ความว่า จำเลยทั้งสี่ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและฎีกาของจำเลยทั้งสี่ เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่เห็นว่า ฎีกาข้อ 2.ง ที่ว่า การวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 คลาดเคลื่อนจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนและพยานโจทก์ รับฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่ไม่ได้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสี่ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 79) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3)(7)(8) วรรคสามจำคุกคนละ 2 ปี คำรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาเครื่องปั้ม น้ำราคา 2,600 บาท แก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสี่ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 76,75) จำเลยทั้งสี่จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 79)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้จำเลยทั้งสี่ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งจำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนจากพยานหลักฐานในสำนวน และพยานโจทก์รับฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่ไม่ได้นั้น เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่โต้แย้งจะให้รับฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ ส่วนการรับฟังพยานหลักฐานว่าเพียงใดจึงจะพอฟัง ลงโทษจำเลยได้หรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลล่างทั้งสอง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้าม ตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ของจำเลยทั้งสี่ชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสี่ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและฎีกาของจำเลยทั้งสี่ เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่เห็นว่า ฎีกาข้อ 2.ง ที่ว่า การวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 คลาดเคลื่อนจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนและพยานโจทก์ รับฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่ไม่ได้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสี่ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 79) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3)(7)(8) วรรคสามจำคุกคนละ 2 ปี คำรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาเครื่องปั้ม น้ำราคา 2,600 บาท แก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสี่ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 76,75) จำเลยทั้งสี่จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 79)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้จำเลยทั้งสี่ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งจำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนจากพยานหลักฐานในสำนวน และพยานโจทก์รับฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่ไม่ได้นั้น เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่โต้แย้งจะให้รับฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ ส่วนการรับฟังพยานหลักฐานว่าเพียงใดจึงจะพอฟัง ลงโทษจำเลยได้หรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลล่างทั้งสอง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้าม ตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ของจำเลยทั้งสี่ชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสิบเก้าสำนวนอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลาง มีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า คำสั่งของจำเลยที่สั่งย้ายโจทก์ทั้งสิบเก้าไปทำงานที่โรงงานของจำเลย ที่ปากเกร็ด เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมแล้วศาลแรงงานกลางวินิจฉัยคดีโดยรับฟังข้อเท็จจริงนอกคำฟ้อง การกระทำของโจทก์ทั้งสิบเก้าที่ไปร้องเรียนและไม่ไปทำงาน ที่สาขาปากเกร็ด เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต และโจทก์ทั้งสิบเก้าเป็นลูกจ้างรายวันเมื่อไม่ไปทำงาน ตามคำสั่งของจำเลย จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างค้างจ่าย ในวันที่ไม่ได้ทำงานเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 64) คดีทั้งสิบเก้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 19 ตามลำดับ ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้าง ค่าจ้าง ในวันหยุดพักผ่อนประจำปี พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะจ่ายเงินเสร็จแก่โจทก์ทั้งหลายตามตารางแนบท้ายคำพิพากษานี้ คำขอนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสิบเก้าสำนวนอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 58) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อ 5.1 และ 5.5เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า คำสั่งย้ายโจทก์ทั้งสิบเก้าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และอุทธรณ์ข้อ 5.3เป็นการโต้เถียงปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของโจทก์ทั้งสิบเก้า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาว่าโจทก์ทั้งสิบเก้า ไม่ไปทำงานตามคำสั่งของจำเลยที่โรงงานสาขาของจำเลย ที่อำเภอปากเกร็ดนั้น เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เป็นไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 อยู่ในข่ายที่จำเลยจะสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเก้าได้หรือไม่ ส่วนอุทธรณ์ของจำเลย ข้อ 5.2 และ 5.4 เป็นผลจากอุทธรณ์ข้อ 5.1 และ 5.3จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายเช่นกันที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสิบเก้าสำนวนไว้ ให้ศาลแรงงานกลางดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสิบเก้าสำนวนอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลาง มีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า คำสั่งของจำเลยที่สั่งย้ายโจทก์ทั้งสิบเก้าไปทำงานที่โรงงานของจำเลย ที่ปากเกร็ด เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมแล้วศาลแรงงานกลางวินิจฉัยคดีโดยรับฟังข้อเท็จจริงนอกคำฟ้อง การกระทำของโจทก์ทั้งสิบเก้าที่ไปร้องเรียนและไม่ไปทำงาน ที่สาขาปากเกร็ด เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต และโจทก์ทั้งสิบเก้าเป็นลูกจ้างรายวันเมื่อไม่ไปทำงาน ตามคำสั่งของจำเลย จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างค้างจ่าย ในวันที่ไม่ได้ทำงานเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 64) คดีทั้งสิบเก้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 19 ตามลำดับ ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้าง ค่าจ้าง ในวันหยุดพักผ่อนประจำปี พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะจ่ายเงินเสร็จแก่โจทก์ทั้งหลายตามตารางแนบท้ายคำพิพากษานี้ คำขอนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสิบเก้าสำนวนอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 58) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อ 5.1 และ 5.5เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า คำสั่งย้ายโจทก์ทั้งสิบเก้าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และอุทธรณ์ข้อ 5.3เป็นการโต้เถียงปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของโจทก์ทั้งสิบเก้า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาว่าโจทก์ทั้งสิบเก้า ไม่ไปทำงานตามคำสั่งของจำเลยที่โรงงานสาขาของจำเลย ที่อำเภอปากเกร็ดนั้น เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เป็นไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 อยู่ในข่ายที่จำเลยจะสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเก้าได้หรือไม่ ส่วนอุทธรณ์ของจำเลย ข้อ 5.2 และ 5.4 เป็นผลจากอุทธรณ์ข้อ 5.1 และ 5.3จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายเช่นกันที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสิบเก้าสำนวนไว้ ให้ศาลแรงงานกลางดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลาง มีคำสั่งว่า เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า การส่งหมายเรียก และสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้จำเลยทั้งสองไม่มีโอกาสต่อสู้คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 45) กรณีเป็นชั้นขอให้พิจารณาใหม่ คดีสืบเนื่องจากจำเลยทั้งสองขาดนัดและ ขาดนัดพิจารณาศาลแรงงานกลางจึงพิจารณาและชี้ขาด ตัดสินคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกัน ชำระเงินจำนวน 370,500 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 11 มกราคม 2538) เป็นต้นไปจนกว่าจะ ชำระให้โจทก์แล้วเสร็จ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 41) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 43)
คำสั่ง จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ โดยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลาง มีคำสั่งว่า เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า การส่งหมายเรียก และสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้จำเลยทั้งสองไม่มีโอกาสต่อสู้คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 45) กรณีเป็นชั้นขอให้พิจารณาใหม่ คดีสืบเนื่องจากจำเลยทั้งสองขาดนัดและ ขาดนัดพิจารณาศาลแรงงานกลางจึงพิจารณาและชี้ขาด ตัดสินคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกัน ชำระเงินจำนวน 370,500 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 11 มกราคม 2538) เป็นต้นไปจนกว่าจะ ชำระให้โจทก์แล้วเสร็จ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 41) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 43)
คำสั่ง จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ โดยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 125) คดีสำนวนนี้ (หมายเลขแดง 1234/2536) เดิมเคยพิจารณาพิพากษารวมกันกับคดีแพ่ง หมายเลขแดงที่ 1233/2536, 1235/2536,1236/2536,1237/2536 และ 1238/2536 แต่คดีแพ่งทั้งห้าสำนวนดังกล่าว ถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้ฎีกา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งหกและบริวารขนย้ายเครื่องใช้สัมภาระสิ่งของต่าง ๆ ออกจากที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 11015 ตำบลสำโรงเหนือ (สำโรงฝั่งใต้)อำเภอเมืองสมุทรปราการ (เมือง) จังหวัดสมุทรปราการและให้จำเลยทั้งหกใช้ค่าเสียหายคนละ 500 บาท ต่อเดือนแก่โจทก์ นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งหก และบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นรับฎีกาเฉพาะข้อ 2.1 พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 113,114) ชั้นอุทธรณ์จำเลยยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งว่าคำร้องขอทุเลาการบังคับ ของจำเลยทั้งหกไม่ได้ชี้แจงเหตุอันสมควรในการขอทุเลาการบังคับเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 ให้ยกคำร้อง (อันดับ 89)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว การขอทุเลาการบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 นั้น ต้องเป็นกรณีที่ยังไม่มีการบังคับคดีตามคำพิพากษา ไม่ว่าของศาลใดปรากฏตามคำร้องและคำคัดค้านว่าศาลอุทธรณ์ ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับ โจทก์ขอให้บังคับคดีและ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีแล้ว การที่จำเลย ยื่นคำร้องเข้ามา จะถือว่าเป็นการขอทุเลาการบังคับตาม คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ได้ แต่เป็นกรณีที่จำเลยขอ ให้งดการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2) ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะมีคำสั่ง ว่ามีเหตุสมควรให้งดการบังคับคดีไว้หรือไม่ จึงให้ส่งคืน ศาลชั้นต้นเพื่อพิจารณาสั่งคำร้องของ จำเลยต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 125) คดีสำนวนนี้ (หมายเลขแดง 1234/2536) เดิมเคยพิจารณาพิพากษารวมกันกับคดีแพ่ง หมายเลขแดงที่ 1233/2536, 1235/2536,1236/2536,1237/2536 และ 1238/2536 แต่คดีแพ่งทั้งห้าสำนวนดังกล่าว ถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้ฎีกา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งหกและบริวารขนย้ายเครื่องใช้สัมภาระสิ่งของต่าง ๆ ออกจากที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 11015 ตำบลสำโรงเหนือ (สำโรงฝั่งใต้)อำเภอเมืองสมุทรปราการ (เมือง) จังหวัดสมุทรปราการและให้จำเลยทั้งหกใช้ค่าเสียหายคนละ 500 บาท ต่อเดือนแก่โจทก์ นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งหก และบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นรับฎีกาเฉพาะข้อ 2.1 พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 113,114) ชั้นอุทธรณ์จำเลยยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งว่าคำร้องขอทุเลาการบังคับ ของจำเลยทั้งหกไม่ได้ชี้แจงเหตุอันสมควรในการขอทุเลาการบังคับเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 ให้ยกคำร้อง (อันดับ 89)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว การขอทุเลาการบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 นั้น ต้องเป็นกรณีที่ยังไม่มีการบังคับคดีตามคำพิพากษา ไม่ว่าของศาลใดปรากฏตามคำร้องและคำคัดค้านว่าศาลอุทธรณ์ ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับ โจทก์ขอให้บังคับคดีและ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีแล้ว การที่จำเลย ยื่นคำร้องเข้ามา จะถือว่าเป็นการขอทุเลาการบังคับตาม คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ได้ แต่เป็นกรณีที่จำเลยขอ ให้งดการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2) ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะมีคำสั่ง ว่ามีเหตุสมควรให้งดการบังคับคดีไว้หรือไม่ จึงให้ส่งคืน ศาลชั้นต้นเพื่อพิจารณาสั่งคำร้องของ จำเลยต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ศาลอุทธรณ์มิได้พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ ของจำเลยกลับไปวินิจฉัยบันทึกถ้อยคำของนายสุชาติปัญญาวุฒิภูมิในข้อความที่ว่า "อย่างเก่งลื้อ ก็อยู่อีกไม่ถึงปี" ซึ่งข้อความดังกล่าวมิได้เป็นเรื่องที่จำเลยอุทธรณ์แต่ประการใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกรอไว้ 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 82) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 83)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของจำเลยโต้เถียงว่าไม่ได้ กล่าววาจาดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามที่โจทก์ฟ้อง เป็นฎีกาดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ศาลอุทธรณ์มิได้พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ ของจำเลยกลับไปวินิจฉัยบันทึกถ้อยคำของนายสุชาติปัญญาวุฒิภูมิในข้อความที่ว่า "อย่างเก่งลื้อ ก็อยู่อีกไม่ถึงปี" ซึ่งข้อความดังกล่าวมิได้เป็นเรื่องที่จำเลยอุทธรณ์แต่ประการใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกรอไว้ 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 82) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 83)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของจำเลยโต้เถียงว่าไม่ได้ กล่าววาจาดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามที่โจทก์ฟ้อง เป็นฎีกาดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อไม่อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมด จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อ 2 ที่ว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 มีความประสงค์จะทำสัญญากู้ยืมเงินกันแต่กลับทำเป็นสัญญาเช่าซื้อซึ่งเป็นนิติกรรมอำพรางหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังนั้นที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าไม่เป็นนิติกรรมอำพรางนั้น เป็นการวินิจฉัยคลาดเคลื่อนในการ ปรับข้อกฎหมายให้เข้ากับข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันในชั้นพิจารณา เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 65) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าหมายเลขเครื่องยนต์ 2 แอล-1598776 หมายเลขเชซซีแอลเอ็น56-0120314หมายเลขทะเบียนม-2798 ราชบุรีในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกัน ใช้ราคารถยนต์ 90,000 บาท และให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ2,500 บาท นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2535 เป็นต้นไป จนกว่าจะส่งมอบรถคืนหรือชำระราคารถยนต์แก่โจทก์ แต่ให้คิดค่าเสียหายดังกล่าวไม่เกิน 24 เดือน คำขออื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 59) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง จำเลยที่ 2 ไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกัน มาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อไม่อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมด จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อ 2 ที่ว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 มีความประสงค์จะทำสัญญากู้ยืมเงินกันแต่กลับทำเป็นสัญญาเช่าซื้อซึ่งเป็นนิติกรรมอำพรางหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังนั้นที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าไม่เป็นนิติกรรมอำพรางนั้น เป็นการวินิจฉัยคลาดเคลื่อนในการ ปรับข้อกฎหมายให้เข้ากับข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันในชั้นพิจารณา เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 65) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าหมายเลขเครื่องยนต์ 2 แอล-1598776 หมายเลขเชซซีแอลเอ็น56-0120314หมายเลขทะเบียนม-2798 ราชบุรีในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกัน ใช้ราคารถยนต์ 90,000 บาท และให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ2,500 บาท นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2535 เป็นต้นไป จนกว่าจะส่งมอบรถคืนหรือชำระราคารถยนต์แก่โจทก์ แต่ให้คิดค่าเสียหายดังกล่าวไม่เกิน 24 เดือน คำขออื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 59) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง จำเลยที่ 2 ไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกัน มาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า รับฎีกาเฉพาะประเด็นแรก เนื่องจากเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนฎีกาในประเด็นที่สองเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาในประเด็นที่สอง จำเลยเห็นว่า ฎีกาประเด็นที่สองที่ว่า โจทก์ไม่สุจริตในขณะทำสัญญานายหน้าขายที่ดิน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะปกปิดราคาที่การประปาส่วนภูมิภาคตกลงซื้อที่ดิน ราคาไร่ละ 28,000 บาทไว้ และบอกจำเลยว่าที่ดินราคาไร่ละ 25,000 บาท จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดก ของนายปลื้ม ทองนวน และฐานะส่วนตัวชำระเงินจำนวน65,542 บาท (หกหมื่นห้าพันห้าร้อยสี่สิบสองบาท) พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันจดทะเบียนโอน(วันที่ 6 และ 27 สิงหาคม 2534) เป็นต้นไปจนกว่าจะ ชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวน 30,150 บาท นับแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2534 ของต้นเงินจำนวน 35,392 บาท นับแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2534 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยทั้ง 2 จำนวน รวมกันคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน818 บาท ตามที่โจทก์ขอมา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ในประเด็นที่สองดังกล่าว (อันดับ 112) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 114)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ข้ออ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ของจำเลยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ย่อมต้องอาศัยข้อเท็จจริง ที่ว่า ขณะทำสัญญาโจทก์สุจริตหรือไม่เพื่อการวินิจฉัย ปัญหาข้อกฎหมาย และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ของประชาชน การเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยุติและ ต้องห้ามฎีกาเพื่อสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกา ของจำเลยจึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลย ในข้อนี้ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า รับฎีกาเฉพาะประเด็นแรก เนื่องจากเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนฎีกาในประเด็นที่สองเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาในประเด็นที่สอง จำเลยเห็นว่า ฎีกาประเด็นที่สองที่ว่า โจทก์ไม่สุจริตในขณะทำสัญญานายหน้าขายที่ดิน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะปกปิดราคาที่การประปาส่วนภูมิภาคตกลงซื้อที่ดิน ราคาไร่ละ 28,000 บาทไว้ และบอกจำเลยว่าที่ดินราคาไร่ละ 25,000 บาท จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดก ของนายปลื้ม ทองนวน และฐานะส่วนตัวชำระเงินจำนวน65,542 บาท (หกหมื่นห้าพันห้าร้อยสี่สิบสองบาท) พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันจดทะเบียนโอน(วันที่ 6 และ 27 สิงหาคม 2534) เป็นต้นไปจนกว่าจะ ชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวน 30,150 บาท นับแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2534 ของต้นเงินจำนวน 35,392 บาท นับแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2534 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยทั้ง 2 จำนวน รวมกันคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน818 บาท ตามที่โจทก์ขอมา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ในประเด็นที่สองดังกล่าว (อันดับ 112) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 114)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ข้ออ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ของจำเลยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ย่อมต้องอาศัยข้อเท็จจริง ที่ว่า ขณะทำสัญญาโจทก์สุจริตหรือไม่เพื่อการวินิจฉัย ปัญหาข้อกฎหมาย และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ของประชาชน การเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยุติและ ต้องห้ามฎีกาเพื่อสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกา ของจำเลยจึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลย ในข้อนี้ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า ผู้ร้องฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลา การบังคับไว้ก่อน หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 101 แผ่นที่ 2) คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 796,950 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงขอหมายบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน 1 แปลง โฉนดเลขที่ 63307 ซึ่งอยู่ที่ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง อ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลย เพื่อบังคับ ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง โดยได้ซื้อมาจากจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืน แก่ผู้ร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 99,98) ชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้งดการขายหรือจำหน่ายทรัพย์พิพาทในระหว่างอุทธรณ์ (อันดับ 85)
คำสั่ง คำร้องของ ผู้ร้องพอแปลได้ว่า ผู้ร้องขอคุ้มครอง ประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรให้งดการขายหรือจำหน่ายทรัพย์พิพาท ในระหว่างฎีกา
ความว่า ผู้ร้องฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลา การบังคับไว้ก่อน หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 101 แผ่นที่ 2) คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 796,950 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงขอหมายบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน 1 แปลง โฉนดเลขที่ 63307 ซึ่งอยู่ที่ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง อ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลย เพื่อบังคับ ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง โดยได้ซื้อมาจากจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืน แก่ผู้ร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 99,98) ชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้งดการขายหรือจำหน่ายทรัพย์พิพาทในระหว่างอุทธรณ์ (อันดับ 85)
คำสั่ง คำร้องของ ผู้ร้องพอแปลได้ว่า ผู้ร้องขอคุ้มครอง ประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรให้งดการขายหรือจำหน่ายทรัพย์พิพาท ในระหว่างฎีกา
ความว่า จำเลยที่ 5 ฎีกา แต่เนื่องจากฎีกาของจำเลยที่ 5 พิมพ์ผิดพลาด จึงขอเพิ่มเติมฎีกาหน้า 5 บรรทัดสุดท้าย"ให้โจทก์ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนจำเลยที่ 5 ด้วย" โปรดอนุญาต หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4และที่ 6 ถึงที่ 8 ร่วมกันไปขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 233 ตำบลวังอู่(คลองขุด)อำเภอสนามจันทร์(บ้านโพธิ์)จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้โจทก์เมื่อกันส่วนที่เป็นถนนสาธารณะแล้วเป็นเนื้อที่ 33 ไร่ 1 งาน 84 เศษ 4 ส่วน 5 ตารางวา ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานที่ดิน จังหวัดฉะเชิงเทราร่วมกับโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือ เอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาในการรังวัดแบ่งแยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยที่ 5 ต่างฎีกา ต่อมาจำเลยที่ 5 ยื่นคำร้อง (อันดับ 128,131,148)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว การยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาก็คือการยื่นฎีกาซึ่งจำเลยที่ 5 จะกระทำได้ภายในอายุฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 เมื่อ จำเลยที่ 5 ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาพ้นกำหนดเวลา ยื่นฎีกาแล้วเช่นนี้ จึงรับเป็นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกา ไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 5 ฎีกา แต่เนื่องจากฎีกาของจำเลยที่ 5 พิมพ์ผิดพลาด จึงขอเพิ่มเติมฎีกาหน้า 5 บรรทัดสุดท้าย"ให้โจทก์ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนจำเลยที่ 5 ด้วย" โปรดอนุญาต หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4และที่ 6 ถึงที่ 8 ร่วมกันไปขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 233 ตำบลวังอู่(คลองขุด)อำเภอสนามจันทร์(บ้านโพธิ์)จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้โจทก์เมื่อกันส่วนที่เป็นถนนสาธารณะแล้วเป็นเนื้อที่ 33 ไร่ 1 งาน 84 เศษ 4 ส่วน 5 ตารางวา ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานที่ดิน จังหวัดฉะเชิงเทราร่วมกับโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือ เอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาในการรังวัดแบ่งแยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยที่ 5 ต่างฎีกา ต่อมาจำเลยที่ 5 ยื่นคำร้อง (อันดับ 128,131,148)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว การยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาก็คือการยื่นฎีกาซึ่งจำเลยที่ 5 จะกระทำได้ภายในอายุฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 เมื่อ จำเลยที่ 5 ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาพ้นกำหนดเวลา ยื่นฎีกาแล้วเช่นนี้ จึงรับเป็นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกา ไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี หากมีการจำหน่าย จ่ายโอน ที่ดินพิพาทไปก่อนศาลฎีกาพิพากษา โจทก์จะไม่สามารถบังคับคดีได้ โปรดมีคำสั่งให้ห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 233 ตำบลวังอู่ (คลองขุด) อำเภอสนามจันทร์(บ้านโพธิ์)จังหวัดฉะเชิงเทรา ในระหว่างฎีกา และให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบด้วย หมายเหตุ ทนายจำเลยทั้งแปดยื่นคำแถลงคัดค้าน (อันดับ 143) ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4และที่ 6 ถึงที่ 8 ร่วมกันไปขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 233 ตำบลวังอู่(คลองขุด)อำเภอสนามจันทร์(บ้านโพธิ์) จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้โจทก์เมื่อกันส่วนที่เป็นถนนสาธารณะแล้วเป็นเนื้อที่ 33 ไร่ 1 งาน 844 เศษ 4 ส่วน 5 ตารางวา ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงาน ที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทราร่วมกับโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาในการรังวัดแบ่งแยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยที่ 5 ต่างฎีกา เฉพาะโจทก์ยื่นคำร้องนี้พร้อมฎีกา (อันดับ 128,131,129)
คำสั่ง คำร้องของ โจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์ขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นเป็นการสมควรจึงห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดิน พิพาทในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงาน ที่ดินทราบ
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี หากมีการจำหน่าย จ่ายโอน ที่ดินพิพาทไปก่อนศาลฎีกาพิพากษา โจทก์จะไม่สามารถบังคับคดีได้ โปรดมีคำสั่งให้ห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 233 ตำบลวังอู่ (คลองขุด) อำเภอสนามจันทร์(บ้านโพธิ์)จังหวัดฉะเชิงเทรา ในระหว่างฎีกา และให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบด้วย หมายเหตุ ทนายจำเลยทั้งแปดยื่นคำแถลงคัดค้าน (อันดับ 143) ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4และที่ 6 ถึงที่ 8 ร่วมกันไปขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 233 ตำบลวังอู่(คลองขุด)อำเภอสนามจันทร์(บ้านโพธิ์) จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้โจทก์เมื่อกันส่วนที่เป็นถนนสาธารณะแล้วเป็นเนื้อที่ 33 ไร่ 1 งาน 844 เศษ 4 ส่วน 5 ตารางวา ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงาน ที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทราร่วมกับโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาในการรังวัดแบ่งแยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยที่ 5 ต่างฎีกา เฉพาะโจทก์ยื่นคำร้องนี้พร้อมฎีกา (อันดับ 128,131,129)
คำสั่ง คำร้องของ โจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์ขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นเป็นการสมควรจึงห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดิน พิพาทในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงาน ที่ดินทราบ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อ 4 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับไว้ ส่วนฎีกาข้ออื่น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เนื่องจากคดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาข้ออื่นจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกาข้ออื่น จำเลยเห็นว่า ตามฟ้องของโจทก์ประเด็นหลักเป็นเรื่อง ขอให้ขับไล่จำเลย จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งขอให้เพิกถอน หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ซึ่งมูลคดีเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แต่การที่ศาลกำหนดให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลโดยตีทุนทรัพย์ เป็นจำนวนเงิน 170,000 บาท เนื่องจากศาลเห็นว่าข้อต่อสู้ และฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการต่อสู้เกี่ยวด้วยเรื่องกรรมสิทธิ์ จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลในอัตรา 2.5 ของราคาประเมินที่ดิน ตามที่คู่ความทั้งสองได้ประเมิน การดังกล่าวมิได้ทำให้คดี ที่เป็นการปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ขึ้นมา จำเลยจึงน่าจะฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาข้อ 1 ถึงข้อ 3 ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 341 แผ่นที่ 2) โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน แล้วพิพากษา ขับไล่จำเลย ยกฟ้องแย้งของจำเลย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ที่ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยในประเด็นว่าที่ดินพิพาท หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 993 โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง และยกคำพิพากษา ศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลย ในประเด็นดังกล่าวให้สิ้นกระแสความเสียก่อน แล้วมีคำพิพากษาใหม่ ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จแล้ว พิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 993(1206) ตำบลอ่างทอง อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และรื้อถอนรั้ว โรงเรือน สิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท ยกฟ้องแย้งของจำเลย ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 นายกมลแจวเจริญทายาทโดยธรรมของนางวนิดาแจวเจริญ จำเลย ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะ (อันดับ 326) แต่ไม่ปรากฏคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในสำนวน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาข้อดังกล่าว(อันดับ 331) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 337)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์จำเลยให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ขอให้ห้ามโจทก์มิให้คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน ของจำเลย อันเป็นการเถียงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จึงเป็นคดี มีทุนทรัพย์เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ราคาทรัพย์สินหรือ จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทคดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยในข้อเท็จจริงจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อ 4 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับไว้ ส่วนฎีกาข้ออื่น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เนื่องจากคดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาข้ออื่นจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกาข้ออื่น จำเลยเห็นว่า ตามฟ้องของโจทก์ประเด็นหลักเป็นเรื่อง ขอให้ขับไล่จำเลย จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งขอให้เพิกถอน หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ซึ่งมูลคดีเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แต่การที่ศาลกำหนดให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลโดยตีทุนทรัพย์ เป็นจำนวนเงิน 170,000 บาท เนื่องจากศาลเห็นว่าข้อต่อสู้ และฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการต่อสู้เกี่ยวด้วยเรื่องกรรมสิทธิ์ จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลในอัตรา 2.5 ของราคาประเมินที่ดิน ตามที่คู่ความทั้งสองได้ประเมิน การดังกล่าวมิได้ทำให้คดี ที่เป็นการปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ขึ้นมา จำเลยจึงน่าจะฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาข้อ 1 ถึงข้อ 3 ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 341 แผ่นที่ 2) โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน แล้วพิพากษา ขับไล่จำเลย ยกฟ้องแย้งของจำเลย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ที่ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยในประเด็นว่าที่ดินพิพาท หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 993 โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง และยกคำพิพากษา ศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลย ในประเด็นดังกล่าวให้สิ้นกระแสความเสียก่อน แล้วมีคำพิพากษาใหม่ ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จแล้ว พิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 993(1206) ตำบลอ่างทอง อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และรื้อถอนรั้ว โรงเรือน สิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท ยกฟ้องแย้งของจำเลย ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 นายกมลแจวเจริญทายาทโดยธรรมของนางวนิดาแจวเจริญ จำเลย ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะ (อันดับ 326) แต่ไม่ปรากฏคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในสำนวน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาข้อดังกล่าว(อันดับ 331) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 337)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์จำเลยให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ขอให้ห้ามโจทก์มิให้คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน ของจำเลย อันเป็นการเถียงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จึงเป็นคดี มีทุนทรัพย์เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ราคาทรัพย์สินหรือ จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทคดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยในข้อเท็จจริงจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ก่อน หมายเหตุ จำเลยทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 134) โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองแบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เนื้อที่ 24 ไร่ 18 ตารางวา ในส่วนของนางลีจำปาศรี จำนวน 12 ไร่เศษให้โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ส่วน แบ่งที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 933 และบ้าน 1 หลัง ให้โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ส่วน แบ่งที่ดินตาม ส.ค. 1 เลขที่ 326 ออกเป็น 4 ส่วน ให้โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ส่วนให้จำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสอง หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษา เป็นการแสดงเจตนาแทน ในส่วนของบ้าน 1 หลัง หากไม่สามารถแบ่งได้ ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ทั้งสองตามส่วนสารบบ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้(อันดับ 131 แผ่นที่ 1 และแผ่นที่ 2)
คำสั่ง กรณีเป็นเรื่องโจทก์ขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นเป็นการสมควร จึงห้ามจำเลยทั้งสองทำนิติกรรมใด ๆเกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกาให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ก่อน หมายเหตุ จำเลยทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 134) โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองแบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เนื้อที่ 24 ไร่ 18 ตารางวา ในส่วนของนางลีจำปาศรี จำนวน 12 ไร่เศษให้โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ส่วน แบ่งที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 933 และบ้าน 1 หลัง ให้โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ส่วน แบ่งที่ดินตาม ส.ค. 1 เลขที่ 326 ออกเป็น 4 ส่วน ให้โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ส่วนให้จำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสอง หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษา เป็นการแสดงเจตนาแทน ในส่วนของบ้าน 1 หลัง หากไม่สามารถแบ่งได้ ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ทั้งสองตามส่วนสารบบ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้(อันดับ 131 แผ่นที่ 1 และแผ่นที่ 2)
คำสั่ง กรณีเป็นเรื่องโจทก์ขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นเป็นการสมควร จึงห้ามจำเลยทั้งสองทำนิติกรรมใด ๆเกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกาให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนให้ลงโทษจำเลยจำคุกไม่เกิน 5 ปี ห้ามฎีกา ข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการ รับฟังพยาน เพื่อจะไปหาปัญหาเป็นข้อกฎหมาย ยังเป็น ข้อเท็จจริงอยู่ คดีต้องห้ามฎีกา ไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและอายุความเริ่มนับเมื่อใด โจทก์เป็นผู้เสียหายและ มีอำนาจฟ้องคดีหรือไม่ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดโดยเจตนาอันเป็นการครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ และการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีผิดจากพยานหลักฐานในสำนวนและรับฟังพยานหลักฐานโดยไม่ชอบ ล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น ทั้งเป็นกรณีที่ว่ากล่าว กันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ทนายโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 113 แผ่นที่ 2) โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288,80,90,358 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งให้ประทับฟ้องเฉพาะข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ส่วนข้อหาพยายามฆ่าให้ยกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 จำคุก 3 เดือน โทษจำคุก เห็นสมควรให้เปลี่ยนเป็น กักขังแทน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 110) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 110)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ฎีกาจำเลยที่ว่า ผู้เสียหาย ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานพยายามฆ่าอย่างเดียว แต่แจ้งเรื่องจำเลยยิงปืนถูกบ้านผู้เสียหายด้วยโดยไม่ได้ ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานทำให้เสียทรัพย์ จะถือว่าเป็นการร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานทำให้เสียทรัพย์ ด้วยหรือไม่ และฎีกาที่ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยพยานหลักฐานไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับฎีกา ของจำเลยดังกล่าวในข้อ 2 ไว้ดำเนินการต่อไป ส่วนฎีกาข้ออื่นล้วนเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ของจำเลยนั้นชอบแล้ว
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนให้ลงโทษจำเลยจำคุกไม่เกิน 5 ปี ห้ามฎีกา ข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการ รับฟังพยาน เพื่อจะไปหาปัญหาเป็นข้อกฎหมาย ยังเป็น ข้อเท็จจริงอยู่ คดีต้องห้ามฎีกา ไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและอายุความเริ่มนับเมื่อใด โจทก์เป็นผู้เสียหายและ มีอำนาจฟ้องคดีหรือไม่ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดโดยเจตนาอันเป็นการครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ และการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีผิดจากพยานหลักฐานในสำนวนและรับฟังพยานหลักฐานโดยไม่ชอบ ล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น ทั้งเป็นกรณีที่ว่ากล่าว กันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ทนายโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 113 แผ่นที่ 2) โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288,80,90,358 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งให้ประทับฟ้องเฉพาะข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ส่วนข้อหาพยายามฆ่าให้ยกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 จำคุก 3 เดือน โทษจำคุก เห็นสมควรให้เปลี่ยนเป็น กักขังแทน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 110) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 110)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ฎีกาจำเลยที่ว่า ผู้เสียหาย ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานพยายามฆ่าอย่างเดียว แต่แจ้งเรื่องจำเลยยิงปืนถูกบ้านผู้เสียหายด้วยโดยไม่ได้ ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานทำให้เสียทรัพย์ จะถือว่าเป็นการร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานทำให้เสียทรัพย์ ด้วยหรือไม่ และฎีกาที่ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยพยานหลักฐานไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับฎีกา ของจำเลยดังกล่าวในข้อ 2 ไว้ดำเนินการต่อไป ส่วนฎีกาข้ออื่นล้วนเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ของจำเลยนั้นชอบแล้ว
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ปรับจำเลย 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี แม้จะเป็นการแก้ไขมากก็ตาม แต่การที่โจทก์ฎีกาเรื่อง ดุลพินิจในการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้าม ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับ ฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษจำคุกเป็นการ รอการลงโทษจึงเป็นการแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 โปรดมี คำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุก 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลย 20,000 บาท อีกสถานหนึ่ง เมื่อลดโทษกึ่งหนึ่งแล้ว คงปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 68) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 69)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นปรับจำเลย 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท การที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่มีเหตุสมควร เป็นการฎีกาดุลยพินิจในการลงโทษ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ปรับจำเลย 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี แม้จะเป็นการแก้ไขมากก็ตาม แต่การที่โจทก์ฎีกาเรื่อง ดุลพินิจในการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้าม ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับ ฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษจำคุกเป็นการ รอการลงโทษจึงเป็นการแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 โปรดมี คำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุก 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลย 20,000 บาท อีกสถานหนึ่ง เมื่อลดโทษกึ่งหนึ่งแล้ว คงปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 68) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 69)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นปรับจำเลย 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท การที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่มีเหตุสมควร เป็นการฎีกาดุลยพินิจในการลงโทษ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า พยานโจทก์เบิกความขัดแย้งกันมีข้ออันควรสงสัยแต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยและมิได้แสดงเหตุผลในการตัดสินทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยชัดแจ้ง การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฏ หมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(4)(8) วรรคสาม ให้จำคุก 3 ปี ข้อหาอื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา คดีมีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 79) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า พยานโจทก์เบิกความขัดแย้งกันมีข้ออันควรสงสัยแต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยและมิได้แสดงเหตุผลในการตัดสินทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยชัดแจ้ง การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฏ หมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(4)(8) วรรคสาม ให้จำคุก 3 ปี ข้อหาอื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา คดีมีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 79) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 4 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นให้จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน กรณีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกา และผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ได้รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองในเรื่อง ที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้น เป็นการแก้ไขมาก และเกี่ยวกับอำนาจฟ้องปัญหาดังกล่าว เป็นข้อกฎหมายสมควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลสูง โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาแล้ว (อันดับ 128) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกัน ทำไม้ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 14,31 วรรคสอง ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 11,73 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83ความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ มาตรา 14, 31 วรรคสอง กับความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 11, 73 วรรคสอง เป็นความผิดกรรมเดียวต้องด้วยกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 11,73 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนัก ที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกคนละ 1 ปี กระทงหนึ่งและมีความผิดฐานร่วมกันแปรรูปไม้ ตามพระราชบัญญัติ ป่าไม้ มาตรา 48 วรรคแรก, 73 วรรคสอง ให้จำคุกคนละ 1 ปี กระทงหนึ่ง และฐานมีไม้หวงห้ามยังไม่แปรรูปโดยไม่ได้ รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 69 จำคุกคนละ 1 ปี และฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้ รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 48 วรรคแรก,73 วรรคสอง ให้จำคุก คนละ 1 ปี อีกกระทงหนึ่ง รวมจำคุก คนละ 4 ปี ของกลางริบ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษจำเลย ทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก จำเลยทั้งสองคนละ 2 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 108) จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 114)
คำสั่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยทั้งสอง 4 กระทงกระทงละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 4 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 ปี 8 เดือน ตามบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นวางมา ดังนี้เป็นการ แก้ไขเล็กน้อย ห้ามมิให้คู่ความฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกส่วนที่จำเลยทั้งสองอ้างว่ามีข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจ ฟ้องนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าได้ฎีกาไว้แต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ จำเลยทั้งสอง
ความว่า จำเลยทั้งสองยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 4 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นให้จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน กรณีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกา และผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ได้รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองในเรื่อง ที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้น เป็นการแก้ไขมาก และเกี่ยวกับอำนาจฟ้องปัญหาดังกล่าว เป็นข้อกฎหมายสมควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลสูง โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาแล้ว (อันดับ 128) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกัน ทำไม้ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 14,31 วรรคสอง ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 11,73 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83ความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ มาตรา 14, 31 วรรคสอง กับความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 11, 73 วรรคสอง เป็นความผิดกรรมเดียวต้องด้วยกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 11,73 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนัก ที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกคนละ 1 ปี กระทงหนึ่งและมีความผิดฐานร่วมกันแปรรูปไม้ ตามพระราชบัญญัติ ป่าไม้ มาตรา 48 วรรคแรก, 73 วรรคสอง ให้จำคุกคนละ 1 ปี กระทงหนึ่ง และฐานมีไม้หวงห้ามยังไม่แปรรูปโดยไม่ได้ รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 69 จำคุกคนละ 1 ปี และฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้ รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 48 วรรคแรก,73 วรรคสอง ให้จำคุก คนละ 1 ปี อีกกระทงหนึ่ง รวมจำคุก คนละ 4 ปี ของกลางริบ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษจำเลย ทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก จำเลยทั้งสองคนละ 2 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 108) จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 114)
คำสั่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยทั้งสอง 4 กระทงกระทงละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 4 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 ปี 8 เดือน ตามบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นวางมา ดังนี้เป็นการ แก้ไขเล็กน้อย ห้ามมิให้คู่ความฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกส่วนที่จำเลยทั้งสองอ้างว่ามีข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจ ฟ้องนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าได้ฎีกาไว้แต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ จำเลยทั้งสอง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของ จำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้าม ไม่รับอุทธรณ์ ของจำเลย จำเลยเห็นว่า จำเลยอุทธรณ์โต้เถียงการปรับข้อกฎหมายจากข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาว่าการกระทำของโจทก์เป็นการกระทำโดยทุจริตต่อจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณา ต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 101,550 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 71) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 76)
คำสั่ง จำเลยอุทธรณ์เพื่อให้ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง โดยที่ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าไม่มีพยานยืนยันได้ว่า โจทก์รู้เห็นเป็นใจหรือกระทำการดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของ จำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้าม ไม่รับอุทธรณ์ ของจำเลย จำเลยเห็นว่า จำเลยอุทธรณ์โต้เถียงการปรับข้อกฎหมายจากข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาว่าการกระทำของโจทก์เป็นการกระทำโดยทุจริตต่อจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณา ต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 101,550 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 71) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 76)
คำสั่ง จำเลยอุทธรณ์เพื่อให้ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง โดยที่ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าไม่มีพยานยืนยันได้ว่า โจทก์รู้เห็นเป็นใจหรือกระทำการดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้าม มิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว ไม่รับฎีกาจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา ให้จำเลยทั้งหมด จำเลยเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง โปรดมีคำสั่งรับฎีกาและคำร้องขอทุเลา การบังคับของจำเลยด้วย หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 110) ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนบ้าน(ไม่มีเลขที่) ตามฟ้อง และขนย้ายบริวารพร้อมทั้งทรัพย์สิน ของจำเลยทั้งหมดออกไปจากที่ดิน และไม่ให้ปิดบังหน้าที่ดินของโจทก์ น.ส.3 ก. เลขที่ 26 ตำบลสะพลีอำเภอปะทิวจังหวัดชุมพร และห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 200 บาท นับแต่เดือนมกราคม 2533 จนกว่าจะรื้อถอนบ้านและขนย้าย ทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา และสั่งคำร้องว่า เมื่อศาลสั่ง ไม่รับฎีกา คำร้องขอทุเลาการบังคับย่อมตกไปในตัว ยกคำร้อง(อันดับ 104,105) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตาม คำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 107)
คำสั่ง จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกัน มาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ก่อนจึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับฎีกาของจำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้าม มิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว ไม่รับฎีกาจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา ให้จำเลยทั้งหมด จำเลยเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง โปรดมีคำสั่งรับฎีกาและคำร้องขอทุเลา การบังคับของจำเลยด้วย หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 110) ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนบ้าน(ไม่มีเลขที่) ตามฟ้อง และขนย้ายบริวารพร้อมทั้งทรัพย์สิน ของจำเลยทั้งหมดออกไปจากที่ดิน และไม่ให้ปิดบังหน้าที่ดินของโจทก์ น.ส.3 ก. เลขที่ 26 ตำบลสะพลีอำเภอปะทิวจังหวัดชุมพร และห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 200 บาท นับแต่เดือนมกราคม 2533 จนกว่าจะรื้อถอนบ้านและขนย้าย ทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา และสั่งคำร้องว่า เมื่อศาลสั่ง ไม่รับฎีกา คำร้องขอทุเลาการบังคับย่อมตกไปในตัว ยกคำร้อง(อันดับ 104,105) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตาม คำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 107)
คำสั่ง จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกัน มาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ก่อนจึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับฎีกาของจำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ส่วนข้อ 2.2 นั้น ถึงแม้ผลคำวินิจฉัยจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผล ของคำพิพากษาเป็นอย่างอื่นไปได้ จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระอันควรจะได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกา ของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 ที่ว่า จำเลยขับรถบรรทุกสินค้ามาถึงช้ากว่ารถยนต์คันอื่นเพียง 50 นาทีเท่านั้น หาใช่ 2 ชั่วโมง ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยโดยฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญของคดี ส่วนฎีกาข้อ 2.2ที่ว่าบริษัทมิตซูคอร์ปอเรชั่น จำกัด ไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย หากศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บริษัทมิตซูคอร์ปอเรชั่น จำกัด ไม่ใช่ผู้เสียหายแล้วย่อมมีผลให้การร้องทุกข์ และการดำเนินกระบวนพิจารณาของคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นเหตุให้ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยได้ หาใช่ข้อกฎหมาย ที่ไม่เป็นสาระอันควรที่จะได้รับการวินิจฉัยไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาข้อ 2.1 และ 2.2 ของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ เครื่องคอมเพรสเซอร์ จำนวน 35 เครื่อง เป็นเงิน 288,750 บาท แก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 97) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)
คำสั่ง คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 ที่ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่อาจรับฟังได้โดยปราศจาก ข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดนั้น เป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ที่ว่าบริษัทมิตซูคอปอร์เรชั่น จำกัด มิได้เป็นผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยต่อพนักงานสอบสวน เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 ห้ามมิให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเว้นแต่จะมี คำร้องทุกข์ตามระเบียบก็เฉพาะแต่คดีความผิดต่อส่วนตัว หรือความผิดอันยอมความได้เท่านั้น เมื่อคดีนี้เป็นคดีอาญาแผ่นดินมิใช่เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้บริษัทมิตซูคอปอร์เรชั่น จำกัด ย่อมจะกล่าวโทษจำเลยต่อพนักงานสอบสวนและพนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจสอบสวนจำเลย ได้โดยชอบอยู่แล้ว ฉะนั้น ไม่ว่าบริษัทมิตซูคอปอร์เรชั่น จำกัดจะเป็นผู้เสียหายหรือไม่ มีอำนาจร้องทุกข์หรือไม่ ก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยในข้อนี้แม้เป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อดังกล่าวนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ส่วนข้อ 2.2 นั้น ถึงแม้ผลคำวินิจฉัยจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผล ของคำพิพากษาเป็นอย่างอื่นไปได้ จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระอันควรจะได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกา ของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 ที่ว่า จำเลยขับรถบรรทุกสินค้ามาถึงช้ากว่ารถยนต์คันอื่นเพียง 50 นาทีเท่านั้น หาใช่ 2 ชั่วโมง ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยโดยฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญของคดี ส่วนฎีกาข้อ 2.2ที่ว่าบริษัทมิตซูคอร์ปอเรชั่น จำกัด ไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย หากศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บริษัทมิตซูคอร์ปอเรชั่น จำกัด ไม่ใช่ผู้เสียหายแล้วย่อมมีผลให้การร้องทุกข์ และการดำเนินกระบวนพิจารณาของคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นเหตุให้ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยได้ หาใช่ข้อกฎหมาย ที่ไม่เป็นสาระอันควรที่จะได้รับการวินิจฉัยไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาข้อ 2.1 และ 2.2 ของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ เครื่องคอมเพรสเซอร์ จำนวน 35 เครื่อง เป็นเงิน 288,750 บาท แก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 97) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)
คำสั่ง คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 ที่ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่อาจรับฟังได้โดยปราศจาก ข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดนั้น เป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ที่ว่าบริษัทมิตซูคอปอร์เรชั่น จำกัด มิได้เป็นผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยต่อพนักงานสอบสวน เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 ห้ามมิให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเว้นแต่จะมี คำร้องทุกข์ตามระเบียบก็เฉพาะแต่คดีความผิดต่อส่วนตัว หรือความผิดอันยอมความได้เท่านั้น เมื่อคดีนี้เป็นคดีอาญาแผ่นดินมิใช่เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้บริษัทมิตซูคอปอร์เรชั่น จำกัด ย่อมจะกล่าวโทษจำเลยต่อพนักงานสอบสวนและพนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจสอบสวนจำเลย ได้โดยชอบอยู่แล้ว ฉะนั้น ไม่ว่าบริษัทมิตซูคอปอร์เรชั่น จำกัดจะเป็นผู้เสียหายหรือไม่ มีอำนาจร้องทุกข์หรือไม่ ก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยในข้อนี้แม้เป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อดังกล่าวนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา ไม่เกิน 200,000 บาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง 59,875 บาท จึงต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาที่จำเลยฎีกามานั้นล้วนแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาไม่รับฎีกาของจำเลยคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้แก่จำเลยทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยคดีโดยฝ่าฝืนพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน และในกรณีนี้มิได้มีประเด็นว่าจำเลยเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมาย ของเจ้ามรดกหรือไม่ และโจทก์มิได้โต้แย้ง หรือนำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นสามี และเจ้าของร่วมในที่ดินพิพาทร่วมกับเจ้ามรดก เป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาทและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 700 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 20 พฤศจิกายน 2534) จนกว่าจำเลย จะออกจากบ้านพิพาท ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 9) จำเลยจึงยื่น คำร้องนี้ (อันดับ 91)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ข้ออ้างว่าฎีกาของจำเลยเป็นฎีกา ในข้อกฎหมายนั้น แต่ตามฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งสิ้น จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา ไม่เกิน 200,000 บาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง 59,875 บาท จึงต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาที่จำเลยฎีกามานั้นล้วนแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาไม่รับฎีกาของจำเลยคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้แก่จำเลยทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยคดีโดยฝ่าฝืนพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน และในกรณีนี้มิได้มีประเด็นว่าจำเลยเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมาย ของเจ้ามรดกหรือไม่ และโจทก์มิได้โต้แย้ง หรือนำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นสามี และเจ้าของร่วมในที่ดินพิพาทร่วมกับเจ้ามรดก เป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาทและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 700 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 20 พฤศจิกายน 2534) จนกว่าจำเลย จะออกจากบ้านพิพาท ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 9) จำเลยจึงยื่น คำร้องนี้ (อันดับ 91)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ข้ออ้างว่าฎีกาของจำเลยเป็นฎีกา ในข้อกฎหมายนั้น แต่ตามฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งสิ้น จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|