข้องกับขบวนการ BRN ซึ่งเป็นขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันส่งผลให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ ลักษณะการใส่ความของจำเลยก็เป็นการโพสต์ข้อความซ้ำแล้วซ้ำอีก บ่งชี้ถึงเจตนาของจำเลยว่าเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงตามที่โพสต์ไป ที่จำเลยอ้างว่า การโพสต์ของจำเลยมีลักษณะเป็นการตั้งคำถามต่อโจทก์ ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริง และเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม เห็นว่า แม้จำเลยจะเพิ่มข้อความว่า จริงหรือไม่ ในลักษณะเป็นคำถามก็ตาม พฤติการณ์เช่นนี้บ่งชี้ได้ว่า จำเลยตั้งคำถามโดยไม่สุจริตใจและมีเจตนาเพื่อจะหลีกเลี่ยงความผิดตาม ป.อ. มาตรา 328 จึงมิใช่กรณีไม่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงตามที่จำเลยต่อสู้ ส่วนเรื่องการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมนั้น เมื่อจำเลยได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับตัวโจทก์และต้องการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามที่จำเลยนำสืบ แต่จำเลยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่นอนก่อนที่จะโพสต์ข้อความ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เคยสอบถามปัญหาดังกล่าวต่อโจทก์โดยตรงมาก่อน จำเลยก็ยังมีวิธีการที่จำเลยจะดำเนินการหรือร้องเรียนต่อหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบได้อีกหลากหลายวิธี โดยไม่มีเหตุที่จะต้องตั้งคำถามในลักษณะกล่าวหาใส่ร้ายโจทก์เช่นนี้ การกระทำของจำเลยเห็นได้ว่ามีเจตนาที่ต้องการประจานโจทก์ให้ได้รับความอับอายขายหน้า จึงเป็นการใส่ความโจทก์ในประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 328 หาใช่มีเจตนาเพียงต้องการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม อันจะทำให้จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ. มาตรา 329 (1) ไม่
อนึ่ง คดีนี้จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน แต่ศาลชั้นต้นรวมโทษทุกกระทงแล้วจึงลดโทษให้จำเลย แทนที่จะลดโทษแต่ละกระทงก่อนแล้วจึงรวมโทษ ย่อมเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากกว่าการลดโทษแต่ละกระทงเสียก่อนแล้วจึงรวมโทษเข้าด้วยกันตาม ป.อ. มาตรา 21 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 326, 328 ให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ หน้า 1 และในเฟซบุ๊กของจำเลยและองค์กรพลังชาวพุทธเป็นเวลา 7 วัน ติดต่อกัน
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 4 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี รวมจำคุก 8 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี 4 เดือน และให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาโดยย่อพอได้ใจความในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและเดลินิวส์เป็นเวลา 3 วัน ติดต่อกันโดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติเบื้องต้นว่าจำเลยเป็นเจ้าของผู้เปิดใช้เฟซบุ๊กชื่อ อ. อีกทั้งเป็นผู้สร้างและเปิดเพจองค์กรพลังชาวพุทธ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 เวลากลางวัน จำเลยโพสต์ในเพจองค์กรพลังชาวพุทธว่า “#ข่าวนี้จริงหรือไม่? มีมูลหรือเปล่า? สาเหตุแต่ (ที่ถูก แท้) จริงเรื่องนี้มาจากอะไร? ทำไมท่านวันนอร์?? ถึงได้ทำแบบนี้ ? ท่านวันนอร์? จะชี้แจงสังคมอย่างไร? #สังคมไทยกำลังเคลือบแคลง?? และจำเลยตัดต่อข้อความลงบนรูปโจทก์มีข้อความว่า “จริงหรือไม่? วันนอร์นำทีมกลุ่มวาดะห์รับบริจาคเงินช่วยเหลือโจรใต้...” วันที่ 16 พฤษภาคม 2563 เวลากลางวัน จำเลยโพสต์ในเพจองค์กรพลังชาวพุทธว่า “#มันแปลกดีนะ?? เป็นไปได้อย่างไร? ท่านวันนอร์!! มีบ้านใหญ่โตสุดหรู?? แต่อยู่อย่างปลอดภัย!! อยู่อย่างเป็นสุข!! โจรชั่วมุสลิม BRN!! ไม่เคยไปรบกวน?? เป็นเพราะอะไร? เป็นเพราะอะไร?” และจำเลยตัดต่อข้อความลงบนรูปโจทก์มีข้อความว่า “บ้านหรูอลังการ” “ปลอดภัย” “โจรชั่ว...” “โจร BRN ไม่รบกวน?” เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2563 เวลากลางวัน จำเลยโพสต์ในเพจองค์กรพลังชาวพุทธว่า “#มันแปลกดีนะ!! เป็นเพราะอะไร? นายวันนอร์ปลอดภัย!! ตลอด 20 ปี?? ทหาร, พระ, ผู้บริสุทธิ์ตาย! เกือบหมื่นศพ? นายวันนอร์มีวิธีอย่างไร? ถึงปลอดภัย? #ไม่เคยมีข่าวถูกคุมคามสักครั้ง??” และจำเลยตัดต่อข้อความลงบนรูปโจทก์มีข้อความว่า “แปลกมั้ย....” “โจรชั่ว....” และวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 เวลากลางวัน จำเลยโพสต์ในเพจองค์กรพลังชาวพุทธว่า “#แปลกไหมครับ? เป็นไปได้อย่างไร? ใครอธิบายได้บ้าง? โจรชั่วกบฏมุสลิม Brn!! ก่อเหตุฆ่าพระ ทหารและผู้บริสุทธิ์ ฯลฯ เกือบหมื่นศพ!!.. มาเกือบ 20 ปี!! แต่ไม่เคยเกิดเหตุร้ายใดใดกับนายวันนอร์ ครอบครัวและบริวาร รวมทั้งทรัพย์สินเลยสักครั้ง?????....” และจำเลยตัดต่อข้อความลงบนรูปโจทก์มีข้อความว่า “แปลกมั้ย....” “โจรชั่ว....”
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความได้ความว่า โจทก์เป็นหัวหน้าพรรคประชาชาติ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัย อีกทั้งเคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี การที่จำเลยโพสต์ข้อความและนำข้อความมาใส่บนรูปโจทก์ในเพจเฟซบุ๊กของจำเลยและองค์กรพลังชาวพุทธรวม 4 ครั้ง นั้นเป็นความเท็จและเป็นการใส่ร้ายโจทก์เพื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนชั่ว เป็นโจรมุสลิม BRN ซึ่งเป็นขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกี่ยวข้องกับการฆ่าประชาชน ทหาร พระ และผู้บริสุทธิ์เกือบหมื่นศพ ความจริงแล้วโจทก์ไม่ได้กระทำตามที่จำเลยใส่ร้าย โจทก์ไม่เคยถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้าย การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง และไม่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต หลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วจำเลยยังได้โพสต์ข้อความหมิ่นประมาทโจทก์อีกหลายครั้ง นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายสุรพล นายทะเบียนพรรคประชาชาติ พลตำรวจเอกปรุง ผู้เคยทำงานร่วมกับโจทก์และนายมูฮัมหมัดรุสดี รองโฆษกพรรคประชาชาติ เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันได้ความว่า โจทก์ไม่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่ออ่านข้อความที่จำเลยโพสต์ แล้วเข้าใจได้ว่าโจทก์เป็นบุคคลตามที่จำเลยใส่ร้าย การกระทำของจำเลยไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เห็นว่า การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 นั้น ผู้กระทำความผิดต้องมีเจตนาใส่ความผู้อื่นในลักษณะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ด้วยการเผยแพร่ข้อความไปยังสาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป และข้อความนั้นตามความรู้สึกของวิญญูชนโดยทั่วไปถึงขั้นทำให้ผู้อื่นนั้นน่าจะเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาข้อความที่จำเลยโพสต์และข้อความที่จำเลยนำมาใส่บนรูปโจทก์ในเพจเฟซบุ๊กของจำเลยและองค์กรพลังชาวพุทธแล้ว ทำให้วิญญูชนโดยทั่วไปที่พบเห็นและอ่านแล้ว มีความรู้สึกหรือเข้าใจได้ว่า โจทก์เป็นคนไม่ดี เกี่ยวข้องกับขบวนการ BRN ซึ่งเป็นขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันส่งผลให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ และลักษณะการใส่ความของจำเลยก็เป็นการโพสต์ข้อความซ้ำแล้วซ้ำอีกในทำนองเดียวกันว่า โจทก์เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบดังกล่าว บ่งชี้ถึงเจตนาของจำเลยว่าเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงตามที่โพสต์ไป อีกทั้งการโพสต์ของจำเลยตามฟ้องก็เป็นการเผยแพร่ข้อความไปยังสาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป เจือสมกับที่จำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า มีผู้ติดตามเพจเฟซบุ๊กของจำเลยประมาณ 4,000 ถึง 5,000 คน และเพจองค์กรพลังชาวพุทธประมาณ 40,000 ถึง 50,000 คน คนติดตามมีทั่วทุกภาคของประเทศ รวมทั้งคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือได้ว่าจำเลยได้เผยแพร่ข้อความ โดยการโฆษณา เมื่อจำเลยได้เผยแพร่ข้อความซึ่งวิญญูชนโดยทั่วไปที่พบเห็นและอ่านแล้วมีความรู้สึกหรือเข้าใจได้ว่า โจทก์เป็นคนไม่ดีเกี่ยวข้องกับขบวนการ BRN ซึ่งเป็นขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อันส่งผลให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ ด้วยการยืนยันข้อเท็จจริงต่อบุคคลที่สาม โดยการโฆษณาไปยังสาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ที่จำเลยนำสืบและอ้างในฎีกาว่า การโพสต์ของจำเลยมีลักษณะเป็นการตั้งคำถามต่อโจทก์ ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริง และเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม เห็นว่า จำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า จำเลยนำรูปมาจากสื่อสังคมออนไลน์ซึ่งมีการแชร์กัน เมื่อนำมาแล้วก็ได้เพิ่มข้อความว่า จริงหรือไม่ เพราะข้อความดังกล่าวเป็นข้อความที่ใส่ร้ายโจทก์ แสดงว่าจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าข้อความบนรูป ที่ว่า วันนอร์นำทีมกลุ่มวาดะห์รับบริจาคเงินช่วยเหลือโจรใต้ เป็นข้อความที่ใส่ร้ายโจทก์ ประกอบกับที่วินิจฉัยมาแล้วข้างต้นว่าจำเลยโพสต์ข้อความซ้ำแล้วซ้ำอีกในทำนองเดียวกันว่า โจทก์เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จำเลยจะเพิ่มข้อความว่า จริงหรือไม่ ในลักษณะเป็นคำถามก็ตาม พฤติการณ์เช่นนี้บ่งชี้ได้ว่า จำเลยตั้งคำถามโดยไม่สุจริตใจและมีเจตนาเพื่อจะหลีกเลี่ยงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 อันมีผลพลอยให้เชื่อได้ว่าการโพสต์ข้อความของจำเลย ก็เป็นการตั้งคำถามโดยไม่สุจริตใจไปด้วย จึงมิใช่กรณีไม่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงตามที่จำเลยต่อสู้ ส่วนเรื่องการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมนั้น จำเลยเบิกความว่า ข้อมูลที่เกี่ยวกับความไม่สงบดังกล่าวจำเลยได้รับมาหลายทาง คำถาม เป็นคำถามมาจากหลายแหล่ง จำเลยได้รับข่าวสารว่าโจทก์ถูกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรดำเนินคดีในข้อหายุยงปลุกปั่น บางเรื่องโจทก์มีความสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้าย บางเรื่องที่โจทก์เรียกร้องก็ไปเกี่ยวโยงกับกลุ่มก่อการร้ายที่เคยเรียกร้องมาก่อน จำเลยจึงต้องโพสต์ถามโจทก์ แต่จำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า จำเลยไม่เคยทำหนังสือสอบถามพรรคประชาชาติและกรรมาธิการจริยธรรมของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อสอบถามและตรวจสอบว่าโจทก์เกี่ยวข้องกับขบวนการโจร BRN หรือไม่ จำเลยไม่ได้นำข้อมูลที่ได้รับทราบเกี่ยวข้องกับตัวโจทก์ไปให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาแก่โจทก์ แสดงว่าเมื่อจำเลยได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับตัวโจทก์มาแล้ว จำเลยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่นอนก่อนที่จะโพสต์ข้อความตามฟ้อง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เคยสอบถามปัญหาดังกล่าวต่อโจทก์โดยตรงมาก่อน แม้หากจำเลยได้ข้อมูลดังกล่าวมาและต้องการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามที่จำเลยนำสืบ จำเลยก็ยังมีวิธีการที่จำเลยจะดำเนินการหรือร้องเรียนต่อหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบได้อีกหลากหลายวิธี โดยไม่มีเหตุที่จะต้องตั้งคำถามในลักษณะกล่าวหาใส่ร้ายโจทก์เช่นนี้ จึงไม่มีความจำเป็นใดเลยที่จำเลยจะต้องโพสต์ข้อความดังกล่าวให้สาธารณชนหรือประชาชนทั่วไปได้รับทราบ การกระทำของจำเลยเห็นได้ว่ามีเจตนาที่ต้องการประจานโจทก์ให้ได้รับความอับอายขายหน้า จึงเป็นการใส่ความโจทก์ในประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง หาใช่มีเจตนาเพียงต้องการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม อันจะทำให้จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) ไม่ ข้อนำสืบและข้ออ้างดังกล่าวของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนข้ออ้างอื่นในฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยไม่มีความผิดนั้น ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อมามีว่า กรณีมีเหตุให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาระวางโทษของความผิดที่จำเลยได้กระทำตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี ก่อนลดโทษนั้นนับว่าเหมาะสมแก่สภาพความผิดของจำเลยแล้ว ส่วนเรื่องรอการลงโทษจำคุก เห็นว่า การกระทำความผิดของจำเลยสร้างความเสียหายเป็นอย่างมากแก่ชื่อเสียงของโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญของประเทศ อีกทั้งยังสร้างปัญหาความขัดแย้งและบาดหมางกันระหว่างคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธกับศาสนาอิสลามเป็นวงกว้างโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศประกอบกับจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้รวมถึง 4 กระทง บ่งชี้ได้ว่าจำเลยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่มีเหตุอันควรปรานีแก่จำเลยด้วยการรอการลงโทษจำคุก ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง คดีนี้จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน แต่ศาลชั้นต้นรวมโทษทุกกระทงแล้วจึงลดโทษให้จำเลย แทนที่จะลดโทษแต่ละกระทงก่อนแล้วจึงรวมโทษ ย่อมเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากกว่าการลดโทษแต่ละกระทงเสียก่อนแล้วจึงรวมโทษเข้าด้วยกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 วรรคสอง ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 9 ก็มิได้แก้ไขในส่วนนี้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่การคำนวณลดโทษไม่ถูกต้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกกระทงละ 1 ปี 4 เดือน รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 4 ปี 16 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9
จำเลยโพสต์ในเพจองค์กรพลังชาวพุทธว่า “#ข่าวนี้จริงหรือไม่? มีมูลหรือเปล่า? สาเหตุแท้จริงเรื่องนี้มาจากอะไร? ทำไมท่านวันนอร์?? ถึงได้ทำแบบนี้? ท่านวันนอร์? จะชี้แจงสังคมอย่างไร? #สังคมไทยกำลังเคลือบแคลง?? และจำเลยตัดต่อข้อความลงบนรูปโจทก์มีข้อความว่า “จริงหรือไม่? วันนอร์นำทีมกลุ่มวาดะห์รับบริจาคเงินช่วยเหลือโจรใต้...” จำเลยโพสต์ในเพจองค์กรพลังชาวพุทธว่า “#มันแปลกดีนะ?? เป็นไปได้อย่างไร? ท่านวันนอร์!! มีบ้านใหญ่โตสุดหรู?? แต่อยู่อย่างปลอดภัย!! อยู่อย่างเป็นสุข!! โจรชั่วมุสลิม BRN!! ไม่เคยไปรบกวน?? เป็นเพราะอะไร? เป็นเพราะอะไร?” “#มันแปลกดีนะ!! เป็นเพราะอะไร? นายวันนอร์ปลอดภัย!! ตลอด 20 ปี?? ทหาร, พระ, ผู้บริสุทธิ์ตาย! เกือบหมื่นศพ? นายวันนอร์มีวิธีอย่างไร? ถึงปลอดภัย? #ไม่เคยมีข่าวถูกคุกคามสักครั้ง “#แปลกไหมครับ? เป็นไปได้อย่างไร? ใครอธิบายได้บ้าง? โจรชั่วกบฏมุสลิม Brn!! ก่อเหตุฆ่าพระ ทหารและผู้บริสุทธิ์ ฯลฯ เกือบหมื่นศพ!!.. มาเกือบ 20 ปี!! แต่ไม่เคยเกิดเหตุร้ายใดใดกับนายวันนอร์ ครอบครัวและบริวาร รวมทั้งทรัพย์สินเลยสักครั้ง?????....” เห็นว่า การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตาม ป.อ. มาตรา 328 นั้น ผู้กระทำความผิดต้องมีเจตนาใส่ความผู้อื่นในลักษณะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ด้วยการเผยแพร่ข้อความไปยังสาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป และข้อความนั้นตามความรู้สึกของวิญญูชนโดยทั่วไปถึงขั้นทำให้ผู้อื่นนั้นน่าจะเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาข้อความที่จำเลยโพสต์และข้อความที่จำเลยนำมาใส่บนรูปโจทก์ในเพจเฟซบุ๊กของจำเลยและองค์กรพลังชาวพุทธแล้ว ทำให้วิญญูชนโดยทั่วไปที่พบเห็นและอ่านแล้ว มีความรู้สึกหรือเข้าใจได้ว่า โจทก์เป็นคนไม่ดี เกี่ยวข้องกับขบวนการ BRN ซึ่งเป็นขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันส่งผลให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ ลักษณะการใส่ความของจำเลยก็เป็นการโพสต์ข้อความซ้ำแล้วซ้ำอีก บ่งชี้ถึงเจตนาของจำเลยว่าเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงตามที่โพสต์ไป ที่จำเลยอ้างว่า การโพสต์ของจำเลยมีลักษณะเป็นการตั้งคำถามต่อโจทก์ ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริง และเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม เห็นว่า แม้จำเลยจะเพิ่มข้อความว่า จริงหรือไม่ ในลักษณะเป็นคำถามก็ตาม พฤติการณ์เช่นนี้บ่งชี้ได้ว่า จำเลยตั้งคำถามโดยไม่สุจริตใจและมีเจตนาเพื่อจะหลีกเลี่ยงความผิดตาม ป.อ. มาตรา 328 จึงมิใช่กรณีไม่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงตามที่จำเลยต่อสู้ ส่วนเรื่องการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมนั้น เมื่อจำเลยได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับตัวโจทก์และต้องการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามที่จำเลยนำสืบ แต่จำเลยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่นอนก่อนที่จะโพสต์ข้อความ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เคยสอบถามปัญหาดังกล่าวต่อโจทก์โดยตรงมาก่อน จำเลยก็ยังมีวิธีการที่จำเลยจะดำเนินการหรือร้องเรียนต่อหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบได้อีกหลากหลายวิธี โดยไม่มีเหตุที่จะต้องตั้งคำถามในลักษณะกล่าวหาใส่ร้ายโจทก์เช่นนี้ การกระทำของจำเลยเห็นได้ว่ามีเจตนาที่ต้องการประจานโจทก์ให้ได้รับความอับอายขายหน้า จึงเป็นการใส่ความโจทก์ในประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 328 หาใช่มีเจตนาเพียงต้องการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม อันจะทำให้จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ. มาตรา 329 (1) ไม่
อนึ่ง คดีนี้จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน แต่ศาลชั้นต้นรวมโทษทุกกระทงแล้วจึงลดโทษให้จำเลย แทนที่จะลดโทษแต่ละกระทงก่อนแล้วจึงรวมโทษ ย่อมเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากกว่าการลดโทษแต่ละกระทงเสียก่อนแล้วจึงรวมโทษเข้าด้วยกันตาม ป.อ. มาตรา 21 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 326, 328 ให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ หน้า 1 และในเฟซบุ๊กของจำเลยและองค์กรพลังชาวพุทธเป็นเวลา 7 วัน ติดต่อกัน
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 4 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี รวมจำคุก 8 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี 4 เดือน และให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาโดยย่อพอได้ใจความในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและเดลินิวส์เป็นเวลา 3 วัน ติดต่อกันโดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติเบื้องต้นว่าจำเลยเป็นเจ้าของผู้เปิดใช้เฟซบุ๊กชื่อ อ. อีกทั้งเป็นผู้สร้างและเปิดเพจองค์กรพลังชาวพุทธ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 เวลากลางวัน จำเลยโพสต์ในเพจองค์กรพลังชาวพุทธว่า “#ข่าวนี้จริงหรือไม่? มีมูลหรือเปล่า? สาเหตุแต่ (ที่ถูก แท้) จริงเรื่องนี้มาจากอะไร? ทำไมท่านวันนอร์?? ถึงได้ทำแบบนี้ ? ท่านวันนอร์? จะชี้แจงสังคมอย่างไร? #สังคมไทยกำลังเคลือบแคลง?? และจำเลยตัดต่อข้อความลงบนรูปโจทก์มีข้อความว่า “จริงหรือไม่? วันนอร์นำทีมกลุ่มวาดะห์รับบริจาคเงินช่วยเหลือโจรใต้...” วันที่ 16 พฤษภาคม 2563 เวลากลางวัน จำเลยโพสต์ในเพจองค์กรพลังชาวพุทธว่า “#มันแปลกดีนะ?? เป็นไปได้อย่างไร? ท่านวันนอร์!! มีบ้านใหญ่โตสุดหรู?? แต่อยู่อย่างปลอดภัย!! อยู่อย่างเป็นสุข!! โจรชั่วมุสลิม BRN!! ไม่เคยไปรบกวน?? เป็นเพราะอะไร? เป็นเพราะอะไร?” และจำเลยตัดต่อข้อความลงบนรูปโจทก์มีข้อความว่า “บ้านหรูอลังการ” “ปลอดภัย” “โจรชั่ว...” “โจร BRN ไม่รบกวน?” เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2563 เวลากลางวัน จำเลยโพสต์ในเพจองค์กรพลังชาวพุทธว่า “#มันแปลกดีนะ!! เป็นเพราะอะไร? นายวันนอร์ปลอดภัย!! ตลอด 20 ปี?? ทหาร, พระ, ผู้บริสุทธิ์ตาย! เกือบหมื่นศพ? นายวันนอร์มีวิธีอย่างไร? ถึงปลอดภัย? #ไม่เคยมีข่าวถูกคุมคามสักครั้ง??” และจำเลยตัดต่อข้อความลงบนรูปโจทก์มีข้อความว่า “แปลกมั้ย....” “โจรชั่ว....” และวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 เวลากลางวัน จำเลยโพสต์ในเพจองค์กรพลังชาวพุทธว่า “#แปลกไหมครับ? เป็นไปได้อย่างไร? ใครอธิบายได้บ้าง? โจรชั่วกบฏมุสลิม Brn!! ก่อเหตุฆ่าพระ ทหารและผู้บริสุทธิ์ ฯลฯ เกือบหมื่นศพ!!.. มาเกือบ 20 ปี!! แต่ไม่เคยเกิดเหตุร้ายใดใดกับนายวันนอร์ ครอบครัวและบริวาร รวมทั้งทรัพย์สินเลยสักครั้ง?????....” และจำเลยตัดต่อข้อความลงบนรูปโจทก์มีข้อความว่า “แปลกมั้ย....” “โจรชั่ว....”
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความได้ความว่า โจทก์เป็นหัวหน้าพรรคประชาชาติ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัย อีกทั้งเคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี การที่จำเลยโพสต์ข้อความและนำข้อความมาใส่บนรูปโจทก์ในเพจเฟซบุ๊กของจำเลยและองค์กรพลังชาวพุทธรวม 4 ครั้ง นั้นเป็นความเท็จและเป็นการใส่ร้ายโจทก์เพื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนชั่ว เป็นโจรมุสลิม BRN ซึ่งเป็นขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกี่ยวข้องกับการฆ่าประชาชน ทหาร พระ และผู้บริสุทธิ์เกือบหมื่นศพ ความจริงแล้วโจทก์ไม่ได้กระทำตามที่จำเลยใส่ร้าย โจทก์ไม่เคยถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้าย การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง และไม่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต หลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วจำเลยยังได้โพสต์ข้อความหมิ่นประมาทโจทก์อีกหลายครั้ง นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายสุรพล นายทะเบียนพรรคประชาชาติ พลตำรวจเอกปรุง ผู้เคยทำงานร่วมกับโจทก์และนายมูฮัมหมัดรุสดี รองโฆษกพรรคประชาชาติ เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันได้ความว่า โจทก์ไม่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่ออ่านข้อความที่จำเลยโพสต์ แล้วเข้าใจได้ว่าโจทก์เป็นบุคคลตามที่จำเลยใส่ร้าย การกระทำของจำเลยไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เห็นว่า การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 นั้น ผู้กระทำความผิดต้องมีเจตนาใส่ความผู้อื่นในลักษณะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ด้วยการเผยแพร่ข้อความไปยังสาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป และข้อความนั้นตามความรู้สึกของวิญญูชนโดยทั่วไปถึงขั้นทำให้ผู้อื่นนั้นน่าจะเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาข้อความที่จำเลยโพสต์และข้อความที่จำเลยนำมาใส่บนรูปโจทก์ในเพจเฟซบุ๊กของจำเลยและองค์กรพลังชาวพุทธแล้ว ทำให้วิญญูชนโดยทั่วไปที่พบเห็นและอ่านแล้ว มีความรู้สึกหรือเข้าใจได้ว่า โจทก์เป็นคนไม่ดี เกี่ยวข้องกับขบวนการ BRN ซึ่งเป็นขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันส่งผลให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ และลักษณะการใส่ความของจำเลยก็เป็นการโพสต์ข้อความซ้ำแล้วซ้ำอีกในทำนองเดียวกันว่า โจทก์เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบดังกล่าว บ่งชี้ถึงเจตนาของจำเลยว่าเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงตามที่โพสต์ไป อีกทั้งการโพสต์ของจำเลยตามฟ้องก็เป็นการเผยแพร่ข้อความไปยังสาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป เจือสมกับที่จำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า มีผู้ติดตามเพจเฟซบุ๊กของจำเลยประมาณ 4,000 ถึง 5,000 คน และเพจองค์กรพลังชาวพุทธประมาณ 40,000 ถึง 50,000 คน คนติดตามมีทั่วทุกภาคของประเทศ รวมทั้งคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือได้ว่าจำเลยได้เผยแพร่ข้อความ โดยการโฆษณา เมื่อจำเลยได้เผยแพร่ข้อความซึ่งวิญญูชนโดยทั่วไปที่พบเห็นและอ่านแล้วมีความรู้สึกหรือเข้าใจได้ว่า โจทก์เป็นคนไม่ดีเกี่ยวข้องกับขบวนการ BRN ซึ่งเป็นขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อันส่งผลให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ ด้วยการยืนยันข้อเท็จจริงต่อบุคคลที่สาม โดยการโฆษณาไปยังสาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ที่จำเลยนำสืบและอ้างในฎีกาว่า การโพสต์ของจำเลยมีลักษณะเป็นการตั้งคำถามต่อโจทก์ ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริง และเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม เห็นว่า จำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า จำเลยนำรูปมาจากสื่อสังคมออนไลน์ซึ่งมีการแชร์กัน เมื่อนำมาแล้วก็ได้เพิ่มข้อความว่า จริงหรือไม่ เพราะข้อความดังกล่าวเป็นข้อความที่ใส่ร้ายโจทก์ แสดงว่าจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าข้อความบนรูป ที่ว่า วันนอร์นำทีมกลุ่มวาดะห์รับบริจาคเงินช่วยเหลือโจรใต้ เป็นข้อความที่ใส่ร้ายโจทก์ ประกอบกับที่วินิจฉัยมาแล้วข้างต้นว่าจำเลยโพสต์ข้อความซ้ำแล้วซ้ำอีกในทำนองเดียวกันว่า โจทก์เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จำเลยจะเพิ่มข้อความว่า จริงหรือไม่ ในลักษณะเป็นคำถามก็ตาม พฤติการณ์เช่นนี้บ่งชี้ได้ว่า จำเลยตั้งคำถามโดยไม่สุจริตใจและมีเจตนาเพื่อจะหลีกเลี่ยงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 อันมีผลพลอยให้เชื่อได้ว่าการโพสต์ข้อความของจำเลย ก็เป็นการตั้งคำถามโดยไม่สุจริตใจไปด้วย จึงมิใช่กรณีไม่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงตามที่จำเลยต่อสู้ ส่วนเรื่องการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมนั้น จำเลยเบิกความว่า ข้อมูลที่เกี่ยวกับความไม่สงบดังกล่าวจำเลยได้รับมาหลายทาง คำถาม เป็นคำถามมาจากหลายแหล่ง จำเลยได้รับข่าวสารว่าโจทก์ถูกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรดำเนินคดีในข้อหายุยงปลุกปั่น บางเรื่องโจทก์มีความสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้าย บางเรื่องที่โจทก์เรียกร้องก็ไปเกี่ยวโยงกับกลุ่มก่อการร้ายที่เคยเรียกร้องมาก่อน จำเลยจึงต้องโพสต์ถามโจทก์ แต่จำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า จำเลยไม่เคยทำหนังสือสอบถามพรรคประชาชาติและกรรมาธิการจริยธรรมของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อสอบถามและตรวจสอบว่าโจทก์เกี่ยวข้องกับขบวนการโจร BRN หรือไม่ จำเลยไม่ได้นำข้อมูลที่ได้รับทราบเกี่ยวข้องกับตัวโจทก์ไปให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาแก่โจทก์ แสดงว่าเมื่อจำเลยได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับตัวโจทก์มาแล้ว จำเลยไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่นอนก่อนที่จะโพสต์ข้อความตามฟ้อง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เคยสอบถามปัญหาดังกล่าวต่อโจทก์โดยตรงมาก่อน แม้หากจำเลยได้ข้อมูลดังกล่าวมาและต้องการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามที่จำเลยนำสืบ จำเลยก็ยังมีวิธีการที่จำเลยจะดำเนินการหรือร้องเรียนต่อหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบได้อีกหลากหลายวิธี โดยไม่มีเหตุที่จะต้องตั้งคำถามในลักษณะกล่าวหาใส่ร้ายโจทก์เช่นนี้ จึงไม่มีความจำเป็นใดเลยที่จำเลยจะต้องโพสต์ข้อความดังกล่าวให้สาธารณชนหรือประชาชนทั่วไปได้รับทราบ การกระทำของจำเลยเห็นได้ว่ามีเจตนาที่ต้องการประจานโจทก์ให้ได้รับความอับอายขายหน้า จึงเป็นการใส่ความโจทก์ในประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง หาใช่มีเจตนาเพียงต้องการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม อันจะทำให้จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) ไม่ ข้อนำสืบและข้ออ้างดังกล่าวของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนข้ออ้างอื่นในฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยไม่มีความผิดนั้น ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อมามีว่า กรณีมีเหตุให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาระวางโทษของความผิดที่จำเลยได้กระทำตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี ก่อนลดโทษนั้นนับว่าเหมาะสมแก่สภาพความผิดของจำเลยแล้ว ส่วนเรื่องรอการลงโทษจำคุก เห็นว่า การกระทำความผิดของจำเลยสร้างความเสียหายเป็นอย่างมากแก่ชื่อเสียงของโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญของประเทศ อีกทั้งยังสร้างปัญหาความขัดแย้งและบาดหมางกันระหว่างคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธกับศาสนาอิสลามเป็นวงกว้างโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศประกอบกับจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้รวมถึง 4 กระทง บ่งชี้ได้ว่าจำเลยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่มีเหตุอันควรปรานีแก่จำเลยด้วยการรอการลงโทษจำคุก ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง คดีนี้จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน แต่ศาลชั้นต้นรวมโทษทุกกระทงแล้วจึงลดโทษให้จำเลย แทนที่จะลดโทษแต่ละกระทงก่อนแล้วจึงรวมโทษ ย่อมเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากกว่าการลดโทษแต่ละกระทงเสียก่อนแล้วจึงรวมโทษเข้าด้วยกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 วรรคสอง ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 9 ก็มิได้แก้ไขในส่วนนี้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่การคำนวณลดโทษไม่ถูกต้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกกระทงละ 1 ปี 4 เดือน รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 4 ปี 16 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9
ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการเข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินชั่วคราว ตามโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็ก จังหวัดเพชรบูรณ์ ฉบับที่ 410/2528 ตำบลทุ่งสมอ กิ่งอำเภอเข้าค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นที่ดินของรัฐ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยความเห็นชอบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ให้ใช้ที่ดิน ได้ออกหนังสือสำคัญให้ไว้เพื่อแสดงว่า บ. เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทชั่วคราว และต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบและเงื่อนไขที่ทางราชการกำหนดไว้ด้านหลังหนังสือรับรองทุกประการ ซึ่งรวมทั้งเงื่อนไขห้ามมิให้แบ่งแยกและโอนที่ดินที่ได้รับการจัดสรรให้แก่บุคคลอื่น เว้นแต่ตกทอดทางมรดก และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2528 กำหนดหลักการไว้ว่า ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตตามกฎหมาย การพิจารณาจะอนุญาตให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเข้าไปทำประโยชน์หรืออาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ต้องพิจารณาโดยเคร่งครัดตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ บุคคลที