ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีเป็นการฎีกาคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2538ของโจทก์ที่ว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังเป็นยุติในชั้น ไต่สวนมูลฟ้องครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 4พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืน ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์โจทก์ฉบับดังกล่าว ว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งของ ศาลอุทธรณ์ยังไม่เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ฉบับลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2538 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ใน ปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 22 ไม่รับอุทธรณ์ (อันดับ 54) โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น เป็นอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 22 ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง (อันดับ 56,67) โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 76) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 78)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่ยอมรับอุทธรณ์ของโจทก์ด้วยเหตุว่า เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 22 คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคสามโจทก์จึงฎีกาโต้แย้งอีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีเป็นการฎีกาคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2538ของโจทก์ที่ว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังเป็นยุติในชั้น ไต่สวนมูลฟ้องครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 4พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืน ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์โจทก์ฉบับดังกล่าว ว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งของ ศาลอุทธรณ์ยังไม่เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ฉบับลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2538 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ใน ปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 22 ไม่รับอุทธรณ์ (อันดับ 54) โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น เป็นอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 22 ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง (อันดับ 56,67) โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 76) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 78)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่ยอมรับอุทธรณ์ของโจทก์ด้วยเหตุว่า เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 22 คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคสามโจทก์จึงฎีกาโต้แย้งอีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีเป็นการฎีกาคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2538ของโจทก์ที่ว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังเป็นยุติในชั้น ไต่สวนมูลฟ้องครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 4พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืน ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์โจทก์ฉบับดังกล่าวว่า เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งของศาลอุทธรณ์ยังไม่เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 198 ทวิ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด อันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ฉบับลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2538 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณา ความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ไม่รับอุทธรณ์ (อันดับ 40) โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าอุทธรณ์โจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและ วิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง (อันดับ 42,50) โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 55) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 57)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่ยอมรับอุทธรณ์ของโจทก์ด้วยเหตุว่า เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 198 ทวิ วรรคสาม โจทก์จึงฎีกาโต้แย้งอีกไม่ได้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีเป็นการฎีกาคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2538ของโจทก์ที่ว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังเป็นยุติในชั้น ไต่สวนมูลฟ้องครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 4พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืน ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์โจทก์ฉบับดังกล่าวว่า เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งของศาลอุทธรณ์ยังไม่เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 198 ทวิ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด อันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ฉบับลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2538 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณา ความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ไม่รับอุทธรณ์ (อันดับ 40) โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าอุทธรณ์โจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและ วิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง (อันดับ 42,50) โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 55) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 57)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่ยอมรับอุทธรณ์ของโจทก์ด้วยเหตุว่า เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 198 ทวิ วรรคสาม โจทก์จึงฎีกาโต้แย้งอีกไม่ได้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามกฎหมาย จึงไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีสมควรได้รับการพิจารณาจากศาลฎีกาโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 เรียงกระทงลงโทษ ให้จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวมให้จำคุก 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 71) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 72)
คำสั่ง คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยที่ว่าหนังสือกู้เงินเอกสารหมาย จ.10 ทำขึ้นหลังจากจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่นางสาววาณีแล้ว หนังสือกู้เงินดังกล่าวไม่ได้ทำต่อหน้าจำเลย การขีดฆ่าในหนังสือกู้เงินดังกล่าวจำเลยไม่มีส่วนรู้เห็น จำเลยออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมให้นางสาววาณีก่อนที่จะลงชื่อในหนังสือกู้เงิน เอกสารหมาย จ.10 เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ และฎีกาของจำเลยที่ขอให้รอการลงโทษนั้นก็เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษ ของศาลอุทธรณ์ซึ่งล้วนแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามกฎหมาย จึงไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีสมควรได้รับการพิจารณาจากศาลฎีกาโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 เรียงกระทงลงโทษ ให้จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวมให้จำคุก 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 71) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 72)
คำสั่ง คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยที่ว่าหนังสือกู้เงินเอกสารหมาย จ.10 ทำขึ้นหลังจากจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่นางสาววาณีแล้ว หนังสือกู้เงินดังกล่าวไม่ได้ทำต่อหน้าจำเลย การขีดฆ่าในหนังสือกู้เงินดังกล่าวจำเลยไม่มีส่วนรู้เห็น จำเลยออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมให้นางสาววาณีก่อนที่จะลงชื่อในหนังสือกู้เงิน เอกสารหมาย จ.10 เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ และฎีกาของจำเลยที่ขอให้รอการลงโทษนั้นก็เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษ ของศาลอุทธรณ์ซึ่งล้วนแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลให้ทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การที่โจทก์มอบอำนาจให้บุคคลอื่น ดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่มีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวเลขที่ 626/60 แขวงคลองต้นไทรเขตคลองสาน กรุงเทพมหานครและส่งมอบตึกแถวในสภาพเรียบร้อยให้แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 46) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 49)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและราษฎร รายอื่น ๆ เพื่อนำที่พิพาทไปสร้างศูนย์การค้าแสวงหาผลกำไร ทั้ง ๆ ที่พิพาทได้มาโดยการรับบริจาค เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 110 และโจทก์กระทำ การฝ่าฝืนต่อกฎหมายมิได้จัดประชุมคณะกรรมการมูลนิธิโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต้องฟังข้อเท็จจริงก่อน คดีนี้เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แต่เป็นการฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันมี ค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องเดือนละสามร้อยบาท ไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลให้ทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การที่โจทก์มอบอำนาจให้บุคคลอื่น ดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่มีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวเลขที่ 626/60 แขวงคลองต้นไทรเขตคลองสาน กรุงเทพมหานครและส่งมอบตึกแถวในสภาพเรียบร้อยให้แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 46) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 49)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและราษฎร รายอื่น ๆ เพื่อนำที่พิพาทไปสร้างศูนย์การค้าแสวงหาผลกำไร ทั้ง ๆ ที่พิพาทได้มาโดยการรับบริจาค เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 110 และโจทก์กระทำ การฝ่าฝืนต่อกฎหมายมิได้จัดประชุมคณะกรรมการมูลนิธิโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต้องฟังข้อเท็จจริงก่อน คดีนี้เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แต่เป็นการฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันมี ค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องเดือนละสามร้อยบาท ไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้เป็นคดี มีทุนทรัพย์ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 และกรณี โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่นำไปสู่การวินิจฉัยข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ คดีจึงไม่มีประเด็นว่า หนังสือสัญญากู้ยืมและหนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องโจทก์เป็นเอกสารปลอม การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกสัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกัน มาวินิจฉัยว่าเป็นเอกสารปลอมโดยฟังจากการตอบคำถามของพยานทั้งที่มิได้มีการพิสูจน์หลักฐานว่าลายมือชื่อหรือเอกสารดังกล่าวปลอมหรือไม่ เป็นการยกข้อกฎหมายขึ้นมาเองว่าเอกสารปลอมทั้งที่จำเลยมิได้ต่อสู้เป็นประเด็นว่าเอกสารปลอมหรือไม่ ฎีกาของ โจทก์จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 124 แผ่นที่ 2 และแผ่นที่ 4) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน56,763.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 15 พฤศจิกายน 2534)จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แทนจนครบ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 121) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 122)
คำสั่ง ฎีกาโจทก์ในปัญหาที่ว่า จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การคดีจึงไม่มีประเด็นว่า หนังสือสัญญากู้และหนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกสัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกันมาวินิจฉัยว่าเป็นเอกสารปลอม โดยฟังจาก การตอบคำถามของพยานทั้งที่มิได้มีการพิสูจน์หลักฐานว่า ลายมือชื่อหรือเอกสารดังกล่าวปลอมหรือไม่เป็นการยกข้อกฎหมาย ขึ้นมาเองว่าเอกสารปลอมทั้งที่จำเลยมิได้ต่อสู้เป็นประเด็นว่า เอกสารปลอมหรือไม่ เห็นว่าฎีกาในข้อที่ว่าคดีมีประเด็น เรื่องหนังสือสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันปลอมหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณา และดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้เป็นคดี มีทุนทรัพย์ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 และกรณี โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่นำไปสู่การวินิจฉัยข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ คดีจึงไม่มีประเด็นว่า หนังสือสัญญากู้ยืมและหนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องโจทก์เป็นเอกสารปลอม การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกสัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกัน มาวินิจฉัยว่าเป็นเอกสารปลอมโดยฟังจากการตอบคำถามของพยานทั้งที่มิได้มีการพิสูจน์หลักฐานว่าลายมือชื่อหรือเอกสารดังกล่าวปลอมหรือไม่ เป็นการยกข้อกฎหมายขึ้นมาเองว่าเอกสารปลอมทั้งที่จำเลยมิได้ต่อสู้เป็นประเด็นว่าเอกสารปลอมหรือไม่ ฎีกาของ โจทก์จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 124 แผ่นที่ 2 และแผ่นที่ 4) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน56,763.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 15 พฤศจิกายน 2534)จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แทนจนครบ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 121) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 122)
คำสั่ง ฎีกาโจทก์ในปัญหาที่ว่า จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การคดีจึงไม่มีประเด็นว่า หนังสือสัญญากู้และหนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกสัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกันมาวินิจฉัยว่าเป็นเอกสารปลอม โดยฟังจาก การตอบคำถามของพยานทั้งที่มิได้มีการพิสูจน์หลักฐานว่า ลายมือชื่อหรือเอกสารดังกล่าวปลอมหรือไม่เป็นการยกข้อกฎหมาย ขึ้นมาเองว่าเอกสารปลอมทั้งที่จำเลยมิได้ต่อสู้เป็นประเด็นว่า เอกสารปลอมหรือไม่ เห็นว่าฎีกาในข้อที่ว่าคดีมีประเด็น เรื่องหนังสือสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันปลอมหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณา และดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกาและฎีกาเพิ่มเติม ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริง โต้เถียงดุลพินิจ ทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ส่วนฎีกาข้อกฎหมายก็ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาล และสั่งฎีกาเพิ่มเติมว่า ศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย จึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้อีก จำเลยเห็นว่า คดีนี้โจทก์ได้ละเมิดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 และมาตรา 183โดยศาลนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 28 มกราคม 2536 ซึ่งโจทก์ต้องยื่นบัญชีพยานและสรรพสิ่งพยานเอกสารและรูปถ่ายต่อศาลก่อน วันที่ 12 มกราคม 2536 แต่โจทก์หาได้กระทำให้ถูกต้องเช่นนั้นไม่ และไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบด้วย ซึ่งจำเลยได้มีหนังสือ คำแถลงคัดค้านเรื่องนี้แล้ว และการที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัย เอกสารหมาย ล.3, ล.4 และได้อ่านคำบันทึกในเอกสารหมาย ล.13 คลาดเคลื่อนไป เช่น"ได้พอใจตัวตึกและ" ที่ถูกต้องจะต้องอ่านเป็น "ได้พอใจในตัวตึกและ" ตกตัวอักษรสำคัญคือ "ใน" ซึ่งทำให้จำเลยแพ้คดี เป็นปัญหาข้อกฎหมาย อีกทั้งคดีนี้ มีทุนทรัพย์สูงถึง 242,245 บาท โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 136) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 105,345 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 105,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 พฤศจิกายน 2535) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาและฎีกาเพิ่มเติม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาและฎีกาเพิ่มเติมดังกล่าว (อันดับ 123,121 แผ่นที่ 6) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 125)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าฎีกาของจำเลยในข้อกฎหมายในส่วนที่ เกี่ยวกับศาลล่างทั้งสองรับฟังพยานหลักฐานขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 และ 183 นั้นเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ ล้วนเป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาในส่วนฟ้องโจทก์มีเพียง 105,345 บาท ส่วนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาตามฟ้องแย้งนั้น จำเลยฟ้องแย้งมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้น กำหนดไว้เพียง 117,245 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแย้ง และเมื่อจำเลยแพ้คดีในชั้นอุทธรณ์ จำเลยฎีกาขอให้ตน ชนะคดีตามฟ้องแย้ง จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา จึงต้องถือตามจำนวนทุนทรัพย์ที่กำหนดมาในศาลชั้นต้น โดยไม่รวมค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ เป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาใน ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกาและฎีกาเพิ่มเติม ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริง โต้เถียงดุลพินิจ ทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ส่วนฎีกาข้อกฎหมายก็ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาล และสั่งฎีกาเพิ่มเติมว่า ศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย จึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้อีก จำเลยเห็นว่า คดีนี้โจทก์ได้ละเมิดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 และมาตรา 183โดยศาลนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 28 มกราคม 2536 ซึ่งโจทก์ต้องยื่นบัญชีพยานและสรรพสิ่งพยานเอกสารและรูปถ่ายต่อศาลก่อน วันที่ 12 มกราคม 2536 แต่โจทก์หาได้กระทำให้ถูกต้องเช่นนั้นไม่ และไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบด้วย ซึ่งจำเลยได้มีหนังสือ คำแถลงคัดค้านเรื่องนี้แล้ว และการที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัย เอกสารหมาย ล.3, ล.4 และได้อ่านคำบันทึกในเอกสารหมาย ล.13 คลาดเคลื่อนไป เช่น"ได้พอใจตัวตึกและ" ที่ถูกต้องจะต้องอ่านเป็น "ได้พอใจในตัวตึกและ" ตกตัวอักษรสำคัญคือ "ใน" ซึ่งทำให้จำเลยแพ้คดี เป็นปัญหาข้อกฎหมาย อีกทั้งคดีนี้ มีทุนทรัพย์สูงถึง 242,245 บาท โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 136) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 105,345 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 105,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 พฤศจิกายน 2535) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาและฎีกาเพิ่มเติม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาและฎีกาเพิ่มเติมดังกล่าว (อันดับ 123,121 แผ่นที่ 6) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 125)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าฎีกาของจำเลยในข้อกฎหมายในส่วนที่ เกี่ยวกับศาลล่างทั้งสองรับฟังพยานหลักฐานขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 และ 183 นั้นเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ ล้วนเป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาในส่วนฟ้องโจทก์มีเพียง 105,345 บาท ส่วนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาตามฟ้องแย้งนั้น จำเลยฟ้องแย้งมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้น กำหนดไว้เพียง 117,245 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแย้ง และเมื่อจำเลยแพ้คดีในชั้นอุทธรณ์ จำเลยฎีกาขอให้ตน ชนะคดีตามฟ้องแย้ง จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา จึงต้องถือตามจำนวนทุนทรัพย์ที่กำหนดมาในศาลชั้นต้น โดยไม่รวมค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ เป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาใน ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยไม่นำเงินหรือหลักประกันมาวางศาล ตามคำสั่ง จึงเป็นการไม่ชอบ จึงไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ที่ไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ดังนั้น เพื่อให้ศาลฎีกาได้พิจารณาและ วินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว โปรดมีคำสั่งรับ คำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาและมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนางนันทการุ่งสาโรจน์ เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 91,013.01 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1 กันยายน 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ สำหรับจำเลยร่วมให้ยกฟ้องเสีย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามฎีกาของจำเลยไม่ปรากฏข้อโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แต่อย่างใดจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ อีกทั้งเนื้อหาตามฎีกาก็เป็นเรื่อง โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งศาลอุทธรณ์ยังมิได้ยกขึ้นวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกา (อันดับ 148) จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 150) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 153)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับฎีกาของจำเลย
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยไม่นำเงินหรือหลักประกันมาวางศาล ตามคำสั่ง จึงเป็นการไม่ชอบ จึงไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ที่ไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ดังนั้น เพื่อให้ศาลฎีกาได้พิจารณาและ วินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว โปรดมีคำสั่งรับ คำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาและมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนางนันทการุ่งสาโรจน์ เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 91,013.01 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1 กันยายน 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ สำหรับจำเลยร่วมให้ยกฟ้องเสีย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามฎีกาของจำเลยไม่ปรากฏข้อโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แต่อย่างใดจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ อีกทั้งเนื้อหาตามฎีกาก็เป็นเรื่อง โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งศาลอุทธรณ์ยังมิได้ยกขึ้นวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกา (อันดับ 148) จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 150) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 153)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับฎีกาของจำเลย
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลา การบังคับไว้ก่อน หมายเหตุ จำเลยทั้งสามแถลงคัดค้าน (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 105) โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 เปิดทางภารจำยอมด้วยการ รื้อถอนกำแพงที่ก่อปิดกั้นทางเดินและตบแต่งขอบถนนทางเดิน ให้เป็นไปตามสภาพเดิมให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนสิทธิทางภารจำยอม ให้โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 รื้อถอนกำแพงที่ปิดกั้น ทางเดินภารจำยอมของโจทก์ และตบแต่งขอบถนน ให้เป็นไปตามสภาพเดิม ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 96,101)
คำสั่ง กรณีเป็นเรื่องขอให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรให้โจทก์ได้ใช้บริเวณจุดตำแหน่งเลขที่ 4,5,6และ 7 ในเอกสารหมาย จ.9 และภาพถ่ายหมาย จ.10 เป็นทางเดิน เข้าออกชั่วคราวในระหว่างฎีกา
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลา การบังคับไว้ก่อน หมายเหตุ จำเลยทั้งสามแถลงคัดค้าน (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 105) โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 เปิดทางภารจำยอมด้วยการ รื้อถอนกำแพงที่ก่อปิดกั้นทางเดินและตบแต่งขอบถนนทางเดิน ให้เป็นไปตามสภาพเดิมให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนสิทธิทางภารจำยอม ให้โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 รื้อถอนกำแพงที่ปิดกั้น ทางเดินภารจำยอมของโจทก์ และตบแต่งขอบถนน ให้เป็นไปตามสภาพเดิม ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 96,101)
คำสั่ง กรณีเป็นเรื่องขอให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรให้โจทก์ได้ใช้บริเวณจุดตำแหน่งเลขที่ 4,5,6และ 7 ในเอกสารหมาย จ.9 และภาพถ่ายหมาย จ.10 เป็นทางเดิน เข้าออกชั่วคราวในระหว่างฎีกา
ความว่า โจทก์ฎีกา เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องนางนันทวรรณจันทรชิรัตน์ ภริยาของโจทก์ เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4376/2534 ของศาลแพ่งธนบุรี และใน คดีดังกล่าวศาลจะทำการขายทอดตลาดที่ดินของนางนันทวรรณในวันที่ 8 มิถุนายน 2538 ซึ่งที่ดินที่ทำการขายทอดตลาดนี้โจทก์มี กรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วย ถ้าหากศาลฎีกาในคดีนี้พิพากษาให้โจทก์ ชนะคดีแล้วจะไม่ต้องนำที่ดินแปลงนี้ออกขายทอดตลาดในคดีแพ่ง ดังกล่าว เพราะสามารถนำหนี้ในคดีนี้ไปหักกลบลบหนี้กับมูลหนี้ใน คดีแพ่งดังกล่าวได้ โปรดมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินค่าที่ดินจำนวน 1,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย กับชดใช้ค่าเสียหาย10,500,000 บาท แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 71) คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 92)
คำสั่ง คำร้องของ โจทก์เป็นคำขอเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลแพ่งธนบุรี คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4376/2524 โจทก์ต้องไปยื่นขอในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 302 ให้ยกคำร้องค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องนางนันทวรรณจันทรชิรัตน์ ภริยาของโจทก์ เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4376/2534 ของศาลแพ่งธนบุรี และใน คดีดังกล่าวศาลจะทำการขายทอดตลาดที่ดินของนางนันทวรรณในวันที่ 8 มิถุนายน 2538 ซึ่งที่ดินที่ทำการขายทอดตลาดนี้โจทก์มี กรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วย ถ้าหากศาลฎีกาในคดีนี้พิพากษาให้โจทก์ ชนะคดีแล้วจะไม่ต้องนำที่ดินแปลงนี้ออกขายทอดตลาดในคดีแพ่ง ดังกล่าว เพราะสามารถนำหนี้ในคดีนี้ไปหักกลบลบหนี้กับมูลหนี้ใน คดีแพ่งดังกล่าวได้ โปรดมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินค่าที่ดินจำนวน 1,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย กับชดใช้ค่าเสียหาย10,500,000 บาท แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 71) คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 92)
คำสั่ง คำร้องของ โจทก์เป็นคำขอเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลแพ่งธนบุรี คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4376/2524 โจทก์ต้องไปยื่นขอในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 302 ให้ยกคำร้องค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ข้อ 4.1 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการที่ศาลพิจารณาพฤติการณ์การกระทำผิดของผู้คัดค้านประกอบข้อบังคับในการ ทำงานว่า ผู้คัดค้านมีความผิดร้ายแรงเพียงใด จึงเป็นอุทธรณ์ ข้อเท็จจริง ต้องห้าม คงรับอุทธรณ์เฉพาะข้อ 4.2 ผู้ร้องเห็นว่า อำนาจลงโทษลูกจ้างที่กระทำความผิดเป็นอำนาจของผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างโดยเฉพาะ และผู้ร้องขออนุญาตให้ศาลลงโทษผู้คัดค้านด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือการที่ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านด้วยการ ตักเตือนด้วยวาจา การลดโทษของศาลแรงงานกลางเป็นการไม่ชอบ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ข้อ 4.1 ของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ผู้คัดค้านได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 25) ผู้ร้องยื่นคำร้องว่านายบรรเจิด สนเข็ม เป็นลูกจ้างของผู้ร้องและเป็นกรรมการลูกจ้าง ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เป็นการกระทำผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ขอให้ศาลอนุญาตให้ลงโทษนายบรรเจิดโดยตักเตือนเป็นหนังสือ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษนายบรรเจิด สนเข็ม ผู้คัดค้าน โดยการตักเตือนด้วยวาจา ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์บางข้อดังกล่าว (อันดับ 20) ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 23)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 4.1 ของผู้ร้องที่ว่าศาลแรงงานกลางให้ลงโทษผู้คัดค้านด้วยการตักเตือนด้วยวาจา เป็นการชอบหรือไม่ เป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมายจึงให้รับอุทธรณ์ ข้อนี้ของผู้ร้องไว้ดำเนินการต่อไปด้วย
ความว่า ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ข้อ 4.1 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการที่ศาลพิจารณาพฤติการณ์การกระทำผิดของผู้คัดค้านประกอบข้อบังคับในการ ทำงานว่า ผู้คัดค้านมีความผิดร้ายแรงเพียงใด จึงเป็นอุทธรณ์ ข้อเท็จจริง ต้องห้าม คงรับอุทธรณ์เฉพาะข้อ 4.2 ผู้ร้องเห็นว่า อำนาจลงโทษลูกจ้างที่กระทำความผิดเป็นอำนาจของผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างโดยเฉพาะ และผู้ร้องขออนุญาตให้ศาลลงโทษผู้คัดค้านด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือการที่ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านด้วยการ ตักเตือนด้วยวาจา การลดโทษของศาลแรงงานกลางเป็นการไม่ชอบ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ข้อ 4.1 ของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ผู้คัดค้านได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 25) ผู้ร้องยื่นคำร้องว่านายบรรเจิด สนเข็ม เป็นลูกจ้างของผู้ร้องและเป็นกรรมการลูกจ้าง ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เป็นการกระทำผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ขอให้ศาลอนุญาตให้ลงโทษนายบรรเจิดโดยตักเตือนเป็นหนังสือ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษนายบรรเจิด สนเข็ม ผู้คัดค้าน โดยการตักเตือนด้วยวาจา ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์บางข้อดังกล่าว (อันดับ 20) ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 23)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 4.1 ของผู้ร้องที่ว่าศาลแรงงานกลางให้ลงโทษผู้คัดค้านด้วยการตักเตือนด้วยวาจา เป็นการชอบหรือไม่ เป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมายจึงให้รับอุทธรณ์ ข้อนี้ของผู้ร้องไว้ดำเนินการต่อไปด้วย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ให้ยกฎีกา จำเลยเห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับจำเลย แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษและไม่ปรับ ถือว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ไขมากและเป็นการเพิ่มเติมโทษ จำเลย จึงไม่ต้องห้ามจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 และนัยฎีกาที่ 1348/2537 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 33) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคแรก,75 วรรคแรก,76 วรรคสอง ให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายฯจำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท ฐานจำหน่ายฯ จำคุก 2 ปีปรับ 20,000 บาท รวมลงโทษจำคุก 4 ปี ปรับ 40,000 บาทจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกเห็นควรรอการลงโทษ ไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 กัญชาของกลางริบ และให้คืนเงิน 20 บาท แก่เจ้าของ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษให้จำเลยและไม่ปรับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 29) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 33)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคแรก75 วรรคแรก 76 วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษ รวมลงโทษจำคุก4 ปี ปรับ 40,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษและไม่ปรับ ดังนี้ ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ไขมาก และเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้าม จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ให้ยกฎีกา จำเลยเห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับจำเลย แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษและไม่ปรับ ถือว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ไขมากและเป็นการเพิ่มเติมโทษ จำเลย จึงไม่ต้องห้ามจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 และนัยฎีกาที่ 1348/2537 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 33) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคแรก,75 วรรคแรก,76 วรรคสอง ให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายฯจำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท ฐานจำหน่ายฯ จำคุก 2 ปีปรับ 20,000 บาท รวมลงโทษจำคุก 4 ปี ปรับ 40,000 บาทจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกเห็นควรรอการลงโทษ ไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 กัญชาของกลางริบ และให้คืนเงิน 20 บาท แก่เจ้าของ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษให้จำเลยและไม่ปรับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 29) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 33)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคแรก75 วรรคแรก 76 วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษ รวมลงโทษจำคุก4 ปี ปรับ 40,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษและไม่ปรับ ดังนี้ ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ไขมาก และเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้าม จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เมื่อผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาไม่รับรองให้ฎีกาข้อเท็จจริง จึงไม่มี ข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายทำให้ข้อกฎหมาย ที่ฎีกาไม่เป็นสาระแก่คดี ไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินที่จำเลยบุกรุกโดยไม่ได้เรียกค่าเสียหาย เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ และฎีกาที่ว่า จำเลยไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องทำประโยชน์ใด ๆในที่ดินของโจทก์ เพียงแต่จำเลยไปยืม ส.ค.1 ของบุคคลอื่นที่เจ้าของได้นำมาขอออก น.ส.3 ไว้แล้วมาแจ้งขอรังวัดต่อเจ้าพนักงานและนำชี้รังวัดเข้ามาในที่ดินโจทก์เพียงครั้งเดียว ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินโจทก์ศาลชั้นต้นตีความตามกฎหมายที่ผิดพลาดนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งกลับคำสั่งไม่รับรองฎีกาและให้รับฎีกา ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 161) โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยและบริวารถอนต้นปาล์มออกไป จากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ของโจทก์ เลขที่ 24 ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตำบลบางสวรรค์ อำเภอพระแสงจังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ และห้ามจำเลย และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกา ปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับรองให้ฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 143,142) โจทก์จึงยื่นคำร้อง (อุทธรณ์) นี้ ศาลฎีกามีคำสั่งรายงานกระบวนพิจารณาให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาให้จำเลยและสอบถามว่าโจทก์ประสงค์จะยื่นคำร้อง (อุทธรณ์) ต่อศาลใด ศาลชั้นต้นสั่งสำเนาคำร้องให้จำเลยแล้วและสอบถามโจทก์ ได้ความว่าโจทก์ประสงค์จะยื่นคำร้อง (อุทธรณ์) ต่อศาลฎีกา (อันดับ 151,155,159)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว การรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 นั้น เป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับรองฎีกาต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยและบริวารทำการรื้อถอนต้นปาล์มออกไปจากที่ดินของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป จำเลยยื่นคำให้การกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องทำประโยชน์ใด ๆ ในที่ดินของโจทก์นั้น เป็นการเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3รับฟังเป็นยุติว่าจำเลยได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้วจึงเป็นการเถียงข้อเท็จจริงเพื่อที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เมื่อผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาไม่รับรองให้ฎีกาข้อเท็จจริง จึงไม่มี ข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายทำให้ข้อกฎหมาย ที่ฎีกาไม่เป็นสาระแก่คดี ไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินที่จำเลยบุกรุกโดยไม่ได้เรียกค่าเสียหาย เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ และฎีกาที่ว่า จำเลยไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องทำประโยชน์ใด ๆในที่ดินของโจทก์ เพียงแต่จำเลยไปยืม ส.ค.1 ของบุคคลอื่นที่เจ้าของได้นำมาขอออก น.ส.3 ไว้แล้วมาแจ้งขอรังวัดต่อเจ้าพนักงานและนำชี้รังวัดเข้ามาในที่ดินโจทก์เพียงครั้งเดียว ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินโจทก์ศาลชั้นต้นตีความตามกฎหมายที่ผิดพลาดนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งกลับคำสั่งไม่รับรองฎีกาและให้รับฎีกา ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 161) โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยและบริวารถอนต้นปาล์มออกไป จากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ของโจทก์ เลขที่ 24 ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตำบลบางสวรรค์ อำเภอพระแสงจังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ และห้ามจำเลย และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกา ปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับรองให้ฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 143,142) โจทก์จึงยื่นคำร้อง (อุทธรณ์) นี้ ศาลฎีกามีคำสั่งรายงานกระบวนพิจารณาให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาให้จำเลยและสอบถามว่าโจทก์ประสงค์จะยื่นคำร้อง (อุทธรณ์) ต่อศาลใด ศาลชั้นต้นสั่งสำเนาคำร้องให้จำเลยแล้วและสอบถามโจทก์ ได้ความว่าโจทก์ประสงค์จะยื่นคำร้อง (อุทธรณ์) ต่อศาลฎีกา (อันดับ 151,155,159)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว การรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 นั้น เป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับรองฎีกาต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยและบริวารทำการรื้อถอนต้นปาล์มออกไปจากที่ดินของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป จำเลยยื่นคำให้การกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องทำประโยชน์ใด ๆ ในที่ดินของโจทก์นั้น เป็นการเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3รับฟังเป็นยุติว่าจำเลยได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้วจึงเป็นการเถียงข้อเท็จจริงเพื่อที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งไม่รับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ว่า จำเลยที่ 3 หามีความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ หากเป็นความผิด เพียงพยายามลักทรัพย์เท่านั้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 3 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 218) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7) วรรคสาม,336 ทวิที่แก้ไขแล้ว,83 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7)(11) วรรคสาม,336 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว,83ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีกำหนดคนละ 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือน คืนของกลางแก่เจ้าของ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 199) จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 216)
คำสั่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 เป็นคนขับรถยกลังตลับลูกปืนของกลางจากสโตร์ ของผู้เสียหาย โดยมีจำเลยที่ 1 เดินนำหน้ามายังที่เกิดเหตุเพื่อรอรถบรรทุก ออกไปนอกบริษัท จึงเป็นตัวการร่วมกันลักทรัพย์ จำเลยที่ 3ฎีกาว่า พยานโจทก์เบิกความขัดกันฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3ได้กระทำผิดดังกล่าว จึงเป็นการฎีกาดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐาน ของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาในส่วนนี้ชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ 3 ขับรถขนตลับลูกปืนจากที่เก็บเดิม มายังจุดเกิดเหตุซึ่งยังอยู่ในบริษัท เป็นการพยายามลักทรัพย์ ไม่ใช่ความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับฎีกาเฉพาะข้อนี้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งไม่รับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ว่า จำเลยที่ 3 หามีความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ หากเป็นความผิด เพียงพยายามลักทรัพย์เท่านั้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 3 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 218) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7) วรรคสาม,336 ทวิที่แก้ไขแล้ว,83 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7)(11) วรรคสาม,336 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว,83ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีกำหนดคนละ 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือน คืนของกลางแก่เจ้าของ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 199) จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 216)
คำสั่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 เป็นคนขับรถยกลังตลับลูกปืนของกลางจากสโตร์ ของผู้เสียหาย โดยมีจำเลยที่ 1 เดินนำหน้ามายังที่เกิดเหตุเพื่อรอรถบรรทุก ออกไปนอกบริษัท จึงเป็นตัวการร่วมกันลักทรัพย์ จำเลยที่ 3ฎีกาว่า พยานโจทก์เบิกความขัดกันฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3ได้กระทำผิดดังกล่าว จึงเป็นการฎีกาดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐาน ของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาในส่วนนี้ชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ 3 ขับรถขนตลับลูกปืนจากที่เก็บเดิม มายังจุดเกิดเหตุซึ่งยังอยู่ในบริษัท เป็นการพยายามลักทรัพย์ ไม่ใช่ความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับฎีกาเฉพาะข้อนี้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและคดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่า จำเลยที่ 1 เพียงแต่เดินนำหน้ารถยกโฟลค์ลีฟ ที่จำเลยที่ 3 ขับมาเท่านั้น จำเลยที่ 1 มิได้ลงมือช่วยจำเลยที่ 3 ขนย้ายตลับลูกปืน ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 325(1),(7),335 วรรคสาม,336 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว, 83 จึงเป็นฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7) วรรคสาม,336 ทวิที่แก้ไขแล้ว,83 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7)(11) วรรคสาม,336 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว,83ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีกำหนดคนละ 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือน คืนของกลางแก่เจ้าของ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 197) จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 205)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่าคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เดินนำหน้ารถยกลัง ตลับลูกปืนของกลางซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นคนขับจากที่แผนกสโตร์ ของผู้เสียหาย แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 3 ช่วยกันนำลัง ดังกล่าวมาวางไว้ในที่เกิดเหตุห่างจากจุดเดิมประมาณ 600 เมตร เพื่อรอรถบรรทุกมาขนออกไป จากบริษัทผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวการร่วมกระทำผิด ฐานลักทรัพย์กับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของบริษัท ถ้าได้กระทำผิดจริง ก็น่าจะมีการจับกุมในวันรุ่งขึ้น พยานโจทก์ไม่ได้ยืนยันว่าลังตลับลูกปืนของกลางเป็นลัง เดียวกับที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ขนมา จำเลยที่ 1 ไม่ได้นั่งมาในรถบรรทุก ที่จำเลยที่ 2 ขับมาในภายหลัง จำเลยที่ 1 ไม่เคยรู้จัก กับจำเลยที่ 3 มาก่อน จึงฟังไม่ได้ว่าได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 3 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวล้วนเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและคดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่า จำเลยที่ 1 เพียงแต่เดินนำหน้ารถยกโฟลค์ลีฟ ที่จำเลยที่ 3 ขับมาเท่านั้น จำเลยที่ 1 มิได้ลงมือช่วยจำเลยที่ 3 ขนย้ายตลับลูกปืน ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 325(1),(7),335 วรรคสาม,336 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว, 83 จึงเป็นฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7) วรรคสาม,336 ทวิที่แก้ไขแล้ว,83 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7)(11) วรรคสาม,336 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว,83ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีกำหนดคนละ 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือน คืนของกลางแก่เจ้าของ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 197) จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 205)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่าคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เดินนำหน้ารถยกลัง ตลับลูกปืนของกลางซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นคนขับจากที่แผนกสโตร์ ของผู้เสียหาย แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 3 ช่วยกันนำลัง ดังกล่าวมาวางไว้ในที่เกิดเหตุห่างจากจุดเดิมประมาณ 600 เมตร เพื่อรอรถบรรทุกมาขนออกไป จากบริษัทผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวการร่วมกระทำผิด ฐานลักทรัพย์กับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของบริษัท ถ้าได้กระทำผิดจริง ก็น่าจะมีการจับกุมในวันรุ่งขึ้น พยานโจทก์ไม่ได้ยืนยันว่าลังตลับลูกปืนของกลางเป็นลัง เดียวกับที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ขนมา จำเลยที่ 1 ไม่ได้นั่งมาในรถบรรทุก ที่จำเลยที่ 2 ขับมาในภายหลัง จำเลยที่ 1 ไม่เคยรู้จัก กับจำเลยที่ 3 มาก่อน จึงฟังไม่ได้ว่าได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 3 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวล้วนเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทและศาลอุทธรณ์ลงโทษไม่เกินกว่านี้ แม้การแก้จากรอการลงโทษเป็นไม่รอเป็นแก้ไขมากก็ตามแต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้เพิ่มเติมโทษจำเลยจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ไม่รับฎีกานี้ จำเลยเห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่รอการลงโทษจำคุกจำเลย ถือได้ว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เป็นการพิพากษาแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334,91 เรียงกระทงลงโทษ จำคุกกระทงละ 6 เดือน และปรับกระทงละ 2,000 บาท รวมจำคุก 1 ปี ปรับ 4,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน ปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี คำขออื่นของโจทก์ให้ยกเสีย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวมจำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 70) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 76)
คำสั่ง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นไม่รอการลงโทษให้จำเลยแม้จะกำหนดโทษน้อยลง ก็ถือได้ว่าเป็นการแก้ไขมาก และเท่ากับเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย จำเลยมีสิทธิฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงโดยขอให้รอการลงโทษได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงให้รับฎีกาของจำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทและศาลอุทธรณ์ลงโทษไม่เกินกว่านี้ แม้การแก้จากรอการลงโทษเป็นไม่รอเป็นแก้ไขมากก็ตามแต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้เพิ่มเติมโทษจำเลยจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ไม่รับฎีกานี้ จำเลยเห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่รอการลงโทษจำคุกจำเลย ถือได้ว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เป็นการพิพากษาแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334,91 เรียงกระทงลงโทษ จำคุกกระทงละ 6 เดือน และปรับกระทงละ 2,000 บาท รวมจำคุก 1 ปี ปรับ 4,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน ปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี คำขออื่นของโจทก์ให้ยกเสีย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวมจำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 70) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 76)
คำสั่ง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นไม่รอการลงโทษให้จำเลยแม้จะกำหนดโทษน้อยลง ก็ถือได้ว่าเป็นการแก้ไขมาก และเท่ากับเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย จำเลยมีสิทธิฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงโดยขอให้รอการลงโทษได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงให้รับฎีกาของจำเลย
ความว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา แต่เนื่องจากโจทก์ที่ 2 ได้ถึงแก่กรรมแล้วในวันที่ 21 สิงหาคม 2537 ปรากฏตามสำเนาใบมรณบัตรท้ายคำร้องโดยทายาทหรือผู้จัดการทรัพย์มรดกหรือบุคคลที่ปกครอง และครอบครองทรัพย์มรดกยังมิได้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 2 ผู้มรณะ ซึ่งบุคคลดังกล่าวมีสิทธิที่จะขอเข้ามาเป็น คู่ความแทนที่โจทก์ที่ 2 ได้ภายใน 1 ปี โจทก์ที่ 1จึงขอกราบเรียนต่อศาลขอได้โปรดเลื่อนการอ่านคำพิพากษา คดีนี้ไปอีก 1 ปี นับจากวันที่โจทก์ที่ 2 ถึงแก่กรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 โปรดอนุญาต หมายเหตุ จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว ส่วนจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง คดีทั้งสองสำนวนนี้ จำเลยทั้งหกเป็นบุคคลเดียวกันศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกนายสมศรีกุลศรีนอ โจทก์สำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 และนายวรจักร พลนาคู โจทก์สำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 2 โจทก์ทั้งสองฟ้องมีใจความทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งหก โต้แย้งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสองว่าเป็น ที่ดินสาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 3220 ตำบลนาคู อำเภอกุฉินารายณ์ (อำเภอเขาวง) จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นของโจทก์ที่ 1 และที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 483 ตำบลนาคู อำเภอกุฉินารายณ์ (อำเภอเขาวง) จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นของโจทก์ที่ 2 ระหว่างการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้อง โจทก์ทั้งสองทิ้งฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ทั้งสอง ทิ้งฟ้องจำเลยที่ 1 ให้จำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสองเฉพาะจำเลยที่ 1ออกเสียจากสารบบความ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกา (อันดับ 67,75) ศาลฎีกาทำคำพิพากษาเสร็จแล้วส่งไปศาลชั้นต้น เพื่ออ่านศาลชั้นต้นหมายนัดคู่ความมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา เจ้าหน้าที่รายงานว่าส่งหมายนัดให้โจทก์ที่ 2 ไม่ได้เพราะโจทก์ที่ 2 ถึงแก่กรรมแล้ว (อันดับ 95,96,100) ในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องนี้และแถลงต่อศาลว่า อยู่ระหว่างจัดให้มีคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 2 ผู้มรณะ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ไปก่อน และนัดพร้อมสอบถามคู่ความ ถึงวันนัดศาลชั้นต้นให้หมายเรียกนางวอน พลนาคู ภริยาของโจทก์ที่ 2 นางชื่นสุขพลนาคูและนายไตรภพ พลนาคู บุตรของโจทก์ที่ 2มาสอบถาม บุคคลดังกล่าวยินยอมรับเข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 2 ผู้มรณะ แต่ไม่ยอมลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาศาลชั้นต้นจึงบันทึกรายงานต่อถึงเหตุที่ไม่ยอมลงชื่อ แล้วมีคำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนและซองคำพิพากษา ศาลฎีกาเสนอศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป (อันดับ 116,122,123,124,125)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาตามคำร้องแล้ว แต่เมื่อทางไต่สวนฟังได้ว่า โจทก์ที่ 2 ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2537 กรณีไม่ชัดแจ้งว่า นางวอนพลนาคูนางชื่นสุข พลนาคู และนายไตรภพ พลนาคู ทายาทของโจทก์ที่ 2 ประสงค์จะขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 2 ผู้มรณะหรือไม่ ทั้งโจทก์ที่ 1และฝ่ายจำเลยก็มิได้มีคำขอให้หมายเรียกบุคคลดังกล่าวเข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 2 จึงให้ศาลชั้นต้นกำหนดเวลาปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 ว่าด้วยการเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 2 ผู้มรณะต่อไป เสร็จแล้วให้ส่งสำนวนและคำพิพากษาคืนศาลฎีกา
ความว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา แต่เนื่องจากโจทก์ที่ 2 ได้ถึงแก่กรรมแล้วในวันที่ 21 สิงหาคม 2537 ปรากฏตามสำเนาใบมรณบัตรท้ายคำร้องโดยทายาทหรือผู้จัดการทรัพย์มรดกหรือบุคคลที่ปกครอง และครอบครองทรัพย์มรดกยังมิได้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 2 ผู้มรณะ ซึ่งบุคคลดังกล่าวมีสิทธิที่จะขอเข้ามาเป็น คู่ความแทนที่โจทก์ที่ 2 ได้ภายใน 1 ปี โจทก์ที่ 1จึงขอกราบเรียนต่อศาลขอได้โปรดเลื่อนการอ่านคำพิพากษา คดีนี้ไปอีก 1 ปี นับจากวันที่โจทก์ที่ 2 ถึงแก่กรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 โปรดอนุญาต หมายเหตุ จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว ส่วนจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง คดีทั้งสองสำนวนนี้ จำเลยทั้งหกเป็นบุคคลเดียวกันศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกนายสมศรีกุลศรีนอ โจทก์สำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 และนายวรจักร พลนาคู โจทก์สำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 2 โจทก์ทั้งสองฟ้องมีใจความทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งหก โต้แย้งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสองว่าเป็น ที่ดินสาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 3220 ตำบลนาคู อำเภอกุฉินารายณ์ (อำเภอเขาวง) จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นของโจทก์ที่ 1 และที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 483 ตำบลนาคู อำเภอกุฉินารายณ์ (อำเภอเขาวง) จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นของโจทก์ที่ 2 ระหว่างการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้อง โจทก์ทั้งสองทิ้งฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ทั้งสอง ทิ้งฟ้องจำเลยที่ 1 ให้จำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสองเฉพาะจำเลยที่ 1ออกเสียจากสารบบความ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกา (อันดับ 67,75) ศาลฎีกาทำคำพิพากษาเสร็จแล้วส่งไปศาลชั้นต้น เพื่ออ่านศาลชั้นต้นหมายนัดคู่ความมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา เจ้าหน้าที่รายงานว่าส่งหมายนัดให้โจทก์ที่ 2 ไม่ได้เพราะโจทก์ที่ 2 ถึงแก่กรรมแล้ว (อันดับ 95,96,100) ในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องนี้และแถลงต่อศาลว่า อยู่ระหว่างจัดให้มีคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 2 ผู้มรณะ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ไปก่อน และนัดพร้อมสอบถามคู่ความ ถึงวันนัดศาลชั้นต้นให้หมายเรียกนางวอน พลนาคู ภริยาของโจทก์ที่ 2 นางชื่นสุขพลนาคูและนายไตรภพ พลนาคู บุตรของโจทก์ที่ 2มาสอบถาม บุคคลดังกล่าวยินยอมรับเข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 2 ผู้มรณะ แต่ไม่ยอมลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาศาลชั้นต้นจึงบันทึกรายงานต่อถึงเหตุที่ไม่ยอมลงชื่อ แล้วมีคำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนและซองคำพิพากษา ศาลฎีกาเสนอศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป (อันดับ 116,122,123,124,125)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาตามคำร้องแล้ว แต่เมื่อทางไต่สวนฟังได้ว่า โจทก์ที่ 2 ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2537 กรณีไม่ชัดแจ้งว่า นางวอนพลนาคูนางชื่นสุข พลนาคู และนายไตรภพ พลนาคู ทายาทของโจทก์ที่ 2 ประสงค์จะขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 2 ผู้มรณะหรือไม่ ทั้งโจทก์ที่ 1และฝ่ายจำเลยก็มิได้มีคำขอให้หมายเรียกบุคคลดังกล่าวเข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 2 จึงให้ศาลชั้นต้นกำหนดเวลาปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 ว่าด้วยการเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 2 ผู้มรณะต่อไป เสร็จแล้วให้ส่งสำนวนและคำพิพากษาคืนศาลฎีกา
ความว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2538 เมื่อถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอนำเงิน 100,000 บาท มาวางศาลเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ขอให้ศาลงดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และขอให้ศาลมีคำสั่งให้คดีอาญาเลิกกัน ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในคำร้องของจำเลยว่า สั่งในรายงาน และได้มีคำสั่งเพิ่มเติมว่าจำเลยแถลงด้วยวาจาภายหลังขอฟังคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวและได้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป โดยอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้จำเลยฟังเป็นการ ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชอบ เพราะจำเลยยื่นคำร้อง ดังกล่าวในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลชั้นต้น จะต้องส่งคำร้องดังกล่าวให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 สั่ง ศาลชั้นต้น จะสั่งคำร้องดังกล่าวเองไม่ได้ และเงินจำนวน 100,000 บาท นั้นเป็นเงินที่จำเลยนำมาวางเพื่อชำระหนี้โจทก์ตามที่ได้ ตกลงกันไว้เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2538 โดยไม่มีเงื่อนไข เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินของโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาต ให้จำเลยรับเงินดังกล่าวคืนไป จึงไม่ถูกต้อง ขอให้ศาล มีคำสั่งให้ยกเลิกกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2538 ทั้งหมด โปรดอนุญาต หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 103) ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(1) เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวมโทษทั้งสองกระทง เป็นจำคุก 4 เดือน ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เมื่อวันที่7 เมษายน 2538 เมื่อถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอนำเงิน จำนวน 100,000 บาท มาวางศาลเพื่อชำระให้แก่โจทก์ ขอให้ศาล มีคำสั่งให้งดอ่านคำพิพากษาและมีคำสั่งให้คดีอาญาเลิกกัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าสั่งในรายงานและมีคำสั่งเพิ่มเติมว่า จำเลยแถลงด้วยวาจาภายหลังขอฟังคำพิพากษา จึงบันทึกไว้ (อันดับ 87) ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอรับเงินจำนวน 100,000 บาทที่จำเลยวางไว้ต่อศาลชั้นต้นคืน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต(อันดับ 89) โจทก์ฎีกา (อันดับ 100) โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 99)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไปเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบหรือไม่นั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วก็เห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียเลย ศาลฎีกา เห็นว่า คดีนี้ สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ถึงวันนัดจำเลยขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปโดยจำเลยจะนำเงินมาชำระให้โจทก์เพื่อให้คดีอาญาเลิกกันศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาไป ครั้นถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังกล่าว จำเลยยื่นคำร้องในวันนัดว่าได้นำเงินมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไปขอให้งดการอ่านคำพิพากษา และมีคำสั่งว่าคดีอาญาเลิกกัน ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่า สั่งในรายงานฯ และมีคำสั่งเพิ่มเติมต่อมาว่าจำเลย แถลงด้วยวาจาภายหลังขอฟังคำพิพากษาจึงบันทึกไว้ แล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไป การที่ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่าสั่งในรายงานฯ แล้วมิได้มีคำสั่งนั้นแต่อย่างใด เท่ากับยังมิได้สั่งรับคำร้องนั้น เมื่อจำเลยแถลงด้วยวาจา ขอฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งพอแปลได้ว่า ขอถอนคำร้อง ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นนั้นเสียเพราะเป็นการขอทราบคำวินิจฉัย ของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่ประสงค์จะให้คดีอาญาเลิกกันโดย การชำระเงินให้โจทก์ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไป จึงเป็นการ ดำเนินกระบวนพิจารณาชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2538 เมื่อถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอนำเงิน 100,000 บาท มาวางศาลเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ขอให้ศาลงดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และขอให้ศาลมีคำสั่งให้คดีอาญาเลิกกัน ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในคำร้องของจำเลยว่า สั่งในรายงาน และได้มีคำสั่งเพิ่มเติมว่าจำเลยแถลงด้วยวาจาภายหลังขอฟังคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวและได้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป โดยอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้จำเลยฟังเป็นการ ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชอบ เพราะจำเลยยื่นคำร้อง ดังกล่าวในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลชั้นต้น จะต้องส่งคำร้องดังกล่าวให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 สั่ง ศาลชั้นต้น จะสั่งคำร้องดังกล่าวเองไม่ได้ และเงินจำนวน 100,000 บาท นั้นเป็นเงินที่จำเลยนำมาวางเพื่อชำระหนี้โจทก์ตามที่ได้ ตกลงกันไว้เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2538 โดยไม่มีเงื่อนไข เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินของโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาต ให้จำเลยรับเงินดังกล่าวคืนไป จึงไม่ถูกต้อง ขอให้ศาล มีคำสั่งให้ยกเลิกกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2538 ทั้งหมด โปรดอนุญาต หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 103) ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(1) เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวมโทษทั้งสองกระทง เป็นจำคุก 4 เดือน ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เมื่อวันที่7 เมษายน 2538 เมื่อถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอนำเงิน จำนวน 100,000 บาท มาวางศาลเพื่อชำระให้แก่โจทก์ ขอให้ศาล มีคำสั่งให้งดอ่านคำพิพากษาและมีคำสั่งให้คดีอาญาเลิกกัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าสั่งในรายงานและมีคำสั่งเพิ่มเติมว่า จำเลยแถลงด้วยวาจาภายหลังขอฟังคำพิพากษา จึงบันทึกไว้ (อันดับ 87) ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอรับเงินจำนวน 100,000 บาทที่จำเลยวางไว้ต่อศาลชั้นต้นคืน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต(อันดับ 89) โจทก์ฎีกา (อันดับ 100) โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 99)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไปเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบหรือไม่นั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วก็เห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียเลย ศาลฎีกา เห็นว่า คดีนี้ สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ถึงวันนัดจำเลยขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปโดยจำเลยจะนำเงินมาชำระให้โจทก์เพื่อให้คดีอาญาเลิกกันศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาไป ครั้นถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังกล่าว จำเลยยื่นคำร้องในวันนัดว่าได้นำเงินมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไปขอให้งดการอ่านคำพิพากษา และมีคำสั่งว่าคดีอาญาเลิกกัน ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่า สั่งในรายงานฯ และมีคำสั่งเพิ่มเติมต่อมาว่าจำเลย แถลงด้วยวาจาภายหลังขอฟังคำพิพากษาจึงบันทึกไว้ แล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไป การที่ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่าสั่งในรายงานฯ แล้วมิได้มีคำสั่งนั้นแต่อย่างใด เท่ากับยังมิได้สั่งรับคำร้องนั้น เมื่อจำเลยแถลงด้วยวาจา ขอฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งพอแปลได้ว่า ขอถอนคำร้อง ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นนั้นเสียเพราะเป็นการขอทราบคำวินิจฉัย ของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่ประสงค์จะให้คดีอาญาเลิกกันโดย การชำระเงินให้โจทก์ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไป จึงเป็นการ ดำเนินกระบวนพิจารณาชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยยื่นฎีกา ภายในกำหนดเวลาที่ศาลอนุญาต แต่ฎีกาของจำเลยเป็นการ โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย ปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทราบเรื่องความผิด และรู้ตัวผู้กระทำความผิด แต่มิได้แจ้งความร้องทุกข์เพื่อ ดำเนินคดีภายในสามเดือนนับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัว ผู้กระทำความผิด คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์จึง ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปแล้ว ฎีกาข้อ 3 ของจำเลยว่า คดีนี้ขาดอายุความแล้วหรือไม่ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 83) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษ จำคุกกรรมละ 1 เดือน รวมจำคุก 7 เดือน กับให้จำเลยคืน หรือใช้เงินจำนวน 17,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 71) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 83)
คำสั่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหาย ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนยังไม่พ้นกำหนดสามเดือนนับแต่ วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีโจทก์ ไม่ขาดอายุความ จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัว ผู้กระทำความผิด คดีโจทก์ขาดอายุความจึงเป็นการฎีกาโต้เถียง การใช้ดุลพินิจใน การวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกา ของจำเลยชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยยื่นฎีกา ภายในกำหนดเวลาที่ศาลอนุญาต แต่ฎีกาของจำเลยเป็นการ โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย ปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทราบเรื่องความผิด และรู้ตัวผู้กระทำความผิด แต่มิได้แจ้งความร้องทุกข์เพื่อ ดำเนินคดีภายในสามเดือนนับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัว ผู้กระทำความผิด คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์จึง ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปแล้ว ฎีกาข้อ 3 ของจำเลยว่า คดีนี้ขาดอายุความแล้วหรือไม่ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 83) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษ จำคุกกรรมละ 1 เดือน รวมจำคุก 7 เดือน กับให้จำเลยคืน หรือใช้เงินจำนวน 17,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 71) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 83)
คำสั่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหาย ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนยังไม่พ้นกำหนดสามเดือนนับแต่ วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีโจทก์ ไม่ขาดอายุความ จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัว ผู้กระทำความผิด คดีโจทก์ขาดอายุความจึงเป็นการฎีกาโต้เถียง การใช้ดุลพินิจใน การวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกา ของจำเลยชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า คดีนี้ ผู้เสียหายและจำเลยตกลงกันได้โดยจำเลยยินยอมผ่อนชำระเงินตามเช็คให้แก่ผู้เสียหายผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีใด ๆ กับจำเลยอีกต่อไปจึงขอถอนคำร้องทุกข์ โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์และจำเลยแถลงไม่คัดค้าน (อันดับ 98) คดีนี้ (คดีหมายเลขดำที่ 7810/2535) ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกับคดีหมายเลขดำที่ 7713/2535 ซึ่งถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พุทธศักราช 2534 มาตรา 4 จำคุกจำเลย 9 เดือน ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 7810/2535 ฐานออกเช็คพิพาทจำนวนเงิน 101,533 บาท คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้จำเลย หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลย 6 เดือน ยกฟ้องโจทก์ใน สำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 7713/2535 เสีย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 83) จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 85) ศาลฎีกาทำคำสั่งเสร็จส่งไปศาลชั้นต้นเพื่ออ่าน ระหว่างศาลชั้นต้นหมายนัดฟังคำสั่งศาลฎีกา ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 97) ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว มีคำสั่งให้ส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 98)
คำสั่ง คดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว และยังไม่ถึงที่สุดผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
ความว่า คดีนี้ ผู้เสียหายและจำเลยตกลงกันได้โดยจำเลยยินยอมผ่อนชำระเงินตามเช็คให้แก่ผู้เสียหายผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีใด ๆ กับจำเลยอีกต่อไปจึงขอถอนคำร้องทุกข์ โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์และจำเลยแถลงไม่คัดค้าน (อันดับ 98) คดีนี้ (คดีหมายเลขดำที่ 7810/2535) ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกับคดีหมายเลขดำที่ 7713/2535 ซึ่งถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พุทธศักราช 2534 มาตรา 4 จำคุกจำเลย 9 เดือน ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 7810/2535 ฐานออกเช็คพิพาทจำนวนเงิน 101,533 บาท คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้จำเลย หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลย 6 เดือน ยกฟ้องโจทก์ใน สำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 7713/2535 เสีย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 83) จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 85) ศาลฎีกาทำคำสั่งเสร็จส่งไปศาลชั้นต้นเพื่ออ่าน ระหว่างศาลชั้นต้นหมายนัดฟังคำสั่งศาลฎีกา ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 97) ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว มีคำสั่งให้ส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 98)
คำสั่ง คดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว และยังไม่ถึงที่สุดผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
ความว่า โจทก์ทั้งสามฎีกา คดีของโจทก์ทั้งสาม มีมูลที่จะชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 217) โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 27 หมู่ที่ 2 ตำบลด่านสวีอำเภอสวี จังหวัดชุมพร เนื้อที่ 29 ไร่ 3 งาน 43 ตารางวา ของโจทก์ทั้งสามโดยทำที่ดินให้อยู่ในสภาพปกติและให้จำเลย ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามปีละ 30,000 บาท จนกว่าจะออกไป จากที่ดินพิพาท จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้ง ระหว่างพิจารณานายเชื้อ พัฒนธานี ได้ยื่นคำร้องสอด ขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามโดยขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์ทั้งสาม ยกฟ้องแย้งของจำเลย และพิพากษาให้ผู้ร้องสอดเป็นผู้มีสิทธิ ครอบครองที่ดินพิพาททั้งแปลง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตามแผนที่เอกสารหมาย จ.6 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษานี้ (บริเวณเส้นสีเขียว ที่จำเลยนำชี้) เป็นที่ดินจำเลยห้ามมิให้โจทก์และบริวาร เข้าเกี่ยวข้อง ยกฟ้องและยกคำร้องสอดของโจทก์และผู้ร้องสอด ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ทั้งสามฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 213,212) ชั้นอุทธรณ์โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งว่าตามคำร้องพอแปลได้ว่า ผู้ร้องประสงค์จะขอให้ศาลสั่งคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้อง ในระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 และเมื่อได้พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรจึงอนุญาต ให้ระงับกระทำการใด ๆ อันเป็นการทำลาย ทำให้เสื่อมค่า และห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาท (อันดับ 188)
คำสั่ง ตามคำร้องพอแปลได้ว่า ผู้ร้องประสงค์จะขอให้ศาลสั่งคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 264 พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรมีคำสั่งห้ามจำเลยทำการใด ๆ อันเป็นการทำลาย ทำให้เสื่อมค่า ตลอดจนห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกา
ความว่า โจทก์ทั้งสามฎีกา คดีของโจทก์ทั้งสาม มีมูลที่จะชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 217) โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 27 หมู่ที่ 2 ตำบลด่านสวีอำเภอสวี จังหวัดชุมพร เนื้อที่ 29 ไร่ 3 งาน 43 ตารางวา ของโจทก์ทั้งสามโดยทำที่ดินให้อยู่ในสภาพปกติและให้จำเลย ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามปีละ 30,000 บาท จนกว่าจะออกไป จากที่ดินพิพาท จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้ง ระหว่างพิจารณานายเชื้อ พัฒนธานี ได้ยื่นคำร้องสอด ขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามโดยขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์ทั้งสาม ยกฟ้องแย้งของจำเลย และพิพากษาให้ผู้ร้องสอดเป็นผู้มีสิทธิ ครอบครองที่ดินพิพาททั้งแปลง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตามแผนที่เอกสารหมาย จ.6 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษานี้ (บริเวณเส้นสีเขียว ที่จำเลยนำชี้) เป็นที่ดินจำเลยห้ามมิให้โจทก์และบริวาร เข้าเกี่ยวข้อง ยกฟ้องและยกคำร้องสอดของโจทก์และผู้ร้องสอด ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ทั้งสามฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 213,212) ชั้นอุทธรณ์โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งว่าตามคำร้องพอแปลได้ว่า ผู้ร้องประสงค์จะขอให้ศาลสั่งคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้อง ในระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 และเมื่อได้พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรจึงอนุญาต ให้ระงับกระทำการใด ๆ อันเป็นการทำลาย ทำให้เสื่อมค่า และห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาท (อันดับ 188)
คำสั่ง ตามคำร้องพอแปลได้ว่า ผู้ร้องประสงค์จะขอให้ศาลสั่งคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 264 พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรมีคำสั่งห้ามจำเลยทำการใด ๆ อันเป็นการทำลาย ทำให้เสื่อมค่า ตลอดจนห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกา
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|