คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบเป็นเอกชนยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๑ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ ๒ นายอำเภอขุขันธ์ ที่ ๓ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ สาขาขุขันธ์ ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๒๖๔ ต่อเนื่องมาจากบรรพบุรุษ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รังวัดที่ดินแปลงสาธารณประโยชน์ทุ่งเลี้ยงสัตว์ป่าบกเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้รังวัดที่ดินโดยกำหนดให้ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (ทุ่งเลี้ยงสัตว์ป่าบก) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ศก ๒๗๒๒ แปลง "ทุ่งเลี้ยงสัตว์ป่าบก" โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทับที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบครอบครองและทำประโยชน์ ขอให้เพิกถอน น.ส.ล. เลขที่ ศก ๒๗๒๒ แปลง "ทุ่งเลี้ยงสัตว์ป่าบก" และให้ที่ดินแปลงดังกล่าวมีสถานะเป็นที่ดินตกสำรวจรังวัดอันมีราษฎรเข้าครอบครองทำประโยชน์ด้านเกษตรกรรม ซึ่งมีครอบครัวผู้ฟ้องคดีทั้งสิบเป็นผู้ได้รับสิทธิครอบครองในที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินแปลงพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน การออก น.ส.ล.เลขที่ ศก ๒๗๒๒ แปลง "ทุ่งเลี้ยงสัตว์ป่าบก" ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เห็นว่า แม้คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบ จะมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ศก ๒๗๒๒ แปลง "ทุ่งเลี้ยงสัตว์ป่าบก" ที่ทับซ้อนกับที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบ อันมีลักษณะเป็นการตั้งรูปเรื่องการฟ้องคดีเป็นคดีฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบก็มีคำขอให้รับรองสิทธิครอบครองในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๒๖๔ ที่ครอบครองต่อเนื่องมาจาก บรรพบุรุษตั้งแต่ปี ๒๔๘๕ ด้วย โดยผู้ฟ้องคดีทั้งสิบกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทบางส่วนที่นำไปออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ศก ๒๗๒๒ นั้น เป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบ จึงมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ดังนั้น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบเป็นสำคัญ กรณีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดิน แม้ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบจะตั้งรูปเรื่องในการฟ้องคดีโดยมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ศก ๒๗๒๒ แปลง "ทุ่งเลี้ยงสัตว์ป่าบก" มาด้วย ก็เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบหรือที่ดินของรัฐ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบเป็นเอกชนยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๑ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ ๒ นายอำเภอขุขันธ์ ที่ ๓ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ สาขาขุขันธ์ ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๒๖๔ ต่อเนื่องมาจากบรรพบุรุษ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รังวัดที่ดินแปลงสาธารณประโยชน์ทุ่งเลี้ยงสัตว์ป่าบกเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้รังวัดที่ดินโดยกำหนดให้ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (ทุ่งเลี้ยงสัตว์ป่าบก) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ศก ๒๗๒๒ แปลง "ทุ่งเลี้ยงสัตว์ป่าบก" โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทับที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบครอบครองและทำประโยชน์ ขอให้เพิกถอน น.ส.ล. เลขที่ ศก ๒๗๒๒ แปลง "ทุ่งเลี้ยงสัตว์ป่าบก" และให้ที่ดินแปลงดังกล่าวมีสถานะเป็นที่ดินตกสำรวจรังวัดอันมีราษฎรเข้าครอบครองทำประโยชน์ด้านเกษตรกรรม ซึ่งมีครอบครัวผู้ฟ้องคดีทั้งสิบเป็นผู้ได้รับสิทธิครอบครองในที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินแปลงพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน การออก น.ส.ล.เลขที่ ศก ๒๗๒๒ แปลง "ทุ่งเลี้ยงสัตว์ป่าบก" ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เห็นว่า แม้คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบ จะมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ศก ๒๗๒๒ แปลง "ทุ่งเลี้ยงสัตว์ป่าบก" ที่ทับซ้อนกับที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบ อันมีลักษณะเป็นการตั้งรูปเรื่องการฟ้องคดีเป็นคดีฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบก็มีคำขอให้รับรองสิทธิครอบครองในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๒๖๔ ที่ครอบครองต่อเนื่องมาจาก บรรพบุรุษตั้งแต่ปี ๒๔๘๕ ด้วย โดยผู้ฟ้องคดีทั้งสิบกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทบางส่วนที่นำไปออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ศก ๒๗๒๒ นั้น เป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบ จึงมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ดังนั้น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบเป็นสำคัญ กรณีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดิน แม้ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบจะตั้งรูปเรื่องในการฟ้องคดีโดยมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ศก ๒๗๒๒ แปลง "ทุ่งเลี้ยงสัตว์ป่าบก" มาด้วย ก็เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบหรือที่ดินของรัฐ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน และปฏิรูปที่ดินจังหวัดกำแพงเพชร ที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า นาย ท. สามีของจำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ กระทำการโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายนำที่ดินมือเปล่าของโจทก์ไปเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก) เลขที่ ๑๒๕๔ อันเป็นการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากออกทับที่ดินของโจทก์ ขอให้เพิกถอน ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก ดังกล่าวเฉพาะในส่วนที่ทับซ้อนกับที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้รับสิทธิโดยการตกทอดทางมรดกจากสามีจึงเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก และการอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ รับมรดกสิทธิการเข้าทำประโยชน์ต่อจากนาย ท. ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท เห็นว่า เมื่อพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ให้อำนาจแก่จำเลยที่ ๒ ในการจัดสรรที่ดินมอบให้แก่เกษตรกรสำหรับใช้ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมทำการปฏิรูปที่ดินโดยการปรับปรุงเกี่ยวกับสิทธิและการถือครองในที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การได้สิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินของเอกชนเป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่กำหนดคุณสมบัติของเกษตรกรที่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินไว้หลายประการ อันเป็นการแตกต่างจากการได้สิทธิในที่ดินของเอกชนตามประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น การเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐในคดีนี้ต้องเป็นไป ตามที่จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ดำเนินการ และการออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก ดังกล่าวเป็นการอนุญาตให้บุคคลเข้าทำประโยชน์ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ได้รับอนุญาต จึงเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๕ คดีจึงมีประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัยว่า การออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก ให้แก่สามีของจำเลยที่ ๑ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน และปฏิรูปที่ดินจังหวัดกำแพงเพชร ที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า นาย ท. สามีของจำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ กระทำการโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายนำที่ดินมือเปล่าของโจทก์ไปเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก) เลขที่ ๑๒๕๔ อันเป็นการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากออกทับที่ดินของโจทก์ ขอให้เพิกถอน ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก ดังกล่าวเฉพาะในส่วนที่ทับซ้อนกับที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้รับสิทธิโดยการตกทอดทางมรดกจากสามีจึงเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก และการอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ รับมรดกสิทธิการเข้าทำประโยชน์ต่อจากนาย ท. ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท เห็นว่า เมื่อพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ให้อำนาจแก่จำเลยที่ ๒ ในการจัดสรรที่ดินมอบให้แก่เกษตรกรสำหรับใช้ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมทำการปฏิรูปที่ดินโดยการปรับปรุงเกี่ยวกับสิทธิและการถือครองในที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การได้สิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินของเอกชนเป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่กำหนดคุณสมบัติของเกษตรกรที่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินไว้หลายประการ อันเป็นการแตกต่างจากการได้สิทธิในที่ดินของเอกชนตามประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น การเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐในคดีนี้ต้องเป็นไป ตามที่จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ดำเนินการ และการออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก ดังกล่าวเป็นการอนุญาตให้บุคคลเข้าทำประโยชน์ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ได้รับอนุญาต จึงเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๕ คดีจึงมีประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัยว่า การออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก ให้แก่สามีของจำเลยที่ ๑ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1)
ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นเอกชนยื่นฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบลแหลมผักเบี้ย ที่ ๑ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแหลมผักเบี้ย ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๒๗๙ ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้เข้าดำเนินการก่อสร้างลานจอดรถ คสล. ติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างสนาม ปลูกต้นไม้ ก่อสร้างป้ายแหล่งท่องเที่ยว จุดชมวิว รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามประมาณ ๒ ไร่ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่าที่พิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันที่ดินบางส่วนเป็นที่ชายตลิ่งสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งสามอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ดำเนินการก่อสร้างลานจอดรถ คสล. และอื่น ๆ รุกล้ำที่ดินที่พิพาทนั้น เป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ คำฟ้องของผู้ฟ้องคดีทั้งสามมีความมุ่งหมายที่จะให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นเอกชนยื่นฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบลแหลมผักเบี้ย ที่ ๑ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแหลมผักเบี้ย ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๒๗๙ ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้เข้าดำเนินการก่อสร้างลานจอดรถ คสล. ติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างสนาม ปลูกต้นไม้ ก่อสร้างป้ายแหล่งท่องเที่ยว จุดชมวิว รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามประมาณ ๒ ไร่ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่าที่พิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันที่ดินบางส่วนเป็นที่ชายตลิ่งสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งสามอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ดำเนินการก่อสร้างลานจอดรถ คสล. และอื่น ๆ รุกล้ำที่ดินที่พิพาทนั้น เป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ คำฟ้องของผู้ฟ้องคดีทั้งสามมีความมุ่งหมายที่จะให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง โดยอ้างว่าได้รับความเสียหายกรณีผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดกรณีก่อสร้างถนนรอบบริเวณที่สาธารณประโยชน์ สระหนองสิม รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีรื้อถอนถนนคอนกรีตที่รุกล้ำออกจากที่ดินของผู้ฟ้องคดี ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การโต้แย้งว่า ที่ดินบริเวณพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์สระหนองสิม ตามหลักฐานหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ อด. ๓๑๘๙ เลขที่ดิน ๓๓๖ การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ จึงเป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์สระหนองสิมจะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างถนนสาธารณะได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง โดยอ้างว่าได้รับความเสียหายกรณีผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดกรณีก่อสร้างถนนรอบบริเวณที่สาธารณประโยชน์ สระหนองสิม รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีรื้อถอนถนนคอนกรีตที่รุกล้ำออกจากที่ดินของผู้ฟ้องคดี ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การโต้แย้งว่า ที่ดินบริเวณพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์สระหนองสิม ตามหลักฐานหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ อด. ๓๑๘๙ เลขที่ดิน ๓๓๖ การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ จึงเป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์สระหนองสิมจะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างถนนสาธารณะได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ โจทก์ทั้งสองเป็นเอกชน ยื่นฟ้องเทศบาลตำบล บ. ที่ ๑ นาย ว. ที่ ๒ จำเลย อ้างว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๔๑๒ ได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำละเมิดก่อสร้างถนนเลียบแม่น้ำโขงตัดผ่านรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยไม่ได้รับความยินยอม ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองรื้อถนนส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทั้งสองตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๔๑๒ พร้อมทั้งปรับที่ดินของโจทก์ทั้งสองให้อยู่ในสภาพเดิม และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง ส่วนจำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินบริเวณเลียบแม่น้ำโขงเป็นถนนสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันเพื่อสัญจรไปมาเป็นเวลาหลายสิบปี จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การที่จำเลยทั้งสองดำเนินการปรับปรุง ซ่อมแซมถนนพิพาทในโครงการปรับปรุงถนนลูกรังให้มีความกว้าง ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสองเรียกมาสูงเกินจริง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้เทศบาลตำบล บ. จำเลยที่ ๑ จะเป็นราชการส่วนท้องถิ่น มีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๒ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีของจำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีโจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง โดยการก่อสร้างถนนเลียบแม่น้ำโขงตัดผ่านรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสองตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๔๑๒ ส่วนจำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินบริเวณเลียบแม่น้ำโขงเป็นถนนสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันเพื่อสัญจรไปมาเป็นเวลามากกว่าสิบปี จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน การที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสอง ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง การที่จำเลยทั้งสองกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง แต่หากที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จะเป็นผลให้จำเลยทั้งสองมีอำนาจก่อสร้างถนนสาธารณะได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่โจทก์ทั้งสองใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ โจทก์ทั้งสองเป็นเอกชน ยื่นฟ้องเทศบาลตำบล บ. ที่ ๑ นาย ว. ที่ ๒ จำเลย อ้างว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๔๑๒ ได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำละเมิดก่อสร้างถนนเลียบแม่น้ำโขงตัดผ่านรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยไม่ได้รับความยินยอม ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองรื้อถนนส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทั้งสองตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๔๑๒ พร้อมทั้งปรับที่ดินของโจทก์ทั้งสองให้อยู่ในสภาพเดิม และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง ส่วนจำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินบริเวณเลียบแม่น้ำโขงเป็นถนนสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันเพื่อสัญจรไปมาเป็นเวลาหลายสิบปี จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การที่จำเลยทั้งสองดำเนินการปรับปรุง ซ่อมแซมถนนพิพาทในโครงการปรับปรุงถนนลูกรังให้มีความกว้าง ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสองเรียกมาสูงเกินจริง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้เทศบาลตำบล บ. จำเลยที่ ๑ จะเป็นราชการส่วนท้องถิ่น มีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๒ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีของจำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีโจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง โดยการก่อสร้างถนนเลียบแม่น้ำโขงตัดผ่านรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสองตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๔๑๒ ส่วนจำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินบริเวณเลียบแม่น้ำโขงเป็นถนนสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันเพื่อสัญจรไปมาเป็นเวลามากกว่าสิบปี จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน การที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสอง ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง การที่จำเลยทั้งสองกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง แต่หากที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จะเป็นผลให้จำเลยทั้งสองมีอำนาจก่อสร้างถนนสาธารณะได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่โจทก์ทั้งสองใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดี ขอให้ยกเลิกการบอกเลิกสัญญาจ้าง คืนหลักประกันสัญญาจ้างและใช้หลักประกันเดิมค้ำประกันสัญญาจ้างต่อไป และให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้เงินค่าก่อสร้างหรือเบิกจ่ายเงินค่าก่อสร้างพร้อมดอกเบี้ย จากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีว่าจ้างให้ผู้ฟ้องคดีก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) ๕ ชั้น ๓๐ ครอบครัว (ใต้ถุนสูง) พร้อมส่วนประกอบ จำนวน ๑ หลัง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่ชอบ และไม่ชำระค่าก่อสร้างให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามข้อกำหนดเงื่อนไขแห่งสัญญาจ้าง เห็นว่า แม้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่สัญญาพิพาทเป็นสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยของข้าราชการตำรวจและครอบครัวเท่านั้น มิได้เป็นไปเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะโดยตรงหรือเพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดทำบริการสาธารณะ อันจะถือเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และแม้จะมีข้อสัญญากำหนดให้คณะกรรมการตรวจการจ้าง หรือผู้ควบคุมงาน หรือบริษัทที่ปรึกษาที่ผู้ถูกฟ้องคดีแต่งตั้งขึ้นมีอำนาจเข้าไปตรวจสถานที่ที่กำลังก่อสร้าง สั่งการให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมหรือตัดทอนซึ่งงานตามสัญญา และให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีสิทธิที่จะสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทำงานพิเศษซึ่งไม่ได้แสดงไว้หรือรวมอยู่ในเอกสารสัญญา หากงานพิเศษนั้น ๆ อยู่ในขอบข่ายทั่วไปแห่งวัตถุประสงค์ของสัญญา ตลอดจนสั่งให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขรูปแบบและข้อกำหนดต่าง ๆ ในเอกสารสัญญา โดยไม่ทำให้สัญญาเป็นโมฆะ แต่ข้อกำหนดในสัญญาดังกล่าวก็มิได้มีลักษณะพิเศษที่แสดงถึงเอกสิทธิ์ของรัฐเพื่อให้การบริการสาธารณะบรรลุผลแต่อย่างใด สัญญาจ้างก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยพิพาท จึงไม่ใช่สัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดี ขอให้ยกเลิกการบอกเลิกสัญญาจ้าง คืนหลักประกันสัญญาจ้างและใช้หลักประกันเดิมค้ำประกันสัญญาจ้างต่อไป และให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้เงินค่าก่อสร้างหรือเบิกจ่ายเงินค่าก่อสร้างพร้อมดอกเบี้ย จากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีว่าจ้างให้ผู้ฟ้องคดีก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) ๕ ชั้น ๓๐ ครอบครัว (ใต้ถุนสูง) พร้อมส่วนประกอบ จำนวน ๑ หลัง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่ชอบ และไม่ชำระค่าก่อสร้างให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามข้อกำหนดเงื่อนไขแห่งสัญญาจ้าง เห็นว่า แม้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่สัญญาพิพาทเป็นสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยของข้าราชการตำรวจและครอบครัวเท่านั้น มิได้เป็นไปเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะโดยตรงหรือเพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดทำบริการสาธารณะ อันจะถือเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และแม้จะมีข้อสัญญากำหนดให้คณะกรรมการตรวจการจ้าง หรือผู้ควบคุมงาน หรือบริษัทที่ปรึกษาที่ผู้ถูกฟ้องคดีแต่งตั้งขึ้นมีอำนาจเข้าไปตรวจสถานที่ที่กำลังก่อสร้าง สั่งการให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมหรือตัดทอนซึ่งงานตามสัญญา และให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีสิทธิที่จะสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทำงานพิเศษซึ่งไม่ได้แสดงไว้หรือรวมอยู่ในเอกสารสัญญา หากงานพิเศษนั้น ๆ อยู่ในขอบข่ายทั่วไปแห่งวัตถุประสงค์ของสัญญา ตลอดจนสั่งให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขรูปแบบและข้อกำหนดต่าง ๆ ในเอกสารสัญญา โดยไม่ทำให้สัญญาเป็นโมฆะ แต่ข้อกำหนดในสัญญาดังกล่าวก็มิได้มีลักษณะพิเศษที่แสดงถึงเอกสิทธิ์ของรัฐเพื่อให้การบริการสาธารณะบรรลุผลแต่อย่างใด สัญญาจ้างก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยพิพาท จึงไม่ใช่สัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
คดีนี้แม้จำเลยเป็นนิติบุคคลและเป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการประปานครหลวง พ.ศ. ๒๕๑๐ เป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่สัญญาซื้อขายงานพัฒนาระบบข้อมูลผู้ใช้น้ำของโจทก์เป็นเพียงสัญญาที่จำเลยว่าจ้างให้โจทก์พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและอุปกรณ์ ตามโครงการพัฒนาระบบข้อมูลผู้ใช้น้ำ ซึ่งจำเลยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการงานและพัฒนาระบบสารสนเทศ รวมทั้งยังสามารถสนับสนุนการทำงานของสายงานการเงิน สายงานบริหาร ของจำเลย ทั้งไม่มีลักษณะเป็นการให้โจทก์เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะโดยตรง หรือมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ อันจะเข้าลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองตามบทนิยาม "สัญญาทางปกครอง" ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยในการทำสัญญาพิพาทจึงไม่จำต้องบังคับตามกฎหมายมหาชน แต่เป็นเรื่องสิทธิและหน้าที่ในทางแพ่งของคู่สัญญาตามหลักกฎหมายเอกชน ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายงานพัฒนาระบบข้อมูลผู้ใช้น้ำ จึงเป็นสัญญาทางแพ่ง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้แม้จำเลยเป็นนิติบุคคลและเป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการประปานครหลวง พ.ศ. ๒๕๑๐ เป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่สัญญาซื้อขายงานพัฒนาระบบข้อมูลผู้ใช้น้ำของโจทก์เป็นเพียงสัญญาที่จำเลยว่าจ้างให้โจทก์พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและอุปกรณ์ ตามโครงการพัฒนาระบบข้อมูลผู้ใช้น้ำ ซึ่งจำเลยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการงานและพัฒนาระบบสารสนเทศ รวมทั้งยังสามารถสนับสนุนการทำงานของสายงานการเงิน สายงานบริหาร ของจำเลย ทั้งไม่มีลักษณะเป็นการให้โจทก์เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะโดยตรง หรือมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ อันจะเข้าลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองตามบทนิยาม "สัญญาทางปกครอง" ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยในการทำสัญญาพิพาทจึงไม่จำต้องบังคับตามกฎหมายมหาชน แต่เป็นเรื่องสิทธิและหน้าที่ในทางแพ่งของคู่สัญญาตามหลักกฎหมายเอกชน ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายงานพัฒนาระบบข้อมูลผู้ใช้น้ำ จึงเป็นสัญญาทางแพ่ง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เคยเป็นรัฐวิสาหกิจที่ได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ ต่อมาได้ผ่านการแปลงสภาพตามกฎหมายว่าด้วยทุนรัฐวิสาหกิจ ให้กลายมาเป็นบริษัทมหาชนจำกัด จึงมิใช่รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา อันจะถือว่าเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่อาจเป็นหน่วยงานทางปกครองประเภทหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครอง หากได้กระทำการตามที่ได้รับมอบหมายอำนาจหน้าที่จากรัฐเกี่ยวกับการประกอบกิจการและส่งเสริมการท่าอากาศยาน รวมทั้งการดำเนินกิจการอื่นที่เกี่ยวข้องหรือต่อเนื่องกับการประกอบกิจการการท่าอากาศยานอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะ นอกเหนือจากนี้ ย่อมเป็นการกระทำในฐานะเอกชน การที่บริษัทท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน) อนุญาตให้สมาคมสโมสรท่าอากาศยานใช้พื้นที่ท่าอากาศยานบางส่วนเพื่อปรับปรุงเป็นสถานที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มราคาประหยัด สำหรับสวัสดิการพนักงานและลูกจ้าง จึงเป็นไปเพื่อการจัดสวัสดิการให้แก่บุคคลากรของบริษัท มิใช่เพื่อการดำเนินกิจการทางปกครองที่เกี่ยวกับกิจการและการส่งเสริมการท่าอากาศยานตามที่บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับมอบหมาย จากรัฐ การกระทำของบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่อนุญาตให้โจทก์ใช้พื้นที่ของบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) จึงมิใช่เป็นการกระทำในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครอง อันจะถือว่าเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เป็นการกระทำในฐานะนิติบุคคลเอกชนอันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน จึงไม่อาจเป็นผลให้โจทก์มีสถานะเป็นหน่วยงานทางปกครองไปได้
สัญญาที่สมาคมสโมสรท่าอากาศยาน อนุญาตให้บริษัท ค. จำเลย ดำเนินการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มในพื้นที่บางส่วนของท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งสมาคมสโมสรท่าอากาศยานได้รับอนุญาตจากบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ให้เข้าใช้พื้นที่ เป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน และเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์แห่งสัญญาเป็นไปในเชิงพาณิชย์เพื่อประโยชน์แก่คู่สัญญา ทั้งสองฝ่าย มิใช่เพื่อประโยชน์แก่รัฐหรือการบริการสาธารณะ จึงไม่เข้านิยาม "สัญญาทางปกครอง" ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามสัญญาในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เคยเป็นรัฐวิสาหกิจที่ได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ ต่อมาได้ผ่านการแปลงสภาพตามกฎหมายว่าด้วยทุนรัฐวิสาหกิจ ให้กลายมาเป็นบริษัทมหาชนจำกัด จึงมิใช่รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา อันจะถือว่าเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่อาจเป็นหน่วยงานทางปกครองประเภทหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครอง หากได้กระทำการตามที่ได้รับมอบหมายอำนาจหน้าที่จากรัฐเกี่ยวกับการประกอบกิจการและส่งเสริมการท่าอากาศยาน รวมทั้งการดำเนินกิจการอื่นที่เกี่ยวข้องหรือต่อเนื่องกับการประกอบกิจการการท่าอากาศยานอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะ นอกเหนือจากนี้ ย่อมเป็นการกระทำในฐานะเอกชน การที่บริษัทท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน) อนุญาตให้สมาคมสโมสรท่าอากาศยานใช้พื้นที่ท่าอากาศยานบางส่วนเพื่อปรับปรุงเป็นสถานที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มราคาประหยัด สำหรับสวัสดิการพนักงานและลูกจ้าง จึงเป็นไปเพื่อการจัดสวัสดิการให้แก่บุคคลากรของบริษัท มิใช่เพื่อการดำเนินกิจการทางปกครองที่เกี่ยวกับกิจการและการส่งเสริมการท่าอากาศยานตามที่บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับมอบหมาย จากรัฐ การกระทำของบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่อนุญาตให้โจทก์ใช้พื้นที่ของบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) จึงมิใช่เป็นการกระทำในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครอง อันจะถือว่าเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เป็นการกระทำในฐานะนิติบุคคลเอกชนอันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน จึงไม่อาจเป็นผลให้โจทก์มีสถานะเป็นหน่วยงานทางปกครองไปได้
สัญญาที่สมาคมสโมสรท่าอากาศยาน อนุญาตให้บริษัท ค. จำเลย ดำเนินการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มในพื้นที่บางส่วนของท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งสมาคมสโมสรท่าอากาศยานได้รับอนุญาตจากบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ให้เข้าใช้พื้นที่ เป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน และเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์แห่งสัญญาเป็นไปในเชิงพาณิชย์เพื่อประโยชน์แก่คู่สัญญา ทั้งสองฝ่าย มิใช่เพื่อประโยชน์แก่รัฐหรือการบริการสาธารณะ จึงไม่เข้านิยาม "สัญญาทางปกครอง" ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามสัญญาในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|