คำร้องขัดทรัพย์ต้องพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเหมือน อย่างคดีธรรมดา เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินคดีแล้วจึงไม่อาจ ขอถอนคำร้องขัดทรัพย์นั้นได้ ความว่า ผู้ร้องฎีกา บัดนี้โจทก์ จำเลย และผู้ร้องสามารถตกลงกันได้แล้ว ผู้ร้องจึงขอถอนฎีกาและคำร้องขัดทรัพย์ ของผู้ร้อง โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง กรณีเป็นชั้นร้องขัดทรัพย์ คดีสืบเนื่องจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 3266 ตำบลศาลามีชัย อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งปลูกสร้างทะเบียนเลขที่ 10/1โดยอ้างว่าเป็นของจำเลย เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาผู้ร้องยื่นคำร้องว่าทรัพย์ที่ถูกยึดดังกล่าวเป็นของผู้ร้องขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์พิพาทที่ยึด ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง ผู้ร้องฎีกา (อันดับที่ 71) คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 77)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คำร้องขัดทรัพย์ต้องพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเหมือนอย่างคดีธรรมดา เมื่อศาลชั้นต้นชี้ขาดตัดสินคดีแล้วจึงไม่อาจขอถอนคำร้องขัดทรัพย์นั้นได้ ยกคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์ ส่วนคำร้องขอถอนฎีกาของผู้ร้องนั้นอนุญาตให้ผู้ร้องถอนฎีกาได้ ให้คืนค่าขึ้นศาล 3 ใน 4จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา
คำร้องขัดทรัพย์ต้องพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเหมือน อย่างคดีธรรมดา เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินคดีแล้วจึงไม่อาจ ขอถอนคำร้องขัดทรัพย์นั้นได้ ความว่า ผู้ร้องฎีกา บัดนี้โจทก์ จำเลย และผู้ร้องสามารถตกลงกันได้แล้ว ผู้ร้องจึงขอถอนฎีกาและคำร้องขัดทรัพย์ ของผู้ร้อง โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง กรณีเป็นชั้นร้องขัดทรัพย์ คดีสืบเนื่องจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 3266 ตำบลศาลามีชัย อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งปลูกสร้างทะเบียนเลขที่ 10/1โดยอ้างว่าเป็นของจำเลย เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาผู้ร้องยื่นคำร้องว่าทรัพย์ที่ถูกยึดดังกล่าวเป็นของผู้ร้องขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์พิพาทที่ยึด ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง ผู้ร้องฎีกา (อันดับที่ 71) คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 77)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คำร้องขัดทรัพย์ต้องพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเหมือนอย่างคดีธรรมดา เมื่อศาลชั้นต้นชี้ขาดตัดสินคดีแล้วจึงไม่อาจขอถอนคำร้องขัดทรัพย์นั้นได้ ยกคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์ ส่วนคำร้องขอถอนฎีกาของผู้ร้องนั้นอนุญาตให้ผู้ร้องถอนฎีกาได้ ให้คืนค่าขึ้นศาล 3 ใน 4จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา
คำร้องขัดทรัพย์ต้องพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเหมือนอย่างคดีธรรมดา เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินคดีแล้วจึงไม่อาจขอถอนคำร้องขัดทรัพย์นั้นได้
ความว่า ผู้ร้องฎีกา บัดนี้โจทก์ จำเลย และผู้ร้อง สามารถตกลงกันได้แล้ว ผู้ร้องจึงขอถอนฎีกาและคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องโปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
กรณีเป็นชั้นร้องขัดทรัพย์
คดีสืบเนื่องจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 3266 ตำบลศาลามีชัย อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งปลูกสร้างทะเบียนเลขที่ 10/1โดยอ้างว่าเป็นของจำเลย เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาผู้ร้องยื่นคำร้องว่าทรัพย์ที่ถูกยึดดังกล่าวเป็นของผู้ร้องขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ปล่อยทรัพย์พิพาทที่ยึด
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา (อันดับที่ 71)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 77)
คำสั่ง
วันที่ 24 เดือนมกราคม พุทธศักราช 2538
พิเคราะห์แล้ว คำร้องขัดทรัพย์ต้องพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเหมือนอย่างคดีธรรมดา เมื่อศาลชั้นต้นชี้ขาดตัดสินคดีแล้วจึงไม่อาจขอถอนคำร้องขัดทรัพย์นั้นได้ ยกคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์ส่วนคำร้องขอถอนฎีกาของผู้ร้องนั้น อนุญาตให้ผู้ร้องถอนฎีกาได้ให้คืนค่าขึ้นศาล 3 ใน 4 จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา
คำร้องขัดทรัพย์ต้องพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเหมือนอย่างคดีธรรมดา เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินคดีแล้วจึงไม่อาจขอถอนคำร้องขัดทรัพย์นั้นได้
ความว่า ผู้ร้องฎีกา บัดนี้โจทก์ จำเลย และผู้ร้อง สามารถตกลงกันได้แล้ว ผู้ร้องจึงขอถอนฎีกาและคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องโปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
กรณีเป็นชั้นร้องขัดทรัพย์
คดีสืบเนื่องจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 3266 ตำบลศาลามีชัย อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งปลูกสร้างทะเบียนเลขที่ 10/1โดยอ้างว่าเป็นของจำเลย เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาผู้ร้องยื่นคำร้องว่าทรัพย์ที่ถูกยึดดังกล่าวเป็นของผู้ร้องขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ปล่อยทรัพย์พิพาทที่ยึด
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา (อันดับที่ 71)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 77)
คำสั่ง
วันที่ 24 เดือนมกราคม พุทธศักราช 2538
พิเคราะห์แล้ว คำร้องขัดทรัพย์ต้องพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเหมือนอย่างคดีธรรมดา เมื่อศาลชั้นต้นชี้ขาดตัดสินคดีแล้วจึงไม่อาจขอถอนคำร้องขัดทรัพย์นั้นได้ ยกคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์ส่วนคำร้องขอถอนฎีกาของผู้ร้องนั้น อนุญาตให้ผู้ร้องถอนฎีกาได้ให้คืนค่าขึ้นศาล 3 ใน 4 จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 และข้อ 2.2 โต้แย้ง คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เกี่ยวกับการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาลอันเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเกี่ยวกับความสงบ เรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7)(8) วรรคสาม จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน คำขออื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 71) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 77)
คำสั่ง จำเลยฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค 3ในการฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 และข้อ 2.2 โต้แย้ง คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เกี่ยวกับการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาลอันเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเกี่ยวกับความสงบ เรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7)(8) วรรคสาม จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน คำขออื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 71) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 77)
คำสั่ง จำเลยฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค 3ในการฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีต้องห้าม ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยคลาดเคลื่อนจากพยานหลักฐานในสำนวน การสอบสวนของพนักงานสอบสวนกระทำไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ร่วมกับนายบุญปั๋นเทพธานี ผู้เสียหายที่ 1 มิใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาด้วย หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ระหว่างพิจารณา นางนงลักษณ์ ประกอบบุญ ผู้เสียหายที่ 2ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266(4),268 วรรคสอง ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอม จำคุก 3 ปี โจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่า ศาลได้ลงโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 1356/2534 ของศาลนี้แล้ว นับโทษต่อไม่ได้ ยกคำขอส่วนนี้ ตั๋วแลกเงินเอกสารหมาย จ.1 เป็นทรัพย์ที่ใช้ ในการกระทำความผิด ให้ริบ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน แต่ให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 2177/2535 ของศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 78) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 81)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน คลาดเคลื่อนนั้น แท้จริงฎีกาดังกล่าวเป็นการโต้แย้งดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นปัญหา ข้อเท็จจริง และที่ฎีกาว่าโจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 1 เป็นผู้เสียหายหรือไม่นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่าจำเลย ปลอมลายมือชื่อของผู้เสียหายที่ 1 ลงในตั๋วแลกเงินของกลาง ที่จำเลยฎีกาว่าข้อเท็จจริงยังสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้ลงลายมือ ชื่อปลอมหรือไม่ โจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 1 จึงมิใช่ ผู้เสียหาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ส่วนที่ในคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาอ้างว่าการสอบสวนชอบด้วย กฎหมายหรือไม่นั้น ปรากฏว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่าไว้ ในฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย จึงชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีต้องห้าม ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยคลาดเคลื่อนจากพยานหลักฐานในสำนวน การสอบสวนของพนักงานสอบสวนกระทำไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ร่วมกับนายบุญปั๋นเทพธานี ผู้เสียหายที่ 1 มิใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาด้วย หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ระหว่างพิจารณา นางนงลักษณ์ ประกอบบุญ ผู้เสียหายที่ 2ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266(4),268 วรรคสอง ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอม จำคุก 3 ปี โจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่า ศาลได้ลงโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 1356/2534 ของศาลนี้แล้ว นับโทษต่อไม่ได้ ยกคำขอส่วนนี้ ตั๋วแลกเงินเอกสารหมาย จ.1 เป็นทรัพย์ที่ใช้ ในการกระทำความผิด ให้ริบ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน แต่ให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 2177/2535 ของศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 78) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 81)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน คลาดเคลื่อนนั้น แท้จริงฎีกาดังกล่าวเป็นการโต้แย้งดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นปัญหา ข้อเท็จจริง และที่ฎีกาว่าโจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 1 เป็นผู้เสียหายหรือไม่นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่าจำเลย ปลอมลายมือชื่อของผู้เสียหายที่ 1 ลงในตั๋วแลกเงินของกลาง ที่จำเลยฎีกาว่าข้อเท็จจริงยังสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้ลงลายมือ ชื่อปลอมหรือไม่ โจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 1 จึงมิใช่ ผู้เสียหาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ส่วนที่ในคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาอ้างว่าการสอบสวนชอบด้วย กฎหมายหรือไม่นั้น ปรากฏว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่าไว้ ในฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย จึงชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ารับฎีกาเฉพาะ ข้อ 2 ก. และ 2 ข. ส่วนข้อ 2.ค นั้น เป็นฎีกาข้อกฎหมาย ที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ค. ที่ว่า โจทก์เป็นผู้ค้าและผู้ขายบริการด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ แก่สมาชิก แต่โจทก์มิได้ ให้บริการดังกล่าวแก่จำเลย จำเลยจึงมีสิทธิปฏิเสธการจ่าย ค่าบริการให้แก่โจทก์ได้ และการที่โจทก์ออกข้อบังคับข้อ 29 ตามเอกสารหมาย จ.9 น่าจะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม อันดีของประชาชนและน่าจะเป็นโมฆะตามมาตรา 150 และ 373 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นข้อกฎหมายที่เป็นสาระ แก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาข้อ 2 ค. ของจำเลยด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 94)ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าน้ำประปา 24,797 บาท ค่าบริการ 100 บาท ค่าหุ้น 550 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 25,447 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยชำระค่าบริการแก่โจทก์ในอัตรา เดือนละ 100 บาท หรืออัตราตามข้อบังคับโจทก์นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะพ้นสมาชิกภาพของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาเฉพาะข้อ 2 ค.ดังกล่าว (อันดับ 81) จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 88)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์เป็นผู้ค้าและผู้ขายบริการด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ แก่สมาชิก แต่โจทก์มิได้ให้บริการดังกล่าวแก่จำเลย จำเลยจึงมีสิทธิปฏิเสธการจ่ายค่าบริการให้โจทก์ได้ และฎีกาที่ว่า โจทก์ออกข้อบังคับข้อ 29ตามเอกสารหมาย จ.9 ขัดต่อความสงบเรียบร้อยเป็นโมฆะนั้นปัญหาดังกล่าวมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์และมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยดังที่จำเลยอ้างจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยข้อนี้ชอบแล้ว ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ารับฎีกาเฉพาะ ข้อ 2 ก. และ 2 ข. ส่วนข้อ 2.ค นั้น เป็นฎีกาข้อกฎหมาย ที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ค. ที่ว่า โจทก์เป็นผู้ค้าและผู้ขายบริการด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ แก่สมาชิก แต่โจทก์มิได้ ให้บริการดังกล่าวแก่จำเลย จำเลยจึงมีสิทธิปฏิเสธการจ่าย ค่าบริการให้แก่โจทก์ได้ และการที่โจทก์ออกข้อบังคับข้อ 29 ตามเอกสารหมาย จ.9 น่าจะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม อันดีของประชาชนและน่าจะเป็นโมฆะตามมาตรา 150 และ 373 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นข้อกฎหมายที่เป็นสาระ แก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาข้อ 2 ค. ของจำเลยด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 94)ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าน้ำประปา 24,797 บาท ค่าบริการ 100 บาท ค่าหุ้น 550 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 25,447 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยชำระค่าบริการแก่โจทก์ในอัตรา เดือนละ 100 บาท หรืออัตราตามข้อบังคับโจทก์นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะพ้นสมาชิกภาพของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาเฉพาะข้อ 2 ค.ดังกล่าว (อันดับ 81) จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 88)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์เป็นผู้ค้าและผู้ขายบริการด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ แก่สมาชิก แต่โจทก์มิได้ให้บริการดังกล่าวแก่จำเลย จำเลยจึงมีสิทธิปฏิเสธการจ่ายค่าบริการให้โจทก์ได้ และฎีกาที่ว่า โจทก์ออกข้อบังคับข้อ 29ตามเอกสารหมาย จ.9 ขัดต่อความสงบเรียบร้อยเป็นโมฆะนั้นปัญหาดังกล่าวมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์และมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยดังที่จำเลยอ้างจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยข้อนี้ชอบแล้ว ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า เป็นอุทธรณ์ ข้อเท็จจริง ต้องห้ามจึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า บันทึกข้อตกลงเอกสาร หมาย ล.1 ระหว่างโจทก์และจำเลยมีความหมายว่า โจทก์ไม่ประสงค์ จะเรียกร้องสิ่งใดจากจำเลย จึงเป็นอุทธรณ์เกี่ยวกับการตีความ ถ้อยคำในเอกสารนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 64,66) ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้าจำนวน 6,040 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง ไม่เป็นธรรม 26,650 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 23 พฤษภาคม 2537) จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ดังกล่าว (อันดับ 57) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยยกข้อความซึ่งไม่มี อยู่ในเอกสารหมาย ล.1 ขึ้นอ้าง เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อความดังกล่าวแสดงว่าเอกสารหมาย ล.1 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ไม่ประสงค์เรียกร้อง สิ่งใดจากจำเลย เป็นอุทธรณ์ที่บิดเบือนข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ในสำนวน จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า เป็นอุทธรณ์ ข้อเท็จจริง ต้องห้ามจึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า บันทึกข้อตกลงเอกสาร หมาย ล.1 ระหว่างโจทก์และจำเลยมีความหมายว่า โจทก์ไม่ประสงค์ จะเรียกร้องสิ่งใดจากจำเลย จึงเป็นอุทธรณ์เกี่ยวกับการตีความ ถ้อยคำในเอกสารนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 64,66) ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้าจำนวน 6,040 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง ไม่เป็นธรรม 26,650 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 23 พฤษภาคม 2537) จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ดังกล่าว (อันดับ 57) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยยกข้อความซึ่งไม่มี อยู่ในเอกสารหมาย ล.1 ขึ้นอ้าง เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อความดังกล่าวแสดงว่าเอกสารหมาย ล.1 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ไม่ประสงค์เรียกร้อง สิ่งใดจากจำเลย เป็นอุทธรณ์ที่บิดเบือนข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ในสำนวน จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
อุทธรณ์ของจำเลยยกข้อความซึ่งไม่มีอยู่ในเอกสารขึ้นอ้างเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อความดังกล่าวแสดงว่าเอกสารนั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ไม่ประสงค์เรียกร้องสิ่งใดจากจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่บิดเบือนข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 6,040 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 26,650 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามจึงไม่รับ
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ ขอให้มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยยกข้อความซึ่งไม่มีอยู่ในเอกสารหมาย ล.1 ขึ้นอ้างเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์ ข้อความดังกล่าวแสดงว่าเอกสารหมาย ล.1 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ไม่ประสงค์เรียกร้องสิ่งใดจากจำเลย เป็นอุทธรณ์ที่บิดเบือนข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง"
อุทธรณ์ของจำเลยยกข้อความซึ่งไม่มีอยู่ในเอกสารขึ้นอ้างเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อความดังกล่าวแสดงว่าเอกสารนั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ไม่ประสงค์เรียกร้องสิ่งใดจากจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่บิดเบือนข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 6,040 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 26,650 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามจึงไม่รับ
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ ขอให้มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยยกข้อความซึ่งไม่มีอยู่ในเอกสารหมาย ล.1 ขึ้นอ้างเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์ ข้อความดังกล่าวแสดงว่าเอกสารหมาย ล.1 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ไม่ประสงค์เรียกร้องสิ่งใดจากจำเลย เป็นอุทธรณ์ที่บิดเบือนข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง"
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้ โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่าการนำสืบพยานหลักฐานของจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94จึงไม่ชอบที่ศาลจะรับฟังคำเบิกความดังกล่าว เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่เป็นสาระแก่คดี โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 65) โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 6,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของค่าเสียหาย นับแต่วันฟ้องไปจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 56) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 63)
1คำสั่ง ฎีกาของโจทก์ที่เป็นข้อกฎหมายมีว่า โจทก์มีสัญญาเช่าซื้อสัญญาซื้อขายและสัญญาเช่า จำเลยนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสัญญาดังกล่าว เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ปฏิเสธว่ามิได้ทำสัญญาดังกล่าวกับโจทก์ ข้อกฎหมายที่โจทก์อ้างจึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้ โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่าการนำสืบพยานหลักฐานของจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94จึงไม่ชอบที่ศาลจะรับฟังคำเบิกความดังกล่าว เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่เป็นสาระแก่คดี โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 65) โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 6,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของค่าเสียหาย นับแต่วันฟ้องไปจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 56) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 63)
1คำสั่ง ฎีกาของโจทก์ที่เป็นข้อกฎหมายมีว่า โจทก์มีสัญญาเช่าซื้อสัญญาซื้อขายและสัญญาเช่า จำเลยนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสัญญาดังกล่าว เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ปฏิเสธว่ามิได้ทำสัญญาดังกล่าวกับโจทก์ ข้อกฎหมายที่โจทก์อ้างจึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามเพราะคดีมีทุนทรัพย์ไม่ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่วนฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้โจทก์ทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า การนำสืบพยานหลักฐานของจำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94จึงไม่ชอบที่ศาลจะรับฟังคำเบิกความดังกล่าว เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดี โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวาร ขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่พิพาท กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย แก่โจทก์ปีละ 7,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของยอดเงินค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลย จะชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 56) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 59)
คำสั่ง ฎีกาข้อกฎหมายของโจทก์ที่ว่า ตามเอกสารหมาย จ.1เป็นหนังสือรับเงินจึงเป็นการซื้อขาย การที่จำเลยนำสืบว่า ไม่ได้รู้จัก ไม่เคยขายที่ดิน ทั้ง ๆ ที่ตามเอกสารดังกล่าวระบุชัดแจ้งว่าจำเลยได้รับเงินจากผู้มีชื่อครบถ้วนแล้วเป็นการนำสืบเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) นั้นเป็นข้อกฎหมายไร้สาระเพราะจำเลยปฏิเสธว่ามิได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามเพราะคดีมีทุนทรัพย์ไม่ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่วนฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้โจทก์ทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า การนำสืบพยานหลักฐานของจำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94จึงไม่ชอบที่ศาลจะรับฟังคำเบิกความดังกล่าว เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดี โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวาร ขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่พิพาท กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย แก่โจทก์ปีละ 7,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของยอดเงินค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลย จะชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 56) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 59)
คำสั่ง ฎีกาข้อกฎหมายของโจทก์ที่ว่า ตามเอกสารหมาย จ.1เป็นหนังสือรับเงินจึงเป็นการซื้อขาย การที่จำเลยนำสืบว่า ไม่ได้รู้จัก ไม่เคยขายที่ดิน ทั้ง ๆ ที่ตามเอกสารดังกล่าวระบุชัดแจ้งว่าจำเลยได้รับเงินจากผู้มีชื่อครบถ้วนแล้วเป็นการนำสืบเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) นั้นเป็นข้อกฎหมายไร้สาระเพราะจำเลยปฏิเสธว่ามิได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย ทุกข้อเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้เป็นการกระทำ โดยประมาท เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4),157 ที่แก้ไขใหม่ การกระทำของจำเลยกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 6 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 64)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องนี้ เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 วรรคหนึ่งส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาต่อไป (อันดับ 68)
คำสั่ง
จำเลยยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2537 และตาม แบบพิมพ์ท้ายฎีกามีข้อความว่า "รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอถือว่าทราบแล้ว" ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในวันนั้นเอง ถือว่าจำเลยทราบคำสั่งศาลชั้นต้นในวันนั้น จำเลยเพิ่งยื่นคำร้อง อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2537พ้นกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันฟังคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 จึงต้องห้ามให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย ทุกข้อเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้เป็นการกระทำ โดยประมาท เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4),157 ที่แก้ไขใหม่ การกระทำของจำเลยกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 6 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 64)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องนี้ เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 วรรคหนึ่งส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาต่อไป (อันดับ 68)
คำสั่ง
จำเลยยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2537 และตาม แบบพิมพ์ท้ายฎีกามีข้อความว่า "รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอถือว่าทราบแล้ว" ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในวันนั้นเอง ถือว่าจำเลยทราบคำสั่งศาลชั้นต้นในวันนั้น จำเลยเพิ่งยื่นคำร้อง อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2537พ้นกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันฟังคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 จึงต้องห้ามให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
ความว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกา หากปล่อยให้ผู้คัดค้านที่ 2จัดการมรดกของผู้ตายไปตามคำพิพากษา ผู้คัดค้านที่ 2 อาจจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์มรดกของผู้ตายไปทั้งหมด ทำให้ยากแก่ การติดตามเอาทรัพย์คืนเมื่อผู้คัดค้านที่ 1 ชนะคดี โปรดมีคำสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองประโยชน์ของผู้คัดค้านที่ 1 ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โดยมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านที่ 2ทำบัญชีทรัพย์สินของผู้ตายทั้งหมดส่งศาล กับมีคำสั่ง ห้ามผู้คัดค้านที่ 2 จัดการมรดกในลักษณะที่เป็นการจำหน่ายจ่าย โอนทรัพย์มรดกก่อนคดีถึงที่สุด โปรดอนุญาต
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้อง
เป็นผู้จัดการมรดกของนายเก็จกองสุนทรครุฑหรือสุนทรครุธผู้ตาย นางกอบทองวิริยะพันธ์และนางจรวยพร อมาตยกุลหรือทีประวิภาต ยื่นคำร้องคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ นางจรวยพรอมาตยกุลหรือทีประวิภาตผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของ นายเก็จกอง สุนทรครุฑหรือสุนทรครุธ ผู้ตาย ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ให้ยกคำร้องของ ผู้ร้องและคำร้องคัดค้านของ ผู้คัดค้านที่ 1
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกา และยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 170,173)
คำสั่ง
คดีนี้เป็นเรื่องร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกซึ่งผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สิทธิของผู้คัดค้านที่ 1 ในกองมรดกมีอยู่อย่างไรก็คงมีอยู่ อย่างนั้น ไม่ทำให้ผู้คัดค้านที่ 1 เสียประโยชน์ จึงไม่มีเหตุที่จะคุ้มครองประโยชน์ของผู้คัดค้านที่ 1 ในระหว่างฎีกาให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกา หากปล่อยให้ผู้คัดค้านที่ 2จัดการมรดกของผู้ตายไปตามคำพิพากษา ผู้คัดค้านที่ 2 อาจจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์มรดกของผู้ตายไปทั้งหมด ทำให้ยากแก่ การติดตามเอาทรัพย์คืนเมื่อผู้คัดค้านที่ 1 ชนะคดี โปรดมีคำสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองประโยชน์ของผู้คัดค้านที่ 1 ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โดยมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านที่ 2ทำบัญชีทรัพย์สินของผู้ตายทั้งหมดส่งศาล กับมีคำสั่ง ห้ามผู้คัดค้านที่ 2 จัดการมรดกในลักษณะที่เป็นการจำหน่ายจ่าย โอนทรัพย์มรดกก่อนคดีถึงที่สุด โปรดอนุญาต
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้อง
เป็นผู้จัดการมรดกของนายเก็จกองสุนทรครุฑหรือสุนทรครุธผู้ตาย นางกอบทองวิริยะพันธ์และนางจรวยพร อมาตยกุลหรือทีประวิภาต ยื่นคำร้องคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ นางจรวยพรอมาตยกุลหรือทีประวิภาตผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของ นายเก็จกอง สุนทรครุฑหรือสุนทรครุธ ผู้ตาย ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ให้ยกคำร้องของ ผู้ร้องและคำร้องคัดค้านของ ผู้คัดค้านที่ 1
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกา และยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 170,173)
คำสั่ง
คดีนี้เป็นเรื่องร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกซึ่งผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สิทธิของผู้คัดค้านที่ 1 ในกองมรดกมีอยู่อย่างไรก็คงมีอยู่ อย่างนั้น ไม่ทำให้ผู้คัดค้านที่ 1 เสียประโยชน์ จึงไม่มีเหตุที่จะคุ้มครองประโยชน์ของผู้คัดค้านที่ 1 ในระหว่างฎีกาให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกา ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จึงมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่และคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน90,000 บาท แก่โจทก์ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 107)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 109)
คำสั่ง
จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายรวมอยู่ จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ให้รับฎีกาของจำเลย และดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกา ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จึงมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่และคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน90,000 บาท แก่โจทก์ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 107)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 109)
คำสั่ง
จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายรวมอยู่ จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ให้รับฎีกาของจำเลย และดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา มีเหตุผลพอที่ศาลฎีกาจะพิพากษา กลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 201)
กรณีสืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวาร รื้อโรงเรือนออกจากที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง เลขที่ 25/2498 หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านกลึง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของโจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสอง ได้รื้อถอนห้องน้ำออกไปจากที่ดินดังกล่าว ปรากฏตามแผนที่ท้าย รายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีฉบับลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2536 โจทก์คัดค้านว่า โรงเรือนส่วนที่เป็นตัวบ้านของจำเลยทั้งสอง รุกล้ำที่ดินของโจทก์ด้วย การรื้อเฉพาะห้องน้ำจึงไม่ถูกต้อง ขอให้รื้อโรงเรือนส่วนที่เป็นตัวบ้านออกไป 2.5 เมตร จำเลยทั้งสอง ยื่นคำร้องว่า ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาถูกต้องแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้น สั่งให้ทำแผนที่พิพาทประกอบการพิจารณาแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา และยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 189,197)
คำสั่ง
คดีนี้ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสองและบริวารรื้อโรงเรือนออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องคดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2534 ในชั้นบังคับคดี ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายก คำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 5 สิงหาคม 2535 โดยให้ศาลชั้นต้น สั่งให้ทำแผนที่พิพาทประกอบการพิจารณาแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ในชั้นนี้จึงยังไม่มีกรณีที่จำเลยจะต้องขอทุเลาการบังคับ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา มีเหตุผลพอที่ศาลฎีกาจะพิพากษา กลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 201)
กรณีสืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวาร รื้อโรงเรือนออกจากที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง เลขที่ 25/2498 หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านกลึง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของโจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสอง ได้รื้อถอนห้องน้ำออกไปจากที่ดินดังกล่าว ปรากฏตามแผนที่ท้าย รายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีฉบับลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2536 โจทก์คัดค้านว่า โรงเรือนส่วนที่เป็นตัวบ้านของจำเลยทั้งสอง รุกล้ำที่ดินของโจทก์ด้วย การรื้อเฉพาะห้องน้ำจึงไม่ถูกต้อง ขอให้รื้อโรงเรือนส่วนที่เป็นตัวบ้านออกไป 2.5 เมตร จำเลยทั้งสอง ยื่นคำร้องว่า ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาถูกต้องแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้น สั่งให้ทำแผนที่พิพาทประกอบการพิจารณาแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา และยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 189,197)
คำสั่ง
คดีนี้ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสองและบริวารรื้อโรงเรือนออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องคดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2534 ในชั้นบังคับคดี ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายก คำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 5 สิงหาคม 2535 โดยให้ศาลชั้นต้น สั่งให้ทำแผนที่พิพาทประกอบการพิจารณาแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ในชั้นนี้จึงยังไม่มีกรณีที่จำเลยจะต้องขอทุเลาการบังคับ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2536จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของจำเลยที่ 1จึงขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะและยื่นฎีกาแทนจำเลยที่ 1 โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ทั้งหกแถลงคัดค้าน (อันดับ 182)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดิน โฉนดเลขที่ 2373 ตำบลบ้านระกาศ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2526 เฉพาะส่วนของโจทก์ทั้งหก ซึ่งมีอยู่รวม 6ใน 12 ส่วน แล้วให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินส่วนที่เพิกถอนการโอนดังกล่าว ให้โจทก์ทั้งหกคนละ 1 ใน 6 ส่วน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอา คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องนี้ พร้อมกับฎีกาของจำเลยทั้งสองศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า รับคำร้อง นัดไต่สวน และสั่งฎีกาว่ารอสั่งเมื่อพิจารณาคำร้องขอรับมรดกความแล้ว (อันดับ 157,158)
โจทก์ทั้งหกฎีกา (อันดับ 168)
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องนี้ แล้วมีคำสั่งให้จัดส่งสำนวนคำร้อง และคำคัดค้านมายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป(อันดับ 183 ถึง 189)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งหกฟ้องคดีจำเลยที่ 1ในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของนายม้วน ลำใย เมื่อจำเลยที่ 1ถึงแก่กรรมในระหว่างฎีกา สิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมสิ้นสุดลงเพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัวของ ผู้จัดการมรดกหาได้ตกทอดไปยังทายาทของจำเลยที่ 1ไม่ ผู้ร้อง จะรับมรดกความไม่ได้ ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2536จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของจำเลยที่ 1จึงขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะและยื่นฎีกาแทนจำเลยที่ 1 โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ทั้งหกแถลงคัดค้าน (อันดับ 182)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดิน โฉนดเลขที่ 2373 ตำบลบ้านระกาศ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2526 เฉพาะส่วนของโจทก์ทั้งหก ซึ่งมีอยู่รวม 6ใน 12 ส่วน แล้วให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินส่วนที่เพิกถอนการโอนดังกล่าว ให้โจทก์ทั้งหกคนละ 1 ใน 6 ส่วน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอา คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องนี้ พร้อมกับฎีกาของจำเลยทั้งสองศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า รับคำร้อง นัดไต่สวน และสั่งฎีกาว่ารอสั่งเมื่อพิจารณาคำร้องขอรับมรดกความแล้ว (อันดับ 157,158)
โจทก์ทั้งหกฎีกา (อันดับ 168)
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องนี้ แล้วมีคำสั่งให้จัดส่งสำนวนคำร้อง และคำคัดค้านมายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป(อันดับ 183 ถึง 189)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งหกฟ้องคดีจำเลยที่ 1ในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของนายม้วน ลำใย เมื่อจำเลยที่ 1ถึงแก่กรรมในระหว่างฎีกา สิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมสิ้นสุดลงเพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัวของ ผู้จัดการมรดกหาได้ตกทอดไปยังทายาทของจำเลยที่ 1ไม่ ผู้ร้อง จะรับมรดกความไม่ได้ ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของผู้ร้องเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลให้ทั้งหมด
ผู้ร้องเห็นว่า ฎีกาของผู้ร้องที่ว่า โจทก์มิได้ฟ้อง ผู้ร้องเข้ามาในคดี โจทก์มีอำนาจที่จะบังคับคดีในส่วนเกี่ยวกับ ผู้ร้องขัดทรัพย์ได้หรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของผู้ร้องด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 83)
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยและบริวาร รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากที่ดินของโจทก์โดยปรับที่ดินให้มีสภาพเรียบร้อยและชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยและบริวารไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาท โจทก์จึงขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปดำเนินการ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 581 หมู่ที่ 2ตำบลบ่อพลอย อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง มิใช่ของจำเลย และผู้ร้องมิได้เป็นบริวารของจำเลย ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดทำการรื้อถอนบ้านเลขที่ดังกล่าวด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 73)
ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 81)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาผู้ร้องล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและที่คำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้องอ้างว่า เป็นฎีกาในข้อกฎหมายว่า โจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้องเข้ามาในคดี โจทก์จะมีอำนาจบังคับคดีในส่วนเกี่ยวกับผู้ร้องหรือไม่นั้น ก็ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้อ้างปัญหานี้ไว้ในฎีกา จึงไม่วินิจฉัยให้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้องชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของผู้ร้องเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลให้ทั้งหมด
ผู้ร้องเห็นว่า ฎีกาของผู้ร้องที่ว่า โจทก์มิได้ฟ้อง ผู้ร้องเข้ามาในคดี โจทก์มีอำนาจที่จะบังคับคดีในส่วนเกี่ยวกับ ผู้ร้องขัดทรัพย์ได้หรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของผู้ร้องด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 83)
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยและบริวาร รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากที่ดินของโจทก์โดยปรับที่ดินให้มีสภาพเรียบร้อยและชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยและบริวารไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาท โจทก์จึงขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปดำเนินการ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 581 หมู่ที่ 2ตำบลบ่อพลอย อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง มิใช่ของจำเลย และผู้ร้องมิได้เป็นบริวารของจำเลย ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดทำการรื้อถอนบ้านเลขที่ดังกล่าวด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 73)
ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 81)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาผู้ร้องล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและที่คำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้องอ้างว่า เป็นฎีกาในข้อกฎหมายว่า โจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้องเข้ามาในคดี โจทก์จะมีอำนาจบังคับคดีในส่วนเกี่ยวกับผู้ร้องหรือไม่นั้น ก็ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้อ้างปัญหานี้ไว้ในฎีกา จึงไม่วินิจฉัยให้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้องชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า จำเลยอุทธรณ์ ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การที่โจทก์ หยุดพักร้อนกันทันทีเมื่อได้ยื่นใบลาต่อนายจ้าง โดยที่หัวหน้าแผนกยังไม่อนุมัตินั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยว่าเป็นการหยุดพักร้อนถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการลาหยุดพักร้อนหรือไม่ โปรดมีคำสั่ง ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 36)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชย 23,220 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 3,870 บาท และค่าเสียหาย 58,050 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับจากวันเลิกจ้าง (18 เมษายน 2537 ตามคำฟ้อง) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จสิ้น
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 31)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 34 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ยื่นใบลาพักร้อนถูกต้องตามระเบียบ การที่ผู้บังคับบัญชายังไม่อนุมัติใบลาอาจเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ก็ได้ ซึ่งไม่ใช่ เป็นความผิดของโจทก์ โจทก์หยุดงานตามใบลาพักผ่อนโดยถูกต้อง จำเลยอุทธรณ์ว่าการลาพักร้อนของโจทก์ไม่ถูกต้องตามระเบียบ โดยจะต้องได้รับอนุมัติให้ลาพักร้อนจากหัวหน้าแผนกก่อน จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคแรก ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า จำเลยอุทธรณ์ ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การที่โจทก์ หยุดพักร้อนกันทันทีเมื่อได้ยื่นใบลาต่อนายจ้าง โดยที่หัวหน้าแผนกยังไม่อนุมัตินั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยว่าเป็นการหยุดพักร้อนถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการลาหยุดพักร้อนหรือไม่ โปรดมีคำสั่ง ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 36)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชย 23,220 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 3,870 บาท และค่าเสียหาย 58,050 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับจากวันเลิกจ้าง (18 เมษายน 2537 ตามคำฟ้อง) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จสิ้น
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 31)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 34 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ยื่นใบลาพักร้อนถูกต้องตามระเบียบ การที่ผู้บังคับบัญชายังไม่อนุมัติใบลาอาจเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ก็ได้ ซึ่งไม่ใช่ เป็นความผิดของโจทก์ โจทก์หยุดงานตามใบลาพักผ่อนโดยถูกต้อง จำเลยอุทธรณ์ว่าการลาพักร้อนของโจทก์ไม่ถูกต้องตามระเบียบ โดยจะต้องได้รับอนุมัติให้ลาพักร้อนจากหัวหน้าแผนกก่อน จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคแรก ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า โจทก์อาศัยใบรับรองแพทย์หยุดงาน เป็นระยะต่อเนื่องกัน โดยไม่แจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยจึง เลิกจ้างโจทก์เพราะละทิ้งหน้าที่เกินกว่า 3 วัน โดยไม่มีเหตุ อันสมควรได้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์และคำร้อง ขอทุเลาการบังคับของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 42,43)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 54,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 11,100 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินต้น แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 37)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 39)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า โจทก์อาศัยใบรับรองแพทย์หยุดงานเป็นระยะต่อเนื่องกันโดยไม่แจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์เพราะละทิ้งหน้าที่เกินกว่า 3 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควรได้ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ได้รับอุบัติเหตุรถชนกันเป็นเหตุให้กล้ามเนื้อที่สะโพกข้างขวาเคล็ด และอักเสบ โจทก์หยุดงานเกินกว่า 3 วันทำงาน โดยมีเหตุอันสมควร อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของ จำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า โจทก์อาศัยใบรับรองแพทย์หยุดงาน เป็นระยะต่อเนื่องกัน โดยไม่แจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยจึง เลิกจ้างโจทก์เพราะละทิ้งหน้าที่เกินกว่า 3 วัน โดยไม่มีเหตุ อันสมควรได้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์และคำร้อง ขอทุเลาการบังคับของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 42,43)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 54,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 11,100 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินต้น แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 37)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 39)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า โจทก์อาศัยใบรับรองแพทย์หยุดงานเป็นระยะต่อเนื่องกันโดยไม่แจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์เพราะละทิ้งหน้าที่เกินกว่า 3 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควรได้ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ได้รับอุบัติเหตุรถชนกันเป็นเหตุให้กล้ามเนื้อที่สะโพกข้างขวาเคล็ด และอักเสบ โจทก์หยุดงานเกินกว่า 3 วันทำงาน โดยมีเหตุอันสมควร อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของ จำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การที่จำเลยทั้งสองยื่นใบขนส่งสินค้าขาเข้าและใบรายการสินค้า เอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 โดยมิได้สำแดงเครื่องหมายการค้าเบนซ์ (BENZ) และบอร์จแอนด์เบค (BORGE&BECK) ไว้ และจำเลยทั้งสองมิได้แสดงหมายเลขกำกับสินค้าอันเป็นเท็จ จึงไม่เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2467 และคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ในเรื่องราคาสินค้านั้นเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากข้อเท็จจริง ที่ปรากฏในสำนวน เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของ จำเลยทั้งสองด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27,99 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงบทหนักที่สุด ตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27 ปรับจำเลยทั้งสองเป็นเงินสี่เท่าของราคาของ ซึ่งได้รวมค่าอากร 1,722,560.40 บาท ถ้าจำเลยที่ 1ไม่ชำระค่าปรับ ให้ยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตามมาตรา 29 ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 66)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 67)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสอง มิได้สำแดงเครื่องหมายการค้าและหมายเลขกำกับสินค้าอันเป็นเท็จย่อมไม่เป็นความผิดตามฟ้องนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และที่ฎีกาอีกว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเรื่องราคาสินค้านั้น เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน ก็ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ มิได้ฟังข้อเท็จจริงนอกจากที่ปรากฏในสำนวนแต่อย่างใด แท้จริงแล้วจำเลยทั้งสองโต้แย้งว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐาน มาสืบพิสูจน์ในเรื่องราคาสินค้า ซึ่งการรับฟังพยานหลักฐานใด ว่าเพียงพอหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การที่จำเลยทั้งสองยื่นใบขนส่งสินค้าขาเข้าและใบรายการสินค้า เอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 โดยมิได้สำแดงเครื่องหมายการค้าเบนซ์ (BENZ) และบอร์จแอนด์เบค (BORGE&BECK) ไว้ และจำเลยทั้งสองมิได้แสดงหมายเลขกำกับสินค้าอันเป็นเท็จ จึงไม่เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2467 และคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ในเรื่องราคาสินค้านั้นเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากข้อเท็จจริง ที่ปรากฏในสำนวน เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของ จำเลยทั้งสองด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27,99 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงบทหนักที่สุด ตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27 ปรับจำเลยทั้งสองเป็นเงินสี่เท่าของราคาของ ซึ่งได้รวมค่าอากร 1,722,560.40 บาท ถ้าจำเลยที่ 1ไม่ชำระค่าปรับ ให้ยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตามมาตรา 29 ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 66)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 67)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสอง มิได้สำแดงเครื่องหมายการค้าและหมายเลขกำกับสินค้าอันเป็นเท็จย่อมไม่เป็นความผิดตามฟ้องนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และที่ฎีกาอีกว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเรื่องราคาสินค้านั้น เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน ก็ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ มิได้ฟังข้อเท็จจริงนอกจากที่ปรากฏในสำนวนแต่อย่างใด แท้จริงแล้วจำเลยทั้งสองโต้แย้งว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐาน มาสืบพิสูจน์ในเรื่องราคาสินค้า ซึ่งการรับฟังพยานหลักฐานใด ว่าเพียงพอหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ตามฎีกาข้อ 2(ก)จำเลยฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกเอาข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏในคำฟ้องขึ้นมาวินิจฉัย เป็นการไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย เห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นข้อเท็จจริงตามรายงานสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ที่ประกอบอยู่ในสำนวนคดีนี้ จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริง ประกอบคำฟ้องที่ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยเป็นการแสร้ง ทำข้อเท็จจริง ให้เป็นข้อกฎหมายถือเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาข้ออื่น ก็เป็นฎีกาข้อเท็จจริงโดยไม่มีการขอให้รับรองฎีกา จึงต้องห้ามฎีกา ไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้หยิบยกข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏในคำฟ้องมาวินิจฉัย เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควร ได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 35)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295,364 ประกอบมาตรา 365(1)-(3)การกระทำของจำเลย เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษข้อหาบุกรุกซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จำคุก 6 เดือน ริบของกลาง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 33)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 35)
คำสั่ง
ที่จำเลยฎีกาอ้างว่าเป็นข้อกฎหมายและอ้างว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกข้อเท็จจริงซึ่งไม่ปรากฏในคำฟ้องมาวินิจฉัยเป็นการ ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นปรากฏว่าข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกขึ้นวินิจฉัยนั้นเป็นข้อเท็จจริงตามรายงานสืบเสาะ และพินิจของพนักงานคุมประพฤติที่ประกอบอยู่ในสำนวน จึงเป็นการ วินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน จำเลยฎีกา โต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในการฟังข้อเท็จจริง จากพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ตามฎีกาข้อ 2(ก)จำเลยฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกเอาข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏในคำฟ้องขึ้นมาวินิจฉัย เป็นการไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย เห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นข้อเท็จจริงตามรายงานสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ที่ประกอบอยู่ในสำนวนคดีนี้ จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริง ประกอบคำฟ้องที่ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยเป็นการแสร้ง ทำข้อเท็จจริง ให้เป็นข้อกฎหมายถือเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาข้ออื่น ก็เป็นฎีกาข้อเท็จจริงโดยไม่มีการขอให้รับรองฎีกา จึงต้องห้ามฎีกา ไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้หยิบยกข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏในคำฟ้องมาวินิจฉัย เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควร ได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 35)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295,364 ประกอบมาตรา 365(1)-(3)การกระทำของจำเลย เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษข้อหาบุกรุกซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จำคุก 6 เดือน ริบของกลาง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 33)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 35)
คำสั่ง
ที่จำเลยฎีกาอ้างว่าเป็นข้อกฎหมายและอ้างว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกข้อเท็จจริงซึ่งไม่ปรากฏในคำฟ้องมาวินิจฉัยเป็นการ ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นปรากฏว่าข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกขึ้นวินิจฉัยนั้นเป็นข้อเท็จจริงตามรายงานสืบเสาะ และพินิจของพนักงานคุมประพฤติที่ประกอบอยู่ในสำนวน จึงเป็นการ วินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน จำเลยฎีกา โต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในการฟังข้อเท็จจริง จากพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนควรที่จะได้รับการวินิจฉัยจากศาลสูง โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 75)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 72)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 73)
คำสั่ง
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อ ชำระหนี้เงินยืม ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 แล้ว ฎีกาข้อกฎหมายที่จำเลยอ้างว่าโจทก์บรรยายฟ้อง ไม่ถูกต้องครบถ้วน จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควร ได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนควรที่จะได้รับการวินิจฉัยจากศาลสูง โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 75)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 72)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 73)
คำสั่ง
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อ ชำระหนี้เงินยืม ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 แล้ว ฎีกาข้อกฎหมายที่จำเลยอ้างว่าโจทก์บรรยายฟ้อง ไม่ถูกต้องครบถ้วน จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควร ได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|