ทำสัญญาจะขายที่ดินกันแล้ว คู่สัญญาไปขอทำการโอนที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินในเรื่องนี้ตลอดมาไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทำการโอน เหตุที่ทางอำเภอยังไม่โอนให้ ก็เพราะรอฟังคำสั่งกรมที่ดินอยู่เท่านั้น ซึ่งในระหว่างนั้นทางการก็ยังดำเนินการพิจารณาเรื่องราวที่ขอโอนอยู่ ดังนี้ ไม่ถือว่าการโอนหรือการชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยอันจะทำให้ผู้ขายหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามมาตรา 219และถือว่าสัญญาจะซื้อขายคงมีผูกพันต่อกันอยู่ ผู้ขายจะถือเอาการที่เจ้าพนักงานยังมิได้ทำสัญญาให้ดังกล่าวแล้ว เป็นเหตุบอกเลิกสัญญาไม่ได้
พฤติการณ์ที่ถือได้ว่าลูกหนี้ละเลยไม่ชำระหนี้ของตน
ทำสัญญาจะขายทรัพย์สินแก่ผู้ซื้อซึ่งร่วมกันหลายคน ถือว่าผู้ซื้อแต่ละคนเป็นเจ้าหนี้ร่วมกันตามมาตรา 298 เจ้าหนี้ร่วมเพียงคนเดียวก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะมอบอำนาจให้ผู้แทนฟ้องลูกหนี้ให้ชำระหนี้ทั้งหมดได้
โจทก์ฟ้องคดีอ้างว่าได้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้คนหนึ่งให้ฟ้องจำเลยโดยส่งสำเนาใบมอบอำนาจพร้อมกับฟ้อง จำเลยต่อสู้ในเรื่องอำนาจฟ้องเพียงว่าใบมอบอำนาจฟ้องร้องไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายในวันชี้สองสถาน จำเลยแถลงว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะเจ้าหนี้ร่วมอีก 2 คน มิได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้อง มิได้โต้แย้งในเรื่องความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจนั้นแต่ประการใด จนเมื่อศาลสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว จำเลยจึงยกเป็นข้ออ้างว่าโจทก์ไม่ได้ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจดังนี้ถือว่าไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจ และถือได้ว่าจำเลยยอมรับในความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจนั้นแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะขายทรัพย์ต่าง ๆ ของบริษัทแก่นายโชติ ล่ำซำ นายจุลินทร์ ล่ำซำและนางทองพูล ล่ำซำ รวมราคา 76,685 บาท แต่จำเลยบิดพลิ้วไม่ยอมโอนให้ โจทก์ได้รับมอบอำนาจจากนายโชติ ล่ำซำ จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้โอนทรัพย์ที่ยังไม่ได้โอนให้แก่โจทก์ตามสัญญา ได้ส่งสำเนาใบมอบอำนาจมาพร้อมฟ้องด้วย
จำเลยให้การต่อสู้ว่า การที่บริษัทจำเลยยังมิได้ทำสัญญาโอนให้นั้นเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมทำสัญญาให้ ซึ่งมิใช่ความผิดของบริษัท กับต่อสู้ว่า ใบมอบอำนาจฟ้องร้องไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สำเนาใบมอบอำนาจท้ายฟ้องเป็นสำเนาถูกต้องเพราะจำเลยไม่ได้โต้เถียงว่า ไม่มีการมอบอำนาจเป็นแต่เพียงว่าการมอบอำนาจไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย และเห็นว่า การที่เจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมทำสัญญาให้โจทก์เป็นการสมควร และเป็นพฤติการณ์อันหนึ่งซึ่งทำให้ลูกหนี้ คือจำเลยไม่จำต้องรับผิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยโอนทรัพย์ทั้งหมดที่ยังไม่ได้โอนให้แก่โจทก์ตามสัญญา
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า นายโชติ ล่ำซำเป็นเจ้าหนี้ร่วมคนหนึ่งย่อมมีสิทธิมอบอำนาจให้นายกำพล ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ให้ชำระหนี้ทั้งหมดได้
ข้อที่จำเลยคัดค้านว่า โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับใบมอบอำนาจต่อศาลส่งแต่สำเนาจะฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้นในคำให้การของจำเลยต่อสู้แต่เพียงว่า ใบมอบอำนาจฟ้องร้องไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายและในวันชี้สองสถาน จำเลยแถลงว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะนายจุลินทร์ นางทองพูลมิได้มอบอำนาจให้นายโชติฟ้องคดีแทน แต่นายโชติมอบอำนาจฟ้องร้องให้แก่นายกำพลขึ้นเองดังปรากฏตามใบมอบอำนาจท้ายฟ้องโจทก์นั้น จำเลยมิได้แย้งในเรื่องความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจนั้นแต่ประการใด เพิ่งมายกขึ้นเป็นข้ออ้างว่าโจทก์ไม่ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจ เมื่อศาลสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จสิ้นไปแล้วฉะนั้นที่ศาลล่างวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่นำต้นฉบับใบมอบอำนาจมาแสดงก็ใช้ได้นั้น จึงเป็นการชอบแล้ว เพราะคดีไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจ ต้องถือว่าจำเลยยอมรับในความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจนั้นแล้ว
ส่วนในข้อเท็จจริงนั้นเห็นว่า เมื่อโจทก์จำเลยไปขอทำการโอนที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วก็ได้มีการดำเนินในเรื่องนี้ตลอดมา ไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทำการการโอน เหตุที่อำเภอยังไม่โอนให้ก็เพราะรอฟังคำสั่งกรมที่ดินอยู่เท่านั้น ซึ่งในระหว่างนี้ทางการก็ยังดำเนินการพิจารณาเรื่องราวขอโอนอยู่ รูปคดีไม่มีทางจะถือได้ว่า การโอนหรือการชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยอันจะทำให้จำเลยหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 สัญญาระหว่างโจทก์จำเลย ยังมีผลผูกพันต่อกันอยู่ จำเลยจะถือเอาการที่เจ้าพนักงานยังมิได้ทำสัญญาให้ดังกล่าวมาแล้วเป็นเหตุบอกเลิกสัญญาไม่ได้นอกจากนั้นก่อนฟ้องนายเจียนฟัด ผู้จัดการบริษัทจำเลยได้มีหนังสือถึงโจทก์ ขอเพิ่มราคาและขอทำสัญญาใหม่ เมื่อฟ้องแล้ว จำเลยได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์ และขอถอนคำร้องขอโอนที่ดินรายนี้เสียพฤติการณ์เหล่านี้ประกอบกับโจทก์ได้ตักเตือนให้จำเลยทำการโอนโรงสีเสียก่อน โดยทางกรมพาณิชย์สั่งอนุญาตให้ทำการโอนได้แล้วจำเลยก็เพิกเฉยเสีย ย่อมถือได้ว่าจำเลยละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตน โจทก์ชอบที่จะฟ้องให้ศาลสั่งบังคับชำระหนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213จึงพิพากษายืน
ทำสัญญาจะขายที่ดินกันแล้ว คู่สัญญาไปขอทำการโอนที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินในเรื่องนี้ตลอดมาไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทำการโอน เหตุที่ทางอำเภอยังไม่โอนให้ ก็เพราะรอฟังคำสั่งกรมที่ดินอยู่เท่านั้น ซึ่งในระหว่างนั้นทางการก็ยังดำเนินการพิจารณาเรื่องราวที่ขอโอนอยู่ ดังนี้ ไม่ถือว่าการโอนหรือการชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยอันจะทำให้ผู้ขายหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามมาตรา 219และถือว่าสัญญาจะซื้อขายคงมีผูกพันต่อกันอยู่ ผู้ขายจะถือเอาการที่เจ้าพนักงานยังมิได้ทำสัญญาให้ดังกล่าวแล้ว เป็นเหตุบอกเลิกสัญญาไม่ได้
พฤติการณ์ที่ถือได้ว่าลูกหนี้ละเลยไม่ชำระหนี้ของตน
ทำสัญญาจะขายทรัพย์สินแก่ผู้ซื้อซึ่งร่วมกันหลายคน ถือว่าผู้ซื้อแต่ละคนเป็นเจ้าหนี้ร่วมกันตามมาตรา 298 เจ้าหนี้ร่วมเพียงคนเดียวก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะมอบอำนาจให้ผู้แทนฟ้องลูกหนี้ให้ชำระหนี้ทั้งหมดได้
โจทก์ฟ้องคดีอ้างว่าได้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้คนหนึ่งให้ฟ้องจำเลยโดยส่งสำเนาใบมอบอำนาจพร้อมกับฟ้อง จำเลยต่อสู้ในเรื่องอำนาจฟ้องเพียงว่าใบมอบอำนาจฟ้องร้องไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายในวันชี้สองสถาน จำเลยแถลงว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะเจ้าหนี้ร่วมอีก 2 คน มิได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้อง มิได้โต้แย้งในเรื่องความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจนั้นแต่ประการใด จนเมื่อศาลสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว จำเลยจึงยกเป็นข้ออ้างว่าโจทก์ไม่ได้ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจดังนี้ถือว่าไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจ และถือได้ว่าจำเลยยอมรับในความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจนั้นแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะขายทรัพย์ต่าง ๆ ของบริษัทแก่นายโชติ ล่ำซำ นายจุลินทร์ ล่ำซำและนางทองพูล ล่ำซำ รวมราคา 76,685 บาท แต่จำเลยบิดพลิ้วไม่ยอมโอนให้ โจทก์ได้รับมอบอำนาจจากนายโชติ ล่ำซำ จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้โอนทรัพย์ที่ยังไม่ได้โอนให้แก่โจทก์ตามสัญญา ได้ส่งสำเนาใบมอบอำนาจมาพร้อมฟ้องด้วย
จำเลยให้การต่อสู้ว่า การที่บริษัทจำเลยยังมิได้ทำสัญญาโอนให้นั้นเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมทำสัญญาให้ ซึ่งมิใช่ความผิดของบริษัท กับต่อสู้ว่า ใบมอบอำนาจฟ้องร้องไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สำเนาใบมอบอำนาจท้ายฟ้องเป็นสำเนาถูกต้องเพราะจำเลยไม่ได้โต้เถียงว่า ไม่มีการมอบอำนาจเป็นแต่เพียงว่าการมอบอำนาจไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย และเห็นว่า การที่เจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมทำสัญญาให้โจทก์เป็นการสมควร และเป็นพฤติการณ์อันหนึ่งซึ่งทำให้ลูกหนี้ คือจำเลยไม่จำต้องรับผิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยโอนทรัพย์ทั้งหมดที่ยังไม่ได้โอนให้แก่โจทก์ตามสัญญา
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า นายโชติ ล่ำซำเป็นเจ้าหนี้ร่วมคนหนึ่งย่อมมีสิทธิมอบอำนาจให้นายกำพล ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ให้ชำระหนี้ทั้งหมดได้
ข้อที่จำเลยคัดค้านว่า โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับใบมอบอำนาจต่อศาลส่งแต่สำเนาจะฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้นในคำให้การของจำเลยต่อสู้แต่เพียงว่า ใบมอบอำนาจฟ้องร้องไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายและในวันชี้สองสถาน จำเลยแถลงว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะนายจุลินทร์ นางทองพูลมิได้มอบอำนาจให้นายโชติฟ้องคดีแทน แต่นายโชติมอบอำนาจฟ้องร้องให้แก่นายกำพลขึ้นเองดังปรากฏตามใบมอบอำนาจท้ายฟ้องโจทก์นั้น จำเลยมิได้แย้งในเรื่องความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจนั้นแต่ประการใด เพิ่งมายกขึ้นเป็นข้ออ้างว่าโจทก์ไม่ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจ เมื่อศาลสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จสิ้นไปแล้วฉะนั้นที่ศาลล่างวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่นำต้นฉบับใบมอบอำนาจมาแสดงก็ใช้ได้นั้น จึงเป็นการชอบแล้ว เพราะคดีไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจ ต้องถือว่าจำเลยยอมรับในความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจนั้นแล้ว
ส่วนในข้อเท็จจริงนั้นเห็นว่า เมื่อโจทก์จำเลยไปขอทำการโอนที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วก็ได้มีการดำเนินในเรื่องนี้ตลอดมา ไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทำการการโอน เหตุที่อำเภอยังไม่โอนให้ก็เพราะรอฟังคำสั่งกรมที่ดินอยู่เท่านั้น ซึ่งในระหว่างนี้ทางการก็ยังดำเนินการพิจารณาเรื่องราวขอโอนอยู่ รูปคดีไม่มีทางจะถือได้ว่า การโอนหรือการชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยอันจะทำให้จำเลยหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 สัญญาระหว่างโจทก์จำเลย ยังมีผลผูกพันต่อกันอยู่ จำเลยจะถือเอาการที่เจ้าพนักงานยังมิได้ทำสัญญาให้ดังกล่าวมาแล้วเป็นเหตุบอกเลิกสัญญาไม่ได้นอกจากนั้นก่อนฟ้องนายเจียนฟัด ผู้จัดการบริษัทจำเลยได้มีหนังสือถึงโจทก์ ขอเพิ่มราคาและขอทำสัญญาใหม่ เมื่อฟ้องแล้ว จำเลยได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์ และขอถอนคำร้องขอโอนที่ดินรายนี้เสียพฤติการณ์เหล่านี้ประกอบกับโจทก์ได้ตักเตือนให้จำเลยทำการโอนโรงสีเสียก่อน โดยทางกรมพาณิชย์สั่งอนุญาตให้ทำการโอนได้แล้วจำเลยก็เพิกเฉยเสีย ย่อมถือได้ว่าจำเลยละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตน โจทก์ชอบที่จะฟ้องให้ศาลสั่งบังคับชำระหนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213จึงพิพากษายืน
ทำสัญญาขายที่ดินกันแล้ว คู่สัญญาไปขอทำการโอนที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินในเรื่องนี้ตลอดมา ไม่ปรากฎว่าเจ้าพนักงานได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทำการโอน เหตุทางอำเภอยังไม่โอนให้ ก็เพราะรอฟังคำสั่งกรมที่ดินอยู่เท่านั้น ซึ่งในระหว่างนั้นทางการยังดำเนินการพิจารณาเรื่องราวที่ขอโอนอยู่ ดังนี้ไม่ถือว่าการโอนหรือการชำระหนี้เป็ฯพ้นวิสัยอันจะทำให้ผู้ขายหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามมาตรา 219 และถือว่า สัญญาซื้อขายจะถือเอาการที่เจ้าพนักงานยังมิได้ทำสัญญาให้ดังกล่าวแล้ว เป็นเหตุบอกเลิกสัญญาไม่ได้
พฤติการณ์ที่ถือได้ว่า ลูกหนี้ละเลยไม่ชำระหนี้ของตน
ทำสัญญาจะขายทรัพย์สินแก่ผู้ซื้อซึ่งร่วมกันหลายคน ถือว่าผู้ซื้อแต่ละคนเป็นเจ้าหนึ้ร่วมกันตามมาตรา 298 เจ้าหนี้ร่วมเพียงคนเดียวก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะมอบอำนาจให้ผูแทนฟ้องลูกหนี้ให้ชำระหนี้ทั้งหมดได้
โจทก์ฟ้องคดีอ้างว่าได้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้คนหนึ่งให้ฟ้องจำเลยโดยส่งสำเนาใบมอบอำนาจพร้อมกับฟ้อง จำเลยต่อสู้ในเรื่องอำนาจฟ้องเพียงว่าใบมอบอำนาจฟ้องร้องไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย ในวันชี้สองสถาน จำเลยแถลงว่าโจทก์ไมีมีอำนาจฟ้อง เพราะเจ้าหนี้ร่วมอีก2คน มิได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้อง ิได้โต้แย้งในเรื่องความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจนั้นแต่ประการใด จนเมื่อศาลสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว จำเลยจึงยกเป็นข้ออ้างว่าโจทก์ไม่ได้ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจ ดังนี้ถือว่าไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความจริงแห่งใบมอบอำนาจ และถือได้ว่าจำเลยยอมรับในความแท้จริง แห่งใบมอบอำนาจนั้นแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะขายทรัพย์ต่างๆของบริษัทแก่นายโชติ นายโชติ ล่ำซำ,นายจุลินทร์ ล่ำซำและนางทองพูน ล่ำซำ รวมราคา ๗๖๖๘๕ บาทแต่จำเลยบิดพลิ้วไม่ยอมโอนให้ โจทก์ได้รับมอบอำนาจจากนายโชติ ล่ำซำ จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้โอนทรัพย์ที่ยังไม่ได้โอนให้แก่โจทก์ตามสัญญา ได้ส่งสำเนาใบมอบอำนาจมาพร้อมฟ้องด้วย.
จำเลยให้การต่อสู้ว่า การที่ทางบริษัทยังมิได้ทำสัญญาโอนให้นั้นเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมทำสัญญาให้ ซึ่งมิใช่ความผิดของบริษัท กับต่อสู้ว่า ใบมอบอำนาจไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สำเนามอบอำนาจท้ายฟ้องเป็นสำเนาถูกต้อง เพราะจำเลยมิได้โต้เถียงว่า ไม่มีการมอบอำนาจ เป็นแต่เถียงว่า การมอบอำนาจนั้นไม่ถูกชอบด้วยกฎหมาย และเห็นว่า การที่เจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมทำสัญญาให้โจทก์เป็นการสมควร และพฤติกรรมอันหนึ่งซึ่งทำให้ลูกหนี้คือจำเลยไม่ต้องรับผิดตาม ป.ม.แพ่งฯ ม.๒๐๔ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยโอนทรัพย์สินทั้งหมดที่ยังไม่ได้โอนให้แก่โจทก์ตามสัญญา
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า นายโชติ ล่ำซำ เป็นเจ้าหนี้ร่วมคนหนึ่งย่อมมีสิทธิ์มอบอำนาจให้นายกำพล ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ให้ชำระหนี้ทั้งหมดได้
ข้อที่จำเลยค้านว่า โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับใบมอบอำนาจต่อศาล ส่งแต่สำเนาฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้นในคำให้การของจำเลยต่อสู้แต่เพียงว่า ใบมอบอำนาจฟ้องร้องไม่ถูกชอบด้วยกฏหมาย และในวันชี้สองสถาน จำเลยแถลงว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะนายจุลินทร์ นางทองพูลมิได้มอบอำนาจให้นายโชติฟ้องคดีแทน แต่นายโชติมอบอำนาจฟ้องร้องให้แก่นายกำพลขึ้นเองดังปรากฏตามใบมอบอำนาจท้ายฟ้องโจทก์นั้น จำเลยมิได้แย้งในเรื่องความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจนั้นแต่ประการใด เพิ่งมายกขึ้นเป็นข้ออ้างว่าโจทก์ไม่ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจ เมื่อศาลสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จสิ้นไปแล้ว ฉะนั้นศาลล่างวินิฉัยว่า โจทก์ไม่นำต้นฉบับใบมอบอำนาจมาแสดงก็ใช้ใด้นั้น จึงเป็นการชอบแล้ว เพราะคดีไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจ ต้องถือว่าจำเลยยอมรับในความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจนั้นแล้ว
ส่วนในข้อเท็จจริงนั้นเห็นว่า เมื่อโจทก์จำเลยไปขอทำการโอนที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วก็ได้มีการดำเนินในเรื่องนี้ตลอดมา ไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทำการโอน เหตุอำเภอยังไม่โอนให้ก็เพราะรอฟังคำสั่งกรมที่ดินอยู่เท่านั้น ซึ่งอยู่ในระหว่างนี้ทางการก็ยังดำเนินการพิจารณาเรื่องราวขอโอนอยู่ รูปคดีไม่มีทางจะถือได้ว่า การโอนหรือการชำระหนี้ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๒๑๙ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลย ยังมีผูกพันต่อกันอยู่ จำเลยจะถือเอาการที่เจ้าพนักงานยังมิได้ทำสัญญาให้ดังกล่าวมาแล้วเป็นเหตุบอกเลิกสัญญาไม่ได้ นอกจากนั้นก่อนฟ้องนายเจียนพัด ผู้จัดการจำเลยได้มีหนังสือถึงโจทก์ ขอเพิ่มราคาและขอสัญญาใหม่ เมื่อฟ้องแล้ว จำเลยได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์ และขอถอนคำร้องขอโอนที่ดินรายนี้เสีย พฤติการณ์เหล่านี้ประกอบกับโจทก์ได้ตักเตือนให้จำเลยทำการโอนโรงสีเสียก่อน โดยทางกรมพาณิชย์สั่งอนุญาตให้ทำการโอนได้แล้ว จำเลยก็เพิกเฉยเสีย ย่อมถือได้ว่าจำเลยละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตน โจทก์ชอบที่จะฟ้องให้ศาลสั่งบังคับชำระหนี้ได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๒๑๓ จึงพิพากษายืน
ทำสัญญาขายที่ดินกันแล้ว คู่สัญญาไปขอทำการโอนที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินในเรื่องนี้ตลอดมา ไม่ปรากฎว่าเจ้าพนักงานได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทำการโอน เหตุทางอำเภอยังไม่โอนให้ ก็เพราะรอฟังคำสั่งกรมที่ดินอยู่เท่านั้น ซึ่งในระหว่างนั้นทางการยังดำเนินการพิจารณาเรื่องราวที่ขอโอนอยู่ ดังนี้ไม่ถือว่าการโอนหรือการชำระหนี้เป็ฯพ้นวิสัยอันจะทำให้ผู้ขายหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามมาตรา 219 และถือว่า สัญญาซื้อขายจะถือเอาการที่เจ้าพนักงานยังมิได้ทำสัญญาให้ดังกล่าวแล้ว เป็นเหตุบอกเลิกสัญญาไม่ได้
พฤติการณ์ที่ถือได้ว่า ลูกหนี้ละเลยไม่ชำระหนี้ของตน
ทำสัญญาจะขายทรัพย์สินแก่ผู้ซื้อซึ่งร่วมกันหลายคน ถือว่าผู้ซื้อแต่ละคนเป็นเจ้าหนึ้ร่วมกันตามมาตรา 298 เจ้าหนี้ร่วมเพียงคนเดียวก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะมอบอำนาจให้ผูแทนฟ้องลูกหนี้ให้ชำระหนี้ทั้งหมดได้
โจทก์ฟ้องคดีอ้างว่าได้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้คนหนึ่งให้ฟ้องจำเลยโดยส่งสำเนาใบมอบอำนาจพร้อมกับฟ้อง จำเลยต่อสู้ในเรื่องอำนาจฟ้องเพียงว่าใบมอบอำนาจฟ้องร้องไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย ในวันชี้สองสถาน จำเลยแถลงว่าโจทก์ไมีมีอำนาจฟ้อง เพราะเจ้าหนี้ร่วมอีก2คน มิได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้อง ิได้โต้แย้งในเรื่องความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจนั้นแต่ประการใด จนเมื่อศาลสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว จำเลยจึงยกเป็นข้ออ้างว่าโจทก์ไม่ได้ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจ ดังนี้ถือว่าไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความจริงแห่งใบมอบอำนาจ และถือได้ว่าจำเลยยอมรับในความแท้จริง แห่งใบมอบอำนาจนั้นแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะขายทรัพย์ต่างๆของบริษัทแก่นายโชติ นายโชติ ล่ำซำ,นายจุลินทร์ ล่ำซำและนางทองพูน ล่ำซำ รวมราคา ๗๖๖๘๕ บาทแต่จำเลยบิดพลิ้วไม่ยอมโอนให้ โจทก์ได้รับมอบอำนาจจากนายโชติ ล่ำซำ จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้โอนทรัพย์ที่ยังไม่ได้โอนให้แก่โจทก์ตามสัญญา ได้ส่งสำเนาใบมอบอำนาจมาพร้อมฟ้องด้วย.
จำเลยให้การต่อสู้ว่า การที่ทางบริษัทยังมิได้ทำสัญญาโอนให้นั้นเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมทำสัญญาให้ ซึ่งมิใช่ความผิดของบริษัท กับต่อสู้ว่า ใบมอบอำนาจไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สำเนามอบอำนาจท้ายฟ้องเป็นสำเนาถูกต้อง เพราะจำเลยมิได้โต้เถียงว่า ไม่มีการมอบอำนาจ เป็นแต่เถียงว่า การมอบอำนาจนั้นไม่ถูกชอบด้วยกฎหมาย และเห็นว่า การที่เจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมทำสัญญาให้โจทก์เป็นการสมควร และพฤติกรรมอันหนึ่งซึ่งทำให้ลูกหนี้คือจำเลยไม่ต้องรับผิดตาม ป.ม.แพ่งฯ ม.๒๐๔ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยโอนทรัพย์สินทั้งหมดที่ยังไม่ได้โอนให้แก่โจทก์ตามสัญญา
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า นายโชติ ล่ำซำ เป็นเจ้าหนี้ร่วมคนหนึ่งย่อมมีสิทธิ์มอบอำนาจให้นายกำพล ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ให้ชำระหนี้ทั้งหมดได้
ข้อที่จำเลยค้านว่า โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับใบมอบอำนาจต่อศาล ส่งแต่สำเนาฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้นในคำให้การของจำเลยต่อสู้แต่เพียงว่า ใบมอบอำนาจฟ้องร้องไม่ถูกชอบด้วยกฏหมาย และในวันชี้สองสถาน จำเลยแถลงว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะนายจุลินทร์ นางทองพูลมิได้มอบอำนาจให้นายโชติฟ้องคดีแทน แต่นายโชติมอบอำนาจฟ้องร้องให้แก่นายกำพลขึ้นเองดังปรากฏตามใบมอบอำนาจท้ายฟ้องโจทก์นั้น จำเลยมิได้แย้งในเรื่องความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจนั้นแต่ประการใด เพิ่งมายกขึ้นเป็นข้ออ้างว่าโจทก์ไม่ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจ เมื่อศาลสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จสิ้นไปแล้ว ฉะนั้นศาลล่างวินิฉัยว่า โจทก์ไม่นำต้นฉบับใบมอบอำนาจมาแสดงก็ใช้ใด้นั้น จึงเป็นการชอบแล้ว เพราะคดีไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจ ต้องถือว่าจำเลยยอมรับในความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจนั้นแล้ว
ส่วนในข้อเท็จจริงนั้นเห็นว่า เมื่อโจทก์จำเลยไปขอทำการโอนที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วก็ได้มีการดำเนินในเรื่องนี้ตลอดมา ไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทำการโอน เหตุอำเภอยังไม่โอนให้ก็เพราะรอฟังคำสั่งกรมที่ดินอยู่เท่านั้น ซึ่งอยู่ในระหว่างนี้ทางการก็ยังดำเนินการพิจารณาเรื่องราวขอโอนอยู่ รูปคดีไม่มีทางจะถือได้ว่า การโอนหรือการชำระหนี้ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๒๑๙ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลย ยังมีผูกพันต่อกันอยู่ จำเลยจะถือเอาการที่เจ้าพนักงานยังมิได้ทำสัญญาให้ดังกล่าวมาแล้วเป็นเหตุบอกเลิกสัญญาไม่ได้ นอกจากนั้นก่อนฟ้องนายเจียนพัด ผู้จัดการจำเลยได้มีหนังสือถึงโจทก์ ขอเพิ่มราคาและขอสัญญาใหม่ เมื่อฟ้องแล้ว จำเลยได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์ และขอถอนคำร้องขอโอนที่ดินรายนี้เสีย พฤติการณ์เหล่านี้ประกอบกับโจทก์ได้ตักเตือนให้จำเลยทำการโอนโรงสีเสียก่อน โดยทางกรมพาณิชย์สั่งอนุญาตให้ทำการโอนได้แล้ว จำเลยก็เพิกเฉยเสีย ย่อมถือได้ว่าจำเลยละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตน โจทก์ชอบที่จะฟ้องให้ศาลสั่งบังคับชำระหนี้ได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๒๑๓ จึงพิพากษายืน
โจทก์บรรยายฟ้องมีข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีปืนชักปืนออกขู่เข็ญจะทำร้ายบังคับให้เขาส่งเงิน 500,000 บาทแก่จำเลยถ้าข้อเท็จจริงไม่ปรากฏเป็นอย่างอื่นย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ลงมือกระทำการชิงทรัพย์แล้วตามกฎหมาย จึงเป็นองค์ความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์แล้ว
การพยายามลักทรัพย์ หรือชิงทรัพย์นั้นแม้จะปรากฏภายหลังว่า ทรัพย์ไม่มีอยู่ ก็หาทำให้ผู้กระทำพ้นความผิดฐานพยายามได้ไม่
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2489 จำเลยกับพวก 1 คนมีปืนเป็นศาสตราวุธไปขู่เอาเงินจากนายในสุน แซ่ตัน 10,000 บาท นายในสุน แซ่ตัน ไม่ยอมให้จำเลยพูดขู่ว่า จะใช้อำนาจบังคับและจะเอาไฟเผาโรงงาน ต่อมาวันที่ 28 ธันวาคม 2489 เวลากลางวันจำเลยกับพวกอีก 1 คน มีปืนเป็นศาสตราวุธ เข้ากระทำการบังคับขู่เข็ญโดยชักปืนออกขู่เข็ญจะทำร้ายบังคับให้นายในสุน แซ่ตันส่งเงิน 500,000 บาท ให้แก่จำเลยและจำเลยกับพวกได้นำเอาตัวนายในสุน แซ่ตันควบคุมไปเพื่อจะเอาไปขังเพื่อทำการบังคับเอาเงิน ทำให้นายในสุน แซ่ตัน ขาดอิสรภาพขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 299, 268, 270, 60
ศาลอาญาสั่งฟ้องโจทก์ว่า "ไม่ปรากฏว่านายในสุน มีเงินอยู่ในตัวเป็นแต่ขู่จะเอา เขาไม่ให้ วันหลังขู่จะเอา เขาไม่ให้จับตัวเอาไปเพียงขู่เอาเงินอีก ไม่เป็นชิงทรัพย์ประทับฟ้องเฉพาะเสื่อมเสียอิสรภาพตามมาตรา 268, 270 ฐานชิงทรัพย์ไม่รับ"
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องมีอยู่แล้วว่า จำเลยมีปืนชักปืนออกขู่เข็ญจะทำร้ายบังคับให้นายในสุนส่งเงิน 500,000 บาทให้แก่จำเลย การกระทำดังกล่าว ถ้าข้อเท็จจริงไม่ปรากฏเป็นอย่างอื่น ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ลงมือกระทำการชิงทรัพย์แล้วตาม กฎหมายอันการพยายามลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์นั้นแม้จะปรากฏภายหลังว่า ทรัพย์ไม่มีอยู่ ก็หาทำให้ผู้กระทำพ้นความรับผิดฐานพยายามนั้นได้ไม่ ข้อความที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นองค์ความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์เพียงพอแล้ว จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกคำสั่งศาลอาญาที่ไม่รับฟ้องโจทก์ฐานชิงทรัพย์เสียโดยให้ศาลอาญาประทับฟ้องโจทก์ตามข้อหาไว้พิจารณา
โจทก์บรรยายฟ้องมีข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีปืนชักปืนออกขู่เข็ญจะทำร้ายบังคับให้เขาส่งเงิน 500,000 บาทแก่จำเลยถ้าข้อเท็จจริงไม่ปรากฏเป็นอย่างอื่นย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ลงมือกระทำการชิงทรัพย์แล้วตามกฎหมาย จึงเป็นองค์ความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์แล้ว
การพยายามลักทรัพย์ หรือชิงทรัพย์นั้นแม้จะปรากฏภายหลังว่า ทรัพย์ไม่มีอยู่ ก็หาทำให้ผู้กระทำพ้นความผิดฐานพยายามได้ไม่
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2489 จำเลยกับพวก 1 คนมีปืนเป็นศาสตราวุธไปขู่เอาเงินจากนายในสุน แซ่ตัน 10,000 บาท นายในสุน แซ่ตัน ไม่ยอมให้จำเลยพูดขู่ว่า จะใช้อำนาจบังคับและจะเอาไฟเผาโรงงาน ต่อมาวันที่ 28 ธันวาคม 2489 เวลากลางวันจำเลยกับพวกอีก 1 คน มีปืนเป็นศาสตราวุธ เข้ากระทำการบังคับขู่เข็ญโดยชักปืนออกขู่เข็ญจะทำร้ายบังคับให้นายในสุน แซ่ตันส่งเงิน 500,000 บาท ให้แก่จำเลยและจำเลยกับพวกได้นำเอาตัวนายในสุน แซ่ตันควบคุมไปเพื่อจะเอาไปขังเพื่อทำการบังคับเอาเงิน ทำให้นายในสุน แซ่ตัน ขาดอิสรภาพขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 299, 268, 270, 60
ศาลอาญาสั่งฟ้องโจทก์ว่า "ไม่ปรากฏว่านายในสุน มีเงินอยู่ในตัวเป็นแต่ขู่จะเอา เขาไม่ให้ วันหลังขู่จะเอา เขาไม่ให้จับตัวเอาไปเพียงขู่เอาเงินอีก ไม่เป็นชิงทรัพย์ประทับฟ้องเฉพาะเสื่อมเสียอิสรภาพตามมาตรา 268, 270 ฐานชิงทรัพย์ไม่รับ"
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องมีอยู่แล้วว่า จำเลยมีปืนชักปืนออกขู่เข็ญจะทำร้ายบังคับให้นายในสุนส่งเงิน 500,000 บาทให้แก่จำเลย การกระทำดังกล่าว ถ้าข้อเท็จจริงไม่ปรากฏเป็นอย่างอื่น ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ลงมือกระทำการชิงทรัพย์แล้วตาม กฎหมายอันการพยายามลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์นั้นแม้จะปรากฏภายหลังว่า ทรัพย์ไม่มีอยู่ ก็หาทำให้ผู้กระทำพ้นความรับผิดฐานพยายามนั้นได้ไม่ ข้อความที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นองค์ความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์เพียงพอแล้ว จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกคำสั่งศาลอาญาที่ไม่รับฟ้องโจทก์ฐานชิงทรัพย์เสียโดยให้ศาลอาญาประทับฟ้องโจทก์ตามข้อหาไว้พิจารณา
โจทก์บรรยายฟ้องมีข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีปืนชักปืนออกขู่เข็ญจะทำร้ายบังคับให้เขาส่งเงิน 500,000 บาท แก่จำเลย ถ้าข้อเท็จจริงไม่ปรากฎเป็นอย่างอื่น ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ลงมือกระทำการชิงทรัพย์แล้วตาม ก.ม. จึงเป็นองค์ความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์แล้ว
การพยายามลักทรัพย์ หรือชิงทรัพย์นั้น แม่จะปรากฎภายหลังว่า ทรัพย์ไม่มีอยู่ ก็หาทำให้ผู้กระทำพ้นความผิดฐานพยายามได้ไม่
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ระหว่างดือนพฤศจิกายน ๒๔๘๙ จำเลยกับพวก ๑ คนมีปืนเป็นศาสตราวุธไปขู่เอาเงินจากนายในสุน แซ่ตัน ๑๐,๐๐๐ บาท นายในสุน แซ่ตันไม่ยอมให้ จำเลยพูดจาข่มขู่ว่า จะใช้อำนาจบังคับและจะเอาไฟเผาโรงงาน ต่อมาวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๔๘๙ เวลากลางวันจำเลยกับพวกอีก ๑ คน มีปืนเป็นสาตราวุธ เข้ากระทำการบังคับขู่เข็ญโดยชักปืนออกขู่เข็ญจะทำร้ายบังคับให้นายในสุน แซ่ตันส่งเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาทให้แก่จำเลย และจำเลยกับพวกได้นำเอาตัวนายในสุน แซ่ตัน ควบคุมไปเพื่อจะเอาไปขังเพื่อทำการบังคับเอาเงิน ทำให้นายในสุน แซ่ตัน ขาดอิสรภาพ ขอให้ลงโทษตามกฏหมายลักษณะ อาญา มาตรา ๒๙๙,๒๖๘,๒๗๐,๖๐.
ศาลอาญาสั่งฟ้องโจทก์ว่า"ไม่ปรากฎว่านายในสุน มีเงินอยู่ในตัว เป็นแต่ขู่จะเอา เขาไม่ให้ วันหลังจะขู่เอา เขาไม่ให้จจับตัวเอาไป เพียรขู่เอาเงินอีก ไม่เป็นชิงทรัพย์ ประทับฟ้องเฉพาะเสื่อมเสียอิสรภาพตามมาตรา ๒๖๘,๒๗๐ ฐานชิงทรัพย์ไม่รับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา,ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องมีอยู่แล้วว่า จำเลยมีปืนชักปืนออกขู่เข็ญจะทำร้ายบังคบให้นายในสุนส่งเงิน ๕๐๑,๐๐๐ บาทให้แก่จำเลย การกระทำดังกล่าว ก้าข้อเท็จจริงไมาปรากฎเป็นอย่างอื่น ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ลงมือกระทำการชิงทรัพย์แล้วตาม ก.ม. กับการพยายามลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์นั้น แม้จะปรากฎภายหลังว่า ทรัพย์ไม่มีอยู่ ก็หาทำให้ผู้กระทำพ้นความรับผิดฐานพยายามนั้นได้ไม่ ข้อความที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นองค์ความผิดพยายามชิงทรัพย์เพียงพอแล้ว จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกคำสั่งศาลอาญาที่ไม่รับฟ้องโจทก์ฐานชิงทรัพย์เสีย โดยให้ศาลอาญาประทับฟ้องโจทก์ตามข้อหาไว้พิจารณา
โจทก์บรรยายฟ้องมีข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีปืนชักปืนออกขู่เข็ญจะทำร้ายบังคับให้เขาส่งเงิน 500,000 บาท แก่จำเลย ถ้าข้อเท็จจริงไม่ปรากฎเป็นอย่างอื่น ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ลงมือกระทำการชิงทรัพย์แล้วตาม ก.ม. จึงเป็นองค์ความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์แล้ว
การพยายามลักทรัพย์ หรือชิงทรัพย์นั้น แม่จะปรากฎภายหลังว่า ทรัพย์ไม่มีอยู่ ก็หาทำให้ผู้กระทำพ้นความผิดฐานพยายามได้ไม่
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ระหว่างดือนพฤศจิกายน ๒๔๘๙ จำเลยกับพวก ๑ คนมีปืนเป็นศาสตราวุธไปขู่เอาเงินจากนายในสุน แซ่ตัน ๑๐,๐๐๐ บาท นายในสุน แซ่ตันไม่ยอมให้ จำเลยพูดจาข่มขู่ว่า จะใช้อำนาจบังคับและจะเอาไฟเผาโรงงาน ต่อมาวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๔๘๙ เวลากลางวันจำเลยกับพวกอีก ๑ คน มีปืนเป็นสาตราวุธ เข้ากระทำการบังคับขู่เข็ญโดยชักปืนออกขู่เข็ญจะทำร้ายบังคับให้นายในสุน แซ่ตันส่งเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาทให้แก่จำเลย และจำเลยกับพวกได้นำเอาตัวนายในสุน แซ่ตัน ควบคุมไปเพื่อจะเอาไปขังเพื่อทำการบังคับเอาเงิน ทำให้นายในสุน แซ่ตัน ขาดอิสรภาพ ขอให้ลงโทษตามกฏหมายลักษณะ อาญา มาตรา ๒๙๙,๒๖๘,๒๗๐,๖๐.
ศาลอาญาสั่งฟ้องโจทก์ว่า"ไม่ปรากฎว่านายในสุน มีเงินอยู่ในตัว เป็นแต่ขู่จะเอา เขาไม่ให้ วันหลังจะขู่เอา เขาไม่ให้จจับตัวเอาไป เพียรขู่เอาเงินอีก ไม่เป็นชิงทรัพย์ ประทับฟ้องเฉพาะเสื่อมเสียอิสรภาพตามมาตรา ๒๖๘,๒๗๐ ฐานชิงทรัพย์ไม่รับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา,ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องมีอยู่แล้วว่า จำเลยมีปืนชักปืนออกขู่เข็ญจะทำร้ายบังคบให้นายในสุนส่งเงิน ๕๐๑,๐๐๐ บาทให้แก่จำเลย การกระทำดังกล่าว ก้าข้อเท็จจริงไมาปรากฎเป็นอย่างอื่น ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ลงมือกระทำการชิงทรัพย์แล้วตาม ก.ม. กับการพยายามลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์นั้น แม้จะปรากฎภายหลังว่า ทรัพย์ไม่มีอยู่ ก็หาทำให้ผู้กระทำพ้นความรับผิดฐานพยายามนั้นได้ไม่ ข้อความที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นองค์ความผิดพยายามชิงทรัพย์เพียงพอแล้ว จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกคำสั่งศาลอาญาที่ไม่รับฟ้องโจทก์ฐานชิงทรัพย์เสีย โดยให้ศาลอาญาประทับฟ้องโจทก์ตามข้อหาไว้พิจารณา
คณะกรมการจังหวัดไม่มีอำนาจออกประกาศห้ามนำสัตว์ออกนอกเขตท้องที่อำเภอเพราะการห้ามเช่นนี้เป็นอำนาจตามมาตรา4 ข้อ 6 คำสั่งเช่นนี้ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายผู้ฝ่าฝืนไม่มีความผิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยักย้ายโค 54 ตัวจากเขตอำเภอเมืองยะลาเข้ามาในเขตอำเภอเบตง จังหวัดยะลา โดยมิได้รับอนุญาตจากข้าหลวงประจำจังหวัดยะลาเป็นการฝ่าฝืนประกาศของคณะกรรมการจังหวัดยะลาซึ่งสั่งโดยอาศัยอำนาจประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯ ขอให้ลงโทษตาม พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าประกาศของคณะกรรมการจังหวัดยะลาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประกาศของคณะกรรมการจังหวัดยะลาใช้ถ้อยคำว่า ห้ามมิให้นำสัตว์ที่ต้องควบคุมออกนอกเขตอำเภอท้องที่ซึ่งสัตว์นั้นอยู่ตามปกติในวันประกาศนั้น มิได้ระบุข้อความทำการยักย้ายตามมาตรา 4 ข้อ 5 ซึ่งตนมีอำนาจสั่งได้ แต่กลับไประบุห้ามการนำสัตว์ออกนอกเขตอำเภอท้องที่ ซึ่งเป็นอำนาจตามมาตรา 4 ข้อ 6 เป็นการนอกเหนืออำนาจของตน คำสั่งในข้อนี้จึงไม่มีผลอันจะบังคับได้ตามกฎหมาย จำเลยผู้ฝ่าฝืนไม่มีผิด จึงพิพากษายืน
คณะกรมการจังหวัดไม่มีอำนาจออกประกาศห้ามนำสัตว์ออกนอกเขตท้องที่อำเภอเพราะการห้ามเช่นนี้เป็นอำนาจตามมาตรา4 ข้อ 6 คำสั่งเช่นนี้ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายผู้ฝ่าฝืนไม่มีความผิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยักย้ายโค 54 ตัวจากเขตอำเภอเมืองยะลาเข้ามาในเขตอำเภอเบตง จังหวัดยะลา โดยมิได้รับอนุญาตจากข้าหลวงประจำจังหวัดยะลาเป็นการฝ่าฝืนประกาศของคณะกรรมการจังหวัดยะลาซึ่งสั่งโดยอาศัยอำนาจประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯ ขอให้ลงโทษตาม พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าประกาศของคณะกรรมการจังหวัดยะลาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประกาศของคณะกรรมการจังหวัดยะลาใช้ถ้อยคำว่า ห้ามมิให้นำสัตว์ที่ต้องควบคุมออกนอกเขตอำเภอท้องที่ซึ่งสัตว์นั้นอยู่ตามปกติในวันประกาศนั้น มิได้ระบุข้อความทำการยักย้ายตามมาตรา 4 ข้อ 5 ซึ่งตนมีอำนาจสั่งได้ แต่กลับไประบุห้ามการนำสัตว์ออกนอกเขตอำเภอท้องที่ ซึ่งเป็นอำนาจตามมาตรา 4 ข้อ 6 เป็นการนอกเหนืออำนาจของตน คำสั่งในข้อนี้จึงไม่มีผลอันจะบังคับได้ตามกฎหมาย จำเลยผู้ฝ่าฝืนไม่มีผิด จึงพิพากษายืน
คณะกรรมการจังหวัดไม่มีอำนาจออกประกาศห้ามนำสัตว์ออกนอกเขตต์ท้องที่อำเภอ เพราะการห้ามเช่นนี้ เป็นอำนาจตามมาตรา 4 ข้อ 6 คำสั่งเช่นนี้ถือว่าไม่ชอบด้วย ก.ม. ผู้ฝ่าฝืนไม่มีความความผิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยักย้ายโค ๕๔ ตัว จากเขตต์อำเภอเมืองยะลา เข้ามาในเขตต์อำเภอเบตง จังหวัดยะลา โดยมิได้รับอนุญาตจากข้าหลวงประจำจังหวัดยะลา เป็นการฝ่าฝืนประกาศของคณะกรรมการจังหวัดยะลา ซึ่งสั่งโดยอาศัยอำนาจประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธร์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า ประกาศของคณะกรรมการจังหวัดยะลาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประกาศของคณะกรรมการจังหวัดยะลาใช้ถ้อยคำว่า ห้ามมิให้นำสัตว์ที่ต้องควบคุมออกนอกเขตต์อำเภอท้องที่ ซึ่งสัตว์นั้นอยู่ตามปรกติในวันประกาศนั้น มิได้ระบุข้อความทำการยักย้ายตามมาตรา ๑ ข้อ ๕ ซึ่งตนมีอำนาจสั่งได้ แต่กลับไประบุห้ามการนำสัตว์ออกนอกเขตต์อำเภอท้องที่ ซึ่งเป็นอำนาจตามมาตรา ๔ ข้อ ๖ เป็นการนอกเหนืออำนาจของตน คำสั่งในข้อนี้จึงไม่มีผลอันจะบังคับได้ตามกฎหมาย จำเลยผู้ฝ่าฝืนไม่ผิด จึงพิพากษายืน
คณะกรรมการจังหวัดไม่มีอำนาจออกประกาศห้ามนำสัตว์ออกนอกเขตต์ท้องที่อำเภอ เพราะการห้ามเช่นนี้ เป็นอำนาจตามมาตรา 4 ข้อ 6 คำสั่งเช่นนี้ถือว่าไม่ชอบด้วย ก.ม. ผู้ฝ่าฝืนไม่มีความความผิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยักย้ายโค ๕๔ ตัว จากเขตต์อำเภอเมืองยะลา เข้ามาในเขตต์อำเภอเบตง จังหวัดยะลา โดยมิได้รับอนุญาตจากข้าหลวงประจำจังหวัดยะลา เป็นการฝ่าฝืนประกาศของคณะกรรมการจังหวัดยะลา ซึ่งสั่งโดยอาศัยอำนาจประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภค
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธร์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า ประกาศของคณะกรรมการจังหวัดยะลาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประกาศของคณะกรรมการจังหวัดยะลาใช้ถ้อยคำว่า ห้ามมิให้นำสัตว์ที่ต้องควบคุมออกนอกเขตต์อำเภอท้องที่ ซึ่งสัตว์นั้นอยู่ตามปรกติในวันประกาศนั้น มิได้ระบุข้อความทำการยักย้ายตามมาตรา ๑ ข้อ ๕ ซึ่งตนมีอำนาจสั่งได้ แต่กลับไประบุห้ามการนำสัตว์ออกนอกเขตต์อำเภอท้องที่ ซึ่งเป็นอำนาจตามมาตรา ๔ ข้อ ๖ เป็นการนอกเหนืออำนาจของตน คำสั่งในข้อนี้จึงไม่มีผลอันจะบังคับได้ตามกฎหมาย จำเลยผู้ฝ่าฝืนไม่ผิด จึงพิพากษายืน
ฟ้องระบุที่เกิดเหตุแต่เพียงตำบล อำเภอและกล่าวด้วยว่าอยู่ในเขตศาลไหน ดังนี้ แม้จะมิได้ระบุชื่อจังหวัดที่เกิดเหตุ ก็เป็นการเพียงพอตาม มาตรา 158 แล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายระบุสถานที่เกิดเหตุ แต่เพียงว่าเหตุเกิดที่ตลาดผักบัง ตำบลผักบัง อำเภอภูเขียว ในเขตศาลจังหวัดภูเขียว ไม่ได้ระบุจังหวัด
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย
จำเลยฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายเถียงว่า ฟ้องไม่ระบุจังหวัดที่เกิดเหตุ
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ระบุสถานที่เกิดเหตุดังกล่าวข้างต้น เป็นการพอเพียงตามมาตรา 158 แล้วจึงพิพากษายืน
ฟ้องระบุที่เกิดเหตุแต่เพียงตำบล อำเภอและกล่าวด้วยว่าอยู่ในเขตศาลไหน ดังนี้ แม้จะมิได้ระบุชื่อจังหวัดที่เกิดเหตุ ก็เป็นการเพียงพอตาม มาตรา 158 แล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายระบุสถานที่เกิดเหตุ แต่เพียงว่าเหตุเกิดที่ตลาดผักบัง ตำบลผักบัง อำเภอภูเขียว ในเขตศาลจังหวัดภูเขียว ไม่ได้ระบุจังหวัด
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย
จำเลยฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายเถียงว่า ฟ้องไม่ระบุจังหวัดที่เกิดเหตุ
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ระบุสถานที่เกิดเหตุดังกล่าวข้างต้น เป็นการพอเพียงตามมาตรา 158 แล้วจึงพิพากษายืน
ฟ้องระบุที่เกิดเหตุแต่เพียงตำบล อำเภอและกล่าวด้วยว่าอยู่ในเขตต์ศาลไหน ดังนี้ แม้จะมิได้ระบุชื่อจังหวัดที่เกิดเหตุ ก็เป็นการเพียงพอตาม ม.158 แล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายระบุสถานที่เกิดเหตุ แต่เพียงว่า เหตุเกิดที่ตลาดผักบัง ตำบลผักบัง อำเภอภูเขียว ในเขตต์ศาลจังหวัดภูเขียว ไม่ได้ระบุจังหวัด
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย
จำเลยฎีกา ฉะเพาะข้อกฎหมายเถียงว่า ฟ้องไม่ระบุจังหวัดที่เกิดเหตุ
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ระบุสถานที่เกิดเหตุดังกล่าวข้างต้น เป็นการพอเพียงตามมาตรา ๑๕๘ แล้ว จึงพิพากษายืน
ฟ้องระบุที่เกิดเหตุแต่เพียงตำบล อำเภอและกล่าวด้วยว่าอยู่ในเขตต์ศาลไหน ดังนี้ แม้จะมิได้ระบุชื่อจังหวัดที่เกิดเหตุ ก็เป็นการเพียงพอตาม ม.158 แล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายระบุสถานที่เกิดเหตุ แต่เพียงว่า เหตุเกิดที่ตลาดผักบัง ตำบลผักบัง อำเภอภูเขียว ในเขตต์ศาลจังหวัดภูเขียว ไม่ได้ระบุจังหวัด
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย
จำเลยฎีกา ฉะเพาะข้อกฎหมายเถียงว่า ฟ้องไม่ระบุจังหวัดที่เกิดเหตุ
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ระบุสถานที่เกิดเหตุดังกล่าวข้างต้น เป็นการพอเพียงตามมาตรา ๑๕๘ แล้ว จึงพิพากษายืน
ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดที่ตำบลห้วยทรายอำเภอดอยสะเก็ดทางพิจารณาได้ความว่าเหตุเกิดที่ตำบลห้วยทรายแต่ห้วยทรายจะขึ้นอยู่ในท้องที่อำเภอใดแน่ ไม่ได้ความชัด ดังนี้ไม่พอที่จะถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ลงโทษจำเลยได้
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ของนายเฮือนกับพวกที่ตำบลห้วยทราย อำเภอดอยสะเก็ด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 301
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่าง ส่วนข้อกฎหมายที่จำเลยค้านว่า ฟ้องอ้างว่าเกิดเหตุที่ตำบลห้วยทรายอำเภอดอยสะเก็ด แต่ทางพิจารณาได้ความว่าเกิดเหตุที่ตำบลห้วยทรายอำเภอสันกำแพงควรยกฟ้องนั้น เห็นว่าตามฟ้องของโจทก์และทางพิจารณาได้ความชัดว่า เหตุเกิดที่ตำบลห้วยทรายต้องกัน แต่ตำบลห้วยทรายจะขึ้นอยู่ในท้องที่อำเภอดอยสะเก็ดหรืออำเภอสันกำแพงนั้นไม่ได้ความกระจ่างคงได้ความว่าทางอำเภอสันกำแพงเป็นฝ่ายรับแจ้งความและสืบสวนจับกุมจำเลยสอบสวน อย่างไรก็ดี เห็นว่าโจทก์กล่าวรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ ๆ เกิดการกระทำผิดตามสมควรเท่าที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ไม่พอที่จะถือว่า ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องจึงพิพากษายืน
ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดที่ตำบลห้วยทรายอำเภอดอยสะเก็ดทางพิจารณาได้ความว่าเหตุเกิดที่ตำบลห้วยทรายแต่ห้วยทรายจะขึ้นอยู่ในท้องที่อำเภอใดแน่ ไม่ได้ความชัด ดังนี้ไม่พอที่จะถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ลงโทษจำเลยได้
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ของนายเฮือนกับพวกที่ตำบลห้วยทราย อำเภอดอยสะเก็ด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 301
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่าง ส่วนข้อกฎหมายที่จำเลยค้านว่า ฟ้องอ้างว่าเกิดเหตุที่ตำบลห้วยทรายอำเภอดอยสะเก็ด แต่ทางพิจารณาได้ความว่าเกิดเหตุที่ตำบลห้วยทรายอำเภอสันกำแพงควรยกฟ้องนั้น เห็นว่าตามฟ้องของโจทก์และทางพิจารณาได้ความชัดว่า เหตุเกิดที่ตำบลห้วยทรายต้องกัน แต่ตำบลห้วยทรายจะขึ้นอยู่ในท้องที่อำเภอดอยสะเก็ดหรืออำเภอสันกำแพงนั้นไม่ได้ความกระจ่างคงได้ความว่าทางอำเภอสันกำแพงเป็นฝ่ายรับแจ้งความและสืบสวนจับกุมจำเลยสอบสวน อย่างไรก็ดี เห็นว่าโจทก์กล่าวรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ ๆ เกิดการกระทำผิดตามสมควรเท่าที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ไม่พอที่จะถือว่า ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องจึงพิพากษายืน
ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดที่ตำบลห้วยทราย อำเภอดอยสะเก็ด ทางพิจารณาได้ความว่าเหตุเกิดที่ตำบลห้วยทราย แต่ห้วยทรายจะขึ้นอยู่ในท้องที่อำเภอใดแน่ ไม่ได้ความชัด ดังนี้ ไม่พอที่จะถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในการพิจารณา ต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องลงโทษจเลยได้
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ของนายเฮือนกับพวกที่ตำบลห้วยทราย อำเภอดอยสะเก็ด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา ๓๐๑
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่าง ส่วนข้อกฎหมายที่จำเลยค้านว่า ฟ้องอ้างว่าเกิดเหตุที่ตำบลห้วยทราย อำเภอดอยสะเก็ด แต่ทางพิจารณาได้ความว่าเกิดเหตุที่ตำบลห้วยทราย อำเภอสันกำแพง ควรยกฟ้องนั้น เห็นว่าตามฟ้องของโจทก์และทางพิจารณาได้ความชัดว่า เหตุเกิดที่ตำบลห้วยทรายต้องกัน แต่ตำบลห้วยทรายจะขึ้นอยู่ในท้องที่อำเภอดอยสะเก็ด หรืออำเภอสันกำแพงเป็นฝ่ายรับแจ้งความ และสืบสวนจับกุมจำเลยสอบสวน อย่างไรก็ดี เห็นว่าโจทก์กล่าวรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ ๆ เกิดการกระทำผิดตามสมควรเท่าที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ไม่พอที่จะถือว่า ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง จึงพิพากษายืน
ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดที่ตำบลห้วยทราย อำเภอดอยสะเก็ด ทางพิจารณาได้ความว่าเหตุเกิดที่ตำบลห้วยทราย แต่ห้วยทรายจะขึ้นอยู่ในท้องที่อำเภอใดแน่ ไม่ได้ความชัด ดังนี้ ไม่พอที่จะถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในการพิจารณา ต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องลงโทษจเลยได้
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ของนายเฮือนกับพวกที่ตำบลห้วยทราย อำเภอดอยสะเก็ด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา ๓๐๑
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่าง ส่วนข้อกฎหมายที่จำเลยค้านว่า ฟ้องอ้างว่าเกิดเหตุที่ตำบลห้วยทราย อำเภอดอยสะเก็ด แต่ทางพิจารณาได้ความว่าเกิดเหตุที่ตำบลห้วยทราย อำเภอสันกำแพง ควรยกฟ้องนั้น เห็นว่าตามฟ้องของโจทก์และทางพิจารณาได้ความชัดว่า เหตุเกิดที่ตำบลห้วยทรายต้องกัน แต่ตำบลห้วยทรายจะขึ้นอยู่ในท้องที่อำเภอดอยสะเก็ด หรืออำเภอสันกำแพงเป็นฝ่ายรับแจ้งความ และสืบสวนจับกุมจำเลยสอบสวน อย่างไรก็ดี เห็นว่าโจทก์กล่าวรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ ๆ เกิดการกระทำผิดตามสมควรเท่าที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ไม่พอที่จะถือว่า ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง จึงพิพากษายืน
ผู้มีสิทธิได้รับมรดกเข้ามาอยู่ในที่มรดกเมื่อเกิน 1 ปีนับแต่เจ้ามรดกตายผู้รับมรดกคนที่ปกครองที่มรดก ย่อมฟ้องขับไล่ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์ 3 แปลงขอให้ห้ามมิให้เกี่ยวข้องต่อไป ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์เป็นเจ้าของเพียง 2 กะบิ้งเท่านั้น ศาลย่อมพิพากษาห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดิน 2 กะบิ้งอันเป็นของโจทก์นั้นได้
ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกา มีเฉพาะที่เกี่ยวกับทรัพย์อันดับที่ 1, 6, 7 ตามบัญชีท้ายฟ้อง ซึ่งโจทก์ฟ้องว่า เดิมเป็นของนายแดงสามีนางฝ่ายและบิดาโจทก์อีก 5 คน นายแดงได้ยกให้โจทก์ก่อนตายเมื่อนายแดงตายแล้ว จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุตรนายแดงเกิดจากภริยาอื่นได้บุกรุกแย่งกรรมสิทธิ์จึงขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยและบริวารมิให้เกี่ยวข้อง
จำเลยต่อสู้ว่า เป็นทรัพย์ของจำเลยซึ่งตายายจำเลยยกให้ และตัดฟ้องว่าฟ้องเกิน 1 ปี ขาดอายุความมรดกแล้ว
ศาลชั้นต้นฟังว่าทรัพย์ ที่ฟ้องเป็นมรดกของนายแดง จึงให้แบ่งกันระหว่างโจทก์จำเลย
ศาลอุทธรณ์ ฟังว่าเป็นทรัพย์ ของโจทก์ จึงพิพากษาแก้ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า ทรัพย์พิพาทเป็นของนายแดงอยู่จนนายแดงตาย จึงเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ จำเลย แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทเว้นแต่ที่นา ตำบลชายเขาหมายเลข 1 เฉพาะกะบิ้งที่ 1, 2 เท่านั้นที่โจทก์ได้ทำเกิน1 ปี แล้ว โจทก์จำเลยจึงควรได้สิทธิเท่าที่ตนครอบครองมา จึงพิพากษาแก้ว่า ที่นาตำบลชายเขาหมายเลข 1 กะบิ้ง 1, 2 เป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับให้นายชื่น จำเลย คืนข้าว 65 เลียงหรือให้ใช้ราคาเป็นเงิน 32 บาท 50 สตางค์ ให้แก่โจทก์
ผู้มีสิทธิได้รับมรดกเข้ามาอยู่ในที่มรดกเมื่อเกิน 1 ปีนับแต่เจ้ามรดกตายผู้รับมรดกคนที่ปกครองที่มรดก ย่อมฟ้องขับไล่ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์ 3 แปลงขอให้ห้ามมิให้เกี่ยวข้องต่อไป ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์เป็นเจ้าของเพียง 2 กะบิ้งเท่านั้น ศาลย่อมพิพากษาห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดิน 2 กะบิ้งอันเป็นของโจทก์นั้นได้
ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกา มีเฉพาะที่เกี่ยวกับทรัพย์อันดับที่ 1, 6, 7 ตามบัญชีท้ายฟ้อง ซึ่งโจทก์ฟ้องว่า เดิมเป็นของนายแดงสามีนางฝ่ายและบิดาโจทก์อีก 5 คน นายแดงได้ยกให้โจทก์ก่อนตายเมื่อนายแดงตายแล้ว จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุตรนายแดงเกิดจากภริยาอื่นได้บุกรุกแย่งกรรมสิทธิ์จึงขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยและบริวารมิให้เกี่ยวข้อง
จำเลยต่อสู้ว่า เป็นทรัพย์ของจำเลยซึ่งตายายจำเลยยกให้ และตัดฟ้องว่าฟ้องเกิน 1 ปี ขาดอายุความมรดกแล้ว
ศาลชั้นต้นฟังว่าทรัพย์ ที่ฟ้องเป็นมรดกของนายแดง จึงให้แบ่งกันระหว่างโจทก์จำเลย
ศาลอุทธรณ์ ฟังว่าเป็นทรัพย์ ของโจทก์ จึงพิพากษาแก้ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า ทรัพย์พิพาทเป็นของนายแดงอยู่จนนายแดงตาย จึงเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ จำเลย แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทเว้นแต่ที่นา ตำบลชายเขาหมายเลข 1 เฉพาะกะบิ้งที่ 1, 2 เท่านั้นที่โจทก์ได้ทำเกิน1 ปี แล้ว โจทก์จำเลยจึงควรได้สิทธิเท่าที่ตนครอบครองมา จึงพิพากษาแก้ว่า ที่นาตำบลชายเขาหมายเลข 1 กะบิ้ง 1, 2 เป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับให้นายชื่น จำเลย คืนข้าว 65 เลียงหรือให้ใช้ราคาเป็นเงิน 32 บาท 50 สตางค์ ให้แก่โจทก์
ผู้มีสิทธิได้รับมฤดกเข้ามาอยู่+ที่มฤดกเมื่อ-เกิน 1 ปีนับแต่+มฤดกตาย ผู้รับมฤดกคนที่+ครองที่มฤดก ย่อมฟ้องขับไล่ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกแย่งกรรมสิทธิที่ดินของโจทก์ 3 แปลง +ให้ห้ามมิให้เกี่ยวข้องต่อไปทาง พิจารณาได้ความว่าโจทก์เป็นเจ้าของเพียง 2 กะบิ้งเท่านั้น ศาล+พิพากษาห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้อง +ที่ดิน 2 กะบิ้งอันเป้นของโจทก์+ได้
ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกา มีเฉพาะที่เกี่ยวกับทรัพย์อันดับที่ ๑,๖,๗ ตามบัญชีท้ายฟ้อง ซึ่งโจทก์ฟ้องว่า เดิมเป็นของนายแดง สามีนางฝ่ายและบิดาโจทก์อีก ๕ คน นายแดงได้ยกให้โจทก์ก่อนตาย เมื่อนายแดงตายแล้ว จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุตรนายแดง เกิดจากภิริยาอื่น ได้บุกรุกแย่งกรรมสิทธิ จึงขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยและบริวารมิให้เกี่ยวข้อง
จำเลยต่อสู้ว่า เป็นทรัพย์ของจำเลยซึ่งตายายจำเลยยกให้ และตัดฟ้องว่าฟ้องเกิน ๑ ปี ขาดอายุความมฤดกแล้ว
ศาลชั้นต้นฟังว่าทรัพย์ที่ฟ้องเป็นมฤดกของนายแดง จึงให้แบ่งกันระหว่างโจทก์จำเลย
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าเป็นทรัพย์ของโจทก์ จึงพิพากษาแก้ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า ทรัพย์พิพาทเป็นของนายแดงอยู่จนนายแดงตาย จึงเป็นมฤดกตกทอดแก่โจทก์ จำเลย แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทเว้นแต่ที่นา ตำบลชายเขา หมายเลย ๑ ฉะเพาะกะบิ้งที่ ๑,๒ เท่านั้นที่โจทก์ได้ทำเกิน ๑ ปีแล้ว โจทก์จำเลยจึงควรได้สิทธิเท่าที่ตนครอบครองมา จึงพิพากษาแก้ว่า ที่นาตำบลชายเขาหมายเลข ๑ กะบิ้ง ๑,๒ เป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้อง กับให้นายชื่น จำเลย คืนข้าว ๖๕ เลียง หรือให้ใช้ราคาเป็นเงิน ๓๒ บาท ๕๐ สตางค์ ให้แก่โจทก์
ผู้มีสิทธิได้รับมฤดกเข้ามาอยู่+ที่มฤดกเมื่อ-เกิน 1 ปีนับแต่+มฤดกตาย ผู้รับมฤดกคนที่+ครองที่มฤดก ย่อมฟ้องขับไล่ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกแย่งกรรมสิทธิที่ดินของโจทก์ 3 แปลง +ให้ห้ามมิให้เกี่ยวข้องต่อไปทาง พิจารณาได้ความว่าโจทก์เป็นเจ้าของเพียง 2 กะบิ้งเท่านั้น ศาล+พิพากษาห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้อง +ที่ดิน 2 กะบิ้งอันเป้นของโจทก์+ได้
ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกา มีเฉพาะที่เกี่ยวกับทรัพย์อันดับที่ ๑,๖,๗ ตามบัญชีท้ายฟ้อง ซึ่งโจทก์ฟ้องว่า เดิมเป็นของนายแดง สามีนางฝ่ายและบิดาโจทก์อีก ๕ คน นายแดงได้ยกให้โจทก์ก่อนตาย เมื่อนายแดงตายแล้ว จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุตรนายแดง เกิดจากภิริยาอื่น ได้บุกรุกแย่งกรรมสิทธิ จึงขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยและบริวารมิให้เกี่ยวข้อง
จำเลยต่อสู้ว่า เป็นทรัพย์ของจำเลยซึ่งตายายจำเลยยกให้ และตัดฟ้องว่าฟ้องเกิน ๑ ปี ขาดอายุความมฤดกแล้ว
ศาลชั้นต้นฟังว่าทรัพย์ที่ฟ้องเป็นมฤดกของนายแดง จึงให้แบ่งกันระหว่างโจทก์จำเลย
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าเป็นทรัพย์ของโจทก์ จึงพิพากษาแก้ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า ทรัพย์พิพาทเป็นของนายแดงอยู่จนนายแดงตาย จึงเป็นมฤดกตกทอดแก่โจทก์ จำเลย แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทเว้นแต่ที่นา ตำบลชายเขา หมายเลย ๑ ฉะเพาะกะบิ้งที่ ๑,๒ เท่านั้นที่โจทก์ได้ทำเกิน ๑ ปีแล้ว โจทก์จำเลยจึงควรได้สิทธิเท่าที่ตนครอบครองมา จึงพิพากษาแก้ว่า ที่นาตำบลชายเขาหมายเลข ๑ กะบิ้ง ๑,๒ เป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้อง กับให้นายชื่น จำเลย คืนข้าว ๖๕ เลียง หรือให้ใช้ราคาเป็นเงิน ๓๒ บาท ๕๐ สตางค์ ให้แก่โจทก์
สามีจากภริยาและบุตรไปทำมาหากินอยู่ที่อื่น และไปมีภริยาใหม่เกิดบุตรด้วยกันอีกหลายคนเป็นเวลานานเกือบ 40 ปี โดยไม่มีการติดต่อเยี่ยมเยียนภรรยาและบุตรเดิมเลยนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่า เจตนาสละการครอบครองที่นามือเปล่าที่ตนเป็นเจ้าของทำกินร่วมกับภริยาและบุตรคนเดิม ให้แก่ภริยาและบุตรคนเดิมแล้ว
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกของบิดา จำเลยต่อสู้ว่าทรัพย์ที่ขอแบ่งมารดาจำเลยได้มาทางบรรพบุรุษของมารดาจำเลยดังนี้ เท่ากับต่อสู้ว่าทรัพย์รายนี้ไม่ใช่มรดกของบิดาโจทก์นั่นเอง ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมเป็นของบิดาโจทก์ แต่บิดาโจทก์สละให้เป็นของมารดาจำเลยและจำเลยแล้วศาลก็ตัดสินให้จำเลยชนะคดีได้ไม่เป็นการนอกประเด็นข้อต่อสู้
โจทก์ฟ้องขอแบ่งนาพิพาทจากจำเลยโดยอ้างว่าเป็นของบิดาโจทก์ซึ่งวายชนม์แล้ว
จำเลยต่อสู้ว่า นารายนี้เป็นของนางอ่อนมารดาจำเลยได้รับมรดกมาทางบรรพบุรุษของนางอ่อนหาใช่ของนายอุ่นบิดาโจทก์ไม่
ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมนาพิพาทเป็นของนางหมัดมารดานายอุ่นบิดาโจทก์ เมื่อนายอุ่นได้นางอ่อนมารดาจำเลยแล้ว นางหมัดยกที่นานี้ให้นายอุ่น ๆ มีบุตรกันนางอ่อนคือจำเลยทั้ง 2 นี้ ต่อมาเมื่อสัก 32 ปีมานี้ นายอุ่นได้ออกจากตำบลนั้น มาเที่ยวรับจ้างหากินอยู่ที่อื่น และมาได้นางนากเป็นภรรยาเกิดบุตรกันอีก 5 คน นางอ่อนก็ได้สามีใหม่และมีบุตรกับสามีใหม่อีกหลายคน เมื่อนางอ่อนตายแล้วจำเลยก็ครอบครองนารายนี้ตลอดมา จนเมื่อนายอุ่นตายโจทก์จึงขึ้นมาขอแบ่งนารายนี้จากจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งนาให้โจทก์ตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามรูปเรื่องที่นายอุ่นจากไปเป็นเวลานานเดือน 40 ปีโดยไม่มีการติดต่อเยี่ยมเยือนเลยนั้นย่อมแสดงให้เห็นว่าเจตนาสละการครอบครองให้แก่นางอ่อน และจำเลยผู้เป็นภรรยาและบุตรแล้วส่วนข้อที่โจทก์คัดค้านว่าจำเลยได้ต่อสู้ว่า นารายนี้นางอ่อนได้รับมรดกมาทางบรรพบุรุษของนางอ่อน หาใช่ทางนายอุ่นไม่ คำชี้ขาดของศาลอุทธรณ์ที่ให้จำเลยชนะคดีจึงเป็นการนอกประเด็นนั้นเห็นว่าคำต่อสู้ของจำเลยอยู่ที่ว่า ที่รายนี้ไม่ใช่มรดกของนายอุ่นนั้นเอง จึงไม่ใช่เรื่องนอกประเด็นและพิพากษายืน
สามีจากภริยาและบุตรไปทำมาหากินอยู่ที่อื่น และไปมีภริยาใหม่เกิดบุตรด้วยกันอีกหลายคนเป็นเวลานานเกือบ 40 ปี โดยไม่มีการติดต่อเยี่ยมเยียนภรรยาและบุตรเดิมเลยนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่า เจตนาสละการครอบครองที่นามือเปล่าที่ตนเป็นเจ้าของทำกินร่วมกับภริยาและบุตรคนเดิม ให้แก่ภริยาและบุตรคนเดิมแล้ว
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกของบิดา จำเลยต่อสู้ว่าทรัพย์ที่ขอแบ่งมารดาจำเลยได้มาทางบรรพบุรุษของมารดาจำเลยดังนี้ เท่ากับต่อสู้ว่าทรัพย์รายนี้ไม่ใช่มรดกของบิดาโจทก์นั่นเอง ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมเป็นของบิดาโจทก์ แต่บิดาโจทก์สละให้เป็นของมารดาจำเลยและจำเลยแล้วศาลก็ตัดสินให้จำเลยชนะคดีได้ไม่เป็นการนอกประเด็นข้อต่อสู้
โจทก์ฟ้องขอแบ่งนาพิพาทจากจำเลยโดยอ้างว่าเป็นของบิดาโจทก์ซึ่งวายชนม์แล้ว
จำเลยต่อสู้ว่า นารายนี้เป็นของนางอ่อนมารดาจำเลยได้รับมรดกมาทางบรรพบุรุษของนางอ่อนหาใช่ของนายอุ่นบิดาโจทก์ไม่
ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมนาพิพาทเป็นของนางหมัดมารดานายอุ่นบิดาโจทก์ เมื่อนายอุ่นได้นางอ่อนมารดาจำเลยแล้ว นางหมัดยกที่นานี้ให้นายอุ่น ๆ มีบุตรกันนางอ่อนคือจำเลยทั้ง 2 นี้ ต่อมาเมื่อสัก 32 ปีมานี้ นายอุ่นได้ออกจากตำบลนั้น มาเที่ยวรับจ้างหากินอยู่ที่อื่น และมาได้นางนากเป็นภรรยาเกิดบุตรกันอีก 5 คน นางอ่อนก็ได้สามีใหม่และมีบุตรกับสามีใหม่อีกหลายคน เมื่อนางอ่อนตายแล้วจำเลยก็ครอบครองนารายนี้ตลอดมา จนเมื่อนายอุ่นตายโจทก์จึงขึ้นมาขอแบ่งนารายนี้จากจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งนาให้โจทก์ตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามรูปเรื่องที่นายอุ่นจากไปเป็นเวลานานเดือน 40 ปีโดยไม่มีการติดต่อเยี่ยมเยือนเลยนั้นย่อมแสดงให้เห็นว่าเจตนาสละการครอบครองให้แก่นางอ่อน และจำเลยผู้เป็นภรรยาและบุตรแล้วส่วนข้อที่โจทก์คัดค้านว่าจำเลยได้ต่อสู้ว่า นารายนี้นางอ่อนได้รับมรดกมาทางบรรพบุรุษของนางอ่อน หาใช่ทางนายอุ่นไม่ คำชี้ขาดของศาลอุทธรณ์ที่ให้จำเลยชนะคดีจึงเป็นการนอกประเด็นนั้นเห็นว่าคำต่อสู้ของจำเลยอยู่ที่ว่า ที่รายนี้ไม่ใช่มรดกของนายอุ่นนั้นเอง จึงไม่ใช่เรื่องนอกประเด็นและพิพากษายืน
สามีจากภิริยาและบุตรไปทำมาหากินอยู่ที่อื่น และไปมีภริยาใหม่ เกิดบุตรด้วยกันอีกหลายคน เป็นเวลานานเกือบ40ปี โดยไม่มีการติดต่อเยี่ยมเยียนภรรยาและบุตรเดิมแบบนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่า เจตนาสละการครอบครองที่นามือเปล่าที่ตนเป็นเจ้าของทำกินร่วมกับภริยาและบุตรคนเดิม ให้แก่ภิริยาและบุตรคนเดิมแล้ว
โจทก์ต้องขอแบ่งมฤดกของบิดา จำเลยต่อสู้ว่าทรัพย์ที่ขอแบ่ง มารดาจำเลยได้มาทางบรรพบุรุษของมารดาจำเลยดังนี้ เท่ากับต่อสู้ว่า ทรัพย์รายนี้ไม่ใช่มฤดกของบิดาโจทก์นั่นเอง ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมเป็นของบิดาโจทก์แต่บิดาโจทก์สละให้เป็นมารดาจำเลย และจำเลยแล้ว ศาลก็ตัดสินให้จำเลยชนะคดีได้ ไม่เป็นการนอกประเด็นข้อต่อสู้
โจทก์ฟ้องขอแบ่งนาพิพาทจากจำเลยโดยอ้างว่าเป็นบิดาโจทก์ ซึ่งวายชนม์แล้ว
จำเลยต่อสู้ว่า นารายนี้เป็นของนางอ่อน มารดาจำเลย ได้รับมฤดกมาทางบรรพบุรุษของนางอ่อน หาใช่ของนายอุ่นบิดาโจทก์ไม่
ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมนาพิพาทเป็นของนางหมัด มารดานายอุ่นบิดาโจทก์ เมื่อนายอุ่นได้ นางอ่อนมารดาจำเลยแล้ว นางหมัดยกที่นานี้ให้นายอุ่นๆ มีบุตรกับนางอ่อน คือ จำเลยทั้ง ๒ นี้ ต่อมาเมื่อสัก ๓๒ ปีมานี้ นายอุ่นได้ออกจากตำบลนั้น มาเที่ยวรับจ้างหากินอยู่ที่อื่น และมาได้นางนากเป็นภรรยา เกิดบุตรกันอีก ๕ คน นางอ่อนก็ได้สามีใหม่และมีบุตรกับสามีใหม่อีกหลายคน เมื่อนางอ่อนตายแล้ว จำเลยก็ครอบครองนารายนี้ตลอดมา จนเมื่อนายอุ่นตาย โจทก์จึงขึ้นมาขอแบ่งนารายนี้จากจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งนาให้โจทก์ตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามรูปเรื่องที่นายอุ่นจากไปเป็นเวลานานเกือบ ๔๐ ปีโดยไม่มีการติดต่อเยี่ยมเยือนเลยนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าเจตนาสละการ การครอบครองให้แก่นางอ่อน และจำเลยผู้เป็นภรรยาและบุตรแล้ว ส่วนข้อที่โจทก์คัดค้านว่าจำเลยได้ต่อสู้ว่า นารายนี้นางอ่อนได้รับมฤดกมาทางบรรพบุรุษของนางอ่อน หาใช่ทางนายอุ่นไม่ คำชั้ขาดของศาลอุทธรณ์ที่ให้จำเลยชนะคดีจึงเป็นการนอกประเด็นนั้น เห็นว่าคำต่อสู้ของจำเลยอยู่ที่ว่า ที่รายนี้ไม่ใช่มฤดกของนายอุ่นนั่นเอง จึงไม่ใช่เรื่องนอกประเด็นและพิพากษายืน
สามีจากภิริยาและบุตรไปทำมาหากินอยู่ที่อื่น และไปมีภริยาใหม่ เกิดบุตรด้วยกันอีกหลายคน เป็นเวลานานเกือบ40ปี โดยไม่มีการติดต่อเยี่ยมเยียนภรรยาและบุตรเดิมแบบนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่า เจตนาสละการครอบครองที่นามือเปล่าที่ตนเป็นเจ้าของทำกินร่วมกับภริยาและบุตรคนเดิม ให้แก่ภิริยาและบุตรคนเดิมแล้ว
โจทก์ต้องขอแบ่งมฤดกของบิดา จำเลยต่อสู้ว่าทรัพย์ที่ขอแบ่ง มารดาจำเลยได้มาทางบรรพบุรุษของมารดาจำเลยดังนี้ เท่ากับต่อสู้ว่า ทรัพย์รายนี้ไม่ใช่มฤดกของบิดาโจทก์นั่นเอง ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมเป็นของบิดาโจทก์แต่บิดาโจทก์สละให้เป็นมารดาจำเลย และจำเลยแล้ว ศาลก็ตัดสินให้จำเลยชนะคดีได้ ไม่เป็นการนอกประเด็นข้อต่อสู้
โจทก์ฟ้องขอแบ่งนาพิพาทจากจำเลยโดยอ้างว่าเป็นบิดาโจทก์ ซึ่งวายชนม์แล้ว
จำเลยต่อสู้ว่า นารายนี้เป็นของนางอ่อน มารดาจำเลย ได้รับมฤดกมาทางบรรพบุรุษของนางอ่อน หาใช่ของนายอุ่นบิดาโจทก์ไม่
ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมนาพิพาทเป็นของนางหมัด มารดานายอุ่นบิดาโจทก์ เมื่อนายอุ่นได้ นางอ่อนมารดาจำเลยแล้ว นางหมัดยกที่นานี้ให้นายอุ่นๆ มีบุตรกับนางอ่อน คือ จำเลยทั้ง ๒ นี้ ต่อมาเมื่อสัก ๓๒ ปีมานี้ นายอุ่นได้ออกจากตำบลนั้น มาเที่ยวรับจ้างหากินอยู่ที่อื่น และมาได้นางนากเป็นภรรยา เกิดบุตรกันอีก ๕ คน นางอ่อนก็ได้สามีใหม่และมีบุตรกับสามีใหม่อีกหลายคน เมื่อนางอ่อนตายแล้ว จำเลยก็ครอบครองนารายนี้ตลอดมา จนเมื่อนายอุ่นตาย โจทก์จึงขึ้นมาขอแบ่งนารายนี้จากจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งนาให้โจทก์ตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามรูปเรื่องที่นายอุ่นจากไปเป็นเวลานานเกือบ ๔๐ ปีโดยไม่มีการติดต่อเยี่ยมเยือนเลยนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าเจตนาสละการ การครอบครองให้แก่นางอ่อน และจำเลยผู้เป็นภรรยาและบุตรแล้ว ส่วนข้อที่โจทก์คัดค้านว่าจำเลยได้ต่อสู้ว่า นารายนี้นางอ่อนได้รับมฤดกมาทางบรรพบุรุษของนางอ่อน หาใช่ทางนายอุ่นไม่ คำชั้ขาดของศาลอุทธรณ์ที่ให้จำเลยชนะคดีจึงเป็นการนอกประเด็นนั้น เห็นว่าคำต่อสู้ของจำเลยอยู่ที่ว่า ที่รายนี้ไม่ใช่มฤดกของนายอุ่นนั่นเอง จึงไม่ใช่เรื่องนอกประเด็นและพิพากษายืน
การเช่าที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน พ.ศ.2486 หรือ 2488 นั้น ถ้ามีการบอกเลิกการเช่ากันโดยชอบก่อนแล้ว แต่ผู้เช่าไม่ยอมออกจากที่เช่าจนใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2489 ถือว่าไม่ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าตึกของโจทก์ประกอบกิจการค้าค่าเช่าเดือนละ 60 บาท ไม่ได้ทำสัญญาเป็นหนังสือ โจทก์ต้องการตึกคืนได้บอกเลิกการเช่าแล้วจำเลยไม่ไป จึงขอให้ขับไล่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บอกกล่าวเลิกการเช่าก่อนใช้พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ พ.ศ. 2489 สัญญาเช่าย่อมระงับไป จำเลยยึดถือทรัพย์สินในกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นไว้ได้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นผู้ละเมิดสิทธิของโจทก์ฉะนั้นที่พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน 2489 ออกใช้บังคับ จำเลยไม่ใช่ผู้เช่าตึกของโจทก์แล้ว จึงไม่ได้รับความคุ้มครอง พิพากษายืน
การเช่าที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน พ.ศ.2486 หรือ 2488 นั้น ถ้ามีการบอกเลิกการเช่ากันโดยชอบก่อนแล้ว แต่ผู้เช่าไม่ยอมออกจากที่เช่าจนใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2489 ถือว่าไม่ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าตึกของโจทก์ประกอบกิจการค้าค่าเช่าเดือนละ 60 บาท ไม่ได้ทำสัญญาเป็นหนังสือ โจทก์ต้องการตึกคืนได้บอกเลิกการเช่าแล้วจำเลยไม่ไป จึงขอให้ขับไล่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บอกกล่าวเลิกการเช่าก่อนใช้พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ พ.ศ. 2489 สัญญาเช่าย่อมระงับไป จำเลยยึดถือทรัพย์สินในกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นไว้ได้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นผู้ละเมิดสิทธิของโจทก์ฉะนั้นที่พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน 2489 ออกใช้บังคับ จำเลยไม่ใช่ผู้เช่าตึกของโจทก์แล้ว จึงไม่ได้รับความคุ้มครอง พิพากษายืน
การเช่าที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ในภาวะคับขัน พ.ศ. 2486 หรือ 2488 นั้น ถ้ามีการบอกเลิกการเช่ากันโดยชอบก่อนแล้ว แต่ผู้เช่าไม่ยอมออกจากที่เช่าจนใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2486 ถือว่าไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าตึกของโจทก์ประกอบกิจการค้าค่าเช่าเดือนละ ๖๐ บาท ไม่ได้ทำสัญญาเป็นหนังสือ โจทก์ต้องการตึกคืน ได้บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยไม่ไป จึงขอให้ขับไล่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บอกกล่าวเลิกการเช่าก่อนใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ พ.ศ.๒๔๘๙ สัญญาเช่าย่อมระงับไป จำเลยยึดถือทรัพย์สินในกรรมสิทธิของผู้อื่นไว้ได้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นผู้ละเมิดสิทธิของโจทก์ ฉะนั้น ที่พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน ๒๔๘๙ ออกใช้บังคับ จำเลยไม่ใช่ผู้เช่าตึกของโจทก์แล้ว จึงไม่ได้รับความคุ้มครอง พิพากษายืน
การเช่าที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ในภาวะคับขัน พ.ศ. 2486 หรือ 2488 นั้น ถ้ามีการบอกเลิกการเช่ากันโดยชอบก่อนแล้ว แต่ผู้เช่าไม่ยอมออกจากที่เช่าจนใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2486 ถือว่าไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าตึกของโจทก์ประกอบกิจการค้าค่าเช่าเดือนละ ๖๐ บาท ไม่ได้ทำสัญญาเป็นหนังสือ โจทก์ต้องการตึกคืน ได้บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยไม่ไป จึงขอให้ขับไล่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บอกกล่าวเลิกการเช่าก่อนใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ พ.ศ.๒๔๘๙ สัญญาเช่าย่อมระงับไป จำเลยยึดถือทรัพย์สินในกรรมสิทธิของผู้อื่นไว้ได้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นผู้ละเมิดสิทธิของโจทก์ ฉะนั้น ที่พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน ๒๔๘๙ ออกใช้บังคับ จำเลยไม่ใช่ผู้เช่าตึกของโจทก์แล้ว จึงไม่ได้รับความคุ้มครอง พิพากษายืน
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดระหว่างเวลาพระอาทิตย์ตกวันที่ 28 เมษายน ถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น วันที่ 29 เมษายน ทางพิจารณาได้ความว่าเกิดเหตุเมื่อ 4.00 น. รุ่งเช้าก็เป็นวันที่ 29 เมษายน ดังนี้ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาไม่ต่างกับฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์โดยกล่าวในฟ้องว่าเกิดเหตุระหว่างเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกวันที่ 28 เมษายน ถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นวันที่ 29 เมษายน
ทางพิจารณาได้ความว่า เกิดเหตุเมื่อ 4.00 นาฬิกา รุ่งเช้าเป็นวันที่ 29 เมษายน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายเพี้ยนนายดวน จำเลยตามฟ้องจำเลยอื่นยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายเพี้ยน นายดวนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่านายเพี้ยนนายดวนปล้นทรัพย์ จริงส่วนข้อกฎหมายก็เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาก็ไม่ต่างกับที่กล่าวในฟ้องจึงพิพากษายืน
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดระหว่างเวลาพระอาทิตย์ตกวันที่ 28 เมษายน ถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น วันที่ 29 เมษายน ทางพิจารณาได้ความว่าเกิดเหตุเมื่อ 4.00 น. รุ่งเช้าก็เป็นวันที่ 29 เมษายน ดังนี้ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาไม่ต่างกับฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์โดยกล่าวในฟ้องว่าเกิดเหตุระหว่างเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกวันที่ 28 เมษายน ถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นวันที่ 29 เมษายน
ทางพิจารณาได้ความว่า เกิดเหตุเมื่อ 4.00 นาฬิกา รุ่งเช้าเป็นวันที่ 29 เมษายน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายเพี้ยนนายดวน จำเลยตามฟ้องจำเลยอื่นยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายเพี้ยน นายดวนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่านายเพี้ยนนายดวนปล้นทรัพย์ จริงส่วนข้อกฎหมายก็เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาก็ไม่ต่างกับที่กล่าวในฟ้องจึงพิพากษายืน
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดระหว่างเวลาพระอาทิตย์ตก วันที่ 28 เมษายน ถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น วันที่ 29 เมษายน ทางพิจารณาได้ความว่า เกิดเหตุเมื่อ 4.00 น. รุ่งเช้าก็เป็นวันที่ 29 เมษายน ดังนี้ ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความตาม ทางพิจารณาไม่ต่างกับฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ โดยกล่าวในฟ้องว่า เกิดเหตุระหว่างเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกวันที่ ๒๘ เมษายน ถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น วันที่ ๒๙ เมษายน
ทางพิจารณาได้ความว่า เกิดเหตุเมื่อ ๔.๐๐ นาฬิกา รุ่งเช้าเป็นวันที่ ๒๙ เมษายน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายเพี้ยนนายดวน จำเลยตามฟ้อง จำเลยอื่นยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายเพี้ยน นายดวน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า นายเพี้ยนนายดวนปล้นทรัพย์ จริง ส่วนข้อกฎหมายก็เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาก็ไม่ต่างกับที่กล่าวในฟ้อง จึงพิพากษายืน
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดระหว่างเวลาพระอาทิตย์ตก วันที่ 28 เมษายน ถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น วันที่ 29 เมษายน ทางพิจารณาได้ความว่า เกิดเหตุเมื่อ 4.00 น. รุ่งเช้าก็เป็นวันที่ 29 เมษายน ดังนี้ ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความตาม ทางพิจารณาไม่ต่างกับฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ โดยกล่าวในฟ้องว่า เกิดเหตุระหว่างเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกวันที่ ๒๘ เมษายน ถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น วันที่ ๒๙ เมษายน
ทางพิจารณาได้ความว่า เกิดเหตุเมื่อ ๔.๐๐ นาฬิกา รุ่งเช้าเป็นวันที่ ๒๙ เมษายน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายเพี้ยนนายดวน จำเลยตามฟ้อง จำเลยอื่นยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายเพี้ยน นายดวน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า นายเพี้ยนนายดวนปล้นทรัพย์ จริง ส่วนข้อกฎหมายก็เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาก็ไม่ต่างกับที่กล่าวในฟ้อง จึงพิพากษายืน
การขีดฆ่าถ้อยคำในพินัยกรรม โดยพยานผู้นั่งและเป็นผู้เขียนเซ็นรับรองไว้คนเดียวนั้น นับว่าไม่สมบูรณ์
การขีดฆ่าถ้อยคำบางคำในพินัยกรรมทำไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายบังคับไว้นั้น ไม่เป็นเหตุทำให้พินัยกรรมซึ่งทำขึ้นโดยถูกต้องเสียไปทั้งหมดคงใช้ไม่ได้แต่เฉพาะการขีดฆ่าที่ไม่ทำให้ถูกต้องเท่านั้น
โจทก์เป็นพี่สาวสามีจำเลย ได้ฟ้องขอแบ่งมรดกสามี จำเลยซึ่งวายชนม์แล้ว จากจำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า สามีได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ทั้งหมดให้จำเลยแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแย้ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคงฟังข้อเท็จจริงตามศาลอุทธรณ์โดยเชื่อว่า สามีจำเลยได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่จำเลยจริง ส่วนข้อที่โจทก์คัดค้านว่าพินัยกรรมนี้ ไม่สมบูรณ์ตาม มาตรา 1656 วรรคสุดท้าย เพราะในพินัยกรรมมีการขีดฆ่าอยู่ 9 คำ โดยนางสิงห์โตพยานผู้นั่งและเป็นผู้เขียนเซ็นรับรองไว้คนเดียวนั้น เห็นว่า พินัยกรรมดำเนินความว่า"ข้าพเจ้านายสุด คงรักษา ได้ทำพินัยกรรมเป็นคำสั่งไว้ (ซึ่งมีมาแต่เดิมและสินสมรส) ดังมีข้อความต่อไปนี้...." แล้วเห็นว่าถ้อยคำที่ถูกขีดฆ่านั้นเขียนเกินขึ้นมาอย่างผิดที่และไม่ได้ความจึงไม่ใช่ความสำคัญในที่นั้น แม้ผู้ทำพินัยกรรมและพยานจะมิได้เซ็นกำกับไว้ด้วย ก็ไม่สมบูรณ์เฉพาะข้อความที่ขีดมานี้ หาทำให้ข้อความอื่นในพินัยกรรมเสียไปทั้งฉบับไม่ จึงพิพากษายืน
การขีดฆ่าถ้อยคำในพินัยกรรม โดยพยานผู้นั่งและเป็นผู้เขียนเซ็นรับรองไว้คนเดียวนั้น นับว่าไม่สมบูรณ์
การขีดฆ่าถ้อยคำบางคำในพินัยกรรมทำไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายบังคับไว้นั้น ไม่เป็นเหตุทำให้พินัยกรรมซึ่งทำขึ้นโดยถูกต้องเสียไปทั้งหมดคงใช้ไม่ได้แต่เฉพาะการขีดฆ่าที่ไม่ทำให้ถูกต้องเท่านั้น
โจทก์เป็นพี่สาวสามีจำเลย ได้ฟ้องขอแบ่งมรดกสามี จำเลยซึ่งวายชนม์แล้ว จากจำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า สามีได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ทั้งหมดให้จำเลยแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแย้ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคงฟังข้อเท็จจริงตามศาลอุทธรณ์โดยเชื่อว่า สามีจำเลยได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่จำเลยจริง ส่วนข้อที่โจทก์คัดค้านว่าพินัยกรรมนี้ ไม่สมบูรณ์ตาม มาตรา 1656 วรรคสุดท้าย เพราะในพินัยกรรมมีการขีดฆ่าอยู่ 9 คำ โดยนางสิงห์โตพยานผู้นั่งและเป็นผู้เขียนเซ็นรับรองไว้คนเดียวนั้น เห็นว่า พินัยกรรมดำเนินความว่า"ข้าพเจ้านายสุด คงรักษา ได้ทำพินัยกรรมเป็นคำสั่งไว้ (ซึ่งมีมาแต่เดิมและสินสมรส) ดังมีข้อความต่อไปนี้...." แล้วเห็นว่าถ้อยคำที่ถูกขีดฆ่านั้นเขียนเกินขึ้นมาอย่างผิดที่และไม่ได้ความจึงไม่ใช่ความสำคัญในที่นั้น แม้ผู้ทำพินัยกรรมและพยานจะมิได้เซ็นกำกับไว้ด้วย ก็ไม่สมบูรณ์เฉพาะข้อความที่ขีดมานี้ หาทำให้ข้อความอื่นในพินัยกรรมเสียไปทั้งฉบับไม่ จึงพิพากษายืน
การขีดฆ่าถ้อยคำในพินัยกรรม์ โดยพยานผู้นั่งและเป็นผู้เขียนเซ็นรับรองไว้คนเดียวนั้น นับว่าไม่สมบูรณ์
การขีดฆ่าถ้อยคำบางคำในพินัยกรรม์ ทำไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายบังคับไว้นั้น ไม่เป็นเหตุทำให้พินัยกรรม์ ซึ่งทำขึ้นโดยถูกต้องเสียไปทั้งหมด คงใช้ไม่ได้แต่เฉพาะการขีดฆ่าที่ไม่ทำให้ถูกต้องเท่านั้น
โจทก์เป็นพี่สาวสามีจำเลย ได้ฟ้องของแบ่งมฤดกสามี จำเลยซึ่งวายชนม์แล้ว จากจำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า สามีได้ทำพินัยกรรม์ยกทรัพย์ทั้งหมดให้จำเลยแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคงฟังข้อเท็จจริงตามศาลอุทธรณ์โดยเชื่อว่า สามีจำเลยได้ทำพินัยกรรม์ยกทรัพย์ให้แก่จำเลยจริง ส่วนข้อที่โจทก์คัดค้านว่าพินัยกรรม์นี้ ไม่สมบูรณ์ตามมาตรา ๑๖๕๖ วรรคสุดท้าย เพราะในพินัยกรรม์มีการขีดฆ่าอยู่ ๙ คำ โดยนางสิงห์โตพยานผู้นั่ง และเป็นผู้เขียนเซ็นรับรองไว้คนเดียวนั้น เห็นว่า พินัยกรรมดำเนินความว่า "ข้าพเจ้านายสุด คงรักษา ได้ทำพินัยกรรม์เป็นคำสั่งไว้ (ซึ่งมีมาแต่เดิมและสินสมรส) ดังมีข้อความต่อไปนี้...." แล้วเห็นว่าถ้อยคำที่ถูกขีดฆ่านั้นเขียนเกินขึ้นมาอย่างผิดที่ และไม่ได้ความ จึงไม่ใช่ความสำคัญในที่นั้น แม้ผู้ทำพินัยกรรม์และพยานจะมิได้เช็นกำกับไว้ด้วย ก็ไม่สมบูรณ์ เฉพาะข้อความที่ขีดมานี้ หาทำให้ข้อความอื่นในพินัยกรรมเสียไปทั้งฉบับไม่ จึงพิพากษายืน
การขีดฆ่าถ้อยคำในพินัยกรรม์ โดยพยานผู้นั่งและเป็นผู้เขียนเซ็นรับรองไว้คนเดียวนั้น นับว่าไม่สมบูรณ์
การขีดฆ่าถ้อยคำบางคำในพินัยกรรม์ ทำไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายบังคับไว้นั้น ไม่เป็นเหตุทำให้พินัยกรรม์ ซึ่งทำขึ้นโดยถูกต้องเสียไปทั้งหมด คงใช้ไม่ได้แต่เฉพาะการขีดฆ่าที่ไม่ทำให้ถูกต้องเท่านั้น
โจทก์เป็นพี่สาวสามีจำเลย ได้ฟ้องของแบ่งมฤดกสามี จำเลยซึ่งวายชนม์แล้ว จากจำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า สามีได้ทำพินัยกรรม์ยกทรัพย์ทั้งหมดให้จำเลยแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคงฟังข้อเท็จจริงตามศาลอุทธรณ์โดยเชื่อว่า สามีจำเลยได้ทำพินัยกรรม์ยกทรัพย์ให้แก่จำเลยจริง ส่วนข้อที่โจทก์คัดค้านว่าพินัยกรรม์นี้ ไม่สมบูรณ์ตามมาตรา ๑๖๕๖ วรรคสุดท้าย เพราะในพินัยกรรม์มีการขีดฆ่าอยู่ ๙ คำ โดยนางสิงห์โตพยานผู้นั่ง และเป็นผู้เขียนเซ็นรับรองไว้คนเดียวนั้น เห็นว่า พินัยกรรมดำเนินความว่า "ข้าพเจ้านายสุด คงรักษา ได้ทำพินัยกรรม์เป็นคำสั่งไว้ (ซึ่งมีมาแต่เดิมและสินสมรส) ดังมีข้อความต่อไปนี้...." แล้วเห็นว่าถ้อยคำที่ถูกขีดฆ่านั้นเขียนเกินขึ้นมาอย่างผิดที่ และไม่ได้ความ จึงไม่ใช่ความสำคัญในที่นั้น แม้ผู้ทำพินัยกรรม์และพยานจะมิได้เช็นกำกับไว้ด้วย ก็ไม่สมบูรณ์ เฉพาะข้อความที่ขีดมานี้ หาทำให้ข้อความอื่นในพินัยกรรมเสียไปทั้งฉบับไม่ จึงพิพากษายืน
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|