ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้คัดค้านว่า จากข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบถึงวันที่ 4 มีนาคม 2557 ตามเอกสารท้ายคำคัดค้านหมายเลข 6 ปรากฏว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 เมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งตามมาตรา 19 วรรคท้ายแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นทะเบียนที่ถูกต้องและแท้จริงตามกฎหมาย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นอย่างอื่น การที่ผู้ร้องอ้างว่า ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่ปี 2551 จึงขัดกับข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบดังกล่าว กรณีจึงเป็นการโต้แย้งว่าทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถูกต้อง แต่ผู้ร้องไม่มีหลักฐานใด ๆ มาแสดงให้ศาลเห็นว่าทะเบียนสมาชิกดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือแท้จริงอย่างใด ทั้งระยะเวลาที่ระบุว่าผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยก็เป็นระยะเวลา หลังจากที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกแล้ว การที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยจึงเป็นกรณีที่ขัดต่อความเป็นจริง นอกจากนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคที่ยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่อย่างใด ฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2553 และยังไม่พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพ ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6)
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า เมื่อวันที่ 4มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต่อมาผู้คัดค้านตรวจหลักฐานการสมัครคุณสมบัติและสอบสวนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้ร้องแล้ว เห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ความจริงแล้ว ผู้ร้องเคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่เมื่อประมาณปี 2551 ต่อมาพรรคการเมืองใหม่เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยโดยมีผู้ร้องเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งเป็นข้อมูลที่พรรคสังคมประชาธิปไตยไทยแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยผู้ร้องไม่มีเจตนาและต้องการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เนื่องจากผู้ร้องได้ลาออกจากพรรคการเมืองใหม่แล้วเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ กับพรรคอีก ตามเอกสารบันทึกความจริงของแกนนำพรรคต่อกรรมการพรรคการเมืองใหม่ทั้งสามคนตามเอกสาร ท้ายคำร้อง ขอให้มีคำสั่งคืนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านตรวจสอบจากระบบบริหารฐานข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพบว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2553 เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 จึงต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6)และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 30 มีนาคม 2557 เมื่อวันที่ 4มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งดังกล่าวอ้างว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 โดยสมัครเป็นสมาชิกวันที่ 4มิถุนายน 2553 เดิมพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยใช้ชื่อว่า พรรคการเมืองใหม่ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทฺธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ เห็นว่าตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 20 วรรคสอง บัญญัติว่า "การลาออกจากสมาชิกตามวรรคหนึ่ง (2) ให้ถือว่าสมบูรณ์เมื่อได้ยื่นใบลาออกต่อนายทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง" มาตรา 19 วรรคสี่ บัญญัติว่า "ให้หัวหน้าพรรคการเมืองแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพและที่อยู่ของสมาชิกดังกล่าว ตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนด ..." และตามประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง การรับสมัครสมาชิกพรรคการเมือง การจัดทำและแบบทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง และวิธีการแจ้งจำนวนสมาชิกพรรคการเมืองที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 กำหนดให้การแจ้งดังกล่าวต้องกระทำภายในวันที่ 7 ของทุก 3 เดือน โดยการส่งเอกสารหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยแล้วตั้งแต่ปี 2551 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้คัดค้านว่า จากข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบถึงวันที่ 4มีนาคม 2557 ตามเอกสารท้ายคำคัดค้านหมายเลข 6 ปรากฏว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 เมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งตามมาตรา 19 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นทะเบียนที่ถูกต้องและแท้จริงตามกฎหมาย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นอย่างอื่น การที่ผู้ร้องอ้างว่าได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่ปี 2551 จึงขัดกับข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบดังกล่าว กรณีจึงเป็นการโต้แย้งว่าทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถูกต้อง แต่ผู้ร้องไม่มีหลักฐานใด ๆ มาแสดงให้ศาลเห็นว่าทะเบียนสมาชิกดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือแท้จริงอย่างใด ทั้งระยะเวลาที่ระบุว่าผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยก็เป็นระยะเวลา หลังจากที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกแล้ว การที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยจึงเป็นกรณีที่ขัดต่อความเป็นจริง นอกจากนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคที่ยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่อย่างใด ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องไม่เคยรู้จักพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ไม่เคยมีส่วนร่วมกับพรรคดังกล่าว ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ พยานหลักฐานของผู้ร้องไม่สามารถหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่วันที่ 4มิถุนายน 2553 และยังไม่พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพ ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6) การที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัคร ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาชอบแล้ว
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง.
ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้คัดค้านว่า จากข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบถึงวันที่ 4 มีนาคม 2557 ตามเอกสารท้ายคำคัดค้านหมายเลข 6 ปรากฏว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 เมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งตามมาตรา 19 วรรคท้ายแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นทะเบียนที่ถูกต้องและแท้จริงตามกฎหมาย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นอย่างอื่น การที่ผู้ร้องอ้างว่า ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่ปี 2551 จึงขัดกับข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบดังกล่าว กรณีจึงเป็นการโต้แย้งว่าทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถูกต้อง แต่ผู้ร้องไม่มีหลักฐานใด ๆ มาแสดงให้ศาลเห็นว่าทะเบียนสมาชิกดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือแท้จริงอย่างใด ทั้งระยะเวลาที่ระบุว่าผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยก็เป็นระยะเวลา หลังจากที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกแล้ว การที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยจึงเป็นกรณีที่ขัดต่อความเป็นจริง นอกจากนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคที่ยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่อย่างใด ฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2553 และยังไม่พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพ ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6)
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า เมื่อวันที่ 4มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต่อมาผู้คัดค้านตรวจหลักฐานการสมัครคุณสมบัติและสอบสวนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้ร้องแล้ว เห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ความจริงแล้ว ผู้ร้องเคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่เมื่อประมาณปี 2551 ต่อมาพรรคการเมืองใหม่เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยโดยมีผู้ร้องเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งเป็นข้อมูลที่พรรคสังคมประชาธิปไตยไทยแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยผู้ร้องไม่มีเจตนาและต้องการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เนื่องจากผู้ร้องได้ลาออกจากพรรคการเมืองใหม่แล้วเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ กับพรรคอีก ตามเอกสารบันทึกความจริงของแกนนำพรรคต่อกรรมการพรรคการเมืองใหม่ทั้งสามคนตามเอกสาร ท้ายคำร้อง ขอให้มีคำสั่งคืนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านตรวจสอบจากระบบบริหารฐานข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพบว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2553 เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 จึงต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6)และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 30 มีนาคม 2557 เมื่อวันที่ 4มีนาคม 2557 ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งดังกล่าวอ้างว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 โดยสมัครเป็นสมาชิกวันที่ 4มิถุนายน 2553 เดิมพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยใช้ชื่อว่า พรรคการเมืองใหม่ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทฺธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ เห็นว่าตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 20 วรรคสอง บัญญัติว่า "การลาออกจากสมาชิกตามวรรคหนึ่ง (2) ให้ถือว่าสมบูรณ์เมื่อได้ยื่นใบลาออกต่อนายทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง" มาตรา 19 วรรคสี่ บัญญัติว่า "ให้หัวหน้าพรรคการเมืองแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพและที่อยู่ของสมาชิกดังกล่าว ตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนด ..." และตามประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง การรับสมัครสมาชิกพรรคการเมือง การจัดทำและแบบทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง และวิธีการแจ้งจำนวนสมาชิกพรรคการเมืองที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 กำหนดให้การแจ้งดังกล่าวต้องกระทำภายในวันที่ 7 ของทุก 3 เดือน โดยการส่งเอกสารหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยแล้วตั้งแต่ปี 2551 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้คัดค้านว่า จากข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบถึงวันที่ 4มีนาคม 2557 ตามเอกสารท้ายคำคัดค้านหมายเลข 6 ปรากฏว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย เลขประจำตัวสมาชิก 00011405 เมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2553 ซึ่งตามมาตรา 19 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นทะเบียนที่ถูกต้องและแท้จริงตามกฎหมาย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นอย่างอื่น การที่ผู้ร้องอ้างว่าได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่ปี 2551 จึงขัดกับข้อมูลสมาชิกที่พรรคการเมืองบันทึกเข้าระบบดังกล่าว กรณีจึงเป็นการโต้แย้งว่าทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถูกต้อง แต่ผู้ร้องไม่มีหลักฐานใด ๆ มาแสดงให้ศาลเห็นว่าทะเบียนสมาชิกดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือแท้จริงอย่างใด ทั้งระยะเวลาที่ระบุว่าผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยก็เป็นระยะเวลา หลังจากที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกแล้ว การที่ผู้ร้องอ้างว่าลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยจึงเป็นกรณีที่ขัดต่อความเป็นจริง นอกจากนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคที่ยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่อย่างใด ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องไม่เคยรู้จักพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ไม่เคยมีส่วนร่วมกับพรรคดังกล่าว ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ พยานหลักฐานของผู้ร้องไม่สามารถหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยตั้งแต่วันที่ 4มิถุนายน 2553 และยังไม่พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพ ผู้ร้องจึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 115 (6) การที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัคร ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาชอบแล้ว
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง.
ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยและตั้งจำเลยเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แม้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) บัญญัติว่า นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณา ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ในกรณีที่มีการฟ้องคดีไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ แต่จำเลยและผู้ร้องต่างไม่แจ้งให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลย และไม่ปรากฎว่าศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่า คดีล้มละลายอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลย กรณีจึงต้องตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ที่ศาลฎีกาต้องงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 95,418,454.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 47,597,938.37 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระขอให้ยึดทรัพย์จำนองคือ สิ่งปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค บางแค เลขที่ 110, 110/5 ถึง 110/6 หมู่ที่ 9 ถนนเพชรเกษม ซอย 33 ถึง 35 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร และสิ่งปลูกสร้างอื่นที่มีอยู่แล้วและที่จะมีขึ้นต่อไปในภายหน้า ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 457, 458, 459, 477, 3604, 4258, 476, 50568, 6105, 37854, 42205, 50566, 53856, 53855, 50567, 39663, 66542, 66541, 66540,66539, 57779, 57778, 57777, 39664, 39665, 39666, 4259, 95238, 95239, 95240, 95241, 39667, 95242, 95243, 3041, 33834, 33837, 3602, 33835, 33836, 12331 เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทพุฒิแก้ว จำกัด โฉนดเลขที่ 4261 เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัททรัพย์กวี จำกัด และโฉนดเลขที่ 478 เป็นกรรมสิทธิ์ของนางกวีนี โดยที่ดินทั้งหมดตั้งอยู่ที่แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 66,855,779.19 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี ของต้นเงิน 47,597,938.37 บาท นับแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 47,597,938.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 30 พฤษภาคม 2545) ย้อนหลังไปไม่เกิน 5 ปี โดยคิดอัตราดังกล่าวถึงวันที่ 24 กรกฎาคม 2542 และจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยตามอัตราในบัญชีเงินกู้และรายการชำระหนี้ กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 12,000 บาท แทนโจทก์ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังว่า หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยอุทธรณ์ ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยและตั้งจำเลยเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อสำนักฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ต่อมาที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการและคดีอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟู ส่วนคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2551 อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ ตามคำร้องของผู้ร้อง แต่โจทก์ จำเลย และผู้ร้องไม่ได้แถลงให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ทราบว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลย ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้น้อยกว่าเดิม ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่กระทำหลังจากวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 โดยอ้างว่าขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ศาลชั้นต้นนัดไต่สวน ก่อนถึงวันนัดผู้ร้องยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกา จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาแล้ว
ผู้ร้องฎีกาข้อแรกว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยแล้ว ศาลที่พิจารณาคดีนี้จะต้องงดการพิจารณาไว้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีหลังวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 จนถึงวันที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา รวมทั้งการที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 เป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลฎีกาเพิกถอนกระบวนพิจารณาหลังวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์แล้ว แม้พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับของมาตรา 90/13 และมาตรา 90/14 นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผน หรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ หรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ หรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตามความในหมวดนี้...(4) ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้... ถ้ามูลแห่งหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน...ในกรณีที่มีการฟ้องคดี...ไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น..." แต่จำเลยซึ่งเป็นผู้ร้องขอฟื้นฟูกิจการและผู้ร้องซึ่งได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายต่างไม่แจ้งให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ และไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่าคดีล้มละลายอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลย กรณีจึงต้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ที่ศาลฎีกาต้องงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน และเมื่อไม่แน่ชัดว่าคดีล้มละลายจะเสร็จเมื่อไร จึงเห็นสมควรให้จำหน่ายคดี โดยไม่จำต้องวินิจฉัยข้ออื่นของผู้ร้องอีก
ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา หากต่อมาปรากฏว่ามีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องพิจารณาคดีต่อไป ให้ผู้ร้องแถลงต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาคดีต่อไป
ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยและตั้งจำเลยเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แม้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) บัญญัติว่า นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณา ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ในกรณีที่มีการฟ้องคดีไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ แต่จำเลยและผู้ร้องต่างไม่แจ้งให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลย และไม่ปรากฎว่าศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่า คดีล้มละลายอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลย กรณีจึงต้องตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ที่ศาลฎีกาต้องงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 95,418,454.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 47,597,938.37 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระขอให้ยึดทรัพย์จำนองคือ สิ่งปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค บางแค เลขที่ 110, 110/5 ถึง 110/6 หมู่ที่ 9 ถนนเพชรเกษม ซอย 33 ถึง 35 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร และสิ่งปลูกสร้างอื่นที่มีอยู่แล้วและที่จะมีขึ้นต่อไปในภายหน้า ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 457, 458, 459, 477, 3604, 4258, 476, 50568, 6105, 37854, 42205, 50566, 53856, 53855, 50567, 39663, 66542, 66541, 66540,66539, 57779, 57778, 57777, 39664, 39665, 39666, 4259, 95238, 95239, 95240, 95241, 39667, 95242, 95243, 3041, 33834, 33837, 3602, 33835, 33836, 12331 เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทพุฒิแก้ว จำกัด โฉนดเลขที่ 4261 เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัททรัพย์กวี จำกัด และโฉนดเลขที่ 478 เป็นกรรมสิทธิ์ของนางกวีนี โดยที่ดินทั้งหมดตั้งอยู่ที่แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 66,855,779.19 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี ของต้นเงิน 47,597,938.37 บาท นับแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 47,597,938.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 30 พฤษภาคม 2545) ย้อนหลังไปไม่เกิน 5 ปี โดยคิดอัตราดังกล่าวถึงวันที่ 24 กรกฎาคม 2542 และจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยตามอัตราในบัญชีเงินกู้และรายการชำระหนี้ กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10.50 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 12,000 บาท แทนโจทก์ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังว่า หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยอุทธรณ์ ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยและตั้งจำเลยเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อสำนักฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ต่อมาที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการและคดีอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟู ส่วนคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2551 อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ ตามคำร้องของผู้ร้อง แต่โจทก์ จำเลย และผู้ร้องไม่ได้แถลงให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ทราบว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลย ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จและส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้น้อยกว่าเดิม ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่กระทำหลังจากวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 โดยอ้างว่าขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ศาลชั้นต้นนัดไต่สวน ก่อนถึงวันนัดผู้ร้องยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกา จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาแล้ว
ผู้ร้องฎีกาข้อแรกว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยแล้ว ศาลที่พิจารณาคดีนี้จะต้องงดการพิจารณาไว้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีหลังวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 จนถึงวันที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา รวมทั้งการที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 เป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลฎีกาเพิกถอนกระบวนพิจารณาหลังวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์แล้ว แม้พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับของมาตรา 90/13 และมาตรา 90/14 นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผน หรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ หรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ หรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตามความในหมวดนี้...(4) ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้... ถ้ามูลแห่งหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน...ในกรณีที่มีการฟ้องคดี...ไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น..." แต่จำเลยซึ่งเป็นผู้ร้องขอฟื้นฟูกิจการและผู้ร้องซึ่งได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายต่างไม่แจ้งให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ และไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่าคดีล้มละลายอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลย กรณีจึงต้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ที่ศาลฎีกาต้องงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน และเมื่อไม่แน่ชัดว่าคดีล้มละลายจะเสร็จเมื่อไร จึงเห็นสมควรให้จำหน่ายคดี โดยไม่จำต้องวินิจฉัยข้ออื่นของผู้ร้องอีก
ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา หากต่อมาปรากฏว่ามีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องพิจารณาคดีต่อไป ให้ผู้ร้องแถลงต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาคดีต่อไป
มาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 บัญญัติให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ วิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามระเบียบที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากำหนด โดยต้องใช้ระบบไต่สวนและเป็นไปโดยรวดเร็ว ส่วนระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ใหญ่ๆ ในการพิจารณาและวินิจฉัยคดีเลือกตั้ง ในกรณีที่วิธีพิจารณาใดซึ่งระเบียบมิได้กำหนดไว้โดยเฉพาะ ความใน ข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบกำหนดให้นำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้
ผู้ร้องอ้างว่าเหตุที่ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิเขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ว่า มีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา โดยมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นข้ออ้างเหตุเดียวกับคดีซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาไว้ และศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ซึ่งมีผลให้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา แม้ตามคำร้องทั้งสองคำร้อง จะเป็นการให้เงินคนละวัน โดยผู้ให้คนละคนและผู้รับคนละคนกันและยังอำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด จะมีอำนาจสั่งรวมหรือแยกเรื่องคัดค้านก็เป็นหลักเกณฑ์ชั้นสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดของผู้ร้องก็ตาม เมื่อถึงชั้นยื่นคำร้องต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาคดีในศาล ทั้งการที่ผู้ร้องแยกยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ในขณะที่ผู้ร้องสามารถที่จะรอยื่นรวมกันได้ ย่อมมีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นการใช้อำนาจขององค์กรนิติบัญญัติ เพราะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้งที่ศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องแล้ว และมีผลทำให้การพิจารณาคดีเลือกตั้งของศาลฎีกาไม่เป็นไปโดยรวดเร็วตามมาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 การที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาเป็นคดีนี้อีก ย่อมเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตาม ข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ประกอบมาตรา 171, 173 วรรคสอง (1) แห่ง ป.วิ.พ.
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหา ตามคำวินิจฉัยสั่งการผู้ร้องที่ 408/2555 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2555 ขอให้ศาลมีคำสั่งตามมาตรา 239 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ประกอบมาตรา 111 และมาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ดังนี้
1. เมื่อศาลมีคำสั่งรับคำร้องแล้ว ขอให้แจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรทราบว่าศาลได้รับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว นายโอชิษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหา จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้
2. ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนนายโอชิษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหา
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยว่า หลังจากมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ผู้ร้องจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ต่อมาผู้ร้องประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 หมายเลข 16 พรรคภูมิใจไทย เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิเขตเลือกตั้งดังกล่าวก่อนประกาศผลการเลือกตั้งนายประสิทธิ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตเลือกตั้งเดียวกัน หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 ต่อมาผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดชัยภูมิสั่งให้รวมและแยกสืบสวนสอบสวนเป็นหลายสำนวน ผู้ร้องมีคำวินิจฉัยที่ 283/2555 และที่ 408/2555 ตามลำดับว่า มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดชัยภูมิ เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 มีผลทำให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ถูกกล่าวหามิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเป็นคดีเลือกตั้งหมายเลขดำที่ ลต 8/2555 ว่า นางปิยนันท์หรือจีระพันธ์ ตัวแทน (หัวคะแนน) ของผู้ถูกกล่าวหา ให้เงิน 1,500 บาท แก่นายประพัศ นางตุ่น และนายสมบูรณ์ ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 โดยขอให้ลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา และในวันเดียวกัน นางอุบลหรืออาทิตยา ตัวแทน (หัวคะแนน) ของผู้ถูกกล่าวหา ให้เงิน 500 บาท แก่นายกุหลาบ ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 โดยขอให้ลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาขอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหาศาลฎีกาสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาและนัดตรวจพยานหลักฐาน ต่อมาก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐานในคดี ผู้ร้องยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ว่า นางราตรี ตัวแทน (หัวคะแนน) ของผู้ถูกกล่าวหาให้เงินแก่นางสาวแก้วใจ ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 จำนวน 500 บาท พร้อมบอกให้เลือกผู้ถูกกล่าวหา และในวันเดียวกันนางราตรีให้เงินแก่นายสุข ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 จำนวน 500 บาท พร้อมบอกให้เลือกผู้ถูกกล่าวหา ขอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหา
มีปัญหาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องเป็นคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า มาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 บัญญติให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ วิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามระเบียบที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากำหนด โดยต้องใช้ระบบไต่สวนและเป็นไปโดยรวดเร็ว ส่วนระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ใหญ่ๆ ในการพิจารณาและวินิจฉัยคดีเลือกตั้ง ในกรณีที่วิธีพิจารณาใดซึ่งระเบียบดังกล่าวมิได้กำหนดไว้โดยเฉพาะ ความในข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบกำหนดให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้ ในการวินิจฉัยปัญหาว่าผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องเป็นคดีนี้หรือไม่ ต้องพิจารณาข้อห้ามเรื่องฟ้องซ้อนตามความในมาตรา 173 วรรคสอง (1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งบัญญัติว่า นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้ ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น คำร้องของผู้ร้องเป็นกระบวนพิจารณาที่เสนอข้อหาต่อศาล แม้จะเสนอต่อศาลในขณะเริ่มคดีโดยคำร้องขอ ก็ถือว่าเป็นคำฟ้อง ผู้ร้องอ้างเหตุที่ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ว่า มีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา โดยมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นข้ออ้างเหตุเดียวกับการมีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาในการเลือกตั้งครั้งเดียวกันในเขตเลือกตั้งเดียวกัน ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาไว้แล้วในคดีเลือกตั้งหมายเลขดำที่ ลต 8/2555 ของศาลฎีกา โดยศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา ซึ่งมีผลให้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา แม้ตามคำร้องทั้งสองคำร้อง จะเป็นการให้เงินคนละวัน โดยผู้ให้คนละคนและผู้รับคนละคนกันก็ตาม การที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาเป็นคดีนี้อีก ย่อมเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ประกอบมาตรา 171, 173 วรรคสอง (1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แม้ตามระเบียบผู้ร้องว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2554 ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจะมีอำนาจสั่งรวมหรือแยกเรื่องคัดค้านหรือประเด็นของเรื่องคัดค้านก็ตาม ก็เป็นหลักเกณฑ์ชั้นสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดของผู้ร้องเท่านั้น เมื่อถึงชั้นยื่นคำร้องต่อศาล การยื่นคำร้องก็ต้องอยู่ในบังคับของบทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาคดีในศาล การสั่งรวมหรือแยกเรื่องคัดค้านหรือประเด็นของเรื่องคัดค้านตามระเบียบของผู้ร้องไม่อาจก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ร้องในการรวมหรือแยกยื่นคำร้องต่อศาลได้ ทั้งการที่ผู้ร้องแยกยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเป็นคดีนี้และคดีเลือกตั้งหมายเลขดำที่ ลต 8/2555 ของศาลฎีกา ในขณะที่ผู้ร้องสามารถที่จะรอยื่นรวมกันได้ ย่อมมีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นการใช้อำนาจขององค์กรนิติบัญญัติ เพราะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้งที่ศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องแล้ว และมีผลทำให้การพิจารณาคดีเลือกตั้งของศาลฎีกาไม่เป็นไปโดยรวดเร็วตามมาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องเป็นคดีนี้
จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องของผู้ร้อง และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา
มาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 บัญญัติให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ วิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามระเบียบที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากำหนด โดยต้องใช้ระบบไต่สวนและเป็นไปโดยรวดเร็ว ส่วนระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ใหญ่ๆ ในการพิจารณาและวินิจฉัยคดีเลือกตั้ง ในกรณีที่วิธีพิจารณาใดซึ่งระเบียบมิได้กำหนดไว้โดยเฉพาะ ความใน ข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบกำหนดให้นำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้
ผู้ร้องอ้างว่าเหตุที่ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิเขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ว่า มีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา โดยมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นข้ออ้างเหตุเดียวกับคดีซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาไว้ และศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ซึ่งมีผลให้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา แม้ตามคำร้องทั้งสองคำร้อง จะเป็นการให้เงินคนละวัน โดยผู้ให้คนละคนและผู้รับคนละคนกันและยังอำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด จะมีอำนาจสั่งรวมหรือแยกเรื่องคัดค้านก็เป็นหลักเกณฑ์ชั้นสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดของผู้ร้องก็ตาม เมื่อถึงชั้นยื่นคำร้องต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาคดีในศาล ทั้งการที่ผู้ร้องแยกยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ในขณะที่ผู้ร้องสามารถที่จะรอยื่นรวมกันได้ ย่อมมีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นการใช้อำนาจขององค์กรนิติบัญญัติ เพราะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้งที่ศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องแล้ว และมีผลทำให้การพิจารณาคดีเลือกตั้งของศาลฎีกาไม่เป็นไปโดยรวดเร็วตามมาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 การที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาเป็นคดีนี้อีก ย่อมเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตาม ข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ประกอบมาตรา 171, 173 วรรคสอง (1) แห่ง ป.วิ.พ.
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหา ตามคำวินิจฉัยสั่งการผู้ร้องที่ 408/2555 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2555 ขอให้ศาลมีคำสั่งตามมาตรา 239 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ประกอบมาตรา 111 และมาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ดังนี้
1. เมื่อศาลมีคำสั่งรับคำร้องแล้ว ขอให้แจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรทราบว่าศาลได้รับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว นายโอชิษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหา จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้
2. ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนนายโอชิษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหา
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยว่า หลังจากมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ผู้ร้องจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ต่อมาผู้ร้องประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 หมายเลข 16 พรรคภูมิใจไทย เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิเขตเลือกตั้งดังกล่าวก่อนประกาศผลการเลือกตั้งนายประสิทธิ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตเลือกตั้งเดียวกัน หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 ต่อมาผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดชัยภูมิสั่งให้รวมและแยกสืบสวนสอบสวนเป็นหลายสำนวน ผู้ร้องมีคำวินิจฉัยที่ 283/2555 และที่ 408/2555 ตามลำดับว่า มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดชัยภูมิ เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 มีผลทำให้การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ถูกกล่าวหามิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเป็นคดีเลือกตั้งหมายเลขดำที่ ลต 8/2555 ว่า นางปิยนันท์หรือจีระพันธ์ ตัวแทน (หัวคะแนน) ของผู้ถูกกล่าวหา ให้เงิน 1,500 บาท แก่นายประพัศ นางตุ่น และนายสมบูรณ์ ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 โดยขอให้ลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา และในวันเดียวกัน นางอุบลหรืออาทิตยา ตัวแทน (หัวคะแนน) ของผู้ถูกกล่าวหา ให้เงิน 500 บาท แก่นายกุหลาบ ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 โดยขอให้ลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาขอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหาศาลฎีกาสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาและนัดตรวจพยานหลักฐาน ต่อมาก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐานในคดี ผู้ร้องยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ว่า นางราตรี ตัวแทน (หัวคะแนน) ของผู้ถูกกล่าวหาให้เงินแก่นางสาวแก้วใจ ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 จำนวน 500 บาท พร้อมบอกให้เลือกผู้ถูกกล่าวหา และในวันเดียวกันนางราตรีให้เงินแก่นายสุข ราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 จำนวน 500 บาท พร้อมบอกให้เลือกผู้ถูกกล่าวหา ขอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหา
มีปัญหาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องเป็นคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า มาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 บัญญติให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ วิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามระเบียบที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากำหนด โดยต้องใช้ระบบไต่สวนและเป็นไปโดยรวดเร็ว ส่วนระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ใหญ่ๆ ในการพิจารณาและวินิจฉัยคดีเลือกตั้ง ในกรณีที่วิธีพิจารณาใดซึ่งระเบียบดังกล่าวมิได้กำหนดไว้โดยเฉพาะ ความในข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบกำหนดให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้ ในการวินิจฉัยปัญหาว่าผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องเป็นคดีนี้หรือไม่ ต้องพิจารณาข้อห้ามเรื่องฟ้องซ้อนตามความในมาตรา 173 วรรคสอง (1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งบัญญัติว่า นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้ ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น คำร้องของผู้ร้องเป็นกระบวนพิจารณาที่เสนอข้อหาต่อศาล แม้จะเสนอต่อศาลในขณะเริ่มคดีโดยคำร้องขอ ก็ถือว่าเป็นคำฟ้อง ผู้ร้องอ้างเหตุที่ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชัยภูมิ เขตเลือกตั้งที่ 1 ใหม่ แทนผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ว่า มีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา โดยมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นข้ออ้างเหตุเดียวกับการมีผู้ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาในการเลือกตั้งครั้งเดียวกันในเขตเลือกตั้งเดียวกัน ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาไว้แล้วในคดีเลือกตั้งหมายเลขดำที่ ลต 8/2555 ของศาลฎีกา โดยศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา ซึ่งมีผลให้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา แม้ตามคำร้องทั้งสองคำร้อง จะเป็นการให้เงินคนละวัน โดยผู้ให้คนละคนและผู้รับคนละคนกันก็ตาม การที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาเป็นคดีนี้อีก ย่อมเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามข้อ 4 วรรคสอง ของระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ประกอบมาตรา 171, 173 วรรคสอง (1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แม้ตามระเบียบผู้ร้องว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2554 ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจะมีอำนาจสั่งรวมหรือแยกเรื่องคัดค้านหรือประเด็นของเรื่องคัดค้านก็ตาม ก็เป็นหลักเกณฑ์ชั้นสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดของผู้ร้องเท่านั้น เมื่อถึงชั้นยื่นคำร้องต่อศาล การยื่นคำร้องก็ต้องอยู่ในบังคับของบทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาคดีในศาล การสั่งรวมหรือแยกเรื่องคัดค้านหรือประเด็นของเรื่องคัดค้านตามระเบียบของผู้ร้องไม่อาจก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ร้องในการรวมหรือแยกยื่นคำร้องต่อศาลได้ ทั้งการที่ผู้ร้องแยกยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเป็นคดีนี้และคดีเลือกตั้งหมายเลขดำที่ ลต 8/2555 ของศาลฎีกา ในขณะที่ผู้ร้องสามารถที่จะรอยื่นรวมกันได้ ย่อมมีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นการใช้อำนาจขององค์กรนิติบัญญัติ เพราะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้งที่ศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องแล้ว และมีผลทำให้การพิจารณาคดีเลือกตั้งของศาลฎีกาไม่เป็นไปโดยรวดเร็วตามมาตรา 219 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องเป็นคดีนี้
จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องของผู้ร้อง และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 130 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ผลการพิจารณาสรรหาของคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาให้ถือเป็นที่สุดนั้น เป็นบทบัญญัติให้ผลการสรรหาเป็นที่สุดเฉพาะที่เกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการสรรหาในการสรรหาบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อผู้ใดเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของบุคคลที่ได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเรื่องความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติงานของวุฒิสภาและองค์ประกอบจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน โอกาสและความทัดเทียมกันทางเพศ สัดส่วนของบุคคลในแต่ละภาคส่วนที่ใกล้เคียงกัน รวมทั้งการให้โอกาสกับผู้ด้อยโอกาสทางสังคมด้วย ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 114 วรรคสอง แต่ไม่รวมถึงการสรรหาที่ไม่สุจริต ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 72 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง" และวรรคสอง บัญญัติว่า "บุคคลซึ่งไปใช้สิทธิหรือไม่ไปใช้สิทธิโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิได้ ย่อมได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติ" แต่กำหนดเวลาการเสียสิทธิตามมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 นั้น มาตรา 27 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ชัดเจนว่า "....ให้มีกำหนดเวลาตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้ง..." และวรรคสองยังบัญญัติต่อไปว่า "ในกรณีที่มีการโต้แย้งการเสียสิทธิตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดพร้อมหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งที่ถัดมาแล้ว..." เป็นการย้ำให้เห็นว่ากำหนดเวลาเสียสิทธิตามมาตรา 26 จะสิ้นสุดลงเมื่อได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งถัดมาจริง ๆ เท่านั้น
การที่สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อผู้คัดค้านเข้าเป็นผู้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 26 (2) มีผลให้การสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง คดีมีเหตุที่ต้องสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้าน แต่ตามพฤติการณ์พอเห็นได้ว่าผู้คัดค้านเพียงแต่เข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่าการเสียสิทธิของผู้คัดค้านสิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากในคราวที่จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขต ผู้คัดค้านเข้าใจว่าผู้คัดค้านมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครด้วย และได้มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้วโดยไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้คัดค้านว่าเหตุที่แจ้งไม่ใช่เหตุอันสมควร ทั้งผู้ร้องเองก็กล่าวมาในคำร้องว่าผู้คัดค้านยังไม่ได้สิทธิที่เสียไปกลับคืนมา เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร กรณียังฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านยินยอมให้สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่สุจริต จึงไม่มีเหตุที่จะสั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของผู้คัดค้านตามคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 219 มาตรา 239 และมาตรา 240 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 134 กล่าวคือ
1.เมื่อมีคำสั่งรับคำร้องแล้ว ได้โปรดแจ้งให้ประธานวุฒิสภาทราบว่า ศาลฎีกาได้รับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ผู้คัดค้านจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้
2.มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านเป็นเวลาห้าปี
3.มีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านและให้มีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาใหม่ในส่วนของผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
วันนัดตรวจพยานหลักฐาน คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงตามคำร้อง และไม่ติดใจสืบพยาน ศาลฎีกาจึงให้งดไต่สวนและกำหนดประเด็นวินิจฉัย ดังนี้
1.ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านและเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านตามคำร้องหรือไม่
2.ผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติในการเข้ารับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามคำร้องหรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังว่าเดิมผู้คัดค้านมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 17/32 หมู่ที่ 7 ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี วันที่ 25 มกราคม 2552 มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 แทนตำแหน่งที่ว่าง ในการเลือกตั้งดังกล่าวผู้คัดค้านเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และไม่ได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ต่อมาวันที่ 22 มีนาคม 2553 ผู้คัดค้านย้ายภูมิลำเนาไปอยู่บ้านเลขที่ 504/76 ถนนกาญจนาภิเษก แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร วันที่ 29 สิงหาคม 2553 ได้มีการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขต ผู้คัดค้านเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร แต่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาเขต ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาเขต แต่มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งไปยังผู้อำนวยการเขต ต่อมาวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2554 ผู้ร้องประกาศให้วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นวันสรรหาสมาชิกวุฒิสภา สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อผู้คัดค้านเข้ารับการสรรหา ผู้คัดค้านได้รับการสรรหา ผู้ร้องได้ประกาศให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554 ภายหลังมีผู้ทำหนังสือร้องเรียนว่า การสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการเข้ารับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา เพราะผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งและไม่ได้แจ้งเหตุที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรี ผู้ร้องมีมติในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ 8/2552 มอบหมายให้กรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็นประธานในที่ประชุมครั้งนั้นดำเนินคดีแทนผู้ร้อง กรณีมีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา และให้มีอำนาจลงนามในคำร้องยื่นต่อศาลตลอดจนสรรพเอกสารต่าง ๆ ในการดำเนินคดีและหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้งให้พนักงานของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินคดีแทนในศาล และในการประชุมของผู้ร้องครั้งที่ 29/2555 พิจารณารายงานการไต่สวน กรณีร้องเรียนคุณสมบัติของผู้คัดค้าน ที่ประชุมเลือกนายวิสุทธิ์กรรมการการเลือกตั้งเป็นประธานในที่ประชุม
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประเด็นแรกว่า ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านและเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านตามคำร้องหรือไม่ ตามประเด็นข้อนี้ ผู้ร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 240 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 134 ให้เพิกถอนการสรรหาและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านซึ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหา เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 238 บัญญัติว่า
"คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงโดยพลัน เมื่อมีกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) .....
(2) .....
(3) ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ก่อนได้รับการเลือกตั้งหรือสรรหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ใดได้กระทำการใด ๆ โดยไม่สุจริตเพื่อให้ตนเองได้รับเลือกตั้งหรือสรรหา หรือได้รับเลือกตั้งหรือสรรหามาโดยไม่สุจริตโดยผลของการที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดได้กระทำลงไปโดยฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง หรือกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(4) .....
เมื่อดำเนินการตามวรรคหนึ่งเสร็จแล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องพิจารณาวินิจฉัยสั่งการโดยพลัน"
และมาตรา 240 บัญญัติว่า
"ในกรณีที่มีการคัดค้านว่าการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาผู้ใดเป็นไปโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าก่อนได้รับการสรรหา สมาชิกวุฒิสภาผู้ใดกระทำการตามมาตรา 238 ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการสืบสวนสอบสวนโดยพลัน
เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้วินิจฉัยสั่งการเป็นอย่างใดแล้ว ให้เสนอต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาวินิจฉัยโดยพลัน และให้นำความในมาตรา 239 วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับกับการที่สมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ โดยอนุโลม
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งจะร่วมดำเนินการหรือวินิจฉัยสั่งการมิได้ และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีองค์ประกอบเท่าที่มีอยู่
ส่วนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 133 วรรคหนึ่งนั้น เป็นกรณีที่พระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติเพิ่มเติมให้สิทธิแก่ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกขององค์กรที่เสนอชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ยื่นคำร้องคัดค้านต่อผู้ร้อง โดยมีข้อจำกัดให้ต้องยื่นภายใน 30 วัน นับแต่การประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาเท่านั้น จึงหากระทบกระเทือนต่ออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 238 และมาตรา 240 ดังกล่าวแล้วไม่ ดังนั้น แม้กรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อที่ผู้ร้องได้วินิจฉัยสั่งการในคดีของผู้คัดค้านจะสืบเนื่องมาจากบัตรสนเท่ห์ ซึ่งได้ยื่นเข้าล่วงเลยกำหนด 30 วัน นับแต่วันประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ดังกล่าวก็ตาม กระบวนการดำเนินการของผู้ร้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ข้างต้นก็เป็นไปโดยชอบ มิได้ขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใด และเมื่อมีการประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาในวันที่ 12 เมษายน 2554 ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้เข้ามา เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2555 ภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศผลดังกล่าวอันเป็นไปตามนัย มาตรา 134 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องนี้ ผู้คัดค้านอ้างว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 130 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าผลการพิจารณาสรรหาของคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาให้ถือเป็นที่สุดนั้น เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวให้ผลการสรรหาเป็นที่สุดเฉพาะที่เกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการสรรหาในการสรรหาบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อผู้ใดเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของบุคคลที่สมควรได้รับการแสวงหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเรื่องความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติงานของวุฒิสภา และองค์ประกอบจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน โอกาสและความเท่าเทียมกันทางเพศ สัดส่วนของบุคคลในแต่ละภาคส่วนที่ใกล้เคียงกัน รวมทั้งการให้โอกาสกับผู้ด้อยโอกาสทางสังคมด้วย ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 114 วรรคสอง แต่ไม่รวมถึงการสรรหาที่เป็นไปโดยไม่สุจริต ไม่ถูกต้อง หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย สำหรับการมอบอำนาจนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 236 วรรคท้าย บัญญัติว่า "คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจแต่งตั้งบุคคล คณะบุคคล หรือผู้แทนองค์การเอกชน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่มอบหมาย และปรากฏข้อความจริงว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ 8/2552 วันพุธที่ 21 มกราคม 2552 เห็นชอบในหลักการ กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ให้กรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็นประธานในการประชุมครั้งนั้นเป็นผู้รับมอบหมายให้ดำเนินคดีแทนคณะกรรมการการเลือกตั้ง และให้มีอำนาจลงนามในคำร้องยื่นต่อศาลตลอดจนสรรพเอกสารต่าง ๆ ในการดำเนินคดีและหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้งให้พนักงานของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินคดีแทนในศาล ซึ่งในการประชุมลงมติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ 29/2555 วันพุธที่ 21 มีนาคม 2555 กรณีเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภารายผู้คัดค้าน โดยในการประชุมมีมติดังกล่าว ประธานกรรมการการเลือกตั้งมิได้ร่วมพิจารณาตามข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 240 วรรคสี่ กรรมการการเลือกตั้งที่เหลืออยู่ 4 คน ได้เลือกกรรมการเลือกตั้ง คือ นายวิสุทธิ์ เป็นประธานในที่ประชุมตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 เช่นนี้ นายวิสุทธิ์ กรรมการการเลือกตั้งผู้ได้รับมอบหมายจึงมีอำนาจลงชื่อในคำร้องยื่นต่อศาลฎีกา ฉะนั้น ผู้ร้องจึงย่อมมีอำนาจยื่นขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านและเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านตามคำร้อง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยในประเด็นต่อไปว่า ผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติในการเข้ารับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามคำร้องหรือไม่ ผู้คัดค้านอ้างเหตุคัดค้านในประเด็นนี้ว่า แม้ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2552 โดยมิได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เป็นเหตุให้เสียสิทธิได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 26 (2) แต่ต่อมาในคราวที่ได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขตวันเดียวกันในวันที่ 29 สิงหาคม 2553 ซึ่งผู้คัดค้านไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เพราะมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่ถึงระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 คงมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตอย่างเดียว ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ได้มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งต่อผู้อำนวยการเขต โดยหนังสือดังกล่าวแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เนื่องจากขณะนั้นผู้คัดค้านเข้าใจว่าผู้คัดค้านมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครด้วย และไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้คัดค้านว่าเหตุที่แจ้งไม่ใช่เหตุอันสมควร ถือว่าผู้คัดค้านได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 24 วรรคหนึ่งถึงวรรคสาม ครบถ้วน ผู้คัดค้านจึงได้รับสิทธิในทางการเมืองกลับคืนมา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 72 ทั้งการเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตซึ่งเป็นราชการส่วนหนึ่งของกรุงเทพมหานครถือได้ว่าเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตามความในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 27 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า "การเสียสิทธิตามมาตรา 26 ให้มีกำหนดเวลาตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" การเสียสิทธิได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาของผู้คัดค้านจึงสิ้นสุดลงตามมาตรา 27 วรรคหนึ่ง ดังกล่าวแล้ว ก่อนที่ผู้คัดค้านจะได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา เห็นสมควรวินิจฉัยเป็นเบื้องแรกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 72 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง" และวรรคสอง บัญญัติว่า "บุคคลซึ่งไปใช้สิทธิหรือไม่ไปใช้สิทธิโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิได้ ย่อมได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติ" แต่กำหนดเวลาการเสียสิทธิตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 นั้น มาตรา 27 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ชัดเจนว่า "...ให้มีกำหนดเวลาตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้ง..." และในวรรคสองยังบัญญัติต่อไปว่า "ในกรณีที่มีการโต้แย้งการเสียสิทธิตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดพร้อมหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งถัดมาแล้ว..." เป็นการเน้นย้ำให้เห็นว่า กำหนดเวลาการเสียสิทธิตามมาตรา 26 จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งถัดมาจริง ๆ เท่านั้น ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นับแต่เวลาที่ผู้คัดค้านไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรีจนถึงวันที่ผู้คัดค้านได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเลย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านโต้แย้งกันว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตกรุงเทพมหานครเป็นการเลือกตั้งอันอยู่ในนัยแห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 หรือไม่ อย่างใดอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้วินิจฉัยข้างต้นเปลี่ยนแปลงไป การที่สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาจึงไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 26 (2) มีผลให้การสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง คดีมีเหตุที่ต้องสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้าน แต่ตามพฤติการณ์พอเห็นได้ว่า ผู้คัดค้านเพียงแต่เข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่าการเสียสิทธิของผู้คัดค้านสิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากในคราวที่จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขตเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2553 ผู้คัดค้านเข้าใจว่าผู้คัดค้านมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครด้วย และได้มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้ว โดยไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้คัดค้านว่าเหตุที่แจ้งไม่ใช่เหตุอันสมควร ทั้งผู้ร้องเองก็กล่าวมาในคำร้องว่า ผู้คัดค้านยังไม่ได้สิทธิที่เสียไปกลับคืนมา เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร กรณียังฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านยินยอมให้สมาคมผู้สื่อข่าวแห่งประเทศไทยเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่สุจริต จึงไม่มีเหตุที่จะสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านตามคำร้อง
อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 240 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 134 จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของนายศรีสุข ผู้คัดค้าน และให้มีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาใหม่ในส่วนของผู้คัดค้าน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 130 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ผลการพิจารณาสรรหาของคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาให้ถือเป็นที่สุดนั้น เป็นบทบัญญัติให้ผลการสรรหาเป็นที่สุดเฉพาะที่เกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการสรรหาในการสรรหาบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อผู้ใดเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของบุคคลที่ได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเรื่องความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติงานของวุฒิสภาและองค์ประกอบจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน โอกาสและความทัดเทียมกันทางเพศ สัดส่วนของบุคคลในแต่ละภาคส่วนที่ใกล้เคียงกัน รวมทั้งการให้โอกาสกับผู้ด้อยโอกาสทางสังคมด้วย ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 114 วรรคสอง แต่ไม่รวมถึงการสรรหาที่ไม่สุจริต ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 72 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง" และวรรคสอง บัญญัติว่า "บุคคลซึ่งไปใช้สิทธิหรือไม่ไปใช้สิทธิโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิได้ ย่อมได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติ" แต่กำหนดเวลาการเสียสิทธิตามมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 นั้น มาตรา 27 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ชัดเจนว่า "....ให้มีกำหนดเวลาตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้ง..." และวรรคสองยังบัญญัติต่อไปว่า "ในกรณีที่มีการโต้แย้งการเสียสิทธิตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดพร้อมหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งที่ถัดมาแล้ว..." เป็นการย้ำให้เห็นว่ากำหนดเวลาเสียสิทธิตามมาตรา 26 จะสิ้นสุดลงเมื่อได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งถัดมาจริง ๆ เท่านั้น
การที่สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อผู้คัดค้านเข้าเป็นผู้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 26 (2) มีผลให้การสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง คดีมีเหตุที่ต้องสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้าน แต่ตามพฤติการณ์พอเห็นได้ว่าผู้คัดค้านเพียงแต่เข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่าการเสียสิทธิของผู้คัดค้านสิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากในคราวที่จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขต ผู้คัดค้านเข้าใจว่าผู้คัดค้านมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครด้วย และได้มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้วโดยไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้คัดค้านว่าเหตุที่แจ้งไม่ใช่เหตุอันสมควร ทั้งผู้ร้องเองก็กล่าวมาในคำร้องว่าผู้คัดค้านยังไม่ได้สิทธิที่เสียไปกลับคืนมา เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร กรณียังฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านยินยอมให้สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่สุจริต จึงไม่มีเหตุที่จะสั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของผู้คัดค้านตามคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 219 มาตรา 239 และมาตรา 240 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 134 กล่าวคือ
1.เมื่อมีคำสั่งรับคำร้องแล้ว ได้โปรดแจ้งให้ประธานวุฒิสภาทราบว่า ศาลฎีกาได้รับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ผู้คัดค้านจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้
2.มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านเป็นเวลาห้าปี
3.มีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านและให้มีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาใหม่ในส่วนของผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
วันนัดตรวจพยานหลักฐาน คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงตามคำร้อง และไม่ติดใจสืบพยาน ศาลฎีกาจึงให้งดไต่สวนและกำหนดประเด็นวินิจฉัย ดังนี้
1.ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านและเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านตามคำร้องหรือไม่
2.ผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติในการเข้ารับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามคำร้องหรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังว่าเดิมผู้คัดค้านมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 17/32 หมู่ที่ 7 ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี วันที่ 25 มกราคม 2552 มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 แทนตำแหน่งที่ว่าง ในการเลือกตั้งดังกล่าวผู้คัดค้านเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และไม่ได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ต่อมาวันที่ 22 มีนาคม 2553 ผู้คัดค้านย้ายภูมิลำเนาไปอยู่บ้านเลขที่ 504/76 ถนนกาญจนาภิเษก แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร วันที่ 29 สิงหาคม 2553 ได้มีการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขต ผู้คัดค้านเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร แต่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาเขต ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาเขต แต่มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งไปยังผู้อำนวยการเขต ต่อมาวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2554 ผู้ร้องประกาศให้วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นวันสรรหาสมาชิกวุฒิสภา สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อผู้คัดค้านเข้ารับการสรรหา ผู้คัดค้านได้รับการสรรหา ผู้ร้องได้ประกาศให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554 ภายหลังมีผู้ทำหนังสือร้องเรียนว่า การสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการเข้ารับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา เพราะผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งและไม่ได้แจ้งเหตุที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรี ผู้ร้องมีมติในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ 8/2552 มอบหมายให้กรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็นประธานในที่ประชุมครั้งนั้นดำเนินคดีแทนผู้ร้อง กรณีมีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา และให้มีอำนาจลงนามในคำร้องยื่นต่อศาลตลอดจนสรรพเอกสารต่าง ๆ ในการดำเนินคดีและหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้งให้พนักงานของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินคดีแทนในศาล และในการประชุมของผู้ร้องครั้งที่ 29/2555 พิจารณารายงานการไต่สวน กรณีร้องเรียนคุณสมบัติของผู้คัดค้าน ที่ประชุมเลือกนายวิสุทธิ์กรรมการการเลือกตั้งเป็นประธานในที่ประชุม
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประเด็นแรกว่า ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านและเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านตามคำร้องหรือไม่ ตามประเด็นข้อนี้ ผู้ร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 240 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 134 ให้เพิกถอนการสรรหาและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านซึ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหา เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 238 บัญญัติว่า
"คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงโดยพลัน เมื่อมีกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) .....
(2) .....
(3) ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ก่อนได้รับการเลือกตั้งหรือสรรหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ใดได้กระทำการใด ๆ โดยไม่สุจริตเพื่อให้ตนเองได้รับเลือกตั้งหรือสรรหา หรือได้รับเลือกตั้งหรือสรรหามาโดยไม่สุจริตโดยผลของการที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดได้กระทำลงไปโดยฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง หรือกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(4) .....
เมื่อดำเนินการตามวรรคหนึ่งเสร็จแล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องพิจารณาวินิจฉัยสั่งการโดยพลัน"
และมาตรา 240 บัญญัติว่า
"ในกรณีที่มีการคัดค้านว่าการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาผู้ใดเป็นไปโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าก่อนได้รับการสรรหา สมาชิกวุฒิสภาผู้ใดกระทำการตามมาตรา 238 ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการสืบสวนสอบสวนโดยพลัน
เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้วินิจฉัยสั่งการเป็นอย่างใดแล้ว ให้เสนอต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาวินิจฉัยโดยพลัน และให้นำความในมาตรา 239 วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับกับการที่สมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ โดยอนุโลม
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งจะร่วมดำเนินการหรือวินิจฉัยสั่งการมิได้ และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีองค์ประกอบเท่าที่มีอยู่
ส่วนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 133 วรรคหนึ่งนั้น เป็นกรณีที่พระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติเพิ่มเติมให้สิทธิแก่ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกขององค์กรที่เสนอชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ยื่นคำร้องคัดค้านต่อผู้ร้อง โดยมีข้อจำกัดให้ต้องยื่นภายใน 30 วัน นับแต่การประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาเท่านั้น จึงหากระทบกระเทือนต่ออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 238 และมาตรา 240 ดังกล่าวแล้วไม่ ดังนั้น แม้กรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อที่ผู้ร้องได้วินิจฉัยสั่งการในคดีของผู้คัดค้านจะสืบเนื่องมาจากบัตรสนเท่ห์ ซึ่งได้ยื่นเข้าล่วงเลยกำหนด 30 วัน นับแต่วันประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ดังกล่าวก็ตาม กระบวนการดำเนินการของผู้ร้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ข้างต้นก็เป็นไปโดยชอบ มิได้ขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใด และเมื่อมีการประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาให้ผู้คัดค้านเป็นสมาชิกวุฒิสภาในวันที่ 12 เมษายน 2554 ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้เข้ามา เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2555 ภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศผลดังกล่าวอันเป็นไปตามนัย มาตรา 134 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องนี้ ผู้คัดค้านอ้างว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 130 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าผลการพิจารณาสรรหาของคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาให้ถือเป็นที่สุดนั้น เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวให้ผลการสรรหาเป็นที่สุดเฉพาะที่เกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการสรรหาในการสรรหาบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อผู้ใดเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของบุคคลที่สมควรได้รับการแสวงหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาในเรื่องความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติงานของวุฒิสภา และองค์ประกอบจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน โอกาสและความเท่าเทียมกันทางเพศ สัดส่วนของบุคคลในแต่ละภาคส่วนที่ใกล้เคียงกัน รวมทั้งการให้โอกาสกับผู้ด้อยโอกาสทางสังคมด้วย ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 114 วรรคสอง แต่ไม่รวมถึงการสรรหาที่เป็นไปโดยไม่สุจริต ไม่ถูกต้อง หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย สำหรับการมอบอำนาจนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 236 วรรคท้าย บัญญัติว่า "คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจแต่งตั้งบุคคล คณะบุคคล หรือผู้แทนองค์การเอกชน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่มอบหมาย และปรากฏข้อความจริงว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ 8/2552 วันพุธที่ 21 มกราคม 2552 เห็นชอบในหลักการ กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ให้กรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็นประธานในการประชุมครั้งนั้นเป็นผู้รับมอบหมายให้ดำเนินคดีแทนคณะกรรมการการเลือกตั้ง และให้มีอำนาจลงนามในคำร้องยื่นต่อศาลตลอดจนสรรพเอกสารต่าง ๆ ในการดำเนินคดีและหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้งให้พนักงานของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินคดีแทนในศาล ซึ่งในการประชุมลงมติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ 29/2555 วันพุธที่ 21 มีนาคม 2555 กรณีเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภารายผู้คัดค้าน โดยในการประชุมมีมติดังกล่าว ประธานกรรมการการเลือกตั้งมิได้ร่วมพิจารณาตามข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 240 วรรคสี่ กรรมการการเลือกตั้งที่เหลืออยู่ 4 คน ได้เลือกกรรมการเลือกตั้ง คือ นายวิสุทธิ์ เป็นประธานในที่ประชุมตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 เช่นนี้ นายวิสุทธิ์ กรรมการการเลือกตั้งผู้ได้รับมอบหมายจึงมีอำนาจลงชื่อในคำร้องยื่นต่อศาลฎีกา ฉะนั้น ผู้ร้องจึงย่อมมีอำนาจยื่นขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านและเพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านตามคำร้อง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยในประเด็นต่อไปว่า ผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติในการเข้ารับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามคำร้องหรือไม่ ผู้คัดค้านอ้างเหตุคัดค้านในประเด็นนี้ว่า แม้ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2552 โดยมิได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เป็นเหตุให้เสียสิทธิได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 26 (2) แต่ต่อมาในคราวที่ได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขตวันเดียวกันในวันที่ 29 สิงหาคม 2553 ซึ่งผู้คัดค้านไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เพราะมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่ถึงระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 คงมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตอย่างเดียว ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ได้มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งต่อผู้อำนวยการเขต โดยหนังสือดังกล่าวแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เนื่องจากขณะนั้นผู้คัดค้านเข้าใจว่าผู้คัดค้านมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครด้วย และไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้คัดค้านว่าเหตุที่แจ้งไม่ใช่เหตุอันสมควร ถือว่าผู้คัดค้านได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 24 วรรคหนึ่งถึงวรรคสาม ครบถ้วน ผู้คัดค้านจึงได้รับสิทธิในทางการเมืองกลับคืนมา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 72 ทั้งการเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตซึ่งเป็นราชการส่วนหนึ่งของกรุงเทพมหานครถือได้ว่าเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตามความในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 27 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า "การเสียสิทธิตามมาตรา 26 ให้มีกำหนดเวลาตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น" การเสียสิทธิได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาของผู้คัดค้านจึงสิ้นสุดลงตามมาตรา 27 วรรคหนึ่ง ดังกล่าวแล้ว ก่อนที่ผู้คัดค้านจะได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา เห็นสมควรวินิจฉัยเป็นเบื้องแรกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 72 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง" และวรรคสอง บัญญัติว่า "บุคคลซึ่งไปใช้สิทธิหรือไม่ไปใช้สิทธิโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิได้ ย่อมได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติ" แต่กำหนดเวลาการเสียสิทธิตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 นั้น มาตรา 27 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ชัดเจนว่า "...ให้มีกำหนดเวลาตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้ง..." และในวรรคสองยังบัญญัติต่อไปว่า "ในกรณีที่มีการโต้แย้งการเสียสิทธิตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดพร้อมหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งถัดมาแล้ว..." เป็นการเน้นย้ำให้เห็นว่า กำหนดเวลาการเสียสิทธิตามมาตรา 26 จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งถัดมาจริง ๆ เท่านั้น ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นับแต่เวลาที่ผู้คัดค้านไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรีจนถึงวันที่ผู้คัดค้านได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเลย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านโต้แย้งกันว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตกรุงเทพมหานครเป็นการเลือกตั้งอันอยู่ในนัยแห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 หรือไม่ อย่างใดอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้วินิจฉัยข้างต้นเปลี่ยนแปลงไป การที่สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาจึงไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 26 (2) มีผลให้การสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้านเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง คดีมีเหตุที่ต้องสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของผู้คัดค้าน แต่ตามพฤติการณ์พอเห็นได้ว่า ผู้คัดค้านเพียงแต่เข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่าการเสียสิทธิของผู้คัดค้านสิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากในคราวที่จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขตเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2553 ผู้คัดค้านเข้าใจว่าผู้คัดค้านมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครด้วย และได้มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้ว โดยไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้คัดค้านว่าเหตุที่แจ้งไม่ใช่เหตุอันสมควร ทั้งผู้ร้องเองก็กล่าวมาในคำร้องว่า ผู้คัดค้านยังไม่ได้สิทธิที่เสียไปกลับคืนมา เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร กรณียังฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านยินยอมให้สมาคมผู้สื่อข่าวแห่งประเทศไทยเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่สุจริต จึงไม่มีเหตุที่จะสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านตามคำร้อง
อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 240 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 134 จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของนายศรีสุข ผู้คัดค้าน และให้มีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาใหม่ในส่วนของผู้คัดค้าน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการ 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ จำคุก 1 เดือน ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน จำคุก 2 เดือน ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 2 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โดยปรับบทลงโทษให้ถูกต้องตามฟ้องที่จำเลยให้การรับสารภาพเฉพาะความผิดฐานปลอมเอกสารราชการกระทงหนึ่ง โดยความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานกับความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมเพียงบทเดียว จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน จึงเป็นการแก้ไขทั้งบทลงโทษและโทษ เป็นการแก้ไขมาก แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี และศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้เพิ่มเติมโทษ จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการอีกกระทงหนึ่งเป็นการแก้เฉพาะโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ ไม่ได้แก้ไข เท่ากับพิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 137, 264, 265 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 12, 62 ริบใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลสามฉบับของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 264, 265 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานปลอมเอกสารราชการรวมสองกระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ผ่านช่องทางที่กำหนด จำคุก 1 เดือน ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานจำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 2 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดเกี่ยวกับเอกสารจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 265, 265 ประกอบมาตรา 268 วรรคแรก (ที่ถูก มาตรา 137, 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 จำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารราชการและผู้ใช้เอกสารราชการปลอมตามฟ้องข้อ ก. เอง จึงให้ลงโทษจำเลยฐานใช้เอกสารราชการปลอม ตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 กระทงเดียว ตามมาตรา 268 วรรคสอง ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานกับความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมดังกล่าว เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมอันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการตามมาตรา 265 กระทงหนึ่ง และฐานใช้เอกสารราชการปลอมอีกกระทงหนึ่ง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมสองกระทง เป็นจำคุก 2 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี เมื่อรวมกับโทษตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 1 ปี 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการ 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ จำคุก 1 เดือน ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน จำคุก 2 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 2 ปี 2 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โดยปรับบทลงโทษให้ถูกต้องตามฟ้องที่จำเลยให้การรับสารภาพเฉพาะความผิดฐานปลอมเอกสารราชการกระทงหนึ่งเป็นว่า ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน กับความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมอันเป็นกฎหมายที่มีบทหนักที่สุดเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน จึงเป็นการแก้ไขทั้งบทลงโทษและโทษ เป็นการแก้ไขมาก แต่ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษจำคุกจำเลยในกระทงนี้ไม่เกิน 2 ปี และศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้เพิ่มเติมโทษจำเลย จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดกระทงนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการอีกกระทงหนึ่งเป็นการแก้เฉพาะโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ ไม่ได้แก้ไข เท่ากับพิพากษายืน และให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิด 2 กระทงนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยฎีกาขอให้รอการโทษจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว เว้นแต่ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ซึ่งขั้นตอนในการขออนุญาตฎีกาตามบทบัญญัติในมาตรานี้ มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงต้องนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคท้าย มาใช้บังคับโดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 กล่าวคือ จำเลยต้องยื่นคำร้องพร้อมคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 4 อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ซึ่งตามคำร้องจำเลยระบุชื่อขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้ฎีกาได้ การที่ ส. ผู้พิพากษาซึ่งมิได้พิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษา กลับเป็นผู้มีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเสียเอง จึงเป็นการไม่ชอบ ไม่มีผลทำให้ฎีกาของจำเลยขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่รับฎีกาของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับฎีกาของจำเลย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการจัดส่งคำร้องของจำเลยไปให้ผู้พิพากษาที่จำเลยระบุในคำร้องพิจารณาและมีคำสั่งเกี่ยวกับฎีกาของจำเลย หากมีการอนุญาตหรือไม่อนุญาตประการใด ก็ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป ในชั้นนี้ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการ 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ จำคุก 1 เดือน ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน จำคุก 2 เดือน ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 2 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โดยปรับบทลงโทษให้ถูกต้องตามฟ้องที่จำเลยให้การรับสารภาพเฉพาะความผิดฐานปลอมเอกสารราชการกระทงหนึ่ง โดยความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานกับความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมเพียงบทเดียว จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน จึงเป็นการแก้ไขทั้งบทลงโทษและโทษ เป็นการแก้ไขมาก แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี และศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้เพิ่มเติมโทษ จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการอีกกระทงหนึ่งเป็นการแก้เฉพาะโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ ไม่ได้แก้ไข เท่ากับพิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 137, 264, 265 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 12, 62 ริบใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลสามฉบับของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 264, 265 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานปลอมเอกสารราชการรวมสองกระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ผ่านช่องทางที่กำหนด จำคุก 1 เดือน ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานจำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 2 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดเกี่ยวกับเอกสารจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 265, 265 ประกอบมาตรา 268 วรรคแรก (ที่ถูก มาตรา 137, 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 จำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารราชการและผู้ใช้เอกสารราชการปลอมตามฟ้องข้อ ก. เอง จึงให้ลงโทษจำเลยฐานใช้เอกสารราชการปลอม ตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 กระทงเดียว ตามมาตรา 268 วรรคสอง ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานกับความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมดังกล่าว เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมอันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการตามมาตรา 265 กระทงหนึ่ง และฐานใช้เอกสารราชการปลอมอีกกระทงหนึ่ง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมสองกระทง เป็นจำคุก 2 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี เมื่อรวมกับโทษตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 1 ปี 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการ 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ จำคุก 1 เดือน ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน จำคุก 2 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 2 ปี 2 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โดยปรับบทลงโทษให้ถูกต้องตามฟ้องที่จำเลยให้การรับสารภาพเฉพาะความผิดฐานปลอมเอกสารราชการกระทงหนึ่งเป็นว่า ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน กับความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมอันเป็นกฎหมายที่มีบทหนักที่สุดเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน จึงเป็นการแก้ไขทั้งบทลงโทษและโทษ เป็นการแก้ไขมาก แต่ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษจำคุกจำเลยในกระทงนี้ไม่เกิน 2 ปี และศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้เพิ่มเติมโทษจำเลย จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดกระทงนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้โทษจำเลยฐานปลอมเอกสารราชการอีกกระทงหนึ่งเป็นการแก้เฉพาะโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบ ไม่ได้แก้ไข เท่ากับพิพากษายืน และให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิด 2 กระทงนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยฎีกาขอให้รอการโทษจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว เว้นแต่ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ซึ่งขั้นตอนในการขออนุญาตฎีกาตามบทบัญญัติในมาตรานี้ มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงต้องนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคท้าย มาใช้บังคับโดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 กล่าวคือ จำเลยต้องยื่นคำร้องพร้อมคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 4 อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ซึ่งตามคำร้องจำเลยระบุชื่อขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้ฎีกาได้ การที่ ส. ผู้พิพากษาซึ่งมิได้พิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษา กลับเป็นผู้มีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเสียเอง จึงเป็นการไม่ชอบ ไม่มีผลทำให้ฎีกาของจำเลยขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่รับฎีกาของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับฎีกาของจำเลย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการจัดส่งคำร้องของจำเลยไปให้ผู้พิพากษาที่จำเลยระบุในคำร้องพิจารณาและมีคำสั่งเกี่ยวกับฎีกาของจำเลย หากมีการอนุญาตหรือไม่อนุญาตประการใด ก็ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป ในชั้นนี้ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา
ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์ในเนื้อหาของคำพิพากษาจึงไม่จำต้องวางเงินค่าธรรมเนียมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 และจำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลในกรณีเป็นอุทธรณ์คำสั่งในคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงไม่จำต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ในศาลชั้นต้นนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลล่างได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้วและไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่าง ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 1,211,062.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 700,450 บาท หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
ในวันนัดจำเลยทั้งสองให้การแก้ข้อหาแห่งคดีและสืบพยานโจทก์ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต และถือว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 1,211,062.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 700,450 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 ธันวาคม 2547) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนอง คือ ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 5746 ตำบลสูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองบังคับชำระหนี้โจทก์จนครบ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลื่อนคดีศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 โดยจะต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลแล้วนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า "ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่าจำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์ในเนื้อหาของคำพิพากษาจึงไม่จำต้องวางเงินค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 และจำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลในกรณีเป็นอุทธรณ์คำสั่งในคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงไม่จำต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลล่างได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้วและไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่าง ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา"
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์ในเนื้อหาของคำพิพากษาจึงไม่จำต้องวางเงินค่าธรรมเนียมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 และจำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลในกรณีเป็นอุทธรณ์คำสั่งในคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงไม่จำต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ในศาลชั้นต้นนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลล่างได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้วและไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่าง ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 1,211,062.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 700,450 บาท หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
ในวันนัดจำเลยทั้งสองให้การแก้ข้อหาแห่งคดีและสืบพยานโจทก์ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต และถือว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 1,211,062.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 700,450 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 ธันวาคม 2547) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนอง คือ ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 5746 ตำบลสูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองบังคับชำระหนี้โจทก์จนครบ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลื่อนคดีศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 โดยจะต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลแล้วนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า "ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่าจำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์ในเนื้อหาของคำพิพากษาจึงไม่จำต้องวางเงินค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 และจำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลในกรณีเป็นอุทธรณ์คำสั่งในคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงไม่จำต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลล่างได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้วและไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่าง ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา"
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ตามมูลสัญญายังไม่ขาดอายุความ เนื่องจากสิทธิเรียกร้องของโจทก์ต้องเริ่มนับตั้งแต่ล่วงพ้นกำหนดทวงถามจึงไม่เกินกำหนด 10 ปี และกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินชดเชยค่าภาษีอากรตามฟ้องเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความนั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเคยมีคำพิพากษาของศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวมาแล้ว และยังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคำวินิจฉัยเดิม อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน 8,774,402.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 4,711,090.75 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนหรือชดใช้เงินชดเชยค่าภาษีอากรตามมูลค่าบัตรภาษีจำนวน 4,711,090.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 499,349.01 บาท นับแต่วันที่ 24 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 499,349.01 บาท ในต้นเงิน 498,493.30 บาท และในต้นเงิน 414,705.80 บาท นับแต่วันที่ 19 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 498,775.42 บาท นับแต่วันที่ 10 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 498,493.30 บาท นับแต่วันที่ 26 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 474,020.01 บาท นับแต่วันที่ 29 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 414,705.80 บาท และนับแต่วันที่ 22 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 498,493.30 บาท กับต้นเงิน 414,705.80 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 กรกฎาคม 2550) คำนวณแล้วต้องไม่เกิน 4,063,312.02 บาท ตามที่ขอ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ตามมูลสัญญายังไม่ขาดอายุความเนื่องจากสิทธิเรียกร้องของโจทก์ต้องเริ่มนับตั้งแต่ล่วงพ้นกำหนดทวงถามจึงไม่เกินกำหนด 10 ปี และกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินชดเชยค่าภาษีอากรตามฟ้องเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความนั้น เห็นว่า เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเคยมีคำพิพากษาของศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวมาแล้วและยังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคำวินิจฉัยเดิม อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ ส่วนค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ตามมูลสัญญายังไม่ขาดอายุความ เนื่องจากสิทธิเรียกร้องของโจทก์ต้องเริ่มนับตั้งแต่ล่วงพ้นกำหนดทวงถามจึงไม่เกินกำหนด 10 ปี และกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินชดเชยค่าภาษีอากรตามฟ้องเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความนั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเคยมีคำพิพากษาของศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวมาแล้ว และยังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคำวินิจฉัยเดิม อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน 8,774,402.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 4,711,090.75 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนหรือชดใช้เงินชดเชยค่าภาษีอากรตามมูลค่าบัตรภาษีจำนวน 4,711,090.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 499,349.01 บาท นับแต่วันที่ 24 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 499,349.01 บาท ในต้นเงิน 498,493.30 บาท และในต้นเงิน 414,705.80 บาท นับแต่วันที่ 19 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 498,775.42 บาท นับแต่วันที่ 10 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 498,493.30 บาท นับแต่วันที่ 26 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 474,020.01 บาท นับแต่วันที่ 29 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 414,705.80 บาท และนับแต่วันที่ 22 มกราคม 2539 ในต้นเงิน 498,493.30 บาท กับต้นเงิน 414,705.80 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 กรกฎาคม 2550) คำนวณแล้วต้องไม่เกิน 4,063,312.02 บาท ตามที่ขอ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ตามมูลสัญญายังไม่ขาดอายุความเนื่องจากสิทธิเรียกร้องของโจทก์ต้องเริ่มนับตั้งแต่ล่วงพ้นกำหนดทวงถามจึงไม่เกินกำหนด 10 ปี และกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินชดเชยค่าภาษีอากรตามฟ้องเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความนั้น เห็นว่า เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเคยมีคำพิพากษาของศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวมาแล้วและยังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคำวินิจฉัยเดิม อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ ส่วนค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.
คำร้องของผู้ร้องมีประเด็นต้องพิจารณาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ และ คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันและเป็นเหตุให้คู่ความไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลหรือไม่ เมื่อประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ เป็นการโต้แย้งสิทธิระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่าโจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิดีกว่ากันในที่ดินพิพาท การที่โจทก์อ้างว่าเป็นผู้มีชื่อตาม น.ส. ๓ แล้วศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเป็นแปลงเดียวกับที่ดินพิพาทเพราะมีรูปที่ดินตรงกัน ก็เป็นเพียงพยานหลักฐานที่ศาลนำมารับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นเพื่อวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิดีกว่าจำเลยทั้งสองโดยมิได้วินิจฉัยถึงความชอบด้วยกฎหมายของการออกโฉนดที่ดินพิพาท ส่วนประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเป็นเรื่องที่ผู้ฟ้องคดี ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งยกเลิกคำขอให้ออกโฉนดที่ดินแก่ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการใช้สิทธิคนละส่วน และไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
คำร้องของผู้ร้องมีประเด็นต้องพิจารณาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ และ คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันและเป็นเหตุให้คู่ความไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลหรือไม่ เมื่อประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ เป็นการโต้แย้งสิทธิระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่าโจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิดีกว่ากันในที่ดินพิพาท การที่โจทก์อ้างว่าเป็นผู้มีชื่อตาม น.ส. ๓ แล้วศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเป็นแปลงเดียวกับที่ดินพิพาทเพราะมีรูปที่ดินตรงกัน ก็เป็นเพียงพยานหลักฐานที่ศาลนำมารับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นเพื่อวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิดีกว่าจำเลยทั้งสองโดยมิได้วินิจฉัยถึงความชอบด้วยกฎหมายของการออกโฉนดที่ดินพิพาท ส่วนประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเป็นเรื่องที่ผู้ฟ้องคดี ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งยกเลิกคำขอให้ออกโฉนดที่ดินแก่ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการใช้สิทธิคนละส่วน และไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 14
คดีที่ ผู้ร้องอ้างว่า คำพิพากษาศาลฎีกาสองเรื่องขัดแย้งกัน ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดให้คู่ความและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีล้มละลาย ตามคำร้องของผู้ร้องเป็นการขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาศาลฎีกาสองเรื่องพิพากษาขัดแย้งกันเอง ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลยุติธรรมขัดแย้งกันเอง จึงมิได้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการจะรับไว้พิจารณาได้คำร้องของบมจ. ท. ผู้ร้อง ไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบข้อ ๒๙ (๒) ของข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
คดีที่ ผู้ร้องอ้างว่า คำพิพากษาศาลฎีกาสองเรื่องขัดแย้งกัน ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดให้คู่ความและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีล้มละลาย ตามคำร้องของผู้ร้องเป็นการขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาศาลฎีกาสองเรื่องพิพากษาขัดแย้งกันเอง ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลยุติธรรมขัดแย้งกันเอง จึงมิได้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการจะรับไว้พิจารณาได้คำร้องของบมจ. ท. ผู้ร้อง ไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบข้อ ๒๙ (๒) ของข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 15 ประกอบมาตรา 14
คดีที่ ผู้ร้องอ้างว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และคำพิพากษาศาลฎีกาขัดแย้งกัน ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดให้คู่ความและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตามคำร้องของผู้ร้องเป็นการขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลอุทธรณ์กับศาลฎีกาที่พิพากษาขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลยุติธรรมขัดแย้งกันเอง จึงมิได้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการจะรับไว้พิจารณาได้คำร้องของบมจ. ท. ผู้ร้อง ไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบข้อ ๒๙ (๒) ของข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
คดีที่ ผู้ร้องอ้างว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และคำพิพากษาศาลฎีกาขัดแย้งกัน ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดให้คู่ความและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตามคำร้องของผู้ร้องเป็นการขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลอุทธรณ์กับศาลฎีกาที่พิพากษาขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลยุติธรรมขัดแย้งกันเอง จึงมิได้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการจะรับไว้พิจารณาได้คำร้องของบมจ. ท. ผู้ร้อง ไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบข้อ ๒๙ (๒) ของข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 15 ประกอบ มาตรา 14
แม้คดีที่ผู้ร้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเทศบาลนครลำปาง ที่ลงโทษผู้ร้องเป็นปลดออกจากราชการ และคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดลำปางยื่นฟ้องผู้ร้องกับพวกต่อศาลจังหวัดลำปางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๘๖, ๑๕๑, ๑๕๗ ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจะอาศัยข้อเท็จจริงเดียวกันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ ครั้งที่ ๔ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒๑ และข้อ ๕๐ ก็ตามแต่ประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งเทศบาลนครลำปาง ที่ลงโทษผู้ร้องเป็นปลดออกจากราชการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ร้องกับพวกเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓, ๘๖ หรือไม่ ซึ่งการดำเนินการทางวินัยและทางอาญาแก่ข้าราชการนั้นเป็นกระบวนการที่แยกต่างหากจากกัน โดยการดำเนินการและการลงโทษทางวินัยของข้าราชการมีความมุ่งหมายสำคัญเพื่อควบคุมความประพฤติของข้าราชการให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมาตรฐานทางจริยธรรมเพื่อให้ข้าราชการปฏิบัติราชการให้เกิดประสิทธิภาพ รักษาชื่อเสียงและสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบราชการอันเป็นการใช้มาตรการภายในฝ่ายบริหาร ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรักษาวินัยข้าราชการโดยกฎหมายกำหนดให้เป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาที่จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายและตามที่เห็นสมควร โดยเน้นที่ความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งหน้าที่ราชการ และการคุ้มครองเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งมีผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน การดำเนินการทางวินัยของข้าราชการจึงแตกต่างจากการดำเนินคดีอาญา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการลงโทษผู้กระทำผิดอาญาโดยมีความมุ่งหมายสำคัญเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งโดยหลักการดำเนินคดีอาญาต้องเป็นไปตามองค์ประกอบความรับผิดทางอาญา และศาลจะพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดอาญาและลงโทษจำเลย ก็ต่อเมื่อมีพยานหลักฐานมั่นคงพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดเท่านั้น ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการพิจารณาความผิดทางวินัยและความผิดอาญาจะเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน แต่เมื่อประเด็นในคดีต่างกันและการพิสูจน์ความผิดที่กฎหมายประสงค์จะนำมาลงโทษในคดีอาญาและคดีวินัยแตกต่างกัน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
แม้คดีที่ผู้ร้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเทศบาลนครลำปาง ที่ลงโทษผู้ร้องเป็นปลดออกจากราชการ และคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดลำปางยื่นฟ้องผู้ร้องกับพวกต่อศาลจังหวัดลำปางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๘๖, ๑๕๑, ๑๕๗ ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจะอาศัยข้อเท็จจริงเดียวกันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ ครั้งที่ ๔ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒๑ และข้อ ๕๐ ก็ตามแต่ประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งเทศบาลนครลำปาง ที่ลงโทษผู้ร้องเป็นปลดออกจากราชการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ร้องกับพวกเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓, ๘๖ หรือไม่ ซึ่งการดำเนินการทางวินัยและทางอาญาแก่ข้าราชการนั้นเป็นกระบวนการที่แยกต่างหากจากกัน โดยการดำเนินการและการลงโทษทางวินัยของข้าราชการมีความมุ่งหมายสำคัญเพื่อควบคุมความประพฤติของข้าราชการให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมาตรฐานทางจริยธรรมเพื่อให้ข้าราชการปฏิบัติราชการให้เกิดประสิทธิภาพ รักษาชื่อเสียงและสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบราชการอันเป็นการใช้มาตรการภายในฝ่ายบริหาร ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรักษาวินัยข้าราชการโดยกฎหมายกำหนดให้เป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาที่จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายและตามที่เห็นสมควร โดยเน้นที่ความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งหน้าที่ราชการ และการคุ้มครองเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งมีผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน การดำเนินการทางวินัยของข้าราชการจึงแตกต่างจากการดำเนินคดีอาญา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการลงโทษผู้กระทำผิดอาญาโดยมีความมุ่งหมายสำคัญเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งโดยหลักการดำเนินคดีอาญาต้องเป็นไปตามองค์ประกอบความรับผิดทางอาญา และศาลจะพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดอาญาและลงโทษจำเลย ก็ต่อเมื่อมีพยานหลักฐานมั่นคงพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดเท่านั้น ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการพิจารณาความผิดทางวินัยและความผิดอาญาจะเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน แต่เมื่อประเด็นในคดีต่างกันและการพิสูจน์ความผิดที่กฎหมายประสงค์จะนำมาลงโทษในคดีอาญาและคดีวินัยแตกต่างกัน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 14
แม้คดีที่ผู้ร้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเทศบาลนครลำปางที่ลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดลำปางยื่นฟ้องผู้ร้องกับพวกต่อศาลจังหวัดลำปางขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ มาตรา ๘๖ มาตรา ๑๕๑ และมาตรา ๑๕๗ ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจะอาศัยข้อเท็จจริงเดียวกันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๔ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒๑ และข้อ ๕๐ ก็ตาม แต่ประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งเทศบาลนครลำปางที่ลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ร้องกับพวกเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓ และมาตรา ๘๖ หรือไม่ ซึ่งการดำเนินการทางวินัยและทางอาญาแก่ข้าราชการนั้นเป็นกระบวนการที่แยกต่างหากจากกัน โดยการดำเนินการและการลงโทษทางวินัยของข้าราชการมีความมุ่งหมายสำคัญ เพื่อควบคุมความประพฤติของข้าราชการให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมาตรฐานทางจริยธรรมเพื่อให้ข้าราชการปฏิบัติราชการให้เกิดประสิทธิภาพ รักษาชื่อเสียงและสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบราชการอันเป็นการใช้มาตรการภายในฝ่ายบริหารตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรักษาวินัยข้าราชการ โดยกฎหมายกำหนดให้เป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาที่จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายและตามที่เห็นสมควร โดยเน้นที่ความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งหน้าที่ราชการและการคุ้มครองเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งมีผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน การดำเนินการทางวินัยของข้าราชการจึงแตกต่างจากการดำเนินคดีอาญา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการลงโทษผู้กระทำผิดอาญาโดยมีความมุ่งหมายสำคัญเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งโดยหลักการดำเนินคดีอาญาต้องเป็นไปตามองค์ประกอบความรับผิดทางอาญา และศาลจะพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดอาญาและลงโทษจำเลย ก็ต่อเมื่อมีพยานหลักฐานมั่นคงพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดเท่านั้น ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการพิจารณาความผิดทางวินัยและความผิดอาญาจะเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน แต่เมื่อประเด็นในคดีต่างกันและการพิสูจน์ความผิดที่กฎหมายประสงค์จะนำมาลงโทษในคดีอาญาและคดีวินัยแตกต่างกัน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
แม้คดีที่ผู้ร้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเทศบาลนครลำปางที่ลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดลำปางยื่นฟ้องผู้ร้องกับพวกต่อศาลจังหวัดลำปางขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ มาตรา ๘๖ มาตรา ๑๕๑ และมาตรา ๑๕๗ ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจะอาศัยข้อเท็จจริงเดียวกันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๔ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒๑ และข้อ ๕๐ ก็ตาม แต่ประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งเทศบาลนครลำปางที่ลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ร้องกับพวกเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓ และมาตรา ๘๖ หรือไม่ ซึ่งการดำเนินการทางวินัยและทางอาญาแก่ข้าราชการนั้นเป็นกระบวนการที่แยกต่างหากจากกัน โดยการดำเนินการและการลงโทษทางวินัยของข้าราชการมีความมุ่งหมายสำคัญ เพื่อควบคุมความประพฤติของข้าราชการให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมาตรฐานทางจริยธรรมเพื่อให้ข้าราชการปฏิบัติราชการให้เกิดประสิทธิภาพ รักษาชื่อเสียงและสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบราชการอันเป็นการใช้มาตรการภายในฝ่ายบริหารตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรักษาวินัยข้าราชการ โดยกฎหมายกำหนดให้เป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาที่จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายและตามที่เห็นสมควร โดยเน้นที่ความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งหน้าที่ราชการและการคุ้มครองเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งมีผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน การดำเนินการทางวินัยของข้าราชการจึงแตกต่างจากการดำเนินคดีอาญา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการลงโทษผู้กระทำผิดอาญาโดยมีความมุ่งหมายสำคัญเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งโดยหลักการดำเนินคดีอาญาต้องเป็นไปตามองค์ประกอบความรับผิดทางอาญา และศาลจะพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดอาญาและลงโทษจำเลย ก็ต่อเมื่อมีพยานหลักฐานมั่นคงพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดเท่านั้น ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการพิจารณาความผิดทางวินัยและความผิดอาญาจะเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน แต่เมื่อประเด็นในคดีต่างกันและการพิสูจน์ความผิดที่กฎหมายประสงค์จะนำมาลงโทษในคดีอาญาและคดีวินัยแตกต่างกัน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 14
แม้คดีที่ผู้ร้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ขอให้เพิกถอนคำสั่งเทศบาลนครลำปาง เรื่อง ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับทางราชการ กรณีการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะ ครั้งที่ ๔ ในส่วนที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพิกถอนผลการพิจารณาอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดลำปางยื่นฟ้องผู้ร้องกับพวกต่อศาลจังหวัดลำปาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๘๖, ๑๕๑, ๑๕๗ ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จะอาศัยข้อเท็จจริงเดียวกันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษ ครั้งที่ ๔ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นพ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒๑ และข้อ ๕๐ (๖) ก็ตาม แต่ประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องได้กระทำละเมิดในการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะเป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้รับความเสียหายหรือไม่ เพื่อนำไปสู่ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งเทศบาลนครลำปาง ที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหาย ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนประเด็นแห่งคดีของศาลฎีกาตามคำพิพากษาศาลฎีกา ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ร้องกับพวกเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓, ๘๖ หรือไม่ ดังนั้น แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ใช้ในการพิจารณาความรับผิดเป็นอย่างเดียวกัน คือ การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษเป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๕๐ (๖) หรือไม่ แต่เมื่อในการพิจารณาคดีของศาลปกครองเป็นไปเพื่อตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งเทศบาลนครลำปาง ที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับทางราชการ จากการที่ผู้ร้องทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ ส่วนคดีของศาลยุติธรรมมุ่งประสงค์ตรวจสอบในประเด็นที่ว่า การกระทำของผู้ร้องเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓, ๘๖ หรือไม่ เมื่อหลักเกณฑ์ที่จะพิจารณาความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งและทางอาญาอาจแตกต่างกันได้ ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
แม้คดีที่ผู้ร้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ขอให้เพิกถอนคำสั่งเทศบาลนครลำปาง เรื่อง ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับทางราชการ กรณีการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะ ครั้งที่ ๔ ในส่วนที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพิกถอนผลการพิจารณาอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดลำปางยื่นฟ้องผู้ร้องกับพวกต่อศาลจังหวัดลำปาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๘๖, ๑๕๑, ๑๕๗ ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จะอาศัยข้อเท็จจริงเดียวกันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษ ครั้งที่ ๔ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นพ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒๑ และข้อ ๕๐ (๖) ก็ตาม แต่ประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องได้กระทำละเมิดในการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะเป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้รับความเสียหายหรือไม่ เพื่อนำไปสู่ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งเทศบาลนครลำปาง ที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหาย ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนประเด็นแห่งคดีของศาลฎีกาตามคำพิพากษาศาลฎีกา ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ร้องกับพวกเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓, ๘๖ หรือไม่ ดังนั้น แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ใช้ในการพิจารณาความรับผิดเป็นอย่างเดียวกัน คือ การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษเป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๕๐ (๖) หรือไม่ แต่เมื่อในการพิจารณาคดีของศาลปกครองเป็นไปเพื่อตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งเทศบาลนครลำปาง ที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับทางราชการ จากการที่ผู้ร้องทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ ส่วนคดีของศาลยุติธรรมมุ่งประสงค์ตรวจสอบในประเด็นที่ว่า การกระทำของผู้ร้องเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓, ๘๖ หรือไม่ เมื่อหลักเกณฑ์ที่จะพิจารณาความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งและทางอาญาอาจแตกต่างกันได้ ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 14
แม้คดีที่ผู้ร้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ขอให้เพิกถอนคำสั่งเทศบาลนครลำปาง เรื่อง ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับทางราชการ กรณีการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะ ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๔ และคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดลำปางยื่นฟ้องผู้ร้องกับพวกต่อศาลจังหวัดลำปาง ขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ มาตรา ๘๖ มาตรา ๑๕๑ และมาตรา ๑๕๗ ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จะอาศัยข้อเท็จจริงเดียวกันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษ ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๔ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒๑ และข้อ ๕๐ (๖) ก็ตาม แต่ประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องได้กระทำละเมิดในการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะเป็นเหตุให้เทศบาลนครลำปางได้รับความเสียหายหรือไม่ เพื่อนำไปสู่ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งเทศบาลนครลำปางที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหายชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนประเด็นแห่งคดีของศาลฎีกาตามคำพิพากษาศาลฎีกา ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ร้องกับพวก เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓ และมาตรา ๘๖ หรือไม่ ดังนั้น แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ใช้ในการพิจารณาความรับผิดเป็นอย่างเดียวกันคือ การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้อง ในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษเป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๕๐ (๖) หรือไม่ แต่เมื่อในการพิจารณาคดีของศาลปกครองเป็นไปเพื่อตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งเทศบาลนครลำปางที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับทางราชการ จากการที่ผู้ร้องทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ ส่วนคดีของศาลยุติธรรมมุ่งประสงค์ตรวจสอบในประเด็นที่ว่า การกระทำของผู้ร้องเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓ และมาตรา ๘๖ หรือไม่ เมื่อหลักเกณฑ์ที่จะพิจารณาความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งและทางอาญาอาจแตกต่างกันได้ ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
แม้คดีที่ผู้ร้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ขอให้เพิกถอนคำสั่งเทศบาลนครลำปาง เรื่อง ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับทางราชการ กรณีการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะ ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๔ และคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดลำปางยื่นฟ้องผู้ร้องกับพวกต่อศาลจังหวัดลำปาง ขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ มาตรา ๘๖ มาตรา ๑๕๑ และมาตรา ๑๕๗ ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จะอาศัยข้อเท็จจริงเดียวกันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษ ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๔ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒๑ และข้อ ๕๐ (๖) ก็ตาม แต่ประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องได้กระทำละเมิดในการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะเป็นเหตุให้เทศบาลนครลำปางได้รับความเสียหายหรือไม่ เพื่อนำไปสู่ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งเทศบาลนครลำปางที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหายชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนประเด็นแห่งคดีของศาลฎีกาตามคำพิพากษาศาลฎีกา ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ร้องกับพวก เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓ และมาตรา ๘๖ หรือไม่ ดังนั้น แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ใช้ในการพิจารณาความรับผิดเป็นอย่างเดียวกันคือ การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้อง ในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษเป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๕๐ (๖) หรือไม่ แต่เมื่อในการพิจารณาคดีของศาลปกครองเป็นไปเพื่อตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งเทศบาลนครลำปางที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับทางราชการ จากการที่ผู้ร้องทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ ส่วนคดีของศาลยุติธรรมมุ่งประสงค์ตรวจสอบในประเด็นที่ว่า การกระทำของผู้ร้องเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓ และมาตรา ๘๖ หรือไม่ เมื่อหลักเกณฑ์ที่จะพิจารณาความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งและทางอาญาอาจแตกต่างกันได้ ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 14
แม้คดีที่ผู้ร้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเทศบาลเมืองมาบตาพุดที่ลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดลำปางยื่นฟ้องผู้ร้องกับพวกต่อศาลจังหวัดลำปางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๘๖, ๑๕๑, ๑๕๗ ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจะอาศัยข้อเท็จจริงเดียวกันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒๑ และข้อ ๕๐ ก็ตาม แต่ประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งเทศบาลเมืองมาบตาพุดที่ลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ร้องกับพวกเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓, ๘๖ หรือไม่ ซึ่งการดำเนินการทางวินัยและทางอาญาแก่ข้าราชการนั้นเป็นกระบวนการที่แยกต่างหากจากกัน โดยการดำเนินการและการลงโทษทางวินัยของข้าราชการมีความมุ่งหมายสำคัญเพื่อควบคุมความประพฤติของข้าราชการให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมาตรฐานทางจริยธรรมเพื่อให้ข้าราชการปฏิบัติราชการให้เกิดประสิทธิภาพ รักษาชื่อเสียงและสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบราชการอันเป็นการใช้มาตรการภายในฝ่ายบริหาร ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรักษาวินัยข้าราชการ โดยกฎหมายกำหนดให้เป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาที่จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายและตามที่เห็นสมควร โดยเน้นที่ความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งหน้าที่ราชการ และการคุ้มครองเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งมีผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน การดำเนินการทางวินัยของข้าราชการจึงแตกต่างจากการดำเนินคดีอาญา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการลงโทษผู้กระทำผิดอาญา โดยมีความมุ่งหมายสำคัญเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งโดยหลักการดำเนินคดีอาญาต้องเป็นไปตามองค์ประกอบความรับผิดทางอาญา และศาลจะพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดอาญาและลงโทษจำเลย ก็ต่อเมื่อมีพยานหลักฐานมั่นคงพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดเท่านั้น ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการพิจารณาความผิดทางวินัยและความผิดอาญาจะเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน แต่เมื่อประเด็นในคดีต่างกันและการพิสูจน์ความผิดที่กฎหมายประสงค์จะนำมาลงโทษในคดีอาญาและคดีวินัยแตกต่างกัน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
แม้คดีที่ผู้ร้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเทศบาลเมืองมาบตาพุดที่ลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดลำปางยื่นฟ้องผู้ร้องกับพวกต่อศาลจังหวัดลำปางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๘๖, ๑๕๑, ๑๕๗ ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจะอาศัยข้อเท็จจริงเดียวกันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒๑ และข้อ ๕๐ ก็ตาม แต่ประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งเทศบาลเมืองมาบตาพุดที่ลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ร้องกับพวกเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓, ๘๖ หรือไม่ ซึ่งการดำเนินการทางวินัยและทางอาญาแก่ข้าราชการนั้นเป็นกระบวนการที่แยกต่างหากจากกัน โดยการดำเนินการและการลงโทษทางวินัยของข้าราชการมีความมุ่งหมายสำคัญเพื่อควบคุมความประพฤติของข้าราชการให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมาตรฐานทางจริยธรรมเพื่อให้ข้าราชการปฏิบัติราชการให้เกิดประสิทธิภาพ รักษาชื่อเสียงและสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบราชการอันเป็นการใช้มาตรการภายในฝ่ายบริหาร ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรักษาวินัยข้าราชการ โดยกฎหมายกำหนดให้เป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาที่จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายและตามที่เห็นสมควร โดยเน้นที่ความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งหน้าที่ราชการ และการคุ้มครองเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งมีผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน การดำเนินการทางวินัยของข้าราชการจึงแตกต่างจากการดำเนินคดีอาญา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการลงโทษผู้กระทำผิดอาญา โดยมีความมุ่งหมายสำคัญเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งโดยหลักการดำเนินคดีอาญาต้องเป็นไปตามองค์ประกอบความรับผิดทางอาญา และศาลจะพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดอาญาและลงโทษจำเลย ก็ต่อเมื่อมีพยานหลักฐานมั่นคงพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดเท่านั้น ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการพิจารณาความผิดทางวินัยและความผิดอาญาจะเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน แต่เมื่อประเด็นในคดีต่างกันและการพิสูจน์ความผิดที่กฎหมายประสงค์จะนำมาลงโทษในคดีอาญาและคดีวินัยแตกต่างกัน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 14
แม้คดีที่ผู้ร้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งเทศบาลนครลำปาง เรื่อง ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับทางราชการ กรณีการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะ ครั้งที่ ๑ และคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดลำปางยื่นฟ้องผู้ร้องกับพวกต่อศาลจังหวัดลำปาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๘๖, ๑๕๑, ๑๕๗ ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จะอาศัยข้อเท็จจริงเดียวกันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษ ครั้งที่ ๑ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒๑ และข้อ ๕๐ (๖) ก็ตาม แต่ประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องได้กระทำละเมิดในการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะเป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้รับความเสียหายหรือไม่ เพื่อนำไปสู่ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งเทศบาลนครลำปาง ที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหายชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนประเด็นแห่งคดีของศาลฎีกาตามคำพิพากษาศาลฎีกา ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ร้องกับพวกเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓, ๘๖ หรือไม่ ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการพิจารณาความรับผิดเป็นอย่างเดียวกัน คือ การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษเป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๕๐ (๖) หรือไม่ แต่เมื่อในการพิจารณาคดีของศาลปกครองเป็นไปเพื่อตรวจสอบประเด็นความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งเทศบาลนครลำปาง ที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับทางราชการจากการที่ผู้ร้องทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ ส่วนคดีของศาลยุติธรรมมุ่งประสงค์ตรวจสอบในประเด็นที่ว่า การกระทำของผู้ร้องเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓, ๘๖ หรือไม่ เมื่อหลักเกณฑ์ที่จะพิจารณาความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งและทางอาญาอาจแตกต่างกันได้ ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตาม คำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
แม้คดีที่ผู้ร้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งเทศบาลนครลำปาง เรื่อง ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับทางราชการ กรณีการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะ ครั้งที่ ๑ และคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดลำปางยื่นฟ้องผู้ร้องกับพวกต่อศาลจังหวัดลำปาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๘๖, ๑๕๑, ๑๕๗ ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จะอาศัยข้อเท็จจริงเดียวกันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษ ครั้งที่ ๑ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒๑ และข้อ ๕๐ (๖) ก็ตาม แต่ประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องได้กระทำละเมิดในการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะเป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้รับความเสียหายหรือไม่ เพื่อนำไปสู่ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งเทศบาลนครลำปาง ที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหายชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนประเด็นแห่งคดีของศาลฎีกาตามคำพิพากษาศาลฎีกา ได้แก่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ร้องกับพวกเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓, ๘๖ หรือไม่ ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นฐานในการพิจารณาความรับผิดเป็นอย่างเดียวกัน คือ การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ร้องในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษเป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๕๐ (๖) หรือไม่ แต่เมื่อในการพิจารณาคดีของศาลปกครองเป็นไปเพื่อตรวจสอบประเด็นความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งเทศบาลนครลำปาง ที่ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับทางราชการจากการที่ผู้ร้องทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ ส่วนคดีของศาลยุติธรรมมุ่งประสงค์ตรวจสอบในประเด็นที่ว่า การกระทำของผู้ร้องเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๓, ๘๖ หรือไม่ เมื่อหลักเกณฑ์ที่จะพิจารณาความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งและทางอาญาอาจแตกต่างกันได้ ทั้งไม่ปรากฏว่ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลแต่อย่างใด กรณีตาม คำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ จึงให้ยกคำร้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 14
การยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ ต้องดำเนินการภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด เมื่อคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เป็นคำพิพากษาที่ถึงที่สุดที่ออกภายหลัง โดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๖๙ วรรคสาม บัญญัติว่า “เมื่อศาลปกครองได้อ่านผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีปกครอง ในศาลปกครองโดยเปิดเผยในวันใดแล้ว ให้ถือว่าวันที่ได้อ่านนั้นเป็นวันที่ศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง...” และมาตรา ๗๓ วรรคสี่ บัญญัติว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดให้เป็นที่สุด” เมื่อศาลปกครองกลางอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดคดีนี้ให้คู่กรณีฟัง วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๕ คดีของศาลปกครองสูงสุดจึงถึงที่สุดวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๕ แม้คำร้องคดีนี้จะลงวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ แต่เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ จึงเป็นการล่วงพ้นกำหนดระยะเวลาหกสิบวัน นับแต่วันที่คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดถึงที่สุด คำร้องของผู้ร้อง จึงไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงให้ยกคำร้อง
การยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ ต้องดำเนินการภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด เมื่อคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เป็นคำพิพากษาที่ถึงที่สุดที่ออกภายหลัง โดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๖๙ วรรคสาม บัญญัติว่า “เมื่อศาลปกครองได้อ่านผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีปกครอง ในศาลปกครองโดยเปิดเผยในวันใดแล้ว ให้ถือว่าวันที่ได้อ่านนั้นเป็นวันที่ศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง...” และมาตรา ๗๓ วรรคสี่ บัญญัติว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดให้เป็นที่สุด” เมื่อศาลปกครองกลางอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดคดีนี้ให้คู่กรณีฟัง วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๕ คดีของศาลปกครองสูงสุดจึงถึงที่สุดวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๕ แม้คำร้องคดีนี้จะลงวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ แต่เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ จึงเป็นการล่วงพ้นกำหนดระยะเวลาหกสิบวัน นับแต่วันที่คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดถึงที่สุด คำร้องของผู้ร้อง จึงไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงให้ยกคำร้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 14
พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ บัญญัติว่า “ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งกันในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความ หรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด...” คดีที่ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า คำพิพากษาของศาลยุติธรรมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๐/๒๕๖๒ ขัดแย้งกับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อบ. ๑๗/๒๕๖๑ ซึ่งแม้ผู้ร้องเป็นผู้ฟ้องคดีในคดีของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อบ. ๑๗/๒๕๖๑ และเป็นจำเลยในคดีอาญาของศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขแดงที่ ๒๐/๒๕๖๒ ซึ่งเป็นคู่ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมดังกล่าว อย่างไรก็ตามการยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ ต้องดำเนินการภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด เมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขแดงที่ ๒๐/๒๕๖๒ ซึ่งเป็นคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของศาลยุติธรรมที่ออกภายหลัง ศาลอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ โจทก์ฎีกา ศาลมีคำสั่งว่าผู้พิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ฎีกา จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา คดีถึงที่สุด โดยศาลอาญาตลิ่งชันออกใบสำคัญคดีถึงที่สุด ลงวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒ เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๕ จึงเป็นการล่วงพ้นกำหนดระยะเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๐/๒๕๖๒ ถึงที่สุด แม้ว่าภายหลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้อง ผู้ร้องจะได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ต่อศาลปกครอง และศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของผู้ร้อง ลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ แต่คำสั่งของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวเป็นเพียงคำสั่งที่ไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่เนื่องจากไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีใหม่ ตามมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ไม่ใช่คำพิพากษาในเนื้อหาของคดีที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงผลของคำวินิจฉัยคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อบ. ๑๗/๒๕๖๑ จึงมิใช่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดที่จะขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๐/๒๕๖๒ คำร้องของผู้ร้อง ไม่ชอบด้วย มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบข้อ ๒๘ ของข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงให้ยกคำร้อง
พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ บัญญัติว่า “ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งกันในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความ หรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด...” คดีที่ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า คำพิพากษาของศาลยุติธรรมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๐/๒๕๖๒ ขัดแย้งกับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อบ. ๑๗/๒๕๖๑ ซึ่งแม้ผู้ร้องเป็นผู้ฟ้องคดีในคดีของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อบ. ๑๗/๒๕๖๑ และเป็นจำเลยในคดีอาญาของศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขแดงที่ ๒๐/๒๕๖๒ ซึ่งเป็นคู่ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมดังกล่าว อย่างไรก็ตามการยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ ต้องดำเนินการภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด เมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขแดงที่ ๒๐/๒๕๖๒ ซึ่งเป็นคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของศาลยุติธรรมที่ออกภายหลัง ศาลอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ โจทก์ฎีกา ศาลมีคำสั่งว่าผู้พิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ฎีกา จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา คดีถึงที่สุด โดยศาลอาญาตลิ่งชันออกใบสำคัญคดีถึงที่สุด ลงวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒ เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๕ จึงเป็นการล่วงพ้นกำหนดระยะเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๐/๒๕๖๒ ถึงที่สุด แม้ว่าภายหลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้อง ผู้ร้องจะได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ต่อศาลปกครอง และศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของผู้ร้อง ลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ แต่คำสั่งของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวเป็นเพียงคำสั่งที่ไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่เนื่องจากไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีใหม่ ตามมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ไม่ใช่คำพิพากษาในเนื้อหาของคดีที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงผลของคำวินิจฉัยคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อบ. ๑๗/๒๕๖๑ จึงมิใช่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดที่จะขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๐/๒๕๖๒ คำร้องของผู้ร้อง ไม่ชอบด้วย มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบข้อ ๒๘ ของข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงให้ยกคำร้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542
พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความ หรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด”ผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่าได้รับผลกระทบจากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.139-140/2565 ขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8064/2560 ประกอบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3299/2564 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขแดงที่ 8567/2564 ในคดีที่มีข้อเท็จจริงสืบเนื่องมาจากกรณีที่ผู้ร้องและกิจการร่วมค้า อ. ตกลงทำสัญญาจ้างดำเนินโครงการออกแบบก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ แต่ต่อมาผู้ร้องแจ้งให้กิจการร่วมค้าฯ ยุติการก่อสร้าง เนื่องจากสัญญาตกเป็นโมฆะ บริษัทในกิจการร่วมค้าทั้งหกบริษัท ผู้เรียกร้อง จึงยื่นเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 2/2554 ให้ผู้ร้องชำระค่าจ้างและค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้เรียกร้อง ต่อมาผู้ร้องและบริษัทในกิจการร่วมค้าทั้งหกบริษัทได้นำข้อพิพาทขึ้นสู่การพิจารณาของศาลปกครองและศาลยุติธรรมเมื่อคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด หมายเลขแดงที่ อ.139-140/2565 เป็นคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำพิพากษาหรือมีคำชี้ขาดใหม่ในคดีหมายเลขแดงที่ อ.487-488/2557 ซึ่งศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น โดยให้ผู้ร้องชำระเงินตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.139-140/2565 จึงเป็นเพียงคำสั่งยกคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ซึ่งมีผลให้ผู้ร้องต้องปฏิบัติตามคำบังคับในคดีเดิม และเป็นเพียงคดีสาขาของคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.487-488/2557 ที่มีประเด็นในคดีเพียงว่า กรณีตามคำร้องเข้าเงื่อนไขที่ศาลปกครองจะพิจารณาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองนั้นใหม่ตามมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 หรือไม่ คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.139-140/2565 จึงมิใช่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชี้ขาดข้อพิพาทในประเด็นแห่งคดีที่จะขัดหรือแย้งกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8064/2560 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3299/2564 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขแดงที่ 8567/2564 ทั้งไม่ปรากฏว่าคู่ความในคดีตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลมีเหตุขัดข้องที่ไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดนั้นได้ อันจะแสดงให้เห็นว่าคำพิพากษาที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน คณะกรรมการฯ จึงไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่ผู้ร้องเห็นว่าคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดหมายเลขแดงที่ อ.139-140/2565 ไม่นำข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8064/2560 รวมถึงพยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำเสนอมาประกอบกาวินิจฉัยคดีไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เมื่อคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด หมายเลขแดงที่ อ.139-140/2565 เป็นคำพิพากษาที่สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ในคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.487-488/2557 จึงเป็นอำนาจของศาลปกครองสูงสุดซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดีนั้นจะพิจารณาวินิจฉัย คณะกรรมการฯ ไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปตรวจสอบการใช้อำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่อยู่ในเขตอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายของศาลปกครองสูงสุดได้ กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 ที่คณะกรรมการฯ จะรับไว้วินิจฉัยได้ จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความ หรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด”ผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่าได้รับผลกระทบจากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.139-140/2565 ขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8064/2560 ประกอบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3299/2564 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขแดงที่ 8567/2564 ในคดีที่มีข้อเท็จจริงสืบเนื่องมาจากกรณีที่ผู้ร้องและกิจการร่วมค้า อ. ตกลงทำสัญญาจ้างดำเนินโครงการออกแบบก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ แต่ต่อมาผู้ร้องแจ้งให้กิจการร่วมค้าฯ ยุติการก่อสร้าง เนื่องจากสัญญาตกเป็นโมฆะ บริษัทในกิจการร่วมค้าทั้งหกบริษัท ผู้เรียกร้อง จึงยื่นเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 2/2554 ให้ผู้ร้องชำระค่าจ้างและค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้เรียกร้อง ต่อมาผู้ร้องและบริษัทในกิจการร่วมค้าทั้งหกบริษัทได้นำข้อพิพาทขึ้นสู่การพิจารณาของศาลปกครองและศาลยุติธรรมเมื่อคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด หมายเลขแดงที่ อ.139-140/2565 เป็นคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำพิพากษาหรือมีคำชี้ขาดใหม่ในคดีหมายเลขแดงที่ อ.487-488/2557 ซึ่งศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น โดยให้ผู้ร้องชำระเงินตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.139-140/2565 จึงเป็นเพียงคำสั่งยกคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ซึ่งมีผลให้ผู้ร้องต้องปฏิบัติตามคำบังคับในคดีเดิม และเป็นเพียงคดีสาขาของคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.487-488/2557 ที่มีประเด็นในคดีเพียงว่า กรณีตามคำร้องเข้าเงื่อนไขที่ศาลปกครองจะพิจารณาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองนั้นใหม่ตามมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 หรือไม่ คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.139-140/2565 จึงมิใช่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชี้ขาดข้อพิพาทในประเด็นแห่งคดีที่จะขัดหรือแย้งกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8064/2560 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3299/2564 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขแดงที่ 8567/2564 ทั้งไม่ปรากฏว่าคู่ความในคดีตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของทั้งสองศาลมีเหตุขัดข้องที่ไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดนั้นได้ อันจะแสดงให้เห็นว่าคำพิพากษาที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน คณะกรรมการฯ จึงไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่ผู้ร้องเห็นว่าคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดหมายเลขแดงที่ อ.139-140/2565 ไม่นำข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8064/2560 รวมถึงพยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำเสนอมาประกอบกาวินิจฉัยคดีไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เมื่อคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด หมายเลขแดงที่ อ.139-140/2565 เป็นคำพิพากษาที่สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ในคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.487-488/2557 จึงเป็นอำนาจของศาลปกครองสูงสุดซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดีนั้นจะพิจารณาวินิจฉัย คณะกรรมการฯ ไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปตรวจสอบการใช้อำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่อยู่ในเขตอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายของศาลปกครองสูงสุดได้ กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 ที่คณะกรรมการฯ จะรับไว้วินิจฉัยได้ จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
การยื่นคำร้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 14
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ จะต้องเป็นกรณีการขัดแย้งกันในคดีที่ได้อาศัยข้อเท็จจริง ที่เป็นเรื่องเดียวกัน แต่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสองศาลต่างระบบ และศาลทั้งสองศาลนั้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดในประเด็นของเนื้อหาแห่งคดีนั้นแตกต่างกัน คดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค ๗ คดีหมายเลขแดงที่ ลต ๑/๒๕๖๔ ขัดแย้งกับคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คร. ๔๖๓/๒๕๖๔ ซึ่งคำพิพากษาหรือคำสั่งทั้งสองศาลเป็นคดีที่ผู้ร้องนำข้อเท็จจริงเรื่องเดียวกันขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมและศาลปกครอง กรณีผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลวังกะ แต่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลวังกะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลวังกะ โดยระบุในส่วนของผู้ร้องว่า "ไม่รับสมัคร" ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อให้วินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งและมิได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี จึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๐ (๒๐) และมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องจึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ซึ่งต่อมาได้มีคำสั่งในคดีหมายเลขแดงที่ ลต ๑/๒๕๖๔ ให้ยกคำร้อง เนื่องจากเป็นกรณีผู้ร้องใช้สิทธิดำเนินการตามมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ไม่ได้บัญญัติให้สิทธิผู้ร้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งต่อศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคที่มีเขตอำนาจดังเช่นกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำวินิจฉัยให้ถอนรายชื่อออกจากรายชื่อผู้สมัครเพราะเหตุไม่มีสิทธิรับเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๖ ผู้ร้องจึงนำคดีเรื่องเดียวกันนี้ไปฟ้องต่อศาลปกครอง ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ คร. ๔๖๓/๒๕๖๔ ยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา โดยวินิจฉัยว่าการที่ผู้ฟ้องคดี (ผู้ร้อง) ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครอง โดยมีเจตนาโต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะให้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ดังนี้ คณะกรรมการเห็นว่ากรณีไม่อาจถือว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค ๗ คดีหมายเลขแดงที่ ลต ๑/๒๕๖๔ ขัดแย้งกับคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คร. ๔๖๓/๒๕๖๔ เนื่องจากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของผู้ร้องไว้พิจารณาด้วยเหตุที่คดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม ส่วนคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค ๗ มิได้ปฏิเสธเขตอำนาจศาลยุติธรรมในการพิจารณาคดีตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ หากแต่มีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องด้วยเหตุผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องนี้ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๗ เนื่องจากมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ ไม่ได้บัญญัติให้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ จะต้องเป็นกรณีการขัดแย้งกันในคดีที่ได้อาศัยข้อเท็จจริง ที่เป็นเรื่องเดียวกัน แต่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสองศาลต่างระบบ และศาลทั้งสองศาลนั้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดในประเด็นของเนื้อหาแห่งคดีนั้นแตกต่างกัน คดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค ๗ คดีหมายเลขแดงที่ ลต ๑/๒๕๖๔ ขัดแย้งกับคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คร. ๔๖๓/๒๕๖๔ ซึ่งคำพิพากษาหรือคำสั่งทั้งสองศาลเป็นคดีที่ผู้ร้องนำข้อเท็จจริงเรื่องเดียวกันขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมและศาลปกครอง กรณีผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลวังกะ แต่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลวังกะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลวังกะ โดยระบุในส่วนของผู้ร้องว่า "ไม่รับสมัคร" ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อให้วินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งและมิได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี จึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๐ (๒๐) และมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องจึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ซึ่งต่อมาได้มีคำสั่งในคดีหมายเลขแดงที่ ลต ๑/๒๕๖๔ ให้ยกคำร้อง เนื่องจากเป็นกรณีผู้ร้องใช้สิทธิดำเนินการตามมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ไม่ได้บัญญัติให้สิทธิผู้ร้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งต่อศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคที่มีเขตอำนาจดังเช่นกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำวินิจฉัยให้ถอนรายชื่อออกจากรายชื่อผู้สมัครเพราะเหตุไม่มีสิทธิรับเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๖ ผู้ร้องจึงนำคดีเรื่องเดียวกันนี้ไปฟ้องต่อศาลปกครอง ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ คร. ๔๖๓/๒๕๖๔ ยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา โดยวินิจฉัยว่าการที่ผู้ฟ้องคดี (ผู้ร้อง) ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครอง โดยมีเจตนาโต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะให้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ดังนี้ คณะกรรมการเห็นว่ากรณีไม่อาจถือว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค ๗ คดีหมายเลขแดงที่ ลต ๑/๒๕๖๔ ขัดแย้งกับคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คร. ๔๖๓/๒๕๖๔ เนื่องจากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของผู้ร้องไว้พิจารณาด้วยเหตุที่คดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม ส่วนคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค ๗ มิได้ปฏิเสธเขตอำนาจศาลยุติธรรมในการพิจารณาคดีตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ หากแต่มีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องด้วยเหตุผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องนี้ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๗ เนื่องจากมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ ไม่ได้บัญญัติให้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
การยื่นคำร้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 14
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|