คดีที่อดีตปลัดกระทรวงกลาโหมยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครองต้นสังกัด ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง และผู้ถูกฟ้องคดียื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลทหาร แต่ศาลปกครองกลางเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของตนแล้วส่งเรื่องไปให้ศาลทหารกรุงเทพทำความเห็น ศาลทหารกรุงเทพเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองจึงส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด เห็นว่า โดยเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ต้องการให้ศาลที่เกี่ยวข้องได้จัดทำความเห็นเรื่องเขตอำนาจศาล เพราะในท้ายที่สุดอาจมีการโอนหรือจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่ความไปฟ้องยังศาลที่มีเขตอำนาจในคดีนั้น กรณีนี้แม้ศาลปกครองกลางและศาลทหารกรุงเทพจะมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องเขตอำนาจศาล แต่เมื่อศาลทหารกรุงเทพมีความเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลยุติธรรม ซึ่งไม่ใช่ศาลที่ผู้ถูกฟ้องคดี ยื่นคำร้องว่าเป็นศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดี และศาลยุติธรรมก็ไม่ใช่ศาลที่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมในการจัดทำความเห็นในคดีนี้ หรืออีกนัยหนึ่งอาจถือได้ว่าทั้งศาลปกครองกลางและศาลทหารกรุงเทพมิได้มีความเห็นแตกต่างกันว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลทหาร กรณีถือไม่ได้ว่ามีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจศาล จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และวรรคสาม ชอบที่คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒)
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๑๐๒/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง การส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลทหารกรุงเทพ
การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ พลเอก เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ ๑ กระทรวงกลาโหม ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๗๔๗/๒๕๕๕ ความว่า ขณะเกิดเหตุผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากกรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๓๘๓/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ มาตรา ๙ และมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้ผู้ฟ้องคดีช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม โดยให้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ ๒๗ สิงหาคม ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่ผู้ฟ้องคดีจะพ้นจากตำแหน่งหน้าที่เนื่องจากเกษียณอายุราชการ อันเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรม เนื่องจากเป็นการออกคำสั่งที่ไม่มีกฎหมายให้อำนาจและเป็นไปเพื่อไม่ให้ผู้ฟ้องคดีมีส่วนร่วมในการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ราชการ อันเป็นการไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติมาตรา ๕ มาตรา ๙ และมาตรา ๒๔ และเป็นการออกคำสั่งโดยไม่สุจริต เป็นการกลั่นแกล้งผู้ฟ้องคดี เป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่พอสมควรแก่เหตุหรือไม่ได้สัดส่วน และเป็นการออกคำสั่งที่ไม่มีเหตุผลประกอบ ทั้งไม่เปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องคดีได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอหรือมีโอกาสโต้แย้งแสดงหลักฐาน ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๓๗ และมาตรา ๓๐ ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้ยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๓๘๓/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ ที่ให้ผู้ฟ้องคดีช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันออกคำสั่ง กับให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๑๒๔,๒๔๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยทหารที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร การออกคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๓๘๓/๒๕๕๕ ให้ผู้ฟ้องคดีช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเป็นไปเนื่องจากผู้ฟ้องคดีกระทำผิดระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔ อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงและเป็นความผิดทางอาญารวมถึงความผิดอาญาทหารด้วย คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งในทางยุทธการ ไม่ใช่คำสั่งทางปกครอง ประกอบกับด้วยมูลความผิดเดียวกัน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๓๘๔/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ ให้ทำการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีนายทหารสัญญาบัตรกระทำการเข้าข่ายผิดวินัย อันเป็นกระบวนการในการดำเนินการทางวินัยทหารควบคู่กันกับคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๓๘๓/๒๕๕๕ ให้ผู้ฟ้องคดีช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมด้วย จึงเป็นกรณีกระทำผิดวินัยทหารในกรณีเดียวกันและเกี่ยวเนื่องกัน ข้อพิพาทคดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ให้ผู้ฟ้องคดีไปช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ มาตรา ๙ และมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ และมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นคำสั่งทางปกครอง และข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏว่าในขณะที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีไปช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ยังมิได้ใช้อำนาจตามกฎหมายในการเริ่มต้นกระบวนการในการดำเนินการทางวินัยโดยการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กล่าวหาว่าผู้ฟ้องคดีกระทำผิด อีกทั้งคำสั่งดังกล่าวระบุเหตุผลไว้เพียงว่าเพื่อให้การบริหารราชการในกระทรวงกลาโหมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มิได้อ้างมูลเหตุในการออกคำสั่งว่าสืบเนื่องมาจากการดำเนินการทางวินัยกับผู้ฟ้องคดี คำสั่งดังกล่าวจึงมิใช่คำสั่งอันเนื่องมาจากการดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหาร แต่เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีมุ่งประสงค์ให้ตรวจสอบการใช้อำนาจออกคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๓๘๓/๒๕๕๕ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นการเฉพาะ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดอันเกิดจากคำสั่งทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มิใช่คดีอาญาทหารที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหารตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๒๘ ประกอบพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๓ และมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหารตามมาตรา ๙ วรรคสอง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลทหารกรุงเทพพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหารตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๒๘ ประกอบพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๔ (๔) เนื่องจากผู้ฟ้องคดีมุ่งประสงค์ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ยังมีข้อพิพาทเกี่ยวกับการออกคำสั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐและมีการเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่ง จึงไม่ใช่คดีที่กล่าวหาว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กระทำความผิดที่มีโทษทางอาญาที่ศาลทหารจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เกี่ยวกับความเป็นมาของการออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีไปช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเพื่อให้การบริหารราชการในกระทรวงกลาโหมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย อันมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากผู้ฟ้องคดีกระทำความผิดวินัยทหารอย่างร้ายแรง ประกอบกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ฟ้องคดีควบคู่ไปด้วย การออกคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นไปเพื่อไม่ให้เกิดอุปสรรคในการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นความผิดทางวินัย เมื่อผู้ฟ้องคดีมุ่งประสงค์ที่จะขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีไปช่วยปฏิบัติราชการอันเป็นการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องวินัยทหาร คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคสอง (๑) กรณีต้องด้วยมาตรา ๒๑๘ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องให้คณะกรรมการของศาลปกครองกลางชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) หรือไม่
พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องและให้ศาลรอการพิจารณาไว้ชั่วคราวแล้วจัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่ผู้ร้องเห็นว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว และวรรคสาม บัญญัติว่า บทบัญญัติดังกล่าวให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเอง ก่อนมีคำพิพากษาด้วยโดยอนุโลม ดังนั้น คดีที่ศาลจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดตามบทบัญญัติดังกล่าวได้จึงต้องเป็นคดีที่เริ่มกระบวนการโดยคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง หรือเป็นกรณีที่ศาลที่รับฟ้องนั้นเห็นเองว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่นตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม และมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๑) (๒) และ (๓) ยังกำหนดวิธีดำเนินการของศาลโดยให้ศาลที่รับฟ้องจัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่ผู้ร้องหรือศาลที่รับฟ้องเห็นว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจจัดทำความเห็น หากศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นพ้องกันก็อาจมีการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลเดิมนั้นต่อไป หรืออาจมีการโอนหรือจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่ความไปฟ้องที่ศาลที่เห็นพ้องกันว่ามีเขตอำนาจ แต่ถ้าศาลมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาล ให้ศาลที่ส่งความเห็นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลต้องการให้ศาลที่เกี่ยวข้องทั้งในคดีที่มีการโต้แย้งหรือในคดีที่ศาลเห็นเองเรื่องเขตอำนาจได้จัดทำความเห็นเรื่องเขตอำนาจศาล เพราะในท้ายที่สุดอาจมีการโอนหรือจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่ความไปฟ้องยังศาลที่มีเขตอำนาจในคดีนั้น ตามข้อเท็จจริงคดีนี้ การส่งเรื่องให้คณะกรรมการของศาลปกครองกลางเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ยื่นคำร้องว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลทหาร ศาลปกครองกลางจัดทำความเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดอันเกิดจากคำสั่งทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ต่อมาศาลทหารกรุงเทพจัดทำความเห็นว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหารและศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม เห็นว่า ในกรณีนี้แม้ศาลปกครองกลางและศาลทหารกรุงเทพจะมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องเขตอำนาจศาลโดยศาลปกครองกลางเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลตน ศาลทหารกรุงเทพเห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง แต่เมื่อศาลทหารกรุงเทพมีความเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลยุติธรรม ซึ่งไม่ใช่ศาลที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเริ่มกระบวนการเกี่ยวกับการโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ยื่นคำร้องว่าเป็นศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดี และศาลยุติธรรมก็ไม่ใช่ศาลที่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมในการจัดทำความเห็นในคดีนี้ หรืออีกนัยหนึ่งอาจถือได้ว่าทั้งศาลปกครองกลางและศาลทหารกรุงเทพมิได้มีความเห็นแตกต่างกันว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลทหาร กรณีถือไม่ได้ว่ามีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจศาล จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และวรรคสาม ชอบที่คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒)
จึงมีคำสั่งว่า การส่งเรื่องของศาลปกครองกลางกรณีเขตอำนาจศาลขัดแย้งกันระหว่างศาลปกครองกลางและศาลทหารกรุงเทพไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) อาศัยอำนาจตาม มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่อดีตปลัดกระทรวงกลาโหมยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครองต้นสังกัด ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง และผู้ถูกฟ้องคดียื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลทหาร แต่ศาลปกครองกลางเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของตนแล้วส่งเรื่องไปให้ศาลทหารกรุงเทพทำความเห็น ศาลทหารกรุงเทพเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองจึงส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด เห็นว่า โดยเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ต้องการให้ศาลที่เกี่ยวข้องได้จัดทำความเห็นเรื่องเขตอำนาจศาล เพราะในท้ายที่สุดอาจมีการโอนหรือจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่ความไปฟ้องยังศาลที่มีเขตอำนาจในคดีนั้น กรณีนี้แม้ศาลปกครองกลางและศาลทหารกรุงเทพจะมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องเขตอำนาจศาล แต่เมื่อศาลทหารกรุงเทพมีความเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลยุติธรรม ซึ่งไม่ใช่ศาลที่ผู้ถูกฟ้องคดี ยื่นคำร้องว่าเป็นศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดี และศาลยุติธรรมก็ไม่ใช่ศาลที่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมในการจัดทำความเห็นในคดีนี้ หรืออีกนัยหนึ่งอาจถือได้ว่าทั้งศาลปกครองกลางและศาลทหารกรุงเทพมิได้มีความเห็นแตกต่างกันว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลทหาร กรณีถือไม่ได้ว่ามีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจศาล จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และวรรคสาม ชอบที่คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒)
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๑๐๒/๒๕๕๖
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๖
เรื่อง การส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลทหารกรุงเทพ
การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ พลเอก เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ ๑ กระทรวงกลาโหม ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๗๔๗/๒๕๕๕ ความว่า ขณะเกิดเหตุผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากกรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๓๘๓/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ มาตรา ๙ และมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้ผู้ฟ้องคดีช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม โดยให้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ ๒๗ สิงหาคม ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่ผู้ฟ้องคดีจะพ้นจากตำแหน่งหน้าที่เนื่องจากเกษียณอายุราชการ อันเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรม เนื่องจากเป็นการออกคำสั่งที่ไม่มีกฎหมายให้อำนาจและเป็นไปเพื่อไม่ให้ผู้ฟ้องคดีมีส่วนร่วมในการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ราชการ อันเป็นการไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติมาตรา ๕ มาตรา ๙ และมาตรา ๒๔ และเป็นการออกคำสั่งโดยไม่สุจริต เป็นการกลั่นแกล้งผู้ฟ้องคดี เป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่พอสมควรแก่เหตุหรือไม่ได้สัดส่วน และเป็นการออกคำสั่งที่ไม่มีเหตุผลประกอบ ทั้งไม่เปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องคดีได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอหรือมีโอกาสโต้แย้งแสดงหลักฐาน ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๓๗ และมาตรา ๓๐ ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้ยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๓๘๓/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ ที่ให้ผู้ฟ้องคดีช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันออกคำสั่ง กับให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๑๒๔,๒๔๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยทหารที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร การออกคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๓๘๓/๒๕๕๕ ให้ผู้ฟ้องคดีช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเป็นไปเนื่องจากผู้ฟ้องคดีกระทำผิดระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔ อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงและเป็นความผิดทางอาญารวมถึงความผิดอาญาทหารด้วย คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งในทางยุทธการ ไม่ใช่คำสั่งทางปกครอง ประกอบกับด้วยมูลความผิดเดียวกัน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๓๘๔/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ ให้ทำการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีนายทหารสัญญาบัตรกระทำการเข้าข่ายผิดวินัย อันเป็นกระบวนการในการดำเนินการทางวินัยทหารควบคู่กันกับคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๓๘๓/๒๕๕๕ ให้ผู้ฟ้องคดีช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมด้วย จึงเป็นกรณีกระทำผิดวินัยทหารในกรณีเดียวกันและเกี่ยวเนื่องกัน ข้อพิพาทคดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ให้ผู้ฟ้องคดีไปช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ มาตรา ๙ และมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ และมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นคำสั่งทางปกครอง และข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏว่าในขณะที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีไปช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ยังมิได้ใช้อำนาจตามกฎหมายในการเริ่มต้นกระบวนการในการดำเนินการทางวินัยโดยการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กล่าวหาว่าผู้ฟ้องคดีกระทำผิด อีกทั้งคำสั่งดังกล่าวระบุเหตุผลไว้เพียงว่าเพื่อให้การบริหารราชการในกระทรวงกลาโหมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มิได้อ้างมูลเหตุในการออกคำสั่งว่าสืบเนื่องมาจากการดำเนินการทางวินัยกับผู้ฟ้องคดี คำสั่งดังกล่าวจึงมิใช่คำสั่งอันเนื่องมาจากการดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหาร แต่เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีมุ่งประสงค์ให้ตรวจสอบการใช้อำนาจออกคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๓๘๓/๒๕๕๕ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นการเฉพาะ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดอันเกิดจากคำสั่งทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มิใช่คดีอาญาทหารที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหารตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๒๘ ประกอบพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๓ และมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหารตามมาตรา ๙ วรรคสอง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลทหารกรุงเทพพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหารตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๒๘ ประกอบพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๔ (๔) เนื่องจากผู้ฟ้องคดีมุ่งประสงค์ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ยังมีข้อพิพาทเกี่ยวกับการออกคำสั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐและมีการเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่ง จึงไม่ใช่คดีที่กล่าวหาว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กระทำความผิดที่มีโทษทางอาญาที่ศาลทหารจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เกี่ยวกับความเป็นมาของการออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีไปช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเพื่อให้การบริหารราชการในกระทรวงกลาโหมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย อันมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากผู้ฟ้องคดีกระทำความผิดวินัยทหารอย่างร้ายแรง ประกอบกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ฟ้องคดีควบคู่ไปด้วย การออกคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นไปเพื่อไม่ให้เกิดอุปสรรคในการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นความผิดทางวินัย เมื่อผู้ฟ้องคดีมุ่งประสงค์ที่จะขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีไปช่วยปฏิบัติราชการอันเป็นการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องวินัยทหาร คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคสอง (๑) กรณีต้องด้วยมาตรา ๒๑๘ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องให้คณะกรรมการของศาลปกครองกลางชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) หรือไม่
พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องและให้ศาลรอการพิจารณาไว้ชั่วคราวแล้วจัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่ผู้ร้องเห็นว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว และวรรคสาม บัญญัติว่า บทบัญญัติดังกล่าวให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเอง ก่อนมีคำพิพากษาด้วยโดยอนุโลม ดังนั้น คดีที่ศาลจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดตามบทบัญญัติดังกล่าวได้จึงต้องเป็นคดีที่เริ่มกระบวนการโดยคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง หรือเป็นกรณีที่ศาลที่รับฟ้องนั้นเห็นเองว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่นตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม และมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๑) (๒) และ (๓) ยังกำหนดวิธีดำเนินการของศาลโดยให้ศาลที่รับฟ้องจัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่ผู้ร้องหรือศาลที่รับฟ้องเห็นว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจจัดทำความเห็น หากศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นพ้องกันก็อาจมีการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลเดิมนั้นต่อไป หรืออาจมีการโอนหรือจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่ความไปฟ้องที่ศาลที่เห็นพ้องกันว่ามีเขตอำนาจ แต่ถ้าศาลมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาล ให้ศาลที่ส่งความเห็นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลต้องการให้ศาลที่เกี่ยวข้องทั้งในคดีที่มีการโต้แย้งหรือในคดีที่ศาลเห็นเองเรื่องเขตอำนาจได้จัดทำความเห็นเรื่องเขตอำนาจศาล เพราะในท้ายที่สุดอาจมีการโอนหรือจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่ความไปฟ้องยังศาลที่มีเขตอำนาจในคดีนั้น ตามข้อเท็จจริงคดีนี้ การส่งเรื่องให้คณะกรรมการของศาลปกครองกลางเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ยื่นคำร้องว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลทหาร ศาลปกครองกลางจัดทำความเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดอันเกิดจากคำสั่งทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ต่อมาศาลทหารกรุงเทพจัดทำความเห็นว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหารและศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม เห็นว่า ในกรณีนี้แม้ศาลปกครองกลางและศาลทหารกรุงเทพจะมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องเขตอำนาจศาลโดยศาลปกครองกลางเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลตน ศาลทหารกรุงเทพเห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง แต่เมื่อศาลทหารกรุงเทพมีความเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลยุติธรรม ซึ่งไม่ใช่ศาลที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเริ่มกระบวนการเกี่ยวกับการโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ยื่นคำร้องว่าเป็นศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดี และศาลยุติธรรมก็ไม่ใช่ศาลที่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมในการจัดทำความเห็นในคดีนี้ หรืออีกนัยหนึ่งอาจถือได้ว่าทั้งศาลปกครองกลางและศาลทหารกรุงเทพมิได้มีความเห็นแตกต่างกันว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลทหาร กรณีถือไม่ได้ว่ามีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจศาล จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และวรรคสาม ชอบที่คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒)
จึงมีคำสั่งว่า การส่งเรื่องของศาลปกครองกลางกรณีเขตอำนาจศาลขัดแย้งกันระหว่างศาลปกครองกลางและศาลทหารกรุงเทพไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) อาศัยอำนาจตาม มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
การส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง (3)
คดีที่จะยื่นคำร้องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ จะต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ข้อเท็จจริงตามคำร้อง แม้คำพิพากษาของศาลปกครองจะถึงที่สุดตามมาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่คำพิพากษาของศาลยุติธรรม ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๖ คู่ความจึงยื่นฎีกาได้ภายในกำหนด ๑ เดือน นับแต่วันดังกล่าว การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องลงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครองขัดแย้งกัน จึงยังไม่พ้นกำหนดเวลายื่นฎีกาและเป็นกรณีที่คำพิพากษาของศาลยุติธรรมยังไม่ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๗ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๔๗ คำร้องดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๘๖/๒๕๕๖
วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖
เรื่อง การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
คำพิพากษาศาลปกครองขอนแก่น
ระหว่าง
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔
การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ
เทศบาลตำบลหนองสอยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครองขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อเท็จจริงในคดี
ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส อาร์ แกลเลอรี่ ๒๐๐๔ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องเทศบาลตำบลหนองสอ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองขอนแก่น เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๙/๒๕๕๓ ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินค่าจ้างสร้างและติดตั้งซุ้มเฉลิมพระเกียรติเป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลปกครองขอนแก่นพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงิน ๗๕๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย เป็นคดีหมายเลขแดงที่ ๙๗/๒๕๕๕ ผู้ถูกฟ้องคดีอุทธรณ์ ศาลปกครองขอนแก่นไม่รับอุทธรณ์ไว้พิจารณา คดีถึงที่สุด และในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองขอนแก่น ผู้ฟ้องคดีเป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีเป็นจำเลย ต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๗๑๐/๒๕๕๔ ขอให้จำเลยชำระเงินค่าจ้างสร้างและติดตั้งซุ้มเฉลิมพระเกียรติดังกล่าวอีก ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์พิพากษายกฟ้อง เป็นคดีหมายเลขแดงที่ ๑๗๕๕/๒๕๕๔ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๓๒/๒๕๕๕ หมายเลขแดงที่ ๒๘๑๗/๒๕๕๕ เทศบาลตำบลหนองสอเห็นว่าเป็นกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดของศาลปกครองขอนแก่นและศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาของทั้งสองศาลว่าควรปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลใด
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คำร้องของเทศบาลตำบลหนองสอชอบด้วยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่
พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงในเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความ หรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด" ดังนั้น คดีที่จะยื่นคำร้องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ จึงต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ข้อเท็จจริงตามคำร้อง แม้คำพิพากษาของศาลปกครองจะถึงที่สุดแล้วตามมาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่คำพิพากษาของศาลยุติธรรมนั้น ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๖ คู่ความจึงยื่นฎีกาได้ภายในกำหนด ๑ เดือน นับแต่วันดังกล่าว การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องลงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครองขัดแย้งกัน จึงยังไม่พ้นกำหนดเวลายื่นฎีกาและเป็นกรณีที่คำพิพากษาของศาลยุติธรรมยังไม่ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๗ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๔๗ คำร้องดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔
จึงมีคำสั่งว่า คำร้องของเทศบาลตำบลหนองสอ ผู้ร้อง ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ ให้ยกคำร้อง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่จะยื่นคำร้องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ จะต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ข้อเท็จจริงตามคำร้อง แม้คำพิพากษาของศาลปกครองจะถึงที่สุดตามมาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่คำพิพากษาของศาลยุติธรรม ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๖ คู่ความจึงยื่นฎีกาได้ภายในกำหนด ๑ เดือน นับแต่วันดังกล่าว การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องลงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครองขัดแย้งกัน จึงยังไม่พ้นกำหนดเวลายื่นฎีกาและเป็นกรณีที่คำพิพากษาของศาลยุติธรรมยังไม่ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๗ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๔๗ คำร้องดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๘๖/๒๕๕๖
วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖
เรื่อง การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
คำพิพากษาศาลปกครองขอนแก่น
ระหว่าง
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔
การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ
เทศบาลตำบลหนองสอยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครองขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อเท็จจริงในคดี
ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส อาร์ แกลเลอรี่ ๒๐๐๔ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องเทศบาลตำบลหนองสอ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองขอนแก่น เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๙/๒๕๕๓ ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินค่าจ้างสร้างและติดตั้งซุ้มเฉลิมพระเกียรติเป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลปกครองขอนแก่นพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงิน ๗๕๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย เป็นคดีหมายเลขแดงที่ ๙๗/๒๕๕๕ ผู้ถูกฟ้องคดีอุทธรณ์ ศาลปกครองขอนแก่นไม่รับอุทธรณ์ไว้พิจารณา คดีถึงที่สุด และในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองขอนแก่น ผู้ฟ้องคดีเป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีเป็นจำเลย ต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๗๑๐/๒๕๕๔ ขอให้จำเลยชำระเงินค่าจ้างสร้างและติดตั้งซุ้มเฉลิมพระเกียรติดังกล่าวอีก ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์พิพากษายกฟ้อง เป็นคดีหมายเลขแดงที่ ๑๗๕๕/๒๕๕๔ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๓๒/๒๕๕๕ หมายเลขแดงที่ ๒๘๑๗/๒๕๕๕ เทศบาลตำบลหนองสอเห็นว่าเป็นกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดของศาลปกครองขอนแก่นและศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาของทั้งสองศาลว่าควรปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลใด
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คำร้องของเทศบาลตำบลหนองสอชอบด้วยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่
พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงในเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความ หรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด" ดังนั้น คดีที่จะยื่นคำร้องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ จึงต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ข้อเท็จจริงตามคำร้อง แม้คำพิพากษาของศาลปกครองจะถึงที่สุดแล้วตามมาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่คำพิพากษาของศาลยุติธรรมนั้น ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๖ คู่ความจึงยื่นฎีกาได้ภายในกำหนด ๑ เดือน นับแต่วันดังกล่าว การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องลงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครองขัดแย้งกัน จึงยังไม่พ้นกำหนดเวลายื่นฎีกาและเป็นกรณีที่คำพิพากษาของศาลยุติธรรมยังไม่ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๗ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๔๗ คำร้องดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔
จึงมีคำสั่งว่า คำร้องของเทศบาลตำบลหนองสอ ผู้ร้อง ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ ให้ยกคำร้อง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(สุขสันต์ สิงหเดช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องผู้ใหญ่บ้าน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล และนายอำเภอเรื่องที่ดิน โดยจำเลยให้การโต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การว่า เป็นคดีปกครองอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ศาลจังหวัดจัดทำความเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของตนแล้วส่งให้ศาลปกครองจัดทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจศาล เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า หากคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งก็จะต้องยื่นคำร้องก่อนวันสืบพยานของศาลยุติธรรม การโต้แย้งอำนาจศาลจึงต้องทำเป็นคำร้อง แต่การโต้แย้งของจำเลยไว้ในคำให้การจึงเป็นเพียงข้อต่อสู้คดีเท่านั้น ไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะ จึงเป็นการโต้แย้งอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าว ส่วนในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนั้น ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา ๑๐ วรรคสาม ให้ใช้ความตามมาตรา ๑๐ บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเองโดยอนุโลมซึ่งจะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น มิใช่เห็นว่าอยู่ในอำนาจของศาลตน เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งมิใช่กรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลอื่น จึงถือไม่ได้ว่ามีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจศาล กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๖๕/๒๕๕๖
วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๖
เรื่อง การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ศาลจังหวัดนครสวรรค์
ระหว่าง
ศาลปกครองพิษณุโลก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนครสวรรค์ส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๕ นายเกษม พวงจำปา ที่ ๑ นางแห้ง พวงจำปา ที่ ๒ โจทก์ ยื่นฟ้องนายธนพัฒน์ บูรณศักดิ์ภิญโญ ที่ ๑ นายเสงี่ยม ขำสุข ที่ ๒ นายพงศ์อินทร์ ติยะโสภณจิต ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๔๗๐/๒๕๕๕ หมายเลขแดงที่ ๑๕๓๔/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า ตั้งอยู่หมู่ที่ ๑ ตำบลหนองกลับ อำเภอหนองบัวจังหวัดนครสวรรค์ แต่ถูกจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายอำเภอหนองบัวมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านนำเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ สาขาหนองบัว รังวัดชี้แนวเขตในที่ดินของโจทก์ทั้งสองเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง โดยอ้างว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ โจทก์ทั้งสองทำการคัดค้านการรังวัดแล้ว แต่จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว มีหนังสือแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองเป็นที่สาธารณประโยชน์ ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินเชื่อตามหนังสือดังกล่าว ทั้งที่ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองซึ่งได้ครอบครองทำประโยชน์มากว่า ๕๐ ปี โดยสงบ เปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของโดยไม่มีผู้ใดคัดค้านตลอดมา ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิยื่นขอออกโฉนดที่ดินพิพาทและห้ามจำเลยทั้งสามเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า มูลคดีที่โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการอ้างว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน โจทก์ทั้งสองจึงไม่ใช่เจ้าของหรือเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ แต่ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๓ ออกจากสารบบความ เนื่องจากโจทก์มีคำขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การเกินกำหนดระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๘ วรรคสอง
ศาลจังหวัดนครสวรรค์พิจารณาคำให้การของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ แล้วจัดทำความเห็นส่งไปยังศาลปกครองว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ได้ยื่นคำร้องว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ทั้งสองได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โต้แย้งเขตอำนาจศาลไว้ในคำให้การโดยมิได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ และการทำความเห็นของศาลจังหวัดนครสวรรค์ไม่ใช่กรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งจะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น ไม่ใช่คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลตน ทั้งนี้ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล (คำสั่ง) ที่ ๔๒/๒๕๕๔
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสามเรื่องที่ดินต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การโต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การว่า คดีนี้เป็นคดีปกครองอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โดยไม่ได้ยื่นคำร้องว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองแต่อย่างใด ศาลจังหวัดนครสวรรค์จัดทำความเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของตนแล้วส่งให้ศาลปกครองจัดทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจศาล เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า หากคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งก็จะต้องยื่นคำร้องก่อนวันสืบพยานของศาลยุติธรรม การโต้แย้งอำนาจศาลจึงต้องทำเป็นคำร้อง ทั้งการที่ศาลจะทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะต้องเป็นกรณีที่ศาลจัดทำความเห็นตามข้อโต้แย้งที่เริ่มกระบวนการโดยการที่คู่ความยื่นคำร้องโต้แย้งอำนาจศาลเสียก่อน แต่การโต้แย้งของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ในกรณีนี้เป็นการโต้แย้งไว้ในคำให้การซึ่งเป็นเพียงข้อต่อสู้คดีเท่านั้น ไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะ จึงเป็นการโต้แย้งอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าว ส่วนในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนั้น ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา ๑๐ วรรคสาม ให้ใช้ความตามมาตรา ๑๐ บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเองโดยอนุโลมซึ่งจะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น มิใช่เห็นว่าอยู่ในอำนาจของศาลตน เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งมิใช่กรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลอื่น จึงถือไม่ได้ว่ามีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจศาล กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม ชอบที่คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒)
จึงมีคำสั่งว่า การส่งเรื่องกรณีระหว่างศาลจังหวัดนครสวรรค์และศาลปกครองพิษณุโลกที่เกี่ยวข้องกับโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสามในคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สุขสันต์ สิงหเดช) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องผู้ใหญ่บ้าน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล และนายอำเภอเรื่องที่ดิน โดยจำเลยให้การโต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การว่า เป็นคดีปกครองอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ศาลจังหวัดจัดทำความเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของตนแล้วส่งให้ศาลปกครองจัดทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจศาล เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า หากคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งก็จะต้องยื่นคำร้องก่อนวันสืบพยานของศาลยุติธรรม การโต้แย้งอำนาจศาลจึงต้องทำเป็นคำร้อง แต่การโต้แย้งของจำเลยไว้ในคำให้การจึงเป็นเพียงข้อต่อสู้คดีเท่านั้น ไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะ จึงเป็นการโต้แย้งอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าว ส่วนในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนั้น ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา ๑๐ วรรคสาม ให้ใช้ความตามมาตรา ๑๐ บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเองโดยอนุโลมซึ่งจะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น มิใช่เห็นว่าอยู่ในอำนาจของศาลตน เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งมิใช่กรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลอื่น จึงถือไม่ได้ว่ามีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจศาล กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๖๕/๒๕๕๖
วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๖
เรื่อง การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ศาลจังหวัดนครสวรรค์
ระหว่าง
ศาลปกครองพิษณุโลก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนครสวรรค์ส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๕ นายเกษม พวงจำปา ที่ ๑ นางแห้ง พวงจำปา ที่ ๒ โจทก์ ยื่นฟ้องนายธนพัฒน์ บูรณศักดิ์ภิญโญ ที่ ๑ นายเสงี่ยม ขำสุข ที่ ๒ นายพงศ์อินทร์ ติยะโสภณจิต ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๔๗๐/๒๕๕๕ หมายเลขแดงที่ ๑๕๓๔/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า ตั้งอยู่หมู่ที่ ๑ ตำบลหนองกลับ อำเภอหนองบัวจังหวัดนครสวรรค์ แต่ถูกจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายอำเภอหนองบัวมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านนำเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ สาขาหนองบัว รังวัดชี้แนวเขตในที่ดินของโจทก์ทั้งสองเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง โดยอ้างว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ โจทก์ทั้งสองทำการคัดค้านการรังวัดแล้ว แต่จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว มีหนังสือแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองเป็นที่สาธารณประโยชน์ ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินเชื่อตามหนังสือดังกล่าว ทั้งที่ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองซึ่งได้ครอบครองทำประโยชน์มากว่า ๕๐ ปี โดยสงบ เปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของโดยไม่มีผู้ใดคัดค้านตลอดมา ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิยื่นขอออกโฉนดที่ดินพิพาทและห้ามจำเลยทั้งสามเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า มูลคดีที่โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการอ้างว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน โจทก์ทั้งสองจึงไม่ใช่เจ้าของหรือเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ แต่ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๓ ออกจากสารบบความ เนื่องจากโจทก์มีคำขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การเกินกำหนดระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๘ วรรคสอง
ศาลจังหวัดนครสวรรค์พิจารณาคำให้การของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ แล้วจัดทำความเห็นส่งไปยังศาลปกครองว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ได้ยื่นคำร้องว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ทั้งสองได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โต้แย้งเขตอำนาจศาลไว้ในคำให้การโดยมิได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ และการทำความเห็นของศาลจังหวัดนครสวรรค์ไม่ใช่กรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งจะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น ไม่ใช่คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลตน ทั้งนี้ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล (คำสั่ง) ที่ ๔๒/๒๕๕๔
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสามเรื่องที่ดินต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การโต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การว่า คดีนี้เป็นคดีปกครองอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โดยไม่ได้ยื่นคำร้องว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองแต่อย่างใด ศาลจังหวัดนครสวรรค์จัดทำความเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของตนแล้วส่งให้ศาลปกครองจัดทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจศาล เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า หากคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งก็จะต้องยื่นคำร้องก่อนวันสืบพยานของศาลยุติธรรม การโต้แย้งอำนาจศาลจึงต้องทำเป็นคำร้อง ทั้งการที่ศาลจะทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะต้องเป็นกรณีที่ศาลจัดทำความเห็นตามข้อโต้แย้งที่เริ่มกระบวนการโดยการที่คู่ความยื่นคำร้องโต้แย้งอำนาจศาลเสียก่อน แต่การโต้แย้งของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ในกรณีนี้เป็นการโต้แย้งไว้ในคำให้การซึ่งเป็นเพียงข้อต่อสู้คดีเท่านั้น ไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะ จึงเป็นการโต้แย้งอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าว ส่วนในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนั้น ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา ๑๐ วรรคสาม ให้ใช้ความตามมาตรา ๑๐ บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเองโดยอนุโลมซึ่งจะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น มิใช่เห็นว่าอยู่ในอำนาจของศาลตน เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งมิใช่กรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลอื่น จึงถือไม่ได้ว่ามีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจศาล กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม ชอบที่คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒)
จึงมีคำสั่งว่า การส่งเรื่องกรณีระหว่างศาลจังหวัดนครสวรรค์และศาลปกครองพิษณุโลกที่เกี่ยวข้องกับโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสามในคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สุขสันต์ สิงหเดช) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 10 วรรคหนึ่งและวรรคสาม
การที่ศาลจะทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง จะต้องเป็นกรณีที่คู่ความยื่นคำร้องโต้แย้งอำนาจศาลเสียก่อน ส่วนในกรณีศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม จะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น มิใช่เห็นเองว่า อยู่ในอำนาจของตนเอง เมื่อจำเลยโต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การซึ่งเป็นเพียงข้อต่อสู้คดีโดยไม่ได้ทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะ ทั้งมิใช่กรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลอื่น จึงถือไม่ได้ว่ามีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจศาล ตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒)
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๑/๒๕๕๖
วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๖
เรื่อง การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่
ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม
ศาลจังหวัดตรัง
ระหว่าง
ศาลปกครองสงขลา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดตรังส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ โต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การ และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ กรมชลประทาน โจทก์ ยื่นฟ้อง ห้างหุ้นส่วนจำกัด มัธยฐาน กรุ๊ป ที่ ๑ นายสนชัย สัมฤทธิ์ ที่ ๒ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก.นำเบญจพลพาณิชย์ ที่ ๓ นายเกตุ นำเบญจพล ที่ ๔ จำเลย ต่อศาลจังหวัดตรัง เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๘๗๗/๒๕๕๓ ความว่า เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๑ โจทก์ได้ดำเนินการสอบราคาซื้อปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ ๑ ชนิดบรรจุถุงกระดาษหนาไม่น้อยกว่า ๓ ชั้น หนักถุงละ ๕๐ กิโลกรัม มอก. ๑๕ เล่ม ๑-๒๕๔๗ ปูนซีเมนต์ผสมและปูนขาวใช้สำหรับงานก่อสร้าง รวม ๓ รายการ เพื่อใช้สำหรับงานก่อสร้างซ่อมแซมรั้วบริเวณหัวงานโครงการชลประทานตรัง ตั้งอยู่หมู่ที่ ๖ ตำบลบ้านควน อำเภอเมือง จังหวัดตรัง ตามประกาศ กรมชลประทาน เรื่อง สอบราคาซื้อปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ ๑ ปูนซีเมนต์ผสมและปูนขาว เลขที่ ตง.สช. ๑๓/๒๕๕๑ กำหนดเปิดซองใบเสนอราคา ในวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๑ โดยมีข้อกำหนด ข้อ ๔.๒ ว่า "ราคาที่เสนอจะต้องเสนอกำหนดยืนราคาไม่น้อยกว่า ๙๐ วัน นับแต่วันเปิดซองใบเสนอราคา โดยภายในกำหนดยืนราคาผู้เสนอราคาต้องรับผิดชอบราคาที่ตนได้เสนอไว้และจะถอนการเสนอราคามิได้" และข้อ ๙.๓ ว่า "ผู้เสนอราคา ซึ่งกรมได้คัดเลือกแล้วไม่ไปทำสัญญาหรือข้อตกลงภายในเวลาที่ทางราชการกำหนด ดังระบุใน ข้อ ๖ กรมจะพิจารณาเรียกร้องให้ชดใช้ความเสียหายอื่น (ถ้ามี) อาทิเช่น ค่าความเสียหายกรณีที่ผู้เสนอราคาต่ำสุดซึ่งทางราชการเรียกให้เข้ามาทำสัญญาแล้วไม่มาทำสัญญา อันส่งผลให้ราชการต้องซื้อกับผู้เสนอราคารายอื่นในราคาที่สูงกว่า เป็นต้น รวมทั้งจะพิจารณาให้เป็นผู้ทิ้งงานตามระเบียบของทางราชการ" จำเลยที่ ๑ ซึ่งมีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดเป็นเงินจำนวน ๒๐๒,๗๒๐ บาท เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๑ คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาได้ติดต่อจำเลยที่ ๑ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของยอดเงินรวมในใบเสนอราคา แต่จำเลยที่ ๑ แจ้งว่า ไม่ได้มอบอำนาจให้นายธีระยุทธ ศรีษะภูมิ ดำเนินการใดๆ ในนามของจำเลยที่ ๑ และไม่ได้มอบอำนาจให้ยื่นซองสอบราคาแก่โครงการชลประทานตรังแต่อย่างใด คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาจึงดำเนินการพิจารณาผู้เสนอราคาต่ำสุดรายถัดไป คือ จำเลยที่ ๓ ซึ่งเสนอราคาเป็นเงิน ๒๐๕,๒๕๔ บาท เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑ โจทก์ได้แจ้งจำเลยที่ ๓ ซึ่งมีจำเลยที่ ๔ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการว่า โจทก์สนองรับราคาตามที่จำเลยที่ ๓ เสนอ และให้จำเลยที่ ๓ รับใบสั่งซื้อภายในห้าวันทำการ นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ แต่เมื่อถึงกำหนดแล้วจำเลยที่ ๓ กลับเพิกเฉย และเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๔ ได้มีหนังสือแจ้งว่า ไม่เคยยื่นซองเสนอราคาหรือมอบอำนาจให้ผู้ใดยื่นซองเสนอราคาแก่โครงการชลประทานตรัง และตราประทับกับลายมือชื่อของจำเลยที่ ๔ หุ้นส่วนผู้จัดการ ในใบเสนอราคาและหนังสือมอบอำนาจยื่นซองเสนอราคาเป็นตราประทับและลายมือชื่อปลอม คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาจึงดำเนินการพิจารณารับห้างหุ้นส่วนจำกัด เอี้ยท่งฮวด ผู้เสนอราคาต่ำสุดรายถัดไป ซึ่งเสนอราคารวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๓๔,๑๙๐ บาท พร้อมทั้งได้ส่งมอบของเสร็จเรียบร้อยแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสี่ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน ๒,๙๕๘.๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน ๓๓,๗๘๑.๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ไม่เคยทำหนังสือใบเสนอราคาตามที่โจทก์ฟ้อง ไม่เคยไปเสนอราคาและหรือมอบอำนาจให้บุคคลใดไปเสนอราคาให้กับโจทก์ และได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม โดยนายประเวทย์ รำพึงนิตย์ เป็นผู้ปลอมเอกสารทั้งหมด และประทับตราจำเลยที่ ๓ และลงลายมือชื่อจำเลยที่ ๔ ปลอม ซึ่งจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ได้ยื่นฟ้องนายประเวทย์ เป็นคดีอาญา หมายเลขดำที่ ๑๗๑๕/๒๕๕๒ หมายเลขแดงที่ ๒๐๔๐/๒๕๕๒ ข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ต่อศาลจังหวัดตรังแล้ว คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ ตามคำฟ้องโจทก์อ้างเพียงจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ได้อ้างคำเสนอ แต่โจทก์เองซึ่งเป็นผู้รับคำเสนอได้บอกปัดไม่ได้สนองรับภายในระยะเวลาดังกล่าว โดยโจทก์ในฐานะกรรมการเปิดซองสอบราคาได้พิจารณารับราคาต่ำสุดรายถัดไปคือห้างหุ้นส่วนจำกัด เอี้ยท่งฮวด จึงทำให้โจทก์ในฐานะผู้รับเสนอราคาสิ้นสุดความผูกพันที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ และประกอบกับตามคำฟ้องของโจทก์ได้อ้างเหตุที่นำเอาผู้ประมูลรายใหม่เข้ามา จึงไม่เป็นเหตุทำให้เสื่อมเสียแก่โจทก์ จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ เพราะเป็นความผิดของโจทก์ โจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครองและตามประกาศกรมชลประทาน เรื่อง สอบราคาซื้อปูนงานซ่อมรั้วบริเวณงานโครงการชลประทานตรังเป็นการให้บริการสาธารณะ การที่โจทก์ต้องการให้จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ เข้ามาดำเนินการบริการสาธารณะโดยตรงหรือเข้ามาดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับโจทก์ถือได้ว่าเป็นสัญญาทางปกครอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลจังหวัดตรังพิจารณาแล้วเห็นว่า สัญญาทางปกครองหมายถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แต่การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่เรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เข้ายื่นซองเสนอราคาขายปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ ๑ ปูนซีเมนต์ผสมและปูนขาวตามที่โจทก์ได้ดำเนินการสอบราคาเพื่อซื้อปูนซีเมนต์และปูนขาวดังกล่าว โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดตามลำดับ แต่เมื่อโจทก์ได้คัดเลือกแล้ว จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ไม่ไปทำสัญญา ทำให้โจทก์ต้องสั่งซื้อวัสดุดังกล่าวจากห้างหุ้นส่วนจำกัด เอี้ยท่งฮวด ซึ่งเสนอราคาที่สูงกว่าราคาที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เสนอนั้น หาใช่เป็นสัญญาทางปกครองไม่ แม้คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองก็ตาม แต่ก็หามีลักษณะของสัญญาดังที่ระบุไว้ไม่ กรณีจึงไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองสงขลาพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่โจทก์ประกาศสอบราคาซื้อปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ ๑ ปูนซีเมนต์ผสม และปูนขาว ใช้สำหรับงานก่อสร้างซ่อมแซมรั้วบริเวณหัวงานโครงการชลประทานตรัง โดยเปิดโอกาสให้ผู้มีอาชีพขายพัสดุที่สอบราคาซื้อดังกล่าวที่มีคุณสมบัติครบถ้วนเข้าแข่งขันราคาด้วยวิธีการยื่นซองเสนอราคา หากผู้เสนอราคารายใดเสนอราคาที่เหมาะสมแก่การว่าจ้างในราคาต่ำสุด ผู้เสนอราคารายนั้นจะเป็นผู้ชนะการสอบราคาและมีสิทธิเข้าทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์ มีลักษณะเป็นคำเชื้อเชิญให้ผู้มีอาชีพขายพัสดุทำคำเสนอต่อโจทก์ เมื่อต่อมาเอกชนผู้เสนอราคาได้ยื่นใบเสนอราคาต่อโจทก์จึงเป็นการทำคำเสนอขอเข้าทำสัญญากับโจทก์ และการที่โจทก์ได้พิจารณาอนุมัติรับราคาที่เอกชนเสนอและแจ้งให้มาทำสัญญานั้น ถือว่าโจทก์ได้เลือกให้เป็นผู้ชนะการสอบราคาและได้สนองรับคำเสนอทำให้เกิดสัญญาประเภทหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า สัญญาสอบราคาที่คู่สัญญาตามสัญญาสอบราคามีความผูกพันกันในฐานะที่จะเข้าทำสัญญากัน และเมื่อสัญญาสอบราคาดังกล่าวมีคู่สัญญาฝ่ายโจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครอง อีกทั้งโจทก์ก็มีเอกสิทธิ์ในการเลือกคู่สัญญา ควบคุมการปฏิบัติตามสัญญา แก้ไขสัญญา และเลิกสัญญาได้ฝ่ายเดียว อันแสดงถึงลักษณะพิเศษในการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครองเพื่อให้การบริการสาธารณะบรรลุผล ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เข้ายื่นซองเสนอราคาขายปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ ๑ ปูนซีเมนต์ผสม และปูนขาว ตามที่โจทก์ได้ดำเนินการสอบราคาเพื่อซื้อปูนซีเมนต์และปูนขาวดังกล่าว โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดตามลำดับ แต่เมื่อโจทก์ได้คัดเลือกแล้ว จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ไม่ไปทำสัญญา ทำให้โจทก์ต้องสั่งซื้อวัสดุดังกล่าวจากห้างหุ้นส่วนจำกัด เอี้ยท่งฮวด ซึ่งเสนอราคาที่สูงกว่าราคาที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เสนอ โดยขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้เงินค่าเสียหายซึ่งเกิดจากการที่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาสอบราคาดังกล่าว ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเนื่องมาจากการที่จำเลยที่ ๑ และที่ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาสอบราคาและเข้าลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ดำเนินการสอบราคาซื้อปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ ๑ ปูนซีเมนต์ผสมและปูนขาว เพื่อใช้สำหรับงานก่อสร้างซ่อมแซมรั้วบริเวณหัวงานโครงการชลประทานตรัง โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดตามลำดับ แต่เมื่อโจทก์คัดเลือกแล้ว จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ไม่ไปทำสัญญา ทำให้โจทก์ต้องสั่งซื้อวัสดุดังกล่าวจากบุคคลอื่น ซึ่งเสนอราคาที่สูงกว่าราคาที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เสนอ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้เงินค่าเสียหายดังกล่าว จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ โต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การโดยมิได้ทำเป็นคำร้องว่า คดีนี้เป็นคดีปกครองอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลจังหวัดตรังจัดทำความเห็นว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของตนแล้วส่งให้ศาลปกครองจัดทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจศาล เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า หากคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งก็จะต้องยื่นคำร้องก่อนวันสืบพยานของศาลยุติธรรม การโต้แย้งอำนาจศาลจึงต้องทำเป็นคำร้อง แต่การโต้แย้งของจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ในกรณีนี้เป็นการโต้แย้งไว้ในคำให้การซึ่งเป็นเพียงข้อต่อสู้คดีเท่านั้น โดยไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะจึงเป็นการโต้แย้งอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งการที่ศาลจะทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลจัดทำความเห็นตามข้อโต้แย้งที่เริ่มกระบวนการโดยการที่คู่ความยื่นคำร้องโต้แย้งอำนาจศาล ตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งเสียก่อน ส่วนในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ให้อนุโลมตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ซึ่งจะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น มิใช่เห็นเองว่าอยู่ในอำนาจของตนเอง เมื่อปรากฏว่า จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ มิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งมิใช่กรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลอื่น จึงถือไม่ได้ว่ามีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจศาล กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ชอบที่คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒)
จึงมีคำสั่งว่า การส่งเรื่องกรณีระหว่างศาลจังหวัดตรังและศาลปกครองสงขลาที่เกี่ยวข้องกับโจทก์และจำเลยทั้งหกในคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สถาพร เกียรติภิญโญ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สถาพร เกียรติภิญโญ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
การที่ศาลจะทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง จะต้องเป็นกรณีที่คู่ความยื่นคำร้องโต้แย้งอำนาจศาลเสียก่อน ส่วนในกรณีศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม จะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น มิใช่เห็นเองว่า อยู่ในอำนาจของตนเอง เมื่อจำเลยโต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การซึ่งเป็นเพียงข้อต่อสู้คดีโดยไม่ได้ทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะ ทั้งมิใช่กรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลอื่น จึงถือไม่ได้ว่ามีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจศาล ตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒)
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๑/๒๕๕๖
วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๖
เรื่อง การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่
ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม
ศาลจังหวัดตรัง
ระหว่าง
ศาลปกครองสงขลา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดตรังส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ โต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การ และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ กรมชลประทาน โจทก์ ยื่นฟ้อง ห้างหุ้นส่วนจำกัด มัธยฐาน กรุ๊ป ที่ ๑ นายสนชัย สัมฤทธิ์ ที่ ๒ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก.นำเบญจพลพาณิชย์ ที่ ๓ นายเกตุ นำเบญจพล ที่ ๔ จำเลย ต่อศาลจังหวัดตรัง เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๘๗๗/๒๕๕๓ ความว่า เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๑ โจทก์ได้ดำเนินการสอบราคาซื้อปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ ๑ ชนิดบรรจุถุงกระดาษหนาไม่น้อยกว่า ๓ ชั้น หนักถุงละ ๕๐ กิโลกรัม มอก. ๑๕ เล่ม ๑-๒๕๔๗ ปูนซีเมนต์ผสมและปูนขาวใช้สำหรับงานก่อสร้าง รวม ๓ รายการ เพื่อใช้สำหรับงานก่อสร้างซ่อมแซมรั้วบริเวณหัวงานโครงการชลประทานตรัง ตั้งอยู่หมู่ที่ ๖ ตำบลบ้านควน อำเภอเมือง จังหวัดตรัง ตามประกาศ กรมชลประทาน เรื่อง สอบราคาซื้อปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ ๑ ปูนซีเมนต์ผสมและปูนขาว เลขที่ ตง.สช. ๑๓/๒๕๕๑ กำหนดเปิดซองใบเสนอราคา ในวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๑ โดยมีข้อกำหนด ข้อ ๔.๒ ว่า "ราคาที่เสนอจะต้องเสนอกำหนดยืนราคาไม่น้อยกว่า ๙๐ วัน นับแต่วันเปิดซองใบเสนอราคา โดยภายในกำหนดยืนราคาผู้เสนอราคาต้องรับผิดชอบราคาที่ตนได้เสนอไว้และจะถอนการเสนอราคามิได้" และข้อ ๙.๓ ว่า "ผู้เสนอราคา ซึ่งกรมได้คัดเลือกแล้วไม่ไปทำสัญญาหรือข้อตกลงภายในเวลาที่ทางราชการกำหนด ดังระบุใน ข้อ ๖ กรมจะพิจารณาเรียกร้องให้ชดใช้ความเสียหายอื่น (ถ้ามี) อาทิเช่น ค่าความเสียหายกรณีที่ผู้เสนอราคาต่ำสุดซึ่งทางราชการเรียกให้เข้ามาทำสัญญาแล้วไม่มาทำสัญญา อันส่งผลให้ราชการต้องซื้อกับผู้เสนอราคารายอื่นในราคาที่สูงกว่า เป็นต้น รวมทั้งจะพิจารณาให้เป็นผู้ทิ้งงานตามระเบียบของทางราชการ" จำเลยที่ ๑ ซึ่งมีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดเป็นเงินจำนวน ๒๐๒,๗๒๐ บาท เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๑ คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาได้ติดต่อจำเลยที่ ๑ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของยอดเงินรวมในใบเสนอราคา แต่จำเลยที่ ๑ แจ้งว่า ไม่ได้มอบอำนาจให้นายธีระยุทธ ศรีษะภูมิ ดำเนินการใดๆ ในนามของจำเลยที่ ๑ และไม่ได้มอบอำนาจให้ยื่นซองสอบราคาแก่โครงการชลประทานตรังแต่อย่างใด คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาจึงดำเนินการพิจารณาผู้เสนอราคาต่ำสุดรายถัดไป คือ จำเลยที่ ๓ ซึ่งเสนอราคาเป็นเงิน ๒๐๕,๒๕๔ บาท เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑ โจทก์ได้แจ้งจำเลยที่ ๓ ซึ่งมีจำเลยที่ ๔ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการว่า โจทก์สนองรับราคาตามที่จำเลยที่ ๓ เสนอ และให้จำเลยที่ ๓ รับใบสั่งซื้อภายในห้าวันทำการ นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ แต่เมื่อถึงกำหนดแล้วจำเลยที่ ๓ กลับเพิกเฉย และเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๔ ได้มีหนังสือแจ้งว่า ไม่เคยยื่นซองเสนอราคาหรือมอบอำนาจให้ผู้ใดยื่นซองเสนอราคาแก่โครงการชลประทานตรัง และตราประทับกับลายมือชื่อของจำเลยที่ ๔ หุ้นส่วนผู้จัดการ ในใบเสนอราคาและหนังสือมอบอำนาจยื่นซองเสนอราคาเป็นตราประทับและลายมือชื่อปลอม คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาจึงดำเนินการพิจารณารับห้างหุ้นส่วนจำกัด เอี้ยท่งฮวด ผู้เสนอราคาต่ำสุดรายถัดไป ซึ่งเสนอราคารวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๓๔,๑๙๐ บาท พร้อมทั้งได้ส่งมอบของเสร็จเรียบร้อยแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสี่ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน ๒,๙๕๘.๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน ๓๓,๗๘๑.๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ไม่เคยทำหนังสือใบเสนอราคาตามที่โจทก์ฟ้อง ไม่เคยไปเสนอราคาและหรือมอบอำนาจให้บุคคลใดไปเสนอราคาให้กับโจทก์ และได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม โดยนายประเวทย์ รำพึงนิตย์ เป็นผู้ปลอมเอกสารทั้งหมด และประทับตราจำเลยที่ ๓ และลงลายมือชื่อจำเลยที่ ๔ ปลอม ซึ่งจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ได้ยื่นฟ้องนายประเวทย์ เป็นคดีอาญา หมายเลขดำที่ ๑๗๑๕/๒๕๕๒ หมายเลขแดงที่ ๒๐๔๐/๒๕๕๒ ข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ต่อศาลจังหวัดตรังแล้ว คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ ตามคำฟ้องโจทก์อ้างเพียงจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ได้อ้างคำเสนอ แต่โจทก์เองซึ่งเป็นผู้รับคำเสนอได้บอกปัดไม่ได้สนองรับภายในระยะเวลาดังกล่าว โดยโจทก์ในฐานะกรรมการเปิดซองสอบราคาได้พิจารณารับราคาต่ำสุดรายถัดไปคือห้างหุ้นส่วนจำกัด เอี้ยท่งฮวด จึงทำให้โจทก์ในฐานะผู้รับเสนอราคาสิ้นสุดความผูกพันที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ และประกอบกับตามคำฟ้องของโจทก์ได้อ้างเหตุที่นำเอาผู้ประมูลรายใหม่เข้ามา จึงไม่เป็นเหตุทำให้เสื่อมเสียแก่โจทก์ จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ เพราะเป็นความผิดของโจทก์ โจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครองและตามประกาศกรมชลประทาน เรื่อง สอบราคาซื้อปูนงานซ่อมรั้วบริเวณงานโครงการชลประทานตรังเป็นการให้บริการสาธารณะ การที่โจทก์ต้องการให้จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ เข้ามาดำเนินการบริการสาธารณะโดยตรงหรือเข้ามาดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับโจทก์ถือได้ว่าเป็นสัญญาทางปกครอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลจังหวัดตรังพิจารณาแล้วเห็นว่า สัญญาทางปกครองหมายถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แต่การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่เรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เข้ายื่นซองเสนอราคาขายปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ ๑ ปูนซีเมนต์ผสมและปูนขาวตามที่โจทก์ได้ดำเนินการสอบราคาเพื่อซื้อปูนซีเมนต์และปูนขาวดังกล่าว โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดตามลำดับ แต่เมื่อโจทก์ได้คัดเลือกแล้ว จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ไม่ไปทำสัญญา ทำให้โจทก์ต้องสั่งซื้อวัสดุดังกล่าวจากห้างหุ้นส่วนจำกัด เอี้ยท่งฮวด ซึ่งเสนอราคาที่สูงกว่าราคาที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เสนอนั้น หาใช่เป็นสัญญาทางปกครองไม่ แม้คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองก็ตาม แต่ก็หามีลักษณะของสัญญาดังที่ระบุไว้ไม่ กรณีจึงไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองสงขลาพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่โจทก์ประกาศสอบราคาซื้อปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ ๑ ปูนซีเมนต์ผสม และปูนขาว ใช้สำหรับงานก่อสร้างซ่อมแซมรั้วบริเวณหัวงานโครงการชลประทานตรัง โดยเปิดโอกาสให้ผู้มีอาชีพขายพัสดุที่สอบราคาซื้อดังกล่าวที่มีคุณสมบัติครบถ้วนเข้าแข่งขันราคาด้วยวิธีการยื่นซองเสนอราคา หากผู้เสนอราคารายใดเสนอราคาที่เหมาะสมแก่การว่าจ้างในราคาต่ำสุด ผู้เสนอราคารายนั้นจะเป็นผู้ชนะการสอบราคาและมีสิทธิเข้าทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์ มีลักษณะเป็นคำเชื้อเชิญให้ผู้มีอาชีพขายพัสดุทำคำเสนอต่อโจทก์ เมื่อต่อมาเอกชนผู้เสนอราคาได้ยื่นใบเสนอราคาต่อโจทก์จึงเป็นการทำคำเสนอขอเข้าทำสัญญากับโจทก์ และการที่โจทก์ได้พิจารณาอนุมัติรับราคาที่เอกชนเสนอและแจ้งให้มาทำสัญญานั้น ถือว่าโจทก์ได้เลือกให้เป็นผู้ชนะการสอบราคาและได้สนองรับคำเสนอทำให้เกิดสัญญาประเภทหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า สัญญาสอบราคาที่คู่สัญญาตามสัญญาสอบราคามีความผูกพันกันในฐานะที่จะเข้าทำสัญญากัน และเมื่อสัญญาสอบราคาดังกล่าวมีคู่สัญญาฝ่ายโจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครอง อีกทั้งโจทก์ก็มีเอกสิทธิ์ในการเลือกคู่สัญญา ควบคุมการปฏิบัติตามสัญญา แก้ไขสัญญา และเลิกสัญญาได้ฝ่ายเดียว อันแสดงถึงลักษณะพิเศษในการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครองเพื่อให้การบริการสาธารณะบรรลุผล ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เข้ายื่นซองเสนอราคาขายปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ ๑ ปูนซีเมนต์ผสม และปูนขาว ตามที่โจทก์ได้ดำเนินการสอบราคาเพื่อซื้อปูนซีเมนต์และปูนขาวดังกล่าว โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดตามลำดับ แต่เมื่อโจทก์ได้คัดเลือกแล้ว จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ไม่ไปทำสัญญา ทำให้โจทก์ต้องสั่งซื้อวัสดุดังกล่าวจากห้างหุ้นส่วนจำกัด เอี้ยท่งฮวด ซึ่งเสนอราคาที่สูงกว่าราคาที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เสนอ โดยขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้เงินค่าเสียหายซึ่งเกิดจากการที่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาสอบราคาดังกล่าว ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเนื่องมาจากการที่จำเลยที่ ๑ และที่ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาสอบราคาและเข้าลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ดำเนินการสอบราคาซื้อปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ ๑ ปูนซีเมนต์ผสมและปูนขาว เพื่อใช้สำหรับงานก่อสร้างซ่อมแซมรั้วบริเวณหัวงานโครงการชลประทานตรัง โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดตามลำดับ แต่เมื่อโจทก์คัดเลือกแล้ว จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ไม่ไปทำสัญญา ทำให้โจทก์ต้องสั่งซื้อวัสดุดังกล่าวจากบุคคลอื่น ซึ่งเสนอราคาที่สูงกว่าราคาที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เสนอ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้เงินค่าเสียหายดังกล่าว จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ โต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การโดยมิได้ทำเป็นคำร้องว่า คดีนี้เป็นคดีปกครองอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลจังหวัดตรังจัดทำความเห็นว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของตนแล้วส่งให้ศาลปกครองจัดทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจศาล เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า หากคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งก็จะต้องยื่นคำร้องก่อนวันสืบพยานของศาลยุติธรรม การโต้แย้งอำนาจศาลจึงต้องทำเป็นคำร้อง แต่การโต้แย้งของจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ในกรณีนี้เป็นการโต้แย้งไว้ในคำให้การซึ่งเป็นเพียงข้อต่อสู้คดีเท่านั้น โดยไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะจึงเป็นการโต้แย้งอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งการที่ศาลจะทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลจัดทำความเห็นตามข้อโต้แย้งที่เริ่มกระบวนการโดยการที่คู่ความยื่นคำร้องโต้แย้งอำนาจศาล ตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งเสียก่อน ส่วนในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ให้อนุโลมตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ซึ่งจะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น มิใช่เห็นเองว่าอยู่ในอำนาจของตนเอง เมื่อปรากฏว่า จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ มิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งมิใช่กรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลอื่น จึงถือไม่ได้ว่ามีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจศาล กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ชอบที่คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒)
จึงมีคำสั่งว่า การส่งเรื่องกรณีระหว่างศาลจังหวัดตรังและศาลปกครองสงขลาที่เกี่ยวข้องกับโจทก์และจำเลยทั้งหกในคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สถาพร เกียรติภิญโญ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สถาพร เกียรติภิญโญ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 10 วรรคหนึ่งและวรรสาม
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๖๒/๒๕๕๕
วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕
เรื่อง การยื่นคำร้องโต้แย้งคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ
นายธงทอง รักตประจิต ทนายความของนางพัทยา กิตติเวช ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีของศาลแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๐๕/๒๕๕๒ ยื่นคำร้องโต้แย้งคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๖/๒๕๕๕ ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลสั่งศาลปกครองให้เพิ่มประเด็นข้อพิพาทเรื่องแนวเขตที่ดิน
ข้อเท็จจริงในคดี
สำนักงานศาลยุติธรรมมีหนังสือที่ ศย ๐๑๖/๕๒๗๐๙ ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ส่งความเห็นให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีเขตอำนาจศาลขัดแย้งกันระหว่างศาลแพ่งและศาลปกครองกลาง ในคดีที่นางพัทยา กิตติเวช โจทก์ ยื่นฟ้อง พลตำรวจเอก ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ที่ ๑ นางชัชชมา สมบูรณ์ทรัพย์ ที่ ๒ นายวิชัย เลิศพัฒนพันธุ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๕/๒๕๕๒ อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๙๗๙ ตำบลทุ่งสองห้อง (สีกัน) อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ) จังหวัดกรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๑๙๙ ตารางวา ขณะโจทก์ขอรังวัดสอบเขตที่ดินดังกล่าว จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่อยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ ได้สมคบกับจำเลยที่ ๓ โดยให้จำเลยที่ ๓ กล่าวอ้างกับโจทก์ว่า โจทก์ก่อสร้างรั้วด้านทิศตะวันตก ไม่ถึงแนวเขตที่ดิน และให้โจทก์ขยับเสาหลักเขตรั้วออกไปอีก ๑๐ เซ็นติเมตร เจตนาจะให้ที่ดินของโจทก์ฝั่งทิศตะวันออก เนื้อที่ประมาณ ๐.๔ ตารางวา ตกเป็นของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำให้การก่อสร้างอาคารในที่ดินของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีระยะขอบนอกถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อโจทก์สอบเขตที่ดินใหม่โดยนายประวิทย์เป็นผู้รังวัดสอบเขต ผลการรังวัดปรากฏว่าจำเลยที่ ๓ รังวัดที่ดินของโจทก์รุกล้ำที่ดินสาธารณูปโภคของหมู่บ้านจัดสรรทั้งสองด้านเนื้อที่ ๐.๔ ตารางวา และที่มุมปาดมุมซอยเกษตร ๐.๑ ตารางวา โดยมีเจตนาไม่สุจริต ขอให้เพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ของจำเลยที่ ๓ ที่ได้กระทำไว้ในโฉนดที่ดินของโจทก์ โดยให้มีผลถึงการเพิกถอนการรังวัดสอบเขตและรูปแผนที่ต้นร่างที่กระทำโดยนายประวิทย์ด้วย และให้ศาลมีคำสั่งเป็นหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาดอนเมือง ดำเนินการรังวัดสอบเขตและให้ปักเสาหลักเขตที่ดินของโจทก์เสียใหม่ให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ส่วนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ซึ่งศาลแพ่งเห็นว่าเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ส่วนศาลปกครองกลาง เห็นว่า เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๖/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ในคดีดังกล่าวว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นช่างรังวัดที่ดินดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต กล่าวอ้างว่าโจทก์ก่อสร้างรั้วด้านทิศตะวันตกไม่ถึงแนวเขตที่ดิน และให้โจทก์ขยับเสาหลักเขตรั้วออกไปอีก ๑๐ เซ็นติเมตร โดยมีเจตนาที่จะตัดที่ดินด้านทิศตะวันออก เนื้อที่ประมาณ ๐.๔ ตารางวา ของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดต่อกับที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออก เพื่อให้อาคารที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก่อสร้างมีระยะขอบนอกอาคารถึงเขตที่ดินถูกต้องตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๔๔ อันเป็นการหลีกเลี่ยงความผิดตามกฎหมาย ทำให้ที่ดินของโจทก์ไปรุกล้ำที่ดินในส่วนที่เป็นสาธารณูปโภคของหมู่บ้านจัดสรร ขอให้เพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทและรูปแผนที่ของจำเลยที่ ๓ และให้ดำเนินการรังวัดสอบเขตและให้ปักเสาหลักเขตที่ดินของโจทก์ให้ถูกต้อง กรณีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์มุ่งประสงค์ให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา ๖๙ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อให้ศาลเพิกถอนผลการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีคำสั่งให้ดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินให้ถูกต้อง คดีไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ใด ดังนั้นข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ นายธงทอง รักตประจิต ทนายโจทก์ได้ยื่นคำร้องโต้แย้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลในกรณีที่คณะกรรมการได้วินิจฉัยว่า คดีไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ใด เป็นคำสั่งหรือวินิจฉัยชี้ขาดที่ทำให้ประเด็นข้อพิพาทแนวเขตที่ดินของโจทก์หายไปจากประเด็น ข้อพิพาทที่ศาลแพ่งได้กำหนดไว้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และอาจถูกกระทบกระเทือนถึงกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ไม่ครบจำนวน ๑๙๙ ตารางวา และไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลสั่งให้ศาลปกครองเพิ่มประเด็นข้อพิพาทเรื่องแนวเขตที่ดินจำนวน ๑ ๒/๑๐ ตารางวา ว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ และยื่นคำร้องเพิ่มเติม ลงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ขอให้เพิ่มประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ ๓ รังวัดที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตก (ด้านที่ติดกับถนนแจ้งวัฒนะ ๑๔) โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คำร้องของผู้ร้องชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติว่า ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าว อยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหาร หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่น ในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว ในกรณีเช่นว่านี้ให้ศาลที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้
ถ้าศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น ให้ศาลที่ส่งความเห็นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดให้เสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นให้คณะกรรมการลงมติให้ขยายเวลาออกไปได้ไม่เกินสามสิบวัน โดยให้บันทึกเหตุแห่งความจำเป็นนั้นไว้ด้วย
วรรคสองบัญญัติว่า คำสั่งของศาลตามวรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการที่เกี่ยวกับเขตอำนาจศาลตามวรรคหนึ่ง (๓) ให้เป็นที่สุด และมิให้ศาลที่อยู่ในลำดับสูงขึ้นไปของศาลตามวรรคหนึ่งยกเรื่องเขตอำนาจศาลขึ้นพิจารณาอีก
วรรคสามบัญญัติว่า ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเอง ก่อนมีคำพิพากษาด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๑๒ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีการนำคดีซึ่งมีข้อเท็จจริงเรื่องเดียวกันฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจแตกต่างกันตั้งแต่สองศาลขึ้นไป ถ้าคู่ความหรือศาลเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลใดศาลหนึ่งที่รับฟ้อง ให้นำความในมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด แต่ศาลนั้นไม่รับฟ้องเพราะเหตุว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว หากศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัย โดยให้นำความในมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และมาตรา ๑๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความหรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด
มาตรา ๑๕ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๐ ถึงมาตรา ๑๔ ไปใช้กับวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา การยื่นคำร้องต่อศาลก่อนการฟ้องคดีตามที่กฎหมายบัญญัติ การสืบพยานหลักฐานไว้ก่อนฟ้องคดี การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล และการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ประการอื่นของศาลโดยอนุโลม
จากบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น การจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยได้นั้น จะต้องเป็นกรณีเขตอำนาจศาลขัดแย้งกันตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) หรือวรรคสาม มาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๕ โดยคู่ความยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องเป็นหลัก เว้นแต่กรณีศาลเห็นเองตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม และกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ โดยคู่ความหรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าว อาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าว ดังนั้น การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลสั่งให้ศาลปกครองเพิ่มประเด็นข้อพิพาท จึงไม่ใช่กรณีเรื่องเขตอำนาจศาลหรือกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒ มาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แต่อย่างใด กรณีจึงเป็นการยื่นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการจึงไม่อาจรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา
จึงมีคำสั่งว่า คำร้องของผู้ร้องไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ ให้ยกคำร้องนี้เสีย
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๖๒/๒๕๕๕
วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕
เรื่อง การยื่นคำร้องโต้แย้งคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ
นายธงทอง รักตประจิต ทนายความของนางพัทยา กิตติเวช ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีของศาลแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๐๕/๒๕๕๒ ยื่นคำร้องโต้แย้งคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๖/๒๕๕๕ ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลสั่งศาลปกครองให้เพิ่มประเด็นข้อพิพาทเรื่องแนวเขตที่ดิน
ข้อเท็จจริงในคดี
สำนักงานศาลยุติธรรมมีหนังสือที่ ศย ๐๑๖/๕๒๗๐๙ ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ส่งความเห็นให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีเขตอำนาจศาลขัดแย้งกันระหว่างศาลแพ่งและศาลปกครองกลาง ในคดีที่นางพัทยา กิตติเวช โจทก์ ยื่นฟ้อง พลตำรวจเอก ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ที่ ๑ นางชัชชมา สมบูรณ์ทรัพย์ ที่ ๒ นายวิชัย เลิศพัฒนพันธุ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๕/๒๕๕๒ อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๙๗๙ ตำบลทุ่งสองห้อง (สีกัน) อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ) จังหวัดกรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๑๙๙ ตารางวา ขณะโจทก์ขอรังวัดสอบเขตที่ดินดังกล่าว จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่อยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ ได้สมคบกับจำเลยที่ ๓ โดยให้จำเลยที่ ๓ กล่าวอ้างกับโจทก์ว่า โจทก์ก่อสร้างรั้วด้านทิศตะวันตก ไม่ถึงแนวเขตที่ดิน และให้โจทก์ขยับเสาหลักเขตรั้วออกไปอีก ๑๐ เซ็นติเมตร เจตนาจะให้ที่ดินของโจทก์ฝั่งทิศตะวันออก เนื้อที่ประมาณ ๐.๔ ตารางวา ตกเป็นของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำให้การก่อสร้างอาคารในที่ดินของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีระยะขอบนอกถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อโจทก์สอบเขตที่ดินใหม่โดยนายประวิทย์เป็นผู้รังวัดสอบเขต ผลการรังวัดปรากฏว่าจำเลยที่ ๓ รังวัดที่ดินของโจทก์รุกล้ำที่ดินสาธารณูปโภคของหมู่บ้านจัดสรรทั้งสองด้านเนื้อที่ ๐.๔ ตารางวา และที่มุมปาดมุมซอยเกษตร ๐.๑ ตารางวา โดยมีเจตนาไม่สุจริต ขอให้เพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ของจำเลยที่ ๓ ที่ได้กระทำไว้ในโฉนดที่ดินของโจทก์ โดยให้มีผลถึงการเพิกถอนการรังวัดสอบเขตและรูปแผนที่ต้นร่างที่กระทำโดยนายประวิทย์ด้วย และให้ศาลมีคำสั่งเป็นหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาดอนเมือง ดำเนินการรังวัดสอบเขตและให้ปักเสาหลักเขตที่ดินของโจทก์เสียใหม่ให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ส่วนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ซึ่งศาลแพ่งเห็นว่าเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ส่วนศาลปกครองกลาง เห็นว่า เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๖/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ในคดีดังกล่าวว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นช่างรังวัดที่ดินดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต กล่าวอ้างว่าโจทก์ก่อสร้างรั้วด้านทิศตะวันตกไม่ถึงแนวเขตที่ดิน และให้โจทก์ขยับเสาหลักเขตรั้วออกไปอีก ๑๐ เซ็นติเมตร โดยมีเจตนาที่จะตัดที่ดินด้านทิศตะวันออก เนื้อที่ประมาณ ๐.๔ ตารางวา ของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดต่อกับที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออก เพื่อให้อาคารที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก่อสร้างมีระยะขอบนอกอาคารถึงเขตที่ดินถูกต้องตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๔๔ อันเป็นการหลีกเลี่ยงความผิดตามกฎหมาย ทำให้ที่ดินของโจทก์ไปรุกล้ำที่ดินในส่วนที่เป็นสาธารณูปโภคของหมู่บ้านจัดสรร ขอให้เพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทและรูปแผนที่ของจำเลยที่ ๓ และให้ดำเนินการรังวัดสอบเขตและให้ปักเสาหลักเขตที่ดินของโจทก์ให้ถูกต้อง กรณีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์มุ่งประสงค์ให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา ๖๙ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อให้ศาลเพิกถอนผลการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีคำสั่งให้ดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินให้ถูกต้อง คดีไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ใด ดังนั้นข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ นายธงทอง รักตประจิต ทนายโจทก์ได้ยื่นคำร้องโต้แย้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลในกรณีที่คณะกรรมการได้วินิจฉัยว่า คดีไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ใด เป็นคำสั่งหรือวินิจฉัยชี้ขาดที่ทำให้ประเด็นข้อพิพาทแนวเขตที่ดินของโจทก์หายไปจากประเด็น ข้อพิพาทที่ศาลแพ่งได้กำหนดไว้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และอาจถูกกระทบกระเทือนถึงกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ไม่ครบจำนวน ๑๙๙ ตารางวา และไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลสั่งให้ศาลปกครองเพิ่มประเด็นข้อพิพาทเรื่องแนวเขตที่ดินจำนวน ๑ ๒/๑๐ ตารางวา ว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ และยื่นคำร้องเพิ่มเติม ลงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ขอให้เพิ่มประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ ๓ รังวัดที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตก (ด้านที่ติดกับถนนแจ้งวัฒนะ ๑๔) โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คำร้องของผู้ร้องชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติว่า ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าว อยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหาร หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่น ในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว ในกรณีเช่นว่านี้ให้ศาลที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้
ถ้าศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น ให้ศาลที่ส่งความเห็นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดให้เสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นให้คณะกรรมการลงมติให้ขยายเวลาออกไปได้ไม่เกินสามสิบวัน โดยให้บันทึกเหตุแห่งความจำเป็นนั้นไว้ด้วย
วรรคสองบัญญัติว่า คำสั่งของศาลตามวรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการที่เกี่ยวกับเขตอำนาจศาลตามวรรคหนึ่ง (๓) ให้เป็นที่สุด และมิให้ศาลที่อยู่ในลำดับสูงขึ้นไปของศาลตามวรรคหนึ่งยกเรื่องเขตอำนาจศาลขึ้นพิจารณาอีก
วรรคสามบัญญัติว่า ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเอง ก่อนมีคำพิพากษาด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๑๒ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีการนำคดีซึ่งมีข้อเท็จจริงเรื่องเดียวกันฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจแตกต่างกันตั้งแต่สองศาลขึ้นไป ถ้าคู่ความหรือศาลเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลใดศาลหนึ่งที่รับฟ้อง ให้นำความในมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด แต่ศาลนั้นไม่รับฟ้องเพราะเหตุว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว หากศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัย โดยให้นำความในมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และมาตรา ๑๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความหรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด
มาตรา ๑๕ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๐ ถึงมาตรา ๑๔ ไปใช้กับวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา การยื่นคำร้องต่อศาลก่อนการฟ้องคดีตามที่กฎหมายบัญญัติ การสืบพยานหลักฐานไว้ก่อนฟ้องคดี การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล และการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ประการอื่นของศาลโดยอนุโลม
จากบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น การจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยได้นั้น จะต้องเป็นกรณีเขตอำนาจศาลขัดแย้งกันตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) หรือวรรคสาม มาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๕ โดยคู่ความยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องเป็นหลัก เว้นแต่กรณีศาลเห็นเองตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม และกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ โดยคู่ความหรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าว อาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าว ดังนั้น การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลสั่งให้ศาลปกครองเพิ่มประเด็นข้อพิพาท จึงไม่ใช่กรณีเรื่องเขตอำนาจศาลหรือกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒ มาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แต่อย่างใด กรณีจึงเป็นการยื่นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการจึงไม่อาจรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา
จึงมีคำสั่งว่า คำร้องของผู้ร้องไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ ให้ยกคำร้องนี้เสีย
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
การยื่นคำร้องโต้แย้งคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๔๒/๒๕๕๔
วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๔
เรื่อง การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ศาลจังหวัดกระบี่
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดกระบี่ส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.๒๕๔๒ โดยจำเลยโต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การ และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๐ นายประสม วะจิดี โจทก์ ยื่นฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดกระบี่ ที่ ๑ นายสุกิจ มาศเมฆ ที่ ๒ นายอุทัย มาตย์เกียรติกุล ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลจังหวัดกระบี่ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๕๒๘/๒๕๕๐ ความว่า โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๕๕ หมู่ ๔ ตำบลไสไทย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ จำนวนเนื้อที่ ๔ ไร่ ๓ งาน ๘.๘ ตารางวา ต่อจากมารดาโจทก์ โดยมีการแจ้งการครอบครองที่ดินดังกล่าวตามแบบ ส.ค. ๑ ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ โจทก์ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวต่อจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ แจ้งจำเลยที่ ๑ ว่า ส.ค. ๑ ของโจทก์ได้ออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ให้แก่จำเลยที่ ๓ แล้ว จำเลยที่ ๑ จึงมีคำสั่งให้ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ แม้ที่ดินของโจทก์อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองจิหลาด แต่ศูนย์ปฏิบัติการที่ดินป่าไม้ (นครศรีธรรมราช) พิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์สามารถนำหลักฐาน ส.ค. ๑ ดังกล่าวไปออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายได้ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๕๙ แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์จึงตรวจสอบทะเบียนการครอบครองที่ดินปรากฏหลักฐานว่าที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ ของโจทก์ยังไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่บุคคลอื่น การกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้โจทก์เสียสิทธิในที่ดิน ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ของจำเลยที่ ๓ ดังกล่าว และเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ที่ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ หรือหากศาลไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินและคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๗๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดกรมที่ดิน และได้ปฏิบัติหน้าที่โดยตรงแทนกรมที่ดิน จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวในผลแห่งละเมิด โจทก์ต้องฟ้องกรมที่ดินซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐโดยตรง ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๔ และมาตรา ๕ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ที่ดิน ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ ที่โจทก์นำรังวัดออกโฉนดที่ดินตรงกับที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ และอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองจิหลาด ทั้งแปลง และได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ให้แก่จำเลยที่ ๓ ไปแล้ว จึงออกโฉนดที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ ให้แก่โจทก์ไม่ได้ การยกเลิกคำขอออกโฉนดของโจทก์เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย คดีโจทก์ขาดอายุความ และไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรมเนื่องจากเป็นคดีปกครอง คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ที่ดินของจำเลยที่ ๓ ที่ยื่นขอออกโฉนดที่ดินนั้นเป็นคนละแปลงกับที่ดินของโจทก์ ที่ดินของจำเลยที่ ๓ เป็นที่นา ส่วนที่ดินของโจทก์ตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ นั้นเป็นสวนจากจำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดในการรังวัดออกโฉนดที่ดินของเจ้าหน้าที่และของจำเลยที่ ๑ โดยตรง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลจังหวัดกระบี่ตรวจคำฟ้องแล้วยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เนื่องจากจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่ ซึ่งโจทก์จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓ หลังจากสอบถามข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากโจทก์และจำเลยที่ ๓ แล้วปรากฏว่า โจทก์และจำเลยที่ ๓ แถลงร่วมกันว่า ที่ดินที่ออกโฉนดให้จำเลยที่ ๓ เป็นที่ดินคนละแปลงและหรืออยู่คนละแห่งกับที่ดินของโจทก์ จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ และมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี เนื่องจากเห็นว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้คดีว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง เพราะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ และโดยที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการนำคดีซึ่งมีข้อเท็จจริงเรื่องเดียวกันฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจแตกต่างกันตั้งแต่สองศาลขึ้นไป ถ้าศาลเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลใดศาลหนึ่งที่รับฟ้อง ให้นำความในมาตรา ๑๐ มาใช้บังคับโดยอนุโลม" คดีนี้มีประเด็นที่ศาลชั้นต้นจะต้องพิจารณาด้วยว่า โจทก์จะต้องฟ้องคดีต่อศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม และโดยผลของมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องและคำให้การแล้ว ศาลชั้นต้นจะต้องสอบถามโจทก์เสียก่อนว่า โจทก์เคยฟ้องคดีต่อศาลปกครองมาก่อนหรือไม่ หากมีกรณีดังกล่าวศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยศาลชั้นต้นต้องส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัย หรือหากปรากฏว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นเป็นศาลแรกและศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลชั้นต้นต้องแจ้งให้โจทก์ไปฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ซึ่งเป็นศาลต่างระบบที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาโดยระบุไว้ในคำสั่งไม่รับฟ้องเสียก่อน และศาลต้องแนะนำโจทก์ให้ฟ้องต่อศาลปกครองด้วยว่าเคยยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นมาแล้ว และศาลชั้นต้นไม่รับฟ้อง หากศาลปกครองเห็นว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะโอนคดีไปยังศาลปกครองหรือจำหน่ายคดีเพื่อให้โจทก์ฟ้องคดีที่ศาลปกครอง แต่ถ้าศาลปกครองมีความเห็นแตกต่างในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนี้ ศาลชั้นต้นก็ต้องส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยต่อไป ตามที่ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องและคำให้การแล้วด่วนวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ในประเด็นอื่นเสียก่อน จึงเป็นการขัดต่อบทบัญญัติดังกล่าว
ศาลจังหวัดกระบี่สอบถามโจทก์แล้ว โจทก์แถลงว่า ไม่เคยฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองมาก่อน
ศาลจังหวัดกระบี่พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ และตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค ๘ มูลคดีสืบเนื่องจากโจทก์กล่าวหาจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ว่าออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ให้แก่จำเลยที่ ๓ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยขอให้เพิกถอนการร้องขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าว การที่จะพิจารณาว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จำต้องพิจารณาให้ได้ข้อเท็จจริงเป็นยุติก่อนว่าสิทธิครอบครองในที่ดินของโจทก์มีเพียงใด พิพาทหรือมีพื้นที่ทับซ้อนที่ดินของจำเลยที่ ๓ หรือที่ดินแปลงอื่นหรือไม่ รวมทั้งสภาพที่ดินที่แท้จริงเป็นอย่างไร อันจะมีผลเกี่ยวเนื่องไปถึงการออกโฉนดที่ดิน ดังกล่าวว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ออกโฉนดที่ดินดังกล่าวไปโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ดังนั้นข้อพิพาทในคดีจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิของบุคคลในที่ดินอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครอง เป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง โดยที่การออกโฉนดที่ดินตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน บัญญัติว่า เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควรให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด และมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่งแห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดินสาขา หรือเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมายเป็นผู้ลงนามออกโฉนดที่ดิน ซึ่งในการดำเนินการออกหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินเจ้าพนักงานที่ดินจะต้องดำเนินการตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และกรณีเจ้าพนักงานที่ดินมีคำสั่งยกเลิกคำขอที่ยื่นขอออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน คำสั่งยกเลิกคำขอดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ คดีนี้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดกระบี่ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่ดินต่อจำเลยที่ ๑ โดยอ้างหลักฐาน ส.ค. ๑ และขั้นตอนการดำเนินการเพื่อออกโฉนดที่ดินได้ดำเนินการมาถึงขั้นตอนของการดำเนินการรังวัดที่ดินแต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ เห็นว่าที่ดินแปลงที่โจทก์นำรังวัดมีรูปแผนที่และเจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่สอดคล้องกับหลักฐานการแจ้งการครอบครอง จึงได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดิน ที่โจทก์นำรังวัดออกโฉนดที่ดินไม่ตรงกับที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ และอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองจิหลาด ทั้งแปลง และที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ ที่โจทก์ยื่นประกอบการขอออกโฉนดที่ดินนั้น ได้มีการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ให้แก่จำเลยที่ ๓ ไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จึงมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ โจทก์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วแม้ที่ดินแปลงดังกล่าวจะอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติทั้งแปลงจริง แต่มีหลักฐานการแจ้งการครอบครองตามแบบ ส.ค. ๑ ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ โจทก์สามารถนำหลักฐาน ส.ค. ๑ ไปขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายได้ ตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และจากการตรวจสอบทะเบียนการครอบครองที่ดินไม่ปรากฏว่าที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ ได้ออกโฉนดให้แก่บุคคลอื่นตามที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ กล่าวอ้าง โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ และเพิกถอนคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดกระบี่ ที่ ๔๙/๒๕๔๙ เรื่องยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยที่ ๑ ออกโฉนดที่ดินตามเนื้อที่ที่รังวัดได้ให้แก่โจทก์ หากศาลไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินหรือคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
สำหรับประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินหากมีอยู่จริง ศาลปกครองก็มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวได้ เพราะเมื่อคดีนี้เป็นคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลปกครองแล้ว ศาลปกครองย่อมมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันเป็นประเด็นข้อเท็จจริงในคดีได้และเป็นกรณีที่ต้องวินิจฉัยในชั้นการพิจารณาเนื้อหาคดีและถึงแม้การพิจารณาในเรื่องกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในทรัพย์สินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด และไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นมาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าว มีเจตนารมณ์ที่จะคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล หรือนิติบุคคล หรือหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๔๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างบุคคล หรือนิติบุคคล หรือหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้โดยตรงกว่าศาลอื่น
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดกระบี่ ที่ ๔๙/๒๕๔๙ ไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์โดยอ้างว่า ที่ดินแปลงที่โจทก์นำรังวัดออกโฉนดที่ดินไม่ตรงกับที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ และที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองจิหลาด ทั้งแปลง โดยในส่วนจำเลยที่ ๑ กล่าวอ้างว่าที่ดินของโจทก์อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาตินั้น โจทก์ไม่ได้โต้แย้งประเด็นดังกล่าว กรณีจึงไม่มีประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินว่าที่ดินแปลงที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินไม่ใช่ที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ นั้น ข้อเท็จจริงก็ปรากฏในระหว่างตรวจคำฟ้องของศาลจังหวัดกระบี่ซึ่งโจทก์และจำเลยที่ ๓ ก็ได้แถลงร่วมกันว่า ที่ดินที่โจทก์นำชี้ในการรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินกับที่ดินของจำเลยที่ ๓ เป็นคนละแปลงและอยู่คนละแห่งกัน และแม้จำเลยที่ ๑ จะอ้างว่าที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ เป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินตามหลักฐานโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ก็ตามแต่ผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ ๑ ตั้งขึ้น ปรากฏว่าโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ออกโดยมิได้แจ้งการครอบครอง (ออกโดยไม่มีหลักฐานที่ดินเดิม) ดังนั้นการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ จึงมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักฐาน ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ ของโจทก์ และไม่ได้กระทบต่อการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ ในเมื่อโจทก์และจำเลยที่ ๓ ต่างครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินคนละแปลง และที่ดินดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน กรณีจึงไม่มีข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ แต่อย่างใด ซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้ศาลจังหวัดกระบี่ก็ได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่าจำเลยที่ ๓ ไม่ได้โต้แย้งสิทธิใด ๆ ของโจทก์ ที่โจทก์จะมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๓ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ ศาลจังหวัดกระบี่จึงได้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓ ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลจังหวัดกระบี่ ฉบับลงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ดังนั้น คดีคงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาเพื่อพิพากษาตามฟ้องของโจทก์แต่เพียงว่าที่ดินที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดิน เป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ หรือไม่ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณาการส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ให้แก่จำเลยที่ ๓ และให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ที่ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยที่ ๑ ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ หรือหากศาลไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินและคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดกรมที่ดิน จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวในผลแห่งละเมิด โจทก์ต้องฟ้องกรมที่ดินซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐโดยตรง ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ การยกเลิกคำขอออกโฉนดของโจทก์เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม ขอให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ ๓ ให้การว่า ที่ดินของจำเลยที่ ๓ ที่ยื่นขอออกโฉนดที่ดินนั้นเป็นคนละแปลงกับที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดในการรังวัดออกโฉนดที่ดินของเจ้าหน้าที่และของจำเลยที่ ๑ โดยตรง ขอให้ยกฟ้อง ต่อมา ศาลจังหวัดกระบี่ตรวจคำฟ้องแล้ว ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เนื่องจากไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓ เนื่องจากที่ดินแปลงที่ออกโฉนดให้แก่จำเลยที่ ๓ เป็นที่ดินคนละแปลง และหรืออยู่คนละแห่งกับที่ดินของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ มีคำพิพากษาโดยวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้คดีว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง คดีมีประเด็นโต้แย้งเกี่ยวกับเขตอำนาจระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครอง ชอบที่ศาลชั้นต้นจะดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เสียก่อน จึงพิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ และมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ศาลจังหวัดกระบี่ได้สอบถามโจทก์ โจทก์แถลงว่าไม่เคยฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองมาก่อน และทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ส่วนศาลปกครองเห็นว่า เป็นคดีอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้วส่งเรื่องมายังคณะกรรมการโดยที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ได้ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลแต่อย่างใด เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรม..." และข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๑๒ กำหนดว่า "คำร้องต้องทำเป็นหนังสือ..." ข้อ ๒๙ กำหนดว่า "ในกรณีดังต่อไปนี้ คณะกรรมการจะสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความก็ได้ (๒) การส่งเรื่องให้คณะกรรมการมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติกำหนดไว้" แต่ตามข้อเท็จจริงคดีนี้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โต้แย้งเขตอำนาจศาลไว้ในคำให้การ โดยไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นเป็นหนังสือต่อศาลเป็นการเฉพาะ ดังนั้นถือว่าคำให้การดังกล่าวเป็นเพียงข้อต่อสู้คดีของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เท่านั้น หาใช่คำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาล ตามความในกฎหมายไม่ กรณีจึงเป็นการโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง และข้อบังคับคณะกรรมการข้อ ๑๒ และ ๒๙ ส่วนในกรณีที่ศาลจังหวัดกระบี่ทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนั้น ก็ไม่อาจถือว่าเป็นกรณีศาลเห็นเองตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่บัญญัติว่า "ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเองก่อน มีคำพิพากษาโดยอนุโลม" เนื่องจากกรณีที่ศาลเห็นเองนั้น ต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่า อยู่ในอำนาจของศาลอื่น เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่าศาลจังหวัดกระบี่เพียงแต่สอบถามโจทก์ และโจทก์แถลงว่าไม่เคยฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองมาก่อน จึงทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม กรณีจึงยังไม่ต้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสาม เช่นกัน
จึงมีคำสั่งว่า การส่งเรื่องกรณีระหว่างศาลจังหวัดกระบี่และศาลปกครองนครศรีธรรมราชที่เกี่ยวข้องกับโจทก์และจำเลยทั้งสามในคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๔๒/๒๕๕๔
วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๔
เรื่อง การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ศาลจังหวัดกระบี่
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดกระบี่ส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.๒๕๔๒ โดยจำเลยโต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การ และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๐ นายประสม วะจิดี โจทก์ ยื่นฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดกระบี่ ที่ ๑ นายสุกิจ มาศเมฆ ที่ ๒ นายอุทัย มาตย์เกียรติกุล ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลจังหวัดกระบี่ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๕๒๘/๒๕๕๐ ความว่า โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๕๕ หมู่ ๔ ตำบลไสไทย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ จำนวนเนื้อที่ ๔ ไร่ ๓ งาน ๘.๘ ตารางวา ต่อจากมารดาโจทก์ โดยมีการแจ้งการครอบครองที่ดินดังกล่าวตามแบบ ส.ค. ๑ ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ โจทก์ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวต่อจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ แจ้งจำเลยที่ ๑ ว่า ส.ค. ๑ ของโจทก์ได้ออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ให้แก่จำเลยที่ ๓ แล้ว จำเลยที่ ๑ จึงมีคำสั่งให้ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ แม้ที่ดินของโจทก์อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองจิหลาด แต่ศูนย์ปฏิบัติการที่ดินป่าไม้ (นครศรีธรรมราช) พิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์สามารถนำหลักฐาน ส.ค. ๑ ดังกล่าวไปออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายได้ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๕๙ แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์จึงตรวจสอบทะเบียนการครอบครองที่ดินปรากฏหลักฐานว่าที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ ของโจทก์ยังไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่บุคคลอื่น การกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้โจทก์เสียสิทธิในที่ดิน ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ของจำเลยที่ ๓ ดังกล่าว และเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ที่ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ หรือหากศาลไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินและคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๗๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดกรมที่ดิน และได้ปฏิบัติหน้าที่โดยตรงแทนกรมที่ดิน จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวในผลแห่งละเมิด โจทก์ต้องฟ้องกรมที่ดินซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐโดยตรง ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๔ และมาตรา ๕ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ที่ดิน ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ ที่โจทก์นำรังวัดออกโฉนดที่ดินตรงกับที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ และอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองจิหลาด ทั้งแปลง และได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ให้แก่จำเลยที่ ๓ ไปแล้ว จึงออกโฉนดที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ ให้แก่โจทก์ไม่ได้ การยกเลิกคำขอออกโฉนดของโจทก์เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย คดีโจทก์ขาดอายุความ และไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรมเนื่องจากเป็นคดีปกครอง คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ที่ดินของจำเลยที่ ๓ ที่ยื่นขอออกโฉนดที่ดินนั้นเป็นคนละแปลงกับที่ดินของโจทก์ ที่ดินของจำเลยที่ ๓ เป็นที่นา ส่วนที่ดินของโจทก์ตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ นั้นเป็นสวนจากจำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดในการรังวัดออกโฉนดที่ดินของเจ้าหน้าที่และของจำเลยที่ ๑ โดยตรง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลจังหวัดกระบี่ตรวจคำฟ้องแล้วยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เนื่องจากจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่ ซึ่งโจทก์จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓ หลังจากสอบถามข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากโจทก์และจำเลยที่ ๓ แล้วปรากฏว่า โจทก์และจำเลยที่ ๓ แถลงร่วมกันว่า ที่ดินที่ออกโฉนดให้จำเลยที่ ๓ เป็นที่ดินคนละแปลงและหรืออยู่คนละแห่งกับที่ดินของโจทก์ จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ และมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี เนื่องจากเห็นว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้คดีว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง เพราะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ และโดยที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการนำคดีซึ่งมีข้อเท็จจริงเรื่องเดียวกันฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจแตกต่างกันตั้งแต่สองศาลขึ้นไป ถ้าศาลเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลใดศาลหนึ่งที่รับฟ้อง ให้นำความในมาตรา ๑๐ มาใช้บังคับโดยอนุโลม" คดีนี้มีประเด็นที่ศาลชั้นต้นจะต้องพิจารณาด้วยว่า โจทก์จะต้องฟ้องคดีต่อศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม และโดยผลของมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องและคำให้การแล้ว ศาลชั้นต้นจะต้องสอบถามโจทก์เสียก่อนว่า โจทก์เคยฟ้องคดีต่อศาลปกครองมาก่อนหรือไม่ หากมีกรณีดังกล่าวศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยศาลชั้นต้นต้องส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัย หรือหากปรากฏว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นเป็นศาลแรกและศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลชั้นต้นต้องแจ้งให้โจทก์ไปฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ซึ่งเป็นศาลต่างระบบที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาโดยระบุไว้ในคำสั่งไม่รับฟ้องเสียก่อน และศาลต้องแนะนำโจทก์ให้ฟ้องต่อศาลปกครองด้วยว่าเคยยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นมาแล้ว และศาลชั้นต้นไม่รับฟ้อง หากศาลปกครองเห็นว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะโอนคดีไปยังศาลปกครองหรือจำหน่ายคดีเพื่อให้โจทก์ฟ้องคดีที่ศาลปกครอง แต่ถ้าศาลปกครองมีความเห็นแตกต่างในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนี้ ศาลชั้นต้นก็ต้องส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยต่อไป ตามที่ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องและคำให้การแล้วด่วนวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ในประเด็นอื่นเสียก่อน จึงเป็นการขัดต่อบทบัญญัติดังกล่าว
ศาลจังหวัดกระบี่สอบถามโจทก์แล้ว โจทก์แถลงว่า ไม่เคยฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองมาก่อน
ศาลจังหวัดกระบี่พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ และตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค ๘ มูลคดีสืบเนื่องจากโจทก์กล่าวหาจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ว่าออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ให้แก่จำเลยที่ ๓ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยขอให้เพิกถอนการร้องขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าว การที่จะพิจารณาว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จำต้องพิจารณาให้ได้ข้อเท็จจริงเป็นยุติก่อนว่าสิทธิครอบครองในที่ดินของโจทก์มีเพียงใด พิพาทหรือมีพื้นที่ทับซ้อนที่ดินของจำเลยที่ ๓ หรือที่ดินแปลงอื่นหรือไม่ รวมทั้งสภาพที่ดินที่แท้จริงเป็นอย่างไร อันจะมีผลเกี่ยวเนื่องไปถึงการออกโฉนดที่ดิน ดังกล่าวว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ออกโฉนดที่ดินดังกล่าวไปโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ดังนั้นข้อพิพาทในคดีจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิของบุคคลในที่ดินอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครอง เป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง โดยที่การออกโฉนดที่ดินตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน บัญญัติว่า เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควรให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด และมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่งแห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดินสาขา หรือเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมายเป็นผู้ลงนามออกโฉนดที่ดิน ซึ่งในการดำเนินการออกหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินเจ้าพนักงานที่ดินจะต้องดำเนินการตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และกรณีเจ้าพนักงานที่ดินมีคำสั่งยกเลิกคำขอที่ยื่นขอออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน คำสั่งยกเลิกคำขอดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ คดีนี้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดกระบี่ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่ดินต่อจำเลยที่ ๑ โดยอ้างหลักฐาน ส.ค. ๑ และขั้นตอนการดำเนินการเพื่อออกโฉนดที่ดินได้ดำเนินการมาถึงขั้นตอนของการดำเนินการรังวัดที่ดินแต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ เห็นว่าที่ดินแปลงที่โจทก์นำรังวัดมีรูปแผนที่และเจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่สอดคล้องกับหลักฐานการแจ้งการครอบครอง จึงได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดิน ที่โจทก์นำรังวัดออกโฉนดที่ดินไม่ตรงกับที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ และอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองจิหลาด ทั้งแปลง และที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ ที่โจทก์ยื่นประกอบการขอออกโฉนดที่ดินนั้น ได้มีการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ให้แก่จำเลยที่ ๓ ไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จึงมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ โจทก์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วแม้ที่ดินแปลงดังกล่าวจะอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติทั้งแปลงจริง แต่มีหลักฐานการแจ้งการครอบครองตามแบบ ส.ค. ๑ ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ โจทก์สามารถนำหลักฐาน ส.ค. ๑ ไปขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายได้ ตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และจากการตรวจสอบทะเบียนการครอบครองที่ดินไม่ปรากฏว่าที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ ได้ออกโฉนดให้แก่บุคคลอื่นตามที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ กล่าวอ้าง โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ และเพิกถอนคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดกระบี่ ที่ ๔๙/๒๕๔๙ เรื่องยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยที่ ๑ ออกโฉนดที่ดินตามเนื้อที่ที่รังวัดได้ให้แก่โจทก์ หากศาลไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินหรือคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
สำหรับประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินหากมีอยู่จริง ศาลปกครองก็มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวได้ เพราะเมื่อคดีนี้เป็นคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลปกครองแล้ว ศาลปกครองย่อมมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันเป็นประเด็นข้อเท็จจริงในคดีได้และเป็นกรณีที่ต้องวินิจฉัยในชั้นการพิจารณาเนื้อหาคดีและถึงแม้การพิจารณาในเรื่องกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในทรัพย์สินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด และไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นมาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าว มีเจตนารมณ์ที่จะคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล หรือนิติบุคคล หรือหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๔๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างบุคคล หรือนิติบุคคล หรือหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้โดยตรงกว่าศาลอื่น
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดกระบี่ ที่ ๔๙/๒๕๔๙ ไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์โดยอ้างว่า ที่ดินแปลงที่โจทก์นำรังวัดออกโฉนดที่ดินไม่ตรงกับที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ และที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองจิหลาด ทั้งแปลง โดยในส่วนจำเลยที่ ๑ กล่าวอ้างว่าที่ดินของโจทก์อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาตินั้น โจทก์ไม่ได้โต้แย้งประเด็นดังกล่าว กรณีจึงไม่มีประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินว่าที่ดินแปลงที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินไม่ใช่ที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ นั้น ข้อเท็จจริงก็ปรากฏในระหว่างตรวจคำฟ้องของศาลจังหวัดกระบี่ซึ่งโจทก์และจำเลยที่ ๓ ก็ได้แถลงร่วมกันว่า ที่ดินที่โจทก์นำชี้ในการรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินกับที่ดินของจำเลยที่ ๓ เป็นคนละแปลงและอยู่คนละแห่งกัน และแม้จำเลยที่ ๑ จะอ้างว่าที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ เป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินตามหลักฐานโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ก็ตามแต่ผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ ๑ ตั้งขึ้น ปรากฏว่าโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ออกโดยมิได้แจ้งการครอบครอง (ออกโดยไม่มีหลักฐานที่ดินเดิม) ดังนั้นการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ จึงมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักฐาน ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ ของโจทก์ และไม่ได้กระทบต่อการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ ในเมื่อโจทก์และจำเลยที่ ๓ ต่างครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินคนละแปลง และที่ดินดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน กรณีจึงไม่มีข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ แต่อย่างใด ซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้ศาลจังหวัดกระบี่ก็ได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่าจำเลยที่ ๓ ไม่ได้โต้แย้งสิทธิใด ๆ ของโจทก์ ที่โจทก์จะมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๓ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ ศาลจังหวัดกระบี่จึงได้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓ ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลจังหวัดกระบี่ ฉบับลงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ดังนั้น คดีคงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาเพื่อพิพากษาตามฟ้องของโจทก์แต่เพียงว่าที่ดินที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดิน เป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินตามหลักฐาน ส.ค. ๑ เลขที่ ๕๕ หรือไม่ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณาการส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๐๘๕ ให้แก่จำเลยที่ ๓ และให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ที่ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยที่ ๑ ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ หรือหากศาลไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินและคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดกรมที่ดิน จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวในผลแห่งละเมิด โจทก์ต้องฟ้องกรมที่ดินซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐโดยตรง ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ การยกเลิกคำขอออกโฉนดของโจทก์เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม ขอให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ ๓ ให้การว่า ที่ดินของจำเลยที่ ๓ ที่ยื่นขอออกโฉนดที่ดินนั้นเป็นคนละแปลงกับที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดในการรังวัดออกโฉนดที่ดินของเจ้าหน้าที่และของจำเลยที่ ๑ โดยตรง ขอให้ยกฟ้อง ต่อมา ศาลจังหวัดกระบี่ตรวจคำฟ้องแล้ว ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เนื่องจากไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓ เนื่องจากที่ดินแปลงที่ออกโฉนดให้แก่จำเลยที่ ๓ เป็นที่ดินคนละแปลง และหรืออยู่คนละแห่งกับที่ดินของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ มีคำพิพากษาโดยวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้คดีว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง คดีมีประเด็นโต้แย้งเกี่ยวกับเขตอำนาจระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครอง ชอบที่ศาลชั้นต้นจะดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เสียก่อน จึงพิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ และมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ศาลจังหวัดกระบี่ได้สอบถามโจทก์ โจทก์แถลงว่าไม่เคยฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองมาก่อน และทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ส่วนศาลปกครองเห็นว่า เป็นคดีอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้วส่งเรื่องมายังคณะกรรมการโดยที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ได้ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลแต่อย่างใด เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรม..." และข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๑๒ กำหนดว่า "คำร้องต้องทำเป็นหนังสือ..." ข้อ ๒๙ กำหนดว่า "ในกรณีดังต่อไปนี้ คณะกรรมการจะสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความก็ได้ (๒) การส่งเรื่องให้คณะกรรมการมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติกำหนดไว้" แต่ตามข้อเท็จจริงคดีนี้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โต้แย้งเขตอำนาจศาลไว้ในคำให้การ โดยไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นเป็นหนังสือต่อศาลเป็นการเฉพาะ ดังนั้นถือว่าคำให้การดังกล่าวเป็นเพียงข้อต่อสู้คดีของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เท่านั้น หาใช่คำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาล ตามความในกฎหมายไม่ กรณีจึงเป็นการโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง และข้อบังคับคณะกรรมการข้อ ๑๒ และ ๒๙ ส่วนในกรณีที่ศาลจังหวัดกระบี่ทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนั้น ก็ไม่อาจถือว่าเป็นกรณีศาลเห็นเองตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่บัญญัติว่า "ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเองก่อน มีคำพิพากษาโดยอนุโลม" เนื่องจากกรณีที่ศาลเห็นเองนั้น ต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่า อยู่ในอำนาจของศาลอื่น เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่าศาลจังหวัดกระบี่เพียงแต่สอบถามโจทก์ และโจทก์แถลงว่าไม่เคยฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองมาก่อน จึงทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม กรณีจึงยังไม่ต้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสาม เช่นกัน
จึงมีคำสั่งว่า การส่งเรื่องกรณีระหว่างศาลจังหวัดกระบี่และศาลปกครองนครศรีธรรมราชที่เกี่ยวข้องกับโจทก์และจำเลยทั้งสามในคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 10 วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๔๗/๒๕๕๓
วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๓
เรื่อง การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ศาลจังหวัดราชบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดราชบุรีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยจำเลยโต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การ และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๑ บริษัทบี.ดี.พาวเวอร์ จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้อง บริษัทซี.เค.ที.อินเตอร์เทรด จำกัด ที่ ๑ นายวรเชษฐ์ นามเขื่อนแพทย์ ที่ ๒ มหาวิทยาลัยราชภัฏจอมบึง ที่ ๓ นายธนกฤต พงศ์เดชกุล ที่ ๔ นายสันติภาพ กั้วพรหม ที่ ๕ จำเลย ต่อศาลจังหวัดราชบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๘๗/๒๕๕๑ ความว่า จำเลยที่ ๓ ได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารเรียนอเนกประสงค์ จำนวน ๑ หลัง ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ตำบลจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ตามสัญญาเลขที่ ๕/๒๕๔๘ ต่อมาโจทก์ได้ทำสัญญาจ้างช่วงให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รับเหมางานระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร และระบบสุขาภิบาลของอาคารเรียนดังกล่าว แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญา และได้ร่วมกับจำเลยที่ ๔ ในฐานะผู้รับมอบงาน และจำเลยที่ ๕ ในฐานะกรรมการควบคุมงานจัดทำเอกสารเท็จว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ดำเนินการตามสัญญาเสร็จแล้ว ทำให้โจทก์หลงเชื่อและจ่ายเงินค่าจ้างตามสัญญาให้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ การกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการผิดสัญญา การกระทำของจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ และจำเลยที่ ๓ ในฐานะนายจ้างต้องร่วมกับจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นลูกจ้างรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งละเมิดในทางการที่จ้าง ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน ๓,๒๔๕,๐๖๓.๔๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓,๐๑๘,๖๖๓.๗๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ ๓ และที่ ๕ ให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีอาศัยสัญญาจ้างช่วงจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นหลัก โดยโจทก์อ้างว่าได้รับเหมาก่อสร้างอาคารเรียนเอนกประสงค์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงจากจำเลยที่ ๓ สัญญาจ้างดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างเพื่อประโยชน์สาธารณะ จึงเป็นสัญญาทางปกครอง ดังนั้น แม้โจทก์จะตั้งรูปคดีเป็นละเมิด โดยฟ้องขอให้จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐให้ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้กระทำตามหน้าที่ แต่เมื่อ จำเลยที่ ๓ และที่ ๕ มิได้อยู่ในฐานะลูกจ้างกับนายจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีนี้จึงเป็นคดีละเมิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งเป็นคดีปกครอง จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดราชบุรีพิจารณาแล้วจัดทำความเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมรับผิดตามสัญญาจ้างทำของอันเป็นสัญญาทางแพ่ง และขอให้จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ร่วมกันรับผิดในมูลละเมิด พร้อมขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายอย่างลูกหนี้ร่วม เป็นข้อพิพาทที่เกี่ยวเนื่องกันและมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ที่แบ่งแยกจากกันมิได้ ประกอบกับคดีในส่วนการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๕ ไม่ปรากฏว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อคดีนี้เป็นกรณีพิพาทอันเนื่องมาจากการเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาและการกระทำละเมิดตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๓ เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. ๒๕๔๗ มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยจำเลยที่ ๓ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษา จำเลยที่ ๓ ว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างอาคารเรียนอเนกประสงค์ตามสัญญาเลขที่ ๕/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๔๘ ซึ่งอาคารเรียนอเนกประสงค์เป็นถาวรวัตถุที่เป็นเครื่องมือในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษา จึงเป็นสิ่งสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยข้อ ๘ ของสัญญาอนุญาตให้มีการจ้างช่วงได้หากได้รับความยินยอมเป็นหนังสือ การที่โจทก์ทำสัญญาจ้างช่วงให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รับเหมางานระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร และระบบสุขาภิบาลของอาคารเรียนอเนกประสงค์ดังกล่าว จึงถือว่าโจทก์ทำสัญญาจ้างช่วงดังกล่าวเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๓ โจทก์จึงเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ เมื่อสัญญาจ้างช่วงดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในการจัดให้มีระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร ระบบสุขาภิบาลของอาคารเรียนอเนกประสงค์ จึงเป็นสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญาแต่ทำเอกสารเท็จว่าดำเนินการตามสัญญาเสร็จแล้ว ทำให้โจทก์หลงเชื่อและจ่ายเงินค่าจ้าง จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ โจทก์ได้กล่าวหาว่า จำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นผู้จัดการโครงการของโจทก์ ในฐานะผู้รับมอบงานจากจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นลูกจ้างและกรรมการควบคุมงานของจำเลยที่ ๓ ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจัดทำเอกสารเท็จว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ดำเนินการตามสัญญาแล้วเสร็จ ทำให้โจทก์หลงเชื่อและจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ ๑ นั้น เป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้อาศัยโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่กระทำการทุจริตเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๕ และที่ ๓ ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัด จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ (เทียบเคียงกับคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๒/๒๕๔๗, ๙/๒๕๔๗, ๑๐/๒๕๔๗) ส่วนข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเอกชน แม้ไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อย่างไรก็ดี เมื่อตามคำฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ และขอให้จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดดังกล่าว ข้อพิพาทนี้จึงเป็นกรณีที่มีมูลคดีเดียวกันกับคดีพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ และที่ ๕ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง คดีทั้งสองจึงชอบที่จะได้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อให้คำพิพากษาเป็นไปในแนวเดียวกัน ดังนั้น คดีพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๔ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองเช่นเดียวกัน (เทียบเคียงกับคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๕/๒๕๔๙)
อย่างไรก็ดี ศาลปกครองกลางมีข้อสังเกตเพิ่มเติมในคดีนี้ว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีเห็นว่าคดีดังกล่าว อยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรม หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก สำหรับศาลปกครอง ในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว และมาตรา ๑๐ วรรคสาม บัญญัติว่า ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเองก่อนมีคำพิพากษาด้วยโดยอนุโลม ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่าจำเลยที่ ๓ และที่ ๕ ได้โต้แย้งเขตอำนาจศาลไว้ในคำให้การโดยมิได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะ จึงเป็นการโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ นอกจากนี้ในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น ไม่ใช่เห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลตน เมื่อในคดีนี้ศาลจังหวัดราชบุรีซึ่งเป็นศาลที่ส่งความเห็น เห็นว่า คดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลตน กรณีจึงไม่อาจถือว่าเป็นการทำความเห็นเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลในกรณีที่ศาลเห็นเองตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เช่นกัน ทั้งนี้ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๔/๒๕๕๐
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารเรียนอเนกประสงค์ จำนวน ๑ หลัง ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง โจทก์จึงทำสัญญาว่าจ้างช่วงให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รับเหมางานระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร และระบบสุขาภิบาล ของอาคารเรียนดังกล่าว จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญา และได้ร่วมกับจำเลยที่ ๔ ในฐานะผู้รับมอบงาน และจำเลยที่ ๕ ในฐานะกรรมการควบคุมงานจัดทำเอกสารเท็จว่าดำเนินการตามสัญญาเสร็จแล้ว ทำให้โจทก์หลงเชื่อจึงจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ การกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการผิดสัญญา การกระทำของจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ และจำเลยที่ ๓ ในฐานะนายจ้างต้องร่วมกับจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นลูกจ้างของตนรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งละเมิดในทางการที่จ้าง ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ ๓ และที่ ๕ ให้การว่า เป็นคดีปกครองอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลจังหวัดราชบุรีจัดทำความเห็นว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของตนแล้วส่งให้ศาลปกครองจัดทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจศาลเช่นกัน เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า หากคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ก็จะต้องยื่นคำร้องก่อนวันสืบพยานของศาลยุติธรรม การโต้แย้งอำนาจศาลจึงต้องทำเป็นคำร้อง แต่การโต้แย้งของจำเลยที่ ๓ และที่ ๕ ในกรณีนี้เป็นการโต้แย้งที่ยกขึ้นกล่าวไว้ในคำให้การซึ่งถือว่าเป็นเพียงข้อต่อสู้คดีเท่านั้น โดยไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลไว้เป็นการเฉพาะ จึงเป็นการโต้แย้งอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งการที่ศาลจะทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลจัดทำความเห็นตามข้อโต้แย้งที่เริ่มกระบวนการโดยการที่คู่ความยื่นคำร้องโต้แย้งอำนาจศาล ตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งเสียก่อน ส่วนในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ให้นำความในมาตราเดียวกันนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลมนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น มิใช่เห็นเองว่าอยู่ในอำนาจของตนเอง เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๓ และที่ ๕ มิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งมิใช่กรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลอื่น จึงถือไม่ได้ว่ามีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจศาล กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
จึงมีคำสั่งว่า การส่งเรื่องกรณีระหว่างศาลจังหวัดราชบุรีและศาลปกครองกลางที่เกี่ยวข้องกับโจทก์และจำเลยทั้งห้าในคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ ติดราชการ
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศานิต สร้างสมวงษ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศานิต สร้างสมวงษ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๔๗/๒๕๕๓
วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๓
เรื่อง การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ศาลจังหวัดราชบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดราชบุรีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยจำเลยโต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การ และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๑ บริษัทบี.ดี.พาวเวอร์ จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้อง บริษัทซี.เค.ที.อินเตอร์เทรด จำกัด ที่ ๑ นายวรเชษฐ์ นามเขื่อนแพทย์ ที่ ๒ มหาวิทยาลัยราชภัฏจอมบึง ที่ ๓ นายธนกฤต พงศ์เดชกุล ที่ ๔ นายสันติภาพ กั้วพรหม ที่ ๕ จำเลย ต่อศาลจังหวัดราชบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๘๗/๒๕๕๑ ความว่า จำเลยที่ ๓ ได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารเรียนอเนกประสงค์ จำนวน ๑ หลัง ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ตำบลจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ตามสัญญาเลขที่ ๕/๒๕๔๘ ต่อมาโจทก์ได้ทำสัญญาจ้างช่วงให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รับเหมางานระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร และระบบสุขาภิบาลของอาคารเรียนดังกล่าว แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญา และได้ร่วมกับจำเลยที่ ๔ ในฐานะผู้รับมอบงาน และจำเลยที่ ๕ ในฐานะกรรมการควบคุมงานจัดทำเอกสารเท็จว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ดำเนินการตามสัญญาเสร็จแล้ว ทำให้โจทก์หลงเชื่อและจ่ายเงินค่าจ้างตามสัญญาให้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ การกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการผิดสัญญา การกระทำของจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ และจำเลยที่ ๓ ในฐานะนายจ้างต้องร่วมกับจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นลูกจ้างรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งละเมิดในทางการที่จ้าง ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน ๓,๒๔๕,๐๖๓.๔๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓,๐๑๘,๖๖๓.๗๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ ๓ และที่ ๕ ให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีอาศัยสัญญาจ้างช่วงจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นหลัก โดยโจทก์อ้างว่าได้รับเหมาก่อสร้างอาคารเรียนเอนกประสงค์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงจากจำเลยที่ ๓ สัญญาจ้างดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างเพื่อประโยชน์สาธารณะ จึงเป็นสัญญาทางปกครอง ดังนั้น แม้โจทก์จะตั้งรูปคดีเป็นละเมิด โดยฟ้องขอให้จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐให้ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้กระทำตามหน้าที่ แต่เมื่อ จำเลยที่ ๓ และที่ ๕ มิได้อยู่ในฐานะลูกจ้างกับนายจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีนี้จึงเป็นคดีละเมิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งเป็นคดีปกครอง จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดราชบุรีพิจารณาแล้วจัดทำความเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมรับผิดตามสัญญาจ้างทำของอันเป็นสัญญาทางแพ่ง และขอให้จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ร่วมกันรับผิดในมูลละเมิด พร้อมขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายอย่างลูกหนี้ร่วม เป็นข้อพิพาทที่เกี่ยวเนื่องกันและมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ที่แบ่งแยกจากกันมิได้ ประกอบกับคดีในส่วนการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๕ ไม่ปรากฏว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อคดีนี้เป็นกรณีพิพาทอันเนื่องมาจากการเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาและการกระทำละเมิดตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๓ เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. ๒๕๔๗ มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยจำเลยที่ ๓ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษา จำเลยที่ ๓ ว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างอาคารเรียนอเนกประสงค์ตามสัญญาเลขที่ ๕/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๔๘ ซึ่งอาคารเรียนอเนกประสงค์เป็นถาวรวัตถุที่เป็นเครื่องมือในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษา จึงเป็นสิ่งสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยข้อ ๘ ของสัญญาอนุญาตให้มีการจ้างช่วงได้หากได้รับความยินยอมเป็นหนังสือ การที่โจทก์ทำสัญญาจ้างช่วงให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รับเหมางานระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร และระบบสุขาภิบาลของอาคารเรียนอเนกประสงค์ดังกล่าว จึงถือว่าโจทก์ทำสัญญาจ้างช่วงดังกล่าวเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๓ โจทก์จึงเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ เมื่อสัญญาจ้างช่วงดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในการจัดให้มีระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร ระบบสุขาภิบาลของอาคารเรียนอเนกประสงค์ จึงเป็นสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญาแต่ทำเอกสารเท็จว่าดำเนินการตามสัญญาเสร็จแล้ว ทำให้โจทก์หลงเชื่อและจ่ายเงินค่าจ้าง จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ โจทก์ได้กล่าวหาว่า จำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นผู้จัดการโครงการของโจทก์ ในฐานะผู้รับมอบงานจากจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นลูกจ้างและกรรมการควบคุมงานของจำเลยที่ ๓ ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจัดทำเอกสารเท็จว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ดำเนินการตามสัญญาแล้วเสร็จ ทำให้โจทก์หลงเชื่อและจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ ๑ นั้น เป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้อาศัยโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่กระทำการทุจริตเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๕ และที่ ๓ ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัด จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ (เทียบเคียงกับคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๒/๒๕๔๗, ๙/๒๕๔๗, ๑๐/๒๕๔๗) ส่วนข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเอกชน แม้ไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อย่างไรก็ดี เมื่อตามคำฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ และขอให้จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดดังกล่าว ข้อพิพาทนี้จึงเป็นกรณีที่มีมูลคดีเดียวกันกับคดีพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ และที่ ๕ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง คดีทั้งสองจึงชอบที่จะได้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อให้คำพิพากษาเป็นไปในแนวเดียวกัน ดังนั้น คดีพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๔ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองเช่นเดียวกัน (เทียบเคียงกับคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๕/๒๕๔๙)
อย่างไรก็ดี ศาลปกครองกลางมีข้อสังเกตเพิ่มเติมในคดีนี้ว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีเห็นว่าคดีดังกล่าว อยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรม หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก สำหรับศาลปกครอง ในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว และมาตรา ๑๐ วรรคสาม บัญญัติว่า ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเองก่อนมีคำพิพากษาด้วยโดยอนุโลม ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่าจำเลยที่ ๓ และที่ ๕ ได้โต้แย้งเขตอำนาจศาลไว้ในคำให้การโดยมิได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะ จึงเป็นการโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ นอกจากนี้ในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น ไม่ใช่เห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลตน เมื่อในคดีนี้ศาลจังหวัดราชบุรีซึ่งเป็นศาลที่ส่งความเห็น เห็นว่า คดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลตน กรณีจึงไม่อาจถือว่าเป็นการทำความเห็นเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลในกรณีที่ศาลเห็นเองตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เช่นกัน ทั้งนี้ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๔/๒๕๕๐
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารเรียนอเนกประสงค์ จำนวน ๑ หลัง ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง โจทก์จึงทำสัญญาว่าจ้างช่วงให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รับเหมางานระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร และระบบสุขาภิบาล ของอาคารเรียนดังกล่าว จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญา และได้ร่วมกับจำเลยที่ ๔ ในฐานะผู้รับมอบงาน และจำเลยที่ ๕ ในฐานะกรรมการควบคุมงานจัดทำเอกสารเท็จว่าดำเนินการตามสัญญาเสร็จแล้ว ทำให้โจทก์หลงเชื่อจึงจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ การกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการผิดสัญญา การกระทำของจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ และจำเลยที่ ๓ ในฐานะนายจ้างต้องร่วมกับจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นลูกจ้างของตนรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งละเมิดในทางการที่จ้าง ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ ๓ และที่ ๕ ให้การว่า เป็นคดีปกครองอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลจังหวัดราชบุรีจัดทำความเห็นว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของตนแล้วส่งให้ศาลปกครองจัดทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจศาลเช่นกัน เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า หากคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ก็จะต้องยื่นคำร้องก่อนวันสืบพยานของศาลยุติธรรม การโต้แย้งอำนาจศาลจึงต้องทำเป็นคำร้อง แต่การโต้แย้งของจำเลยที่ ๓ และที่ ๕ ในกรณีนี้เป็นการโต้แย้งที่ยกขึ้นกล่าวไว้ในคำให้การซึ่งถือว่าเป็นเพียงข้อต่อสู้คดีเท่านั้น โดยไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลไว้เป็นการเฉพาะ จึงเป็นการโต้แย้งอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งการที่ศาลจะทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลจัดทำความเห็นตามข้อโต้แย้งที่เริ่มกระบวนการโดยการที่คู่ความยื่นคำร้องโต้แย้งอำนาจศาล ตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งเสียก่อน ส่วนในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ให้นำความในมาตราเดียวกันนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลมนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น มิใช่เห็นเองว่าอยู่ในอำนาจของตนเอง เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๓ และที่ ๕ มิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งมิใช่กรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลอื่น จึงถือไม่ได้ว่ามีการขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจศาล กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
จึงมีคำสั่งว่า การส่งเรื่องกรณีระหว่างศาลจังหวัดราชบุรีและศาลปกครองกลางที่เกี่ยวข้องกับโจทก์และจำเลยทั้งห้าในคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ ติดราชการ
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศานิต สร้างสมวงษ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศานิต สร้างสมวงษ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 10 วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๒๒/๒๕๕๒
วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๒
เรื่อง การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเหตุว่าคดีอยู่ในอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในอำนาจเช่นกัน
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ นายวิชัย ปลั่งศรีสกุล ผู้ร้อง ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๗ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ล.ต. ๒๕/๒๕๕๑ ความว่า เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลกุยบุรีประกาศให้มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรี โดยให้มีการเลือกตั้งในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัตินายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา ๔๘ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๔๖ แต่ผู้ร้องดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีมาแล้วติดต่อกันเกินสองวาระ อันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๔๘สัตต แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๔๖ ต่อมาผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลกุยบุรีประกาศรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีกุยบุรี แต่ผู้ร้องไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัตินายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีและประกาศผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลกุยบุรีดังกล่าวต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผู้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการการเลือกตั้งวินิจฉัยว่า การที่ผู้ร้องได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรี เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๗ ซึ่งต่อมาคณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งให้เลือกตั้งใหม่ เนื่องจากมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าในการเลือกตั้งครั้งดังกล่าวมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม การดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีของผู้ร้อง ระหว่างวันที่ ๗ มีนาคม ถึงวันที่ ๒๗สิงหาคม ๒๕๔๗ ถือเป็นการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีหนึ่งวาระ เมื่อผู้ร้องได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีอีกครั้งในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๗และปฏิบัติหน้าที่เรื่อยมาจนครบวาระ จึงเป็นการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีติดต่อกันสองวาระ อันเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสำหรับการเลือกตั้งในวันที่ ๒๓พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕มาตรา ๔๕ (๑๗) ประกอบพระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ.๒๕๔๖ มาตรา ๔๘ สัตต และไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติเลือกตั้งสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๙๘ วรรคสาม ให้ยกคำร้อง โดยคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นไปในแนวทางเดียวกับการตอบข้อหารือของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งสำนักงานเทศบาลกุยบุรีเคยมีหนังสือหารือในประเด็นดังกล่าว ผู้ร้องเห็นว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากการที่ผู้ร้องได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม๒๕๔๗ เป็นการดำรงตำแหน่งเท่าวาระที่เหลืออยู่ของผู้ร้องในการเลือกตั้งครั้งแรก ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งดังกล่าวเพียงหนึ่งวาระ ตามมาตรา ๙๘ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ มิใช่ดำรงตำแหน่งสองวาระติดต่อกัน และมิได้พ้นการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรี ตามมาตรา ๔๕ (๑๗) แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ ประกอบมาตรา ๔๘ สัตต แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๔๖ ทั้งการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งให้เลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีใหม่เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๗ เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลมีคำสั่งให้การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๗ เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่มีคำสั่งไม่รับสมัครผู้ร้องรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรี และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งและกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นปฏิบัติตามมาตรา ๙๘ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติเลือกตั้งสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยผู้ร้องไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๔๘ สัตต วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๔๖ และให้ถือว่าผู้ร้องมิได้พ้นการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรี ตามมาตรา ๔๘ ปัญจทศ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาลพุทธศักราช ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๔๖ และให้ผู้ร้องมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ มีคำสั่งไม่รับคำร้องและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความเนื่องจากขณะนั้นพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ ยังมิได้กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ร้องใช้สิทธิต่อศาลอุทธรณ์ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๙วรรคสามกำหนด ดังนั้นเมื่อผู้ร้องต้องใช้สิทธิภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย และขณะนั้นยังไม่มีกฎหมายให้อำนาจศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิจารณาวินิจฉัยคดีของผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ย่อมไม่มีอำนาจวินิจฉัยคดี (คดีหมายเลขแดงที่ ๓๓๕๘/๒๕๕๑)
เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ นายวิชัย ปลั่งศรีสกุล ผู้ฟ้องคดี จึงยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ ๑ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๘๑๓/๒๕๕๑
อนึ่ง ก่อนยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๗ และก่อนยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองต่อศาลปกครองสูงสุด เป็นคดีหมายเลขดำที่ ฟ.๕๖/๒๕๕๑ หมายเลขแดงที่ ฟ.๔๘/๒๕๕๑ ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากเห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา ๒๑๙ วรรคสาม
ศาลปกครองกลางเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๙ วรรคสาม บัญญัติให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ทั้งนี้วิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากำหนด โดยต้องใช้ระบบไต่สวนและเป็นไปโดยรวดเร็ว ดังนั้น เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น และมูลคดีเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐ อันเป็นวันที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐ มีผลใช้บังคับ จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ อนึ่ง แม้ศาลยุติธรรมโดยศาลอุทธรณ์ภาค ๗ จะมิได้วินิจฉัยในประเด็นเนื้อหาของเรื่องเขตอำนาจศาลว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง แต่เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าปัจจุบันประเทศไทยใช้ระบบศาลคู่คือ ศาลยุติธรรมและศาลปกครอง ประกอบกับมาตรา ๖๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐรัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่นหรือองค์กรอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคลให้รับผิด เนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานนั้น ดังนั้นเมื่อศาลยุติธรรมโดยศาลอุทธรณ์ภาค ๗ มีคำสั่งไม่รับคำร้องของผู้ร้อง (ผู้ฟ้องคดี) ก็เท่ากับเป็นการวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ใอำนาจของศาลปกครองโดยปริยาย
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง บัญญัติว่า ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด แต่ศาลนั้นไม่รับฟ้องเพราะเหตุว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว หากศาลดังกล่าวเห็นว่า คดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัย โดยให้นำความในมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และมาตรา ๑๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติว่า ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหาร หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่นในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว ... ถ้าศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น ให้ศาลที่ส่งความเห็นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดและมาตรา ๑๐ วรรคสาม บัญญัติว่า ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเอง ก่อนมีคำพิพากษาโดยอนุโลม
ข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏว่า เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องคดีที่มีข้อเท็จจริงเดียวกันกับคดีนี้ต่อศาลปกครองสูงสุด แต่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาเนื่องจากเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลอุทธรณ์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๙ ผู้ฟ้องคดีจึงยื่นคำร้อง ลงวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ในคดีที่มีข้อเท็จจริงเดียวกันต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๗ซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจแตกต่างกัน แต่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา เนื่องจากเห็นว่า พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ ยังมิได้กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ร้องใช้สิทธิต่อศาลอุทธรณ์ให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๙วรรคสาม กำหนด ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ มีคำสั่งไม่รับคำร้องกรณีดังกล่าวจึงมิใช่กรณีมีคำสั่งไม่รับคำร้องเพราะเหตุว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง อันจะเข้าหลักเกณฑ์การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา ๑๒ วรรคสอง ได้ ต่อมาเมื่อผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีนี้ กรณีจึงถือได้ว่าศาลปกครองกลางเป็นศาลแรกที่มีการยื่นฟ้อง หากศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง แต่อยู่ในเขตอำนาจศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางชอบที่จะดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสามหรือมาตรา ๑๒ วรรคสอง ดังนั้น การเสนอเรื่องให้คณะกรรมการของศาลปกครองกลางกรณีนี้จึงไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
จึงมีคำสั่งว่า การเสนอเรื่องของศาลปกครองกลางไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสองประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่องการพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒)
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศานิต สร้างสมวงษ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศานิต สร้างสมวงษ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๒๒/๒๕๕๒
วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๒
เรื่อง การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเหตุว่าคดีอยู่ในอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว ศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในอำนาจเช่นกัน
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ นายวิชัย ปลั่งศรีสกุล ผู้ร้อง ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๗ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ล.ต. ๒๕/๒๕๕๑ ความว่า เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลกุยบุรีประกาศให้มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรี โดยให้มีการเลือกตั้งในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัตินายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา ๔๘ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๔๖ แต่ผู้ร้องดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีมาแล้วติดต่อกันเกินสองวาระ อันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๔๘สัตต แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๔๖ ต่อมาผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลกุยบุรีประกาศรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีกุยบุรี แต่ผู้ร้องไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัตินายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีและประกาศผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลกุยบุรีดังกล่าวต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผู้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการการเลือกตั้งวินิจฉัยว่า การที่ผู้ร้องได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรี เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๗ ซึ่งต่อมาคณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งให้เลือกตั้งใหม่ เนื่องจากมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าในการเลือกตั้งครั้งดังกล่าวมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม การดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีของผู้ร้อง ระหว่างวันที่ ๗ มีนาคม ถึงวันที่ ๒๗สิงหาคม ๒๕๔๗ ถือเป็นการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีหนึ่งวาระ เมื่อผู้ร้องได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีอีกครั้งในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๗และปฏิบัติหน้าที่เรื่อยมาจนครบวาระ จึงเป็นการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีติดต่อกันสองวาระ อันเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสำหรับการเลือกตั้งในวันที่ ๒๓พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕มาตรา ๔๕ (๑๗) ประกอบพระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ.๒๕๔๖ มาตรา ๔๘ สัตต และไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติเลือกตั้งสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๙๘ วรรคสาม ให้ยกคำร้อง โดยคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นไปในแนวทางเดียวกับการตอบข้อหารือของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งสำนักงานเทศบาลกุยบุรีเคยมีหนังสือหารือในประเด็นดังกล่าว ผู้ร้องเห็นว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากการที่ผู้ร้องได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม๒๕๔๗ เป็นการดำรงตำแหน่งเท่าวาระที่เหลืออยู่ของผู้ร้องในการเลือกตั้งครั้งแรก ถือว่าผู้ร้องดำรงตำแหน่งดังกล่าวเพียงหนึ่งวาระ ตามมาตรา ๙๘ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ มิใช่ดำรงตำแหน่งสองวาระติดต่อกัน และมิได้พ้นการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรี ตามมาตรา ๔๕ (๑๗) แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ ประกอบมาตรา ๔๘ สัตต แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๔๖ ทั้งการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งให้เลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีใหม่เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๗ เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลมีคำสั่งให้การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๗ เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่มีคำสั่งไม่รับสมัครผู้ร้องรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรี และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งและกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นปฏิบัติตามมาตรา ๙๘ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติเลือกตั้งสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยผู้ร้องไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๔๘ สัตต วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๔๖ และให้ถือว่าผู้ร้องมิได้พ้นการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรี ตามมาตรา ๔๘ ปัญจทศ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาลพุทธศักราช ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๔๖ และให้ผู้ร้องมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรีในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ มีคำสั่งไม่รับคำร้องและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความเนื่องจากขณะนั้นพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ ยังมิได้กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ร้องใช้สิทธิต่อศาลอุทธรณ์ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๙วรรคสามกำหนด ดังนั้นเมื่อผู้ร้องต้องใช้สิทธิภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย และขณะนั้นยังไม่มีกฎหมายให้อำนาจศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิจารณาวินิจฉัยคดีของผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ย่อมไม่มีอำนาจวินิจฉัยคดี (คดีหมายเลขแดงที่ ๓๓๕๘/๒๕๕๑)
เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ นายวิชัย ปลั่งศรีสกุล ผู้ฟ้องคดี จึงยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ ๑ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๘๑๓/๒๕๕๑
อนึ่ง ก่อนยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๗ และก่อนยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองต่อศาลปกครองสูงสุด เป็นคดีหมายเลขดำที่ ฟ.๕๖/๒๕๕๑ หมายเลขแดงที่ ฟ.๔๘/๒๕๕๑ ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากเห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา ๒๑๙ วรรคสาม
ศาลปกครองกลางเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๙ วรรคสาม บัญญัติให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ทั้งนี้วิธีพิจารณาและวินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากำหนด โดยต้องใช้ระบบไต่สวนและเป็นไปโดยรวดเร็ว ดังนั้น เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น และมูลคดีเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐ อันเป็นวันที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐ มีผลใช้บังคับ จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ อนึ่ง แม้ศาลยุติธรรมโดยศาลอุทธรณ์ภาค ๗ จะมิได้วินิจฉัยในประเด็นเนื้อหาของเรื่องเขตอำนาจศาลว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง แต่เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าปัจจุบันประเทศไทยใช้ระบบศาลคู่คือ ศาลยุติธรรมและศาลปกครอง ประกอบกับมาตรา ๖๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐรัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่นหรือองค์กรอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคลให้รับผิด เนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานนั้น ดังนั้นเมื่อศาลยุติธรรมโดยศาลอุทธรณ์ภาค ๗ มีคำสั่งไม่รับคำร้องของผู้ร้อง (ผู้ฟ้องคดี) ก็เท่ากับเป็นการวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ใอำนาจของศาลปกครองโดยปริยาย
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง บัญญัติว่า ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด แต่ศาลนั้นไม่รับฟ้องเพราะเหตุว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว หากศาลดังกล่าวเห็นว่า คดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัย โดยให้นำความในมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และมาตรา ๑๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติว่า ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหาร หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่นในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว ... ถ้าศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น ให้ศาลที่ส่งความเห็นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดและมาตรา ๑๐ วรรคสาม บัญญัติว่า ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเอง ก่อนมีคำพิพากษาโดยอนุโลม
ข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏว่า เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องคดีที่มีข้อเท็จจริงเดียวกันกับคดีนี้ต่อศาลปกครองสูงสุด แต่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาเนื่องจากเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลอุทธรณ์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๙ ผู้ฟ้องคดีจึงยื่นคำร้อง ลงวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ในคดีที่มีข้อเท็จจริงเดียวกันต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๗ซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจแตกต่างกัน แต่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา เนื่องจากเห็นว่า พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ ยังมิได้กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ร้องใช้สิทธิต่อศาลอุทธรณ์ให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๙วรรคสาม กำหนด ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ มีคำสั่งไม่รับคำร้องกรณีดังกล่าวจึงมิใช่กรณีมีคำสั่งไม่รับคำร้องเพราะเหตุว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง อันจะเข้าหลักเกณฑ์การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา ๑๒ วรรคสอง ได้ ต่อมาเมื่อผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีนี้ กรณีจึงถือได้ว่าศาลปกครองกลางเป็นศาลแรกที่มีการยื่นฟ้อง หากศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง แต่อยู่ในเขตอำนาจศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางชอบที่จะดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสามหรือมาตรา ๑๒ วรรคสอง ดังนั้น การเสนอเรื่องให้คณะกรรมการของศาลปกครองกลางกรณีนี้จึงไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
จึงมีคำสั่งว่า การเสนอเรื่องของศาลปกครองกลางไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสองประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่องการพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒)
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศานิต สร้างสมวงษ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศานิต สร้างสมวงษ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๑๗/๒๕๕๑
วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๑
เรื่อง การยื่นคำร้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพ.ศ. ๒๕๔๒
คำสั่งศาลฎีกา
ระหว่าง
คำสั่งศาลปกครองสูงสุด
การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ
นายกฤษศักดา วัฒนพงษ์ ผู้ร้อง โดยนายอุดร ชัยศรี ผู้รับมอบอำนาจยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งว่าคดีของผู้ร้องอยู่ในเขตอำนาจของศาลใด และให้มีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งให้ศาลดังกล่าวรับคดีของผู้ร้องไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งตามรูปคดี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
ข้อเท็จจริงในคดี
นายกฤษศักดา วัฒนพงษ์ ผู้ร้อง โดยนายอุดร ชัยศรี ผู้รับมอบอำนาจได้ยื่นคำร้องลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งว่าคดีของผู้ร้องอยู่ในเขตอำนาจของศาลใด และให้มีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งให้ศาลดังกล่าวรับคดีของผู้ร้องไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งตามรูปคดี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ความว่า เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๑ ผู้ร้องกับพวก รวม ๘ คน ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเป็นคดีหมายเลขดำที่ ลต.๕/๒๕๕๑ ว่า เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๐ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้คัดค้าน ได้มีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปพ.ศ. ๒๕๕๐ กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ และได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องกำหนดวันและเวลาลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ณ ที่เลือกตั้งกลาง ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ เป็นวันที่ ๑๕ และ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๐ การเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้งดังกล่าวมีการอนุญาตไว้ล่วงหน้าการลงคะแนนเสียงและอนุญาตหลังจากลงคะแนนเสียงแล้วโดยไม่มีการตรวจสอบหรือสอบสวนถึงความจำเป็นในการที่จะลงคะแนนเสียงล่วงหน้าและได้ดำเนินการทั่วประเทศ เช่นการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้งที่ ๖ กรุงเทพมหานคร ที่มีการจัดเตรียมแบบฟอร์มเป็นแบบคำขอลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าและประธานกรรมการประจำที่เลือกตั้งกลางลงลายมือชื่ออนุญาตให้ลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าได้วางเรียงบนชั้นเป็นจำนวนมาก ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าเพียงแต่หยิบแบบคำขอใช้สิทธิลงคะแนนล่วงหน้าดังกล่าวแล้วนำไปกรอกข้อความลงลายมือชื่อเท่านั้น โดยไม่มีการสอบสวนและวินิจฉัยอนุญาตตามขั้นตอนของกฎหมาย และเขตเลือกตั้งที่ ๗ กรุงเทพมหานคร ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าเพียงแต่หยิบแบบฟอร์มเปล่าแล้วนำไปกรอกข้อความลงลายมือชื่อแล้วลงคะแนนเลือกตั้งโดยไม่ได้รับการสอบสวนหรือวินิจฉัยแล้วอนุญาตจากประธานกรรมการประจำที่เลือกตั้งกลางก่อน การเลือกตั้งล่วงหน้าดังกล่าวจึงเป็นกรณีไม่มีการตรวจสอบตามมาตรา ๙๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๐ ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่จะเดินทางไปนอกเขตเลือกตั้งไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ในวันเลือกตั้งมีการขอใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งหรือผู้ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งมอบหมาย และคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งหรือผู้ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งมอบหมายได้ตรวจสอบว่าผู้ที่มาขอใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้งว่ามีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นหรือไม่ และต้องตรวจสอบว่าผู้ที่มาใช้สิทธิดังกล่าวที่แจ้งความประสงค์ไว้มีกรณีดังที่แจ้งความประสงค์ไว้หรือไม่ เมื่อปรากฏว่าตรวจสอบผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่แจ้งความประสงค์ขอเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตถ้าถูกต้องคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตต้องกำหนดที่เลือกตั้งกลางที่ผู้นั้นจะใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าในเขต และจะต้องแจ้งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งที่ผู้นั้นมีชื่อในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งทราบ และคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตจะต้องหมายเหตุสถานที่ที่ผู้นั้นจะไปใช้สิทธิในเอกสารที่เกี่ยวข้องแต่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการดังกล่าว การเลือกตั้งล่วงหน้าทั้งประเทศจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยมาตรา ๙๕ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐ เปิดโอกาสให้มีการทุจริตการเลือกตั้งอย่างสะดวก ไม่มีระบบควบคุมตรวจสอบเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งมาลงคะแนนเลือกตั้งได้โดยไม่จำกัดจำนวนและเป็นการดำเนินการทั่วประเทศเท่ากับว่าเป็นการเลือกตั้งทั่วไปนอกเหนือจากวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ และเป็นการเลือกตั้งทั่วไปถึง ๓ วันขัดกับพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐ เมื่อนำบัตรลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตทั่วประเทศดังกล่าวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและสุจริตและเที่ยงธรรมดังกล่าวมารวมกับการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ แล้ว ทำให้การเลือกตั้งในที่ ๒๓ธันวาคม ๒๕๕๐ ไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ชอบด้วยพระราชกฤษฎีกาและไม่สุจริตและเที่ยงธรรมเพราะการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกตั้งเมื่อวันที่๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ซึ่งไม่สามารถแบ่งแยกจากกันได้ ขอให้เพิกถอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรล่วงหน้า ในวันที่ ๑๕ และ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทั่วประเทศ และเพิกถอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปในวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทั่วประเทศเพิกถอนการรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับรองในการเลือกตั้งวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ และให้ระงับหรือยกเลิกการรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสำหรับรายที่ยังไม่ได้รับรอง ศาลฎีกามีคำสั่งที่ ๙๑/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๑ ให้ยกคำร้องโดยวินิจฉัยว่าคำร้องของผู้ร้องเป็นกรณีที่อ้างว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นดำเนินการไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๑๔ บัญญัติให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองซึ่งมีสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดเขตเลือกตั้งหนึ่งมีสิทธิยื่นคัดค้านต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด และเมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับคำคัดค้านการเลือกตั้งให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงโดยพลัน ในขั้นตอนนี้บทบัญญัติแห่งกฎหมายมิได้ให้อำนาจศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัย หากแต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งโดยเฉพาะ ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้งล่วงหน้าณ ที่เลือกตั้งกลางในเขตเลือกตั้งในวันที่ ๑๕ และวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทั่วประเทศ และเพิกถอนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ กับเพิกถอนการรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับรองในการเลือกตั้งวันที่ ๒๓ธันวาคม ๒๕๕๐ ได้ ผู้ร้องกับพวกรวม ๘ คน จึงนำคดีไปฟ้องยังศาลปกครองสูงสุดโดยอ้างด้วยว่าศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับคดีของผู้ร้อง ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ ฟ.๒๖/๒๕๕๑ ลงวันที่๒ เมษายน ๒๕๕๑ ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความโดยวินิจฉัยว่า แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงจากคำฟ้องและเอกสารประกอบคำฟ้องคดีนี้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดเคยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา โดยมีข้อเท็จจริงเดียวกับคำฟ้องนี้ แต่ศาลฎีกาได้มีคำสั่งที่ ๙๑/๒๕๕๑ ให้ยกคำร้อง แต่เมื่อพิจารณาคำสั่งของศาลฎีกาดังกล่าวแล้วเห็นได้ว่า ศาลฎีกามิได้มีคำสั่งยกคำร้องเนื่องจากเห็นว่า คดีดังกล่าวมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและมิได้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาแต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดแต่อย่างใด แต่เห็นว่าเป็นการคัดค้านการเลือกตั้งตามบทบัญญัติในส่วนที่ ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งผู้ร้องชอบที่จะไปยื่นคัดค้านต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งมิใช่ศาลฎีกา ศาลปกครองสูงสุดจึงไม่ต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพ.ศ. ๒๕๔๒ โดยส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัย
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คำร้องของผู้ร้องทั้งสองชอบด้วยพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงตามคำร้องสรุปได้ว่า ผู้ร้องกับพวกรวม๘ คน ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเป็นคดีหมายเลขดำที่ ลต.๕/๒๕๕๑ ขอให้เพิกถอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรล่วงหน้า ในวันที่ ๑๕ และ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทั่วประเทศ และเพิกถอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป ในวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทั่วประเทศเพิกถอนการรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับรองในการเลือกตั้งวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ และให้ระงับหรือยกเลิกการรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสำหรับรายที่ยังไม่ได้รับรอง โดยอ้างว่า การเลือกตั้งล่วงหน้า ณ ที่เลือกตั้งกลางในเขตเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ และ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๐ เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบ ไม่มีการควบคุมตรวจสอบ โดยมีการอนุญาตไว้ล่วงหน้าการลงคะแนนเสียงและอนุญาตหลังจากลงคะแนนเสียงแล้ว ไม่เป็นไปตามมาตรา ๙๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๐ เปิดโอกาสให้มีการทุจริตการเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งล่วงหน้าดังกล่าวไม่สุจริตเที่ยงธรรม เมื่อนำบัตรลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตทั่วประเทศดังกล่าวมารวมกับการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒๓ธันวาคม ๒๕๕๐ แล้ว ทำให้การเลือกตั้งในที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ชอบด้วย พระราชกฤษฎีกาและไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ศาลฎีกามีคำสั่งที่๙๑/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๑ ให้ยกคำร้อง โดยวินิจฉัยว่า คำร้องของผู้ร้องเป็นกรณีที่อ้างว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นดำเนินการไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๑๔ บัญญัติให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองซึ่งมีสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดเขตเลือกตั้งหนึ่งมีสิทธิยื่นคัดค้านต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด และเมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับคำคัดค้านการเลือกตั้งให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงโดยพลันในขั้นตอนนี้บทบัญญัติแห่งกฎหมายมิได้ให้อำนาจศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัยหากแต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งโดยเฉพาะ ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้งล่วงหน้า ณ ที่เลือกตั้งกลางในเขตเลือกตั้งในวันที่๑๕ และวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทั่วประเทศ และเพิกถอนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒๓ธันวาคม ๒๕๕๐ กับเพิกถอนการรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับรองในการเลือกตั้งวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ได้ ผู้ร้องกับพวกรวม ๘ คน จึงนำคดีไปฟ้องยังศาลปกครองสูงสุดโดยอ้างด้วยว่าศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับคดีของผู้ร้องศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ ฟ.๒๖/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๑ ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความโดยวินิจฉัยว่า แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงจากคำฟ้องและเอกสารประกอบคำฟ้องคดีนี้ว่าผู้ฟ้องคดีทั้งแปดเคยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา โดยมีข้อเท็จจริงเดียวกับคำฟ้องนี้ แต่ศาลฎีกาได้มีคำสั่งที่ ๙๑/๒๕๕๑ ให้ยกคำร้อง แต่เมื่อพิจารณาคำสั่งของศาลฎีกาดังกล่าวแล้วเห็นได้ว่า ศาลฎีกามิได้มีคำสั่งยกคำร้องเนื่องจากเห็นว่า คดีดังกล่าวมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและมิได้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาแต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดแต่อย่างใด แต่เห็นว่าเป็นการคัดค้านการเลือกตั้งตามบทบัญญัติในส่วนที่ ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งผู้ร้องชอบที่จะไปยื่นคัดค้านต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งมิใช่ศาลฎีกา ศาลปกครองสูงสุดจึงไม่ต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัย ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งว่าคดีของผู้ร้องอยู่ในเขตอำนาจของศาลใด และให้มีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งให้ศาลดังกล่าวรับคดีของผู้ร้องไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งตามรูปคดีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ เห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความ หรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด ดังนั้น คดีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน และจะส่งให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลนั้นขัดแย้งกัน โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันแต่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสองศาลต่างระบบแล้ว และศาลทั้งสองศาลนั้นมีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดในประเด็นของเนื้อหาแห่งคดีแตกต่างกันด้วย จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ปรากฏว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลฎีกา (คำสั่งที่ ๙๑/๒๕๕๑) และคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดของศาลปกครองสูงสุด (คำสั่งที่ ฟ. ๒๖/๒๕๕๑) ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างนั้นเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดที่ศาลมิได้วินิจฉัยในประเด็นเนื้อหาของคดีแต่อย่างใด ดังนั้น การยื่นคำร้องของผู้ร้องในเรื่องนี้หาใช่การยื่นคำร้องในความหมายของมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ไม่ นอกจากนั้น หากวินิจฉัยให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลใด ศาลหนึ่ง ซึ่งต่างไม่รับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา ก็ไม่ทำให้คดีได้รับการพิจารณาโดยศาลนั้นทั้งการยกคำร้องของศาลฎีกาก็ยังไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นเนื้อหาของเรื่องเขตอำนาจศาลว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองแต่อย่างใด กรณีจึงไม่เป็นเหตุให้ศาลปกครองสูงสุดต้องจัดทำความเห็นและส่งเรื่องให้คณะกรรมการเพื่อวินิจฉัยในประเด็นของเรื่องเขตอำนาจศาลตามมาตรา ๑๒ วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เช่นกันดังนั้นกฎหมายว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจึงไม่อาจบังคับใช้กับประเด็นปัญหาตามคำร้องของผู้ร้องได้ คณะกรรมการจึงไม่อาจรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา
จึงมีคำสั่งว่า คำร้องของผู้ร้องไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ๒๘ ให้ยกคำร้องนี้เสีย
(ลงชื่อ) วิรัช ลิ้มวิชัย (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายวิรัช ลิ้มวิชัย) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ดิเรกพล วัฒนะโชติ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ดิเรกพล วัฒนะโชติ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
??
??
??
??
๗
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๑๗/๒๕๕๑
วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๑
เรื่อง การยื่นคำร้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพ.ศ. ๒๕๔๒
คำสั่งศาลฎีกา
ระหว่าง
คำสั่งศาลปกครองสูงสุด
การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ
นายกฤษศักดา วัฒนพงษ์ ผู้ร้อง โดยนายอุดร ชัยศรี ผู้รับมอบอำนาจยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งว่าคดีของผู้ร้องอยู่ในเขตอำนาจของศาลใด และให้มีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งให้ศาลดังกล่าวรับคดีของผู้ร้องไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งตามรูปคดี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
ข้อเท็จจริงในคดี
นายกฤษศักดา วัฒนพงษ์ ผู้ร้อง โดยนายอุดร ชัยศรี ผู้รับมอบอำนาจได้ยื่นคำร้องลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งว่าคดีของผู้ร้องอยู่ในเขตอำนาจของศาลใด และให้มีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งให้ศาลดังกล่าวรับคดีของผู้ร้องไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งตามรูปคดี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ความว่า เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๑ ผู้ร้องกับพวก รวม ๘ คน ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเป็นคดีหมายเลขดำที่ ลต.๕/๒๕๕๑ ว่า เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๐ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้คัดค้าน ได้มีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปพ.ศ. ๒๕๕๐ กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ และได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องกำหนดวันและเวลาลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ณ ที่เลือกตั้งกลาง ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ เป็นวันที่ ๑๕ และ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๐ การเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้งดังกล่าวมีการอนุญาตไว้ล่วงหน้าการลงคะแนนเสียงและอนุญาตหลังจากลงคะแนนเสียงแล้วโดยไม่มีการตรวจสอบหรือสอบสวนถึงความจำเป็นในการที่จะลงคะแนนเสียงล่วงหน้าและได้ดำเนินการทั่วประเทศ เช่นการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้งที่ ๖ กรุงเทพมหานคร ที่มีการจัดเตรียมแบบฟอร์มเป็นแบบคำขอลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าและประธานกรรมการประจำที่เลือกตั้งกลางลงลายมือชื่ออนุญาตให้ลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าได้วางเรียงบนชั้นเป็นจำนวนมาก ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าเพียงแต่หยิบแบบคำขอใช้สิทธิลงคะแนนล่วงหน้าดังกล่าวแล้วนำไปกรอกข้อความลงลายมือชื่อเท่านั้น โดยไม่มีการสอบสวนและวินิจฉัยอนุญาตตามขั้นตอนของกฎหมาย และเขตเลือกตั้งที่ ๗ กรุงเทพมหานคร ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าเพียงแต่หยิบแบบฟอร์มเปล่าแล้วนำไปกรอกข้อความลงลายมือชื่อแล้วลงคะแนนเลือกตั้งโดยไม่ได้รับการสอบสวนหรือวินิจฉัยแล้วอนุญาตจากประธานกรรมการประจำที่เลือกตั้งกลางก่อน การเลือกตั้งล่วงหน้าดังกล่าวจึงเป็นกรณีไม่มีการตรวจสอบตามมาตรา ๙๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๐ ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่จะเดินทางไปนอกเขตเลือกตั้งไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ในวันเลือกตั้งมีการขอใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งหรือผู้ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งมอบหมาย และคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งหรือผู้ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งมอบหมายได้ตรวจสอบว่าผู้ที่มาขอใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้งว่ามีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นหรือไม่ และต้องตรวจสอบว่าผู้ที่มาใช้สิทธิดังกล่าวที่แจ้งความประสงค์ไว้มีกรณีดังที่แจ้งความประสงค์ไว้หรือไม่ เมื่อปรากฏว่าตรวจสอบผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่แจ้งความประสงค์ขอเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตถ้าถูกต้องคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตต้องกำหนดที่เลือกตั้งกลางที่ผู้นั้นจะใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าในเขต และจะต้องแจ้งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งที่ผู้นั้นมีชื่อในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งทราบ และคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตจะต้องหมายเหตุสถานที่ที่ผู้นั้นจะไปใช้สิทธิในเอกสารที่เกี่ยวข้องแต่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการดังกล่าว การเลือกตั้งล่วงหน้าทั้งประเทศจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยมาตรา ๙๕ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐ เปิดโอกาสให้มีการทุจริตการเลือกตั้งอย่างสะดวก ไม่มีระบบควบคุมตรวจสอบเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งมาลงคะแนนเลือกตั้งได้โดยไม่จำกัดจำนวนและเป็นการดำเนินการทั่วประเทศเท่ากับว่าเป็นการเลือกตั้งทั่วไปนอกเหนือจากวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ และเป็นการเลือกตั้งทั่วไปถึง ๓ วันขัดกับพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐ เมื่อนำบัตรลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตทั่วประเทศดังกล่าวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและสุจริตและเที่ยงธรรมดังกล่าวมารวมกับการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ แล้ว ทำให้การเลือกตั้งในที่ ๒๓ธันวาคม ๒๕๕๐ ไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ชอบด้วยพระราชกฤษฎีกาและไม่สุจริตและเที่ยงธรรมเพราะการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกตั้งเมื่อวันที่๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ซึ่งไม่สามารถแบ่งแยกจากกันได้ ขอให้เพิกถอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรล่วงหน้า ในวันที่ ๑๕ และ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทั่วประเทศ และเพิกถอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปในวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทั่วประเทศเพิกถอนการรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับรองในการเลือกตั้งวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ และให้ระงับหรือยกเลิกการรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสำหรับรายที่ยังไม่ได้รับรอง ศาลฎีกามีคำสั่งที่ ๙๑/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๑ ให้ยกคำร้องโดยวินิจฉัยว่าคำร้องของผู้ร้องเป็นกรณีที่อ้างว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นดำเนินการไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๑๔ บัญญัติให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองซึ่งมีสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดเขตเลือกตั้งหนึ่งมีสิทธิยื่นคัดค้านต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด และเมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับคำคัดค้านการเลือกตั้งให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงโดยพลัน ในขั้นตอนนี้บทบัญญัติแห่งกฎหมายมิได้ให้อำนาจศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัย หากแต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งโดยเฉพาะ ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้งล่วงหน้าณ ที่เลือกตั้งกลางในเขตเลือกตั้งในวันที่ ๑๕ และวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทั่วประเทศ และเพิกถอนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ กับเพิกถอนการรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับรองในการเลือกตั้งวันที่ ๒๓ธันวาคม ๒๕๕๐ ได้ ผู้ร้องกับพวกรวม ๘ คน จึงนำคดีไปฟ้องยังศาลปกครองสูงสุดโดยอ้างด้วยว่าศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับคดีของผู้ร้อง ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ ฟ.๒๖/๒๕๕๑ ลงวันที่๒ เมษายน ๒๕๕๑ ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความโดยวินิจฉัยว่า แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงจากคำฟ้องและเอกสารประกอบคำฟ้องคดีนี้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดเคยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา โดยมีข้อเท็จจริงเดียวกับคำฟ้องนี้ แต่ศาลฎีกาได้มีคำสั่งที่ ๙๑/๒๕๕๑ ให้ยกคำร้อง แต่เมื่อพิจารณาคำสั่งของศาลฎีกาดังกล่าวแล้วเห็นได้ว่า ศาลฎีกามิได้มีคำสั่งยกคำร้องเนื่องจากเห็นว่า คดีดังกล่าวมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและมิได้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาแต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดแต่อย่างใด แต่เห็นว่าเป็นการคัดค้านการเลือกตั้งตามบทบัญญัติในส่วนที่ ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งผู้ร้องชอบที่จะไปยื่นคัดค้านต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งมิใช่ศาลฎีกา ศาลปกครองสูงสุดจึงไม่ต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพ.ศ. ๒๕๔๒ โดยส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัย
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คำร้องของผู้ร้องทั้งสองชอบด้วยพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงตามคำร้องสรุปได้ว่า ผู้ร้องกับพวกรวม๘ คน ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเป็นคดีหมายเลขดำที่ ลต.๕/๒๕๕๑ ขอให้เพิกถอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรล่วงหน้า ในวันที่ ๑๕ และ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทั่วประเทศ และเพิกถอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป ในวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทั่วประเทศเพิกถอนการรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับรองในการเลือกตั้งวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ และให้ระงับหรือยกเลิกการรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสำหรับรายที่ยังไม่ได้รับรอง โดยอ้างว่า การเลือกตั้งล่วงหน้า ณ ที่เลือกตั้งกลางในเขตเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ และ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๐ เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบ ไม่มีการควบคุมตรวจสอบ โดยมีการอนุญาตไว้ล่วงหน้าการลงคะแนนเสียงและอนุญาตหลังจากลงคะแนนเสียงแล้ว ไม่เป็นไปตามมาตรา ๙๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๐ เปิดโอกาสให้มีการทุจริตการเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งล่วงหน้าดังกล่าวไม่สุจริตเที่ยงธรรม เมื่อนำบัตรลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตทั่วประเทศดังกล่าวมารวมกับการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒๓ธันวาคม ๒๕๕๐ แล้ว ทำให้การเลือกตั้งในที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ชอบด้วย พระราชกฤษฎีกาและไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ศาลฎีกามีคำสั่งที่๙๑/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๑ ให้ยกคำร้อง โดยวินิจฉัยว่า คำร้องของผู้ร้องเป็นกรณีที่อ้างว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นดำเนินการไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๑๔ บัญญัติให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองซึ่งมีสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดเขตเลือกตั้งหนึ่งมีสิทธิยื่นคัดค้านต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด และเมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับคำคัดค้านการเลือกตั้งให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงโดยพลันในขั้นตอนนี้บทบัญญัติแห่งกฎหมายมิได้ให้อำนาจศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัยหากแต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งโดยเฉพาะ ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้งล่วงหน้า ณ ที่เลือกตั้งกลางในเขตเลือกตั้งในวันที่๑๕ และวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทั่วประเทศ และเพิกถอนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒๓ธันวาคม ๒๕๕๐ กับเพิกถอนการรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับรองในการเลือกตั้งวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ได้ ผู้ร้องกับพวกรวม ๘ คน จึงนำคดีไปฟ้องยังศาลปกครองสูงสุดโดยอ้างด้วยว่าศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับคดีของผู้ร้องศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ ฟ.๒๖/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๑ ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความโดยวินิจฉัยว่า แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงจากคำฟ้องและเอกสารประกอบคำฟ้องคดีนี้ว่าผู้ฟ้องคดีทั้งแปดเคยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา โดยมีข้อเท็จจริงเดียวกับคำฟ้องนี้ แต่ศาลฎีกาได้มีคำสั่งที่ ๙๑/๒๕๕๑ ให้ยกคำร้อง แต่เมื่อพิจารณาคำสั่งของศาลฎีกาดังกล่าวแล้วเห็นได้ว่า ศาลฎีกามิได้มีคำสั่งยกคำร้องเนื่องจากเห็นว่า คดีดังกล่าวมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและมิได้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาแต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดแต่อย่างใด แต่เห็นว่าเป็นการคัดค้านการเลือกตั้งตามบทบัญญัติในส่วนที่ ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งผู้ร้องชอบที่จะไปยื่นคัดค้านต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งมิใช่ศาลฎีกา ศาลปกครองสูงสุดจึงไม่ต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัย ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งว่าคดีของผู้ร้องอยู่ในเขตอำนาจของศาลใด และให้มีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งให้ศาลดังกล่าวรับคดีของผู้ร้องไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งตามรูปคดีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ เห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความ หรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด ดังนั้น คดีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน และจะส่งให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลนั้นขัดแย้งกัน โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันแต่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสองศาลต่างระบบแล้ว และศาลทั้งสองศาลนั้นมีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดในประเด็นของเนื้อหาแห่งคดีแตกต่างกันด้วย จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ปรากฏว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลฎีกา (คำสั่งที่ ๙๑/๒๕๕๑) และคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดของศาลปกครองสูงสุด (คำสั่งที่ ฟ. ๒๖/๒๕๕๑) ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างนั้นเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดที่ศาลมิได้วินิจฉัยในประเด็นเนื้อหาของคดีแต่อย่างใด ดังนั้น การยื่นคำร้องของผู้ร้องในเรื่องนี้หาใช่การยื่นคำร้องในความหมายของมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ไม่ นอกจากนั้น หากวินิจฉัยให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลใด ศาลหนึ่ง ซึ่งต่างไม่รับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา ก็ไม่ทำให้คดีได้รับการพิจารณาโดยศาลนั้นทั้งการยกคำร้องของศาลฎีกาก็ยังไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นเนื้อหาของเรื่องเขตอำนาจศาลว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองแต่อย่างใด กรณีจึงไม่เป็นเหตุให้ศาลปกครองสูงสุดต้องจัดทำความเห็นและส่งเรื่องให้คณะกรรมการเพื่อวินิจฉัยในประเด็นของเรื่องเขตอำนาจศาลตามมาตรา ๑๒ วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เช่นกันดังนั้นกฎหมายว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจึงไม่อาจบังคับใช้กับประเด็นปัญหาตามคำร้องของผู้ร้องได้ คณะกรรมการจึงไม่อาจรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา
จึงมีคำสั่งว่า คำร้องของผู้ร้องไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ๒๘ ให้ยกคำร้องนี้เสีย
(ลงชื่อ) วิรัช ลิ้มวิชัย (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายวิรัช ลิ้มวิชัย) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ดิเรกพล วัฒนะโชติ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ดิเรกพล วัฒนะโชติ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
??
??
??
??
๗
การยื่นคำร้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ 2542
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๑๖/๒๕๕๑
วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๑
เรื่อง พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา๑๗
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๐ นายไพโรจน์ ภิญโญสรศักดิ์ โจทก์ยื่นฟ้องนายภูวฤทธิ์ภิญโญสรศักดิ์ ที่ ๑ นางสาวนนทญ พันวินิต ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ นางกัญญา ยิ่งรัตนวิทย์ ที่ ๔จำเลยต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๖๑๘/๒๕๕๐ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๖๗๓๐ ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร เมื่อประมาณต้นปี ๒๕๔๘ นางสิริสินี เจริญฤทธิ์ ปลอมหนังสือมอบอำนาจทั้งฉบับโดยปลอมลายมือชื่อโจทก์ในช่องผู้มอบอำนาจในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจทั่วไป พร้อมทั้งกรอกข้อความและรายละเอียดลงในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจ ซึ่งโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอม มอบหมายหรือสั่งการใด ๆ ว่ายื่นคำขอถ่ายและรับรอง โฉนดที่ดิน และยื่นคำขอออกใบแทนโฉนดที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๖๗๓๐ ตลอดจนให้ถ้อยคำต่าง ๆ ต่อเจ้าหน้าที่ และยินยอมให้ผู้รับมอบอำนาจรับประกาศการออกใบแทนและปิดประกาศบริเวณที่ดินได้ด้วย และมอบอำนาจให้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ นางสิริสินีนำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวยื่นต่อจำเลยที่ ๔ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินสังกัดจำเลยที่ ๓ ขอออกใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๗๓๐ จำเลยที่๔ ทำนิติกรรมรับเรื่องขอออกใบแทนโฉนดที่ดินดังกล่าวและออกโฉนดใบแทนให้แก่นางสิริสินีด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่ตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนรวมทั้งลายมือชื่อโจทก์ที่แท้จริงให้ถูกต้องเสียก่อนทำให้นางสิริสินีได้ไปซึ่งโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๗๓๐ ฉบับใบแทน ถือได้ว่าจำเลยที่ ๔ ร่วมกับนางสิริสินีทำการออกโฉนดฉบับใบแทนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โฉนดฉบับจริงโจทก์ยังคงเก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบันต่อมานางสิริสินีปลอมลายมือชื่อโจทก์ในช่องผู้มอบอำนาจในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจทั่วไปกรอกข้อความและรายละเอียดในหนังสือมอบอำนาจโดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอมว่าโจทก์ยินยอมให้นางสิริสินีถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงดังกล่าวจำนวน ๑ ส่วนใน ๒ ส่วนไม่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างโดยมีค่าตอบแทน แล้วนำไปยื่นต่อจำเลยที่ ๔ จำเลยที่ ๔ ยินยอมทำนิติกรรมให้ที่ดินแก่นางสิริสินีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ๑ ส่วนใน ๒ ส่วน จากนั้นนางสิริสินีปลอมหนังสือมอบอำนาจขึ้นทั้งฉบับโดยปลอมลายมือชื่อโจทก์ในช่องผู้มอบอำนาจระบุว่าโจทก์ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตน แล้วนำหนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวยื่นต่อจำเลยที่ ๔ เพื่อให้จำเลยที่ ๔ ทำนิติกรรมขายที่ดินเฉพาะส่วนของโจทก์ให้แก่นางสิริสินีจนจำเลยที่ ๔ ดำเนินการให้ จึงทำให้นางสิริสินีเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด ใบแทนแต่เพียงผู้เดียว ต่อมานางสิริสินีนำที่ดินดังกล่าวจดทะเบียนขายฝากแก่นายไพฑูรย์ จันทรเสรีกุล มีกำหนด ๖ เดือน จากนั้นเมื่อนางสิริสินีไถ่ถอนการขายฝากแล้วจึงทำนิติกรรมขายฝากให้แก่จำเลยที่ ๒ การกระทำของนางสิริสินีในการปลอมเอกสารสิทธิ์ของโจทก์แล้วนำไปทำนิติกรรมขอออกใบแทน ให้ ขายและขายฝากนั้นล้วนเป็นนิติกรรมที่เป็นโมฆะ นางสิริสินีจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและไม่มีสิทธิ์นำที่ดินไปทำนิติกรรมขายฝากให้แก่จำเลยที่ ๒ ต่อมานางสิริสินีถึงแก่ความตาย โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสิริสินีและจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้รับซื้อฝากเพื่อให้เพิกถอนนิติกรรมต่าง ๆ แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เพิกเฉย จำเลยที่ ๓ ในฐานะของผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๔ ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ โจทก์เสียหายขาดประโยชน์จากการนำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปทำประโยชน์หรือหากนำออกให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการออกใบแทนโฉนด การให้ การขาย การขายฝากโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๗๓๐ หากเพิกเฉยให้ถือเอาคำสั่งศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะเพิกถอนนิติกรรมให้เสร็จสิ้น และให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนหรือยกเลิกโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๗๓๐ ฉบับใบแทนและให้ใช้โฉนดที่ดินเดิมซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์
ศาลมีคำสั่งรับฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ไม่รับฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๔เนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๒ รับซื้อฝากที่ดินโฉนดเลขที่๘๖๗๓๐ จากนางสิริสินีโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจเป็นลายมือชื่อของโจทก์ หากนางสิริสินีกรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวโดยโจทก์ไม่รู้เห็นยินยอมก็ถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่ ๒ เป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายย่อมได้รับความคุ้มครอง เมื่อการขายฝากที่ดินดังกล่าวครบกำหนดนางสิริสินีหรือทายาทไม่ไถ่ถอนจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ขณะจดทะเบียนรับซื้อฝากที่ดินพิพาทมีสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านตึกชั้นเดียวของโจทก์ปลูกสร้างอยู่ จำเลยที่ ๒ บอกกล่าวให้โจทก์รื้อถอน แต่โจทก์เพิกเฉย เป็นการละเมิดต่อจำเลยที่ ๒ และทำให้จำเลยที่ ๒ ได้รับความเสียหายไม่ได้ใช้ประโยชน์ที่ดิน ขอให้ยกฟ้องและขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๒ เดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๔ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สังกัดจำเลยที่ ๓ ได้ปฏิบัติตามระเบียบของกฎหมาย ไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ นางสิริสินีกับจำเลยที่ ๔ ไม่รู้จักกันมาก่อน ไม่มีเหตุที่จะให้ความช่วยเหลือ การออกโฉนดใบแทนจึงชอบด้วยกฎหมาย การจดทะเบียนนิติกรรมต่าง ๆ หลังจากออกโฉนดใบแทนของจำเลยที่ ๔ เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่และระเบียบข้อกฎหมายครบถ้วนถูกต้องจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ การที่จำเลยที่ ๒ รับซื้อฝากไว้ไม่ว่าจะเสียค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยสุจริต จำเลยที่ ๒ ไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า การฟ้องคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ เป็นการฟ้องว่าจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย โดยจำเลยที่ ๓ ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในฐานะหน่วยงานทางปกครอง ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ ๔ คดีของโจทก์จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๓ เป็นหน่วยงานของรัฐ โดยมีฐานะเป็นกรมมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมที่ดินกระทรวงมหาดไทยพ.ศ. ๒๕๔๕ คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนฟ้องจำเลยอื่นซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน โดยฟ้องจำเลยที่ ๑ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสิริสินี หรือนางสายสินี เจริญฤทธิ์ ซึ่งโจทก์กล่าวอ้างว่านางสิริสินีเป็นตัวการในการปลอมหนังสือมอบอำนาจและไปทำนิติกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ และฟ้องจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้รับซื้อฝาก ขอให้ร่วมกันจดทะเบียน เพิกถอนนิติกรรมการออกใบแทนโฉนด การให้ การขายการขายฝากที่ดินของโจทก์ จึงเป็นการที่โจทก์มุ่งประสงค์ให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๓ ให้การว่า การกระทำของจำเลยที่ ๔ ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ เป็นไปตามระเบียบขั้นตอนถูกต้องตามกฎหมาย ในการวินิจฉัยข้อพิพาทดังกล่าว ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่านางสิริสินีปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ดำเนินการให้มีการออกใบแทนโฉนดที่ดินและทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวตามฟ้องหรือไม่ หากฟังว่านางสิริสินีไม่ได้ปลอมหนังสือมอบอำนาจ หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็นเอกสารที่แท้จริง ก็ไม่มีกรณีที่ต้องวินิจฉัยถึงการกระทำของจำเลยที่ ๔ ในฐานะเจ้าหน้าที่หรือตัวแทนของจำเลยที่ ๓ ว่ากระทำละเมิดหรือไม่หรือหากศาลฟังว่าหนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารปลอมก็ยังคงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า การใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวเกิดจากการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์หรือไม่ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า การออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาทและการจดทะเบียนเพื่อเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน รวมทั้งการจดทะเบียนขายฝากที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของจำเลยที่ ๔ ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ดังนั้นจึงเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ เป็นหน่วยงานทางปกครองและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามลำดับ กรณีพิพาทดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่มีการฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง และกระทำละเมิดต่อโจทก์จนได้รับความเสียหาย เป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยจำเลยที่ ๓ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐจะต้องรับผิดชอบต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เกิดจากเจ้าหน้าที่ของตน ตามมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ และแม้คดีจะฟังความได้เช่นเดียวกับความเห็นของศาลแพ่งก็ตาม โจทก์เป็นเอกชนฟ้อง จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน แต่เมื่อพิจารณาตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์มีความประสงค์ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองมีอำนาจตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑)แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แม้ผลของคำพิพากษาจะเป็นการรับรองและคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ก็เป็นการเยียวยาความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และกรณีพิพาทดังกล่าวมิได้เป็นกรณีพิพาทว่า ที่ดินแปลงโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๗๓๐ เป็นของโจทก์หรือของนางสิริสินี ส่วนการปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจก็เป็นเพียงสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก่อนจดทะเบียนนิติกรรมพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีอำนาจและหน้าที่ในการสอบสวนคู่กรณีและเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ หรือส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องได้ตามความจำเป็นตามมาตรา ๗๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และหากเห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ปฏิเสธไม่จดทะเบียนให้แก่คู่กรณีได้ และหากภายหลังจากจดทะเบียนไปแล้วพบว่า การจดทะเบียนไม่ชอบด้วยกฎหมายอธิบดีหรือรองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจหน้าที่สั่งเพิกถอนหรือแก้ไขได้ ตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายเดียวกัน หากพนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนไปโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เกี่ยวข้องเสียหายก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายด้วย ดังนั้น คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ต่อมา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ ศาลแพ่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง จำเลยที่ ๓
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การพิจารณาประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลเป็นประโยชน์อีกต่อไปหรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้สรุปได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๖๗๓๐ ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน (บางซื่อ)กรุงเทพมหานคร ถูกนางสิริสินีปลอมหนังสือมอบอำนาจทั้งฉบับและยื่นต่อจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินสังกัดจำเลยที่ ๓ ขอออกใบแทนโฉนดที่ดินดังกล่าว จำเลยที่ ๔ ออกโฉนดใบแทนให้แก่นางสิริสินีด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่ตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนรวมทั้งลายมือชื่อโจทก์ที่แท้จริงให้ถูกต้องเสียก่อนอันเป็นการร่วมกันกับนางสิริสินีทำการออกโฉนดฉบับใบแทนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่โฉนดฉบับจริงโจทก์ยังคงเก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน ต่อมานางสิริสินีปลอมหนังสือมอบอำนาจยื่นต่อจำเลยที่ ๔ ว่าโจทก์ให้ถือกรรมสิทธิ์รวม ๑ ส่วนใน ๒ ส่วน จำเลยที่ ๔ ยินยอมทำนิติกรรมให้ที่ดินแก่นางสิริสินีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ๑ ส่วนใน ๒ ส่วน จากนั้นนางสิริสินีปลอมหนังสือมอบอำนาจขึ้นทั้งฉบับยื่นต่อจำเลยที่ ๔ ว่าโจทก์ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนจนนางสิริสินีเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดใบแทนแต่เพียงผู้เดียว นางสิริสินีนำที่ดินดังกล่าวจดทะเบียนขายฝากแก่ผู้มีชื่อแล้วจึงทำนิติกรรมขายฝากให้แก่จำเลยที่ ๒ ต่อมานางสิริสินีถึงแก่ความตาย โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสิริสินีและจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้รับซื้อฝากเพิกถอนนิติกรรมต่าง ๆ แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เพิกเฉยจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๔ ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการออกใบแทนโฉนด การให้ การขาย การขายฝากโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๗๓๐ หากเพิกเฉยให้ถือเอาคำสั่งศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ และให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนหรือยกเลิกโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๗๓๐ ฉบับใบแทนและให้ใช้โฉนดที่ดินเดิมซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์ จำเลยที่ ๒ ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๒ รับซื้อฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๖๗๓๐ โดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ขณะจดทะเบียนรับซื้อฝากที่ดินพิพาทมีสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านตึกชั้นเดียวของโจทก์ปลูกสร้างอยู่ จำเลยที่ ๒ บอกกล่าวให้โจทก์รื้อถอน แต่โจทก์เพิกเฉย เป็นการละเมิดต่อจำเลยที่ ๒ และทำให้จำเลยที่ ๒ ได้รับความเสียหายไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน ขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยที่๓ ให้การว่า การปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สังกัดจำเลยที่ ๓ ได้ปฏิบัติตามระเบียบของกฎหมาย ไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ นางสิริสินีกับจำเลยที่ ๔ ไม่รู้จักกันมาก่อน ไม่มีเหตุที่จะให้ความช่วยเหลือการออกโฉนดใบแทนจึงชอบด้วยกฎหมาย การจดทะเบียน นิติกรรมต่าง ๆ หลังจากออกโฉนดใบแทนของจำเลยที่ ๔ เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่และระเบียบข้อกฎหมายครบถ้วนถูกต้อง จำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาล ทั้งสองศาลมีความเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลตนซึ่งเป็นความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาล จึงส่งเรื่องให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัย ต่อมาเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ ซึ่งยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาล และศาลแพ่งได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ แล้ว การพิจาณาประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลตามคำร้องของจำเลยที่ ๓ จึงไม่เป็นประโยชน์ที่คณะกรรมการจะพิจารณาอีกต่อไป
จึงมีคำสั่งว่า การพิจารณาประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลตามคำร้องของกรมที่ดินจำเลยที่ ๓ ไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป อาศัยข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๓) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) วิรัช ลิ้มวิชัย (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายวิรัช ลิ้มวิชัย) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ดิเรกพล วัฒนะโชติ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ดิเรกพล วัฒนะโชติ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
??
??
??
??
๗
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๑๖/๒๕๕๑
วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๑
เรื่อง พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา๑๗
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๐ นายไพโรจน์ ภิญโญสรศักดิ์ โจทก์ยื่นฟ้องนายภูวฤทธิ์ภิญโญสรศักดิ์ ที่ ๑ นางสาวนนทญ พันวินิต ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ นางกัญญา ยิ่งรัตนวิทย์ ที่ ๔จำเลยต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๖๑๘/๒๕๕๐ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๖๗๓๐ ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร เมื่อประมาณต้นปี ๒๕๔๘ นางสิริสินี เจริญฤทธิ์ ปลอมหนังสือมอบอำนาจทั้งฉบับโดยปลอมลายมือชื่อโจทก์ในช่องผู้มอบอำนาจในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจทั่วไป พร้อมทั้งกรอกข้อความและรายละเอียดลงในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจ ซึ่งโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอม มอบหมายหรือสั่งการใด ๆ ว่ายื่นคำขอถ่ายและรับรอง โฉนดที่ดิน และยื่นคำขอออกใบแทนโฉนดที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๖๗๓๐ ตลอดจนให้ถ้อยคำต่าง ๆ ต่อเจ้าหน้าที่ และยินยอมให้ผู้รับมอบอำนาจรับประกาศการออกใบแทนและปิดประกาศบริเวณที่ดินได้ด้วย และมอบอำนาจให้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ นางสิริสินีนำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวยื่นต่อจำเลยที่ ๔ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินสังกัดจำเลยที่ ๓ ขอออกใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๗๓๐ จำเลยที่๔ ทำนิติกรรมรับเรื่องขอออกใบแทนโฉนดที่ดินดังกล่าวและออกโฉนดใบแทนให้แก่นางสิริสินีด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่ตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนรวมทั้งลายมือชื่อโจทก์ที่แท้จริงให้ถูกต้องเสียก่อนทำให้นางสิริสินีได้ไปซึ่งโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๗๓๐ ฉบับใบแทน ถือได้ว่าจำเลยที่ ๔ ร่วมกับนางสิริสินีทำการออกโฉนดฉบับใบแทนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โฉนดฉบับจริงโจทก์ยังคงเก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบันต่อมานางสิริสินีปลอมลายมือชื่อโจทก์ในช่องผู้มอบอำนาจในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจทั่วไปกรอกข้อความและรายละเอียดในหนังสือมอบอำนาจโดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอมว่าโจทก์ยินยอมให้นางสิริสินีถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงดังกล่าวจำนวน ๑ ส่วนใน ๒ ส่วนไม่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างโดยมีค่าตอบแทน แล้วนำไปยื่นต่อจำเลยที่ ๔ จำเลยที่ ๔ ยินยอมทำนิติกรรมให้ที่ดินแก่นางสิริสินีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ๑ ส่วนใน ๒ ส่วน จากนั้นนางสิริสินีปลอมหนังสือมอบอำนาจขึ้นทั้งฉบับโดยปลอมลายมือชื่อโจทก์ในช่องผู้มอบอำนาจระบุว่าโจทก์ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตน แล้วนำหนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวยื่นต่อจำเลยที่ ๔ เพื่อให้จำเลยที่ ๔ ทำนิติกรรมขายที่ดินเฉพาะส่วนของโจทก์ให้แก่นางสิริสินีจนจำเลยที่ ๔ ดำเนินการให้ จึงทำให้นางสิริสินีเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด ใบแทนแต่เพียงผู้เดียว ต่อมานางสิริสินีนำที่ดินดังกล่าวจดทะเบียนขายฝากแก่นายไพฑูรย์ จันทรเสรีกุล มีกำหนด ๖ เดือน จากนั้นเมื่อนางสิริสินีไถ่ถอนการขายฝากแล้วจึงทำนิติกรรมขายฝากให้แก่จำเลยที่ ๒ การกระทำของนางสิริสินีในการปลอมเอกสารสิทธิ์ของโจทก์แล้วนำไปทำนิติกรรมขอออกใบแทน ให้ ขายและขายฝากนั้นล้วนเป็นนิติกรรมที่เป็นโมฆะ นางสิริสินีจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและไม่มีสิทธิ์นำที่ดินไปทำนิติกรรมขายฝากให้แก่จำเลยที่ ๒ ต่อมานางสิริสินีถึงแก่ความตาย โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสิริสินีและจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้รับซื้อฝากเพื่อให้เพิกถอนนิติกรรมต่าง ๆ แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เพิกเฉย จำเลยที่ ๓ ในฐานะของผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๔ ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ โจทก์เสียหายขาดประโยชน์จากการนำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปทำประโยชน์หรือหากนำออกให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการออกใบแทนโฉนด การให้ การขาย การขายฝากโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๗๓๐ หากเพิกเฉยให้ถือเอาคำสั่งศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะเพิกถอนนิติกรรมให้เสร็จสิ้น และให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนหรือยกเลิกโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๗๓๐ ฉบับใบแทนและให้ใช้โฉนดที่ดินเดิมซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์
ศาลมีคำสั่งรับฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ไม่รับฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๔เนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๒ รับซื้อฝากที่ดินโฉนดเลขที่๘๖๗๓๐ จากนางสิริสินีโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจเป็นลายมือชื่อของโจทก์ หากนางสิริสินีกรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวโดยโจทก์ไม่รู้เห็นยินยอมก็ถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่ ๒ เป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายย่อมได้รับความคุ้มครอง เมื่อการขายฝากที่ดินดังกล่าวครบกำหนดนางสิริสินีหรือทายาทไม่ไถ่ถอนจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ขณะจดทะเบียนรับซื้อฝากที่ดินพิพาทมีสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านตึกชั้นเดียวของโจทก์ปลูกสร้างอยู่ จำเลยที่ ๒ บอกกล่าวให้โจทก์รื้อถอน แต่โจทก์เพิกเฉย เป็นการละเมิดต่อจำเลยที่ ๒ และทำให้จำเลยที่ ๒ ได้รับความเสียหายไม่ได้ใช้ประโยชน์ที่ดิน ขอให้ยกฟ้องและขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๒ เดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๔ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สังกัดจำเลยที่ ๓ ได้ปฏิบัติตามระเบียบของกฎหมาย ไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ นางสิริสินีกับจำเลยที่ ๔ ไม่รู้จักกันมาก่อน ไม่มีเหตุที่จะให้ความช่วยเหลือ การออกโฉนดใบแทนจึงชอบด้วยกฎหมาย การจดทะเบียนนิติกรรมต่าง ๆ หลังจากออกโฉนดใบแทนของจำเลยที่ ๔ เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่และระเบียบข้อกฎหมายครบถ้วนถูกต้องจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ การที่จำเลยที่ ๒ รับซื้อฝากไว้ไม่ว่าจะเสียค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยสุจริต จำเลยที่ ๒ ไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า การฟ้องคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ เป็นการฟ้องว่าจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย โดยจำเลยที่ ๓ ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในฐานะหน่วยงานทางปกครอง ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ ๔ คดีของโจทก์จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๓ เป็นหน่วยงานของรัฐ โดยมีฐานะเป็นกรมมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมที่ดินกระทรวงมหาดไทยพ.ศ. ๒๕๔๕ คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนฟ้องจำเลยอื่นซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน โดยฟ้องจำเลยที่ ๑ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสิริสินี หรือนางสายสินี เจริญฤทธิ์ ซึ่งโจทก์กล่าวอ้างว่านางสิริสินีเป็นตัวการในการปลอมหนังสือมอบอำนาจและไปทำนิติกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ และฟ้องจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้รับซื้อฝาก ขอให้ร่วมกันจดทะเบียน เพิกถอนนิติกรรมการออกใบแทนโฉนด การให้ การขายการขายฝากที่ดินของโจทก์ จึงเป็นการที่โจทก์มุ่งประสงค์ให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๓ ให้การว่า การกระทำของจำเลยที่ ๔ ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ เป็นไปตามระเบียบขั้นตอนถูกต้องตามกฎหมาย ในการวินิจฉัยข้อพิพาทดังกล่าว ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่านางสิริสินีปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ดำเนินการให้มีการออกใบแทนโฉนดที่ดินและทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวตามฟ้องหรือไม่ หากฟังว่านางสิริสินีไม่ได้ปลอมหนังสือมอบอำนาจ หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็นเอกสารที่แท้จริง ก็ไม่มีกรณีที่ต้องวินิจฉัยถึงการกระทำของจำเลยที่ ๔ ในฐานะเจ้าหน้าที่หรือตัวแทนของจำเลยที่ ๓ ว่ากระทำละเมิดหรือไม่หรือหากศาลฟังว่าหนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารปลอมก็ยังคงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า การใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวเกิดจากการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์หรือไม่ จึงเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า การออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาทและการจดทะเบียนเพื่อเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน รวมทั้งการจดทะเบียนขายฝากที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของจำเลยที่ ๔ ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ดังนั้นจึงเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ เป็นหน่วยงานทางปกครองและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามลำดับ กรณีพิพาทดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่มีการฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง และกระทำละเมิดต่อโจทก์จนได้รับความเสียหาย เป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยจำเลยที่ ๓ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐจะต้องรับผิดชอบต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เกิดจากเจ้าหน้าที่ของตน ตามมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ และแม้คดีจะฟังความได้เช่นเดียวกับความเห็นของศาลแพ่งก็ตาม โจทก์เป็นเอกชนฟ้อง จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน แต่เมื่อพิจารณาตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์มีความประสงค์ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองมีอำนาจตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑)แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แม้ผลของคำพิพากษาจะเป็นการรับรองและคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ก็เป็นการเยียวยาความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และกรณีพิพาทดังกล่าวมิได้เป็นกรณีพิพาทว่า ที่ดินแปลงโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๗๓๐ เป็นของโจทก์หรือของนางสิริสินี ส่วนการปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจก็เป็นเพียงสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก่อนจดทะเบียนนิติกรรมพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีอำนาจและหน้าที่ในการสอบสวนคู่กรณีและเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ หรือส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องได้ตามความจำเป็นตามมาตรา ๗๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และหากเห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ปฏิเสธไม่จดทะเบียนให้แก่คู่กรณีได้ และหากภายหลังจากจดทะเบียนไปแล้วพบว่า การจดทะเบียนไม่ชอบด้วยกฎหมายอธิบดีหรือรองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจหน้าที่สั่งเพิกถอนหรือแก้ไขได้ ตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายเดียวกัน หากพนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนไปโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เกี่ยวข้องเสียหายก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายด้วย ดังนั้น คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ต่อมา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ ศาลแพ่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง จำเลยที่ ๓
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การพิจารณาประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลเป็นประโยชน์อีกต่อไปหรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้สรุปได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๖๗๓๐ ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน (บางซื่อ)กรุงเทพมหานคร ถูกนางสิริสินีปลอมหนังสือมอบอำนาจทั้งฉบับและยื่นต่อจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินสังกัดจำเลยที่ ๓ ขอออกใบแทนโฉนดที่ดินดังกล่าว จำเลยที่ ๔ ออกโฉนดใบแทนให้แก่นางสิริสินีด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่ตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนรวมทั้งลายมือชื่อโจทก์ที่แท้จริงให้ถูกต้องเสียก่อนอันเป็นการร่วมกันกับนางสิริสินีทำการออกโฉนดฉบับใบแทนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่โฉนดฉบับจริงโจทก์ยังคงเก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน ต่อมานางสิริสินีปลอมหนังสือมอบอำนาจยื่นต่อจำเลยที่ ๔ ว่าโจทก์ให้ถือกรรมสิทธิ์รวม ๑ ส่วนใน ๒ ส่วน จำเลยที่ ๔ ยินยอมทำนิติกรรมให้ที่ดินแก่นางสิริสินีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ๑ ส่วนใน ๒ ส่วน จากนั้นนางสิริสินีปลอมหนังสือมอบอำนาจขึ้นทั้งฉบับยื่นต่อจำเลยที่ ๔ ว่าโจทก์ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนจนนางสิริสินีเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดใบแทนแต่เพียงผู้เดียว นางสิริสินีนำที่ดินดังกล่าวจดทะเบียนขายฝากแก่ผู้มีชื่อแล้วจึงทำนิติกรรมขายฝากให้แก่จำเลยที่ ๒ ต่อมานางสิริสินีถึงแก่ความตาย โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสิริสินีและจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้รับซื้อฝากเพิกถอนนิติกรรมต่าง ๆ แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เพิกเฉยจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๔ ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการออกใบแทนโฉนด การให้ การขาย การขายฝากโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๗๓๐ หากเพิกเฉยให้ถือเอาคำสั่งศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ และให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนหรือยกเลิกโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๗๓๐ ฉบับใบแทนและให้ใช้โฉนดที่ดินเดิมซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์ จำเลยที่ ๒ ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๒ รับซื้อฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๖๗๓๐ โดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ขณะจดทะเบียนรับซื้อฝากที่ดินพิพาทมีสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านตึกชั้นเดียวของโจทก์ปลูกสร้างอยู่ จำเลยที่ ๒ บอกกล่าวให้โจทก์รื้อถอน แต่โจทก์เพิกเฉย เป็นการละเมิดต่อจำเลยที่ ๒ และทำให้จำเลยที่ ๒ ได้รับความเสียหายไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน ขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยที่๓ ให้การว่า การปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สังกัดจำเลยที่ ๓ ได้ปฏิบัติตามระเบียบของกฎหมาย ไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ นางสิริสินีกับจำเลยที่ ๔ ไม่รู้จักกันมาก่อน ไม่มีเหตุที่จะให้ความช่วยเหลือการออกโฉนดใบแทนจึงชอบด้วยกฎหมาย การจดทะเบียน นิติกรรมต่าง ๆ หลังจากออกโฉนดใบแทนของจำเลยที่ ๔ เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่และระเบียบข้อกฎหมายครบถ้วนถูกต้อง จำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาล ทั้งสองศาลมีความเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลตนซึ่งเป็นความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาล จึงส่งเรื่องให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัย ต่อมาเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ ซึ่งยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาล และศาลแพ่งได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ แล้ว การพิจาณาประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลตามคำร้องของจำเลยที่ ๓ จึงไม่เป็นประโยชน์ที่คณะกรรมการจะพิจารณาอีกต่อไป
จึงมีคำสั่งว่า การพิจารณาประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลตามคำร้องของกรมที่ดินจำเลยที่ ๓ ไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป อาศัยข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๓) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) วิรัช ลิ้มวิชัย (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายวิรัช ลิ้มวิชัย) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ดิเรกพล วัฒนะโชติ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ดิเรกพล วัฒนะโชติ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
??
??
??
??
๗
พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ 2542 มาตรา 17
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๗/๒๕๕๑
วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
เรื่อง การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแรงงานกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ โต้แย้งเขตอำนาจในคำให้การและศาลทำความเห็นเกี่ยวกับเขตอำนาจโดยศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ นายเสริมศักดิ์ ชื่นเจริญ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ ๑ คณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๑๙/๒๕๕๐ความว่า เดิมผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งหัวหน้างานเลขานุการ สำนักเลขาธิการและรักษาการหัวหน้าฝ่ายอำนวยการ สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีมติในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๔๙ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๔๙เห็นชอบให้แต่งตั้งผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พนักงานระดับ ๑๒โดยให้ทดลองปฏิบัติงานเป็นระยะเวลา ๓ เดือน หากไม่ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เลิกจ้าง หากผ่านการประเมินให้ทำสัญญาจ้างคราวละ ๔ ปี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ ๑๒๑/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๘พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งหัวหน้างานเลขานุการสำนักเลขาธิการและรักษาการหัวหน้าฝ่ายอำนวยการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรโดยให้ทดลองปฏิบัติงานมีกำหนดระยะเวลา ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ถึงวันที่ ๘ สิงหาคม๒๕๔๙ และมีคำสั่งสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ ๑๒๓/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๘พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ให้ผู้ฟ้องคดีรับเงินเดือนอัตราเดือนละ ๖๐,๐๐๐ บาทตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งดังกล่าว และรายงานให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทราบในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๔๙ เมื่อวันที่ ๘พฤษภาคม ๒๕๔๙ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่๐๓๖/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๑๖ มกราคม๒๕๕๐ เลิกจ้างผู้ฟ้องคดีและให้พ้นจากการเป็นพนักงานเนื่องจากไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินทดลองปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากกระทำผิดข้อกำหนดของระเบียบคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ.๒๕๔๓เรื่องการให้พนักงานพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งไม่มีข้อกำหนดการเลิกจ้างในกรณีที่มีพนักงานไม่ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงาน และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งเลิกจ้างโดยไม่นำเสนอ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒พิจารณาให้ความเห็นชอบเช่นเดียวกับพนักงานระดับ ๙ ขึ้นไปรายอื่น จึงเป็นการเลือกปฏิบัติโดยมิชอบ และการออกคำสั่งเลิกจ้างก็ไม่ได้อ้างกฎหมายที่ให้อำนาจในการสั่งเลิกจ้างด้วยผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แต่ไม่ได้รับการพิจารณา เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒หมดวาระในการดำรงตำแหน่ง ขอให้เพิกถอนคำสั่งสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่๐๓๖/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ และให้ผู้ฟ้องคดีกลับสู่สถานะเดิม คุ้มครองมิให้มีการแต่งตั้งบุคคลใดดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด และขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับ ตามคำสั่งสำนักงานฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ ๐๓๖/๒๕๕๐
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่า ผู้ฟ้องคดีไม่มีอำนาจฟ้อง คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสภาพการจ้างและสัญญาจ้างแรงงาน อยู่ในเขตอำนาจของศาลแรงงานไม่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กระทำตามระเบียบและมติผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทุกประการ
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ.๒๕๔๒มาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการรวมกลุ่มของเกษตรกรในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการแก้ไขปัญหาของเกษตรกร ส่งเสริมและสนับสนุนการฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพเกษตรกรของเกษตรกร พัฒนาความรู้ในด้านเกษตรกรรมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับเกษตรกรรม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรเกษตรกรและพัฒนาศักยภาพในการพึ่งพาตนเองและเกื้อกูลซึ่งกันและกันระหว่างเกษตรกร อันเป็นกิจกรรมในการให้บริการสาธารณะที่มิได้หวังผลกำไร กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นพนักงานและผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นคณะบุคคลที่ปฏิบัติงานในสังกัดกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามความในมาตรา๓แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ผู้ฟ้องคดีเป็นบุคคลซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ว่าจ้างให้ปฏิบัติงานตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีมติให้ความเห็นชอบตามระเบียบคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๓ ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๔๒ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง จึงเป็นความสัมพันธ์ที่มีขึ้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าดำเนินงานหรือเข้าร่วมดำเนินงานบริการสาธารณะกับหน่วยงานทางปกครองซึ่งเป็นความสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน ไม่อยู่ภายใต้ระบบกฎหมายเอกชน การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งจ้างผู้ฟ้องคดีเพื่อให้ทำงานเป็นพนักงานในตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร โดยมีระยะเวลาทดลองการปฏิบัติงาน ๓ เดือน จึงเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นตามสัญญาทางปกครอง เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งเลิกจ้างผู้ฟ้องคดี และผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและได้นำคดีมาฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าว จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง(๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องในส่วนที่เป็นสาระสำคัญว่า สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรได้ออกคำสั่งสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ ๐๓๖/๒๕๕๐ ให้เลิกจ้างผู้ฟ้องคดีพ้นจากสภาพการเป็นพนักงานสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ซึ่งเป็นการแสดงเจตนากลั่นแกล้งและจงใจปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำผิดระเบียบคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๓ และ มีคำขอบังคับให้เพิกถอนคำสั่งสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ ๐๓๖/๒๕๕๐ ให้ผู้ฟ้องคดีกลับดำรงสถานะเดิมซึ่งเป็นกรณีที่ลูกจ้างกล่าวหาว่านายจ้างเลิกจ้างโดยฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างแรงงาน เป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง คดีนี้จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘(๑) และมีลักษณะเป็นคดีเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความ ฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหาร หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่นในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว ." และมาตรา ๑๐วรรคสามบัญญัติว่า"ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเอง ก่อนมีคำพิพากษาโดยอนุโลม"ประกอบกับมาตรา ๑๗ วรรคสอง ให้อำนาจคณะกรรมการในการออกข้อบังคับซึ่งตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยในข้อ ๒๘บัญญัติว่า "หากคำร้องที่ยื่นไว้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติ . คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้ยกคำร้องเสียก็ได้" และข้อ ๒๙บัญญัติว่า"ในกรณีดังต่อไปนี้ คณะกรรมการจะสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความก็ได้ (๑)เมื่อผู้ร้องขอถอนคำร้อง (๒) การส่งเรื่องให้คณะกรรมการมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติ กำหนดไว้(๓) เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าการพิจารณาไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป"ข้อเท็จจริงคดีนี้ เป็นกรณีผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองต่อศาลปกครองกลางว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งเลิกจ้างผู้ฟ้องคดีและให้พ้นจากการเป็นพนักงานเนื่องจากไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินทดลองปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายผิดข้อกำหนดของระเบียบคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ว่าด้วยการบริหารงานบุคคลพ.ศ. ๒๕๔๓ เรื่องการให้พนักงานพ้นจากตำแหน่ง และไม่นำคำสั่งเลิกจ้างเสนอผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒พิจารณาให้ความเห็นชอบเช่นเดียวกับพนักงานระดับ ๙ ขึ้นไปรายอื่นเป็นการเลือกปฏิบัติโดยมิชอบและการออกคำสั่งเลิกจ้างไม่อ้างกฎหมายที่ให้อำนาจในการสั่งเลิกจ้างด้วย ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แต่ไม่ได้รับการพิจารณา เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒หมดวาระลงขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าว และให้ผู้ฟ้องคดีกลับสู่สถานะเดิมคุ้มครองมิให้มีการแต่งตั้งบุคคลใดดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด และขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่าผู้ฟ้องคดีไม่มีอำนาจฟ้อง คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสภาพการจ้างและสัญญาจ้างแรงงาน อยู่ในเขตอำนาจของศาลแรงงาน ไม่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กระทำตามระเบียบและมติผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทุกประการ ศาลปกครองกลางจึงให้รอการพิจารณาไว้ชั่วคราวและจัดทำความเห็นส่งให้ศาลแรงงานกลางโดยศาลปกครองกลางเห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเป็นความสัมพันธ์ที่มีขึ้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าดำเนินงานหรือเข้าร่วมดำเนินงานบริการสาธารณะกับหน่วยงานทางปกครองซึ่งเป็นความสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชนไม่อยู่ภายใต้ระบบกฎหมายเอกชนการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งจ้างผู้ฟ้องคดีเพื่อให้ทำงานเป็นพนักงานในตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร โดยมีระยะเวลาทดลองการปฏิบัติงาน ๓ เดือน จึงเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นตามสัญญาทางปกครอง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เห็นว่า เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า หากคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งก็จะต้องยื่นคำร้องก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกของศาลปกครองแต่การโต้แย้งเขตอำนาจศาลของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในกรณีนี้เป็นการโต้แย้งไว้ในคำให้การโดยไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะจึงเป็นการโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าวทั้งการทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นกรณีที่ศาลจัดทำความเห็นของตนเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลตามข้อโต้แย้งที่เริ่มกระบวนการโดยการทำเป็นคำร้องตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งก่อนส่วนในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ให้อนุโลมตามมาตรา ๑๐ ซึ่งชอบที่จะเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น ดังนั้น เมื่อปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มิได้กระทำตามวิธีการที่กฎหมายกำหนดทั้งกรณีที่ศาลเห็นเองว่าอยู่ในอำนาจของศาลตนเองก็ไม่ใช่กรณีที่ถือได้ว่ามีปัญหาขัดแย้งกันเกี่ยวกับเขตอำนาจศาล กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
จึงมีคำสั่งว่า การส่งเรื่องกรณีระหว่างศาลปกครองกลางและศาลแรงงานกลางที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองในคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) วิรัช ลิ้มวิชัย (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายวิรัช ลิ้มวิชัย) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ดิเรกพล วัฒนะโชติ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ดิเรกพล วัฒนะโชติ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
๕
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๗/๒๕๕๑
วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
เรื่อง การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแรงงานกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ โต้แย้งเขตอำนาจในคำให้การและศาลทำความเห็นเกี่ยวกับเขตอำนาจโดยศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ นายเสริมศักดิ์ ชื่นเจริญ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ ๑ คณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๑๙/๒๕๕๐ความว่า เดิมผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งหัวหน้างานเลขานุการ สำนักเลขาธิการและรักษาการหัวหน้าฝ่ายอำนวยการ สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีมติในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๔๙ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๔๙เห็นชอบให้แต่งตั้งผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พนักงานระดับ ๑๒โดยให้ทดลองปฏิบัติงานเป็นระยะเวลา ๓ เดือน หากไม่ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เลิกจ้าง หากผ่านการประเมินให้ทำสัญญาจ้างคราวละ ๔ ปี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ ๑๒๑/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๘พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งหัวหน้างานเลขานุการสำนักเลขาธิการและรักษาการหัวหน้าฝ่ายอำนวยการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรโดยให้ทดลองปฏิบัติงานมีกำหนดระยะเวลา ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ถึงวันที่ ๘ สิงหาคม๒๕๔๙ และมีคำสั่งสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ ๑๒๓/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๘พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ให้ผู้ฟ้องคดีรับเงินเดือนอัตราเดือนละ ๖๐,๐๐๐ บาทตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งดังกล่าว และรายงานให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทราบในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๔๙ เมื่อวันที่ ๘พฤษภาคม ๒๕๔๙ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่๐๓๖/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๑๖ มกราคม๒๕๕๐ เลิกจ้างผู้ฟ้องคดีและให้พ้นจากการเป็นพนักงานเนื่องจากไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินทดลองปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากกระทำผิดข้อกำหนดของระเบียบคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ.๒๕๔๓เรื่องการให้พนักงานพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งไม่มีข้อกำหนดการเลิกจ้างในกรณีที่มีพนักงานไม่ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงาน และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งเลิกจ้างโดยไม่นำเสนอ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒พิจารณาให้ความเห็นชอบเช่นเดียวกับพนักงานระดับ ๙ ขึ้นไปรายอื่น จึงเป็นการเลือกปฏิบัติโดยมิชอบ และการออกคำสั่งเลิกจ้างก็ไม่ได้อ้างกฎหมายที่ให้อำนาจในการสั่งเลิกจ้างด้วยผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แต่ไม่ได้รับการพิจารณา เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒หมดวาระในการดำรงตำแหน่ง ขอให้เพิกถอนคำสั่งสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่๐๓๖/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ และให้ผู้ฟ้องคดีกลับสู่สถานะเดิม คุ้มครองมิให้มีการแต่งตั้งบุคคลใดดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด และขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับ ตามคำสั่งสำนักงานฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ ๐๓๖/๒๕๕๐
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่า ผู้ฟ้องคดีไม่มีอำนาจฟ้อง คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสภาพการจ้างและสัญญาจ้างแรงงาน อยู่ในเขตอำนาจของศาลแรงงานไม่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กระทำตามระเบียบและมติผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทุกประการ
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ.๒๕๔๒มาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการรวมกลุ่มของเกษตรกรในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการแก้ไขปัญหาของเกษตรกร ส่งเสริมและสนับสนุนการฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพเกษตรกรของเกษตรกร พัฒนาความรู้ในด้านเกษตรกรรมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับเกษตรกรรม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรเกษตรกรและพัฒนาศักยภาพในการพึ่งพาตนเองและเกื้อกูลซึ่งกันและกันระหว่างเกษตรกร อันเป็นกิจกรรมในการให้บริการสาธารณะที่มิได้หวังผลกำไร กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นพนักงานและผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นคณะบุคคลที่ปฏิบัติงานในสังกัดกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามความในมาตรา๓แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ผู้ฟ้องคดีเป็นบุคคลซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ว่าจ้างให้ปฏิบัติงานตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีมติให้ความเห็นชอบตามระเบียบคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๓ ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๔๒ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง จึงเป็นความสัมพันธ์ที่มีขึ้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าดำเนินงานหรือเข้าร่วมดำเนินงานบริการสาธารณะกับหน่วยงานทางปกครองซึ่งเป็นความสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน ไม่อยู่ภายใต้ระบบกฎหมายเอกชน การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งจ้างผู้ฟ้องคดีเพื่อให้ทำงานเป็นพนักงานในตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร โดยมีระยะเวลาทดลองการปฏิบัติงาน ๓ เดือน จึงเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นตามสัญญาทางปกครอง เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งเลิกจ้างผู้ฟ้องคดี และผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและได้นำคดีมาฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าว จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง(๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องในส่วนที่เป็นสาระสำคัญว่า สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรได้ออกคำสั่งสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ ๐๓๖/๒๕๕๐ ให้เลิกจ้างผู้ฟ้องคดีพ้นจากสภาพการเป็นพนักงานสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ซึ่งเป็นการแสดงเจตนากลั่นแกล้งและจงใจปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำผิดระเบียบคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๓ และ มีคำขอบังคับให้เพิกถอนคำสั่งสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ ๐๓๖/๒๕๕๐ ให้ผู้ฟ้องคดีกลับดำรงสถานะเดิมซึ่งเป็นกรณีที่ลูกจ้างกล่าวหาว่านายจ้างเลิกจ้างโดยฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างแรงงาน เป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง คดีนี้จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘(๑) และมีลักษณะเป็นคดีเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความ ฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหาร หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่นในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว ." และมาตรา ๑๐วรรคสามบัญญัติว่า"ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเอง ก่อนมีคำพิพากษาโดยอนุโลม"ประกอบกับมาตรา ๑๗ วรรคสอง ให้อำนาจคณะกรรมการในการออกข้อบังคับซึ่งตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยในข้อ ๒๘บัญญัติว่า "หากคำร้องที่ยื่นไว้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติ . คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้ยกคำร้องเสียก็ได้" และข้อ ๒๙บัญญัติว่า"ในกรณีดังต่อไปนี้ คณะกรรมการจะสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความก็ได้ (๑)เมื่อผู้ร้องขอถอนคำร้อง (๒) การส่งเรื่องให้คณะกรรมการมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติ กำหนดไว้(๓) เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าการพิจารณาไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป"ข้อเท็จจริงคดีนี้ เป็นกรณีผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองต่อศาลปกครองกลางว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งเลิกจ้างผู้ฟ้องคดีและให้พ้นจากการเป็นพนักงานเนื่องจากไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินทดลองปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายผิดข้อกำหนดของระเบียบคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ว่าด้วยการบริหารงานบุคคลพ.ศ. ๒๕๔๓ เรื่องการให้พนักงานพ้นจากตำแหน่ง และไม่นำคำสั่งเลิกจ้างเสนอผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒พิจารณาให้ความเห็นชอบเช่นเดียวกับพนักงานระดับ ๙ ขึ้นไปรายอื่นเป็นการเลือกปฏิบัติโดยมิชอบและการออกคำสั่งเลิกจ้างไม่อ้างกฎหมายที่ให้อำนาจในการสั่งเลิกจ้างด้วย ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แต่ไม่ได้รับการพิจารณา เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒หมดวาระลงขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าว และให้ผู้ฟ้องคดีกลับสู่สถานะเดิมคุ้มครองมิให้มีการแต่งตั้งบุคคลใดดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด และขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่าผู้ฟ้องคดีไม่มีอำนาจฟ้อง คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสภาพการจ้างและสัญญาจ้างแรงงาน อยู่ในเขตอำนาจของศาลแรงงาน ไม่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กระทำตามระเบียบและมติผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทุกประการ ศาลปกครองกลางจึงให้รอการพิจารณาไว้ชั่วคราวและจัดทำความเห็นส่งให้ศาลแรงงานกลางโดยศาลปกครองกลางเห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเป็นความสัมพันธ์ที่มีขึ้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าดำเนินงานหรือเข้าร่วมดำเนินงานบริการสาธารณะกับหน่วยงานทางปกครองซึ่งเป็นความสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชนไม่อยู่ภายใต้ระบบกฎหมายเอกชนการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งจ้างผู้ฟ้องคดีเพื่อให้ทำงานเป็นพนักงานในตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร โดยมีระยะเวลาทดลองการปฏิบัติงาน ๓ เดือน จึงเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นตามสัญญาทางปกครอง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เห็นว่า เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า หากคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งก็จะต้องยื่นคำร้องก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกของศาลปกครองแต่การโต้แย้งเขตอำนาจศาลของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในกรณีนี้เป็นการโต้แย้งไว้ในคำให้การโดยไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะจึงเป็นการโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าวทั้งการทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นกรณีที่ศาลจัดทำความเห็นของตนเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลตามข้อโต้แย้งที่เริ่มกระบวนการโดยการทำเป็นคำร้องตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งก่อนส่วนในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ให้อนุโลมตามมาตรา ๑๐ ซึ่งชอบที่จะเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น ดังนั้น เมื่อปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มิได้กระทำตามวิธีการที่กฎหมายกำหนดทั้งกรณีที่ศาลเห็นเองว่าอยู่ในอำนาจของศาลตนเองก็ไม่ใช่กรณีที่ถือได้ว่ามีปัญหาขัดแย้งกันเกี่ยวกับเขตอำนาจศาล กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
จึงมีคำสั่งว่า การส่งเรื่องกรณีระหว่างศาลปกครองกลางและศาลแรงงานกลางที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองในคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) วิรัช ลิ้มวิชัย (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายวิรัช ลิ้มวิชัย) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ดิเรกพล วัฒนะโชติ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ดิเรกพล วัฒนะโชติ) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
๕
การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๒๘/๒๕๕๐
วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๐
เรื่อง การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
คำสั่งศาลจังหวัดสงขลา
ระหว่าง
คำสั่งศาลปกครองสงขลา
การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ
นางชิต คงพันธุ์ โดยนายพิชญธร รอดบำรุง ผู้รับมอบอำนาจยื่นฟ้องคดีปกครองและดำเนินคดีปกครอง ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัย ชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อเท็จจริงในคดี
นางชิต คงพันธุ์ โดยนายพิชญธร รอดบำรุง ผู้รับมอบอำนาจยื่นฟ้องคดีปกครองและดำเนินคดีปกครองยื่นคำร้องลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครองขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ความว่า นางชิต คงพันธุ์ ผู้ร้อง เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา (จำเลย) ของศาลจังหวัดสงขลา คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ โดยมีสหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา (โจทก์) จดทะเบียนจำนอง น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๐๑๕ ตำบลบ่อแดง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกัน ต่อมาผู้ร้อง ยื่นฟ้องคณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกร ที่ ๑ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ ๒ สหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด ที่ ๓ สำนักจัดการหนี้ของเกษตรกร ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองสงขลาเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๗/๒๕๕๐ อ้างว่าผู้ร้องขึ้นทะเบียนหนี้ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ละเลยไม่ดำเนินการตามกระบวนการจัดการหนี้ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา (โจทก์) ของศาลจังหวัดสงขลาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ บังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของผู้ร้อง แต่ผู้ร้องใช้สิทธิคัดค้านและจะมีการขายทอดตลาดครั้งต่อไปในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๐ ผู้ร้องไม่อาจใช้สิทธิคัดค้านได้อีก ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ เข้าดำเนินการจัดการหนี้ของผู้ร้องตามกระบวนการจัดการหนี้ตามที่กฎหมายกำหนด และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ แก้ไขปัญหาหนี้ของผู้ร้อง โดยผู้ร้องขอให้ศาลสั่งระงับการขายทอดตลาดทรัพย์ของผู้ร้องจนกว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ จะเข้ามาจัดการหนี้ของผู้ร้องให้แล้วเสร็จ ศาลปกครองสงขลามีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองประโยชน์เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาให้เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสงขลาระงับการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีแพ่งของศาลจังหวัดสงขลา หมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ ไว้ก่อน ศาลจังหวัดสงขลามีคำสั่งให้ดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไป และปลดเปลื้องความรับผิดให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี โดยเห็นว่าศาลได้มีคำพิพากษาและหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีชอบแล้ว การที่คู่ความยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองมิใช่เหตุในการทุเลาการบังคับคดีหรือเหตุในการงดการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๑ , ๒๙๒ ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสงขลาแจ้งเหตุที่ทำให้ไม่อาจได้รับความคุ้มครองชั่วคราวตามคำสั่งของศาลปกครองสงขลา ศาลปกครองสงขลาไต่สวนคำร้องเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๐ แล้วเห็นว่า กรณีเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินการเกี่ยวกับกรณีเป็นปัญหาอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลให้ถูกต้อง และมีหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจังหวัดสงขลาให้ชะลอการขายทอดตลาดไว้ก่อน ผู้ร้องเห็นว่ากรณีดังกล่าวนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เนื่องจากเป็นคำสั่งถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันจนเป็นเหตุให้ผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยคดีแพ่งของศาลจังหวัดสงขลา หมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ ไม่ได้รับการเยียวยาความเดือดร้อนเสียหาย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือไม่ได้รับความคุ้มครองตามคำสั่งของศาลปกครองสงขลา เพราะการที่ศาลจังหวัดสงขลามีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไป ย่อมนำมาซึ่ง ความเสียหายต่อผู้ร้อง และเป็นบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองในการแก้ไขปัญหาหนี้ของเกษตรกรตามพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๔๒ และฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๔๔ และตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ โดยขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลที่ขัดแย้งกัน
สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตรวจสอบคำร้องของผู้ร้องในเบื้องต้นแล้วปรากฏว่า เอกสารที่ผู้ร้องส่งมาไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ในกรณีการเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ หรือการยื่นคำร้องต่อเลขานุการและเอกสารที่ส่งมาไม่ครบถ้วนนั้น ข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๓ กำหนดให้เลขานุการแจ้งให้ผู้ร้องดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่เห็นสมควรกำหนด จึงแจ้งให้ผู้ร้องจัดส่งเอกสารดังต่อไปนี้ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง เพื่อประกอบการพิจารณารับคำร้องต่อไป
๑. สำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งของศาลจังหวัดสงขลา หมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ และหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด พร้อมหนังสือรับรองที่แสดงว่าคำสั่งของศาลจังหวัดสงขลาที่สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไปนั้นถึงที่สุด
๒. สำเนาคำฟ้อง คำให้การ คำสั่งศาลปกครองสงขลาที่สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสงขลาระงับการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีแพ่งของศาลจังหวัดสงขลา หมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ และหนังสือรับรองคำสั่งถึงที่สุดของศาลปกครองสงขลา ในคดีหมายเลขดำที่ ๔๗/๒๕๕๐
ผู้ร้องส่งเอกสารดังกล่าวถึงสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (นำส่งที่ทำการไปรษณีย์ต้นทางเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๐) โดยไม่มีการร้องขอขยายเวลาเพิ่มเติมแต่อย่างใด ต่อมา ศาลปกครองสงขลามีหนังสือที่ ศป ๐๐๑๗/ธ ๑๔๖ ลงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ถึงสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลแจ้งคำสั่งไม่รับคำฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ ๔๗/๒๕๕๐ ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และให้คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่ให้ระงับการขายทอดตลาดที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๐๑๕ ตำบลบ่อแดง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นอันสิ้นผล
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คำร้องของผู้ร้องชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา (จำเลย) ของศาลจังหวัดสงขลาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ โดยมีสหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา (โจทก์) จดทะเบียนจำนอง น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๐๑๕ ตำบลบ่อแดง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกัน ต่อมาผู้ร้องยื่นฟ้องคณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกร ที่ ๑ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ ๒ สหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด ที่ ๓ สำนักจัดการหนี้ของเกษตรกร ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองสงขลาเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๗/๒๕๕๐ อ้างว่าผู้ร้องขึ้นทะเบียนหนี้ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ละเลยไม่ดำเนินการตามกระบวนการจัดการหนี้ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ บังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ของผู้ร้อง แต่ผู้ร้องใช้สิทธิคัดค้านและจะมีการขายทอดตลาดครั้งต่อไปในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๐ ผู้ร้องไม่อาจใช้สิทธิคัดค้านได้อีก ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ เข้าดำเนินการจัดการหนี้ของผู้ร้องตามกระบวนการจัดการหนี้ตามที่กฎหมายกำหนด และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ แก้ไขปัญหาหนี้ของผู้ร้อง โดยผู้ร้องขอให้ศาลสั่งระงับการขายทอดตลาดทรัพย์ของผู้ร้องจนกว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ จะเข้ามาจัดการหนี้ของผู้ร้องให้แล้วเสร็จ ศาลปกครองสงขลามีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองประโยชน์เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาให้เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสงขลาระงับการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีแพ่งของศาลจังหวัดสงขลา หมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ ไว้ก่อน ศาลจังหวัดสงขลามีคำสั่งให้ดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไป และปลดเปลื้องความรับผิดให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี โดยเห็นว่าศาลได้มีคำพิพากษาและหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีชอบแล้ว การที่คู่ความยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองมิใช่เหตุในการทุเลาการบังคับคดีหรือเหตุในการงดการบังคับคดี ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๑ , ๒๙๒ ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสงขลา แจ้งเหตุที่ทำให้ไม่อาจได้รับความคุ้มครองชั่วคราวตามคำสั่งของศาลปกครองสงขลา ศาลปกครองสงขลาไต่สวนคำร้องเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๐ แล้วเห็นว่า กรณีเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินการเกี่ยวกับกรณีเป็นปัญหาอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลให้ถูกต้อง และมีหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจังหวัดสงขลาให้ชะลอการขายทอดตลาดไว้ก่อน ผู้ร้องเห็นว่ากรณีดังกล่าวนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เนื่องจากเป็นคำสั่งถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันจนเป็นเหตุให้ผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยคดีแพ่งของศาลจังหวัดสงขลา หมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ ไม่ได้รับการเยียวยาความเดือดร้อนเสียหาย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือไม่ได้รับความคุ้มครองตามคำสั่งของศาลปกครองสงขลา เพราะการที่ศาลจังหวัดสงขลามีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไป ย่อมนำมาซึ่งความเสียหายต่อผู้ร้อง และเป็นบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองในการแก้ไขปัญหาหนี้ของเกษตรกรตามพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๔๒ และฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๔๔ และตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ โดยขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลที่ขัดแย้งกัน พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความหรือบุคคล ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าว อาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด..." และมาตรา ๑๕ บัญญัติว่า "ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๐ ถึงมาตรา ๑๔ ไปใช้กับวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา การยื่นคำร้องต่อศาลก่อนการฟ้องคดีตามที่กฎหมายบัญญัติ การสืบพยานหลักฐานไว้ก่อนฟ้องคดี การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล และการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ประการอื่นของศาลโดยอนุโลม" ดังนั้น คดีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันและจะส่งให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลต่างระบบขัดแย้งกัน โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกัน และศาลทั้งสองศาลนั้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดแตกต่างกันจนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ปรากฏว่า ผู้ร้องได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกร ที่ ๑ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ ๒ สหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด ที่ ๓ สำนักจัดการหนี้ของเกษตรกร ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองสงขลาเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๗/๒๕๕๐ อ้างว่าผู้ร้องขึ้นทะเบียนหนี้ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ละเลยไม่ดำเนินการตามกระบวนการจัดการหนี้ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ บังคับคดีขายทอดตลาด น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๐๑๕ ตำบลบ่อแดง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างของผู้ร้องที่จำนองไว้กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ ศาลจังหวัดสงขลาในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ จนศาลปกครองสงขลามีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองประโยชน์เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาให้เจ้าพนักงานบังคับคดีระงับการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวไว้ก่อน ส่วนศาลจังหวัดสงขลามีคำสั่งให้ขายทอดตลาดทรัพย์นั้นต่อไป ดังนั้นมูลความแห่งคดีที่เป็นเหตุให้ทั้งสองศาลมีคำสั่งดังกล่าวจึงสืบเนื่องมาจากการบังคับคดี ขายทอดตลาดทรัพย์ของผู้ร้องตามคำสั่งของศาลจังหวัดสงขลา จึงเป็นคำสั่งระหว่างศาลในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน และเป็นคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลที่ขัดแย้งกันจนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้ รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ชอบที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องเพื่อให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัย แต่เมื่อต่อมาข้อเท็จจริงปรากฏว่า ศาลปกครองสงขลาได้มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องคดีหมายเลขดำที่ ๔๗/๒๕๕๐ ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และให้คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่ให้ระงับการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นอันสิ้นผลแล้ว กรณีจึงถือได้ว่าไม่มีคำสั่งของศาลปกครองสงขลาให้ขัดแย้งกับคำสั่งของศาลจังหวัดสงขลาอีกต่อไป ดังนั้นคำร้องเรื่องนี้จึงไม่เป็นประโยชน์ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะพิจารณาอีกต่อไป
จึงมีคำสั่งว่า คำร้องของนางชิต คงพันธุ์ โดยนายพิชญธร รอดบำรุง ผู้รับมอบอำนาจยื่นฟ้องคดีปกครองและดำเนินคดีปกครอง ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ ไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา อาศัยข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๓) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) ปัญญา ถนอมรอด (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายปัญญา ถนอมรอด) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
??
??
??
??
๖
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๒๘/๒๕๕๐
วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๐
เรื่อง การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
คำสั่งศาลจังหวัดสงขลา
ระหว่าง
คำสั่งศาลปกครองสงขลา
การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ
นางชิต คงพันธุ์ โดยนายพิชญธร รอดบำรุง ผู้รับมอบอำนาจยื่นฟ้องคดีปกครองและดำเนินคดีปกครอง ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัย ชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อเท็จจริงในคดี
นางชิต คงพันธุ์ โดยนายพิชญธร รอดบำรุง ผู้รับมอบอำนาจยื่นฟ้องคดีปกครองและดำเนินคดีปกครองยื่นคำร้องลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครองขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ความว่า นางชิต คงพันธุ์ ผู้ร้อง เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา (จำเลย) ของศาลจังหวัดสงขลา คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ โดยมีสหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา (โจทก์) จดทะเบียนจำนอง น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๐๑๕ ตำบลบ่อแดง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกัน ต่อมาผู้ร้อง ยื่นฟ้องคณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกร ที่ ๑ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ ๒ สหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด ที่ ๓ สำนักจัดการหนี้ของเกษตรกร ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองสงขลาเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๗/๒๕๕๐ อ้างว่าผู้ร้องขึ้นทะเบียนหนี้ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ละเลยไม่ดำเนินการตามกระบวนการจัดการหนี้ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา (โจทก์) ของศาลจังหวัดสงขลาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ บังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของผู้ร้อง แต่ผู้ร้องใช้สิทธิคัดค้านและจะมีการขายทอดตลาดครั้งต่อไปในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๐ ผู้ร้องไม่อาจใช้สิทธิคัดค้านได้อีก ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ เข้าดำเนินการจัดการหนี้ของผู้ร้องตามกระบวนการจัดการหนี้ตามที่กฎหมายกำหนด และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ แก้ไขปัญหาหนี้ของผู้ร้อง โดยผู้ร้องขอให้ศาลสั่งระงับการขายทอดตลาดทรัพย์ของผู้ร้องจนกว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ จะเข้ามาจัดการหนี้ของผู้ร้องให้แล้วเสร็จ ศาลปกครองสงขลามีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองประโยชน์เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาให้เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสงขลาระงับการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีแพ่งของศาลจังหวัดสงขลา หมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ ไว้ก่อน ศาลจังหวัดสงขลามีคำสั่งให้ดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไป และปลดเปลื้องความรับผิดให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี โดยเห็นว่าศาลได้มีคำพิพากษาและหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีชอบแล้ว การที่คู่ความยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองมิใช่เหตุในการทุเลาการบังคับคดีหรือเหตุในการงดการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๑ , ๒๙๒ ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสงขลาแจ้งเหตุที่ทำให้ไม่อาจได้รับความคุ้มครองชั่วคราวตามคำสั่งของศาลปกครองสงขลา ศาลปกครองสงขลาไต่สวนคำร้องเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๐ แล้วเห็นว่า กรณีเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินการเกี่ยวกับกรณีเป็นปัญหาอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลให้ถูกต้อง และมีหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจังหวัดสงขลาให้ชะลอการขายทอดตลาดไว้ก่อน ผู้ร้องเห็นว่ากรณีดังกล่าวนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เนื่องจากเป็นคำสั่งถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันจนเป็นเหตุให้ผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยคดีแพ่งของศาลจังหวัดสงขลา หมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ ไม่ได้รับการเยียวยาความเดือดร้อนเสียหาย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือไม่ได้รับความคุ้มครองตามคำสั่งของศาลปกครองสงขลา เพราะการที่ศาลจังหวัดสงขลามีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไป ย่อมนำมาซึ่ง ความเสียหายต่อผู้ร้อง และเป็นบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองในการแก้ไขปัญหาหนี้ของเกษตรกรตามพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๔๒ และฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๔๔ และตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ โดยขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลที่ขัดแย้งกัน
สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตรวจสอบคำร้องของผู้ร้องในเบื้องต้นแล้วปรากฏว่า เอกสารที่ผู้ร้องส่งมาไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ในกรณีการเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ หรือการยื่นคำร้องต่อเลขานุการและเอกสารที่ส่งมาไม่ครบถ้วนนั้น ข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๓ กำหนดให้เลขานุการแจ้งให้ผู้ร้องดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่เห็นสมควรกำหนด จึงแจ้งให้ผู้ร้องจัดส่งเอกสารดังต่อไปนี้ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง เพื่อประกอบการพิจารณารับคำร้องต่อไป
๑. สำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งของศาลจังหวัดสงขลา หมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ และหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด พร้อมหนังสือรับรองที่แสดงว่าคำสั่งของศาลจังหวัดสงขลาที่สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไปนั้นถึงที่สุด
๒. สำเนาคำฟ้อง คำให้การ คำสั่งศาลปกครองสงขลาที่สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสงขลาระงับการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีแพ่งของศาลจังหวัดสงขลา หมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ และหนังสือรับรองคำสั่งถึงที่สุดของศาลปกครองสงขลา ในคดีหมายเลขดำที่ ๔๗/๒๕๕๐
ผู้ร้องส่งเอกสารดังกล่าวถึงสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (นำส่งที่ทำการไปรษณีย์ต้นทางเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๐) โดยไม่มีการร้องขอขยายเวลาเพิ่มเติมแต่อย่างใด ต่อมา ศาลปกครองสงขลามีหนังสือที่ ศป ๐๐๑๗/ธ ๑๔๖ ลงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ถึงสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลแจ้งคำสั่งไม่รับคำฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ ๔๗/๒๕๕๐ ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และให้คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่ให้ระงับการขายทอดตลาดที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๐๑๕ ตำบลบ่อแดง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นอันสิ้นผล
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คำร้องของผู้ร้องชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา (จำเลย) ของศาลจังหวัดสงขลาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ โดยมีสหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา (โจทก์) จดทะเบียนจำนอง น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๐๑๕ ตำบลบ่อแดง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกัน ต่อมาผู้ร้องยื่นฟ้องคณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกร ที่ ๑ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ ๒ สหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด ที่ ๓ สำนักจัดการหนี้ของเกษตรกร ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองสงขลาเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๗/๒๕๕๐ อ้างว่าผู้ร้องขึ้นทะเบียนหนี้ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ละเลยไม่ดำเนินการตามกระบวนการจัดการหนี้ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ บังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ของผู้ร้อง แต่ผู้ร้องใช้สิทธิคัดค้านและจะมีการขายทอดตลาดครั้งต่อไปในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๐ ผู้ร้องไม่อาจใช้สิทธิคัดค้านได้อีก ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ เข้าดำเนินการจัดการหนี้ของผู้ร้องตามกระบวนการจัดการหนี้ตามที่กฎหมายกำหนด และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ แก้ไขปัญหาหนี้ของผู้ร้อง โดยผู้ร้องขอให้ศาลสั่งระงับการขายทอดตลาดทรัพย์ของผู้ร้องจนกว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ จะเข้ามาจัดการหนี้ของผู้ร้องให้แล้วเสร็จ ศาลปกครองสงขลามีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองประโยชน์เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาให้เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสงขลาระงับการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีแพ่งของศาลจังหวัดสงขลา หมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ ไว้ก่อน ศาลจังหวัดสงขลามีคำสั่งให้ดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไป และปลดเปลื้องความรับผิดให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี โดยเห็นว่าศาลได้มีคำพิพากษาและหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีชอบแล้ว การที่คู่ความยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองมิใช่เหตุในการทุเลาการบังคับคดีหรือเหตุในการงดการบังคับคดี ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๑ , ๒๙๒ ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสงขลา แจ้งเหตุที่ทำให้ไม่อาจได้รับความคุ้มครองชั่วคราวตามคำสั่งของศาลปกครองสงขลา ศาลปกครองสงขลาไต่สวนคำร้องเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๐ แล้วเห็นว่า กรณีเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินการเกี่ยวกับกรณีเป็นปัญหาอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลให้ถูกต้อง และมีหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจังหวัดสงขลาให้ชะลอการขายทอดตลาดไว้ก่อน ผู้ร้องเห็นว่ากรณีดังกล่าวนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เนื่องจากเป็นคำสั่งถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันจนเป็นเหตุให้ผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยคดีแพ่งของศาลจังหวัดสงขลา หมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ ไม่ได้รับการเยียวยาความเดือดร้อนเสียหาย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือไม่ได้รับความคุ้มครองตามคำสั่งของศาลปกครองสงขลา เพราะการที่ศาลจังหวัดสงขลามีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไป ย่อมนำมาซึ่งความเสียหายต่อผู้ร้อง และเป็นบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองในการแก้ไขปัญหาหนี้ของเกษตรกรตามพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๔๒ และฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๔๔ และตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ โดยขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลที่ขัดแย้งกัน พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความหรือบุคคล ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าว อาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด..." และมาตรา ๑๕ บัญญัติว่า "ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๐ ถึงมาตรา ๑๔ ไปใช้กับวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา การยื่นคำร้องต่อศาลก่อนการฟ้องคดีตามที่กฎหมายบัญญัติ การสืบพยานหลักฐานไว้ก่อนฟ้องคดี การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล และการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ประการอื่นของศาลโดยอนุโลม" ดังนั้น คดีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันและจะส่งให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลต่างระบบขัดแย้งกัน โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกัน และศาลทั้งสองศาลนั้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดแตกต่างกันจนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ปรากฏว่า ผู้ร้องได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกร ที่ ๑ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ ๒ สหกรณ์การเกษตรสทิงพระ จำกัด ที่ ๓ สำนักจัดการหนี้ของเกษตรกร ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองสงขลาเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๗/๒๕๕๐ อ้างว่าผู้ร้องขึ้นทะเบียนหนี้ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ละเลยไม่ดำเนินการตามกระบวนการจัดการหนี้ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ บังคับคดีขายทอดตลาด น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๐๑๕ ตำบลบ่อแดง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างของผู้ร้องที่จำนองไว้กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ ศาลจังหวัดสงขลาในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๖๘๗/๒๕๔๘ จนศาลปกครองสงขลามีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองประโยชน์เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาให้เจ้าพนักงานบังคับคดีระงับการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวไว้ก่อน ส่วนศาลจังหวัดสงขลามีคำสั่งให้ขายทอดตลาดทรัพย์นั้นต่อไป ดังนั้นมูลความแห่งคดีที่เป็นเหตุให้ทั้งสองศาลมีคำสั่งดังกล่าวจึงสืบเนื่องมาจากการบังคับคดี ขายทอดตลาดทรัพย์ของผู้ร้องตามคำสั่งของศาลจังหวัดสงขลา จึงเป็นคำสั่งระหว่างศาลในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน และเป็นคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลที่ขัดแย้งกันจนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้ รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ชอบที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องเพื่อให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัย แต่เมื่อต่อมาข้อเท็จจริงปรากฏว่า ศาลปกครองสงขลาได้มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องคดีหมายเลขดำที่ ๔๗/๒๕๕๐ ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และให้คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่ให้ระงับการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นอันสิ้นผลแล้ว กรณีจึงถือได้ว่าไม่มีคำสั่งของศาลปกครองสงขลาให้ขัดแย้งกับคำสั่งของศาลจังหวัดสงขลาอีกต่อไป ดังนั้นคำร้องเรื่องนี้จึงไม่เป็นประโยชน์ที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะพิจารณาอีกต่อไป
จึงมีคำสั่งว่า คำร้องของนางชิต คงพันธุ์ โดยนายพิชญธร รอดบำรุง ผู้รับมอบอำนาจยื่นฟ้องคดีปกครองและดำเนินคดีปกครอง ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ ไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา อาศัยข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๓) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) ปัญญา ถนอมรอด (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายปัญญา ถนอมรอด) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
??
??
??
??
๖
การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา 14 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๒๒/๒๕๕๐
วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๐
เรื่อง การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
คำสั่งศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
คำพิพากษาศาลจังหวัดกบินทร์บุรี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
นายเทียม แก้วกุย ที่ ๑ นางฉวีวรรณ แก้วกุย ที่ ๒ นายปภังกร แก้วกุย ที่ ๓ และนายเกรียงไกร แก้วกุย ที่ ๔ ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อเท็จจริงในคดี
นายเทียม แก้วกุย นางฉวีวรรณ แก้วกุย นายปภังกร แก้วกุย และนายเกรียงไกร แก้วกุย ยื่นคำร้องลงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๐ ลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๐ และลงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๐ คำร้องทั้งหมดมีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน เพื่อความสะดวกแก่การพิจารณาให้เรียกนายเทียม แก้วกุย ว่า ผู้ร้องที่ ๑ นางฉวีวรรณ แก้วกุย ว่า ผู้ร้องที่ ๒ นายปภังกร แก้วกุย ว่า ผู้ร้องที่ ๓ และนายเกรียงไกร แก้วกุย ว่า ผู้ร้องที่ ๔ ผู้ร้องทั้งสี่ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ กรณีศาลปกครองกลางมีคำสั่งโอนและจำหน่ายคดีหมายเลขดำที่ ๓๕๗/๒๕๔๙ หมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐ ระหว่างนายเทียม แก้วกุย ผู้ฟ้องคดี (ผู้ร้องที่ ๑) คณะกรรมการคดีพิเศษ ที่ ๑ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ ๒ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ ๓ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ไปยังศาลจังหวัดกบินทร์บุรีตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพ.ศ. ๒๕๔๒ เนื่องจากศาลปกครองกลางและศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีความเห็นพ้องกันว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมเป็นคดีแพ่งของศาลจังหวัดกบินทร์บุรี หมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ ซึ่งผู้ร้องทั้งสี่เห็นว่า คำสั่งที่ถึงที่สุดของศาลปกครองกลางที่ให้โอนและจำหน่ายคดีไปยังศาลจังหวัดกบินทร์บุรี ทำให้ผู้ร้องทั้งสี่ไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายและไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากคดีของศาลปกครองกลาง หมายเลขดำที่ ๓๕๗/๒๕๔๙ หมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐เป็นกรณีที่ผู้ร้องที่ ๑ ยื่นฟ้องคณะกรรมการคดีพิเศษกับพวก รวม ๔ คน ขอให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการคดีพิเศษที่ไม่รับเรื่องร้องทุกข์กรณีขอให้ดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่ตำรวจในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าผู้ร้องที่ ๑ กับพวก เป็นคดีพิเศษ อันสืบเนื่องมาจากผู้ร้องที่ ๑ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลเขาฉกรรจ์ อำเภอสระแก้ว จังหวัดปราจีนบุรี จับกุมกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ พยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ มีเครื่องกระสุนปืน (ระเบิด) ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้บุคคลมีไว้ในครอบครอง ซ่อนเร้นหรือช่วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าว (นายโฮ คิน ลอกหรืออีริค แซ่ฮ้อ และนายหมิง หวังหรือหวัง หมิง หรือหวัง ยุนไห่) เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย พ้นการจับกุม และขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย พนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดกบินทร์บุรีเป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องที่ ๑ เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรี ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๙๔๕/๒๕๓๖ หมายเลขแดงที่ ๑๕๕๙/๒๕๔๔ ให้ลงโทษจำคุกจำเลย (ผู้ร้องที่ ๑) ตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ มีคำพิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำคุกจำเลย (ผู้ร้องที่ ๑) ๒๐ ปี ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้ร้องที่ ๑ ได้มีหนังสือร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเขาฉกรรจ์ไว้ตามสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ ๓๒๐/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ และมีหนังสือร้องทุกข์ถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษขอให้รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ แต่คณะกรรมการคดีพิเศษกับพวกมีมติไม่รับคำร้องทุกข์ดังกล่าวเป็นคดีพิเศษเพราะคดีของผู้ร้องที่ ๑ อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ร้องทั้งสี่จึงเห็นว่า คำสั่งที่ถึงที่สุดของศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ ๓๕๗/๒๕๔๙ หมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐ ให้โอนและจำหน่ายคดีที่มีข้อเท็จจริงในลักษณะดังกล่าวไปยังศาลจังหวัดกบินทร์บุรีจะทำให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลจังหวัดกบินทร์บุรีขัดแย้งกับข้อเท็จจริงในคดีที่ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๖๙๙/๒๕๓๖ หมายเลขแดงที่ ๖๗๓/๒๕๓๖ ระหว่างพนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดกบินทร์บุรี โจทก์ นายโฮ คิน ลอกหรืออีริค แซ่ฮ้อ ที่ ๑ นายหมิง หวัง หรือหวัง หมิง หรือหวัง ยุนไห่ ที่ ๒ จำเลย ว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งจำเลยทั้งสองในคดีนี้เป็นคนต่างด้าวที่ผู้ร้องที่ ๑ ถูกฟ้องว่าช่วยพาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและหลบหนีให้พ้นการจับกุมในคดีอาญาของศาลจังหวัดกบินทร์บุรีที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และคำสั่งโอนคดีไปยังศาลจังหวัดกบินทร์บุรีจะทำให้การพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดและศาลปกครองชั้นต้นซึ่งผู้ร้องที่ ๑ เคยยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครองจำนวนมาก อาทิเช่น ประธานศาลฎีกา ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๒ เลขานุการศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดกบินทร์บุรี ฯลฯ ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) ภายหลังจากที่ผู้ร้องที่ ๑ มีหนังสือขอความเป็นธรรมในข้อเท็จจริงดังกล่าวไปยังหน่วยงานต่างๆ แต่ได้รับการเพิกเฉย คดีทั้งหมดศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของผู้ร้องที่ ๑ ไว้พิจารณา นอกจากนี้ การพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ ของศาลจังหวัดกบินทร์บุรีจะเป็นการพิจารณาซ้ำกับการรับคำร้องทุกข์คดีอาญาในชั้นสอบสวนของพนักงานสอบสวนตามสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ ๓๒๐/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ ซึ่งหากมีการดำเนินการฟ้องคดีก็จะมีการนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรม ผู้ร้องทั้งสี่จึงเห็นว่า ในขณะนี้ศาลยุติธรรมไม่ควรที่จะพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ เนื่องจากจะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับผู้ร้องที่ ๑ ซึ่งมีกรณีพิพาทกับศาลยุติธรรมแล้ว ขอให้คณะกรรมการมีคำสั่งดังนี้
๑. ให้คดีของศาลปกครอง หมายเลขดำที่ ๓๕๗/๒๕๔๙ หมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐ พิจารณาที่ศาลปกครองต่อไป
๒. ให้ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีงดการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ ในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๐
๓. ให้มีการไต่สวนคดีอย่างฉุกเฉิน
๔. อนุญาตให้คัดถ่ายสำเนาคำสั่งศาลปกครองและศาลยุติธรรมในเรื่องดังกล่าวทั้งหมด รวมถึงอนุญาตให้คัดถ่ายสำเนารายงานการประชุมคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องว่า ไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมกรณีคำสั่งที่ถึงที่สุดของศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐ ขัดแย้งกับคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของศาลจังหวัดกบินทร์บุรีในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๖๗๓/๒๕๓๖ โดยคดีของศาลปกครองกลางหมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐ เหตุเกิดจากผู้ร้องที่ ๑ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลเขาฉกรรจ์ อำเภอสระแก้ว จังหวัดปราจีนบุรี จับกุมกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ พยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ มีเครื่องกระสุนปืน (ระเบิด) ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้บุคคลมีไว้ในครอบครอง ซ่อนเร้นหรือช่วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าว (นายโฮ คิน ลอกหรืออีริค แซ่ฮ้อ และนายหมิง หวัง หรือหวัง หมิง หรือหวัง ยุนไห่) เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย พ้นการจับกุม และขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย พนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดกบินทร์บุรีเป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องที่ ๑ เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรี ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๕๕๙/๒๕๔๔ให้ลงโทษจำคุกจำเลย (ผู้ร้องที่ ๑) ตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำคุกจำเลย (ผู้ร้องที่ ๑) ๒๐ ปี ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้ร้องที่ ๑ ได้มีหนังสือร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเขาฉกรรจ์ไว้ตามสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ ๓๒๐/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ และมีหนังสือร้องทุกข์ถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษขอให้รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ แต่คณะกรรมการคดีพิเศษกับพวกมีมติไม่รับคำร้องทุกข์ดังกล่าวเป็นคดีพิเศษเพราะคดีของผู้ร้องที่ ๑ อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ร้องที่ ๑ จึงยื่นฟ้องคณะกรรมการคดีพิเศษ ที่ ๑ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ ๒ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ ๓ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง ศาลปกครองกลางและศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีความเห็นพ้องกันว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งให้โอนคดีดังกล่าวไปยังศาลจังหวัดกบินทร์บุรีตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นคดีแพ่งของศาลจังหวัดกบินทร์บุรี หมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ ส่วนคดีอาญาของศาลจังหวัดกบินทร์บุรี หมายเลขแดงที่ ๖๗๓/๒๕๓๖ เป็นคดีที่พนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดกบินทร์บุรี ยื่นฟ้องนายโฮ คิน ลอกหรืออีริค แซ่ฮ้อ ที่ ๑ นายหมิง หวัง หรือหวัง หมิง หรือหวัง ยุนไห่ ที่ ๒ จำเลย ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีคำพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งจำเลยทั้งสองในคดีนี้เป็นคนต่างด้าวที่ผู้ร้องที่ ๑ ถูกฟ้องว่าช่วยพาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและหลบหนีให้พ้นการจับกุมในคดีอาญาดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้ร้องทั้งสี่เห็นว่า คำสั่งที่ถึงที่สุดของศาลปกครองกลางให้โอนและจำหน่ายคดีไปยังศาลจังหวัดกบินทร์บุรีในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐ จะทำให้การพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวของศาลจังหวัดกบินทร์บุรีขัดแย้งกับข้อเท็จจริงในคดีที่ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๖๗๓/๒๕๓๖ และขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องที่ ๑ กล่าวอ้างในคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดและศาลปกครองชั้นต้นในคดีอื่นๆ ซึ่งผู้ร้องที่ ๑ เคยยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครองในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) คดีทั้งหมดศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของผู้ร้องที่ ๑ ไว้พิจารณา นอกจากนี้ การพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ ของศาลจังหวัดกบินทร์บุรีจะเป็นการพิจารณาซ้ำกับการรับคำร้องทุกข์คดีอาญาในชั้นสอบสวนของพนักงานสอบสวนตามสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ ๓๒๐/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ ซึ่งหากมีการดำเนินการฟ้องคดีก็จะมีการนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรม ผู้ร้องทั้งสี่จึงเห็นว่า ศาลยุติธรรมไม่ควรที่จะพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ เนื่องจากจะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับผู้ร้องที่ ๑ ซึ่งมีกรณีพิพาทกับศาลยุติธรรมแล้ว ขอให้คณะกรรมการมีคำสั่งให้คดีของศาลปกครองหมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐ พิจารณาที่ศาลปกครองต่อไป ให้ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีงดการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ ในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๐ ให้มีการไต่สวนคดีอย่างฉุกเฉิน และอนุญาตให้คัดถ่ายสำเนาคำสั่งศาลปกครองและศาลยุติธรรมในเรื่องดังกล่าวทั้งหมด รวมถึงอนุญาตให้คัดถ่ายสำเนารายงานการประชุมคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความ หรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด ดังนั้นคดีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันและจะส่งให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดได้นั้นจะต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันแต่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสองศาลต่างระบบ และศาลทั้งสองศาลนั้นมีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแตกต่างกันจนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม อันหมายความรวมถึงจะต้องเป็นคู่ความหรือคู่กรณีเดียวกันด้วย สำหรับข้อเท็จจริงตามคำร้องของผู้ร้องที่ ๑ แม้ผู้ร้องที่ ๑ จะเป็นคู่กรณีฝ่ายหนึ่งในคดีที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่ง และคดีของศาลปกครองกลางและคดีของศาลจังหวัดกบินทร์บุรีที่ผู้ร้องที่ ๑ กล่าวอ้างว่าขัดแย้งกันเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงมีความเกี่ยวข้องกัน แต่ผู้ร้องที่ ๑ ไม่ได้เป็นคู่ความหรือเป็นบุคคลที่ได้รับผลกระทบโดยตรงในคดีที่ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีคำพิพากษาลงโทษคนต่างด้าวตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ คู่กรณีในคดีที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งและคู่ความในคดีที่ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีคำพิพากษาจึงมิใช่รายเดียวกัน ทั้งการที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้โอนและจำหน่ายคดีของผู้ร้องที่ ๑ ไปยังศาลจังหวัดกบินทร์บุรีเป็นเพียงการดำเนินการเมื่อทั้งสองศาลมีความเห็นพ้องกัน และคำสั่งดังกล่าวเป็นที่สุดเรื่องเขตอำนาจศาลตามที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๒) และวรรคสองกำหนดไว้ ซึ่งไม่ใช่การวินิจฉัยประเด็นแห่งคดี ดังนั้น คดีนี้ยังไม่มีการพิจารณาและมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นแห่งคดี คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดของศาลปกครองและศาลยุติธรรมที่ผู้ร้องที่ ๑ กล่าวอ้างจึงมิใช่คดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันและมิใช่กรณีที่ศาลสองศาลตัดสินแตกต่างกันจนทำให้คู่ความไม่อาจที่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลใดศาลหนึ่งได้ สำหรับผู้ร้องที่ ๒ ถึงที่ ๔ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ร้องที่ ๒ ถึงที่ ๔ มิใช่คู่กรณีหรือคู่ความในคดีที่ผู้ร้องที่ ๒ ถึงที่ ๔ กล่าวอ้างว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน และมิใช่บุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าว ผู้ร้องที่ ๒ ถึงที่ ๔ จึงมิใช่บุคคลที่มีสิทธิยื่นคำร้องตามมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการไม่อาจรับคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ไว้พิจารณาได้
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ อาศัยอำนาจตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ ให้ยกคำร้องนี้เสีย
ติดราชการ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายปัญญา ถนอมรอด) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
??
??
??
??
๗
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๒๒/๒๕๕๐
วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๐
เรื่อง การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
คำสั่งศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
คำพิพากษาศาลจังหวัดกบินทร์บุรี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
นายเทียม แก้วกุย ที่ ๑ นางฉวีวรรณ แก้วกุย ที่ ๒ นายปภังกร แก้วกุย ที่ ๓ และนายเกรียงไกร แก้วกุย ที่ ๔ ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อเท็จจริงในคดี
นายเทียม แก้วกุย นางฉวีวรรณ แก้วกุย นายปภังกร แก้วกุย และนายเกรียงไกร แก้วกุย ยื่นคำร้องลงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๐ ลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๐ และลงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๐ คำร้องทั้งหมดมีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน เพื่อความสะดวกแก่การพิจารณาให้เรียกนายเทียม แก้วกุย ว่า ผู้ร้องที่ ๑ นางฉวีวรรณ แก้วกุย ว่า ผู้ร้องที่ ๒ นายปภังกร แก้วกุย ว่า ผู้ร้องที่ ๓ และนายเกรียงไกร แก้วกุย ว่า ผู้ร้องที่ ๔ ผู้ร้องทั้งสี่ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ กรณีศาลปกครองกลางมีคำสั่งโอนและจำหน่ายคดีหมายเลขดำที่ ๓๕๗/๒๕๔๙ หมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐ ระหว่างนายเทียม แก้วกุย ผู้ฟ้องคดี (ผู้ร้องที่ ๑) คณะกรรมการคดีพิเศษ ที่ ๑ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ ๒ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ ๓ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ไปยังศาลจังหวัดกบินทร์บุรีตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพ.ศ. ๒๕๔๒ เนื่องจากศาลปกครองกลางและศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีความเห็นพ้องกันว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมเป็นคดีแพ่งของศาลจังหวัดกบินทร์บุรี หมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ ซึ่งผู้ร้องทั้งสี่เห็นว่า คำสั่งที่ถึงที่สุดของศาลปกครองกลางที่ให้โอนและจำหน่ายคดีไปยังศาลจังหวัดกบินทร์บุรี ทำให้ผู้ร้องทั้งสี่ไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายและไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากคดีของศาลปกครองกลาง หมายเลขดำที่ ๓๕๗/๒๕๔๙ หมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐เป็นกรณีที่ผู้ร้องที่ ๑ ยื่นฟ้องคณะกรรมการคดีพิเศษกับพวก รวม ๔ คน ขอให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการคดีพิเศษที่ไม่รับเรื่องร้องทุกข์กรณีขอให้ดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่ตำรวจในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าผู้ร้องที่ ๑ กับพวก เป็นคดีพิเศษ อันสืบเนื่องมาจากผู้ร้องที่ ๑ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลเขาฉกรรจ์ อำเภอสระแก้ว จังหวัดปราจีนบุรี จับกุมกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ พยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ มีเครื่องกระสุนปืน (ระเบิด) ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้บุคคลมีไว้ในครอบครอง ซ่อนเร้นหรือช่วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าว (นายโฮ คิน ลอกหรืออีริค แซ่ฮ้อ และนายหมิง หวังหรือหวัง หมิง หรือหวัง ยุนไห่) เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย พ้นการจับกุม และขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย พนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดกบินทร์บุรีเป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องที่ ๑ เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรี ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๙๔๕/๒๕๓๖ หมายเลขแดงที่ ๑๕๕๙/๒๕๔๔ ให้ลงโทษจำคุกจำเลย (ผู้ร้องที่ ๑) ตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ มีคำพิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำคุกจำเลย (ผู้ร้องที่ ๑) ๒๐ ปี ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้ร้องที่ ๑ ได้มีหนังสือร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเขาฉกรรจ์ไว้ตามสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ ๓๒๐/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ และมีหนังสือร้องทุกข์ถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษขอให้รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ แต่คณะกรรมการคดีพิเศษกับพวกมีมติไม่รับคำร้องทุกข์ดังกล่าวเป็นคดีพิเศษเพราะคดีของผู้ร้องที่ ๑ อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ร้องทั้งสี่จึงเห็นว่า คำสั่งที่ถึงที่สุดของศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ ๓๕๗/๒๕๔๙ หมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐ ให้โอนและจำหน่ายคดีที่มีข้อเท็จจริงในลักษณะดังกล่าวไปยังศาลจังหวัดกบินทร์บุรีจะทำให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลจังหวัดกบินทร์บุรีขัดแย้งกับข้อเท็จจริงในคดีที่ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๖๙๙/๒๕๓๖ หมายเลขแดงที่ ๖๗๓/๒๕๓๖ ระหว่างพนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดกบินทร์บุรี โจทก์ นายโฮ คิน ลอกหรืออีริค แซ่ฮ้อ ที่ ๑ นายหมิง หวัง หรือหวัง หมิง หรือหวัง ยุนไห่ ที่ ๒ จำเลย ว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งจำเลยทั้งสองในคดีนี้เป็นคนต่างด้าวที่ผู้ร้องที่ ๑ ถูกฟ้องว่าช่วยพาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและหลบหนีให้พ้นการจับกุมในคดีอาญาของศาลจังหวัดกบินทร์บุรีที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และคำสั่งโอนคดีไปยังศาลจังหวัดกบินทร์บุรีจะทำให้การพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดและศาลปกครองชั้นต้นซึ่งผู้ร้องที่ ๑ เคยยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครองจำนวนมาก อาทิเช่น ประธานศาลฎีกา ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๒ เลขานุการศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดกบินทร์บุรี ฯลฯ ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) ภายหลังจากที่ผู้ร้องที่ ๑ มีหนังสือขอความเป็นธรรมในข้อเท็จจริงดังกล่าวไปยังหน่วยงานต่างๆ แต่ได้รับการเพิกเฉย คดีทั้งหมดศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของผู้ร้องที่ ๑ ไว้พิจารณา นอกจากนี้ การพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ ของศาลจังหวัดกบินทร์บุรีจะเป็นการพิจารณาซ้ำกับการรับคำร้องทุกข์คดีอาญาในชั้นสอบสวนของพนักงานสอบสวนตามสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ ๓๒๐/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ ซึ่งหากมีการดำเนินการฟ้องคดีก็จะมีการนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรม ผู้ร้องทั้งสี่จึงเห็นว่า ในขณะนี้ศาลยุติธรรมไม่ควรที่จะพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ เนื่องจากจะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับผู้ร้องที่ ๑ ซึ่งมีกรณีพิพาทกับศาลยุติธรรมแล้ว ขอให้คณะกรรมการมีคำสั่งดังนี้
๑. ให้คดีของศาลปกครอง หมายเลขดำที่ ๓๕๗/๒๕๔๙ หมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐ พิจารณาที่ศาลปกครองต่อไป
๒. ให้ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีงดการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ ในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๐
๓. ให้มีการไต่สวนคดีอย่างฉุกเฉิน
๔. อนุญาตให้คัดถ่ายสำเนาคำสั่งศาลปกครองและศาลยุติธรรมในเรื่องดังกล่าวทั้งหมด รวมถึงอนุญาตให้คัดถ่ายสำเนารายงานการประชุมคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องว่า ไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมกรณีคำสั่งที่ถึงที่สุดของศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐ ขัดแย้งกับคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของศาลจังหวัดกบินทร์บุรีในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๖๗๓/๒๕๓๖ โดยคดีของศาลปกครองกลางหมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐ เหตุเกิดจากผู้ร้องที่ ๑ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลเขาฉกรรจ์ อำเภอสระแก้ว จังหวัดปราจีนบุรี จับกุมกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ พยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ มีเครื่องกระสุนปืน (ระเบิด) ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้บุคคลมีไว้ในครอบครอง ซ่อนเร้นหรือช่วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าว (นายโฮ คิน ลอกหรืออีริค แซ่ฮ้อ และนายหมิง หวัง หรือหวัง หมิง หรือหวัง ยุนไห่) เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย พ้นการจับกุม และขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย พนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดกบินทร์บุรีเป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องที่ ๑ เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรี ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๕๕๙/๒๕๔๔ให้ลงโทษจำคุกจำเลย (ผู้ร้องที่ ๑) ตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำคุกจำเลย (ผู้ร้องที่ ๑) ๒๐ ปี ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้ร้องที่ ๑ ได้มีหนังสือร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเขาฉกรรจ์ไว้ตามสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ ๓๒๐/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ และมีหนังสือร้องทุกข์ถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษขอให้รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ แต่คณะกรรมการคดีพิเศษกับพวกมีมติไม่รับคำร้องทุกข์ดังกล่าวเป็นคดีพิเศษเพราะคดีของผู้ร้องที่ ๑ อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ร้องที่ ๑ จึงยื่นฟ้องคณะกรรมการคดีพิเศษ ที่ ๑ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ ๒ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ ๓ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง ศาลปกครองกลางและศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีความเห็นพ้องกันว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งให้โอนคดีดังกล่าวไปยังศาลจังหวัดกบินทร์บุรีตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นคดีแพ่งของศาลจังหวัดกบินทร์บุรี หมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ ส่วนคดีอาญาของศาลจังหวัดกบินทร์บุรี หมายเลขแดงที่ ๖๗๓/๒๕๓๖ เป็นคดีที่พนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดกบินทร์บุรี ยื่นฟ้องนายโฮ คิน ลอกหรืออีริค แซ่ฮ้อ ที่ ๑ นายหมิง หวัง หรือหวัง หมิง หรือหวัง ยุนไห่ ที่ ๒ จำเลย ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีคำพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งจำเลยทั้งสองในคดีนี้เป็นคนต่างด้าวที่ผู้ร้องที่ ๑ ถูกฟ้องว่าช่วยพาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและหลบหนีให้พ้นการจับกุมในคดีอาญาดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้ร้องทั้งสี่เห็นว่า คำสั่งที่ถึงที่สุดของศาลปกครองกลางให้โอนและจำหน่ายคดีไปยังศาลจังหวัดกบินทร์บุรีในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐ จะทำให้การพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวของศาลจังหวัดกบินทร์บุรีขัดแย้งกับข้อเท็จจริงในคดีที่ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๖๗๓/๒๕๓๖ และขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องที่ ๑ กล่าวอ้างในคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดและศาลปกครองชั้นต้นในคดีอื่นๆ ซึ่งผู้ร้องที่ ๑ เคยยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครองในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) คดีทั้งหมดศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของผู้ร้องที่ ๑ ไว้พิจารณา นอกจากนี้ การพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ ของศาลจังหวัดกบินทร์บุรีจะเป็นการพิจารณาซ้ำกับการรับคำร้องทุกข์คดีอาญาในชั้นสอบสวนของพนักงานสอบสวนตามสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ ๓๒๐/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ ซึ่งหากมีการดำเนินการฟ้องคดีก็จะมีการนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรม ผู้ร้องทั้งสี่จึงเห็นว่า ศาลยุติธรรมไม่ควรที่จะพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ เนื่องจากจะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับผู้ร้องที่ ๑ ซึ่งมีกรณีพิพาทกับศาลยุติธรรมแล้ว ขอให้คณะกรรมการมีคำสั่งให้คดีของศาลปกครองหมายเลขแดงที่ ๔๔๖/๒๕๕๐ พิจารณาที่ศาลปกครองต่อไป ให้ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีงดการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๔๕/๒๕๕๐ ในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๐ ให้มีการไต่สวนคดีอย่างฉุกเฉิน และอนุญาตให้คัดถ่ายสำเนาคำสั่งศาลปกครองและศาลยุติธรรมในเรื่องดังกล่าวทั้งหมด รวมถึงอนุญาตให้คัดถ่ายสำเนารายงานการประชุมคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความ หรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด ดังนั้นคดีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันและจะส่งให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดได้นั้นจะต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันแต่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสองศาลต่างระบบ และศาลทั้งสองศาลนั้นมีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแตกต่างกันจนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม อันหมายความรวมถึงจะต้องเป็นคู่ความหรือคู่กรณีเดียวกันด้วย สำหรับข้อเท็จจริงตามคำร้องของผู้ร้องที่ ๑ แม้ผู้ร้องที่ ๑ จะเป็นคู่กรณีฝ่ายหนึ่งในคดีที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่ง และคดีของศาลปกครองกลางและคดีของศาลจังหวัดกบินทร์บุรีที่ผู้ร้องที่ ๑ กล่าวอ้างว่าขัดแย้งกันเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงมีความเกี่ยวข้องกัน แต่ผู้ร้องที่ ๑ ไม่ได้เป็นคู่ความหรือเป็นบุคคลที่ได้รับผลกระทบโดยตรงในคดีที่ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีคำพิพากษาลงโทษคนต่างด้าวตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ คู่กรณีในคดีที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งและคู่ความในคดีที่ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีมีคำพิพากษาจึงมิใช่รายเดียวกัน ทั้งการที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้โอนและจำหน่ายคดีของผู้ร้องที่ ๑ ไปยังศาลจังหวัดกบินทร์บุรีเป็นเพียงการดำเนินการเมื่อทั้งสองศาลมีความเห็นพ้องกัน และคำสั่งดังกล่าวเป็นที่สุดเรื่องเขตอำนาจศาลตามที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๒) และวรรคสองกำหนดไว้ ซึ่งไม่ใช่การวินิจฉัยประเด็นแห่งคดี ดังนั้น คดีนี้ยังไม่มีการพิจารณาและมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นแห่งคดี คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดของศาลปกครองและศาลยุติธรรมที่ผู้ร้องที่ ๑ กล่าวอ้างจึงมิใช่คดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันและมิใช่กรณีที่ศาลสองศาลตัดสินแตกต่างกันจนทำให้คู่ความไม่อาจที่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลใดศาลหนึ่งได้ สำหรับผู้ร้องที่ ๒ ถึงที่ ๔ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ร้องที่ ๒ ถึงที่ ๔ มิใช่คู่กรณีหรือคู่ความในคดีที่ผู้ร้องที่ ๒ ถึงที่ ๔ กล่าวอ้างว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน และมิใช่บุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าว ผู้ร้องที่ ๒ ถึงที่ ๔ จึงมิใช่บุคคลที่มีสิทธิยื่นคำร้องตามมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการไม่อาจรับคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ไว้พิจารณาได้
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ อาศัยอำนาจตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ ให้ยกคำร้องนี้เสีย
ติดราชการ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายปัญญา ถนอมรอด) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
??
??
??
??
๗
การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๒๐/๒๕๕๐
วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๐
เรื่อง การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ศาลจังหวัดระยอง
ระหว่าง
ศาลปกครองระยอง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดระยองโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยจำเลยที่ ๒ โต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การและศาลทำความเห็นเกี่ยวกับเขตอำนาจโดยศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๙ นางสอาด เกิดแสง ที่ ๑ นายเพลย เหลือถนอม ที่ ๒ โจทก์ ยื่นฟ้อง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอบ้านค่าย ที่ ๑ เทศบาลตำบลบ้านค่าย ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดระยอง เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๖๓๘/๒๕๔๙ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๘ นางเปาว์ เหลือถนอม มารดาของโจทก์ที่ ๑ และเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ ๒ ถูกกระแสไฟฟ้าช็อตเสียชีวิต อันเนื่องมาจากจำเลยทั้งสองละเลยไม่ดูแลตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยในอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดที่จำเลยทั้งสองนำมาติดตั้งไว้ ทำให้กระแสไฟฟ้ารั่วไหลจากโคมไฟฟ้าให้แสงสว่างส่องทางที่ติดตั้งอยู่บนยอดเสาไฟฟ้าของจำเลยที่ ๑ และรั่วไหลลงมาตามลวดสลิงดึงรั้งเสาไฟฟ้าที่จำเลยที่ ๑ ติดตั้งไว้ โคมไฟฟ้าให้แสงสว่างดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ ๒ ที่ติดตั้งโดยความยินยอมและเห็นชอบของจำเลยที่ ๑ จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จักต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้คุณภาพและมาตรฐาน ตลอดจนบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดที่อยู่ในความรับผิดชอบและความควบคุมกำกับดูแลของจำเลยทั้งสองให้อยู่ในสภาพที่ดีมีความปลอดภัยแก่ประชาชนทั่วไปอย่างเข้มงวด แต่จำเลยทั้งสองหาได้ทำเช่นนั้นไม่ การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายเป็นค่าปลงศพเป็นเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการจัดการศพเป็นเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และค่าขาดไร้อุปการะและค่าขาดแรงงานในส่วนของโจทก์ที่ ๒ เป็นระยะเวลา ๑๐ ปี ปีละ ๑๒๐,๐๐๐ บาท คิดเป็นเงินจำนวน ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ทั้งสองได้ติดตามทวงถามจำเลยทั้งสองให้ชดใช้ค่าเสียหาย แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหาย รวมเป็นเงิน ๑,๔๘๗,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยจากต้นเงิน ๑,๔๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองเนื่องจากโคมไฟฟ้าที่ติดตั้งบนเสาไฟฟ้าต้นที่เกิดเหตุไม่ได้เป็นของจำเลยที่ ๑ แต่เป็นของจำเลยที่ ๒ การติดตั้ง ตรวจสอบและการบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพที่มั่นคงและปลอดภัยนั้น จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการและรับผิดชอบทั้งหมด อีกทั้งสายไฟฟ้าแรงต่ำที่จ่ายไฟให้กับชุดโคมไฟฟ้าก็เป็นของจำเลยที่ ๒ เช่นกัน ส่วนจำเลยที่ ๑ เป็นเพียงเจ้าของเสาไฟฟ้าที่ให้จำเลยที่ ๒ อาศัยติดตั้งโคมไฟฟ้าเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยไม่ได้คิดค่าเช่าหรือค่าตอบแทนแต่อย่างใด ความตายของนางเปาว์ เหลือถนอม จึงไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า กระแสไฟฟ้าไม่ได้รั่วไหลจากโคมไฟฟ้าของจำเลยที่ ๒ เนื่องจากโคมไฟฟ้าดังกล่าวมีคุณภาพได้มาตรฐานและมีใช้กันทั่วไป จำเลยที่ ๒ ได้จัดซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) รับรองคุณภาพตามระเบียบพัสดุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนั้นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่นำไปติดตั้งตามจุดต่างๆ ทั่วทั้งเขตเทศบาลบ้านค่ายย่อมมีคุณภาพและได้มาตรฐาน การติดตั้งโคมไฟฟ้าสาธารณะจำเลยที่ ๒ ได้ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันกระแสไฟฟ้าเกินและลัดวงจรไว้ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะ นอกจากนี้จำเลยที่ ๒ ได้บำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าให้มีความปลอดภัยอยู่เป็นประจำ โดยมอบหมายให้พนักงานเทศบาล ลูกจ้างประจำ พนักงานจ้าง และผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องไฟฟ้าสาธารณะออกตรวจสอบ แก้ไข ซ่อมบำรุงไฟฟ้าสาธารณะภายในเขตเทศบาลอยู่เป็นประจำ โดยมีการทำรายงานเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับ เพื่อพิจารณาสั่งการให้แก้ไขความชำรุด จำเลยที่ ๒ ได้ใช้ความระมัดระวังโดยตรวจสอบระบบไฟฟ้าสาธารณะตามระเบียบของทางราชการทุกประการ ไม่ได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด การรั่วของกระแสไฟฟ้าจึงไม่ได้เกิดจากโคมไฟฟ้าที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๒ นอกจากนั้น ความรับผิดจากการละเมิดตามฟ้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งโจทก์ทั้งสองได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาทนายจำเลยทั้งสองแถลงด้วยวาจาว่าคดีอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลปกครอง ศาลจังหวัดระยองจึงให้รอการพิจารณาไว้ชั่วคราวและจัดทำความเห็นส่งให้ศาลปกครองระยองจัดทำความเห็น ต่อมาศาลจังหวัดระยองมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องจำเลยที่ ๑ เนื่องจากจำเลยที่ ๑ ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล การรับฟ้องไว้พิจารณาจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗
ศาลจังหวัดระยองเห็นว่า แม้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นหน่วยงานทางปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ แต่การกระทำละเมิดตามที่โจทก์ทั้งสองฟ้องมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร การกระทำละเมิดตามที่โจทก์ทั้งสองฟ้องจึงเป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองระยองเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ จำเลยที่ ๒ เป็นราชการส่วนท้องถิ่น จึงมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่โดยตรงในการผลิต จัดให้ได้มา จัดส่ง และจำหน่ายไฟฟ้าซึ่งเป็นกิจการสาธารณูปโภคตามมาตรา ๖ และมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ จำเลยที่ ๒ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดให้มีและบำรุงทางบกและทางน้ำซึ่งรวมถึงการบำรุงการไฟฟ้าหรือแสงสว่างบนทางบกหรือทางน้ำดังกล่าวด้วย อันเป็นการจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคและระบบบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตามมาตรา ๕๐ (๒) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ ดังนั้น การจัดให้มีและบำรุงรักษาสิ่งสาธารณูปโภคดังกล่าว จึงถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายในการจัดระบบและให้บริการสาธารณะ เมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องว่าจำเลยทั้งสองมิได้ตรวจสอบดูแลและบำรุงรักษาให้สิ่งสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะมีความปลอดภัยอย่างเพียงพอ และก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิด อันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามแนวคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๑๔/๒๕๔๗, ๑๕/๒๕๔๗ และ ๑๐/๒๕๔๘
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหาร หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่น ในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว ..." และมาตรา ๑๐ วรรคสาม บัญญัติว่า "ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเอง ก่อนมีคำพิพากษาโดยอนุโลม" ประกอบกับมาตรา ๑๗ วรรคสอง ให้อำนาจคณะกรรมการในการออกข้อบังคับซึ่งตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยในข้อ ๒๘ บัญญัติว่า "หากคำร้องที่ยื่นไว้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติ ... คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้ยกคำร้องเสียก็ได้" และข้อ ๒๙ บัญญัติว่า "ในกรณีดังต่อไปนี้ คณะกรรมการจะสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความก็ได้ (๑) เมื่อผู้ร้องขอถอนคำร้อง (๒) การส่งเรื่องให้คณะกรรมการมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติกำหนดไว้ (๓) เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าการพิจารณาไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป"
ข้อเท็จจริงคดีนี้ เป็นกรณีโจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลจังหวัดระยองว่าจำเลยทั้งสองละเลยไม่ดูแลตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยในอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดที่จำเลยทั้งสองนำมาติดตั้งไว้ ทำให้กระแสไฟฟ้ารั่วไหลจากโคมไฟฟ้าให้แสงสว่างส่องทางที่ติดตั้งอยู่บนยอดเสาไฟฟ้าของจำเลยที่ ๑ และรั่วไหลลงมาตามลวดสลิงดึงรั้งเสาไฟฟ้าที่จำเลยที่ ๑ ติดตั้งไว้ทำให้นางเปาว์ เหลือถนอม ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ที่ ๑ และเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ ๒ เสียชีวิต จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จักต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้คุณภาพและมาตรฐาน ตลอดจนบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดที่อยู่ในความรับผิดชอบและความควบคุมกำกับดูแลของจำเลยทั้งสองให้อยู่ในสภาพที่ดีมีความปลอดภัยแก่ประชาชนทั่วไปอย่างเข้มงวด แต่จำเลยทั้งสองหาได้ทำเช่นนั้นไม่ การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ความรับผิดจากการละเมิดตามฟ้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งโจทก์ทั้งสองได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ต่อมาทนายจำเลยทั้งสองแถลงด้วยวาจาต่อศาลจังหวัดระยองว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลปกครอง ศาลจังหวัดระยองจึงให้รอการพิจารณาไว้ชั่วคราวและจัดทำความเห็นส่งให้ศาลปกครองโดยศาลจังหวัดระยองเห็นว่า แม้จำเลยทั้งสองเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่การกระทำละเมิดตามที่โจทก์ทั้งสองฟ้องมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร การกระทำละเมิดตามที่โจทก์ทั้งสองฟ้อง จึงเป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลจังหวัดระยอง เห็นว่า เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า หากคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งก็จะต้องยื่นคำร้องก่อนวันสืบพยานของศาลยุติธรรม แต่การโต้แย้งเขตอำนาจศาลของจำเลยทั้งสองในกรณีนี้เป็นการโต้แย้งไว้ในคำให้การและแถลงด้วยวาจาต่อศาลโดยไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะจึงเป็นการโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งการทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นกรณีที่ศาลจัดทำความเห็นของตนเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลตามข้อโต้แย้งที่เริ่มกระบวนการโดยการทำเป็นคำร้องตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งก่อน ส่วนในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ให้อนุโลมตามมาตรา ๑๐ ซึ่งชอบที่จะเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมิได้กระทำตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด ทั้งกรณีที่ศาลเห็นเองว่าอยู่ในอำนาจของศาลตนเองก็ไม่ใช่กรณีที่ถือได้ว่ามีปัญหาขัดแย้งกันเกี่ยวกับเขตอำนาจศาล กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า การส่งเรื่องกรณีระหว่างศาลจังหวัดระยองและศาลปกครองระยองที่เกี่ยวข้องกับโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองในคดีนี้ให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) ปัญญา ถนอมรอด (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายปัญญา ถนอมรอด) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
??
??
??
??
๖
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๒๐/๒๕๕๐
วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๐
เรื่อง การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ศาลจังหวัดระยอง
ระหว่าง
ศาลปกครองระยอง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดระยองโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยจำเลยที่ ๒ โต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การและศาลทำความเห็นเกี่ยวกับเขตอำนาจโดยศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๙ นางสอาด เกิดแสง ที่ ๑ นายเพลย เหลือถนอม ที่ ๒ โจทก์ ยื่นฟ้อง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอบ้านค่าย ที่ ๑ เทศบาลตำบลบ้านค่าย ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดระยอง เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๖๓๘/๒๕๔๙ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๘ นางเปาว์ เหลือถนอม มารดาของโจทก์ที่ ๑ และเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ ๒ ถูกกระแสไฟฟ้าช็อตเสียชีวิต อันเนื่องมาจากจำเลยทั้งสองละเลยไม่ดูแลตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยในอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดที่จำเลยทั้งสองนำมาติดตั้งไว้ ทำให้กระแสไฟฟ้ารั่วไหลจากโคมไฟฟ้าให้แสงสว่างส่องทางที่ติดตั้งอยู่บนยอดเสาไฟฟ้าของจำเลยที่ ๑ และรั่วไหลลงมาตามลวดสลิงดึงรั้งเสาไฟฟ้าที่จำเลยที่ ๑ ติดตั้งไว้ โคมไฟฟ้าให้แสงสว่างดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ ๒ ที่ติดตั้งโดยความยินยอมและเห็นชอบของจำเลยที่ ๑ จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จักต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้คุณภาพและมาตรฐาน ตลอดจนบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดที่อยู่ในความรับผิดชอบและความควบคุมกำกับดูแลของจำเลยทั้งสองให้อยู่ในสภาพที่ดีมีความปลอดภัยแก่ประชาชนทั่วไปอย่างเข้มงวด แต่จำเลยทั้งสองหาได้ทำเช่นนั้นไม่ การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายเป็นค่าปลงศพเป็นเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการจัดการศพเป็นเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และค่าขาดไร้อุปการะและค่าขาดแรงงานในส่วนของโจทก์ที่ ๒ เป็นระยะเวลา ๑๐ ปี ปีละ ๑๒๐,๐๐๐ บาท คิดเป็นเงินจำนวน ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ทั้งสองได้ติดตามทวงถามจำเลยทั้งสองให้ชดใช้ค่าเสียหาย แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหาย รวมเป็นเงิน ๑,๔๘๗,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยจากต้นเงิน ๑,๔๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองเนื่องจากโคมไฟฟ้าที่ติดตั้งบนเสาไฟฟ้าต้นที่เกิดเหตุไม่ได้เป็นของจำเลยที่ ๑ แต่เป็นของจำเลยที่ ๒ การติดตั้ง ตรวจสอบและการบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพที่มั่นคงและปลอดภัยนั้น จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการและรับผิดชอบทั้งหมด อีกทั้งสายไฟฟ้าแรงต่ำที่จ่ายไฟให้กับชุดโคมไฟฟ้าก็เป็นของจำเลยที่ ๒ เช่นกัน ส่วนจำเลยที่ ๑ เป็นเพียงเจ้าของเสาไฟฟ้าที่ให้จำเลยที่ ๒ อาศัยติดตั้งโคมไฟฟ้าเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยไม่ได้คิดค่าเช่าหรือค่าตอบแทนแต่อย่างใด ความตายของนางเปาว์ เหลือถนอม จึงไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า กระแสไฟฟ้าไม่ได้รั่วไหลจากโคมไฟฟ้าของจำเลยที่ ๒ เนื่องจากโคมไฟฟ้าดังกล่าวมีคุณภาพได้มาตรฐานและมีใช้กันทั่วไป จำเลยที่ ๒ ได้จัดซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) รับรองคุณภาพตามระเบียบพัสดุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนั้นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่นำไปติดตั้งตามจุดต่างๆ ทั่วทั้งเขตเทศบาลบ้านค่ายย่อมมีคุณภาพและได้มาตรฐาน การติดตั้งโคมไฟฟ้าสาธารณะจำเลยที่ ๒ ได้ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันกระแสไฟฟ้าเกินและลัดวงจรไว้ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะ นอกจากนี้จำเลยที่ ๒ ได้บำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าให้มีความปลอดภัยอยู่เป็นประจำ โดยมอบหมายให้พนักงานเทศบาล ลูกจ้างประจำ พนักงานจ้าง และผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องไฟฟ้าสาธารณะออกตรวจสอบ แก้ไข ซ่อมบำรุงไฟฟ้าสาธารณะภายในเขตเทศบาลอยู่เป็นประจำ โดยมีการทำรายงานเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับ เพื่อพิจารณาสั่งการให้แก้ไขความชำรุด จำเลยที่ ๒ ได้ใช้ความระมัดระวังโดยตรวจสอบระบบไฟฟ้าสาธารณะตามระเบียบของทางราชการทุกประการ ไม่ได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด การรั่วของกระแสไฟฟ้าจึงไม่ได้เกิดจากโคมไฟฟ้าที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๒ นอกจากนั้น ความรับผิดจากการละเมิดตามฟ้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งโจทก์ทั้งสองได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาทนายจำเลยทั้งสองแถลงด้วยวาจาว่าคดีอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลปกครอง ศาลจังหวัดระยองจึงให้รอการพิจารณาไว้ชั่วคราวและจัดทำความเห็นส่งให้ศาลปกครองระยองจัดทำความเห็น ต่อมาศาลจังหวัดระยองมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องจำเลยที่ ๑ เนื่องจากจำเลยที่ ๑ ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล การรับฟ้องไว้พิจารณาจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗
ศาลจังหวัดระยองเห็นว่า แม้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นหน่วยงานทางปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ แต่การกระทำละเมิดตามที่โจทก์ทั้งสองฟ้องมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร การกระทำละเมิดตามที่โจทก์ทั้งสองฟ้องจึงเป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองระยองเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ จำเลยที่ ๒ เป็นราชการส่วนท้องถิ่น จึงมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่โดยตรงในการผลิต จัดให้ได้มา จัดส่ง และจำหน่ายไฟฟ้าซึ่งเป็นกิจการสาธารณูปโภคตามมาตรา ๖ และมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ จำเลยที่ ๒ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดให้มีและบำรุงทางบกและทางน้ำซึ่งรวมถึงการบำรุงการไฟฟ้าหรือแสงสว่างบนทางบกหรือทางน้ำดังกล่าวด้วย อันเป็นการจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคและระบบบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตามมาตรา ๕๐ (๒) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ ดังนั้น การจัดให้มีและบำรุงรักษาสิ่งสาธารณูปโภคดังกล่าว จึงถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายในการจัดระบบและให้บริการสาธารณะ เมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องว่าจำเลยทั้งสองมิได้ตรวจสอบดูแลและบำรุงรักษาให้สิ่งสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะมีความปลอดภัยอย่างเพียงพอ และก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิด อันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามแนวคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๑๔/๒๕๔๗, ๑๕/๒๕๔๗ และ ๑๐/๒๕๔๘
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหาร หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่น ในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว ..." และมาตรา ๑๐ วรรคสาม บัญญัติว่า "ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเอง ก่อนมีคำพิพากษาโดยอนุโลม" ประกอบกับมาตรา ๑๗ วรรคสอง ให้อำนาจคณะกรรมการในการออกข้อบังคับซึ่งตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยในข้อ ๒๘ บัญญัติว่า "หากคำร้องที่ยื่นไว้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติ ... คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้ยกคำร้องเสียก็ได้" และข้อ ๒๙ บัญญัติว่า "ในกรณีดังต่อไปนี้ คณะกรรมการจะสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความก็ได้ (๑) เมื่อผู้ร้องขอถอนคำร้อง (๒) การส่งเรื่องให้คณะกรรมการมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติกำหนดไว้ (๓) เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าการพิจารณาไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป"
ข้อเท็จจริงคดีนี้ เป็นกรณีโจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลจังหวัดระยองว่าจำเลยทั้งสองละเลยไม่ดูแลตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยในอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดที่จำเลยทั้งสองนำมาติดตั้งไว้ ทำให้กระแสไฟฟ้ารั่วไหลจากโคมไฟฟ้าให้แสงสว่างส่องทางที่ติดตั้งอยู่บนยอดเสาไฟฟ้าของจำเลยที่ ๑ และรั่วไหลลงมาตามลวดสลิงดึงรั้งเสาไฟฟ้าที่จำเลยที่ ๑ ติดตั้งไว้ทำให้นางเปาว์ เหลือถนอม ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ที่ ๑ และเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ ๒ เสียชีวิต จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จักต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้คุณภาพและมาตรฐาน ตลอดจนบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดที่อยู่ในความรับผิดชอบและความควบคุมกำกับดูแลของจำเลยทั้งสองให้อยู่ในสภาพที่ดีมีความปลอดภัยแก่ประชาชนทั่วไปอย่างเข้มงวด แต่จำเลยทั้งสองหาได้ทำเช่นนั้นไม่ การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ความรับผิดจากการละเมิดตามฟ้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งโจทก์ทั้งสองได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ต่อมาทนายจำเลยทั้งสองแถลงด้วยวาจาต่อศาลจังหวัดระยองว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลปกครอง ศาลจังหวัดระยองจึงให้รอการพิจารณาไว้ชั่วคราวและจัดทำความเห็นส่งให้ศาลปกครองโดยศาลจังหวัดระยองเห็นว่า แม้จำเลยทั้งสองเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่การกระทำละเมิดตามที่โจทก์ทั้งสองฟ้องมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร การกระทำละเมิดตามที่โจทก์ทั้งสองฟ้อง จึงเป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลจังหวัดระยอง เห็นว่า เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า หากคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งก็จะต้องยื่นคำร้องก่อนวันสืบพยานของศาลยุติธรรม แต่การโต้แย้งเขตอำนาจศาลของจำเลยทั้งสองในกรณีนี้เป็นการโต้แย้งไว้ในคำให้การและแถลงด้วยวาจาต่อศาลโดยไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะจึงเป็นการโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งการทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นกรณีที่ศาลจัดทำความเห็นของตนเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลตามข้อโต้แย้งที่เริ่มกระบวนการโดยการทำเป็นคำร้องตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งก่อน ส่วนในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ให้อนุโลมตามมาตรา ๑๐ ซึ่งชอบที่จะเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมิได้กระทำตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด ทั้งกรณีที่ศาลเห็นเองว่าอยู่ในอำนาจของศาลตนเองก็ไม่ใช่กรณีที่ถือได้ว่ามีปัญหาขัดแย้งกันเกี่ยวกับเขตอำนาจศาล กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า การส่งเรื่องกรณีระหว่างศาลจังหวัดระยองและศาลปกครองระยองที่เกี่ยวข้องกับโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองในคดีนี้ให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) ปัญญา ถนอมรอด (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายปัญญา ถนอมรอด) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
??
??
??
??
๖
การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 10 วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๑๐/๒๕๕๐
วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๐
เรื่อง การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
คำสั่งศาลปกครองสูงสุด
ระหว่าง
คำพิพากษาศาลแพ่ง
การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ
บริษัท พี.ที.ฟูดส์ แสตนดาร์ดอินดัสทรี จำกัด ที่ ๑ นายไพบูลย์ ก่อเกียรติตระกูล ที่ ๒ ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด กรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อเท็จจริงในคดี
บริษัท พี.ที.ฟูดส์ แสตนดาร์ดอินดัสทรี จำกัด ที่ ๑ นายไพบูลย์ ก่อเกียรติตระกูล ที่ ๒ ผู้ร้อง โดยนายภานุ สุขวัลลิ ผู้รับมอบอำนาจยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครองขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ความว่า เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๖ องค์การคลังสินค้า โจทก์ ได้ยื่นฟ้องผู้ร้องที่ ๑ เป็นจำเลยที่ ๑ และผู้ร้องที่ ๒ เป็นจำเลยที่ ๒ ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ย. ๑๐๓๔/๒๕๔๖ กรณีที่ผู้ร้องที่ ๑ ทำสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๒ จำนวน ๑๔,๙๑๐,๐๐๐ บาท ตามโครงการแทรกแซงตลาดสับปะรดปี ๒๕๔๒ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่สับปะรดให้สามารถจำหน่ายผลผลิตในราคาที่เหมาะสม และผู้ร้องที่ ๑ ทำสัญญาจำนำผลิตภัณฑ์สับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดเข้มข้นเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมให้ไว้แก่โจทก์ และโจทก์ทำสัญญารับดูแลรักษาทรัพย์จำนำกับผู้ร้องที่ ๒ ให้เป็นผู้ดูแลและรักษาทรัพย์ที่จำนำให้ปลอดภัย ผู้ร้องที่ ๑ ผิดสัญญาไม่ชำระเงินคืน โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนำ ผู้ร้องที่ ๑ เพิกเฉย และสับปะรดที่จำนำเป็นประกันสูญหายไปจากสถานที่เก็บรักษาทั้งหมด จึงฟ้องให้ผู้ร้องที่ ๑ รับผิดตามสัญญากู้ยืมและสัญญาจำนำ และให้ผู้ร้องที่ ๒ รับผิดตามสัญญารับดูแลรักษาทรัพย์จำนำ ศาลแพ่งมีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ ย. ๘๓๓/๒๕๔๘ ให้ผู้ร้องทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑๕,๖๔๙,๙๘๙.๓๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ผู้ร้องที่ ๑ อุทธรณ์คำพิพากษาอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์ยกคำร้อง และมีคำสั่งให้ผู้ร้องที่ ๑ นำเงินมาชำระค่าธรรมเนียมศาลภายใน ๑๕ วัน ผู้ร้องที่ ๑ เพิกเฉยไม่ชำระเงินภายในกำหนด ศาลแพ่งมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ในขณะเดียวกันเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๗ องค์การคลังสินค้า โจทก์ได้ยื่นฟ้องบริษัท สับปะรดปราณบุรี (ประเทศไทย) จำกัด ที่ ๑ นางอัจฉรา อุ่นอนุโลม ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ย. ๑๙๘/๒๕๔๗ ให้จำเลยที่ ๑ รับผิดตามสัญญากู้ยืมและสัญญาจำนำ และให้จำเลยที่ ๒ รับผิดตามสัญญารับดูแลรักษาทรัพย์จำนำ ตามโครงการแทรกแซงตลาดสับปะรด ปี ๒๕๔๓ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกันกับสัญญาระหว่างโจทก์กับผู้ร้องทั้งสอง ระหว่างพิจารณาศาลแพ่ง เห็นว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง จึงดำเนินการจัดทำความเห็นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ ศาลปกครองกลางเห็นพ้องกับศาลแพ่งว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลแพ่งจึงโอนคดีดังกล่าวไปยังศาลปกครองกลาง ต่อมาศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากเป็นการยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดีและคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวไม่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือมีเหตุจำเป็นอื่น โจทก์หรือผู้ฟ้องคดียื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งที่ ๒๖๔/๒๕๔๙ ยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ผู้ร้องทั้งสองเห็นว่า คำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ ย. ๘๓๓/๒๕๔๘ ที่ให้ผู้ร้องทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ดังกล่าวขัดแย้งกับคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ ๒๖๔/๒๕๔๙ โดยทั้งสองคดีมีมูลความแห่งคดีและประเด็นพิพาท ไม่แตกต่างกันในข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกัน สำหรับสัญญากู้ยืมเงินตามโครงการแทรกแซงตลาดสับปะรดทั้งของผู้ร้องที่ ๑ และบริษัท สับปะรดปราณบุรี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้ยืม และมีโจทก์รายเดียวกันเป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้ให้กู้ยืมเช่นเดียวกัน ทั้งวงเงินที่ให้กู้ยืมก็เป็นไปตามโครงการแทรกแซงตลาดสับปะรดฤดูกาลผลิตปี ๒๕๔๒ - ๒๕๔๓ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ส่วนสัญญาจำนำผลิตภัณฑ์สับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดเข้มข้นระหว่างโจทก์กับผู้ร้องที่ ๑ กับสัญญาระหว่างโจทก์กับบริษัท สับปะรดปราณบุรี (ประเทศไทย) จำกัด และสัญญารับดูแลรักษาทรัพย์จำนำระหว่างโจทก์กับผู้ร้องที่ ๒ กับสัญญาระหว่างโจทก์กับนางอัจฉรา อุ่นอนุโลม ก็มีลักษณะไม่แตกต่างกัน ดังนั้นมูลคดีพิพาทระหว่างโจทก์กับผู้ร้องทั้งสองจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองและอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองเช่นเดียวกับคดีระหว่างโจทก์กับบริษัท สับปะรดปราณบุรี (ประเทศไทย) จำกัด และนางอัจฉรา อุ่นอนุโลม คำพิพากษาของศาลแพ่งที่ให้ ผู้ร้องทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ จึงขัดแย้งกับคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด จนเป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าว จึงขอให้คณะกรรมการมีคำสั่งเรียกสำนวนคดีของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ ย.๘๓๓/๒๕๔๘ และสำนวนคดีของศาลปกครองสูงสุดคำสั่งที่ ๒๖๔/๒๕๔๙ เพื่อประกอบการพิจารณาคำร้อง โดยขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแพ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งและคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีดังกล่าว ขอให้โอนคดีของผู้ร้องทั้งสองไปยังศาลปกครองที่มีเขตอำนาจ เพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป และขอให้มีคำสั่งให้ศาลแพ่งรอการวินิจฉัยตามคำร้องเสียก่อน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คำร้องของผู้ร้องทั้งสองชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า องค์การคลังสินค้า โจทก์ ให้ผู้ร้องที่ ๑ กู้ยืมเงินตามโครงการแทรกแซงตลาดสับปะรดปี ๒๕๔๒ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่สับปะรดให้สามารถจำหน่ายผลผลิตในราคาที่เหมาะสม โดยผู้ร้องที่ ๑ จำนำผลิตภัณฑ์สับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดเข้มข้นเป็นประกัน และโจทก์ทำสัญญารับดูแลรักษาทรัพย์จำนำกับผู้ร้องที่ ๒ ให้เป็นผู้ดูแลและรักษาทรัพย์ที่จำนำให้ปลอดภัย ผู้ร้องที่ ๑ ผิดสัญญาไม่ชำระเงินคืน และสับปะรดที่จำนำเป็นประกันสูญหาย โจทก์จึงยื่นฟ้องผู้ร้องทั้งสองต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ย. ๑๐๓๔/๒๕๔๖ และศาลแพ่งมีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ ย. ๘๓๓/๒๕๔๘ ให้ผู้ร้องทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑๕,๖๔๙,๙๘๙.๓๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ผู้ร้องที่ ๑ อุทธรณ์คำพิพากษาอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์ยกคำร้อง และมีคำสั่งให้ผู้ร้องที่ ๑ นำเงินมาชำระค่าธรรมเนียมศาลภายใน ๑๕ วัน ผู้ร้องที่ ๑ เพิกเฉย ศาลแพ่งมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ในขณะเดียวกัน องค์การคลังสินค้า โจทก์ได้ยื่นฟ้องบริษัท สับปะรดปราณบุรี (ประเทศไทย) จำกัด ที่ ๑ นางอัจฉรา อุ่นอนุโลม ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลแพ่งให้จำเลยที่ ๑ รับผิดตามสัญญากู้ยืมและสัญญาจำนำ และให้จำเลยที่ ๒ รับผิดตามสัญญารับดูแลรักษาทรัพย์จำนำ ตามโครงการแทรกแซงตลาดสับปะรดปี ๒๕๔๓ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกันกับสัญญาระหว่างโจทก์กับผู้ร้องทั้งสอง ศาลแพ่งกับศาลปกครองกลางเห็นพ้องกันว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลแพ่งจึงโอนคดีไปยังศาลปกครองกลาง ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากเป็นการยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดีและคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวไม่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือมีเหตุจำเป็นอื่น โจทก์หรือผู้ฟ้องคดียื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ ๒๖๔/๒๕๔๙ ยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ผู้ร้องทั้งสองเห็นว่าคำพิพากษาของศาลแพ่งที่ให้ผู้ร้องทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ขัดแย้งกับคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดเป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าว จึงขอให้คณะกรรมการ มีคำสั่งเรียกสำนวนคดีของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ ย.๘๓๓/๒๕๔๘ และสำนวนคดีของศาลปกครองสูงสุดคำสั่งที่ ๒๖๔/๒๕๔๙ เพื่อประกอบการพิจารณาคำร้อง โดยขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแพ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งและคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีดังกล่าว ขอให้โอนคดีของผู้ร้องทั้งสองไปยังศาลปกครองที่มีเขตอำนาจ เพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป และขอให้มีคำสั่งให้ศาลแพ่งรอให้มีการวินิจฉัยตามคำร้องเสียก่อน
พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความหรือบุคคล ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด..." ดังนั้น คดีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันและจะส่งให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันแต่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสองศาล ต่างระบบและศาลทั้งสองศาลนั้นมีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแตกต่างกันจนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม อันหมายความรวมถึงจะต้องเป็นคู่ความ หรือคู่กรณีเดียวกันด้วย เช่น โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลหนึ่งและจำเลยฟ้องโจทก์ต่ออีกศาลหนึ่งโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันและศาลสองศาลตัดสินแตกต่างกันโดยศาลหนึ่งให้โจทก์ชนะคดี แต่อีกศาลหนึ่งให้จำเลยชนะคดี ดังนี้จะเห็นได้ว่าคู่ความ หรือคู่กรณีเดียวกันไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลใดศาลหนึ่งได้ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหายและไม่เป็นธรรม เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ปรากฏว่า คำพิพากษาของศาลแพ่ง และคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ผู้ร้องทั้งสองอ้างว่าขัดแย้งกัน มีเพียงโจทก์หรือผู้ฟ้องคดีเป็นรายเดียวกัน แต่จำเลยหรือผู้ถูกฟ้องคดีมิได้เป็นรายเดียวกัน คู่ความหรือคู่กรณีจึงมิใช่เป็นรายเดียวกัน ทั้งสัญญาซึ่งเป็นมูลความแห่งคดีก็เป็นสัญญาคนละฉบับกัน จึงมิใช่คดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาได้ คำร้องของผู้ร้องทั้งสองจึงไม่ชอบด้วย มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
จึงมีคำสั่งว่า คำร้องของผู้ร้องทั้งสองไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ อาศัยอำนาจตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ ให้ยกคำร้องนี้เสีย
(ลงชื่อ) ปัญญา ถนอมรอด (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายปัญญา ถนอมรอด) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
??
??
??
??
๕
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๑๐/๒๕๕๐
วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๐
เรื่อง การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
คำสั่งศาลปกครองสูงสุด
ระหว่าง
คำพิพากษาศาลแพ่ง
การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ
บริษัท พี.ที.ฟูดส์ แสตนดาร์ดอินดัสทรี จำกัด ที่ ๑ นายไพบูลย์ ก่อเกียรติตระกูล ที่ ๒ ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด กรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อเท็จจริงในคดี
บริษัท พี.ที.ฟูดส์ แสตนดาร์ดอินดัสทรี จำกัด ที่ ๑ นายไพบูลย์ ก่อเกียรติตระกูล ที่ ๒ ผู้ร้อง โดยนายภานุ สุขวัลลิ ผู้รับมอบอำนาจยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครองขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ความว่า เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๖ องค์การคลังสินค้า โจทก์ ได้ยื่นฟ้องผู้ร้องที่ ๑ เป็นจำเลยที่ ๑ และผู้ร้องที่ ๒ เป็นจำเลยที่ ๒ ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ย. ๑๐๓๔/๒๕๔๖ กรณีที่ผู้ร้องที่ ๑ ทำสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๒ จำนวน ๑๔,๙๑๐,๐๐๐ บาท ตามโครงการแทรกแซงตลาดสับปะรดปี ๒๕๔๒ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่สับปะรดให้สามารถจำหน่ายผลผลิตในราคาที่เหมาะสม และผู้ร้องที่ ๑ ทำสัญญาจำนำผลิตภัณฑ์สับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดเข้มข้นเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมให้ไว้แก่โจทก์ และโจทก์ทำสัญญารับดูแลรักษาทรัพย์จำนำกับผู้ร้องที่ ๒ ให้เป็นผู้ดูแลและรักษาทรัพย์ที่จำนำให้ปลอดภัย ผู้ร้องที่ ๑ ผิดสัญญาไม่ชำระเงินคืน โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนำ ผู้ร้องที่ ๑ เพิกเฉย และสับปะรดที่จำนำเป็นประกันสูญหายไปจากสถานที่เก็บรักษาทั้งหมด จึงฟ้องให้ผู้ร้องที่ ๑ รับผิดตามสัญญากู้ยืมและสัญญาจำนำ และให้ผู้ร้องที่ ๒ รับผิดตามสัญญารับดูแลรักษาทรัพย์จำนำ ศาลแพ่งมีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ ย. ๘๓๓/๒๕๔๘ ให้ผู้ร้องทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑๕,๖๔๙,๙๘๙.๓๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ผู้ร้องที่ ๑ อุทธรณ์คำพิพากษาอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์ยกคำร้อง และมีคำสั่งให้ผู้ร้องที่ ๑ นำเงินมาชำระค่าธรรมเนียมศาลภายใน ๑๕ วัน ผู้ร้องที่ ๑ เพิกเฉยไม่ชำระเงินภายในกำหนด ศาลแพ่งมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ในขณะเดียวกันเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๗ องค์การคลังสินค้า โจทก์ได้ยื่นฟ้องบริษัท สับปะรดปราณบุรี (ประเทศไทย) จำกัด ที่ ๑ นางอัจฉรา อุ่นอนุโลม ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ย. ๑๙๘/๒๕๔๗ ให้จำเลยที่ ๑ รับผิดตามสัญญากู้ยืมและสัญญาจำนำ และให้จำเลยที่ ๒ รับผิดตามสัญญารับดูแลรักษาทรัพย์จำนำ ตามโครงการแทรกแซงตลาดสับปะรด ปี ๒๕๔๓ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกันกับสัญญาระหว่างโจทก์กับผู้ร้องทั้งสอง ระหว่างพิจารณาศาลแพ่ง เห็นว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง จึงดำเนินการจัดทำความเห็นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ ศาลปกครองกลางเห็นพ้องกับศาลแพ่งว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลแพ่งจึงโอนคดีดังกล่าวไปยังศาลปกครองกลาง ต่อมาศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากเป็นการยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดีและคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวไม่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือมีเหตุจำเป็นอื่น โจทก์หรือผู้ฟ้องคดียื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งที่ ๒๖๔/๒๕๔๙ ยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ผู้ร้องทั้งสองเห็นว่า คำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ ย. ๘๓๓/๒๕๔๘ ที่ให้ผู้ร้องทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ดังกล่าวขัดแย้งกับคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ ๒๖๔/๒๕๔๙ โดยทั้งสองคดีมีมูลความแห่งคดีและประเด็นพิพาท ไม่แตกต่างกันในข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกัน สำหรับสัญญากู้ยืมเงินตามโครงการแทรกแซงตลาดสับปะรดทั้งของผู้ร้องที่ ๑ และบริษัท สับปะรดปราณบุรี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้ยืม และมีโจทก์รายเดียวกันเป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้ให้กู้ยืมเช่นเดียวกัน ทั้งวงเงินที่ให้กู้ยืมก็เป็นไปตามโครงการแทรกแซงตลาดสับปะรดฤดูกาลผลิตปี ๒๕๔๒ - ๒๕๔๓ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ส่วนสัญญาจำนำผลิตภัณฑ์สับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดเข้มข้นระหว่างโจทก์กับผู้ร้องที่ ๑ กับสัญญาระหว่างโจทก์กับบริษัท สับปะรดปราณบุรี (ประเทศไทย) จำกัด และสัญญารับดูแลรักษาทรัพย์จำนำระหว่างโจทก์กับผู้ร้องที่ ๒ กับสัญญาระหว่างโจทก์กับนางอัจฉรา อุ่นอนุโลม ก็มีลักษณะไม่แตกต่างกัน ดังนั้นมูลคดีพิพาทระหว่างโจทก์กับผู้ร้องทั้งสองจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองและอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองเช่นเดียวกับคดีระหว่างโจทก์กับบริษัท สับปะรดปราณบุรี (ประเทศไทย) จำกัด และนางอัจฉรา อุ่นอนุโลม คำพิพากษาของศาลแพ่งที่ให้ ผู้ร้องทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ จึงขัดแย้งกับคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด จนเป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าว จึงขอให้คณะกรรมการมีคำสั่งเรียกสำนวนคดีของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ ย.๘๓๓/๒๕๔๘ และสำนวนคดีของศาลปกครองสูงสุดคำสั่งที่ ๒๖๔/๒๕๔๙ เพื่อประกอบการพิจารณาคำร้อง โดยขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแพ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งและคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีดังกล่าว ขอให้โอนคดีของผู้ร้องทั้งสองไปยังศาลปกครองที่มีเขตอำนาจ เพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป และขอให้มีคำสั่งให้ศาลแพ่งรอการวินิจฉัยตามคำร้องเสียก่อน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คำร้องของผู้ร้องทั้งสองชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า องค์การคลังสินค้า โจทก์ ให้ผู้ร้องที่ ๑ กู้ยืมเงินตามโครงการแทรกแซงตลาดสับปะรดปี ๒๕๔๒ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่สับปะรดให้สามารถจำหน่ายผลผลิตในราคาที่เหมาะสม โดยผู้ร้องที่ ๑ จำนำผลิตภัณฑ์สับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดเข้มข้นเป็นประกัน และโจทก์ทำสัญญารับดูแลรักษาทรัพย์จำนำกับผู้ร้องที่ ๒ ให้เป็นผู้ดูแลและรักษาทรัพย์ที่จำนำให้ปลอดภัย ผู้ร้องที่ ๑ ผิดสัญญาไม่ชำระเงินคืน และสับปะรดที่จำนำเป็นประกันสูญหาย โจทก์จึงยื่นฟ้องผู้ร้องทั้งสองต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ย. ๑๐๓๔/๒๕๔๖ และศาลแพ่งมีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ ย. ๘๓๓/๒๕๔๘ ให้ผู้ร้องทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑๕,๖๔๙,๙๘๙.๓๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ผู้ร้องที่ ๑ อุทธรณ์คำพิพากษาอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์ยกคำร้อง และมีคำสั่งให้ผู้ร้องที่ ๑ นำเงินมาชำระค่าธรรมเนียมศาลภายใน ๑๕ วัน ผู้ร้องที่ ๑ เพิกเฉย ศาลแพ่งมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ในขณะเดียวกัน องค์การคลังสินค้า โจทก์ได้ยื่นฟ้องบริษัท สับปะรดปราณบุรี (ประเทศไทย) จำกัด ที่ ๑ นางอัจฉรา อุ่นอนุโลม ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลแพ่งให้จำเลยที่ ๑ รับผิดตามสัญญากู้ยืมและสัญญาจำนำ และให้จำเลยที่ ๒ รับผิดตามสัญญารับดูแลรักษาทรัพย์จำนำ ตามโครงการแทรกแซงตลาดสับปะรดปี ๒๕๔๓ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกันกับสัญญาระหว่างโจทก์กับผู้ร้องทั้งสอง ศาลแพ่งกับศาลปกครองกลางเห็นพ้องกันว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลแพ่งจึงโอนคดีไปยังศาลปกครองกลาง ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากเป็นการยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดีและคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวไม่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือมีเหตุจำเป็นอื่น โจทก์หรือผู้ฟ้องคดียื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ ๒๖๔/๒๕๔๙ ยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ผู้ร้องทั้งสองเห็นว่าคำพิพากษาของศาลแพ่งที่ให้ผู้ร้องทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ขัดแย้งกับคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดเป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าว จึงขอให้คณะกรรมการ มีคำสั่งเรียกสำนวนคดีของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ ย.๘๓๓/๒๕๔๘ และสำนวนคดีของศาลปกครองสูงสุดคำสั่งที่ ๒๖๔/๒๕๔๙ เพื่อประกอบการพิจารณาคำร้อง โดยขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแพ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งและคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีดังกล่าว ขอให้โอนคดีของผู้ร้องทั้งสองไปยังศาลปกครองที่มีเขตอำนาจ เพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป และขอให้มีคำสั่งให้ศาลแพ่งรอให้มีการวินิจฉัยตามคำร้องเสียก่อน
พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความหรือบุคคล ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด..." ดังนั้น คดีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันและจะส่งให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันแต่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสองศาล ต่างระบบและศาลทั้งสองศาลนั้นมีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแตกต่างกันจนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม อันหมายความรวมถึงจะต้องเป็นคู่ความ หรือคู่กรณีเดียวกันด้วย เช่น โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลหนึ่งและจำเลยฟ้องโจทก์ต่ออีกศาลหนึ่งโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันและศาลสองศาลตัดสินแตกต่างกันโดยศาลหนึ่งให้โจทก์ชนะคดี แต่อีกศาลหนึ่งให้จำเลยชนะคดี ดังนี้จะเห็นได้ว่าคู่ความ หรือคู่กรณีเดียวกันไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลใดศาลหนึ่งได้ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหายและไม่เป็นธรรม เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ปรากฏว่า คำพิพากษาของศาลแพ่ง และคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ผู้ร้องทั้งสองอ้างว่าขัดแย้งกัน มีเพียงโจทก์หรือผู้ฟ้องคดีเป็นรายเดียวกัน แต่จำเลยหรือผู้ถูกฟ้องคดีมิได้เป็นรายเดียวกัน คู่ความหรือคู่กรณีจึงมิใช่เป็นรายเดียวกัน ทั้งสัญญาซึ่งเป็นมูลความแห่งคดีก็เป็นสัญญาคนละฉบับกัน จึงมิใช่คดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาได้ คำร้องของผู้ร้องทั้งสองจึงไม่ชอบด้วย มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
จึงมีคำสั่งว่า คำร้องของผู้ร้องทั้งสองไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ อาศัยอำนาจตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ ให้ยกคำร้องนี้เสีย
(ลงชื่อ) ปัญญา ถนอมรอด (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายปัญญา ถนอมรอด) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
??
??
??
??
๕
การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๔/๒๕๕๐
วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๐
เรื่อง การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ศาลจังหวัดไชยา
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดไชยาโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยผู้ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การและศาลทำความเห็นเกี่ยวกับเขตอำนาจโดยศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๔๙ นางสาวภัทรา แก้วมีศรี ที่ ๑ นางสาวฐิติพร แก้วมีศรี ที่ ๒ โจทก์ ยื่นฟ้องเทศบาลตำบลท่าฉาง ที่ ๑ องค์การบริหารส่วนตำบลเขาถ่าน ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดไชยา เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๑/๒๕๔๙ ความว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าตามหลักฐานการชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. ๕) ตั้งอยู่หมู่ที่ ๔ ตำบลเขาถ่าน อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๑ งาน ๗๐ ตารางวา โดยที่ดินแปลงดังกล่าว บิดามารดาของโจทก์ทั้งสองปลูกยางพาราเต็มพื้นที่ จำนวน ๗๐๐ ต้นเศษ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ และโจทก์ทั้งสองครอบครองต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ จนถึงปัจจุบัน เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๔๘ จำเลยที่ ๑ มอบหมายให้ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ เก็บและขนขยะมูลฝอยในเขตพื้นที่รับผิดชอบของจำเลยที่ ๑ นำไปทิ้งไว้ในที่สาธารณประโยชน์ทุ่งผีเล่นดิก ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๔ ตำบลเขาถ่าน อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี อันเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ ๒ โดยความยินยอมของจำเลยที่ ๒ ซึ่งพื้นที่ทิ้งขยะดังกล่าวเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับที่ดินและบ้านเรือนของประชาชนโดยรวม ทั้งนี้ อยู่ห่างจากที่ดินของโจทก์ประมาณ ๒๐๐ เมตร และจำเลยที่ ๑ ได้มอบหมายและสั่งการให้ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ กำจัดขยะมูลฝอยโดยวิธีจุดไฟเผาในที่โล่งแจ้งปราศจากการป้องกันใดๆ ซึ่งการจุดไฟเผาขยะที่มีเป็นจำนวนมาก ทำให้กองขยะดังกล่าวติดไฟอยู่ตลอดเวลานานเป็นเดือน โดยจำเลยทั้งสองมิได้กระทำการใดเพื่อเป็นการป้องกันภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน จำเลยที่ ๒ ในฐานะเจ้าของพื้นที่ผู้รับผิดชอบก็ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ จุดไฟเผากองขยะโดยไม่ห้ามปรามหรือทักท้วงแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่กระทำการใดๆ เพื่อเป็นการป้องกันสาธารณภัยที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่อันเป็นหน้าที่โดยตรงของจำเลยที่ ๒ ต่อมาเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๘ ลมพัดเอาขยะที่ติดไฟไปตกในที่ดินของโจทก์ ทำให้เกิดไฟลุกไหม้สวนยางพาราของโจทก์เป็นระยะเวลายาวนาน โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ แต่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่โดยตรงในการป้องกันสาธารณภัยไม่อาจกระทำการใดเพื่อเป็นการบรรเทาแก้ไขภัยที่เกิดขึ้น ทำให้ไฟลุกไหม้ต้นยางพาราของโจทก์ไปทั้งสิ้น ๖๘๐ ต้น โจทก์เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองถือเป็นการร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้นยางพาราอยู่ในสภาพที่ตายและไม่อาจให้ผลผลิตได้ สภาพดินมีลักษณะเสื่อมโทรม ทำให้โจทก์ต้องขาดรายได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายจำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่ได้กระทำโดยประมาท จำเลยที่ ๑ นำขยะไปทิ้งในที่ดินดังกล่าวโดยได้รับอนุญาตจากอำเภอท่าฉาง และการทิ้งขยะของจำเลยที่ ๑ จะใช้วิธีฝังกลบเท่านั้น ไม่เคยจุดไฟเผา การที่เกิดเพลิงไหม้ตามที่โจทก์อ้างไม่ได้เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ แต่เกิดจากบุคคลภายนอกจุดคบเพลิงจับ (ตี) ผึ้ง แล้วทิ้งคบเพลิงที่ดับไม่สนิทลงบนพื้นดิน ซึ่งมีใบไม้และหญ้าแห้งเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลามไปติดสวนยางพาราของโจทก์ นอกจากนั้น โจทก์ทั้งสองยังเรียกค่าเสียหายเกินส่วน ต้นยางพาราของโจทก์ทั้งสองเสียหายเพียง ๔๐ ต้น คิดเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้นเพียง ๑๐,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ใช้ทิ้งขยะนั้น เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน หากบุคคลใดจะเข้าไปใช้ประโยชน์ต้องได้รับอนุมัติเป็นหนังสือจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย การที่จำเลยที่ ๑ นำขยะไปทิ้งโดยไม่ได้ขออนุญาตจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ไม่เคยอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ ทิ้งขยะในที่ดินแปลงดังกล่าว การที่จำเลยที่ ๑ นำขยะไปทิ้งโดยได้รับอนุมัติจากอำเภอท่าฉาง ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ นอกจากนั้น จำเลยที่ ๒ ได้มีการประชุมและมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่ให้จำเลยที่ ๑ ทิ้งขยะในที่ดินดังกล่าว พร้อมทั้งได้มีหนังสือสอบถามไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ ถูกต้องตามกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการหรือไม่ซึ่งจำเลยที่ ๒ ได้รับแจ้งจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีว่า การที่อำเภอท่าฉางอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ ทิ้งขยะในที่เกิดเหตุเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๒ ไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ดังที่โจทก์ทั้งสองฟ้อง บริเวณทิ้งขยะของจำเลยที่ ๑ อยู่นอกเหนือความดูแลของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและมิได้กระทำโดยประมาท
อนึ่ง จำเลยทั้งสองให้การว่าโจทก์ทั้งสองฟ้องผิดศาล เนื่องจากโจทก์ทั้งสองอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ละเว้นไม่ป้องกันภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน และอ้างว่าจำเลยที่ ๒ ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ จุดไฟเผากองขยะไม่ได้ห้ามปรามหรือทักท้วง เป็นเรื่องคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดเนื่องจากคำสั่งและจากการละเลยต่อหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ศาลนี้จึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ต้องไปฟ้องต่อศาลปกครองโดยตรง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลจังหวัดไชยาเห็นว่า จำเลยทั้งสองเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีหน้าที่กำจัดขยะมูลฝอยและป้องกันบรรเทาสาธารณภัยตามกฎหมาย แต่การกระทำดังกล่าวก็เป็นเพียงปฏิบัติการทางปกครองที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ธรรมดาเพื่อให้กิจการของฝ่ายปกครองเกิดผลสำเร็จเท่านั้น มิใช่เป็นกรณีการปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะที่เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย ดังนั้น คดีพิพาทจึงมิใช่เรื่องเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย กฎ หรือคำสั่งทางปกครอง ทั้งประเด็นพิพาทในคดีนี้แม้เป็นเรื่องการฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง ก็มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของรัฐตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชเห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีพิพาทที่โจทก์ทั้งสองกล่าวหาว่าจำเลยที่ ๑ ใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการจัดทำกิจการทางปกครองหรือการบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ส่วนจำเลยที่ ๒ นอกจากจะมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการกำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลในเขตปกครองของจำเลยที่ ๒ แล้ว ยังมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และอำนาจหน้าที่ในการคุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่กลับละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ และเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย และการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ทั้งนี้ ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๒๙/๒๕๔๗ ที่ ๑๐/๒๕๔๘ และที่ ๓/๒๕๔๙
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหาร หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่น ในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว ..." และมาตรา ๑๐ วรรคสาม บัญญัติว่า "ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเอง ก่อนมีคำพิพากษาโดยอนุโลม" ประกอบกับมาตรา ๑๗ วรรคสอง ให้อำนาจคณะกรรมการในการออกข้อบังคับซึ่งตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยในข้อ ๒๘ บัญญัติว่า "หากคำร้องที่ยื่นไว้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติ ... คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้ยกคำร้องเสียก็ได้" และข้อ ๒๙ บัญญัติว่า "ในกรณีดังต่อไปนี้ คณะกรรมการจะสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความก็ได้ (๑) เมื่อผู้ร้องขอถอนคำร้อง (๒) การส่งเรื่องให้คณะกรรมการมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติกำหนดไว้ (๓) เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าการพิจารณาไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป"
ข้อเท็จจริงคดีนี้ เป็นกรณีโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองต่อศาลจังหวัดไชยา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ กำจัดขยะมูลฝอยด้วยวิธีการจุดไฟเผาในที่สาธารณประโยชน์ทุ่งผีเล่นดิกซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ ๒ โดยปราศจากการป้องกันภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน จำเลยที่ ๒ ในฐานะเจ้าของพื้นที่ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ จุดไฟเผาขยะโดยไม่ห้ามปรามหรือทักท้วง ทั้งยังไม่กระทำการใดๆ เพื่อเป็นการป้องกันสาธารณภัยที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่อันเป็นหน้าที่โดยตรงของจำเลยที่ ๒ การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้ลมพัดขยะที่ติดไฟไปตกในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ทำให้เกิดไฟลุกไหม้สวนยางพาราของโจทก์เป็นระยะเวลายาวนาน โจทก์ทั้งสองได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ แต่จำเลยทั้งสองซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการป้องกันสาธารณภัยไม่อาจกระทำการใดเพื่อเป็นการบรรเทาแก้ไขภัยที่เกิดขึ้นได้ จำเลยทั้งสองให้การว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม เนื่องจากโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีโดยอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ละเว้นไม่ป้องกันภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน และอ้างว่าจำเลยที่ ๒ ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ จุดไฟเผากองขยะโดยไม่ห้ามปรามหรือทักท้วง เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเนื่องมาจากการละเลยต่อหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลจังหวัดไชยาจึงมีคำสั่งให้รอการพิจารณาไว้ชั่วคราวและจัดทำความเห็นส่งให้ศาลปกครองโดยศาลจังหวัดไชยาเห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเพียงปฏิบัติการทางปกครอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลจังหวัดไชยา เห็นว่า เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า หากคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งก็จะต้องยื่นคำร้องก่อนวันสืบพยานของศาลยุติธรรม แต่การโต้แย้งเขตอำนาจศาลของจำเลยทั้งสองในกรณีนี้เป็นการโต้แย้งไว้ในคำให้การโดยไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะจึงเป็นการโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งการทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นกรณีที่ศาลจัดทำความเห็นของตนเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลตามข้อโต้แย้งที่เริ่มกระบวนการโดยการทำเป็นคำร้องตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ให้อนุโลมตามมาตรา ๑๐ ซึ่งชอบที่จะเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น ดังนั้น เมื่อปรากฏว่า จำเลยมิได้กระทำตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด ทั้งกรณีที่ศาลเห็นเองว่าอยู่ในอำนาจของศาลตนเองก็ไม่ใช่กรณีที่ถือได้ว่ามีปัญหาขัดแย้งกันเกี่ยวกับเขตอำนาจศาล กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า กรณีระหว่างศาลจังหวัดไชยาและศาลปกครองนครศรีธรรมราชที่เกี่ยวข้องกับโจทก์และจำเลยในคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) เห็นควรให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) ปัญญา ถนอมรอด (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายปัญญา ถนอมรอด) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
??
??
??
??
๖
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๔/๒๕๕๐
วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๐
เรื่อง การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ศาลจังหวัดไชยา
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดไชยาโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยผู้ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลในคำให้การและศาลทำความเห็นเกี่ยวกับเขตอำนาจโดยศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๔๙ นางสาวภัทรา แก้วมีศรี ที่ ๑ นางสาวฐิติพร แก้วมีศรี ที่ ๒ โจทก์ ยื่นฟ้องเทศบาลตำบลท่าฉาง ที่ ๑ องค์การบริหารส่วนตำบลเขาถ่าน ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดไชยา เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๑/๒๕๔๙ ความว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าตามหลักฐานการชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. ๕) ตั้งอยู่หมู่ที่ ๔ ตำบลเขาถ่าน อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๑ งาน ๗๐ ตารางวา โดยที่ดินแปลงดังกล่าว บิดามารดาของโจทก์ทั้งสองปลูกยางพาราเต็มพื้นที่ จำนวน ๗๐๐ ต้นเศษ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ และโจทก์ทั้งสองครอบครองต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ จนถึงปัจจุบัน เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๔๘ จำเลยที่ ๑ มอบหมายให้ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ เก็บและขนขยะมูลฝอยในเขตพื้นที่รับผิดชอบของจำเลยที่ ๑ นำไปทิ้งไว้ในที่สาธารณประโยชน์ทุ่งผีเล่นดิก ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๔ ตำบลเขาถ่าน อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี อันเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ ๒ โดยความยินยอมของจำเลยที่ ๒ ซึ่งพื้นที่ทิ้งขยะดังกล่าวเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับที่ดินและบ้านเรือนของประชาชนโดยรวม ทั้งนี้ อยู่ห่างจากที่ดินของโจทก์ประมาณ ๒๐๐ เมตร และจำเลยที่ ๑ ได้มอบหมายและสั่งการให้ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ กำจัดขยะมูลฝอยโดยวิธีจุดไฟเผาในที่โล่งแจ้งปราศจากการป้องกันใดๆ ซึ่งการจุดไฟเผาขยะที่มีเป็นจำนวนมาก ทำให้กองขยะดังกล่าวติดไฟอยู่ตลอดเวลานานเป็นเดือน โดยจำเลยทั้งสองมิได้กระทำการใดเพื่อเป็นการป้องกันภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน จำเลยที่ ๒ ในฐานะเจ้าของพื้นที่ผู้รับผิดชอบก็ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ จุดไฟเผากองขยะโดยไม่ห้ามปรามหรือทักท้วงแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่กระทำการใดๆ เพื่อเป็นการป้องกันสาธารณภัยที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่อันเป็นหน้าที่โดยตรงของจำเลยที่ ๒ ต่อมาเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๘ ลมพัดเอาขยะที่ติดไฟไปตกในที่ดินของโจทก์ ทำให้เกิดไฟลุกไหม้สวนยางพาราของโจทก์เป็นระยะเวลายาวนาน โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ แต่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่โดยตรงในการป้องกันสาธารณภัยไม่อาจกระทำการใดเพื่อเป็นการบรรเทาแก้ไขภัยที่เกิดขึ้น ทำให้ไฟลุกไหม้ต้นยางพาราของโจทก์ไปทั้งสิ้น ๖๘๐ ต้น โจทก์เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองถือเป็นการร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้นยางพาราอยู่ในสภาพที่ตายและไม่อาจให้ผลผลิตได้ สภาพดินมีลักษณะเสื่อมโทรม ทำให้โจทก์ต้องขาดรายได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายจำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่ได้กระทำโดยประมาท จำเลยที่ ๑ นำขยะไปทิ้งในที่ดินดังกล่าวโดยได้รับอนุญาตจากอำเภอท่าฉาง และการทิ้งขยะของจำเลยที่ ๑ จะใช้วิธีฝังกลบเท่านั้น ไม่เคยจุดไฟเผา การที่เกิดเพลิงไหม้ตามที่โจทก์อ้างไม่ได้เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ แต่เกิดจากบุคคลภายนอกจุดคบเพลิงจับ (ตี) ผึ้ง แล้วทิ้งคบเพลิงที่ดับไม่สนิทลงบนพื้นดิน ซึ่งมีใบไม้และหญ้าแห้งเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลามไปติดสวนยางพาราของโจทก์ นอกจากนั้น โจทก์ทั้งสองยังเรียกค่าเสียหายเกินส่วน ต้นยางพาราของโจทก์ทั้งสองเสียหายเพียง ๔๐ ต้น คิดเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้นเพียง ๑๐,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ใช้ทิ้งขยะนั้น เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน หากบุคคลใดจะเข้าไปใช้ประโยชน์ต้องได้รับอนุมัติเป็นหนังสือจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย การที่จำเลยที่ ๑ นำขยะไปทิ้งโดยไม่ได้ขออนุญาตจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ไม่เคยอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ ทิ้งขยะในที่ดินแปลงดังกล่าว การที่จำเลยที่ ๑ นำขยะไปทิ้งโดยได้รับอนุมัติจากอำเภอท่าฉาง ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ นอกจากนั้น จำเลยที่ ๒ ได้มีการประชุมและมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่ให้จำเลยที่ ๑ ทิ้งขยะในที่ดินดังกล่าว พร้อมทั้งได้มีหนังสือสอบถามไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ ถูกต้องตามกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการหรือไม่ซึ่งจำเลยที่ ๒ ได้รับแจ้งจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีว่า การที่อำเภอท่าฉางอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ ทิ้งขยะในที่เกิดเหตุเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๒ ไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ดังที่โจทก์ทั้งสองฟ้อง บริเวณทิ้งขยะของจำเลยที่ ๑ อยู่นอกเหนือความดูแลของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและมิได้กระทำโดยประมาท
อนึ่ง จำเลยทั้งสองให้การว่าโจทก์ทั้งสองฟ้องผิดศาล เนื่องจากโจทก์ทั้งสองอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ละเว้นไม่ป้องกันภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน และอ้างว่าจำเลยที่ ๒ ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ จุดไฟเผากองขยะไม่ได้ห้ามปรามหรือทักท้วง เป็นเรื่องคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดเนื่องจากคำสั่งและจากการละเลยต่อหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ศาลนี้จึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ต้องไปฟ้องต่อศาลปกครองโดยตรง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลจังหวัดไชยาเห็นว่า จำเลยทั้งสองเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีหน้าที่กำจัดขยะมูลฝอยและป้องกันบรรเทาสาธารณภัยตามกฎหมาย แต่การกระทำดังกล่าวก็เป็นเพียงปฏิบัติการทางปกครองที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ธรรมดาเพื่อให้กิจการของฝ่ายปกครองเกิดผลสำเร็จเท่านั้น มิใช่เป็นกรณีการปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะที่เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย ดังนั้น คดีพิพาทจึงมิใช่เรื่องเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย กฎ หรือคำสั่งทางปกครอง ทั้งประเด็นพิพาทในคดีนี้แม้เป็นเรื่องการฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง ก็มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของรัฐตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชเห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีพิพาทที่โจทก์ทั้งสองกล่าวหาว่าจำเลยที่ ๑ ใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการจัดทำกิจการทางปกครองหรือการบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ส่วนจำเลยที่ ๒ นอกจากจะมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการกำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลในเขตปกครองของจำเลยที่ ๒ แล้ว ยังมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และอำนาจหน้าที่ในการคุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่กลับละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ และเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย และการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ทั้งนี้ ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๒๙/๒๕๔๗ ที่ ๑๐/๒๕๔๘ และที่ ๓/๒๕๔๙
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหาร หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่น ในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว ..." และมาตรา ๑๐ วรรคสาม บัญญัติว่า "ความในมาตรานี้ให้ใช้บังคับกับกรณีที่ศาลเห็นเอง ก่อนมีคำพิพากษาโดยอนุโลม" ประกอบกับมาตรา ๑๗ วรรคสอง ให้อำนาจคณะกรรมการในการออกข้อบังคับซึ่งตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยในข้อ ๒๘ บัญญัติว่า "หากคำร้องที่ยื่นไว้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติ ... คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้ยกคำร้องเสียก็ได้" และข้อ ๒๙ บัญญัติว่า "ในกรณีดังต่อไปนี้ คณะกรรมการจะสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความก็ได้ (๑) เมื่อผู้ร้องขอถอนคำร้อง (๒) การส่งเรื่องให้คณะกรรมการมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติกำหนดไว้ (๓) เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าการพิจารณาไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป"
ข้อเท็จจริงคดีนี้ เป็นกรณีโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองต่อศาลจังหวัดไชยา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ กำจัดขยะมูลฝอยด้วยวิธีการจุดไฟเผาในที่สาธารณประโยชน์ทุ่งผีเล่นดิกซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ ๒ โดยปราศจากการป้องกันภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน จำเลยที่ ๒ ในฐานะเจ้าของพื้นที่ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ จุดไฟเผาขยะโดยไม่ห้ามปรามหรือทักท้วง ทั้งยังไม่กระทำการใดๆ เพื่อเป็นการป้องกันสาธารณภัยที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่อันเป็นหน้าที่โดยตรงของจำเลยที่ ๒ การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้ลมพัดขยะที่ติดไฟไปตกในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ทำให้เกิดไฟลุกไหม้สวนยางพาราของโจทก์เป็นระยะเวลายาวนาน โจทก์ทั้งสองได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ แต่จำเลยทั้งสองซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการป้องกันสาธารณภัยไม่อาจกระทำการใดเพื่อเป็นการบรรเทาแก้ไขภัยที่เกิดขึ้นได้ จำเลยทั้งสองให้การว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม เนื่องจากโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีโดยอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ละเว้นไม่ป้องกันภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน และอ้างว่าจำเลยที่ ๒ ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ จุดไฟเผากองขยะโดยไม่ห้ามปรามหรือทักท้วง เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเนื่องมาจากการละเลยต่อหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลจังหวัดไชยาจึงมีคำสั่งให้รอการพิจารณาไว้ชั่วคราวและจัดทำความเห็นส่งให้ศาลปกครองโดยศาลจังหวัดไชยาเห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเพียงปฏิบัติการทางปกครอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลจังหวัดไชยา เห็นว่า เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า หากคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่งก็จะต้องยื่นคำร้องก่อนวันสืบพยานของศาลยุติธรรม แต่การโต้แย้งเขตอำนาจศาลของจำเลยทั้งสองในกรณีนี้เป็นการโต้แย้งไว้ในคำให้การโดยไม่ได้จัดทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะจึงเป็นการโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งการทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นกรณีที่ศาลจัดทำความเห็นของตนเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลตามข้อโต้แย้งที่เริ่มกระบวนการโดยการทำเป็นคำร้องตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ในกรณีที่ศาลเห็นเองเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลนั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ให้อนุโลมตามมาตรา ๑๐ ซึ่งชอบที่จะเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น ดังนั้น เมื่อปรากฏว่า จำเลยมิได้กระทำตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด ทั้งกรณีที่ศาลเห็นเองว่าอยู่ในอำนาจของศาลตนเองก็ไม่ใช่กรณีที่ถือได้ว่ามีปัญหาขัดแย้งกันเกี่ยวกับเขตอำนาจศาล กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า กรณีระหว่างศาลจังหวัดไชยาและศาลปกครองนครศรีธรรมราชที่เกี่ยวข้องกับโจทก์และจำเลยในคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) เห็นควรให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) ปัญญา ถนอมรอด (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายปัญญา ถนอมรอด) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
??
??
??
??
๖
การส่งเรื่องกรณีโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 10 วรรคหนึ่งและวรรคสาม
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๑๘/๒๕๔๙
วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๔๙
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองสงขลา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเหตุว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้วศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๘ นายสมัคร กิจค้า โจทก์ได้ยื่นฟ้องนายสถิตย์สวินทร ที่ ๑ กรมป่าไม้ ที่ ๒ นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ ที่ ๓ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๔จำเลย ต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๓๘๙/๒๕๔๘ ความว่า โจทก์เป็นผู้ได้รับสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนจาก จำเลยที่ ๔ ในโครงการคลองเกาะยางฝั่งตะวันออก (กบ.๗๑) ในท้องที่ตำบลเกาะลันตาน้อย อำเภอ เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เนื้อที่ ๓,๓๑๓ ไร่ ระยะเวลา ๑๕ ปีตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๒๙ ถึงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๔ จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ ๔ มีหน้าที่ควบคุมดูแลการทำป่าไม้ชายเลนของโจทก์ให้เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขสัมปทาน โดยเงื่อนไขสัมปทานกำหนดแบ่งพื้นที่สัมปทานออกเป็นแปลงย่อยจำนวน ๑๕ แปลง และอนุญาตให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่สัมปทานเพียงปีละ๑แปลง ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนกันยายนของปีถัดไป โจทก์ได้ทำไม้ป่าชายเลนตามข้อกำหนดและเงื่อนไขสัมปทานตลอดมานับแต่วันที่ทำสัญญาสัมปทานจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๓๙ อันเป็นวันสิ้นสุดของรอบปีสัมปทานทำไม้ที่ ๑๐ และเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๓๙ อันเป็นเดือนเริ่มต้นในรอบปีสัมปทานทำไม้ที่ ๑๑ โจทก์นำเงินค่าเปิดป่ารายปีตามเงื่อนไขสัมปทานข้อ ๑๐ ไปชำระที่สำนักงานป่าไม้จังหวัดกระบี่ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับชำระ อ้างว่าจำเลยที่ ๑ มีคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ เลขที่ ท.๒๓/๑๓๖ ให้ยืดระยะเวลารับชำระเงินค่าเปิดป่ารายปีตามเงื่อนไขสัมปทานข้อ ๑๐ จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๙ ต่อมาในวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ จำเลยที่ ๑ ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยมีคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ที่ ท.๑/๑ ลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ ให้ป่าไม้จังหวัดกระบี่ขยายเวลารับชำระเงินค่าเปิดป่ารายปีออกไปจนกว่าจะมีคำสั่งยกเลิกสัมปทาน และให้หัวหน้าหน่วยจัดการป่าชายเลนที่ กบ.๘ (เกาะลันตา) มีคำสั่งให้โจทก์ระงับการทำไม้ป่าชายเลน และไม่ส่งมอบพื้นที่สัมปทานทำไม้ป่าชายเลนให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขสัมปทาน เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถทำไม้ป่าชายเลนได้ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขสัมปทาน และไม่สามารถตัดฟันต้นไม้ป่าชายเลนในพื้นที่สัมปทานนำมาเผาเป็นถ่านเพื่อนำออกขายในท้องตลาด การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจตามข้อกฎหมายในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ และข้อสัญญาสัมปทานที่โจทก์ได้ทำกับจำเลยที่ ๔ เป็นการจงใจกระทำละเมิดต่อโจทก์เพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะเรื่องสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการยกเลิกสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนโดยอาศัยอำนาจในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๖๘ทวิ แต่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมายให้ยกเลิกสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนตามพระราชบัญญัติป่าไม้และมติคณะรัฐมนตรีไม่ดำเนินการยกเลิกสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรี แต่มาดำเนินการมีคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ดังกล่าวเพื่อให้โจทก์หยุดการทำไม้ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขสัมปทาน โดยอ้างข้อสัญญาสัมปทานข้อ ๓๐ ทั้งที่ข้อสัญญาดังกล่าวไม่ได้ให้อำนาจจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ แต่ประการใด หากแต่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓เกรงว่าโจทก์จะขอเวนคืนสัมปทานเพื่อรับเงินชดเชยความเสียหายตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๖๘ อัฏฐ หากมีคำสั่งยกเลิกสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรี การกระทำละเมิดต่อโจทก์ของจำเลยที่ ๑ กระทำในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยวันที่จำเลยที่ ๑จะกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยมีคำสั่งทางวิทยุในราชการ กรมป่าไม้ดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ได้ขออนุมัติความเห็นชอบจากจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้บังคับบัญชาและมีหน้าที่ควบคุมดูแลการทำไม้ป่าชายเลนของโจทก์ให้เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขสัมปทาน และจำเลยที่ ๓ ก็ได้อนุมัติเห็นชอบให้จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งทางวิทยุอันเป็นมูลเหตุละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย การที่จำเลยที่ ๓ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อโจทก์ได้กระทำในฐานะที่เป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๔ ดังนั้นจำเลยที่ ๔ จึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโจทก์จากการกระทำของจำเลยที่ ๓ ด้วย ผลของการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ทำให้โจทก์ได้รับ ความเสียหาย ไม่สามารถเข้าตัดฟันไม้ป่าชายเลนในพื้นที่สัมปทาน ทำให้ขาดรายได้จากการนำไม้ป่าชายเลนในพื้นที่สัมปทานแปลงทำไม้ที่ ๑๑ ถึงแปลงทำไม้ที่ ๑๕ มาเผาถ่านออกขายในท้องตลาดในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๔ เป็นเงินปีละ ๘๐๐,๐๐๐ บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยคิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องอีก ๑,๗๔๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินค่าเสียหายถึงวันฟ้องจำนวน ๕,๗๔๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ติดใจเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่เพียง ๔๐๐,๐๐๐ บาท แม้เหตุละเมิดจะเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ และโจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสี่ในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ เกินกว่า ๑ ปีนับแต่เกิดเหตุละเมิดก็ไม่ขาดอายุความ เพราะโจทก์เพิ่งทราบว่าคำสั่งระงับการทำไม้ป่าชายเลนของจำเลยที่ ๑ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการละเมิดต่อโจทก์เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๘ การฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงเป็นการใช้สิทธิทางกฎหมายภายในกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ วรรคแรก และโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๗๐๒/๒๕๔๘ ต่อศาลจังหวัดกระบี่ คดีอยู่ระหว่างพิจารณา คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จึงต้องนับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๔๘ วรรคสองด้วย กรณีพิพาทในคดีนี้ไม่ใช่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐอ้างว่า มีอำนาจตามข้อสัญญาสัมปทานข้อ ๓๐ และให้ระงับการทำไม้ป่าชายเลนตามเงื่อนไขสัมปทาน จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม และมูลละเมิดอันเกิดเป็นข้อพิพาทในคดีนี้โจทก์ได้เคยนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครอง และศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งที่ ๕๔๙/๒๕๔๖ ว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของ ศาลปกครอง โจทก์จึงนำมาฟ้องเป็นคดีนี้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน ๔๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า การที่จำเลยที่ ๑ ในฐานะอธิบดี กรมป่าไม้ผู้แทนของจำเลยที่ ๒ ซึ่งได้รับมอบอำนาจตามสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนจากจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๔ แจ้งทางวิทยุให้ยืดระยะเวลาชำระเงินและระงับการทำไม้ไว้ก่อน เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการตามมติคณะรัฐมนตรี และได้รับอนุมัติจากจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๔ ผู้ให้สัมปทาน อันเป็นการใช้สิทธิตามเงื่อนไขสัมปทานข้อ ๓๐ ในการเพิ่มหรือลดข้อกำหนดหรือเงื่อนไขในสัมปทานได้ตามความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของรัฐ เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของรัฐเพราะป่าไม้ชายเลนถูกทำลายเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาชายทะเลของชาติคณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ ให้ยกเลิกสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนทั้งหมด คำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ ของจำเลยที่ ๑ โดยได้รับอนุมัติจากจำเลยที่ ๓ ผู้แทนของจำเลยที่ ๔ ผู้ให้สัมปทานเป็นการใช้สิทธิของผู้ให้สัมปทานตามสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลน ซึ่งเป็นสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลปกครอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ทั้งยังปรากฏว่าเคยมีคดีที่นายดำเกิงหรือโสพรรณ ผลิภัทร ผู้รับสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนรายหนึ่งเป็นโจทก์นำคดีไปฟ้องกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต่อศาลจังหวัดกระบี่ ซึ่งศาลจังหวัดกระบี่มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้อง โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ซึ่งศาลฎีกาพิพากษายืน ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๓๔๔/๒๕๔๘ โดยวินิจฉัยว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ การที่จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้แทนจำเลยที่ ๔ ในฐานะผู้ให้สัมปทานโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาสัมปทานข้อ๓๐ ซึ่งคู่สัญญามีอำนาจกระทำได้ การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็น การละเมิดต่อโจทก์ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ก่อนมีการจัดตั้งศาลปกครอง สิทธิในการฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมกรณีผิดสัญญาสัมปทานมีอายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๐ แต่เมื่อมีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นมาพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๕๑ บัญญัติให้การฟ้องคดีปกครองต้องฟ้องภายใน ๑ ปี นับแต่วันรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี กรณีผิดสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนวันรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่ง การฟ้องคดีคือวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ แต่ศาลปกครองกลางเปิดทำการในวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ จึงทำให้คดีผิดสัญญาสัมปทานป่าไม้ชายเลนทุกคดีขาดอายุความที่จะฟ้องคดีต่อศาลปกครอง โดยเมื่อนำคดีไปฟ้องยังศาลปกครองก็จะได้รับการวินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความ หากนำคดีไปฟ้องยังศาลยุติธรรม ก็จะได้รับคำวินิจฉัยว่าเป็นคดีผิดสัญญาสัมปทานอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ข้อพิพาทในประเด็นผิดสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนจึงเยียวยาเฉพาะผู้รับสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนที่ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมก่อนศาลปกครองเปิดทำการเท่านั้น โจทก์จึงเลือกฟ้องจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ ให้รับผิดฐานกระทำละเมิดต่อโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๐ และฟ้องจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๔ ให้รับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๖ ต่อ ศาลยุติธรรม เนื่องจากโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๒ ต่อศาลปกครองสงขลาโดยศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งยืน
อนึ่ง ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๒ ต่อศาลปกครองสงขลาเป็น คดีหมายเลขดำที่ ๒๖๒/๒๕๔๕ หมายเลขแดงที่ ๖๖/๒๕๔๖ ว่าคำสั่งของอธิบดีกรมป่าไม้ที่ให้ระงับการทำไม้ป่าชายเลนตามคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ ที่ ท. ๑/๑ ลงวันที่ ๑๐มกราคม ๒๕๔๐ เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ศาลมีคำบังคับให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะหน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ศาลปกครองสงขลามีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาโดยเห็นว่า การกระทำของอธิบดีกรมป่าไม้ในการออกคำสั่งให้ระงับการทำไม้ป่าชายเลนตามคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ ที่ ท. ๑/๑ ลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ นั้นเป็นการใช้สิทธิของผู้ให้สัมปทานตามสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลน หากผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการถูกระงับการทำไม้ตามเงื่อนไขสัญญาสัมปทาน ก็จะต้องเรียกร้องค่าเสียหายจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะคู่สัญญาสัมปทาน มิใช่เรียกร้องจากผู้ถูกฟ้องคดี (จำเลยที่ ๒) ดังนั้นการที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าคำสั่งของอธิบดีกรมป่าไม้ที่ให้ระงับการทำไม้ป่าชายเลนตามคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ ที่ ท. ๑/๑ ลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดี (จำเลยที่ ๒) ในฐานะหน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นตามมาตรา ๙วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ และหากผู้ฟ้องคดีประสงค์จะฟ้องว่าการกระทำของอธิบดีกรมป่าไม้ เป็นการผิดสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลน ฉบับที่ ๑๖๒/๒๕๒๙ ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันเข้าเกณฑ์ลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ต้องยื่นฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีแต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดีตามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันเมื่อผู้ฟ้องคดีได้ทราบคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้เมื่อประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์๒๕๔๐ ผู้ฟ้องคดีอาจบอกเลิกสัญญาและฟ้องกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ผู้ให้สัมปทานต่อศาลได้ภายในกำหนดสิบปี แต่โดยเหตุที่เหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดขึ้นก่อนศาลปกครองเปิดทำการและผู้ฟ้องคดีมิได้นำคดีไปฟ้องต่อศาลยุติธรรมซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีในขณะนั้น เมื่อศาลปกครองเปิดทำการในวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองอันเป็นการพ้นกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดีตามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แล้ว แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงให้อายุความในการฟ้องคดีเริ่มนับตั้งวันที่ศาลปกครองเริ่มเปิดทำการ ตามนัยคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๖๕๔/๒๕๔๕ ดังนั้น เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองโดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนเมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๕ จึงเป็นการยื่นฟ้องเกินกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ โจทก์ยื่นอุทธรณ์เฉพาะข้อหาว่าการกระทำของอธิบดีกรมป่าไม้เป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลปกครอง ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองสงขลา
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ที่ ท.๑/๑ ลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ ให้ป่าไม้จังหวัดกระบี่ขยายระยะเวลารับชำระเงินค่าเปิดป่ารายปีตามเงื่อนไขสัมปทานข้อ ๑๐ ออกไปจนกว่าจะมีคำสั่งยกเลิกสัมปทาน และให้หัวหน้าหน่วยจัดการ ป่าชายเลนที่ กบ.๘ (เกาะลันตา) มีคำสั่งให้โจทก์ระงับการทำไม้ป่า ชายเลน และไม่ส่งมอบพื้นที่สัมปทานทำไม้ป่าชายเลนให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ตามข้อกำหนดเงื่อนไขสัมปทาน โดยรับอนุมัติจากจำเลยที่ ๓ ผู้แทนของจำเลยที่ ๔ ผู้ให้สัมปทาน เป็นการใช้สิทธิของผู้ให้สัมปทานตามสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนซึ่งเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลหรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใดถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหารหรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่น ในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปยังศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็วในกรณีเช่นว่านี้ให้ศาลที่เกี่ยวข้องดำเนินการ..." มาตรา ๑๒ วรรคสอง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด แต่ศาลนั้นไม่รับฟ้องเพราะเหตุว่าคดีดังกล่าว อยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้วหากศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัย โดยให้นำความในมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และมาตรา ๑๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม" และข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัย ชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ บัญญัติว่า "ในกรณีดังต่อไปนี้ คณะกรรมการจะสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความก็ได้ (๒) การส่งเรื่องให้คณะกรรมการมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่พระราชบัญญัตินี้กำหนดไว้" ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ยื่นฟ้องกรมป่าไม้ จำเลยที่ ๒ ต่อศาลปกครองสงขลาว่ากระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยอ้างว่าอธิบดีกรมป่าไม้ ผู้แทนของจำเลยที่ ๒ ออกคำสั่งให้โจทก์ระงับการทำไม้ป่าชายเลนตามคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ ที่ ท. ๑/๑ ลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ ขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ศาลปกครองสงขลามีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาโดยเห็นว่า การกระทำของอธิบดีกรมป่าไม้ในการออกคำสั่งให้ระงับการทำไม้ป่าชายเลนดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิของผู้ให้สัมปทานตามสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลน หากโจทก์ได้รับความเสียหายก็จะต้องเรียกร้องค่าเสียหายจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะคู่สัญญาสัมปทาน จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และหากเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง คดีโจทก์ก็ขาดอายุความ โจทก์ยื่นอุทธรณ์ว่าการกระทำของอธิบดีกรมป่าไม้เป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองสงขลาว่า มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น โจทก์จึงมายื่นฟ้องเป็นคดีนี้ต่อศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่ในมูลละเมิดอันเกิดจากการที่จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ ๒ ทำละเมิดต่อโจทก์อันเป็นข้อหาเดียวกันกับที่ฟ้องยังศาลปกครองสงขลา จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ศาลแพ่งเห็นว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง จึงส่งความเห็นมายังคณะกรรมการ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง ดังนั้น การที่โจทก์ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดต่อศาลปกครองสงขลาอันเป็นข้อเท็จจริงเรื่องเดียวกันกับคดีนี้ และศาลปกครองสงขลาเพียงแต่วินิจฉัยว่าการกระทำของอธิบดีกรมป่าไม้ในการออกคำสั่งให้ระงับการทำไม้ป่าชายเลนดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิของผู้ให้สัมปทานตามสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลน หากโจทก์ได้รับ ความเสียหายก็จะต้องเรียกร้องค่าเสียหายจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะคู่สัญญาสัมปทาน หรือหากโจทก์ฟ้องว่าอธิบดีกรมป่าไม้กระทำผิดสัญญาสัมปทานก็เข้าหลักเกณฑ์ของข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองซึ่งคดีขาดอายุความแล้ว ศาลปกครองสงขลาไม่อาจรับฟ้องได้เช่นกัน เห็นได้ว่า ศาลปกครองสงขลายังไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาเรื่องเขตอำนาจศาลในการรับฟ้องคดีแต่อย่างใด กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.๒๕๔๒มาตรา ๑๒ วรรคสอง ดังนั้น เมื่อโจทก์นำคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันมาฟ้องจำเลยทั้งสี่ต่อศาลแพ่ง โดยจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ศาลแพ่งจึงชอบที่จะทำความเห็นเรื่องเขตอำนาจศาลแล้วจัดส่งไปยังศาลปกครองสงขลาเพื่อทำความเห็นต่อไป ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๑๙การที่ศาลแพ่งจัดทำความเห็นส่งมายังคณะกรรมการเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องเขตอำนาจศาล โดยที่ยังไม่ได้จัดส่งให้ศาลปกครองซึ่งเป็นศาลที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจจัดทำความเห็นก่อนนั้น จึงเป็นการส่งเรื่องต่อคณะกรรมการโดยมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒กำหนดไว้ ไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัตินี้ คณะกรรมการย่อมมีอำนาจสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจาก สารบบความได้ ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ๒๙(๒)
จึงมีคำสั่งว่า การส่งเรื่องของศาลแพ่งคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ อาศัยอำนาจตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) ชาญชัย ลิขิตจิตถะ (ลงชื่อ) วิชัย วิวิตเสวี
(นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ) (นายวิชัย วิวิตเสวี)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
๘
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๑๘/๒๕๔๙
วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๔๙
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองสงขลา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลหนึ่งไม่รับฟ้อง เพราะเหตุว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้วศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๘ นายสมัคร กิจค้า โจทก์ได้ยื่นฟ้องนายสถิตย์สวินทร ที่ ๑ กรมป่าไม้ ที่ ๒ นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ ที่ ๓ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๔จำเลย ต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๓๘๙/๒๕๔๘ ความว่า โจทก์เป็นผู้ได้รับสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนจาก จำเลยที่ ๔ ในโครงการคลองเกาะยางฝั่งตะวันออก (กบ.๗๑) ในท้องที่ตำบลเกาะลันตาน้อย อำเภอ เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เนื้อที่ ๓,๓๑๓ ไร่ ระยะเวลา ๑๕ ปีตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๒๙ ถึงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๔ จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ ๔ มีหน้าที่ควบคุมดูแลการทำป่าไม้ชายเลนของโจทก์ให้เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขสัมปทาน โดยเงื่อนไขสัมปทานกำหนดแบ่งพื้นที่สัมปทานออกเป็นแปลงย่อยจำนวน ๑๕ แปลง และอนุญาตให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่สัมปทานเพียงปีละ๑แปลง ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนกันยายนของปีถัดไป โจทก์ได้ทำไม้ป่าชายเลนตามข้อกำหนดและเงื่อนไขสัมปทานตลอดมานับแต่วันที่ทำสัญญาสัมปทานจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๓๙ อันเป็นวันสิ้นสุดของรอบปีสัมปทานทำไม้ที่ ๑๐ และเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๓๙ อันเป็นเดือนเริ่มต้นในรอบปีสัมปทานทำไม้ที่ ๑๑ โจทก์นำเงินค่าเปิดป่ารายปีตามเงื่อนไขสัมปทานข้อ ๑๐ ไปชำระที่สำนักงานป่าไม้จังหวัดกระบี่ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับชำระ อ้างว่าจำเลยที่ ๑ มีคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ เลขที่ ท.๒๓/๑๓๖ ให้ยืดระยะเวลารับชำระเงินค่าเปิดป่ารายปีตามเงื่อนไขสัมปทานข้อ ๑๐ จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๙ ต่อมาในวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ จำเลยที่ ๑ ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยมีคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ที่ ท.๑/๑ ลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ ให้ป่าไม้จังหวัดกระบี่ขยายเวลารับชำระเงินค่าเปิดป่ารายปีออกไปจนกว่าจะมีคำสั่งยกเลิกสัมปทาน และให้หัวหน้าหน่วยจัดการป่าชายเลนที่ กบ.๘ (เกาะลันตา) มีคำสั่งให้โจทก์ระงับการทำไม้ป่าชายเลน และไม่ส่งมอบพื้นที่สัมปทานทำไม้ป่าชายเลนให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขสัมปทาน เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถทำไม้ป่าชายเลนได้ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขสัมปทาน และไม่สามารถตัดฟันต้นไม้ป่าชายเลนในพื้นที่สัมปทานนำมาเผาเป็นถ่านเพื่อนำออกขายในท้องตลาด การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจตามข้อกฎหมายในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ และข้อสัญญาสัมปทานที่โจทก์ได้ทำกับจำเลยที่ ๔ เป็นการจงใจกระทำละเมิดต่อโจทก์เพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะเรื่องสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการยกเลิกสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนโดยอาศัยอำนาจในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๖๘ทวิ แต่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมายให้ยกเลิกสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนตามพระราชบัญญัติป่าไม้และมติคณะรัฐมนตรีไม่ดำเนินการยกเลิกสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรี แต่มาดำเนินการมีคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ดังกล่าวเพื่อให้โจทก์หยุดการทำไม้ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขสัมปทาน โดยอ้างข้อสัญญาสัมปทานข้อ ๓๐ ทั้งที่ข้อสัญญาดังกล่าวไม่ได้ให้อำนาจจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ แต่ประการใด หากแต่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓เกรงว่าโจทก์จะขอเวนคืนสัมปทานเพื่อรับเงินชดเชยความเสียหายตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๖๘ อัฏฐ หากมีคำสั่งยกเลิกสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรี การกระทำละเมิดต่อโจทก์ของจำเลยที่ ๑ กระทำในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยวันที่จำเลยที่ ๑จะกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยมีคำสั่งทางวิทยุในราชการ กรมป่าไม้ดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ได้ขออนุมัติความเห็นชอบจากจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้บังคับบัญชาและมีหน้าที่ควบคุมดูแลการทำไม้ป่าชายเลนของโจทก์ให้เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขสัมปทาน และจำเลยที่ ๓ ก็ได้อนุมัติเห็นชอบให้จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งทางวิทยุอันเป็นมูลเหตุละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย การที่จำเลยที่ ๓ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อโจทก์ได้กระทำในฐานะที่เป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๔ ดังนั้นจำเลยที่ ๔ จึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโจทก์จากการกระทำของจำเลยที่ ๓ ด้วย ผลของการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ทำให้โจทก์ได้รับ ความเสียหาย ไม่สามารถเข้าตัดฟันไม้ป่าชายเลนในพื้นที่สัมปทาน ทำให้ขาดรายได้จากการนำไม้ป่าชายเลนในพื้นที่สัมปทานแปลงทำไม้ที่ ๑๑ ถึงแปลงทำไม้ที่ ๑๕ มาเผาถ่านออกขายในท้องตลาดในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๔ เป็นเงินปีละ ๘๐๐,๐๐๐ บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยคิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องอีก ๑,๗๔๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินค่าเสียหายถึงวันฟ้องจำนวน ๕,๗๔๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ติดใจเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่เพียง ๔๐๐,๐๐๐ บาท แม้เหตุละเมิดจะเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ และโจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสี่ในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ เกินกว่า ๑ ปีนับแต่เกิดเหตุละเมิดก็ไม่ขาดอายุความ เพราะโจทก์เพิ่งทราบว่าคำสั่งระงับการทำไม้ป่าชายเลนของจำเลยที่ ๑ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการละเมิดต่อโจทก์เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๘ การฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงเป็นการใช้สิทธิทางกฎหมายภายในกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ วรรคแรก และโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๗๐๒/๒๕๔๘ ต่อศาลจังหวัดกระบี่ คดีอยู่ระหว่างพิจารณา คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จึงต้องนับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๔๘ วรรคสองด้วย กรณีพิพาทในคดีนี้ไม่ใช่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐอ้างว่า มีอำนาจตามข้อสัญญาสัมปทานข้อ ๓๐ และให้ระงับการทำไม้ป่าชายเลนตามเงื่อนไขสัมปทาน จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม และมูลละเมิดอันเกิดเป็นข้อพิพาทในคดีนี้โจทก์ได้เคยนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครอง และศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งที่ ๕๔๙/๒๕๔๖ ว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของ ศาลปกครอง โจทก์จึงนำมาฟ้องเป็นคดีนี้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน ๔๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า การที่จำเลยที่ ๑ ในฐานะอธิบดี กรมป่าไม้ผู้แทนของจำเลยที่ ๒ ซึ่งได้รับมอบอำนาจตามสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนจากจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๔ แจ้งทางวิทยุให้ยืดระยะเวลาชำระเงินและระงับการทำไม้ไว้ก่อน เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการตามมติคณะรัฐมนตรี และได้รับอนุมัติจากจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๔ ผู้ให้สัมปทาน อันเป็นการใช้สิทธิตามเงื่อนไขสัมปทานข้อ ๓๐ ในการเพิ่มหรือลดข้อกำหนดหรือเงื่อนไขในสัมปทานได้ตามความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของรัฐ เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของรัฐเพราะป่าไม้ชายเลนถูกทำลายเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาชายทะเลของชาติคณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ ให้ยกเลิกสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนทั้งหมด คำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ ของจำเลยที่ ๑ โดยได้รับอนุมัติจากจำเลยที่ ๓ ผู้แทนของจำเลยที่ ๔ ผู้ให้สัมปทานเป็นการใช้สิทธิของผู้ให้สัมปทานตามสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลน ซึ่งเป็นสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลปกครอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ทั้งยังปรากฏว่าเคยมีคดีที่นายดำเกิงหรือโสพรรณ ผลิภัทร ผู้รับสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนรายหนึ่งเป็นโจทก์นำคดีไปฟ้องกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต่อศาลจังหวัดกระบี่ ซึ่งศาลจังหวัดกระบี่มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้อง โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ซึ่งศาลฎีกาพิพากษายืน ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๓๔๔/๒๕๔๘ โดยวินิจฉัยว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ การที่จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้แทนจำเลยที่ ๔ ในฐานะผู้ให้สัมปทานโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาสัมปทานข้อ๓๐ ซึ่งคู่สัญญามีอำนาจกระทำได้ การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็น การละเมิดต่อโจทก์ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ก่อนมีการจัดตั้งศาลปกครอง สิทธิในการฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมกรณีผิดสัญญาสัมปทานมีอายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๐ แต่เมื่อมีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นมาพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๕๑ บัญญัติให้การฟ้องคดีปกครองต้องฟ้องภายใน ๑ ปี นับแต่วันรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี กรณีผิดสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนวันรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่ง การฟ้องคดีคือวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ แต่ศาลปกครองกลางเปิดทำการในวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ จึงทำให้คดีผิดสัญญาสัมปทานป่าไม้ชายเลนทุกคดีขาดอายุความที่จะฟ้องคดีต่อศาลปกครอง โดยเมื่อนำคดีไปฟ้องยังศาลปกครองก็จะได้รับการวินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความ หากนำคดีไปฟ้องยังศาลยุติธรรม ก็จะได้รับคำวินิจฉัยว่าเป็นคดีผิดสัญญาสัมปทานอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ข้อพิพาทในประเด็นผิดสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนจึงเยียวยาเฉพาะผู้รับสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนที่ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมก่อนศาลปกครองเปิดทำการเท่านั้น โจทก์จึงเลือกฟ้องจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ ให้รับผิดฐานกระทำละเมิดต่อโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๐ และฟ้องจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๔ ให้รับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๖ ต่อ ศาลยุติธรรม เนื่องจากโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๒ ต่อศาลปกครองสงขลาโดยศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งยืน
อนึ่ง ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๒ ต่อศาลปกครองสงขลาเป็น คดีหมายเลขดำที่ ๒๖๒/๒๕๔๕ หมายเลขแดงที่ ๖๖/๒๕๔๖ ว่าคำสั่งของอธิบดีกรมป่าไม้ที่ให้ระงับการทำไม้ป่าชายเลนตามคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ ที่ ท. ๑/๑ ลงวันที่ ๑๐มกราคม ๒๕๔๐ เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ศาลมีคำบังคับให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะหน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ศาลปกครองสงขลามีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาโดยเห็นว่า การกระทำของอธิบดีกรมป่าไม้ในการออกคำสั่งให้ระงับการทำไม้ป่าชายเลนตามคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ ที่ ท. ๑/๑ ลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ นั้นเป็นการใช้สิทธิของผู้ให้สัมปทานตามสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลน หากผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการถูกระงับการทำไม้ตามเงื่อนไขสัญญาสัมปทาน ก็จะต้องเรียกร้องค่าเสียหายจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะคู่สัญญาสัมปทาน มิใช่เรียกร้องจากผู้ถูกฟ้องคดี (จำเลยที่ ๒) ดังนั้นการที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าคำสั่งของอธิบดีกรมป่าไม้ที่ให้ระงับการทำไม้ป่าชายเลนตามคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ ที่ ท. ๑/๑ ลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดี (จำเลยที่ ๒) ในฐานะหน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นตามมาตรา ๙วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ และหากผู้ฟ้องคดีประสงค์จะฟ้องว่าการกระทำของอธิบดีกรมป่าไม้ เป็นการผิดสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลน ฉบับที่ ๑๖๒/๒๕๒๙ ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันเข้าเกณฑ์ลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ต้องยื่นฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีแต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดีตามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันเมื่อผู้ฟ้องคดีได้ทราบคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้เมื่อประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์๒๕๔๐ ผู้ฟ้องคดีอาจบอกเลิกสัญญาและฟ้องกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ผู้ให้สัมปทานต่อศาลได้ภายในกำหนดสิบปี แต่โดยเหตุที่เหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดขึ้นก่อนศาลปกครองเปิดทำการและผู้ฟ้องคดีมิได้นำคดีไปฟ้องต่อศาลยุติธรรมซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีในขณะนั้น เมื่อศาลปกครองเปิดทำการในวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองอันเป็นการพ้นกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดีตามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แล้ว แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงให้อายุความในการฟ้องคดีเริ่มนับตั้งวันที่ศาลปกครองเริ่มเปิดทำการ ตามนัยคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๖๕๔/๒๕๔๕ ดังนั้น เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองโดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนเมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๕ จึงเป็นการยื่นฟ้องเกินกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ โจทก์ยื่นอุทธรณ์เฉพาะข้อหาว่าการกระทำของอธิบดีกรมป่าไม้เป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลปกครอง ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองสงขลา
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ที่ ท.๑/๑ ลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ ให้ป่าไม้จังหวัดกระบี่ขยายระยะเวลารับชำระเงินค่าเปิดป่ารายปีตามเงื่อนไขสัมปทานข้อ ๑๐ ออกไปจนกว่าจะมีคำสั่งยกเลิกสัมปทาน และให้หัวหน้าหน่วยจัดการ ป่าชายเลนที่ กบ.๘ (เกาะลันตา) มีคำสั่งให้โจทก์ระงับการทำไม้ป่า ชายเลน และไม่ส่งมอบพื้นที่สัมปทานทำไม้ป่าชายเลนให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ตามข้อกำหนดเงื่อนไขสัมปทาน โดยรับอนุมัติจากจำเลยที่ ๓ ผู้แทนของจำเลยที่ ๔ ผู้ให้สัมปทาน เป็นการใช้สิทธิของผู้ให้สัมปทานตามสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนซึ่งเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลหรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใดถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหารหรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่น ในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไปยังศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจโดยเร็วในกรณีเช่นว่านี้ให้ศาลที่เกี่ยวข้องดำเนินการ..." มาตรา ๑๒ วรรคสอง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด แต่ศาลนั้นไม่รับฟ้องเพราะเหตุว่าคดีดังกล่าว อยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้วหากศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัย โดยให้นำความในมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และมาตรา ๑๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม" และข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัย ชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ บัญญัติว่า "ในกรณีดังต่อไปนี้ คณะกรรมการจะสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความก็ได้ (๒) การส่งเรื่องให้คณะกรรมการมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่พระราชบัญญัตินี้กำหนดไว้" ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ยื่นฟ้องกรมป่าไม้ จำเลยที่ ๒ ต่อศาลปกครองสงขลาว่ากระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยอ้างว่าอธิบดีกรมป่าไม้ ผู้แทนของจำเลยที่ ๒ ออกคำสั่งให้โจทก์ระงับการทำไม้ป่าชายเลนตามคำสั่งทางวิทยุในราชการกรมป่าไม้ ที่ ท. ๑/๑ ลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๐ ขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ศาลปกครองสงขลามีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาโดยเห็นว่า การกระทำของอธิบดีกรมป่าไม้ในการออกคำสั่งให้ระงับการทำไม้ป่าชายเลนดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิของผู้ให้สัมปทานตามสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลน หากโจทก์ได้รับความเสียหายก็จะต้องเรียกร้องค่าเสียหายจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะคู่สัญญาสัมปทาน จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และหากเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง คดีโจทก์ก็ขาดอายุความ โจทก์ยื่นอุทธรณ์ว่าการกระทำของอธิบดีกรมป่าไม้เป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองสงขลาว่า มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น โจทก์จึงมายื่นฟ้องเป็นคดีนี้ต่อศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่ในมูลละเมิดอันเกิดจากการที่จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ ๒ ทำละเมิดต่อโจทก์อันเป็นข้อหาเดียวกันกับที่ฟ้องยังศาลปกครองสงขลา จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ศาลแพ่งเห็นว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง จึงส่งความเห็นมายังคณะกรรมการ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง ดังนั้น การที่โจทก์ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดต่อศาลปกครองสงขลาอันเป็นข้อเท็จจริงเรื่องเดียวกันกับคดีนี้ และศาลปกครองสงขลาเพียงแต่วินิจฉัยว่าการกระทำของอธิบดีกรมป่าไม้ในการออกคำสั่งให้ระงับการทำไม้ป่าชายเลนดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิของผู้ให้สัมปทานตามสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลน หากโจทก์ได้รับ ความเสียหายก็จะต้องเรียกร้องค่าเสียหายจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะคู่สัญญาสัมปทาน หรือหากโจทก์ฟ้องว่าอธิบดีกรมป่าไม้กระทำผิดสัญญาสัมปทานก็เข้าหลักเกณฑ์ของข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองซึ่งคดีขาดอายุความแล้ว ศาลปกครองสงขลาไม่อาจรับฟ้องได้เช่นกัน เห็นได้ว่า ศาลปกครองสงขลายังไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาเรื่องเขตอำนาจศาลในการรับฟ้องคดีแต่อย่างใด กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.๒๕๔๒มาตรา ๑๒ วรรคสอง ดังนั้น เมื่อโจทก์นำคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันมาฟ้องจำเลยทั้งสี่ต่อศาลแพ่ง โดยจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ศาลแพ่งจึงชอบที่จะทำความเห็นเรื่องเขตอำนาจศาลแล้วจัดส่งไปยังศาลปกครองสงขลาเพื่อทำความเห็นต่อไป ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๑๙การที่ศาลแพ่งจัดทำความเห็นส่งมายังคณะกรรมการเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องเขตอำนาจศาล โดยที่ยังไม่ได้จัดส่งให้ศาลปกครองซึ่งเป็นศาลที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจจัดทำความเห็นก่อนนั้น จึงเป็นการส่งเรื่องต่อคณะกรรมการโดยมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒กำหนดไว้ ไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัตินี้ คณะกรรมการย่อมมีอำนาจสั่งให้จำหน่ายเรื่องออกจาก สารบบความได้ ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ๒๙(๒)
จึงมีคำสั่งว่า การส่งเรื่องของศาลแพ่งคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ อาศัยอำนาจตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๙ (๒) ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ
(ลงชื่อ) ชาญชัย ลิขิตจิตถะ (ลงชื่อ) วิชัย วิวิตเสวี
(นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ) (นายวิชัย วิวิตเสวี)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
๘
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 10
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๓๔/๒๕๔๘
วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๘
เรื่อง การยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๕ บริษัทยะลาทองอยู่ จำกัด โจทก์ ได้ยื่นฟ้องการรถไฟ แห่งประเทศไทย จำเลย ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๗๒๗/๒๕๔๕ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๓๓ โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินบริเวณสถานีรถไฟยะลาที่ตำบลสะเตง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา กับจำเลย เพื่อปลูกสร้างอาคารสถานีรถไฟยะลา อาคารพาณิชย์จำนวน ๑๕๗ คูหา ลานเอนกประสงค์ พร้อมส่วนประกอบอื่น ๆ โดยยกทรัพย์สินทั้งหมดให้จำเลย จำเลยยินยอมให้โจทก์จัดหาผลประโยชน์มีกำหนด ๓๐ ปี มีกำหนดการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๕ ปี และได้มีการขยายเวลาก่อสร้างตามโครงการออกไปอีก ๘ ปี นับแต่วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๒ ถึงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๐ โจทก์ได้ก่อสร้างอาคารสถานีรถไฟแล้วเสร็จส่งมอบให้จำเลยใช้ประโยชน์แล้ว และก่อสร้างอาคารพาณิชย์แล้วเสร็จบางส่วน ต่อมาจำเลยได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๔ บอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์กระทำผิดสัญญาในข้อสาระสำคัญโดยไม่ดำเนินการรื้อย้ายซุ้มร้านค้า เพิงค้าขายและแผงลอยในที่ต่าง ๆ รวมทั้งไม่รื้อถอนส่วนที่ผู้เช่าต่อเติมด้านหน้าหรือด้านหลังของอาคารพาณิชย์ภายในเวลาที่จำเลยกำหนด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน ๔๐๗,๒๙๔,๖๓๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันผิดสัญญาจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นและชำระค่าเสียหายตามปกติและค่าเสียหายที่เกิดจากพฤติการณ์ที่ควรคาดเห็นและสามารถคาดเห็นได้ถึงพฤติการณ์นั้น
จำเลยยื่นคำให้การว่า จำเลยได้ทำสัญญาให้เช่าที่ดินบริเวณสถานีรถไฟกับโจทก์จริง โดยโจทก์มีหน้าที่ต้องปลูกสร้างอาคารให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาไม่ก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จตามสัญญา ต่อเติมสิ่งปลูกสร้างผิดแบบ ไม่ชำระค่าเช่า ค่าภาษี ตามสัญญา อันเป็นการผิดสัญญา จึงบอกเลิกสัญญา โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งโจทก์อ้างว่าการกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์ส่งมอบพื้นที่เช่าคืนพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปห้ามมิให้โจทก์เข้ายุ่งเกี่ยวกับพื้นที่เช่าอีกต่อไป ให้ชำระค่าใช้ประโยชน์ในอัตราเดือนละ ๑๕๑,๒๕๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบพื้นที่คืน และให้ชำระค่าเสียหายจำนวน ๑๘๔,๔๕๔,๙๘๙.๖๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุม ข้ออ้างของจำเลยที่ใช้เป็นเหตุบอกเลิกสัญญากับโจทก์มิใช่ข้อสาระสำคัญ โจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ จากโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ สืบพยานโจทก์นัดแรกเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๖
ต่อมา เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า มูลคดีพิพาทอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง จึงส่งความเห็นไปยังสำนักงานศาลปกครอง เพื่อให้ศาลปกครองกลางอันเป็นศาลที่คู่ความร้องว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจจัดทำความเห็น ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่ง อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การยื่นคำร้องของผู้ถูกฟ้องคดีชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลหรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความ ฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหารหรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่น..." และข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ บัญญัติว่า "หากคำร้องที่ยื่นไว้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติ...คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้ยกคำร้องเสียก็ได้" ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงคดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ สืบเนื่องมาจากจำเลยบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินบริเวณสถานีรถไฟยะลา ที่ตำบลสะเตง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เพื่อปลูกสร้างอาคารสถานีรถไฟยะลา อาคารพาณิชย์จำนวน ๑๕๗ คูหา ลานเอนกประสงค์ พร้อมส่วนประกอบอื่น ๆ โดยยกทรัพย์สินทั้งหมดให้จำเลย ซึ่งศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์นัดแรกเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๖ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ซึ่งเป็นการยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลภายหลังที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ซึ่งเป็น ศาลยุติธรรมสืบพยานไปแล้ว ดังนั้น จึงเป็นการยื่นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการมีอำนาจยกคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลของจำเลยได้ ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘
จึงมีคำสั่งว่า การยื่นคำร้องของจำเลยคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง อาศัยข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ ให้ยกคำร้องนี้เสีย
(ลงชื่อ) ศุภชัย ภู่งาม (ลงชื่อ) นายวิชัย วิวิตเสวี
(นายศุภชัย ภู่งาม) (นายวิชัย วิวิตเสวี)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท วิรัตน์ บรรเลง (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(วิรัตน์ บรรเลง) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
วัชรินทร์ คัด/ทาน
??
??
??
??
๔
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๓๔/๒๕๔๘
วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๘
เรื่อง การยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๕ บริษัทยะลาทองอยู่ จำกัด โจทก์ ได้ยื่นฟ้องการรถไฟ แห่งประเทศไทย จำเลย ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๗๒๗/๒๕๔๕ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๓๓ โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินบริเวณสถานีรถไฟยะลาที่ตำบลสะเตง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา กับจำเลย เพื่อปลูกสร้างอาคารสถานีรถไฟยะลา อาคารพาณิชย์จำนวน ๑๕๗ คูหา ลานเอนกประสงค์ พร้อมส่วนประกอบอื่น ๆ โดยยกทรัพย์สินทั้งหมดให้จำเลย จำเลยยินยอมให้โจทก์จัดหาผลประโยชน์มีกำหนด ๓๐ ปี มีกำหนดการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๕ ปี และได้มีการขยายเวลาก่อสร้างตามโครงการออกไปอีก ๘ ปี นับแต่วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๒ ถึงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๐ โจทก์ได้ก่อสร้างอาคารสถานีรถไฟแล้วเสร็จส่งมอบให้จำเลยใช้ประโยชน์แล้ว และก่อสร้างอาคารพาณิชย์แล้วเสร็จบางส่วน ต่อมาจำเลยได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๔ บอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์กระทำผิดสัญญาในข้อสาระสำคัญโดยไม่ดำเนินการรื้อย้ายซุ้มร้านค้า เพิงค้าขายและแผงลอยในที่ต่าง ๆ รวมทั้งไม่รื้อถอนส่วนที่ผู้เช่าต่อเติมด้านหน้าหรือด้านหลังของอาคารพาณิชย์ภายในเวลาที่จำเลยกำหนด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน ๔๐๗,๒๙๔,๖๓๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันผิดสัญญาจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นและชำระค่าเสียหายตามปกติและค่าเสียหายที่เกิดจากพฤติการณ์ที่ควรคาดเห็นและสามารถคาดเห็นได้ถึงพฤติการณ์นั้น
จำเลยยื่นคำให้การว่า จำเลยได้ทำสัญญาให้เช่าที่ดินบริเวณสถานีรถไฟกับโจทก์จริง โดยโจทก์มีหน้าที่ต้องปลูกสร้างอาคารให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาไม่ก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จตามสัญญา ต่อเติมสิ่งปลูกสร้างผิดแบบ ไม่ชำระค่าเช่า ค่าภาษี ตามสัญญา อันเป็นการผิดสัญญา จึงบอกเลิกสัญญา โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งโจทก์อ้างว่าการกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์ส่งมอบพื้นที่เช่าคืนพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปห้ามมิให้โจทก์เข้ายุ่งเกี่ยวกับพื้นที่เช่าอีกต่อไป ให้ชำระค่าใช้ประโยชน์ในอัตราเดือนละ ๑๕๑,๒๕๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบพื้นที่คืน และให้ชำระค่าเสียหายจำนวน ๑๘๔,๔๕๔,๙๘๙.๖๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุม ข้ออ้างของจำเลยที่ใช้เป็นเหตุบอกเลิกสัญญากับโจทก์มิใช่ข้อสาระสำคัญ โจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ จากโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ สืบพยานโจทก์นัดแรกเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๖
ต่อมา เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า มูลคดีพิพาทอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง จึงส่งความเห็นไปยังสำนักงานศาลปกครอง เพื่อให้ศาลปกครองกลางอันเป็นศาลที่คู่ความร้องว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจจัดทำความเห็น ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่ง อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา การยื่นคำร้องของผู้ถูกฟ้องคดีชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลหรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใด ถ้าคู่ความ ฝ่ายที่ถูกฟ้องเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่รับฟ้องก่อนวันสืบพยานสำหรับศาลยุติธรรมหรือศาลทหารหรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับศาลปกครองหรือศาลอื่น..." และข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ บัญญัติว่า "หากคำร้องที่ยื่นไว้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติ...คณะกรรมการจะมีคำสั่งให้ยกคำร้องเสียก็ได้" ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงคดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ สืบเนื่องมาจากจำเลยบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินบริเวณสถานีรถไฟยะลา ที่ตำบลสะเตง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เพื่อปลูกสร้างอาคารสถานีรถไฟยะลา อาคารพาณิชย์จำนวน ๑๕๗ คูหา ลานเอนกประสงค์ พร้อมส่วนประกอบอื่น ๆ โดยยกทรัพย์สินทั้งหมดให้จำเลย ซึ่งศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์นัดแรกเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๖ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ซึ่งเป็นการยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลภายหลังที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ซึ่งเป็น ศาลยุติธรรมสืบพยานไปแล้ว ดังนั้น จึงเป็นการยื่นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการมีอำนาจยกคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลของจำเลยได้ ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘
จึงมีคำสั่งว่า การยื่นคำร้องของจำเลยคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง อาศัยข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ ให้ยกคำร้องนี้เสีย
(ลงชื่อ) ศุภชัย ภู่งาม (ลงชื่อ) นายวิชัย วิวิตเสวี
(นายศุภชัย ภู่งาม) (นายวิชัย วิวิตเสวี)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท วิรัตน์ บรรเลง (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(วิรัตน์ บรรเลง) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
วัชรินทร์ คัด/ทาน
??
??
??
??
๔
การยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 10
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๓๕/๒๕๔๖
วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๖
เรื่อง การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ
บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด โดยนายธนวัฒน์ อนันต์วุฒิสมบัติ ทนายความ ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลล้มละลายกลางและศาลแพ่งกรุงเทพใต้ขัดแย้งกันตามมาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อเท็จจริงในคดี
บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด โดยนายธนวัฒน์ อนันต์วุฒิสมบัติ ทนายความ ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลล้มละลายกลางและศาลแพ่งกรุงเทพใต้ขัดแย้งกันตามมาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๒ ผู้ร้อง (ขณะนั้นชื่อบริษัท ไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด) ได้ยื่นฟ้องบริษัท สหวิริยาซิตี้ จำกัด (มหาชน) ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๘๕๖/๒๕๔๒ มูลหนี้ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด (หุ้นกู้) ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ ให้จำเลยชำระหนี้โจทก์ จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย (คดีหมายเลขแดงที่ ๖๖๖๐/๒๕๔๓) ผู้ร้องนำส่งคำบังคับแจ้งลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้วครบกำหนดตามคำบังคับลูกหนี้เพิกเฉย ผู้ร้องจึงยื่นคำขอให้ศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำสั่งออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ ศาลมีคำสั่งอนุญาต ต่อมาเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๔ ผู้ร้องได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดห้องชุดของลูกหนี้จำนวน ๑๑ ห้อง คดีอยู่ระหว่างการประกาศขายทอดตลาด
ต่อมา วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๔ นายสุวิทย์ เวฬุวัน กับพวก ได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ต่อศาลล้มละลายกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ ฟ. ๑๐๖๒/๒๕๔๔ ระหว่าง นายสุวิทย์ เวฬุวัน ที่ ๑ กับพวก ผู้ร้อง กับบริษัท สหวิริยาซิตี้ จำกัด (มหาชน) ลูกหนี้ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่ง เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๔ ให้ฟื้นฟูกิจการและตั้งบริษัทเชอชิลล์ไพรซ์ แพลนเนอร์ จำกัด เป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามคดีหมายเลขแดงที่ ๙๙๒/๒๕๔๔ การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ของผู้ร้องจึงต้องงดการบังคับคดีไว้ตามมาตรา ๙๐/๑๒ (๕) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑ และต่อมา เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๖ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี ส่งมอบหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดจำนวน ๒๕ ฉบับ ซึ่งมีทรัพย์ที่ผู้ร้องได้นำยึดรวมอยู่ด้วยแก่ผู้บริหารแผนเพื่อดำเนินการนำสินทรัพย์ออกขายชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามที่ระบุไว้ในแผน ทั้งนี้ ตามคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๖ ของผู้บริหารแผน โดยให้ผู้บริหารแผนเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายทอดตลาด ผู้ร้อง ในฐานะเจ้าหนี้รายที่ ๓๗ เห็นว่า คำสั่งศาลล้มละลายกลางดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ และยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งถอนการยึดของศาลล้มละลายกลาง ซึ่งต่อมา อธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๖ และวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๖ ตามลำดับ คดีของผู้ร้องเป็นอันถึงที่สุดตามคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลล้มละลายกลาง
ผู้ร้องเห็นว่า ศาลล้มละลายกลางไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดทรัพย์ของผู้ร้องและเจ้าหนี้รายอื่น โดยให้ผู้บริหารแผนเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมการยึดโดยไม่มีการขายทอดตลาดได้ เพราะอำนาจในการสั่งถอนการยึดทรัพย์เป็นอำนาจของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ซึ่งเป็นศาลที่ได้ดำเนินการบังคับคดี และมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีเพื่อรอฟังผลการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ กรณีจึงเป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลล้มละลายกลางและศาลแพ่งกรุงเทพใต้ขัดกัน เนื่องจากศาลล้มละลายกลางมิได้เป็นศาลที่พิจารณาพิพากษาคดีในส่วนของการบังคับคดี ศาลล้มละลายกลางมีอำนาจพิจารณาเกี่ยวกับการขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการตามคำขอของลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เท่านั้น ผู้ร้องจึงขอให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดและมีคำสั่งว่า ศาลล้มละลายกลางไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนการยึดทรัพย์ โดยให้ผู้บริหารแผนเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมการยึดโดยไม่มีการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลลงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๕ ได้ คำสั่งให้ถอนการยึดทรัพย์ของศาลล้มละลายกลางดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดกับคำสั่งของศาลแพ่งกรุงเทพใต้
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ คำร้องของผู้ร้องชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่า ตนเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของบริษัท สหวิริยาซิตี้ จำกัด (มหาชน) ลูกหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ซึ่งศาลออกหมายบังคับคดี และผู้ร้องได้ทำการบังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของลูกหนี้คือ อาคารห้องชุดจำนวน ๑๑ ห้อง ไว้แล้ว ต่อมา ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และมีคำสั่งอันถึงที่สุดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งมอบหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่ผู้ร้องนำยึดไว้ เพื่อนำออกขายชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ กรณีจึงเป็นการที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลล้มละลายกลางมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งขัดกัน ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดว่า ศาลล้มละลายกลางไม่มีอำนาจเพิกถอนการยึดทรัพย์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ กำหนดให้ศาลมี ๔ ประเภท คือ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และศาลทหาร ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ข้อพิพาทบางกรณีอาจจะเกิดการคาบเกี่ยวกันในเรื่องอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล เพื่อขจัดข้อขัดแย้งดังกล่าว มาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ง จึงบัญญัติว่า "ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร หรือศาลอื่น ให้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดโดยคณะกรรมการคณะหนึ่งซึ่งประกอบด้วยประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลอื่น และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นอีกไม่เกินสี่คน ตามที่กฎหมายบัญญัติ เป็นกรรมการ" ดังนั้น การขัดแย้งกันในเรื่องอำนาจหน้าที่ของศาลตามรัฐธรรมนูญ จึงจะต้องเป็นการขัดแย้งอำนาจหน้าที่กันระหว่างศาลแต่ละประเภท เช่น ระหว่างศาลยุติธรรมกับศาลปกครอง หรือระหว่างศาลปกครองกับศาลทหาร เป็นต้น แต่ตามคำร้องของผู้ร้องเป็นการขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดคำสั่งอันถึงที่สุดในเรื่องของการบังคับคดีระหว่างศาลแพ่งกรุงเทพใต้กับศาลล้มละลายกลาง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๗๒ ประกอบกับพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๒ กำหนดให้ศาลแพ่งกรุงเทพใต้เป็นศาลยุติธรรม และตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๑ ก็กำหนดให้ศาลล้มละลายกลางเป็นศาลยุติธรรมด้วยเช่นกัน ดังนั้น คำร้องของผู้ร้องจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลยุติธรรมขัดแย้งกันเอง มิได้เป็นไปตามมาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ และไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จึงมีคำสั่งว่า การยื่นคำร้องของผู้ร้องคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยอำนาจตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ ให้ยกคำร้องนี้เสีย
(ลงชื่อ) อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท อัฏฐพร เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(อัฏฐพร เจริญพานิช) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๓๕/๒๕๔๖
วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๖
เรื่อง การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ
บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด โดยนายธนวัฒน์ อนันต์วุฒิสมบัติ ทนายความ ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลล้มละลายกลางและศาลแพ่งกรุงเทพใต้ขัดแย้งกันตามมาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อเท็จจริงในคดี
บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด โดยนายธนวัฒน์ อนันต์วุฒิสมบัติ ทนายความ ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลล้มละลายกลางและศาลแพ่งกรุงเทพใต้ขัดแย้งกันตามมาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๒ ผู้ร้อง (ขณะนั้นชื่อบริษัท ไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด) ได้ยื่นฟ้องบริษัท สหวิริยาซิตี้ จำกัด (มหาชน) ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๘๕๖/๒๕๔๒ มูลหนี้ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด (หุ้นกู้) ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ ให้จำเลยชำระหนี้โจทก์ จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย (คดีหมายเลขแดงที่ ๖๖๖๐/๒๕๔๓) ผู้ร้องนำส่งคำบังคับแจ้งลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้วครบกำหนดตามคำบังคับลูกหนี้เพิกเฉย ผู้ร้องจึงยื่นคำขอให้ศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำสั่งออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ ศาลมีคำสั่งอนุญาต ต่อมาเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๔ ผู้ร้องได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดห้องชุดของลูกหนี้จำนวน ๑๑ ห้อง คดีอยู่ระหว่างการประกาศขายทอดตลาด
ต่อมา วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๔ นายสุวิทย์ เวฬุวัน กับพวก ได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ต่อศาลล้มละลายกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ ฟ. ๑๐๖๒/๒๕๔๔ ระหว่าง นายสุวิทย์ เวฬุวัน ที่ ๑ กับพวก ผู้ร้อง กับบริษัท สหวิริยาซิตี้ จำกัด (มหาชน) ลูกหนี้ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่ง เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๔ ให้ฟื้นฟูกิจการและตั้งบริษัทเชอชิลล์ไพรซ์ แพลนเนอร์ จำกัด เป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามคดีหมายเลขแดงที่ ๙๙๒/๒๕๔๔ การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ของผู้ร้องจึงต้องงดการบังคับคดีไว้ตามมาตรา ๙๐/๑๒ (๕) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑ และต่อมา เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๖ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี ส่งมอบหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดจำนวน ๒๕ ฉบับ ซึ่งมีทรัพย์ที่ผู้ร้องได้นำยึดรวมอยู่ด้วยแก่ผู้บริหารแผนเพื่อดำเนินการนำสินทรัพย์ออกขายชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามที่ระบุไว้ในแผน ทั้งนี้ ตามคำร้องฉบับลงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๖ ของผู้บริหารแผน โดยให้ผู้บริหารแผนเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมการยึดแล้วไม่มีการขายทอดตลาด ผู้ร้อง ในฐานะเจ้าหนี้รายที่ ๓๗ เห็นว่า คำสั่งศาลล้มละลายกลางดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้อุทธรณ์ และยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งถอนการยึดของศาลล้มละลายกลาง ซึ่งต่อมา อธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๖ และวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๖ ตามลำดับ คดีของผู้ร้องเป็นอันถึงที่สุดตามคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลล้มละลายกลาง
ผู้ร้องเห็นว่า ศาลล้มละลายกลางไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดทรัพย์ของผู้ร้องและเจ้าหนี้รายอื่น โดยให้ผู้บริหารแผนเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมการยึดโดยไม่มีการขายทอดตลาดได้ เพราะอำนาจในการสั่งถอนการยึดทรัพย์เป็นอำนาจของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ซึ่งเป็นศาลที่ได้ดำเนินการบังคับคดี และมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีเพื่อรอฟังผลการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ กรณีจึงเป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลล้มละลายกลางและศาลแพ่งกรุงเทพใต้ขัดกัน เนื่องจากศาลล้มละลายกลางมิได้เป็นศาลที่พิจารณาพิพากษาคดีในส่วนของการบังคับคดี ศาลล้มละลายกลางมีอำนาจพิจารณาเกี่ยวกับการขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการตามคำขอของลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เท่านั้น ผู้ร้องจึงขอให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดและมีคำสั่งว่า ศาลล้มละลายกลางไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนการยึดทรัพย์ โดยให้ผู้บริหารแผนเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมการยึดโดยไม่มีการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลลงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๕ ได้ คำสั่งให้ถอนการยึดทรัพย์ของศาลล้มละลายกลางดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดกับคำสั่งของศาลแพ่งกรุงเทพใต้
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ คำร้องของผู้ร้องชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่า ตนเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของบริษัท สหวิริยาซิตี้ จำกัด (มหาชน) ลูกหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ซึ่งศาลออกหมายบังคับคดี และผู้ร้องได้ทำการบังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของลูกหนี้คือ อาคารห้องชุดจำนวน ๑๑ ห้อง ไว้แล้ว ต่อมา ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และมีคำสั่งอันถึงที่สุดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งมอบหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่ผู้ร้องนำยึดไว้ เพื่อนำออกขายชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ กรณีจึงเป็นการที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลล้มละลายกลางมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งขัดกัน ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดว่า ศาลล้มละลายกลางไม่มีอำนาจเพิกถอนการยึดทรัพย์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ กำหนดให้ศาลมี ๔ ประเภท คือ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และศาลทหาร ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ข้อพิพาทบางกรณีอาจจะเกิดการคาบเกี่ยวกันในเรื่องอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล เพื่อขจัดข้อขัดแย้งดังกล่าว มาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ง จึงบัญญัติว่า "ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร หรือศาลอื่น ให้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดโดยคณะกรรมการคณะหนึ่งซึ่งประกอบด้วยประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลอื่น และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นอีกไม่เกินสี่คน ตามที่กฎหมายบัญญัติ เป็นกรรมการ" ดังนั้น การขัดแย้งกันในเรื่องอำนาจหน้าที่ของศาลตามรัฐธรรมนูญ จึงจะต้องเป็นการขัดแย้งอำนาจหน้าที่กันระหว่างศาลแต่ละประเภท เช่น ระหว่างศาลยุติธรรมกับศาลปกครอง หรือระหว่างศาลปกครองกับศาลทหาร เป็นต้น แต่ตามคำร้องของผู้ร้องเป็นการขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดคำสั่งอันถึงที่สุดในเรื่องของการบังคับคดีระหว่างศาลแพ่งกรุงเทพใต้กับศาลล้มละลายกลาง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๗๒ ประกอบกับพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๒ กำหนดให้ศาลแพ่งกรุงเทพใต้เป็นศาลยุติธรรม และตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๑ ก็กำหนดให้ศาลล้มละลายกลางเป็นศาลยุติธรรมด้วยเช่นกัน ดังนั้น คำร้องของผู้ร้องจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลยุติธรรมขัดแย้งกันเอง มิได้เป็นไปตามมาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ และไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จึงมีคำสั่งว่า การยื่นคำร้องของผู้ร้องคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยอำนาจตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ ให้ยกคำร้องนี้เสีย
(ลงชื่อ) อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท อัฏฐพร เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(อัฏฐพร เจริญพานิช) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
การยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา 15 ประกอบมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๒๕/๒๕๔๖
วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๖
เรื่อง การยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐
การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ
นายถ้วน พานทอง ได้ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจศาลกรณีศาลแพ่งและศาลปกครองกลางไม่รับฟ้องคดี
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕ นายถ้วน พานทอง (ผู้ร้อง) ได้ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานครต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๐๗๕/๒๕๔๕ (คดีหมายเลขแดงที่ ๖๔๒๑/๒๕๔๕) เกี่ยวกับสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินซึ่งจะถูกเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอยานนาวา อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร อำเภอบางขุนเทียน อำเภอธนบุรี อำเภอบางกอกน้อย อำเภอตลิ่งชัน อำเภอภาษีเจริญ กิ่งอำเภอหนองแขม จังหวัดธนบุรี อำเภอบางกรวย อำเภอบางใหญ่ อำเภอบางบัวทอง อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอสามพราน อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งต่อมาได้มีการออกประกาศคณะปฏิวัติและพระราชกฤษฎีกาเพื่อขยายอายุพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวอีก ๓ ฉบับ เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ หมดอายุบังคับใช้วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ ผู้ร้องยินยอมให้กรุงเทพมหานครสร้างถนนผ่านที่ดินของตน โดยมิได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและมิได้รับเงินทดแทนจากกรุงเทพมหานครแต่อย่างใด ผู้ร้องจึงฟ้องคดีเพื่อเรียกเงินทดแทนจากกรุงเทพมหานครอันเนื่องมาจากการก่อสร้างถนนพุทธมณฑลสาย ๑ ผ่านที่ดินของผู้ร้อง แต่ศาลแพ่งเห็นว่า คดีสืบเนื่องมาจากมีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินฯ กำหนดให้จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการเวนคืนที่ดินใช้ในการสร้างถนนพุทธมณฑลสาย ๑ อันเป็นการใช้อำนาจรัฐ เพื่อดำเนินการไปสู่การบังคับการเวนคืนที่ดินใช้ในการก่อสร้างถนนซึ่งเป็นสิ่งสาธารณูปโภคที่ประชาชนเป็นผู้ใช้และได้รับประโยชน์โดยตรง อันมีลักษณะเป็นการจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคจนเกิดเป็นข้อพิพาทกันขึ้นกับโจทก์ โดยข้อพิพาทของคู่สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยลักษณะนี้เป็นการพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ฉะนั้น อำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีในลักษณะนี้จึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๒๒/๒๕๔๕ และศาลปกครองได้เปิดทำการแล้วตั้งแต่วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ เป็นต้นมา ศาลแพ่งมีคำสั่งในวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕ อันเป็นเวลาภายหลังศาลปกครองเปิดทำการโดยผิดหลงให้รับฟ้องคดีของโจทก์ไว้พิจารณา จึงอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ ให้เพิกถอนคำสั่งโดยผิดหลงตั้งแต่การรับฟ้องของโจทก์เป็นต้นมาทั้งหมดนั้นเสียและมีคำสั่งใหม่ว่า คดีของโจทก์อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลปกครอง จึงไม่รับฟ้องคดีของโจทก์
ผู้ร้องจึงยื่นฟ้องคดีในข้อเท็จจริงเดียวกันนี้ต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๖ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๒๕/๒๕๔๖ โดยมิได้บรรยายฟ้องหรือแถลงให้ศาลทราบถึงการที่ศาลแพ่งไม่รับคำฟ้องคดีนี้ ซึ่งต่อมา เมื่อศาลปกครองกลางได้ตรวจพิจารณาคำฟ้องและข้อเท็จจริงในคดีแล้วได้มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา เนื่องจากเห็นว่าข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ผู้ฟ้องคดี (ผู้ร้อง) ได้ยื่นคำร้องขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีจ่ายเงินทดแทนที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีในราคาตารางวาละ ๓๕,๐๐๐ บาท และอนุญาตให้ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าก่อสร้างไปพลางก่อนได้ โดยผู้ฟ้องคดีสงวนสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าทดแทนที่ดินในราคาปัจจุบันเต็มทั้งจำนวนของเนื้อที่ดินทั้งหมด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าทำการก่อสร้างถนนพุทธมณฑลสาย ๑ ในที่ดินของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผลมาจากการให้ความยินยอมของผู้ฟ้องคดีและเป็นระยะเวลาภายหลังจากที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนหมดอายุการใช้บังคับแล้ว ดังนั้น คดีนี้จึงถือไม่ได้ว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และมิใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๒๒/๒๕๔๕ ที่ ๒๓/๒๕๔๕ และที่ ๒๗/๒๕๔๕ ศาลปกครองกลางไม่มีอำนาจรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาพิพากษา ผู้ร้องได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งไม่รับฟ้องของศาลปกครองกลางตามมาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ต่อศาลปกครองสูงสุดและศาลมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของผู้ร้องไว้แล้ว
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ คำร้องของผู้ร้องชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใดแต่ศาลนั้นไม่รับฟ้องเพราะเหตุว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว หากศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัย โดยให้นำความในมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และมาตรา ๑๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม" ดังนั้น คดีที่จะมีการขัดแย้งอำนาจหน้าที่กันระหว่างศาลในกรณีนี้จะต้องเป็นกรณีที่คู่ความผู้ฟ้องคดีนำคดีไปยื่นฟ้องต่อศาลหนึ่งและศาลนั้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องเพราะเหตุว่าคดีอยู่ในอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ต่อมาคู่ความผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีที่มีข้อเท็จจริงเดียวกันนี้ไปฟ้องต่อศาลอีกศาลหนึ่งและศาลในคดีหลังนี้ก็มีคำสั่งไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของตนเช่นกัน ข้อเท็จจริงในคดีนี้ ผู้ร้องนำคดีไปยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งแล้วและศาลแพ่งมีคำสั่งไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ผู้ร้องจึงนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองกลางโดยมิได้บรรยายฟ้องหรือแถลงให้ศาลทราบถึงการที่ตนได้นำคดีไปฟ้องที่ศาลแพ่งมาก่อนแล้ว ต่อมาศาลปกครองกลางก็มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องเช่นกัน เพราะเห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของตน โดยมิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เพราะไม่ทราบเรื่องที่ผู้ร้องเคยยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งมาก่อน จากนั้นผู้ร้องจึงอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุดซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ดังนั้น กรณียังเป็นการไม่แน่ว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งเช่นไร จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการที่ศาลอีกศาลหนึ่งไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจตนเช่นกัน อันจะเป็นการขัดแย้งกันในเรื่องเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง
ทั้งการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้โดยตรงต่อคณะกรรมการก็มิใช่เป็นการยื่นตามมาตรา ๑๔ ประกอบมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เพราะการยื่นคำร้องตามมาตราดังกล่าวนี้จะต้องเป็นกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดขัดแย้งกันและเป็นเรื่องคำพิพากษาหรือคำสั่งในเรื่องอื่นที่มิใช่เกี่ยวกับเรื่องเขตอำนาจศาล
จึงมีคำสั่งว่า การยื่นคำร้องของผู้ร้องคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยอำนาจตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ ให้ยกคำร้องนี้เสีย
(ลงชื่อ) อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) โภคิน พลกุล
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายโภคิน พลกุล)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท อัฏฐพร เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(อัฏฐพร เจริญพานิช) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(คำสั่ง) ที่ ๒๕/๒๕๔๖
วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๖
เรื่อง การยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐
การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ
นายถ้วน พานทอง ได้ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจศาลกรณีศาลแพ่งและศาลปกครองกลางไม่รับฟ้องคดี
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕ นายถ้วน พานทอง (ผู้ร้อง) ได้ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานครต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๐๗๕/๒๕๔๕ (คดีหมายเลขแดงที่ ๖๔๒๑/๒๕๔๕) เกี่ยวกับสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินซึ่งจะถูกเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอยานนาวา อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร อำเภอบางขุนเทียน อำเภอธนบุรี อำเภอบางกอกน้อย อำเภอตลิ่งชัน อำเภอภาษีเจริญ กิ่งอำเภอหนองแขม จังหวัดธนบุรี อำเภอบางกรวย อำเภอบางใหญ่ อำเภอบางบัวทอง อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอสามพราน อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งต่อมาได้มีการออกประกาศคณะปฏิวัติและพระราชกฤษฎีกาเพื่อขยายอายุพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวอีก ๓ ฉบับ เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ หมดอายุบังคับใช้วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ ผู้ร้องยินยอมให้กรุงเทพมหานครสร้างถนนผ่านที่ดินของตน โดยมิได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและมิได้รับเงินทดแทนจากกรุงเทพมหานครแต่อย่างใด ผู้ร้องจึงฟ้องคดีเพื่อเรียกเงินทดแทนจากกรุงเทพมหานครอันเนื่องมาจากการก่อสร้างถนนพุทธมณฑลสาย ๑ ผ่านที่ดินของผู้ร้อง แต่ศาลแพ่งเห็นว่า คดีสืบเนื่องมาจากมีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินฯ กำหนดให้จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการเวนคืนที่ดินใช้ในการสร้างถนนพุทธมณฑลสาย ๑ อันเป็นการใช้อำนาจรัฐ เพื่อดำเนินการไปสู่การบังคับการเวนคืนที่ดินใช้ในการก่อสร้างถนนซึ่งเป็นสิ่งสาธารณูปโภคที่ประชาชนเป็นผู้ใช้และได้รับประโยชน์โดยตรง อันมีลักษณะเป็นการจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคจนเกิดเป็นข้อพิพาทกันขึ้นกับโจทก์ โดยข้อพิพาทของคู่สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยลักษณะนี้เป็นการพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ฉะนั้น อำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีในลักษณะนี้จึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๒๒/๒๕๔๕ และศาลปกครองได้เปิดทำการแล้วตั้งแต่วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ เป็นต้นมา ศาลแพ่งมีคำสั่งในวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕ อันเป็นเวลาภายหลังศาลปกครองเปิดทำการโดยผิดหลงให้รับฟ้องคดีของโจทก์ไว้พิจารณา จึงอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ ให้เพิกถอนคำสั่งโดยผิดหลงตั้งแต่การรับฟ้องของโจทก์เป็นต้นมาทั้งหมดนั้นเสียและมีคำสั่งใหม่ว่า คดีของโจทก์อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลปกครอง จึงไม่รับฟ้องคดีของโจทก์
ผู้ร้องจึงยื่นฟ้องคดีในข้อเท็จจริงเดียวกันนี้ต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๖ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๒๕/๒๕๔๖ โดยมิได้บรรยายฟ้องหรือแถลงให้ศาลทราบถึงการที่ศาลแพ่งไม่รับคำฟ้องคดีนี้ ซึ่งต่อมา เมื่อศาลปกครองกลางได้ตรวจพิจารณาคำฟ้องและข้อเท็จจริงในคดีแล้วได้มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา เนื่องจากเห็นว่าข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ผู้ฟ้องคดี (ผู้ร้อง) ได้ยื่นคำร้องขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีจ่ายเงินทดแทนที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีในราคาตารางวาละ ๓๕,๐๐๐ บาท และอนุญาตให้ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าก่อสร้างไปพลางก่อนได้ โดยผู้ฟ้องคดีสงวนสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าทดแทนที่ดินในราคาปัจจุบันเต็มทั้งจำนวนของเนื้อที่ดินทั้งหมด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าทำการก่อสร้างถนนพุทธมณฑลสาย ๑ ในที่ดินของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผลมาจากการให้ความยินยอมของผู้ฟ้องคดีและเป็นระยะเวลาภายหลังจากที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนหมดอายุการใช้บังคับแล้ว ดังนั้น คดีนี้จึงถือไม่ได้ว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และมิใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๒๒/๒๕๔๕ ที่ ๒๓/๒๕๔๕ และที่ ๒๗/๒๕๔๕ ศาลปกครองกลางไม่มีอำนาจรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาพิพากษา ผู้ร้องได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งไม่รับฟ้องของศาลปกครองกลางตามมาตรา ๗๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ต่อศาลปกครองสูงสุดและศาลมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของผู้ร้องไว้แล้ว
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ คำร้องของผู้ร้องชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลใดแต่ศาลนั้นไม่รับฟ้องเพราะเหตุว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง เมื่อมีการฟ้องคดีต่ออีกศาลหนึ่งแล้ว หากศาลดังกล่าวเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน ให้ศาลนั้นส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัย โดยให้นำความในมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) และมาตรา ๑๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม" ดังนั้น คดีที่จะมีการขัดแย้งอำนาจหน้าที่กันระหว่างศาลในกรณีนี้จะต้องเป็นกรณีที่คู่ความผู้ฟ้องคดีนำคดีไปยื่นฟ้องต่อศาลหนึ่งและศาลนั้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องเพราะเหตุว่าคดีอยู่ในอำนาจของอีกศาลหนึ่ง ต่อมาคู่ความผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีที่มีข้อเท็จจริงเดียวกันนี้ไปฟ้องต่อศาลอีกศาลหนึ่งและศาลในคดีหลังนี้ก็มีคำสั่งไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของตนเช่นกัน ข้อเท็จจริงในคดีนี้ ผู้ร้องนำคดีไปยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งแล้วและศาลแพ่งมีคำสั่งไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง ผู้ร้องจึงนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองกลางโดยมิได้บรรยายฟ้องหรือแถลงให้ศาลทราบถึงการที่ตนได้นำคดีไปฟ้องที่ศาลแพ่งมาก่อนแล้ว ต่อมาศาลปกครองกลางก็มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องเช่นกัน เพราะเห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของตน โดยมิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เพราะไม่ทราบเรื่องที่ผู้ร้องเคยยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งมาก่อน จากนั้นผู้ร้องจึงอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุดซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ดังนั้น กรณียังเป็นการไม่แน่ว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งเช่นไร จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการที่ศาลอีกศาลหนึ่งไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจตนเช่นกัน อันจะเป็นการขัดแย้งกันในเรื่องเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ วรรคสอง
ทั้งการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้โดยตรงต่อคณะกรรมการก็มิใช่เป็นการยื่นตามมาตรา ๑๔ ประกอบมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ เพราะการยื่นคำร้องตามมาตราดังกล่าวนี้จะต้องเป็นกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดขัดแย้งกันและเป็นเรื่องคำพิพากษาหรือคำสั่งในเรื่องอื่นที่มิใช่เกี่ยวกับเรื่องเขตอำนาจศาล
จึงมีคำสั่งว่า การยื่นคำร้องของผู้ร้องคดีนี้ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ อาศัยอำนาจตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๘ ให้ยกคำร้องนี้เสีย
(ลงชื่อ) อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) โภคิน พลกุล
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายโภคิน พลกุล)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท อัฏฐพร เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(อัฏฐพร เจริญพานิช) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
การยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 10
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|