ผู้ก่อตั้งทรัสต์ได้มอบทรัพย์สินของตนให้แก่ทรัสตีเป็นผู้ดูแลจัดการผลประโยชน์เพื่อรับประโยชน์แห่งทรัสต์นั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องสัญญาต่างตอบแทนที่คู่สัญญาจะต้องปฏิบัติการชำระหนี้แต่อย่างใด ฉะนั้นเมื่อทรัสตีคนใดทำผิดหน้าที่และละเมิดทรัสต์ ศาลก็ย่อมจะพิพากษาถอดถอนทรัสตีผู้นั้นเสียได้ โดยไม่ต้องเลิกล้มทำลายหนังสือสัญญาก่อตั้งทรัสต์
การถอดถอนทรัสตีนั้นไม่มีหลักกฎหมายว่าทรัสตีจะต้องกระทำการถึงเป็นการทุจริตจึงจะถอดถอนได้ เพียงแต่ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนถึงขนาดไม่สมควรจะดำรงตำแหน่งเป็นทรัสตีต่อไปแล้ว ศาลก็ย่อมถอดถอนได้
ฟ้องขอให้ถอดถอนทรัสตีตามตราสารก่อตั้งทรัสต์ที่ได้กระทำไว้ในประเทศไทย นั้นแม้ทรัพย์สินอันเป็นกองทรัสต์ส่วนมากจะอยู่ในต่างประเทศก็ฟ้องในประเทศไทยได้เพราะมิใช่เรื่องที่จะต้องบังคับแก่ทรัพย์สินแต่อย่างใด
นายเทียวดอร์ อามันดัสเกิ๊ตเจ ผู้ตายได้ทำหนังสือสัญญาก่อตั้งทรัสต์ มอบทรัพย์ให้ให้โจทก์ที่ 1 และจำเลยเป็นทรัสตีจัดการดูแลจัดผลประโยชน์ เพื่อผู้รับประโยชน์แห่งทรัสต์ จำเลยละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ทำให้ผู้รับประโยชน์แห่งทรัสต์เดือดร้อน โจทก์จึงฟ้องขอให้ถอดถอนจำเลยออกจากผู้จัดการทรัพย์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้จำเลยออกจากหน้าที่ทรัสต์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่จำเลยอ้างว่าเอกสารก่อตั้งทรัสต์จำเลยเป็นคู่สัญญาด้วย ศาลจะพิพากษาให้จำเลยออกจากหน้าที่ไม่ได้นอกจากจะเลิกล้มทำลายหนังสือก่อตั้งทรัสต์นั้นเสีย นั้นเห็นว่าตามตราสารก่อตั้งทรัสต์ ผู้ก่อตั้งทรัสต์ได้มอบทรัพย์สินของตนให้แก่ทรัสตีเป็นผู้ดูแลจัดผลประโยชน์ เพื่อรับประโยชน์จากทรัสต์เมื่อทรัสต์คนใด ทำผิดหน้าที่และละเมิดทรัสต์ ศาลก็ย่อมพิพากษาถอดถอนทรัสตีผู้นั้นได้ กรณีไม่เป็นเรื่องสัญญาต่างตอบแทน
(2) จำเลยจะมาอ้างว่าเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องโจทก์ เป็นเอกสารที่แปลผิดในชั้นฎีกา โดยจำเลยไม่ได้คัดค้านเป็นประเด็นมาแต่ศาลล่างนั้นไม่ได้
(3) ในข้อที่จำเลยคัดค้านว่า จำเลยไม่ได้กระทำทุจริตจะถอดถอนไม่ได้นั้น ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาแล้วว่า จำเลยได้ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ถึงขนาดไม่สมควรจะดำรงตำแหน่งเป็นทรัสตีต่อไปแล้ว และไม่มีหลักกฎหมายได้ว่าทรัสตีต้องกระทำการถึงเป็นทุจริตจึงจะถอดถอนได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
(4) จำเลยฎีกาว่า ทรัพย์สินอันเป็นกองทรัสต์ส่วนมากอยู่ในต่างประเทศ จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลในกรุงเทพนั้น ศาลฎีกาเห็นว่ากรณีเรื่องนี้มิใช่เรื่องที่จะต้องบังคับแก่ทรัพย์สินแต่อย่างใดหากเป็นเรื่องถอดถอนทรัสตีตามตราสารก่อตั้งทรัสตีที่ได้ทำในประเทศย่อมอยู่ในเขตอำนาจศาลไทย จึงพิพากษายืน
ผู้ก่อตั้งทรัสต์ได้มอบทรัพย์สินของตนให้แก่ทรัสตีเป็นผู้ดูแลจัดการผลประโยชน์เพื่อรับประโยชน์แห่งทรัสต์นั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องสัญญาต่างตอบแทนที่คู่สัญญาจะต้องปฏิบัติการชำระหนี้แต่อย่างใด ฉะนั้นเมื่อทรัสตีคนใดทำผิดหน้าที่และละเมิดทรัสต์ ศาลก็ย่อมจะพิพากษาถอดถอนทรัสตีผู้นั้นเสียได้ โดยไม่ต้องเลิกล้มทำลายหนังสือสัญญาก่อตั้งทรัสต์
การถอดถอนทรัสตีนั้นไม่มีหลักกฎหมายว่าทรัสตีจะต้องกระทำการถึงเป็นการทุจริตจึงจะถอดถอนได้ เพียงแต่ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนถึงขนาดไม่สมควรจะดำรงตำแหน่งเป็นทรัสตีต่อไปแล้ว ศาลก็ย่อมถอดถอนได้
ฟ้องขอให้ถอดถอนทรัสตีตามตราสารก่อตั้งทรัสต์ที่ได้กระทำไว้ในประเทศไทย นั้นแม้ทรัพย์สินอันเป็นกองทรัสต์ส่วนมากจะอยู่ในต่างประเทศก็ฟ้องในประเทศไทยได้เพราะมิใช่เรื่องที่จะต้องบังคับแก่ทรัพย์สินแต่อย่างใด
นายเทียวดอร์ อามันดัสเกิ๊ตเจ ผู้ตายได้ทำหนังสือสัญญาก่อตั้งทรัสต์ มอบทรัพย์ให้ให้โจทก์ที่ 1 และจำเลยเป็นทรัสตีจัดการดูแลจัดผลประโยชน์ เพื่อผู้รับประโยชน์แห่งทรัสต์ จำเลยละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ทำให้ผู้รับประโยชน์แห่งทรัสต์เดือดร้อน โจทก์จึงฟ้องขอให้ถอดถอนจำเลยออกจากผู้จัดการทรัพย์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้จำเลยออกจากหน้าที่ทรัสต์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่จำเลยอ้างว่าเอกสารก่อตั้งทรัสต์จำเลยเป็นคู่สัญญาด้วย ศาลจะพิพากษาให้จำเลยออกจากหน้าที่ไม่ได้นอกจากจะเลิกล้มทำลายหนังสือก่อตั้งทรัสต์นั้นเสีย นั้นเห็นว่าตามตราสารก่อตั้งทรัสต์ ผู้ก่อตั้งทรัสต์ได้มอบทรัพย์สินของตนให้แก่ทรัสตีเป็นผู้ดูแลจัดผลประโยชน์ เพื่อรับประโยชน์จากทรัสต์เมื่อทรัสต์คนใด ทำผิดหน้าที่และละเมิดทรัสต์ ศาลก็ย่อมพิพากษาถอดถอนทรัสตีผู้นั้นได้ กรณีไม่เป็นเรื่องสัญญาต่างตอบแทน
(2) จำเลยจะมาอ้างว่าเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องโจทก์ เป็นเอกสารที่แปลผิดในชั้นฎีกา โดยจำเลยไม่ได้คัดค้านเป็นประเด็นมาแต่ศาลล่างนั้นไม่ได้
(3) ในข้อที่จำเลยคัดค้านว่า จำเลยไม่ได้กระทำทุจริตจะถอดถอนไม่ได้นั้น ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาแล้วว่า จำเลยได้ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ถึงขนาดไม่สมควรจะดำรงตำแหน่งเป็นทรัสตีต่อไปแล้ว และไม่มีหลักกฎหมายได้ว่าทรัสตีต้องกระทำการถึงเป็นทุจริตจึงจะถอดถอนได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
(4) จำเลยฎีกาว่า ทรัพย์สินอันเป็นกองทรัสต์ส่วนมากอยู่ในต่างประเทศ จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลในกรุงเทพนั้น ศาลฎีกาเห็นว่ากรณีเรื่องนี้มิใช่เรื่องที่จะต้องบังคับแก่ทรัพย์สินแต่อย่างใดหากเป็นเรื่องถอดถอนทรัสตีตามตราสารก่อตั้งทรัสตีที่ได้ทำในประเทศย่อมอยู่ในเขตอำนาจศาลไทย จึงพิพากษายืน
ผู้ก่อตั้งตรัสต์ได้มอบทรัพย์สินของตนให้แก่ตรัสตีเป็นผู้ดูแลจัดการผลประโยชน์เพื่อรับประโยชน์แห่งตรัสต์นั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องสัญญาต่างตอบแทนที่คู่สัญญาจะต้องปฎิบัติการชำะระหนี้แต่อย่างใด ฉะนั้น เมื่อตรัสตีคนใดทำผิดหน้าที่และละเมิดตรัสต์ ศาลก็ย่อมจะพิพากษาถอดถอนตรัสตีผู้นั้นเสียได้ โดยไม่ต้องเลิกล้มทำลายหนังสือสัญญาก่อตั้งตรัสต์
การถอดถอนตรัสตีนั้นไม่มีหลัก ก.ม.ว่าทรัสตีจะต้องกระทำการถึงเป็นการทุจริตจึงจะถอดถอนได้ เพียงแต่ละเลยไม่ปฎิบัติหน้าที่ของตนถึงขนาดไม่สมควรจะดำรงตำแหน่งเป็นตรัสตีต่อไปแล้ว ศาลก็ย่อมถอดถอนได้
ฟ้องขอให้ถอดถอนตรัสตีตามตราสารก่อตั้งตรัสต์ที่ได้กระทำไว้ในประเทศไทย นั้นแม้ทรัพย์สินอันเป็นกองตรัสต์ส่วนมากจะอยู่ในต่างประเทศก็ฟ้องในศาลไทยได้ เพราะมิใช่เรื่องที่จะต้องบังคับแก่ทรัพย์สินแต่อย่างใด
นายเทียวดอร์ อามันดัส เกิ๊ตเจ ผู้ตายได้ทำหนังสือสัญญาก่อตั้งตรัสต์ มอบทรัพย์ให้ให้โจทก์ที่ ๑ และจำเลยเป็นตรัสตีจัดการดูแลจัดผลประโยชน์ เพื่อผู้รับประโยชน์แห่งตรัสต์ จำเลยละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ทำให้ผู้รับประโยชน์แห่งตรัสต์เดือนร้อน โจทก์จึงฟ้องขอให้ถอดถอนจำเลยออกจากผู้จัดการทรัพย์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้จำเลยออกจากหน้าที่ตรัสตี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่จำเลยอ้างว่าเอกสารก่อตั้งตรัสต์จำเลยเป็นคู่สัญญาด้วย ศาลจะพิพากษาให้จำเลยออกจากหน้าที่ไม่ได้ นอกจากจะเลิกล้มทำลายหนังสือก่อตั้งตรัสต์นั้นเสียนั้นเห็นว่า ตามมาตราสารการก่อตั้งตรัสต์ ผู้ก่อตั้งตรัสต์ได้มอบทรัพย์สินของตนให้แก่ตรัสตีเป็นผู้ดูแลจัดผลประโยชน์ เพื่อรับประโยชน์จากตรัสต์ เมื่อตรัสตีคนใด ทำผิดหน้าที่และละเมิดตรัสต์ศาลก็ย่อยพิพากษาถอดถอนตรัสตีผู้นั้นได้ กรณีไม่เป็นเรื่องสัญญาต่างตอบแทน
(๒) จำเลยจะมาอ้างว่าเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องโจทก์ เป็นเอกสารที่แปลผิดในชั้นฎีกา โดยจำเลยไม่ได้คัดค้านเป็นประเด็นมาแต่ศาลล่างนั้นไม่ได้
(๓) ในข้อที่จำเลยคัดค้าว่า จำเลยไม่ได้กระทำทุจริตจะถอดถอนไม่ได้นั้น ศาลล่างก็ฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาแล้วว่าจำเลยได้ละเลยไม่ปฎิบติหน้าที่ของตน ถึงขนาดไม่สมควรจะดำรงตำแหน่งเป็นตรัสตีต่อไปแล้ว และไม่มีหลักกฎหมายได้ว่า ทรัสตีต้องกระทำการถึงเป็นทุจริตจึงจะถอดถอนได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
(๔) จำเลยฎีกาว่า ทรัพย์สินอันเป็นกองตรัสต์ส่วนมากอยู่ในต่างประเทศ จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลในกรุเทพนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีเรื่องนี้มิใช่เรื่องที่จะต้องบังคับแก่ทรัพย์สินแต่อย่างใด หากเป์นเรื่องถอดถอนตรัสตีตามตราสารก่อตั้งตรัสตีที่ได้ทำในประเทศย่อมอยู่ในเขตต์อำนาจศาลไทย จึงพิพากษายืน
ผู้ก่อตั้งตรัสต์ได้มอบทรัพย์สินของตนให้แก่ตรัสตีเป็นผู้ดูแลจัดการผลประโยชน์เพื่อรับประโยชน์แห่งตรัสต์นั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องสัญญาต่างตอบแทนที่คู่สัญญาจะต้องปฎิบัติการชำะระหนี้แต่อย่างใด ฉะนั้น เมื่อตรัสตีคนใดทำผิดหน้าที่และละเมิดตรัสต์ ศาลก็ย่อมจะพิพากษาถอดถอนตรัสตีผู้นั้นเสียได้ โดยไม่ต้องเลิกล้มทำลายหนังสือสัญญาก่อตั้งตรัสต์
การถอดถอนตรัสตีนั้นไม่มีหลัก ก.ม.ว่าทรัสตีจะต้องกระทำการถึงเป็นการทุจริตจึงจะถอดถอนได้ เพียงแต่ละเลยไม่ปฎิบัติหน้าที่ของตนถึงขนาดไม่สมควรจะดำรงตำแหน่งเป็นตรัสตีต่อไปแล้ว ศาลก็ย่อมถอดถอนได้
ฟ้องขอให้ถอดถอนตรัสตีตามตราสารก่อตั้งตรัสต์ที่ได้กระทำไว้ในประเทศไทย นั้นแม้ทรัพย์สินอันเป็นกองตรัสต์ส่วนมากจะอยู่ในต่างประเทศก็ฟ้องในศาลไทยได้ เพราะมิใช่เรื่องที่จะต้องบังคับแก่ทรัพย์สินแต่อย่างใด
นายเทียวดอร์ อามันดัส เกิ๊ตเจ ผู้ตายได้ทำหนังสือสัญญาก่อตั้งตรัสต์ มอบทรัพย์ให้ให้โจทก์ที่ ๑ และจำเลยเป็นตรัสตีจัดการดูแลจัดผลประโยชน์ เพื่อผู้รับประโยชน์แห่งตรัสต์ จำเลยละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ทำให้ผู้รับประโยชน์แห่งตรัสต์เดือนร้อน โจทก์จึงฟ้องขอให้ถอดถอนจำเลยออกจากผู้จัดการทรัพย์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้จำเลยออกจากหน้าที่ตรัสตี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่จำเลยอ้างว่าเอกสารก่อตั้งตรัสต์จำเลยเป็นคู่สัญญาด้วย ศาลจะพิพากษาให้จำเลยออกจากหน้าที่ไม่ได้ นอกจากจะเลิกล้มทำลายหนังสือก่อตั้งตรัสต์นั้นเสียนั้นเห็นว่า ตามมาตราสารการก่อตั้งตรัสต์ ผู้ก่อตั้งตรัสต์ได้มอบทรัพย์สินของตนให้แก่ตรัสตีเป็นผู้ดูแลจัดผลประโยชน์ เพื่อรับประโยชน์จากตรัสต์ เมื่อตรัสตีคนใด ทำผิดหน้าที่และละเมิดตรัสต์ศาลก็ย่อยพิพากษาถอดถอนตรัสตีผู้นั้นได้ กรณีไม่เป็นเรื่องสัญญาต่างตอบแทน
(๒) จำเลยจะมาอ้างว่าเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องโจทก์ เป็นเอกสารที่แปลผิดในชั้นฎีกา โดยจำเลยไม่ได้คัดค้านเป็นประเด็นมาแต่ศาลล่างนั้นไม่ได้
(๓) ในข้อที่จำเลยคัดค้าว่า จำเลยไม่ได้กระทำทุจริตจะถอดถอนไม่ได้นั้น ศาลล่างก็ฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาแล้วว่าจำเลยได้ละเลยไม่ปฎิบติหน้าที่ของตน ถึงขนาดไม่สมควรจะดำรงตำแหน่งเป็นตรัสตีต่อไปแล้ว และไม่มีหลักกฎหมายได้ว่า ทรัสตีต้องกระทำการถึงเป็นทุจริตจึงจะถอดถอนได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
(๔) จำเลยฎีกาว่า ทรัพย์สินอันเป็นกองตรัสต์ส่วนมากอยู่ในต่างประเทศ จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลในกรุเทพนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีเรื่องนี้มิใช่เรื่องที่จะต้องบังคับแก่ทรัพย์สินแต่อย่างใด หากเป์นเรื่องถอดถอนตรัสตีตามตราสารก่อตั้งตรัสตีที่ได้ทำในประเทศย่อมอยู่ในเขตต์อำนาจศาลไทย จึงพิพากษายืน
การโอนหนี้เงินกู้ให้ผู้อื่นโดยลูกหนี้มิได้รู้เห็นยินยอมนั้น ถ้ามิได้บอกกล่าวเป็นหนังสือให้ลูกหนี้ทราบแล้วผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง จะฟ้องบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้แก่ตนไม่ได้
โจทก์จำเลยทำสัญญาตกลงกันว่า จำเลยสัญญาจะส่งเงินให้โจทก์เป็นคราวๆ จนครบจำนวน 12,405 บาท แล้วโจทก์จะโอนที่ดินซึ่งเดิมเป็นของผู้อื่นให้จำเลยดังนี้ ตราบใดที่โจทก์ยังไม่แสดงว่าพร้อมจะชำระหนี้คือโอนที่ดินนั้นให้แก่จำเลยได้แล้ว โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้แต่ฝ่ายเดียวโดยไม่ยอมชำระหนี้ของตนนั้นหาได้ไม่
คดีนี้ ในชั้นต้นหม่อมสวาสดิ์ ดิสกุล เป็นโจทก์ฟ้องว่าเดิมจำเลยได้เป็นหนี้เงินกู้และได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่ร้อยโทสินหลั่ง เกตุทัต ตามสำเนาหนังสือหมายเลข 1-2 ท้ายฟ้องร้อยโทสินหลั่งได้โอนหนี้ให้แก่โจทก์ตามสำเนาหนังสือหมายเลข 3 จึงขอให้บังคับจำเลยใช้ต้นเงิน 12,405 บาทแก่โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า การโอนหนี้จำเลยไม่ได้รู้เห็นยินยอม ไม่ได้รับบอกกล่าว โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาแลต่อสู้อย่างอื่นอีกหลายประการ
ร.ท.สินหลั่ง จึงได้ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม และยื่นคำขอเพิ่มเติมฟ้องว่า ถ้าจำเลยมิต้องใช้เงินให้โจทก์ ก็ขอให้จำเลยใช้เงินตามคำขอท้ายฟ้องให้แก่ ร.ท.สินหลั่ง ศาลสั่งอนุญาตศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าการโอนสิทธิเรียกร้องในคดีนี้โจทก์แสดงไม่ได้ว่าได้บอกกล่าวแก่ลูกหนี้คือจำเลยแล้ว จึงไม่สมบูรณ์หม่อมสวาสดิ์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลย ส่วนคดีสำหรับ ร.ท.สินหลั่งกับจำเลยนั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ร.ท.สินหลั่งกับจำเลยตกลงกันว่า จำเลยสัญญาจะส่งเงินให้โจทก์เป็นคราว ๆ จนครบจำนวน 12,405 บาท แล้วโจทก์จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดซึ่งเดิมเป็นของนายอ๋อ 1 แปลง ของนายแปลก 1 แปลงให้แก่จำเลยฉะนั้นเมื่อโจทก์ไม่แสดงว่าโจทก์พร้อมจะชำระหนี้ตอบแทนคือโอนที่ดินทั้งสองแปลงนั้นให้แก่จำเลยได้แล้ว โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยชำระแต่ฝ่ายเดียว โดยไม่ยอมชำระหนี้ของตนนั้นหาได้ไม่และยังได้ความว่า โจทก์ได้โอนที่ดินทั้ง 2 แปลงนั้นให้ผู้อื่นไปแล้วจึงพิพากษายืน
การโอนหนี้เงินกู้ให้ผู้อื่นโดยลูกหนี้มิได้รู้เห็นยินยอมนั้น ถ้ามิได้บอกกล่าวเป็นหนังสือให้ลูกหนี้ทราบแล้วผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง จะฟ้องบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้แก่ตนไม่ได้
โจทก์จำเลยทำสัญญาตกลงกันว่า จำเลยสัญญาจะส่งเงินให้โจทก์เป็นคราวๆ จนครบจำนวน 12,405 บาท แล้วโจทก์จะโอนที่ดินซึ่งเดิมเป็นของผู้อื่นให้จำเลยดังนี้ ตราบใดที่โจทก์ยังไม่แสดงว่าพร้อมจะชำระหนี้คือโอนที่ดินนั้นให้แก่จำเลยได้แล้ว โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้แต่ฝ่ายเดียวโดยไม่ยอมชำระหนี้ของตนนั้นหาได้ไม่
คดีนี้ ในชั้นต้นหม่อมสวาสดิ์ ดิสกุล เป็นโจทก์ฟ้องว่าเดิมจำเลยได้เป็นหนี้เงินกู้และได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่ร้อยโทสินหลั่ง เกตุทัต ตามสำเนาหนังสือหมายเลข 1-2 ท้ายฟ้องร้อยโทสินหลั่งได้โอนหนี้ให้แก่โจทก์ตามสำเนาหนังสือหมายเลข 3 จึงขอให้บังคับจำเลยใช้ต้นเงิน 12,405 บาทแก่โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า การโอนหนี้จำเลยไม่ได้รู้เห็นยินยอม ไม่ได้รับบอกกล่าว โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาแลต่อสู้อย่างอื่นอีกหลายประการ
ร.ท.สินหลั่ง จึงได้ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม และยื่นคำขอเพิ่มเติมฟ้องว่า ถ้าจำเลยมิต้องใช้เงินให้โจทก์ ก็ขอให้จำเลยใช้เงินตามคำขอท้ายฟ้องให้แก่ ร.ท.สินหลั่ง ศาลสั่งอนุญาตศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าการโอนสิทธิเรียกร้องในคดีนี้โจทก์แสดงไม่ได้ว่าได้บอกกล่าวแก่ลูกหนี้คือจำเลยแล้ว จึงไม่สมบูรณ์หม่อมสวาสดิ์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลย ส่วนคดีสำหรับ ร.ท.สินหลั่งกับจำเลยนั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ร.ท.สินหลั่งกับจำเลยตกลงกันว่า จำเลยสัญญาจะส่งเงินให้โจทก์เป็นคราว ๆ จนครบจำนวน 12,405 บาท แล้วโจทก์จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดซึ่งเดิมเป็นของนายอ๋อ 1 แปลง ของนายแปลก 1 แปลงให้แก่จำเลยฉะนั้นเมื่อโจทก์ไม่แสดงว่าโจทก์พร้อมจะชำระหนี้ตอบแทนคือโอนที่ดินทั้งสองแปลงนั้นให้แก่จำเลยได้แล้ว โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยชำระแต่ฝ่ายเดียว โดยไม่ยอมชำระหนี้ของตนนั้นหาได้ไม่และยังได้ความว่า โจทก์ได้โอนที่ดินทั้ง 2 แปลงนั้นให้ผู้อื่นไปแล้วจึงพิพากษายืน
การโอนหนี้เงินกู้ให้ผู้อื่นโดยลูกหนี้มิได้รู้เห็นยินยอมนั้น ถ้ามิได้บอกกล่าวเป็นหนังสือให้ลูกหนี้ทราบแล้ว ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจะฟ้องบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้แก่ตนไม่ได้
โจทก์จำเลยทำสัญญาตกลงกันว่า จำเลยสัญญาจะส่งเงินให้โจทก์เป็นคราว ๆ จนครบจำนวน 12405 บาท แล้วโจทก์จะโอนที่ดินซึ่งเดิมเป็นของผู้อื่นให้จำเลยดังนี้ ตราบใดที่โจทก์ยังไม่แสดงว่าพร้อมจะชำระหนี้ คือโอนที่ดินนั้นให้แก่จำเลยได้แล้ว โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้แต่ฝ่ายเดียวโดยไม่ยอมชำระหนี้ของตนนั้นหาได้ไม่
คดีนี้ ในชั้นต้นหม่อมสวาสดิ์ ดิสกุลเป็นโจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยได้เป็นหนี้เงินกู้ และได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่ร้อยโทสินหลั่ง เกตุทัต ตามสำเนาหนังสือหมายเลข ๑-๒ ท้องฟ้อง ร้อยโทสินหลั่งได้โอนหนี้ให้แก่โจทก์ตามสำเนาหนังสือหมายเลข ๓ จึงขอให้บังคับจำเลยใช้ต้นเงิน ๑๒๔๐๕ บาท แก่โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า การโอนหนี้จำเลยไม่ได้รู้เห็นยินยอม ไม่ได้รับบอกกล่าว โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาแลต่อสู้อย่างอื่นอีกหลายประการ
ร.ท.สินหลั่ง จึงได้ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม และยื่นคำขอเพิ่มเติมฟ้องว่า ถ้าจำเลยมิต้องใช้เงินให้โจทก์ ก็ขอให้จำเลยใช้เงินตามคำขอท้ายฟ้องให้แก่ ร.ท.สินหลั่ง ศาลสั่งอนุญาต ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าการโอนสิทธิเรียกร้องในคดีนี้ โจทก์แสดงไม่ได้ว่าได้บอกกล่าวแก่ลูกหนี้คือจำเลยแล้ว จึงไม่สมบูรณ์ หม่อมสวาสดิ์จึงไม่สิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยส่วนคดีสำหรับ ร.ท.สินหลั่ง กับจำเลยตกลงกันว่า จำเลยสัญญาจะส่งเงินให้โจทก์เป็นคราว ๆ จนครบจำนวน ๑๒๔๐๕ บาท แล้วโจทก์จะโอนกรรมสิทธิที่ดินตามโฉนด ซึ่งเดิมเป็นของนายอ๋อ ๑ แปลง ของนายแปลก ๑ แปลง ให้แก่จำเลย ฉะนั้น เมื่อโจทก์ไม่แสดงว่าโจทก์พร้อมจะชำระหนี้ตอบแทน คือโอนที่ดินทั้งสองแปลงนั้นให้แก่จำเลยได้แล้ว โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยชำระแต่ฝ่ายเดียว โดยไม่ยอมชำระหนี้ของตนนั้นหาได้ไม่ และยังได้ความว่า โจทก์ได้โอนที่ดินทั้ง ๒ แปลงนั้นให้ผู้อื่นไปแล้ว จึงพิพากษายืน
การโอนหนี้เงินกู้ให้ผู้อื่นโดยลูกหนี้มิได้รู้เห็นยินยอมนั้น ถ้ามิได้บอกกล่าวเป็นหนังสือให้ลูกหนี้ทราบแล้ว ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจะฟ้องบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้แก่ตนไม่ได้
โจทก์จำเลยทำสัญญาตกลงกันว่า จำเลยสัญญาจะส่งเงินให้โจทก์เป็นคราว ๆ จนครบจำนวน 12405 บาท แล้วโจทก์จะโอนที่ดินซึ่งเดิมเป็นของผู้อื่นให้จำเลยดังนี้ ตราบใดที่โจทก์ยังไม่แสดงว่าพร้อมจะชำระหนี้ คือโอนที่ดินนั้นให้แก่จำเลยได้แล้ว โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้แต่ฝ่ายเดียวโดยไม่ยอมชำระหนี้ของตนนั้นหาได้ไม่
คดีนี้ ในชั้นต้นหม่อมสวาสดิ์ ดิสกุลเป็นโจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยได้เป็นหนี้เงินกู้ และได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่ร้อยโทสินหลั่ง เกตุทัต ตามสำเนาหนังสือหมายเลข ๑-๒ ท้องฟ้อง ร้อยโทสินหลั่งได้โอนหนี้ให้แก่โจทก์ตามสำเนาหนังสือหมายเลข ๓ จึงขอให้บังคับจำเลยใช้ต้นเงิน ๑๒๔๐๕ บาท แก่โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า การโอนหนี้จำเลยไม่ได้รู้เห็นยินยอม ไม่ได้รับบอกกล่าว โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาแลต่อสู้อย่างอื่นอีกหลายประการ
ร.ท.สินหลั่ง จึงได้ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม และยื่นคำขอเพิ่มเติมฟ้องว่า ถ้าจำเลยมิต้องใช้เงินให้โจทก์ ก็ขอให้จำเลยใช้เงินตามคำขอท้ายฟ้องให้แก่ ร.ท.สินหลั่ง ศาลสั่งอนุญาต ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าการโอนสิทธิเรียกร้องในคดีนี้ โจทก์แสดงไม่ได้ว่าได้บอกกล่าวแก่ลูกหนี้คือจำเลยแล้ว จึงไม่สมบูรณ์ หม่อมสวาสดิ์จึงไม่สิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยส่วนคดีสำหรับ ร.ท.สินหลั่ง กับจำเลยตกลงกันว่า จำเลยสัญญาจะส่งเงินให้โจทก์เป็นคราว ๆ จนครบจำนวน ๑๒๔๐๕ บาท แล้วโจทก์จะโอนกรรมสิทธิที่ดินตามโฉนด ซึ่งเดิมเป็นของนายอ๋อ ๑ แปลง ของนายแปลก ๑ แปลง ให้แก่จำเลย ฉะนั้น เมื่อโจทก์ไม่แสดงว่าโจทก์พร้อมจะชำระหนี้ตอบแทน คือโอนที่ดินทั้งสองแปลงนั้นให้แก่จำเลยได้แล้ว โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยชำระแต่ฝ่ายเดียว โดยไม่ยอมชำระหนี้ของตนนั้นหาได้ไม่ และยังได้ความว่า โจทก์ได้โอนที่ดินทั้ง ๒ แปลงนั้นให้ผู้อื่นไปแล้ว จึงพิพากษายืน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากโรงซึ่งอ้างว่าเป็นของโจทก์ทางพิจารณาได้ความว่า โรงเป็นของจำเลย แต่ที่ดินเป็นของโจทก์ ศาลพิพากษาว่าให้จำเลยรื้อโรงออกไปเสียจากที่ดินของโจทก์ ดังนี้มีความหมายว่าจำเลยย่อมมีสิทธิรื้อไปได้ ไม่ใช่บังคับให้จำเลยรื้อ
บุคคลอาจเป็นเจ้าของโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นได้ ดังที่บัญญัติไว้ในเรื่องสิทธิเหนือพื้นดินตาม มาตรา 1410
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ปลูกโรงในที่ดินของโจทก์ให้จำเลยอาศัยอยู่ บัดนี้โจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ต่อไป จึงขอให้ขับไล่จำเลยและอย่าให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ไป
จำเลยให้การว่า โรงที่จำเลยอยู่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยโจทก์ยินยอมให้จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกอยู่ตลอดมา เมื่อโจทก์ ไม่พอใจก็ควรให้จำเลยรื้อโรงไปอยู่ที่อื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อโรงพิพาทไปเสียจากที่ดินของโจทก์และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์ อ้างว่าคำขอของโจทก์ เพียงแต่ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากโรง ศาลตัดสินให้จำเลยรื้อโรงไป จึงเกินข้อหานั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำตัดสินของศาลล่างมิใช่ว่าเป็นการบังคับจำเลยให้ต้องรื้อโรงไป หากแต่ตัดสินว่าโรงเป็นของจำเลยเมื่อจำเลยให้การแก้ข้อหาของโจทก์ ที่ขอให้ขับไล่ว่ายินดีจะรื้อออกไป ศาลก็ย่อมตัดสินได้ตามที่จำเลยต้องการ คือย่อมหมายความว่าจำเลยชอบที่จะรื้อโรงไปได้ คำขอของโจทก์ที่ขอให้ขับไล่ออกจากที่ดินและโรง จึงเป็นอันพ่ายแพ้แก่ข้อต่อสู้ของจำเลย คำตัดสินหาเป็นการเกินคำขอไม่
ส่วนข้อที่โจทก์ค้านว่า จำเลยไม่มีหลักฐานการจดทะเบียนจะวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเจ้าของโรงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า บุคคลอาจมีสิทธิเป็นเจ้าของโรงเรือนในที่ดิน ของผู้อื่นได้ดังที่บัญญัติไว้ในเรื่องสิทธิเหนือที่ดินตามมาตรา 1410ฎีกาข้ออื่นก็ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากโรงซึ่งอ้างว่าเป็นของโจทก์ทางพิจารณาได้ความว่า โรงเป็นของจำเลย แต่ที่ดินเป็นของโจทก์ ศาลพิพากษาว่าให้จำเลยรื้อโรงออกไปเสียจากที่ดินของโจทก์ ดังนี้มีความหมายว่าจำเลยย่อมมีสิทธิรื้อไปได้ ไม่ใช่บังคับให้จำเลยรื้อ
บุคคลอาจเป็นเจ้าของโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นได้ ดังที่บัญญัติไว้ในเรื่องสิทธิเหนือพื้นดินตาม มาตรา 1410
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ปลูกโรงในที่ดินของโจทก์ให้จำเลยอาศัยอยู่ บัดนี้โจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ต่อไป จึงขอให้ขับไล่จำเลยและอย่าให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ไป
จำเลยให้การว่า โรงที่จำเลยอยู่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยโจทก์ยินยอมให้จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกอยู่ตลอดมา เมื่อโจทก์ ไม่พอใจก็ควรให้จำเลยรื้อโรงไปอยู่ที่อื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อโรงพิพาทไปเสียจากที่ดินของโจทก์และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์ อ้างว่าคำขอของโจทก์ เพียงแต่ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากโรง ศาลตัดสินให้จำเลยรื้อโรงไป จึงเกินข้อหานั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำตัดสินของศาลล่างมิใช่ว่าเป็นการบังคับจำเลยให้ต้องรื้อโรงไป หากแต่ตัดสินว่าโรงเป็นของจำเลยเมื่อจำเลยให้การแก้ข้อหาของโจทก์ ที่ขอให้ขับไล่ว่ายินดีจะรื้อออกไป ศาลก็ย่อมตัดสินได้ตามที่จำเลยต้องการ คือย่อมหมายความว่าจำเลยชอบที่จะรื้อโรงไปได้ คำขอของโจทก์ที่ขอให้ขับไล่ออกจากที่ดินและโรง จึงเป็นอันพ่ายแพ้แก่ข้อต่อสู้ของจำเลย คำตัดสินหาเป็นการเกินคำขอไม่
ส่วนข้อที่โจทก์ค้านว่า จำเลยไม่มีหลักฐานการจดทะเบียนจะวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเจ้าของโรงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า บุคคลอาจมีสิทธิเป็นเจ้าของโรงเรือนในที่ดิน ของผู้อื่นได้ดังที่บัญญัติไว้ในเรื่องสิทธิเหนือที่ดินตามมาตรา 1410ฎีกาข้ออื่นก็ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากโรงซึ่งอ้างว่าเป็นของโจทก์ ทางพิจารณาได้ความว่า โรงเป็นของจำเลย แต่ที่ดินเป็นของโจทก์ ศาลพิพากษาว่าให้จำเลยรื้อโรงออกไปเสีย จากที่ดินของโจทก์ ดังนี้ มีความหมายว่าจำเลยย่อมมีสิทธิรื้อไปได้ ไม่ใช่บังคับให้จำเลยรื้อ
บุคคลอาจเป็นเจ้าของโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นได้ ดังที่บัญญัติไว้ในเรื่องสิทธิเหนือพื้นดินตาม ม.1410
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ปลูกโรงในที่ดินของโจทก์ให้จำเลยอาศัยอยู่ บัดนี้โจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ต่อไป จึงขอให้ขับไล่จำเลยและอย่าให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ไป
จำเลยให้การว่า โรงที่จำเลยอยู่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โดยโจทก์ยินยอมให้จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกอยู่ตลอดมา เมื่อโจทก์ไม่พอใจก็ควรให้จำเลยรื้อโรงไปอยู่ที่อื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อโรงพิพาทไปเสียจากที่ดินของโจทก์ และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์อ้างว่าคำขอของโจทก์ เพียงแต่ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากโรง ศาลตัดสินให้จำเลยรื้อโรงไป จึงเกินข้อหานั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำตัดสินของศาลล่างมิใช่ว่าเป็นการบังคับจำเลยให้ต้องรื้อโรงไป หากแต่ตัดสินว่าโรงเป็นของจำเลย เมื่อจำเลยให้การแก้ข้อหาของโจทก์ ที่ขอให้ขับไล่ว่ายินดีจะรื้อออกไป ศาลก็ย่อมตัดสินได้ตามที่จำเลยต้องการ คือย่อมหมายความว่า จำเลยชอบที่จะรื้อโรงไปได้ คำขอของโจทก์ที่ขอให้ขับไล่ออกจากที่ดินและโรง จึงเป็นอันพ่ายแพ้แก่ข้อต่อสู้ของจำเลย คำตัดสินหาเป็นการเกินคำขอไม่
ส่วนข้อที่โจทก์ค้านว่า จำเลยไมมีหลักฐานการจดทะเบียน จะวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเจ้าของโรงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า บุคคลอาจมีสิทธิเป็นเจ้าของโรงเรือนในที่ดิน ของผู้อื่นได้ดังที่บัญญัติไว้ในเรื่องสิทธิเหนือที่ดินตามมาตร๑๔๑๐ ฎีกาข้ออื่นก็ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากโรงซึ่งอ้างว่าเป็นของโจทก์ ทางพิจารณาได้ความว่า โรงเป็นของจำเลย แต่ที่ดินเป็นของโจทก์ ศาลพิพากษาว่าให้จำเลยรื้อโรงออกไปเสีย จากที่ดินของโจทก์ ดังนี้ มีความหมายว่าจำเลยย่อมมีสิทธิรื้อไปได้ ไม่ใช่บังคับให้จำเลยรื้อ
บุคคลอาจเป็นเจ้าของโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นได้ ดังที่บัญญัติไว้ในเรื่องสิทธิเหนือพื้นดินตาม ม.1410
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ปลูกโรงในที่ดินของโจทก์ให้จำเลยอาศัยอยู่ บัดนี้โจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ต่อไป จึงขอให้ขับไล่จำเลยและอย่าให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ไป
จำเลยให้การว่า โรงที่จำเลยอยู่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โดยโจทก์ยินยอมให้จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกอยู่ตลอดมา เมื่อโจทก์ไม่พอใจก็ควรให้จำเลยรื้อโรงไปอยู่ที่อื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อโรงพิพาทไปเสียจากที่ดินของโจทก์ และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์อ้างว่าคำขอของโจทก์ เพียงแต่ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากโรง ศาลตัดสินให้จำเลยรื้อโรงไป จึงเกินข้อหานั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำตัดสินของศาลล่างมิใช่ว่าเป็นการบังคับจำเลยให้ต้องรื้อโรงไป หากแต่ตัดสินว่าโรงเป็นของจำเลย เมื่อจำเลยให้การแก้ข้อหาของโจทก์ ที่ขอให้ขับไล่ว่ายินดีจะรื้อออกไป ศาลก็ย่อมตัดสินได้ตามที่จำเลยต้องการ คือย่อมหมายความว่า จำเลยชอบที่จะรื้อโรงไปได้ คำขอของโจทก์ที่ขอให้ขับไล่ออกจากที่ดินและโรง จึงเป็นอันพ่ายแพ้แก่ข้อต่อสู้ของจำเลย คำตัดสินหาเป็นการเกินคำขอไม่
ส่วนข้อที่โจทก์ค้านว่า จำเลยไมมีหลักฐานการจดทะเบียน จะวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเจ้าของโรงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า บุคคลอาจมีสิทธิเป็นเจ้าของโรงเรือนในที่ดิน ของผู้อื่นได้ดังที่บัญญัติไว้ในเรื่องสิทธิเหนือที่ดินตามมาตร๑๔๑๐ ฎีกาข้ออื่นก็ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน
คู่สมรสที่สมรสกันก่อน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5การแบ่งสินสมรสก็ต้องแบ่งตามกฎหมายเดิม คือลักษณะผัวเมียบทที่ 68
ฟ้องขอแบ่งข้าวเปลือกซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย หากจำเลยส่งมาแบ่งไม่ได้ ก็ต้องชำระราคาแทนโดยคิดเอาราคาในขณะที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกของนายทุ่มบิดา จากจำเลยซึ่งเป็นภริยานายทุ่ม และขอให้หักค่าทำศพไว้ตามสมควร
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งมรดกเป็น 2 ส่วน จำเลยได้ส่วนหนึ่งอีกส่วนหนึ่งเป็นมรดกและให้หักค่าทำศพที่จำเลยผู้เป็นภริยาจัดทำไปให้แก่จำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้แบ่งสินสมรสตามกฎหมายผัวเมียบทที่ 68
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ตายกับจำเลยได้สมรสกันมาก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 การแบ่งสินสมรสก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายเดิมเรื่องข้าวเปลือก3,000 เลียง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยส่งเป็นข้าวหรือใช้ราคาแทนโดยคิดราคาที่โจทก์ฟ้อง เป็นการชอบแล้วจึงพิพากษายืน
คู่สมรสที่สมรสกันก่อน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5การแบ่งสินสมรสก็ต้องแบ่งตามกฎหมายเดิม คือลักษณะผัวเมียบทที่ 68
ฟ้องขอแบ่งข้าวเปลือกซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย หากจำเลยส่งมาแบ่งไม่ได้ ก็ต้องชำระราคาแทนโดยคิดเอาราคาในขณะที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกของนายทุ่มบิดา จากจำเลยซึ่งเป็นภริยานายทุ่ม และขอให้หักค่าทำศพไว้ตามสมควร
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งมรดกเป็น 2 ส่วน จำเลยได้ส่วนหนึ่งอีกส่วนหนึ่งเป็นมรดกและให้หักค่าทำศพที่จำเลยผู้เป็นภริยาจัดทำไปให้แก่จำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้แบ่งสินสมรสตามกฎหมายผัวเมียบทที่ 68
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ตายกับจำเลยได้สมรสกันมาก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 การแบ่งสินสมรสก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายเดิมเรื่องข้าวเปลือก3,000 เลียง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยส่งเป็นข้าวหรือใช้ราคาแทนโดยคิดราคาที่โจทก์ฟ้อง เป็นการชอบแล้วจึงพิพากษายืน
คู่สมรสที่ สมรส-กันก่อน ป.พ.พ. บรรพ 5 การแบ่งสินสมรสก็ต้องแบ่งตาม ก.ม.เดิม คือ ลักษณะผัวเมียบทที่ 68
ฟ้องขอแบ่งข้าวเปลือกซึ่งเป็นทรัพย์มฤดกของผู้ตาย หากจำเลยส่งมาแบ่งไม่ได้ ก็ต้องชำระราคาแทนโดยคิดเอาราคาในขณะที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมฤดกของนายทุ่มบิดา จากจำเลย ซึ่งเป็นภริยานายทุ่ม และขอให้หักค่าทำศพไว้ตามสมควร
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งมฤดกเป็น ๒ ส่วน จำเลยได้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นมฤดกและให้หักค่าทำศพที่จำเลยผู้เป็นภรรยาจัดทำไปให้แก่จำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้แบ่งสินสมรสตาม ก.ม.ผัวเมีย บทที่ ๖๘
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ตายกับจำเลยได้สมรสกันมาก่อน ป.พ.พ.บรรพ ๕ การแบ่งสินสมรสก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายเดิม เรื่องข้าวเปลือก ๓๐๐๐ เลียง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยส่งเป็นข้าวหรือใช้ราคาแทนโดยคิดราคาที่โจทก์ฟ้อง เป็นการชอบแล้ว จึงพิพากษายืน
คู่สมรสที่ สมรส-กันก่อน ป.พ.พ. บรรพ 5 การแบ่งสินสมรสก็ต้องแบ่งตาม ก.ม.เดิม คือ ลักษณะผัวเมียบทที่ 68
ฟ้องขอแบ่งข้าวเปลือกซึ่งเป็นทรัพย์มฤดกของผู้ตาย หากจำเลยส่งมาแบ่งไม่ได้ ก็ต้องชำระราคาแทนโดยคิดเอาราคาในขณะที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมฤดกของนายทุ่มบิดา จากจำเลย ซึ่งเป็นภริยานายทุ่ม และขอให้หักค่าทำศพไว้ตามสมควร
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งมฤดกเป็น ๒ ส่วน จำเลยได้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นมฤดกและให้หักค่าทำศพที่จำเลยผู้เป็นภรรยาจัดทำไปให้แก่จำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้แบ่งสินสมรสตาม ก.ม.ผัวเมีย บทที่ ๖๘
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ตายกับจำเลยได้สมรสกันมาก่อน ป.พ.พ.บรรพ ๕ การแบ่งสินสมรสก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายเดิม เรื่องข้าวเปลือก ๓๐๐๐ เลียง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยส่งเป็นข้าวหรือใช้ราคาแทนโดยคิดราคาที่โจทก์ฟ้อง เป็นการชอบแล้ว จึงพิพากษายืน
จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโดยเห็นว่าคำให้การต่อสู้เรื่องอายุความเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนนั้น ไม่ใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 อันจะอุทธรณ์ฎีกาได้ หากแต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเท่านั้น เพราะศาลยังมิได้มีคำวินิจฉัย ชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่องอายุความนี้แต่อย่างใด
โจทก์ฟ้องว่า นายวิชิตเป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์ ได้ทำให้โจทก์เสียหายต่อทรัพย์สินโดยมิชอบนายวิชิตวายชนม์มีจำเลยเป็นทายาทโดยธรรม โจทก์จึงฟ้องจำเลยเรียกค่าสินไหมทดแทน
จำเลยให้การต่อสู้และตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 448 และยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24
ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์รู้ถึงการละเมิดวันใดยังเป็นข้อเท็จจริงซึ่งจะต้องนำสืบ เมื่อยังไม่นำสืบ คดีจะขาดอายุหรือไม่รู้ไม่ได้ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยให้ยกคำร้องของจำเลยดังกล่าวแล้ว มิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 หากแต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเท่านั้น เพราะศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่อง อายุความนี้แต่อย่างใด จำเลยไม่มีสิทธิจะอุทธรณ์ฎีกาได้ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย
จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโดยเห็นว่าคำให้การต่อสู้เรื่องอายุความเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนนั้น ไม่ใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 อันจะอุทธรณ์ฎีกาได้ หากแต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเท่านั้น เพราะศาลยังมิได้มีคำวินิจฉัย ชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่องอายุความนี้แต่อย่างใด
โจทก์ฟ้องว่า นายวิชิตเป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์ ได้ทำให้โจทก์เสียหายต่อทรัพย์สินโดยมิชอบนายวิชิตวายชนม์มีจำเลยเป็นทายาทโดยธรรม โจทก์จึงฟ้องจำเลยเรียกค่าสินไหมทดแทน
จำเลยให้การต่อสู้และตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 448 และยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24
ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์รู้ถึงการละเมิดวันใดยังเป็นข้อเท็จจริงซึ่งจะต้องนำสืบ เมื่อยังไม่นำสืบ คดีจะขาดอายุหรือไม่รู้ไม่ได้ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยให้ยกคำร้องของจำเลยดังกล่าวแล้ว มิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 หากแต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเท่านั้น เพราะศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่อง อายุความนี้แต่อย่างใด จำเลยไม่มีสิทธิจะอุทธรณ์ฎีกาได้ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย
จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 ว่าคดีโจทก์หมดอายุความ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโดยเห็นว่า คำให้การต่อสู้เรื่องอายุความเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนนั้น ไม่ใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา + อันจะอุทธรณ์ฎีกาได้ หากแต่เป็นคำสั่งระหว่าพิจารณาเท่านั้น เพราะศาลยังมิได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่องอายุความนี้แต่อย่างใด
โจทก์ฟ้องว่า นายวิชิตเป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์ ได้ทำให้โจทก์เสียหายต่อทรัพย์สินโดยมิชอบ นายวิชิตวายชนม์ มีจำเลยเป็นทายาทโดยธรรม โจทก์จึงฟ้องจำเลยเรียนค่าสินไหมทดแทน
จำเลยให้การต่อสู้และตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตร ๔๔๘ และยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา๒๔
ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์รู้ถึงการละเมิดวันใดยังเป็นข้อเท็จจริงซึ่งจะต้องนำสืบ เมื่อยังไม่นำสืบ คดีจะขาดอายุหรือไม่ รู้ไม่ได้ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยให้ยกคำร้องของจำเลยดังกล่าวแล้ว มิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา๒๔ หากแต่เป็นคำสั่งระหว่าพิจารณาเท่านั้น เพราะศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่องอายุความนี้แต่อย่างใด จำเลยไม่มีสิทธิจะอุทธรณ์ฎีกาได้ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย
จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 ว่าคดีโจทก์หมดอายุความ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโดยเห็นว่า คำให้การต่อสู้เรื่องอายุความเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนนั้น ไม่ใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา + อันจะอุทธรณ์ฎีกาได้ หากแต่เป็นคำสั่งระหว่าพิจารณาเท่านั้น เพราะศาลยังมิได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่องอายุความนี้แต่อย่างใด
โจทก์ฟ้องว่า นายวิชิตเป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์ ได้ทำให้โจทก์เสียหายต่อทรัพย์สินโดยมิชอบ นายวิชิตวายชนม์ มีจำเลยเป็นทายาทโดยธรรม โจทก์จึงฟ้องจำเลยเรียนค่าสินไหมทดแทน
จำเลยให้การต่อสู้และตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตร ๔๔๘ และยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา๒๔
ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์รู้ถึงการละเมิดวันใดยังเป็นข้อเท็จจริงซึ่งจะต้องนำสืบ เมื่อยังไม่นำสืบ คดีจะขาดอายุหรือไม่ รู้ไม่ได้ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยให้ยกคำร้องของจำเลยดังกล่าวแล้ว มิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา๒๔ หากแต่เป็นคำสั่งระหว่าพิจารณาเท่านั้น เพราะศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่องอายุความนี้แต่อย่างใด จำเลยไม่มีสิทธิจะอุทธรณ์ฎีกาได้ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย
คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาก่อนมีคำพิพากษา
คำสั่งศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ในเรื่องอายุความโดยเห็นว่าคำให้การต่อสู้ของจำเลยเรื่องอายุความเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เพราะศาลยังมิได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่องอายุความนี้แต่อย่างใด จึงมิใช่คำสั่งศาลที่ได้ออกตามความในมาตรา 24 จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้
มีคำพิพากษาฎีกาตัดสินอย่างเดียวกันคือคดีดำที่ 442,443,444,445,446/2490)
โจทก์ฟ้องว่า นายวิชิตซึ่งเป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์ได้ทำให้โจทก์เสียหายต่อทรัพย์สินโดยมิชอบ นายวิชิตวายชนม์ นางตุ่นภรรยานายวิชิตเป็นผู้จัดการมรดกนายวิชิต โจทก์จึงฟ้องนางตุ่นเป็นจำเลยเรียกค่าสินไหมทดแทน
นางตุ่นจำเลย ให้การต่อสู้และตัดฟ้องว่า (ก) นางตุ่นไม่ใช่ผู้จัดการมรดกนายวิชิต (ข) คดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 448
เมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ขอแก้ฟ้องเป็นว่า นางตุ่นเป็นทายาทโดยธรรมของนายวิชิต และเพิ่มบุตรและมารดานายวิชิตเป็นจำเลยร่วมกับนางตุ่น
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้แก้ฟ้องได้ ส่วนข้อขอเพิ่มบุตรและมารดานายวิชิตเป็นจำเลยร่วมสั่งไม่อนุญาต และไม่มีการคัดค้าน
เมื่อศาลสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องแล้ว ข้อที่จำเลยตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ผู้จัดการมรดกของนายวิชิต จึงตกไป
ส่วนข้อที่จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นว่า คดีโจทก์ขาดอายุความนั้น ข้อเท็จจริงคู่ความยังเถียงกันอยู่ ยังไม่มีเหตุพอที่จะยกฟ้องโจทก์ได้ตามที่จำเลยตัดฟ้อง จึงให้ยกคำร้องของจำเลยเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนทั้งสองประการ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า (1) คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาก่อนมีคำพิพากษา (2) คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 โดยเห็นว่าคำให้การต่อสู้ของจำเลยเรื่องอายุความเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนนั้นก็เห็นว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นกัน เพราะศาลยังมิได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่องอายุความนี้แต่อย่างใดจึงมิใช่คำสั่งศาลที่ได้ออกตามมาตรา 24 จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาก่อนมีคำพิพากษาไม่ได้ จึงพิพากษาให้ยกฎีกาจำเลย
คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาก่อนมีคำพิพากษา
คำสั่งศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ในเรื่องอายุความโดยเห็นว่าคำให้การต่อสู้ของจำเลยเรื่องอายุความเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เพราะศาลยังมิได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่องอายุความนี้แต่อย่างใด จึงมิใช่คำสั่งศาลที่ได้ออกตามความในมาตรา 24 จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้
มีคำพิพากษาฎีกาตัดสินอย่างเดียวกันคือคดีดำที่ 442,443,444,445,446/2490)
โจทก์ฟ้องว่า นายวิชิตซึ่งเป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์ได้ทำให้โจทก์เสียหายต่อทรัพย์สินโดยมิชอบ นายวิชิตวายชนม์ นางตุ่นภรรยานายวิชิตเป็นผู้จัดการมรดกนายวิชิต โจทก์จึงฟ้องนางตุ่นเป็นจำเลยเรียกค่าสินไหมทดแทน
นางตุ่นจำเลย ให้การต่อสู้และตัดฟ้องว่า (ก) นางตุ่นไม่ใช่ผู้จัดการมรดกนายวิชิต (ข) คดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 448
เมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ขอแก้ฟ้องเป็นว่า นางตุ่นเป็นทายาทโดยธรรมของนายวิชิต และเพิ่มบุตรและมารดานายวิชิตเป็นจำเลยร่วมกับนางตุ่น
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้แก้ฟ้องได้ ส่วนข้อขอเพิ่มบุตรและมารดานายวิชิตเป็นจำเลยร่วมสั่งไม่อนุญาต และไม่มีการคัดค้าน
เมื่อศาลสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องแล้ว ข้อที่จำเลยตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ผู้จัดการมรดกของนายวิชิต จึงตกไป
ส่วนข้อที่จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นว่า คดีโจทก์ขาดอายุความนั้น ข้อเท็จจริงคู่ความยังเถียงกันอยู่ ยังไม่มีเหตุพอที่จะยกฟ้องโจทก์ได้ตามที่จำเลยตัดฟ้อง จึงให้ยกคำร้องของจำเลยเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนทั้งสองประการ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า (1) คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาก่อนมีคำพิพากษา (2) คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 โดยเห็นว่าคำให้การต่อสู้ของจำเลยเรื่องอายุความเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนนั้นก็เห็นว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นกัน เพราะศาลยังมิได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่องอายุความนี้แต่อย่างใดจึงมิใช่คำสั่งศาลที่ได้ออกตามมาตรา 24 จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาก่อนมีคำพิพากษาไม่ได้ จึงพิพากษาให้ยกฎีกาจำเลย
คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาก่อนมีคำพิพากษา
คำสั่งศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 24 ในเรื่องอายุความ โดยเห็นว่าคำให้การต่อสู้ของจำเลยเรื่องอายุความเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เพราะศาลยังมิได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาด ในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่องอายุความนั้นแต่อย่างใด จึงมิใช่คำสั่งศาลที่ได้ออกตามความในมาตรา 24 จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้
(มีคำพิพากษาฎีกาตัดสินอย่างเดียวกัน คือ คดีดำที่ 442,443,444,445,446/2490)
โจทก์ฟ้องว่า นายวิชิต ซึ่งเป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์ ได้ทำให้โจทก์เสียหายต่อทรัพย์สินโดยมิชอบ นายวิชิตวายชนม์ นางตุ่นภรรยานายวิชิตเป็นผู้จัดการมฤดกนายวิชิต โจทก์จึงฟ้องนางตุ่นเป็นจำเลยเรียกค่าสินไหมทดแทน
นางตุ่นจำเลย ให้การต่อสู้และตัดฟ้องว่า (ก) นางตุ่นไม่ใช่ผู้จัดการมฤดกนายวิชิต (ข) คดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา๔๔๘
เมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ขอแก้ฟ้องเป็นว่า นางตุ่นเป็นทายาทโดยธรรมของนายวิชิต และเพิ่มบุตรและมารดานายวิชิตเป็นจำเลยร่วมกับนางตุ่น
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้แก้ฟ้องได้ ส่วนข้อขอเพิ่มบุตรและมารดานายวิชิตเป็นจำเลยร่วม สั่งไม่อนุญาต และไม่มีการคัดค้าน
เมื่อศาลสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องแล้ว ข้อที่จำเลยตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ผู้จัดการมฤดกของนายวิชิตจึงตกไป
ส่วนข้อที่จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น ข้อเท็จจริงคู่ความยังเถียงกันอยู่ ยังไม่มีเหตุพอที่จะยกฟ้องโจทก์ได้ตามที่จำเลยตัดฟ้อง จึงให้ยกคำร้องของจำเลยเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนทั้งสองประการ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า (๑) คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาก่อนมีคำพิพากษา (๒) คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ชี้ขาดเบื้องต้นตามารตรา ๒๔ โดยเห็นว่าคำให้การต่อสู้ของจำเลยเรื่องอายุความเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนนั้น ก็เห็นว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นกัน เพราะศาลยังมิได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่องอายุความนี้แต่อย่างใด จึงมิใช่คำสั่งศาลที่ได้ออกตามมาตรา ๒๔ จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาก่อนมีคำพิพากษาไม่ได้ จึงพิพากษาให้ยกฎีกาจำเลย
คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาก่อนมีคำพิพากษา
คำสั่งศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 24 ในเรื่องอายุความ โดยเห็นว่าคำให้การต่อสู้ของจำเลยเรื่องอายุความเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เพราะศาลยังมิได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาด ในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่องอายุความนั้นแต่อย่างใด จึงมิใช่คำสั่งศาลที่ได้ออกตามความในมาตรา 24 จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้
(มีคำพิพากษาฎีกาตัดสินอย่างเดียวกัน คือ คดีดำที่ 442,443,444,445,446/2490)
โจทก์ฟ้องว่า นายวิชิต ซึ่งเป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์ ได้ทำให้โจทก์เสียหายต่อทรัพย์สินโดยมิชอบ นายวิชิตวายชนม์ นางตุ่นภรรยานายวิชิตเป็นผู้จัดการมฤดกนายวิชิต โจทก์จึงฟ้องนางตุ่นเป็นจำเลยเรียกค่าสินไหมทดแทน
นางตุ่นจำเลย ให้การต่อสู้และตัดฟ้องว่า (ก) นางตุ่นไม่ใช่ผู้จัดการมฤดกนายวิชิต (ข) คดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา๔๔๘
เมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ขอแก้ฟ้องเป็นว่า นางตุ่นเป็นทายาทโดยธรรมของนายวิชิต และเพิ่มบุตรและมารดานายวิชิตเป็นจำเลยร่วมกับนางตุ่น
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้แก้ฟ้องได้ ส่วนข้อขอเพิ่มบุตรและมารดานายวิชิตเป็นจำเลยร่วม สั่งไม่อนุญาต และไม่มีการคัดค้าน
เมื่อศาลสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องแล้ว ข้อที่จำเลยตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ผู้จัดการมฤดกของนายวิชิตจึงตกไป
ส่วนข้อที่จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น ข้อเท็จจริงคู่ความยังเถียงกันอยู่ ยังไม่มีเหตุพอที่จะยกฟ้องโจทก์ได้ตามที่จำเลยตัดฟ้อง จึงให้ยกคำร้องของจำเลยเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนทั้งสองประการ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า (๑) คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาก่อนมีคำพิพากษา (๒) คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ชี้ขาดเบื้องต้นตามารตรา ๒๔ โดยเห็นว่าคำให้การต่อสู้ของจำเลยเรื่องอายุความเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนนั้น ก็เห็นว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นกัน เพราะศาลยังมิได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีสำหรับเรื่องอายุความนี้แต่อย่างใด จึงมิใช่คำสั่งศาลที่ได้ออกตามมาตรา ๒๔ จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาก่อนมีคำพิพากษาไม่ได้ จึงพิพากษาให้ยกฎีกาจำเลย
ผู้เข้าทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาล ยอมรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาหากบังคับจากจำเลยไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้ศาลทุเลาการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้ในระหว่างอุทธรณ์นั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแพ้คดี ศาลย่อมมีอำนาจออกคำบังคับให้ผู้ค้ำประกันปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ผู้ค้ำประกันจะเถียงว่าโจทก์มิได้บังคับชำระหนี้เสียภายในหนึ่งปีนับแต่วันจำเลยตายและจะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาใช้แก่กรณีนี้ก็ไม่ได้ เพราะโจทก์มิใช่คู่สัญญากับผู้ค้ำประกัน แต่เป็นเรื่องระหว่างผู้ค้ำประกันกับศาล
ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 6,865 บาทกับดอกเบี้ยแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งให้หาผู้ค้ำประกันคุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต ได้เข้าทำสัญญาประกันตามคำสั่งศาล และศาลสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาจำเลยตาย ศาลมีคำสั่งให้นางดีเลิศกับพวกเข้าเป็นจำเลยแทน แล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
บัดนี้ศาลแพ่งได้มีคำบังคับให้คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิตในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามคำขอของโจทก์
คุณหญิงระเบียบคัดค้านว่าไม่ต้องรับผิด แต่ศาลแพ่งยกคำคัดค้านเสีย
คุณหญิงระเบียบฯ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ตามคำสั่งศาลแพ่ง
คุณหญิงระเบียบฯ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาประกันดังกล่าวเป็นสัญญาที่คุณหญิงระเบียบฯ ทำไว้ต่อศาลยอมรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาหากบังคับจากจำเลยไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้ศาลทุเลาการบังคับคดีไว้ระหว่างอุทธรณ์ เป็นเรื่องระหว่างศาลกับคุณหญิงระเบียบฯ โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาด้วย จะนำมาตรา 1754 มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ไม่ได้เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องอันใดอันจะพึงต้องฟ้องร้องเอาแก่เจ้ามรดกอีก จึงพิพากษายืน
ผู้เข้าทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาล ยอมรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาหากบังคับจากจำเลยไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้ศาลทุเลาการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้ในระหว่างอุทธรณ์นั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแพ้คดี ศาลย่อมมีอำนาจออกคำบังคับให้ผู้ค้ำประกันปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ผู้ค้ำประกันจะเถียงว่าโจทก์มิได้บังคับชำระหนี้เสียภายในหนึ่งปีนับแต่วันจำเลยตายและจะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาใช้แก่กรณีนี้ก็ไม่ได้ เพราะโจทก์มิใช่คู่สัญญากับผู้ค้ำประกัน แต่เป็นเรื่องระหว่างผู้ค้ำประกันกับศาล
ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 6,865 บาทกับดอกเบี้ยแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งให้หาผู้ค้ำประกันคุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต ได้เข้าทำสัญญาประกันตามคำสั่งศาล และศาลสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาจำเลยตาย ศาลมีคำสั่งให้นางดีเลิศกับพวกเข้าเป็นจำเลยแทน แล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
บัดนี้ศาลแพ่งได้มีคำบังคับให้คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิตในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามคำขอของโจทก์
คุณหญิงระเบียบคัดค้านว่าไม่ต้องรับผิด แต่ศาลแพ่งยกคำคัดค้านเสีย
คุณหญิงระเบียบฯ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ตามคำสั่งศาลแพ่ง
คุณหญิงระเบียบฯ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาประกันดังกล่าวเป็นสัญญาที่คุณหญิงระเบียบฯ ทำไว้ต่อศาลยอมรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาหากบังคับจากจำเลยไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้ศาลทุเลาการบังคับคดีไว้ระหว่างอุทธรณ์ เป็นเรื่องระหว่างศาลกับคุณหญิงระเบียบฯ โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาด้วย จะนำมาตรา 1754 มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ไม่ได้เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องอันใดอันจะพึงต้องฟ้องร้องเอาแก่เจ้ามรดกอีก จึงพิพากษายืน
ผู้เข้าทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาล ยอมรับใช้เงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา หากบังคับจากจำเลยไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้ศาลทุเลาการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้ในระหว่างอุทธรณ์นั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแพ้คดี ศาลย่อมมีอำนาจออกคำบังคับให้ผู้ค้ำประกันปฎิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ผู้ค้ำประกันจะเถียงว่าโจทก์ได้บังคับชำระหนี้เสียภายในหนึ่งปี นับแต่วันจำเลยตายและจะนำ ป.พ.พ.ม.1754 มาใช้แก่กรณีก็ไม่ได้ เพราะโจทก์มิใช่คู่สัญญากับผู้ค้ำประกัน แต่เป็นเรื่องระหว่างผู้ค้ำประกันกับศาล
ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๖๘๖๕ บาท กับดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งให้หาผู้ค้ำประกัน คุณหญิงระเบียบสุนทรลิขิต ได้เข้าทำสัญญาประกันตามคำสั่งศาล และศาลสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาจำเลยตาย ศาลมีคำสั่งให้นางดีเลิศกับพวก เข้าเป็นจำเลยแทน แล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟัง โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
บัดนี้ศาลแพ่งได้มีคำบังคับให้คุณหญิงระเบียบสุนทรลิขิตในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยปฎิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามคำขอของโจทก์
คุณหญิงระเบียบคัดค้านว่าไม่ต้องรับผิด แต่ศาลแพ่งยกคำคัดค้านเสีย
คุณหญิงระเบียบฯ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ตามคำสั่งศาลแพ่ง
คุณหญิงระเบียบฯ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาประกันดังกล่าวเป็นสัญญาที่คุณหญิงระเบียบฯ ทำไว้ต่อศาลยอมรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา หากบังคับจากจำเลยไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้ศาลทุเลาการบังคับคดีไว้ ระหว่างอุทธรณ์ เป็นเรื่องระหว่างศาลกับคุณหญิงระเบียบฯ โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาด้วย จะนำมาตรา ๑๗๕๔ มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ไม่ได้ เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องอันใดอันจะพึงต้องฟ้องร้องเอาแก่เจ้ามฤดกอีก จึงพิพากษายืน
ผู้เข้าทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาล ยอมรับใช้เงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา หากบังคับจากจำเลยไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้ศาลทุเลาการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้ในระหว่างอุทธรณ์นั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแพ้คดี ศาลย่อมมีอำนาจออกคำบังคับให้ผู้ค้ำประกันปฎิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ผู้ค้ำประกันจะเถียงว่าโจทก์ได้บังคับชำระหนี้เสียภายในหนึ่งปี นับแต่วันจำเลยตายและจะนำ ป.พ.พ.ม.1754 มาใช้แก่กรณีก็ไม่ได้ เพราะโจทก์มิใช่คู่สัญญากับผู้ค้ำประกัน แต่เป็นเรื่องระหว่างผู้ค้ำประกันกับศาล
ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๖๘๖๕ บาท กับดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งให้หาผู้ค้ำประกัน คุณหญิงระเบียบสุนทรลิขิต ได้เข้าทำสัญญาประกันตามคำสั่งศาล และศาลสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาจำเลยตาย ศาลมีคำสั่งให้นางดีเลิศกับพวก เข้าเป็นจำเลยแทน แล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟัง โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
บัดนี้ศาลแพ่งได้มีคำบังคับให้คุณหญิงระเบียบสุนทรลิขิตในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยปฎิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามคำขอของโจทก์
คุณหญิงระเบียบคัดค้านว่าไม่ต้องรับผิด แต่ศาลแพ่งยกคำคัดค้านเสีย
คุณหญิงระเบียบฯ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ตามคำสั่งศาลแพ่ง
คุณหญิงระเบียบฯ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาประกันดังกล่าวเป็นสัญญาที่คุณหญิงระเบียบฯ ทำไว้ต่อศาลยอมรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา หากบังคับจากจำเลยไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้ศาลทุเลาการบังคับคดีไว้ ระหว่างอุทธรณ์ เป็นเรื่องระหว่างศาลกับคุณหญิงระเบียบฯ โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาด้วย จะนำมาตรา ๑๗๕๔ มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ไม่ได้ เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องอันใดอันจะพึงต้องฟ้องร้องเอาแก่เจ้ามฤดกอีก จึงพิพากษายืน
จำเลยตายก่อนฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเรียกภรรยาจำเลยเข้ามาเป็นคู่ความแทนภายในกำหนด 1 ปี แต่ปรากฏว่าภรรยาจำเลยไม่ได้รับมรดก เนื่องจากจำเลยทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่บุตรทั้งสิ้น โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกบุตรจำเลยเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย แม้จะยื่นคำร้องตอนหลังนี้เกินกำหนด 1 ปีแล้วนับแต่จำเลยตายก็ถือได้ว่าโจทก์มิได้ทอดทิ้งคดีของตนเสียและจะถือว่าโจทก์ไม่มีคำขอภายใน 1 ปี ตามมาตรา 42 ไม่ได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่ฝากไว้คืนจากจำเลย ศาลแพ่งพิจารณาแล้วพิพากษาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2488 ให้จำเลยใช้เงิน 6,865 บาทกับดอกเบี้ยคืนให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อมา ศาลแพ่งได้ส่งหมายนัดคู่ความให้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ความจึงปรากฏขึ้นว่า ตัวจำเลยถึงแก่กรรมเสียแล้ว ศาลแพ่งจึงสั่งให้งดการฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไว้จนกว่าจะมีผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2488 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกคุณหญิงสุนทรลิขิตภรรยาจำเลยผู้รับมรดกเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย
คุณหญิงระเบียบสุนทรลิขิตคัดค้านว่า ไม่ใช่ผู้รับมรดกผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้บุตรทั้งสิ้น และได้นำพินัยกรรมมาแสดงต่อศาล โจทก์จึงแถลงว่าจะได้ยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้รับพินัยกรรมเข้ามาเป็นคู่ความต่อไป ศาลจึงสั่งถอนหมายเรียกคุณหญิงระเบียบสุนทรลิขิตโดยส่วนตัวเสีย
วันที่ 15 เมษายน 2489 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกนางสาวดีเลิศ กับพวก และคุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม บุตรผู้รับพินัยกรรมซึ่งเป็นผู้เยาว์ ศาลแพ่งได้หมายเรียกบุคคลเหล่านั้นมาศาลเพื่อเป็นคู่ความแทนจำเลย
นางสาวดีเลิศ กับพวกคัดค้านว่า จำเลยตายตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2488 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้รับมรดกความเกิน 1 ปี หมดสิทธิ์แล้วตามมาตรา 42
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ผู้คัดค้านอยู่ในฐานะที่จะรับฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แทนจำเลย จึงได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังในวันนั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นางสาวดีเลิศกับพวกฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา 42 มิใช่บทบัญญัติกำหนดอายุความเรื่องสิทธิเรียกร้องแต่อย่างใด หากเป็นบทบัญญัติกำหนดเวลาไว้สำหรับศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีในเมื่อคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ละเลยเพิกเฉยคดีของตนเสียถึงขนาดที่จะอนุมานได้ว่าไม่ติดใจว่ากล่าวเอากับคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งแล้วเท่านั้น กรณีเรื่องนี้ โจทก์ได้มีคำขอเรียกคุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะแล้วภายในกำหนด 1 ปี มิได้ทอดทิ้งคดีของตนเสีย ส่วนการที่ศาลและโจทก์จะต้องดำเนินการต่อไป เพื่อให้รู้แน่ถึงตัวบุคคลที่สมควรเป็นคู่ความแทนผู้มรณะนั้น แม้จะเนิ่นช้าต่อมาอีก ก็เป็นที่เห็นได้ว่าไม่ใช่ความผิดของโจทก์ที่จะแกล้งประวิงเวลาอย่างใด จะถือเอาว่าโจทก์ไม่มีคำขอภายในกำหนด 1 ปี อันเป็นการทอดทิ้งคดีของตนเสียตามมาตรา 42 หาได้ไม่จึงพิพากษายืน
จำเลยตายก่อนฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเรียกภรรยาจำเลยเข้ามาเป็นคู่ความแทนภายในกำหนด 1 ปี แต่ปรากฏว่าภรรยาจำเลยไม่ได้รับมรดก เนื่องจากจำเลยทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่บุตรทั้งสิ้น โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกบุตรจำเลยเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย แม้จะยื่นคำร้องตอนหลังนี้เกินกำหนด 1 ปีแล้วนับแต่จำเลยตายก็ถือได้ว่าโจทก์มิได้ทอดทิ้งคดีของตนเสียและจะถือว่าโจทก์ไม่มีคำขอภายใน 1 ปี ตามมาตรา 42 ไม่ได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่ฝากไว้คืนจากจำเลย ศาลแพ่งพิจารณาแล้วพิพากษาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2488 ให้จำเลยใช้เงิน 6,865 บาทกับดอกเบี้ยคืนให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อมา ศาลแพ่งได้ส่งหมายนัดคู่ความให้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ความจึงปรากฏขึ้นว่า ตัวจำเลยถึงแก่กรรมเสียแล้ว ศาลแพ่งจึงสั่งให้งดการฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไว้จนกว่าจะมีผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2488 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกคุณหญิงสุนทรลิขิตภรรยาจำเลยผู้รับมรดกเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย
คุณหญิงระเบียบสุนทรลิขิตคัดค้านว่า ไม่ใช่ผู้รับมรดกผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้บุตรทั้งสิ้น และได้นำพินัยกรรมมาแสดงต่อศาล โจทก์จึงแถลงว่าจะได้ยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้รับพินัยกรรมเข้ามาเป็นคู่ความต่อไป ศาลจึงสั่งถอนหมายเรียกคุณหญิงระเบียบสุนทรลิขิตโดยส่วนตัวเสีย
วันที่ 15 เมษายน 2489 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกนางสาวดีเลิศ กับพวก และคุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม บุตรผู้รับพินัยกรรมซึ่งเป็นผู้เยาว์ ศาลแพ่งได้หมายเรียกบุคคลเหล่านั้นมาศาลเพื่อเป็นคู่ความแทนจำเลย
นางสาวดีเลิศ กับพวกคัดค้านว่า จำเลยตายตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2488 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้รับมรดกความเกิน 1 ปี หมดสิทธิ์แล้วตามมาตรา 42
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ผู้คัดค้านอยู่ในฐานะที่จะรับฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แทนจำเลย จึงได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังในวันนั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นางสาวดีเลิศกับพวกฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา 42 มิใช่บทบัญญัติกำหนดอายุความเรื่องสิทธิเรียกร้องแต่อย่างใด หากเป็นบทบัญญัติกำหนดเวลาไว้สำหรับศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีในเมื่อคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ละเลยเพิกเฉยคดีของตนเสียถึงขนาดที่จะอนุมานได้ว่าไม่ติดใจว่ากล่าวเอากับคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งแล้วเท่านั้น กรณีเรื่องนี้ โจทก์ได้มีคำขอเรียกคุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะแล้วภายในกำหนด 1 ปี มิได้ทอดทิ้งคดีของตนเสีย ส่วนการที่ศาลและโจทก์จะต้องดำเนินการต่อไป เพื่อให้รู้แน่ถึงตัวบุคคลที่สมควรเป็นคู่ความแทนผู้มรณะนั้น แม้จะเนิ่นช้าต่อมาอีก ก็เป็นที่เห็นได้ว่าไม่ใช่ความผิดของโจทก์ที่จะแกล้งประวิงเวลาอย่างใด จะถือเอาว่าโจทก์ไม่มีคำขอภายในกำหนด 1 ปี อันเป็นการทอดทิ้งคดีของตนเสียตามมาตรา 42 หาได้ไม่จึงพิพากษายืน
จำเลยตายก่อนฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเรียกภรรยาจำเลยเข้ามาเป็นคู่ความแทนภายในกำหนด 1 ปี แต่ปรากฏว่าภรรยาจำเลยไม่ได้รับมฤดก เนื่องจากจำเลยทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่บุตรทั้งสิ้น โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกบุตรจำเลยเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย แม้จะยื่นคำร้องตอนหลังนี้เกินกำหนด 1 ปี แล้วนับแต่จำเลยตายก็ถือได้ว่าโจทก์มิได้ทอดทิ้งคดีของตนเสีย และจะถือว่าโจทก์ไม่มีคำขอภายใน 1 ปี ตามมาตรา 42 ไม่ได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่ผากไว้คืนจากจำเลย ศาลแพ่งพิจารณาแล้วพิพากษาเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๔๘๘ ให้จำเลยใช้เงิน ๖๘๖๕ บาทกับดอกเบี้ยคืนให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อมา ศาลแพ่งได้ส่งหมายนัดคู่ความให้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ความจึงปรากฎว่า ตัวจำเลยถึงแก่กรรมเสียแล้วศาลแพ่งจึงสั่งให้งดการฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไว้ จนกว่าจะมีผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย
วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๘๘ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกคุณหญิงสุนทรลิขิต ภรรยาจำเลยผู้รับมฤดกเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย
คุณหญิงระเบียบสุนทรลิขิตคัดค้านว่า ไม่ใช่ผู้รับมฤดก ผู้ตายทำพินัยกรรม์ยกทรัพย์ให้บุตรทั้งสิ้น และได้นำพินัยกรรม์มาแสดงต่อศาล โจทก์จึงแถลงว่าจะได้ยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้รับพินัยกรรม์เข้ามาเป็นคู่ความต่อไป ศาลจึงสั่งถอนหมายเรียกคุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต โดยส่วนตัวเสีย
วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๔๘๙ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกนางสาวดีเลิศ กับพวก และคุณหญิงระเบียบสุนทรลิขิต มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม บุตรผู้รับพินัยกรรม์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ ศาลแพ่งได้หมายเรียกบุคคลเหล่านั้นมาศาลเพื่อเป็นคู่ความแทนจำเลย
นางสาวดีเลิศกับพวกคัดค้านว่า จำเลยตายตั้งแต่วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๔๘๘ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้รับมฤดกความเกิน ๑ ปี หมดสิทธิ์ แล้วตามมาตร ๔๒
ศาลชั้นต้นเห็นว่าผู้คัดค้านอยู่ในฐานะที่จะรับฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แทนจำเลย จึงได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังในวันนั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นางสาวดีเลิศกับพวกฎีกา, ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา ๔๒ มิใช่บทบัญญัติกำหนดอายุความเรื่องสิทธิ์เรียกร้องแต่อย่างใด หากเป็นบทบัญญัติกำหนดเวลาไว้สำหรับศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีในเมื่อคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ละเลยเพิกเฉยคดีของตนเสีย ถึงขนาดที่จะอนุมานได้ว่าไม่ติดใจว่ากล่าวเอากับคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งแล้วเท่านั้น กรณีเรื่องนี้โจทก์ได้มีคำขอเรียกคุณหญิงระเบียบสุนทรลิขิต เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะแล้วภายในกำหนด ๑ ปี มิได้ทอดทิ้งคดีของตนเสีย ส่วนการที่ศาลและโจทก์จะต้องดำเนินการต่อไป เพื่อให้รู้แน่ถึงตัวบุคคลที่สมควรเป็นคู่ความแทนผู้มรณะนั้น แม้จะเนิ่นช้าต่อมาอีก ก็เป็นที่เห็นได้ว่าไม่ใช่ความผิดของโจทก์ที่จะแกล้งประวิงเวลาอย่างใด จะถือเอาว่าโจทก์ไม่มีคำขอภายในกำหนด ๑ ปี อันเป็นการทอดทิ้งคดีของตนเสีย ตามมาตรา ๔๒ หาได้ไม่ จึงพิพากษายืน
จำเลยตายก่อนฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเรียกภรรยาจำเลยเข้ามาเป็นคู่ความแทนภายในกำหนด 1 ปี แต่ปรากฏว่าภรรยาจำเลยไม่ได้รับมฤดก เนื่องจากจำเลยทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่บุตรทั้งสิ้น โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกบุตรจำเลยเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย แม้จะยื่นคำร้องตอนหลังนี้เกินกำหนด 1 ปี แล้วนับแต่จำเลยตายก็ถือได้ว่าโจทก์มิได้ทอดทิ้งคดีของตนเสีย และจะถือว่าโจทก์ไม่มีคำขอภายใน 1 ปี ตามมาตรา 42 ไม่ได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่ผากไว้คืนจากจำเลย ศาลแพ่งพิจารณาแล้วพิพากษาเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๔๘๘ ให้จำเลยใช้เงิน ๖๘๖๕ บาทกับดอกเบี้ยคืนให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อมา ศาลแพ่งได้ส่งหมายนัดคู่ความให้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ความจึงปรากฎว่า ตัวจำเลยถึงแก่กรรมเสียแล้วศาลแพ่งจึงสั่งให้งดการฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไว้ จนกว่าจะมีผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย
วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๘๘ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกคุณหญิงสุนทรลิขิต ภรรยาจำเลยผู้รับมฤดกเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย
คุณหญิงระเบียบสุนทรลิขิตคัดค้านว่า ไม่ใช่ผู้รับมฤดก ผู้ตายทำพินัยกรรม์ยกทรัพย์ให้บุตรทั้งสิ้น และได้นำพินัยกรรม์มาแสดงต่อศาล โจทก์จึงแถลงว่าจะได้ยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้รับพินัยกรรม์เข้ามาเป็นคู่ความต่อไป ศาลจึงสั่งถอนหมายเรียกคุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต โดยส่วนตัวเสีย
วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๔๘๙ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกนางสาวดีเลิศ กับพวก และคุณหญิงระเบียบสุนทรลิขิต มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม บุตรผู้รับพินัยกรรม์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ ศาลแพ่งได้หมายเรียกบุคคลเหล่านั้นมาศาลเพื่อเป็นคู่ความแทนจำเลย
นางสาวดีเลิศกับพวกคัดค้านว่า จำเลยตายตั้งแต่วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๔๘๘ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้รับมฤดกความเกิน ๑ ปี หมดสิทธิ์ แล้วตามมาตร ๔๒
ศาลชั้นต้นเห็นว่าผู้คัดค้านอยู่ในฐานะที่จะรับฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แทนจำเลย จึงได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังในวันนั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นางสาวดีเลิศกับพวกฎีกา, ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา ๔๒ มิใช่บทบัญญัติกำหนดอายุความเรื่องสิทธิ์เรียกร้องแต่อย่างใด หากเป็นบทบัญญัติกำหนดเวลาไว้สำหรับศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีในเมื่อคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ละเลยเพิกเฉยคดีของตนเสีย ถึงขนาดที่จะอนุมานได้ว่าไม่ติดใจว่ากล่าวเอากับคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งแล้วเท่านั้น กรณีเรื่องนี้โจทก์ได้มีคำขอเรียกคุณหญิงระเบียบสุนทรลิขิต เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะแล้วภายในกำหนด ๑ ปี มิได้ทอดทิ้งคดีของตนเสีย ส่วนการที่ศาลและโจทก์จะต้องดำเนินการต่อไป เพื่อให้รู้แน่ถึงตัวบุคคลที่สมควรเป็นคู่ความแทนผู้มรณะนั้น แม้จะเนิ่นช้าต่อมาอีก ก็เป็นที่เห็นได้ว่าไม่ใช่ความผิดของโจทก์ที่จะแกล้งประวิงเวลาอย่างใด จะถือเอาว่าโจทก์ไม่มีคำขอภายในกำหนด ๑ ปี อันเป็นการทอดทิ้งคดีของตนเสีย ตามมาตรา ๔๒ หาได้ไม่ จึงพิพากษายืน
จ้างโรงงานหีบอ้อยเป็นน้ำตาล เมื่อได้น้ำตาลแล้วโรงงานไม่ยอมมอบให้จนต้องฟ้องขอให้ศาลบังคับให้ส่งมอบน้ำตาลดังนี้ วัตถุแห่งหนี้ก็คงเป็นน้ำตาลจำนวนนั้น จะกลายเป็นหนี้เงินโดยคำนวณเอาตามราคาน้ำตาลในขณะที่หีบน้ำตาลเสร็จและผิดนัดไม่ได้ เมื่อโรงงานไม่สามารถส่งน้ำตาลให้ได้ ก็ต้องใช้ราคาน้ำตาลโดยคำนวณราคาในขณะที่เจ้าหนี้ร้องขอต่อศาลให้บังคับชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 213
โจทก์ฟ้องว่า บริษัทจำเลยรับจ้างหีบอ้อยเป็นน้ำตาลให้แก่โจทก์เมื่อหักเป็นค่าจ้างแล้วเป็นน้ำตาลได้แก่โจทก์ 331028 หาบ โจทก์ขอรับไป จำเลยไม่ยอมให้ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยส่งมอบน้ำตาลจำนวนนี้แก่โจทก์ ถ้าส่งมอบไม่ได้ให้จำเลยใช้ราคาคิดราคาหาบละ 120 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบน้ำตาลแก่โจทก์ ถ้าส่งไม่ได้ให้ใช้ราคาในขณะหีบน้ำตาลเสร็จในอัตราหาบละ 16 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะข้อใช้ราคาเป็นราคาหาบละ 120 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า หนี้ที่จำเลยจะต้องปฏิบัติชำระในเรื่องนี้ คือน้ำตาล 331028 หาบอันเป็นทรัพย์ที่เป็นประเภท เมื่อจำเลยผิดนัดหรือจะเลยเสียไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตลอดมาจนกระทั่งเจ้าหนี้ต้องร้องขอต่อศาลให้บังคับชำระหนี้ หนี้ของจำเลยยังคงเป็นน้ำตาลจำนวนนั้นอยู่นั่นเอง จะกลับกลายเป็นหนี้เงินโดยคำนวนเอาตามราคาทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ในขณะที่ลูกหนี้ผิดนัดหาได้ไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าเวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการกะประมาณราคาวัตถุแห่งหนี้ในกรณีนี้คือ เวลาที่เจ้าหนี้ร้องขอต่อศาลสั่งให้บังคับชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 เพราะการอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีอยู่อย่างเดียวคือการส่งมอบน้ำตาลจำนวนดังกล่าว ลูกหนี้หามีสิทธิจะเลือกชำระหนี้เงินได้ไม่จำเลยจะเลือกชำระเป็นหนี้เงินได้ก็ด้วยคำฟ้องของโจทก์เองเท่านั้นจึงพิพากษายืน
จ้างโรงงานหีบอ้อยเป็นน้ำตาล เมื่อได้น้ำตาลแล้วโรงงานไม่ยอมมอบให้จนต้องฟ้องขอให้ศาลบังคับให้ส่งมอบน้ำตาลดังนี้ วัตถุแห่งหนี้ก็คงเป็นน้ำตาลจำนวนนั้น จะกลายเป็นหนี้เงินโดยคำนวณเอาตามราคาน้ำตาลในขณะที่หีบน้ำตาลเสร็จและผิดนัดไม่ได้ เมื่อโรงงานไม่สามารถส่งน้ำตาลให้ได้ ก็ต้องใช้ราคาน้ำตาลโดยคำนวณราคาในขณะที่เจ้าหนี้ร้องขอต่อศาลให้บังคับชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 213
โจทก์ฟ้องว่า บริษัทจำเลยรับจ้างหีบอ้อยเป็นน้ำตาลให้แก่โจทก์เมื่อหักเป็นค่าจ้างแล้วเป็นน้ำตาลได้แก่โจทก์ 331028 หาบ โจทก์ขอรับไป จำเลยไม่ยอมให้ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยส่งมอบน้ำตาลจำนวนนี้แก่โจทก์ ถ้าส่งมอบไม่ได้ให้จำเลยใช้ราคาคิดราคาหาบละ 120 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบน้ำตาลแก่โจทก์ ถ้าส่งไม่ได้ให้ใช้ราคาในขณะหีบน้ำตาลเสร็จในอัตราหาบละ 16 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะข้อใช้ราคาเป็นราคาหาบละ 120 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า หนี้ที่จำเลยจะต้องปฏิบัติชำระในเรื่องนี้ คือน้ำตาล 331028 หาบอันเป็นทรัพย์ที่เป็นประเภท เมื่อจำเลยผิดนัดหรือจะเลยเสียไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตลอดมาจนกระทั่งเจ้าหนี้ต้องร้องขอต่อศาลให้บังคับชำระหนี้ หนี้ของจำเลยยังคงเป็นน้ำตาลจำนวนนั้นอยู่นั่นเอง จะกลับกลายเป็นหนี้เงินโดยคำนวนเอาตามราคาทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ในขณะที่ลูกหนี้ผิดนัดหาได้ไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าเวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการกะประมาณราคาวัตถุแห่งหนี้ในกรณีนี้คือ เวลาที่เจ้าหนี้ร้องขอต่อศาลสั่งให้บังคับชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 เพราะการอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีอยู่อย่างเดียวคือการส่งมอบน้ำตาลจำนวนดังกล่าว ลูกหนี้หามีสิทธิจะเลือกชำระหนี้เงินได้ไม่จำเลยจะเลือกชำระเป็นหนี้เงินได้ก็ด้วยคำฟ้องของโจทก์เองเท่านั้นจึงพิพากษายืน
จ้างโรงงานหีบอ้อยเป็นน้ำตาล เมื่อได้น้ำตาลแล้วโรงงานไม่ยอมมอบให้จนต้องฟ้องขอให้ศาลบังคับให้ส่งมอบน้ำตาลดังนี้ วัตถุแห่งนี้ก็คงเป็นน้ำตาลจำนวนนั้น จะกลายเป็นหนี้เงินโดยคำนวนเอาตามราคาน้ำตาลในขณะที่หีบน้ำตาลเสร็จและผิดนัดไม่ได้ เมื่อโรงงานไม่สามารถส่งน้ำตาลให้ได้ ก็ต้องใข้ราคาน้ำตาลโดยคำนวนในขณะที่เจ้าหนี้ร้องขอศาลให้บังคับชำระหนี้ตาม ป.พ.พ.ม.213
โจทก์ฟ้องว่า บริษัทจำเลยรับจ้างหีบอ้อยเป็นน้ำตาลให้แก่โจทก์ เมื่อหักเป็นค่าจ้างแล้วเป็นน้ำตาลได้แก่โจทก์ ๓๓๑๐๒๘ หาบ โจทก์ขอรับไป จำเลยไม่ยอมให้ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยส่งมอบน้ำตาลจำนวนนี้ให้แก่โจทก์ ถ้าส่งมอบไม่ได้ให้จำเลยใช้ราคาคิดราคาหาบละ ๑๒๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบน้ำตาลแก่โจทก์ ถ้าส่งไม่ได้ให้ใช้ราคาในขณะหีบน้ำตาลเสร็จในอัตราหาบละ ๑๖ บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ฉะเพาะข้อใช้ราคาเป็นราคาหาบละ ๑๒๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า หนี้จำเลยจะต้องปฏิบัติชำระในเรื่องนี้ คือน้ำตาล ๓๓๑๐๒๘ หาบอันเป็นทรัพย์ที่เป็นประเภท เมื่อจำเลยผิดนัดหรือละเลยเสียไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตลอดมาจนกระทั่งเจ้าหนี้ต้องร้องขอ ต่อศาลให้บังคับชำระหนี้ หนี้ของจำเลยยังคงเป็นน้ำตาลจำนวนนั้นอยู่นั่นเอง จะกลายเป็นเป็นหนี้เงินโดยคำนวนเอาตามราคาทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งนี้ในขณะที่ลูกหนี้ผิดนัดหาได้ไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าเวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการกะประมาณราคาวัตถุแห่งนี้ในกรณีนี้คือ เวลาเจ้าหนี้ร้องขอต่อศาลสั่งให้บังคับชำระหนี้ตาม ป.พ.พ.ม.๒๑๓ เพราะการอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีอยู่อย่างเดียวคือการส่งมอบน้ำตาลจำนวนดังกล่าว ลูกหนี้หามีสิทธิจะเลือกชำระเป็นหนี้เงินได้ไม่ จำเลยจะเลือกชำระเป็นหนี้เงินได้ก็ด้วยคำฟ้องของโจทย์เองเท่านั้น จึงพิพากษายืน
จ้างโรงงานหีบอ้อยเป็นน้ำตาล เมื่อได้น้ำตาลแล้วโรงงานไม่ยอมมอบให้จนต้องฟ้องขอให้ศาลบังคับให้ส่งมอบน้ำตาลดังนี้ วัตถุแห่งนี้ก็คงเป็นน้ำตาลจำนวนนั้น จะกลายเป็นหนี้เงินโดยคำนวนเอาตามราคาน้ำตาลในขณะที่หีบน้ำตาลเสร็จและผิดนัดไม่ได้ เมื่อโรงงานไม่สามารถส่งน้ำตาลให้ได้ ก็ต้องใข้ราคาน้ำตาลโดยคำนวนในขณะที่เจ้าหนี้ร้องขอศาลให้บังคับชำระหนี้ตาม ป.พ.พ.ม.213
โจทก์ฟ้องว่า บริษัทจำเลยรับจ้างหีบอ้อยเป็นน้ำตาลให้แก่โจทก์ เมื่อหักเป็นค่าจ้างแล้วเป็นน้ำตาลได้แก่โจทก์ ๓๓๑๐๒๘ หาบ โจทก์ขอรับไป จำเลยไม่ยอมให้ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยส่งมอบน้ำตาลจำนวนนี้ให้แก่โจทก์ ถ้าส่งมอบไม่ได้ให้จำเลยใช้ราคาคิดราคาหาบละ ๑๒๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบน้ำตาลแก่โจทก์ ถ้าส่งไม่ได้ให้ใช้ราคาในขณะหีบน้ำตาลเสร็จในอัตราหาบละ ๑๖ บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ฉะเพาะข้อใช้ราคาเป็นราคาหาบละ ๑๒๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า หนี้จำเลยจะต้องปฏิบัติชำระในเรื่องนี้ คือน้ำตาล ๓๓๑๐๒๘ หาบอันเป็นทรัพย์ที่เป็นประเภท เมื่อจำเลยผิดนัดหรือละเลยเสียไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตลอดมาจนกระทั่งเจ้าหนี้ต้องร้องขอ ต่อศาลให้บังคับชำระหนี้ หนี้ของจำเลยยังคงเป็นน้ำตาลจำนวนนั้นอยู่นั่นเอง จะกลายเป็นเป็นหนี้เงินโดยคำนวนเอาตามราคาทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งนี้ในขณะที่ลูกหนี้ผิดนัดหาได้ไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าเวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการกะประมาณราคาวัตถุแห่งนี้ในกรณีนี้คือ เวลาเจ้าหนี้ร้องขอต่อศาลสั่งให้บังคับชำระหนี้ตาม ป.พ.พ.ม.๒๑๓ เพราะการอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีอยู่อย่างเดียวคือการส่งมอบน้ำตาลจำนวนดังกล่าว ลูกหนี้หามีสิทธิจะเลือกชำระเป็นหนี้เงินได้ไม่ จำเลยจะเลือกชำระเป็นหนี้เงินได้ก็ด้วยคำฟ้องของโจทย์เองเท่านั้น จึงพิพากษายืน
จำเลยเป็นผู้ยื่นฎีกาแล้วยื่นคำร้องขอถอนฎีกากับขอถอนฟ้องชั้นศาลชั้นต้นชั้นศาลอุทธรณ์กับขอคืนค่าฤชาธรรมเนียมตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาด้วยนั้น ศาลฎีกาอนุญาตให้ถอนฟ้องฎีกาได้ แต่ส่วนการถอนฟ้องในชั้นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์นั้นอนุญาตไม่ได้และให้คืนคำตัดสินและค่าคำบังคับชั้นฎีกาให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมนั้นคืนไม่ได้
จำเลยยื่นฎีกา แล้วยื่นคำร้องว่าได้ประนีประนอมยอมความกับโจทก์แล้ว ขอถอนฟ้องฎีกาถอนฟ้องศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์กับขอคืนค่ารรมเนียมตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา โจทก์ไม่คัดค้าน
ศาลฎีกาอนุญาตให้ถอนฎีกาได้ แต่ส่วนการขอถอนฟ้องในชั้นศาลชั้นต้น ชั้นศาลอุทธรณ์นั้นอนุญาตไม่ได้และให้คืนค่าตัดสินค่าคำบังคับชั้นฎีกาให้จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมนอกนั้นคืนให้ไม่ได้ ให้จำหน่ายคดีเป็นเสร็จไป
จำเลยเป็นผู้ยื่นฎีกาแล้วยื่นคำร้องขอถอนฎีกากับขอถอนฟ้องชั้นศาลชั้นต้นชั้นศาลอุทธรณ์กับขอคืนค่าฤชาธรรมเนียมตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาด้วยนั้น ศาลฎีกาอนุญาตให้ถอนฟ้องฎีกาได้ แต่ส่วนการถอนฟ้องในชั้นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์นั้นอนุญาตไม่ได้และให้คืนคำตัดสินและค่าคำบังคับชั้นฎีกาให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมนั้นคืนไม่ได้
จำเลยยื่นฎีกา แล้วยื่นคำร้องว่าได้ประนีประนอมยอมความกับโจทก์แล้ว ขอถอนฟ้องฎีกาถอนฟ้องศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์กับขอคืนค่ารรมเนียมตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา โจทก์ไม่คัดค้าน
ศาลฎีกาอนุญาตให้ถอนฎีกาได้ แต่ส่วนการขอถอนฟ้องในชั้นศาลชั้นต้น ชั้นศาลอุทธรณ์นั้นอนุญาตไม่ได้และให้คืนค่าตัดสินค่าคำบังคับชั้นฎีกาให้จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมนอกนั้นคืนให้ไม่ได้ ให้จำหน่ายคดีเป็นเสร็จไป
จำเลยเป็นผู้ยื่นฎีกาแล้วยื่นคำร้อง ขอถอนฎีกา กับขอถอนฟ้องชั้นศาลชั้นต้น ชั้นศาลอุทธรณ์กับขอคืนค่าฤชา ธรรมเนียมตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาด้วยนั้น ศาลฎีกาอนุญาตให้ถอนฟ้องฎีกาได้ แต่ส่วนการถอนฟ้องในชั้นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์นั้น อนุญาตไม่ได้ และให้คืนค่าตัดสินและค่าคำบังคับชั้นฎีกาให้แก่จำเลย ค่าฤาชาธรรมเนียมนั้นคืนไม่ได้
จำเลยยื่นฎีกา แล้วยื่นคำร้องว่าได้ปราณีประนอมยอมความกับโจทก์แล้ว ขอถอนฟ้องฎีกา ถอนฟ้องศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ กับขอคืนค่าธรรมเนียมตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา โจทก์ไม่คัดค้าน
ศาลฎีกา อนุญาตให้ถอนฎีกาได้ แต่ส่วนการขอถอนฟ้งในชั้นศาลชั้นต้น ชั้นศาลอุทธรณ์นั้นอนุญาตไม่ได้ และให้คืนค่าตัดสินค่าคำบังคับชั้นฎีกาให้จำเลย ค่าฤาชาธรรมเนียม นอกนั้นคืนให้ไม่ได้ ให้จำหน่ายคดีเป็นเสร็จไป
จำเลยเป็นผู้ยื่นฎีกาแล้วยื่นคำร้อง ขอถอนฎีกา กับขอถอนฟ้องชั้นศาลชั้นต้น ชั้นศาลอุทธรณ์กับขอคืนค่าฤชา ธรรมเนียมตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาด้วยนั้น ศาลฎีกาอนุญาตให้ถอนฟ้องฎีกาได้ แต่ส่วนการถอนฟ้องในชั้นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์นั้น อนุญาตไม่ได้ และให้คืนค่าตัดสินและค่าคำบังคับชั้นฎีกาให้แก่จำเลย ค่าฤาชาธรรมเนียมนั้นคืนไม่ได้
จำเลยยื่นฎีกา แล้วยื่นคำร้องว่าได้ปราณีประนอมยอมความกับโจทก์แล้ว ขอถอนฟ้องฎีกา ถอนฟ้องศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ กับขอคืนค่าธรรมเนียมตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา โจทก์ไม่คัดค้าน
ศาลฎีกา อนุญาตให้ถอนฎีกาได้ แต่ส่วนการขอถอนฟ้งในชั้นศาลชั้นต้น ชั้นศาลอุทธรณ์นั้นอนุญาตไม่ได้ และให้คืนค่าตัดสินค่าคำบังคับชั้นฎีกาให้จำเลย ค่าฤาชาธรรมเนียม นอกนั้นคืนให้ไม่ได้ ให้จำหน่ายคดีเป็นเสร็จไป
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|