ที่ดินและตึกแถวที่เกิดเพลิงไหม้เป็นของบิดาโจทก์ บิดาโจทก์ให้ ข. มีสิทธิเก็บกินตลอดชีวิต ข. ให้จำเลยเช่าเป็นเวลา 7 ปี เมื่อบิดาโจทก์และ ข. ถึงแก่ความตายระหว่างสัญญาเช่ายังไม่สิ้นสุดลง โจทก์ทั้งสองเป็นผู้รับโอนมรดกที่ดินและตึกแถวดังกล่าว จึงรับโอนสิทธิหน้าที่ที่บิดาโจทก์ทั้งสองมีอยู่รวมถึงสิทธิที่ ข. ผู้มีสิทธิเก็บกินให้จำเลยเช่านี้ด้วย โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
สัญญาเช่าระบุวัตถุประสงค์การเช่าว่าเพื่อใช้ประกอบธุรกิจการค้า การที่จำเลยนำสินค้าของจำเลยซึ่งมีกล่องกระดาษบรรจุสินค้าและเศษกล่องกระดาษที่ใช้แล้วเก็บไว้ในตึกแถวพิพาทจำนวนมากเป็นการใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากการที่กำหนดไว้ในสัญญา จำเลยไม่จัดให้มีเครื่องดับเพลิงและเวรยาม แม้ผลการสอบสวนไม่อาจทราบได้ว่าบุคคลใดทำให้เกิดเพลิงไหม้ก็ตามแต่เหตุเกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ก็เพราะความผิดของจำเลยดังกล่าวมาแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เช่าตามป.พ.พ. มาตรา 552 และมาตรา 562
ที่ดินและตึกแถวที่เกิดเพลิงไหม้เป็นของบิดาโจทก์ บิดาโจทก์ให้ ข. มีสิทธิเก็บกินตลอดชีวิต ข. ให้จำเลยเช่าเป็นเวลา 7 ปี เมื่อบิดาโจทก์และ ข. ถึงแก่ความตายระหว่างสัญญาเช่ายังไม่สิ้นสุดลง โจทก์ทั้งสองเป็นผู้รับโอนมรดกที่ดินและตึกแถวดังกล่าว จึงรับโอนสิทธิหน้าที่ที่บิดาโจทก์ทั้งสองมีอยู่รวมถึงสิทธิที่ ข. ผู้มีสิทธิเก็บกินให้จำเลยเช่านี้ด้วย โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
สัญญาเช่าระบุวัตถุประสงค์การเช่าว่าเพื่อใช้ประกอบธุรกิจการค้า การที่จำเลยนำสินค้าของจำเลยซึ่งมีกล่องกระดาษบรรจุสินค้าและเศษกล่องกระดาษที่ใช้แล้วเก็บไว้ในตึกแถวพิพาทจำนวนมากเป็นการใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากการที่กำหนดไว้ในสัญญา จำเลยไม่จัดให้มีเครื่องดับเพลิงและเวรยาม แม้ผลการสอบสวนไม่อาจทราบได้ว่าบุคคลใดทำให้เกิดเพลิงไหม้ก็ตามแต่เหตุเกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ก็เพราะความผิดของจำเลยดังกล่าวมาแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เช่าตามป.พ.พ. มาตรา 552 และมาตรา 562
ตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วย หนี้ตามเช็คจะมีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิด การที่โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยออกเช็คให้แก่ ฉ. เพื่อชำระหนี้ โดยมิได้ระบุว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วยนั้น เป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบของความผิดตามมาตรานี้ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แม้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัดสาขาแหลมฉบัง 1 ฉบับ ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2535 จำนวนเงิน1,000,000 บาท มอบให้แก่นายฉัตรชัย สองจันทร์ เพื่อชำระหนี้ต่อมานายฉัตรชัยได้โอนมอบเช็คดังกล่าวให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คฉบับดังกล่าวเมื่อถึงกำหนดโจทก์ได้เรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คโดยให้เหตุผลว่าโปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฯลฯ เหตุเกิดที่ตำบลทุ่งสุขลาอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ให้จำคุก1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อ 2(ข) ในปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) หรือไม่เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 บัญญัติไว้มีความหมายว่า การออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วย หนี้ตามเช็คจะมีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิด การที่โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยออกเช็คให้แก่นายฉัตรชัย สองจันทร์ เพื่อชำระหนี้ โดยมิได้ระบุว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่จริง และบังคับได้ตามกฎหมายด้วยนั้น เป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบของความผิดตามมาตรานี้ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ดังนั้นแม้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ตามคดีก็ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
ตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วย หนี้ตามเช็คจะมีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิด การที่โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยออกเช็คให้แก่ ฉ. เพื่อชำระหนี้ โดยมิได้ระบุว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วยนั้น เป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบของความผิดตามมาตรานี้ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แม้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัดสาขาแหลมฉบัง 1 ฉบับ ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2535 จำนวนเงิน1,000,000 บาท มอบให้แก่นายฉัตรชัย สองจันทร์ เพื่อชำระหนี้ต่อมานายฉัตรชัยได้โอนมอบเช็คดังกล่าวให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คฉบับดังกล่าวเมื่อถึงกำหนดโจทก์ได้เรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คโดยให้เหตุผลว่าโปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฯลฯ เหตุเกิดที่ตำบลทุ่งสุขลาอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ให้จำคุก1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อ 2(ข) ในปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) หรือไม่เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 บัญญัติไว้มีความหมายว่า การออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วย หนี้ตามเช็คจะมีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิด การที่โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยออกเช็คให้แก่นายฉัตรชัย สองจันทร์ เพื่อชำระหนี้ โดยมิได้ระบุว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่จริง และบังคับได้ตามกฎหมายด้วยนั้น เป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบของความผิดตามมาตรานี้ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ดังนั้นแม้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ตามคดีก็ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
การที่โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินมีโฉนดเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้เนื้อที่ 8 ไร่ จากจำเลย โดย ว. ซึ่งถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินดังกล่าวมิได้เป็นคู่สัญญาจะซื้อขายกับโจทก์และมิได้ให้ความยินยอมให้จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายและตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้ ข้อตกลงดังกล่าวไม่ผูกพัน ว. โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลบังคับคดีโดยให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดที่ดินกรรมสิทธิ์รวมแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์เป็นผลให้กระทบกระเทือนกรรมสิทธิ์ส่วนของ ว. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมิได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วยไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2531 จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 5752 ตำบลบัวปากท่า (บางหลวง)อำเภอบางเลน (บางปลา) จังหวัดนครปฐม เฉพาะส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์จำนวนเนื้อที่ 8 ไร่ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ติดเขตถนนสายวัดไผ่โรงวัวตัดใหม่ ตามแนวความยาวของถนนจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกสุดเขตโฉนดที่ดิน ราคาไร่ละ 200,000 บาท โจทก์ได้ชำระเงินมัดจำให้จำเลยแล้ว จำนวน 1,000,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก600,000 บาท จะชำระในวันโอน และมีข้อตกลงว่าจำเลยจะต้องแบ่งแยกโฉนดที่ดินที่จะขายให้แก่โจทก์ และมอบโฉนดที่ดินฉบับที่แบ่งแยกแล้วให้โจทก์ระหว่างที่ยังไม่ได้โอน โดยนัดโอนในเดือนเมษายน 2532แต่เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 5752 ตำบลบัวปากท่า อำเภอบางเลนจังหวัดนครปฐม ส่วนที่ขายให้โจทก์จำนวน 8 ไร่ อยู่ติดเขตถนนสายวัดไผ่โรงวัวตัดใหม่ ด้านทิศใต้ของถนนดังกล่าวตลอดแนวสุดเขตโฉนดที่ดินจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก และให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์จริงเมื่อครบกำหนดตามสัญญาจำเลยพร้อมที่จะจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อและมอบโฉนดที่ดินให้โจทก์ แต่โจทก์เพิกเฉยไม่มารับโอน โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยไม่เคยตกลงกับโจทก์ว่า จำเลยจะต้องแบ่งแยกโฉนดที่ดินส่วนที่จะขายและมอบโฉนดที่ดินฉบับที่แบ่งแยกให้โจทก์อีกทั้งโจทก์บอกกล่าวขอให้จำเลยโอนหลังจากโจทก์ผิดสัญญาไปแล้วจึงไม่ผูกพันจำเลยที่จะต้องปฏิบัติตาม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 5752 ตำบลบัวปากท่า อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐมส่วนที่ขายให้โจทก์จำนวน 8 ไร่ อยู่ติดถนนสายวัดไผ่โรงวัวตัดใหม่ด้านทิศใต้ของถนนดังกล่าวตลอดแนวสุดเขตโฉนดที่ดิน จากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก และให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์แต่ให้โจทก์ชำระราคาที่ดินที่เหลือจำนวน 600,000 บาท ให้จำเลยเป็นการตอบแทน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ตกลงจะซื้อที่ดินตามโฉนดเลขที่ 5752 ตำบลบัวปากท่า อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เฉพาะส่วนเนื้อที่ 8 ไร่ จากจำเลยโดยผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินดังกล่าวมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย จำเลยผิดนัดไม่แบ่งแยกที่ดินเพื่อโอนให้ตามข้อตกลง แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายมีนายวัลลภ คงเป็นนิล ถือกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ นายวัลลภมิได้เป็นคู่สัญญาจะซื้อขายกับโจทก์และมิได้ให้ความยินยอมให้จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายและตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้ข้อตกลงดังกล่าวไม่ผูกพันนายวัลลภ โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลบังคับคดีโดยให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดที่ดินกรรมสิทธิ์รวมแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์เป็นผลให้กระทบกระเทือนกรรมสิทธิ์ส่วนของนายวัลลภซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมิได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วยไม่ได้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ศาลมิอาจบังคับให้ได้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิที่โจทก์จะฟ้องบังคับตามสิทธิของโจทก์หรือเรียกค่าเสียหาย
การที่โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินมีโฉนดเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้เนื้อที่ 8 ไร่ จากจำเลย โดย ว. ซึ่งถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินดังกล่าวมิได้เป็นคู่สัญญาจะซื้อขายกับโจทก์และมิได้ให้ความยินยอมให้จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายและตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้ ข้อตกลงดังกล่าวไม่ผูกพัน ว. โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลบังคับคดีโดยให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดที่ดินกรรมสิทธิ์รวมแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์เป็นผลให้กระทบกระเทือนกรรมสิทธิ์ส่วนของ ว. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมิได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วยไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2531 จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 5752 ตำบลบัวปากท่า (บางหลวง)อำเภอบางเลน (บางปลา) จังหวัดนครปฐม เฉพาะส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์จำนวนเนื้อที่ 8 ไร่ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ติดเขตถนนสายวัดไผ่โรงวัวตัดใหม่ ตามแนวความยาวของถนนจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกสุดเขตโฉนดที่ดิน ราคาไร่ละ 200,000 บาท โจทก์ได้ชำระเงินมัดจำให้จำเลยแล้ว จำนวน 1,000,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก600,000 บาท จะชำระในวันโอน และมีข้อตกลงว่าจำเลยจะต้องแบ่งแยกโฉนดที่ดินที่จะขายให้แก่โจทก์ และมอบโฉนดที่ดินฉบับที่แบ่งแยกแล้วให้โจทก์ระหว่างที่ยังไม่ได้โอน โดยนัดโอนในเดือนเมษายน 2532แต่เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 5752 ตำบลบัวปากท่า อำเภอบางเลนจังหวัดนครปฐม ส่วนที่ขายให้โจทก์จำนวน 8 ไร่ อยู่ติดเขตถนนสายวัดไผ่โรงวัวตัดใหม่ ด้านทิศใต้ของถนนดังกล่าวตลอดแนวสุดเขตโฉนดที่ดินจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก และให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์จริงเมื่อครบกำหนดตามสัญญาจำเลยพร้อมที่จะจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อและมอบโฉนดที่ดินให้โจทก์ แต่โจทก์เพิกเฉยไม่มารับโอน โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยไม่เคยตกลงกับโจทก์ว่า จำเลยจะต้องแบ่งแยกโฉนดที่ดินส่วนที่จะขายและมอบโฉนดที่ดินฉบับที่แบ่งแยกให้โจทก์อีกทั้งโจทก์บอกกล่าวขอให้จำเลยโอนหลังจากโจทก์ผิดสัญญาไปแล้วจึงไม่ผูกพันจำเลยที่จะต้องปฏิบัติตาม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 5752 ตำบลบัวปากท่า อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐมส่วนที่ขายให้โจทก์จำนวน 8 ไร่ อยู่ติดถนนสายวัดไผ่โรงวัวตัดใหม่ด้านทิศใต้ของถนนดังกล่าวตลอดแนวสุดเขตโฉนดที่ดิน จากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก และให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์แต่ให้โจทก์ชำระราคาที่ดินที่เหลือจำนวน 600,000 บาท ให้จำเลยเป็นการตอบแทน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ตกลงจะซื้อที่ดินตามโฉนดเลขที่ 5752 ตำบลบัวปากท่า อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เฉพาะส่วนเนื้อที่ 8 ไร่ จากจำเลยโดยผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินดังกล่าวมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย จำเลยผิดนัดไม่แบ่งแยกที่ดินเพื่อโอนให้ตามข้อตกลง แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายมีนายวัลลภ คงเป็นนิล ถือกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ นายวัลลภมิได้เป็นคู่สัญญาจะซื้อขายกับโจทก์และมิได้ให้ความยินยอมให้จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายและตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้ข้อตกลงดังกล่าวไม่ผูกพันนายวัลลภ โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลบังคับคดีโดยให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดที่ดินกรรมสิทธิ์รวมแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์เป็นผลให้กระทบกระเทือนกรรมสิทธิ์ส่วนของนายวัลลภซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมิได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วยไม่ได้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ศาลมิอาจบังคับให้ได้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิที่โจทก์จะฟ้องบังคับตามสิทธิของโจทก์หรือเรียกค่าเสียหาย
การที่โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินมีโฉนดเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้เนื้อที่ 8 ไร่ จากจำเลย โดย ว. ซึ่งถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินดังกล่าวมิได้เป็นคู่สัญญาจะซื้อขายกับโจทก์และมิได้ให้ความยินยอมให้จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายและตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้ ข้อตกลงดังกล่าวไม่ผูกพัน ว.โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลบังคับคดีโดยให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดที่ดินกรรมสิทธิ์รวมแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์เป็นผลให้กระทบกระเทือนกรรมสิทธิ์ส่วนของ ว. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมิได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วยไม่ได้
การที่โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินมีโฉนดเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้เนื้อที่ 8 ไร่ จากจำเลย โดย ว. ซึ่งถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินดังกล่าวมิได้เป็นคู่สัญญาจะซื้อขายกับโจทก์และมิได้ให้ความยินยอมให้จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายและตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้ ข้อตกลงดังกล่าวไม่ผูกพัน ว.โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลบังคับคดีโดยให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดที่ดินกรรมสิทธิ์รวมแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์เป็นผลให้กระทบกระเทือนกรรมสิทธิ์ส่วนของ ว. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมิได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วยไม่ได้
วันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่ไปศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้เลื่อนไปนัดสืบพยานจำเลย ในวันเดียวกันโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่ จำเลยอุทธรณ์คำสั่งว่า จำเลยไม่เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาคดีโจทก์ใหม่ เพราะโจทก์จงใจขาดนัดและต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 201 แม้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะไม่มีผลเป็นอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ก็มีผลเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) แล้วจำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้ ศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 9.00 นาฬิกา แต่โจทก์และทนายโจทก์มาศาลในวันนัดเวลาประมาณ 12.30 นาฬิกา เนื่องจากเสมียนทนายโจทก์บอกเวลานัดของศาลแก่ทนายโจทก์ผิดไปเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา ทั้งตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ โจทก์และทนายโจทก์ได้ลงชื่อในคำร้องที่ยื่นต่อศาลในวันเดียวกันแสดงว่าโจทก์และทนายโจทก์ไปศาลในวันนัดจริง แต่ไปไม่ตรงตามเวลาเพราะเสมียนทนายบอกเวลานัดพิจารณาคลาดเคลื่อนโจทก์จึงมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาและเมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดี จึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จะขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์กับเจ้าของรวมหรือเป็นของจำเลยเท่านั้น ศาลจึงไม่ต้องรับฟังเอกสารสำเนาภาพถ่ายโฉนดที่ดินของโจทก์กับเจ้าของรวม และหนังสือให้ความยินยอมของเจ้าของรวมให้โจทก์ฟ้องคดี ส่วนแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้ทำขึ้นตามคำสั่งศาล มิใช่เอกสารที่โจทก์เป็นฝ่ายอ้าง โจทก์จึงไม่ต้องเสีย ค่าอ้างเอกสารตามตาราง 2 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยื่นคำขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมที่ดินโฉนดที่ 932 เพื่อแบ่งที่ดินต่อสำนักงานที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกใบนัดทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ และโจทก์ส่งใบนัดรังวัดให้แก่เจ้าของที่ดินข้างเคียงจนครบแล้วเมื่อถึงกำหนดโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่ดินโจทก์และเจ้าพนักงานที่ดินได้ลงหมุดหลักเขตที่ดินจนแล้วเสร็จ แต่จำเลยไม่มาชี้แนวเขตและลงชื่อในใบรับรองเขตติดต่อของเจ้าพนักงานที่ดินต่อมาจำเลยคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ เจ้าพนักงานที่ดินไกล่เกลี่ยแล้ว แต่โจทก์จำเลยไม่สามารถตกลงกันได้เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งให้โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลขอให้บังคับให้จำเลยยอมรับการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมที่ดินของโจทก์ และลงลายมือชื่อยอมรับใบรับรองเขตติดต่อของเจ้าพนักงานที่ดิน และเจ้าของที่ดินข้างเคียง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์เพราะจำเลยได้คัดค้านและไม่รับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์โดยสุจริตโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดและปักหลักหมุดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยเป็นการละเมิดต่อจำเลย ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ถอนหมุดแนวเขตพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ออกไปจากที่ดินของจำเลย และห้ามมิให้โจทก์และบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้นำเจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดรุกล้ำที่ดินของจำเลย ในการรังวัดแบ่งแยกที่ดินโจทก์ได้ส่งใบนัดทำการรังวัดให้แก่จำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ไปชี้แนวเขต ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยยอมรับการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมที่ดินของโจทก์ และลงลายมือชื่อในใบรับรองเขตติดต่อของเจ้าของที่ดิน และเจ้าของที่ดินข้างเคียง ส่วนฟ้องแย้งให้ยกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2531 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ในเวลา 9 นาฬิกา โจทก์ไม่ไปศาลโดยไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้เลื่อนไปนัดสืบพยานจำเลย วันเดียวกันนั้นเวลา 15.40 นาฬิกา โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์ไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา แต่เนื่องจากเสมียนทนายแจ้งให้ทราบว่าศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์เวลา 13.30 นาฬิกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดไต่สวนวันที่ 19 กันยายน 2531 หลังจากไต่สวนแล้ว เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2531 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่ โดยถือว่าโจทก์มิได้จงใจขาดนัดและเป็นกรณีไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 เพราะศาลมิได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ขาดนัดพิจารณา ต่อมาวันที่ 24 พฤศจิกายน 2531 จำเลยอุทธรณ์คำสั่งว่าโจทก์จงใจขาดนัดศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226จึงไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย วันที่ 10 พฤศจิกายน 2532ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวและคำพิพากษาต่อศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2532ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยเนื่องจากเห็นว่าจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาใหม่ จึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยฉบับลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2531 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับนั้น ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) แล้วหรือไม่ เห็นว่า จำเลยได้โต้แย้งไว้ในอุทธรณ์คำสั่งแล้วว่า จำเลยไม่เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ เพราะโจทก์จงใจขาดนัดและต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 แม้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะไม่มีผลเป็นอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ก็ย่อมมีผลเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้
จากการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ของโจทก์ ได้ความจากคำเบิกความของตัวโจทก์กับนายเผด็จชัยทนายโจทก์ว่า พยานทั้งสองได้ไปศาลในวันนัดเวลาประมาณ 12.30 นาฬิกา เนื่องจากนายอภิชาติ เสมียนทนายโจทก์บอกว่าศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 13.30 นาฬิกา ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของนายอภิชาติที่ว่า พยานบอกเวลานัดของศาลแก่ทนายโจทก์ผิดไปเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา ทั้งตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ก็ปรากฏว่าตัวโจทก์และนายเผด็จชัยได้ลงชื่อในคำร้องที่ยื่นต่อศาลในวันเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าตัวโจทก์และทนายโจทก์ไปศาลในวันนัดจริง แต่ที่ไปไม่ตรงตามเวลาก็คงเป็นเพราะนายอภิชาติบอกเวลานัดพิจารณาคลาดเคลื่อนไปซึ่งเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้จึงเห็นว่าโจทก์มิได้จงใจขาดนัดพิจารณา และศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีจึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จะขอให้พิจารณาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201
เอกสารหมาย จ.3 คือแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางเขนเป็นผู้ทำขึ้นตามคำสั่งศาลชั้นต้นมิใช่เอกสารที่โจทก์เป็นฝ่ายอ้าง โจทก์จึงไม่ต้องเสียค่าอ้างเอกสารตามตาราง 2 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลจึงชอบที่จะรับฟังได้
พิพากษายืน
วันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่ไปศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้เลื่อนไปนัดสืบพยานจำเลย ในวันเดียวกันโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่ จำเลยอุทธรณ์คำสั่งว่า จำเลยไม่เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาคดีโจทก์ใหม่ เพราะโจทก์จงใจขาดนัดและต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 201 แม้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะไม่มีผลเป็นอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ก็มีผลเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) แล้วจำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้ ศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 9.00 นาฬิกา แต่โจทก์และทนายโจทก์มาศาลในวันนัดเวลาประมาณ 12.30 นาฬิกา เนื่องจากเสมียนทนายโจทก์บอกเวลานัดของศาลแก่ทนายโจทก์ผิดไปเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา ทั้งตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ โจทก์และทนายโจทก์ได้ลงชื่อในคำร้องที่ยื่นต่อศาลในวันเดียวกันแสดงว่าโจทก์และทนายโจทก์ไปศาลในวันนัดจริง แต่ไปไม่ตรงตามเวลาเพราะเสมียนทนายบอกเวลานัดพิจารณาคลาดเคลื่อนโจทก์จึงมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาและเมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดี จึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จะขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์กับเจ้าของรวมหรือเป็นของจำเลยเท่านั้น ศาลจึงไม่ต้องรับฟังเอกสารสำเนาภาพถ่ายโฉนดที่ดินของโจทก์กับเจ้าของรวม และหนังสือให้ความยินยอมของเจ้าของรวมให้โจทก์ฟ้องคดี ส่วนแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้ทำขึ้นตามคำสั่งศาล มิใช่เอกสารที่โจทก์เป็นฝ่ายอ้าง โจทก์จึงไม่ต้องเสีย ค่าอ้างเอกสารตามตาราง 2 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยื่นคำขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมที่ดินโฉนดที่ 932 เพื่อแบ่งที่ดินต่อสำนักงานที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกใบนัดทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ และโจทก์ส่งใบนัดรังวัดให้แก่เจ้าของที่ดินข้างเคียงจนครบแล้วเมื่อถึงกำหนดโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่ดินโจทก์และเจ้าพนักงานที่ดินได้ลงหมุดหลักเขตที่ดินจนแล้วเสร็จ แต่จำเลยไม่มาชี้แนวเขตและลงชื่อในใบรับรองเขตติดต่อของเจ้าพนักงานที่ดินต่อมาจำเลยคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ เจ้าพนักงานที่ดินไกล่เกลี่ยแล้ว แต่โจทก์จำเลยไม่สามารถตกลงกันได้เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งให้โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลขอให้บังคับให้จำเลยยอมรับการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมที่ดินของโจทก์ และลงลายมือชื่อยอมรับใบรับรองเขตติดต่อของเจ้าพนักงานที่ดิน และเจ้าของที่ดินข้างเคียง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์เพราะจำเลยได้คัดค้านและไม่รับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์โดยสุจริตโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดและปักหลักหมุดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยเป็นการละเมิดต่อจำเลย ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ถอนหมุดแนวเขตพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ออกไปจากที่ดินของจำเลย และห้ามมิให้โจทก์และบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้นำเจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดรุกล้ำที่ดินของจำเลย ในการรังวัดแบ่งแยกที่ดินโจทก์ได้ส่งใบนัดทำการรังวัดให้แก่จำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ไปชี้แนวเขต ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยยอมรับการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมที่ดินของโจทก์ และลงลายมือชื่อในใบรับรองเขตติดต่อของเจ้าของที่ดิน และเจ้าของที่ดินข้างเคียง ส่วนฟ้องแย้งให้ยกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2531 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ในเวลา 9 นาฬิกา โจทก์ไม่ไปศาลโดยไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้เลื่อนไปนัดสืบพยานจำเลย วันเดียวกันนั้นเวลา 15.40 นาฬิกา โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์ไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา แต่เนื่องจากเสมียนทนายแจ้งให้ทราบว่าศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์เวลา 13.30 นาฬิกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดไต่สวนวันที่ 19 กันยายน 2531 หลังจากไต่สวนแล้ว เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2531 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่ โดยถือว่าโจทก์มิได้จงใจขาดนัดและเป็นกรณีไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 เพราะศาลมิได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ขาดนัดพิจารณา ต่อมาวันที่ 24 พฤศจิกายน 2531 จำเลยอุทธรณ์คำสั่งว่าโจทก์จงใจขาดนัดศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226จึงไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย วันที่ 10 พฤศจิกายน 2532ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวและคำพิพากษาต่อศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2532ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยเนื่องจากเห็นว่าจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาใหม่ จึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยฉบับลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2531 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับนั้น ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) แล้วหรือไม่ เห็นว่า จำเลยได้โต้แย้งไว้ในอุทธรณ์คำสั่งแล้วว่า จำเลยไม่เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ เพราะโจทก์จงใจขาดนัดและต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 แม้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะไม่มีผลเป็นอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ก็ย่อมมีผลเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้
จากการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ของโจทก์ ได้ความจากคำเบิกความของตัวโจทก์กับนายเผด็จชัยทนายโจทก์ว่า พยานทั้งสองได้ไปศาลในวันนัดเวลาประมาณ 12.30 นาฬิกา เนื่องจากนายอภิชาติ เสมียนทนายโจทก์บอกว่าศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 13.30 นาฬิกา ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของนายอภิชาติที่ว่า พยานบอกเวลานัดของศาลแก่ทนายโจทก์ผิดไปเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา ทั้งตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ก็ปรากฏว่าตัวโจทก์และนายเผด็จชัยได้ลงชื่อในคำร้องที่ยื่นต่อศาลในวันเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าตัวโจทก์และทนายโจทก์ไปศาลในวันนัดจริง แต่ที่ไปไม่ตรงตามเวลาก็คงเป็นเพราะนายอภิชาติบอกเวลานัดพิจารณาคลาดเคลื่อนไปซึ่งเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้จึงเห็นว่าโจทก์มิได้จงใจขาดนัดพิจารณา และศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีจึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จะขอให้พิจารณาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201
เอกสารหมาย จ.3 คือแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางเขนเป็นผู้ทำขึ้นตามคำสั่งศาลชั้นต้นมิใช่เอกสารที่โจทก์เป็นฝ่ายอ้าง โจทก์จึงไม่ต้องเสียค่าอ้างเอกสารตามตาราง 2 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลจึงชอบที่จะรับฟังได้
พิพากษายืน
วันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่ไปศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้เลื่อนไปนัดสืบ-พยานจำเลย ในวันเดียวกันโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งว่า จำเลยไม่เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาคดีโจทก์ใหม่ เพราะโจทก์จงใจขาดนัดและต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201 แม้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะไม่มีผลเป็นอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ก็มีผลเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (1) แล้ว จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้
ศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 9.00 นาฬิกา แต่โจทก์และทนายโจทก์มาศาลในวันนัดเวลาประมาณ 12.30 นาฬิกา เนื่องจากเสมียนทนาย-โจทก์บอกเวลานัดของศาลแก่ทนายโจทก์ผิดไปเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา ทั้งตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ โจทก์และทนายโจทก์ได้ลงชื่อในคำร้องที่ยื่นต่อศาลในวันเดียวกัน แสดงว่าโจทก์และทนายโจทก์ไปศาลในวันนัดจริง แต่ไปไม่ตรงตามเวลาเพราะเสมียนทนายบอกเวลานัดพิจารณาคลาดเคลื่อน โจทก์จึงมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาและเมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดี จึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จะขอให้พิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201
ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์กับเจ้าของรวมหรือเป็นของจำเลยเท่านั้น ศาลจึงไม่ต้องรับฟังเอกสารสำเนาภาพถ่ายโฉนดที่ดินของโจทก์กับเจ้าของรวม และหนังสือให้ความยินยอมของเจ้าของรวมให้โจทก์ฟ้องคดี ส่วนแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้ทำขึ้นตามคำสั่งศาล มิใช่เอกสารที่โจทก์เป็นฝ่ายอ้าง โจทก์จึงไม่ต้องเสียค่าอ้างเอกสารตามตาราง 2 ท้าย ป.วิ.พ.
วันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่ไปศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้เลื่อนไปนัดสืบ-พยานจำเลย ในวันเดียวกันโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งว่า จำเลยไม่เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาคดีโจทก์ใหม่ เพราะโจทก์จงใจขาดนัดและต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201 แม้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะไม่มีผลเป็นอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ก็มีผลเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (1) แล้ว จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้
ศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 9.00 นาฬิกา แต่โจทก์และทนายโจทก์มาศาลในวันนัดเวลาประมาณ 12.30 นาฬิกา เนื่องจากเสมียนทนาย-โจทก์บอกเวลานัดของศาลแก่ทนายโจทก์ผิดไปเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา ทั้งตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ โจทก์และทนายโจทก์ได้ลงชื่อในคำร้องที่ยื่นต่อศาลในวันเดียวกัน แสดงว่าโจทก์และทนายโจทก์ไปศาลในวันนัดจริง แต่ไปไม่ตรงตามเวลาเพราะเสมียนทนายบอกเวลานัดพิจารณาคลาดเคลื่อน โจทก์จึงมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาและเมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดี จึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จะขอให้พิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201
ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์กับเจ้าของรวมหรือเป็นของจำเลยเท่านั้น ศาลจึงไม่ต้องรับฟังเอกสารสำเนาภาพถ่ายโฉนดที่ดินของโจทก์กับเจ้าของรวม และหนังสือให้ความยินยอมของเจ้าของรวมให้โจทก์ฟ้องคดี ส่วนแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้ทำขึ้นตามคำสั่งศาล มิใช่เอกสารที่โจทก์เป็นฝ่ายอ้าง โจทก์จึงไม่ต้องเสียค่าอ้างเอกสารตามตาราง 2 ท้าย ป.วิ.พ.
การยกให้ที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่มีเพียง น.ส.3ระหว่าง ช. กับจำเลย มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้จำเลยจะเข้าครอบครองที่พิพาทตลอดมา ก็เป็นการครอบครองแทน ช. มิใช่เป็นการยึดถือครอบครองในฐานะเจ้าของ จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท เมื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินตาม น.ส.3 ดังกล่าวได้จากการขายทอดตลาดของศาล โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโดยชอบ และแม้โจทก์ยังปล่อยให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทนับแต่วันที่โจทก์ซื้อที่พิพาทจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกกล่าวเจตนาเปลี่ยนแปลงลักษณะการครอบครองที่พิพาท จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทแต่อย่างใด
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารไปให้พ้นจากที่พิพาทให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นรายเดือน เดือนละ 10,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 201ตำบลไม้งาม อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นรายเดือนเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องวันที่20 ตุลาคม 2532 จนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิครอบครองในที่พิพาทดีกว่าโจทก์หรือไม่ เห็นว่าที่พิพาทเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 201 ตำบลไม้งามอำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ซึ่งก่อนที่โจทก์จะเป็นผู้ซื้อได้จากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้น นายชำนาญ พิมพิสุทธิ์ เป็นผู้มีชื่อถือสิทธิครอบครองอยู่ในที่ดินดังกล่าวทั้งแปลง รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1เมื่อจำเลยนำสืบต่อสู้ว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโดยนายชำนาญได้ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยตั้งแต่ปี 2513 นิติกรรมการยกให้ซึ่งที่พิพาทระหว่างนายชำนาญกับจำเลยจะสมบูรณ์เป็นเหตุให้จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทได้ก็ต่อเมื่อการยกให้นั้นได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 และประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 4 ทวิ แล้วเท่านั้นข้อเท็จจริง ได้ความจากการนำสืบรับของจำเลยว่า การยกให้ซึ่งที่พิพาทระหว่างนายชำนาญกับจำเลยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพียงแต่ยกให้กันด้วยวาจา แม้จำเลยจะเข้าครอบครองที่พิพาทตลอดมา นิติกรรมการให้ซึ่งที่พิพาทย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย การครอบครองที่พิพาทของจำเลยจึงเป็นการครอบครองแทนนายชำนาญ มิใช่เป็นการยึดถือครอบครองในฐานะเจ้าของ จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทเมื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 ได้จากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นซึ่งรวมเนื้อที่ของที่พิพาทอยู่ด้วย โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโดยชอบ อนึ่งนับแต่โจทก์ซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นมาได้ แม้โจทก์จะยังปล่อยให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทนับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี ก็ตาม แต่ความไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกกล่าวเจตนาเปลี่ยนแปลงลักษณะการครอบครองที่พิพาทของจำเลยจากการครอบครองแทนนายชำนาญมาเป็นการครอบครองเพื่อจำเลยเองจำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทแต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
การยกให้ที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่มีเพียง น.ส.3ระหว่าง ช. กับจำเลย มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้จำเลยจะเข้าครอบครองที่พิพาทตลอดมา ก็เป็นการครอบครองแทน ช. มิใช่เป็นการยึดถือครอบครองในฐานะเจ้าของ จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท เมื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินตาม น.ส.3 ดังกล่าวได้จากการขายทอดตลาดของศาล โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโดยชอบ และแม้โจทก์ยังปล่อยให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทนับแต่วันที่โจทก์ซื้อที่พิพาทจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกกล่าวเจตนาเปลี่ยนแปลงลักษณะการครอบครองที่พิพาท จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทแต่อย่างใด
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารไปให้พ้นจากที่พิพาทให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นรายเดือน เดือนละ 10,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 201ตำบลไม้งาม อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นรายเดือนเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องวันที่20 ตุลาคม 2532 จนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิครอบครองในที่พิพาทดีกว่าโจทก์หรือไม่ เห็นว่าที่พิพาทเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 201 ตำบลไม้งามอำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ซึ่งก่อนที่โจทก์จะเป็นผู้ซื้อได้จากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้น นายชำนาญ พิมพิสุทธิ์ เป็นผู้มีชื่อถือสิทธิครอบครองอยู่ในที่ดินดังกล่าวทั้งแปลง รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1เมื่อจำเลยนำสืบต่อสู้ว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโดยนายชำนาญได้ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยตั้งแต่ปี 2513 นิติกรรมการยกให้ซึ่งที่พิพาทระหว่างนายชำนาญกับจำเลยจะสมบูรณ์เป็นเหตุให้จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทได้ก็ต่อเมื่อการยกให้นั้นได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 และประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 4 ทวิ แล้วเท่านั้นข้อเท็จจริง ได้ความจากการนำสืบรับของจำเลยว่า การยกให้ซึ่งที่พิพาทระหว่างนายชำนาญกับจำเลยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพียงแต่ยกให้กันด้วยวาจา แม้จำเลยจะเข้าครอบครองที่พิพาทตลอดมา นิติกรรมการให้ซึ่งที่พิพาทย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย การครอบครองที่พิพาทของจำเลยจึงเป็นการครอบครองแทนนายชำนาญ มิใช่เป็นการยึดถือครอบครองในฐานะเจ้าของ จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทเมื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 ได้จากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นซึ่งรวมเนื้อที่ของที่พิพาทอยู่ด้วย โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโดยชอบ อนึ่งนับแต่โจทก์ซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นมาได้ แม้โจทก์จะยังปล่อยให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทนับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี ก็ตาม แต่ความไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกกล่าวเจตนาเปลี่ยนแปลงลักษณะการครอบครองที่พิพาทของจำเลยจากการครอบครองแทนนายชำนาญมาเป็นการครอบครองเพื่อจำเลยเองจำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทแต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
กรณีเกี่ยวกับการโอนที่ดินมือเปล่าหรือที่ดินที่ยังไม่มีกรรมสิทธิ์โดยมีแต่เพียงสิทธิครอบครองนั้น ขณะนี้มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐาน ดังนี้ ความเห็นแรก เห็นว่า การโอนที่ดินมือเปล่าสามารถทำได้ 2 แบบคือ แบบแรก ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 4 ทวิ และแบบที่สอง โอนโดยสละและส่งมอบการครอบครอง ซึ่งเป็นการโอนโดยข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 และ มาตรา 1378(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2626/2525 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2434/2528) ความเห็นที่สอง เห็นว่า การโอนที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 4 ทวิ เท่านั้น การโอนโดยไม่ทำเป็นหนังสือหรือทำเป็นหนังสือแต่ไม่จดทะเบียน แต่ได้ส่งมอบการครอบครองให้แก่กันนั้นย่อมตกเป็นโมฆะ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2261/2524 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2959/2536) กรณีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่หมายเหตุนี้เป็นการวินิจฉัยตามแนวความเห็นที่สองด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาเป็นอย่างยิ่ง ผู้เขียนหมายเหตุเห็นว่าข้อเท็จจริงนี้กับข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2261/2524 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2959/2536กับคำพิพากษาศาลฎีกาที่หมายเหตุนี้ไม่ตรงกันกล่าวคือ ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2261/2524 ปรากฏว่า "การที่นางจันทร์เจ้าของที่ดินได้มายื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมต่อทางอำเภอก็แสดงว่านางจันทร์ประสงค์จะยกให้แก่จำเลยโดยการทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หาใช่เป็นกรณีเจตนาสละการครอบครองไม่" และข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2959/2536ปรากฏว่า "พระครูประสิทธิ์วิทยาคม ทำหนังสือยกที่ดิน ตาม น.ส.3 ก.ดังกล่าวให้โจทก์ และนางบุญมี เสน่หา มารดาจำเลยคนละครึ่งโดยมอบอำนาจให้โจทก์ยื่นคำร้องขอออก น.ส.3 รังวัดแบ่งแยกให้แก่โจทก์เองและจดทะเบียนโอนส่วนที่เหลือให้แก่นางบุญมี ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ต่อมาได้มีการรังวัดแล้ว แต่ยังไม่ทันแบ่งแยก น.ส.3 ก. ฉบับใหม่ พระครูประสิทธิ์วิทยาคมมรณภาพเสียก่อน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวประกอบข้อความในพินัยกรรมของพระครูประสิทธิ์วิทยาคม เอกสารหมาย จ.6 หรือ ล.2 ที่ยกเลิกการยกที่ดินพิพาทแก่โจทก์ แสดงว่าพระครูประสิทธิ์วิทยาคมประสงค์จะยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยการทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หาใช่เป็นกรณีเจตนาสละการครอบครองไม่" ซึ่งข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นว่า คู่สัญญามีความประสงค์ที่จะทำการโอนโดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ยังมิได้ดำเนินการซึ่งข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่หมายเหตุนี้ปรากฏเพียงว่า"การยกให้ซึ่งที่พิพาทระหว่างนายชำนาญกับจำเลยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพียงแต่ยกให้กันด้วยวาจา แม้จำเลยจะเข้าครอบครองที่พิพาทตลอดมา นิติกรรมการให้ซึ่งที่พิพาทย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย การครอบครองที่พิพาทของจำเลยจึงเป็นการครอบครองแทนนายชำนาญ มิใช่เป็นการยึดถือครอบครองในฐานะเจ้าของ จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท" ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่แสดงว่าคู่สัญญามีความประสงค์ที่จะส่งมอบการครอบครองเท่านั้น โดยมิได้มีเจตนาที่จะทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แนวคำวินิจฉัยตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2261/2524 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2959/2536 นั้นตรงกับแนวคำวินิจฉัยในกรณีสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน น.ส.3 โดยจะจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในอนาคต แม้ผู้ซื้อครอบครองที่ดินแล้วก็เป็นเพียงการมอบที่ดินให้ครอบครองแทนผู้ขายไปก่อนเท่านั้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2652/2521)คำพิพากษาศาลฎีกาที่หมายเหตุนี้ผู้เขียนหมายเหตุเห็นว่าน่าจะกลับแนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาที่ว่า การโอนสิทธิครอบครองในที่ดินมือเปล่าทำได้ 2 แบบ คือ ทำตามประมวลกฎหมายที่ดินและโอนโดยข้อเท็จจริงโดยยึดถือแนวคำวินิจฉัยเป็นการโอนสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส.3 ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะและผู้รับโอนจากนิติกรรมอันเป็นโมฆะดังกล่าวเป็นเพียงผู้ครอบครองแทนผู้โอน ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่หมายเหตุนี้ ผู้เขียนหมายเหตุเห็นว่าผู้รับการยกให้น่าจะเป็นผู้มีสิทธิครอบครองมิใช่เป็นเพียงผู้ผู้ครอบครองแทนผู้ให้ เนื่องจากคู่สัญญาทั้งสองไม่มีเจตนาที่จะทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยตั้งใจที่จะทำนิติกรรมยกให้ด้วยวาจาเป็นนิติกรรมที่เสร็จเด็ดขาด การที่ผู้ให้ส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่ผู้รับยกให้แสดงให้เห็นว่าผู้ให้ได้สละเจตนาครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1377 ผู้รับยกให้ย่อมมีสิทธิครอบครองอย่างเป็นเจ้าของเนื่องมาจากส่งมอบทรัพย์สิน ตามมาตรา 1378 ธนพัฒน์จงเพิ่มวัฒนะผล
การจะรับฟังว่าภารจำยอมสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1399 นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่า ทางภารจำยอมมิได้ใช้สิบปีขึ้นไป ส่วนภารจำยอมสิ้นไปตามมาตรา 1400 โจทก์ก็จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าภารจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยกทรัพย์ เจ้าของสามยทรัพย์ใช้ที่ดินแปลงอื่นซึ่งซื้อจากบุคคลภายนอกไปสู่โรงงานของเจ้าของสามยทรัพย์นั้น เป็นทางซึ่งเจ้าของสามยทรัพย์ใช้เป็นประโยชน์สำหรับที่ดินแปลงอื่นเพื่อใช้ออกสู่โรงงาน ไม่ใช่สำหรับที่ดินแปลงสามยทรัพย์เพื่อใช้ออกทางสาธารณะ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าทางภารจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย
โจทก์ฟ้องว่า ตั้งแต่จดทะเบียนภารจำยอมไว้ ไม่มีผู้ใดทำถนนบนทางภารจำยอมเลยจนบัดนี้ อีกทั้งมิได้ใช้ประโยชน์จากทางภารจำยอมดังกล่าวเป็นเวลานานเกินกว่า10 ปี และทางภารจำยอมแห่งนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์แก่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ในปัจจุบันอีก ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนภารจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 5701 ซึ่งตกเป็นทางภารจำยอมเรื่องทางเดินของที่ดินโฉนดเลขที่ 2315 และ 10057
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ยังคงใช้ประโยชน์ในทางภารจำยอมดังกล่าวมาตลอด จำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและภารจำยอมทางเดินไม่ถึง 10 ปีโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเพิกถอนภารจำยอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนเพิกถอนภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5701 ตำบลนาดี (บางปิ้ง) อำเภอเมืองสมุทรสาครจังหวัดสมุทรสาคร ที่เป็นภารจำยอมเรื่องทางเดินของที่ดินโฉนดเลขที่ 2315และ 10057 ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่า จำเลยทั้งสองและเจ้าของสามยทรัพย์คนก่อนไม่ได้ใช้ภารจำยอมนานสิบปีขึ้นไปหรือไม่ หรือภารจำยอมในทางพิพาทหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์หรือไม่ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่า เส้นทางภารจำยอมตามบันทึกข้อตกลงมิได้ใช้สิบปีขึ้นไปส่วนตามมาตรา 1400 โจทก์ก็จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าภารจำยอมดังกล่าวหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย์ซึ่งจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของ แต่ทางนำสืบของโจทก์ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 และมาตรา 1400 แต่อย่างใด เพราะเมื่อพิเคราะห์สารบัญจดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 2315และ 10057 ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเพิ่งรับโอนที่ดินสามยทรัพย์ตามโฉนดทั้งสองแปลงเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2526 กับวันที่ 24 กันยายน 2524 ตามลำดับ ซึ่งเป็นวันก่อนวันฟ้องวันที่ 13 กรกฎาคม 2532 ไม่ถึง 10 ปี และตามสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินเลขที่ 5701ของโจทก์กับบันทึกข้อตกลงเรื่องภารจำยอมว่า จดทะเบียนภารจำยอมแก่ที่ดินสามยทรัพย์ทั้งสองแปลงเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2516 เมื่อนับจนถึงวันที่จำเลยทั้งสองรับโอนที่ดินสามยทรัพย์ทั้งสองแปลงแล้ว ระยะเวลายังไม่ถึง 10 ปี ทั้งโจทก์ก็ไม่นำสืบยืนยันว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ใช้ทางภารจำยอมเดินแต่อย่างไร ทั้งจำเลยที่ 2 ก็นำสืบยืนยันว่า จำเลยที่ 2 ได้ใช้ทางภารจำยอมเดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะไม่มีเส้นทางอื่นอีก จึงฟังไม่ได้ว่าไม่มีการใช้ทางภารจำยอมติดต่อกันนานถึง 10 ปี ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้ใช้เส้นทางที่สร้างขึ้นใหม่จากที่ดินแปลงอื่นซึ่งซื้อจากบุคคลภายนอกไปสู่โรงงานของจำเลยที่ 2 นั้น หากเป็นจริงก็เป็นเส้นทางซึ่งจำเลยที่ 2 ใช้เป็นประโยชน์สำหรับที่ดินแปลงอื่นเพื่อใช้ออกสู่โรงงาน ไม่ใช่สำหรับที่ดินแปลงสามยทรัพย์เพื่อใช้ออกทางสาธารณะ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าทางภารจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย์ ตามรายงานการเดินเผชิญสืบของศาลชั้นต้นแสดงว่าจำเลยทั้งสองยังใช้ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมอยู่ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเลิกภารจำยอม
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
การจะรับฟังว่าภารจำยอมสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1399 นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่า ทางภารจำยอมมิได้ใช้สิบปีขึ้นไป ส่วนภารจำยอมสิ้นไปตามมาตรา 1400 โจทก์ก็จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าภารจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยกทรัพย์ เจ้าของสามยทรัพย์ใช้ที่ดินแปลงอื่นซึ่งซื้อจากบุคคลภายนอกไปสู่โรงงานของเจ้าของสามยทรัพย์นั้น เป็นทางซึ่งเจ้าของสามยทรัพย์ใช้เป็นประโยชน์สำหรับที่ดินแปลงอื่นเพื่อใช้ออกสู่โรงงาน ไม่ใช่สำหรับที่ดินแปลงสามยทรัพย์เพื่อใช้ออกทางสาธารณะ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าทางภารจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย
โจทก์ฟ้องว่า ตั้งแต่จดทะเบียนภารจำยอมไว้ ไม่มีผู้ใดทำถนนบนทางภารจำยอมเลยจนบัดนี้ อีกทั้งมิได้ใช้ประโยชน์จากทางภารจำยอมดังกล่าวเป็นเวลานานเกินกว่า10 ปี และทางภารจำยอมแห่งนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์แก่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ในปัจจุบันอีก ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนภารจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 5701 ซึ่งตกเป็นทางภารจำยอมเรื่องทางเดินของที่ดินโฉนดเลขที่ 2315 และ 10057
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ยังคงใช้ประโยชน์ในทางภารจำยอมดังกล่าวมาตลอด จำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและภารจำยอมทางเดินไม่ถึง 10 ปีโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเพิกถอนภารจำยอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนเพิกถอนภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5701 ตำบลนาดี (บางปิ้ง) อำเภอเมืองสมุทรสาครจังหวัดสมุทรสาคร ที่เป็นภารจำยอมเรื่องทางเดินของที่ดินโฉนดเลขที่ 2315และ 10057 ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่า จำเลยทั้งสองและเจ้าของสามยทรัพย์คนก่อนไม่ได้ใช้ภารจำยอมนานสิบปีขึ้นไปหรือไม่ หรือภารจำยอมในทางพิพาทหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์หรือไม่ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่า เส้นทางภารจำยอมตามบันทึกข้อตกลงมิได้ใช้สิบปีขึ้นไปส่วนตามมาตรา 1400 โจทก์ก็จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าภารจำยอมดังกล่าวหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย์ซึ่งจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของ แต่ทางนำสืบของโจทก์ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 และมาตรา 1400 แต่อย่างใด เพราะเมื่อพิเคราะห์สารบัญจดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 2315และ 10057 ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเพิ่งรับโอนที่ดินสามยทรัพย์ตามโฉนดทั้งสองแปลงเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2526 กับวันที่ 24 กันยายน 2524 ตามลำดับ ซึ่งเป็นวันก่อนวันฟ้องวันที่ 13 กรกฎาคม 2532 ไม่ถึง 10 ปี และตามสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินเลขที่ 5701ของโจทก์กับบันทึกข้อตกลงเรื่องภารจำยอมว่า จดทะเบียนภารจำยอมแก่ที่ดินสามยทรัพย์ทั้งสองแปลงเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2516 เมื่อนับจนถึงวันที่จำเลยทั้งสองรับโอนที่ดินสามยทรัพย์ทั้งสองแปลงแล้ว ระยะเวลายังไม่ถึง 10 ปี ทั้งโจทก์ก็ไม่นำสืบยืนยันว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ใช้ทางภารจำยอมเดินแต่อย่างไร ทั้งจำเลยที่ 2 ก็นำสืบยืนยันว่า จำเลยที่ 2 ได้ใช้ทางภารจำยอมเดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะไม่มีเส้นทางอื่นอีก จึงฟังไม่ได้ว่าไม่มีการใช้ทางภารจำยอมติดต่อกันนานถึง 10 ปี ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้ใช้เส้นทางที่สร้างขึ้นใหม่จากที่ดินแปลงอื่นซึ่งซื้อจากบุคคลภายนอกไปสู่โรงงานของจำเลยที่ 2 นั้น หากเป็นจริงก็เป็นเส้นทางซึ่งจำเลยที่ 2 ใช้เป็นประโยชน์สำหรับที่ดินแปลงอื่นเพื่อใช้ออกสู่โรงงาน ไม่ใช่สำหรับที่ดินแปลงสามยทรัพย์เพื่อใช้ออกทางสาธารณะ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าทางภารจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย์ ตามรายงานการเดินเผชิญสืบของศาลชั้นต้นแสดงว่าจำเลยทั้งสองยังใช้ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมอยู่ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเลิกภารจำยอม
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
การจะรับฟังว่าภาระจำยอมสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่า ทางภาระจำยอมมิได้ใช้สิบปีขึ้นไป ส่วนภาระจำยอมสิ้นไปตามมาตรา 1400 โจทก์ก็จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าภาระจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย์
เจ้าของสามยทรัพย์ใช้ที่ดินแปลงอื่นซึ่งซื้อจากบุคคลภายนอกไปสู่โรงงานของเจ้าของสามยทรัพย์นั้น เป็นทางซึ่งเจ้าของสามยทรัพย์ใช้เป็นประโยชน์สำหรับที่ดินแปลงอื่นเพื่อใช้ออกสู่โรงงาน ไม่ใช่สำหรับที่ดินแปลงสามยทรัพย์เพื่อใช้ออกทางสาธารณะ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าทางภาระจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย์
การจะรับฟังว่าภาระจำยอมสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่า ทางภาระจำยอมมิได้ใช้สิบปีขึ้นไป ส่วนภาระจำยอมสิ้นไปตามมาตรา 1400 โจทก์ก็จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าภาระจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย์
เจ้าของสามยทรัพย์ใช้ที่ดินแปลงอื่นซึ่งซื้อจากบุคคลภายนอกไปสู่โรงงานของเจ้าของสามยทรัพย์นั้น เป็นทางซึ่งเจ้าของสามยทรัพย์ใช้เป็นประโยชน์สำหรับที่ดินแปลงอื่นเพื่อใช้ออกสู่โรงงาน ไม่ใช่สำหรับที่ดินแปลงสามยทรัพย์เพื่อใช้ออกทางสาธารณะ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าทางภาระจำยอมหมดประโยชน์หรือเสื่อมประโยชน์แก่สามยทรัพย์
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ขายที่ดินตามส.ค.1 และที่ดินที่ปกครองอีกประมาณ 50 ไร่ ให้แก่ ป.ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2531 สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งแปลงรวมทั้งที่ดิน ส.ค.1 ดังกล่าวได้โอนไปยัง ป.แล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีกต่อไปนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แม้ฎีกาของจำเลยจะมีข้อความต่อมาว่า จำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2531 ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ฎีกาของจำเลยก็ยังเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยบุกรุกเข้ามาตัดถางต้นจาก และต้นโกงกาง กับปักเสาเพื่อทำรั้วลวดหนามขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนเสารั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินพิพาทและห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน17,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 15,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทคืนโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วยการปลูกต้นจากไว้เต็มพื้นที่ จำเลยตัดถางต้นจากในที่ดินพิพาทเพื่อขุดบ่อเลี้ยงกุ้ง จำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์หากนำที่ดินไปให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 500 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนเสาลวดหนามออกไปจากที่พิพาทตามที่ปรากฏในแผนที่กลางเอกสารหมาย จ.3 และห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองโจทก์อีกต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 1,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องคือวันที่ 3 ตุลาคม 2531จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีกเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่พิพาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 3,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีเพียง 50,000 บาทเท่านั้น จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ใช้บังคับอยู่ในขณะจำเลยยื่นฎีกา ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ขายที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 6 ตำบลเกาะขวางอำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรีและที่ดินที่ปกครองอีกประมาณ50 ไร่ ให้แก่ป. ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2531 สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งแปลงรวมทั้งที่ดิน ส.ค.1 ดังกล่าว ได้โอนไปยังป.แล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีกต่อไปนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แม้ฎีกาของจำเลยจะมีข้อความต่อมาว่า ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์เมื่อวันที่5 กรกฎาคม 2531 ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ฎีกาของจำเลยก็ยังเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลยค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ขายที่ดินตามส.ค.1 และที่ดินที่ปกครองอีกประมาณ 50 ไร่ ให้แก่ ป.ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2531 สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งแปลงรวมทั้งที่ดิน ส.ค.1 ดังกล่าวได้โอนไปยัง ป.แล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีกต่อไปนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แม้ฎีกาของจำเลยจะมีข้อความต่อมาว่า จำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2531 ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ฎีกาของจำเลยก็ยังเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยบุกรุกเข้ามาตัดถางต้นจาก และต้นโกงกาง กับปักเสาเพื่อทำรั้วลวดหนามขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนเสารั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินพิพาทและห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน17,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 15,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทคืนโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วยการปลูกต้นจากไว้เต็มพื้นที่ จำเลยตัดถางต้นจากในที่ดินพิพาทเพื่อขุดบ่อเลี้ยงกุ้ง จำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์หากนำที่ดินไปให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 500 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนเสาลวดหนามออกไปจากที่พิพาทตามที่ปรากฏในแผนที่กลางเอกสารหมาย จ.3 และห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองโจทก์อีกต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 1,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องคือวันที่ 3 ตุลาคม 2531จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีกเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่พิพาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 3,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีเพียง 50,000 บาทเท่านั้น จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ใช้บังคับอยู่ในขณะจำเลยยื่นฎีกา ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ขายที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 6 ตำบลเกาะขวางอำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรีและที่ดินที่ปกครองอีกประมาณ50 ไร่ ให้แก่ป. ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2531 สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งแปลงรวมทั้งที่ดิน ส.ค.1 ดังกล่าว ได้โอนไปยังป.แล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีกต่อไปนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แม้ฎีกาของจำเลยจะมีข้อความต่อมาว่า ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์เมื่อวันที่5 กรกฎาคม 2531 ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ฎีกาของจำเลยก็ยังเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลยค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์จึงฎีกาไม่ได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพราะต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองได้เอาความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์ต่อศาลแพ่งเป็นคดีล้มละลายหมายเลขคดีดำที่ ล.473/2535 คดีหมายเลขแดงที่ ล.4/2536 การฟ้องคดีดังกล่าวเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 83, 90ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้อง ต่อมาได้เพิกถอนคำสั่งและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้แม้ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้อง ย่อมถือได้ว่าเป็นคำสั่งไม่ประทับฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 161 เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาไม่ได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แม้ว่าคดีนี้จะเป็นการพิจารณาชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตาม เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์ไว้จึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาโจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์จึงฎีกาไม่ได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพราะต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองได้เอาความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์ต่อศาลแพ่งเป็นคดีล้มละลายหมายเลขคดีดำที่ ล.473/2535 คดีหมายเลขแดงที่ ล.4/2536 การฟ้องคดีดังกล่าวเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 83, 90ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้อง ต่อมาได้เพิกถอนคำสั่งและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้แม้ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้อง ย่อมถือได้ว่าเป็นคำสั่งไม่ประทับฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 161 เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาไม่ได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แม้ว่าคดีนี้จะเป็นการพิจารณาชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตาม เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์ไว้จึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาโจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่ง เดิมที่รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผลเท่ากับ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์จึงฎีกาไม่ได้ ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพราะต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ ๑ จำเลย ทั้งสองได้เอาความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์ต่อศาลแพ่งเป็นคดีล้มละลาย หมายเลขคดีดำที่ ล.๔๗๓/๒๕๓๕ คดีหมายเลขแดงที่ ล.๔/๒๕๓๖ การฟ้องคดี ดังกล่าวเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังทำให้โจทก์ได้รับ ความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘, ๘๓, ๙๐ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้อง ต่อมาได้เพิกถอนคำสั่งและมีคำสั่งใหม่ เป็นไม่รับฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้แม้ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์ แล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้อง ย่อมถือ ได้ว่าเป็นคำสั่งไม่ประทับฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๑ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผลเท่ากับศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาไม่ได้ทั้งในปัญหา ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แม้ว่าคดีนี้จะเป็นการพิจารณาชั้นไต่สวน มูลฟ้องก็ตาม เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐ ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์ไว้จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาโจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่ง เดิมที่รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผลเท่ากับ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์จึงฎีกาไม่ได้ ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพราะต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ ๑ จำเลย ทั้งสองได้เอาความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์ต่อศาลแพ่งเป็นคดีล้มละลาย หมายเลขคดีดำที่ ล.๔๗๓/๒๕๓๕ คดีหมายเลขแดงที่ ล.๔/๒๕๓๖ การฟ้องคดี ดังกล่าวเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังทำให้โจทก์ได้รับ ความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘, ๘๓, ๙๐ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้อง ต่อมาได้เพิกถอนคำสั่งและมีคำสั่งใหม่ เป็นไม่รับฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้แม้ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์ แล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้อง ย่อมถือ ได้ว่าเป็นคำสั่งไม่ประทับฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๑ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผลเท่ากับศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาไม่ได้ทั้งในปัญหา ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แม้ว่าคดีนี้จะเป็นการพิจารณาชั้นไต่สวน มูลฟ้องก็ตาม เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐ ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์ไว้จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาโจทก์
การที่โจทก์นำสืบว่านอกจากจำเลยพูดกับโจทก์ว่า "เป็นลูกหมา"แล้วยังพูดด้วยว่าโจทก์ "พูดจากลับกลอก" และ "พูดหมา ๆ" ด้วยนั้นแม้โจทก์จะนำสืบถ้อยคำที่พูดของจำเลยแตกต่างไปจากคำฟ้องบ้างแต่ถ้อยคำนั้นก็เป็นการกล่าวต่อเนื่องกับถ้อยคำที่จำเลยพูดว่าโจทก์ตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้อง กรณีจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น แม้จำเลยจะกล่าววาจาหยาบคายไม่น่าฟังต่อหน้าโจทก์ซึ่งเป็นมารดา แต่ก็หาได้กล่าวดูหมิ่น หมิ่นประมาทว่าโจทก์เป็นหมาโดยตรงทั้งตามพฤติการณ์ที่โจทก์เคยตกลงจะแบ่งที่ดินปลูกบ้านให้จำเลยแล้วภายหลังกลับใจไม่ยกให้ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยเกิดโทสะพลุ่งพล่านผสมกับความน้อยใจ จึงได้กล่าววาจาประชดประชันด้วยอารมณ์หาใช่เจตนาทำให้โจทก์ต้องเสียชื่อเสียงหรือเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง กรณียังไม่ถึงขนาดที่จะฟังได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ผู้ให้ทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์ทั้งสองยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2342จำนวน 12 ไร่ 88 ตารางวา ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตรโดยทำเป็นหนังสือยกให้และจดทะเบียนแล้ว ต่อมาจำเลยมีเรื่องทะเลาะกับพี่ชายและน้องชาย โจทก์ทั้งสองว่ากล่าวตักเตือนจำเลยกลับโกรธเคืองโจทก์ทั้งสองและนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2342 กับหนังสือยกให้ดังกล่าวมาโยนให้โจทก์แล้วพูดว่า "กูไม่ต้องการจะได้""ผมไม่ใช่ลูกแม่" โจทก์ที่ 2 พูดว่า "เจ้าลูกใคร" จำเลยก็พูดว่า"เป็นลูกหมา" และได้พูดต่อไปว่า จะไม่นับถือโจทก์ทั้งสองเป็นบิดามารดาต่อไป และขับไล่โจทก์ที่ 2 ออกจากบ้านอันเป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยไปโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2342 คืนให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยพูดด่าว่าโจทก์ทั้งสองเป็นหมาหรือพูดเปรียบเทียบว่าโจทก์ทั้งสองเป็นหมา ไม่เคยขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน และไม่เคยกระทำการใดอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณานายคำพันโจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรมนางบุญธรรมโจทก์ที่ 2 ทายาทของโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ทั้งสองให้จำเลยคืนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2342แก่โจทก์ทั้งสอง หากไม่ไปโอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่โจทก์นำสืบว่านอกจากจำเลยพูดกับโจทก์ที่ 2 ว่า "เป็นลูกหมา" แล้วยังพูดด้วยว่าโจทก์ที่ 2 "พูดจากลับกลอก" และ "พูดหมา ๆ" ด้วยนั้น เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์ทั้งสองจะนำสืบถ้อยคำที่พูดของจำเลยแตกต่างไปจากคำฟ้องบ้างก็ตาม แต่จากข้อเท็จจริงปรากฏว่าถ้อยคำที่จำเลยพูดว่าโจทก์ที่ 2" "พูดจากลับกลอก" และ"พูดหมา ๆ" นั้น เป็นการกล่าวต่อเนื่องกับถ้อยคำที่จำเลยพูดว่าโจทก์ที่ 2 ตามที่โจทก์ทั้งสองบรรยายในคำฟ้อง กรณีจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์ทั้งสองสามารถนำสืบได้ หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองนำสืบนอกฟ้อง นอกประเด็นแต่อย่างใดไม่
ปัญหาตามฎีกาโจทก์ทั้งสองข้อต่อไปมีว่า จำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ทั้งสองหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยจะกล่าววาจาหยาบคายไม่น่าฟังต่อหน้าโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา แต่ก็หาได้กล่าวดูหมิ่นหมิ่นประมาทว่าโจทก์ทั้งสองคนใดคนหนึ่งเป็นหมาโดยตรงเช่นคำพิพากษาฎีกาที่ 31/2531 ที่โจทก์อ้างในฎีกาไม่ ทั้งตามพฤติการณ์ที่โจทก์ทั้งสองเคยตกลงจะแบ่งที่ดินปลูกบ้านให้จำเลย แล้วภายหลังกลับใจไม่ยกให้ ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยเกิดโทสะพลุ่งพล่านผสมกับความน้อยใจ จึงได้กล่าววาจา ประชดประชันโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาด้วยอารมณ์ได้ หาใช่เจตนาทำให้โจทก์ทั้งสองต้องเสียชื่อเสียงหรือเป็นการหมื่นประมาทโจทก์ทั้งสองอย่างร้ายแรง เหตุที่ปรากฏในคดีนี้ยังมีไม่ถึงขนาดที่จะพอฟังได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณอย่างใดอย่างหนึ่งต่อโจทก์ทั้งสองผู้ให้ทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531
พิพากษายืน
การที่โจทก์นำสืบว่านอกจากจำเลยพูดกับโจทก์ว่า "เป็นลูกหมา"แล้วยังพูดด้วยว่าโจทก์ "พูดจากลับกลอก" และ "พูดหมา ๆ" ด้วยนั้นแม้โจทก์จะนำสืบถ้อยคำที่พูดของจำเลยแตกต่างไปจากคำฟ้องบ้างแต่ถ้อยคำนั้นก็เป็นการกล่าวต่อเนื่องกับถ้อยคำที่จำเลยพูดว่าโจทก์ตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้อง กรณีจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น แม้จำเลยจะกล่าววาจาหยาบคายไม่น่าฟังต่อหน้าโจทก์ซึ่งเป็นมารดา แต่ก็หาได้กล่าวดูหมิ่น หมิ่นประมาทว่าโจทก์เป็นหมาโดยตรงทั้งตามพฤติการณ์ที่โจทก์เคยตกลงจะแบ่งที่ดินปลูกบ้านให้จำเลยแล้วภายหลังกลับใจไม่ยกให้ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยเกิดโทสะพลุ่งพล่านผสมกับความน้อยใจ จึงได้กล่าววาจาประชดประชันด้วยอารมณ์หาใช่เจตนาทำให้โจทก์ต้องเสียชื่อเสียงหรือเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง กรณียังไม่ถึงขนาดที่จะฟังได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ผู้ให้ทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์ทั้งสองยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2342จำนวน 12 ไร่ 88 ตารางวา ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตรโดยทำเป็นหนังสือยกให้และจดทะเบียนแล้ว ต่อมาจำเลยมีเรื่องทะเลาะกับพี่ชายและน้องชาย โจทก์ทั้งสองว่ากล่าวตักเตือนจำเลยกลับโกรธเคืองโจทก์ทั้งสองและนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2342 กับหนังสือยกให้ดังกล่าวมาโยนให้โจทก์แล้วพูดว่า "กูไม่ต้องการจะได้""ผมไม่ใช่ลูกแม่" โจทก์ที่ 2 พูดว่า "เจ้าลูกใคร" จำเลยก็พูดว่า"เป็นลูกหมา" และได้พูดต่อไปว่า จะไม่นับถือโจทก์ทั้งสองเป็นบิดามารดาต่อไป และขับไล่โจทก์ที่ 2 ออกจากบ้านอันเป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยไปโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2342 คืนให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยพูดด่าว่าโจทก์ทั้งสองเป็นหมาหรือพูดเปรียบเทียบว่าโจทก์ทั้งสองเป็นหมา ไม่เคยขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน และไม่เคยกระทำการใดอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณานายคำพันโจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรมนางบุญธรรมโจทก์ที่ 2 ทายาทของโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ทั้งสองให้จำเลยคืนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2342แก่โจทก์ทั้งสอง หากไม่ไปโอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่โจทก์นำสืบว่านอกจากจำเลยพูดกับโจทก์ที่ 2 ว่า "เป็นลูกหมา" แล้วยังพูดด้วยว่าโจทก์ที่ 2 "พูดจากลับกลอก" และ "พูดหมา ๆ" ด้วยนั้น เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์ทั้งสองจะนำสืบถ้อยคำที่พูดของจำเลยแตกต่างไปจากคำฟ้องบ้างก็ตาม แต่จากข้อเท็จจริงปรากฏว่าถ้อยคำที่จำเลยพูดว่าโจทก์ที่ 2" "พูดจากลับกลอก" และ"พูดหมา ๆ" นั้น เป็นการกล่าวต่อเนื่องกับถ้อยคำที่จำเลยพูดว่าโจทก์ที่ 2 ตามที่โจทก์ทั้งสองบรรยายในคำฟ้อง กรณีจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์ทั้งสองสามารถนำสืบได้ หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองนำสืบนอกฟ้อง นอกประเด็นแต่อย่างใดไม่
ปัญหาตามฎีกาโจทก์ทั้งสองข้อต่อไปมีว่า จำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ทั้งสองหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยจะกล่าววาจาหยาบคายไม่น่าฟังต่อหน้าโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา แต่ก็หาได้กล่าวดูหมิ่นหมิ่นประมาทว่าโจทก์ทั้งสองคนใดคนหนึ่งเป็นหมาโดยตรงเช่นคำพิพากษาฎีกาที่ 31/2531 ที่โจทก์อ้างในฎีกาไม่ ทั้งตามพฤติการณ์ที่โจทก์ทั้งสองเคยตกลงจะแบ่งที่ดินปลูกบ้านให้จำเลย แล้วภายหลังกลับใจไม่ยกให้ ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยเกิดโทสะพลุ่งพล่านผสมกับความน้อยใจ จึงได้กล่าววาจา ประชดประชันโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาด้วยอารมณ์ได้ หาใช่เจตนาทำให้โจทก์ทั้งสองต้องเสียชื่อเสียงหรือเป็นการหมื่นประมาทโจทก์ทั้งสองอย่างร้ายแรง เหตุที่ปรากฏในคดีนี้ยังมีไม่ถึงขนาดที่จะพอฟังได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณอย่างใดอย่างหนึ่งต่อโจทก์ทั้งสองผู้ให้ทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531
พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองเคยตกลงจะแบ่งที่ดินปลูกบ้านให้จำเลยแล้วภายหลังกลับใจไม่ยกให้ โดยขอให้จำเลยลงนามในหนังสือตกลงไม่รับส่วนแบ่งที่ดิน ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยเกิดโทสะพลุ่งพล่านผสมกับความน้อยใจจึงได้กล่าววาจาประชดประชันโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาด้วยอารมณ์ได้แม้ถ้อยคำดังกล่าวจะหยาบคายไม่น่าฟัง แต่จำเลยก็หาได้กล่าวดูหมิ่นหมิ่นประมาทว่าโจทก์ทั้งสองคนใดคนหนึ่งเป็นหมาโดยตรงแต่อย่างใดการกระทำของจำเลยจึงหาใช่เจตนาทำให้โจทก์ทั้งสองต้องเสียชื่อเสียงหรือเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองอย่างร้ายแรงอย่างไรไม่จึงไม่อาจถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพูดว่า "เป็นลูกหมา" แต่ในชั้นพิจารณาโจทก์นำสืบว่าจำเลยได้พูดว่าโจทก์ "พูดจากลับกลอก" และ"พูดหมา ๆ" แต่เมื่อได้ความว่าถ้อยคำดังกล่าวเป็นคำพูดต่อเนื่องกับคำพูดของจำเลยที่โจทก์ได้บรรยายไว้ในคำฟ้องแล้ว จึงเป็นเรื่องการนำสืบรายละเอียด ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น โจทก์นำสืบว่าจำเลยได้กล่าวถ้อยคำดังกล่าวได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ทั้งสองขอให้บังคับจำเลยไปโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 2342 คืนให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ไม่เคยกระทำการใดอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณานายคำพัน เขียวชะอุ่ม โจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรมนางบุญธรรม เขียวชะอุ่ม โจทก์ที่ 2 ทายาทของโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยประพฤติเนรคุณ โจทก์ทั้งสองให้จำเลยคืนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 2342 ตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัยจังหวัดสุโขทัย เนื้อที่ 12 ไร่ 88 ตารางวา แก่โจทก์ทั้งสอง หากไม่ไปโอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยา เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2339 ตำบลหาดเสี้ยวอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เอกสารหมาย จ.3 ในนามของโจทก์ที่ 1 ต่อมาโจทก์ทั้งสองแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็นแปลงย่อย ๆและยกให้บุตรโจทก์ 4 คน โดยจำเลยซึ่งเป็นบุตรคนที่ 3 นั้น โจทก์ทั้งสองได้ยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่2342 ตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัยเอกสารหมาย จ.4 และสำเนาหนังสือสัญญาแบ่งให้ที่ดิน เอกสารหมายจ.5 และตกลงจะแบ่งแยกที่ดินปลูกบ้านเนื้อที่ 1 งานเศษ ให้นายสุพร เขียวชอุ่ม จำเลย กับนางถนอม แต่เปลี่ยนใจภายหลังเพราะนายพูล เขียวชอุ่ม ไม่มีบ้านอยู่อาศัยจึงตกลงจะยกที่ดินปลูกบ้านให้เฉพาะนายพูลกับนางถนอม เสริญปัญญา ซึ่งเป็นพี่และน้องจำเลยตามลำดับ จำเลยไม่พอใจเพราะจำเลยต้องการมีส่วนได้ที่ดินด้วยที่โจทก์ทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่โจทก์นำสืบว่า นอกจากจำเลยพูดกับโจทก์ที่ 2 ว่า"เป็นลูกหมา" แล้วยังพูดด้วยว่าโจทก์ที่ 2 "พูดจากลับกลอก" และ"พูดหมา ๆ" ด้วยนั้น เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่าแม้โจทก์ทั้งสองจะนำสืบถ้อยคำที่พูดของจำเลยแตกต่างไปจากคำฟ้องบ้างก็ตาม แต่จากข้อเท็จจริงปรากฏว่าถ้อยคำที่จำเลยพูดว่าโจทก์ที่ 2 "พูดจากลับกลอก" และ "พูดหมา ๆ" นั้น เป็นการกล่าวต่อเนื่องกับถ้อยคำที่จำเลยพูดว่าโจทก์ที่ 2 ตามที่โจทก์ทั้งสองบรรยายในคำฟ้อง กรณีจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์ทั้งสองสามารถนำสืบได้หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองนำสืบนอกฟ้อง นอกประเด็นแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยดังกล่าวไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น
ปัญหาตามฎีกาโจทก์ทั้งสองข้อต่อไปมีว่า จำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ทั้งสองหรือไม่ ได้ความจากโจทก์ที่ 2 ว่า ประมาณปี 2533 จำเลยนำเงินที่ยืมโจทก์ที่ 1 จำนวน 2,500 บาท ส่วนที่เหลือมาชำระแล้วบอกว่า "เจ้ากับเฮาบ่เอากันเลย" ซึ่งหมายถึงว่าเรื่องเงินสิ้นสุดกันเพียงนี้ วันเดียวกันจำเลยใช้ให้บุตรชายนำเงินให้โจทก์ที่ 2 อีก200 บาท โจทก์ที่ 2 จึงฝากให้บอกจำเลยว่าจำเลยไม่ได้เกิดจากท้องหรือจำเลยเป็นลูกทรพี เพราะเข้าใจว่าจำเลยบอกตัดความเป็นบิดามารดาก่อน ต่อมานายพูลบุตรคนโตบอกข่าวว่าจำเลยไม่ประสงค์จะเอาที่นาที่ยกให้ต่อไปแล้วอีกประมาณ 3 วัน โจทก์ที่ 2 จึงให้นายพูลพาไปบอกจำเลยที่บ้านขอให้รับที่ดินไว้ จำเลยพูดว่า"เฮาบ่เอาเฮาบ่เป็นลูกเจ้า" ครั้นโจทก์ที่ 2 ถามว่าจำเลยเป็นลูกใครจำเลยตอบว่าเป็นลูกหมา แล้วพูดว่า "เฮาบ่เอา เจ้าคว่ำมือหงายมือ รักลูกลำเอียง บ่น่านับถือ พูดหมา ๆ" ซึ่งมีความหมายว่าโจทก์ที่ 2 รักบุตรลำเอียง ไม่น่านับถือ โจทก์ที่ 2 ร้องไห้ระหว่างเดินกลับบ้าน จำเลยขับรถจักรยานยนต์อาสาจะไปส่ง แต่โจทก์ที่ 2ไม่ตกลง เดือนเมษายน 2534 จำเลยให้บุตรซึ่งจะบรรพชาเป็นสามเณรมาขอขมาโจทก์ทั้งสอง เห็นว่าแม้นายพูลพยานโจทก์อีกปากจะเบิกความสนับสนุนว่าได้รู้เห็นเหตุการณ์ได้ยินจำเลยพูดดังกล่าวจริง ทั้งโจทก์ที่ 1 กับนางรวย ข้างจะงาม น้องสาวจำเลยจะเบิกความเป็นพยานบอกเล่าว่าได้ยินโจทก์ที่ 1 กลับไปเล่าให้ฟังว่าจำเลยด่าโจทก์ทั้งสองว่าเป็นหมูเป็นหมา พูดกลับกลอกไปมาก็จริง แต่ก็ได้ความจากโจทก์ทั้งสองกับพยานโจทก์ทุกปากดังกล่าวยอมรับว่าเมื่อโจทก์ที่ 2ถามจำเลยว่าเป็นบุตรใครจำเลยบอกว่าเป็นลูกหมูลูกหมาก็ช่างเถอะนั้นจำเลยพูดเพราะเกิดอารมณ์น้อยใจเพราะโจทก์ที่ 2 เปลี่ยนใจไม่แบ่งที่ดินแปลงปลูกบ้านให้จำเลยเท่านั้น และโจทก์ที่ 2 ก็ยังเบิกความยอมรับว่าที่จำเลยพูดว่า "เฮาบ่อเอา เจ้าคว่ำมือหงายมือรักลูกลำเอียง บ่น่านับถือ พูดหมา ๆ" นั้นมีความหมายเพียงว่าโจทก์ที่ 2 รักบุตรลำเอียงไม่น่านับถือ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยจะกล่าววาจาหยาบคายไม่น่าฟังต่อหน้าโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา แต่ก็หาได้กล่าวดูหมิ่น หมิ่นประมาทว่าโจทก์ทั้งสองคนใดคนหนึ่งเป็นหมาโดยตรงเช่นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2531 ที่โจทก์อ้างในฎีกาไม่ ทั้งตามพฤติการณ์ที่โจทก์ทั้งสองเคยตกลงจะแบ่งที่ดินปลูกบ้านให้จำเลยแล้วภายหลังกลับใจไม่ยกให้ โดยขอให้จำเลยลงนามในหนังสือตกลงไม่รับส่วนแบ่งที่ดินเช่นนี้ ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยเกิดโทสะพลุ่งพล่านผสมกับความน้อยใจ จึงได้กล่าววาจาประชดประชันโจทก์ที่ 2ซึ่งเป็นมารดาด้วยอารมณ์ได้ หาใช่เจตนาทำให้โจทก์ทั้งสองต้องเสียชื่อเสียงหรือเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองอย่างร้ายแรงอย่างไรไม่ ดั่งจะเห็นจากโจทก์ที่ 2 กับนายพูลตอบคำถามค้านว่าเมื่อโจทก์ที่ 2 จะเดินกลับบ้าน จำเลยยังได้ขับรถจักรยานยนต์อาสาจะรับตัวโจทก์ที่ 2 ไปบ้าน ครั้นหลานคือบุตรจำเลยจะบรรพชาเป็นสามเณรก็ยังมาขอขมาโจทก์ทั้งสองตามภาพถ่ายหมาย ล.1 ล.2 เป็นต้น แสดงว่าจำเลยยังมีความรู้สึกผูกพันกตัญญูต่อโจทก์ทั้งสองในฐานะบิดามารดาหาใช่ตั้งใจจะทอดทิ้งเนรคุณดั่งที่โจทก์ทั้งสองฟ้องและฎีกาไม่และเหตุที่ปรากฏในคดีนี้ยังมีไม่ถึงขนาดที่จะพอฟังได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณอย่างใดอย่างหนึ่งต่อโจทก์ทั้งสองผู้ให้ทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองเคยตกลงจะแบ่งที่ดินปลูกบ้านให้จำเลยแล้วภายหลังกลับใจไม่ยกให้ โดยขอให้จำเลยลงนามในหนังสือตกลงไม่รับส่วนแบ่งที่ดิน ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยเกิดโทสะพลุ่งพล่านผสมกับความน้อยใจจึงได้กล่าววาจาประชดประชันโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาด้วยอารมณ์ได้แม้ถ้อยคำดังกล่าวจะหยาบคายไม่น่าฟัง แต่จำเลยก็หาได้กล่าวดูหมิ่นหมิ่นประมาทว่าโจทก์ทั้งสองคนใดคนหนึ่งเป็นหมาโดยตรงแต่อย่างใดการกระทำของจำเลยจึงหาใช่เจตนาทำให้โจทก์ทั้งสองต้องเสียชื่อเสียงหรือเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองอย่างร้ายแรงอย่างไรไม่จึงไม่อาจถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพูดว่า "เป็นลูกหมา" แต่ในชั้นพิจารณาโจทก์นำสืบว่าจำเลยได้พูดว่าโจทก์ "พูดจากลับกลอก" และ"พูดหมา ๆ" แต่เมื่อได้ความว่าถ้อยคำดังกล่าวเป็นคำพูดต่อเนื่องกับคำพูดของจำเลยที่โจทก์ได้บรรยายไว้ในคำฟ้องแล้ว จึงเป็นเรื่องการนำสืบรายละเอียด ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น โจทก์นำสืบว่าจำเลยได้กล่าวถ้อยคำดังกล่าวได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ทั้งสองขอให้บังคับจำเลยไปโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 2342 คืนให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ไม่เคยกระทำการใดอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณานายคำพัน เขียวชะอุ่ม โจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรมนางบุญธรรม เขียวชะอุ่ม โจทก์ที่ 2 ทายาทของโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยประพฤติเนรคุณ โจทก์ทั้งสองให้จำเลยคืนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 2342 ตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัยจังหวัดสุโขทัย เนื้อที่ 12 ไร่ 88 ตารางวา แก่โจทก์ทั้งสอง หากไม่ไปโอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยา เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2339 ตำบลหาดเสี้ยวอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เอกสารหมาย จ.3 ในนามของโจทก์ที่ 1 ต่อมาโจทก์ทั้งสองแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็นแปลงย่อย ๆและยกให้บุตรโจทก์ 4 คน โดยจำเลยซึ่งเป็นบุตรคนที่ 3 นั้น โจทก์ทั้งสองได้ยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่2342 ตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัยเอกสารหมาย จ.4 และสำเนาหนังสือสัญญาแบ่งให้ที่ดิน เอกสารหมายจ.5 และตกลงจะแบ่งแยกที่ดินปลูกบ้านเนื้อที่ 1 งานเศษ ให้นายสุพร เขียวชอุ่ม จำเลย กับนางถนอม แต่เปลี่ยนใจภายหลังเพราะนายพูล เขียวชอุ่ม ไม่มีบ้านอยู่อาศัยจึงตกลงจะยกที่ดินปลูกบ้านให้เฉพาะนายพูลกับนางถนอม เสริญปัญญา ซึ่งเป็นพี่และน้องจำเลยตามลำดับ จำเลยไม่พอใจเพราะจำเลยต้องการมีส่วนได้ที่ดินด้วยที่โจทก์ทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่โจทก์นำสืบว่า นอกจากจำเลยพูดกับโจทก์ที่ 2 ว่า"เป็นลูกหมา" แล้วยังพูดด้วยว่าโจทก์ที่ 2 "พูดจากลับกลอก" และ"พูดหมา ๆ" ด้วยนั้น เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่าแม้โจทก์ทั้งสองจะนำสืบถ้อยคำที่พูดของจำเลยแตกต่างไปจากคำฟ้องบ้างก็ตาม แต่จากข้อเท็จจริงปรากฏว่าถ้อยคำที่จำเลยพูดว่าโจทก์ที่ 2 "พูดจากลับกลอก" และ "พูดหมา ๆ" นั้น เป็นการกล่าวต่อเนื่องกับถ้อยคำที่จำเลยพูดว่าโจทก์ที่ 2 ตามที่โจทก์ทั้งสองบรรยายในคำฟ้อง กรณีจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์ทั้งสองสามารถนำสืบได้หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองนำสืบนอกฟ้อง นอกประเด็นแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยดังกล่าวไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น
ปัญหาตามฎีกาโจทก์ทั้งสองข้อต่อไปมีว่า จำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ทั้งสองหรือไม่ ได้ความจากโจทก์ที่ 2 ว่า ประมาณปี 2533 จำเลยนำเงินที่ยืมโจทก์ที่ 1 จำนวน 2,500 บาท ส่วนที่เหลือมาชำระแล้วบอกว่า "เจ้ากับเฮาบ่เอากันเลย" ซึ่งหมายถึงว่าเรื่องเงินสิ้นสุดกันเพียงนี้ วันเดียวกันจำเลยใช้ให้บุตรชายนำเงินให้โจทก์ที่ 2 อีก200 บาท โจทก์ที่ 2 จึงฝากให้บอกจำเลยว่าจำเลยไม่ได้เกิดจากท้องหรือจำเลยเป็นลูกทรพี เพราะเข้าใจว่าจำเลยบอกตัดความเป็นบิดามารดาก่อน ต่อมานายพูลบุตรคนโตบอกข่าวว่าจำเลยไม่ประสงค์จะเอาที่นาที่ยกให้ต่อไปแล้วอีกประมาณ 3 วัน โจทก์ที่ 2 จึงให้นายพูลพาไปบอกจำเลยที่บ้านขอให้รับที่ดินไว้ จำเลยพูดว่า"เฮาบ่เอาเฮาบ่เป็นลูกเจ้า" ครั้นโจทก์ที่ 2 ถามว่าจำเลยเป็นลูกใครจำเลยตอบว่าเป็นลูกหมา แล้วพูดว่า "เฮาบ่เอา เจ้าคว่ำมือหงายมือ รักลูกลำเอียง บ่น่านับถือ พูดหมา ๆ" ซึ่งมีความหมายว่าโจทก์ที่ 2 รักบุตรลำเอียง ไม่น่านับถือ โจทก์ที่ 2 ร้องไห้ระหว่างเดินกลับบ้าน จำเลยขับรถจักรยานยนต์อาสาจะไปส่ง แต่โจทก์ที่ 2ไม่ตกลง เดือนเมษายน 2534 จำเลยให้บุตรซึ่งจะบรรพชาเป็นสามเณรมาขอขมาโจทก์ทั้งสอง เห็นว่าแม้นายพูลพยานโจทก์อีกปากจะเบิกความสนับสนุนว่าได้รู้เห็นเหตุการณ์ได้ยินจำเลยพูดดังกล่าวจริง ทั้งโจทก์ที่ 1 กับนางรวย ข้างจะงาม น้องสาวจำเลยจะเบิกความเป็นพยานบอกเล่าว่าได้ยินโจทก์ที่ 1 กลับไปเล่าให้ฟังว่าจำเลยด่าโจทก์ทั้งสองว่าเป็นหมูเป็นหมา พูดกลับกลอกไปมาก็จริง แต่ก็ได้ความจากโจทก์ทั้งสองกับพยานโจทก์ทุกปากดังกล่าวยอมรับว่าเมื่อโจทก์ที่ 2ถามจำเลยว่าเป็นบุตรใครจำเลยบอกว่าเป็นลูกหมูลูกหมาก็ช่างเถอะนั้นจำเลยพูดเพราะเกิดอารมณ์น้อยใจเพราะโจทก์ที่ 2 เปลี่ยนใจไม่แบ่งที่ดินแปลงปลูกบ้านให้จำเลยเท่านั้น และโจทก์ที่ 2 ก็ยังเบิกความยอมรับว่าที่จำเลยพูดว่า "เฮาบ่อเอา เจ้าคว่ำมือหงายมือรักลูกลำเอียง บ่น่านับถือ พูดหมา ๆ" นั้นมีความหมายเพียงว่าโจทก์ที่ 2 รักบุตรลำเอียงไม่น่านับถือ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยจะกล่าววาจาหยาบคายไม่น่าฟังต่อหน้าโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา แต่ก็หาได้กล่าวดูหมิ่น หมิ่นประมาทว่าโจทก์ทั้งสองคนใดคนหนึ่งเป็นหมาโดยตรงเช่นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2531 ที่โจทก์อ้างในฎีกาไม่ ทั้งตามพฤติการณ์ที่โจทก์ทั้งสองเคยตกลงจะแบ่งที่ดินปลูกบ้านให้จำเลยแล้วภายหลังกลับใจไม่ยกให้ โดยขอให้จำเลยลงนามในหนังสือตกลงไม่รับส่วนแบ่งที่ดินเช่นนี้ ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยเกิดโทสะพลุ่งพล่านผสมกับความน้อยใจ จึงได้กล่าววาจาประชดประชันโจทก์ที่ 2ซึ่งเป็นมารดาด้วยอารมณ์ได้ หาใช่เจตนาทำให้โจทก์ทั้งสองต้องเสียชื่อเสียงหรือเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองอย่างร้ายแรงอย่างไรไม่ ดั่งจะเห็นจากโจทก์ที่ 2 กับนายพูลตอบคำถามค้านว่าเมื่อโจทก์ที่ 2 จะเดินกลับบ้าน จำเลยยังได้ขับรถจักรยานยนต์อาสาจะรับตัวโจทก์ที่ 2 ไปบ้าน ครั้นหลานคือบุตรจำเลยจะบรรพชาเป็นสามเณรก็ยังมาขอขมาโจทก์ทั้งสองตามภาพถ่ายหมาย ล.1 ล.2 เป็นต้น แสดงว่าจำเลยยังมีความรู้สึกผูกพันกตัญญูต่อโจทก์ทั้งสองในฐานะบิดามารดาหาใช่ตั้งใจจะทอดทิ้งเนรคุณดั่งที่โจทก์ทั้งสองฟ้องและฎีกาไม่และเหตุที่ปรากฏในคดีนี้ยังมีไม่ถึงขนาดที่จะพอฟังได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณอย่างใดอย่างหนึ่งต่อโจทก์ทั้งสองผู้ให้ทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
ตามคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและระเบียบการเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ข้อ 11 มีข้อความว่า ถ้าบัญชีของผู้ฝากมีเงินไม่พอจ่ายตามเช็ค ธนาคารมีสิทธิปฏิเสธการจ่ายเงิน ทั้งมีสิทธิที่จะปิดบัญชีของผู้ฝาก โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และยินยอมให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คไปก่อนได้ถึงแม้ว่าเงินในบัญชีของผู้ฝากมีไม่พอจ่าย โดยผู้ฝากยอมใช้เงินส่วนที่ธนาคารจ่ายเกินบัญชีนั้นคืนพร้อมทั้งยอมให้คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารเรียกเก็บได้ขณะนั้น นับแต่วันที่ธนาคารได้จ่ายเงินโดยที่เจ้าของบัญชีจะรับทราบหรือไม่ก็ตามข้อ 16 มีใจความว่า ให้ธนาคารมีสิทธิหักหนี้สินใด ๆ ที่ผู้ฝากเป็นหนี้ธนาคารอยู่ และข้อ 17 มีใจความว่า ธนาคารจะจัดส่งรายการเดินสะพัดของบัญชีเงินฝากไปยังผู้ฝาก เมื่อพิจารณาข้อความดังกล่าวเห็นได้ว่าคู่กรณีมีเจตนาที่จะเดินสะพัดบัญชีกัน ดังนั้นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจำเลยขอเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์โดยจำเลยยินยอมปฏิบัติตามประเพณีการค้าและวิธีปฏิบัติของธนาคารพาณิชย์และของโจทก์ เมื่อหักทอนบัญชีในวันที่ 8 สิงหาคม 2528จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน 298,756.99 บาท โจทก์ทวงถามหลายครั้งแต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยโดยไม่ทบต้นนับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2528 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 161,844.42บาท รวมกับต้นเงินเป็นเงิน 460,601.41 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 460,601.41 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี จากต้นเงิน 298,756.99 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดหรือไม่เห็นว่า ตามคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและระเบียบการเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ข้อ 11 มีข้อความว่า ถ้าบัญชีของผู้ฝากมีเงินไม่พอจ่ายตามเช็คธนาคารมีสิทธิปฏิเสธการจ่ายเงิน ทั้งมีสิทธิที่จะปิดบัญชีของผู้ฝากโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และยินยอมให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คไปก่อนได้ถึงแม้ว่าเงินในบัญชีของผู้ฝากมีไม่พอจ่าย โดยผู้ฝากยอมใช้เงินส่วนที่ธนาคารจ่ายเกินบัญชีนั้นคืนพร้อมทั้งยอมให้คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารเรียกเก็บได้ขณะนั้น นับแต่วันที่ธนาคารได้จ่ายเงินโดยที่เจ้าของบัญชีจะรับทราบหรือไม่ก็ตาม ข้อ 16 มีใจความว่าให้ธนาคารมีสิทธิหักหนี้สินใด ๆ ที่ผู้ฝากเป็นหนี้ธนาคารอยู่และข้อ 17 มีใจความว่า ธนาคารจะจัดส่งรายการเดินสะพัดของบัญชีเงินฝากไปยังผู้ฝาก เมื่อพิจารณาข้อความดังกล่าวเห็นได้ว่าโจทก์จำเลยตกลงให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นระหว่างโจทก์จำเลยหักกลบลบกัน และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือทั้งข้อความที่ระบุไว้ในข้อ 17 ก็กล่าวไว้ชัดแจ้งว่า โจทก์จะส่งรายการเดินสะพัดของบัญชีไปให้จำเลยด้วย ทั้งคู่กรณีก็มีเจตนาที่จะเดินสะพัดบัญชีกัน ดังนั้นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 298,756.99 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2528ถึงวันที่ 1 มกราคม 2529 ในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันที่2 มกราคม 2529 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 และในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 จนถึงวันชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องไม่เกิน 161,844.42 บาท แก่โจทก์
ตามคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและระเบียบการเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ข้อ 11 มีข้อความว่า ถ้าบัญชีของผู้ฝากมีเงินไม่พอจ่ายตามเช็ค ธนาคารมีสิทธิปฏิเสธการจ่ายเงิน ทั้งมีสิทธิที่จะปิดบัญชีของผู้ฝาก โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และยินยอมให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คไปก่อนได้ถึงแม้ว่าเงินในบัญชีของผู้ฝากมีไม่พอจ่าย โดยผู้ฝากยอมใช้เงินส่วนที่ธนาคารจ่ายเกินบัญชีนั้นคืนพร้อมทั้งยอมให้คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารเรียกเก็บได้ขณะนั้น นับแต่วันที่ธนาคารได้จ่ายเงินโดยที่เจ้าของบัญชีจะรับทราบหรือไม่ก็ตามข้อ 16 มีใจความว่า ให้ธนาคารมีสิทธิหักหนี้สินใด ๆ ที่ผู้ฝากเป็นหนี้ธนาคารอยู่ และข้อ 17 มีใจความว่า ธนาคารจะจัดส่งรายการเดินสะพัดของบัญชีเงินฝากไปยังผู้ฝาก เมื่อพิจารณาข้อความดังกล่าวเห็นได้ว่าคู่กรณีมีเจตนาที่จะเดินสะพัดบัญชีกัน ดังนั้นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจำเลยขอเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์โดยจำเลยยินยอมปฏิบัติตามประเพณีการค้าและวิธีปฏิบัติของธนาคารพาณิชย์และของโจทก์ เมื่อหักทอนบัญชีในวันที่ 8 สิงหาคม 2528จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน 298,756.99 บาท โจทก์ทวงถามหลายครั้งแต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยโดยไม่ทบต้นนับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2528 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 161,844.42บาท รวมกับต้นเงินเป็นเงิน 460,601.41 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 460,601.41 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี จากต้นเงิน 298,756.99 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดหรือไม่เห็นว่า ตามคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและระเบียบการเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ข้อ 11 มีข้อความว่า ถ้าบัญชีของผู้ฝากมีเงินไม่พอจ่ายตามเช็คธนาคารมีสิทธิปฏิเสธการจ่ายเงิน ทั้งมีสิทธิที่จะปิดบัญชีของผู้ฝากโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และยินยอมให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คไปก่อนได้ถึงแม้ว่าเงินในบัญชีของผู้ฝากมีไม่พอจ่าย โดยผู้ฝากยอมใช้เงินส่วนที่ธนาคารจ่ายเกินบัญชีนั้นคืนพร้อมทั้งยอมให้คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารเรียกเก็บได้ขณะนั้น นับแต่วันที่ธนาคารได้จ่ายเงินโดยที่เจ้าของบัญชีจะรับทราบหรือไม่ก็ตาม ข้อ 16 มีใจความว่าให้ธนาคารมีสิทธิหักหนี้สินใด ๆ ที่ผู้ฝากเป็นหนี้ธนาคารอยู่และข้อ 17 มีใจความว่า ธนาคารจะจัดส่งรายการเดินสะพัดของบัญชีเงินฝากไปยังผู้ฝาก เมื่อพิจารณาข้อความดังกล่าวเห็นได้ว่าโจทก์จำเลยตกลงให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นระหว่างโจทก์จำเลยหักกลบลบกัน และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือทั้งข้อความที่ระบุไว้ในข้อ 17 ก็กล่าวไว้ชัดแจ้งว่า โจทก์จะส่งรายการเดินสะพัดของบัญชีไปให้จำเลยด้วย ทั้งคู่กรณีก็มีเจตนาที่จะเดินสะพัดบัญชีกัน ดังนั้นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 298,756.99 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2528ถึงวันที่ 1 มกราคม 2529 ในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันที่2 มกราคม 2529 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 และในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 จนถึงวันชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องไม่เกิน 161,844.42 บาท แก่โจทก์
ตามคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและระเบียบการเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ข้อ 11 มีข้อความว่า ถ้าบัญชีของผู้ฝากมีเงินไม่พอจ่ายตามเช็ค ธนาคารมีสิทธิปฏิเสธการจ่ายเงิน ทั้งมีสิทธิที่จะปิดบัญชีของผู้ฝาก โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และยินยอมให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คไปก่อนได้ถึงแม้ว่าเงินในบัญชีของผู้ฝากมีไม่พอจ่าย โดยผู้ฝากยอมใช้เงินส่วนที่ธนาคารจ่ายเกินบัญชีนั้นคืนพร้อมทั้งยอมให้คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารเรียกเก็บได้ขณะนั้น นับแต่วันที่ธนาคารได้จ่ายเงินโดยที่เจ้าของบัญชีจะรับทราบหรือไม่ก็ตาม ข้อ 16 มีใจความว่า ให้ธนาคารมีสิทธิหักหนี้สินใด ๆที่ผู้ฝากเป็นหนี้ธนาคารอยู่ และข้อ 17 มีใจความว่า ธนาคารจะจัดส่งรายการเดินสะพัดของบัญชีเงินฝากไปยังผู้ฝาก เมื่อพิจารณาข้อความดังกล่าวเห็นได้ว่าคู่กรณีมีเจตนาที่จะเดินสะพัดบัญชีกัน ดังนั้นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 856
ตามคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและระเบียบการเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ข้อ 11 มีข้อความว่า ถ้าบัญชีของผู้ฝากมีเงินไม่พอจ่ายตามเช็ค ธนาคารมีสิทธิปฏิเสธการจ่ายเงิน ทั้งมีสิทธิที่จะปิดบัญชีของผู้ฝาก โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และยินยอมให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คไปก่อนได้ถึงแม้ว่าเงินในบัญชีของผู้ฝากมีไม่พอจ่าย โดยผู้ฝากยอมใช้เงินส่วนที่ธนาคารจ่ายเกินบัญชีนั้นคืนพร้อมทั้งยอมให้คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารเรียกเก็บได้ขณะนั้น นับแต่วันที่ธนาคารได้จ่ายเงินโดยที่เจ้าของบัญชีจะรับทราบหรือไม่ก็ตาม ข้อ 16 มีใจความว่า ให้ธนาคารมีสิทธิหักหนี้สินใด ๆที่ผู้ฝากเป็นหนี้ธนาคารอยู่ และข้อ 17 มีใจความว่า ธนาคารจะจัดส่งรายการเดินสะพัดของบัญชีเงินฝากไปยังผู้ฝาก เมื่อพิจารณาข้อความดังกล่าวเห็นได้ว่าคู่กรณีมีเจตนาที่จะเดินสะพัดบัญชีกัน ดังนั้นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 856
จำเลยทั้งสองได้ให้การไว้แล้วว่า ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จึงไม่มีหนี้ซึ่งจะต้องชำระให้แก่โจทก์ ทั้งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 2 รับของไปจากโจทก์เพื่อทดลองใช้ดูก่อนหากเป็นที่พอใจจะได้ตกลงทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันในภายหลังจึงเป็นการนำสืบและวินิจฉัยในประเด็นโดยตรงว่า จำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่นั่นเอง กรณีหาใช่การรับฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็นไม่
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม 2529จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้แทนและฐานะส่วนตัวได้ซื้อเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องไดร์ฟและอุปกรณ์จากโจทก์รวม 4 รายการ เป็นเงิน 796,110 บาท ตกลงผ่อนชำระราคาเป็นเวลา 36 เดือนแต่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ผ่อนชำระราคาให้ตามสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและรับสินค้าคืนทั้งหมดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2529 ทำให้โจทก์เสียหายโดยคิดเป็นเงินทั้งสิ้น 199,624 บาท จำเลยทั้งสองต้องชำระให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์รับสินค้าดังกล่าวคืนไปถึงวันฟ้องเป็นเงิน 36,222.87 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน235,846.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของ 199,624 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่ใช่คู่สัญญากับโจทก์และไม่มีนิติสัมพันธ์ใดต่อกัน โจทก์ไม่เสียหายตามฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ 2 รับของไปจากโจทก์เพื่อทดลองใช้ก่อนหากเป็นที่พอใจจะได้ตกลงทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันในภายหลังการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 2 รับของไปจากโจทก์เพื่อทดลองใช้ดูก่อนจึงเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็นไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเห็นว่า จำเลยทั้งสองได้ให้การไว้แล้วว่า ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จึงไม่มีหนี้ซึ่งจะต้องชำระให้แก่โจทก์ ทั้งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 2 รับของไปจากโจทก์เพื่อทดลองใช้ดูก่อนหากเป็นที่พอใจจะได้ตกลงทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันในภายหลัง จึงเป็นการนำสืบและวินิจฉัยในประเด็นโดยตรงว่าจำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่นั่นเองกรณีหาใช่การรับฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็นดังฎีกาโจทก์ไม่
โจทก์ฎีกาในประการต่อมาว่า ใบส่งของหรือใบแจ้งหนี้ตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ถึง 6เป็นพยานเอกสารมีน้ำหนักมั่นคงยิ่งกว่าพยานบุคคล เมื่ออ่านข้อความโดยตลอดแล้วเห็นได้ว่าเป็นการรับของไว้เนื่องจากการซื้อขายโดยวิธีผ่อนชำระราคา ไม่มีข้อความตอนหนึ่งตอนใดที่แสดงว่า โจทก์มอบของให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้จำเลยที่ 2ทดลองใช้ พยานหลักฐานของโจทก์จึงฟังได้ตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าคดีมีเหตุผลให้เชื่อได้ดังจำเลยทั้งสองนำสืบว่าเป็นการรับเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้เพื่อทดลองประสิทธิภาพเท่านั้น จำเลยทั้งสองมิได้สั่งซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์จากโจทก์ดังฟ้อง เมื่อเป็นเช่นนี้กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยถึงประเด็นค่าเสียหายตามฎีกาของโจทก์อีกต่อไป
พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองได้ให้การไว้แล้วว่า ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จึงไม่มีหนี้ซึ่งจะต้องชำระให้แก่โจทก์ ทั้งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 2 รับของไปจากโจทก์เพื่อทดลองใช้ดูก่อนหากเป็นที่พอใจจะได้ตกลงทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันในภายหลังจึงเป็นการนำสืบและวินิจฉัยในประเด็นโดยตรงว่า จำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่นั่นเอง กรณีหาใช่การรับฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็นไม่
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม 2529จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้แทนและฐานะส่วนตัวได้ซื้อเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องไดร์ฟและอุปกรณ์จากโจทก์รวม 4 รายการ เป็นเงิน 796,110 บาท ตกลงผ่อนชำระราคาเป็นเวลา 36 เดือนแต่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ผ่อนชำระราคาให้ตามสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและรับสินค้าคืนทั้งหมดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2529 ทำให้โจทก์เสียหายโดยคิดเป็นเงินทั้งสิ้น 199,624 บาท จำเลยทั้งสองต้องชำระให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์รับสินค้าดังกล่าวคืนไปถึงวันฟ้องเป็นเงิน 36,222.87 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน235,846.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของ 199,624 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่ใช่คู่สัญญากับโจทก์และไม่มีนิติสัมพันธ์ใดต่อกัน โจทก์ไม่เสียหายตามฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ 2 รับของไปจากโจทก์เพื่อทดลองใช้ก่อนหากเป็นที่พอใจจะได้ตกลงทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันในภายหลังการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 2 รับของไปจากโจทก์เพื่อทดลองใช้ดูก่อนจึงเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็นไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเห็นว่า จำเลยทั้งสองได้ให้การไว้แล้วว่า ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จึงไม่มีหนี้ซึ่งจะต้องชำระให้แก่โจทก์ ทั้งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 2 รับของไปจากโจทก์เพื่อทดลองใช้ดูก่อนหากเป็นที่พอใจจะได้ตกลงทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันในภายหลัง จึงเป็นการนำสืบและวินิจฉัยในประเด็นโดยตรงว่าจำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่นั่นเองกรณีหาใช่การรับฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็นดังฎีกาโจทก์ไม่
โจทก์ฎีกาในประการต่อมาว่า ใบส่งของหรือใบแจ้งหนี้ตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ถึง 6เป็นพยานเอกสารมีน้ำหนักมั่นคงยิ่งกว่าพยานบุคคล เมื่ออ่านข้อความโดยตลอดแล้วเห็นได้ว่าเป็นการรับของไว้เนื่องจากการซื้อขายโดยวิธีผ่อนชำระราคา ไม่มีข้อความตอนหนึ่งตอนใดที่แสดงว่า โจทก์มอบของให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้จำเลยที่ 2ทดลองใช้ พยานหลักฐานของโจทก์จึงฟังได้ตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าคดีมีเหตุผลให้เชื่อได้ดังจำเลยทั้งสองนำสืบว่าเป็นการรับเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้เพื่อทดลองประสิทธิภาพเท่านั้น จำเลยทั้งสองมิได้สั่งซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์จากโจทก์ดังฟ้อง เมื่อเป็นเช่นนี้กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยถึงประเด็นค่าเสียหายตามฎีกาของโจทก์อีกต่อไป
พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองได้ให้การไว้แล้วว่า ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จึงไม่มีหนี้ซึ่งจะต้องชำระให้แก่โจทก์ ทั้งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 2 รับของไปจากโจทก์เพื่อทดลองใช้ดูก่อน หากเป็นที่พอใจจะได้ตกลงทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันในภายหลัง จึงเป็นการนำสืบและวินิจฉัยในประเด็นโดยตรงว่า จำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่นั่นเอง กรณีหาใช่การรับฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็นไม่
จำเลยทั้งสองได้ให้การไว้แล้วว่า ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จึงไม่มีหนี้ซึ่งจะต้องชำระให้แก่โจทก์ ทั้งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 2 รับของไปจากโจทก์เพื่อทดลองใช้ดูก่อน หากเป็นที่พอใจจะได้ตกลงทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันในภายหลัง จึงเป็นการนำสืบและวินิจฉัยในประเด็นโดยตรงว่า จำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่นั่นเอง กรณีหาใช่การรับฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็นไม่
หนังสือพิมพ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ได้ลงพิมพ์ข้อความที่จำเลยที่ 3 เขียนคอลัมน์สรุปได้ความว่าซ่าส์มากกว่าแค้น ที่ตั้งรัฐสภาทั่วบริเวณถือว่าเป็นเขตพระราชฐาน ผู้ใดจะพกอาวุธไม่ได้ โจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ดื่มสุราจนเกือบครองสติไม่อยู่ใช้ฝ่ามือตบหน้าช.วุฒิสมาชิก3ฉาดในข้อหาฐานใช้ปากไม่สบอารมณ์ในการประชุมวุฒิสภาสมัยก่อน ในวันนั้นพิจารณากฎหมายเลือกตั้ง ช. ได้พูดจาประหนึ่งว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นไม่มีความรู้ความสามารถอะไรอย่างดีก็แค่หมาน้อยเห่าเครื่องบิน เมื่อคดีฟังได้ว่าโจทก์ได้ตบหน้าช. จริงโดยได้กระทำในเขตพระราชฐานและโจทก์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถือได้ว่าเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยไม่น่าจะก่อเหตุเช่นนั้น การที่จำเลยที่ 3 เขียนข้อความลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ดังกล่าว จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันใช้เงินจำนวน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์ จำเลยที่ 1เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ดาวสยาม จำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา จำเลยที่ 3 เป็นผู้เขียนคอลัมน์ "ลูกเล่นลูกจริง"ใช้นามปากกาว่า "วัลลี วัลภา" ในหนังสือพิมพ์ดาวสยามเมื่อวันที่24 กรกฎาคม 2530 หนังสือพิมพ์ดาวสยามได้ลงพิมพ์ข้อความที่จำเลยที่ 3 เขียนใช้นามปากกาว่า "วัลลี วัลภา" สรุปได้ความว่าซ่าส์มากกว่าแค้นที่ตั้งรัฐสภาทั่วบริเวณถือว่าเป็นเขตพระราชฐานผู้ใดจะพกอาวุธไม่ได้ กรณีของโจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์จังหวัดเพชรบูรณ์ สังกัดพรรครวมไทยดื่มสุราจนเกือบครองสติไม่อยู่ใช้ฝ่ามือตบหน้านายชวลิต รุ่งแสง วุฒิสมาชิก 3 ฉาดในข้อหาฐานใช้ปากไม่สบอารมณ์ในการประชุมวุฒิสภาสมัยก่อน ในวันนั้นพิจารณากฎหมายเลือกตั้ง นายชวลิตได้พูดจาประหนึ่งว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นไม่มีความรู้ความสามารถอะไร อย่างดีก็แค่หมาน้อยเห่าเครื่องบิน และข้อความอื่นตามเอกสารหมาย จ.2 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า ข้อความที่จำเลยที่ 3 เขียนลงพิมพ์ในเอกสารหมาย จ.2 เป็นละเมิดซึ่งจำเลยทั้งสามจะต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ ปัญหานี้โจทก์เบิกความว่า วันเกิดเหตุโจทก์ไม่ได้เมาสุราแล้วตบหน้านายชวลิต โจทก์เพียงแต่เข้าไปทักทายนายชวลิตด้วยเสียงดังทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอื่นในบริเวณนั้นไม่เข้าใจ คิดว่าเป็นการทะเลาะวิวาทกันและเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยที่ 1 ว่าโจทก์เดินเข้าไปตบไหล่นายชวลิตเพียงครั้งเดียวเป็นการทักทายโดยตบไม่แรงมาก เห็นว่า หากเป็นจริงดังที่โจทก์เบิกความแล้วก็ย่อมไม่มีเหตุที่เลขาธิการรัฐสภาต้องเรียกนายประหยัด ธนูมาศผู้จัดการสโมสรรัฐสภาไปสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสโมสรรัฐสภาในวันนั้นซึ่งนายประหยัดก็ได้ทำบันทึกรายงานให้เลขาธิการรัฐสภาทราบว่าโจทก์ได้ตบหน้านายชวลิตตามเอกสารหมาย ล.4 และได้ความจากคำเบิกความของนายชวน หลีกภัย ซึ่งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นว่า หนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงข่าวว่า เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม2530 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตบสั่งสอนวุฒิสมาชิก ซึ่งคู่กรณีคือโจทก์กับนายชวลิต รุ่งแสง และต่อมาก็มีรายงานเอกสารหมาย ล.4มาให้รับทราบ จึงเห็นได้ว่าน่าจะมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอนแม้นายชวลิตพยานโจทก์จะเบิกความว่าโจทก์ไม่ได้ตบหน้าตนเพียงแต่โจทก์พูดเสียงดังเท่านั้น แต่ก็รับว่าวันเกิดเหตุโจทก์ดื่มสุรามาบ้างเล็กน้อย เห็นว่าคำเบิกความของนายชวลิตขาดเหตุผล กล่าวคือ หากโจทก์ไม่ได้ล่วงเกินนายชวลิตดังที่นายชวลิตเบิกความแล้วโจทก์ก็ไม่น่าจะต้องพูดกับนายชวลิตเมื่อพบกันหลังจากนั้นว่า "เราไม่มีอะไรกันนะ" การที่โจทก์กล่าวถ้อยคำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความกังวลในการกระทำของตน และโจทก์เบิกความรับว่าโจทก์ได้ตบไหล่นายชวลิตแต่ไม่แรงมาก ส่วนนายชวลิตไม่ได้เบิกความถึงเรื่องดังกล่าวเลย แสดงว่านายชวลิตปกปิดข้อเท็จจริงทำให้คำเบิกความไม่น่าเชื่อ เมื่อพิจารณาข้อนำสืบของฝ่ายจำเลยแล้วได้ความว่า เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2530 ขณะที่จำเลยที่ 3นั่งรับประทานอาหารที่สโมสรรัฐสภาร่วมโต๊ะเดียวกันกับพันเอกณรงค์กิตติขจร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนายวิเชียร แก้วเปล่ง ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ได้ยินเสียงโจทก์ซึ่งนั่งอยู่ถัดไปอีก 5 โต๊ะ พูดจาก้าวร้าวเสียงดังมีลักษณะอาการคล้ายคนเมาสุรา และหลังจากนั้นโจทก์ได้ลุกเดินไปยังโต๊ะที่นายชวลิตนั่งพร้อมกับพูดต่อว่านายชวลิตด้วยเสียงดังว่า"มึงแน่นักหรือที่ด่า ส.ส. ว่าเป็นหมาเห่าเครื่องบิน" พร้อมกับใช้มือขวาตบหน้านายชวลิต 3 ครั้ง แล้วโจทก์เดินเข้าห้องน้ำไป ในวันต่อมาหนังสือพิมพ์ทุกฉบับได้ลงข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่นหนังสือพิมพ์บ้านเมืองลงข่าวตามเอกสารหมาย ล.1 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข่าวตามเอกสารหมาย ล.2 ซึ่งโจทก์ก็เบิกความรับว่าหนังสือพิมพ์บ้านเมืองและหนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ลงข่าวว่าโจทก์ตบหน้านายชวลิตจริงและรับว่าโจทก์เคยดื่มสุราจนกระทั่งครองสติไม่อยู่ และบางครั้งเมื่อเมาสุราแล้วทำอะไรไปโดยขาดสติก็มีบ้างเห็นว่า พยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยน่าเชื่อกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ฟังได้ว่าโจทก์ได้ตบหน้านายชวลิตจริง พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวได้กระทำในเขตพระราชฐาน และโจทก์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถือได้ว่าเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยไม่น่าจะก่อเหตุเช่นนั้นขึ้นการที่จำเลยที่ 3 เขียนข้อความลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ดาวสยามตามเอกสารหมาย จ.2 นั้น เห็นว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
หนังสือพิมพ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ได้ลงพิมพ์ข้อความที่จำเลยที่ 3 เขียนคอลัมน์สรุปได้ความว่าซ่าส์มากกว่าแค้น ที่ตั้งรัฐสภาทั่วบริเวณถือว่าเป็นเขตพระราชฐาน ผู้ใดจะพกอาวุธไม่ได้ โจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ดื่มสุราจนเกือบครองสติไม่อยู่ใช้ฝ่ามือตบหน้าช.วุฒิสมาชิก3ฉาดในข้อหาฐานใช้ปากไม่สบอารมณ์ในการประชุมวุฒิสภาสมัยก่อน ในวันนั้นพิจารณากฎหมายเลือกตั้ง ช. ได้พูดจาประหนึ่งว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นไม่มีความรู้ความสามารถอะไรอย่างดีก็แค่หมาน้อยเห่าเครื่องบิน เมื่อคดีฟังได้ว่าโจทก์ได้ตบหน้าช. จริงโดยได้กระทำในเขตพระราชฐานและโจทก์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถือได้ว่าเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยไม่น่าจะก่อเหตุเช่นนั้น การที่จำเลยที่ 3 เขียนข้อความลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ดังกล่าว จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันใช้เงินจำนวน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์ จำเลยที่ 1เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ดาวสยาม จำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา จำเลยที่ 3 เป็นผู้เขียนคอลัมน์ "ลูกเล่นลูกจริง"ใช้นามปากกาว่า "วัลลี วัลภา" ในหนังสือพิมพ์ดาวสยามเมื่อวันที่24 กรกฎาคม 2530 หนังสือพิมพ์ดาวสยามได้ลงพิมพ์ข้อความที่จำเลยที่ 3 เขียนใช้นามปากกาว่า "วัลลี วัลภา" สรุปได้ความว่าซ่าส์มากกว่าแค้นที่ตั้งรัฐสภาทั่วบริเวณถือว่าเป็นเขตพระราชฐานผู้ใดจะพกอาวุธไม่ได้ กรณีของโจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์จังหวัดเพชรบูรณ์ สังกัดพรรครวมไทยดื่มสุราจนเกือบครองสติไม่อยู่ใช้ฝ่ามือตบหน้านายชวลิต รุ่งแสง วุฒิสมาชิก 3 ฉาดในข้อหาฐานใช้ปากไม่สบอารมณ์ในการประชุมวุฒิสภาสมัยก่อน ในวันนั้นพิจารณากฎหมายเลือกตั้ง นายชวลิตได้พูดจาประหนึ่งว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นไม่มีความรู้ความสามารถอะไร อย่างดีก็แค่หมาน้อยเห่าเครื่องบิน และข้อความอื่นตามเอกสารหมาย จ.2 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า ข้อความที่จำเลยที่ 3 เขียนลงพิมพ์ในเอกสารหมาย จ.2 เป็นละเมิดซึ่งจำเลยทั้งสามจะต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ ปัญหานี้โจทก์เบิกความว่า วันเกิดเหตุโจทก์ไม่ได้เมาสุราแล้วตบหน้านายชวลิต โจทก์เพียงแต่เข้าไปทักทายนายชวลิตด้วยเสียงดังทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอื่นในบริเวณนั้นไม่เข้าใจ คิดว่าเป็นการทะเลาะวิวาทกันและเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยที่ 1 ว่าโจทก์เดินเข้าไปตบไหล่นายชวลิตเพียงครั้งเดียวเป็นการทักทายโดยตบไม่แรงมาก เห็นว่า หากเป็นจริงดังที่โจทก์เบิกความแล้วก็ย่อมไม่มีเหตุที่เลขาธิการรัฐสภาต้องเรียกนายประหยัด ธนูมาศผู้จัดการสโมสรรัฐสภาไปสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสโมสรรัฐสภาในวันนั้นซึ่งนายประหยัดก็ได้ทำบันทึกรายงานให้เลขาธิการรัฐสภาทราบว่าโจทก์ได้ตบหน้านายชวลิตตามเอกสารหมาย ล.4 และได้ความจากคำเบิกความของนายชวน หลีกภัย ซึ่งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นว่า หนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงข่าวว่า เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม2530 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตบสั่งสอนวุฒิสมาชิก ซึ่งคู่กรณีคือโจทก์กับนายชวลิต รุ่งแสง และต่อมาก็มีรายงานเอกสารหมาย ล.4มาให้รับทราบ จึงเห็นได้ว่าน่าจะมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอนแม้นายชวลิตพยานโจทก์จะเบิกความว่าโจทก์ไม่ได้ตบหน้าตนเพียงแต่โจทก์พูดเสียงดังเท่านั้น แต่ก็รับว่าวันเกิดเหตุโจทก์ดื่มสุรามาบ้างเล็กน้อย เห็นว่าคำเบิกความของนายชวลิตขาดเหตุผล กล่าวคือ หากโจทก์ไม่ได้ล่วงเกินนายชวลิตดังที่นายชวลิตเบิกความแล้วโจทก์ก็ไม่น่าจะต้องพูดกับนายชวลิตเมื่อพบกันหลังจากนั้นว่า "เราไม่มีอะไรกันนะ" การที่โจทก์กล่าวถ้อยคำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความกังวลในการกระทำของตน และโจทก์เบิกความรับว่าโจทก์ได้ตบไหล่นายชวลิตแต่ไม่แรงมาก ส่วนนายชวลิตไม่ได้เบิกความถึงเรื่องดังกล่าวเลย แสดงว่านายชวลิตปกปิดข้อเท็จจริงทำให้คำเบิกความไม่น่าเชื่อ เมื่อพิจารณาข้อนำสืบของฝ่ายจำเลยแล้วได้ความว่า เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2530 ขณะที่จำเลยที่ 3นั่งรับประทานอาหารที่สโมสรรัฐสภาร่วมโต๊ะเดียวกันกับพันเอกณรงค์กิตติขจร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนายวิเชียร แก้วเปล่ง ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ได้ยินเสียงโจทก์ซึ่งนั่งอยู่ถัดไปอีก 5 โต๊ะ พูดจาก้าวร้าวเสียงดังมีลักษณะอาการคล้ายคนเมาสุรา และหลังจากนั้นโจทก์ได้ลุกเดินไปยังโต๊ะที่นายชวลิตนั่งพร้อมกับพูดต่อว่านายชวลิตด้วยเสียงดังว่า"มึงแน่นักหรือที่ด่า ส.ส. ว่าเป็นหมาเห่าเครื่องบิน" พร้อมกับใช้มือขวาตบหน้านายชวลิต 3 ครั้ง แล้วโจทก์เดินเข้าห้องน้ำไป ในวันต่อมาหนังสือพิมพ์ทุกฉบับได้ลงข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่นหนังสือพิมพ์บ้านเมืองลงข่าวตามเอกสารหมาย ล.1 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข่าวตามเอกสารหมาย ล.2 ซึ่งโจทก์ก็เบิกความรับว่าหนังสือพิมพ์บ้านเมืองและหนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ลงข่าวว่าโจทก์ตบหน้านายชวลิตจริงและรับว่าโจทก์เคยดื่มสุราจนกระทั่งครองสติไม่อยู่ และบางครั้งเมื่อเมาสุราแล้วทำอะไรไปโดยขาดสติก็มีบ้างเห็นว่า พยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยน่าเชื่อกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ฟังได้ว่าโจทก์ได้ตบหน้านายชวลิตจริง พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวได้กระทำในเขตพระราชฐาน และโจทก์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถือได้ว่าเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยไม่น่าจะก่อเหตุเช่นนั้นขึ้นการที่จำเลยที่ 3 เขียนข้อความลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ดาวสยามตามเอกสารหมาย จ.2 นั้น เห็นว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ฐานปล้นทรัพย์แต่โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า จำเลยได้ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมจนได้รับอันตรายแก่กายซึ่งความผิดฐานปล้นทรัพย์คือการชิงทรัพย์โดยการใช้กำลังประทุษร้ายรวมอยู่ด้วย ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี, 371, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 2, 72, 72 ทวิ คืนของกลางแก่ผู้เสียหายและให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน68,515 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสมจิตต์ ผลพรวิทูร ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม, 8 ทวิวรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 340 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี, 371 จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 340 วรรคสอง, 371 ลงโทษจำเลยที่ 1ฐานปล้นทรัพย์จำคุก 22 ปี 6 เดือน ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือนฐานพาอาวุธปืนจำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 22 ปี 20 เดือน ลงโทษจำเลยที่ 4 ฐานปล้นทรัพย์จำคุก 15 ปี ฐานพาอาวุธมีดปรับ 100 บาทรวมจำคุก 15 ปี และปรับ 100 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คืนของกลางให้แก่ผู้เสียหายให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน68,515 บาท แก่ผู้เสียหาย ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 5
จำเลยที่ 1 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 4เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง โจทก์ร่วมถูกคนร้ายหลายคนร่วมกันทำร้ายได้รับบาดเจ็บปรากฏรายละเอียดตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังมีข้อน่าสงสัย รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันพวกปล้นทรัพย์โจทก์ร่วมโดยมีและพาอาวุธปืนมีดติดตัวมา แต่เมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ว่าโจทก์ร่วมถูกกระชากคอเสื้อ เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจำเลยที่ 1 ขู่ว่าอย่าสู้ แล้วจำเลยที่ 4 กับคนร้ายอีกคนหนึ่งได้เข้ามาเตะต่อยโจทก์ร่วมประกอบข้อนำสืบของจำเลยที่ 1 ที่อ้างว่าก่อนวันเกิดเหตุ 1 วัน โจทก์ร่วมพาพวกไปชกต่อยจำเลยที่ 1 ที่กระทรวงการต่างประเทศแล้ว มีเหตุผลเชื่อได้ว่าที่จำเลยที่ 1 และที่ 4 ไปที่ห้องพักของโจทก์ร่วมในวันเกิดเหตุเพื่อทำร้ายโจทก์ร่วมเป็นการแก้แค้นเท่านั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้ร่วมกับทำร้ายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ฐานปล้นทรัพย์แต่โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า จำเลยได้ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมจนได้รับอันตรายแก่กายซึ่งความผิดฐานปล้นทรัพย์คือการชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายรวมอยู่ด้วยศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 2 เดือนและปรับคนละ 4,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน ควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กับให้คุมความประพฤติจำเลยที่ 1 และที่ 4 ไว้คนละ 1 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุกสามเดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ฐานปล้นทรัพย์แต่โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า จำเลยได้ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมจนได้รับอันตรายแก่กายซึ่งความผิดฐานปล้นทรัพย์คือการชิงทรัพย์โดยการใช้กำลังประทุษร้ายรวมอยู่ด้วย ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี, 371, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 2, 72, 72 ทวิ คืนของกลางแก่ผู้เสียหายและให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน68,515 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสมจิตต์ ผลพรวิทูร ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม, 8 ทวิวรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 340 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี, 371 จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 340 วรรคสอง, 371 ลงโทษจำเลยที่ 1ฐานปล้นทรัพย์จำคุก 22 ปี 6 เดือน ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือนฐานพาอาวุธปืนจำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 22 ปี 20 เดือน ลงโทษจำเลยที่ 4 ฐานปล้นทรัพย์จำคุก 15 ปี ฐานพาอาวุธมีดปรับ 100 บาทรวมจำคุก 15 ปี และปรับ 100 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คืนของกลางให้แก่ผู้เสียหายให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน68,515 บาท แก่ผู้เสียหาย ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 5
จำเลยที่ 1 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 4เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง โจทก์ร่วมถูกคนร้ายหลายคนร่วมกันทำร้ายได้รับบาดเจ็บปรากฏรายละเอียดตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังมีข้อน่าสงสัย รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันพวกปล้นทรัพย์โจทก์ร่วมโดยมีและพาอาวุธปืนมีดติดตัวมา แต่เมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ว่าโจทก์ร่วมถูกกระชากคอเสื้อ เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจำเลยที่ 1 ขู่ว่าอย่าสู้ แล้วจำเลยที่ 4 กับคนร้ายอีกคนหนึ่งได้เข้ามาเตะต่อยโจทก์ร่วมประกอบข้อนำสืบของจำเลยที่ 1 ที่อ้างว่าก่อนวันเกิดเหตุ 1 วัน โจทก์ร่วมพาพวกไปชกต่อยจำเลยที่ 1 ที่กระทรวงการต่างประเทศแล้ว มีเหตุผลเชื่อได้ว่าที่จำเลยที่ 1 และที่ 4 ไปที่ห้องพักของโจทก์ร่วมในวันเกิดเหตุเพื่อทำร้ายโจทก์ร่วมเป็นการแก้แค้นเท่านั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้ร่วมกับทำร้ายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ฐานปล้นทรัพย์แต่โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า จำเลยได้ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมจนได้รับอันตรายแก่กายซึ่งความผิดฐานปล้นทรัพย์คือการชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายรวมอยู่ด้วยศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 2 เดือนและปรับคนละ 4,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน ควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กับให้คุมความประพฤติจำเลยที่ 1 และที่ 4 ไว้คนละ 1 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุกสามเดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|