พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ เป็นกฏหมายที่ออกเพื่อยับยั้งการใช้สอยและแสวงหาดอกผลจากทรัพย์ สินของเจ้าของกรรมสิทธิไว้ชั่วคราว กล่าว+บทบัญญัติใน ป.พ.พ.ม. 1336 +อยู่ภายในบังคับแห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ แต่ได้มีข้อยกเว้นไว้ในบางกรณีตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ. นั้น
เมื่อ คณะกรรมการควบคุมค่าเช่าได้ใช้ดุลยพินิจให้ผู้ให้เช่าเดิมเข้าอยู่อาศัยในเคหะของตนแล้ว ก็เท่ากับว่าได้ใช้ดุลยพินิจให้ผู้มีสิทธิของตนตามหลักกฏหมายทัวไปแล้ว และเมื่อไม่มีบทบัญญัติในกฏหมายพิเศษนั้น ให้ศาลมีอำนาจรื้อฟื้นแก้ไขการใช้ดุลยพินิจของคณะกรรมการไว้อย่างไรแล้ว ดุลยพินิจของคณะกรรมการที่ให้ความยินยอมก็+ยุตติเป็นเด็ดขาดเพียงเท่านั้น ศาลย่อม+ต้องพิจารณาข้อพิพาทของคู่ความตามสิทธิในหลักกฏหมาย ทั่วไป.
โจทย์ฟ้องขับไล่จำเลยจากสถาณที่เช่า โดยได้รับมอบหมายยินยอมจากคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าให้อยู่เอง
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีความจำเป็นที่จะเข้าอยู่คณะกรรมการอนุญาตไปโดยไม่มีเหตุสมควร
ศาลแขวงธนบุรี สั่งงดสืบพยาน แล้วพิพากษาขับไล่จำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯเป็นก.ม.ที่ออกเพื่อยับยั้งการใช้สอยและแสวงหาดอกผลจากทรัพย์สินของเจ้าของกรรมสิทธิใว้ชั่วคราว กล่าวคือ บทบัญญัติป.พ.พ.มาตรา ๑๓๓๖ นั้นจะต้องอยูในบังคับแห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ แต่ก็ได้มีข้อยกเว้นข้อหนึ่งคือ เมื่อคณะกรรมการได้ใช้ดุลยพินิจเห็นสมควรให้ยินยอมให้ผู้เช่าจำเป็นเข้าอยู่อาศัย ฉนั้นเมื่อคณะกรรมการได้ใช้ดุลยพินิจให้ผู้มีสิทธิในทรัพย์สินได้ใช้สิทธิของตนตามหลัก ก.ม.ทั่วไปแล้ว ศาลก็ย่อมจะต้องพิจารณาข้อพิพาทของคู่ความตามสิทธิในหลัก ก.ม.ทั่วไป และเมื่อไม่มีบทบัญญัติในก.ม.พิเศษนั้น ให้ศาลมีอำนาจรื้อฟื้นแก็ไขการใช้ดุลยพินิจของคณะกรรมการไว้อย่างไรแล้ว ดุลยพินิจของคณะกรรมการที่ให้ความยินยอมก็จำต้องยุตติเป็นเด็ดขาดเพียงนั้น จึงพิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย
พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ เป็นกฏหมายที่ออกเพื่อยับยั้งการใช้สอยและแสวงหาดอกผลจากทรัพย์ สินของเจ้าของกรรมสิทธิไว้ชั่วคราว กล่าว+บทบัญญัติใน ป.พ.พ.ม. 1336 +อยู่ภายในบังคับแห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ แต่ได้มีข้อยกเว้นไว้ในบางกรณีตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ. นั้น
เมื่อ คณะกรรมการควบคุมค่าเช่าได้ใช้ดุลยพินิจให้ผู้ให้เช่าเดิมเข้าอยู่อาศัยในเคหะของตนแล้ว ก็เท่ากับว่าได้ใช้ดุลยพินิจให้ผู้มีสิทธิของตนตามหลักกฏหมายทัวไปแล้ว และเมื่อไม่มีบทบัญญัติในกฏหมายพิเศษนั้น ให้ศาลมีอำนาจรื้อฟื้นแก้ไขการใช้ดุลยพินิจของคณะกรรมการไว้อย่างไรแล้ว ดุลยพินิจของคณะกรรมการที่ให้ความยินยอมก็+ยุตติเป็นเด็ดขาดเพียงเท่านั้น ศาลย่อม+ต้องพิจารณาข้อพิพาทของคู่ความตามสิทธิในหลักกฏหมาย ทั่วไป.
โจทย์ฟ้องขับไล่จำเลยจากสถาณที่เช่า โดยได้รับมอบหมายยินยอมจากคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าให้อยู่เอง
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีความจำเป็นที่จะเข้าอยู่คณะกรรมการอนุญาตไปโดยไม่มีเหตุสมควร
ศาลแขวงธนบุรี สั่งงดสืบพยาน แล้วพิพากษาขับไล่จำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯเป็นก.ม.ที่ออกเพื่อยับยั้งการใช้สอยและแสวงหาดอกผลจากทรัพย์สินของเจ้าของกรรมสิทธิใว้ชั่วคราว กล่าวคือ บทบัญญัติป.พ.พ.มาตรา ๑๓๓๖ นั้นจะต้องอยูในบังคับแห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ แต่ก็ได้มีข้อยกเว้นข้อหนึ่งคือ เมื่อคณะกรรมการได้ใช้ดุลยพินิจเห็นสมควรให้ยินยอมให้ผู้เช่าจำเป็นเข้าอยู่อาศัย ฉนั้นเมื่อคณะกรรมการได้ใช้ดุลยพินิจให้ผู้มีสิทธิในทรัพย์สินได้ใช้สิทธิของตนตามหลัก ก.ม.ทั่วไปแล้ว ศาลก็ย่อมจะต้องพิจารณาข้อพิพาทของคู่ความตามสิทธิในหลัก ก.ม.ทั่วไป และเมื่อไม่มีบทบัญญัติในก.ม.พิเศษนั้น ให้ศาลมีอำนาจรื้อฟื้นแก็ไขการใช้ดุลยพินิจของคณะกรรมการไว้อย่างไรแล้ว ดุลยพินิจของคณะกรรมการที่ให้ความยินยอมก็จำต้องยุตติเป็นเด็ดขาดเพียงนั้น จึงพิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย
อายุความฎีกาตามป.วิ.อาญามาตรา 216 นั้น ต้องฎีกาภายในหนึ่งเดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง+จำเลยยังไม่ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธร์ แม้ศาลได้อ่านให้โจทก์ฟังฝ่ายเดียวแล้ว โจทก์ยังไม่มีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาสั่งไม่รับฎีกา.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยฆ่าคน ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยตามฟ้อง
ศาลอุทธร์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยหลบหนีไปเสียก่อนฟังคำพิพากษาศาลอุทธร์ ศาลคงอ่านให้โจทก์ฟังแต่ฝ่ายเดียว มาตรา ๒๑๖ บัญญัติให้ฎีกาภายในหนึ่งเดือนนับตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาหรือคำสั้งศาลอุทธร์โจทก์ยังไม่มีสิทธิฎีกา จึงไม่รับฎีกาโจทก์
อายุความฎีกาตามป.วิ.อาญามาตรา 216 นั้น ต้องฎีกาภายในหนึ่งเดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง+จำเลยยังไม่ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธร์ แม้ศาลได้อ่านให้โจทก์ฟังฝ่ายเดียวแล้ว โจทก์ยังไม่มีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาสั่งไม่รับฎีกา.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยฆ่าคน ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยตามฟ้อง
ศาลอุทธร์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยหลบหนีไปเสียก่อนฟังคำพิพากษาศาลอุทธร์ ศาลคงอ่านให้โจทก์ฟังแต่ฝ่ายเดียว มาตรา ๒๑๖ บัญญัติให้ฎีกาภายในหนึ่งเดือนนับตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาหรือคำสั้งศาลอุทธร์โจทก์ยังไม่มีสิทธิฎีกา จึงไม่รับฎีกาโจทก์
หนังสือมอบฉันทะให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นหนังสือสำคัญตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 224
การใช้หนังสือปลอมอันจะเป็นผิดตามมาตรา 227 ต้องเป็นการนำหนังสือที่ผู้อื่นปลอมมาใช้ ถ้าตนปลอมขึ้นเองแล้วเอาไปใช้ด้วย ไม่เป็นผิดตามมาตรา 227
ความผิดฐานปลอมหนังสือตาม มาตรา 224 มีอายุความฟ้องร้องภายใน5 ปี
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันทำหนังสือมอบฉันทะ อันเป็นหนังสือสำคัญในราชการปลอม โดยพิมพ์ลายนิ้วมือนายแก้วนางภู่ปลอมขึ้นว่านายแก้วนางภู่ มอบฉันทะให้ นายเง้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจจัดการยกกรรมสิทธิ์ที่ดินของนายแก้วนางภู่ ให้นางอุ่มจำเลย แล้วจำเลยนำใบมอบฉันทะปลอมไปใช้เป็นหนังสือที่แท้จริง โดยยื่นต่อเจ้าพนักงานหอทะเบียนที่ดิน และจำเลยได้นำข้อความเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานนั้นว่า นายแก้วนางภู่ได้มอบฉันทะให้จำเลยจัดการโอนที่ดินตามใบมอบฉันทะ เจ้าพนักงานหลงเชื่อจึงจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้นางอุ่มจำเลยไป ขอให้ลงโทษตามมาตรา 222, 223, 224, 225, 226, 227, 118, 63, 71
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 118, 225, 227
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือมอบฉันทะนั้น จัดเป็นหนังสือสำคัญตามมาตรา 224 ฟ้องโจทก์ ว่าจำเลยปลอมวันที่ 1 มีนาคม 2482 โจทก์ นำคดีมาฟ้อง เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2488 คดีจึงขาดอายุความตามมาตรา 78 เพราะเกิน 5 ปี และจะยกมาตรา 227 มาใช้ก็ไม่ได้เพราะมาตรานี้หมายถึงการนำหนังสือที่ผู้อื่นปลอมมาใช้ จึงเอาผิดจำเลยฐานใช้หนังสือปลอมไม่ได้ นางเง้ จำเลยได้นำหนังสือปลอมมาแสดงแจ้งเท็จต่อพนักงาน เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2483 จึงมีผิดตามมาตรา 118 เพราะคดียังไม่ขาดอายุความ จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษนายเง้จำเลยตามมาตรา 118 ส่วนนางอุ่มจำเลยไม่ได้ความว่าล่วงรู้ในการแจ้งเท็จด้วย จึงไม่ผิดให้ปล่อยตัวไป
หนังสือมอบฉันทะให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นหนังสือสำคัญตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 224
การใช้หนังสือปลอมอันจะเป็นผิดตามมาตรา 227 ต้องเป็นการนำหนังสือที่ผู้อื่นปลอมมาใช้ ถ้าตนปลอมขึ้นเองแล้วเอาไปใช้ด้วย ไม่เป็นผิดตามมาตรา 227
ความผิดฐานปลอมหนังสือตาม มาตรา 224 มีอายุความฟ้องร้องภายใน5 ปี
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันทำหนังสือมอบฉันทะ อันเป็นหนังสือสำคัญในราชการปลอม โดยพิมพ์ลายนิ้วมือนายแก้วนางภู่ปลอมขึ้นว่านายแก้วนางภู่ มอบฉันทะให้ นายเง้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจจัดการยกกรรมสิทธิ์ที่ดินของนายแก้วนางภู่ ให้นางอุ่มจำเลย แล้วจำเลยนำใบมอบฉันทะปลอมไปใช้เป็นหนังสือที่แท้จริง โดยยื่นต่อเจ้าพนักงานหอทะเบียนที่ดิน และจำเลยได้นำข้อความเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานนั้นว่า นายแก้วนางภู่ได้มอบฉันทะให้จำเลยจัดการโอนที่ดินตามใบมอบฉันทะ เจ้าพนักงานหลงเชื่อจึงจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้นางอุ่มจำเลยไป ขอให้ลงโทษตามมาตรา 222, 223, 224, 225, 226, 227, 118, 63, 71
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 118, 225, 227
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือมอบฉันทะนั้น จัดเป็นหนังสือสำคัญตามมาตรา 224 ฟ้องโจทก์ ว่าจำเลยปลอมวันที่ 1 มีนาคม 2482 โจทก์ นำคดีมาฟ้อง เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2488 คดีจึงขาดอายุความตามมาตรา 78 เพราะเกิน 5 ปี และจะยกมาตรา 227 มาใช้ก็ไม่ได้เพราะมาตรานี้หมายถึงการนำหนังสือที่ผู้อื่นปลอมมาใช้ จึงเอาผิดจำเลยฐานใช้หนังสือปลอมไม่ได้ นางเง้ จำเลยได้นำหนังสือปลอมมาแสดงแจ้งเท็จต่อพนักงาน เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2483 จึงมีผิดตามมาตรา 118 เพราะคดียังไม่ขาดอายุความ จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษนายเง้จำเลยตามมาตรา 118 ส่วนนางอุ่มจำเลยไม่ได้ความว่าล่วงรู้ในการแจ้งเท็จด้วย จึงไม่ผิดให้ปล่อยตัวไป
หนังสือมอบฉันทะให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นหนังสือสำคัญตามกฏหมายอาญามาตรา 224
การใช้หนังสือปลอมอันจะ+ผิดตามมาตรา 227
เป็นการนำหนังสือที่ผู้อื่น+มาใช้ ถ้าตนปลอมขึ้นเองและนำเอาไปใช้ด้วย ไม่เป็นผิดตามมาตรา 227
ความผิดฐานปลอมหนังสือ+ม.224 มีอายุความ+ต้องภายใน 5 ปี
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันทำหนังสือมอบฉันทะ อันเป็นหนังสือสำคัญในราชการปลอม โดยพิมพ์ลายมือนายแก้ว นางภู่ปลอมขึ้นว่านายแก้วนางภู่ มอบฉันทะให้ นายเง้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจจัดการยกกรรมสิทธิที่ดินของนายแก้วนางภู่ ให้นางอุ้มจำเลย แล้วจำเลยนำใบมอบฉันทะปลอมไปใช้เป็นหนังสือที่แท้จริง โดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่พนักงานหอทะเบียนที่ดิน และจำเลยได้ข้อความเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานนั้นว่า นายแก้วนางภู่ได้มอบฉันทะให้จำเลยจัดการโอนที่ดินตามในมอบฉันทะ เจ้าพนักงานหลงเชื่อจึงจัดการโอนกรรมสิทธิที่ดิน ให้นางอุ่มจำเลยไป ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๒๒๒-๒๒๓-๒๒๔-๒๒๕-๒๒๖-๒๒๗,๑๑๘,๖๓,๗๑
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๑๑๘,๒๒๕,๒๒๗
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือมอบฉันทะนั้น จัดเป็นหนังสือสำคัญตามมาตรา ๒๒๔ ฟ้องโจทก์ ว่าจำเลยปลอมวันที่ ๑ มีนาคม ๒๔๘๒ โจทก์ นำคดีมาฟ้อง เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๘๘ คดีจึงขาดอายุความ ตามมาตรา ๘๘ เพราะเกิน ๕ ปี และจะยกมาตรา ๒๒๗ มาใช้ไม่ได้ เพราะมาตรานี้หมายถึงการนำหนังสือที่ผู้อื่นปลอมมาใข้จึงเอาผิดจำเลยฐานใช้หนังสือปลอมไม่ได้ นายเง้ จำเลยได้นำหนังสือปลอมมาแสดงแจ้งเท็จต่อพนักงาน เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๔๘๓ จึงมีความผิดตามมาตรา ๑๑๘ เพราะคดียังไม่ขาดอายุความ จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษนายเง้ จำเลยตามมาตรา ๑๑๘ ส่วนนางอุ่มจำเลยไม่ได้ความว่าลวงรู้ในการแจ้งเท็จด้วย จึงไม่ผิดให้ปล่อยตัวไป.
หนังสือมอบฉันทะให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นหนังสือสำคัญตามกฏหมายอาญามาตรา 224
การใช้หนังสือปลอมอันจะ+ผิดตามมาตรา 227
เป็นการนำหนังสือที่ผู้อื่น+มาใช้ ถ้าตนปลอมขึ้นเองและนำเอาไปใช้ด้วย ไม่เป็นผิดตามมาตรา 227
ความผิดฐานปลอมหนังสือ+ม.224 มีอายุความ+ต้องภายใน 5 ปี
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันทำหนังสือมอบฉันทะ อันเป็นหนังสือสำคัญในราชการปลอม โดยพิมพ์ลายมือนายแก้ว นางภู่ปลอมขึ้นว่านายแก้วนางภู่ มอบฉันทะให้ นายเง้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจจัดการยกกรรมสิทธิที่ดินของนายแก้วนางภู่ ให้นางอุ้มจำเลย แล้วจำเลยนำใบมอบฉันทะปลอมไปใช้เป็นหนังสือที่แท้จริง โดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่พนักงานหอทะเบียนที่ดิน และจำเลยได้ข้อความเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานนั้นว่า นายแก้วนางภู่ได้มอบฉันทะให้จำเลยจัดการโอนที่ดินตามในมอบฉันทะ เจ้าพนักงานหลงเชื่อจึงจัดการโอนกรรมสิทธิที่ดิน ให้นางอุ่มจำเลยไป ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๒๒๒-๒๒๓-๒๒๔-๒๒๕-๒๒๖-๒๒๗,๑๑๘,๖๓,๗๑
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๑๑๘,๒๒๕,๒๒๗
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือมอบฉันทะนั้น จัดเป็นหนังสือสำคัญตามมาตรา ๒๒๔ ฟ้องโจทก์ ว่าจำเลยปลอมวันที่ ๑ มีนาคม ๒๔๘๒ โจทก์ นำคดีมาฟ้อง เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๘๘ คดีจึงขาดอายุความ ตามมาตรา ๘๘ เพราะเกิน ๕ ปี และจะยกมาตรา ๒๒๗ มาใช้ไม่ได้ เพราะมาตรานี้หมายถึงการนำหนังสือที่ผู้อื่นปลอมมาใข้จึงเอาผิดจำเลยฐานใช้หนังสือปลอมไม่ได้ นายเง้ จำเลยได้นำหนังสือปลอมมาแสดงแจ้งเท็จต่อพนักงาน เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๔๘๓ จึงมีความผิดตามมาตรา ๑๑๘ เพราะคดียังไม่ขาดอายุความ จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษนายเง้ จำเลยตามมาตรา ๑๑๘ ส่วนนางอุ่มจำเลยไม่ได้ความว่าลวงรู้ในการแจ้งเท็จด้วย จึงไม่ผิดให้ปล่อยตัวไป.
ฟ้องหาว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังคนเพื่อเอาสินไถ่ อ้างบทกฎหมายขอให้ลงโทษ เพียงกฎหมายลักษณะมาตรา 270 เท่านั้น ย่อมต้องเข้าใจว่าหมายถึงมาตรา 270 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมโดย(ฉบับที่ 4)2477 แล้ว ศาลลงโทษตามพระราชบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ไม่เป็นการเกินคำขอท้ายฟ้อง
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยสมคบกันบังอาจหน่วงเหนี่ยวกักขังนางคล้อย เด็กชายบุญส่งโดยมิบังควรเพื่อเอาสินไถ่และใช้อำนาจด้วยกำลังกายหรือด้วยวาจาขู่เข็ญข่มขืนกระทำชำเรานางคล้อยขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 243, 270
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญา มาตรา 243, 270และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา 2477 (ฉบับที่ 4) มาตรา 3, 4
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา (ฉบับที่ 4) 2477 มาตรา 3, 4 ซึ่งโจทก์มิได้ระบุท้ายฟ้องนั้นมิชอบ จึงแก้เป็นว่าให้ลงโทษตามมาตรา 243, 270
โจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แต่เดิมเรื่องจับคนเพื่อสินไถ่นี้ไม่มีบัญญัติไว้ในกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 270 โดยเฉพาะต่อมาพระราชบัญญัติที่กล่าวนั้นให้เติมความเรื่องนี้ลงในมาตรา 270 เมื่อเป็นดังนี้เพียงแต่ระบุกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 270 เท่านั้นก็ต้องเข้าใจว่า หมายถึงมาตรา 270 ที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว จึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตามมาตรา 243 และมาตรา 270 ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
ฟ้องหาว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังคนเพื่อเอาสินไถ่ อ้างบทกฎหมายขอให้ลงโทษ เพียงกฎหมายลักษณะมาตรา 270 เท่านั้น ย่อมต้องเข้าใจว่าหมายถึงมาตรา 270 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมโดย(ฉบับที่ 4)2477 แล้ว ศาลลงโทษตามพระราชบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ไม่เป็นการเกินคำขอท้ายฟ้อง
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยสมคบกันบังอาจหน่วงเหนี่ยวกักขังนางคล้อย เด็กชายบุญส่งโดยมิบังควรเพื่อเอาสินไถ่และใช้อำนาจด้วยกำลังกายหรือด้วยวาจาขู่เข็ญข่มขืนกระทำชำเรานางคล้อยขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 243, 270
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญา มาตรา 243, 270และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา 2477 (ฉบับที่ 4) มาตรา 3, 4
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา (ฉบับที่ 4) 2477 มาตรา 3, 4 ซึ่งโจทก์มิได้ระบุท้ายฟ้องนั้นมิชอบ จึงแก้เป็นว่าให้ลงโทษตามมาตรา 243, 270
โจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แต่เดิมเรื่องจับคนเพื่อสินไถ่นี้ไม่มีบัญญัติไว้ในกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 270 โดยเฉพาะต่อมาพระราชบัญญัติที่กล่าวนั้นให้เติมความเรื่องนี้ลงในมาตรา 270 เมื่อเป็นดังนี้เพียงแต่ระบุกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 270 เท่านั้นก็ต้องเข้าใจว่า หมายถึงมาตรา 270 ที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว จึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตามมาตรา 243 และมาตรา 270 ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
ฟ้องหาว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังคนเพื่อเอาสินไถ+บทก.ม. ขอให้ลงโทษ+เพียง ก.ม.อาญามาตรา 270 เท่านั้น ย่อมต้องเข้าใจว่าหมายถึงมาตรา 270 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมโดย(ฉบับ ที่ 4)477 แล้ว ศาลงโทษตามพ.ร.บ.ที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ไม่เป็นการเกินคำขอท้ายฟ้อง.
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยสมคบกันบังอาจหน่วงเหนี่ยวกักขังนางคล้อย เด็กชายบุญส่งโดยมิบังควรเพื่อเอาสินไถและใช้อำนาจดวยกำลังกายหรือข่มขู่ด้วยวาจาขู่เข็ญข่มขืนกระทำชำเรานางคล้อย ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.อาญามาตรา ๒๔๓,๒๗๐.
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามก.ม.อาญา ม.๒๔๓,๒๗๐ ละพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.ลักษณะอาญาตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.ลักษณะอาญา ๒๔๗๗ (ฉฉบับที่ ๔)มาตรา ๓,๔
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม. ลักษณะอาญา (ฉบับที่ ๔)๒๔๗๗ มาตรา ๓,๔ ซึ่งโจทก์มิได้ระบุท้ายฟ้องนั้นมิชอบ จึงแก้เป็นว่าให้ลงโทษตาม ม.๒๔๓,๒๗๐
โจทก์,จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า แต่เดิมเรื่องจับคนเพื่อสินไถ่นี้ไม่มีบัญญัติไว้ใน ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๗๐ โดยเฉพาะต่อมา พ.ร.บ.ที่กล่าวนั้นให้เติมความเรื่องนี้ลงในมาตรา ๒๗๐ เมื่อเป็นดังนี้ เพียงแต่ระบุก.ม.ลักษณะอาญา ๒๗๐ เท่านั้นก็ต้องเข้าใจว่า หมายถึงมาตรา ๒๗๐ ที่ได้แก้ไขเพิ่มแล้ว จึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตามมาตรา ๒๔๓ และมาตรา ๒๗๐ ที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
ฟ้องหาว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังคนเพื่อเอาสินไถ+บทก.ม. ขอให้ลงโทษ+เพียง ก.ม.อาญามาตรา 270 เท่านั้น ย่อมต้องเข้าใจว่าหมายถึงมาตรา 270 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมโดย(ฉบับ ที่ 4)477 แล้ว ศาลงโทษตามพ.ร.บ.ที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ไม่เป็นการเกินคำขอท้ายฟ้อง.
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยสมคบกันบังอาจหน่วงเหนี่ยวกักขังนางคล้อย เด็กชายบุญส่งโดยมิบังควรเพื่อเอาสินไถและใช้อำนาจดวยกำลังกายหรือข่มขู่ด้วยวาจาขู่เข็ญข่มขืนกระทำชำเรานางคล้อย ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.อาญามาตรา ๒๔๓,๒๗๐.
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามก.ม.อาญา ม.๒๔๓,๒๗๐ ละพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.ลักษณะอาญาตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.ลักษณะอาญา ๒๔๗๗ (ฉฉบับที่ ๔)มาตรา ๓,๔
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม. ลักษณะอาญา (ฉบับที่ ๔)๒๔๗๗ มาตรา ๓,๔ ซึ่งโจทก์มิได้ระบุท้ายฟ้องนั้นมิชอบ จึงแก้เป็นว่าให้ลงโทษตาม ม.๒๔๓,๒๗๐
โจทก์,จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า แต่เดิมเรื่องจับคนเพื่อสินไถ่นี้ไม่มีบัญญัติไว้ใน ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๗๐ โดยเฉพาะต่อมา พ.ร.บ.ที่กล่าวนั้นให้เติมความเรื่องนี้ลงในมาตรา ๒๗๐ เมื่อเป็นดังนี้ เพียงแต่ระบุก.ม.ลักษณะอาญา ๒๗๐ เท่านั้นก็ต้องเข้าใจว่า หมายถึงมาตรา ๒๗๐ ที่ได้แก้ไขเพิ่มแล้ว จึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตามมาตรา ๒๔๓ และมาตรา ๒๗๐ ที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
เช่าที่ดินจากเจ้าของเดิมแต่ไม่มีหนังสือสัญญาเช่าต่อกันผู้เช่าได้ปกครองที่ดินโดยสุจริต ได้ปลูกปักต้นกล้วยและผลไม้ล้มลุกไว้ในที่ดินผู้รับโอนที่ดินนั้นมาโดยคำพิพากษาได้ทำลายต้นผลไม้ที่ผู้เช่าปลูกไว้ดังนี้นับว่าเป็นการกระทำละเมิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา420ผู้เช่ามีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดินของเจ้าจอมพิสว์ เพื่อทำการเพาะปลูกและปลูกโรงเรือน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้จ้างวานหรือใช้จำเลยที่ 2 กับพวกบุกรุกเข้าไปถอนต้นผลไม้ต่าง ๆ ที่โจทก์ปลูกไว้เรียกค่าเสียหาย 1,157 บาท
จำเลยให้การว่าที่ดินที่โจทก์ฟ้อง ภริยาจำเลยที่ 1 ได้รับโอนมาตามคำพิพากษา จำเลยไม่ทราบว่าโจทก์เป็นผู้เช่าอยู่การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดเพราะกระทำโดยสุจริตในที่ดินของภริยาจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 1,157 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ใช้ 400 บาท
โจทก์จำเลยฎีกาในข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้เข้าปกครองที่ดินโดยสุจริตโดยเช่าจากเจ้าของเดิม แต่ไม่มีสัญญาเช่า และโจทก์ได้ปลูกต้นกล้วยและไม้ล้มลุกไว้ในที่ดิน จำเลยผู้ได้รับโอนมาโดยคำพิพากษา ได้ทำลายต้นผลไม้ที่โจทก์ปลูกไว้ นับว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจึงพิพากษายืน
เช่าที่ดินจากเจ้าของเดิมแต่ไม่มีหนังสือสัญญาเช่าต่อกันผู้เช่าได้ปกครองที่ดินโดยสุจริต ได้ปลูกปักต้นกล้วยและผลไม้ล้มลุกไว้ในที่ดินผู้รับโอนที่ดินนั้นมาโดยคำพิพากษาได้ทำลายต้นผลไม้ที่ผู้เช่าปลูกไว้ดังนี้นับว่าเป็นการกระทำละเมิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา420ผู้เช่ามีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดินของเจ้าจอมพิสว์ เพื่อทำการเพาะปลูกและปลูกโรงเรือน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้จ้างวานหรือใช้จำเลยที่ 2 กับพวกบุกรุกเข้าไปถอนต้นผลไม้ต่าง ๆ ที่โจทก์ปลูกไว้เรียกค่าเสียหาย 1,157 บาท
จำเลยให้การว่าที่ดินที่โจทก์ฟ้อง ภริยาจำเลยที่ 1 ได้รับโอนมาตามคำพิพากษา จำเลยไม่ทราบว่าโจทก์เป็นผู้เช่าอยู่การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดเพราะกระทำโดยสุจริตในที่ดินของภริยาจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 1,157 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ใช้ 400 บาท
โจทก์จำเลยฎีกาในข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้เข้าปกครองที่ดินโดยสุจริตโดยเช่าจากเจ้าของเดิม แต่ไม่มีสัญญาเช่า และโจทก์ได้ปลูกต้นกล้วยและไม้ล้มลุกไว้ในที่ดิน จำเลยผู้ได้รับโอนมาโดยคำพิพากษา ได้ทำลายต้นผลไม้ที่โจทก์ปลูกไว้ นับว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจึงพิพากษายืน
เช่าที่ดินจากเจ้าของเดิมแต่ไม่มีหนังสือสัญญาเช่าต่อกัน ผู้เช่าได้ปกครองที่ดินโดยสุจริต ได้ปลูกต้นกล้วยและผลไม้ล้มลุกไว้ในที่ดิน ผู้รับโอนที่ดินนั้นมาโดยคำพิพากษา ได้ทำลายต้นผลไม้ที่ผู้เช่าปลูกไว้ดังนี้ นับว่าเป็นการกระทำละเมิดตาม ป.พ.พ.ม.420 ผู้เช่ามีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายได้.
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดินของเจ้าจอมพิสว์ เพื่อทำการเพาะปลูกและปลูกโรงเรือน ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้จ้างวานหรือใช้จำเลยที่ ๒ กับพวกบุกรุกเข้าไปถอนต้นผลไม้ต่างๆที่โจทก์ปลูกไว้ เรียกค่าเสียหาย ๑๑๕๗ บาท
จำลยให้การว่าทีดินที่โจทก์ฟ้อง ภริยาจำเลยที่ ๑ ได้รับโอนมาตามคำพิพากษา จำเลยไม่ทราบว่าโจทก์เป็นผุ้เช่าอยู่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดเพราะกระทำโดยสุจริตในที่ดินของภริยาจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๑๑๕๗ บาท
ศาลอุทธร์ให้พิพากษาให้ใช้ ๔๐๐ บาท
โจทก์จำเลยฎีกาในข้อกฏหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้เข้าปปกครองที่ดินโดยสุจริตโดยเช่าจากเจ้าของเดิม แต่ไม่มีสัญญาเช่า และโจทก์ก็ได้ปลูกต้นกล้วยและไม้ล้มลุกไว้ในที่ดิน จำเลยผู้ได้รับโอนมาโดยคำพิพากษา ได้ทำลายต้นผลไม้ที่โจทย์ปลูกไว้ นับว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดตาม ป.พ.พ.ม.๔๒๐ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง จงพิพากษายืน.
เช่าที่ดินจากเจ้าของเดิมแต่ไม่มีหนังสือสัญญาเช่าต่อกัน ผู้เช่าได้ปกครองที่ดินโดยสุจริต ได้ปลูกต้นกล้วยและผลไม้ล้มลุกไว้ในที่ดิน ผู้รับโอนที่ดินนั้นมาโดยคำพิพากษา ได้ทำลายต้นผลไม้ที่ผู้เช่าปลูกไว้ดังนี้ นับว่าเป็นการกระทำละเมิดตาม ป.พ.พ.ม.420 ผู้เช่ามีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายได้.
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดินของเจ้าจอมพิสว์ เพื่อทำการเพาะปลูกและปลูกโรงเรือน ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้จ้างวานหรือใช้จำเลยที่ ๒ กับพวกบุกรุกเข้าไปถอนต้นผลไม้ต่างๆที่โจทก์ปลูกไว้ เรียกค่าเสียหาย ๑๑๕๗ บาท
จำลยให้การว่าทีดินที่โจทก์ฟ้อง ภริยาจำเลยที่ ๑ ได้รับโอนมาตามคำพิพากษา จำเลยไม่ทราบว่าโจทก์เป็นผุ้เช่าอยู่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดเพราะกระทำโดยสุจริตในที่ดินของภริยาจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๑๑๕๗ บาท
ศาลอุทธร์ให้พิพากษาให้ใช้ ๔๐๐ บาท
โจทก์จำเลยฎีกาในข้อกฏหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้เข้าปปกครองที่ดินโดยสุจริตโดยเช่าจากเจ้าของเดิม แต่ไม่มีสัญญาเช่า และโจทก์ก็ได้ปลูกต้นกล้วยและไม้ล้มลุกไว้ในที่ดิน จำเลยผู้ได้รับโอนมาโดยคำพิพากษา ได้ทำลายต้นผลไม้ที่โจทย์ปลูกไว้ นับว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดตาม ป.พ.พ.ม.๔๒๐ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง จงพิพากษายืน.
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 31 นั้นไม่ได้หมายความว่าศาลมีอำนาจเพียงชี้ว่าการประเมินนั้นได้กระทำถูกหรือไม่ถูกเท่านั้น แต่ศาลย่อมมีอำนาจชี้ขาดจำนวนเงินที่ประเมินด้วยได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงิน 2,005 บาท 42 สตางค์แต่ศาลให้คืน 1,305 บาท 42 สตางค์นั้นไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเคยเรียกเก็บภาษีโรงร้านจากจำเลยปีละ 100 บาท ในปี 2487 จำเลยเรียกให้ชำระ 2,105 บาท 42 สตางค์ เป็นการเกินความจริง และคลาดเคลื่อนจากหลักเกณฑ์จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงินที่เกิน 2,005 บาท 42 สตางค์ พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยต่อสู้ว่า เก็บภาษี 2,105 บาท 42 สตางค์ ไม่เกินจากความจริงและไม่คลาดเคลื่อนต่อหลักเกณฑ์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่ดินและโรงเรือนทำเลที่ตั้งของโรงงานค่าของส่วนควบ เห็นควรให้เช่าเดือนละ 1,600 บาท ปีหนึ่ง 19,200 บาท ซึ่งเมื่อคำนวนแล้วควรเป็นค่าภาษี 800 บาท จึงให้จำเลยคืนเงิน 1,305 บาท 42 สตางค์แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 31 นั้น ไม่ได้หมายความว่าศาลมีอำนาจเพียงชี้ขาดว่าการประเมินนั้นได้ กระทำถูกหรือไม่ถูกเท่านั้น แต่ศาลย่อมมีอำนาจชี้ขาดจำนวนเงินที่ประเมินด้วยได้ และเห็นว่าศาลชั้นต้นประเมินสถานที่ และคำนวณว่าควรเสียภาษีปีละ 800 บาทนี้ ไม่เห็นมีเหตุจะแก้ไข
ส่วนที่โจทก์ขอเงินคืน 2,005 บาท 42 สตางค์ แต่ศาลคืน 1,305 บาท 42 สตางค์ นั้น ไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอพิพากษายืน
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 31 นั้นไม่ได้หมายความว่าศาลมีอำนาจเพียงชี้ว่าการประเมินนั้นได้กระทำถูกหรือไม่ถูกเท่านั้น แต่ศาลย่อมมีอำนาจชี้ขาดจำนวนเงินที่ประเมินด้วยได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงิน 2,005 บาท 42 สตางค์แต่ศาลให้คืน 1,305 บาท 42 สตางค์นั้นไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเคยเรียกเก็บภาษีโรงร้านจากจำเลยปีละ 100 บาท ในปี 2487 จำเลยเรียกให้ชำระ 2,105 บาท 42 สตางค์ เป็นการเกินความจริง และคลาดเคลื่อนจากหลักเกณฑ์จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงินที่เกิน 2,005 บาท 42 สตางค์ พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยต่อสู้ว่า เก็บภาษี 2,105 บาท 42 สตางค์ ไม่เกินจากความจริงและไม่คลาดเคลื่อนต่อหลักเกณฑ์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่ดินและโรงเรือนทำเลที่ตั้งของโรงงานค่าของส่วนควบ เห็นควรให้เช่าเดือนละ 1,600 บาท ปีหนึ่ง 19,200 บาท ซึ่งเมื่อคำนวนแล้วควรเป็นค่าภาษี 800 บาท จึงให้จำเลยคืนเงิน 1,305 บาท 42 สตางค์แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 31 นั้น ไม่ได้หมายความว่าศาลมีอำนาจเพียงชี้ขาดว่าการประเมินนั้นได้ กระทำถูกหรือไม่ถูกเท่านั้น แต่ศาลย่อมมีอำนาจชี้ขาดจำนวนเงินที่ประเมินด้วยได้ และเห็นว่าศาลชั้นต้นประเมินสถานที่ และคำนวณว่าควรเสียภาษีปีละ 800 บาทนี้ ไม่เห็นมีเหตุจะแก้ไข
ส่วนที่โจทก์ขอเงินคืน 2,005 บาท 42 สตางค์ แต่ศาลคืน 1,305 บาท 42 สตางค์ นั้น ไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอพิพากษายืน
พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ. 2475 มาตรา 31 นั้น ไม่ได้หมายความว่าศาลมีอำนาจเพียงชี้ว่าการประเมินนั้นได้กระทำถูกหรือไม่ถูกเท่านั้น แต่ศาลย่อมมีอำนาจชี้ขาดจำนวนเงินที่ประเมิน+ได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงิน2005 บาท 42 สตางค์ แต่ศาลให้คืนเงิน1305 บาท 42 สตางค์นั้นไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอ.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเคยเรียกเก็บภาษีโรงร้านจากจำเลยปีละ ๑๐๐ บาท ในปี ๒๔๘๗ จำเลยเรียกให้ชำระ ๒๑๐๕ บาท ๔๒ สตางค์ เป็นการเกินความจริง และคลาดเคลื่อนจากหลักเกณฑ์ จึงขอให้ศาลบังคับให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงินที่เกิน ๒๐๐๕ บาท ๔๒ สตางค์ พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยต่อสู้ว่า เก็บภาษี ๒๑๐๕ บา ๔๒ สตางค์ ไม่เกินความจริงและไม่คลาดเคลื่อนต่อหลักเกณฑ์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่ดินและโรงเรือนทำเลที่ตั้งของโรงงาน ค่าของส่วนควบ เห็นควรให้เช่าเดือนละ ๑๖๐๐บาท ปีหนึ่ง ๑๔๒๐๐บาท ซึ่งเมื่อคำนวนแล้วควรเป็นค่าภาษี ๘๐๐ บาท จึงให้จำเลยคืนเงิน ๑๒๐๕ บาท ๔๒ สตางค์แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห้นว่า ตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓๑ นั้น ไม่ได้หมายความว่าศาลมีอำนาจเพียงชี้ขาดว่าการประเมินนั้นได้ กระทำถูกหรือไม่ถูกเท่านั้น แต่ศาลย่อมมีอำนาจชี้ขาดจำนวนเงินที่ประเมินด้วยได้ และเห็นว่าศาลชั้นต้นประเมินสถานที่และคำนวนว่าควรเสียภาษีปีละ ๘๐๐ บาทนั้น ไม่มีเหตุจะแก้ไข
ส่วนโจทก์ขอเงินคืน ๒๐๐๕ บาท ๔๒ สตางค์แต่ศาลคืน ๑๓๐๕ บาท ๔๒ สตางค์นั้น ไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอ พิพาษายืน
พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ. 2475 มาตรา 31 นั้น ไม่ได้หมายความว่าศาลมีอำนาจเพียงชี้ว่าการประเมินนั้นได้กระทำถูกหรือไม่ถูกเท่านั้น แต่ศาลย่อมมีอำนาจชี้ขาดจำนวนเงินที่ประเมิน+ได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงิน2005 บาท 42 สตางค์ แต่ศาลให้คืนเงิน1305 บาท 42 สตางค์นั้นไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอ.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเคยเรียกเก็บภาษีโรงร้านจากจำเลยปีละ ๑๐๐ บาท ในปี ๒๔๘๗ จำเลยเรียกให้ชำระ ๒๑๐๕ บาท ๔๒ สตางค์ เป็นการเกินความจริง และคลาดเคลื่อนจากหลักเกณฑ์ จึงขอให้ศาลบังคับให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงินที่เกิน ๒๐๐๕ บาท ๔๒ สตางค์ พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยต่อสู้ว่า เก็บภาษี ๒๑๐๕ บา ๔๒ สตางค์ ไม่เกินความจริงและไม่คลาดเคลื่อนต่อหลักเกณฑ์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่ดินและโรงเรือนทำเลที่ตั้งของโรงงาน ค่าของส่วนควบ เห็นควรให้เช่าเดือนละ ๑๖๐๐บาท ปีหนึ่ง ๑๔๒๐๐บาท ซึ่งเมื่อคำนวนแล้วควรเป็นค่าภาษี ๘๐๐ บาท จึงให้จำเลยคืนเงิน ๑๒๐๕ บาท ๔๒ สตางค์แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห้นว่า ตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓๑ นั้น ไม่ได้หมายความว่าศาลมีอำนาจเพียงชี้ขาดว่าการประเมินนั้นได้ กระทำถูกหรือไม่ถูกเท่านั้น แต่ศาลย่อมมีอำนาจชี้ขาดจำนวนเงินที่ประเมินด้วยได้ และเห็นว่าศาลชั้นต้นประเมินสถานที่และคำนวนว่าควรเสียภาษีปีละ ๘๐๐ บาทนั้น ไม่มีเหตุจะแก้ไข
ส่วนโจทก์ขอเงินคืน ๒๐๐๕ บาท ๔๒ สตางค์แต่ศาลคืน ๑๓๐๕ บาท ๔๒ สตางค์นั้น ไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอ พิพาษายืน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 132 ที่ว่าในการตีความแสดงเจตนานั้นท่านให้เพ่งเล็งถึง เจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษรนั้น หมายความว่า ถ้าข้อความในเอกสารมีทางแปลไปได้แล้วก็พึงแปลให้เข้ากับเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญา และเจตนาในที่นี้ ก็คือเจตนาอันเห็นได้จากหนังสือนั้นเอง มิได้หมายความว่าคู่สัญญาจะทำสัญญาไว้อย่างไรก็ช่าง แต่ย่อมสืบเจตนาได้เสมอการสืบเจตนานอกไปจากที่จะคำนวณได้จากตัวหนังสือนี้ มีห้ามไว้ในประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาขายข้าวเปลือกให้แก่โจทก์เป็นเวลา 1 ปีโดยส่งตามงวดซึ่งโจทก์จะได้สั่งในวันที่ 24 สิงหาคม 2488 โจทก์แจ้งให้จำเลยส่งข้าวเปลือก 30 เกวียนจำเลยส่งให้เพียง 12 เกวียน โจทก์เตือนให้จำเลยส่งให้ครบจำเลยก็ไม่ส่ง ทางเรือนจำต้องซื้อข้าวเปลือกจากคนอื่น จึงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และฟ้องแย้งเรียกเงินมัดจำ และราคาข้าว 12 เกวียน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยผิดสัญญา จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เงินมัดจำให้โจทก์ริบ และให้โจทก์ชำระราคาข้าวเปลือก 12 เกวียนให้จำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาเป็นใจความสำคัญว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีวัตถุประสงค์ส่งข้าวให้ผู้ถูกคุมขังในเรือนจำกินตลอดเวลาสัญญาโจทก์สั่งเท่าใด จำเลยส่งไม่ครบก็ได้ หากมีข้าวเพียงพอเลี้ยงผู้ต้องขัง ศาลล่างและศาลอุทธรณ์ไม่ยอมให้จำเลยนำสืบความข้อนี้นั้นไม่ถูกต้อง การแปลสัญญา ต้องหยั่งถึงเจตนาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 132
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 132 ที่ว่า ในการตีความแสดงเจตนานั้น ท่านให้เพ็งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำในสำนวนตามตัวอักษรนั้น หมายความว่าถ้าข้อความในเอกสารมีทางแปลงไปได้แล้ว ก็พึงแปลให้เข้ากับเจตนาอันเท็จจริงของคู่สัญญา เพราะเจตนาในที่นี้ก็คือเจตนาอันเห็นได้จากหนังสือนั้นเอง มิได้หมายความว่า คู่สัญญาจะทำอย่างไรก็ช่างแต่ย่อมสืบเจตนาได้เสมอ นอกจากนี้การสืบเจตนานอกไปจากที่จะคำนวณได้จากตัวหนังสือนี้ ยังมีห้ามไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 194 ด้วย สัญญาเรื่องนี้มีถ้อยคำชัดเจน ไม่มีกล่าวว่า สักแต่ให้ข้าวเพียงพอผู้ต้องขังดังจำเลยว่า จึงพิพากษายืน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 132 ที่ว่าในการตีความแสดงเจตนานั้นท่านให้เพ่งเล็งถึง เจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษรนั้น หมายความว่า ถ้าข้อความในเอกสารมีทางแปลไปได้แล้วก็พึงแปลให้เข้ากับเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญา และเจตนาในที่นี้ ก็คือเจตนาอันเห็นได้จากหนังสือนั้นเอง มิได้หมายความว่าคู่สัญญาจะทำสัญญาไว้อย่างไรก็ช่าง แต่ย่อมสืบเจตนาได้เสมอการสืบเจตนานอกไปจากที่จะคำนวณได้จากตัวหนังสือนี้ มีห้ามไว้ในประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาขายข้าวเปลือกให้แก่โจทก์เป็นเวลา 1 ปีโดยส่งตามงวดซึ่งโจทก์จะได้สั่งในวันที่ 24 สิงหาคม 2488 โจทก์แจ้งให้จำเลยส่งข้าวเปลือก 30 เกวียนจำเลยส่งให้เพียง 12 เกวียน โจทก์เตือนให้จำเลยส่งให้ครบจำเลยก็ไม่ส่ง ทางเรือนจำต้องซื้อข้าวเปลือกจากคนอื่น จึงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และฟ้องแย้งเรียกเงินมัดจำ และราคาข้าว 12 เกวียน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยผิดสัญญา จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เงินมัดจำให้โจทก์ริบ และให้โจทก์ชำระราคาข้าวเปลือก 12 เกวียนให้จำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาเป็นใจความสำคัญว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีวัตถุประสงค์ส่งข้าวให้ผู้ถูกคุมขังในเรือนจำกินตลอดเวลาสัญญาโจทก์สั่งเท่าใด จำเลยส่งไม่ครบก็ได้ หากมีข้าวเพียงพอเลี้ยงผู้ต้องขัง ศาลล่างและศาลอุทธรณ์ไม่ยอมให้จำเลยนำสืบความข้อนี้นั้นไม่ถูกต้อง การแปลสัญญา ต้องหยั่งถึงเจตนาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 132
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 132 ที่ว่า ในการตีความแสดงเจตนานั้น ท่านให้เพ็งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำในสำนวนตามตัวอักษรนั้น หมายความว่าถ้าข้อความในเอกสารมีทางแปลงไปได้แล้ว ก็พึงแปลให้เข้ากับเจตนาอันเท็จจริงของคู่สัญญา เพราะเจตนาในที่นี้ก็คือเจตนาอันเห็นได้จากหนังสือนั้นเอง มิได้หมายความว่า คู่สัญญาจะทำอย่างไรก็ช่างแต่ย่อมสืบเจตนาได้เสมอ นอกจากนี้การสืบเจตนานอกไปจากที่จะคำนวณได้จากตัวหนังสือนี้ ยังมีห้ามไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 194 ด้วย สัญญาเรื่องนี้มีถ้อยคำชัดเจน ไม่มีกล่าวว่า สักแต่ให้ข้าวเพียงพอผู้ต้องขังดังจำเลยว่า จึงพิพากษายืน
ป.ม.แพ่งฯ มาตรา132 ที่ว่าในการตีความแสดงเจตนานั้นให้เพ่งเล็งถึง เจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษรนั้น หมายความว่า ถ้าข้อความในเอกสารมีทางแปลไปได้แล้ว ก็พึงแปลให้เข้ากับเจตนาในที่นี้ ก็คือเจตนาอันเห็นได้จากหนังสือนั้นเอง มิได้หมายความว่าคู่สัญญาจะทำสัญญาไว้อย่างไรก็ช่าง แต่ย่อมสืบเจตนาได้เสมอการสืบเจตนานอกไปจากที่จะคำนวณได้จากตัวหนังสือนี้ มีห้ามไว้ในประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาขายข้าวเปลือกให้แก่โจทก์เป็นเวลา ๑ ปี โดยส่งตามงวดซึ่งโจทก์จะได้สั่งในวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๔๘๘ โจทก์แจ้งให้จำเลยส่งข้าวเปลือก ๓๐ เกวียน จำเลยให้เพียง ๑๒ เกวียนโจทก์เตือนให้จำเลยส่งให้ส่งให้ครบ จำเลยไม่ส่ง ทางเรือนจำต้องซื้อข้าวเปลือกจากคนอื่น จึงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และฟ้องแย้งเรียกเงินมัดจำ และราคาข้าว ๑๒ เกวียน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยผิดสัญญา จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เงินมัดจำให้โจทก์ริบ และให้โจทก์ชำระราคาข้าวเปลือก ๑๒ เกวียนให้จำเลย
ศาลอุทธร์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาเป็นใจความสำคัญว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีวัตถุประสงค์ส่งข้าวให้ผู้ถูกคุมขังในเรือนจำกินตลอดเวลาสัญญา โจทก์สั่งเท่าใด จำเลยส่งไม่ครบก็ได้ หากมีข้าวเพียงพอเลี้ยงผูต้องขัง ศาลล่างและศาลอุทธร์ไม่ยอมให้จำเลยนำสืบความข้อนี้ นั้นไม่ถูกต้อง การแปลสัญญา ต้องหยั่งถึงเจตนาตาม ป.ม.แพ่งฯม.๑๓๒
ศาลฎีกาเห็น ตามป.ม.แพ่งฯ ม. ๑๓๒ ที่ว่า ในการตีความแสดงเจตนานั้น ท่านให้เล็งถึงเจตนาอนแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำในสำนวนตามตัวอักษรนั้น หมายความว่าถ้าข้อความในเอกสารมีทางแปลไปได้แล้ว ก็พึงแปลให้เข้ากับเจตนาอันเท็จจริงของคู่สัญญา เพราะเจตนาในที่นี้ ก็คือเจตนาอันเห็นได้จากหนังสือั้นเอง มิได้หมายความว่า คู่สัญญาจะทำอย่างไรก็ช่างแต่ย่อมสืบเจตนาได้เสมอ นอกจากนี้การสืบเจตนานอกไปจากที่จะคำนวนได้จากตัวหนังสือนี้ ยังมีห้ามไว้ในป.ม.วิ.แพ่งฯม. ๑๔๔ ด้วย สัญญาเรื่องนี้มีถ้อยคำชัดเจน ไม่มีกล่าวว่า สักแต่ให้ข้าวเพียงพอผู้ต้องขังดังจำเลยว่า จึงพิพากษายืน.
ป.ม.แพ่งฯ มาตรา132 ที่ว่าในการตีความแสดงเจตนานั้นให้เพ่งเล็งถึง เจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษรนั้น หมายความว่า ถ้าข้อความในเอกสารมีทางแปลไปได้แล้ว ก็พึงแปลให้เข้ากับเจตนาในที่นี้ ก็คือเจตนาอันเห็นได้จากหนังสือนั้นเอง มิได้หมายความว่าคู่สัญญาจะทำสัญญาไว้อย่างไรก็ช่าง แต่ย่อมสืบเจตนาได้เสมอการสืบเจตนานอกไปจากที่จะคำนวณได้จากตัวหนังสือนี้ มีห้ามไว้ในประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาขายข้าวเปลือกให้แก่โจทก์เป็นเวลา ๑ ปี โดยส่งตามงวดซึ่งโจทก์จะได้สั่งในวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๔๘๘ โจทก์แจ้งให้จำเลยส่งข้าวเปลือก ๓๐ เกวียน จำเลยให้เพียง ๑๒ เกวียนโจทก์เตือนให้จำเลยส่งให้ส่งให้ครบ จำเลยไม่ส่ง ทางเรือนจำต้องซื้อข้าวเปลือกจากคนอื่น จึงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และฟ้องแย้งเรียกเงินมัดจำ และราคาข้าว ๑๒ เกวียน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยผิดสัญญา จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เงินมัดจำให้โจทก์ริบ และให้โจทก์ชำระราคาข้าวเปลือก ๑๒ เกวียนให้จำเลย
ศาลอุทธร์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาเป็นใจความสำคัญว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีวัตถุประสงค์ส่งข้าวให้ผู้ถูกคุมขังในเรือนจำกินตลอดเวลาสัญญา โจทก์สั่งเท่าใด จำเลยส่งไม่ครบก็ได้ หากมีข้าวเพียงพอเลี้ยงผูต้องขัง ศาลล่างและศาลอุทธร์ไม่ยอมให้จำเลยนำสืบความข้อนี้ นั้นไม่ถูกต้อง การแปลสัญญา ต้องหยั่งถึงเจตนาตาม ป.ม.แพ่งฯม.๑๓๒
ศาลฎีกาเห็น ตามป.ม.แพ่งฯ ม. ๑๓๒ ที่ว่า ในการตีความแสดงเจตนานั้น ท่านให้เล็งถึงเจตนาอนแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำในสำนวนตามตัวอักษรนั้น หมายความว่าถ้าข้อความในเอกสารมีทางแปลไปได้แล้ว ก็พึงแปลให้เข้ากับเจตนาอันเท็จจริงของคู่สัญญา เพราะเจตนาในที่นี้ ก็คือเจตนาอันเห็นได้จากหนังสือั้นเอง มิได้หมายความว่า คู่สัญญาจะทำอย่างไรก็ช่างแต่ย่อมสืบเจตนาได้เสมอ นอกจากนี้การสืบเจตนานอกไปจากที่จะคำนวนได้จากตัวหนังสือนี้ ยังมีห้ามไว้ในป.ม.วิ.แพ่งฯม. ๑๔๔ ด้วย สัญญาเรื่องนี้มีถ้อยคำชัดเจน ไม่มีกล่าวว่า สักแต่ให้ข้าวเพียงพอผู้ต้องขังดังจำเลยว่า จึงพิพากษายืน.
ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้นจะต้องอธิบายในคำฟ้องฎีกาให้แจ้งชัดว่า ข้อที่อ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นคืออะไรเป็นปัญหากฎหมายว่าอย่างไร
ข้อฎีกาที่ว่าข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังมานั้น ไม่ควรถือว่าจำเลยได้รับมอบหมายห้องจากโจทก์นั้น ถือว่าเป็นฎีกาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าของโจทก์ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา อ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกา เห็นว่า จำเลยมิได้อธิบายในคำฟ้องฎีกาให้แจ้งชัดว่าข้อที่จำเลยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นคืออะไร เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าอย่างไร ฎีกาของจำเลยเป็นการเถียงข้อเท็จจริงว่าข้อเท็จจริงเท่าที่ศาลล่างฟังนั้นยังไม่ควรถือว่าจำเลยได้รับมอบหมายห้องจากโจทก์แล้วฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย
ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้นจะต้องอธิบายในคำฟ้องฎีกาให้แจ้งชัดว่า ข้อที่อ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นคืออะไรเป็นปัญหากฎหมายว่าอย่างไร
ข้อฎีกาที่ว่าข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังมานั้น ไม่ควรถือว่าจำเลยได้รับมอบหมายห้องจากโจทก์นั้น ถือว่าเป็นฎีกาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าของโจทก์ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา อ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกา เห็นว่า จำเลยมิได้อธิบายในคำฟ้องฎีกาให้แจ้งชัดว่าข้อที่จำเลยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นคืออะไร เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าอย่างไร ฎีกาของจำเลยเป็นการเถียงข้อเท็จจริงว่าข้อเท็จจริงเท่าที่ศาลล่างฟังนั้นยังไม่ควรถือว่าจำเลยได้รับมอบหมายห้องจากโจทก์แล้วฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย
ฎีกาในปัญหาข้อกฏหมายนั้นจะต้องอธิบายในคำฟ้องฎีกาให้ชัดแจ้งว่า ข้อที่อ้างเป็นปัญหาข้อกฏหมายนั้นคืออะไรเป็นปัญหาข้อกฏหมายว่าอย่างไร
ข้อฎีกาที่ว่าข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังมานั้น ไม่ควรถือว่าจำเลยได้รับมอบหมายห้องจากโจทก์นั้น ถือว่าเป็นฎีกาข้อเท็จจริง.
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าของโจทก์ศาลชั้นต้นและศาลอุธร์พิพากษาต้องกันให้ขับไลจำเลย
จำเลยฎีกา อ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฏหมาย
ศาลฎีกา เห็นว่าจำเลยมิได้อธิบายในคำฟ้องฎีกาให้แจ้งชัดว่า ข้อที่จำเลยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฏหมายนั้นคืออะไร เป็นปัญหาข้อกฏหมายอย่างไร ฎีกาของจำเลยเป็นการเถียงข้อเท็จจริงว่า ข้อเท็จจริงเท่าที่ศาลล่างฟังนั้นยังไม่ถือว่าจำเลยได้รับมอบหมายห้องจากโจทก์แล้วฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตาม ป.วิ แพ่งมาตรา ๒๔๘ ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย.
ฎีกาในปัญหาข้อกฏหมายนั้นจะต้องอธิบายในคำฟ้องฎีกาให้ชัดแจ้งว่า ข้อที่อ้างเป็นปัญหาข้อกฏหมายนั้นคืออะไรเป็นปัญหาข้อกฏหมายว่าอย่างไร
ข้อฎีกาที่ว่าข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังมานั้น ไม่ควรถือว่าจำเลยได้รับมอบหมายห้องจากโจทก์นั้น ถือว่าเป็นฎีกาข้อเท็จจริง.
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าของโจทก์ศาลชั้นต้นและศาลอุธร์พิพากษาต้องกันให้ขับไลจำเลย
จำเลยฎีกา อ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฏหมาย
ศาลฎีกา เห็นว่าจำเลยมิได้อธิบายในคำฟ้องฎีกาให้แจ้งชัดว่า ข้อที่จำเลยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฏหมายนั้นคืออะไร เป็นปัญหาข้อกฏหมายอย่างไร ฎีกาของจำเลยเป็นการเถียงข้อเท็จจริงว่า ข้อเท็จจริงเท่าที่ศาลล่างฟังนั้นยังไม่ถือว่าจำเลยได้รับมอบหมายห้องจากโจทก์แล้วฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตาม ป.วิ แพ่งมาตรา ๒๔๘ ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย.
เจ้ามรดกตาย มรดกย่อมตกทอดแก่ทายาททันที บุคคลธรรมดาที่จะเป็นทายาทและมีสิทธิรับมรดกของบุคคลใด นอกจากจะต้องมีสภาพหรือสามารถมีสิทธิตาม มาตรา1604 แล้วยังต้องมีสิทธิที่จะรับมรดกในขณะที่เจ้ามรดกตายด้วย บุตรในกรณีที่มีคำพิพากษาว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายนั้นมีผลนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ถ้าในขณะที่คำพิพากษาถึงที่สุดนั้น เป็นเวลาภายหลังเจ้ามรดกตายแล้ว และไม่มีมรดกจะรับก็ไม่มีทางจะให้เด็กนั้นได้รับมรดกได้
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกของบิดาโดยอ้างข้อที่ศาลพิพากษา ว่าเป็นบุตรเท่านั้น ไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่าเมื่อก่อนบิดาตาย บิดาได้รับรองโจทก์ว่าเป็นบุตร อันจะทำให้มีสิทธิรับมรดกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 หรือไม่ คงมีประเด็นข้อเถียงว่าคำสั่งของศาลที่แสดงไว้นั้น จะมีผลแก่โจทก์ในทางรับมรดกอย่างไรหรือไม่
โจทก์ฟ้องว่า ด.ญ.วิลัย ด.ญ.จ่าย หวานสนิท เป็นบุตรนายวุ่นตามคำสั่งศาล นายวุ่น วายชนม์จำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกไว้จึงฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกตามส่วน
จำเลยต่อสู้ว่า นายวุ่นเจ้ามรดกตาย เมื่อเดือน 12 พ.ศ. 2487 มรดกของนายวุ่น ได้ตกทอดมายังจำเลยนายแดง นายรุ่นซึ่งเป็นบุตรแล้วทันที ด.ญ.จ่าย ด.ญ.วิลัย พึ่งจะมาเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายตามคำสั่งศาลเมื่อเดือนเมษายน 2488 เวลาภายหลังความตายของนายวุ่น จึงไม่มีมรดกที่จะได้รับหรือไม่มีสิทธิได้รับมรดกตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาข้อเท็จจริงเรื่องทรัพย์แล้วพิพากษาใหม่ โดยเห็นในข้อกฎหมายว่าจำเลยมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกด้วย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามความหมายแห่งมาตรา 1604 และ 1599 นั้นเมื่อเจ้ามรดกตาย มรดกย่อมตกทอดแก่ทายาททันที ฉะนั้นบุคคลธรรมดาที่จะเป็นทายาทและมีสิทธิรับมรดกของบุคคลใดได้ นอกจากจะต้องมีสภาพหรือสามารถมีสิทธิตาม มาตรา 1604 แล้วยังต้องมีสิทธิที่จะรับมรดกได้ในขณะที่เจ้ามรดกตายด้วย ด.ญ.จ่ายและด.ญ.วิลัยนี้แม้จะมีสภาพเป็นบุคคลในเวลาที่นายวุ่นตายก็จริง แต่ในขณะที่นายวุ่นตายและมรดกตกทอดนั้น หามีสิทธิที่จะได้รับมรดกของนายวุ่นไม่เพราะขณะนั้นยังไม่ใช่บุตรของนายวุ่น จึงไม่ใช่ทายาทของนายวุ่น โดยการเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีเช่นนี้มีผลนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งเป็นเวลาภายหลังนายวุ่นตายแล้วและไม่มีมรดกจะรับ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เจ้ามรดกตาย มรดกย่อมตกทอดแก่ทายาททันที บุคคลธรรมดาที่จะเป็นทายาทและมีสิทธิรับมรดกของบุคคลใด นอกจากจะต้องมีสภาพหรือสามารถมีสิทธิตาม มาตรา1604 แล้วยังต้องมีสิทธิที่จะรับมรดกในขณะที่เจ้ามรดกตายด้วย บุตรในกรณีที่มีคำพิพากษาว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายนั้นมีผลนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ถ้าในขณะที่คำพิพากษาถึงที่สุดนั้น เป็นเวลาภายหลังเจ้ามรดกตายแล้ว และไม่มีมรดกจะรับก็ไม่มีทางจะให้เด็กนั้นได้รับมรดกได้
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกของบิดาโดยอ้างข้อที่ศาลพิพากษา ว่าเป็นบุตรเท่านั้น ไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่าเมื่อก่อนบิดาตาย บิดาได้รับรองโจทก์ว่าเป็นบุตร อันจะทำให้มีสิทธิรับมรดกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 หรือไม่ คงมีประเด็นข้อเถียงว่าคำสั่งของศาลที่แสดงไว้นั้น จะมีผลแก่โจทก์ในทางรับมรดกอย่างไรหรือไม่
โจทก์ฟ้องว่า ด.ญ.วิลัย ด.ญ.จ่าย หวานสนิท เป็นบุตรนายวุ่นตามคำสั่งศาล นายวุ่น วายชนม์จำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกไว้จึงฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกตามส่วน
จำเลยต่อสู้ว่า นายวุ่นเจ้ามรดกตาย เมื่อเดือน 12 พ.ศ. 2487 มรดกของนายวุ่น ได้ตกทอดมายังจำเลยนายแดง นายรุ่นซึ่งเป็นบุตรแล้วทันที ด.ญ.จ่าย ด.ญ.วิลัย พึ่งจะมาเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายตามคำสั่งศาลเมื่อเดือนเมษายน 2488 เวลาภายหลังความตายของนายวุ่น จึงไม่มีมรดกที่จะได้รับหรือไม่มีสิทธิได้รับมรดกตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาข้อเท็จจริงเรื่องทรัพย์แล้วพิพากษาใหม่ โดยเห็นในข้อกฎหมายว่าจำเลยมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกด้วย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามความหมายแห่งมาตรา 1604 และ 1599 นั้นเมื่อเจ้ามรดกตาย มรดกย่อมตกทอดแก่ทายาททันที ฉะนั้นบุคคลธรรมดาที่จะเป็นทายาทและมีสิทธิรับมรดกของบุคคลใดได้ นอกจากจะต้องมีสภาพหรือสามารถมีสิทธิตาม มาตรา 1604 แล้วยังต้องมีสิทธิที่จะรับมรดกได้ในขณะที่เจ้ามรดกตายด้วย ด.ญ.จ่ายและด.ญ.วิลัยนี้แม้จะมีสภาพเป็นบุคคลในเวลาที่นายวุ่นตายก็จริง แต่ในขณะที่นายวุ่นตายและมรดกตกทอดนั้น หามีสิทธิที่จะได้รับมรดกของนายวุ่นไม่เพราะขณะนั้นยังไม่ใช่บุตรของนายวุ่น จึงไม่ใช่ทายาทของนายวุ่น โดยการเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีเช่นนี้มีผลนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งเป็นเวลาภายหลังนายวุ่นตายแล้วและไม่มีมรดกจะรับ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เจ้ามฤดกตาย มฤดกย่อมตกทอดทายาททันที บุคลธรรมดาที่จะเป็นทายาทและมีสิทธิรับมฤดกของ+ได้ นอกจากจะต้องมีสภาพ+สามารถมีสิทธิตาม ม.1604 +ยังต้องมีสิทธิที่จะรับมฤดกในขณะที่เจ้ามฤดกตายด้วย
ในกรณีที่มีคำพิพากษาว่าเป็นความชอบด้วยก.ม.นั้นมีผลนับตั้งแต่+พิพากษาถึงที่สุด ถ้าในขณะที่คำพิพากษาถึงที่สุดนั้น เป็นเวลาภายหลังเจ้ามฤดกตายแล้ว และไมามีมฤดก+ไม่มีทางจะให้เด็กคนน้นได้รับมฤดกได้
โจท์ฟ้องขอแบ่งมฤดกของบิดา+ข้อที่ศาลพิพากษา ว่าเป็น+นั้น ไม่มีประเด็นที่จะต้อง+ว่า เมื่อก่อนตาย บิดา+โจทก์ว่าเป็นบุตร อันจะทำมีสิทธิรับมฤดกตามป.พ.พ.ม.+หรือไม่ คงจะมีประเด็นข้อเถียง+ขอ งศาลที่แสดงไว้นั้น จะมีผลต่อโจทก์ในทางรับมฤดกอย่างไรหรือไม่
โจทก์ฟ้องว่า ด.ญ.วิลัย ด.ญ.จ่าย หวานสนิท เป็นบุตรนายวุ่นตามคำสั่งศาล นายวุ่นวายชนม์จำเลยเป็นผู้ครอบครองมฤดกไว้ จึงฟ้องขอแบ่งทรัพย์มฤดกตามส่วน
จำเลยต่อสู้ว่า นายวุ่น เจ้ามฤดกตาย เมื่อเดือน+พ.ศ. ๒๔๘๗ มฤดกของนายวุ่น ได้ตกทอดมายังจำเลยนายแดง นายรุ่นซึ่งเป็นบุตรแล้วทันที ด.ญ.จ่าย ด.ญ.วิลัย พึ่งจะมารับเป็นบุตรชอบด้วยก.ม. ตามคำสั่งศาลเมื่อเดือน เมษายน ๒๔๘๘ เวลาภายหลังความตายของนายวุ่น จึงไม่มีมฤดกที่จะได้รับหรือไม่มีสิทธิได้รับมฤดกตามกฏหมาย
ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาข้อเท็จจริงเรื่องทรัพย์แล้วพิพากใหม่ในข้อ ก.ม. ว่าจำเลยมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมฤดกด้วย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามความหมายแห่งมาตรา ๑๖๐ และ ๑๕๙๙ นั้นเมื่อเจ้ามฤดกตาย มฤดกย่อม+ทันทีฉนั้นบุคคลธรรมดาที่จะเป็นทายาทและ+ของผู้ใดได้ นอกจากจะต้องมีสภาพหรือ+มาตรา ๑๖๐๔ แล้วยังต้องมีสิทธิจะรับมฤดก+มฤกตายด้วย ด.ญ.จ่าย ด.ญ.วิลัย+บุคคลในเวลาที่นายวุ่นตายก็จริง แต่ในขณะ+และมฤดกตกทอดนั้น หามีสิทธิที่จะได้รับมฤดกของ+เพราะขณะนั้นยังไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วย ก.ม. ในกรณี+มีผลนับตั้งแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งเป็นภายหลังของนายวุ่นตายแล้ว และไม่มีมฤดกจะรับ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาอุทธรณ์ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เจ้ามฤดกตาย มฤดกย่อมตกทอดทายาททันที บุคลธรรมดาที่จะเป็นทายาทและมีสิทธิรับมฤดกของ+ได้ นอกจากจะต้องมีสภาพ+สามารถมีสิทธิตาม ม.1604 +ยังต้องมีสิทธิที่จะรับมฤดกในขณะที่เจ้ามฤดกตายด้วย
ในกรณีที่มีคำพิพากษาว่าเป็นความชอบด้วยก.ม.นั้นมีผลนับตั้งแต่+พิพากษาถึงที่สุด ถ้าในขณะที่คำพิพากษาถึงที่สุดนั้น เป็นเวลาภายหลังเจ้ามฤดกตายแล้ว และไมามีมฤดก+ไม่มีทางจะให้เด็กคนน้นได้รับมฤดกได้
โจท์ฟ้องขอแบ่งมฤดกของบิดา+ข้อที่ศาลพิพากษา ว่าเป็น+นั้น ไม่มีประเด็นที่จะต้อง+ว่า เมื่อก่อนตาย บิดา+โจทก์ว่าเป็นบุตร อันจะทำมีสิทธิรับมฤดกตามป.พ.พ.ม.+หรือไม่ คงจะมีประเด็นข้อเถียง+ขอ งศาลที่แสดงไว้นั้น จะมีผลต่อโจทก์ในทางรับมฤดกอย่างไรหรือไม่
โจทก์ฟ้องว่า ด.ญ.วิลัย ด.ญ.จ่าย หวานสนิท เป็นบุตรนายวุ่นตามคำสั่งศาล นายวุ่นวายชนม์จำเลยเป็นผู้ครอบครองมฤดกไว้ จึงฟ้องขอแบ่งทรัพย์มฤดกตามส่วน
จำเลยต่อสู้ว่า นายวุ่น เจ้ามฤดกตาย เมื่อเดือน+พ.ศ. ๒๔๘๗ มฤดกของนายวุ่น ได้ตกทอดมายังจำเลยนายแดง นายรุ่นซึ่งเป็นบุตรแล้วทันที ด.ญ.จ่าย ด.ญ.วิลัย พึ่งจะมารับเป็นบุตรชอบด้วยก.ม. ตามคำสั่งศาลเมื่อเดือน เมษายน ๒๔๘๘ เวลาภายหลังความตายของนายวุ่น จึงไม่มีมฤดกที่จะได้รับหรือไม่มีสิทธิได้รับมฤดกตามกฏหมาย
ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาข้อเท็จจริงเรื่องทรัพย์แล้วพิพากใหม่ในข้อ ก.ม. ว่าจำเลยมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมฤดกด้วย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามความหมายแห่งมาตรา ๑๖๐ และ ๑๕๙๙ นั้นเมื่อเจ้ามฤดกตาย มฤดกย่อม+ทันทีฉนั้นบุคคลธรรมดาที่จะเป็นทายาทและ+ของผู้ใดได้ นอกจากจะต้องมีสภาพหรือ+มาตรา ๑๖๐๔ แล้วยังต้องมีสิทธิจะรับมฤดก+มฤกตายด้วย ด.ญ.จ่าย ด.ญ.วิลัย+บุคคลในเวลาที่นายวุ่นตายก็จริง แต่ในขณะ+และมฤดกตกทอดนั้น หามีสิทธิที่จะได้รับมฤดกของ+เพราะขณะนั้นยังไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วย ก.ม. ในกรณี+มีผลนับตั้งแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งเป็นภายหลังของนายวุ่นตายแล้ว และไม่มีมฤดกจะรับ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาอุทธรณ์ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เครื่องยนต์ฉุดระหัดที่มีไว้โดยมิได้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บตามประกาศควบคุมของเจ้าพนักงานออกตาม พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ เพียงแต่เป็นเครื่องชำรุดยังซ่อมแซมใช้การได้ แต่ต้องเสียค่าซ่อมแพงนั้น มิใช่เป็นเครื่องยนต์ที่ชำรุดจนถึงแก่จะต้องใช้เป็นเศษเหล็กนั้นนับว่าเข้าอยู่ในความมุ่งหมายของ พระราชบัญญัติและประกาศของเจ้าพนักงานผู้มีไว้โดยไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บ จึงมีผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคฯลฯ 2488 มาตรา 17
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเครื่องยนต์ฉุดระหัด 1 เครื่องไว้ในครอบครองโดยมิได้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษและริบของกลาง
จำเลยให้การว่า เครื่องยนต์ฉุดระหัดของกลางเป็นเครื่องชำรุด
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ได้มีประกาศฉบับหลังยกเลิกประกาศฉบับแรกแล้วจึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯไม่ควบคุมถึงเครื่องอุปโภคที่ชำรุดเสียหายใช้ไม่ได้ด้วย จึงพิพากษายืนให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เครื่องยนต์ฉุดระหัดที่จำเลยมีไว้ได้ความเพียงว่าเป็นเครื่องชำรุด จะต้องซ่อมแซมแพง มิใช่เครื่องยนต์ที่ชำรุดจนถึงแก่จะต้องใช้เป็นเศษเหล็ก จึงนับว่าเข้าอยู่ในความมุ่งหมายของพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯและประกาศของเจ้าพนักงานควบคุม
ส่วนข้อที่มีประกาศฉบับหลังยกเลิกประกาศฉบับแรกนั้น ย่อมไม่ลบล้างความผิดของจำเลย จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้ง 2 ให้ปรับจำเลย 10 บาท ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯ 2488 มาตรา 1-7 ของกลางริบ
เครื่องยนต์ฉุดระหัดที่มีไว้โดยมิได้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บตามประกาศควบคุมของเจ้าพนักงานออกตาม พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ เพียงแต่เป็นเครื่องชำรุดยังซ่อมแซมใช้การได้ แต่ต้องเสียค่าซ่อมแพงนั้น มิใช่เป็นเครื่องยนต์ที่ชำรุดจนถึงแก่จะต้องใช้เป็นเศษเหล็กนั้นนับว่าเข้าอยู่ในความมุ่งหมายของ พระราชบัญญัติและประกาศของเจ้าพนักงานผู้มีไว้โดยไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บ จึงมีผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคฯลฯ 2488 มาตรา 17
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเครื่องยนต์ฉุดระหัด 1 เครื่องไว้ในครอบครองโดยมิได้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษและริบของกลาง
จำเลยให้การว่า เครื่องยนต์ฉุดระหัดของกลางเป็นเครื่องชำรุด
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ได้มีประกาศฉบับหลังยกเลิกประกาศฉบับแรกแล้วจึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯไม่ควบคุมถึงเครื่องอุปโภคที่ชำรุดเสียหายใช้ไม่ได้ด้วย จึงพิพากษายืนให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เครื่องยนต์ฉุดระหัดที่จำเลยมีไว้ได้ความเพียงว่าเป็นเครื่องชำรุด จะต้องซ่อมแซมแพง มิใช่เครื่องยนต์ที่ชำรุดจนถึงแก่จะต้องใช้เป็นเศษเหล็ก จึงนับว่าเข้าอยู่ในความมุ่งหมายของพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯและประกาศของเจ้าพนักงานควบคุม
ส่วนข้อที่มีประกาศฉบับหลังยกเลิกประกาศฉบับแรกนั้น ย่อมไม่ลบล้างความผิดของจำเลย จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้ง 2 ให้ปรับจำเลย 10 บาท ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯ 2488 มาตรา 1-7 ของกลางริบ
เครื่องยนตร์ฉุดระหัดที่มีไว้โดยมิได้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บตามประกาศควบคุมของเจ้าพนักงานออกตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ เพียงแต่เป็นเครื่องชำรุดซึ่งซ่อมแซมใช้การได้ แต่ต้องเสียค่าซ่อมแพงนั้น มิใช่เป็นเครื่องยนต์ที่ชำรุดจนถึงแก่จะต้องใช้เป็นเศษเหล็กนั้น นับว่าเข้าอยู่ในความมุ่งหมายของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ และประกาศของเจ้าพักงานผู้มีไว้โดยไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บ จึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ 2488 มาตรา 17
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเครื่องยนตร์ฉุดระหัด ๑ เครื่องไว้ในครอบครอง โดยมิได้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บตาม ก.ม. ขอให้ลงโทษและริบของกลาง
จำเลยให้การว่า เครื่องยนตร์ฉุดระหัดของกลางเป็นเครื่องชำรุด
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ได้มีประกาศฉบับหลังยกเลิกประกาศฉบับแรกแล้ว จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ ไม่ควบคุมถึงเครื่องอุปโภคที่ชำรุดเสียกายใช้ไม่ได้ด้วย จึงพิพากษายืนให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เครื่องยนต์ฉุดระหัดที่จำเลยมีไว้ ได้ความเพียงว่าเป็นเครื่องชำรุด จะต้องซ่อมแซมแพง มิใช่เครื่องยนตร์ที่ชำรุดจนถึงแก่จะต้องใช้เป็นเศษเหล็ก จึงนับว่าเข้าอยู่ในความมุ่งหมายของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ และประกาศของเจ้าพนักงานควบคุม
ส่วนข้อที่มีประกาศฉบับหลังยกเลิกประกาศฉบับแรกนั้น ย่อมไม่ลบล้างความผิดของจำเลย จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้ง ๒ ให้ปรับจำเลย ๑๐ บาท ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ ๒๔๘๘ มาตรา๑-๗ ของกลางริบ.
เครื่องยนตร์ฉุดระหัดที่มีไว้โดยมิได้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บตามประกาศควบคุมของเจ้าพนักงานออกตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ เพียงแต่เป็นเครื่องชำรุดซึ่งซ่อมแซมใช้การได้ แต่ต้องเสียค่าซ่อมแพงนั้น มิใช่เป็นเครื่องยนต์ที่ชำรุดจนถึงแก่จะต้องใช้เป็นเศษเหล็กนั้น นับว่าเข้าอยู่ในความมุ่งหมายของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ และประกาศของเจ้าพักงานผู้มีไว้โดยไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บ จึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ 2488 มาตรา 17
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเครื่องยนตร์ฉุดระหัด ๑ เครื่องไว้ในครอบครอง โดยมิได้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บตาม ก.ม. ขอให้ลงโทษและริบของกลาง
จำเลยให้การว่า เครื่องยนตร์ฉุดระหัดของกลางเป็นเครื่องชำรุด
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ได้มีประกาศฉบับหลังยกเลิกประกาศฉบับแรกแล้ว จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ ไม่ควบคุมถึงเครื่องอุปโภคที่ชำรุดเสียกายใช้ไม่ได้ด้วย จึงพิพากษายืนให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เครื่องยนต์ฉุดระหัดที่จำเลยมีไว้ ได้ความเพียงว่าเป็นเครื่องชำรุด จะต้องซ่อมแซมแพง มิใช่เครื่องยนตร์ที่ชำรุดจนถึงแก่จะต้องใช้เป็นเศษเหล็ก จึงนับว่าเข้าอยู่ในความมุ่งหมายของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ และประกาศของเจ้าพนักงานควบคุม
ส่วนข้อที่มีประกาศฉบับหลังยกเลิกประกาศฉบับแรกนั้น ย่อมไม่ลบล้างความผิดของจำเลย จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้ง ๒ ให้ปรับจำเลย ๑๐ บาท ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ ๒๔๘๘ มาตรา๑-๗ ของกลางริบ.
จำเลยฟ้องแย้งโจทก์ แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วจำเลยมิได้ติดใจอุทธรณ์ในเรื่องเรียกร้องเงิน จากโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยฟ้องแย้งไว้ และทั้งมิได้ฎีกาเรียกร้องทุนทรัพย์ตามฟ้องแย้งของจำเลยเป็นแต่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้องของโจทก์ เท่านั้น ดังนี้ จำเลยไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลและค่าคำบังคับ สำหรับฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาขายไม่ให้โจทก์โดยจะลากเข็นมาส่งริมตลิ่งลำน้ำสะแกกรัง จำเลยได้รับเงินล่วงหน้าไปแล้ว 1,000 บาทแต่ส่งไม้มาให้เพียง 9 ท่อนราคา 315 บาท แล้วไม่ส่งไม้มาอีกโจทก์จึงขอให้จำเลยส่งเงินคืนพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยฟ้องแย้ง อ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ผิดสัญญา ต้องใช้ค่าเสียหายที่ไม้เสื่อมราคาให้จำเลย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยผิดสัญญา พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้เงินโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ แต่ที่ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลและค่าคำบังคับสำหรับฟ้องแย้งจากจำเลยเป็นอีกจำนวนหนึ่งนั้น เป็นการเรียกเกินไปเพราะจำเลยมิได้ติดใจอุทธรณ์ในเรื่องเรียกร้องเงินจากโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยฟ้องแย้ง และทั้งมิได้ฎีกาเรียกร้องทุนทรัพย์ตามฟ้องแย้งของจำเลย จึงให้คืนค่าธรรมเนียมนั้นให้จำเลย
จำเลยฟ้องแย้งโจทก์ แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วจำเลยมิได้ติดใจอุทธรณ์ในเรื่องเรียกร้องเงิน จากโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยฟ้องแย้งไว้ และทั้งมิได้ฎีกาเรียกร้องทุนทรัพย์ตามฟ้องแย้งของจำเลยเป็นแต่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้องของโจทก์ เท่านั้น ดังนี้ จำเลยไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลและค่าคำบังคับ สำหรับฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาขายไม่ให้โจทก์โดยจะลากเข็นมาส่งริมตลิ่งลำน้ำสะแกกรัง จำเลยได้รับเงินล่วงหน้าไปแล้ว 1,000 บาทแต่ส่งไม้มาให้เพียง 9 ท่อนราคา 315 บาท แล้วไม่ส่งไม้มาอีกโจทก์จึงขอให้จำเลยส่งเงินคืนพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยฟ้องแย้ง อ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ผิดสัญญา ต้องใช้ค่าเสียหายที่ไม้เสื่อมราคาให้จำเลย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยผิดสัญญา พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้เงินโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ แต่ที่ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลและค่าคำบังคับสำหรับฟ้องแย้งจากจำเลยเป็นอีกจำนวนหนึ่งนั้น เป็นการเรียกเกินไปเพราะจำเลยมิได้ติดใจอุทธรณ์ในเรื่องเรียกร้องเงินจากโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยฟ้องแย้ง และทั้งมิได้ฎีกาเรียกร้องทุนทรัพย์ตามฟ้องแย้งของจำเลย จึงให้คืนค่าธรรมเนียมนั้นให้จำเลย
จำเลยฟ้องแย้งโจทก์ แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว จำเลยได้มิได้ติดใจอุทธรณ์ในเรื่องเรียกร้องเงินจากโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยฟ้องแย้งไว้ และทั้งมิได้ฎีกาเรียกร้องทุนทรัพย์ตามฟ้องแย้งของจำเลย เป็นแต่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้องของโจทก์ เท่านั้นดังนี้ จำเลยไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลและค่าคำบังคับ สำหรับฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาขายไม้ให้โจทก์ โดยจะลากเข็นมาส่งริมตลิ่งลำน้ำสะแกกรัง จำเลยได้รับเงินล่วงหน้าไปแล้ว ๑๐๐๐ บาท แต่ส่งไม้มาให้เพียง ๕ ท่อน ราคา ๓๑๕ บาท แล้วไม่ส่งไม้มาอีก โจทก์จึงขอให้จำเลยส่งเงินคืนพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยฟ้องแย้ง อ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ผิดสัญญา ต้องใช้ค่าเสียหายที่ไม้เสื่อมราคาให้จำเลย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยผิดสัญญา พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้เงินโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ แต่ที่ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลและค่าคำบังคับสำหรับฟ้องแย้งจากจำเลยเป็นอีกจำนวนหนึ่งนั้น เป็นการเรียกเกินไป เพราะจำเลยมิได้ติดใจอุทธรณ์ในเรื่องเรียกร้องเงินจากโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยฟ้องแย้ง และทั้งมิได้ฎีกาเรียกร้องทุนทรัพย์ตามฟ้องแย้งของจำเลย จำให้คืนค่าธรรมเนียมนั้นให้จำเลย
จำเลยฟ้องแย้งโจทก์ แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว จำเลยได้มิได้ติดใจอุทธรณ์ในเรื่องเรียกร้องเงินจากโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยฟ้องแย้งไว้ และทั้งมิได้ฎีกาเรียกร้องทุนทรัพย์ตามฟ้องแย้งของจำเลย เป็นแต่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้องของโจทก์ เท่านั้นดังนี้ จำเลยไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลและค่าคำบังคับ สำหรับฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาขายไม้ให้โจทก์ โดยจะลากเข็นมาส่งริมตลิ่งลำน้ำสะแกกรัง จำเลยได้รับเงินล่วงหน้าไปแล้ว ๑๐๐๐ บาท แต่ส่งไม้มาให้เพียง ๕ ท่อน ราคา ๓๑๕ บาท แล้วไม่ส่งไม้มาอีก โจทก์จึงขอให้จำเลยส่งเงินคืนพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยฟ้องแย้ง อ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ผิดสัญญา ต้องใช้ค่าเสียหายที่ไม้เสื่อมราคาให้จำเลย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยผิดสัญญา พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้เงินโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ แต่ที่ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลและค่าคำบังคับสำหรับฟ้องแย้งจากจำเลยเป็นอีกจำนวนหนึ่งนั้น เป็นการเรียกเกินไป เพราะจำเลยมิได้ติดใจอุทธรณ์ในเรื่องเรียกร้องเงินจากโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยฟ้องแย้ง และทั้งมิได้ฎีกาเรียกร้องทุนทรัพย์ตามฟ้องแย้งของจำเลย จำให้คืนค่าธรรมเนียมนั้นให้จำเลย
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|