ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วม ไม่ปรากฏถ้อยคำพยานปากใดที่จะชี้ชัดว่าจำเลยปลอม และใช้เอกสารปลอม จำเลยลงลายมือชื่อเป็นพยานและดำเนินการ เกี่ยวกับคำขอสินเชื่อ เพราะกระทำไปตามคำสั่งของ นางสาวสุดใจ พงษ์ธรรมรักษ์ กรรมการบริหารบริษัทโจทก์ร่วมและผู้บังคับบัญชาโดยตรงของจำเลยเท่านั้น โดยไม่ทราบว่า ลายมือชื่อของผู้กู้และผู้ค้ำประกันเป็นลายมือชื่อปลอม จึงเป็นการกระทำโดยขาดเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ระหว่างพิจารณา บริษัทเงินทุนไทยเซฟวิ่งทรัสต์ จำกัดผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91,264,265,268 การกระทำของจำเลย เป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 ลงโทษฐานใช้สัญญากู้ปลอม ตามมาตรา 268 ประกอบกับมาตรา 265 จำคุก 3 ปี ฐานใช้คำขอสินเชื่อ คำขอขายลดเช็ค สัญญาค้ำประกัน ขายลดเช็ค หนังสือมอบอำนาจโอนที่ดินปลอม ตามมาตรา 268 ประกอบกับมาตรา 265 จำคุก 3 ปี กับมีความผิดตาม พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 75 ตรี,75 เบญจ,75 สัตต,75อัฏฐ,75ทวาทศ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักสุด ตามประมวลกฎหมาย มาตรา 90 แต่เนื่องจากมาตรา 75 ตรี,75 สัตต,75อัฏฐ มีอัตราโทษ หนักสุดเท่ากัน จึงให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต ตามมาตรา 75 ตรี จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 11 ปี กับให้จำเลยใช้เงินจำนวน 6,616,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จตามมาตรา 75 ทวาทศ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 75 แผ่นที่ 2) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 76)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาจำเลยเป็นการโต้เถียงว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิด ปัญหาว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วม ไม่ปรากฏถ้อยคำพยานปากใดที่จะชี้ชัดว่าจำเลยปลอม และใช้เอกสารปลอม จำเลยลงลายมือชื่อเป็นพยานและดำเนินการ เกี่ยวกับคำขอสินเชื่อ เพราะกระทำไปตามคำสั่งของ นางสาวสุดใจ พงษ์ธรรมรักษ์ กรรมการบริหารบริษัทโจทก์ร่วมและผู้บังคับบัญชาโดยตรงของจำเลยเท่านั้น โดยไม่ทราบว่า ลายมือชื่อของผู้กู้และผู้ค้ำประกันเป็นลายมือชื่อปลอม จึงเป็นการกระทำโดยขาดเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ระหว่างพิจารณา บริษัทเงินทุนไทยเซฟวิ่งทรัสต์ จำกัดผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91,264,265,268 การกระทำของจำเลย เป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 ลงโทษฐานใช้สัญญากู้ปลอม ตามมาตรา 268 ประกอบกับมาตรา 265 จำคุก 3 ปี ฐานใช้คำขอสินเชื่อ คำขอขายลดเช็ค สัญญาค้ำประกัน ขายลดเช็ค หนังสือมอบอำนาจโอนที่ดินปลอม ตามมาตรา 268 ประกอบกับมาตรา 265 จำคุก 3 ปี กับมีความผิดตาม พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 75 ตรี,75 เบญจ,75 สัตต,75อัฏฐ,75ทวาทศ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักสุด ตามประมวลกฎหมาย มาตรา 90 แต่เนื่องจากมาตรา 75 ตรี,75 สัตต,75อัฏฐ มีอัตราโทษ หนักสุดเท่ากัน จึงให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต ตามมาตรา 75 ตรี จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 11 ปี กับให้จำเลยใช้เงินจำนวน 6,616,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จตามมาตรา 75 ทวาทศ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 75 แผ่นที่ 2) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 76)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาจำเลยเป็นการโต้เถียงว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิด ปัญหาว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218จึงไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า การที่ศาลจังหวัดขอนแก่นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยอมรับว่าคำรับสารภาพในความผิดของจำเลยเป็นประโยชน์ แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษจำเลยแล้ว แต่ข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นทั้งสองไม่ได้มีข้อที่จำเลย ควรได้รับการพิจารณาจากวิสัยและพฤติการณ์ตลอดจนสภาพของจำเลย ที่ประสงค์ว่าได้รู้สำนึกแห่งการกระทำผิดเพราะหลงผิดไป ทั้งมีความสำนึกที่จะประกอบสัมมาชีพเป็นพลเมืองดีต่อไป จึงไม่เป็นไปตามเหตุอื่นอันควรปรานีที่ศาลจะได้พิจารณา คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงหาต้องด้วยกรณีที่บทบัญญัติของกฎหมาย ได้บัญญัติในกรณีนี้โดยชัดเจนไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 7) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคแรก และมาตรา 89 ที่แก้ไขแล้ว จำคุก 5 ปี จำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน เงินของกลางคืนเจ้าของ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 2) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 7)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี 6 เดือนจำเลยฎีกาว่า มีเหตุอื่นอันควรปรานีอีกขอให้บรรเทาโทษลงอีกนั้น เป็นฎีกาเกี่ยวกับดุลพินิจของศาลในการลงโทษ เป็นปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา จำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218จึงไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า การที่ศาลจังหวัดขอนแก่นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยอมรับว่าคำรับสารภาพในความผิดของจำเลยเป็นประโยชน์ แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษจำเลยแล้ว แต่ข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นทั้งสองไม่ได้มีข้อที่จำเลย ควรได้รับการพิจารณาจากวิสัยและพฤติการณ์ตลอดจนสภาพของจำเลย ที่ประสงค์ว่าได้รู้สำนึกแห่งการกระทำผิดเพราะหลงผิดไป ทั้งมีความสำนึกที่จะประกอบสัมมาชีพเป็นพลเมืองดีต่อไป จึงไม่เป็นไปตามเหตุอื่นอันควรปรานีที่ศาลจะได้พิจารณา คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงหาต้องด้วยกรณีที่บทบัญญัติของกฎหมาย ได้บัญญัติในกรณีนี้โดยชัดเจนไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 7) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคแรก และมาตรา 89 ที่แก้ไขแล้ว จำคุก 5 ปี จำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน เงินของกลางคืนเจ้าของ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 2) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 7)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี 6 เดือนจำเลยฎีกาว่า มีเหตุอื่นอันควรปรานีอีกขอให้บรรเทาโทษลงอีกนั้น เป็นฎีกาเกี่ยวกับดุลพินิจของศาลในการลงโทษ เป็นปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา จำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170,220 ไม่รับฎีกา โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เกี่ยวกับเจ้าพนักงาน กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ซึ่งเป็นฎีกา ที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสองโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ทนายจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 122 แผ่นที่ 2) โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,162,177,180,181 วรรคสอง,90 และ 200 วรรคสอง ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 120 แผ่นที่ 2) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 122 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ที่แก้ไขแล้ว ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ เห็นได้ว่าเป็นการห้ามฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170,220 ไม่รับฎีกา โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เกี่ยวกับเจ้าพนักงาน กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ซึ่งเป็นฎีกา ที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสองโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ทนายจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 122 แผ่นที่ 2) โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,162,177,180,181 วรรคสอง,90 และ 200 วรรคสอง ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 120 แผ่นที่ 2) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 122 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ที่แก้ไขแล้ว ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ เห็นได้ว่าเป็นการห้ามฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าคำสั่งทุเลาการบังคับของศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด จึงไม่รับฎีกาคัดค้านคำสั่งของโจทก์ทั้งเจ็ด ค่าขึ้นศาลให้เป็นพับ โจทก์ทั้งเจ็ดเห็นว่า โจทก์ฎีกาคำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 ประกอบด้วยมาตรา 247 โจทก์ย่อมฎีกาได้ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 ไม่ได้บัญญัติให้คำสั่งทุเลาการบังคับคดี ของศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดหรือเป็นที่ยุติ โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของโจทก์ทั้งเจ็ดไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 เข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เลิกบริษัทเข้งหงวน จำกัดให้นายจำรัส ปิงคลาศัย เป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยที่ 1,3,4,6, และ 7 อุทธรณ์ และยื่นคำร้อง ขอทุเลาการบังคับ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลา การบังคับในระหว่างอุทธรณ์ โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกาคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว โจทก์ทั้งเจ็ดจึงยื่นคำร้องนี้
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คำสั่งของศาลในเรื่องทุเลาการบังคับเป็นอำนาจเฉพาะศาล เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งในเรื่อง ทุเลาการบังคับในระหว่างพิจารณาอย่างใดแล้ว คู่ความจะฎีกา คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 อีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ของโจทก์ทั้งเจ็ดชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง คืนค่าคำร้อง 160 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ด
ความว่า โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าคำสั่งทุเลาการบังคับของศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด จึงไม่รับฎีกาคัดค้านคำสั่งของโจทก์ทั้งเจ็ด ค่าขึ้นศาลให้เป็นพับ โจทก์ทั้งเจ็ดเห็นว่า โจทก์ฎีกาคำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 ประกอบด้วยมาตรา 247 โจทก์ย่อมฎีกาได้ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 ไม่ได้บัญญัติให้คำสั่งทุเลาการบังคับคดี ของศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดหรือเป็นที่ยุติ โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของโจทก์ทั้งเจ็ดไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 เข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เลิกบริษัทเข้งหงวน จำกัดให้นายจำรัส ปิงคลาศัย เป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยที่ 1,3,4,6, และ 7 อุทธรณ์ และยื่นคำร้อง ขอทุเลาการบังคับ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลา การบังคับในระหว่างอุทธรณ์ โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกาคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว โจทก์ทั้งเจ็ดจึงยื่นคำร้องนี้
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คำสั่งของศาลในเรื่องทุเลาการบังคับเป็นอำนาจเฉพาะศาล เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งในเรื่อง ทุเลาการบังคับในระหว่างพิจารณาอย่างใดแล้ว คู่ความจะฎีกา คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 อีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ของโจทก์ทั้งเจ็ดชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง คืนค่าคำร้อง 160 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ด
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาต ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์สั่งคำร้องว่า คดีไม่มีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นจึงสั่งฎีกาจำเลยทั้งสองว่า คดีนี้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ฎีกาข้อเท็จจริงได้พิเคราะห์ฎีกาของจำเลยทั้งสองแล้ว เห็นว่าเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกา ไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาจำเลยทั้งสองในปัญหาข้อเท็จจริง มีเหตุสมควรที่จะได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา และฎีกาที่ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำละเมิดนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาจำเลยทั้งสอง ในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 134,137) ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองปรับทางสาธารณประโยชน์ให้คงสภาพเดิม ขนาดกว้างประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ 200 เมตร ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.8 กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสาม เป็นเงินจำนวน 6,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะดำเนินการปรับทางสาธารณประโยชน์เสร็จ จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องดังกล่าว และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 110,109,122) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 124)
คำสั่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเปิดและปรับทางสาธารณประโยชน์ให้คงสภาพเดิมไว้ และห้ามมิให้เกี่ยวข้อง ขัดขวางทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวต่อไปกับเรียกค่าเสียหาย จึงเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็น ราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาต ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์สั่งคำร้องว่า คดีไม่มีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นจึงสั่งฎีกาจำเลยทั้งสองว่า คดีนี้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ฎีกาข้อเท็จจริงได้พิเคราะห์ฎีกาของจำเลยทั้งสองแล้ว เห็นว่าเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกา ไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาจำเลยทั้งสองในปัญหาข้อเท็จจริง มีเหตุสมควรที่จะได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา และฎีกาที่ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำละเมิดนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาจำเลยทั้งสอง ในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 134,137) ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองปรับทางสาธารณประโยชน์ให้คงสภาพเดิม ขนาดกว้างประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ 200 เมตร ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.8 กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสาม เป็นเงินจำนวน 6,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะดำเนินการปรับทางสาธารณประโยชน์เสร็จ จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องดังกล่าว และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 110,109,122) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 124)
คำสั่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเปิดและปรับทางสาธารณประโยชน์ให้คงสภาพเดิมไว้ และห้ามมิให้เกี่ยวข้อง ขัดขวางทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวต่อไปกับเรียกค่าเสียหาย จึงเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็น ราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองจึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์ที่ 1ที่ 2 ที่ 4 โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ว่า สัญญาเช่าระหว่างโจทก์ทั้งสี่และ จำเลยทั้งสองมิได้เป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่า ธรรมดานั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ ของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 เนื่องจากเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 99) โจทก์ทั้งสี่ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสอง รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินและบริวาร ออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ และใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ เดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายเสร็จสิ้น ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องโจทก์ที่ 3 เพราะผู้พิทักษ์ของโจทก์ที่ 3 ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ที่ 3 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 96) โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 97)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาข้อ 3.1 ของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เงินค่าหน้าดินจำนวน 100,000 บาท ที่จำเลยทั้งสองจ่ายให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 เป็นเงินกินเปล่าก็ดี บ้านและอาคารที่จอดรถให้เช่า จำเลยทั้งสองปลูกบ้านขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการค้าของจำเลย ทั้งสองก็ดี และที่จำเลยทั้งสองจะยกกรรมสิทธิ์ในสิ่งปลูกสร้าง ทั้งหมดให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เป็นเพียงคำเสนอ ฝ่ายเดียวของจำเลยทั้งสองก็ดี ล้วนไม่ทำให้สัญญาเช่า ระหว่างโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 กับจำเลยทั้งสองเป็นสัญญา ต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าธรรมดาไปได้ เป็นการโต้แย้ง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น จึงเป็นปัญหา ข้อเท็จจริง เป็นคำวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อนต่อบทบัญญัติ ของกฎหมายนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับเฉพาะ ข้อที่กล่าวนี้ไว้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองจึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์ที่ 1ที่ 2 ที่ 4 โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ว่า สัญญาเช่าระหว่างโจทก์ทั้งสี่และ จำเลยทั้งสองมิได้เป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่า ธรรมดานั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ ของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 เนื่องจากเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 99) โจทก์ทั้งสี่ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสอง รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินและบริวาร ออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ และใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ เดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายเสร็จสิ้น ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องโจทก์ที่ 3 เพราะผู้พิทักษ์ของโจทก์ที่ 3 ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ที่ 3 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 96) โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 97)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาข้อ 3.1 ของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เงินค่าหน้าดินจำนวน 100,000 บาท ที่จำเลยทั้งสองจ่ายให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 เป็นเงินกินเปล่าก็ดี บ้านและอาคารที่จอดรถให้เช่า จำเลยทั้งสองปลูกบ้านขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการค้าของจำเลย ทั้งสองก็ดี และที่จำเลยทั้งสองจะยกกรรมสิทธิ์ในสิ่งปลูกสร้าง ทั้งหมดให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เป็นเพียงคำเสนอ ฝ่ายเดียวของจำเลยทั้งสองก็ดี ล้วนไม่ทำให้สัญญาเช่า ระหว่างโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 กับจำเลยทั้งสองเป็นสัญญา ต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าธรรมดาไปได้ เป็นการโต้แย้ง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น จึงเป็นปัญหา ข้อเท็จจริง เป็นคำวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อนต่อบทบัญญัติ ของกฎหมายนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับเฉพาะ ข้อที่กล่าวนี้ไว้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้น มีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เห็นว่า ฎีกาที่ว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบและเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของมา 5-6 ปี แล้วย่อมได้สิทธิครอบครองตามกฎหมาย และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ด้วย หมายเหตุ โจทก์และผู้ร้องสอดยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ระหว่างพิจารณา นายยืน สงคุ้ม ยื่นคำร้องสอดว่าที่ดินพิพาทเป็นของตน มิใช่ของโจทก์และจำเลยทั้งสี่ ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอด ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสี่ออกไปจากที่ดินพิพาท ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลพรานกระต่าย อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.12 กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย แก่โจทก์เป็นเงินปีละ 5,000 บาท นับแต่เดือนกรกฎาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะออกไปจากที่ดินพิพาท ยกฟ้องแย้ง ยกคำร้องสอด ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 198) จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้ นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 205)
คำสั่ง จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันมาวางศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ก่อน จึงให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้น มีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เห็นว่า ฎีกาที่ว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบและเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของมา 5-6 ปี แล้วย่อมได้สิทธิครอบครองตามกฎหมาย และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ด้วย หมายเหตุ โจทก์และผู้ร้องสอดยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ระหว่างพิจารณา นายยืน สงคุ้ม ยื่นคำร้องสอดว่าที่ดินพิพาทเป็นของตน มิใช่ของโจทก์และจำเลยทั้งสี่ ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอด ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสี่ออกไปจากที่ดินพิพาท ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลพรานกระต่าย อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.12 กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย แก่โจทก์เป็นเงินปีละ 5,000 บาท นับแต่เดือนกรกฎาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะออกไปจากที่ดินพิพาท ยกฟ้องแย้ง ยกคำร้องสอด ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 198) จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้ นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 205)
คำสั่ง จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันมาวางศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ก่อน จึงให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อ 5 ของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า จำเลยฎีกาในปัญหาเรื่องที่เกี่ยวกับ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาโดยไม่ยึดหลัก กฎหมายที่เกี่ยวกับวิธีพิจารณาตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และแม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วก็ตาม ก็เป็นปัญหาอันควรสู่ศาลสูงสุด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 52) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 รวม 3 กระทง และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(4)(8) ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคสาม อีก 1 กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษ รวม 4 กระทง ขณะจำเลยกระทำผิดมีอายุไม่เกิน 17 ปี จึงลดมาตราส่วนโทษ ให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานรับของโจร ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี ฐานลักทรัพย์ ให้จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกฐานรับของโจรกระทงละ 6 เดือน รวมสามกระทง จำคุก 18 เดือน ฐานลักทรัพย์ จำคุก 1 ปี รวมโทษจำคุก 1 ปี 18 เดือน ให้จำเลยคืนหรือชดใช้ราคากระปุก ออมสินจำนวน 25 บาทแก่ผู้เสียหายที่ 3 ด้วย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรกกระทงเดียว จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือนเมื่อรวมกับโทษฐานลักทรัพย์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 44) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 52)
คำสั่ง ปัญหาตามฎีกาของจำเลยข้อ 5 ที่ว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 15 ปี 6 เดือน ศาลจะต้องใช้กฎหมายเกี่ยวกับเด็ก และเยาวชนและลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย จึงให้รับฎีกาข้อ 5 ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อ 5 ของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า จำเลยฎีกาในปัญหาเรื่องที่เกี่ยวกับ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาโดยไม่ยึดหลัก กฎหมายที่เกี่ยวกับวิธีพิจารณาตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และแม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วก็ตาม ก็เป็นปัญหาอันควรสู่ศาลสูงสุด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 52) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 รวม 3 กระทง และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(4)(8) ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคสาม อีก 1 กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษ รวม 4 กระทง ขณะจำเลยกระทำผิดมีอายุไม่เกิน 17 ปี จึงลดมาตราส่วนโทษ ให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานรับของโจร ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี ฐานลักทรัพย์ ให้จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกฐานรับของโจรกระทงละ 6 เดือน รวมสามกระทง จำคุก 18 เดือน ฐานลักทรัพย์ จำคุก 1 ปี รวมโทษจำคุก 1 ปี 18 เดือน ให้จำเลยคืนหรือชดใช้ราคากระปุก ออมสินจำนวน 25 บาทแก่ผู้เสียหายที่ 3 ด้วย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรกกระทงเดียว จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือนเมื่อรวมกับโทษฐานลักทรัพย์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 44) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 52)
คำสั่ง ปัญหาตามฎีกาของจำเลยข้อ 5 ที่ว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 15 ปี 6 เดือน ศาลจะต้องใช้กฎหมายเกี่ยวกับเด็ก และเยาวชนและลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย จึงให้รับฎีกาข้อ 5 ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของโจทก์เป็น ฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับฟังพยาน บุคคลและพยานเอกสารคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับเงินจำนวน 107,580 บาทไปจากสำนักงานวางทรัพย์ภูมิภาค 6 จังหวัดพิษณุโลก และดำเนินการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินตราจองเลขที่ 182ตำบลดอนทอง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลกแล้วส่งมอบตราจองดังกล่าวคืนแก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ยกเลิกตราจองฉบับดังกล่าว และให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินใหม่หรือออกใบแทนตราจองฉบับเดิมให้โจทก์ มีอำนาจจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองได้ฝ่ายเดียว โดยถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย กับห้ามจำเลย และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ฉบับลงวันที่ 6 มิถุนายน 2538 ศาลชั้นต้น มีคำสั่งในวันเดียวกันไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 73) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ยื่นอุทธรณ์ คำสั่งไม่รับฎีกาเกินกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 ให้ส่งสำนวน ไปศาลฎีกา เพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 75)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้โจทก์ยื่นฎีกาวันที่ 6 มิถุนายน 2538 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ในวันเดียวกันกับที่โจทก์ยื่นฎีกา ถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2538 โจทก์ยื่น คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาในวันที่ 29 มิถุนายน 2538 จึงเกินกำหนด 15 วัน ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วย มาตรา 247 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของโจทก์เป็น ฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับฟังพยาน บุคคลและพยานเอกสารคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับเงินจำนวน 107,580 บาทไปจากสำนักงานวางทรัพย์ภูมิภาค 6 จังหวัดพิษณุโลก และดำเนินการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินตราจองเลขที่ 182ตำบลดอนทอง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลกแล้วส่งมอบตราจองดังกล่าวคืนแก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ยกเลิกตราจองฉบับดังกล่าว และให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินใหม่หรือออกใบแทนตราจองฉบับเดิมให้โจทก์ มีอำนาจจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองได้ฝ่ายเดียว โดยถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย กับห้ามจำเลย และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ฉบับลงวันที่ 6 มิถุนายน 2538 ศาลชั้นต้น มีคำสั่งในวันเดียวกันไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 73) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ยื่นอุทธรณ์ คำสั่งไม่รับฎีกาเกินกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 ให้ส่งสำนวน ไปศาลฎีกา เพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 75)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้โจทก์ยื่นฎีกาวันที่ 6 มิถุนายน 2538 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ในวันเดียวกันกับที่โจทก์ยื่นฎีกา ถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2538 โจทก์ยื่น คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาในวันที่ 29 มิถุนายน 2538 จึงเกินกำหนด 15 วัน ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วย มาตรา 247 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 วรรคหนึ่ง ไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 72) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 จำคุก 2 เดือน และปรับ 2,000 บาท พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายแล้ว กรณีไม่ร้ายแรง จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนเห็นสมควรให้กลับตนเป็นพลเมืองดีโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ให้ยกฟ้องความผิดฐานบุกรุก ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 71) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 72)
คำสั่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกาว่า มิได้ตัดต้นกล้วย และมิได้กระทำผิด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 วรรคหนึ่ง ไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 72) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 จำคุก 2 เดือน และปรับ 2,000 บาท พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายแล้ว กรณีไม่ร้ายแรง จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนเห็นสมควรให้กลับตนเป็นพลเมืองดีโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ให้ยกฟ้องความผิดฐานบุกรุก ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 71) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 72)
คำสั่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกาว่า มิได้ตัดต้นกล้วย และมิได้กระทำผิด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ข้อเท็จจริงในคำฟ้องและข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบแตกต่างกันในสาระสำคัญ คำพิพากษาของศาลจึงเกินคำขอหรือมิได้กล่าวในคำฟ้อง และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากยังไม่ได้มีการร้องทุกข์และสอบสวนในความผิด ฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 83) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ลงโทษจำคุก 2 ปี คดีที่ศาลลงโทษจำเลย ฐานรับของโจร เมื่อผู้เสียหายได้รับของกลางจากการ กระทำความผิดฐานรับของโจรคืนไปแล้ว โจทก์จึงไม่อาจขอให้ จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจากความผิด ฐานลักทรัพย์เป็นเงิน 245,000 บาท แก่ผู้เสียหายอีก จึงให้ยกคำร้องของ โจทก์ในส่วนนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 77) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 83)
คำสั่ง คดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี คู่ความย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่อ้างว่าเป็นข้อกฎหมาย พิเคราะห์แล้วล้วนเป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติ ดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ข้อเท็จจริงในคำฟ้องและข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบแตกต่างกันในสาระสำคัญ คำพิพากษาของศาลจึงเกินคำขอหรือมิได้กล่าวในคำฟ้อง และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากยังไม่ได้มีการร้องทุกข์และสอบสวนในความผิด ฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 83) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ลงโทษจำคุก 2 ปี คดีที่ศาลลงโทษจำเลย ฐานรับของโจร เมื่อผู้เสียหายได้รับของกลางจากการ กระทำความผิดฐานรับของโจรคืนไปแล้ว โจทก์จึงไม่อาจขอให้ จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจากความผิด ฐานลักทรัพย์เป็นเงิน 245,000 บาท แก่ผู้เสียหายอีก จึงให้ยกคำร้องของ โจทก์ในส่วนนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 77) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 83)
คำสั่ง คดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี คู่ความย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่อ้างว่าเป็นข้อกฎหมาย พิเคราะห์แล้วล้วนเป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติ ดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสี่ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสี่เป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสี่ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยทั้งสี่เห็นว่า จำเลยทั้งสี่ฎีกาในประเด็นที่ว่าโจทก์ได้นำหลักปักกีดขวางทางเข้าออกที่ดินโฉนดเลขที่ 160024 ซึ่งเป็นสามยทรัพย์หรือไม่ ค่าเสียหายของจำเลยทั้งสี่ มีเพียงใด การที่จำเลยทั้งสี่ถมดินในที่ดินของจำเลย ไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์หรือในสามยทรัพย์ ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสี่ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 93) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน จำนวน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 มิถุนายน 2534) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และห้ามมิให้จำเลยทั้งสี่ใช้ภารจำยอมที่ดินโฉนดเลขที่ 1901,67421 และ 131867 ในโฉนดที่ดินเลขที่ 160025ตำบลบางจาก อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานครให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสี่ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ดังกล่าว (อันดับ 82) จำเลยทั้งสี่จึงยื่นคำร้องนี้ ต่อมาพนักงานเดินหมายรายงานต่อศาลว่า พ้นกำหนดระยะเวลาในการนำหมายแล้วจำเลยทั้งสี่ไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่งศาลชั้นต้น จึงมีคำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกา (อันดับ 84,89) ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้วได้บันทึกรายงานกระบวนพิจารณาให้ศาลชั้นต้นแจ้งให้จำเลยทั้งสี่นำส่งสำเนาคำร้องนี้ซึ่งจำเลยได้นำส่งแล้ว (อันดับ 92)
คำสั่ง ฎีกาในปัญหาเรื่องการที่โจทก์นำหลักปักกีดขวางทาง เข้าออกที่ดินโฉนดเลขที่ 160024 ซึ่งเป็นสามยทรัพย์เป็นการละเมิดหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาเรื่องทำการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์หรือไม่ ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายเช่นเดียวกัน จึงไม่ต้องห้ามให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งให้รับฎีกาจำเลยทั้งสี่และดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสี่ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสี่เป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสี่ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยทั้งสี่เห็นว่า จำเลยทั้งสี่ฎีกาในประเด็นที่ว่าโจทก์ได้นำหลักปักกีดขวางทางเข้าออกที่ดินโฉนดเลขที่ 160024 ซึ่งเป็นสามยทรัพย์หรือไม่ ค่าเสียหายของจำเลยทั้งสี่ มีเพียงใด การที่จำเลยทั้งสี่ถมดินในที่ดินของจำเลย ไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์หรือในสามยทรัพย์ ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสี่ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 93) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน จำนวน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 มิถุนายน 2534) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และห้ามมิให้จำเลยทั้งสี่ใช้ภารจำยอมที่ดินโฉนดเลขที่ 1901,67421 และ 131867 ในโฉนดที่ดินเลขที่ 160025ตำบลบางจาก อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานครให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสี่ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ดังกล่าว (อันดับ 82) จำเลยทั้งสี่จึงยื่นคำร้องนี้ ต่อมาพนักงานเดินหมายรายงานต่อศาลว่า พ้นกำหนดระยะเวลาในการนำหมายแล้วจำเลยทั้งสี่ไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่งศาลชั้นต้น จึงมีคำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกา (อันดับ 84,89) ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้วได้บันทึกรายงานกระบวนพิจารณาให้ศาลชั้นต้นแจ้งให้จำเลยทั้งสี่นำส่งสำเนาคำร้องนี้ซึ่งจำเลยได้นำส่งแล้ว (อันดับ 92)
คำสั่ง ฎีกาในปัญหาเรื่องการที่โจทก์นำหลักปักกีดขวางทาง เข้าออกที่ดินโฉนดเลขที่ 160024 ซึ่งเป็นสามยทรัพย์เป็นการละเมิดหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาเรื่องทำการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์หรือไม่ ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายเช่นเดียวกัน จึงไม่ต้องห้ามให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งให้รับฎีกาจำเลยทั้งสี่และดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสองและผู้ร้องสอดฎีกา คดีสามารถที่จะ ชนะโจทก์ได้ โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 151)
ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นนางสุภาภรณ์ปานพิมพ์ใหญ่ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นผู้ร้องสอด ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5236 ตำบลในเมือง อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น มิให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป คำขอของโจทก์นอกจากนี้ และคำร้องสอดให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองและผู้ร้องสอดฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 146,149)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองและผู้ร้องสอดได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ (อันดับ 133)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้ทุเลาการบังคับจำเลยทั้งสองไว้ ในระหว่างฎีกา ส่วนผู้ร้องสอดนั้นศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้บังคับ ให้ปฏิบัติอย่างไร จึงไม่จำต้องขอทุเลา ให้ยกคำร้องสำหรับ ผู้ร้องสอด
ความว่า จำเลยทั้งสองและผู้ร้องสอดฎีกา คดีสามารถที่จะ ชนะโจทก์ได้ โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 151)
ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นนางสุภาภรณ์ปานพิมพ์ใหญ่ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นผู้ร้องสอด ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5236 ตำบลในเมือง อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น มิให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป คำขอของโจทก์นอกจากนี้ และคำร้องสอดให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองและผู้ร้องสอดฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 146,149)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองและผู้ร้องสอดได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ (อันดับ 133)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้ทุเลาการบังคับจำเลยทั้งสองไว้ ในระหว่างฎีกา ส่วนผู้ร้องสอดนั้นศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้บังคับ ให้ปฏิบัติอย่างไร จึงไม่จำต้องขอทุเลา ให้ยกคำร้องสำหรับ ผู้ร้องสอด
เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งและศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 7 หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยแม้มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ มูลหนี้ตามเช็คที่โจทก์อาศัยเป็นมูลฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นมูลหนี้เดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีแพ่งเรียกเก็บเงินตามเช็ค เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งและศาลได้พิพากษาตามยอมถึงที่สุดแล้วจึงมีผลทำให้มูลหนี้ตามเช็คที่จำเลยทั้งสองได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญานี้ คดีจึงเลิกกันตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(3)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 10,000 บาทจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 5,000 บาทจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 เดือน 15 วันไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
จำเลยที่ 1 ที่ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด3 เดือนลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุก 1 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า หลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองคดีนี้แล้ว ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลจังหวัดพิษณุโลกเรียกให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินตามเช็ค ในที่สุดโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลจังหวัดพิษณุโลกได้พิพากษาตามยอมแล้วคดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 7 นั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวแม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นแต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มูลหนี้ตามเช็คคดีนี้โจทก์ได้นำไปฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชดใช้เงินตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 214/2537 ของศาลจังหวัดพิษณุโลกแล้ว โจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้พิพากษาคดีตามยอมถึงที่สุดแล้วเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2537 ผลของการประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 ดังนั้นหนี้ที่จำเลยทั้งสองได้ออกเช็คตามฟ้องเพื่อใช้เงินนั้น จึงเป็นอันระงับสิ้นผลผูกพันไปก่อนที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 7 สิทธิของโจทก์ในการนำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 239(3)"
เมื่อสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปแล้ว จึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ
เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งและศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 7 หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยแม้มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ มูลหนี้ตามเช็คที่โจทก์อาศัยเป็นมูลฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นมูลหนี้เดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีแพ่งเรียกเก็บเงินตามเช็ค เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งและศาลได้พิพากษาตามยอมถึงที่สุดแล้วจึงมีผลทำให้มูลหนี้ตามเช็คที่จำเลยทั้งสองได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญานี้ คดีจึงเลิกกันตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(3)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 10,000 บาทจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 5,000 บาทจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 เดือน 15 วันไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
จำเลยที่ 1 ที่ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด3 เดือนลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุก 1 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า หลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองคดีนี้แล้ว ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลจังหวัดพิษณุโลกเรียกให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินตามเช็ค ในที่สุดโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลจังหวัดพิษณุโลกได้พิพากษาตามยอมแล้วคดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 7 นั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวแม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นแต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มูลหนี้ตามเช็คคดีนี้โจทก์ได้นำไปฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชดใช้เงินตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 214/2537 ของศาลจังหวัดพิษณุโลกแล้ว โจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้พิพากษาคดีตามยอมถึงที่สุดแล้วเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2537 ผลของการประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 ดังนั้นหนี้ที่จำเลยทั้งสองได้ออกเช็คตามฟ้องเพื่อใช้เงินนั้น จึงเป็นอันระงับสิ้นผลผูกพันไปก่อนที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 7 สิทธิของโจทก์ในการนำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 239(3)"
เมื่อสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปแล้ว จึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ
หมายเหตุ ใน เรื่อง คดีอาญา เลิกกัน นั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 37 ได้ วาง หลักเกณฑ์ ไว้ ใน (1) ถึง (4) คือ ผู้กระทำผิด หรือ ผู้ต้องหา ได้ ชำระ ค่าปรับ แล้ว แต่ กรณี แล้ว คดีอาญา จึง จะ เลิกกัน ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 37 ซึ่ง จะ ทำให้ สิทธิ ใน การ นำ คดีอาญา มา ฟ้อง ระงับ ไป ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(3) แต่ หาก พิจารณา มาตรา 7 แห่ง พระราชบัญญัติ ว่าด้วย ความผิด อัน เกิดจาก การ ใช้ เช็ค ฯ แล้ว จะ เห็นว่า เป็น กรณี ที่ ผู้กระทำ ความผิด ตาม มาตรา 4 แห่ง พระราชบัญญัติ ดังกล่าว ได้ กระทำการ อย่างใด อย่างหนึ่ง ตาม ที่มา ตรา 7 กำหนด ไว้ ก่อน ศาล มี คำพิพากษาถึงที่สุด แล้ว ผู้กระทำ ความผิด นั้น ไม่ต้อง รับโทษ เป็น เรื่อง ที่ น่า จะ ถือว่า กฎหมาย ยกเว้น โทษ ให้ ซึ่ง ทำให้ สิทธิ นำ คดีอาญา มา ฟ้อง ระงับ ไป ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 329(7) อย่างไร ก็ ดี สำหรับ กรณี ที่ เป็น คดี ความผิดต่อส่วนตัว และ โจทก์ จำเลย ได้ ทำ สัญญา ประนีประนอม ยอมความ ใน คดีแพ่ง ศาลฎีกา เคย วินิจฉัย ไว้ ว่า แม้ เป็น คดี ความผิดต่อส่วนตัว แต่ หาก ใน การ ยอมความ ไม่ได้ กำหนด ไว้ โดยชัดแจ้ง ว่า โจทก์ ตกลง สละ สิทธิ ใน การ ดำเนินคดี อาญา ต่อ จำเลย ด้วย แล้ว ถือว่า ยัง ไม่เป็น การ ยอมความ ใน ทางอาญา อัน จะ เป็น ผล ให้การ นำ คดีอาญา มา ฟ้อง ระงับ ไป ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ( คำพิพากษา ศาลฎีกา ที่ 976/2505 ( ประชุมใหญ่ ), 480/2518, 2124/2529 และ ที่ 3909/2532) แต่ ถ้า โจทก์ ได้ แสดง ให้ เห็นว่า ได้ สละ สิทธิ ใน การ ฟ้องคดี อาญา แล้ว การ ยอมความ ของ โจทก์ และ จำเลย ก็ ทำให้ สิทธิ นำ คดีอาญา มา ฟ้อง ระงับ ไป เพราะ ได้ ยอมความ กัน แล้ว ตาม กฎหมาย ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ได้ วินัย สร้อยพลอย
ความว่า จำเลยทั้งสามฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด และสั่งคำร้องว่า เมื่อศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยทั้งสามแล้ว จึงมีคำสั่ง ไม่รับคำร้องขอทุเลาการบังคับ จำเลยทั้งสามเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับของ จำเลยทั้งสามด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงิน94,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 23 มีนาคม 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 3,525 บาท จำเลยทั้งสามฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 116,115)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์รับเช็คพิพาทมาโดยสุจริตมิได้คบคิด กันฉ้อฉล จำเลยทั้งสามฎีกาว่า โจทก์รับเช็คพิพาทมาโดย ไม่สุจริต เป็นฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาล ถือว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง หาได้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ดังที่จำเลยทั้งสามเข้าใจไม่ ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสามและไม่รับ คำร้องขอทุเลาการบังคับมานั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสามฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด และสั่งคำร้องว่า เมื่อศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยทั้งสามแล้ว จึงมีคำสั่ง ไม่รับคำร้องขอทุเลาการบังคับ จำเลยทั้งสามเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับของ จำเลยทั้งสามด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงิน94,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 23 มีนาคม 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 3,525 บาท จำเลยทั้งสามฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 116,115)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์รับเช็คพิพาทมาโดยสุจริตมิได้คบคิด กันฉ้อฉล จำเลยทั้งสามฎีกาว่า โจทก์รับเช็คพิพาทมาโดย ไม่สุจริต เป็นฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาล ถือว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง หาได้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ดังที่จำเลยทั้งสามเข้าใจไม่ ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสามและไม่รับ คำร้องขอทุเลาการบังคับมานั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงถึงที่สุดแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 198 ทวิ วรรคท้าย ไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมาย การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงยังไม่เป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 198 ทวิ โจทก์มีสิทธิยื่นฎีกาต่อศาลได้ โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ กรณีเป็นชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญา ในศาลแขวง มาตรา 22จึงไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ (อันดับ 34) โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหา ข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้วยกคำร้อง (อันดับ 47) โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 51) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่ยอมรับอุทธรณ์ของโจทก์ด้วยเหตุว่า เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 22 คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม โจทก์จึงฎีกา โต้แย้งอีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงถึงที่สุดแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 198 ทวิ วรรคท้าย ไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมาย การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงยังไม่เป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 198 ทวิ โจทก์มีสิทธิยื่นฎีกาต่อศาลได้ โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ กรณีเป็นชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญา ในศาลแขวง มาตรา 22จึงไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ (อันดับ 34) โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหา ข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้วยกคำร้อง (อันดับ 47) โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 51) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่ยอมรับอุทธรณ์ของโจทก์ด้วยเหตุว่า เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 22 คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม โจทก์จึงฎีกา โต้แย้งอีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทั้ง 82 สำนวนอุทธรณ์ศาลแรงงานกลางสั่งว่า จำเลยหยิบยกดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลแรงงานกลางจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงยุติไปแล้ว เพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นซ้ำอีก จึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 วรรคแรก ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม เว้นในส่วน ของโจทก์ที่ 34 และที่ 60 ตามข้อ 5 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เห็นว่า ในประเด็นพิพาทข้อที่ 1และข้อที่ 2 ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยคดีโดยอาศัยเอกสารหมาย จ.3 ขัดกับพยานหลักฐานหมาย จ.4 และฟังข้อเท็จจริงขัดต่อพยานหลักฐาน ในสำนวน ส่วนในประเด็นพิพาทข้อที่ 3 เป็นปัญหาการแปลความหมาย ของสัญญาจ้างแรงงาน ประเด็นข้อพิพาททั้ง 3 ข้อจึงเป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ทนายโจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 101 แผ่นที่ 3) คดีทั้ง 82 สำนวนนี้ (โจทก์ต่างฟ้องจำเลยเป็นทำนองเดียวกัน) ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษารวมกับคดีอีก 4 สำนวน (ซึ่งมีคดีสำนวนหนึ่งถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ และคดี อีกสามสำนวนศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องไปแล้ว) โดยเรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 86 และเรียกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 คงเดิม ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 27 ที่ 34 ที่ 53 และที่ 80ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาต ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันชำระค่าล่วงเวลาให้โจทก์ที่ 1 จำนวน 329,967 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 216,000 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 202,740 บาท โจทก์ที่ 4 จำนวน 177,887.50 บาท โจทก์ที่ 5 จำนวน 76,480.50 บาทโจทก์ที่ 6 จำนวน 234,750 บาท โจทก์ที่ 7 จำนวน 86,287 บาทโจทก์ที่ 8 จำนวน 70,446 บาท โจทก์ที่ 9 จำนวน 197,667 บาทโจทก์ที่ 10 จำนวน 38,934 บาท โจทก์ที่ 11 จำนวน 41,625 บาทโจทก์ที่ 12 จำนวน 80,112.50 บาท โจทก์ที่ 13 จำนวน 83,137.50 บาท โจทก์ที่ 14 จำนวน 66,375 บาท โจทก์ที่ 15 จำนวน 129,037 บาท โจทก์ที่ 16 จำนวน 64,800 บาท โจทก์ที่ 17 จำนวน 241,930 บาท โจทก์ที่ 18 จำนวน 253,378 บาท โจทก์ที่ 19 จำนวน 64,750 บาท โจทก์ที่ 20 จำนวน 191,718 บาท โจทก์ที่ 21 จำนวน 214,200 บาท โจทก์ที่ 22 จำนวน 105,772.50 บาท โจทก์ที่ 23 จำนวน 226,690.50 บาท โจทก์ที่ 24 จำนวน 388,294 บาท โจทก์ที่ 25 จำนวน 81,982 บาท โจทก์ที่ 26 จำนวน 221,995 บาท โจทก์ที่ 28 จำนวน 149,793.75 บาท โจทก์ที่ 29 จำนวน 295,119 บาท โจทก์ที่ 30 จำนวน 251,714 บาท โจทก์ที่ 31 จำนวน 272,306 บาท โจทก์ที่ 32 จำนวน 243,555 บาท โจทก์ที่ 33 จำนวน 197,995 บาท โจทก์ที่ 34 จำนวน 121,750 บาท โจทก์ที่ 35 จำนวน 236,234.43 บาท โจทก์ที่ 36 จำนวน 287,100 บาท โจทก์ที่ 37 จำนวน 150,577 บาท โจทก์ที่ 38 จำนวน 335,981.35 บาท โจทก์ที่ 39 จำนวน 51,200 บาท โจทก์ที่ 40 จำนวน 159,736 บาท โจทก์ที่ 41 จำนวน 230,512.50 บาทโจทก์ที่ 42 จำนวน 219,375 บาท โจทก์ที่ 43 จำนวน 178,650 บาทโจทก์ที่ 44 จำนวน 87,862.50 บาท โจทก์ที่ 45 จำนวน 214,650 บาท โจทก์ที่ 46 จำนวน 349,800 บาท โจทก์ที่ 47 จำนวน 264,600 บาท โจทก์ที่ 48 จำนวน 101,925 บาท โจทก์ที่ 49 จำนวน 321,468.75 บาท โจทก์ที่ 50 จำนวน 166,725.50 บาท โจทก์ที่ 51 จำนวน 348,600 บาท โจทก์ที่ 54 จำนวน 100,125 บาท โจทก์ที่ 55 จำนวน 39,750 บาท โจทก์ที่ 56 จำนวน 148,201 บาท โจทก์ที่ 57 จำนวน 396,600 บาท โจทก์ที่ 58 จำนวน 194,493.75 บาท โจทก์ที่ 59 จำนวน 190,800 บาท โจทก์ที่ 60 จำนวน 631,125.50 บาท โจทก์ที่ 61 จำนวน 227,268.75 บาท โจทก์ที่ 62 จำนวน 143,100 บาท โจทก์ที่ 63 จำนวน 193,980 บาท โจทก์ที่ 64 จำนวน 84,150 บาท โจทก์ที่ 65 จำนวน 273,600 บาท โจทก์ที่ 66 จำนวน 147,744 บาท โจทก์ที่ 67 จำนวน 30,000 บาท โจทก์ที่ 68 จำนวน 313,728 บาท โจทก์ที่ 69 จำนวน 135,395 บาท โจทก์ที่ 70 จำนวน 237,372 บาท โจทก์ที่ 71 จำนวน 160,272 บาท โจทก์ที่ 72 จำนวน 39,750 บาท โจทก์ที่ 73 จำนวน 196,959 บาท โจทก์ที่ 74 จำนวน 297,188 บาท โจทก์ที่ 75 จำนวน 160,272 บาท โจทก์ที่ 76 จำนวน 165,798 บาท โจทก์ที่ 77 จำนวน 32,754 บาท โจทก์ที่ 78 จำนวน 187,461 บาท โจทก์ที่ 79 จำนวน 74,979 บาท โจทก์ที่ 81 จำนวน 106,074 บาท โจทก์ที่ 82 จำนวน 250,236 บาท โจทก์ที่ 83 จำนวน 219,420 บาท โจทก์ที่ 84 จำนวน 87,516 บาท โจทก์ที่ 85 จำนวน 55,392 บาท โจทก์ที่ 86 จำนวน 93,294 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินของโจทก์ แต่ละคนดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จะชำระเงินเสร็จสิ้น ยกฟ้องในส่วน ของโจทก์ที่ 52 และจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทั้ง 82 สำนวนอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ คงรับเฉพาะในส่วนของโจทก์ที่ 34 และ 60 ตามข้อ 5(อันดับ 85) จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 92)
คำสั่ง คดีศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3เป็นนายจ้างโจทก์ โจทก์ทั้ง 86 คน เว้นโจทก์ที่ 52 และ โจทก์ที่ 53 และที่ 80 ซึ่งถอนฟ้องไปแล้วและไม่ได้เป็นหัวหน้างาน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ทำการแทนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 สำหรับกรณี การจ้าง การลดค่าจ้าง การเลิกจ้างและการลงโทษเมื่อโจทก์ทำงานเกินไปกว่าเวลาทำงานปกติสัปดาห์ละ 48 ชั่วโมง ตามสัญญาจ้างแรงงาน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีหน้าที่ต้องจ่าย ค่าล่วงเวลาให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์ในข้อ 2 ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิได้เป็นนายจ้างโจทก์ โจทก์จึง ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์ในข้อ 3 ว่า โจทก์ทำงานในหน้าที่หัวหน้างานหรือโฟร์แมน จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาและอุทธรณ์ในข้อ 4 ว่า คำแปลเอกสารเกี่ยวกับ สัญญาจ้างแรงงานของจำเลยน่าเชื่อกว่าคำแปลของฝ่ายโจทก์ และฟังได้ว่าโจทก์ทุกคนไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาจึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในส่วนนี้ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทั้ง 82 สำนวนอุทธรณ์ศาลแรงงานกลางสั่งว่า จำเลยหยิบยกดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลแรงงานกลางจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงยุติไปแล้ว เพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นซ้ำอีก จึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 วรรคแรก ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม เว้นในส่วน ของโจทก์ที่ 34 และที่ 60 ตามข้อ 5 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เห็นว่า ในประเด็นพิพาทข้อที่ 1และข้อที่ 2 ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยคดีโดยอาศัยเอกสารหมาย จ.3 ขัดกับพยานหลักฐานหมาย จ.4 และฟังข้อเท็จจริงขัดต่อพยานหลักฐาน ในสำนวน ส่วนในประเด็นพิพาทข้อที่ 3 เป็นปัญหาการแปลความหมาย ของสัญญาจ้างแรงงาน ประเด็นข้อพิพาททั้ง 3 ข้อจึงเป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ทนายโจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 101 แผ่นที่ 3) คดีทั้ง 82 สำนวนนี้ (โจทก์ต่างฟ้องจำเลยเป็นทำนองเดียวกัน) ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษารวมกับคดีอีก 4 สำนวน (ซึ่งมีคดีสำนวนหนึ่งถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ และคดี อีกสามสำนวนศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องไปแล้ว) โดยเรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 86 และเรียกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 คงเดิม ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 27 ที่ 34 ที่ 53 และที่ 80ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาต ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันชำระค่าล่วงเวลาให้โจทก์ที่ 1 จำนวน 329,967 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 216,000 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 202,740 บาท โจทก์ที่ 4 จำนวน 177,887.50 บาท โจทก์ที่ 5 จำนวน 76,480.50 บาทโจทก์ที่ 6 จำนวน 234,750 บาท โจทก์ที่ 7 จำนวน 86,287 บาทโจทก์ที่ 8 จำนวน 70,446 บาท โจทก์ที่ 9 จำนวน 197,667 บาทโจทก์ที่ 10 จำนวน 38,934 บาท โจทก์ที่ 11 จำนวน 41,625 บาทโจทก์ที่ 12 จำนวน 80,112.50 บาท โจทก์ที่ 13 จำนวน 83,137.50 บาท โจทก์ที่ 14 จำนวน 66,375 บาท โจทก์ที่ 15 จำนวน 129,037 บาท โจทก์ที่ 16 จำนวน 64,800 บาท โจทก์ที่ 17 จำนวน 241,930 บาท โจทก์ที่ 18 จำนวน 253,378 บาท โจทก์ที่ 19 จำนวน 64,750 บาท โจทก์ที่ 20 จำนวน 191,718 บาท โจทก์ที่ 21 จำนวน 214,200 บาท โจทก์ที่ 22 จำนวน 105,772.50 บาท โจทก์ที่ 23 จำนวน 226,690.50 บาท โจทก์ที่ 24 จำนวน 388,294 บาท โจทก์ที่ 25 จำนวน 81,982 บาท โจทก์ที่ 26 จำนวน 221,995 บาท โจทก์ที่ 28 จำนวน 149,793.75 บาท โจทก์ที่ 29 จำนวน 295,119 บาท โจทก์ที่ 30 จำนวน 251,714 บาท โจทก์ที่ 31 จำนวน 272,306 บาท โจทก์ที่ 32 จำนวน 243,555 บาท โจทก์ที่ 33 จำนวน 197,995 บาท โจทก์ที่ 34 จำนวน 121,750 บาท โจทก์ที่ 35 จำนวน 236,234.43 บาท โจทก์ที่ 36 จำนวน 287,100 บาท โจทก์ที่ 37 จำนวน 150,577 บาท โจทก์ที่ 38 จำนวน 335,981.35 บาท โจทก์ที่ 39 จำนวน 51,200 บาท โจทก์ที่ 40 จำนวน 159,736 บาท โจทก์ที่ 41 จำนวน 230,512.50 บาทโจทก์ที่ 42 จำนวน 219,375 บาท โจทก์ที่ 43 จำนวน 178,650 บาทโจทก์ที่ 44 จำนวน 87,862.50 บาท โจทก์ที่ 45 จำนวน 214,650 บาท โจทก์ที่ 46 จำนวน 349,800 บาท โจทก์ที่ 47 จำนวน 264,600 บาท โจทก์ที่ 48 จำนวน 101,925 บาท โจทก์ที่ 49 จำนวน 321,468.75 บาท โจทก์ที่ 50 จำนวน 166,725.50 บาท โจทก์ที่ 51 จำนวน 348,600 บาท โจทก์ที่ 54 จำนวน 100,125 บาท โจทก์ที่ 55 จำนวน 39,750 บาท โจทก์ที่ 56 จำนวน 148,201 บาท โจทก์ที่ 57 จำนวน 396,600 บาท โจทก์ที่ 58 จำนวน 194,493.75 บาท โจทก์ที่ 59 จำนวน 190,800 บาท โจทก์ที่ 60 จำนวน 631,125.50 บาท โจทก์ที่ 61 จำนวน 227,268.75 บาท โจทก์ที่ 62 จำนวน 143,100 บาท โจทก์ที่ 63 จำนวน 193,980 บาท โจทก์ที่ 64 จำนวน 84,150 บาท โจทก์ที่ 65 จำนวน 273,600 บาท โจทก์ที่ 66 จำนวน 147,744 บาท โจทก์ที่ 67 จำนวน 30,000 บาท โจทก์ที่ 68 จำนวน 313,728 บาท โจทก์ที่ 69 จำนวน 135,395 บาท โจทก์ที่ 70 จำนวน 237,372 บาท โจทก์ที่ 71 จำนวน 160,272 บาท โจทก์ที่ 72 จำนวน 39,750 บาท โจทก์ที่ 73 จำนวน 196,959 บาท โจทก์ที่ 74 จำนวน 297,188 บาท โจทก์ที่ 75 จำนวน 160,272 บาท โจทก์ที่ 76 จำนวน 165,798 บาท โจทก์ที่ 77 จำนวน 32,754 บาท โจทก์ที่ 78 จำนวน 187,461 บาท โจทก์ที่ 79 จำนวน 74,979 บาท โจทก์ที่ 81 จำนวน 106,074 บาท โจทก์ที่ 82 จำนวน 250,236 บาท โจทก์ที่ 83 จำนวน 219,420 บาท โจทก์ที่ 84 จำนวน 87,516 บาท โจทก์ที่ 85 จำนวน 55,392 บาท โจทก์ที่ 86 จำนวน 93,294 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินของโจทก์ แต่ละคนดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จะชำระเงินเสร็จสิ้น ยกฟ้องในส่วน ของโจทก์ที่ 52 และจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทั้ง 82 สำนวนอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ คงรับเฉพาะในส่วนของโจทก์ที่ 34 และ 60 ตามข้อ 5(อันดับ 85) จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 92)
คำสั่ง คดีศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3เป็นนายจ้างโจทก์ โจทก์ทั้ง 86 คน เว้นโจทก์ที่ 52 และ โจทก์ที่ 53 และที่ 80 ซึ่งถอนฟ้องไปแล้วและไม่ได้เป็นหัวหน้างาน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ทำการแทนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 สำหรับกรณี การจ้าง การลดค่าจ้าง การเลิกจ้างและการลงโทษเมื่อโจทก์ทำงานเกินไปกว่าเวลาทำงานปกติสัปดาห์ละ 48 ชั่วโมง ตามสัญญาจ้างแรงงาน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีหน้าที่ต้องจ่าย ค่าล่วงเวลาให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์ในข้อ 2 ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิได้เป็นนายจ้างโจทก์ โจทก์จึง ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์ในข้อ 3 ว่า โจทก์ทำงานในหน้าที่หัวหน้างานหรือโฟร์แมน จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาและอุทธรณ์ในข้อ 4 ว่า คำแปลเอกสารเกี่ยวกับ สัญญาจ้างแรงงานของจำเลยน่าเชื่อกว่าคำแปลของฝ่ายโจทก์ และฟังได้ว่าโจทก์ทุกคนไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาจึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในส่วนนี้ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ผู้พิพากษา ที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยก คำร้องขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า จำเลยขอให้รอการลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 54) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง เป็น กรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสซึ่งเป็นบทหนัก ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่ การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 3 เดือน จำเลยได้ชดใช้ค่ารักษาพยาบาล ให้แก่ผู้เสียหายทั้งสองเพียงบางส่วน ไม่ปรากฏว่าจำเลย ได้รับโทษจำคุกมาก่อนให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 39,38,45) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 51)
คำสั่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือน ลดโทษให้ กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือนเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 23 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น เป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ผู้พิพากษา ที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยก คำร้องขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า จำเลยขอให้รอการลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 54) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง เป็น กรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสซึ่งเป็นบทหนัก ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่ การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 3 เดือน จำเลยได้ชดใช้ค่ารักษาพยาบาล ให้แก่ผู้เสียหายทั้งสองเพียงบางส่วน ไม่ปรากฏว่าจำเลย ได้รับโทษจำคุกมาก่อนให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 39,38,45) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 51)
คำสั่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือน ลดโทษให้ กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือนเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 23 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น เป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง และคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย ออกจากที่พิพาทมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า สัญญาเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นสัญญาเช่าต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาหรือไม่ ซึ่งต้องพิเคราะห์ถึงเจตนาอันแท้จริงของโจทก์และจำเลยโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนและฎีกาที่ว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าโดยชอบแล้วหรือไม่เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทและส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ปีละ 30,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนโจทก์ คำขออื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 146) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 148)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ เป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเป็นฎีกาในปัญหา ข้อกฎหมาย ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง และคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย ออกจากที่พิพาทมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า สัญญาเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นสัญญาเช่าต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาหรือไม่ ซึ่งต้องพิเคราะห์ถึงเจตนาอันแท้จริงของโจทก์และจำเลยโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนและฎีกาที่ว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าโดยชอบแล้วหรือไม่เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทและส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ปีละ 30,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนโจทก์ คำขออื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 146) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 148)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ เป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเป็นฎีกาในปัญหา ข้อกฎหมาย ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำเลย คืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ด คนไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ด คนได้รับชดใช้เงินจนเป็นที่พอใจ และทำสัญญาประนีประนอมยอมความไม่เอาความทางแพ่งและทางอาญา กับจำเลย และได้ถอนคำร้องทุกข์แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องชดใช้เงิน ให้ผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ด คนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีกนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ระหว่างพิจารณา นางกรรณิการ์ศิริเมืองกับพวกผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 พระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6,17 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน จึงให้ลงโทษ จำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 กล่าวคือ ความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้องเป็นความผิด 8 กรรม ให้เรียงกระทงลงโทษจำคุกกรรมละ 6 เดือน เป็นจำคุก 48 เดือน และความผิดฐานเป็นนายวงแชร์มากกว่าสามวงให้ลงโทษจำคุก 2 เดือน รวมเป็นจำคุกจำเลย 50 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 25 เดือน และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน จำนวน 1,770,800 บาท ที่ฉ้อโกงและยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย ทั้งยี่สิบเอ็ด คนตามบัญชีรายชื่อผู้เสียหายและจำนวนเงิน ท้ายฟ้องด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 100,99) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 102)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง เมื่อผู้พิพากษาที่พิจารณาและลงชื่อใน คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 จำเลยก็ ไม่อาจฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือฎีกาในคำสั่งไม่อนุญาตของ ศาลชั้นต้นได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำเลย คืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ด คนไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ด คนได้รับชดใช้เงินจนเป็นที่พอใจ และทำสัญญาประนีประนอมยอมความไม่เอาความทางแพ่งและทางอาญา กับจำเลย และได้ถอนคำร้องทุกข์แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องชดใช้เงิน ให้ผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ด คนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีกนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ระหว่างพิจารณา นางกรรณิการ์ศิริเมืองกับพวกผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 พระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6,17 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน จึงให้ลงโทษ จำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 กล่าวคือ ความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้องเป็นความผิด 8 กรรม ให้เรียงกระทงลงโทษจำคุกกรรมละ 6 เดือน เป็นจำคุก 48 เดือน และความผิดฐานเป็นนายวงแชร์มากกว่าสามวงให้ลงโทษจำคุก 2 เดือน รวมเป็นจำคุกจำเลย 50 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 25 เดือน และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน จำนวน 1,770,800 บาท ที่ฉ้อโกงและยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย ทั้งยี่สิบเอ็ด คนตามบัญชีรายชื่อผู้เสียหายและจำนวนเงิน ท้ายฟ้องด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 100,99) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 102)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง เมื่อผู้พิพากษาที่พิจารณาและลงชื่อใน คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 จำเลยก็ ไม่อาจฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือฎีกาในคำสั่งไม่อนุญาตของ ศาลชั้นต้นได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|