คดีนี้เอกชนยื่นฟ้องนายอำเภอหาดใหญ่ ที่ ๑ เทศบาลนครหาดใหญ่ ที่ ๒ จำเลย ว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองก่อสร้างถนนสาธารณประโยชน์และขุดคูระบายน้ำรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนถนนสาธารณประโยชน์และขุดคูระบายน้ำออกจากที่ดินของโจทก์ และปรับสภาพพื้นดินให้อยู่ในสภาพใช้การได้ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เห็นว่า เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้เอกชนยื่นฟ้องนายอำเภอหาดใหญ่ ที่ ๑ เทศบาลนครหาดใหญ่ ที่ ๒ จำเลย ว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองก่อสร้างถนนสาธารณประโยชน์และขุดคูระบายน้ำรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนถนนสาธารณประโยชน์และขุดคูระบายน้ำออกจากที่ดินของโจทก์ และปรับสภาพพื้นดินให้อยู่ในสภาพใช้การได้ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เห็นว่า เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่ง ในเรื่องดังต่อไปนี้ (๓) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร คดีนี้ สมาคมกีฬายิงปืนแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โจทก์ ยื่นฟ้องอดีตนายกสมาคมกีฬายิงปืนแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นจำเลย อ้างว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์กรณีกระทำการในลักษณะที่ทำให้บุคคลอื่นและองค์กรอื่นเข้าใจผิดว่าจำเลยยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมโจทก์และยังเข้าควบคุมขัดขวางการบริหารงานของคณะกรรมการบริหารของสมาคมโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ส่วนจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยยังมีสถานะเป็นนายกสมาคมโจทก์ เพราะการลาออกของจำเลยยังไม่มีผลทางกฎหมาย เห็นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสมาคมที่มิได้มีสถานะเป็น กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ อันจะถือเป็นหน่วยงานทางปกครองตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่การที่โจทก์ได้รับอนุญาตจากการกีฬาแห่งประเทศไทย ให้เป็นสมาคมกีฬาที่ใช้คำว่า "แห่งประเทศไทย" ตามมาตรา ๔๙ และมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยมาตรา ๖๘ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติ ให้สมาคมโจทก์ดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกีฬา ส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันกีฬา หรือจัดหรือร่วมในการจัดให้มีการแข่งขันกีฬาโดยแสดงว่าเป็นการส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน หรือจัดหรือร่วมในการจัดให้มีการแข่งขันกีฬาในนามของชาติหรือประเทศไทย อันเป็นการดำเนินบริการสาธารณะ โจทก์จึงอาจเป็นหน่วยงานทางปกครองประเภทหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครอง ซึ่งถือเป็นประเภทหนึ่งของหน่วยงานทางปกครอง และจะมีผลให้กรรมการของโจทก์เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ได้ หากโจทก์หรือกรรมการของโจทก์ได้ใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครองตามที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้น เมื่อการกระทำของจำเลยตามฟ้องที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำการในลักษณะที่ทำให้บุคคลอื่นและองค์กรอื่นเข้าใจผิดว่าจำเลยยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมโจทก์และยังเข้าควบคุมขัดขวางการบริหารงานของคณะกรรมการบริหารของสมาคมโจทก์ มิใช่การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครอง อันจะถือว่าโจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครองและจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่ข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนและไม่มีประเด็นเกี่ยวกับการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครองของสมาคมโจทก์ตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐ แต่เป็นข้อพิพาทที่เกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการบริหารงานภายในของสมาคมโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลเอกชน จึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาททางแพ่ง ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่ง ในเรื่องดังต่อไปนี้ (๓) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร คดีนี้ สมาคมกีฬายิงปืนแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โจทก์ ยื่นฟ้องอดีตนายกสมาคมกีฬายิงปืนแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นจำเลย อ้างว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์กรณีกระทำการในลักษณะที่ทำให้บุคคลอื่นและองค์กรอื่นเข้าใจผิดว่าจำเลยยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมโจทก์และยังเข้าควบคุมขัดขวางการบริหารงานของคณะกรรมการบริหารของสมาคมโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ส่วนจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยยังมีสถานะเป็นนายกสมาคมโจทก์ เพราะการลาออกของจำเลยยังไม่มีผลทางกฎหมาย เห็นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสมาคมที่มิได้มีสถานะเป็น กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ อันจะถือเป็นหน่วยงานทางปกครองตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่การที่โจทก์ได้รับอนุญาตจากการกีฬาแห่งประเทศไทย ให้เป็นสมาคมกีฬาที่ใช้คำว่า "แห่งประเทศไทย" ตามมาตรา ๔๙ และมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยมาตรา ๖๘ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติ ให้สมาคมโจทก์ดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกีฬา ส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันกีฬา หรือจัดหรือร่วมในการจัดให้มีการแข่งขันกีฬาโดยแสดงว่าเป็นการส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน หรือจัดหรือร่วมในการจัดให้มีการแข่งขันกีฬาในนามของชาติหรือประเทศไทย อันเป็นการดำเนินบริการสาธารณะ โจทก์จึงอาจเป็นหน่วยงานทางปกครองประเภทหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครอง ซึ่งถือเป็นประเภทหนึ่งของหน่วยงานทางปกครอง และจะมีผลให้กรรมการของโจทก์เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ได้ หากโจทก์หรือกรรมการของโจทก์ได้ใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครองตามที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้น เมื่อการกระทำของจำเลยตามฟ้องที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำการในลักษณะที่ทำให้บุคคลอื่นและองค์กรอื่นเข้าใจผิดว่าจำเลยยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมโจทก์และยังเข้าควบคุมขัดขวางการบริหารงานของคณะกรรมการบริหารของสมาคมโจทก์ มิใช่การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครอง อันจะถือว่าโจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครองและจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่ข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนและไม่มีประเด็นเกี่ยวกับการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครองของสมาคมโจทก์ตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐ แต่เป็นข้อพิพาทที่เกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการบริหารงานภายในของสมาคมโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลเอกชน จึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาททางแพ่ง ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๒๒๔ ผู้ฟ้องคดียื่นคำขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีคัดค้านแนวเขตว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของเขตทางหลวงชนบทสายบ้านจอมบึง-บ้านหนองนกกระเรียน อันเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีไม่อาจแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกถอนคำคัดค้านการรังวัดที่ดิน ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำไปตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากบริเวณที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของเขตทางหลวงชนบท อันเป็นที่สาธารณประโยชน์ซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลของผู้ฟ้องคดี ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้ (๑) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดเนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น หรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ แม้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่การที่ผู้ถูกฟ้องคดีคัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำในฐานะผู้ดูแลรักษาที่สาธารณะเช่นเดียวกับการใช้สิทธิของเจ้าของที่ดินข้างเคียงในการระวังแนวเขตที่ดินอันเนื่องมาจากมีการขอรังวัดสอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามมาตรา ๖๙ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินเพื่อมิให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงรังวัดสอบเขตที่ดินของตนรุกล้ำเข้ามาในแนวเขตที่ดินอันเป็นส่วนหนึ่งของเขตทางหลวงชนบทสายบ้านจอมบึง - บ้านหนองนกกระเรียน รบ. ๓๐๒๒ อันเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ การคัดค้านการรังวัดที่ดินของผู้ถูกฟ้องคดีจึงมิใช่การใช้อำนาจตามกฎหมายอันจะเข้าลักษณะคดีพิพาท ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีคัดค้านการนำรังวัดที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๒๒๔ ของผู้ฟ้องคดีแต่เป็นที่ดินเขตทางหลวงชนบทอันเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ กรณีจึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๒๒๔ ผู้ฟ้องคดียื่นคำขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีคัดค้านแนวเขตว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของเขตทางหลวงชนบทสายบ้านจอมบึง-บ้านหนองนกกระเรียน อันเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีไม่อาจแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกถอนคำคัดค้านการรังวัดที่ดิน ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำไปตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากบริเวณที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของเขตทางหลวงชนบท อันเป็นที่สาธารณประโยชน์ซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลของผู้ฟ้องคดี ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้ (๑) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดเนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น หรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ แม้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่การที่ผู้ถูกฟ้องคดีคัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำในฐานะผู้ดูแลรักษาที่สาธารณะเช่นเดียวกับการใช้สิทธิของเจ้าของที่ดินข้างเคียงในการระวังแนวเขตที่ดินอันเนื่องมาจากมีการขอรังวัดสอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามมาตรา ๖๙ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินเพื่อมิให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงรังวัดสอบเขตที่ดินของตนรุกล้ำเข้ามาในแนวเขตที่ดินอันเป็นส่วนหนึ่งของเขตทางหลวงชนบทสายบ้านจอมบึง - บ้านหนองนกกระเรียน รบ. ๓๐๒๒ อันเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ การคัดค้านการรังวัดที่ดินของผู้ถูกฟ้องคดีจึงมิใช่การใช้อำนาจตามกฎหมายอันจะเข้าลักษณะคดีพิพาท ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีคัดค้านการนำรังวัดที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๒๒๔ ของผู้ฟ้องคดีแต่เป็นที่ดินเขตทางหลวงชนบทอันเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ กรณีจึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสี่เป็นเอกชนยื่นฟ้องสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ ๑ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ ๒ เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ ๓ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ ๔ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ ๕ กรมที่ดิน ที่ ๖ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๗ สำนักงานที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ด สาขาสุวรรณภูมิ ที่ ๘ เทศบาลตำบลทุ่งหลวง ที่ ๙ ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ มีมติไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๔ เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินในบริเวณที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๔ ครอบครองเนื่องจากเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ มีหนังสือขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ รังวัดออก น.ส.ล. ที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงริมลำพลับพลา โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๘ รังวัดออก น.ส.ล. และประกาศแจก น.ส.ล. แปลงริมลำพลับพลา ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าที่ดินบริเวณพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีทั้งสี่ ให้เพิกถอนหนังสือของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ ให้เพิกถอนประกาศของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๘ ให้เพิกถอนหนังสือของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ ที่แจ้งผลการพิจารณาและคัดเลือกเกษตรกร ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๕ ออกและส่งมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสี่ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเก้าให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินแปลงพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เห็นว่า แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๔ ที่ ๖ ที่ ๘ ที่ ๙ จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๕ และที่ ๗ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ มีหนังสือถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ขอรังวัดออก น.ส.ล. ที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงริมลำพลับพลา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๘ รังวัดที่ดินเพื่อออก น.ส.ล. และประกาศแจก น.ส.ล.แปลงริมลำพลับพลา และผู้ถูกฟ้องคดี ๕ มีมติไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๔ เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน เมื่อที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ ในฐานะผู้มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของตน จึงขอให้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง แต่ผู้ฟ้องคดีทั้งสี่ได้คัดค้านการการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสี่ครอบครองทำประโยชน์และอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ดังนี้ เมื่อการดำเนินการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ ที่ขอให้มีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงมิใช่การใช้อำนาจตามกฎหมาย แต่เป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ทั่วไปในการดูแลคุ้มครองที่สาธารณะ และการรังวัดเพื่อออกหนังสือสำคัญ สำหรับที่หลวงเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยยังไม่มีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง อันจะถือเป็นคำสั่งทางปกครอง กรณีจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่การที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสี่กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ ต่างก็กล่าวอ้างถึง ความมีสิทธิในที่ดินพิพาท กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สำหรับข้อพิพาทในส่วนที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๕ ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) นั้น ก็เป็นผลของการวินิจฉัยข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างผู้ฟ้องคดีทั้งสี่กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมเช่นเดียวกัน
คดีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสี่เป็นเอกชนยื่นฟ้องสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ ๑ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ ๒ เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ ๓ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ ๔ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ ๕ กรมที่ดิน ที่ ๖ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๗ สำนักงานที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ด สาขาสุวรรณภูมิ ที่ ๘ เทศบาลตำบลทุ่งหลวง ที่ ๙ ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ มีมติไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๔ เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินในบริเวณที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๔ ครอบครองเนื่องจากเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ มีหนังสือขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ รังวัดออก น.ส.ล. ที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงริมลำพลับพลา โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๘ รังวัดออก น.ส.ล. และประกาศแจก น.ส.ล. แปลงริมลำพลับพลา ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าที่ดินบริเวณพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีทั้งสี่ ให้เพิกถอนหนังสือของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ ให้เพิกถอนประกาศของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๘ ให้เพิกถอนหนังสือของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ ที่แจ้งผลการพิจารณาและคัดเลือกเกษตรกร ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๕ ออกและส่งมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสี่ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเก้าให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินแปลงพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เห็นว่า แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๔ ที่ ๖ ที่ ๘ ที่ ๙ จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๕ และที่ ๗ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ มีหนังสือถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ขอรังวัดออก น.ส.ล. ที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงริมลำพลับพลา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๘ รังวัดที่ดินเพื่อออก น.ส.ล. และประกาศแจก น.ส.ล.แปลงริมลำพลับพลา และผู้ถูกฟ้องคดี ๕ มีมติไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๔ เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน เมื่อที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ ในฐานะผู้มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของตน จึงขอให้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง แต่ผู้ฟ้องคดีทั้งสี่ได้คัดค้านการการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสี่ครอบครองทำประโยชน์และอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ดังนี้ เมื่อการดำเนินการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ ที่ขอให้มีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงมิใช่การใช้อำนาจตามกฎหมาย แต่เป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ทั่วไปในการดูแลคุ้มครองที่สาธารณะ และการรังวัดเพื่อออกหนังสือสำคัญ สำหรับที่หลวงเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยยังไม่มีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง อันจะถือเป็นคำสั่งทางปกครอง กรณีจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่การที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสี่กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ ต่างก็กล่าวอ้างถึง ความมีสิทธิในที่ดินพิพาท กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สำหรับข้อพิพาทในส่วนที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๕ ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) นั้น ก็เป็นผลของการวินิจฉัยข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างผู้ฟ้องคดีทั้งสี่กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมเช่นเดียวกัน
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และ (3)
คดีที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชน ยื่นฟ้องกรมที่ดิน ที่ ๑ สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาปักธงชัย ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาปักธงชัย ที่ ๓ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินตาม ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข เลขที่ ๕๕๒๑ แปลงเลขที่ ๗ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ ๓๐ ไร่ ๒ งาน ๕๖ ตารางวา ต่อมามีบุคคลภายนอกอ้างว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๒๘ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ออกให้แก่บิดาของผู้ฟ้องคดี และบิดาผู้ฟ้องคดีได้แบ่งขายที่ดินบางส่วนให้แก่ผู้มีชื่อ ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าการออก น.ส. ๓ ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ "ป่าเขาภูหลวง" ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๗๖ (พ.ศ. ๒๕๑๖) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เพิกถอน น.ส. ๓ ดังกล่าว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เพิกเฉย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๒๘ ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และออกทับ ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข เลขที่ ๕๕๒๑ แปลงเลขที่ ๗ ทั้งแปลง ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ เพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๘ และร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การสรุปได้ว่า การออก น.ส. ๓ เลขที่ ๒๘ ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุให้เพิกถอน และไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีว่าตนมีสิทธิครอบครองที่ดินตาม ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข โดยขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๘ ซึ่งบุคคลภายนอกมีสิทธิครอบครอง อ้างว่า น.ส. ๓ ดังกล่าวออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และออกทับที่ดินตาม ส.ป.ก. ๔ -๐๑ ข ของผู้ฟ้องคดี อันเป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีที่ฟ้องต่อศาลก็เพื่อให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๒๘ ของผู้มีชื่อเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิ ในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชน ยื่นฟ้องกรมที่ดิน ที่ ๑ สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาปักธงชัย ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาปักธงชัย ที่ ๓ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินตาม ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข เลขที่ ๕๕๒๑ แปลงเลขที่ ๗ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ ๓๐ ไร่ ๒ งาน ๕๖ ตารางวา ต่อมามีบุคคลภายนอกอ้างว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๒๘ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ออกให้แก่บิดาของผู้ฟ้องคดี และบิดาผู้ฟ้องคดีได้แบ่งขายที่ดินบางส่วนให้แก่ผู้มีชื่อ ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าการออก น.ส. ๓ ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ "ป่าเขาภูหลวง" ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๗๖ (พ.ศ. ๒๕๑๖) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เพิกถอน น.ส. ๓ ดังกล่าว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เพิกเฉย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๒๘ ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และออกทับ ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข เลขที่ ๕๕๒๑ แปลงเลขที่ ๗ ทั้งแปลง ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ เพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๘ และร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การสรุปได้ว่า การออก น.ส. ๓ เลขที่ ๒๘ ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุให้เพิกถอน และไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีว่าตนมีสิทธิครอบครองที่ดินตาม ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข โดยขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๘ ซึ่งบุคคลภายนอกมีสิทธิครอบครอง อ้างว่า น.ส. ๓ ดังกล่าวออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และออกทับที่ดินตาม ส.ป.ก. ๔ -๐๑ ข ของผู้ฟ้องคดี อันเป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีที่ฟ้องต่อศาลก็เพื่อให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๒๘ ของผู้มีชื่อเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิ ในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2) และ (3) และคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่เอกชน ยื่นฟ้องสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๔๓๘ เดิมเป็นที่ดิน ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๖ ของผู้มีชื่อ แต่จำเลยที่ ๒ และสามีจำเลยที่ ๒ ในขณะนั้นยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ต่อหน่วยงานของ จำเลยที่ ๑ โดยนำชี้ที่ดินเพื่อรังวัดและจัดทำแผนที่ต้นร่าง ส.ป.ก./สร ๒๒ ในเขตโครงการป่าดงหัวกองและป่าดงบังอี่ (อี) และยื่นคำขอแบ่งแยกที่ดินเพื่อแจ้งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินทับซ้อนที่ดินของโจทก์ และจำเลยที่ ๒ รื้อถอนเสารั้วคอนกรีตและลวดหนามที่เป็นแนวเขต ใช้รถไถพรวนหน้าดิน และฝังเสาเดินสายไฟฟ้าเข้าไปในที่ดินโจทก์ ขอให้เพิกถอนคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์และเพิกถอนแผนที่แปลงที่ดินเพื่อประกอบการเกษตรกรรมตามแบบ ส.ป.ก./สร.๕ ก ในเขตปฏิรูปที่ดินโครงการดงหัวกองและป่าดงบังอี่ (อี) กลุ่ม ๑๐๘๐ แปลงที่ ๑ และที่ ๒ ที่มีชื่อจำเลยที่ ๒ ห้ามจำเลยที่ ๒ และบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยที่ ๒ รื้อถอนเสาไฟฟ้า ชำระค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์ จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๔๓๘ ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และยังอยู่ในขั้นตอนของการรังวัด ยังไม่อนุญาตให้จำเลยที่ ๒ หรือผู้ใดเข้าทำประโยชน์ และขอให้ศาลพิพากษาให้ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๔๓๘ และห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้อง ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๔๓๘ ของโจทก์เป็นคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยที่ ๒ ครอบครองและยื่นคำขอออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ หากว่าที่ดินบางส่วนเป็นที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๔๓๘ ของโจทก์ ที่ดินส่วนนั้นก็เป็นของจำเลยที่ ๒ เพราะได้ครอบครองทำประโยชน์โดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ปี ๒๕๓๖ เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์อ้างว่า จำเลยที่ ๑ รังวัดทำแผนที่ที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมตามการนำชี้ของจำเลยที่ ๒ และสามีจำเลยที่ ๒ ในขณะนั้นทับที่ดินมีเอกสารสิทธิตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๔๓๘ ของโจทก์ อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของโจทก์ในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิและพิสูจน์สิทธิในที่ดินของโจทก์เป็นสำคัญ และการที่ศาลจะมี คำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่เอกชน ยื่นฟ้องสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๔๓๘ เดิมเป็นที่ดิน ส.ค. ๑ เลขที่ ๑๖ ของผู้มีชื่อ แต่จำเลยที่ ๒ และสามีจำเลยที่ ๒ ในขณะนั้นยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ต่อหน่วยงานของ จำเลยที่ ๑ โดยนำชี้ที่ดินเพื่อรังวัดและจัดทำแผนที่ต้นร่าง ส.ป.ก./สร ๒๒ ในเขตโครงการป่าดงหัวกองและป่าดงบังอี่ (อี) และยื่นคำขอแบ่งแยกที่ดินเพื่อแจ้งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินทับซ้อนที่ดินของโจทก์ และจำเลยที่ ๒ รื้อถอนเสารั้วคอนกรีตและลวดหนามที่เป็นแนวเขต ใช้รถไถพรวนหน้าดิน และฝังเสาเดินสายไฟฟ้าเข้าไปในที่ดินโจทก์ ขอให้เพิกถอนคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์และเพิกถอนแผนที่แปลงที่ดินเพื่อประกอบการเกษตรกรรมตามแบบ ส.ป.ก./สร.๕ ก ในเขตปฏิรูปที่ดินโครงการดงหัวกองและป่าดงบังอี่ (อี) กลุ่ม ๑๐๘๐ แปลงที่ ๑ และที่ ๒ ที่มีชื่อจำเลยที่ ๒ ห้ามจำเลยที่ ๒ และบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยที่ ๒ รื้อถอนเสาไฟฟ้า ชำระค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์ จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๔๓๘ ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และยังอยู่ในขั้นตอนของการรังวัด ยังไม่อนุญาตให้จำเลยที่ ๒ หรือผู้ใดเข้าทำประโยชน์ และขอให้ศาลพิพากษาให้ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๔๓๘ และห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้อง ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๔๓๘ ของโจทก์เป็นคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยที่ ๒ ครอบครองและยื่นคำขอออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ หากว่าที่ดินบางส่วนเป็นที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๔๓๘ ของโจทก์ ที่ดินส่วนนั้นก็เป็นของจำเลยที่ ๒ เพราะได้ครอบครองทำประโยชน์โดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ปี ๒๕๓๖ เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์อ้างว่า จำเลยที่ ๑ รังวัดทำแผนที่ที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมตามการนำชี้ของจำเลยที่ ๒ และสามีจำเลยที่ ๒ ในขณะนั้นทับที่ดินมีเอกสารสิทธิตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๔๓๘ ของโจทก์ อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของโจทก์ในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิและพิสูจน์สิทธิในที่ดินของโจทก์เป็นสำคัญ และการที่ศาลจะมี คำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องอธิบดีกรมธนารักษ์ ผู้ถูกฟ้องคดี ว่า ผู้ฟ้องคดีซื้อที่ดิน น.ส. ๓ ก. รวมทั้งหมด ๘ แปลง เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนซื้อขายให้เฉพาะที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๖๘๘๓ เท่านั้น ส่วนที่ดินแปลงอื่นไม่สามารถจดทะเบียนซื้อขายได้ เนื่องจากยังมีปัญหาเขตที่ดินทับซ้อนกันกับที่ดินตาม น.ส.ล. เลขที่ ๑๗๔๑/๒๕๐๗ แปลง "ค่ายเสนาณรงค์" ซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐจังหวัดสงขลา (กบร. จังหวัดสงขลา) มีมติว่าที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๒๑ เลขที่ ๑๑๕๒ และเลขที่ ๖๘๘๑ ถึงเลขที่ ๖๘๘๙ เป็นที่ดินที่ได้มีการครอบครองและทำประโยชน์มาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ และผู้ขายได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงที่เหลือให้แก่ผู้ฟ้องคดีแล้ว ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีแก้ไข น.ส.ล. เลขที่ ๑๗๔๑/๒๕๐๗ ให้ถูกต้องตามมติที่ประชุม กบร. จังหวัดสงขลา เห็นว่า แม้ผู้ฟ้องคดีจะกล่าวอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีไม่ดำเนินการแก้ไขหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงตามมติที่ประชุม กบร. จังหวัดสงขลา ที่เห็นชอบว่าที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๒๑ เลขที่ ๑๑๕๒ และเลขที่ ๖๘๘๑ ถึงเลขที่ ๖๘๘๙ ได้มีการครอบครองและทำประโยชน์มาก่อนเป็นที่ดินของรัฐ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการแก้ไข น.ส.ล. เลขที่ ๑๗๔๑/๒๕๐๗ ให้ถูกต้องตามมติดังกล่าว แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีโต้แย้งว่าที่ดินตาม น.ส.ล. เลขที่ ๑๗๔๑/๒๕๐๗ เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินตั้งแต่ก่อนปี ๒๔๗๘ ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ กรมธนารักษ์ไม่ได้เห็นชอบตามมติ กบร. จังหวัดสงขลา จึงไม่อาจปฏิบัติตามมติได้ จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินของรัฐ ดังนั้น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาล ก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี กรณีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินแม้ผู้ฟ้องคดีตั้งรูปเรื่องในการฟ้องคดีโดยมีคำขอให้ดำเนินการแก้ไขหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงก็เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือที่ดินของรัฐ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องอธิบดีกรมธนารักษ์ ผู้ถูกฟ้องคดี ว่า ผู้ฟ้องคดีซื้อที่ดิน น.ส. ๓ ก. รวมทั้งหมด ๘ แปลง เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนซื้อขายให้เฉพาะที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๖๘๘๓ เท่านั้น ส่วนที่ดินแปลงอื่นไม่สามารถจดทะเบียนซื้อขายได้ เนื่องจากยังมีปัญหาเขตที่ดินทับซ้อนกันกับที่ดินตาม น.ส.ล. เลขที่ ๑๗๔๑/๒๕๐๗ แปลง "ค่ายเสนาณรงค์" ซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐจังหวัดสงขลา (กบร. จังหวัดสงขลา) มีมติว่าที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๒๑ เลขที่ ๑๑๕๒ และเลขที่ ๖๘๘๑ ถึงเลขที่ ๖๘๘๙ เป็นที่ดินที่ได้มีการครอบครองและทำประโยชน์มาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ และผู้ขายได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงที่เหลือให้แก่ผู้ฟ้องคดีแล้ว ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีแก้ไข น.ส.ล. เลขที่ ๑๗๔๑/๒๕๐๗ ให้ถูกต้องตามมติที่ประชุม กบร. จังหวัดสงขลา เห็นว่า แม้ผู้ฟ้องคดีจะกล่าวอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีไม่ดำเนินการแก้ไขหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงตามมติที่ประชุม กบร. จังหวัดสงขลา ที่เห็นชอบว่าที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๒๑ เลขที่ ๑๑๕๒ และเลขที่ ๖๘๘๑ ถึงเลขที่ ๖๘๘๙ ได้มีการครอบครองและทำประโยชน์มาก่อนเป็นที่ดินของรัฐ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการแก้ไข น.ส.ล. เลขที่ ๑๗๔๑/๒๕๐๗ ให้ถูกต้องตามมติดังกล่าว แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีโต้แย้งว่าที่ดินตาม น.ส.ล. เลขที่ ๑๗๔๑/๒๕๐๗ เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินตั้งแต่ก่อนปี ๒๔๗๘ ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ กรมธนารักษ์ไม่ได้เห็นชอบตามมติ กบร. จังหวัดสงขลา จึงไม่อาจปฏิบัติตามมติได้ จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินของรัฐ ดังนั้น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาล ก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี กรณีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินแม้ผู้ฟ้องคดีตั้งรูปเรื่องในการฟ้องคดีโดยมีคำขอให้ดำเนินการแก้ไขหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงก็เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือที่ดินของรัฐ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2) และคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งสาม ซึ่งจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นเอกชน ส่วนจำเลยที่ ๓ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อ้างว่า ร้อยตำรวจตรี ล. บิดาโจทก์ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินที่พิพาทตามพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ นาง จ. มารดาโจทก์ได้รับอนุญาตให้รับโอนสิทธิในที่ดินต่อจากร้อยตำรวจตรี ล. ต่อมานาง จ. เสียชีวิต โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนาง จ. ที่ดินพิพาทเป็นมรดกตกทอดมาถึงโจทก์ โจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองที่ดินพิพาทได้เนื่องจากจำเลยที่ ๑ และบริวารครอบครองที่ดินอยู่โดยอ้างว่าได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ ๓ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนการที่จำเลยที่ ๓ อนุญาตให้จำเลยที่ ๑ เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแปลงเดียวกับโจทก์ คดีจึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะได้รับสิทธิในการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินแปลงพิพาทดีกว่ากัน อันเป็นปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติของบุคคลที่จะได้รับการคัดเลือกให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งสาม ซึ่งจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นเอกชน ส่วนจำเลยที่ ๓ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อ้างว่า ร้อยตำรวจตรี ล. บิดาโจทก์ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินที่พิพาทตามพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ นาง จ. มารดาโจทก์ได้รับอนุญาตให้รับโอนสิทธิในที่ดินต่อจากร้อยตำรวจตรี ล. ต่อมานาง จ. เสียชีวิต โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนาง จ. ที่ดินพิพาทเป็นมรดกตกทอดมาถึงโจทก์ โจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองที่ดินพิพาทได้เนื่องจากจำเลยที่ ๑ และบริวารครอบครองที่ดินอยู่โดยอ้างว่าได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ ๓ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนการที่จำเลยที่ ๓ อนุญาตให้จำเลยที่ ๑ เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแปลงเดียวกับโจทก์ คดีจึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะได้รับสิทธิในการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินแปลงพิพาทดีกว่ากัน อันเป็นปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติของบุคคลที่จะได้รับการคัดเลือกให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1)
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชน ยื่นฟ้องนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ที่ ๑ เทศบาลนครเชียงใหม่ ที่ ๒ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในเขตเทศบาลและเขตราชการส่วนท้องถิ่นอื่นในจังหวัดเชียงใหม่ ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี อันเนื่องมาจากการที่ผู้ฟ้องคดีก่อสร้างประตูรั้วชนิดโครงเหล็ก บริเวณบ้านพักโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีระงับการก่อสร้าง ห้ามใช้อาคาร และให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตก่อสร้าง ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่ง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล อันมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล จึงเป็น "คำสั่งทางปกครอง" ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว โดยอ้างว่าไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และเมื่อผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากคำสั่งและคำวินิจฉัยดังกล่าวโดยเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อีกประการหนึ่งด้วย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชน ยื่นฟ้องนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ที่ ๑ เทศบาลนครเชียงใหม่ ที่ ๒ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในเขตเทศบาลและเขตราชการส่วนท้องถิ่นอื่นในจังหวัดเชียงใหม่ ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี อันเนื่องมาจากการที่ผู้ฟ้องคดีก่อสร้างประตูรั้วชนิดโครงเหล็ก บริเวณบ้านพักโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีระงับการก่อสร้าง ห้ามใช้อาคาร และให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตก่อสร้าง ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่ง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล อันมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล จึงเป็น "คำสั่งทางปกครอง" ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว โดยอ้างว่าไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และเมื่อผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากคำสั่งและคำวินิจฉัยดังกล่าวโดยเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อีกประการหนึ่งด้วย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และ (3)
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องกรมทางหลวง ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี แม้ผู้ฟ้องคดีจะตั้งรูปเรื่องเป็นการเรียกค่าทดแทนการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ อันเนื่องมาจากผู้ถูกฟ้องคดีนำที่ดินมีโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดีไปทำเป็นถนน ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๗๘ ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการเวนคืนที่ดินเพื่อการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินดังกล่าวได้เสร็จสิ้นลงแล้ว กรณีจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับผู้ถูกฟ้องคดีให้การโต้แย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นทางหลวงแผ่นดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันมาก่อนที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทมาจากเจ้าของเดิม ที่ดินพิพาทจึงมิใช่กรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง กรณีจึงเป็นการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องกรมทางหลวง ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี แม้ผู้ฟ้องคดีจะตั้งรูปเรื่องเป็นการเรียกค่าทดแทนการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ อันเนื่องมาจากผู้ถูกฟ้องคดีนำที่ดินมีโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดีไปทำเป็นถนน ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๗๘ ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการเวนคืนที่ดินเพื่อการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินดังกล่าวได้เสร็จสิ้นลงแล้ว กรณีจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับผู้ถูกฟ้องคดีให้การโต้แย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นทางหลวงแผ่นดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันมาก่อนที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทมาจากเจ้าของเดิม ที่ดินพิพาทจึงมิใช่กรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง กรณีจึงเป็นการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่โจทก์เป็นลูกจ้างของสำนักงานเทศบาลตำบล พ. จำเลย ยื่นฟ้องจำเลย ซึ่งมีฐานะเป็นราชการส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ อันเป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ และเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ขอให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการที่ลูกจ้างของจำเลย ตำแหน่งคนสวน สังกัดกองช่าง ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงขับรถชนโจทก์ซึ่งกำลังตัดเก็บหญ้าบริเวณเกาะกลางถนนได้รับอันตรายสาหัส กรณีจึงเป็นการฟ้องขอให้หน่วยงานของรัฐรับผิดในผลแห่งละเมิดอันเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ อย่างไรก็ตาม ก่อนการฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ยื่นคำขอให้จำเลยพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดแก่โจทก์แล้ว ตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน แต่จำเลยปฏิเสธ ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดว่า เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคำสั่งเช่นใดแล้ว หากผู้เสียหายยังไม่พอใจผลการวินิจฉัย ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย และมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันบัญญัติว่า เมื่อได้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นแล้ว สิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามมาตรา ๑๑ ให้ถือว่าเป็นสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง โดยเมื่อพิจารณามาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ที่บัญญัติว่า สิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ ในคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามพระราชบัญญัตินี้ให้ถือว่าเป็นสิทธิฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรม ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ศาลปกครองเปิดทำการแล้ว และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้ (๓) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร" เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เกิดจากการกระทำละเมิดในการขับรถยนต์ของทางราชการเพื่อเก็บหญ้าซึ่งลูกจ้างของเทศบาลตัดแต่งบริเวณเกาะกลาง อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทั่วไป หาใช่เป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร แต่อย่างใดไม่ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่โจทก์เป็นลูกจ้างของสำนักงานเทศบาลตำบล พ. จำเลย ยื่นฟ้องจำเลย ซึ่งมีฐานะเป็นราชการส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ อันเป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ และเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ขอให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการที่ลูกจ้างของจำเลย ตำแหน่งคนสวน สังกัดกองช่าง ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงขับรถชนโจทก์ซึ่งกำลังตัดเก็บหญ้าบริเวณเกาะกลางถนนได้รับอันตรายสาหัส กรณีจึงเป็นการฟ้องขอให้หน่วยงานของรัฐรับผิดในผลแห่งละเมิดอันเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ อย่างไรก็ตาม ก่อนการฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ยื่นคำขอให้จำเลยพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดแก่โจทก์แล้ว ตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน แต่จำเลยปฏิเสธ ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดว่า เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคำสั่งเช่นใดแล้ว หากผู้เสียหายยังไม่พอใจผลการวินิจฉัย ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย และมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันบัญญัติว่า เมื่อได้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นแล้ว สิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามมาตรา ๑๑ ให้ถือว่าเป็นสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง โดยเมื่อพิจารณามาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ที่บัญญัติว่า สิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ ในคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามพระราชบัญญัตินี้ให้ถือว่าเป็นสิทธิฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรม ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ศาลปกครองเปิดทำการแล้ว และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้ (๓) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร" เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เกิดจากการกระทำละเมิดในการขับรถยนต์ของทางราชการเพื่อเก็บหญ้าซึ่งลูกจ้างของเทศบาลตัดแต่งบริเวณเกาะกลาง อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทั่วไป หาใช่เป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร แต่อย่างใดไม่ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
แม้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ เข้านิยาม "หน่วยงานทางปกครอง" ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่สัญญาจ้างทำคูหาลงคะแนนระหว่างจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ เป็นเพียงสัญญาที่จำเลยที่ ๑ ว่าจ้างโจทก์ให้จัดทำคูหาลงคะแนนพร้อมจัดส่งและจำเลยที่ ๑ ตกลงชำระค่าจ้างแก่โจทก์ จึงเป็นเพียงสัญญาจ้างทำวัสดุเพื่อใช้ในกิจการและการดำเนินการตามภารกิจ ไม่มีลักษณะเป็นการให้โจทก์เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะโดยตรง หรือมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ อันจะเข้าลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองตามบทนิยาม "สัญญาทางปกครอง" ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ ในการทำสัญญาพิพาทจึงไม่จำต้องบังคับตามกฎหมายมหาชน แต่เป็นเรื่องสิทธิและหน้าที่ในทางแพ่งของคู่สัญญาตามหลักกฎหมายเอกชน ดังนั้น ข้อพิพาทกันเกี่ยวกับสัญญาจ้างทำคูหาลงคะแนนจึงเป็นสัญญาทางแพ่ง ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
แม้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ เข้านิยาม "หน่วยงานทางปกครอง" ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่สัญญาจ้างทำคูหาลงคะแนนระหว่างจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ เป็นเพียงสัญญาที่จำเลยที่ ๑ ว่าจ้างโจทก์ให้จัดทำคูหาลงคะแนนพร้อมจัดส่งและจำเลยที่ ๑ ตกลงชำระค่าจ้างแก่โจทก์ จึงเป็นเพียงสัญญาจ้างทำวัสดุเพื่อใช้ในกิจการและการดำเนินการตามภารกิจ ไม่มีลักษณะเป็นการให้โจทก์เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะโดยตรง หรือมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ อันจะเข้าลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองตามบทนิยาม "สัญญาทางปกครอง" ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ ในการทำสัญญาพิพาทจึงไม่จำต้องบังคับตามกฎหมายมหาชน แต่เป็นเรื่องสิทธิและหน้าที่ในทางแพ่งของคู่สัญญาตามหลักกฎหมายเอกชน ดังนั้น ข้อพิพาทกันเกี่ยวกับสัญญาจ้างทำคูหาลงคะแนนจึงเป็นสัญญาทางแพ่ง ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|