โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตาม พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการดังต่อไปนี้... (6) .. ให้เช่า ให้เช่าซื้อ (7) จัดให้ได้มา ซื้อ... เช่าซื้อ... (9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งแยกจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน และต้องอยู่ในบังคับ พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ... เพราะโจทก์มิได้อยู่ในข้อยกเว้นตามมาตรา 5 (2) ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรองรับ ควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีเป็นการเฉพาะ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน และโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระมาแล้วและกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/229 และส่งมอบคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 197,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และค่าขาดประโยชน์ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์และสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. ร่วมกันหรือแทนกันรับเงินจากจำเลยเพื่อเป็นการชำระหนี้ ค่าที่ดินที่เช่าซื้อ กับออกหนังสือให้จำเลยเพื่อใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างต่อเจ้าพนักงานที่ดิน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ หรือให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงิน 110,372 บาท แก่จำเลยและชำระค่าเสียหายที่จำเลย ต่อเติมบ้าน 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 260,372 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องและให้ยกฟ้องแย้งในส่วนที่มีคำขอบังคับเอาแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ ม.
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นายเรืองศิลป์ ประธานกรรมการ มีอำนาจ ลงลายมือชื่อในเอกสารต่าง ๆ และดำเนินคดีแทนโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยทราบดีอยู่ก่อนแล้วว่าโจทก์นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่บุคคลอื่น จำเลยอ้างว่าไม่ชำระค่าเช่าซื้อเพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ จำเลยต่อเติมบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/229 โดยให้ส่งมอบสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ ให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 120,940 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากสิ่งปลูกสร้าง ให้ชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปแต่ไม่เกิน 12 เดือน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งและนำสืบรับกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ประเภทสหกรณ์บริการ มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก มีนายเรืองศิลป์ เป็นประธานกรรมการ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไปและมีอำนาจฟ้องร้องดำเนินคดีแทนโจทก์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินบางส่วนของโฉนดที่ดินเลขที่ 38760 เนื้อที่ 28 ตารางวา จากโจทก์เป็นเงิน 570,000 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน เดือนละ 2,380 บาท รวม 240 งวด ทุกวันที่ 1 ของเดือน เริ่มชำระตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 เป็นต้นไป หลังจากทำสัญญาจำเลยชำระค่าเช่าซื้อเป็นเงิน 110,372 บาท โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2557 จำนวน 22,860 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีกเลย โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นแรกว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อโดยชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลจะหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายใดอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) หรือไม่ ย่อมเป็นดุลพินิจของศาล หากศาลเห็นไม่สมควรจะไม่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยก็ได้ เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นแต่เพียงว่า หนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีระเบียบหรือข้อบังคับให้ประธานกรรมการสหกรณ์แต่ผู้เดียวมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญเป็นผู้แทนในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกหรือกระทำการแทนโจทก์ โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นในประเด็นตามที่จำเลยฎีกาโจทก์ย่อมไม่มีโอกาสที่จะนำพยานหลักฐานเข้านำสืบให้เห็นว่าในขณะทำสัญญาเช่าซื้อนายจีระศักดิ์เป็นประธานกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่ อันเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาต่อไปว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 บัญญัติว่า พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่ (1) การจัดสรรที่ดินของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย (2) การจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการ ดังต่อไปนี้... (6) ให้กู้ ให้สินเชื่อ ให้ยืม ให้เช่า ให้เช่าซื้อ โอน รับจำนองหรือรับจำนำ ซึ่งทรัพย์สินแก่สมาชิกหรือของสมาชิก (7) จัดให้ได้มา ซื้อ ถือกรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธิครอบครอง กู้ ยืม เช่า เช่าซื้อ รับโอนสิทธิการเช่าหรือสิทธิการเช่าซื้อ จำนอง จำนำ ขายหรือจำหน่ายด้วยวิธีอื่นใดซึ่งทรัพย์สิน... (9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ ซึ่งเมื่อพิจารณาวัตถุประสงค์ของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นวัตถุประสงค์โดยทั่วไปโดยพระราชบัญญัติสหกรณ์ดังกล่าวมิได้มีวัตถุประสงค์หรือมีบทบัญญัติกฎหมายที่กำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินไว้โดยเฉพาะ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน...จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์มิได้ตกอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) หรือได้รับยกเว้นตามพระราชบัญญัติดังกล่าว อันเนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่จัดสรรที่ดินตามกฎหมายเฉพาะ หรือการจัดสรรที่ดินของโจทก์ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น ซึ่งตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะยกเว้นมิให้นำกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาใช้บังคับเป็นการซ้ำซ้อนกับการดำเนินการจัดสรรที่ดินที่อาศัยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะหรือได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายอื่น ซึ่งมีการควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่อื่นอยู่แล้ว เมื่อโจทก์นำที่ดินออกจัดสรรแบ่งขายให้สมาชิกรวมทั้งจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรร ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ การจัดสรรที่ดินของโจทก์จึงไม่ชอบ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม แต่ก็เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น ไม่มีผลทำให้การแบ่งแยกจัดสรรที่ดินดังกล่าวออกจำหน่ายไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การจัดสรรที่ดิน ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน และกฎหมายก็ไม่ได้มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งว่าหากไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรแล้ว จะไม่สามารถขออนุญาตจัดสรรภายหลังได้ การที่โจทก์ไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินอันเป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ดังกล่าวนั้น จึงหาทำให้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นต่อไปมีว่า จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือไม่ เห็นว่า จากข้อกฎหมายดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์และจำเลยต่างไม่ทราบว่าโจทก์อยู่ในบังคับที่ต้องขออนุญาตจัดสรรที่ดินต่อคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ดังนั้น หากจำเลยชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาโดยครบถ้วน โจทก์ย่อมมีหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะผู้ให้เช่าซื้อโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยโดยปลอดจำนองตามสัญญา จำเลยไม่อาจยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นปฏิเสธไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ จำเลยยอมรับมาในฎีกาว่า จำเลยชำระค่าเช่าซื้อครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2557 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้อง เมื่อการชำระค่าเช่าซื้อกำหนดชำระทุกวันที่ 1 ของเดือน อันเป็นการกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน แต่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตลอดมาเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์ย่อมใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นสุดท้ายมีว่า โจทก์ต้องรับผิดตามฟ้องแย้งหรือไม่ เห็นว่า จากข้อเท็จจริงดังได้วินิจฉัยมาแล้วฟังได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระจำนวนดังกล่าวมาแล้วและกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีหน้าที่คืนเงินค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
อนึ่ง ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 และมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และบัญญัติให้ใช้ความใหม่ว่า ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี... และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 224 เดิม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความใหม่ว่า หนี้เงินนั้น ให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี และพระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 7 บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 การที่จำเลยต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จึงเป็นหนี้เงิน โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้อัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จ แต่ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ ส่วนอัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยต้องชำระหนี้แก่โจทก์ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 เดิม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 120,940 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากทรัพย์ที่เช่าซื้อ ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตาม พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการดังต่อไปนี้... (6) .. ให้เช่า ให้เช่าซื้อ (7) จัดให้ได้มา ซื้อ... เช่าซื้อ... (9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งแยกจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน และต้องอยู่ในบังคับ พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ... เพราะโจทก์มิได้อยู่ในข้อยกเว้นตามมาตรา 5 (2) ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรองรับ ควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีเป็นการเฉพาะ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน และโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระมาแล้วและกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/229 และส่งมอบคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 197,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และค่าขาดประโยชน์ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์และสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. ร่วมกันหรือแทนกันรับเงินจากจำเลยเพื่อเป็นการชำระหนี้ ค่าที่ดินที่เช่าซื้อ กับออกหนังสือให้จำเลยเพื่อใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างต่อเจ้าพนักงานที่ดิน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ หรือให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงิน 110,372 บาท แก่จำเลยและชำระค่าเสียหายที่จำเลย ต่อเติมบ้าน 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 260,372 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องและให้ยกฟ้องแย้งในส่วนที่มีคำขอบังคับเอาแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ ม.
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นายเรืองศิลป์ ประธานกรรมการ มีอำนาจ ลงลายมือชื่อในเอกสารต่าง ๆ และดำเนินคดีแทนโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยทราบดีอยู่ก่อนแล้วว่าโจทก์นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่บุคคลอื่น จำเลยอ้างว่าไม่ชำระค่าเช่าซื้อเพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ จำเลยต่อเติมบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/229 โดยให้ส่งมอบสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ ให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 120,940 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากสิ่งปลูกสร้าง ให้ชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปแต่ไม่เกิน 12 เดือน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งและนำสืบรับกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ประเภทสหกรณ์บริการ มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก มีนายเรืองศิลป์ เป็นประธานกรรมการ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไปและมีอำนาจฟ้องร้องดำเนินคดีแทนโจทก์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินบางส่วนของโฉนดที่ดินเลขที่ 38760 เนื้อที่ 28 ตารางวา จากโจทก์เป็นเงิน 570,000 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน เดือนละ 2,380 บาท รวม 240 งวด ทุกวันที่ 1 ของเดือน เริ่มชำระตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 เป็นต้นไป หลังจากทำสัญญาจำเลยชำระค่าเช่าซื้อเป็นเงิน 110,372 บาท โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2557 จำนวน 22,860 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีกเลย โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นแรกว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อโดยชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลจะหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายใดอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) หรือไม่ ย่อมเป็นดุลพินิจของศาล หากศาลเห็นไม่สมควรจะไม่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยก็ได้ เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นแต่เพียงว่า หนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีระเบียบหรือข้อบังคับให้ประธานกรรมการสหกรณ์แต่ผู้เดียวมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญเป็นผู้แทนในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกหรือกระทำการแทนโจทก์ โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นในประเด็นตามที่จำเลยฎีกาโจทก์ย่อมไม่มีโอกาสที่จะนำพยานหลักฐานเข้านำสืบให้เห็นว่าในขณะทำสัญญาเช่าซื้อนายจีระศักดิ์เป็นประธานกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่ อันเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาต่อไปว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 บัญญัติว่า พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่ (1) การจัดสรรที่ดินของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย (2) การจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการ ดังต่อไปนี้... (6) ให้กู้ ให้สินเชื่อ ให้ยืม ให้เช่า ให้เช่าซื้อ โอน รับจำนองหรือรับจำนำ ซึ่งทรัพย์สินแก่สมาชิกหรือของสมาชิก (7) จัดให้ได้มา ซื้อ ถือกรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธิครอบครอง กู้ ยืม เช่า เช่าซื้อ รับโอนสิทธิการเช่าหรือสิทธิการเช่าซื้อ จำนอง จำนำ ขายหรือจำหน่ายด้วยวิธีอื่นใดซึ่งทรัพย์สิน... (9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ ซึ่งเมื่อพิจารณาวัตถุประสงค์ของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นวัตถุประสงค์โดยทั่วไปโดยพระราชบัญญัติสหกรณ์ดังกล่าวมิได้มีวัตถุประสงค์หรือมีบทบัญญัติกฎหมายที่กำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินไว้โดยเฉพาะ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน...จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์มิได้ตกอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) หรือได้รับยกเว้นตามพระราชบัญญัติดังกล่าว อันเนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่จัดสรรที่ดินตามกฎหมายเฉพาะ หรือการจัดสรรที่ดินของโจทก์ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น ซึ่งตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะยกเว้นมิให้นำกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาใช้บังคับเป็นการซ้ำซ้อนกับการดำเนินการจัดสรรที่ดินที่อาศัยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะหรือได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายอื่น ซึ่งมีการควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่อื่นอยู่แล้ว เมื่อโจทก์นำที่ดินออกจัดสรรแบ่งขายให้สมาชิกรวมทั้งจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรร ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ การจัดสรรที่ดินของโจทก์จึงไม่ชอบ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม แต่ก็เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น ไม่มีผลทำให้การแบ่งแยกจัดสรรที่ดินดังกล่าวออกจำหน่ายไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การจัดสรรที่ดิน ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน และกฎหมายก็ไม่ได้มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งว่าหากไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรแล้ว จะไม่สามารถขออนุญาตจัดสรรภายหลังได้ การที่โจทก์ไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินอันเป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ดังกล่าวนั้น จึงหาทำให้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นต่อไปมีว่า จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือไม่ เห็นว่า จากข้อกฎหมายดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์และจำเลยต่างไม่ทราบว่าโจทก์อยู่ในบังคับที่ต้องขออนุญาตจัดสรรที่ดินต่อคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ดังนั้น หากจำเลยชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาโดยครบถ้วน โจทก์ย่อมมีหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะผู้ให้เช่าซื้อโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยโดยปลอดจำนองตามสัญญา จำเลยไม่อาจยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นปฏิเสธไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ จำเลยยอมรับมาในฎีกาว่า จำเลยชำระค่าเช่าซื้อครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2557 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้อง เมื่อการชำระค่าเช่าซื้อกำหนดชำระทุกวันที่ 1 ของเดือน อันเป็นการกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน แต่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตลอดมาเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์ย่อมใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นสุดท้ายมีว่า โจทก์ต้องรับผิดตามฟ้องแย้งหรือไม่ เห็นว่า จากข้อเท็จจริงดังได้วินิจฉัยมาแล้วฟังได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระจำนวนดังกล่าวมาแล้วและกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีหน้าที่คืนเงินค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
อนึ่ง ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 และมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และบัญญัติให้ใช้ความใหม่ว่า ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี... และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 224 เดิม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความใหม่ว่า หนี้เงินนั้น ให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี และพระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 7 บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 การที่จำเลยต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จึงเป็นหนี้เงิน โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้อัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จ แต่ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ ส่วนอัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยต้องชำระหนี้แก่โจทก์ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 เดิม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 120,940 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากทรัพย์ที่เช่าซื้อ ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การที่ผู้จัดสรรที่ดินไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินจากคณะกรรมการก่อนมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/2524 เรื่อง กรมตำรวจจัดสรรสวัสดิการให้แก่ข้าราชการทำเรื่องเช่าซื้อโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินก่อน ก็ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5553/2537, 1112/2542 และ 6759/2544 แม้ผู้จัดสรรที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็เป็นเพียงการดำเนินการฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้วินิจฉัยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐที่จะเข้าไปควบคุมผู้จัดสรรที่ดินให้ดำเนินการด้านสาธารณูปโภคให้เป็นไปตามที่ทางราชการกำหนดเท่านั้น ซึ่งเป็นคนละส่วนกับการที่โจทก์และจำเลยจะทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท และตามสัญญาไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งจึงไม่ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 ก้อง ศิวะเกื้อ
โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตาม พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการดังต่อไปนี้...(6) ให้เช่า ให้เช่าซื้อ (7) จัดให้ได้มา ซื้อ เช่าซื้อ (9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน และต้องอยู่ในบังคับ พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ เพราะโจทก์มิได้อยู่ในข้อยกเว้นตามมาตรา 5 (2) ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรับรอง ควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีเป็นการเฉพาะ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน และโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระมาแล้ว และกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/230 และส่งมอบคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 197,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และค่าขาดประโยชน์ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์และสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. ร่วมกันหรือแทนกันรับเงินจากจำเลยเพื่อเป็นการชำระหนี้ค่าที่ดินที่เช่าซื้อ กับออกหนังสือให้จำเลยเพื่อใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างต่อเจ้าพนักงานที่ดิน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ หรือให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงิน 110,372 บาท แก่จำเลยและชำระค่าเสียหายที่จำเลยต่อเติมบ้าน 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 260,372 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องและให้ยกฟ้องแย้งในส่วนที่มีคำขอบังคับเอาแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ ม.
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/230 โดยให้ส่งมอบสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ ให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 120,940 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากสิ่งปลูกสร้าง ให้ชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปแต่ไม่เกิน 12 เดือน นับแต่วันที่มีคำพิพากษาและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งและนำสืบรับกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ประเภทสหกรณ์บริการ มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก มีนายเรืองศิลป์ เป็นประธานกรรมการ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไปและมีอำนาจฟ้องร้องดำเนินคดีแทนโจทก์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินบางส่วนของโฉนดที่ดินเลขที่ 38760 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองระเวียง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 28 ตารางวา จากโจทก์เป็นเงิน 570,000 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน เดือนละ 2,380 บาท รวม 240 งวด ทุกวันที่ 1 ของเดือนเริ่มชำระตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 เป็นต้นไป หลังจากทำสัญญาจำเลยชำระค่าเช่าซื้อเป็นเงิน 110,372 บาท โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2557 จำนวน 22,860 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีกเลยโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นแรกว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อโดยชอบหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อนายจีระศักดิ์ ไม่ได้เป็นประธานกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ เท่ากับโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาเช่าซื้อจึงไม่เป็นไปตามแบบดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 วรรคสอง ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 152 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยย่อมเป็นการไม่ชอบ นั้น เห็นว่า การที่ศาลจะหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายใดอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 (5) หรือไม่ ย่อมเป็นดุลพินิจของศาล หากศาลเห็นไม่สมควรจะไม่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยก็ได้ เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นแต่เพียงว่า หนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีระเบียบหรือข้อบังคับให้ประธานกรรมการสหกรณ์แต่ผู้เดียวมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญเป็นผู้แทนในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกหรือกระทำการแทนโจทก์ โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นในประเด็นตามที่จำเลยฎีกาโจทก์ย่อมไม่มีโอกาสที่จะนำพยานหลักฐานเข้านำสืบให้เห็นว่าในขณะทำสัญญาเช่าซื้อนายจีระศักดิ์เป็นประธานกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่ อันเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาต่อไปว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครราชสีมา จึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 นั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 บัญญัติว่า พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่ (1) การจัดสรรที่ดินของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย (2) การจัดสรรที่ดินได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการ ดังต่อไปนี้... (6) ให้กู้ ให้สินเชื่อ ให้ยืม ให้เช่า ให้เช่าซื้อ โอน รับจำนองหรือรับจำนำ ซึ่งทรัพย์สินแก่สมาชิกหรือของสมาชิก (7) จัดให้ได้มา ซื้อ ถือกรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธิครอบครอง กู้ ยืม เช่า เช่าซื้อ รับโอนสิทธิการเช่าหรือสิทธิการเช่าซื้อ จำนองหรือจำนำ ขายหรือจำหน่ายด้วยวิธีอื่นใดซึ่งทรัพย์สิน...(9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ ซึ่งเมื่อพิจารณาวัตถุประสงค์ของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นวัตถุประสงค์โดยทั่วไปโดยพระราชบัญญัติสหกรณ์ดังกล่าวมิได้มีวัตถุประสงค์หรือมีบทบัญญัติกฎหมายที่กำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินไว้โดยเฉพาะ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 ตำบลหนองระเวียง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน...จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์มิได้ตกอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) หรือได้รับยกเว้นตามพระราชบัญญัติดังกล่าว อันเนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่จัดสรรที่ดินตามกฎหมายเฉพาะ หรือการจัดสรรที่ดินของโจทก์ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น ซึ่งตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะยกเว้นมิให้นำกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาใช้บังคับเป็นการซ้ำซ้อนกับการดำเนินการจัดสรรที่ดินที่อาศัยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะหรือได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายอื่น ซึ่งมีการควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่อื่นอยู่แล้ว เมื่อโจทก์นำที่ดินออกจัดสรรแบ่งขายให้สมาชิกรวมทั้งจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรร ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ การจัดสรรที่ดินของโจทก์จึงไม่ชอบ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม แต่ก็เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น ไม่มีผลทำให้การแบ่งแยกจัดสรรที่ดินดังกล่าวออกจำหน่ายไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน และกฎหมายก็ไม่ได้มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งว่าหากไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรแล้วจะไม่สามารถขออนุญาตจัดสรรภายหลังได้ การที่โจทก์ไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินอันเป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ดังกล่าวนั้นจึงหาทำให้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นต่อไปมีว่า จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า แม้จำเลยผ่อนชำระค่าเช่าซื้อจนครบถ้วน โจทก์ก็ไม่สามารถโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยได้ เพราะโจทก์ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินตามกฎหมาย การที่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดต่อ ๆ มา จึงหาได้ชื่อว่าเป็นลูกหนี้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 205 โจทก์จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยหาได้ไม่ นั้น เห็นว่า จากข้อกฎหมายดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงขณะทำสัญญา ซึ่งโจทก์และจำเลยต่างไม่ทราบว่าโจทก์อยู่ในบังคับที่ต้องขออนุญาตจัดสรรที่ดินต่อคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ดังนั้นหากจำเลยชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาโดยครบถ้วน โจทก์ย่อมมีหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะผู้ให้เช่าซื้อโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยโดยปลอดจำนองตามสัญญา จำเลยไม่อาจยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นปฏิเสธไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ จำเลยยอมรับมาในฎีกาว่า จำเลยชำระค่าเช่าซื้อครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2547 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้อง เมื่อการชำระค่าเช่าซื้อกำหนดชำระทุกวันที่ 1 ของเดือน อันเป็นการกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน แต่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตลอดมาเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์ย่อมใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นสุดท้ายมีว่า โจทก์ต้องรับผิดตามฟ้องแย้งหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ต้องนำเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยชำระมาแล้ว 110,372 บาท คืนให้แก่จำเลย เนื่องจากจำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา นั้น เห็นว่าจากข้อเท็จจริงดังได้วินิจฉัยมาแล้วฟังได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระจำนวนดังกล่าวมาแล้วและกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีหน้าที่คืนเงินค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
อนึ่ง ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีการออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิมและบัญญัติให้ใช้ความใหม่ว่า ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละสามต่อปี... และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 224 เดิม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และบัญญัติให้ใช้ความใหม่ว่า หนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี... และพระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 7 บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในหนี้เงินได้ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จแต่ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ ส่วนดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 โจทก์ยังคงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 เดิม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 120,940 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากทรัพย์ที่เช่าซื้อ ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตาม พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการดังต่อไปนี้...(6) ให้เช่า ให้เช่าซื้อ (7) จัดให้ได้มา ซื้อ เช่าซื้อ (9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตาม พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน และต้องอยู่ในบังคับ พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ เพราะโจทก์มิได้อยู่ในข้อยกเว้นตามมาตรา 5 (2) ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรับรอง ควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีเป็นการเฉพาะ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน และโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระมาแล้ว และกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/230 และส่งมอบคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 197,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และค่าขาดประโยชน์ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์และสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. ร่วมกันหรือแทนกันรับเงินจากจำเลยเพื่อเป็นการชำระหนี้ค่าที่ดินที่เช่าซื้อ กับออกหนังสือให้จำเลยเพื่อใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างต่อเจ้าพนักงานที่ดิน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ หรือให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงิน 110,372 บาท แก่จำเลยและชำระค่าเสียหายที่จำเลยต่อเติมบ้าน 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 260,372 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกสหกรณ์ออมทรัพย์ ม. เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องและให้ยกฟ้องแย้งในส่วนที่มีคำขอบังคับเอาแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ ม.
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 289/230 โดยให้ส่งมอบสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยปราศจากความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ ให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 120,940 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากสิ่งปลูกสร้าง ให้ชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปแต่ไม่เกิน 12 เดือน นับแต่วันที่มีคำพิพากษาและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งและนำสืบรับกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ประเภทสหกรณ์บริการ มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก มีนายเรืองศิลป์ เป็นประธานกรรมการ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไปและมีอำนาจฟ้องร้องดำเนินคดีแทนโจทก์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินบางส่วนของโฉนดที่ดินเลขที่ 38760 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองระเวียง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 28 ตารางวา จากโจทก์เป็นเงิน 570,000 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน เดือนละ 2,380 บาท รวม 240 งวด ทุกวันที่ 1 ของเดือนเริ่มชำระตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 เป็นต้นไป หลังจากทำสัญญาจำเลยชำระค่าเช่าซื้อเป็นเงิน 110,372 บาท โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2557 จำนวน 22,860 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีกเลยโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นแรกว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อโดยชอบหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อนายจีระศักดิ์ ไม่ได้เป็นประธานกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ เท่ากับโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาเช่าซื้อจึงไม่เป็นไปตามแบบดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 วรรคสอง ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 152 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยย่อมเป็นการไม่ชอบ นั้น เห็นว่า การที่ศาลจะหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายใดอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 (5) หรือไม่ ย่อมเป็นดุลพินิจของศาล หากศาลเห็นไม่สมควรจะไม่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยก็ได้ เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นแต่เพียงว่า หนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีระเบียบหรือข้อบังคับให้ประธานกรรมการสหกรณ์แต่ผู้เดียวมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญเป็นผู้แทนในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกหรือกระทำการแทนโจทก์ โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในศาลชั้นต้นในประเด็นตามที่จำเลยฎีกาโจทก์ย่อมไม่มีโอกาสที่จะนำพยานหลักฐานเข้านำสืบให้เห็นว่าในขณะทำสัญญาเช่าซื้อนายจีระศักดิ์เป็นประธานกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่ อันเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาต่อไปว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครราชสีมา จึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 นั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 บัญญัติว่า พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่ (1) การจัดสรรที่ดินของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย (2) การจัดสรรที่ดินได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ให้บริการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก ซึ่งตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 46 บัญญัติว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้สหกรณ์มีอำนาจกระทำการ ดังต่อไปนี้... (6) ให้กู้ ให้สินเชื่อ ให้ยืม ให้เช่า ให้เช่าซื้อ โอน รับจำนองหรือรับจำนำ ซึ่งทรัพย์สินแก่สมาชิกหรือของสมาชิก (7) จัดให้ได้มา ซื้อ ถือกรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธิครอบครอง กู้ ยืม เช่า เช่าซื้อ รับโอนสิทธิการเช่าหรือสิทธิการเช่าซื้อ จำนองหรือจำนำ ขายหรือจำหน่ายด้วยวิธีอื่นใดซึ่งทรัพย์สิน...(9) ดำเนินกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ ซึ่งเมื่อพิจารณาวัตถุประสงค์ของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นวัตถุประสงค์โดยทั่วไปโดยพระราชบัญญัติสหกรณ์ดังกล่าวมิได้มีวัตถุประสงค์หรือมีบทบัญญัติกฎหมายที่กำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่ทำการจัดสรรที่ดินไว้โดยเฉพาะ การที่โจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38760 ตำบลหนองระเวียง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 36 ไร่ 54 ตารางวา มาดำเนินการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยจำหน่ายให้แก่สมาชิกสหกรณ์รวมทั้งจำเลยในรูปแบบการทำสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ได้รับค่าเช่าซื้อเป็นประโยชน์ตอบแทน จึงต้องด้วยนิยามศัพท์ จัดสรรที่ดิน ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า การจัดสรรที่ดิน หมายถึง การจำหน่ายที่ดินที่ได้แบ่งเป็นแปลงย่อยรวมกันตั้งแต่สิบแปลงขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งจากที่ดินแปลงเดียวหรือแบ่งจากที่ดินหลายแปลงที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์เป็นค่าตอบแทน...จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์มิได้ตกอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) หรือได้รับยกเว้นตามพระราชบัญญัติดังกล่าว อันเนื่องจากกรณีของโจทก์ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดรองรับให้โจทก์มีอำนาจหน้าที่จัดสรรที่ดินตามกฎหมายเฉพาะ หรือการจัดสรรที่ดินของโจทก์ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอื่น ซึ่งตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะยกเว้นมิให้นำกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาใช้บังคับเป็นการซ้ำซ้อนกับการดำเนินการจัดสรรที่ดินที่อาศัยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะหรือได้รับอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายอื่น ซึ่งมีการควบคุมดูแลการดำเนินการให้ได้มาตรฐานที่ดีโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายและพนักงานเจ้าหน้าที่อื่นอยู่แล้ว เมื่อโจทก์นำที่ดินออกจัดสรรแบ่งขายให้สมาชิกรวมทั้งจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรร ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ การจัดสรรที่ดินของโจทก์จึงไม่ชอบ แต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ตาม แต่ก็เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น ไม่มีผลทำให้การแบ่งแยกจัดสรรที่ดินดังกล่าวออกจำหน่ายไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยผู้เช่าซื้อต่างก็ไม่ทราบว่ากรณีของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อน และกฎหมายก็ไม่ได้มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งว่าหากไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรแล้วจะไม่สามารถขออนุญาตจัดสรรภายหลังได้ การที่โจทก์ไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินอันเป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 21 ดังกล่าวนั้นจึงหาทำให้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยตกเป็นโมฆะไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นต่อไปมีว่า จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า แม้จำเลยผ่อนชำระค่าเช่าซื้อจนครบถ้วน โจทก์ก็ไม่สามารถโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยได้ เพราะโจทก์ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินตามกฎหมาย การที่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดต่อ ๆ มา จึงหาได้ชื่อว่าเป็นลูกหนี้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 205 โจทก์จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยหาได้ไม่ นั้น เห็นว่า จากข้อกฎหมายดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงขณะทำสัญญา ซึ่งโจทก์และจำเลยต่างไม่ทราบว่าโจทก์อยู่ในบังคับที่ต้องขออนุญาตจัดสรรที่ดินต่อคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 5 (2) วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจึงไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ดังนั้นหากจำเลยชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาโดยครบถ้วน โจทก์ย่อมมีหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะผู้ให้เช่าซื้อโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยโดยปลอดจำนองตามสัญญา จำเลยไม่อาจยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นปฏิเสธไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ จำเลยยอมรับมาในฎีกาว่า จำเลยชำระค่าเช่าซื้อครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2547 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้อง เมื่อการชำระค่าเช่าซื้อกำหนดชำระทุกวันที่ 1 ของเดือน อันเป็นการกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน แต่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตลอดมาเป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์ย่อมใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประเด็นสุดท้ายมีว่า โจทก์ต้องรับผิดตามฟ้องแย้งหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ต้องนำเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยชำระมาแล้ว 110,372 บาท คืนให้แก่จำเลย เนื่องจากจำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา นั้น เห็นว่าจากข้อเท็จจริงดังได้วินิจฉัยมาแล้วฟังได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ชอบที่จะริบบรรดาค่าเช่าซื้อที่จำเลยได้ชำระจำนวนดังกล่าวมาแล้วและกลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีหน้าที่คืนเงินค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
อนึ่ง ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีการออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิมและบัญญัติให้ใช้ความใหม่ว่า ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละสามต่อปี... และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 224 เดิม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และบัญญัติให้ใช้ความใหม่ว่า หนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี... และพระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 7 บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในหนี้เงินได้ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จแต่ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ ส่วนดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 โจทก์ยังคงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 เดิม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 120,940 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 สิงหาคม 2561) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากทรัพย์ที่เช่าซื้อ ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การที่ผู้จัดสรรที่ดินไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินจากคณะกรรมการก่อน มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/2524 เรื่องกรมตำรวจจัดสรรสวัสดิการให้แก่ข้าราชการทำเรื่องเช่าซื้อโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินก่อน ก็ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5553/2537, 1112/2542 และ 6759/2544 แม้ผู้จัดสรรที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็เป็นเพียงการดำเนินการฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้วินิจฉัยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 286 ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐที่จะเข้าไปควบคุมผู้จัดสรรที่ดินให้ดำเนินการด้านสาธารณูปโภคให้เป็นไปตามที่ทางราชการกำหนดเท่านั้น ซึ่งเป็นคนละส่วนกับการที่โจทก์และจำเลยจะทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท และตามสัญญาไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งจึงไม่ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150ก้อง ศิวะเกื้อ
คดีนี้เป็นคดีอาญา ซึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 252 กำหนดไว้ว่า ในคดีอาญาทั้งหลายห้ามมิให้ศาลยุติธรรมเรียกค่าธรรมเนียมนอกจากที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ ซึ่งบทบัญญัติในหมวดนี้ในส่วนของจำเลยไม่ได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องบังคับไปตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่ง จำเลยจึงไม่ต้องเสีย ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสามมิได้เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็มีอำนาจวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่ง
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341, 342 ให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 984/2561 ของศาลชั้นต้น และขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงิน 6,800,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้นับโทษต่อ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยทั้งสองมิได้กระทำความผิดตามฟ้อง จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงิน 6,800,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ 3 ไม่ให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342 (1) ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี ทางนำสืบและคำเบิกความของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 984/2561 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังไม่มีคำพิพากษาจึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงิน 6,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มีนาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องในคดีส่วนแพ่งใหม่ ส่วนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำเลยทั้งสามไม่ได้ชำระมาจึงไม่จำต้องสั่งคืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเพื่อนกับนาง ฐ. จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของจำเลยที่ 2 นาย พ. เป็นน้องชายของจำเลยที่ 2 โจทก์รู้จักจำเลยทั้งสามจากการแนะนำของนาง ฐ.
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ก่อนที่โจทก์และนาง ฐ. จะร่วมลงทุนเข้าหุ้นในกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. จำเลยที่ 2 กับนาย พ. น้องชายของจำเลยที่ 2 ร่วมก่อตั้งโรงเรียนกวดวิชา บ. สาขาชลบุรี ตั้งแต่ปี 2558 มีจำเลยที่ 3 เป็นครูสอนมาตั้งแต่ก่อตั้ง ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นครูสอนตั้งแต่ปลายปี 2559 แสดงว่าก่อนที่โจทก์กับนาง ฐ. จะร่วมลงทุนเข้าหุ้น โรงเรียนกวดวิชา บ. ก่อตั้งและดำเนินการสอนมาก่อนหน้านั้นแล้ว อันเป็นการยืนยันว่าโรงเรียนกวดวิชา บ. มีอยู่จริง และเปิดทำการสอนจริง ต่อมาวันที่ 24 เมษายน 2560 นาง ฐ. ร่วมลงทุนเปิดโรงเรียนกวดวิชา บ. ในอำเภอศรีราชา และวันที่ 8 มิถุนายน 2560 นาง ฐ. ร่วมกับจำเลยที่ 3 ซื้อหุ้นโรงเรียนกวดวิชา บ. สาขาชลบุรี จากจำเลยที่ 2 และประมาณเดือนกรกฎาคม 2560 โจทก์โอนเงิน 6,800,000 บาท เพื่อร่วมลงทุนเข้าบัญชีธนาคารของนาง ฐ. เมื่อนับระยะเวลานับแต่โรงเรียนกวดวิชา บ. ก่อตั้งจนกระทั่งโจทก์กับนาง ฐ. มาร่วมลงทุน โรงเรียนกวดวิชา บ. เปิดดำเนินการมาเป็นเวลา 2 ปี แล้ว การดำเนินการตลอดระยะเวลา 2 ปี มีนักเรียนมากวดวิชาจำนวนมาก ยากที่จำเลยทั้งสามจะสร้างเรื่องมาหลอกลวงโจทก์หากไม่มีการดำเนินการจริง ต่อมานาง ฐ. ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของโจทก์แนะนำโจทก์ให้ร่วมลงทุนเข้าหุ้นในกิจการโรงเรียนกวดวิชา บ. เนื่องจากนาง ฐ. ซึ่งเป็นหุ้นส่วนได้เข้าไปบริหารโรงเรียนกวดวิชา บ. แล้วเห็นว่ามีการเรียนการสอนจริง และมีรายได้เข้ามาจริง และก่อนที่โจทก์ร่วมลงทุน โจทก์ได้ตรวจดูกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. ด้วยตนเอง โดยการนำรหัสที่ได้รับจากจำเลยที่ 3 ไปเปิดดูการดำเนินการของโรงเรียนแล้ว ทั้งยังได้พูดคุยกับจำเลยที่ 2 ถึงเรื่องร่วมลงทุน เมื่อได้ความว่า โจทก์เป็นนักธุรกิจประกอบกิจการขนส่ง แสดงว่าก่อนที่โจทก์จะตกลงร่วมทุนในกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. โจทก์ได้ตรวจสอบกิจการของโรงเรียนอย่างรอบคอบ วิเคราะห์ความเป็นไปได้ ความเสี่ยง ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นอย่างดีแล้ว ก่อนที่โจทก์จะร่วมทุน กรณีจึงน่าเชื่อว่า การที่โจทก์ตกลงลงทุนเข้าหุ้นในกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. เกิดจากการชักชวนของนาง ฐ. เพื่อนสนิทของโจทก์ เพราะนาง ฐ. ได้ลงทุนเข้าหุ้นก่อนโจทก์ ไม่ได้เกิดจากการหลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นอาจารย์ พ. ตามที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ต่อมาโจทก์และนาง ฐ. เข้ามาช่วยบริหารโรงเรียนกวดวิชา บ. แล้วเห็นว่าการบริหารจัดการโรงเรียนไม่โปร่งใส มีการถอนเงินส่วนกลางไปใช้ส่วนตัว ทั้งโจทก์และนาง ฐ. เห็นว่าทางโรงเรียนกวดวิชา บ. ได้เก็บเงินค่ากวดวิชารายละ 130,000 บาท มีผู้สมัครประมาณ 100 ราย มีรายได้ประมาณ 13,000,000 บาท โดยรับรองผลว่า หากผู้สมัครไม่สามารถเข้าเรียนที่โรงเรียน ช. ได้ทางโรงเรียนกวดวิชา บ. จะคืนเงินให้ผู้สมัคร โจทก์และนาง ฐ. จึงประสงค์ที่จะถอนหุ้น เพราะเกรงว่าจะต้องร่วมรับผิดชอบในการคืนเงินดังกล่าว ฉะนั้น การที่โจทก์ตกลงร่วมลงทุนกับจำเลยทั้งสามเพราะเห็นว่าจำเลยทั้งสามประกอบกิจการในโรงเรียนกวดวิชาจริง และหากร่วมลงทุนด้วยแล้วจะได้รับผลตอบแทนที่ดี โดยมีการวิเคราะห์ถึงข้อมูลต่าง ๆ ก่อนแล้วจึงตัดสินใจเข้าร่วมลงทุน เชื่อว่าโจทก์ตกลงร่วมลงทุนกับจำเลยทั้งสามด้วยความสมัครใจ มิใช่เกิดจากการที่จำเลยทั้งสามร่วมกันหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยทั้งสามไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ได้รับรองไว้กับโจทก์ก็เป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ซึ่งโจทก์ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นเรื่องหนึ่งต่างหาก พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมาตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันชดใช้เงิน 6,800,000 บาท ให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อคดีนี้ศาลวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ซึ่งโจทก์ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก และที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีส่วนแพ่ง แต่จำเลยทั้งสามมิได้วางค่าฤชาธรรมเนียมที่เป็นค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในคดีส่วนแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 จึงไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่ง ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีส่วนแพ่ง คดีในส่วนแพ่งถือว่าถึงที่สุดแล้วนั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีอาญา ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 252 กำหนดไว้ว่า ในคดีอาญาทั้งหลายห้ามมิให้ศาลยุติธรรมเรียกค่าธรรมเนียมนอกจากที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ ซึ่งบทบัญญัติในหมวดนี้ในส่วนของจำเลยมิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องบังคับไปตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น เมื่อค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่ง จำเลยจึงไม่ต้องเสีย ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสามมิได้เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาด้วยตามที่โจทก์ฎีกามาก็ตาม ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็มีอำนาจวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนข้ออ้างตามฎีกาของโจทก์ข้ออื่น ๆ ไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
คดีนี้เป็นคดีอาญา ซึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 252 กำหนดไว้ว่า ในคดีอาญาทั้งหลายห้ามมิให้ศาลยุติธรรมเรียกค่าธรรมเนียมนอกจากที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ ซึ่งบทบัญญัติในหมวดนี้ในส่วนของจำเลยไม่ได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องบังคับไปตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่ง จำเลยจึงไม่ต้องเสีย ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสามมิได้เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็มีอำนาจวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่ง
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341, 342 ให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 984/2561 ของศาลชั้นต้น และขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงิน 6,800,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้นับโทษต่อ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยทั้งสองมิได้กระทำความผิดตามฟ้อง จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงิน 6,800,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ 3 ไม่ให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342 (1) ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี ทางนำสืบและคำเบิกความของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 984/2561 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังไม่มีคำพิพากษาจึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงิน 6,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มีนาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องในคดีส่วนแพ่งใหม่ ส่วนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำเลยทั้งสามไม่ได้ชำระมาจึงไม่จำต้องสั่งคืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเพื่อนกับนาง ฐ. จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของจำเลยที่ 2 นาย พ. เป็นน้องชายของจำเลยที่ 2 โจทก์รู้จักจำเลยทั้งสามจากการแนะนำของนาง ฐ.
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ก่อนที่โจทก์และนาง ฐ. จะร่วมลงทุนเข้าหุ้นในกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. จำเลยที่ 2 กับนาย พ. น้องชายของจำเลยที่ 2 ร่วมก่อตั้งโรงเรียนกวดวิชา บ. สาขาชลบุรี ตั้งแต่ปี 2558 มีจำเลยที่ 3 เป็นครูสอนมาตั้งแต่ก่อตั้ง ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นครูสอนตั้งแต่ปลายปี 2559 แสดงว่าก่อนที่โจทก์กับนาง ฐ. จะร่วมลงทุนเข้าหุ้น โรงเรียนกวดวิชา บ. ก่อตั้งและดำเนินการสอนมาก่อนหน้านั้นแล้ว อันเป็นการยืนยันว่าโรงเรียนกวดวิชา บ. มีอยู่จริง และเปิดทำการสอนจริง ต่อมาวันที่ 24 เมษายน 2560 นาง ฐ. ร่วมลงทุนเปิดโรงเรียนกวดวิชา บ. ในอำเภอศรีราชา และวันที่ 8 มิถุนายน 2560 นาง ฐ. ร่วมกับจำเลยที่ 3 ซื้อหุ้นโรงเรียนกวดวิชา บ. สาขาชลบุรี จากจำเลยที่ 2 และประมาณเดือนกรกฎาคม 2560 โจทก์โอนเงิน 6,800,000 บาท เพื่อร่วมลงทุนเข้าบัญชีธนาคารของนาง ฐ. เมื่อนับระยะเวลานับแต่โรงเรียนกวดวิชา บ. ก่อตั้งจนกระทั่งโจทก์กับนาง ฐ. มาร่วมลงทุน โรงเรียนกวดวิชา บ. เปิดดำเนินการมาเป็นเวลา 2 ปี แล้ว การดำเนินการตลอดระยะเวลา 2 ปี มีนักเรียนมากวดวิชาจำนวนมาก ยากที่จำเลยทั้งสามจะสร้างเรื่องมาหลอกลวงโจทก์หากไม่มีการดำเนินการจริง ต่อมานาง ฐ. ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของโจทก์แนะนำโจทก์ให้ร่วมลงทุนเข้าหุ้นในกิจการโรงเรียนกวดวิชา บ. เนื่องจากนาง ฐ. ซึ่งเป็นหุ้นส่วนได้เข้าไปบริหารโรงเรียนกวดวิชา บ. แล้วเห็นว่ามีการเรียนการสอนจริง และมีรายได้เข้ามาจริง และก่อนที่โจทก์ร่วมลงทุน โจทก์ได้ตรวจดูกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. ด้วยตนเอง โดยการนำรหัสที่ได้รับจากจำเลยที่ 3 ไปเปิดดูการดำเนินการของโรงเรียนแล้ว ทั้งยังได้พูดคุยกับจำเลยที่ 2 ถึงเรื่องร่วมลงทุน เมื่อได้ความว่า โจทก์เป็นนักธุรกิจประกอบกิจการขนส่ง แสดงว่าก่อนที่โจทก์จะตกลงร่วมทุนในกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. โจทก์ได้ตรวจสอบกิจการของโรงเรียนอย่างรอบคอบ วิเคราะห์ความเป็นไปได้ ความเสี่ยง ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นอย่างดีแล้ว ก่อนที่โจทก์จะร่วมทุน กรณีจึงน่าเชื่อว่า การที่โจทก์ตกลงลงทุนเข้าหุ้นในกิจการของโรงเรียนกวดวิชา บ. เกิดจากการชักชวนของนาง ฐ. เพื่อนสนิทของโจทก์ เพราะนาง ฐ. ได้ลงทุนเข้าหุ้นก่อนโจทก์ ไม่ได้เกิดจากการหลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นอาจารย์ พ. ตามที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ต่อมาโจทก์และนาง ฐ. เข้ามาช่วยบริหารโรงเรียนกวดวิชา บ. แล้วเห็นว่าการบริหารจัดการโรงเรียนไม่โปร่งใส มีการถอนเงินส่วนกลางไปใช้ส่วนตัว ทั้งโจทก์และนาง ฐ. เห็นว่าทางโรงเรียนกวดวิชา บ. ได้เก็บเงินค่ากวดวิชารายละ 130,000 บาท มีผู้สมัครประมาณ 100 ราย มีรายได้ประมาณ 13,000,000 บาท โดยรับรองผลว่า หากผู้สมัครไม่สามารถเข้าเรียนที่โรงเรียน ช. ได้ทางโรงเรียนกวดวิชา บ. จะคืนเงินให้ผู้สมัคร โจทก์และนาง ฐ. จึงประสงค์ที่จะถอนหุ้น เพราะเกรงว่าจะต้องร่วมรับผิดชอบในการคืนเงินดังกล่าว ฉะนั้น การที่โจทก์ตกลงร่วมลงทุนกับจำเลยทั้งสามเพราะเห็นว่าจำเลยทั้งสามประกอบกิจการในโรงเรียนกวดวิชาจริง และหากร่วมลงทุนด้วยแล้วจะได้รับผลตอบแทนที่ดี โดยมีการวิเคราะห์ถึงข้อมูลต่าง ๆ ก่อนแล้วจึงตัดสินใจเข้าร่วมลงทุน เชื่อว่าโจทก์ตกลงร่วมลงทุนกับจำเลยทั้งสามด้วยความสมัครใจ มิใช่เกิดจากการที่จำเลยทั้งสามร่วมกันหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยทั้งสามไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ได้รับรองไว้กับโจทก์ก็เป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ซึ่งโจทก์ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นเรื่องหนึ่งต่างหาก พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมาตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันชดใช้เงิน 6,800,000 บาท ให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อคดีนี้ศาลวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ซึ่งโจทก์ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก และที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีส่วนแพ่ง แต่จำเลยทั้งสามมิได้วางค่าฤชาธรรมเนียมที่เป็นค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในคดีส่วนแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 จึงไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่ง ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีส่วนแพ่ง คดีในส่วนแพ่งถือว่าถึงที่สุดแล้วนั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีอาญา ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 252 กำหนดไว้ว่า ในคดีอาญาทั้งหลายห้ามมิให้ศาลยุติธรรมเรียกค่าธรรมเนียมนอกจากที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ ซึ่งบทบัญญัติในหมวดนี้ในส่วนของจำเลยมิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องบังคับไปตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น เมื่อค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่ง จำเลยจึงไม่ต้องเสีย ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสามมิได้เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาด้วยตามที่โจทก์ฎีกามาก็ตาม ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็มีอำนาจวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนข้ออ้างตามฎีกาของโจทก์ข้ออื่น ๆ ไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
เมื่อกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มิได้บัญญัตินิยามความหมายของคำว่า “การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์” ไว้เป็นการเฉพาะ การตีความความหมายของคำดังกล่าวตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 90/12 (5) ที่บัญญัติเป็นข้อยกเว้นให้ศาลไม่จำเป็นต้องงดการบังคับคดีไว้ในกรณีที่การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้ทราบว่าได้มีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการนั้น คงต้องพิจารณาเทียบเคียงกับกรณีกิจการที่ได้กระทำไปแล้วหากมีกรณีที่ลูกหนี้ล้มละลาย เนื่องจากผลของการล้มละลายหรือการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ย่อมไม่อาจกระทบกระเทือนต่อกิจการที่ได้กระทำไปจนเสร็จสิ้นก่อนแล้วเช่นเดียวกัน การที่มาตรา 110 วรรคสอง ซึ่งเป็นกรณีของผลของการล้มละลายเกี่ยวกับกิจการที่ได้กระทำไปแล้ว ได้ให้ความหมายของคำว่า การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำขอเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 326 วรรคห้า ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์การขอเฉลี่ยทรัพย์ ในกรณีอายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยกำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเสียก่อนสิ้นระยะเวลา 15 วันนับแต่วันชำระเงิน ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับเงินตามเช็คที่ผู้ร้องนำส่งตามหนังสือแจ้งอายัดในวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 กำหนดเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำขอเฉลี่ยตาม ป.วิ.พ. ดังกล่าวคือภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2563 การที่จำเลยยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางในวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันชำระเงิน ถือว่าการบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทราบว่าได้มีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ ศาลแรงงานกลางไม่จำต้องงดการบังคับคดีไว้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 (5)
คดีนี้กับคดีทั้งเจ็ดสำนวนของศาลแรงงานกลาง ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 8
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งแปดฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าจ้างและเงินอื่น ๆ แก่โจทก์ทั้งแปด ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างและเงินอื่น ๆ พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งแปด แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 8 ขอหมายบังคับคดีและขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดสิทธิเรียกร้องเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่จำเลยมีสิทธิได้รับคืนจากผู้ร้องจำนวน 175,010.96 บาท ผู้ร้องส่งเงินตามหนังสือแจ้งอายัดสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับแล้วเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2563
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ในเงินดังกล่าว
โจทก์ที่ 2 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ในเงินภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามคำร้อง
โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานพิพากษายกคำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ไม่งดการบังคับคดีและที่อนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ในเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลางนับแต่อ่านคำสั่งดังกล่าว แล้วให้งดการบังคับคดีไว้ จนกว่าจะมีเหตุให้ดำเนินการต่อไปได้ตามกฎหมาย โดยให้คู่ความแถลงขอยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่เมื่อถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผน หรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ หรือจำหน่ายคดี หรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ หรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ หรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติโดยไม่มีคู่ความโต้แย้งกันว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการให้บริการขนส่งระหว่างประเทศโดยอากาศยาน เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละศูนย์ ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 80/1 จำเลยมีสิทธิได้รับคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 175,010.96 บาท วันที่ 14 มกราคม 2563 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือแจ้งอายัดสิทธิเรียกร้องในเงินภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวแก่ผู้ร้อง วันที่ 18 พฤษภาคม 2563 ผู้ร้องนำส่งเงินตามหนังสือแจ้งอายัดสิทธิเรียกร้องดังกล่าวเป็นเช็ค ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับเงินตามเช็คดังกล่าวในวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 วันที่ 4 มิถุนายน 2563 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เป็นคดีนี้ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นหนี้ภาษีอากรและเงินเพิ่มค้างชำระต่อผู้ร้องเป็นเงิน 192,200,103.90 บาท โดยผู้ร้องได้นำส่งหนังสือแจ้งการประเมินภาษีอากรไปยังภูมิลำเนาจำเลย โดยมีนางสาวนิภาภรณ์ พนักงานของจำเลย ตำแหน่งผู้จัดการแผนกบัญชีและภาษีอากร รับไว้โดยชอบ จำเลยมีทรัพย์สินเพียงสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากธนาคาร รถยนต์ 14 คัน และจำเลยขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มของจำเลยจากผู้ร้องเป็นเงิน 70,000,000 บาทเศษ ซึ่งไม่อาจนับเป็นทรัพย์สินของจำเลย รวมทั้งผู้ร้องมีสิทธิหักกลบลบหนี้ จำเลยไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะนำมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องได้โดยสิ้นเชิง ถือว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้ การแก้ไขวันที่ในใบแต่งทนายความของผู้ร้องเป็นการแก้ไขให้ตรงกับวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลแรงงานกลาง เป็นการแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงในวันยื่นคำร้อง เป็นการแต่งตั้งทนายความให้ดำเนินคดีโดยชอบแล้ว ไม่ทำให้การแต่งตั้งทนายความเสียไป ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยไว้ โดยไม่ปรากฏว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จึงต้องด้วยกรณีที่ศาลแรงงานกลางซึ่งเป็นศาลที่พิจารณาคดีแพ่งต้องงดการบังคับคดีไว้ตามมาตรา 90/12 (5) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 การที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกมาตรา 110 วรรคสอง ของกฎหมายดังกล่าว ซึ่งเป็นบทบัญญัติในหมวด 4 ส่วนที่ 3 ว่าด้วยผลของการล้มละลายเกี่ยวกับกิจการที่ได้กระทำไปแล้วขึ้นประกอบการวินิจฉัยว่า การบังคับคดีสำเร็จบริบูรณ์แล้ว ไม่มีเหตุให้งดการบังคับคดี แล้วดำเนินการไต่สวนคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องจนมีคำสั่งมานั้น เป็นกระบวนการพิจารณาที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายและคดีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ที่ 2 อีกต่อไป
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า การที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกคำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ไม่งดการบังคับคดีและอนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ในเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม แล้วให้งดการบังคับคดีไว้จนกว่าจะมีเหตุให้ดำเนินการต่อไปได้ตามกฎหมายนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มิได้บัญญัตินิยามความหมายของคำว่า “การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์” ไว้เป็นการเฉพาะ การตีความความหมายของคำดังกล่าวตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 90/12 (5) ที่บัญญัติเป็นข้อยกเว้นให้ศาลไม่จำเป็นต้องงดการบังคับคดีไว้ในกรณีที่การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้ทราบว่าได้มีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการนั้น คงต้องพิจารณาเทียบเคียงกับกรณีกิจการที่ได้กระทำไปแล้วหากมีกรณีที่ลูกหนี้ล้มละลาย เนื่องจากผลของการล้มละลายหรือการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ย่อมไม่อาจกระทบกระเทือนต่อกิจการที่ได้กระทำไปจนเสร็จสิ้นก่อนแล้วเช่นเดียวกัน การที่มาตรา 110 วรรคสอง ซึ่งเป็นกรณีของผลของการล้มละลายเกี่ยวกับกิจการที่ได้กระทำไปแล้ว ได้ให้ความหมายของคำว่า การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำขอเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 326 วรรคห้า ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์การขอเฉลี่ยทรัพย์ ในกรณีอายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยกำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเสียก่อนสิ้นระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันชำระเงิน ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับเงินตามเช็คที่ผู้ร้องนำส่งตามหนังสือแจ้งอายัดในวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 กำหนดเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำขอเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าวคือภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2563 การที่จำเลยยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางในวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันชำระเงิน ถือว่าการบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทราบว่าได้มีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ ศาลแรงงานกลางไม่จำต้องงดการบังคับคดีไว้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 (5) ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกคำสั่งของศาลแรงงานกลาง โดยเห็นว่าศาลแรงงานกลางไม่งดการบังคับคดีไว้เพราะเห็นว่าการบังคับคดีสำเร็จบริบูรณ์แล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ได้ตามคำร้อง เป็นกระบวนพิจารณาที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาขอให้บังคับตามคำสั่งของศาลแรงงานกลางนั้น คดีนี้โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลาง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า ศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ที่ 2 แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวของศาลแรงงานกลางชอบแล้วดังที่วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้ว จึงต้องพิจารณาตามอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ที่ 2 ต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยในปัญหาตามอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ที่ 2 ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยังไม่ได้วินิจฉัย ดังนี้เพื่อความรวดเร็วสมดังเจตนารมณ์ของการพิจารณาคดีแรงงาน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียทีเดียว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิจารณาพิพากษาใหม่ โดยในส่วนที่โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์ว่า หนี้ภาษีอากรค้างที่ผู้ร้องกล่าวอ้างมีจำนวนเกินหนี้ที่เป็นจริง ผู้ร้องไม่มีหลักฐานมูลหนี้ที่แท้จริงกับจำเลยมายืนยันว่าจำเลยผูกพันเป็นหนี้ตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเพื่อชำระค่าภาษีให้แก่ผู้ร้องจริงหรือไม่ ผู้ร้องไม่มีหลักฐานว่า นางสาวนิภาภรณ์ เป็นผู้รับหนังสือเตือนให้จำเลยชำระหนี้ภาษีอากรค้างจริง นางสาวนิภาภรณ์ไม่มีฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยในวันที่ผู้ร้องอ้างว่าได้นำส่งหนังสือเตือนดังกล่าว จำเลยยังมีทรัพย์สินอื่นซึ่งเป็นสิทธิในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มในดือนกันยายน 2560 ถึงเดือนเมษายน 2562 รวมเป็นเงิน 74,680,632.09 บาท ให้ผู้ร้องเอาชำระหนี้ได้เพียงพอต่อจำนวนหนี้ที่มีกับผู้ร้อง และใบแต่งทนายความของผู้ร้องมีการแก้ไขด้วยน้ำยาลบคำผิดโดยไม่ได้มีการลงชื่อรับรองการแก้ไข จึงต้องถือวันที่ลงในใบแต่งทนายความแต่เดิมคือวันที่ 24 มิถุนายน 2563 ผู้ร้องจึงไม่ได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ภายใน 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 326 ผู้ร้องไม่มีสิทธิในการเข้าเฉลี่ยทรัพย์ตามคำร้อง นั้น ล้วนแต่เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่รับฟังมาว่า จำเลยเป็นหนี้ภาษีอากรและเงินเพิ่มค้างชำระต่อผู้ร้องเป็นเงิน 192,200,103.90 บาท ผู้ร้องได้นำส่งหนังสือแจ้งการประเมินภาษีอากรไปยังภูมิลำเนาจำเลย โดยมีนางสาวนิภาภรณ์ พนักงานของจำเลย ตำแหน่งผู้จัดการแผนกบัญชีและภาษีอากร รับไว้โดยชอบ จำเลยไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะนำมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องได้โดยสิ้นเชิง ถือว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้ และการแก้ไขใบแต่งทนายความของผู้ร้องให้ตรงกับวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลแรงงานกลาง เป็นการแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงในวันยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้อง อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ดังนี้ เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะนำมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องได้โดยสิ้นเชิง ถือได้ว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ในเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามคำร้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 326 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 จึงชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลแรงงานกลาง
เมื่อกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มิได้บัญญัตินิยามความหมายของคำว่า “การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์” ไว้เป็นการเฉพาะ การตีความความหมายของคำดังกล่าวตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 90/12 (5) ที่บัญญัติเป็นข้อยกเว้นให้ศาลไม่จำเป็นต้องงดการบังคับคดีไว้ในกรณีที่การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้ทราบว่าได้มีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการนั้น คงต้องพิจารณาเทียบเคียงกับกรณีกิจการที่ได้กระทำไปแล้วหากมีกรณีที่ลูกหนี้ล้มละลาย เนื่องจากผลของการล้มละลายหรือการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ย่อมไม่อาจกระทบกระเทือนต่อกิจการที่ได้กระทำไปจนเสร็จสิ้นก่อนแล้วเช่นเดียวกัน การที่มาตรา 110 วรรคสอง ซึ่งเป็นกรณีของผลของการล้มละลายเกี่ยวกับกิจการที่ได้กระทำไปแล้ว ได้ให้ความหมายของคำว่า การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำขอเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 326 วรรคห้า ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์การขอเฉลี่ยทรัพย์ ในกรณีอายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยกำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเสียก่อนสิ้นระยะเวลา 15 วันนับแต่วันชำระเงิน ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับเงินตามเช็คที่ผู้ร้องนำส่งตามหนังสือแจ้งอายัดในวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 กำหนดเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำขอเฉลี่ยตาม ป.วิ.พ. ดังกล่าวคือภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2563 การที่จำเลยยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางในวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันชำระเงิน ถือว่าการบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทราบว่าได้มีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ ศาลแรงงานกลางไม่จำต้องงดการบังคับคดีไว้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 (5)
คดีนี้กับคดีทั้งเจ็ดสำนวนของศาลแรงงานกลาง ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 8
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งแปดฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าจ้างและเงินอื่น ๆ แก่โจทก์ทั้งแปด ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างและเงินอื่น ๆ พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งแปด แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 8 ขอหมายบังคับคดีและขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดสิทธิเรียกร้องเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่จำเลยมีสิทธิได้รับคืนจากผู้ร้องจำนวน 175,010.96 บาท ผู้ร้องส่งเงินตามหนังสือแจ้งอายัดสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับแล้วเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2563
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ในเงินดังกล่าว
โจทก์ที่ 2 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ในเงินภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามคำร้อง
โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานพิพากษายกคำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ไม่งดการบังคับคดีและที่อนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ในเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลางนับแต่อ่านคำสั่งดังกล่าว แล้วให้งดการบังคับคดีไว้ จนกว่าจะมีเหตุให้ดำเนินการต่อไปได้ตามกฎหมาย โดยให้คู่ความแถลงขอยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่เมื่อถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผน หรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ หรือจำหน่ายคดี หรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ หรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ หรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติโดยไม่มีคู่ความโต้แย้งกันว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการให้บริการขนส่งระหว่างประเทศโดยอากาศยาน เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละศูนย์ ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 80/1 จำเลยมีสิทธิได้รับคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 175,010.96 บาท วันที่ 14 มกราคม 2563 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือแจ้งอายัดสิทธิเรียกร้องในเงินภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวแก่ผู้ร้อง วันที่ 18 พฤษภาคม 2563 ผู้ร้องนำส่งเงินตามหนังสือแจ้งอายัดสิทธิเรียกร้องดังกล่าวเป็นเช็ค ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับเงินตามเช็คดังกล่าวในวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 วันที่ 4 มิถุนายน 2563 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เป็นคดีนี้ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นหนี้ภาษีอากรและเงินเพิ่มค้างชำระต่อผู้ร้องเป็นเงิน 192,200,103.90 บาท โดยผู้ร้องได้นำส่งหนังสือแจ้งการประเมินภาษีอากรไปยังภูมิลำเนาจำเลย โดยมีนางสาวนิภาภรณ์ พนักงานของจำเลย ตำแหน่งผู้จัดการแผนกบัญชีและภาษีอากร รับไว้โดยชอบ จำเลยมีทรัพย์สินเพียงสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากธนาคาร รถยนต์ 14 คัน และจำเลยขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มของจำเลยจากผู้ร้องเป็นเงิน 70,000,000 บาทเศษ ซึ่งไม่อาจนับเป็นทรัพย์สินของจำเลย รวมทั้งผู้ร้องมีสิทธิหักกลบลบหนี้ จำเลยไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะนำมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องได้โดยสิ้นเชิง ถือว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้ การแก้ไขวันที่ในใบแต่งทนายความของผู้ร้องเป็นการแก้ไขให้ตรงกับวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลแรงงานกลาง เป็นการแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงในวันยื่นคำร้อง เป็นการแต่งตั้งทนายความให้ดำเนินคดีโดยชอบแล้ว ไม่ทำให้การแต่งตั้งทนายความเสียไป ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยไว้ โดยไม่ปรากฏว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จึงต้องด้วยกรณีที่ศาลแรงงานกลางซึ่งเป็นศาลที่พิจารณาคดีแพ่งต้องงดการบังคับคดีไว้ตามมาตรา 90/12 (5) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 การที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกมาตรา 110 วรรคสอง ของกฎหมายดังกล่าว ซึ่งเป็นบทบัญญัติในหมวด 4 ส่วนที่ 3 ว่าด้วยผลของการล้มละลายเกี่ยวกับกิจการที่ได้กระทำไปแล้วขึ้นประกอบการวินิจฉัยว่า การบังคับคดีสำเร็จบริบูรณ์แล้ว ไม่มีเหตุให้งดการบังคับคดี แล้วดำเนินการไต่สวนคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องจนมีคำสั่งมานั้น เป็นกระบวนการพิจารณาที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายและคดีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ที่ 2 อีกต่อไป
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า การที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกคำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ไม่งดการบังคับคดีและอนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ในเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม แล้วให้งดการบังคับคดีไว้จนกว่าจะมีเหตุให้ดำเนินการต่อไปได้ตามกฎหมายนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มิได้บัญญัตินิยามความหมายของคำว่า “การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์” ไว้เป็นการเฉพาะ การตีความความหมายของคำดังกล่าวตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 90/12 (5) ที่บัญญัติเป็นข้อยกเว้นให้ศาลไม่จำเป็นต้องงดการบังคับคดีไว้ในกรณีที่การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้ทราบว่าได้มีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการนั้น คงต้องพิจารณาเทียบเคียงกับกรณีกิจการที่ได้กระทำไปแล้วหากมีกรณีที่ลูกหนี้ล้มละลาย เนื่องจากผลของการล้มละลายหรือการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ย่อมไม่อาจกระทบกระเทือนต่อกิจการที่ได้กระทำไปจนเสร็จสิ้นก่อนแล้วเช่นเดียวกัน การที่มาตรา 110 วรรคสอง ซึ่งเป็นกรณีของผลของการล้มละลายเกี่ยวกับกิจการที่ได้กระทำไปแล้ว ได้ให้ความหมายของคำว่า การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำขอเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 326 วรรคห้า ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์การขอเฉลี่ยทรัพย์ ในกรณีอายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยกำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเสียก่อนสิ้นระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันชำระเงิน ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับเงินตามเช็คที่ผู้ร้องนำส่งตามหนังสือแจ้งอายัดในวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 กำหนดเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำขอเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าวคือภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2563 การที่จำเลยยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางในวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันชำระเงิน ถือว่าการบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทราบว่าได้มีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ ศาลแรงงานกลางไม่จำต้องงดการบังคับคดีไว้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 (5) ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกคำสั่งของศาลแรงงานกลาง โดยเห็นว่าศาลแรงงานกลางไม่งดการบังคับคดีไว้เพราะเห็นว่าการบังคับคดีสำเร็จบริบูรณ์แล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ได้ตามคำร้อง เป็นกระบวนพิจารณาที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาขอให้บังคับตามคำสั่งของศาลแรงงานกลางนั้น คดีนี้โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลาง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า ศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ที่ 2 แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวของศาลแรงงานกลางชอบแล้วดังที่วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้ว จึงต้องพิจารณาตามอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ที่ 2 ต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยในปัญหาตามอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ที่ 2 ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยังไม่ได้วินิจฉัย ดังนี้เพื่อความรวดเร็วสมดังเจตนารมณ์ของการพิจารณาคดีแรงงาน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียทีเดียว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิจารณาพิพากษาใหม่ โดยในส่วนที่โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์ว่า หนี้ภาษีอากรค้างที่ผู้ร้องกล่าวอ้างมีจำนวนเกินหนี้ที่เป็นจริง ผู้ร้องไม่มีหลักฐานมูลหนี้ที่แท้จริงกับจำเลยมายืนยันว่าจำเลยผูกพันเป็นหนี้ตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเพื่อชำระค่าภาษีให้แก่ผู้ร้องจริงหรือไม่ ผู้ร้องไม่มีหลักฐานว่า นางสาวนิภาภรณ์ เป็นผู้รับหนังสือเตือนให้จำเลยชำระหนี้ภาษีอากรค้างจริง นางสาวนิภาภรณ์ไม่มีฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยในวันที่ผู้ร้องอ้างว่าได้นำส่งหนังสือเตือนดังกล่าว จำเลยยังมีทรัพย์สินอื่นซึ่งเป็นสิทธิในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มในดือนกันยายน 2560 ถึงเดือนเมษายน 2562 รวมเป็นเงิน 74,680,632.09 บาท ให้ผู้ร้องเอาชำระหนี้ได้เพียงพอต่อจำนวนหนี้ที่มีกับผู้ร้อง และใบแต่งทนายความของผู้ร้องมีการแก้ไขด้วยน้ำยาลบคำผิดโดยไม่ได้มีการลงชื่อรับรองการแก้ไข จึงต้องถือวันที่ลงในใบแต่งทนายความแต่เดิมคือวันที่ 24 มิถุนายน 2563 ผู้ร้องจึงไม่ได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ภายใน 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 326 ผู้ร้องไม่มีสิทธิในการเข้าเฉลี่ยทรัพย์ตามคำร้อง นั้น ล้วนแต่เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่รับฟังมาว่า จำเลยเป็นหนี้ภาษีอากรและเงินเพิ่มค้างชำระต่อผู้ร้องเป็นเงิน 192,200,103.90 บาท ผู้ร้องได้นำส่งหนังสือแจ้งการประเมินภาษีอากรไปยังภูมิลำเนาจำเลย โดยมีนางสาวนิภาภรณ์ พนักงานของจำเลย ตำแหน่งผู้จัดการแผนกบัญชีและภาษีอากร รับไว้โดยชอบ จำเลยไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะนำมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องได้โดยสิ้นเชิง ถือว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้ และการแก้ไขใบแต่งทนายความของผู้ร้องให้ตรงกับวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลแรงงานกลาง เป็นการแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงในวันยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้อง อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ดังนี้ เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะนำมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องได้โดยสิ้นเชิง ถือได้ว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ในเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามคำร้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 326 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 จึงชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลแรงงานกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน แต่ยังพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่พิพากษากลับ จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ตรี ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 4 ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษจำคุก เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ทั้งเป็นกรณีที่ไม่อาจรับรองให้ฎีกาข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา นาง ศ.ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอ้างว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย ช. และเป็นผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 (เดิม) จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีและคำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลย ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนมีกำหนด 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23
โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขัง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 แต่ศาลอุทธรณ์มีหนังสือลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ถึงศาลชั้นต้นขอเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ออกไปเป็นวันที่ 26 มกราคม 2565 แต่เมื่อถึงวันดังกล่าว ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 29 ตุลาคม 2564 ให้คู่ความฟัง แสดงว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จัดทำขึ้น 2 ฉบับ คือ ฉบับแรกลงวันที่ 29 ตุลาคม 2564 กับอีกฉบับหนึ่งที่จัดทำขึ้นภายหลังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับแรก แต่เลือกใช้ฉบับลงวันที่ 29 ตุลาคม 2564 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า แม้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2564 แต่มิได้หมายความว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์พร้อมที่จะส่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่าน เพราะต้องมีกระบวนการจัดพิมพ์และตรวจสอบความถูกต้องเป็นขั้นตอนเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยสมบูรณ์ก่อนอ่าน จนเป็นเหตุให้ศาลอุทธรณ์ไม่อาจส่งคำพิพากษาไปให้ศาลชั้นต้นอ่านได้ทันในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 มิได้หมายความว่าศาลอุทธรณ์จัดทำคำพิพากษาขึ้น 2 ฉบับ ดังที่จำเลยเข้าใจ เมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เรียบร้อยแล้วเสร็จ และส่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟังในวันที่ 26 มกราคม 2565 ตามกำหนดนัดใหม่ ถือได้ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า คำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 และโจทก์บรรยายฟ้องไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนในคดีความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมโดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ร่วมกันลักทรัพย์และรับของโจร และร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำ เป็นการบรรยายฟ้องให้เห็นถึงการกระทำและเจตนาของจำเลยว่าจำเลยเจตนาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จในสาระข้อสำคัญแห่งคดีในชั้นสอบสวนว่า วันที่ 26 มิถุนายน 2558 จำเลยขับรถยนต์ออกมาจากสนามกอล์ฟ ล. เวลา 20.49 นาฬิกา ความจริงแล้วจำเลยขับรถยนต์ออกจากสนามกอล์ฟ เวลา 20.11 นาฬิกา เพื่อช่วยเหลือพันตำรวจโท บ. ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีดังกล่าว อันถือได้ว่าเป็นการบรรยายฟ้องครบองค์ประกอบแห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 แล้ว ส่วนข้ออ้างต่าง ๆ ของจำเลยในฎีกามิใช่องค์ประกอบความผิดอันต้องบรรยายมาในฟ้อง ฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว หาใช่เป็นฟ้องเคลือบคลุมดังที่จำเลยฎีกาไม่ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะพนักงานสอบสวนเรียกสอบสวนจำเลยในฐานะผู้ต้องหา แต่พนักงานสอบสวนไม่แจ้งสิทธิของผู้ต้องหาให้จำเลยทราบ หรือพนักงานสอบสวนหลอกล่อให้จำเลยกระทำความผิด และจำเลยให้การรับสารภาพโดยผิดพลาดคลาดเคลื่อนเพราะสำคัญผิด ความจริงจำเลยมิได้มีเจตนากระทำความผิด ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์นั้น เห็นว่า ในวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังต่อหน้าจำเลยภายหลังจำเลยมีทนายความแล้ว จำเลยขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง โดยมิได้หยิบยกข้อเท็จจริงเรื่องการสอบสวนหรือข้อเท็จจริงอื่น ๆ ดังที่อ้างมาในฎีกาขึ้นปฏิเสธความรับผิดแต่อย่างใด ถือว่าจำเลยให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ จึงต้องฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกา นอกจากเป็นข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแล้วยังขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก 2 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน การที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนนั้น ศาลอุทธรณ์ยังพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องโจทก์อยู่เพียงแต่ลงโทษแตกต่างไปจากศาลชั้นต้นเท่านั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นเพียงการพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่พิพากษากลับ จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรีประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษจำคุก เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ทั้งเป็นกรณีที่ไม่อาจรับรองให้ฎีกาข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน
พิพากษายืน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน แต่ยังพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่พิพากษากลับ จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ตรี ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 4 ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษจำคุก เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ทั้งเป็นกรณีที่ไม่อาจรับรองให้ฎีกาข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา นาง ศ.ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอ้างว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย ช. และเป็นผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 (เดิม) จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีและคำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลย ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนมีกำหนด 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23
โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขัง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 แต่ศาลอุทธรณ์มีหนังสือลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ถึงศาลชั้นต้นขอเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ออกไปเป็นวันที่ 26 มกราคม 2565 แต่เมื่อถึงวันดังกล่าว ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 29 ตุลาคม 2564 ให้คู่ความฟัง แสดงว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จัดทำขึ้น 2 ฉบับ คือ ฉบับแรกลงวันที่ 29 ตุลาคม 2564 กับอีกฉบับหนึ่งที่จัดทำขึ้นภายหลังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับแรก แต่เลือกใช้ฉบับลงวันที่ 29 ตุลาคม 2564 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า แม้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2564 แต่มิได้หมายความว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์พร้อมที่จะส่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่าน เพราะต้องมีกระบวนการจัดพิมพ์และตรวจสอบความถูกต้องเป็นขั้นตอนเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยสมบูรณ์ก่อนอ่าน จนเป็นเหตุให้ศาลอุทธรณ์ไม่อาจส่งคำพิพากษาไปให้ศาลชั้นต้นอ่านได้ทันในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 มิได้หมายความว่าศาลอุทธรณ์จัดทำคำพิพากษาขึ้น 2 ฉบับ ดังที่จำเลยเข้าใจ เมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เรียบร้อยแล้วเสร็จ และส่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟังในวันที่ 26 มกราคม 2565 ตามกำหนดนัดใหม่ ถือได้ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า คำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 และโจทก์บรรยายฟ้องไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนในคดีความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมโดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ร่วมกันลักทรัพย์และรับของโจร และร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำ เป็นการบรรยายฟ้องให้เห็นถึงการกระทำและเจตนาของจำเลยว่าจำเลยเจตนาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จในสาระข้อสำคัญแห่งคดีในชั้นสอบสวนว่า วันที่ 26 มิถุนายน 2558 จำเลยขับรถยนต์ออกมาจากสนามกอล์ฟ ล. เวลา 20.49 นาฬิกา ความจริงแล้วจำเลยขับรถยนต์ออกจากสนามกอล์ฟ เวลา 20.11 นาฬิกา เพื่อช่วยเหลือพันตำรวจโท บ. ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีดังกล่าว อันถือได้ว่าเป็นการบรรยายฟ้องครบองค์ประกอบแห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 แล้ว ส่วนข้ออ้างต่าง ๆ ของจำเลยในฎีกามิใช่องค์ประกอบความผิดอันต้องบรรยายมาในฟ้อง ฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว หาใช่เป็นฟ้องเคลือบคลุมดังที่จำเลยฎีกาไม่ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะพนักงานสอบสวนเรียกสอบสวนจำเลยในฐานะผู้ต้องหา แต่พนักงานสอบสวนไม่แจ้งสิทธิของผู้ต้องหาให้จำเลยทราบ หรือพนักงานสอบสวนหลอกล่อให้จำเลยกระทำความผิด และจำเลยให้การรับสารภาพโดยผิดพลาดคลาดเคลื่อนเพราะสำคัญผิด ความจริงจำเลยมิได้มีเจตนากระทำความผิด ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์นั้น เห็นว่า ในวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังต่อหน้าจำเลยภายหลังจำเลยมีทนายความแล้ว จำเลยขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง โดยมิได้หยิบยกข้อเท็จจริงเรื่องการสอบสวนหรือข้อเท็จจริงอื่น ๆ ดังที่อ้างมาในฎีกาขึ้นปฏิเสธความรับผิดแต่อย่างใด ถือว่าจำเลยให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ จึงต้องฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกา นอกจากเป็นข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแล้วยังขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก 2 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน การที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนนั้น ศาลอุทธรณ์ยังพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องโจทก์อยู่เพียงแต่ลงโทษแตกต่างไปจากศาลชั้นต้นเท่านั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นเพียงการพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่พิพากษากลับ จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรีประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษจำคุก เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ทั้งเป็นกรณีที่ไม่อาจรับรองให้ฎีกาข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน
พิพากษายืน
พิธีสมรสในปัจจุบันมิได้จัดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางขนบธรรมเนียมประเพณีแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีจุดประสงค์เพื่อแสดงถึงสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของคู่บ่าวสาวรวมถึงครอบครัวของทั้งสองฝ่ายอีกด้วย ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในงานพิธีสมรสจึงขึ้นอยู่กับความต้องการของคู่บ่าวสาว สถานะทางการเงินตลอดจนสถานภาพทางสังคมของทั้งคู่ ดังจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันคู่บ่าวสาวจะใช้บริการจัดเตรียมงานโดยติดต่อกับบริษัทที่ทำธุรกิจวางแผนจัดงานแต่งงานที่ให้บริการคำปรึกษาและประสานงานเกี่ยวกับงานหมั้นและงานแต่งงาน ด้วยการแนะนำรูปแบบของงานให้เหมาะสมกับคู่บ่าวสาว และควบคุมให้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ภายในงบประมาณที่ตั้งไว้ ซึ่งจะให้การบริการโดยดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายและภาพถ่ายของคู่บ่าวสาวตั้งแต่การถ่ายภาพก่อนวันแต่งงานและวันหมั้นไปจนถึงพิธีสมรส ทำให้การถ่ายภาพพรีเวดดิ้งกลายเป็นที่นิยมอย่างหนึ่งที่คู่รักแทบทุกคู่ต่างถ่ายภาพก่อนวันแต่งงานเตรียมไว้ เพื่อนำภาพถ่ายไปใช้ทำการ์ดแต่งงาน หรือนำภาพถ่ายไปใช้ตกแต่งในการจัดงานวันหมั้นหรือวันทำพิธีสมรส ตลอดจนทำวิดีโอคู่บ่าวสาวนำเสนอในงานแต่งงาน และเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกภายหลังวันงานแต่งงาน ดังนี้ ทำให้การถ่ายภาพพรีเวดดิ้งมิใช่สิ่งฟุ่มเฟือยแต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการสมรสที่จำเป็นสำหรับคู่บ่าวสาวเพื่อให้งานพิธีสมรสเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1440 (2) เมื่อได้ความว่าในการเตรียมการสมรสโจทก์กับจำเลยได้ร่วมกันตัดสินใจจัดเตรียมงานโดยกำหนดให้มีการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งก่อนแต่งงานจึงเป็นความตั้งใจและสมัครใจของทั้งสองฝ่ายที่ประสงค์จะถ่ายภาพพรีเวดดิ้งก่อนแต่งงาน มิใช่เกิดจากความประสงค์ของโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียวการดำเนินการของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการเตรียมการก่อนสมรสโดยสุจริต ทั้งโจทก์และจำเลยต่างประกอบอาชีพแพทย์มีรายได้สูง ย่อมมีสถานภาพทางสังคมที่ดี มีเกียรติ และเป็นที่ยอมรับนับถือของคนทั่วไป เมื่อคำนึงถึงสถานะทางการเงินตลอดจนสถานภาพทางสังคมของทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นไปตามฐานานุรูปและตามสมควร ประกอบกับเหตุที่ผิดสัญญาหมั้นเกิดจากความผิดของจำเลยเพียงฝ่ายเดียว จึงไม่ควรให้ฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ จึงรับฟังได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายเนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควรตาม ป.พ.พ. มาตรา 1440 (2) โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนดังกล่าวได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าทดแทนความเสียหายต่อกายและจิตใจและชื่อเสียงกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เนื่องในการเตรียมการสมรสกับโจทก์รวมเป็นเงิน 2,999,999 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 742,199 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 มีนาคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 25,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ 522,299 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 มีนาคม 2563) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยใหม่ก็ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามพระราชกฤษฎีกา แต่ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ประกอบกับจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาจึงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ประกอบอาชีพเป็นแพทย์ ส่วนจำเลยประกอบอาชีพเป็นแพทย์ผู้ชำนาญการเวชศาสตร์ชุมชนและครอบครัว จำเลยซื้อแหวนเพชรมอบให้แก่โจทก์หลังจากนั้นชักชวนโจทก์ไปจดทะเบียนสมรส ทั้งยังให้บิดามารดาของจำเลยไปสู่ขอและกำหนดวันแต่งงานกัน การหมั้นระหว่างโจทก์กับจำเลยมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ต่อมาจำเลยมีพฤติกรรมเชิงชู้สาวกับหญิงอื่นอันเป็นการกระทำชั่วอย่างร้ายแรงต่อโจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น และต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ ตามรายการค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส รายการที่ 2 เป็นค่าชุดไทย 35,499 บาท รายการที่ 6 เป็นค่าช่างแต่งหน้าและตั๋วเครื่องบิน 25,000 บาท รายการที่ 8 เป็นค่าการ์ดแต่งงานพร้อมซอง 7,500 บาท รายการที่ 11 เป็นค่ารองเท้าเจ้าสาว 3 คู่ 55,800 บาท รายการที่ 12 เป็นค่าเข็มขัดเจ้าบ่าว 28,500 บาท และรายการที่ 15 เป็นค่ามัดจำค่าถ่ายภาพและออการ์ไนซ์ 70,000 บาท กับค่าทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงให้แก่โจทก์เป็นเงิน 300,000 บาท รวมเป็นเงิน 522,299 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ในค่าใช้จ่าย รายการที่ 1 เป็นค่าชุดแต่งงาน 135,000 บาท รายการที่ 3 ค่าช่างภาพพร้อมถ่ายภาพพรีเวดดิ้งที่จังหวัดภูเก็ตและตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พัก 60,000 บาท รายการที่ 4 ค่าสถานที่ถ่ายภาพพรีเวดดิ้งบ้าน อ. 5,000 บาท รายการที่ 5 ค่าสถานที่ถ่ายภาพพรีเวดดิ้งร้าน K. เป็นเงิน 13,900 บาท และรายการที่ 10 ค่าชุดเจ้าสาวถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง 2 ชุด เป็นเงิน 16,000 บาท หรือไม่ เห็นว่า รายการที่ 1 เป็นค่าชุดแต่งงาน 135,000 บาท เป็นการที่หญิงซื้อชุดแต่งงานเพื่อเข้าพิธี จึงเป็นการใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส ส่วนค่าใช้จ่ายในการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งตามรายการที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 เป็นค่าใช้จ่ายเนื่องในการเตรียมการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1440 (2) หรือไม่ เห็นว่า ในอดีตค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรสที่จะเรียกค่าทดแทนจากกันได้นั้น หมายถึง ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นที่ชายหญิงต้องกระทำเพื่อเตรียมการที่ชายหญิงจะอยู่กินด้วยกันเป็นสามีภริยาโดยตรง เช่น ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านที่จะเป็นที่อยู่อาศัยของคู่สมรส หรือค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องนอนหรือเครื่องเรือนสำหรับเรือนหอ แต่ปัจจุบันวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลง สังคมเปลี่ยนไป รวมทั้งประเพณีแต่งงานของคนไทย อันสืบเนื่องมาจากปัจจัยเทคโนโลยี การสื่อสารและทัศนคติของคนรุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับการเตรียมการในพิธีสมรสมากกว่าการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านหรือการซื้อเครื่องนอนและเครื่องเรือน ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นของคู่บ่าวสาวในการเตรียมการสมรสจึงผันแปรเปลี่ยนไปตามประเพณีนิยม ซึ่งต้องพิจารณาความจำเป็นไปตามยุคสมัย ดังนั้น เมื่อพิธีสมรสในปัจจุบันมิได้จัดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางขนบธรรมเนียมประเพณีแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังมีจุดประสงค์เพื่อแสดงถึงสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของคู่บ่าวสาวรวมถึงครอบครัวของทั้งสองฝ่ายอีกด้วย ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในงานพิธีสมรสจึงขึ้นอยู่กับความต้องการของคู่บ่าวสาว สถานะทางการเงินตลอดจนสถานภาพทางสังคมของทั้งคู่ ดังจะเห็นได้ว่า การเตรียมงานพิธีสมรสของชายหญิงที่จะแต่งงานกันในอดีตจะให้บิดามารดาหรือผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายจัดเตรียมงานให้โดยเน้นความเรียบง่าย แต่ในปัจจุบันคู่บ่าวสาวจะใช้บริการจัดเตรียมงานโดยติดต่อกับบริษัทที่ทำธุรกิจวางแผนจัดงานแต่งงาน (Wedding Planner) ที่ให้บริการคำปรึกษาและประสานงานเกี่ยวกับงานหมั้นและงานแต่งงาน ด้วยการแนะนำรูปแบบของงานให้เหมาะสมกับคู่บ่าวสาว และควบคุมให้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ภายในงบประมาณที่ตั้งไว้ ซึ่งจะให้การบริการโดยดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายและภาพถ่ายของคู่บ่าวสาวตั้งแต่การถ่ายภาพก่อนวันแต่งงาน (ภาพพรีเวดดิ้ง) และวันหมั้นไปจนถึงพิธีสมรส ซึ่งกิจการในลักษณะนี้จะทำให้รูปแบบขายแพ็กเกจเหมาถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง ทางบริษัทที่ทำธุรกิจวางแผนจัดงานแต่งงานจะดูแลจัดหาช่างแต่งหน้า ช่างภาพรวมทั้งชุดในวันถ่ายภาพพรีเวดดิ้งและวันจัดงานทั้งในและนอกสถานที่ ทำให้การถ่ายภาพพรีเวดดิ้งกลายเป็นที่นิยมอย่างหนึ่งที่คู่รักแทบทุกคู่ต่างถ่ายภาพก่อนวันแต่งงานเตรียมไว้ เพื่อนำภาพถ่ายไปใช้ทำการ์ดแต่งงาน หรือนำภาพถ่ายไปใช้ตกแต่งในการจัดงานวันหมั้นหรือวันทำพิธีสมรส ตลอดจนทำวิดีโอคู่บ่าวสาวนำเสนอในงานแต่งงาน และเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกภายหลังวันงานแต่งงาน ดังนี้ ด้วยค่านิยม ทัศนคติ วัฒนธรรมและบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสความคิดอ่านของคนรุ่นใหม่ ทำให้การถ่ายภาพพรีเวดดิ้งมิใช่สิ่งฟุ่มเฟือยแต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการสมรสที่จำเป็นสำหรับคู่บ่าวสาวเพื่อให้งานพิธีสมรสเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1440 (2) เมื่อได้ความว่าในการเตรียมการสมรสโจทก์กับจำเลยได้ร่วมกันตัดสินใจจัดเตรียมงานโดยกำหนดให้มีการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งก่อนแต่งงานจึงเป็นความตั้งใจและสมัครใจของทั้งสองฝ่ายที่ประสงค์จะถ่ายภาพพรีเวดดิ้งก่อนแต่งงาน มิใช่เกิดจากความประสงค์ของโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียว การดำเนินการของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการเตรียมการก่อนสมรสโดยสุจริต ทั้งข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า โจทก์และจำเลยต่างประกอบอาชีพแพทย์มีรายได้สูง ย่อมมีสถานภาพทางสังคมที่ดี มีเกียรติ และเป็นที่ยอมรับนับถือของคนทั่วไป เมื่อคำนึงถึงสถานะทางการเงินตลอดจนสถานภาพทางสังคมของทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นไปตามฐานานุรูปและตามสมควร ประกอบกับเหตุที่ผิดสัญญาหมั้นเกิดจากความผิดของจำเลยเพียงฝ่ายเดียว จึงไม่ควรให้ฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ เมื่อโจทก์มีพยานหลักฐานเกี่ยวกับการชำระเงินตามรายการดังกล่าวมาแสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้จ่ายเงินไปจริงโดยจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงรับฟังได้ว่าค่าใช้จ่ายรายการที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายเนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1440 (2) โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนได้ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่าค่าใช้จ่ายตามรายการที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายเนื่องในการเตรียมการสมรสนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยเกี่ยวกับค่าทดแทนซึ่งค่าใช้จ่าย รายการที่ 9 ค่าสูทเจ้าบ่าว 3 ชุด พร้อมรองเท้าถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง รายการที่ 13 ชุดสร้อยเพชรพร้อมต่างหูเพชร และรายการที่ 14 แหวนหมั้น ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดแก่โจทก์ตามรายการส่วนนี้ เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์จึงไม่มีประเด็นค่าทดแทนในรายการดังกล่าวนี้ที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษหยิบยกขึ้นวินิจฉัยอีก จึงเป็นการไม่ชอบ นั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ตามรายการค่าใช้จ่าย เพียงบางรายการ ส่วนค่าทดแทนรายการที่ 9 ที่ 13 และที่ 14 ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดให้จำเลยรับผิดแก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ ส่วนจำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าทดแทนตามรายการที่ศาลชั้นต้นกำหนด ประเด็นเรื่องค่าทดแทนรายการที่ 9 ที่ 13 และที่ 14 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษหยิบยกเกี่ยวกับค่าทดแทนรายการที่ 9 ที่ 13 และที่ 14 ขึ้นวินิจฉัยอีก ทั้งที่มิได้มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยและมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจะยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) และมาตรา 246 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 180 ย่อมเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นจากที่จำเลยอุทธรณ์ จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง และมาตรา 246 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 180 ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงิน 742,199 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 มีนาคม 2563) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยใหม่ก็ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามพระราชกฤษฎีกา แต่ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ และให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเกี่ยวกับค่าทดแทนรายการที่ 9 ที่ 13 และที่ 14 เสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
พิธีสมรสในปัจจุบันมิได้จัดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางขนบธรรมเนียมประเพณีแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีจุดประสงค์เพื่อแสดงถึงสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของคู่บ่าวสาวรวมถึงครอบครัวของทั้งสองฝ่ายอีกด้วย ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในงานพิธีสมรสจึงขึ้นอยู่กับความต้องการของคู่บ่าวสาว สถานะทางการเงินตลอดจนสถานภาพทางสังคมของทั้งคู่ ดังจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันคู่บ่าวสาวจะใช้บริการจัดเตรียมงานโดยติดต่อกับบริษัทที่ทำธุรกิจวางแผนจัดงานแต่งงานที่ให้บริการคำปรึกษาและประสานงานเกี่ยวกับงานหมั้นและงานแต่งงาน ด้วยการแนะนำรูปแบบของงานให้เหมาะสมกับคู่บ่าวสาว และควบคุมให้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ภายในงบประมาณที่ตั้งไว้ ซึ่งจะให้การบริการโดยดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายและภาพถ่ายของคู่บ่าวสาวตั้งแต่การถ่ายภาพก่อนวันแต่งงานและวันหมั้นไปจนถึงพิธีสมรส ทำให้การถ่ายภาพพรีเวดดิ้งกลายเป็นที่นิยมอย่างหนึ่งที่คู่รักแทบทุกคู่ต่างถ่ายภาพก่อนวันแต่งงานเตรียมไว้ เพื่อนำภาพถ่ายไปใช้ทำการ์ดแต่งงาน หรือนำภาพถ่ายไปใช้ตกแต่งในการจัดงานวันหมั้นหรือวันทำพิธีสมรส ตลอดจนทำวิดีโอคู่บ่าวสาวนำเสนอในงานแต่งงาน และเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกภายหลังวันงานแต่งงาน ดังนี้ ทำให้การถ่ายภาพพรีเวดดิ้งมิใช่สิ่งฟุ่มเฟือยแต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการสมรสที่จำเป็นสำหรับคู่บ่าวสาวเพื่อให้งานพิธีสมรสเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1440 (2) เมื่อได้ความว่าในการเตรียมการสมรสโจทก์กับจำเลยได้ร่วมกันตัดสินใจจัดเตรียมงานโดยกำหนดให้มีการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งก่อนแต่งงานจึงเป็นความตั้งใจและสมัครใจของทั้งสองฝ่ายที่ประสงค์จะถ่ายภาพพรีเวดดิ้งก่อนแต่งงาน มิใช่เกิดจากความประสงค์ของโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียวการดำเนินการของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการเตรียมการก่อนสมรสโดยสุจริต ทั้งโจทก์และจำเลยต่างประกอบอาชีพแพทย์มีรายได้สูง ย่อมมีสถานภาพทางสังคมที่ดี มีเกียรติ และเป็นที่ยอมรับนับถือของคนทั่วไป เมื่อคำนึงถึงสถานะทางการเงินตลอดจนสถานภาพทางสังคมของทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นไปตามฐานานุรูปและตามสมควร ประกอบกับเหตุที่ผิดสัญญาหมั้นเกิดจากความผิดของจำเลยเพียงฝ่ายเดียว จึงไม่ควรให้ฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ จึงรับฟังได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายเนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควรตาม ป.พ.พ. มาตรา 1440 (2) โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนดังกล่าวได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าทดแทนความเสียหายต่อกายและจิตใจและชื่อเสียงกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เนื่องในการเตรียมการสมรสกับโจทก์รวมเป็นเงิน 2,999,999 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 742,199 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 มีนาคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 25,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ 522,299 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 มีนาคม 2563) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยใหม่ก็ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามพระราชกฤษฎีกา แต่ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ประกอบกับจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาจึงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ประกอบอาชีพเป็นแพทย์ ส่วนจำเลยประกอบอาชีพเป็นแพทย์ผู้ชำนาญการเวชศาสตร์ชุมชนและครอบครัว จำเลยซื้อแหวนเพชรมอบให้แก่โจทก์หลังจากนั้นชักชวนโจทก์ไปจดทะเบียนสมรส ทั้งยังให้บิดามารดาของจำเลยไปสู่ขอและกำหนดวันแต่งงานกัน การหมั้นระหว่างโจทก์กับจำเลยมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ต่อมาจำเลยมีพฤติกรรมเชิงชู้สาวกับหญิงอื่นอันเป็นการกระทำชั่วอย่างร้ายแรงต่อโจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น และต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ ตามรายการค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส รายการที่ 2 เป็นค่าชุดไทย 35,499 บาท รายการที่ 6 เป็นค่าช่างแต่งหน้าและตั๋วเครื่องบิน 25,000 บาท รายการที่ 8 เป็นค่าการ์ดแต่งงานพร้อมซอง 7,500 บาท รายการที่ 11 เป็นค่ารองเท้าเจ้าสาว 3 คู่ 55,800 บาท รายการที่ 12 เป็นค่าเข็มขัดเจ้าบ่าว 28,500 บาท และรายการที่ 15 เป็นค่ามัดจำค่าถ่ายภาพและออการ์ไนซ์ 70,000 บาท กับค่าทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงให้แก่โจทก์เป็นเงิน 300,000 บาท รวมเป็นเงิน 522,299 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ในค่าใช้จ่าย รายการที่ 1 เป็นค่าชุดแต่งงาน 135,000 บาท รายการที่ 3 ค่าช่างภาพพร้อมถ่ายภาพพรีเวดดิ้งที่จังหวัดภูเก็ตและตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พัก 60,000 บาท รายการที่ 4 ค่าสถานที่ถ่ายภาพพรีเวดดิ้งบ้าน อ. 5,000 บาท รายการที่ 5 ค่าสถานที่ถ่ายภาพพรีเวดดิ้งร้าน K. เป็นเงิน 13,900 บาท และรายการที่ 10 ค่าชุดเจ้าสาวถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง 2 ชุด เป็นเงิน 16,000 บาท หรือไม่ เห็นว่า รายการที่ 1 เป็นค่าชุดแต่งงาน 135,000 บาท เป็นการที่หญิงซื้อชุดแต่งงานเพื่อเข้าพิธี จึงเป็นการใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส ส่วนค่าใช้จ่ายในการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งตามรายการที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 เป็นค่าใช้จ่ายเนื่องในการเตรียมการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1440 (2) หรือไม่ เห็นว่า ในอดีตค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรสที่จะเรียกค่าทดแทนจากกันได้นั้น หมายถึง ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นที่ชายหญิงต้องกระทำเพื่อเตรียมการที่ชายหญิงจะอยู่กินด้วยกันเป็นสามีภริยาโดยตรง เช่น ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านที่จะเป็นที่อยู่อาศัยของคู่สมรส หรือค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องนอนหรือเครื่องเรือนสำหรับเรือนหอ แต่ปัจจุบันวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลง สังคมเปลี่ยนไป รวมทั้งประเพณีแต่งงานของคนไทย อันสืบเนื่องมาจากปัจจัยเทคโนโลยี การสื่อสารและทัศนคติของคนรุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับการเตรียมการในพิธีสมรสมากกว่าการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านหรือการซื้อเครื่องนอนและเครื่องเรือน ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นของคู่บ่าวสาวในการเตรียมการสมรสจึงผันแปรเปลี่ยนไปตามประเพณีนิยม ซึ่งต้องพิจารณาความจำเป็นไปตามยุคสมัย ดังนั้น เมื่อพิธีสมรสในปัจจุบันมิได้จัดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางขนบธรรมเนียมประเพณีแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังมีจุดประสงค์เพื่อแสดงถึงสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของคู่บ่าวสาวรวมถึงครอบครัวของทั้งสองฝ่ายอีกด้วย ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในงานพิธีสมรสจึงขึ้นอยู่กับความต้องการของคู่บ่าวสาว สถานะทางการเงินตลอดจนสถานภาพทางสังคมของทั้งคู่ ดังจะเห็นได้ว่า การเตรียมงานพิธีสมรสของชายหญิงที่จะแต่งงานกันในอดีตจะให้บิดามารดาหรือผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายจัดเตรียมงานให้โดยเน้นความเรียบง่าย แต่ในปัจจุบันคู่บ่าวสาวจะใช้บริการจัดเตรียมงานโดยติดต่อกับบริษัทที่ทำธุรกิจวางแผนจัดงานแต่งงาน (Wedding Planner) ที่ให้บริการคำปรึกษาและประสานงานเกี่ยวกับงานหมั้นและงานแต่งงาน ด้วยการแนะนำรูปแบบของงานให้เหมาะสมกับคู่บ่าวสาว และควบคุมให้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ภายในงบประมาณที่ตั้งไว้ ซึ่งจะให้การบริการโดยดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายและภาพถ่ายของคู่บ่าวสาวตั้งแต่การถ่ายภาพก่อนวันแต่งงาน (ภาพพรีเวดดิ้ง) และวันหมั้นไปจนถึงพิธีสมรส ซึ่งกิจการในลักษณะนี้จะทำให้รูปแบบขายแพ็กเกจเหมาถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง ทางบริษัทที่ทำธุรกิจวางแผนจัดงานแต่งงานจะดูแลจัดหาช่างแต่งหน้า ช่างภาพรวมทั้งชุดในวันถ่ายภาพพรีเวดดิ้งและวันจัดงานทั้งในและนอกสถานที่ ทำให้การถ่ายภาพพรีเวดดิ้งกลายเป็นที่นิยมอย่างหนึ่งที่คู่รักแทบทุกคู่ต่างถ่ายภาพก่อนวันแต่งงานเตรียมไว้ เพื่อนำภาพถ่ายไปใช้ทำการ์ดแต่งงาน หรือนำภาพถ่ายไปใช้ตกแต่งในการจัดงานวันหมั้นหรือวันทำพิธีสมรส ตลอดจนทำวิดีโอคู่บ่าวสาวนำเสนอในงานแต่งงาน และเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกภายหลังวันงานแต่งงาน ดังนี้ ด้วยค่านิยม ทัศนคติ วัฒนธรรมและบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสความคิดอ่านของคนรุ่นใหม่ ทำให้การถ่ายภาพพรีเวดดิ้งมิใช่สิ่งฟุ่มเฟือยแต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการสมรสที่จำเป็นสำหรับคู่บ่าวสาวเพื่อให้งานพิธีสมรสเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1440 (2) เมื่อได้ความว่าในการเตรียมการสมรสโจทก์กับจำเลยได้ร่วมกันตัดสินใจจัดเตรียมงานโดยกำหนดให้มีการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งก่อนแต่งงานจึงเป็นความตั้งใจและสมัครใจของทั้งสองฝ่ายที่ประสงค์จะถ่ายภาพพรีเวดดิ้งก่อนแต่งงาน มิใช่เกิดจากความประสงค์ของโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียว การดำเนินการของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการเตรียมการก่อนสมรสโดยสุจริต ทั้งข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า โจทก์และจำเลยต่างประกอบอาชีพแพทย์มีรายได้สูง ย่อมมีสถานภาพทางสังคมที่ดี มีเกียรติ และเป็นที่ยอมรับนับถือของคนทั่วไป เมื่อคำนึงถึงสถานะทางการเงินตลอดจนสถานภาพทางสังคมของทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นไปตามฐานานุรูปและตามสมควร ประกอบกับเหตุที่ผิดสัญญาหมั้นเกิดจากความผิดของจำเลยเพียงฝ่ายเดียว จึงไม่ควรให้ฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ เมื่อโจทก์มีพยานหลักฐานเกี่ยวกับการชำระเงินตามรายการดังกล่าวมาแสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้จ่ายเงินไปจริงโดยจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงรับฟังได้ว่าค่าใช้จ่ายรายการที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายเนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1440 (2) โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนได้ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่าค่าใช้จ่ายตามรายการที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายเนื่องในการเตรียมการสมรสนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยเกี่ยวกับค่าทดแทนซึ่งค่าใช้จ่าย รายการที่ 9 ค่าสูทเจ้าบ่าว 3 ชุด พร้อมรองเท้าถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง รายการที่ 13 ชุดสร้อยเพชรพร้อมต่างหูเพชร และรายการที่ 14 แหวนหมั้น ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดแก่โจทก์ตามรายการส่วนนี้ เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์จึงไม่มีประเด็นค่าทดแทนในรายการดังกล่าวนี้ที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษหยิบยกขึ้นวินิจฉัยอีก จึงเป็นการไม่ชอบ นั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ตามรายการค่าใช้จ่าย เพียงบางรายการ ส่วนค่าทดแทนรายการที่ 9 ที่ 13 และที่ 14 ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดให้จำเลยรับผิดแก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ ส่วนจำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าทดแทนตามรายการที่ศาลชั้นต้นกำหนด ประเด็นเรื่องค่าทดแทนรายการที่ 9 ที่ 13 และที่ 14 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษหยิบยกเกี่ยวกับค่าทดแทนรายการที่ 9 ที่ 13 และที่ 14 ขึ้นวินิจฉัยอีก ทั้งที่มิได้มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยและมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจะยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) และมาตรา 246 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 180 ย่อมเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นจากที่จำเลยอุทธรณ์ จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง และมาตรา 246 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 180 ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงิน 742,199 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 มีนาคม 2563) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยใหม่ก็ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามพระราชกฤษฎีกา แต่ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ และให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเกี่ยวกับค่าทดแทนรายการที่ 9 ที่ 13 และที่ 14 เสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ตามสัญญาเงินกู้ ข้อ 4 ระบุว่า “หากผู้กู้ค้างชำระดอกเบี้ยเกินกว่าหนึ่งปี ผู้กู้ยอมให้นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระ มารวมกับเงินต้นเดิมเป็นเงินต้นใหม่ และให้คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นใหม่นี้ โดยจะคิดทบไปทุกปี จนกว่าจะได้รับการชำระหนี้ครบถ้วนตามสัญญา” จึงเป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญากู้ยืมได้ตกลงกันเป็นหนังสือให้เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่าหนึ่งปีทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้น ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 655 วรรคหนึ่ง และไม่อยู่ในบังคับของข้อห้ามไม่ให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง ทั้งข้อตกลงดังกล่าวกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าต้องกระทำเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระครบหนึ่งปีแล้วเท่านั้น ดังนั้น ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (9) ฉะนั้น ตราบใดที่จำเลยยังคงค้างชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธินำดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่าหนึ่งปีทบเข้ากับต้นเงินและคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นได้ทุกครั้งที่มีการค้างชำระดอกเบี้ยถึงหนึ่งปีเช่นนั้น แม้ว่าจะครบกำหนดชำระคืนและลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดแล้วก็ตาม จะถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหาได้ไม่ แต่ข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะเป็นการเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนที่กำหนดในรูปดอกเบี้ยทบต้นไว้ล่วงหน้าเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยไม่ชำระหนี้ จึงเป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 หากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน เห็นสมควรลดเบี้ยปรับลง โดยกำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ครั้งเดียว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 6,727,681 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แบบทบต้นของต้นเงิน 6,332,177 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2552 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินและรับเงินกู้ไปจากโจทก์ 1,800,000 บาท ตกลงชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดภายในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 มีข้อตกลงว่า หากจำเลยค้างชำระดอกเบี้ยเกินกว่าหนึ่งปี ยอมให้โจทก์นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระดังกล่าวทบเข้าเป็นต้นเงิน และให้คิดดอกเบี้ยจากต้นเงินใหม่โดยคิดทบไปทุกปีจนกว่าจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน ต่อมาจำเลยผิดนัด โดยชำระเงินให้โจทก์เพียง 170,000 บาท โจทก์นำไปหักชำระดอกเบี้ยถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2553 จำเลยค้างชำระต้นเงิน 1,800,000 บาท และมีดอกเบี้ยค้างชำระถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2554 เป็นเงิน 270,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2554 ถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2562 และดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นนับแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2562 เป็นต้นมาจนถึงวันฟ้อง
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำระ แต่ทว่าเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระไม่น้อยกว่าปีหนึ่ง คู่สัญญากู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นก็ได้ แต่การตกลงเช่นนั้นต้องทำเป็นหนังสือ” เมื่อตามสัญญาเงินกู้ ข้อ 4 ระบุว่า “หากผู้กู้ค้างชำระดอกเบี้ยเกินกว่าหนึ่งปี ผู้กู้ยอมให้นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระ มารวมกับเงินต้นเดิมเป็นเงินต้นใหม่ และให้คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นใหม่นี้โดยจะคิดทบไปทุกปี จนกว่าจะได้รับการชำระหนี้ครบถ้วนตามสัญญา” จึงเป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญากู้ยืมได้ตกลงกันเป็นหนังสือให้เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่าหนึ่งปีทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้น ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคหนึ่ง และไม่อยู่ในบังคับของข้อห้ามไม่ให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคสอง ทั้งข้อตกลงดังกล่าวกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าต้องกระทำเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระครบหนึ่งปีแล้วเท่านั้น ดังนั้น ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (9) ฉะนั้น ตราบใดที่จำเลยยังคงค้างชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธินำดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่าหนึ่งปีทบเข้ากับต้นเงินและคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นได้ทุกครั้งที่มีการค้างชำระดอกเบี้ยถึงหนึ่งปีเช่นนั้น แม้ว่าจะครบกำหนดชำระคืนและลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดแล้วก็ตาม จะถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหาได้ไม่ ดังนั้น โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป แต่ข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะเป็นการเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนที่กำหนดในรูปดอกเบี้ยทบต้นไว้ล่วงหน้าเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยไม่ชำระหนี้ จึงเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 หากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน เห็นสมควรลดเบี้ยปรับลง โดยกำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ครั้งเดียว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน จำเลยค้างชำระต้นเงินอยู่ 1,800,000 บาท กับดอกเบี้ยค้างชำระเกิน 1 ปี ถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2554 อีก 270,000 บาท เมื่อทบต้นเงินและดอกเบี้ยดังกล่าวเข้าด้วยกันแล้วเป็นเงิน 2,070,000 บาท จำเลยต้องชำระต้นเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 2,070,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
ตามสัญญาเงินกู้ ข้อ 4 ระบุว่า “หากผู้กู้ค้างชำระดอกเบี้ยเกินกว่าหนึ่งปี ผู้กู้ยอมให้นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระ มารวมกับเงินต้นเดิมเป็นเงินต้นใหม่ และให้คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นใหม่นี้ โดยจะคิดทบไปทุกปี จนกว่าจะได้รับการชำระหนี้ครบถ้วนตามสัญญา” จึงเป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญากู้ยืมได้ตกลงกันเป็นหนังสือให้เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่าหนึ่งปีทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้น ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 655 วรรคหนึ่ง และไม่อยู่ในบังคับของข้อห้ามไม่ให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง ทั้งข้อตกลงดังกล่าวกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าต้องกระทำเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระครบหนึ่งปีแล้วเท่านั้น ดังนั้น ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (9) ฉะนั้น ตราบใดที่จำเลยยังคงค้างชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธินำดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่าหนึ่งปีทบเข้ากับต้นเงินและคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นได้ทุกครั้งที่มีการค้างชำระดอกเบี้ยถึงหนึ่งปีเช่นนั้น แม้ว่าจะครบกำหนดชำระคืนและลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดแล้วก็ตาม จะถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหาได้ไม่ แต่ข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะเป็นการเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนที่กำหนดในรูปดอกเบี้ยทบต้นไว้ล่วงหน้าเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยไม่ชำระหนี้ จึงเป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 หากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน เห็นสมควรลดเบี้ยปรับลง โดยกำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ครั้งเดียว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 6,727,681 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แบบทบต้นของต้นเงิน 6,332,177 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2552 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินและรับเงินกู้ไปจากโจทก์ 1,800,000 บาท ตกลงชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดภายในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 มีข้อตกลงว่า หากจำเลยค้างชำระดอกเบี้ยเกินกว่าหนึ่งปี ยอมให้โจทก์นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระดังกล่าวทบเข้าเป็นต้นเงิน และให้คิดดอกเบี้ยจากต้นเงินใหม่โดยคิดทบไปทุกปีจนกว่าจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน ต่อมาจำเลยผิดนัด โดยชำระเงินให้โจทก์เพียง 170,000 บาท โจทก์นำไปหักชำระดอกเบี้ยถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2553 จำเลยค้างชำระต้นเงิน 1,800,000 บาท และมีดอกเบี้ยค้างชำระถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2554 เป็นเงิน 270,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2554 ถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2562 และดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นนับแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2562 เป็นต้นมาจนถึงวันฟ้อง
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำระ แต่ทว่าเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระไม่น้อยกว่าปีหนึ่ง คู่สัญญากู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นก็ได้ แต่การตกลงเช่นนั้นต้องทำเป็นหนังสือ” เมื่อตามสัญญาเงินกู้ ข้อ 4 ระบุว่า “หากผู้กู้ค้างชำระดอกเบี้ยเกินกว่าหนึ่งปี ผู้กู้ยอมให้นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระ มารวมกับเงินต้นเดิมเป็นเงินต้นใหม่ และให้คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นใหม่นี้โดยจะคิดทบไปทุกปี จนกว่าจะได้รับการชำระหนี้ครบถ้วนตามสัญญา” จึงเป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญากู้ยืมได้ตกลงกันเป็นหนังสือให้เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่าหนึ่งปีทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้น ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคหนึ่ง และไม่อยู่ในบังคับของข้อห้ามไม่ให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคสอง ทั้งข้อตกลงดังกล่าวกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าต้องกระทำเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระครบหนึ่งปีแล้วเท่านั้น ดังนั้น ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (9) ฉะนั้น ตราบใดที่จำเลยยังคงค้างชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธินำดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่าหนึ่งปีทบเข้ากับต้นเงินและคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นได้ทุกครั้งที่มีการค้างชำระดอกเบี้ยถึงหนึ่งปีเช่นนั้น แม้ว่าจะครบกำหนดชำระคืนและลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดแล้วก็ตาม จะถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหาได้ไม่ ดังนั้น โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป แต่ข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะเป็นการเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนที่กำหนดในรูปดอกเบี้ยทบต้นไว้ล่วงหน้าเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยไม่ชำระหนี้ จึงเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 หากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน เห็นสมควรลดเบี้ยปรับลง โดยกำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ครั้งเดียว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน จำเลยค้างชำระต้นเงินอยู่ 1,800,000 บาท กับดอกเบี้ยค้างชำระเกิน 1 ปี ถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2554 อีก 270,000 บาท เมื่อทบต้นเงินและดอกเบี้ยดังกล่าวเข้าด้วยกันแล้วเป็นเงิน 2,070,000 บาท จำเลยต้องชำระต้นเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 2,070,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีตาม ป.อ. มาตรา 279 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนมีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว มาตรา 142 (1) ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น ตาม ป.อ. มาตรา 279 วรรคห้า ลงโทษจำคุก 2 ปี แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนมีกำหนด 2 ปี ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว มาตรา 142 (1) ดังนี้ แม้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เฉพาะวรรคความผิดในมาตราเดียวกัน แต่ความผิดในวรรคสองและวรรคห้ามีอัตราโทษขั้นต่ำและขั้นสูงแตกต่างกันมาก จึงเป็นการแก้วรรคและแก้ไขระยะเวลาฝึกอบรมอันเป็นการแก้ไขมาก แต่การที่ศาลล่างทั้งสองต่างเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน มิใช่การลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 18 เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมิได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 2 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182/1
คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยผู้เสียหายที่ 1 จะยินยอมหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อทางพิจารณาของศาลฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น ข้อแตกต่างดังกล่าว ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย บัญญัติไว้ว่า ถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้ ดังนั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนของการพิจารณาพิพากษาคดีตามที่กฎหมายให้อำนาจศาลไว้ ส่วนการที่พนักงานสอบสวนมิได้แจ้งข้อหาและสอบสวนจำเลยในความผิดดังกล่าว เป็นเรื่องกฎหมายห้ามมิให้พนักงานอัยการนำคดีมาฟ้องในข้อหานั้นตาม ป.วิ.อ. มาตรา 120 เท่านั้น อันเป็นขั้นตอนของการยื่นฟ้องคดี มิใช่การพิพากษาคดีของศาล ดังนั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดนั้นได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 317 นับโทษจำคุกหรือระยะเวลาฝึกอบรมของจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกหรือระยะเวลาฝึกอบรมของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ยชอ 1/2564 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษหรือระยะเวลาฝึกอบรมต่อ
ระหว่างพิจารณา นางสาว ว. ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต โจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันกระทำความผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 1
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องจึงไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วม ขอให้ยกคำร้องของโจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 16 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี จำคุก 3 ปี และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 12 เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 142 (1) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 1 จังหวัดระยอง มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน นับแต่วันพิพากษา โดยนับระยะเวลาการฝึกอบรมของจำเลยคดีนี้ต่อจากระยะเวลาการฝึกอบรมของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ยชอ 1/2564 หมายเลขแดงที่ ยชอ 75/2564 ของศาลชั้นต้น ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นเงิน 100,000 บาท และชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหายที่ 1 และโจทก์ร่วม ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยใหม่ก็ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามพระราชกฤษฎีกา แต่ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยตามคำขอท้ายคำร้องของโจทก์ร่วม ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคห้า, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 16 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามโดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น จำคุก 4 ปี และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามโดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น คงจำคุก 2 ปี และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 6 เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 142 (1) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 1 จังหวัดระยอง มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษให้จำเลยฟัง โดยให้นับระยะเวลาการฝึกอบรมของจำเลยคดีนี้ต่อจากระยะเวลาการฝึกอบรมของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ยชอ 1/2564 หมายเลขแดงที่ ยชอ 75/2564 ของศาลชั้นต้น และในคดีส่วนแพ่งในส่วนอัตราดอกเบี้ย ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า เด็กหญิง ร. ผู้เสียหายที่ 1 เกิดวันที่ 19 มิถุนายน 2559 เป็นบุตรของโจทก์ร่วมและนาย ศ. ขณะเกิดเหตุอายุ 4 ปีเศษ พักอาศัยอยู่กับโจทก์ร่วมเพียง 2 คน ส่วนจำเลยพักอาศัยอยู่กับนาง ส. ยายจำเลย บ้านของนาง ส. อยู่ติดกับบ้านของโจทก์ร่วม มีถนนกว้างประมาณ 4 เมตร คั่นอยู่ เปิดเป็นร้านขายของชำ มีคนพักอาศัย 4 คน คือ นาง ส. จำเลย เด็กหญิง ห. อายุประมาณ 6 ปี และนาย ม. บิดาเด็กหญิง ห. สำหรับความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร คู่ความไม่ฎีกา คดีเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ส่วนความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามโดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ยังรับฟังไม่ได้ว่าไม้ที่จำเลยแหย่ไปที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ได้ล่วงล้ำเข้าไปภายในหรือไม่ และถูกตรงอวัยวะส่วนใด พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมไม่เพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยกระทำความผิด เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 1 จังหวัดระยอง มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 142 (1) ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามโดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคห้า ลงโทษจำคุก 2 ปี แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 1 จังหวัดระยอง มีกำหนด 2 ปี ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 142 (1) ดังนี้ แม้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เฉพาะวรรคความผิดในมาตราเดียวกันซึ่งความผิดแต่ละวรรคมีโทษขั้นต่ำและขั้นสูงแตกต่างกันซึ่งเป็นการแก้ทั้งบทลงโทษและแก้ไขระยะเวลาฝึกอบรมอันเป็นการแก้ไขมาก แต่การที่ศาลล่างทั้งสองต่างเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 1 จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนมิใช่การลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมิได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 2 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182/1 การที่จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ยังรับฟังไม่ได้ว่าไม้ที่จำเลยแหย่ไปที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ได้ล่วงล้ำเข้าไปภายในหรือไม่ และถูกตรงอวัยวะส่วนใด พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมไม่เพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยกระทำความผิด เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยส่วนนี้ไว้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายเพียงว่า ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยผู้เสียหายที่ 1 จะยินยอมหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อทางพิจารณาของศาลฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น ข้อแตกต่างดังกล่าวประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย บัญญัติไว้ว่าถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้ ดังนั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนของการพิจารณาพิพากษาคดีตามที่กฎหมายให้อำนาจศาลไว้ ส่วนการที่พนักงานสอบสวนมิได้แจ้งข้อหา และสอบสวนจำเลยในความผิดดังกล่าว เป็นเรื่องที่กฎหมายห้ามมิให้พนักงานอัยการนำคดีมาฟ้องในข้อหานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 เท่านั้น อันเป็นขั้นตอนของการยื่นฟ้องคดี มิใช่การพิพากษาคดีของศาล ดังนั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดนั้นได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีตาม ป.อ. มาตรา 279 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนมีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว มาตรา 142 (1) ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น ตาม ป.อ. มาตรา 279 วรรคห้า ลงโทษจำคุก 2 ปี แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนมีกำหนด 2 ปี ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว มาตรา 142 (1) ดังนี้ แม้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เฉพาะวรรคความผิดในมาตราเดียวกัน แต่ความผิดในวรรคสองและวรรคห้ามีอัตราโทษขั้นต่ำและขั้นสูงแตกต่างกันมาก จึงเป็นการแก้วรรคและแก้ไขระยะเวลาฝึกอบรมอันเป็นการแก้ไขมาก แต่การที่ศาลล่างทั้งสองต่างเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน มิใช่การลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 18 เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมิได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 2 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182/1
คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยผู้เสียหายที่ 1 จะยินยอมหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อทางพิจารณาของศาลฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น ข้อแตกต่างดังกล่าว ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย บัญญัติไว้ว่า ถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้ ดังนั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนของการพิจารณาพิพากษาคดีตามที่กฎหมายให้อำนาจศาลไว้ ส่วนการที่พนักงานสอบสวนมิได้แจ้งข้อหาและสอบสวนจำเลยในความผิดดังกล่าว เป็นเรื่องกฎหมายห้ามมิให้พนักงานอัยการนำคดีมาฟ้องในข้อหานั้นตาม ป.วิ.อ. มาตรา 120 เท่านั้น อันเป็นขั้นตอนของการยื่นฟ้องคดี มิใช่การพิพากษาคดีของศาล ดังนั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดนั้นได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 317 นับโทษจำคุกหรือระยะเวลาฝึกอบรมของจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกหรือระยะเวลาฝึกอบรมของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ยชอ 1/2564 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษหรือระยะเวลาฝึกอบรมต่อ
ระหว่างพิจารณา นางสาว ว. ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต โจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันกระทำความผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 1
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องจึงไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วม ขอให้ยกคำร้องของโจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 16 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี จำคุก 3 ปี และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 12 เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 142 (1) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 1 จังหวัดระยอง มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน นับแต่วันพิพากษา โดยนับระยะเวลาการฝึกอบรมของจำเลยคดีนี้ต่อจากระยะเวลาการฝึกอบรมของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ยชอ 1/2564 หมายเลขแดงที่ ยชอ 75/2564 ของศาลชั้นต้น ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นเงิน 100,000 บาท และชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหายที่ 1 และโจทก์ร่วม ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยใหม่ก็ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามพระราชกฤษฎีกา แต่ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยตามคำขอท้ายคำร้องของโจทก์ร่วม ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคห้า, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 16 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามโดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น จำคุก 4 ปี และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามโดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น คงจำคุก 2 ปี และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 6 เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 142 (1) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 1 จังหวัดระยอง มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษให้จำเลยฟัง โดยให้นับระยะเวลาการฝึกอบรมของจำเลยคดีนี้ต่อจากระยะเวลาการฝึกอบรมของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ยชอ 1/2564 หมายเลขแดงที่ ยชอ 75/2564 ของศาลชั้นต้น และในคดีส่วนแพ่งในส่วนอัตราดอกเบี้ย ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า เด็กหญิง ร. ผู้เสียหายที่ 1 เกิดวันที่ 19 มิถุนายน 2559 เป็นบุตรของโจทก์ร่วมและนาย ศ. ขณะเกิดเหตุอายุ 4 ปีเศษ พักอาศัยอยู่กับโจทก์ร่วมเพียง 2 คน ส่วนจำเลยพักอาศัยอยู่กับนาง ส. ยายจำเลย บ้านของนาง ส. อยู่ติดกับบ้านของโจทก์ร่วม มีถนนกว้างประมาณ 4 เมตร คั่นอยู่ เปิดเป็นร้านขายของชำ มีคนพักอาศัย 4 คน คือ นาง ส. จำเลย เด็กหญิง ห. อายุประมาณ 6 ปี และนาย ม. บิดาเด็กหญิง ห. สำหรับความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร คู่ความไม่ฎีกา คดีเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ส่วนความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามโดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ยังรับฟังไม่ได้ว่าไม้ที่จำเลยแหย่ไปที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ได้ล่วงล้ำเข้าไปภายในหรือไม่ และถูกตรงอวัยวะส่วนใด พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมไม่เพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยกระทำความผิด เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 1 จังหวัดระยอง มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 142 (1) ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามโดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคห้า ลงโทษจำคุก 2 ปี แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 1 จังหวัดระยอง มีกำหนด 2 ปี ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 142 (1) ดังนี้ แม้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เฉพาะวรรคความผิดในมาตราเดียวกันซึ่งความผิดแต่ละวรรคมีโทษขั้นต่ำและขั้นสูงแตกต่างกันซึ่งเป็นการแก้ทั้งบทลงโทษและแก้ไขระยะเวลาฝึกอบรมอันเป็นการแก้ไขมาก แต่การที่ศาลล่างทั้งสองต่างเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 1 จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนมิใช่การลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมิได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 2 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182/1 การที่จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ยังรับฟังไม่ได้ว่าไม้ที่จำเลยแหย่ไปที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ได้ล่วงล้ำเข้าไปภายในหรือไม่ และถูกตรงอวัยวะส่วนใด พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมไม่เพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยกระทำความผิด เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยส่วนนี้ไว้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายเพียงว่า ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยผู้เสียหายที่ 1 จะยินยอมหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อทางพิจารณาของศาลฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น ข้อแตกต่างดังกล่าวประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย บัญญัติไว้ว่าถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้ ดังนั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยใช้วัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนของการพิจารณาพิพากษาคดีตามที่กฎหมายให้อำนาจศาลไว้ ส่วนการที่พนักงานสอบสวนมิได้แจ้งข้อหา และสอบสวนจำเลยในความผิดดังกล่าว เป็นเรื่องที่กฎหมายห้ามมิให้พนักงานอัยการนำคดีมาฟ้องในข้อหานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 เท่านั้น อันเป็นขั้นตอนของการยื่นฟ้องคดี มิใช่การพิพากษาคดีของศาล ดังนั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดนั้นได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
สินค้าพิพาทซึ่งมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของเฟืองเกียร์เพื่อจัดทำต่อเป็นเฟืองเกียร์สำเร็จ ใช้สำหรับนำไปประกอบชุดเกียร์ขับเคลื่อนของรถแทรกเตอร์โดยเฉพาะ ซึ่งรถแทรกเตอร์เป็นยานบกตามประเภทพิกัด 87.01 จึงอยู่ในหมวด 17 ตอนที่ 87 ยานบกนอกจากรถที่เดินบนรางรถไฟหรือรางรถราง ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานดังกล่าว ประเภทพิกัด 87.08 “ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึง 87.05” โจทก์นำเข้าสินค้าเฟืองเกียร์ตามใบขนสินค้าพิพาทเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบของกระปุกเกียร์ของรถแทรกเตอร์ จัดเข้าพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 8708.40.90 ในฐานะเป็น “ส่วนประกอบของกระปุกเกียร์สำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึง 87.05” กรณีนำเข้าก่อนปี 2555 และพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 8708.40.91 ในฐานะเป็น“ส่วนประกอบของกระปุกเกียร์สำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01” กรณีนำเข้าตั้งแต่ปี 2555 ตามการประเมินของจำเลย
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินตามแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ ) เลขที่ กค 3301312/08-11-2560 ถึงเลขที่ กค 3301430/08-11-2560 ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2560 และให้จำเลยคืนเงิน 15,366,178.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 14,113,375 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ ) เลขที่ กค 3301312/08-11-2560 ถึงเลขที่ กค 3301430/08–11-2560 ให้จำเลยคืนเงิน 15,366,178.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 14,113,375 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 80,000 บาท
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า สินค้าพิพาทมีสภาพเป็นของทำด้วยเหล็กขึ้นรูปเพื่อนำมาผลิตเป็นเฟืองเกียร์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของระบบส่งกำลัง (Transmission) สำหรับรถแทรกเตอร์ไถนา โดยมีลักษณะเป็นเหล็กทรงกระบอกหลายขนาด แต่ละอันมีหน้าตัดกลม ตรงกลางมีรูกลวง ผ่านการขึ้นรูปเป็นชั้นหลายระดับ ชั้นบนทำเป็นร่องคล้ายฟันเฟืองโดยรอบ ชั้นกลางเรียบ และชั้นล่างมีร่องบากสองร่อง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าตามใบขนสินค้าพิพาท จัดเข้าพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 8708.40.90 และพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 8708.40.91 ตามการประเมินของจำเลยหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า การจะจัดสินค้าพิพาทว่าอยู่ในประเภทพิกัดใดต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes : EN) ของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรดังกล่าว ซึ่งในภาค 2 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 พิกัดอัตราอากรขาเข้า ได้ระบุสินค้าในประเภทพิกัด 72.07 ว่า “ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าไม่เจือ” และประเภทพิกัด 87.08 ระบุว่า “ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึง 87.05” ประเภทย่อย 8708.40 ระบุว่า “กระปุกเกียร์และส่วนประกอบของกระปุกเกียร์” ประเภทย่อย 8708.40.90 ระบุว่า “ส่วนประกอบ” อัตราอากรร้อยละ 30 ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 สำหรับการนำเข้าระหว่างเดือนสิงหาคม 2552 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 และอัตราอากรร้อยละ 10 ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 20) ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 สำหรับการนำเข้าระหว่างเดือนมีนาคม 2554 ถึงเดือนตุลาคม 2554 และประเภทย่อย 8708.40.91 ระบุว่า “สำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01” อัตราอากรร้อยละ 10 ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 6 มกราคม 2555 สำหรับการนำเข้าระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ถึงเดือนตุลาคม 2558 คดีนี้ข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งคัดค้านเป็นอย่างอื่นว่า สินค้าพิพาทมีสภาพเป็นของทำด้วยเหล็กขึ้นรูปเพื่อนำมาผลิตเป็นเฟืองเกียร์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของระบบส่งกำลัง (Transmission) สำหรับรถแทรกเตอร์ไถนา โดยมีลักษณะเป็นเหล็กทรงกระบอกหลายขนาด แต่ละอันมีหน้าตัดกลม ตรงกลางมีรูกลวง ผ่านการขึ้นรูปเป็นชั้นหลายระดับ ชั้นบนทำเป็นร่องคล้ายฟันเฟืองโดยรอบ ชั้นกลางเรียบ และชั้นล่างมีร่องบากสองร่อง ไม่สามารถทำเป็นสินค้าประเภทอื่นได้นอกจากเฟืองเกียร์ โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตด้วยการนำเหล็กมาตัดเป็นท่อนกลมให้ได้ตามขนาด แล้วนำไปอบ จากนั้นตีขึ้นรูปโดยวิธี Hammered หรือการทุบขึ้นรูป โจทก์มีนางสาวสินีนาฏ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ และนายวรากร พนักงานของโจทก์ เบิกความในทำนองเดียวกันว่า โจทก์นำเข้าวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปเข้ามาผลิตเป็นสินค้าเฟืองเกียร์ขายให้กับบริษัท ส. วัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปที่โจทก์นำเข้ามาเป็นสินค้าที่ทำด้วยเหล็กซึ่งเกิดจากการตี อัด ปั๊มขึ้นรูป จะต้องผ่านกระบวนการผลิตอีกหลายขั้นตอนเพื่อให้เป็นเฟืองเกียร์สำเร็จรูป สินค้าพิพาทขณะนำเข้าจัดเข้าพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ประเภทที่ 72.07 แต่ขณะนำเข้าโจทก์สำแดงรายการในใบขนสินค้าขาเข้าเป็นประเภทพิกัด 84.83 ซึ่งอัตราอากรปกติคือร้อยละ 10 หากกรณีใช้สิทธิถิ่นกำเนิดญี่ปุ่น (JTEPA) ลดอัตราอากรเหลือร้อยละ 5 และกรณีใช้ถิ่นกำเนิดอาเซียน (FORM D) ลดอัตราอากรเหลือร้อยละ 0 ส่วนจำเลยมีนายชัยชนม์ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ นายภานุพงษ์ นักวิชาการศุลกากรปฏิบัติการ และนายปกรณ์ นักวิชาการศุลกากรปฏิบัติการ ผู้พิจารณาทำความเห็นปัญหาพิกัดอัตราศุลกากรเบิกความในทำนองเดียวกันว่า สินค้าที่จะจัดอยู่ในประเภทพิกัด 72.07 ได้นั้นจะต้องเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่ตีเป็นรูปทรงหยาบ ๆ รวมถึงของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุมเป็นรูปทรงหรือเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ มีลักษณะเป็นรูปทรงเรขาคณิตไม่ได้มีลักษณะเฉพาะที่บ่งชี้ได้ว่าจะนำไปผลิตเป็นสินค้าโดยเฉพาะ แต่เมื่อพิจารณาสินค้าของโจทก์แล้ว สินค้าทั้งหมดเป็นสินค้าที่มีลักษณะคล้ายกันนำไปใช้งานกับชุดเกียร์ขับเคลื่อนของรถแทรกเตอร์ สินค้าผ่านการขึ้นรูปเพื่อใช้ผลิตเป็นเฟืองสำเร็จรูปเท่านั้น มีสาระสำคัญเป็นของที่สำเร็จแล้วเป็นส่วนประกอบของยานยนต์ตามประเภทพิกัด 87.08 ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร ข้อ 1 ข้อ 2 (ก) และข้อ 6 ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 พิเคราะห์แล้ว เมื่อพิจารณาตามภาค 2 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 พิกัดอัตราอากรขาเข้า ประเภทพิกัด 72.07 ระบุว่า “ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าไม่เจือ” หรือ “Semi - finish Product of Iron or Non – Alloy Steel” มีหมายเหตุตอนที่ 72 ข้อ 1 (ญ) ระบุนิยามผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปว่า “ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหล่อแบบต่อเนื่องที่มีหน้าตัดตัน จะผ่านการรีดร้อนขั้นต้นหรือไม่ก็ตาม และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีหน้าตัดตัน ซึ่งไม่ได้ทำมากไปกว่าการรีดร้อนขั้นต้นหรือตีเป็นรูปทรงอย่างหยาบ ๆ รวมถึงของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุม เป็นรูปทรง หรือเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องไม่เป็นม้วน” และตามคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes : EN) ประเภทพิกัด 72.07 อธิบายผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปว่ามี 4 ประเภท คือ “(ก) ท่อนเหล็กที่เป็นเหลี่ยมแบบบลูม บิลเล็ต ท่อนกลม แท่งเหล็กหนาชนิดสแล๊ป แท่งบางชนิดชี้ทบาร์ (ข) ชิ้นที่ทำขึ้นเป็นรูปทรงอย่างหยาบ ๆ ด้วยการตี (ค) ของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุม ทำเป็นรูปทรง หรือเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ (ง) ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่ได้มาโดยการหล่อแบบต่อเนื่อง” ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสภาพของสินค้าพิพาทกับสินค้าสำเร็จรูปแล้ว สินค้าพิพาทมีลักษณะเป็นเหล็กทรงกระบอก หน้าตัดกลม มีขนาดใกล้เคียงกับเฟืองเกียร์สำเร็จรูป มีการเจาะรูกลวงตรงกลาง และด้านล่างมีร่องบากสองร่อง อีกทั้งด้านบนยังมีร่องคล้ายฟันเฟืองเล็ก ๆ และไม่สามารถนำไปทำเป็นสินค้าประเภทอื่นได้นอกจากเฟืองเกียร์ อันมีลักษณะใกล้เคียงกับเฟืองเกียร์สำเร็จรูป และเมื่อพิจารณาขั้นตอนกรรมวิธีการผลิตของสินค้าพิพาทที่มีกระบวนการขึ้นรูปเริ่มจากการนำเหล็กมาตัดเป็นท่อนกลม เมื่อตัดได้ตามขนาดแล้วต้องนำไปอบและตีขึ้นรูปโดยวิธี Hammered หรือการทุบขึ้นรูป การขึ้นรูปต้องตีเป็นชั้นและร่องหลายระดับ มีชั้นหนึ่งทำเป็นฟันเฟืองโดยรอบและมีการทำร่องบากสองร่อง ลักษณะที่ขึ้นรูปมาดังกล่าวถือเป็นกระบวนการสำคัญในการผลิตเฟืองเกียร์สำเร็จรูปที่มากกว่าการทำรูปทรงอย่างหยาบ ๆ ด้วยการตี หรือเพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุมหรือทำเป็นรูปทรงตามคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes : EN) ของผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปประเภทพิกัด 72.07 ตามที่โจทก์ฎีกา สินค้าพิพาทจึงถือได้ว่ามีการขึ้นรูปอันเป็นสาระสำคัญของเฟืองเกียร์สำเร็จรูปแล้ว ส่วนที่โจทก์มีนางสาวสินีนาฏ ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์เบิกความว่า หลังจากนำเข้าแล้วต้องนำสินค้ามาผลิตต่อโดยวิธีการไส เจียร กลึง เจาะรู และยังต้องส่งไปชุบแข็งด้วยจึงจะสามารถใช้งานได้ ทำให้น้ำหนักสูญหายและมีมูลค่าเพิ่มนั้น เป็นเพียงวิธีการขั้นตอนที่ทำให้ของที่ขึ้นรูปมาแล้วมีลักษณะเป็นเฟืองเกียร์สำเร็จรูปสำหรับนำไปประกอบในชุดเกียร์ขับเคลื่อนของรถแทรกเตอร์โดยไม่ต้องจัดทำรูปทรงเพิ่มเติมอย่างมากและรูปทรงโดยรวมไม่ได้เปลี่ยนแปลง และเป็นเพียงขั้นตอนส่วนน้อยที่ทำหลังจากผ่านกระบวนการในส่วนสาระสำคัญคือการขึ้นรูปสำเร็จแล้ว ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ประเภทพิกัด 87.08 ตามที่เจ้าพนักงานของจำเลยประเมินสินค้าพิพาทของโจทก์เป็นหมวดของสินค้าสำเร็จรูปที่สามารถใช้งานได้ โดยประเภทพิกัด 87.08 ระบุว่า “ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์...” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Parts and Accessories of the Motor Vehicles...” ถ้อยคำที่ระบุไว้ชัดเจนว่า คือส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบ (Parts and Accessories) จึงต้องเป็นสินค้าสำเร็จรูปที่สามารถนำไปใช้งานได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการผลิตอีกจึงจะเรียกได้ว่าเป็นอะไหล่หรือส่วนประกอบสำเร็จรูปพร้อมใช้กับยานยนต์ที่สามารถใช้ประกอบหรือใช้ทดแทนของเดิมได้เลยนั้น เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร ข้อ 2 (ก) กำหนดว่า “ประเภทที่ระบุถึงของใด ให้หมายรวมถึงของนั้นที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หากว่าในขณะนำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว...” ซึ่งในคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes : EN) ได้อธิบายคำว่าของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ (Incomplete or unfinished articles) ไว้ในข้อ 2 (ก) ว่า (1) ความตอนแรกของหลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) เป็นการขยายขอบเขตของประเภทพิกัดซี่งระบุถึงของใด ให้คลุมถึงไม่เฉพาะของสำเร็จรูป แต่คลุมถึงของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จด้วย หากว่าในขณะนำเข้าของนั้นมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว (2) หลักเกณฑ์ข้อนี้ใช้กับของที่เพียงแต่ขึ้นรูป (แบล็งก์) ด้วย... คำว่า “ของที่เพียงแต่ขึ้นรูป” หมายถึงของที่ยังไม่พร้อมจะใช้ได้ทันที เพียงแต่มีรูปร่างหรือเค้าโครงของของหรือส่วนประกอบที่สำเร็จแล้ว และสามารถใช้เพื่อผลิตเป็นของหรือส่วนประกอบสำเร็จรูปเท่านั้น ยกเว้นเป็นพิเศษบางกรณี ของกึ่งสำเร็จรูปที่ยังไม่มีรูปร่างอันเป็นสาระสำคัญของของสำเร็จรูป (โดยทั่วไปเช่น เป็นท่อน วงกลม หลอดหรือท่อ ฯลฯ) ไม่ถือว่าเป็น “ของที่เพียงแต่ขึ้นรูป” ดังนี้ แม้สินค้าพิพาทไม่ใช่เฟืองเกียร์หรือของสำเร็จรูปที่พร้อมใช้ได้ทันที แต่เมื่อได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้วว่าขณะนำเข้าสินค้าพิพาทไม่ใช่ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่ตีเป็นรูปทรงหยาบ ๆ หรือของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุมเป็นรูปทรงหรือเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ แต่ได้ผ่านกระบวนการขึ้นรูป (แบล็งก์) และมีการทำเป็นฟันเฟืองโดยรอบและมีการทำร่องบากสองร่อง อันเป็นสาระสำคัญของของสำเร็จรูป มีลักษณะใกล้เคียงกับเฟืองเกียร์สำเร็จรูป และโจทก์มีเจตนานำสินค้าพิพาทดังกล่าวมาใช้ผลิตเป็นเฟืองเกียร์สำเร็จรูปเท่านั้น ประกอบกับจำเลยยังมีนายไตรทิพย์ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการพิเศษ เจ้าหน้าที่ตรวจค้นจับกุมเบิกความว่า โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทโดยสำแดงชนิดสินค้าเป็นล้อเฟืองเกียร์ในฐานะเป็นส่วนประกอบของเฟืองเกียร์ของเครื่องจักรใช้ในการเกษตร แต่จากการตรวจสอบพบว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้าจำนวน 119 ใบขนสินค้า เป็นเฟืองเกียร์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของระบบส่งกำลัง (Transmission) สำหรับรถแทรกเตอร์ไถนาต้องชำระอากรตามประเภทพิกัด 8708.40.90 กรณีนำเข้าก่อนปี 2555 และประเภทพิกัด 8708.40.91 กรณีนำเข้าตั้งแต่ปี 2555 โดยโจทก์จำหน่ายสินค้าที่นำเข้าให้กับบริษัท ส. ซึ่งบริษัท ส. ยืนยันว่าสินค้าที่ซื้อจากโจทก์ถูกนำไปใช้เป็นส่วนประกอบอยู่ในตำแหน่งชุดเกียร์ขับเคลื่อนของรถแทรกเตอร์ โดยโจทก์ไม่ได้นำสืบคัดค้านข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น อีกทั้งนางสาวสินีนาฏ ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ยังเบิกความตอบคำถามค้านรับว่า ในการนำเข้าทั้ง 119 ใบขนสินค้า โจทก์สำแดงประเภทสินค้าเป็นล้อเฟืองเกียร์ มิได้ระบุว่าเป็นสินค้ากึ่งสำเร็จรูป แสดงให้เห็นว่า การที่โจทก์สำแดงสินค้าพิพาทเป็นเฟืองเกียร์มาโดยตลอด เพียงแต่สำแดงในฐานะเป็นเฟืองเกียร์ของเครื่องจักรใช้ในการเกษตรอันส่อแสดงเจตนาว่าโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้ามาตามใบขนสินค้าทั้ง 119 ฉบับ มีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของเฟืองเกียร์ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปตามที่โจทก์อ้าง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสินค้าพิพาทไม่ใช่ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าไม่เจือตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 72.07 จึงต้องพิจารณาจำแนกประเภทพิกัดสินค้าพิพาทดังกล่าวในลักษณะเป็นเฟืองเกียร์ที่สำเร็จรูปแล้ว ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ข้อ 2 (ก) ส่วนประเด็นที่ว่าสินค้าพิพาทจะเข้าข้อยกเว้นตามหมายเหตุของหมวด 17 ข้อ 2 (จ) หรือไม่ เห็นว่า ในภาค 2 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 พิกัดอัตราอากรขาเข้า หมวด 17 ยานบก อากาศยาน ยานน้ำ และเครื่องอุปกรณ์การขนส่งที่เกี่ยวข้อง ตอนที่ 87 ยานบกนอกจากรถที่เดินบนรางรถไฟหรือรางรถราง ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานดังกล่าว ประเภทพิกัด 87.08 ระบุว่า “ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึง 87.05” โดยหมายเหตุของหมวด 17 ข้อ 2 ระบุว่า “คำว่า “ส่วนประกอบ” และ “ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบ” ไม่ให้ใช้กับของดังต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเป็นของที่บ่งชี้ได้ว่าใช้กับของในหมวดนี้หรือไม่ก็ตาม... (จ) เครื่องจักรและเครื่องอุปกรณ์ตามประเภท 84.01 ถึง 84.79 และส่วนประกอบของเครื่องดังกล่าว...ของตามประเภท 84.81 หรือ 84.82 หรือของตามประเภท 84.83 เฉพาะที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องยนต์หรือมอเตอร์” หมายความว่า ของตามประเภทพิกัด 84.83 ซึ่งรวมถึงเกียร์และเครื่องเกียร์ เฉพาะที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ ให้เข้าประเภทพิกัด 84.83 ส่วนเกียร์และเครื่องเกียร์ที่ไม่ใช่ส่วนประกอบของเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ ให้เข้าประเภทพิกัด 87.08 คดีนี้เมื่อนายวรากร พนักงานของโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านรับว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าไม่สามารถไปทำเป็นสินค้าประเภทอื่นได้นอกจากเฟืองที่โจทก์จะผลิตขายให้กับบริษัท ส. เท่านั้น และบริษัท ส. นำสินค้าที่ซื้อจากโจทก์ไปเป็นส่วนประกอบในส่วนของเกียร์ใช้ในรถแทรกเตอร์ซึ่งมิได้อยู่ภายในเครื่องยนต์ และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดในสำนวนว่าสินค้าพิพาทนำไปใช้เป็นส่วนประกอบของมอเตอร์ เมื่อสินค้าพิพาทเป็นเฟืองเกียร์ที่ไม่ใช่เป็นส่วนประกอบของเครื่องยนต์หรือมอเตอร์จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามหมายเหตุของหมวด 17 ข้อ 2 (จ) ดังนั้น สินค้าพิพาทซึ่งมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของเฟืองเกียร์เพื่อจัดทำต่อเป็นเฟืองเกียร์สำเร็จ ใช้สำหรับนำไปประกอบชุดเกียร์ขับเคลื่อนของรถแทรกเตอร์โดยเฉพาะ ซึ่งรถแทรกเตอร์เป็นยานบกตามประเภทพิกัด 87.01 จึงอยู่ในหมวด 17 ตอนที่ 87 ยานบกนอกจากรถที่เดินบนรางรถไฟหรือรางรถราง ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานดังกล่าว ประเภทพิกัด 87.08 “ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึง 87.05” ตามที่จำเลยนำสืบ พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมาจึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์นำเข้าสินค้าเฟืองเกียร์ตามใบขนสินค้าพิพาทเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบของกระปุกเกียร์ของรถแทรกเตอร์ จัดเข้าพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 8708.40.90 ในฐานะเป็น “ส่วนประกอบของกระปุกเกียร์สำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึง 87.05” กรณีนำเข้าก่อนปี 2555 และพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 8708.40.91 ในฐานะเป็น“ส่วนประกอบของกระปุกเกียร์สำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01” กรณีนำเข้าตั้งแต่ปี 2555 ตามการประเมินของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
สินค้าพิพาทซึ่งมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของเฟืองเกียร์เพื่อจัดทำต่อเป็นเฟืองเกียร์สำเร็จ ใช้สำหรับนำไปประกอบชุดเกียร์ขับเคลื่อนของรถแทรกเตอร์โดยเฉพาะ ซึ่งรถแทรกเตอร์เป็นยานบกตามประเภทพิกัด 87.01 จึงอยู่ในหมวด 17 ตอนที่ 87 ยานบกนอกจากรถที่เดินบนรางรถไฟหรือรางรถราง ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานดังกล่าว ประเภทพิกัด 87.08 “ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึง 87.05” โจทก์นำเข้าสินค้าเฟืองเกียร์ตามใบขนสินค้าพิพาทเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบของกระปุกเกียร์ของรถแทรกเตอร์ จัดเข้าพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 8708.40.90 ในฐานะเป็น “ส่วนประกอบของกระปุกเกียร์สำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึง 87.05” กรณีนำเข้าก่อนปี 2555 และพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 8708.40.91 ในฐานะเป็น“ส่วนประกอบของกระปุกเกียร์สำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01” กรณีนำเข้าตั้งแต่ปี 2555 ตามการประเมินของจำเลย
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินตามแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ ) เลขที่ กค 3301312/08-11-2560 ถึงเลขที่ กค 3301430/08-11-2560 ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2560 และให้จำเลยคืนเงิน 15,366,178.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 14,113,375 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ ) เลขที่ กค 3301312/08-11-2560 ถึงเลขที่ กค 3301430/08–11-2560 ให้จำเลยคืนเงิน 15,366,178.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 14,113,375 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 80,000 บาท
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า สินค้าพิพาทมีสภาพเป็นของทำด้วยเหล็กขึ้นรูปเพื่อนำมาผลิตเป็นเฟืองเกียร์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของระบบส่งกำลัง (Transmission) สำหรับรถแทรกเตอร์ไถนา โดยมีลักษณะเป็นเหล็กทรงกระบอกหลายขนาด แต่ละอันมีหน้าตัดกลม ตรงกลางมีรูกลวง ผ่านการขึ้นรูปเป็นชั้นหลายระดับ ชั้นบนทำเป็นร่องคล้ายฟันเฟืองโดยรอบ ชั้นกลางเรียบ และชั้นล่างมีร่องบากสองร่อง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าตามใบขนสินค้าพิพาท จัดเข้าพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 8708.40.90 และพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 8708.40.91 ตามการประเมินของจำเลยหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า การจะจัดสินค้าพิพาทว่าอยู่ในประเภทพิกัดใดต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes : EN) ของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรดังกล่าว ซึ่งในภาค 2 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 พิกัดอัตราอากรขาเข้า ได้ระบุสินค้าในประเภทพิกัด 72.07 ว่า “ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าไม่เจือ” และประเภทพิกัด 87.08 ระบุว่า “ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึง 87.05” ประเภทย่อย 8708.40 ระบุว่า “กระปุกเกียร์และส่วนประกอบของกระปุกเกียร์” ประเภทย่อย 8708.40.90 ระบุว่า “ส่วนประกอบ” อัตราอากรร้อยละ 30 ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 สำหรับการนำเข้าระหว่างเดือนสิงหาคม 2552 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 และอัตราอากรร้อยละ 10 ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 20) ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 สำหรับการนำเข้าระหว่างเดือนมีนาคม 2554 ถึงเดือนตุลาคม 2554 และประเภทย่อย 8708.40.91 ระบุว่า “สำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01” อัตราอากรร้อยละ 10 ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 6 มกราคม 2555 สำหรับการนำเข้าระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ถึงเดือนตุลาคม 2558 คดีนี้ข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งคัดค้านเป็นอย่างอื่นว่า สินค้าพิพาทมีสภาพเป็นของทำด้วยเหล็กขึ้นรูปเพื่อนำมาผลิตเป็นเฟืองเกียร์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของระบบส่งกำลัง (Transmission) สำหรับรถแทรกเตอร์ไถนา โดยมีลักษณะเป็นเหล็กทรงกระบอกหลายขนาด แต่ละอันมีหน้าตัดกลม ตรงกลางมีรูกลวง ผ่านการขึ้นรูปเป็นชั้นหลายระดับ ชั้นบนทำเป็นร่องคล้ายฟันเฟืองโดยรอบ ชั้นกลางเรียบ และชั้นล่างมีร่องบากสองร่อง ไม่สามารถทำเป็นสินค้าประเภทอื่นได้นอกจากเฟืองเกียร์ โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตด้วยการนำเหล็กมาตัดเป็นท่อนกลมให้ได้ตามขนาด แล้วนำไปอบ จากนั้นตีขึ้นรูปโดยวิธี Hammered หรือการทุบขึ้นรูป โจทก์มีนางสาวสินีนาฏ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ และนายวรากร พนักงานของโจทก์ เบิกความในทำนองเดียวกันว่า โจทก์นำเข้าวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปเข้ามาผลิตเป็นสินค้าเฟืองเกียร์ขายให้กับบริษัท ส. วัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปที่โจทก์นำเข้ามาเป็นสินค้าที่ทำด้วยเหล็กซึ่งเกิดจากการตี อัด ปั๊มขึ้นรูป จะต้องผ่านกระบวนการผลิตอีกหลายขั้นตอนเพื่อให้เป็นเฟืองเกียร์สำเร็จรูป สินค้าพิพาทขณะนำเข้าจัดเข้าพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ประเภทที่ 72.07 แต่ขณะนำเข้าโจทก์สำแดงรายการในใบขนสินค้าขาเข้าเป็นประเภทพิกัด 84.83 ซึ่งอัตราอากรปกติคือร้อยละ 10 หากกรณีใช้สิทธิถิ่นกำเนิดญี่ปุ่น (JTEPA) ลดอัตราอากรเหลือร้อยละ 5 และกรณีใช้ถิ่นกำเนิดอาเซียน (FORM D) ลดอัตราอากรเหลือร้อยละ 0 ส่วนจำเลยมีนายชัยชนม์ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ นายภานุพงษ์ นักวิชาการศุลกากรปฏิบัติการ และนายปกรณ์ นักวิชาการศุลกากรปฏิบัติการ ผู้พิจารณาทำความเห็นปัญหาพิกัดอัตราศุลกากรเบิกความในทำนองเดียวกันว่า สินค้าที่จะจัดอยู่ในประเภทพิกัด 72.07 ได้นั้นจะต้องเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่ตีเป็นรูปทรงหยาบ ๆ รวมถึงของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุมเป็นรูปทรงหรือเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ มีลักษณะเป็นรูปทรงเรขาคณิตไม่ได้มีลักษณะเฉพาะที่บ่งชี้ได้ว่าจะนำไปผลิตเป็นสินค้าโดยเฉพาะ แต่เมื่อพิจารณาสินค้าของโจทก์แล้ว สินค้าทั้งหมดเป็นสินค้าที่มีลักษณะคล้ายกันนำไปใช้งานกับชุดเกียร์ขับเคลื่อนของรถแทรกเตอร์ สินค้าผ่านการขึ้นรูปเพื่อใช้ผลิตเป็นเฟืองสำเร็จรูปเท่านั้น มีสาระสำคัญเป็นของที่สำเร็จแล้วเป็นส่วนประกอบของยานยนต์ตามประเภทพิกัด 87.08 ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร ข้อ 1 ข้อ 2 (ก) และข้อ 6 ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 พิเคราะห์แล้ว เมื่อพิจารณาตามภาค 2 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 พิกัดอัตราอากรขาเข้า ประเภทพิกัด 72.07 ระบุว่า “ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าไม่เจือ” หรือ “Semi - finish Product of Iron or Non – Alloy Steel” มีหมายเหตุตอนที่ 72 ข้อ 1 (ญ) ระบุนิยามผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปว่า “ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหล่อแบบต่อเนื่องที่มีหน้าตัดตัน จะผ่านการรีดร้อนขั้นต้นหรือไม่ก็ตาม และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีหน้าตัดตัน ซึ่งไม่ได้ทำมากไปกว่าการรีดร้อนขั้นต้นหรือตีเป็นรูปทรงอย่างหยาบ ๆ รวมถึงของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุม เป็นรูปทรง หรือเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องไม่เป็นม้วน” และตามคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes : EN) ประเภทพิกัด 72.07 อธิบายผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปว่ามี 4 ประเภท คือ “(ก) ท่อนเหล็กที่เป็นเหลี่ยมแบบบลูม บิลเล็ต ท่อนกลม แท่งเหล็กหนาชนิดสแล๊ป แท่งบางชนิดชี้ทบาร์ (ข) ชิ้นที่ทำขึ้นเป็นรูปทรงอย่างหยาบ ๆ ด้วยการตี (ค) ของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุม ทำเป็นรูปทรง หรือเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ (ง) ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่ได้มาโดยการหล่อแบบต่อเนื่อง” ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสภาพของสินค้าพิพาทกับสินค้าสำเร็จรูปแล้ว สินค้าพิพาทมีลักษณะเป็นเหล็กทรงกระบอก หน้าตัดกลม มีขนาดใกล้เคียงกับเฟืองเกียร์สำเร็จรูป มีการเจาะรูกลวงตรงกลาง และด้านล่างมีร่องบากสองร่อง อีกทั้งด้านบนยังมีร่องคล้ายฟันเฟืองเล็ก ๆ และไม่สามารถนำไปทำเป็นสินค้าประเภทอื่นได้นอกจากเฟืองเกียร์ อันมีลักษณะใกล้เคียงกับเฟืองเกียร์สำเร็จรูป และเมื่อพิจารณาขั้นตอนกรรมวิธีการผลิตของสินค้าพิพาทที่มีกระบวนการขึ้นรูปเริ่มจากการนำเหล็กมาตัดเป็นท่อนกลม เมื่อตัดได้ตามขนาดแล้วต้องนำไปอบและตีขึ้นรูปโดยวิธี Hammered หรือการทุบขึ้นรูป การขึ้นรูปต้องตีเป็นชั้นและร่องหลายระดับ มีชั้นหนึ่งทำเป็นฟันเฟืองโดยรอบและมีการทำร่องบากสองร่อง ลักษณะที่ขึ้นรูปมาดังกล่าวถือเป็นกระบวนการสำคัญในการผลิตเฟืองเกียร์สำเร็จรูปที่มากกว่าการทำรูปทรงอย่างหยาบ ๆ ด้วยการตี หรือเพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุมหรือทำเป็นรูปทรงตามคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes : EN) ของผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปประเภทพิกัด 72.07 ตามที่โจทก์ฎีกา สินค้าพิพาทจึงถือได้ว่ามีการขึ้นรูปอันเป็นสาระสำคัญของเฟืองเกียร์สำเร็จรูปแล้ว ส่วนที่โจทก์มีนางสาวสินีนาฏ ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์เบิกความว่า หลังจากนำเข้าแล้วต้องนำสินค้ามาผลิตต่อโดยวิธีการไส เจียร กลึง เจาะรู และยังต้องส่งไปชุบแข็งด้วยจึงจะสามารถใช้งานได้ ทำให้น้ำหนักสูญหายและมีมูลค่าเพิ่มนั้น เป็นเพียงวิธีการขั้นตอนที่ทำให้ของที่ขึ้นรูปมาแล้วมีลักษณะเป็นเฟืองเกียร์สำเร็จรูปสำหรับนำไปประกอบในชุดเกียร์ขับเคลื่อนของรถแทรกเตอร์โดยไม่ต้องจัดทำรูปทรงเพิ่มเติมอย่างมากและรูปทรงโดยรวมไม่ได้เปลี่ยนแปลง และเป็นเพียงขั้นตอนส่วนน้อยที่ทำหลังจากผ่านกระบวนการในส่วนสาระสำคัญคือการขึ้นรูปสำเร็จแล้ว ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ประเภทพิกัด 87.08 ตามที่เจ้าพนักงานของจำเลยประเมินสินค้าพิพาทของโจทก์เป็นหมวดของสินค้าสำเร็จรูปที่สามารถใช้งานได้ โดยประเภทพิกัด 87.08 ระบุว่า “ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์...” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Parts and Accessories of the Motor Vehicles...” ถ้อยคำที่ระบุไว้ชัดเจนว่า คือส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบ (Parts and Accessories) จึงต้องเป็นสินค้าสำเร็จรูปที่สามารถนำไปใช้งานได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการผลิตอีกจึงจะเรียกได้ว่าเป็นอะไหล่หรือส่วนประกอบสำเร็จรูปพร้อมใช้กับยานยนต์ที่สามารถใช้ประกอบหรือใช้ทดแทนของเดิมได้เลยนั้น เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร ข้อ 2 (ก) กำหนดว่า “ประเภทที่ระบุถึงของใด ให้หมายรวมถึงของนั้นที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ หากว่าในขณะนำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว...” ซึ่งในคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes : EN) ได้อธิบายคำว่าของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ (Incomplete or unfinished articles) ไว้ในข้อ 2 (ก) ว่า (1) ความตอนแรกของหลักเกณฑ์ข้อ 2 (ก) เป็นการขยายขอบเขตของประเภทพิกัดซี่งระบุถึงของใด ให้คลุมถึงไม่เฉพาะของสำเร็จรูป แต่คลุมถึงของที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จด้วย หากว่าในขณะนำเข้าของนั้นมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว (2) หลักเกณฑ์ข้อนี้ใช้กับของที่เพียงแต่ขึ้นรูป (แบล็งก์) ด้วย... คำว่า “ของที่เพียงแต่ขึ้นรูป” หมายถึงของที่ยังไม่พร้อมจะใช้ได้ทันที เพียงแต่มีรูปร่างหรือเค้าโครงของของหรือส่วนประกอบที่สำเร็จแล้ว และสามารถใช้เพื่อผลิตเป็นของหรือส่วนประกอบสำเร็จรูปเท่านั้น ยกเว้นเป็นพิเศษบางกรณี ของกึ่งสำเร็จรูปที่ยังไม่มีรูปร่างอันเป็นสาระสำคัญของของสำเร็จรูป (โดยทั่วไปเช่น เป็นท่อน วงกลม หลอดหรือท่อ ฯลฯ) ไม่ถือว่าเป็น “ของที่เพียงแต่ขึ้นรูป” ดังนี้ แม้สินค้าพิพาทไม่ใช่เฟืองเกียร์หรือของสำเร็จรูปที่พร้อมใช้ได้ทันที แต่เมื่อได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้วว่าขณะนำเข้าสินค้าพิพาทไม่ใช่ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่ตีเป็นรูปทรงหยาบ ๆ หรือของที่เพียงแต่ขึ้นรูปเพื่อทำเป็นมุมเป็นรูปทรงหรือเป็นหน้าตัดรูปต่าง ๆ แต่ได้ผ่านกระบวนการขึ้นรูป (แบล็งก์) และมีการทำเป็นฟันเฟืองโดยรอบและมีการทำร่องบากสองร่อง อันเป็นสาระสำคัญของของสำเร็จรูป มีลักษณะใกล้เคียงกับเฟืองเกียร์สำเร็จรูป และโจทก์มีเจตนานำสินค้าพิพาทดังกล่าวมาใช้ผลิตเป็นเฟืองเกียร์สำเร็จรูปเท่านั้น ประกอบกับจำเลยยังมีนายไตรทิพย์ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการพิเศษ เจ้าหน้าที่ตรวจค้นจับกุมเบิกความว่า โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทโดยสำแดงชนิดสินค้าเป็นล้อเฟืองเกียร์ในฐานะเป็นส่วนประกอบของเฟืองเกียร์ของเครื่องจักรใช้ในการเกษตร แต่จากการตรวจสอบพบว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้าจำนวน 119 ใบขนสินค้า เป็นเฟืองเกียร์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของระบบส่งกำลัง (Transmission) สำหรับรถแทรกเตอร์ไถนาต้องชำระอากรตามประเภทพิกัด 8708.40.90 กรณีนำเข้าก่อนปี 2555 และประเภทพิกัด 8708.40.91 กรณีนำเข้าตั้งแต่ปี 2555 โดยโจทก์จำหน่ายสินค้าที่นำเข้าให้กับบริษัท ส. ซึ่งบริษัท ส. ยืนยันว่าสินค้าที่ซื้อจากโจทก์ถูกนำไปใช้เป็นส่วนประกอบอยู่ในตำแหน่งชุดเกียร์ขับเคลื่อนของรถแทรกเตอร์ โดยโจทก์ไม่ได้นำสืบคัดค้านข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น อีกทั้งนางสาวสินีนาฏ ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ยังเบิกความตอบคำถามค้านรับว่า ในการนำเข้าทั้ง 119 ใบขนสินค้า โจทก์สำแดงประเภทสินค้าเป็นล้อเฟืองเกียร์ มิได้ระบุว่าเป็นสินค้ากึ่งสำเร็จรูป แสดงให้เห็นว่า การที่โจทก์สำแดงสินค้าพิพาทเป็นเฟืองเกียร์มาโดยตลอด เพียงแต่สำแดงในฐานะเป็นเฟืองเกียร์ของเครื่องจักรใช้ในการเกษตรอันส่อแสดงเจตนาว่าโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้ามาตามใบขนสินค้าทั้ง 119 ฉบับ มีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของเฟืองเกียร์ที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปตามที่โจทก์อ้าง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสินค้าพิพาทไม่ใช่ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าไม่เจือตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 72.07 จึงต้องพิจารณาจำแนกประเภทพิกัดสินค้าพิพาทดังกล่าวในลักษณะเป็นเฟืองเกียร์ที่สำเร็จรูปแล้ว ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ข้อ 2 (ก) ส่วนประเด็นที่ว่าสินค้าพิพาทจะเข้าข้อยกเว้นตามหมายเหตุของหมวด 17 ข้อ 2 (จ) หรือไม่ เห็นว่า ในภาค 2 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 พิกัดอัตราอากรขาเข้า หมวด 17 ยานบก อากาศยาน ยานน้ำ และเครื่องอุปกรณ์การขนส่งที่เกี่ยวข้อง ตอนที่ 87 ยานบกนอกจากรถที่เดินบนรางรถไฟหรือรางรถราง ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานดังกล่าว ประเภทพิกัด 87.08 ระบุว่า “ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึง 87.05” โดยหมายเหตุของหมวด 17 ข้อ 2 ระบุว่า “คำว่า “ส่วนประกอบ” และ “ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบ” ไม่ให้ใช้กับของดังต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเป็นของที่บ่งชี้ได้ว่าใช้กับของในหมวดนี้หรือไม่ก็ตาม... (จ) เครื่องจักรและเครื่องอุปกรณ์ตามประเภท 84.01 ถึง 84.79 และส่วนประกอบของเครื่องดังกล่าว...ของตามประเภท 84.81 หรือ 84.82 หรือของตามประเภท 84.83 เฉพาะที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องยนต์หรือมอเตอร์” หมายความว่า ของตามประเภทพิกัด 84.83 ซึ่งรวมถึงเกียร์และเครื่องเกียร์ เฉพาะที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ ให้เข้าประเภทพิกัด 84.83 ส่วนเกียร์และเครื่องเกียร์ที่ไม่ใช่ส่วนประกอบของเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ ให้เข้าประเภทพิกัด 87.08 คดีนี้เมื่อนายวรากร พนักงานของโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านรับว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าไม่สามารถไปทำเป็นสินค้าประเภทอื่นได้นอกจากเฟืองที่โจทก์จะผลิตขายให้กับบริษัท ส. เท่านั้น และบริษัท ส. นำสินค้าที่ซื้อจากโจทก์ไปเป็นส่วนประกอบในส่วนของเกียร์ใช้ในรถแทรกเตอร์ซึ่งมิได้อยู่ภายในเครื่องยนต์ และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดในสำนวนว่าสินค้าพิพาทนำไปใช้เป็นส่วนประกอบของมอเตอร์ เมื่อสินค้าพิพาทเป็นเฟืองเกียร์ที่ไม่ใช่เป็นส่วนประกอบของเครื่องยนต์หรือมอเตอร์จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามหมายเหตุของหมวด 17 ข้อ 2 (จ) ดังนั้น สินค้าพิพาทซึ่งมีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของเฟืองเกียร์เพื่อจัดทำต่อเป็นเฟืองเกียร์สำเร็จ ใช้สำหรับนำไปประกอบชุดเกียร์ขับเคลื่อนของรถแทรกเตอร์โดยเฉพาะ ซึ่งรถแทรกเตอร์เป็นยานบกตามประเภทพิกัด 87.01 จึงอยู่ในหมวด 17 ตอนที่ 87 ยานบกนอกจากรถที่เดินบนรางรถไฟหรือรางรถราง ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานดังกล่าว ประเภทพิกัด 87.08 “ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึง 87.05” ตามที่จำเลยนำสืบ พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมาจึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์นำเข้าสินค้าเฟืองเกียร์ตามใบขนสินค้าพิพาทเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบของกระปุกเกียร์ของรถแทรกเตอร์ จัดเข้าพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 8708.40.90 ในฐานะเป็น “ส่วนประกอบของกระปุกเกียร์สำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01 ถึง 87.05” กรณีนำเข้าก่อนปี 2555 และพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 8708.40.91 ในฐานะเป็น“ส่วนประกอบของกระปุกเกียร์สำหรับยานยนต์ตามประเภท 87.01” กรณีนำเข้าตั้งแต่ปี 2555 ตามการประเมินของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
โจทก์ทำงานในส่วนการผลิตเช่นเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ 2 กรณีจึงต้องอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 11/1 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงที่ทำงานในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ” ซึ่งหมายความว่า ผู้ประกอบกิจการต้องดำเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการจากผู้ประกอบกิจการในลักษณะอย่างเดียวกับลูกจ้างตามสัญญาโดยตรงโดยไม่เลือกว่าเป็นลูกจ้างรับเหมาค่าแรงหรือลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง ดังนั้น เมื่อเงินโบนัสถือเป็นสิทธิประโยชน์และสวัสดิการ ประกอบกับโจทก์ทำงานมาประมาณ 3 ปี เกินระยะเวลาทดลองงาน ซึ่งมีกำหนดระยะเวลา 120 วัน โจทก์จึงไม่ใช่ลูกจ้างทดลองงาน อีกทั้งแม้การจ่ายเงินโบนัสดังกล่าวเกิดจากข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างสหภาพแรงงาน ท. ซึ่งมีลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเป็นจำนวนไม่ถึงสองในสามส่วนของลูกจ้างทั้งหมดยื่นข้อเรียกร้องต่อจำเลยที่ 2 แล้วเจรจาตกลงกันได้และทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวกันไว้ว่า จำเลยที่ 2 ตกลงจ่ายเงินโบนัสประจำปีให้แก่พนักงานตามหลักเกณฑ์การประเมินผลงานของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 และสหภาพแรงงาน ท. ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเช่นนี้ตลอดมาทุกปีตั้งแต่โจทก์ทำงานกับจำเลยที่ 2 ซึ่งทำให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวมีผลผูกพันเฉพาะลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ท. แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความต่อไปว่า จำเลยที่ 2 จ่ายเงินโบนัสประจำปีให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงทุกคน ไม่ใช่จ่ายให้แก่ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ท. เท่านั้น การที่จำเลยที่ 2 ไม่จ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างรับเหมาค่าแรงซึ่งทำงานในส่วนงานผลิตเช่นเดียวกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ 2 และไม่ได้มีลักษณะเป็นลูกจ้างทดลองงาน จึงถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติตามมาตรา 11/1 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 จำเลยที่ 2 จึงต้องจ่ายเงินโบนัสแก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจ่ายค่าเช่าบ้านของเดือนพฤษภาคม 2563 ถึงเดือนกันยายน 2563 ค่าเบี้ยขยันเดือนพฤษภาคม 2563 ถึงเดือนสิงหาคม 2563 ค่าเช่าบ้านย้อนหลังตามสิทธิที่โจทก์ต้องได้รับตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2560 ถึงวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 เงินโบนัสประจำปี 2560 ปี 2561 และปี 2562 เบี้ยขยันรายปีประจำปี 2561 และปี 2562 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินทุกรายการนับแต่วันที่เลิกจ้างจนกว่าชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ออกหนังสือรับรองการทำงานให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลแรงงานภาค 2 จำเลยที่ 1 ขอสละประเด็นเรื่องฟ้องซ้ำ
ศาลแรงงานภาค 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินโบนัสรวม 124,796 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 ตุลาคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และเคยเป็นลูกจ้างรับเหมาค่าแรงของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ส่งโจทก์ไปทำงานกับจำเลยที่ 2 ในส่วนของการผลิตเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2560 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นพนักงานตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ ต่อมาวันที่ 6 พฤษภาคม 2563 จำเลยที่ 2 ส่งตัวโจทก์คืนแก่จำเลยที่ 1 ระหว่างโจทก์ทำงานกับจำเลยที่ 2 โจทก์ได้รับค่าเช่าบ้านจากจำเลยที่ 2 เดือนละ 750 บาท ในขณะที่ลูกจ้างโดยตรงของจำเลยที่ 2 ได้รับค่าเช่าบ้านเดือนละ 2,300 บาท โจทก์ไม่เคยได้รับเงินโบนัสและเบี้ยขยันประจำปีจากจำเลยทั้งสอง แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าเช่าบ้านและค่าเบี้ยขยันแก่โจทก์ ส่วนเงินโบนัส แม้จำเลยที่ 2 ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกับสหภาพแรงงาน ท. ว่าจำเลยที่ 2 ตกลงจ่ายเงินโบนัสให้แก่พนักงาน ตามหลักเกณฑ์การประเมินผลงานของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีผลเฉพาะลูกจ้างที่เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานเท่านั้น แต่จำเลยที่ 2 จ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างทุกคนเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน การที่จำเลยที่ 2 ไม่จ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงซึ่งทำงานในส่วนการผลิตเช่นเดียวกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงจึงเป็นการเลือกปฏิบัติขัดต่อมาตรา 11/1 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จำเลยที่ 2 จะอ้างเหตุไม่ประเมินลูกจ้างรับเหมาค่าแรงมาเป็นเหตุไม่ต้องจ่ายเงินโบนัสไม่ได้ เมื่อไม่มีการประเมินผลงานของลูกจ้างรับเหมาค่าแรง จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดจ่ายเงินโบนัสให้โจทก์ในลำดับเกณฑ์ประเมินต่ำสุดดังที่โจทก์ขอมา ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้จัดหาลูกจ้างมาทำงานให้แก่จำเลยที่ 2 เท่านั้น ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 จำเลยที่ 2 มีสิทธิกำหนดหลักเกณฑ์ให้ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานต่างจากลูกจ้างที่ไม่ได้เป็นสมาชิก เมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค 2 เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างจำเลยที่ 2 กับสหภาพแรงงาน ท. เป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ศาลแรงงานภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกับสหภาพแรงงาน ท. ว่าจำเลยที่ 2 ตกลงจ่ายเงินโบนัสให้แก่พนักงานตามหลักเกณฑ์การประเมินผลงานของโจทก์ ซึ่งมีผลเฉพาะลูกจ้างที่เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานเท่านั้น และวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 จ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างทุกคน การที่จำเลยที่ 2 ไม่จ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้างรับเหมาค่าแรง เป็นการเลือกปฏิบัติขัดต่อมาตรา 11/1 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เห็นได้ว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 มิได้โต้เถียงให้รับฟังข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลแรงงานภาค 2 รับฟังมา แต่โต้เถียงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องจ่ายเงินโบนัสแก่โจทก์เพราะข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเกิดจากการเรียกร้องของสหภาพแรงงาน ท. ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 และนายจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ไม่ใช่นายจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จึงนำมาตรา 11/1 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาใช้บังคับไม่ได้ อันเป็นการอุทธรณ์ให้ตีความกฎหมาย จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
ส่วนที่จำเลยที่ 2 อ้างว่า การนำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งมีผลผูกพันนายจ้างและลูกจ้างที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ไปใช้ให้มีผลถึงบุคคลภายนอกซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงงานและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องนั้น ถือเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 42 ขอให้ศาลฎีกาส่งประเด็นนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 5 และมาตรา 212 วรรคหนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 นั้น เห็นว่า กรณีตามข้ออ้างของจำเลยที่ 2 มิใช่เป็นการโต้แย้งว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงมิใช่กรณีที่ศาลฎีกาจะต้องส่งความเห็นนั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 212 วรรคหนึ่ง
เมื่อคดีนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 เป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย แม้ว่าศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาและคู่ความสืบพยานเสร็จสิ้นโดยมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 แล้ว เพื่อไม่ให้คดีล่าช้า ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ไปโดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยก่อน สำหรับปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ว่า จำเลยที่ 2 ต้องจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์หรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติแล้วว่า โจทก์ทำงานในส่วนการผลิตเช่นเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ 2 กรณีจึงต้องอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 11/1 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงที่ทำงานในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ” ซึ่งหมายความว่า ผู้ประกอบกิจการต้องดำเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการจากผู้ประกอบกิจการในลักษณะอย่างเดียวกับลูกจ้างตามสัญญาโดยตรงโดยไม่เลือกว่าเป็นลูกจ้างรับเหมาค่าแรงหรือลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง ดังนั้น เมื่อเงินโบนัสถือเป็นสิทธิประโยชน์และสวัสดิการ ประกอบกับโจทก์ทำงานมาประมาณ 3 ปี เกินระยะเวลาทดลองงาน ซึ่งมีกำหนดระยะเวลา 120 วัน โจทก์จึงไม่ใช่ลูกจ้างทดลองงาน อีกทั้งแม้การจ่ายเงินโบนัสดังกล่าวเกิดจากข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างสหภาพแรงงาน ท. ซึ่งมีลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเป็นจำนวนไม่ถึงสองในสามส่วนของลูกจ้างทั้งหมดยื่นข้อเรียกร้องต่อจำเลยที่ 2 แล้วเจรจาตกลงกันได้และทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวกันไว้ว่าจำเลยที่ 2 ตกลงจ่ายเงินโบนัสประจำปีให้แก่พนักงานตามหลักเกณฑ์การประเมินผลงานของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 และสหภาพแรงงาน ท. ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเช่นนี้ตลอดมาทุกปีตั้งแต่โจทก์ทำงานกับจำเลยที่ 2 ซึ่งทำให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวมีผลผูกพันเฉพาะลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ท. แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความต่อไปว่า จำเลยที่ 2 จ่ายเงินโบนัสประจำปีให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงทุกคน ไม่ใช่จ่ายให้แก่ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ท. เท่านั้น การที่จำเลยที่ 2 ไม่จ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างรับเหมาค่าแรง ซึ่งทำงานในส่วนงานผลิตเช่นเดียวกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ 2 และไม่ได้มีลักษณะเป็นลูกจ้างทดลองงาน จึงถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติตามมาตรา 11/1 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จำเลยที่ 2 ต้องจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 2 ที่ศาลแรงงานภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น อุทธรณ์ส่วนอื่นของจำเลยที่ 2 ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
อนึ่ง เนื่องจากพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นมา ได้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 วรรคหนึ่ง เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยเองและกำหนดดอกเบี้ยให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) มาตรา 246 และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 57/1 วรรคสอง จึงให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินโบนัสรวม 124,796 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 ตุลาคม 2563) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราดอกเบี้ยตามคำขอท้ายฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 2
โจทก์ทำงานในส่วนการผลิตเช่นเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ 2 กรณีจึงต้องอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 11/1 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงที่ทำงานในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ” ซึ่งหมายความว่า ผู้ประกอบกิจการต้องดำเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการจากผู้ประกอบกิจการในลักษณะอย่างเดียวกับลูกจ้างตามสัญญาโดยตรงโดยไม่เลือกว่าเป็นลูกจ้างรับเหมาค่าแรงหรือลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง ดังนั้น เมื่อเงินโบนัสถือเป็นสิทธิประโยชน์และสวัสดิการ ประกอบกับโจทก์ทำงานมาประมาณ 3 ปี เกินระยะเวลาทดลองงาน ซึ่งมีกำหนดระยะเวลา 120 วัน โจทก์จึงไม่ใช่ลูกจ้างทดลองงาน อีกทั้งแม้การจ่ายเงินโบนัสดังกล่าวเกิดจากข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างสหภาพแรงงาน ท. ซึ่งมีลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเป็นจำนวนไม่ถึงสองในสามส่วนของลูกจ้างทั้งหมดยื่นข้อเรียกร้องต่อจำเลยที่ 2 แล้วเจรจาตกลงกันได้และทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวกันไว้ว่า จำเลยที่ 2 ตกลงจ่ายเงินโบนัสประจำปีให้แก่พนักงานตามหลักเกณฑ์การประเมินผลงานของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 และสหภาพแรงงาน ท. ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเช่นนี้ตลอดมาทุกปีตั้งแต่โจทก์ทำงานกับจำเลยที่ 2 ซึ่งทำให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวมีผลผูกพันเฉพาะลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ท. แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความต่อไปว่า จำเลยที่ 2 จ่ายเงินโบนัสประจำปีให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงทุกคน ไม่ใช่จ่ายให้แก่ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ท. เท่านั้น การที่จำเลยที่ 2 ไม่จ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างรับเหมาค่าแรงซึ่งทำงานในส่วนงานผลิตเช่นเดียวกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ 2 และไม่ได้มีลักษณะเป็นลูกจ้างทดลองงาน จึงถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติตามมาตรา 11/1 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 จำเลยที่ 2 จึงต้องจ่ายเงินโบนัสแก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจ่ายค่าเช่าบ้านของเดือนพฤษภาคม 2563 ถึงเดือนกันยายน 2563 ค่าเบี้ยขยันเดือนพฤษภาคม 2563 ถึงเดือนสิงหาคม 2563 ค่าเช่าบ้านย้อนหลังตามสิทธิที่โจทก์ต้องได้รับตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2560 ถึงวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 เงินโบนัสประจำปี 2560 ปี 2561 และปี 2562 เบี้ยขยันรายปีประจำปี 2561 และปี 2562 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินทุกรายการนับแต่วันที่เลิกจ้างจนกว่าชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ออกหนังสือรับรองการทำงานให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลแรงงานภาค 2 จำเลยที่ 1 ขอสละประเด็นเรื่องฟ้องซ้ำ
ศาลแรงงานภาค 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินโบนัสรวม 124,796 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 ตุลาคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และเคยเป็นลูกจ้างรับเหมาค่าแรงของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ส่งโจทก์ไปทำงานกับจำเลยที่ 2 ในส่วนของการผลิตเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2560 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นพนักงานตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ ต่อมาวันที่ 6 พฤษภาคม 2563 จำเลยที่ 2 ส่งตัวโจทก์คืนแก่จำเลยที่ 1 ระหว่างโจทก์ทำงานกับจำเลยที่ 2 โจทก์ได้รับค่าเช่าบ้านจากจำเลยที่ 2 เดือนละ 750 บาท ในขณะที่ลูกจ้างโดยตรงของจำเลยที่ 2 ได้รับค่าเช่าบ้านเดือนละ 2,300 บาท โจทก์ไม่เคยได้รับเงินโบนัสและเบี้ยขยันประจำปีจากจำเลยทั้งสอง แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าเช่าบ้านและค่าเบี้ยขยันแก่โจทก์ ส่วนเงินโบนัส แม้จำเลยที่ 2 ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกับสหภาพแรงงาน ท. ว่าจำเลยที่ 2 ตกลงจ่ายเงินโบนัสให้แก่พนักงาน ตามหลักเกณฑ์การประเมินผลงานของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีผลเฉพาะลูกจ้างที่เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานเท่านั้น แต่จำเลยที่ 2 จ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างทุกคนเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน การที่จำเลยที่ 2 ไม่จ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงซึ่งทำงานในส่วนการผลิตเช่นเดียวกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงจึงเป็นการเลือกปฏิบัติขัดต่อมาตรา 11/1 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จำเลยที่ 2 จะอ้างเหตุไม่ประเมินลูกจ้างรับเหมาค่าแรงมาเป็นเหตุไม่ต้องจ่ายเงินโบนัสไม่ได้ เมื่อไม่มีการประเมินผลงานของลูกจ้างรับเหมาค่าแรง จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดจ่ายเงินโบนัสให้โจทก์ในลำดับเกณฑ์ประเมินต่ำสุดดังที่โจทก์ขอมา ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้จัดหาลูกจ้างมาทำงานให้แก่จำเลยที่ 2 เท่านั้น ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 จำเลยที่ 2 มีสิทธิกำหนดหลักเกณฑ์ให้ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานต่างจากลูกจ้างที่ไม่ได้เป็นสมาชิก เมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค 2 เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างจำเลยที่ 2 กับสหภาพแรงงาน ท. เป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ศาลแรงงานภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกับสหภาพแรงงาน ท. ว่าจำเลยที่ 2 ตกลงจ่ายเงินโบนัสให้แก่พนักงานตามหลักเกณฑ์การประเมินผลงานของโจทก์ ซึ่งมีผลเฉพาะลูกจ้างที่เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานเท่านั้น และวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 จ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างทุกคน การที่จำเลยที่ 2 ไม่จ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้างรับเหมาค่าแรง เป็นการเลือกปฏิบัติขัดต่อมาตรา 11/1 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เห็นได้ว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 มิได้โต้เถียงให้รับฟังข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลแรงงานภาค 2 รับฟังมา แต่โต้เถียงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องจ่ายเงินโบนัสแก่โจทก์เพราะข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเกิดจากการเรียกร้องของสหภาพแรงงาน ท. ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 และนายจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ไม่ใช่นายจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จึงนำมาตรา 11/1 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาใช้บังคับไม่ได้ อันเป็นการอุทธรณ์ให้ตีความกฎหมาย จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
ส่วนที่จำเลยที่ 2 อ้างว่า การนำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งมีผลผูกพันนายจ้างและลูกจ้างที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ไปใช้ให้มีผลถึงบุคคลภายนอกซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงงานและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องนั้น ถือเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 42 ขอให้ศาลฎีกาส่งประเด็นนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 5 และมาตรา 212 วรรคหนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 นั้น เห็นว่า กรณีตามข้ออ้างของจำเลยที่ 2 มิใช่เป็นการโต้แย้งว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงมิใช่กรณีที่ศาลฎีกาจะต้องส่งความเห็นนั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 212 วรรคหนึ่ง
เมื่อคดีนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 เป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย แม้ว่าศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาและคู่ความสืบพยานเสร็จสิ้นโดยมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 แล้ว เพื่อไม่ให้คดีล่าช้า ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ไปโดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยก่อน สำหรับปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ว่า จำเลยที่ 2 ต้องจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์หรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติแล้วว่า โจทก์ทำงานในส่วนการผลิตเช่นเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ 2 กรณีจึงต้องอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 11/1 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงที่ทำงานในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ” ซึ่งหมายความว่า ผู้ประกอบกิจการต้องดำเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการจากผู้ประกอบกิจการในลักษณะอย่างเดียวกับลูกจ้างตามสัญญาโดยตรงโดยไม่เลือกว่าเป็นลูกจ้างรับเหมาค่าแรงหรือลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรง ดังนั้น เมื่อเงินโบนัสถือเป็นสิทธิประโยชน์และสวัสดิการ ประกอบกับโจทก์ทำงานมาประมาณ 3 ปี เกินระยะเวลาทดลองงาน ซึ่งมีกำหนดระยะเวลา 120 วัน โจทก์จึงไม่ใช่ลูกจ้างทดลองงาน อีกทั้งแม้การจ่ายเงินโบนัสดังกล่าวเกิดจากข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างสหภาพแรงงาน ท. ซึ่งมีลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเป็นจำนวนไม่ถึงสองในสามส่วนของลูกจ้างทั้งหมดยื่นข้อเรียกร้องต่อจำเลยที่ 2 แล้วเจรจาตกลงกันได้และทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวกันไว้ว่าจำเลยที่ 2 ตกลงจ่ายเงินโบนัสประจำปีให้แก่พนักงานตามหลักเกณฑ์การประเมินผลงานของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 และสหภาพแรงงาน ท. ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเช่นนี้ตลอดมาทุกปีตั้งแต่โจทก์ทำงานกับจำเลยที่ 2 ซึ่งทำให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวมีผลผูกพันเฉพาะลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ท. แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความต่อไปว่า จำเลยที่ 2 จ่ายเงินโบนัสประจำปีให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงทุกคน ไม่ใช่จ่ายให้แก่ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ท. เท่านั้น การที่จำเลยที่ 2 ไม่จ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างรับเหมาค่าแรง ซึ่งทำงานในส่วนงานผลิตเช่นเดียวกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงของจำเลยที่ 2 และไม่ได้มีลักษณะเป็นลูกจ้างทดลองงาน จึงถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติตามมาตรา 11/1 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จำเลยที่ 2 ต้องจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 2 ที่ศาลแรงงานภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น อุทธรณ์ส่วนอื่นของจำเลยที่ 2 ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
อนึ่ง เนื่องจากพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นมา ได้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 วรรคหนึ่ง เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยเองและกำหนดดอกเบี้ยให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) มาตรา 246 และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 57/1 วรรคสอง จึงให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินโบนัสรวม 124,796 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 ตุลาคม 2563) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราดอกเบี้ยตามคำขอท้ายฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 2
บันทึกของเจ้าพนักงานที่ดินที่ได้สอบสวนไกล่เกลี่ยเรื่องการคัดค้านแนวเขตที่ดิน ระหว่างผู้ขอซึ่งหมายถึงจำเลย และผู้คัดค้านซึ่งหมายถึงโจทก์ที่ 1 ทั้งสองฝ่ายทราบถึงแนวเขตของที่ดิน โดยยึดถือหลักฐานแผนที่เดิมและหลักฐานแผนที่แสดงแนวเขตคัดค้าน ตกลงกันได้โดยรูปแผนที่แนวเขตที่คัดค้านกันนั้นให้เป็นของผู้ขอหรือจำเลยประมาณ 1-1-52 ไร่ เป็นของผู้คัดค้านหรือโจทก์ที่ 1 เนื้อที่ 0-2-00 ไร่ และผู้คัดค้านหรือโจทก์ที่ 1 ขอยกเลิกการคัดค้าน เป็นกรณีที่จำเลยและโจทก์ที่ 1 ตกลงกันว่าที่ดินในแนวเขตที่คัดค้านกันนั้น ตามหลักฐานแผนที่เดิมเป็นที่ดินของจำเลย ตกลงให้เป็นของจำเลยเนื้อที่ประมาณ 1-1-52 ไร่ เป็นของโจทก์ที่ 1 เนื้อที่ 0-2-00 ไร่ และโจทก์ที่ 1 ยกเลิกการคัดค้าน อันเป็นการที่จำเลยและโจทก์ที่ 1 ตกลงระงับข้อพิพาทในแนวเขตที่ดินที่คัดค้านให้เสร็จสิ้นไปโดยยอมผ่อนผันให้แก่กันแล้ว แม้ในบันทึกดังกล่าวจะไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแผนที่ บริเวณหรือหลักหมุดใดก็ตาม ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าเนื้อที่ดังกล่าวอยู่ภายในแนวเขตที่คัดค้านและต้องแบ่งตามแนวเขตของที่ดินทั้งสองแปลงนั้น จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850
โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสามได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 10655 ทางด้านทิศเหนือตามแผนที่พิพาทเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 75.6 ตารางวา โดยการครอบครองปรปักษ์ ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเสาปูนหรือสิ่งอื่น ๆ ที่จำเลยและบริวารนำเข้ามาหรือนำมาปักไว้ในที่ดินพิพาทภายใน 5 วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา กับห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ห้ามโจทก์ทั้งสามเข้ามาเกี่ยวข้อง
โจทก์ทั้งสามยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอถอนฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 10655 เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 75.6 ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง กับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเสาปูนออกจากที่ดินพิพาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสาม คืนค่าขึ้นศาลส่วนฟ้องแย้งทั้งหมดในศาลชั้นต้นให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องเดิมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 9056 โดยได้รับโอนมรดกมาจากนายกว้าง บิดาของโจทก์ทั้งสาม จำเลยเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 10655 ที่ดินโจทก์ทั้งสามและที่ดินจำเลยมีแนวเขตติดกัน โดยแนวเขตด้านทิศใต้ของที่ดินโจทก์ทั้งสามติดกับแนวเขตด้านทิศเหนือของที่ดินจำเลย ขณะมีชีวิตอยู่นายกว้างทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ทั้งสามโดยทำนาทั้งแปลงและทำนารุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลยเป็นเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 75.6 ตารางวา โดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนเอง มีคันนากั้นเป็นแนวเขตแน่นอน นายกว้างทำนาในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2532 เมื่อโจทก์ทั้งสามรับโอนมรดกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2539 ได้ครอบครองทำนาในที่พิพาทติดต่อกันตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว วันที่ 26 มกราคม 2560 โจทก์ทั้งสามนำช่างรังวัดเอกชนรังวัดที่ดินโฉนดเลขที่ 9056 เพื่อแบ่งกรรมสิทธิ์รวม เจ้าของที่ดินข้างเคียงรับรองแนวเขตครบทุกด้าน ปรากฏได้เนื้อที่มากกว่าเดิม 6-2-93.9 ไร่ ขึ้นรูปแผนที่ลงในระวางแล้วทับที่ดินแปลงข้างเคียงเลขที่ 61,62 (เลขที่ 62 เป็นที่ดินของจำเลย) แต่ในสภาพที่ดินจริงไม่ทับแต่อย่างใด ต่อมาจำเลยขอรังวัดสอบเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 10655 โจทก์ที่ 1 คัดค้านแนวเขต เจ้าพนักงานที่ดินไกล่เกลี่ยตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว บันทึกว่าผู้ขอ (จำเลย) และผู้คัดค้าน (โจทก์ที่ 1) ตกลงกันได้ โดยรูปแผนที่แนวเขตที่คัดค้านกันนั้นให้เป็นของผู้ขอประมาณ 1-1-52 ไร่ เป็นของผู้คัดค้าน 0-2-00 ไร่ ผู้คัดค้านขอยกเลิกการคัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินนัดโจทก์ที่ 1 และจำเลยรังวัดแนวเขตตามเนื้อที่ที่ตกลงกัน แต่โจทก์ที่ 1 ไม่ได้นำชี้แนวเขตอ้างว่าบันทึกไกล่เกลี่ยไม่เป็นไปตามเจตนาของโจทก์ที่ 1 และฟ้องเป็นคดีนี้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามในประการแรกว่า บันทึกไกล่เกลี่ยตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 บัญญัติว่า อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือสัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จสิ้นไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน พิจารณาบันทึกไกล่เกลี่ยแล้ว เป็นบันทึกของเจ้าพนักงานที่ดิน ได้สอบสวนไกล่เกลี่ยเรื่องการคัดค้านแนวเขตที่ดิน ระหว่างผู้ขอซึ่งหมายถึงจำเลยและผู้คัดค้านซึ่งหมายถึงโจทก์ที่ 1 ทั้งสองฝ่ายทราบถึงแนวเขตของที่ดิน โดยยึดถือหลักฐานแผนที่เดิมและหลักฐานแผนที่แสดงแนวเขตคัดค้าน ตกลงกันได้โดยรูปแผนที่แนวเขตที่คัดค้านกันนั้นให้เป็นของผู้ขอหรือจำเลยประมาณ 1-1-52 ไร่ เป็นของผู้คัดค้านหรือโจทก์ที่ 1 เนื้อที่ 0-2-00 ไร่ และผู้คัดค้านหรือโจทก์ที่ 1 ขอยกเลิกการคัดค้าน เป็นกรณีที่จำเลยและโจทก์ที่ 1 ตกลงกันว่าที่ดินในแนวเขตที่คัดค้านกันนั้น ตามหลักฐานแผนที่เดิมเป็นที่ดินของจำเลย ตกลงให้เป็นของจำเลยเนื้อที่ประมาณ 1-1-52 ไร่ เป็นของโจทก์ที่ 1 เนื้อที่ 0-2-00 ไร่ และโจทก์ที่ 1 ยกเลิกการคัดค้าน อันเป็นการที่จำเลยและโจทก์ที่ 1 ตกลงระงับข้อพิพาทในแนวเขตที่ดินที่คัดค้านให้เสร็จสิ้นไปโดยยอมผ่อนผันให้แก่กันแล้ว แม้ในบันทึกดังกล่าวจะไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแผนที่ บริเวณหรือหลักหมุดใดก็ตาม ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าเนื้อที่ดังกล่าวอยู่ภายในแนวเขตที่คัดค้านและต้องแบ่งตามแนวเขตของที่ดินทั้งสองแปลงนั้น จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งสามฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามในประการต่อมาที่ว่า สัญญาประนีประนอมยอมความตามบันทึกไกล่เกลี่ยเป็นโมฆะหรือไม่ ปัญหานี้โจทก์ทั้งสามฎีกาทำนองว่า โจทก์ที่ 1 มีเจตนาแบ่งที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 งาน ให้แก่จำเลย โจทก์ที่ 1 ไม่ได้อ่านข้อความและเจ้าพนักงานไม่ได้อ่านบันทึกดังกล่าวให้โจทก์ที่ 1 ฟัง โจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อในบันทึกดังกล่าวโดยสำคัญผิดในจำนวนเนื้อที่อันเป็นสาระสำคัญของสัญญาประนีประนอมยอมความ เห็นว่า การที่ผู้ทำบันทึกให้คู่กรณีอ่านข้อความเองหรือผู้ทำบันทึกอ่านข้อความในบันทึกไกล่เกลี่ยให้คู่กรณีฟังก่อนลงลายมือชื่อนั้น ไม่ไช่ขั้นตอนหรือองค์ประกอบที่กฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติกำหนดไว้ให้ต้องกระทำ มิฉะนั้นบันทึกการไกล่เกลี่ยไม่มีผลบังคับหรือเป็นโมฆะ เพียงแต่เป็นวิธีปฏิบัติเพื่อยืนยันว่าคู่กรณีได้ทราบถึงข้อความในบันทึกการไกล่เกลี่ยแล้วเท่านั้น แม้คู่กรณีไม่ได้อ่านหรือเจ้าพนักงานที่จดบันทึกไม่ได้อ่านข้อความในบันทึกการไกล่เกลี่ยให้ฟัง หากบันทึกการไกล่เกลี่ยถูกต้องตรงกับเจตนาของคู่กรณี ย่อมมีผลบังคับได้ตามที่ตกลงกัน บันทึกไกล่เกลี่ยจัดทำโดยนายประยูร เจ้าพนักงานที่ดิน ซึ่งกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ และนายประยูรยังเบิกความตอบทนายจำเลยยืนยันว่า การเจรจาไกล่เกลี่ยนั้น พยานให้โจทก์ที่ 1 และจำเลยดูแผนที่จนตกลงกันได้ จำเลยได้เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 1 งาน 52 ตารางวา ส่วนโจทก์ที่ 1 ได้เนื้อที่ประมาณ 2 งาน โดยโจทก์ที่ 1 ขอยกเลิกการคัดค้านในวันทำบันทึก โจทก์ที่ 1 และจำเลยต่างมีบุตรมาช่วยดูเอกสารดังกล่าวด้วย และตอบทนายโจทก์ทั้งสามถามค้านว่า วันไกล่เกลี่ยโจทก์ที่ 2 ร่วมเดินทางไปพร้อมกับญาติโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ด้วยประมาณ 5 คน พยานเห็นโจทก์ที่ 1 และจำเลยไกล่เกลี่ยกันโดยมีบุตรของแต่ละฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ย พยานไม่ได้ให้โจทก์ที่ 2 ลงลายมือชื่อในบันทึกเนื่องจากเห็นว่า โจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียวเป็นผู้คัดค้าน จากคำเบิกความของนายประยูรแสดงให้เห็นว่าก่อนตกลงกันนั้น ทั้งสองฝ่ายได้ปรึกษาพูดคุยกันอย่างละเอียดแล้ว ฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อในบันทึกไกล่เกลี่ยโดยสมัครใจและจำนวนเนื้อที่เป็นไปตามที่ตกลงกัน ที่โจทก์ที่ 1 อ้างว่าลงลายมือชื่อในบันทึกไกล่เกลี่ยโดยสำคัญผิดในจำนวนเนื้อที่ไม่มีเหตุผลให้รับฟัง บันทึกไกล่เกลี่ยไม่เป็นโมฆะ แม้บันทึกดังกล่าวโจทก์ที่ 1 ลงชื่อคนเดียว แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยแล้วว่า โจทก์ที่ 1 กระทำแทนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ด้วย โจทก์ทั้งสามไม่ฎีกาโต้แย้งแต่อย่างใด จึงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ที่ 1 กระทำแทนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 บันทึกไกล่เกลี่ยจึงผูกพันโจทก์ที่ 2 และที่ 3 และถือว่าโจทก์ทั้งสามสละเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
บันทึกของเจ้าพนักงานที่ดินที่ได้สอบสวนไกล่เกลี่ยเรื่องการคัดค้านแนวเขตที่ดิน ระหว่างผู้ขอซึ่งหมายถึงจำเลย และผู้คัดค้านซึ่งหมายถึงโจทก์ที่ 1 ทั้งสองฝ่ายทราบถึงแนวเขตของที่ดิน โดยยึดถือหลักฐานแผนที่เดิมและหลักฐานแผนที่แสดงแนวเขตคัดค้าน ตกลงกันได้โดยรูปแผนที่แนวเขตที่คัดค้านกันนั้นให้เป็นของผู้ขอหรือจำเลยประมาณ 1-1-52 ไร่ เป็นของผู้คัดค้านหรือโจทก์ที่ 1 เนื้อที่ 0-2-00 ไร่ และผู้คัดค้านหรือโจทก์ที่ 1 ขอยกเลิกการคัดค้าน เป็นกรณีที่จำเลยและโจทก์ที่ 1 ตกลงกันว่าที่ดินในแนวเขตที่คัดค้านกันนั้น ตามหลักฐานแผนที่เดิมเป็นที่ดินของจำเลย ตกลงให้เป็นของจำเลยเนื้อที่ประมาณ 1-1-52 ไร่ เป็นของโจทก์ที่ 1 เนื้อที่ 0-2-00 ไร่ และโจทก์ที่ 1 ยกเลิกการคัดค้าน อันเป็นการที่จำเลยและโจทก์ที่ 1 ตกลงระงับข้อพิพาทในแนวเขตที่ดินที่คัดค้านให้เสร็จสิ้นไปโดยยอมผ่อนผันให้แก่กันแล้ว แม้ในบันทึกดังกล่าวจะไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแผนที่ บริเวณหรือหลักหมุดใดก็ตาม ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าเนื้อที่ดังกล่าวอยู่ภายในแนวเขตที่คัดค้านและต้องแบ่งตามแนวเขตของที่ดินทั้งสองแปลงนั้น จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850
โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสามได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 10655 ทางด้านทิศเหนือตามแผนที่พิพาทเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 75.6 ตารางวา โดยการครอบครองปรปักษ์ ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเสาปูนหรือสิ่งอื่น ๆ ที่จำเลยและบริวารนำเข้ามาหรือนำมาปักไว้ในที่ดินพิพาทภายใน 5 วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา กับห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ห้ามโจทก์ทั้งสามเข้ามาเกี่ยวข้อง
โจทก์ทั้งสามยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอถอนฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 10655 เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 75.6 ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง กับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเสาปูนออกจากที่ดินพิพาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสาม คืนค่าขึ้นศาลส่วนฟ้องแย้งทั้งหมดในศาลชั้นต้นให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องเดิมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 9056 โดยได้รับโอนมรดกมาจากนายกว้าง บิดาของโจทก์ทั้งสาม จำเลยเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 10655 ที่ดินโจทก์ทั้งสามและที่ดินจำเลยมีแนวเขตติดกัน โดยแนวเขตด้านทิศใต้ของที่ดินโจทก์ทั้งสามติดกับแนวเขตด้านทิศเหนือของที่ดินจำเลย ขณะมีชีวิตอยู่นายกว้างทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ทั้งสามโดยทำนาทั้งแปลงและทำนารุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลยเป็นเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 75.6 ตารางวา โดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนเอง มีคันนากั้นเป็นแนวเขตแน่นอน นายกว้างทำนาในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2532 เมื่อโจทก์ทั้งสามรับโอนมรดกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2539 ได้ครอบครองทำนาในที่พิพาทติดต่อกันตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว วันที่ 26 มกราคม 2560 โจทก์ทั้งสามนำช่างรังวัดเอกชนรังวัดที่ดินโฉนดเลขที่ 9056 เพื่อแบ่งกรรมสิทธิ์รวม เจ้าของที่ดินข้างเคียงรับรองแนวเขตครบทุกด้าน ปรากฏได้เนื้อที่มากกว่าเดิม 6-2-93.9 ไร่ ขึ้นรูปแผนที่ลงในระวางแล้วทับที่ดินแปลงข้างเคียงเลขที่ 61,62 (เลขที่ 62 เป็นที่ดินของจำเลย) แต่ในสภาพที่ดินจริงไม่ทับแต่อย่างใด ต่อมาจำเลยขอรังวัดสอบเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 10655 โจทก์ที่ 1 คัดค้านแนวเขต เจ้าพนักงานที่ดินไกล่เกลี่ยตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว บันทึกว่าผู้ขอ (จำเลย) และผู้คัดค้าน (โจทก์ที่ 1) ตกลงกันได้ โดยรูปแผนที่แนวเขตที่คัดค้านกันนั้นให้เป็นของผู้ขอประมาณ 1-1-52 ไร่ เป็นของผู้คัดค้าน 0-2-00 ไร่ ผู้คัดค้านขอยกเลิกการคัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินนัดโจทก์ที่ 1 และจำเลยรังวัดแนวเขตตามเนื้อที่ที่ตกลงกัน แต่โจทก์ที่ 1 ไม่ได้นำชี้แนวเขตอ้างว่าบันทึกไกล่เกลี่ยไม่เป็นไปตามเจตนาของโจทก์ที่ 1 และฟ้องเป็นคดีนี้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามในประการแรกว่า บันทึกไกล่เกลี่ยตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 บัญญัติว่า อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือสัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จสิ้นไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน พิจารณาบันทึกไกล่เกลี่ยแล้ว เป็นบันทึกของเจ้าพนักงานที่ดิน ได้สอบสวนไกล่เกลี่ยเรื่องการคัดค้านแนวเขตที่ดิน ระหว่างผู้ขอซึ่งหมายถึงจำเลยและผู้คัดค้านซึ่งหมายถึงโจทก์ที่ 1 ทั้งสองฝ่ายทราบถึงแนวเขตของที่ดิน โดยยึดถือหลักฐานแผนที่เดิมและหลักฐานแผนที่แสดงแนวเขตคัดค้าน ตกลงกันได้โดยรูปแผนที่แนวเขตที่คัดค้านกันนั้นให้เป็นของผู้ขอหรือจำเลยประมาณ 1-1-52 ไร่ เป็นของผู้คัดค้านหรือโจทก์ที่ 1 เนื้อที่ 0-2-00 ไร่ และผู้คัดค้านหรือโจทก์ที่ 1 ขอยกเลิกการคัดค้าน เป็นกรณีที่จำเลยและโจทก์ที่ 1 ตกลงกันว่าที่ดินในแนวเขตที่คัดค้านกันนั้น ตามหลักฐานแผนที่เดิมเป็นที่ดินของจำเลย ตกลงให้เป็นของจำเลยเนื้อที่ประมาณ 1-1-52 ไร่ เป็นของโจทก์ที่ 1 เนื้อที่ 0-2-00 ไร่ และโจทก์ที่ 1 ยกเลิกการคัดค้าน อันเป็นการที่จำเลยและโจทก์ที่ 1 ตกลงระงับข้อพิพาทในแนวเขตที่ดินที่คัดค้านให้เสร็จสิ้นไปโดยยอมผ่อนผันให้แก่กันแล้ว แม้ในบันทึกดังกล่าวจะไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแผนที่ บริเวณหรือหลักหมุดใดก็ตาม ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าเนื้อที่ดังกล่าวอยู่ภายในแนวเขตที่คัดค้านและต้องแบ่งตามแนวเขตของที่ดินทั้งสองแปลงนั้น จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งสามฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามในประการต่อมาที่ว่า สัญญาประนีประนอมยอมความตามบันทึกไกล่เกลี่ยเป็นโมฆะหรือไม่ ปัญหานี้โจทก์ทั้งสามฎีกาทำนองว่า โจทก์ที่ 1 มีเจตนาแบ่งที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 งาน ให้แก่จำเลย โจทก์ที่ 1 ไม่ได้อ่านข้อความและเจ้าพนักงานไม่ได้อ่านบันทึกดังกล่าวให้โจทก์ที่ 1 ฟัง โจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อในบันทึกดังกล่าวโดยสำคัญผิดในจำนวนเนื้อที่อันเป็นสาระสำคัญของสัญญาประนีประนอมยอมความ เห็นว่า การที่ผู้ทำบันทึกให้คู่กรณีอ่านข้อความเองหรือผู้ทำบันทึกอ่านข้อความในบันทึกไกล่เกลี่ยให้คู่กรณีฟังก่อนลงลายมือชื่อนั้น ไม่ไช่ขั้นตอนหรือองค์ประกอบที่กฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติกำหนดไว้ให้ต้องกระทำ มิฉะนั้นบันทึกการไกล่เกลี่ยไม่มีผลบังคับหรือเป็นโมฆะ เพียงแต่เป็นวิธีปฏิบัติเพื่อยืนยันว่าคู่กรณีได้ทราบถึงข้อความในบันทึกการไกล่เกลี่ยแล้วเท่านั้น แม้คู่กรณีไม่ได้อ่านหรือเจ้าพนักงานที่จดบันทึกไม่ได้อ่านข้อความในบันทึกการไกล่เกลี่ยให้ฟัง หากบันทึกการไกล่เกลี่ยถูกต้องตรงกับเจตนาของคู่กรณี ย่อมมีผลบังคับได้ตามที่ตกลงกัน บันทึกไกล่เกลี่ยจัดทำโดยนายประยูร เจ้าพนักงานที่ดิน ซึ่งกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ และนายประยูรยังเบิกความตอบทนายจำเลยยืนยันว่า การเจรจาไกล่เกลี่ยนั้น พยานให้โจทก์ที่ 1 และจำเลยดูแผนที่จนตกลงกันได้ จำเลยได้เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 1 งาน 52 ตารางวา ส่วนโจทก์ที่ 1 ได้เนื้อที่ประมาณ 2 งาน โดยโจทก์ที่ 1 ขอยกเลิกการคัดค้านในวันทำบันทึก โจทก์ที่ 1 และจำเลยต่างมีบุตรมาช่วยดูเอกสารดังกล่าวด้วย และตอบทนายโจทก์ทั้งสามถามค้านว่า วันไกล่เกลี่ยโจทก์ที่ 2 ร่วมเดินทางไปพร้อมกับญาติโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ด้วยประมาณ 5 คน พยานเห็นโจทก์ที่ 1 และจำเลยไกล่เกลี่ยกันโดยมีบุตรของแต่ละฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ย พยานไม่ได้ให้โจทก์ที่ 2 ลงลายมือชื่อในบันทึกเนื่องจากเห็นว่า โจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียวเป็นผู้คัดค้าน จากคำเบิกความของนายประยูรแสดงให้เห็นว่าก่อนตกลงกันนั้น ทั้งสองฝ่ายได้ปรึกษาพูดคุยกันอย่างละเอียดแล้ว ฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อในบันทึกไกล่เกลี่ยโดยสมัครใจและจำนวนเนื้อที่เป็นไปตามที่ตกลงกัน ที่โจทก์ที่ 1 อ้างว่าลงลายมือชื่อในบันทึกไกล่เกลี่ยโดยสำคัญผิดในจำนวนเนื้อที่ไม่มีเหตุผลให้รับฟัง บันทึกไกล่เกลี่ยไม่เป็นโมฆะ แม้บันทึกดังกล่าวโจทก์ที่ 1 ลงชื่อคนเดียว แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยแล้วว่า โจทก์ที่ 1 กระทำแทนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ด้วย โจทก์ทั้งสามไม่ฎีกาโต้แย้งแต่อย่างใด จึงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ที่ 1 กระทำแทนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 บันทึกไกล่เกลี่ยจึงผูกพันโจทก์ที่ 2 และที่ 3 และถือว่าโจทก์ทั้งสามสละเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยยื่นฎีกาพร้อมคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อล่วงพ้นระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้เสียแล้ว คำร้องดังกล่าวของจำเลย จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลย เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 จำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง หากจำเลยประสงค์จะใช้สิทธิฎีกาตามเงื่อนไขในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 จำเลยก็ชอบที่จะดำเนินการใช้สิทธิดังกล่าวให้ถูกต้องภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ จำเลยต้องยื่นคำร้องภายในวันที่ 20 มกราคม 2566 ปรากฏว่าจำเลยยื่นฎีกาพร้อมคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2566 อันเป็นวันล่วงพ้นระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้เสียแล้ว คำร้องดังกล่าวของจำเลย จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมานั้น จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามคำร้องฉบับลงวันที่ 23 มกราคม 2566 และยกฎีกาของจำเลย
จำเลยยื่นฎีกาพร้อมคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อล่วงพ้นระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้เสียแล้ว คำร้องดังกล่าวของจำเลย จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลย เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 จำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง หากจำเลยประสงค์จะใช้สิทธิฎีกาตามเงื่อนไขในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 จำเลยก็ชอบที่จะดำเนินการใช้สิทธิดังกล่าวให้ถูกต้องภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ จำเลยต้องยื่นคำร้องภายในวันที่ 20 มกราคม 2566 ปรากฏว่าจำเลยยื่นฎีกาพร้อมคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2566 อันเป็นวันล่วงพ้นระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้เสียแล้ว คำร้องดังกล่าวของจำเลย จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมานั้น จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามคำร้องฉบับลงวันที่ 23 มกราคม 2566 และยกฎีกาของจำเลย
การอยู่ร่วมกันของเจ้าของร่วมในอาคารชุดเป็นชุมชนที่เกิดขึ้นโดยการรวมตัวของบุคคลที่มีพื้นฐานทางสังคมที่แตกต่างกัน มีความหลากหลายในด้านต่าง ๆ จำต้องมีปฏิสัมพันธ์กันในการรับบริการส่วนรวมและการใช้ประโยชน์ร่วมกันในทรัพย์ส่วนกลางอันได้แก่ที่ดินที่ตั้งอาคารชุด ที่ดินหรือทรัพย์สินอื่นที่มีไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันของเจ้าของร่วมโดยมีนิติบุคคลอาคารชุดบริหารจัดการตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 33 ภายใต้การควบคุมดูแลของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดตามมาตรา 38 (1) ให้ดำเนินไปตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 และข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด โดยอยู่ในความครอบงำของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีตามมาตรา 42/1 หรือการประชุมใหญ่วิสามัญตามมาตรา 42/2 ในกิจการปกติ มติของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมต้องได้รับคะแนนเสียงข้างมากของเจ้าของร่วมที่เข้าประชุม ส่วนกิจการที่มีความสำคัญ มติที่ได้รับความเห็นชอบต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดตามมาตรา 48 วรรคหนึ่ง หรือไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนคะแนนเสียงเจ้าของร่วมทั้งหมด กรณีคะแนนเสียงไม่ครบกึ่งหนึ่งและมีการเรียกประชุมใหม่ตามมาตรา 48 วรรคสอง การเข้าร่วมประชุมจึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าของร่วมที่ต้องให้ความร่วมมือโดยเข้าร่วมประชุมด้วยตนเองหรือมอบหมายให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทน เพื่อร่วมกันปรึกษาหารือ ให้ความคิดความเห็น เสนอแนะ และร่วมตัดสินใจลงมติในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้ปัญหาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขโดยเร็วอันจะให้กิจการนิติบุคคลอาคารชุดดำเนินไปโดยเรียบร้อย กรณีมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการนัดเรียกหรือการนัดประชุมหรือการลงมติในการประชุมใหญ่เจ้าของร่วมว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดจึงต้องได้รับการวินิจฉัยชี้ขาดโดยเร็วเพื่อให้กิจการของนิติบุคคลอาคารชุดดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่กระทบต่อความเป็นอยู่ของเจ้าของร่วม เมื่อไม่มีบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 บังคับใช้โดยเฉพาะแก่การนัดเรียกหรือการประชุมหรือการลงมติที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติดังกล่าวหรือข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด การนำบทบัญญัติมาตรา 1195 แห่ง ป.พ.พ. หมวด 4 บริษัทจำกัด ซึ่งบัญญัติว่า “การประชุมใหญ่นั้น ถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกัน หรือได้ลงมติฝ่าฝืนบทบัญญัติในลักษณะนี้ก็ดี หรือฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทก็ดี เมื่อกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดร้องขึ้นแล้ว ให้ศาลเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นเสีย แต่ต้องร้องขอภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันลงมตินั้น” มาใช้บังคับแก่การประชุมใหญ่เจ้าของร่วมตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 ในฐานะเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง จึงนับว่ามีความเหมาะสมสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้การจัดการตลอดจนการแก้ไขปัญหานิติบุคคลอาคารชุดเป็นไปอย่างรวดเร็วและตรงตามความประสงค์ของเจ้าของร่วมทั้งหลาย แต่การนำบทบัญญัติมาตรา 1195 แห่ง ป.พ.พ. มาใช้บังคับกรณีการลงมติในการประชุมใหญ่เจ้าของร่วมที่ฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 หรือข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดได้นั้นต้องเป็นกรณีมติของที่ประชุมเจ้าของร่วมที่ได้ดำเนินการครบถ้วนตามกระบวนการและขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย ดังนี้ กรณีการลงมติในเรื่องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายร่วมกันตามข้อบังคับซึ่งเป็นกิจการตามมาตรา 48 (5) หากมติของที่ประชุมไม่ได้รับความเห็นชอบโดยได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดในการประชุมเจ้าของร่วมครั้งแรก กระบวนการและขั้นตอนตามกฎหมายยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ โดยจะต้องมีการเรียกประชุมเจ้าของร่วมใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันเรียกประชุมครั้งก่อนและต้องมีการลงมติกันใหม่อีกครั้ง ได้ความตามรายงานประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมประจำปี 2558 ถึงปี 2560 ว่าในการประชุมใหญ่สามัญของแต่ละปีมีการลงมติแก้ไขเปลี่ยนแปลงปรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายส่วนกลางโดยอ้างว่าเป็นการจัดเก็บเงินเพื่อการบำรุงรักษาสำหรับห้องชุดในอัตรา 10 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือนด้วยคะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดตามมาตรา 48 วรรคหนึ่ง แต่คณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดซึ่งมีหน้าที่จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญกลับมิได้เรียกให้มีการประชุมใหม่เพื่อให้เจ้าของร่วมลงมติกันใหม่อันเป็นขั้นตอนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 48 วรรคสอง การเรียกเก็บเงินเพิ่มดังกล่าวจึงยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามขั้นตอนของกฎหมาย มติของที่ประชุมเจ้าของร่วมที่เรียกเก็บเงินเพิ่มสำหรับห้องชุดในอัตรา 10 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือนจึงสิ้นสภาพไปโดยที่ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย โดยไม่จำต้องร้องขอให้เพิกถอนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1195 แต่อย่างใด จำเลยไม่อาจถือเอาประโยชน์จากมติดังกล่าวมาเรียกให้โจทก์เจ้าของร่วมชำระเงินเพิ่มได้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินที่ชำระให้แก่จำเลยคืนได้ การที่ศาลอุทธรณ์นำ ป.พ.พ. มาตรา 1195 มาวินิจฉัยแก่คดีโดยวินิจฉัยว่าเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์หรือเจ้าของร่วมร้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันลงมติ มติของที่ประชุมใหญ่นั้นย่อมมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา การที่จำเลยเรียกเก็บเงินเพื่อการบำรุงรักษาสำหรับห้องชุดตามฟ้องแก่โจทก์โดยไม่มีสิทธิ จำเลยจึงต้องคืนให้แก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงิน 23,477.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ห้ามจำเลยเรียกเก็บเงินรายได้อื่นตามมาตรา 40 (3) จากโจทก์ ด้วยมติอันมิชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ในปี 2563 และปีต่อไป
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นนิติบุคคลอาคารชุด มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุด อ. ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 และข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด อ. โจทก์เป็นเจ้าของร่วมผู้ถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดเลขที่ 9/1013 ของอาคารชุดดังกล่าว ตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดกำหนดให้โจทก์เสียค่าใช้จ่ายทรัพย์ส่วนกลางอัตรา 30 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือน ต่อมาคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมประจำปี 2559 ปี 2560 และปี 2561 มีการพิจารณาจัดเก็บเงินเพื่อบำรุงรักษาสำหรับห้องชุดอัตรา 10 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน อ้างว่าเป็นเงินอื่นเพื่อปฏิบัติตามมติที่ประชุมใหญ่ภายใต้เงื่อนไขซึ่งที่ประชุมใหญ่กำหนดตามมาตรา 40 (3) แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 โดยได้รับคะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมด โดยศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยเป็นที่ยุติว่าเงินดังกล่าวมีลักษณะเป็นค่าใช้จ่ายร่วมกันของเจ้าของร่วมตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ตามมาตรา 18 ประกอบมาตรา 32 (8) มติเกี่ยวกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายร่วมกันของเจ้าของร่วมได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมด ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติมาตรา 48 วรรคหนึ่ง (5) จำเลยได้จัดเก็บเงินตามมติที่ประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมของนิติบุคคลอาคารชุดจากโจทก์ในอัตรา 10 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือน ในปี 2559 ถึงปี 2562 รวมเป็นเงินปีละ 4,376.40 บาท รวมเป็นเงิน 17,505.60 บาท ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้นำบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 ในฐานะที่เป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาวินิจฉัยคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 เมื่อโจทก์เจ้าของร่วมมิได้ร้องขอเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของเจ้าของร่วมภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันลงมติ มติที่ประชุมใหญ่ของเจ้าของร่วมย่อมมีผลสมบูรณ์และบังคับได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากจำเลยได้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 มาวินิจฉัยแก่คดีชอบหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 เป็นบทบัญญัติเฉพาะ มิได้มุ่งหมายให้เจ้าของร่วมนำคดีไปฟ้องร้องต่อศาลให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของเจ้าของร่วม จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 1195 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาวินิจฉัยคดีนี้ในฐานะบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งได้ เห็นว่า การอยู่ร่วมกันของเจ้าของร่วมในอาคารชุดเป็นชุมชนที่เกิดขึ้นโดยการรวมตัวของบุคคลที่มีพื้นฐานทางสังคมที่แตกต่างกัน มีความหลากหลายในด้านต่าง ๆ จำต้องมีปฏิสัมพันธ์กันในการรับบริการส่วนรวมและการใช้ประโยชน์ร่วมกันในทรัพย์ส่วนกลางอันได้แก่ที่ดินที่ตั้งอาคารชุด ที่ดินหรือทรัพย์สินอื่นที่มีไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันของเจ้าของร่วมโดยมีนิติบุคคลอาคารชุดบริหารจัดการตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 33 ภายใต้การควบคุมดูแลของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดตามมาตรา 38 (1) ให้ดำเนินไปตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 และข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด โดยอยู่ในความครอบงำของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีตามมาตรา 42/1 หรือการประชุมใหญ่วิสามัญตามมาตรา 42/2 ในกิจการปกติ มติของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมต้องได้รับคะแนนเสียงข้างมากของเจ้าของร่วมที่เข้าประชุม ส่วนกิจการที่มีความสำคัญ มติที่ได้รับความเห็นชอบต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดตามมาตรา 48 วรรคหนึ่ง หรือไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนคะแนนเสียงเจ้าของร่วมทั้งหมด กรณีคะแนนเสียงไม่ครบกึ่งหนึ่งและมีการเรียกประชุมใหม่ตามมาตรา 48 วรรคสอง การเข้าร่วมประชุมจึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าของร่วมที่ต้องให้ความร่วมมือโดยเข้าร่วมประชุมด้วยตนเองหรือมอบหมายให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทน เพื่อร่วมกันปรึกษาหารือ ให้ความคิดความเห็น เสนอแนะ และร่วมตัดสินใจลงมติในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้ปัญหาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขโดยเร็วอันจะให้กิจการนิติบุคคลอาคารชุดดำเนินไปโดยเรียบร้อย ทั้งนี้เนื่องจากกิจการนิติบุคคลอาคารชุดเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันของเจ้าของร่วมในการใช้บริการต่าง ๆ ตลอดจนทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุด ดังนี้ กรณีมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการนัดเรียกหรือการนัดประชุมหรือการลงมติในการประชุมใหญ่เจ้าของร่วมว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดจึงต้องได้รับการวินิจฉัยชี้ขาดโดยเร็วเพื่อให้กิจการของนิติบุคคลอาคารชุดดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่กระทบต่อความเป็นอยู่ของเจ้าของร่วม เมื่อไม่มีบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 บังคับใช้โดยเฉพาะแก่การนัดเรียกหรือการประชุมหรือการลงมติที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติดังกล่าวหรือข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด การนำบทบัญญัติมาตรา 1195 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด 4 บริษัทจำกัด ซึ่งบัญญัติว่า “การประชุมใหญ่นั้น ถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกัน หรือได้ลงมติฝ่าฝืนบทบัญญัติในลักษณะนี้ก็ดี หรือฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทก็ดี เมื่อกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดร้องขึ้นแล้ว ให้ศาลเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นเสีย แต่ต้องร้องขอภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันลงมตินั้น” มาใช้บังคับแก่การประชุมใหญ่เจ้าของร่วมตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ในฐานะเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง จึงนับว่ามีความเหมาะสมสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้การจัดการตลอดจนการแก้ไขปัญหานิติบุคคลอาคารชุดเป็นไปอย่างรวดเร็วและตรงตามความประสงค์ของเจ้าของร่วมทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม การนำบทบัญญัติมาตรา 1195 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับกรณีการลงมติในการประชุมใหญ่เจ้าของร่วมที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 หรือข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดได้นั้นต้องเป็นกรณีมติของที่ประชุมเจ้าของร่วมที่ได้ดำเนินการครบถ้วนตามกระบวนการและขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย สำหรับมติของเจ้าของร่วมในกิจการที่มีความสำคัญตามที่ระบุไว้ในมาตรา 48 โดยวรรคหนึ่งกำหนดว่าต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมด กรณีคะแนนเสียงไม่ครบตามที่กำหนดในวรรคหนึ่ง บทบัญญัติวรรคสองได้บัญญัติถึงขั้นตอนดำเนินการต่อไปว่าให้เรียกประชุมเจ้าของร่วมใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันเรียกประชุมครั้งก่อน ในการลงมติในการประชุมครั้งใหม่เพียงแต่ได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดก็เป็นอันใช้ได้ ดังนี้ กรณีการลงมติในเรื่องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายร่วมกันตามข้อบังคับซึ่งเป็นกิจการตามมาตรา 48 (5) หากมติของที่ประชุมไม่ได้รับความเห็นชอบโดยได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดในการประชุมเจ้าของร่วมครั้งแรก กระบวนการและขั้นตอนตามกฎหมายยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ โดยจะต้องมีการเรียกประชุมเจ้าของร่วมใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันเรียกประชุมครั้งก่อนและต้องมีการลงมติกันใหม่อีกครั้ง ได้ความตามรายงานประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมประจำปี 2558 ถึงปี 2560 ว่าในการประชุมใหญ่สามัญของแต่ละปีมีการลงมติแก้ไขเปลี่ยนแปลงปรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายส่วนกลางโดยอ้างว่าเป็นการจัดเก็บเงินเพื่อการบำรุงรักษาสำหรับห้องชุดในอัตรา 10 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือนด้วยคะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดตามมาตรา 48 วรรคหนึ่ง แต่คณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดซึ่งมีหน้าที่จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญกลับมิได้เรียกให้มีการประชุมใหม่เพื่อให้เจ้าของร่วมลงมติกันใหม่อันเป็นขั้นตอนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 48 วรรคสอง การเรียกเก็บเงินเพิ่มดังกล่าวจึงยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามขั้นตอนของกฎหมาย มติของที่ประชุมเจ้าของร่วมที่เรียกเก็บเงินเพิ่มสำหรับห้องชุดในอัตรา 10 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือนจึงสิ้นสภาพไปโดยที่ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย โดยไม่จำต้องร้องขอให้เพิกถอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 แต่อย่างใด จำเลยไม่อาจถือเอาประโยชน์จากมติดังกล่าวมาเรียกให้โจทก์เจ้าของร่วมชำระเงินเพิ่มได้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินที่ชำระให้แก่จำเลยคืนได้ การที่ศาลอุทธรณ์นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 มาวินิจฉัยแก่คดีโดยวินิจฉัยว่าเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์หรือเจ้าของร่วมร้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันลงมติ มติของที่ประชุมใหญ่นั้นย่อมมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา การที่จำเลยเรียกเก็บเงินเพื่อการบำรุงรักษาสำหรับห้องชุดตามฟ้องแก่โจทก์โดยไม่มีสิทธิ จำเลยจึงต้องคืนให้แก่โจทก์ แต่ที่โจทก์เรียกให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยรับเงินจากโจทก์นั้น เห็นว่า หนี้ที่จำเลยต้องคืนเงินให้แก่โจทก์นั้น เป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระ จำเลยต้องรับผิดสำหรับดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันครบกำหนดบอกกล่าวทวงถามอันถือว่าเป็นวันที่จำเลยผิดนัด แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบถึงหลักฐานการบอกกล่าวทวงถาม จึงให้จำเลยรับผิดในดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันฟ้อง โดยให้รับผิดดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 (เดิม) ซึ่งใช้บังคับขณะยื่นฟ้อง แต่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกามีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยในมาตรา 3 และมาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามลำดับ และบัญญัติความขึ้นใหม่ มีผลทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดอัตราใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบมาตรา 7 (ที่แก้ไขใหม่) ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งเป็นวันที่พระราชกำหนดดังกล่าวใช้บังคับเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 17,505.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 24 ตุลาคม 2562) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้ปรับเปลี่ยนไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนดโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราร้อยละ 2 แต่ทั้งนี้ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามอัตราเดิม ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
การอยู่ร่วมกันของเจ้าของร่วมในอาคารชุดเป็นชุมชนที่เกิดขึ้นโดยการรวมตัวของบุคคลที่มีพื้นฐานทางสังคมที่แตกต่างกัน มีความหลากหลายในด้านต่าง ๆ จำต้องมีปฏิสัมพันธ์กันในการรับบริการส่วนรวมและการใช้ประโยชน์ร่วมกันในทรัพย์ส่วนกลางอันได้แก่ที่ดินที่ตั้งอาคารชุด ที่ดินหรือทรัพย์สินอื่นที่มีไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันของเจ้าของร่วมโดยมีนิติบุคคลอาคารชุดบริหารจัดการตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 33 ภายใต้การควบคุมดูแลของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดตามมาตรา 38 (1) ให้ดำเนินไปตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 และข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด โดยอยู่ในความครอบงำของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีตามมาตรา 42/1 หรือการประชุมใหญ่วิสามัญตามมาตรา 42/2 ในกิจการปกติ มติของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมต้องได้รับคะแนนเสียงข้างมากของเจ้าของร่วมที่เข้าประชุม ส่วนกิจการที่มีความสำคัญ มติที่ได้รับความเห็นชอบต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดตามมาตรา 48 วรรคหนึ่ง หรือไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนคะแนนเสียงเจ้าของร่วมทั้งหมด กรณีคะแนนเสียงไม่ครบกึ่งหนึ่งและมีการเรียกประชุมใหม่ตามมาตรา 48 วรรคสอง การเข้าร่วมประชุมจึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าของร่วมที่ต้องให้ความร่วมมือโดยเข้าร่วมประชุมด้วยตนเองหรือมอบหมายให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทน เพื่อร่วมกันปรึกษาหารือ ให้ความคิดความเห็น เสนอแนะ และร่วมตัดสินใจลงมติในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้ปัญหาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขโดยเร็วอันจะให้กิจการนิติบุคคลอาคารชุดดำเนินไปโดยเรียบร้อย กรณีมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการนัดเรียกหรือการนัดประชุมหรือการลงมติในการประชุมใหญ่เจ้าของร่วมว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดจึงต้องได้รับการวินิจฉัยชี้ขาดโดยเร็วเพื่อให้กิจการของนิติบุคคลอาคารชุดดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่กระทบต่อความเป็นอยู่ของเจ้าของร่วม เมื่อไม่มีบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 บังคับใช้โดยเฉพาะแก่การนัดเรียกหรือการประชุมหรือการลงมติที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติดังกล่าวหรือข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด การนำบทบัญญัติมาตรา 1195 แห่ง ป.พ.พ. หมวด 4 บริษัทจำกัด ซึ่งบัญญัติว่า “การประชุมใหญ่นั้น ถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกัน หรือได้ลงมติฝ่าฝืนบทบัญญัติในลักษณะนี้ก็ดี หรือฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทก็ดี เมื่อกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดร้องขึ้นแล้ว ให้ศาลเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นเสีย แต่ต้องร้องขอภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันลงมตินั้น” มาใช้บังคับแก่การประชุมใหญ่เจ้าของร่วมตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 ในฐานะเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง จึงนับว่ามีความเหมาะสมสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้การจัดการตลอดจนการแก้ไขปัญหานิติบุคคลอาคารชุดเป็นไปอย่างรวดเร็วและตรงตามความประสงค์ของเจ้าของร่วมทั้งหลาย แต่การนำบทบัญญัติมาตรา 1195 แห่ง ป.พ.พ. มาใช้บังคับกรณีการลงมติในการประชุมใหญ่เจ้าของร่วมที่ฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 หรือข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดได้นั้นต้องเป็นกรณีมติของที่ประชุมเจ้าของร่วมที่ได้ดำเนินการครบถ้วนตามกระบวนการและขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย ดังนี้ กรณีการลงมติในเรื่องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายร่วมกันตามข้อบังคับซึ่งเป็นกิจการตามมาตรา 48 (5) หากมติของที่ประชุมไม่ได้รับความเห็นชอบโดยได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดในการประชุมเจ้าของร่วมครั้งแรก กระบวนการและขั้นตอนตามกฎหมายยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ โดยจะต้องมีการเรียกประชุมเจ้าของร่วมใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันเรียกประชุมครั้งก่อนและต้องมีการลงมติกันใหม่อีกครั้ง ได้ความตามรายงานประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมประจำปี 2558 ถึงปี 2560 ว่าในการประชุมใหญ่สามัญของแต่ละปีมีการลงมติแก้ไขเปลี่ยนแปลงปรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายส่วนกลางโดยอ้างว่าเป็นการจัดเก็บเงินเพื่อการบำรุงรักษาสำหรับห้องชุดในอัตรา 10 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือนด้วยคะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดตามมาตรา 48 วรรคหนึ่ง แต่คณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดซึ่งมีหน้าที่จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญกลับมิได้เรียกให้มีการประชุมใหม่เพื่อให้เจ้าของร่วมลงมติกันใหม่อันเป็นขั้นตอนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 48 วรรคสอง การเรียกเก็บเงินเพิ่มดังกล่าวจึงยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามขั้นตอนของกฎหมาย มติของที่ประชุมเจ้าของร่วมที่เรียกเก็บเงินเพิ่มสำหรับห้องชุดในอัตรา 10 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือนจึงสิ้นสภาพไปโดยที่ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย โดยไม่จำต้องร้องขอให้เพิกถอนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1195 แต่อย่างใด จำเลยไม่อาจถือเอาประโยชน์จากมติดังกล่าวมาเรียกให้โจทก์เจ้าของร่วมชำระเงินเพิ่มได้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินที่ชำระให้แก่จำเลยคืนได้ การที่ศาลอุทธรณ์นำ ป.พ.พ. มาตรา 1195 มาวินิจฉัยแก่คดีโดยวินิจฉัยว่าเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์หรือเจ้าของร่วมร้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันลงมติ มติของที่ประชุมใหญ่นั้นย่อมมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา การที่จำเลยเรียกเก็บเงินเพื่อการบำรุงรักษาสำหรับห้องชุดตามฟ้องแก่โจทก์โดยไม่มีสิทธิ จำเลยจึงต้องคืนให้แก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงิน 23,477.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ห้ามจำเลยเรียกเก็บเงินรายได้อื่นตามมาตรา 40 (3) จากโจทก์ ด้วยมติอันมิชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ในปี 2563 และปีต่อไป
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นนิติบุคคลอาคารชุด มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุด อ. ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 และข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด อ. โจทก์เป็นเจ้าของร่วมผู้ถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดเลขที่ 9/1013 ของอาคารชุดดังกล่าว ตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดกำหนดให้โจทก์เสียค่าใช้จ่ายทรัพย์ส่วนกลางอัตรา 30 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือน ต่อมาคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมประจำปี 2559 ปี 2560 และปี 2561 มีการพิจารณาจัดเก็บเงินเพื่อบำรุงรักษาสำหรับห้องชุดอัตรา 10 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน อ้างว่าเป็นเงินอื่นเพื่อปฏิบัติตามมติที่ประชุมใหญ่ภายใต้เงื่อนไขซึ่งที่ประชุมใหญ่กำหนดตามมาตรา 40 (3) แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 โดยได้รับคะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมด โดยศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยเป็นที่ยุติว่าเงินดังกล่าวมีลักษณะเป็นค่าใช้จ่ายร่วมกันของเจ้าของร่วมตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ตามมาตรา 18 ประกอบมาตรา 32 (8) มติเกี่ยวกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายร่วมกันของเจ้าของร่วมได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมด ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติมาตรา 48 วรรคหนึ่ง (5) จำเลยได้จัดเก็บเงินตามมติที่ประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมของนิติบุคคลอาคารชุดจากโจทก์ในอัตรา 10 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือน ในปี 2559 ถึงปี 2562 รวมเป็นเงินปีละ 4,376.40 บาท รวมเป็นเงิน 17,505.60 บาท ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้นำบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 ในฐานะที่เป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาวินิจฉัยคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 เมื่อโจทก์เจ้าของร่วมมิได้ร้องขอเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของเจ้าของร่วมภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันลงมติ มติที่ประชุมใหญ่ของเจ้าของร่วมย่อมมีผลสมบูรณ์และบังคับได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากจำเลยได้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 มาวินิจฉัยแก่คดีชอบหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 เป็นบทบัญญัติเฉพาะ มิได้มุ่งหมายให้เจ้าของร่วมนำคดีไปฟ้องร้องต่อศาลให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของเจ้าของร่วม จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 1195 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาวินิจฉัยคดีนี้ในฐานะบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งได้ เห็นว่า การอยู่ร่วมกันของเจ้าของร่วมในอาคารชุดเป็นชุมชนที่เกิดขึ้นโดยการรวมตัวของบุคคลที่มีพื้นฐานทางสังคมที่แตกต่างกัน มีความหลากหลายในด้านต่าง ๆ จำต้องมีปฏิสัมพันธ์กันในการรับบริการส่วนรวมและการใช้ประโยชน์ร่วมกันในทรัพย์ส่วนกลางอันได้แก่ที่ดินที่ตั้งอาคารชุด ที่ดินหรือทรัพย์สินอื่นที่มีไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันของเจ้าของร่วมโดยมีนิติบุคคลอาคารชุดบริหารจัดการตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 33 ภายใต้การควบคุมดูแลของคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดตามมาตรา 38 (1) ให้ดำเนินไปตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 และข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด โดยอยู่ในความครอบงำของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีตามมาตรา 42/1 หรือการประชุมใหญ่วิสามัญตามมาตรา 42/2 ในกิจการปกติ มติของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมต้องได้รับคะแนนเสียงข้างมากของเจ้าของร่วมที่เข้าประชุม ส่วนกิจการที่มีความสำคัญ มติที่ได้รับความเห็นชอบต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดตามมาตรา 48 วรรคหนึ่ง หรือไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนคะแนนเสียงเจ้าของร่วมทั้งหมด กรณีคะแนนเสียงไม่ครบกึ่งหนึ่งและมีการเรียกประชุมใหม่ตามมาตรา 48 วรรคสอง การเข้าร่วมประชุมจึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าของร่วมที่ต้องให้ความร่วมมือโดยเข้าร่วมประชุมด้วยตนเองหรือมอบหมายให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทน เพื่อร่วมกันปรึกษาหารือ ให้ความคิดความเห็น เสนอแนะ และร่วมตัดสินใจลงมติในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้ปัญหาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขโดยเร็วอันจะให้กิจการนิติบุคคลอาคารชุดดำเนินไปโดยเรียบร้อย ทั้งนี้เนื่องจากกิจการนิติบุคคลอาคารชุดเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันของเจ้าของร่วมในการใช้บริการต่าง ๆ ตลอดจนทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุด ดังนี้ กรณีมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการนัดเรียกหรือการนัดประชุมหรือการลงมติในการประชุมใหญ่เจ้าของร่วมว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดจึงต้องได้รับการวินิจฉัยชี้ขาดโดยเร็วเพื่อให้กิจการของนิติบุคคลอาคารชุดดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่กระทบต่อความเป็นอยู่ของเจ้าของร่วม เมื่อไม่มีบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 บังคับใช้โดยเฉพาะแก่การนัดเรียกหรือการประชุมหรือการลงมติที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติดังกล่าวหรือข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด การนำบทบัญญัติมาตรา 1195 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด 4 บริษัทจำกัด ซึ่งบัญญัติว่า “การประชุมใหญ่นั้น ถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกัน หรือได้ลงมติฝ่าฝืนบทบัญญัติในลักษณะนี้ก็ดี หรือฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทก็ดี เมื่อกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดร้องขึ้นแล้ว ให้ศาลเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นเสีย แต่ต้องร้องขอภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันลงมตินั้น” มาใช้บังคับแก่การประชุมใหญ่เจ้าของร่วมตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ในฐานะเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง จึงนับว่ามีความเหมาะสมสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้การจัดการตลอดจนการแก้ไขปัญหานิติบุคคลอาคารชุดเป็นไปอย่างรวดเร็วและตรงตามความประสงค์ของเจ้าของร่วมทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม การนำบทบัญญัติมาตรา 1195 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับกรณีการลงมติในการประชุมใหญ่เจ้าของร่วมที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 หรือข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดได้นั้นต้องเป็นกรณีมติของที่ประชุมเจ้าของร่วมที่ได้ดำเนินการครบถ้วนตามกระบวนการและขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย สำหรับมติของเจ้าของร่วมในกิจการที่มีความสำคัญตามที่ระบุไว้ในมาตรา 48 โดยวรรคหนึ่งกำหนดว่าต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมด กรณีคะแนนเสียงไม่ครบตามที่กำหนดในวรรคหนึ่ง บทบัญญัติวรรคสองได้บัญญัติถึงขั้นตอนดำเนินการต่อไปว่าให้เรียกประชุมเจ้าของร่วมใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันเรียกประชุมครั้งก่อน ในการลงมติในการประชุมครั้งใหม่เพียงแต่ได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดก็เป็นอันใช้ได้ ดังนี้ กรณีการลงมติในเรื่องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายร่วมกันตามข้อบังคับซึ่งเป็นกิจการตามมาตรา 48 (5) หากมติของที่ประชุมไม่ได้รับความเห็นชอบโดยได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดในการประชุมเจ้าของร่วมครั้งแรก กระบวนการและขั้นตอนตามกฎหมายยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ โดยจะต้องมีการเรียกประชุมเจ้าของร่วมใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันเรียกประชุมครั้งก่อนและต้องมีการลงมติกันใหม่อีกครั้ง ได้ความตามรายงานประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมประจำปี 2558 ถึงปี 2560 ว่าในการประชุมใหญ่สามัญของแต่ละปีมีการลงมติแก้ไขเปลี่ยนแปลงปรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายส่วนกลางโดยอ้างว่าเป็นการจัดเก็บเงินเพื่อการบำรุงรักษาสำหรับห้องชุดในอัตรา 10 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือนด้วยคะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดตามมาตรา 48 วรรคหนึ่ง แต่คณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดซึ่งมีหน้าที่จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญกลับมิได้เรียกให้มีการประชุมใหม่เพื่อให้เจ้าของร่วมลงมติกันใหม่อันเป็นขั้นตอนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 48 วรรคสอง การเรียกเก็บเงินเพิ่มดังกล่าวจึงยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามขั้นตอนของกฎหมาย มติของที่ประชุมเจ้าของร่วมที่เรียกเก็บเงินเพิ่มสำหรับห้องชุดในอัตรา 10 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือนจึงสิ้นสภาพไปโดยที่ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย โดยไม่จำต้องร้องขอให้เพิกถอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 แต่อย่างใด จำเลยไม่อาจถือเอาประโยชน์จากมติดังกล่าวมาเรียกให้โจทก์เจ้าของร่วมชำระเงินเพิ่มได้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินที่ชำระให้แก่จำเลยคืนได้ การที่ศาลอุทธรณ์นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 มาวินิจฉัยแก่คดีโดยวินิจฉัยว่าเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์หรือเจ้าของร่วมร้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันลงมติ มติของที่ประชุมใหญ่นั้นย่อมมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา การที่จำเลยเรียกเก็บเงินเพื่อการบำรุงรักษาสำหรับห้องชุดตามฟ้องแก่โจทก์โดยไม่มีสิทธิ จำเลยจึงต้องคืนให้แก่โจทก์ แต่ที่โจทก์เรียกให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยรับเงินจากโจทก์นั้น เห็นว่า หนี้ที่จำเลยต้องคืนเงินให้แก่โจทก์นั้น เป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระ จำเลยต้องรับผิดสำหรับดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันครบกำหนดบอกกล่าวทวงถามอันถือว่าเป็นวันที่จำเลยผิดนัด แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบถึงหลักฐานการบอกกล่าวทวงถาม จึงให้จำเลยรับผิดในดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันฟ้อง โดยให้รับผิดดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 (เดิม) ซึ่งใช้บังคับขณะยื่นฟ้อง แต่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกามีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยในมาตรา 3 และมาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามลำดับ และบัญญัติความขึ้นใหม่ มีผลทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดอัตราใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบมาตรา 7 (ที่แก้ไขใหม่) ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ซึ่งเป็นวันที่พระราชกำหนดดังกล่าวใช้บังคับเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 17,505.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 24 ตุลาคม 2562) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้ปรับเปลี่ยนไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนดโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราร้อยละ 2 แต่ทั้งนี้ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามอัตราเดิม ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
เมื่อมีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการแล้วย่อมมีผลต่อการดำเนินคดีแพ่งแก่ลูกหนี้ โดยต้องบังคับตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่ง ม. 90/12 (4) ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้หรือเสนอข้อพิพาทที่ลูกหนี้อาจต้องรับผิดหรือได้รับความเสียหายให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ถ้ามูลแห่งหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน และห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลาย ในกรณีที่มีการฟ้องคดีหรือเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
คดีนี้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของผู้ร้องไว้เพื่อพิจารณาแล้ว ในระหว่างการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อไม่ปรากฏว่าศาลล้มละลายกลางที่รับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จึงต้องด้วยกรณีที่คณะอนุญโตตุลาการต้องงดการพิจารณาไว้จนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผนหรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผน หรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอหรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการหรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด การที่คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดโดยไม่ได้งดการพิจารณาไว้จึงเป็นการขัดต่อ พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 (4) อันเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นเหตุให้ต้องเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สำนักงาน คปภ.ภาค 1 (เชียงใหม่) ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ ชม.106/2564 หมายเลขแดงที่ ชม.57/2565 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 ระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้าน ที่ชี้ขาดให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ย รวมถึงค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาแก่ผู้คัดค้าน อ้างว่าคำชี้ขาดดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี เนื่องจากเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2564 ผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการขอให้ชี้ขาดให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้คัดค้านจากเหตุละเมิดอันเกิดจากรถยนต์คันที่ผู้ร้องรับประกันภัยไว้ วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางโดยศาลดังกล่าวรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการในวันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ต่อมาวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้คณะอนุญาโตตุลาการงดการพิจารณาคดีไว้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 แต่คณะอนุญาโตตุลาการกลับมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้งดการพิจารณาคดีดังกล่าวและมีคำชี้ขาดในวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 อันเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกคำร้อง ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้าน โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 1,000 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2564 ผู้คัดค้านยื่นคำเสนอข้อพิพาทเพื่อให้มีการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สำนักงาน คปภ.ภาค 1 (เชียงใหม่) ขอให้ชี้ขาดให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้คัดค้านเนื่องจากรถยนต์คันที่ผู้ร้องรับประกันภัยไว้เกิดเหตุพลิกคว่ำทำให้ผู้คัดค้านซึ่งนั่งโดยสารมาด้วยได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นข้อพิพาทหมายเลขดำที่ ชม.106/2564 วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้คณะอนุญาโตตุลาการยกคำเสนอข้อพิพาท วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ ฟฟ.9/2565 วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการขอให้งดการพิจารณาคดีไว้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 อ้างว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของผู้ร้องแล้ว วันที่ 25 พฤษภาคม 2565 คณะอนุญาโตตุลาการมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า คดีนี้มีคำสั่งให้ปิดการพิจารณาไว้แล้วเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 จึงให้ยกคำร้อง วันที่ 30 พฤษภาคม 2565 คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันที่ 18 ตุลาคม 2564 อันเป็นวันยื่นคำเสนอข้อพิพาทเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน และให้ผู้ร้องรับผิดค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาด้วย โดยให้ผู้ร้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำชี้ขาด
คดีมีปัญหาที่ต้องพิจารณาตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็นเหตุให้ศาลต้องเพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า เมื่อมีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการแล้ว ย่อมมีผลต่อการดำเนินคดีแพ่งแก่ลูกหนี้โดยต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 90/12 (4) ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้หรือเสนอข้อพิพาทที่ลูกหนี้อาจต้องรับผิดหรือได้รับความเสียหายให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ถ้ามูลแห่งหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน และห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลาย ในกรณีที่มีการฟ้องคดีหรือเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น คดีนี้ได้ความว่า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 อันเป็นช่วงระยะเวลาก่อนคณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาด ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้งดการพิจารณาต่อคณะอนุญาโตตุลาการโดยอ้างว่าผู้ร้องยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไว้เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2565 และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการดังกล่าวไว้พิจารณาแล้วในวันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของผู้ร้องไว้เพื่อพิจารณาแล้ว ในระหว่างการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลล้มละลายกลางที่รับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จึงต้องด้วยกรณีที่คณะอนุญาโตตุลาการต้องงดการพิจารณาไว้จนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผนหรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ หรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการหรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด การที่ต่อมาคณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดในวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 โดยมิได้งดการพิจารณาไว้จึงเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 (4) อันเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นเหตุให้ต้องเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ากรณีไม่เป็นเหตุที่ศาลจะเพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สำนักงาน คปภ.ภาค 1 (เชียงใหม่) ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ ชม.106/2564 หมายเลขแดงที่ ชม.57/2565 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 ระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
เมื่อมีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการแล้วย่อมมีผลต่อการดำเนินคดีแพ่งแก่ลูกหนี้ โดยต้องบังคับตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่ง ม. 90/12 (4) ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้หรือเสนอข้อพิพาทที่ลูกหนี้อาจต้องรับผิดหรือได้รับความเสียหายให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ถ้ามูลแห่งหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน และห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลาย ในกรณีที่มีการฟ้องคดีหรือเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
คดีนี้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของผู้ร้องไว้เพื่อพิจารณาแล้ว ในระหว่างการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อไม่ปรากฏว่าศาลล้มละลายกลางที่รับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จึงต้องด้วยกรณีที่คณะอนุญโตตุลาการต้องงดการพิจารณาไว้จนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผนหรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผน หรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอหรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการหรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด การที่คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดโดยไม่ได้งดการพิจารณาไว้จึงเป็นการขัดต่อ พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 (4) อันเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นเหตุให้ต้องเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สำนักงาน คปภ.ภาค 1 (เชียงใหม่) ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ ชม.106/2564 หมายเลขแดงที่ ชม.57/2565 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 ระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้าน ที่ชี้ขาดให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ย รวมถึงค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาแก่ผู้คัดค้าน อ้างว่าคำชี้ขาดดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี เนื่องจากเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2564 ผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการขอให้ชี้ขาดให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้คัดค้านจากเหตุละเมิดอันเกิดจากรถยนต์คันที่ผู้ร้องรับประกันภัยไว้ วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางโดยศาลดังกล่าวรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการในวันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ต่อมาวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้คณะอนุญาโตตุลาการงดการพิจารณาคดีไว้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 แต่คณะอนุญาโตตุลาการกลับมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้งดการพิจารณาคดีดังกล่าวและมีคำชี้ขาดในวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 อันเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกคำร้อง ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้าน โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 1,000 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2564 ผู้คัดค้านยื่นคำเสนอข้อพิพาทเพื่อให้มีการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สำนักงาน คปภ.ภาค 1 (เชียงใหม่) ขอให้ชี้ขาดให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้คัดค้านเนื่องจากรถยนต์คันที่ผู้ร้องรับประกันภัยไว้เกิดเหตุพลิกคว่ำทำให้ผู้คัดค้านซึ่งนั่งโดยสารมาด้วยได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นข้อพิพาทหมายเลขดำที่ ชม.106/2564 วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้คณะอนุญาโตตุลาการยกคำเสนอข้อพิพาท วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ ฟฟ.9/2565 วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการขอให้งดการพิจารณาคดีไว้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 อ้างว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของผู้ร้องแล้ว วันที่ 25 พฤษภาคม 2565 คณะอนุญาโตตุลาการมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า คดีนี้มีคำสั่งให้ปิดการพิจารณาไว้แล้วเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 จึงให้ยกคำร้อง วันที่ 30 พฤษภาคม 2565 คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันที่ 18 ตุลาคม 2564 อันเป็นวันยื่นคำเสนอข้อพิพาทเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน และให้ผู้ร้องรับผิดค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาด้วย โดยให้ผู้ร้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำชี้ขาด
คดีมีปัญหาที่ต้องพิจารณาตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็นเหตุให้ศาลต้องเพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า เมื่อมีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการแล้ว ย่อมมีผลต่อการดำเนินคดีแพ่งแก่ลูกหนี้โดยต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 90/12 (4) ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้หรือเสนอข้อพิพาทที่ลูกหนี้อาจต้องรับผิดหรือได้รับความเสียหายให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ถ้ามูลแห่งหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน และห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลาย ในกรณีที่มีการฟ้องคดีหรือเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น คดีนี้ได้ความว่า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 อันเป็นช่วงระยะเวลาก่อนคณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาด ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้งดการพิจารณาต่อคณะอนุญาโตตุลาการโดยอ้างว่าผู้ร้องยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไว้เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2565 และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการดังกล่าวไว้พิจารณาแล้วในวันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของผู้ร้องไว้เพื่อพิจารณาแล้ว ในระหว่างการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลล้มละลายกลางที่รับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จึงต้องด้วยกรณีที่คณะอนุญาโตตุลาการต้องงดการพิจารณาไว้จนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผนหรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ หรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการหรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด การที่ต่อมาคณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดในวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 โดยมิได้งดการพิจารณาไว้จึงเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 (4) อันเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นเหตุให้ต้องเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ากรณีไม่เป็นเหตุที่ศาลจะเพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สำนักงาน คปภ.ภาค 1 (เชียงใหม่) ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ ชม.106/2564 หมายเลขแดงที่ ชม.57/2565 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 ระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
คำสั่งของพนักงานสอบสวนที่ให้ผู้ต้องหาพิมพ์ลายนิ้วมือนอกจากมีวัตถุประสงค์เป็นการตรวจสอบข้อมูลบุคคลเพื่อยืนยันตัวตนของผู้ต้องหา ตรวจสอบประวัติอาชญากรเพื่อประกอบการพิจารณาเงื่อนไขในการเพิ่มโทษ ตาม ป.อ. มาตรา 92 และมาตรา 93 และยังกระทำเพื่อประโยชน์แห่งการรวบรวมพยานหลักฐานในคดี ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 132 (1) และถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสอบสวน อันเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวน ซึ่งรัฐย่อมมีอำนาจที่จะรวบรวมและเก็บข้อมูลของบุคคลได้ภายในขอบเขตความจำเป็น ทั้งยังสามารถนำข้อมูลจากการพิมพ์ลายนิ้วมือมาประกอบการดำเนินการในเรื่องอื่น ๆ แก่จำเลยได้ แม้คดีนี้และคดีก่อนการกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดลหุโทษ ซึ่งมิอาจนำประวัติการกระทำความผิดในครั้งก่อนหรือครั้งหลังมาเพิ่มโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 94 แต่การพิมพ์ลายนิ้วมือมิใช่มีวัตถุประสงค์เพื่อการเพิ่มโทษเพียงประการเดียว ดังนั้น ที่จำเลยปฏิเสธไม่พิมพ์ลายนิ้วมือตามคำสั่งพนักงานสอบสวนโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 368 วรรคแรก
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 822/2563 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 386 วรรคแรก ปรับ 5,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 822/2563 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีนี้ศาลลงโทษปรับจำเลยเพียงสถานเดียว จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ร้อยตำรวจโทขวัญชัย มีคำสั่งให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานกระทำด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญและฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 และ มาตรา 393 พิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากรรม แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คำสั่งของพนักงานสอบสวนที่ให้ผู้ต้องหาพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นการตรวจสอบข้อมูลบุคคลเพื่อยืนยันตัวตนของผู้ต้องหา ตรวจสอบประวัติอาชญากรอันเป็นการตรวจสอบประวัติการกระทำความผิดเพื่อประกอบการพิจารณาเงื่อนไขในการเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 และมาตรา 93 และเพื่อประโยชน์แห่งการรวบรวมพยานหลักฐานในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 132 (1) อันเป็นอำนาจที่กฎหมายให้แก่พนักงานสอบสวน คดีนี้และคดีก่อนเป็นความผิดลหุโทษ ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 94 มิให้นำประวัติการกระทำความผิดในครั้งก่อนหรือครั้งหลังมาเพิ่มโทษจำเลยได้ แต่การพิมพ์ลายนิ้วมือมิใช่วัตถุประสงค์เพื่อการเพิ่มโทษเพียงประการเดียว แต่ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสอบสวนซึ่งรัฐย่อมมีอำนาจที่จะรวบรวมและเก็บข้อมูลของบุคคลได้ภายในขอบเขตความจำเป็น ทั้งยังสามารถนำข้อมูลที่ได้จากการพิมพ์ลายนิ้วมือมาประกอบการดำเนินการแก่จำเลยต่อไปได้ เช่น เรื่องการขอให้นับโทษต่อ เป็นต้น ดังนั้น การที่จำเลยปฏิเสธไม่พิมพ์ลายนิ้วมือโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร จึงมีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 วรรคแรก ให้ปรับ 3,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำขอให้นับโทษต่อ
คำสั่งของพนักงานสอบสวนที่ให้ผู้ต้องหาพิมพ์ลายนิ้วมือนอกจากมีวัตถุประสงค์เป็นการตรวจสอบข้อมูลบุคคลเพื่อยืนยันตัวตนของผู้ต้องหา ตรวจสอบประวัติอาชญากรเพื่อประกอบการพิจารณาเงื่อนไขในการเพิ่มโทษ ตาม ป.อ. มาตรา 92 และมาตรา 93 และยังกระทำเพื่อประโยชน์แห่งการรวบรวมพยานหลักฐานในคดี ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 132 (1) และถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสอบสวน อันเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวน ซึ่งรัฐย่อมมีอำนาจที่จะรวบรวมและเก็บข้อมูลของบุคคลได้ภายในขอบเขตความจำเป็น ทั้งยังสามารถนำข้อมูลจากการพิมพ์ลายนิ้วมือมาประกอบการดำเนินการในเรื่องอื่น ๆ แก่จำเลยได้ แม้คดีนี้และคดีก่อนการกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดลหุโทษ ซึ่งมิอาจนำประวัติการกระทำความผิดในครั้งก่อนหรือครั้งหลังมาเพิ่มโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 94 แต่การพิมพ์ลายนิ้วมือมิใช่มีวัตถุประสงค์เพื่อการเพิ่มโทษเพียงประการเดียว ดังนั้น ที่จำเลยปฏิเสธไม่พิมพ์ลายนิ้วมือตามคำสั่งพนักงานสอบสวนโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 368 วรรคแรก
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 822/2563 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 386 วรรคแรก ปรับ 5,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 822/2563 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีนี้ศาลลงโทษปรับจำเลยเพียงสถานเดียว จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ร้อยตำรวจโทขวัญชัย มีคำสั่งให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานกระทำด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญและฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 และ มาตรา 393 พิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากรรม แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คำสั่งของพนักงานสอบสวนที่ให้ผู้ต้องหาพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นการตรวจสอบข้อมูลบุคคลเพื่อยืนยันตัวตนของผู้ต้องหา ตรวจสอบประวัติอาชญากรอันเป็นการตรวจสอบประวัติการกระทำความผิดเพื่อประกอบการพิจารณาเงื่อนไขในการเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 และมาตรา 93 และเพื่อประโยชน์แห่งการรวบรวมพยานหลักฐานในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 132 (1) อันเป็นอำนาจที่กฎหมายให้แก่พนักงานสอบสวน คดีนี้และคดีก่อนเป็นความผิดลหุโทษ ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 94 มิให้นำประวัติการกระทำความผิดในครั้งก่อนหรือครั้งหลังมาเพิ่มโทษจำเลยได้ แต่การพิมพ์ลายนิ้วมือมิใช่วัตถุประสงค์เพื่อการเพิ่มโทษเพียงประการเดียว แต่ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสอบสวนซึ่งรัฐย่อมมีอำนาจที่จะรวบรวมและเก็บข้อมูลของบุคคลได้ภายในขอบเขตความจำเป็น ทั้งยังสามารถนำข้อมูลที่ได้จากการพิมพ์ลายนิ้วมือมาประกอบการดำเนินการแก่จำเลยต่อไปได้ เช่น เรื่องการขอให้นับโทษต่อ เป็นต้น ดังนั้น การที่จำเลยปฏิเสธไม่พิมพ์ลายนิ้วมือโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร จึงมีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 วรรคแรก ให้ปรับ 3,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำขอให้นับโทษต่อ
เงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ที่จำเลยที่ 1 ต้องวางต่อศาลพร้อมอุทธรณ์นั้นเป็นการปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคฯ มาตรา 7 แต่เนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์และมูลความแห่งคดีนี้เป็นการชําระหนี้อันแบ่งแยกมิได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นจำเลยร่วมคนหนึ่งได้นําเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลครบถ้วนแล้ว จึงมีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์ในการยื่นอุทธรณ์อีกเพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำซ้อนเท่านั้น หาใช่เป็นการที่จำเลยที่ 2 วางเงินแทนจำเลยที่ 1 ไม่ และเงินค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวเป็นเพียงเงินที่วางไว้เพื่อเป็นประกันว่า หากในที่สุดศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ผู้อุทธรณ์ต้องรับผิดชําระค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความที่ชนะคดีแล้ว ผู้ชนะคดีจะมีสิทธิได้รับค่าฤชาธรรมเนียมที่ได้ออกใช้ก่อนจากเงินที่ผู้อุทธรณ์วางไว้ หาใช่เป็นการวางเพื่อชําระหนี้แก่คู่ความฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้นไม่ จึงต้องถือว่าเงินดังกล่าวยังเป็นของผู้อุทธรณ์ เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 2 ชนะคดี และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกําหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยที่ 2 ก็ชอบที่จะร้องขอให้คืนเงินที่วางนั้นได้
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้ยืมเงิน และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันร่วมกันชำระเงิน 3,431,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองต่างให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 3,431,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ยื่นอุทธรณ์พร้อมวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 แล้วต่อมาศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคมีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ให้ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 แล้วมีคำสั่งต่อไป ศาลชั้นต้นพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 2 ได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลแล้วมีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย และมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองแล้วพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาและฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา ยกคำร้องและไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
ต่อมาจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ในศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้วางต่อศาลพร้อมอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 คืน อ้างว่าศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ให้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์และวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ เป็นการวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนจำเลยที่ 1 ที่ได้ยื่นอุทธรณ์ด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจขอรับคืนได้ ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มีสิทธิรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนที่วางไว้ต่อศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์คืนหรือไม่ เห็นว่า เงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ที่จำเลยที่ 1 ต้องวางต่อศาลพร้อมอุทธรณ์นั้นเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 แต่เนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์และมูลความแห่งคดีนี้เป็นการชำระหนี้อันแบ่งแยกมิได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นจำเลยร่วมคนหนึ่งได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลครบถ้วนแล้ว จึงมีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วยจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์ในการยื่นอุทธรณ์อีกเพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำซ้อนเท่านั้น หาใช่เป็นการที่จำเลยที่ 2 วางเงินแทนจำเลยที่ 1 ไม่ และเงินค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวเป็นเพียงเงินที่วางไว้เพื่อเป็นประกันว่า หากในที่สุดศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ผู้อุทธรณ์ต้องรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความที่ชนะคดีแล้วผู้ชนะคดีจะมีสิทธิได้รับค่าฤชาธรรมเนียมที่ได้ออกใช้ก่อนจากเงินที่ผู้อุทธรณ์วางไว้ หาใช่เป็นการวางเพื่อชำระหนี้แก่คู่ความฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้นไม่ จึงต้องถือว่าเงินดังกล่าวยังเป็นของผู้อุทธรณ์ เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 2 ชนะคดี และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยที่ 2 ก็ชอบที่จะร้องขอให้คืนเงินที่วางนั้นได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้คืนเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนที่จำเลยที่ 2 นำมาวางไว้แก่จำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
เงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ที่จำเลยที่ 1 ต้องวางต่อศาลพร้อมอุทธรณ์นั้นเป็นการปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคฯ มาตรา 7 แต่เนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์และมูลความแห่งคดีนี้เป็นการชําระหนี้อันแบ่งแยกมิได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นจำเลยร่วมคนหนึ่งได้นําเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลครบถ้วนแล้ว จึงมีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์ในการยื่นอุทธรณ์อีกเพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำซ้อนเท่านั้น หาใช่เป็นการที่จำเลยที่ 2 วางเงินแทนจำเลยที่ 1 ไม่ และเงินค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวเป็นเพียงเงินที่วางไว้เพื่อเป็นประกันว่า หากในที่สุดศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ผู้อุทธรณ์ต้องรับผิดชําระค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความที่ชนะคดีแล้ว ผู้ชนะคดีจะมีสิทธิได้รับค่าฤชาธรรมเนียมที่ได้ออกใช้ก่อนจากเงินที่ผู้อุทธรณ์วางไว้ หาใช่เป็นการวางเพื่อชําระหนี้แก่คู่ความฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้นไม่ จึงต้องถือว่าเงินดังกล่าวยังเป็นของผู้อุทธรณ์ เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 2 ชนะคดี และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกําหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยที่ 2 ก็ชอบที่จะร้องขอให้คืนเงินที่วางนั้นได้
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้ยืมเงิน และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันร่วมกันชำระเงิน 3,431,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองต่างให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 3,431,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ยื่นอุทธรณ์พร้อมวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 แล้วต่อมาศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคมีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ให้ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 แล้วมีคำสั่งต่อไป ศาลชั้นต้นพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 2 ได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลแล้วมีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย และมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองแล้วพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาและฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา ยกคำร้องและไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
ต่อมาจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ในศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้วางต่อศาลพร้อมอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 คืน อ้างว่าศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ให้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์และวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ เป็นการวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนจำเลยที่ 1 ที่ได้ยื่นอุทธรณ์ด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจขอรับคืนได้ ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มีสิทธิรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนที่วางไว้ต่อศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์คืนหรือไม่ เห็นว่า เงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ที่จำเลยที่ 1 ต้องวางต่อศาลพร้อมอุทธรณ์นั้นเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 แต่เนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์และมูลความแห่งคดีนี้เป็นการชำระหนี้อันแบ่งแยกมิได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นจำเลยร่วมคนหนึ่งได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลครบถ้วนแล้ว จึงมีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วยจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์ในการยื่นอุทธรณ์อีกเพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำซ้อนเท่านั้น หาใช่เป็นการที่จำเลยที่ 2 วางเงินแทนจำเลยที่ 1 ไม่ และเงินค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวเป็นเพียงเงินที่วางไว้เพื่อเป็นประกันว่า หากในที่สุดศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ผู้อุทธรณ์ต้องรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความที่ชนะคดีแล้วผู้ชนะคดีจะมีสิทธิได้รับค่าฤชาธรรมเนียมที่ได้ออกใช้ก่อนจากเงินที่ผู้อุทธรณ์วางไว้ หาใช่เป็นการวางเพื่อชำระหนี้แก่คู่ความฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้นไม่ จึงต้องถือว่าเงินดังกล่าวยังเป็นของผู้อุทธรณ์ เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 2 ชนะคดี และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยที่ 2 ก็ชอบที่จะร้องขอให้คืนเงินที่วางนั้นได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้คืนเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนที่จำเลยที่ 2 นำมาวางไว้แก่จำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาปล่อยเงินกู้ จำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญากู้ยืมเป็นการแสดงเจตนาลวง โจทก์จำเลยไม่มีเจตนากู้ยืมเงินกัน เป็นการอำพรางนิติกรรมที่โจทก์ให้เงินแก่จำเลยเพื่อไปซื้อยางก้อนถ้วยมาส่งให้แก่โจทก์ โดยจำเลยจะได้รับค่าตอบแทน ศาลชั้นต้นพิพากษาโดยวินิจฉัยว่าสัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์และจำเลยไม่เป็นการแสดงเจตนาลวงและนิติกรรมอำพราง จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว โดยเนื้อหาที่บรรยายมาในคำฟ้องอุทธรณ์เป็นการโต้แย้งการฟังข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้น และเมื่ออ่านอุทธรณ์ทั้งฉบับโดยเฉพาะในหน้าที่ 14 และหน้าที่ 15 แล้วสามารถเข้าใจได้ว่าจำเลยโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า สัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์และจำเลยไม่เป็นการแสดงเจตนาลวงและนิติกรรมอำพราง อุทธรณ์จำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่ชัดแจ้งชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่งแล้ว
อนึ่ง คดีนี้จำเลยฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาล 66,375 บาท แต่เมื่อศาลฎีกาย้อนสํานวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณาพิพากษาใหม่ เช่นนี้ จำเลยชอบที่จะเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ 200 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่จำเลย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 3,318,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 2,999,993.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2562 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 23 มิถุนายน 2563) ต้องไม่เกิน 318,750 บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดและค่าธรรมเนียมใช้แทนที่เสียเกินมาเป็นเงิน 750 บาท ให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาปล่อยเงินกู้ จำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญากู้ยืมเป็นการแสดงเจตนาลวง โจทก์จำเลยไม่มีเจตนากู้ยืมเงินกัน เป็นการอำพรางนิติกรรมที่โจทก์ให้เงินแก่จำเลยเพื่อไปซื้อยางก้อนถ้วยมาส่งให้แก่โจทก์ โดยจำเลยจะได้รับค่าตอบแทน ศาลชั้นต้นพิพากษาโดยวินิจฉัยว่าสัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์และจำเลยไม่เป็นการแสดงเจตนาลวงและนิติกรรมอำพราง จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว โดยเนื้อหาที่บรรยายมาในคำฟ้องอุทธรณ์เป็นการโต้แย้งการฟังข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้น และเมื่ออ่านอุทธรณ์ทั้งฉบับโดยเฉพาะในหน้าที่ 14 และหน้าที่ 15 แล้วสามารถเข้าใจได้ว่าจำเลยโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า สัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์และจำเลยไม่เป็นการแสดงเจตนาลวงและนิติกรรมอำพราง อุทธรณ์จำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่ชัดแจ้งชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง แล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบ
อนึ่ง คดีนี้จำเลยฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาล 66,375 บาท แต่เมื่อศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณาพิพากษาใหม่ เช่นนี้ จำเลยชอบที่จะเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ 200 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่จำเลย
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้นอกจากที่สั่งคืนแล้วให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รวมสั่งเมื่อได้มีคำพิพากษาใหม่
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาปล่อยเงินกู้ จำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญากู้ยืมเป็นการแสดงเจตนาลวง โจทก์จำเลยไม่มีเจตนากู้ยืมเงินกัน เป็นการอำพรางนิติกรรมที่โจทก์ให้เงินแก่จำเลยเพื่อไปซื้อยางก้อนถ้วยมาส่งให้แก่โจทก์ โดยจำเลยจะได้รับค่าตอบแทน ศาลชั้นต้นพิพากษาโดยวินิจฉัยว่าสัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์และจำเลยไม่เป็นการแสดงเจตนาลวงและนิติกรรมอำพราง จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว โดยเนื้อหาที่บรรยายมาในคำฟ้องอุทธรณ์เป็นการโต้แย้งการฟังข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้น และเมื่ออ่านอุทธรณ์ทั้งฉบับโดยเฉพาะในหน้าที่ 14 และหน้าที่ 15 แล้วสามารถเข้าใจได้ว่าจำเลยโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า สัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์และจำเลยไม่เป็นการแสดงเจตนาลวงและนิติกรรมอำพราง อุทธรณ์จำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่ชัดแจ้งชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่งแล้ว
อนึ่ง คดีนี้จำเลยฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาล 66,375 บาท แต่เมื่อศาลฎีกาย้อนสํานวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณาพิพากษาใหม่ เช่นนี้ จำเลยชอบที่จะเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ 200 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่จำเลย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 3,318,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 2,999,993.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2562 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 23 มิถุนายน 2563) ต้องไม่เกิน 318,750 บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดและค่าธรรมเนียมใช้แทนที่เสียเกินมาเป็นเงิน 750 บาท ให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาปล่อยเงินกู้ จำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญากู้ยืมเป็นการแสดงเจตนาลวง โจทก์จำเลยไม่มีเจตนากู้ยืมเงินกัน เป็นการอำพรางนิติกรรมที่โจทก์ให้เงินแก่จำเลยเพื่อไปซื้อยางก้อนถ้วยมาส่งให้แก่โจทก์ โดยจำเลยจะได้รับค่าตอบแทน ศาลชั้นต้นพิพากษาโดยวินิจฉัยว่าสัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์และจำเลยไม่เป็นการแสดงเจตนาลวงและนิติกรรมอำพราง จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว โดยเนื้อหาที่บรรยายมาในคำฟ้องอุทธรณ์เป็นการโต้แย้งการฟังข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้น และเมื่ออ่านอุทธรณ์ทั้งฉบับโดยเฉพาะในหน้าที่ 14 และหน้าที่ 15 แล้วสามารถเข้าใจได้ว่าจำเลยโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า สัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์และจำเลยไม่เป็นการแสดงเจตนาลวงและนิติกรรมอำพราง อุทธรณ์จำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่ชัดแจ้งชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง แล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบ
อนึ่ง คดีนี้จำเลยฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาล 66,375 บาท แต่เมื่อศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณาพิพากษาใหม่ เช่นนี้ จำเลยชอบที่จะเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ 200 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่จำเลย
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้นอกจากที่สั่งคืนแล้วให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รวมสั่งเมื่อได้มีคำพิพากษาใหม่
โจทก์มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของนางสาว ซ. และทำหน้าที่ลงชื่อในสัญญาการผ่อนชำระเงินค่าทำศัลยกรรมและค่าตอบแทนฯ แทนนางสาว ซ. เจ้าของโครงการเท่านั้น ซึ่งคดีนี้จำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ แต่โจทก์นำสัญญาพิพาทมาฟ้อง ทั้งในคดีอื่นที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยนั้น โจทก์เบิกความเท็จว่าโจทก์เป็นลูกจ้าง เป็นการใช้สิทฺธิทางศาลโดยไม่สุจริต คดีมีประเด็นตามคำให้การแล้วว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อโจทก์มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของนางสาว ซ. แต่โจทก์กลับฟ้องคดีนี้โดยอ้างสิทธิในฐานะตัวการเสียเอง โดยมิได้ระบุว่ากระทำในฐานะตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากนางสาว ซ. ซึ่งเป็นคู่สัญญาที่แท้จริง โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะผู้ถูกโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ที่จะใช้สิทธิทางศาลฟ้องร้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 309,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 240,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 240,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 3,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ในเบื้องต้นนั้น แสดงให้เห็นว่า การที่จำเลยทำสัญญาผ่อนชำระเงินไว้ตามสัญญาที่พิพาททั้งสองฉบับนั้นเป็นการทำสัญญาผ่อนชำระเงินค่าใช้จ่ายที่จำเลยต้องชำระในโครงการ ฟ. ซึ่งในข้อนี้โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความอ้างว่า โจทก์เป็นผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโครงการ ฟ. จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจให้บริการ โดยโจทก์ทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการสนับสนุนเงินทุนเพื่อทำศัลยกรรมกับนางสาวเซปิงและโจทก์เป็นผู้พิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่จำเลยด้วยการให้จำเลยผ่อนชำระเงินค่าทำศัลยกรรมดังกล่าว โดยโจทก์มีนางสาวเซปิงเบิกความสนับสนุนว่า พยานกับโจทก์ได้มีการทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์กันไว้ อันเป็นการนำสืบพยานหลักฐานในทำนองว่า โจทก์เป็นหุ้นส่วนร่วมกันประกอบกิจการในโครงการ ฟ. แต่โจทก์กับนางสาวเซปิงกลับเบิกความต่อไปว่า นางสาวเซปิงได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีนี้แทนอันเป็นการกล่าวอ้างในทำนองว่า ผู้ที่เป็นคู่สัญญาในคดีนี้ คือ นางสาวเซปิงมิใช่โจทก์ อันเป็นข้อเท็จจริงที่สับสนว่า โจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลยจริงหรือไม่ ดังนั้น แม้โจทก์จะมีชื่อเป็นคู่สัญญาในเอกสารการผ่อนชำระเงินค่าทำศัลยกรรมดังกล่าว แต่ก็ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงต่อไปว่าโจทก์ลงชื่อในเอกสารดังกล่าวในฐานะใด ซึ่งในข้อนี้โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า โจทก์ไม่เคยเบิกความไว้ในคดีใด ๆ ว่าเป็นลูกจ้างในโครงการ ฟ. แต่โจทก์เบิกความไว้ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 1570/2562 และในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 4453/2563 ของศาลแพ่ง ในฐานะจำเลยที่ 2 โดยเบิกความไว้ในทำนองเดียวกันว่า โจทก์มีฐานะเป็นลูกจ้างของนางสาวเซปิงโดยได้รับเพียงค่าจ้างจากนางสาวเซปิงเท่านั้น ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวเจือสมกับทางนำสืบของจำเลยว่า โจทก์เป็นเพียงลูกจ้างของนางสาวเซปิงซึ่งเป็นเจ้าของกิจการแต่เพียงผู้เดียว โดยโจทก์ทำงานภายใต้การสั่งการของนางสาวเซปิงและไม่ได้รับส่วนแบ่งในกิจการของนางสาวเซปิงอีกทั้งยังปรากฏตามสำเนาคำเบิกความของนายกิตติศักดิ์ เบิกความไว้ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 15066/2562 คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 7593/2563 ของศาลแขวงเชียงใหม่ ว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของนางสาวเซปิงโดยมีนางสาวเซปิงเบิกความเป็นพยานในคดีดังกล่าวว่า โจทก์เป็นเพียงลูกจ้างของตนจริง ซึ่งข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของโจทก์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับโจทก์ในคดีดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันโจทก์ในข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของนางสาวเซปิงและทำหน้าที่ลงชื่อในสัญญาการผ่อนชำระเงินค่าทำศัลยกรรมและค่าตอบแทน แทนนางสาวเซปิงเจ้าของโครงการเท่านั้น ซึ่งคดีนี้จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ สัญญาตามฟ้องเป็นสัญญาที่นางสาวเซปิงแจ้งว่าโครงการ ฟ. จะออกให้ก่อนแล้วผ่อนชำระในภายหลัง ต่อมามีเจ้าหน้าที่ของโครงการฯได้นำบันทึกสัญญาการผ่อนชำระเงินมาให้จำเลยลงชื่อก่อนผ่าตัด แต่โจทก์นำสัญญาที่พิพาทมาฟ้องทั้งที่ในคดีอื่นที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยนั้นโจทก์ได้เบิกความเท็จว่าโจทก์เป็นลูกจ้างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินของโครงการดังกล่าวอันเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริต ซึ่งถือว่าคดีมีประเด็นตามคำให้การแล้วว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะจำเลยไม่ได้ทำสัญญาผ่อนชำระเงินที่พิพาทกับโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า กรณีไม่อาจนำข้อเท็จจริงในคดีอื่นมาวินิจฉัยถึงสถานะของโจทก์ในคดีนี้ เพราะเป็นเหตุนอกเหนือไปจากประเด็นแห่งคดี จึงไม่ถูกต้อง เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของนางสาวเซปิงในการทำสัญญาการผ่อนชำระเงินค่าทำศัลยกรรมและค่าตอบแทน จึงเป็นการลงชื่อในฐานะตัวแทนของนางสาวเซปิงเท่านั้น แต่โจทก์กลับฟ้องคดีนี้โดยอ้างสิทธิในฐานะตัวการเสียเอง โดยมิได้ระบุว่ากระทำในฐานะตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากนางสาวเซปิงซึ่งเป็นคู่สัญญาที่แท้จริง โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะผู้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ที่จะใช้สิทธิทางศาลฟ้องร้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
โจทก์มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของนางสาว ซ. และทำหน้าที่ลงชื่อในสัญญาการผ่อนชำระเงินค่าทำศัลยกรรมและค่าตอบแทนฯ แทนนางสาว ซ. เจ้าของโครงการเท่านั้น ซึ่งคดีนี้จำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ แต่โจทก์นำสัญญาพิพาทมาฟ้อง ทั้งในคดีอื่นที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยนั้น โจทก์เบิกความเท็จว่าโจทก์เป็นลูกจ้าง เป็นการใช้สิทฺธิทางศาลโดยไม่สุจริต คดีมีประเด็นตามคำให้การแล้วว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อโจทก์มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของนางสาว ซ. แต่โจทก์กลับฟ้องคดีนี้โดยอ้างสิทธิในฐานะตัวการเสียเอง โดยมิได้ระบุว่ากระทำในฐานะตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากนางสาว ซ. ซึ่งเป็นคู่สัญญาที่แท้จริง โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะผู้ถูกโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ที่จะใช้สิทธิทางศาลฟ้องร้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 309,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 240,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 240,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 3,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ในเบื้องต้นนั้น แสดงให้เห็นว่า การที่จำเลยทำสัญญาผ่อนชำระเงินไว้ตามสัญญาที่พิพาททั้งสองฉบับนั้นเป็นการทำสัญญาผ่อนชำระเงินค่าใช้จ่ายที่จำเลยต้องชำระในโครงการ ฟ. ซึ่งในข้อนี้โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความอ้างว่า โจทก์เป็นผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโครงการ ฟ. จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจให้บริการ โดยโจทก์ทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการสนับสนุนเงินทุนเพื่อทำศัลยกรรมกับนางสาวเซปิงและโจทก์เป็นผู้พิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่จำเลยด้วยการให้จำเลยผ่อนชำระเงินค่าทำศัลยกรรมดังกล่าว โดยโจทก์มีนางสาวเซปิงเบิกความสนับสนุนว่า พยานกับโจทก์ได้มีการทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์กันไว้ อันเป็นการนำสืบพยานหลักฐานในทำนองว่า โจทก์เป็นหุ้นส่วนร่วมกันประกอบกิจการในโครงการ ฟ. แต่โจทก์กับนางสาวเซปิงกลับเบิกความต่อไปว่า นางสาวเซปิงได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีนี้แทนอันเป็นการกล่าวอ้างในทำนองว่า ผู้ที่เป็นคู่สัญญาในคดีนี้ คือ นางสาวเซปิงมิใช่โจทก์ อันเป็นข้อเท็จจริงที่สับสนว่า โจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลยจริงหรือไม่ ดังนั้น แม้โจทก์จะมีชื่อเป็นคู่สัญญาในเอกสารการผ่อนชำระเงินค่าทำศัลยกรรมดังกล่าว แต่ก็ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงต่อไปว่าโจทก์ลงชื่อในเอกสารดังกล่าวในฐานะใด ซึ่งในข้อนี้โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า โจทก์ไม่เคยเบิกความไว้ในคดีใด ๆ ว่าเป็นลูกจ้างในโครงการ ฟ. แต่โจทก์เบิกความไว้ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 1570/2562 และในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 4453/2563 ของศาลแพ่ง ในฐานะจำเลยที่ 2 โดยเบิกความไว้ในทำนองเดียวกันว่า โจทก์มีฐานะเป็นลูกจ้างของนางสาวเซปิงโดยได้รับเพียงค่าจ้างจากนางสาวเซปิงเท่านั้น ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวเจือสมกับทางนำสืบของจำเลยว่า โจทก์เป็นเพียงลูกจ้างของนางสาวเซปิงซึ่งเป็นเจ้าของกิจการแต่เพียงผู้เดียว โดยโจทก์ทำงานภายใต้การสั่งการของนางสาวเซปิงและไม่ได้รับส่วนแบ่งในกิจการของนางสาวเซปิงอีกทั้งยังปรากฏตามสำเนาคำเบิกความของนายกิตติศักดิ์ เบิกความไว้ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 15066/2562 คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 7593/2563 ของศาลแขวงเชียงใหม่ ว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของนางสาวเซปิงโดยมีนางสาวเซปิงเบิกความเป็นพยานในคดีดังกล่าวว่า โจทก์เป็นเพียงลูกจ้างของตนจริง ซึ่งข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของโจทก์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับโจทก์ในคดีดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันโจทก์ในข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของนางสาวเซปิงและทำหน้าที่ลงชื่อในสัญญาการผ่อนชำระเงินค่าทำศัลยกรรมและค่าตอบแทน แทนนางสาวเซปิงเจ้าของโครงการเท่านั้น ซึ่งคดีนี้จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ สัญญาตามฟ้องเป็นสัญญาที่นางสาวเซปิงแจ้งว่าโครงการ ฟ. จะออกให้ก่อนแล้วผ่อนชำระในภายหลัง ต่อมามีเจ้าหน้าที่ของโครงการฯได้นำบันทึกสัญญาการผ่อนชำระเงินมาให้จำเลยลงชื่อก่อนผ่าตัด แต่โจทก์นำสัญญาที่พิพาทมาฟ้องทั้งที่ในคดีอื่นที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยนั้นโจทก์ได้เบิกความเท็จว่าโจทก์เป็นลูกจ้างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินของโครงการดังกล่าวอันเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริต ซึ่งถือว่าคดีมีประเด็นตามคำให้การแล้วว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะจำเลยไม่ได้ทำสัญญาผ่อนชำระเงินที่พิพาทกับโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า กรณีไม่อาจนำข้อเท็จจริงในคดีอื่นมาวินิจฉัยถึงสถานะของโจทก์ในคดีนี้ เพราะเป็นเหตุนอกเหนือไปจากประเด็นแห่งคดี จึงไม่ถูกต้อง เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของนางสาวเซปิงในการทำสัญญาการผ่อนชำระเงินค่าทำศัลยกรรมและค่าตอบแทน จึงเป็นการลงชื่อในฐานะตัวแทนของนางสาวเซปิงเท่านั้น แต่โจทก์กลับฟ้องคดีนี้โดยอ้างสิทธิในฐานะตัวการเสียเอง โดยมิได้ระบุว่ากระทำในฐานะตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากนางสาวเซปิงซึ่งเป็นคู่สัญญาที่แท้จริง โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะผู้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ที่จะใช้สิทธิทางศาลฟ้องร้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลทั่วไปได้พบโฆษณาโครงการของจำเลยที่ 1 ผ่านเว็บไซต์ยูทูบย่อมเข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดเกี่ยวกับการศัลยกรรมผ่าตัดเสริมความงามโดยมีโรงพยาบาลชั้นนำได้มาตรฐานระดับโลกร่วมอยู่ในโครงการของจำเลยที่ 1 และการผ่าตัดศัลยกรรมกับโครงการของจำเลยที่ 1 จะไม่มีผลกระทบ ไม่บวม ไม่เจ็บ ฟื้นตัวเร็ว ไร้รอยแผลเป็น และจะได้รับการบริการในราคาถูก ซึ่งข้อความดังกล่าวมีลักษณะเป็นการกระทำเพื่อให้ประชาชนพบเห็นหรือทราบข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงไว้ในวิดีโอคลิปดังกล่าว ซึ่งนอกจากจะถือว่าเป็นการโฆษณาเพื่อประโยชน์ในทางการค้าของจำเลยที่ 1 แล้ว ยังถือว่าการที่จำเลยที่ 1 หรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 สนทนากับโจทก์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ตามบันทึกการสนทนานั้นเป็นการที่จำเลยที่ 1 ให้คำรับรอง หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ในขณะทำสัญญาว่าผู้ประกอบธุรกิจตกลงจะมอบให้หรือจัดหาให้ซึ่งสิ่งของ บริการหรือสาธารณูปโภคอื่นใด หรือจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่ผู้บริโภคเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้บริโภคเข้าทำสัญญาอันถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเข้าร่วมโครงการของจำเลยที่ 1 ตามความหมายของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคฯ มาตรา 11 แล้ว เมื่อเป็นการโฆษณาที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในความเสียหายแก่โจทก์
คดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า จำเลยทั้งสี่ผิดสัญญาหรือทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาททั้งในเรื่องผิดสัญญาและละเมิด เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาให้บริการทางการแพทย์ มิใช่เรื่องที่จำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 4 ในมูลละเมิด ความรับผิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์จึงเป็นความรับผิดอันเกิดจากสัญญา ซึ่งสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาให้บริการทางการแพทย์อันเป็นเอกเทศสัญญาประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่มิได้มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 โจทก์นำคดีมาฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการ การที่จำเลยที่ 1 ดำเนินโครงการโดยจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีผลประโยชน์ร่วมกันอันมีลักษณะเป็นหุ้นส่วนกัน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 ก็ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 7,911,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และขอให้ศาลกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษจำเลยทั้งสี่ในขั้นสูงสุด
จำเลยทั้งสี่ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 19 มิถุนายน 2562) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยส่วนที่โจทก์ได้รับยกเว้นนั้น ให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 นำมาชำระต่อศาลในนามโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ชำระตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความ 12,000 บาท คำขออื่นให้ยก ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 19 มิถุนายน 2562) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่ชำระเกินมาแก่จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ฝ่ายละ 500 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นในชั้นฎีการับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อตั้งโครงการ ฟ. มีวัตถุประสงค์ให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่ต้องการทำศัลยกรรมเกี่ยวกับความงาม โดยเป็นผู้ติดต่อโรงพยาบาลเพื่อให้บุคคลดังกล่าวทำศัลยกรรม โจทก์ทราบข้อมูลโครงการ ฟ. ทางสื่อสังคมออนไลน์ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้อำนวยการฝ่ายประสานงานของโครงการดังกล่าว และเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาลใช้ชื่อว่า โรงพยาบาล ฉ. ขณะเกิดเหตุมีนางศิริเพ็ญ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนและเป็นผู้รับอนุญาต ส่วนจำเลยที่ 4 เป็นสามีนางศิริเพ็ญ เป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 3 และเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน 2559 โจทก์ดูคลิปวิดีโอโครงการของจำเลยที่ 1 ทางเว็บไซต์ และเว็บไซต์ยูทูบ โจทก์สนใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าว จึงทำสัญญาเข้าทำศัลยกรรมเสริมความงามกับจำเลยที่ 1 ตกลงราคาค่าทำศัลยกรรมเสริมความงามเป็นเงิน 450,000 บาท ต่อมาวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 โจทก์โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 เพื่อขอเข้าร่วมโครงการทำศัลยกรรมดึงหน้า เป็นเงิน 50,000 บาท โดยในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2560 โจทก์เดินทางจากราชอาณาจักรสวีเดนมายังประเทศไทย และในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 อีก 200,000 บาท ต่อมาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 โจทก์เดินทางไปพบจำเลยที่ 1 ที่หมู่บ้าน พ. และทำสัญญาขอเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 โดยในวันเดียวกันพนักงานของโครงการพาโจทก์ไปที่โรงพยาบาลจำเลยที่ 3 โจทก์ได้รับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าโดยจำเลยที่ 4 เป็นผู้ทำการผ่าตัด สำหรับปัญหาที่ว่า การที่จำเลยที่ 4 ผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าให้แก่โจทก์เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 4 หรือไม่นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 4 ศัลยกรรมผ่าตัดให้แก่โจทก์ตามมาตรฐานวิชาชีพ ไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 4 มิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในส่วนนี้ด้วย และศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ปัญหาข้อนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาในประการแรกว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญา และต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 11 บัญญัติว่า “ประกาศ โฆษณา คำรับรอง หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ในขณะทำสัญญาว่าผู้ประกอบธุรกิจตกลงจะมอบให้ หรือจัดหาให้ซึ่งสิ่งของ บริการ หรือสาธารณูปโภคอื่นใด หรือจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่ผู้บริโภคเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้บริโภคเข้าทำสัญญา หรือข้อตกลงใด ๆ ที่ผู้ประกอบธุรกิจจะให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้บริโภคเพิ่มเติมขึ้นจากที่ได้ทำสัญญาไว้ ให้ถือว่าข้อความ การกระทำหรือข้อตกลง ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ...” จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่า พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 11 นั้น นอกจากจะกำหนดให้การโฆษณาถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาแล้ว ยังรวมถึง ประกาศ คำรับรอง หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ในขณะทำสัญญาว่าผู้ประกอบธุรกิจตกลงจะมอบให้ หรือจัดหาให้ซึ่งสิ่งของ บริการหรือสาธารณูปโภคอื่นใด หรือจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่ผู้บริโภคเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้บริโภคเข้าทำสัญญา หรือข้อตกลงใด ๆ ที่ผู้ประกอบธุรกิจจะให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้บริโภคเพิ่มเติมขึ้นจากที่ได้ทำสัญญาไว้ ให้ถือว่าข้อความ การกระทำหรือข้อตกลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจด้วย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่ามีการนำวิดีโอคลิปโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 ไปเผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทูบซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปในสังคมปัจจุบันว่าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันยูทูบเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซึ่งการที่จำเลยที่ 1 นำวิดีโอคลิปไปแสดงเผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์ยูทูบดังกล่าวโดยไม่ปรากฏว่ามีการตั้งสถานะเป็นส่วนตัวหรือปิดกันมิให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงได้ จึงเป็นการทำให้ปรากฏแก่บุคคลทั่วไปถึงข้อมูลที่เป็นรายละเอียดโครงการของจำเลยที่ 1 รวมทั้งแสดงช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับจำเลยที่ 1 เพื่อเข้าร่วมโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 ผ่านทางหมายเลขโทรศัพท์ เว็บไซต์ แอปพลิเคชันไลน์ แอปพลิเคชันเฟซบุ๊กได้นั้น ถือว่าเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 โฆษณาแก่บุคคลทั่วไปเพื่อประโยชน์ในทางการค้าของจำเลยที่ 1 ด้วย มิใช่เพียงการสนทนาส่วนตัวระหว่างจำเลยที่ 1 กับบุคคลที่ปรากฏในวิดีโอคลิปดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างมาในฎีกาเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลทั่วไปได้พบโฆษณาโครงการของจำเลยที่ 1 ผ่านเว็บไซต์ยูทูบย่อมเข้าใจได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดเกี่ยวกับการศัลยกรรมผ่าตัดเสริมความงามโดยมีโรงพยาบาลชั้นนำได้มาตรฐานระดับโลกร่วมอยู่ในโครงการของจำเลยที่ 1 และการผ่าตัดศัลยกรรมกับโครงการของจำเลยที่ 1 จะไม่มีผลกระทบ ไม่บวม ไม่เจ็บ ฟื้นตัวเร็ว ไร้รอยแผลเป็น และจะได้รับการบริการในราคาถูก ซึ่งข้อความดังกล่าวมีลักษณะเป็นการกระทำเพื่อให้ประชาชนพบเห็น หรือทราบข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงไว้ในวิดีโอคลิปดังกล่าว ซึ่งนอกจากจะถือว่าเป็นการโฆษณาเพื่อประโยชน์ในทางการค้าของจำเลยที่ 1 แล้ว ยังถือว่าการที่จำเลยที่ 1 หรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 สนทนากับโจทก์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ตามบันทึกการสนทนานั้น เป็นการที่จำเลยที่ 1 ให้คำรับรอง หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ในขณะทำสัญญาว่าผู้ประกอบธุรกิจตกลงจะมอบให้ หรือจัดหาให้ซึ่งสิ่งของบริการหรือสาธารณูปโภคอื่นใด หรือจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่ผู้บริโภคเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้บริโภคเข้าทำสัญญาอันถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเข้าร่วมโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 ตามความหมายของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 11 แล้ว ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การโฆษณาของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นการโฆษณาอันเป็นเท็จหรือโฆษณาเกินจริงอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 เพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ถูกดำเนินคดี หรือมีคำสั่งให้แก้ไขข้อความที่โฆษณาแต่ประการใด หรือยังมีกรณีที่บุคคลอื่นก็ใช้คำโฆษณาในลักษณะเดียวกันกับจำเลยที่ 1 ดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างมาในฎีกานั้น กรณีดังกล่าวไม่ถือเป็นข้อสำคัญที่จะนำมาพิจารณาในคดีนี้ เพราะไม่ว่าการโฆษณาของจำเลยที่ 1 จะเป็นเท็จหรือเกินจริงหรือไม่ จะมีบุคคลอื่นให้ถ้อยคำโฆษณาเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ หรือจำเลยที่ 1 จะเคยถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับโฆษณาดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม หากปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ ประกาศ โฆษณา คำรับรอง หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ให้แก่ผู้บริโภค ก็ต้องถือว่าประกาศ โฆษณา คำรับรอง หรือการกระทำนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นผู้บริโภคกับจำเลยที่ 1 ผู้ประกอบธุรกิจ ตามความหมายของมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ด้วยเช่นกัน และคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์มิได้ก้าวล่วงข้ามขั้นตอนของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคว่าด้วยการโฆษณาดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ตามเอกสารหมาย ล.4 และ ล.5 ซึ่งเป็นสัญญาที่โจทก์ทำข้อตกลงเข้าร่วมโครงการ ฟ. กับจำเลยที่ 1 มีข้อความในทำนองว่า การเข้าร่วมโครงการของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงการปรึกษาเพื่อให้ทางโครงการช่วยเหลือแนะนำตามสมควรตลอดจนแนะนำโรงพยาบาลหรือศัลยแพทย์ที่น่าจะเหมาะสมให้ ซึ่งโจทก์จะเป็นผู้ตัดสินใจเอง และโจทก์เข้าใจดีว่าทางโครงการไม่ได้โฆษณาหรือเป็นตัวแทนให้แก่โรงพยาบาลหรือศัลยแพทย์ท่านใด และจะไม่หยิบยกเรื่องนี้ไปร้องเรียนหรือกล่าวอ้างให้โรงพยาบาลหรือศัลยแพทย์ท่านใดที่เกี่ยวข้องได้รับความเสียหาย รวมทั้งข้อตกลงยกเว้นความรับผิดอื่น ๆ ตามที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าว โดยไม่มีข้อความที่ระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นแพทย์ และข้อความดังกล่าวมีลักษณะเป็นข้อตกลงที่ทำไว้ล่วงหน้าที่สามารถตกลงกันได้เพื่อแจ้งเตือนถึงผลลัพธ์อันอาจจะเกิดขึ้นภายหลังการผ่าตัด จึงไม่ถือว่าโจทก์ถูกหลอกลวงนั้น เมื่อพิจารณาบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งเป็นแบบพิมพ์ของสัญญาสำเร็จรูปที่จำเลยที่ 1 จัดทำไว้ก่อนแล้ว ซึ่งถือเป็นข้อตกลงที่ทำไว้ล่วงหน้าที่เป็นการยกเว้น หรือจำกัดความรับผิดเพื่อละเมิดหรือผิดสัญญาในความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของผู้อื่น อันเกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของผู้ตกลง หรือของบุคคลอื่นซึ่งผู้ตกลงต้องรับผิดด้วย ตามความหมายของมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 ที่กำหนดไว้ว่าข้อสัญญาดังกล่าวจะนำมาเป็นข้อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดไม่ได้ และการที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า จำเลยที่ 1 เป็นเพียงตัวแทนได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้ติดต่อจัดหาโรงพยาบาลให้แก่โจทก์เท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ติดต่อโรงพยาบาลจำเลยที่ 3 ให้แก่โจทก์และโจทก์เข้ารับการผ่าตัดตามวัตถุประสงค์แล้ว ถือว่าภารกิจของจำเลยที่ 1 เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในฐานะตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 แล้วนั้นก็ล้วนเป็นข้อกล่าวอ้างที่ขัดกับที่จำเลยที่ 1 โฆษณาไว้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการตามโครงการของจำเลยที่ 1 เอง จึงไม่อาจรับฟังได้เช่นกัน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ประกอบการได้แสดงให้ปรากฏแก่บุคคลทั่วไปว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดเกี่ยวกับการศัลยกรรมผ่าตัดเสริมความงามโดยมีโรงพยาบาลชั้นนำได้มาตรฐานระดับโลกร่วมอยู่ในโครงการของจำเลยที่ 1 และการผ่าตัดศัลยกรรมกับโครงการของจำเลยที่ 1 นั้น จะไม่มีผลกระทบ ไม่บวม ไม่เจ็บ ฟื้นตัวเร็ว ไร้รอยแผลเป็น และจะได้รับการบริการในราคาถูก ซึ่งแม้โจทก์จะมีอาชีพเป็นพยาบาลแผนกจิตเวช เมื่อเห็นโฆษณาดังกล่าวก็อาจทำให้โจทก์เข้าใจว่าโครงการของจำเลยที่ 1 จะใช้เทคนิคการผ่าตัดใหม่ที่ไม่มีรอยแผลเป็น โจทก์จึงตัดสินใจเข้าร่วมกับโครงการของจำเลยที่ 1 ดังที่โจทก์เบิกความว่าโจทก์เห็นโฆษณาของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงตัดสินใจทำศัลยกรรมดึงหน้าเพื่อให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น เมื่อโจทก์ตกลงทำสัญญาเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 จึงต้องถือว่าข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงไว้ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งข้อตกลงในสัญญาเข้าร่วมโครงการ ฟ. ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ด้วย ซึ่งในส่วนผลของการเข้าร่วมโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์เบิกความต่อไปว่า เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 โจทก์เข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรม โดยมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้ผ่าตัด แต่ผลการผ่าตัดไม่เป็นดังที่จำเลยที่ 1 โฆษณาไว้ โดยโจทก์มีอาการหน้าบวมมาก มีรอยเขียวฟกช้ำ ปลายจมูกของโจทก์มีอาการอักเสบ บวมแดง ขมับสองข้างมีอาการชา หางตาทั้งสองข้างตึง แก้มสองข้างไม่เท่ากัน ใบหน้าคล้อย มุมปากตก เหนียงคอห้อย ฝ้าที่ใบหน้ายังปรากฏเช่นเดิม มีแผลเป็นน่าเกลียดที่ใบหน้า และที่ตา ไม่เป็นไปตามที่จำเลยที่ 1 โฆษณา จนโจทก์ขาดความมั่นใจ ระแวงคนเห็นแผลเป็น ซึ่งคำเบิกความของโจทก์สอดคล้องกับภาพถ่าย ซึ่งเป็นภาพถ่ายของโจทก์หลังการผ่าตัดที่ปรากฏร่องรอยบาดแผลหลังจากการผ่าตัดที่ชัดเจน ทั้งบริเวณด้านหน้าและด้านหลังบริเวณหลังใบหูหรือท้ายทอย ซึ่งในข้อนี้โจทก์ยังมีนายแพทย์เทพเป็นพยานเบิกความว่า พยานได้ตรวจดูใบหน้าของโจทก์พบว่ามีรอยแผลเป็นที่ท้ายทอยทั้งสองข้าง ซึ่งในการผ่าตัดนั้นเป็นเรื่องปกติจะต้องมีรอยแผลเป็น ซึ่งจะต้องแจ้งให้ผู้ป่วยทราบก่อนเข้ารับการผ่าตัดด้วยเสมอ อันเป็นข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับที่นายแพทย์ปรีชา ซึ่งเป็นรองศาสตราจารย์หัวหน้าหน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่ง คณะแพทย์ศาสตร์เขียนบทความไว้ว่า “ลงมีดไปแล้วถึงอย่างไรก็มีแผลเป็นแน่ ๆ นั่นเป็นสิ่งแรกที่ผู้หญิงต้องแลก” แม้นายแพทย์เทพจะมิได้ทำรายงานผลการตรวจร่างกายโจทก์ไว้ แต่โจทก์ก็ยังมีสำเนาใบแสดงความเห็นของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ที่เจ้าพนักงานตำรวจได้ส่งโจทก์ไปตรวจหาร่องรอยบาดแผลจากการทำศัลยกรรม ซึ่งแพทย์ผู้ตรวจได้วินิจฉัยว่า พบบาดแผลเก่าจากการผ่าตัด อันเป็นข้อเท็จจริงซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้โจทก์จะผ่านการผ่าตัดทำศัลยกรรมมาเป็นเวลานานแล้วก็ยังปรากฏร่องรอยบาดแผลเก่าจากการผ่าตัดอยู่จริงดังที่นายแพทย์เทพเบิกความ เมื่อไม่ปรากฏว่านอกจากข้อพิพาทกับจำเลยทั้งสี่ในคดีนี้แล้ว โจทก์มีการผ่าตัดศัลยกรรมกับบุคคลอื่นอีก จึงเชื่อว่าแผลเป็นดังกล่าวเกิดจากการผ่าตัดศัลยกรรมอันเป็นข้อพิพาทกันในคดีนี้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์นำเอกสารหมาย จ.30 มาถามค้านนายอิศรา พยานจำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยนายอิศรามิได้รับรองข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าว และโจทก์ไม่นำพลตำรวจตรีณรงค์ศักดิ์ แพทย์ผู้ตรวจและลงชื่อในเอกสารหมาย จ.30 มาเบิกความรับรอง ส่วนผลการตรวจก็ไม่ระบุว่าเป็นการตรวจบาดแผลส่วนไหนของร่างกาย จึงรับฟังข้อเท็จจริงตามพยานเอกสารดังกล่าวไม่ได้นั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีผู้บริโภค ซึ่งการดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีผู้บริโภคนั้นมีลักษณะที่ไม่เคร่งครัดเหมือนคดีแพ่งทั่วไป เพื่อมิให้คู่ความเอาชนะกันโดยอาศัยเทคนิคทางกฎหมาย ดังนั้น แม้นายอิศราจะมิได้รับรองข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าว แต่เมื่อพิจารณาจากสำเนาใบแสดงความเห็นของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจเอกสารหมาย จ.30 ที่เป็นเอกสารที่โรงพยาบาลตำรวจซึ่งเป็นหน่วยงานราชการเป็นผู้ส่งมาตามคำสั่งเรียกเข้ามาในสำนวนคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจที่จะนำสำเนาใบแสดงความเห็นของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจเอกสารหมาย จ.30 มารับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า คำเบิกความของนายแพทย์ธีรภพ พยานจำเลยที่ 1 เบิกความว่า แผลจากการผ่าตัดและแผลเป็นมีความแตกต่างกันและสามารถรักษาให้หายได้ ซึ่งนายแพทย์ธีรภพ เป็นแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในด้านการผ่าตัดศัลยกรรมมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี คำเบิกความย่อมมีน้ำหนักมากกว่าคำเบิกความของนายแพทย์เทพนั้น เมื่อพิจารณาจากคำเบิกความของนายแพทย์ธีรภพแล้วปรากฏว่าเป็นการเบิกความถึงข้อเท็จจริงทั่วไปเกี่ยวกับบาดแผลอันเกิดจากการผ่าตัด สาเหตุของการเกิดของบาดแผล ลักษณะของบาดแผล และการรักษาบาดแผลเท่านั้น ไม่ปรากฏว่านายแพทย์ธีรภพได้ตรวจร่างกายโจทก์หรือยืนยันว่าโจทก์มิได้มีแผลเป็นอันเกิดจากการผ่าตัดในคดีนี้แต่ประการใด ซึ่งต่างจากนายแพทย์เทพที่เบิกความยืนยันว่านายแพทย์เทพได้ตรวจร่างกายโจทก์และพบรอยแผลเป็นที่ท้ายทอยทั้งสองข้างจริง อีกทั้งนายแพทย์ธีรภพ ยังเบิกความเจือสมกับคำเบิกความของนายแพทย์เทพ และบทความของนายแพทย์ปรีชาในข้อเท็จจริงที่ว่า ในการผ่าตัดนั้นจะต้องมีรอยแผลอันเกิดจากมีดที่ผ่าตัดอีกด้วย คำเบิกความของนายแพทย์ธีรภพจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ในข้อนี้ได้ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ผลการผ่าตัดศัลยกรรมของโจทก์ประสบความสำเร็จ ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ผลการผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจ ตามที่จำเลยที่ 4 บันทึกไว้ในเวชระเบียน และหลังการผ่าตัดโจทก์มิได้โต้แย้งทักท้วงว่าผลการผ่าตัดมีรอยแผลเป็นหรือบกพร่องอื่น ๆ ตามที่ปรากฏในวิดีโอคลิปการให้สัมภาษณ์ นั้น เห็นว่า บันทึกของจำเลยที่ 4 เป็นการระบุถึงผลการผ่าตัดศัลยกรรมเมื่อเสร็จสิ้นการทำศัลยกรรมผ่าตัดเท่านั้น ส่วนผลของการรักษาบาดแผลภายหลังจากการผ่าตัดในเวลาต่อมานั้นไม่มีการบันทึกไว้ สำหรับภาพถ่าย หรือวิดีโอคลิปของโจทก์ และตามสื่อบันทึกข้อมูล ซึ่งแสดงถึงผลภายหลังจากการผ่าตัดศัลยกรรมของโจทก์นั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีการแสดงภาพศีรษะด้านหลังเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าการผ่าตัดศัลยกรรมให้แก่โจทก์ไม่มีร่องรอยแผลเป็นดังที่จำเลยที่ 1 โฆษณาไว้ ส่วนการจัดทำบันทึกวิดีโอคลิปนั้น โจทก์ให้สัมภาษณ์แก่ฝ่ายจำเลยที่ 1 หลังจากการผ่าตัดผ่านไปเพียง 1 เดือน ซึ่งในขณะนั้นโจทก์ยังไม่ทราบถึงผลข้างเคียงอันเกิดจากการผ่าตัดว่าจะมีร่องรอยของแผลเป็นหรือไม่ การที่โจทก์มิได้โต้แย้งทักท้วงผลการผ่าตัดในทันทีจึงไม่ใช่ข้อพิรุธ ดังจะเห็นได้จากในเวลาต่อมาเมื่อโจทก์พบว่าโจทก์ได้รับผลกระทบจากการผ่าตัดศัลยกรรม โจทก์ได้แจ้งแก่จำเลยผ่านแอปพลิเคชันไลน์ว่า ผลการผ่าตัดมิได้เป็นไปตามที่จำเลยที่ 1 โฆษณาไว้ และไม่ขอจ่ายเงินที่เหลือให้แก่จำเลยที่ 1 อีกต่อไป ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าโฆษณาของจำเลยที่ 1 มีข้อความเตือนแล้วว่า “ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล” นั้น คำเตือนดังกล่าวเป็นการเตือนผลของการทำศัลยกรรมซึ่งอาจจะได้ผลไม่เป็นที่พอใจของผู้เข้ารับบริการบางราย แต่ไม่ใช่การเตือนเป็นการเฉพาะว่าถ้าผ่าตัดทำศัลยกรรมแล้วอาจจะมีรอยแผลเป็น ดังนั้น ที่จำเลยที่ 1 โฆษณาว่าการผ่าตัดศัลยกรรมในโครงการของจำเลยที่ 1 ไม่มีรอยแผลเป็นจึงไม่ตรงตามความเป็นจริง เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ติดตามดูโฆษณาของโครงการของจำเลยที่ 1 ทางสื่อออนไลน์ และได้สนทนากับจำเลยที่ 1 หรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 แล้ว จึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าวโดยทำหนังสือขอเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 แม้โจทก์จะใช้เวลานานก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 แต่ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้เวลาในการรวบรวมเงินเพื่อเข้าทำสัญญาเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 เท่านั้น ซึ่งคำโฆษณาและคำรับรองของโครงการของจำเลยที่ 1 ข้างต้นก็ยังคงถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเข้าร่วมโครงการด้วย เมื่อเป็นการโฆษณาที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในความเสียหายแก่โจทก์ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาซึ่งเป็นเรื่องนิติกรรม แต่กลับวินิจฉัยกำหนดค่าสินไหมทดแทนในเรื่องละเมิดซึ่งเป็นเรื่องนิติเหตุ เป็นการวินิจฉัยกฎหมายคนละฉบับแตกต่างกัน การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงคลาดเคลื่อนนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาให้บริการทางการแพทย์ โดยผลการผ่าตัดศัลยกรรมไม่เป็นไปตามที่จำเลยที่ 1 โฆษณาไว้ว่า การผ่าตัดศัลยกรรมในโครงการของจำเลยที่ 1 ไม่บวม ไม่ช้ำ ไร้รอยแผลเป็น ไม่ต้องพักฟื้น อันเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 สัญญาหรือรับรองว่าโจทก์จะไม่มีอาการเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานจากการผ่าตัดศัลยกรรม หรือการผ่าตัดจะไม่มีรอยแผลเป็น แต่เมื่อฝ่ายจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาโดยปรากฏว่าโจทก์มีรอยแผลเป็นที่หลังท้ายทอยหลังใบหูทั้งสองข้างทำให้โจทก์ขาดความมั่นใจ ระแวงคนเห็นแผลเป็น อันเป็นการที่โจทก์ได้รับความทุกข์ทรมานจากผลของการผ่าตัดที่ไม่เป็นไปตามที่จำเลยที่ 1 โฆษณาไว้ ซึ่งเป็นความเสียหายโดยตรงอันเกิดจากการผิดสัญญาของจำเลยที่ 1 โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 ประกอบมาตรา 222 วรรคแรก กรณีมิได้เป็นการที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดตามมาตรา 444 หรือมาตรา 446 ดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างมาในฎีกา แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของค่าเสียหายที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 100,000 บาท นั้น เห็นว่า ทางนำสืบของโจทก์นั้นไม่ปรากฏว่ารอยแผลเป็นของโจทก์ที่ได้รับมีร่องรอยปรากฏชัดเพียงใด และโจทก์จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดการรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่โจทก์กลับคืนมาเป็นเงินเพียงใด การที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้มาเป็นเงิน 100,000 บาท นั้น นับว่าสูงเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรลดค่าเสียหายส่วนนี้ลงเหลือ 50,000 บาท
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประการต่อไปมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์แล้วจะเห็นได้ว่าความรับผิดของจำเลยที่ 1 ตามคำบรรยายฟ้องอาจเป็นได้ทั้งกรณีละเมิดเพราะจำเลยที่ 1 อาจต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดในส่วนของการผ่าตัดศัลยกรรมของจำเลยที่ 4 ที่อาจกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อในการผ่าตัดศัลยกรรมแก่โจทก์ หรืออาจเป็นการกระทำที่ผิดสัญญาในเรื่องของสัญญาให้บริการทางการแพทย์ตามสัญญาเข้าร่วมในโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 ก็ได้เช่นกัน ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า จำเลยทั้งสี่ผิดสัญญาหรือทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาททั้งในเรื่องผิดสัญญาและละเมิด เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาให้บริการทางการแพทย์ มิใช่เรื่องที่จำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 4 ในมูลละเมิด ความรับผิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์จึงเป็นความรับผิดอันเกิดจากสัญญา ซึ่งสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาให้บริการทางการแพทย์ อันเป็นเอกเทศสัญญาประเภทหนึ่ง มิใช่เรื่องของสัญญาจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 จึงมิได้ถือเอาอายุความ 1 ปี นับแต่วันการชำรุดบกพร่องปรากฏขึ้นตามมาตรา 601 มาใช้บังคับ ดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง แต่เป็นเรื่องที่มิได้มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 โจทก์อ้างว่า หลังจากโจทก์เข้าทำศัลยกรรมกับจำเลยที่ 4 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 ผลการผ่าตัดโจทก์มีอาการอักเสบ บวมแดง ขมับสองข้างมีอาการชา หางตาทั้งสองข้างตึง แก้มสองข้างไม่เท่ากัน มีรอยแผลเป็นที่หลังหู ใบหน้าคล้อย มุมปากตก เหนียงคอห้อย ไม่เป็นไปตามที่จำเลยที่ 1 โฆษณา โดยไม่ปรากฏวันที่แน่ชัดว่าโจทก์ทราบเรื่องรอยแผลเป็นเมื่อใด จึงถือว่าโจทก์ทราบผลของการผิดสัญญาของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 19 มิถุนายน 2562 ซึ่งยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ และกรณีนี้มิใช่เป็นเรื่องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จะต้องถือเอาอายุความในคดีอาญามาใช้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงรายละเอียดที่ไม่ทำให้ผลแห่งคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่ได้ความเป็นที่ยุติว่า จำเลยที่ 1 เผยแพร่โครงการ ฟ. โดยใช้สถานที่โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งกมลของจำเลยที่ 3 เป็นสถานที่ในการโฆษณาโครงการของจำเลยที่ 1 และสถานที่ถ่ายทำวิดีโอคลิป ดังปรากฏตามภาพถ่ายโรงพยาบาลและภาพถ่ายของจำเลยที่ 1 และผู้เข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ยังปรากฏตามภาพข่าวในหนังสือของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ซึ่งปรากฏคำให้สัมภาษณ์ของนายสุรชัย นักร้องลูกทุ่งที่ถือว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป และจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ให้คำปรึกษาร่วมกันให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการผ่าตัดศัลยกรรมในโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 ในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ถูกกรมสนับสนุนบริการสุขภาพเปรียบเทียบปรับ ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าวจริง เมื่อพิจารณาประกอบกับจำเลยที่ 3 ประกอบธุรกิจเป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งเฉพาะทาง มิใช่โรงพยาบาลที่รับรักษาโรคทั่วไป แม้จำเลยที่ 3 จะอ้างว่า จำเลยที่ 3 มีเว็บไซต์ประชาสัมพันธ์กิจการของจำเลยที่ 3 เองอยู่แล้วก็ตาม แต่จำเลยที่ 3 ก็ย่อมทราบอยู่แล้วว่า จำเลยที่ 3 ไม่อาจจูงใจหรือชักชวนผู้ป่วยให้เข้ารับบริการเพื่อประโยชน์ของตนได้ เพราะจะขัดกับข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2549 ซึ่งในข้อนี้นายอิศรา พยานจำเลยที่ 3 และที่ 4 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ใช่สถานพยาบาล ก็ไม่ต้องขออนุญาตในการโฆษณาจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ดังนั้น จำเลยที่ 3 จึงต้องอาศัยช่องทางหลบเลี่ยงโดยการจัดตั้งกลุ่มบุคคลเพื่อทำหน้าที่ในการโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนหรือบุคคลทั่วไปที่สนใจเข้ารับบริการทางการแพทย์จากจำเลยที่ 3 เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดีตามกฎหมายดังกล่าว นอกจากนี้ยังปรากฏจากการติดต่อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทางแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ชี้แจงรายละเอียดของการผ่าตัดและราคาผ่าตัด ต่าง ๆ มีการปรับเพิ่มรายการผ่าตัด เสนอส่วนลดแก่ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ และยังกำหนดวันผ่าตัดให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการได้โดยไม่ต้องสอบถามโรงพยาบาลจำเลยที่ 3 แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 มีอำนาจในการตัดสินใจในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารกิจการของจำเลยที่ 3 ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 อ้างว่า นายอิศรา พยานจำเลยที่ 3 และที่ 4 เบิกความว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ใช้โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 เป็นสถานที่ถ่ายทำคลิปโฆษณา และก่อนที่โจทก์จะเข้ารับการผ่าตัดในคดีนี้ จำเลยที่ 3 ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ถ่ายภาพโรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งกมลของจำเลยที่ 3 นำไปทำเป็นวิดีโอคลิปโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการละเมิดต่อจำเลยที่ 3 แล้วมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเว็บไซต์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ตกลงที่จะหยุดการกระทำซึ่งละเมิดต่อจำเลยที่ 3 แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าหลังจากศาลมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ส่งตัวโจทก์ไปเข้ารับการผ่าตัด ทางโรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 ก็รับตัวโจทก์ไว้ผ่าตัดทันที โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ได้ตรวจสอบการโฆษณาของจำเลยที่ 1 ว่ายังคงละเมิดสิทธิของจำเลยที่ 3 หรือไม่ รวมทั้งไม่ปรากฏว่ามีการคิดค่าใช้จ่ายและเรียกเก็บค่าผ่าตัดศัลยกรรมในส่วนที่จำเลยที่ 1 เรียกเก็บไว้ก่อนแล้วแต่ประการใด คงมีแต่การคิดค่าผ่าตัดส่วนที่จำเลยที่ 3 ดำเนินการเพิ่มเติมให้เท่านั้น จึงเชื่อว่าการที่จำเลยที่ 3 ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวน่าจะเป็นเพียงการหาช่องทางไว้ต่อสู้คดีหากถูกผู้เข้ารับการผ่าตัดฟ้องร้องให้ร่วมรับผิดในการโฆษณาของจำเลยที่ 1 มากกว่าประสงค์จะบังคับคดีตามคำพิพากษากับจำเลยที่ 1 อย่างจริงจัง ดังนั้น ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ดังกล่าว จึงมิใช่พยานหลักฐานที่จะชี้ให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีผลประโยชน์จากการโฆษณาร่วมกับจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 4 นั้น แม้จำเลยที่ 4 จะนำสืบในทำนองว่า จำเลยที่ 4 เป็นเพียงลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ก็ตาม แต่ปรากฏว่านอกจากจำเลยที่ 4 ได้รับเงินเดือนแล้ว จำเลยที่ 4 ยังได้รับค่าตอบแทนแพทย์ในแต่ละรายการผ่าตัดด้วย และได้ความจากนายอิศรา พยานจำเลยที่ 3 และที่ 4 เบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า นางศิริเพ็ญภริยาของจำเลยที่ 4 เป็นผู้ถือหุ้นในโรงพยาบาลจำเลยที่ 3 นางศิริเพ็ญเคยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 3 ในการรับเงินนั้นนอกจากมีการโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 3 แล้ว ยังมีการโอนเงินเข้าบัญชีของนางศิริเพ็ญโดยตรงอีกด้วย นอกจากนี้ยังปรากฏตามภาพข่าวในหนังสือพิมพ์ในสำนวนของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพซึ่งปรากฏคำให้สัมภาษณ์ของจำเลยที่ 4 ที่ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนในลักษณะสนับสนุนโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ยังเป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่นายสุรชัยก่อนเข้ารับการผ่าตัดในโครงการของจำเลยที่ 1 อีกด้วย ซึ่งหากมีประชาชนสนใจเข้าร่วมโครงการของจำเลยที่ 1 มาก จำเลยที่ 4 และนางศิริเพ็ญ ก็จะได้รับผลตอบแทนจากการผ่าตัดเป็นจำนวนมากเช่นกัน จึงแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 4 มีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์โดยตรงจากโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 อีกด้วย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ดำเนินโครงการโดยจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีผลประโยชน์ร่วมกันอันมีลักษณะเป็นหุ้นส่วนกัน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 ก็ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวแก่โจทก์ นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 มิถุนายน 2562) เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ สำหรับดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปนั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มอัตราร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลทั่วไปได้พบโฆษณาโครงการของจำเลยที่ 1 ผ่านเว็บไซต์ยูทูบย่อมเข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดเกี่ยวกับการศัลยกรรมผ่าตัดเสริมความงามโดยมีโรงพยาบาลชั้นนำได้มาตรฐานระดับโลกร่วมอยู่ในโครงการของจำเลยที่ 1 และการผ่าตัดศัลยกรรมกับโครงการของจำเลยที่ 1 จะไม่มีผลกระทบ ไม่บวม ไม่เจ็บ ฟื้นตัวเร็ว ไร้รอยแผลเป็น และจะได้รับการบริการในราคาถูก ซึ่งข้อความดังกล่าวมีลักษณะเป็นการกระทำเพื่อให้ประชาชนพบเห็นหรือทราบข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงไว้ในวิดีโอคลิปดังกล่าว ซึ่งนอกจากจะถือว่าเป็นการโฆษณาเพื่อประโยชน์ในทางการค้าของจำเลยที่ 1 แล้ว ยังถือว่าการที่จำเลยที่ 1 หรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 สนทนากับโจทก์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ตามบันทึกการสนทนานั้นเป็นการที่จำเลยที่ 1 ให้คำรับรอง หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ในขณะทำสัญญาว่าผู้ประกอบธุรกิจตกลงจะมอบให้หรือจัดหาให้ซึ่งสิ่งของ บริการหรือสาธารณูปโภคอื่นใด หรือจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่ผู้บริโภคเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้บริโภคเข้าทำสัญญาอันถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเข้าร่วมโครงการของจำเลยที่ 1 ตามความหมายของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคฯ มาตรา 11 แล้ว เมื่อเป็นการโฆษณาที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในความเสียหายแก่โจทก์
คดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า จำเลยทั้งสี่ผิดสัญญาหรือทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาททั้งในเรื่องผิดสัญญาและละเมิด เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาให้บริการทางการแพทย์ มิใช่เรื่องที่จำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 4 ในมูลละเมิด ความรับผิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์จึงเป็นความรับผิดอันเกิดจากสัญญา ซึ่งสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาให้บริการทางการแพทย์อันเป็นเอกเทศสัญญาประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่มิได้มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 โจทก์นำคดีมาฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการ การที่จำเลยที่ 1 ดำเนินโครงการโดยจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีผลประโยชน์ร่วมกันอันมีลักษณะเป็นหุ้นส่วนกัน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 ก็ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 7,911,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และขอให้ศาลกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษจำเลยทั้งสี่ในขั้นสูงสุด
จำเลยทั้งสี่ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 19 มิถุนายน 2562) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยส่วนที่โจทก์ได้รับยกเว้นนั้น ให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 นำมาชำระต่อศาลในนามโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ชำระตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความ 12,000 บาท คำขออื่นให้ยก ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 19 มิถุนายน 2562) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่ชำระเกินมาแก่จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ฝ่ายละ 500 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นในชั้นฎีการับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อตั้งโครงการ ฟ. มีวัตถุประสงค์ให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่ต้องการทำศัลยกรรมเกี่ยวกับความงาม โดยเป็นผู้ติดต่อโรงพยาบาลเพื่อให้บุคคลดังกล่าวทำศัลยกรรม โจทก์ทราบข้อมูลโครงการ ฟ. ทางสื่อสังคมออนไลน์ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้อำนวยการฝ่ายประสานงานของโครงการดังกล่าว และเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาลใช้ชื่อว่า โรงพยาบาล ฉ. ขณะเกิดเหตุมีนางศิริเพ็ญ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนและเป็นผู้รับอนุญาต ส่วนจำเลยที่ 4 เป็นสามีนางศิริเพ็ญ เป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 3 และเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน 2559 โจทก์ดูคลิปวิดีโอโครงการของจำเลยที่ 1 ทางเว็บไซต์ และเว็บไซต์ยูทูบ โจทก์สนใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าว จึงทำสัญญาเข้าทำศัลยกรรมเสริมความงามกับจำเลยที่ 1 ตกลงราคาค่าทำศัลยกรรมเสริมความงามเป็นเงิน 450,000 บาท ต่อมาวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 โจทก์โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 เพื่อขอเข้าร่วมโครงการทำศัลยกรรมดึงหน้า เป็นเงิน 50,000 บาท โดยในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2560 โจทก์เดินทางจากราชอาณาจักรสวีเดนมายังประเทศไทย และในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 อีก 200,000 บาท ต่อมาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 โจทก์เดินทางไปพบจำเลยที่ 1 ที่หมู่บ้าน พ. และทำสัญญาขอเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 โดยในวันเดียวกันพนักงานของโครงการพาโจทก์ไปที่โรงพยาบาลจำเลยที่ 3 โจทก์ได้รับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าโดยจำเลยที่ 4 เป็นผู้ทำการผ่าตัด สำหรับปัญหาที่ว่า การที่จำเลยที่ 4 ผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าให้แก่โจทก์เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 4 หรือไม่นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 4 ศัลยกรรมผ่าตัดให้แก่โจทก์ตามมาตรฐานวิชาชีพ ไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 4 มิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในส่วนนี้ด้วย และศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ปัญหาข้อนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาในประการแรกว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญา และต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 11 บัญญัติว่า “ประกาศ โฆษณา คำรับรอง หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ในขณะทำสัญญาว่าผู้ประกอบธุรกิจตกลงจะมอบให้ หรือจัดหาให้ซึ่งสิ่งของ บริการ หรือสาธารณูปโภคอื่นใด หรือจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่ผู้บริโภคเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้บริโภคเข้าทำสัญญา หรือข้อตกลงใด ๆ ที่ผู้ประกอบธุรกิจจะให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้บริโภคเพิ่มเติมขึ้นจากที่ได้ทำสัญญาไว้ ให้ถือว่าข้อความ การกระทำหรือข้อตกลง ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ...” จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่า พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 11 นั้น นอกจากจะกำหนดให้การโฆษณาถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาแล้ว ยังรวมถึง ประกาศ คำรับรอง หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ในขณะทำสัญญาว่าผู้ประกอบธุรกิจตกลงจะมอบให้ หรือจัดหาให้ซึ่งสิ่งของ บริการหรือสาธารณูปโภคอื่นใด หรือจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่ผู้บริโภคเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้บริโภคเข้าทำสัญญา หรือข้อตกลงใด ๆ ที่ผู้ประกอบธุรกิจจะให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้บริโภคเพิ่มเติมขึ้นจากที่ได้ทำสัญญาไว้ ให้ถือว่าข้อความ การกระทำหรือข้อตกลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจด้วย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่ามีการนำวิดีโอคลิปโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 ไปเผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทูบซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปในสังคมปัจจุบันว่าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันยูทูบเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซึ่งการที่จำเลยที่ 1 นำวิดีโอคลิปไปแสดงเผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์ยูทูบดังกล่าวโดยไม่ปรากฏว่ามีการตั้งสถานะเป็นส่วนตัวหรือปิดกันมิให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงได้ จึงเป็นการทำให้ปรากฏแก่บุคคลทั่วไปถึงข้อมูลที่เป็นรายละเอียดโครงการของจำเลยที่ 1 รวมทั้งแสดงช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับจำเลยที่ 1 เพื่อเข้าร่วมโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 ผ่านทางหมายเลขโทรศัพท์ เว็บไซต์ แอปพลิเคชันไลน์ แอปพลิเคชันเฟซบุ๊กได้นั้น ถือว่าเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 โฆษณาแก่บุคคลทั่วไปเพื่อประโยชน์ในทางการค้าของจำเลยที่ 1 ด้วย มิใช่เพียงการสนทนาส่วนตัวระหว่างจำเลยที่ 1 กับบุคคลที่ปรากฏในวิดีโอคลิปดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างมาในฎีกาเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลทั่วไปได้พบโฆษณาโครงการของจำเลยที่ 1 ผ่านเว็บไซต์ยูทูบย่อมเข้าใจได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดเกี่ยวกับการศัลยกรรมผ่าตัดเสริมความงามโดยมีโรงพยาบาลชั้นนำได้มาตรฐานระดับโลกร่วมอยู่ในโครงการของจำเลยที่ 1 และการผ่าตัดศัลยกรรมกับโครงการของจำเลยที่ 1 จะไม่มีผลกระทบ ไม่บวม ไม่เจ็บ ฟื้นตัวเร็ว ไร้รอยแผลเป็น และจะได้รับการบริการในราคาถูก ซึ่งข้อความดังกล่าวมีลักษณะเป็นการกระทำเพื่อให้ประชาชนพบเห็น หรือทราบข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงไว้ในวิดีโอคลิปดังกล่าว ซึ่งนอกจากจะถือว่าเป็นการโฆษณาเพื่อประโยชน์ในทางการค้าของจำเลยที่ 1 แล้ว ยังถือว่าการที่จำเลยที่ 1 หรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 สนทนากับโจทก์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ตามบันทึกการสนทนานั้น เป็นการที่จำเลยที่ 1 ให้คำรับรอง หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ในขณะทำสัญญาว่าผู้ประกอบธุรกิจตกลงจะมอบให้ หรือจัดหาให้ซึ่งสิ่งของบริการหรือสาธารณูปโภคอื่นใด หรือจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่ผู้บริโภคเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้บริโภคเข้าทำสัญญาอันถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเข้าร่วมโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 ตามความหมายของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 11 แล้ว ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การโฆษณาของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นการโฆษณาอันเป็นเท็จหรือโฆษณาเกินจริงอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 เพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ถูกดำเนินคดี หรือมีคำสั่งให้แก้ไขข้อความที่โฆษณาแต่ประการใด หรือยังมีกรณีที่บุคคลอื่นก็ใช้คำโฆษณาในลักษณะเดียวกันกับจำเลยที่ 1 ดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างมาในฎีกานั้น กรณีดังกล่าวไม่ถือเป็นข้อสำคัญที่จะนำมาพิจารณาในคดีนี้ เพราะไม่ว่าการโฆษณาของจำเลยที่ 1 จะเป็นเท็จหรือเกินจริงหรือไม่ จะมีบุคคลอื่นให้ถ้อยคำโฆษณาเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ หรือจำเลยที่ 1 จะเคยถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับโฆษณาดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม หากปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ ประกาศ โฆษณา คำรับรอง หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ให้แก่ผู้บริโภค ก็ต้องถือว่าประกาศ โฆษณา คำรับรอง หรือการกระทำนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นผู้บริโภคกับจำเลยที่ 1 ผู้ประกอบธุรกิจ ตามความหมายของมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ด้วยเช่นกัน และคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์มิได้ก้าวล่วงข้ามขั้นตอนของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคว่าด้วยการโฆษณาดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ตามเอกสารหมาย ล.4 และ ล.5 ซึ่งเป็นสัญญาที่โจทก์ทำข้อตกลงเข้าร่วมโครงการ ฟ. กับจำเลยที่ 1 มีข้อความในทำนองว่า การเข้าร่วมโครงการของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงการปรึกษาเพื่อให้ทางโครงการช่วยเหลือแนะนำตามสมควรตลอดจนแนะนำโรงพยาบาลหรือศัลยแพทย์ที่น่าจะเหมาะสมให้ ซึ่งโจทก์จะเป็นผู้ตัดสินใจเอง และโจทก์เข้าใจดีว่าทางโครงการไม่ได้โฆษณาหรือเป็นตัวแทนให้แก่โรงพยาบาลหรือศัลยแพทย์ท่านใด และจะไม่หยิบยกเรื่องนี้ไปร้องเรียนหรือกล่าวอ้างให้โรงพยาบาลหรือศัลยแพทย์ท่านใดที่เกี่ยวข้องได้รับความเสียหาย รวมทั้งข้อตกลงยกเว้นความรับผิดอื่น ๆ ตามที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าว โดยไม่มีข้อความที่ระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นแพทย์ และข้อความดังกล่าวมีลักษณะเป็นข้อตกลงที่ทำไว้ล่วงหน้าที่สามารถตกลงกันได้เพื่อแจ้งเตือนถึงผลลัพธ์อันอาจจะเกิดขึ้นภายหลังการผ่าตัด จึงไม่ถือว่าโจทก์ถูกหลอกลวงนั้น เมื่อพิจารณาบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งเป็นแบบพิมพ์ของสัญญาสำเร็จรูปที่จำเลยที่ 1 จัดทำไว้ก่อนแล้ว ซึ่งถือเป็นข้อตกลงที่ทำไว้ล่วงหน้าที่เป็นการยกเว้น หรือจำกัดความรับผิดเพื่อละเมิดหรือผิดสัญญาในความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของผู้อื่น อันเกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของผู้ตกลง หรือของบุคคลอื่นซึ่งผู้ตกลงต้องรับผิดด้วย ตามความหมายของมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 ที่กำหนดไว้ว่าข้อสัญญาดังกล่าวจะนำมาเป็นข้อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดไม่ได้ และการที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า จำเลยที่ 1 เป็นเพียงตัวแทนได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้ติดต่อจัดหาโรงพยาบาลให้แก่โจทก์เท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ติดต่อโรงพยาบาลจำเลยที่ 3 ให้แก่โจทก์และโจทก์เข้ารับการผ่าตัดตามวัตถุประสงค์แล้ว ถือว่าภารกิจของจำเลยที่ 1 เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในฐานะตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 แล้วนั้นก็ล้วนเป็นข้อกล่าวอ้างที่ขัดกับที่จำเลยที่ 1 โฆษณาไว้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการตามโครงการของจำเลยที่ 1 เอง จึงไม่อาจรับฟังได้เช่นกัน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ประกอบการได้แสดงให้ปรากฏแก่บุคคลทั่วไปว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดเกี่ยวกับการศัลยกรรมผ่าตัดเสริมความงามโดยมีโรงพยาบาลชั้นนำได้มาตรฐานระดับโลกร่วมอยู่ในโครงการของจำเลยที่ 1 และการผ่าตัดศัลยกรรมกับโครงการของจำเลยที่ 1 นั้น จะไม่มีผลกระทบ ไม่บวม ไม่เจ็บ ฟื้นตัวเร็ว ไร้รอยแผลเป็น และจะได้รับการบริการในราคาถูก ซึ่งแม้โจทก์จะมีอาชีพเป็นพยาบาลแผนกจิตเวช เมื่อเห็นโฆษณาดังกล่าวก็อาจทำให้โจทก์เข้าใจว่าโครงการของจำเลยที่ 1 จะใช้เทคนิคการผ่าตัดใหม่ที่ไม่มีรอยแผลเป็น โจทก์จึงตัดสินใจเข้าร่วมกับโครงการของจำเลยที่ 1 ดังที่โจทก์เบิกความว่าโจทก์เห็นโฆษณาของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงตัดสินใจทำศัลยกรรมดึงหน้าเพื่อให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น เมื่อโจทก์ตกลงทำสัญญาเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 จึงต้องถือว่าข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงไว้ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งข้อตกลงในสัญญาเข้าร่วมโครงการ ฟ. ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ด้วย ซึ่งในส่วนผลของการเข้าร่วมโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์เบิกความต่อไปว่า เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 โจทก์เข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรม โดยมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้ผ่าตัด แต่ผลการผ่าตัดไม่เป็นดังที่จำเลยที่ 1 โฆษณาไว้ โดยโจทก์มีอาการหน้าบวมมาก มีรอยเขียวฟกช้ำ ปลายจมูกของโจทก์มีอาการอักเสบ บวมแดง ขมับสองข้างมีอาการชา หางตาทั้งสองข้างตึง แก้มสองข้างไม่เท่ากัน ใบหน้าคล้อย มุมปากตก เหนียงคอห้อย ฝ้าที่ใบหน้ายังปรากฏเช่นเดิม มีแผลเป็นน่าเกลียดที่ใบหน้า และที่ตา ไม่เป็นไปตามที่จำเลยที่ 1 โฆษณา จนโจทก์ขาดความมั่นใจ ระแวงคนเห็นแผลเป็น ซึ่งคำเบิกความของโจทก์สอดคล้องกับภาพถ่าย ซึ่งเป็นภาพถ่ายของโจทก์หลังการผ่าตัดที่ปรากฏร่องรอยบาดแผลหลังจากการผ่าตัดที่ชัดเจน ทั้งบริเวณด้านหน้าและด้านหลังบริเวณหลังใบหูหรือท้ายทอย ซึ่งในข้อนี้โจทก์ยังมีนายแพทย์เทพเป็นพยานเบิกความว่า พยานได้ตรวจดูใบหน้าของโจทก์พบว่ามีรอยแผลเป็นที่ท้ายทอยทั้งสองข้าง ซึ่งในการผ่าตัดนั้นเป็นเรื่องปกติจะต้องมีรอยแผลเป็น ซึ่งจะต้องแจ้งให้ผู้ป่วยทราบก่อนเข้ารับการผ่าตัดด้วยเสมอ อันเป็นข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับที่นายแพทย์ปรีชา ซึ่งเป็นรองศาสตราจารย์หัวหน้าหน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่ง คณะแพทย์ศาสตร์เขียนบทความไว้ว่า “ลงมีดไปแล้วถึงอย่างไรก็มีแผลเป็นแน่ ๆ นั่นเป็นสิ่งแรกที่ผู้หญิงต้องแลก” แม้นายแพทย์เทพจะมิได้ทำรายงานผลการตรวจร่างกายโจทก์ไว้ แต่โจทก์ก็ยังมีสำเนาใบแสดงความเห็นของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ที่เจ้าพนักงานตำรวจได้ส่งโจทก์ไปตรวจหาร่องรอยบาดแผลจากการทำศัลยกรรม ซึ่งแพทย์ผู้ตรวจได้วินิจฉัยว่า พบบาดแผลเก่าจากการผ่าตัด อันเป็นข้อเท็จจริงซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้โจทก์จะผ่านการผ่าตัดทำศัลยกรรมมาเป็นเวลานานแล้วก็ยังปรากฏร่องรอยบาดแผลเก่าจากการผ่าตัดอยู่จริงดังที่นายแพทย์เทพเบิกความ เมื่อไม่ปรากฏว่านอกจากข้อพิพาทกับจำเลยทั้งสี่ในคดีนี้แล้ว โจทก์มีการผ่าตัดศัลยกรรมกับบุคคลอื่นอีก จึงเชื่อว่าแผลเป็นดังกล่าวเกิดจากการผ่าตัดศัลยกรรมอันเป็นข้อพิพาทกันในคดีนี้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์นำเอกสารหมาย จ.30 มาถามค้านนายอิศรา พยานจำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยนายอิศรามิได้รับรองข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าว และโจทก์ไม่นำพลตำรวจตรีณรงค์ศักดิ์ แพทย์ผู้ตรวจและลงชื่อในเอกสารหมาย จ.30 มาเบิกความรับรอง ส่วนผลการตรวจก็ไม่ระบุว่าเป็นการตรวจบาดแผลส่วนไหนของร่างกาย จึงรับฟังข้อเท็จจริงตามพยานเอกสารดังกล่าวไม่ได้นั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีผู้บริโภค ซึ่งการดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีผู้บริโภคนั้นมีลักษณะที่ไม่เคร่งครัดเหมือนคดีแพ่งทั่วไป เพื่อมิให้คู่ความเอาชนะกันโดยอาศัยเทคนิคทางกฎหมาย ดังนั้น แม้นายอิศราจะมิได้รับรองข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าว แต่เมื่อพิจารณาจากสำเนาใบแสดงความเห็นของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจเอกสารหมาย จ.30 ที่เป็นเอกสารที่โรงพยาบาลตำรวจซึ่งเป็นหน่วยงานราชการเป็นผู้ส่งมาตามคำสั่งเรียกเข้ามาในสำนวนคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจที่จะนำสำเนาใบแสดงความเห็นของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจเอกสารหมาย จ.30 มารับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า คำเบิกความของนายแพทย์ธีรภพ พยานจำเลยที่ 1 เบิกความว่า แผลจากการผ่าตัดและแผลเป็นมีความแตกต่างกันและสามารถรักษาให้หายได้ ซึ่งนายแพทย์ธีรภพ เป็นแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในด้านการผ่าตัดศัลยกรรมมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี คำเบิกความย่อมมีน้ำหนักมากกว่าคำเบิกความของนายแพทย์เทพนั้น เมื่อพิจารณาจากคำเบิกความของนายแพทย์ธีรภพแล้วปรากฏว่าเป็นการเบิกความถึงข้อเท็จจริงทั่วไปเกี่ยวกับบาดแผลอันเกิดจากการผ่าตัด สาเหตุของการเกิดของบาดแผล ลักษณะของบาดแผล และการรักษาบาดแผลเท่านั้น ไม่ปรากฏว่านายแพทย์ธีรภพได้ตรวจร่างกายโจทก์หรือยืนยันว่าโจทก์มิได้มีแผลเป็นอันเกิดจากการผ่าตัดในคดีนี้แต่ประการใด ซึ่งต่างจากนายแพทย์เทพที่เบิกความยืนยันว่านายแพทย์เทพได้ตรวจร่างกายโจทก์และพบรอยแผลเป็นที่ท้ายทอยทั้งสองข้างจริง อีกทั้งนายแพทย์ธีรภพ ยังเบิกความเจือสมกับคำเบิกความของนายแพทย์เทพ และบทความของนายแพทย์ปรีชาในข้อเท็จจริงที่ว่า ในการผ่าตัดนั้นจะต้องมีรอยแผลอันเกิดจากมีดที่ผ่าตัดอีกด้วย คำเบิกความของนายแพทย์ธีรภพจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ในข้อนี้ได้ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ผลการผ่าตัดศัลยกรรมของโจทก์ประสบความสำเร็จ ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ผลการผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจ ตามที่จำเลยที่ 4 บันทึกไว้ในเวชระเบียน และหลังการผ่าตัดโจทก์มิได้โต้แย้งทักท้วงว่าผลการผ่าตัดมีรอยแผลเป็นหรือบกพร่องอื่น ๆ ตามที่ปรากฏในวิดีโอคลิปการให้สัมภาษณ์ นั้น เห็นว่า บันทึกของจำเลยที่ 4 เป็นการระบุถึงผลการผ่าตัดศัลยกรรมเมื่อเสร็จสิ้นการทำศัลยกรรมผ่าตัดเท่านั้น ส่วนผลของการรักษาบาดแผลภายหลังจากการผ่าตัดในเวลาต่อมานั้นไม่มีการบันทึกไว้ สำหรับภาพถ่าย หรือวิดีโอคลิปของโจทก์ และตามสื่อบันทึกข้อมูล ซึ่งแสดงถึงผลภายหลังจากการผ่าตัดศัลยกรรมของโจทก์นั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีการแสดงภาพศีรษะด้านหลังเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าการผ่าตัดศัลยกรรมให้แก่โจทก์ไม่มีร่องรอยแผลเป็นดังที่จำเลยที่ 1 โฆษณาไว้ ส่วนการจัดทำบันทึกวิดีโอคลิปนั้น โจทก์ให้สัมภาษณ์แก่ฝ่ายจำเลยที่ 1 หลังจากการผ่าตัดผ่านไปเพียง 1 เดือน ซึ่งในขณะนั้นโจทก์ยังไม่ทราบถึงผลข้างเคียงอันเกิดจากการผ่าตัดว่าจะมีร่องรอยของแผลเป็นหรือไม่ การที่โจทก์มิได้โต้แย้งทักท้วงผลการผ่าตัดในทันทีจึงไม่ใช่ข้อพิรุธ ดังจะเห็นได้จากในเวลาต่อมาเมื่อโจทก์พบว่าโจทก์ได้รับผลกระทบจากการผ่าตัดศัลยกรรม โจทก์ได้แจ้งแก่จำเลยผ่านแอปพลิเคชันไลน์ว่า ผลการผ่าตัดมิได้เป็นไปตามที่จำเลยที่ 1 โฆษณาไว้ และไม่ขอจ่ายเงินที่เหลือให้แก่จำเลยที่ 1 อีกต่อไป ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าโฆษณาของจำเลยที่ 1 มีข้อความเตือนแล้วว่า “ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล” นั้น คำเตือนดังกล่าวเป็นการเตือนผลของการทำศัลยกรรมซึ่งอาจจะได้ผลไม่เป็นที่พอใจของผู้เข้ารับบริการบางราย แต่ไม่ใช่การเตือนเป็นการเฉพาะว่าถ้าผ่าตัดทำศัลยกรรมแล้วอาจจะมีรอยแผลเป็น ดังนั้น ที่จำเลยที่ 1 โฆษณาว่าการผ่าตัดศัลยกรรมในโครงการของจำเลยที่ 1 ไม่มีรอยแผลเป็นจึงไม่ตรงตามความเป็นจริง เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ติดตามดูโฆษณาของโครงการของจำเลยที่ 1 ทางสื่อออนไลน์ และได้สนทนากับจำเลยที่ 1 หรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 แล้ว จึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าวโดยทำหนังสือขอเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 แม้โจทก์จะใช้เวลานานก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 แต่ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้เวลาในการรวบรวมเงินเพื่อเข้าทำสัญญาเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 เท่านั้น ซึ่งคำโฆษณาและคำรับรองของโครงการของจำเลยที่ 1 ข้างต้นก็ยังคงถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเข้าร่วมโครงการด้วย เมื่อเป็นการโฆษณาที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในความเสียหายแก่โจทก์ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาซึ่งเป็นเรื่องนิติกรรม แต่กลับวินิจฉัยกำหนดค่าสินไหมทดแทนในเรื่องละเมิดซึ่งเป็นเรื่องนิติเหตุ เป็นการวินิจฉัยกฎหมายคนละฉบับแตกต่างกัน การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงคลาดเคลื่อนนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาให้บริการทางการแพทย์ โดยผลการผ่าตัดศัลยกรรมไม่เป็นไปตามที่จำเลยที่ 1 โฆษณาไว้ว่า การผ่าตัดศัลยกรรมในโครงการของจำเลยที่ 1 ไม่บวม ไม่ช้ำ ไร้รอยแผลเป็น ไม่ต้องพักฟื้น อันเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 สัญญาหรือรับรองว่าโจทก์จะไม่มีอาการเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานจากการผ่าตัดศัลยกรรม หรือการผ่าตัดจะไม่มีรอยแผลเป็น แต่เมื่อฝ่ายจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาโดยปรากฏว่าโจทก์มีรอยแผลเป็นที่หลังท้ายทอยหลังใบหูทั้งสองข้างทำให้โจทก์ขาดความมั่นใจ ระแวงคนเห็นแผลเป็น อันเป็นการที่โจทก์ได้รับความทุกข์ทรมานจากผลของการผ่าตัดที่ไม่เป็นไปตามที่จำเลยที่ 1 โฆษณาไว้ ซึ่งเป็นความเสียหายโดยตรงอันเกิดจากการผิดสัญญาของจำเลยที่ 1 โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 ประกอบมาตรา 222 วรรคแรก กรณีมิได้เป็นการที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดตามมาตรา 444 หรือมาตรา 446 ดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างมาในฎีกา แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของค่าเสียหายที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 100,000 บาท นั้น เห็นว่า ทางนำสืบของโจทก์นั้นไม่ปรากฏว่ารอยแผลเป็นของโจทก์ที่ได้รับมีร่องรอยปรากฏชัดเพียงใด และโจทก์จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดการรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่โจทก์กลับคืนมาเป็นเงินเพียงใด การที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้มาเป็นเงิน 100,000 บาท นั้น นับว่าสูงเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรลดค่าเสียหายส่วนนี้ลงเหลือ 50,000 บาท
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประการต่อไปมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์แล้วจะเห็นได้ว่าความรับผิดของจำเลยที่ 1 ตามคำบรรยายฟ้องอาจเป็นได้ทั้งกรณีละเมิดเพราะจำเลยที่ 1 อาจต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดในส่วนของการผ่าตัดศัลยกรรมของจำเลยที่ 4 ที่อาจกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อในการผ่าตัดศัลยกรรมแก่โจทก์ หรืออาจเป็นการกระทำที่ผิดสัญญาในเรื่องของสัญญาให้บริการทางการแพทย์ตามสัญญาเข้าร่วมในโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 ก็ได้เช่นกัน ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า จำเลยทั้งสี่ผิดสัญญาหรือทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาททั้งในเรื่องผิดสัญญาและละเมิด เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาให้บริการทางการแพทย์ มิใช่เรื่องที่จำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 4 ในมูลละเมิด ความรับผิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์จึงเป็นความรับผิดอันเกิดจากสัญญา ซึ่งสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาให้บริการทางการแพทย์ อันเป็นเอกเทศสัญญาประเภทหนึ่ง มิใช่เรื่องของสัญญาจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 จึงมิได้ถือเอาอายุความ 1 ปี นับแต่วันการชำรุดบกพร่องปรากฏขึ้นตามมาตรา 601 มาใช้บังคับ ดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง แต่เป็นเรื่องที่มิได้มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 โจทก์อ้างว่า หลังจากโจทก์เข้าทำศัลยกรรมกับจำเลยที่ 4 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 ผลการผ่าตัดโจทก์มีอาการอักเสบ บวมแดง ขมับสองข้างมีอาการชา หางตาทั้งสองข้างตึง แก้มสองข้างไม่เท่ากัน มีรอยแผลเป็นที่หลังหู ใบหน้าคล้อย มุมปากตก เหนียงคอห้อย ไม่เป็นไปตามที่จำเลยที่ 1 โฆษณา โดยไม่ปรากฏวันที่แน่ชัดว่าโจทก์ทราบเรื่องรอยแผลเป็นเมื่อใด จึงถือว่าโจทก์ทราบผลของการผิดสัญญาของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 19 มิถุนายน 2562 ซึ่งยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ และกรณีนี้มิใช่เป็นเรื่องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จะต้องถือเอาอายุความในคดีอาญามาใช้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงรายละเอียดที่ไม่ทำให้ผลแห่งคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่ได้ความเป็นที่ยุติว่า จำเลยที่ 1 เผยแพร่โครงการ ฟ. โดยใช้สถานที่โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งกมลของจำเลยที่ 3 เป็นสถานที่ในการโฆษณาโครงการของจำเลยที่ 1 และสถานที่ถ่ายทำวิดีโอคลิป ดังปรากฏตามภาพถ่ายโรงพยาบาลและภาพถ่ายของจำเลยที่ 1 และผู้เข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ยังปรากฏตามภาพข่าวในหนังสือของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ซึ่งปรากฏคำให้สัมภาษณ์ของนายสุรชัย นักร้องลูกทุ่งที่ถือว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป และจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ให้คำปรึกษาร่วมกันให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการผ่าตัดศัลยกรรมในโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 ในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ถูกกรมสนับสนุนบริการสุขภาพเปรียบเทียบปรับ ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าวจริง เมื่อพิจารณาประกอบกับจำเลยที่ 3 ประกอบธุรกิจเป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งเฉพาะทาง มิใช่โรงพยาบาลที่รับรักษาโรคทั่วไป แม้จำเลยที่ 3 จะอ้างว่า จำเลยที่ 3 มีเว็บไซต์ประชาสัมพันธ์กิจการของจำเลยที่ 3 เองอยู่แล้วก็ตาม แต่จำเลยที่ 3 ก็ย่อมทราบอยู่แล้วว่า จำเลยที่ 3 ไม่อาจจูงใจหรือชักชวนผู้ป่วยให้เข้ารับบริการเพื่อประโยชน์ของตนได้ เพราะจะขัดกับข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2549 ซึ่งในข้อนี้นายอิศรา พยานจำเลยที่ 3 และที่ 4 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ใช่สถานพยาบาล ก็ไม่ต้องขออนุญาตในการโฆษณาจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ดังนั้น จำเลยที่ 3 จึงต้องอาศัยช่องทางหลบเลี่ยงโดยการจัดตั้งกลุ่มบุคคลเพื่อทำหน้าที่ในการโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนหรือบุคคลทั่วไปที่สนใจเข้ารับบริการทางการแพทย์จากจำเลยที่ 3 เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดีตามกฎหมายดังกล่าว นอกจากนี้ยังปรากฏจากการติดต่อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทางแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ชี้แจงรายละเอียดของการผ่าตัดและราคาผ่าตัด ต่าง ๆ มีการปรับเพิ่มรายการผ่าตัด เสนอส่วนลดแก่ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ และยังกำหนดวันผ่าตัดให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการได้โดยไม่ต้องสอบถามโรงพยาบาลจำเลยที่ 3 แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 มีอำนาจในการตัดสินใจในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารกิจการของจำเลยที่ 3 ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 อ้างว่า นายอิศรา พยานจำเลยที่ 3 และที่ 4 เบิกความว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ใช้โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 เป็นสถานที่ถ่ายทำคลิปโฆษณา และก่อนที่โจทก์จะเข้ารับการผ่าตัดในคดีนี้ จำเลยที่ 3 ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ถ่ายภาพโรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งกมลของจำเลยที่ 3 นำไปทำเป็นวิดีโอคลิปโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการละเมิดต่อจำเลยที่ 3 แล้วมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเว็บไซต์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ตกลงที่จะหยุดการกระทำซึ่งละเมิดต่อจำเลยที่ 3 แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าหลังจากศาลมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ส่งตัวโจทก์ไปเข้ารับการผ่าตัด ทางโรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 ก็รับตัวโจทก์ไว้ผ่าตัดทันที โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ได้ตรวจสอบการโฆษณาของจำเลยที่ 1 ว่ายังคงละเมิดสิทธิของจำเลยที่ 3 หรือไม่ รวมทั้งไม่ปรากฏว่ามีการคิดค่าใช้จ่ายและเรียกเก็บค่าผ่าตัดศัลยกรรมในส่วนที่จำเลยที่ 1 เรียกเก็บไว้ก่อนแล้วแต่ประการใด คงมีแต่การคิดค่าผ่าตัดส่วนที่จำเลยที่ 3 ดำเนินการเพิ่มเติมให้เท่านั้น จึงเชื่อว่าการที่จำเลยที่ 3 ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวน่าจะเป็นเพียงการหาช่องทางไว้ต่อสู้คดีหากถูกผู้เข้ารับการผ่าตัดฟ้องร้องให้ร่วมรับผิดในการโฆษณาของจำเลยที่ 1 มากกว่าประสงค์จะบังคับคดีตามคำพิพากษากับจำเลยที่ 1 อย่างจริงจัง ดังนั้น ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ดังกล่าว จึงมิใช่พยานหลักฐานที่จะชี้ให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีผลประโยชน์จากการโฆษณาร่วมกับจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 4 นั้น แม้จำเลยที่ 4 จะนำสืบในทำนองว่า จำเลยที่ 4 เป็นเพียงลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ก็ตาม แต่ปรากฏว่านอกจากจำเลยที่ 4 ได้รับเงินเดือนแล้ว จำเลยที่ 4 ยังได้รับค่าตอบแทนแพทย์ในแต่ละรายการผ่าตัดด้วย และได้ความจากนายอิศรา พยานจำเลยที่ 3 และที่ 4 เบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า นางศิริเพ็ญภริยาของจำเลยที่ 4 เป็นผู้ถือหุ้นในโรงพยาบาลจำเลยที่ 3 นางศิริเพ็ญเคยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 3 ในการรับเงินนั้นนอกจากมีการโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 3 แล้ว ยังมีการโอนเงินเข้าบัญชีของนางศิริเพ็ญโดยตรงอีกด้วย นอกจากนี้ยังปรากฏตามภาพข่าวในหนังสือพิมพ์ในสำนวนของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพซึ่งปรากฏคำให้สัมภาษณ์ของจำเลยที่ 4 ที่ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนในลักษณะสนับสนุนโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ยังเป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่นายสุรชัยก่อนเข้ารับการผ่าตัดในโครงการของจำเลยที่ 1 อีกด้วย ซึ่งหากมีประชาชนสนใจเข้าร่วมโครงการของจำเลยที่ 1 มาก จำเลยที่ 4 และนางศิริเพ็ญ ก็จะได้รับผลตอบแทนจากการผ่าตัดเป็นจำนวนมากเช่นกัน จึงแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 4 มีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์โดยตรงจากโครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 อีกด้วย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ดำเนินโครงการโดยจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีผลประโยชน์ร่วมกันอันมีลักษณะเป็นหุ้นส่วนกัน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 ก็ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวแก่โจทก์ นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 มิถุนายน 2562) เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ สำหรับดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปนั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มอัตราร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดสัญญาต่อโจทก์ มิใช่เรื่องการทำละเมิด โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ จึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้เป็นที่ยุติว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ประพฤติผิดสัญญาต่อโจทก์ ดังนั้น จึงไม่มีเหตุจำต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในมูลฐานความผิดฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 โฆษณาโครงการเฟซออฟโดยแสดงให้เห็นว่าผู้เข้ารับการผ่าตัดดึงหน้าในโครงการผ่าตัดศัลยกรรมของจำเลยที่ 1 จะไร้รอยแผลเป็น ไม่เจ็บ หน้าจะเด็กลงนั้น มีลักษณะเป็นการเสนอให้บริการทางการแพทย์ เมื่อโจทก์หลงเชื่อการโฆษณาและตกลงเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาให้บริการทางการแพทย์อันเป็นเอกเทศสัญญาประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่มิได้มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 เมื่อโจทก์รู้ว่าการทำศัลยกรรมของจำเลยที่ 4 ที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ไม่ดีโดยนำคดีมาฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความการที่จำเลยที่ 1 โฆษณาว่าเป็นการผ่าตัดไร้รอยแผล แม้จะเป็นการโฆษณาเกินความจริง แต่แผลเป็นหลังผ่าตัดที่ยังคงเหลืออยู่ที่ขมับ หลังใบหู และท้ายทอยของโจทก์เป็นแผลเป็นที่เกิดขึ้นตามปกติของการผ่าตัด ซึ่งโจทก์ยอมรับว่าผลการผ่าตัดทำให้ใบหน้าโจทก์เปลี่ยนแปลงดีขึ้นกว่าเดิม กรณียังไม่อาจรับฟังได้ว่าการกระทำที่ถูกฟ้องร้องในคดีนี้เกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จึงไม่อาจสั่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคฯ มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 6,885,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และขอให้ศาลกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษต่อจำเลยทั้งสี่ขั้นสูงสุด
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 เมษายน 2562) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 12,000 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับการยกเว้นนั้น ให้จำเลยที่ 1 นำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ชำระตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 เมษายน 2562) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ในส่วนความรับผิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์นั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่โฆษณาว่าการผ่าตัดไม่มีรอยแผลเป็นมีลักษณะเป็นข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง เป็นการโฆษณาที่ใช้ความไม่เป็นธรรม ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับการบริการ และตัดโอกาสโจทก์ผู้บริโภคที่จะใช้ข้อมูลดังกล่าวตัดสินใจที่จะเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ 1 เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 กระทำผิดสัญญาต่อโจทก์ มิใช่เรื่องการทำละเมิด โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา ในปัญหาข้อนี้ จึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้เป็นที่ยุติว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ประพฤติผิดสัญญาต่อโจทก์ ดังนั้น จึงไม่มีเหตุจำต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในมูลฐานความผิดฉ้อโกงประชาชน หรือไม่ ซึ่งการที่จำเลยที่ 1 โฆษณาโครงการ ฟ. ผ่านทางโปรแกรมยูทูปและเว็บไซต์ของจำเลยที่ 1 แสดงให้เห็นว่าผู้เข้ารับการผ่าตัดดึงหน้าในโครงการผ่าตัดศัลยกรรม ฟ. ของจำเลยที่ 1 จะไร้รอยแผลเป็น ไม่เจ็บ หน้าจะเด็กลงนั้น มีลักษณะเป็นการเสนอให้บริการทางการแพทย์ ซึ่งเมื่อโจทก์หลงเชื่อการโฆษณาและตกลงเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 ดังนี้ สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาให้บริการทางการแพทย์ อันเป็นเอกเทศสัญญาประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่มิได้มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 โจทก์อ้างว่า โจทก์รู้ว่าการทำศัลยกรรมของจำเลยที่ 4 ที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ไม่ดีตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2560 แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 17 เมษายน 2562 ซึ่งยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ด้วยหรือไม่ ซึ่งในส่วนของจำเลยที่ 2 โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้บัญชีทางการค้าและงานบริการของจำเลยที่ 1 โดยใช้บัญชีที่ชื่อว่า “โครงการ ฟ. โดยนายบทมากร ” มีผู้รับประโยชน์เป็นจำเลยที่ 1 และยังยอมรับว่าเป็นผู้ดูแลและสั่งให้พนักงานในโครงการของจำเลยที่ 1 อัดคลิปเผยแพร่ในเว็บไซต์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยังเป็นผู้ฟ้องเรียกเงินค้างชำระจากผู้อื่นที่เข้าร่วมโครงการในฐานะคู่สัญญา จึงถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้มีส่วนได้เสียและเป็นหุ้นส่วนในกิจการของจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากที่ใช้สำหรับรับเงินจากผู้เข้าร่วมโครงการ และรับว่าเป็นผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ ฟ. รวมทั้งจำเลยที่ 2 เคยฟ้องเรียกเงินจากผู้เข้าร่วมโครงการในนามของจำเลยที่ 2 เองก็ตาม แต่ในข้อนี้จำเลยที่ 2 นำสืบว่า กรณีดังกล่าวเป็นการกระทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้รับค่าจ้างจากจำเลยที่ 1 อันเป็นไปในลักษณะที่จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ส่วนการเปิดบัญชีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 2 ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 ให้ทำหน้าที่รับผิดชอบในการโอนเงินจำนวนนั้นไปชำระแก่โรงพยาบาล โดยทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้รับส่วนแบ่งหรือผลประโยชน์จากโครงการจากจำเลยที่ 1 นอกเหนือไปจากเงินค่าจ้างแต่ประการใด ลำพังข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวจึงยังไม่เพียงพอที่จะถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ร่วมกิจการหรือเป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ 1 ดังที่โจทก์กล่าวอ้าง จำเลยที่ 2 จึงไม่จำต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า ในการติดต่อเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์ได้เจรจาเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการทำศัลยกรรมผ่าตัดกับตัวแทนจำเลยที่ 1 ทางข้อความออนไลน์โดยมิได้ติดต่อกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยตรง ซึ่งตามข้อความดังกล่าวยังระบุว่า หากโจทก์เข้าร่วมโครงการของจำเลยที่ 1 แล้ว จะชำระค่าผ่าตัดเพียง 200,000 บาท เท่านั้น ซึ่งต่อมาวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 โจทก์เดินทางมาจากประเทศเยอรมนีไปที่โครงการของจำเลยที่ 1 และได้พบกับจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 แจ้งว่า จะต้องมีการทำศัลยกรรมเพิ่มเติมอีกหลายอย่างและโจทก์จะต้องชำระเงินเพิ่มเติมอีกเป็นเงิน 245,000 บาท นอกจากนี้โจทก์ยังตกลงที่จะให้ทำศัลยกรรมใบหน้าแก่เพื่อนของโจทก์อีก 2 คน เป็นเงินรวม 90,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้รับเงินไว้และออกใบเสร็จรับเงินให้แก่โจทก์ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้นำโจทก์กับเพื่อนขึ้นรถตู้ไปที่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 โดยมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้ตรวจใบหน้าของโจทก์อีกครั้ง เมื่อปรากฏว่าไม่มีการดึงเหนียงและดึงคอ และโจทก์แจ้งไปยังจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็เป็นผู้กำหนดราคาในการทำศัลยกรรมดังกล่าวและลดราคาค่าใช้จ่ายจาก 100,000 บาท เป็น 90,000 บาท โดยนำเงินที่จะทำศัลยกรรมให้แก่เพื่อนของโจทก์มาจ่ายแทน และจำเลยที่ 1 ยังนำคีย์การ์ดของโรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 เพื่อผ่านเข้าห้องพักมาให้แก่โจทก์เพื่อพักรอการผ่าตัดอีกด้วย ซึ่งเจือสมกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามข้อความการสนทนาที่แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 มีอำนาจตัดสินใจรับผู้เข้าร่วมโครงการที่ผ่านการตรวจร่างกายเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งกมลแทนจำเลยที่ 3 และมีอำนาจในการตกลงราคาค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทำศัลยกรรมแทนจำเลยที่ 3 รวมทั้งนัดหมายวันเวลาที่จะเข้ารับการผ่าตัดทำศัลยกรรมที่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 ได้ หากไม่มีข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 มาก่อน จำเลยที่ 1 ก็ไม่น่าจะมีอำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับการตกลงราคา ค่าใช้จ่าย รวมทั้งจัดการให้โจทก์เข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมในวันเวลาที่ตกลงกับโจทก์ได้ นอกจากนี้ ที่จำเลยที่ 1 พูดว่า เพราะเรามีโรงพยาบาล 2 แห่ง ในโลกเท่านั้น ซึ่งจำเลยที่ 1 เบิกความตอบคำถามค้านโจทก์รับว่า หนึ่งในโรงพยาบาลดังกล่าวหมายถึงโรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 1 กับนายอิศรา กรรมการของจำเลยที่ 3 ยังเบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ รับว่าเป็นภาพที่มีการถ่ายที่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 อันเป็นข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ โครงการ ฟ. โดยใช้สถานที่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 ในการโฆษณามาโดยตลอด ส่วนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 3 เคยยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีละเมิดที่ถ่ายภาพสถานที่ต่าง ๆ โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งกมลของจำเลยที่ 3 นำไปทำเป็นวิดีโอคลิปเผยแพร่ทางเว็บไซต์โดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเว็บไซต์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ตกลงที่จะหยุดการกระทำซึ่งละเมิดต่อจำเลยที่ 3 โดยวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการของจำเลยที่ 1 นั้น แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามสำเนาบันทึกรายงานการประชุมและบันทึกการชำระเงินของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพที่โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกมารวมไว้ในสำนวน ซึ่งได้ความตามเอกสารดังกล่าวว่า ก่อนคดีดังกล่าว จำเลยที่ 3 เคยถูกคณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องการโฆษณาสถานพยาบาล กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มีมติว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งมีการกระทำในลักษณะที่เป็นการร่วมในการโฆษณา โครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 นั้น เข้าข่ายเป็นการโฆษณาสถานพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งกมลของจำเลยที่ 3 ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 38 ประกอบประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2546) เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการโฆษณาสถานพยาบาล และถูกคณะกรรมการเปรียบเทียบคดี เปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 20,000 บาท จึงเชื่อว่าการที่จำเลยที่ 3 ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวเป็นเพียงการหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดีในเรื่องเกี่ยวกับการโฆษณาโรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 และเป็นการหาช่องทางไว้ต่อสู้คดีหากถูกผู้เข้ารับการผ่าตัดฟ้องร้องให้ร่วมรับผิดในการโฆษณาของจำเลยที่ 1 มากกว่าประสงค์จะบังคับคดีตามคำพิพากษากับจำเลยที่ 1 อย่างจริงจัง ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงมิใช่พยานหลักฐานที่จะชี้ให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีผลประโยชน์จากการโฆษณาร่วมกับจำเลยที่ 1 ดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันใน โครงการ ฟ. ดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ดำเนินการโครงการดังกล่าวร่วมกัน ส่วนจำเลยที่ 4 นั้น นอกจากเป็นสามีนางศิริเพ็ญ กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับอนุญาตแล้ว จำเลยที่ 4 ยังเป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาลโรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งกมลของจำเลยที่ 3 อีกทั้งยังปรากฏตามรายงานการประชุม คณะกรรมการเปรียบเทียบคดี ครั้งที่ 7/2559 วันที่ 15 มีนาคม 2559 ตามเอกสารที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกมาประกอบสำนวนคดีนี้สรุปได้ความว่า จำเลยที่ 4 เป็นผู้มีส่วนร่วมในการโฆษณา โครงการ ฟ. โดยเป็นผู้ให้ความเห็นในทางการแพทย์เกี่ยวกับการทำศัลยกรรมในโครงการดังกล่าวด้วย จึงถือว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้มีส่วนได้เสียในกิจการของจำเลยที่ 3 และได้รับผลประโยชน์ร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนผู้ดำเนินกิจการร่วมกันด้วย
ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้กำหนดค่าเสียหายในเชิงลงโทษ นั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 โฆษณาว่าเป็นการผ่าตัดไร้รอยแผล แม้จะเป็นการโฆษณาเกินความจริง แต่แผลเป็นหลังผ่าตัดที่ยังคงเหลืออยู่ที่ขมับ หลังใบหู และท้ายทอยของโจทก์เป็นแผลเป็นที่เกิดขึ้นตามปกติของการผ่าตัดซึ่งโจทก์ยอมรับว่าผลการผ่าตัดทำให้ใบหน้าโจทก์เปลี่ยนแปลงดีขึ้นกว่าเดิม กรณียังไม่อาจรับฟังได้ว่าการกระทำที่ถูกฟ้องร้องในคดีนี้เกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม หรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จึงไม่อาจสั่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ได้ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
ส่วนปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า โจทก์สมควรได้รับค่าเสียหายเพียงใด นั้น ในข้อนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โครงการของจำเลยที่ 1 ที่มีการโฆษณาว่า การทำศัลยกรรมกับโครงการของจำเลยที่ 1 ไม่มีรอยแผลเป็นนั้นเป็นการโฆษณาที่ไม่ตรงต่อความจริงทำให้โจทก์หลงเชื่อแล้วตัดสินใจเข้าร่วมโครงการของจำเลยที่ 1 เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาแก่โจทก์ และกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 100,000 บาท แต่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 เนื่องจากถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงด้วยข้อความอันเป็นเท็จจึงเป็นการเข้าใจผิดในสาระสำคัญย่อมตกเป็นโมฆะ มิใช่เรื่องของสัญญาหรือการผิดสัญญา จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนเงินทั้งหมดให้แก่โจทก์นั้น มีลักษณะเป็นฎีกาที่ขัดแย้งกันเอง และยังเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และ 252 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 เมษายน 2562) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดสัญญาต่อโจทก์ มิใช่เรื่องการทำละเมิด โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ จึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้เป็นที่ยุติว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ประพฤติผิดสัญญาต่อโจทก์ ดังนั้น จึงไม่มีเหตุจำต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในมูลฐานความผิดฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 โฆษณาโครงการเฟซออฟโดยแสดงให้เห็นว่าผู้เข้ารับการผ่าตัดดึงหน้าในโครงการผ่าตัดศัลยกรรมของจำเลยที่ 1 จะไร้รอยแผลเป็น ไม่เจ็บ หน้าจะเด็กลงนั้น มีลักษณะเป็นการเสนอให้บริการทางการแพทย์ เมื่อโจทก์หลงเชื่อการโฆษณาและตกลงเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาให้บริการทางการแพทย์อันเป็นเอกเทศสัญญาประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่มิได้มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 เมื่อโจทก์รู้ว่าการทำศัลยกรรมของจำเลยที่ 4 ที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ไม่ดีโดยนำคดีมาฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความการที่จำเลยที่ 1 โฆษณาว่าเป็นการผ่าตัดไร้รอยแผล แม้จะเป็นการโฆษณาเกินความจริง แต่แผลเป็นหลังผ่าตัดที่ยังคงเหลืออยู่ที่ขมับ หลังใบหู และท้ายทอยของโจทก์เป็นแผลเป็นที่เกิดขึ้นตามปกติของการผ่าตัด ซึ่งโจทก์ยอมรับว่าผลการผ่าตัดทำให้ใบหน้าโจทก์เปลี่ยนแปลงดีขึ้นกว่าเดิม กรณียังไม่อาจรับฟังได้ว่าการกระทำที่ถูกฟ้องร้องในคดีนี้เกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จึงไม่อาจสั่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคฯ มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 6,885,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และขอให้ศาลกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษต่อจำเลยทั้งสี่ขั้นสูงสุด
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 เมษายน 2562) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 12,000 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับการยกเว้นนั้น ให้จำเลยที่ 1 นำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ชำระตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 เมษายน 2562) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ในส่วนความรับผิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์นั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่โฆษณาว่าการผ่าตัดไม่มีรอยแผลเป็นมีลักษณะเป็นข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง เป็นการโฆษณาที่ใช้ความไม่เป็นธรรม ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับการบริการ และตัดโอกาสโจทก์ผู้บริโภคที่จะใช้ข้อมูลดังกล่าวตัดสินใจที่จะเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ 1 เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 กระทำผิดสัญญาต่อโจทก์ มิใช่เรื่องการทำละเมิด โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา ในปัญหาข้อนี้ จึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้เป็นที่ยุติว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ประพฤติผิดสัญญาต่อโจทก์ ดังนั้น จึงไม่มีเหตุจำต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในมูลฐานความผิดฉ้อโกงประชาชน หรือไม่ ซึ่งการที่จำเลยที่ 1 โฆษณาโครงการ ฟ. ผ่านทางโปรแกรมยูทูปและเว็บไซต์ของจำเลยที่ 1 แสดงให้เห็นว่าผู้เข้ารับการผ่าตัดดึงหน้าในโครงการผ่าตัดศัลยกรรม ฟ. ของจำเลยที่ 1 จะไร้รอยแผลเป็น ไม่เจ็บ หน้าจะเด็กลงนั้น มีลักษณะเป็นการเสนอให้บริการทางการแพทย์ ซึ่งเมื่อโจทก์หลงเชื่อการโฆษณาและตกลงเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 ดังนี้ สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาให้บริการทางการแพทย์ อันเป็นเอกเทศสัญญาประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่มิได้มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 โจทก์อ้างว่า โจทก์รู้ว่าการทำศัลยกรรมของจำเลยที่ 4 ที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ไม่ดีตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2560 แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 17 เมษายน 2562 ซึ่งยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ด้วยหรือไม่ ซึ่งในส่วนของจำเลยที่ 2 โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้บัญชีทางการค้าและงานบริการของจำเลยที่ 1 โดยใช้บัญชีที่ชื่อว่า “โครงการ ฟ. โดยนายบทมากร ” มีผู้รับประโยชน์เป็นจำเลยที่ 1 และยังยอมรับว่าเป็นผู้ดูแลและสั่งให้พนักงานในโครงการของจำเลยที่ 1 อัดคลิปเผยแพร่ในเว็บไซต์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยังเป็นผู้ฟ้องเรียกเงินค้างชำระจากผู้อื่นที่เข้าร่วมโครงการในฐานะคู่สัญญา จึงถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้มีส่วนได้เสียและเป็นหุ้นส่วนในกิจการของจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากที่ใช้สำหรับรับเงินจากผู้เข้าร่วมโครงการ และรับว่าเป็นผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ ฟ. รวมทั้งจำเลยที่ 2 เคยฟ้องเรียกเงินจากผู้เข้าร่วมโครงการในนามของจำเลยที่ 2 เองก็ตาม แต่ในข้อนี้จำเลยที่ 2 นำสืบว่า กรณีดังกล่าวเป็นการกระทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้รับค่าจ้างจากจำเลยที่ 1 อันเป็นไปในลักษณะที่จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ส่วนการเปิดบัญชีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 2 ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 ให้ทำหน้าที่รับผิดชอบในการโอนเงินจำนวนนั้นไปชำระแก่โรงพยาบาล โดยทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้รับส่วนแบ่งหรือผลประโยชน์จากโครงการจากจำเลยที่ 1 นอกเหนือไปจากเงินค่าจ้างแต่ประการใด ลำพังข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวจึงยังไม่เพียงพอที่จะถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ร่วมกิจการหรือเป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ 1 ดังที่โจทก์กล่าวอ้าง จำเลยที่ 2 จึงไม่จำต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า ในการติดต่อเข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์ได้เจรจาเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการทำศัลยกรรมผ่าตัดกับตัวแทนจำเลยที่ 1 ทางข้อความออนไลน์โดยมิได้ติดต่อกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยตรง ซึ่งตามข้อความดังกล่าวยังระบุว่า หากโจทก์เข้าร่วมโครงการของจำเลยที่ 1 แล้ว จะชำระค่าผ่าตัดเพียง 200,000 บาท เท่านั้น ซึ่งต่อมาวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 โจทก์เดินทางมาจากประเทศเยอรมนีไปที่โครงการของจำเลยที่ 1 และได้พบกับจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 แจ้งว่า จะต้องมีการทำศัลยกรรมเพิ่มเติมอีกหลายอย่างและโจทก์จะต้องชำระเงินเพิ่มเติมอีกเป็นเงิน 245,000 บาท นอกจากนี้โจทก์ยังตกลงที่จะให้ทำศัลยกรรมใบหน้าแก่เพื่อนของโจทก์อีก 2 คน เป็นเงินรวม 90,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้รับเงินไว้และออกใบเสร็จรับเงินให้แก่โจทก์ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้นำโจทก์กับเพื่อนขึ้นรถตู้ไปที่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 โดยมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้ตรวจใบหน้าของโจทก์อีกครั้ง เมื่อปรากฏว่าไม่มีการดึงเหนียงและดึงคอ และโจทก์แจ้งไปยังจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็เป็นผู้กำหนดราคาในการทำศัลยกรรมดังกล่าวและลดราคาค่าใช้จ่ายจาก 100,000 บาท เป็น 90,000 บาท โดยนำเงินที่จะทำศัลยกรรมให้แก่เพื่อนของโจทก์มาจ่ายแทน และจำเลยที่ 1 ยังนำคีย์การ์ดของโรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 เพื่อผ่านเข้าห้องพักมาให้แก่โจทก์เพื่อพักรอการผ่าตัดอีกด้วย ซึ่งเจือสมกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามข้อความการสนทนาที่แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 มีอำนาจตัดสินใจรับผู้เข้าร่วมโครงการที่ผ่านการตรวจร่างกายเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งกมลแทนจำเลยที่ 3 และมีอำนาจในการตกลงราคาค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทำศัลยกรรมแทนจำเลยที่ 3 รวมทั้งนัดหมายวันเวลาที่จะเข้ารับการผ่าตัดทำศัลยกรรมที่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 ได้ หากไม่มีข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 มาก่อน จำเลยที่ 1 ก็ไม่น่าจะมีอำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับการตกลงราคา ค่าใช้จ่าย รวมทั้งจัดการให้โจทก์เข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมในวันเวลาที่ตกลงกับโจทก์ได้ นอกจากนี้ ที่จำเลยที่ 1 พูดว่า เพราะเรามีโรงพยาบาล 2 แห่ง ในโลกเท่านั้น ซึ่งจำเลยที่ 1 เบิกความตอบคำถามค้านโจทก์รับว่า หนึ่งในโรงพยาบาลดังกล่าวหมายถึงโรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 1 กับนายอิศรา กรรมการของจำเลยที่ 3 ยังเบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ รับว่าเป็นภาพที่มีการถ่ายที่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 อันเป็นข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ โครงการ ฟ. โดยใช้สถานที่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 ในการโฆษณามาโดยตลอด ส่วนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 3 เคยยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีละเมิดที่ถ่ายภาพสถานที่ต่าง ๆ โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งกมลของจำเลยที่ 3 นำไปทำเป็นวิดีโอคลิปเผยแพร่ทางเว็บไซต์โดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเว็บไซต์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ตกลงที่จะหยุดการกระทำซึ่งละเมิดต่อจำเลยที่ 3 โดยวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการของจำเลยที่ 1 นั้น แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามสำเนาบันทึกรายงานการประชุมและบันทึกการชำระเงินของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพที่โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกมารวมไว้ในสำนวน ซึ่งได้ความตามเอกสารดังกล่าวว่า ก่อนคดีดังกล่าว จำเลยที่ 3 เคยถูกคณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องการโฆษณาสถานพยาบาล กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มีมติว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งมีการกระทำในลักษณะที่เป็นการร่วมในการโฆษณา โครงการ ฟ. ของจำเลยที่ 1 นั้น เข้าข่ายเป็นการโฆษณาสถานพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งกมลของจำเลยที่ 3 ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 38 ประกอบประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2546) เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการโฆษณาสถานพยาบาล และถูกคณะกรรมการเปรียบเทียบคดี เปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 20,000 บาท จึงเชื่อว่าการที่จำเลยที่ 3 ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวเป็นเพียงการหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดีในเรื่องเกี่ยวกับการโฆษณาโรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 และเป็นการหาช่องทางไว้ต่อสู้คดีหากถูกผู้เข้ารับการผ่าตัดฟ้องร้องให้ร่วมรับผิดในการโฆษณาของจำเลยที่ 1 มากกว่าประสงค์จะบังคับคดีตามคำพิพากษากับจำเลยที่ 1 อย่างจริงจัง ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงมิใช่พยานหลักฐานที่จะชี้ให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีผลประโยชน์จากการโฆษณาร่วมกับจำเลยที่ 1 ดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันใน โครงการ ฟ. ดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ดำเนินการโครงการดังกล่าวร่วมกัน ส่วนจำเลยที่ 4 นั้น นอกจากเป็นสามีนางศิริเพ็ญ กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับอนุญาตแล้ว จำเลยที่ 4 ยังเป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาลโรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งกมลของจำเลยที่ 3 อีกทั้งยังปรากฏตามรายงานการประชุม คณะกรรมการเปรียบเทียบคดี ครั้งที่ 7/2559 วันที่ 15 มีนาคม 2559 ตามเอกสารที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกมาประกอบสำนวนคดีนี้สรุปได้ความว่า จำเลยที่ 4 เป็นผู้มีส่วนร่วมในการโฆษณา โครงการ ฟ. โดยเป็นผู้ให้ความเห็นในทางการแพทย์เกี่ยวกับการทำศัลยกรรมในโครงการดังกล่าวด้วย จึงถือว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้มีส่วนได้เสียในกิจการของจำเลยที่ 3 และได้รับผลประโยชน์ร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนผู้ดำเนินกิจการร่วมกันด้วย
ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้กำหนดค่าเสียหายในเชิงลงโทษ นั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 โฆษณาว่าเป็นการผ่าตัดไร้รอยแผล แม้จะเป็นการโฆษณาเกินความจริง แต่แผลเป็นหลังผ่าตัดที่ยังคงเหลืออยู่ที่ขมับ หลังใบหู และท้ายทอยของโจทก์เป็นแผลเป็นที่เกิดขึ้นตามปกติของการผ่าตัดซึ่งโจทก์ยอมรับว่าผลการผ่าตัดทำให้ใบหน้าโจทก์เปลี่ยนแปลงดีขึ้นกว่าเดิม กรณียังไม่อาจรับฟังได้ว่าการกระทำที่ถูกฟ้องร้องในคดีนี้เกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม หรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จึงไม่อาจสั่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ได้ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
ส่วนปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า โจทก์สมควรได้รับค่าเสียหายเพียงใด นั้น ในข้อนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โครงการของจำเลยที่ 1 ที่มีการโฆษณาว่า การทำศัลยกรรมกับโครงการของจำเลยที่ 1 ไม่มีรอยแผลเป็นนั้นเป็นการโฆษณาที่ไม่ตรงต่อความจริงทำให้โจทก์หลงเชื่อแล้วตัดสินใจเข้าร่วมโครงการของจำเลยที่ 1 เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาแก่โจทก์ และกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 100,000 บาท แต่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 เนื่องจากถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงด้วยข้อความอันเป็นเท็จจึงเป็นการเข้าใจผิดในสาระสำคัญย่อมตกเป็นโมฆะ มิใช่เรื่องของสัญญาหรือการผิดสัญญา จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนเงินทั้งหมดให้แก่โจทก์นั้น มีลักษณะเป็นฎีกาที่ขัดแย้งกันเอง และยังเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และ 252 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 เมษายน 2562) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|