ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนควรที่จะได้รับการวินิจฉัยจากศาลสูง โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 75)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 72)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 73)
คำสั่ง
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อ ชำระหนี้เงินยืม ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 แล้ว ฎีกาข้อกฎหมายที่จำเลยอ้างว่าโจทก์บรรยายฟ้อง ไม่ถูกต้องครบถ้วน จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควร ได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนควรที่จะได้รับการวินิจฉัยจากศาลสูง โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 75)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 72)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 73)
คำสั่ง
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อ ชำระหนี้เงินยืม ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 แล้ว ฎีกาข้อกฎหมายที่จำเลยอ้างว่าโจทก์บรรยายฟ้อง ไม่ถูกต้องครบถ้วน จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควร ได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้าม จึงไม่รับอุทธรณ์
ผู้ร้องเห็นว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ผู้คัดค้านได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 29,30)
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ลงโทษผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการ ลูกจ้างในสถานประกอบการของผู้ร้อง โดยการตักเตือนเป็น ลายลักษณ์อักษร เพราะฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับเวลาการทำงาน
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 24)
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 28)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นอุทธรณ์หยิบยกพยานหลักฐานขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลฎีกาฟังว่า ผู้คัดค้านได้กระทำการ ฝ่าฝืนข้อบังคับในการทำงานของผู้ร้อง โดยผู้คัดค้านออกไปข้างนอก โรงงานของผู้ร้องช่วงพักเที่ยง แล้วกลับเข้ามาเมื่อเลยเวลา พักเที่ยงตามที่กำหนดไว้ เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟัง พยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่ฟังว่าผู้คัดค้านไม่ได้กระทำการ ฝ่าฝืนข้อบังคับในการทำงานตามที่ผู้ร้องอุทธรณ์กล่าวอ้าง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้องชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้าม จึงไม่รับอุทธรณ์
ผู้ร้องเห็นว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ผู้คัดค้านได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 29,30)
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ลงโทษผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการ ลูกจ้างในสถานประกอบการของผู้ร้อง โดยการตักเตือนเป็น ลายลักษณ์อักษร เพราะฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับเวลาการทำงาน
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 24)
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 28)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นอุทธรณ์หยิบยกพยานหลักฐานขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลฎีกาฟังว่า ผู้คัดค้านได้กระทำการ ฝ่าฝืนข้อบังคับในการทำงานของผู้ร้อง โดยผู้คัดค้านออกไปข้างนอก โรงงานของผู้ร้องช่วงพักเที่ยง แล้วกลับเข้ามาเมื่อเลยเวลา พักเที่ยงตามที่กำหนดไว้ เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟัง พยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่ฟังว่าผู้คัดค้านไม่ได้กระทำการ ฝ่าฝืนข้อบังคับในการทำงานตามที่ผู้ร้องอุทธรณ์กล่าวอ้าง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้องชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ประเด็นข้อกฎหมาย ตามฎีกาข้อ 2 ประเด็นที่ 1 และที่ 2 จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมา โดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทั้งที่พฤติการณ์เปิดช่อง ให้กระทำได้ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 249 ส่วนปัญหาข้อเท็จจริงตามฎีกาข้อ 2 ประเด็นที่ 3 และข้อ 3 นั้น เมื่อผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณา ในศาลชั้นต้นไม่รับรองให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกาจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 1 เรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์และฎีกาข้อ 2 ที่ว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำเอกสารสารสละมรดก ของทายาทผู้ตายตามเอกสารหมาย จ.6โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ ศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 70)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 301 ตำบลสระแก้ว กิ่งอำเภอหนองหงส์จังหวัดบุรีรัมย์ เฉพาะส่วนของนายทอง ศรีหาฆัง เนื้อที่ 65 ไร่ 2 งาน 35 ตารางวา เป็นมรดกตกแก่โจทก์และจำเลย คนละกึ่งหนึ่ง ให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หรือเนื้อที่ 32 ไร่ 3 งาน 17.5 ตารางวา ภายใน 15 วัน นับแต่วันพิพากษา หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษา แทนการแสดงเจตนาของจำเลย ถ้าไม่สามารถจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวได้ ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงิน มาแบ่งกันระหว่างโจทก์และจำเลย
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 66)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 70)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ปัญหาว่าการสละมรดกของทายาทตามเอกสารหมาย จ.6 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ ยกขึ้นต่อสู้ไว้ก็มีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ จึงให้รับฎีกาข้อนี้ของจำเลย ส่วนปัญหาว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้อง ว่า โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ทั้งโจทก์ มิได้เบิกความว่าโจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ปัญหาว่าโจทก์ มิได้บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริง เป็นยุติว่าโจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วเช่นนี้ ข้อฎีกาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ส่วนปัญหาว่า โจทก์มิได้เบิกความว่าโจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมาย ที่บิดารับรองแล้วปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ว่า เหตุที่พยาน มีชื่อบิดาว่านายทอง มารดาชื่อนางน้อยในสำเนาทะเบียนบ้านเนื่องจากนายทองเป็นผู้ไปแจ้งต่อนายทะเบียน ถือได้ว่าโจทก์เบิกความว่าโจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ฎีกาของจำเลยส่วนนี้จึงเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริง เป็นฎีกา ปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับจึงชอบแล้ว
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ประเด็นข้อกฎหมาย ตามฎีกาข้อ 2 ประเด็นที่ 1 และที่ 2 จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมา โดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทั้งที่พฤติการณ์เปิดช่อง ให้กระทำได้ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 249 ส่วนปัญหาข้อเท็จจริงตามฎีกาข้อ 2 ประเด็นที่ 3 และข้อ 3 นั้น เมื่อผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณา ในศาลชั้นต้นไม่รับรองให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกาจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 1 เรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์และฎีกาข้อ 2 ที่ว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำเอกสารสารสละมรดก ของทายาทผู้ตายตามเอกสารหมาย จ.6โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ ศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 70)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 301 ตำบลสระแก้ว กิ่งอำเภอหนองหงส์จังหวัดบุรีรัมย์ เฉพาะส่วนของนายทอง ศรีหาฆัง เนื้อที่ 65 ไร่ 2 งาน 35 ตารางวา เป็นมรดกตกแก่โจทก์และจำเลย คนละกึ่งหนึ่ง ให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หรือเนื้อที่ 32 ไร่ 3 งาน 17.5 ตารางวา ภายใน 15 วัน นับแต่วันพิพากษา หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษา แทนการแสดงเจตนาของจำเลย ถ้าไม่สามารถจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวได้ ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงิน มาแบ่งกันระหว่างโจทก์และจำเลย
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 66)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 70)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ปัญหาว่าการสละมรดกของทายาทตามเอกสารหมาย จ.6 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ ยกขึ้นต่อสู้ไว้ก็มีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ จึงให้รับฎีกาข้อนี้ของจำเลย ส่วนปัญหาว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้อง ว่า โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ทั้งโจทก์ มิได้เบิกความว่าโจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ปัญหาว่าโจทก์ มิได้บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริง เป็นยุติว่าโจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วเช่นนี้ ข้อฎีกาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ส่วนปัญหาว่า โจทก์มิได้เบิกความว่าโจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมาย ที่บิดารับรองแล้วปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ว่า เหตุที่พยาน มีชื่อบิดาว่านายทอง มารดาชื่อนางน้อยในสำเนาทะเบียนบ้านเนื่องจากนายทองเป็นผู้ไปแจ้งต่อนายทะเบียน ถือได้ว่าโจทก์เบิกความว่าโจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ฎีกาของจำเลยส่วนนี้จึงเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริง เป็นฎีกา ปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับจึงชอบแล้ว
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฎีกาของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการปลอมแปลงแก้ไขรายงาน กระบวนพิจารณาของศาล มิใช่คดีไม่มีมูล และศาลพิพากษา ยกฟ้อง โดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องทั้งมิได้อ้างข้อกฎหมายว่าเป็นมาตราใด ที่ยกฟ้อง โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264,265
ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องแล้วเห็นว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้กระทำการปลอมเอกสาร โดยเพิ่มตัดทอนหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร อันจะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร ฟ้องโจทก์จึงไม่เข้าองค์ประกอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,265 พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 16)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 17)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับ 17)พ.ศ. 2532 มาตรา 13 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฎีกาของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการปลอมแปลงแก้ไขรายงาน กระบวนพิจารณาของศาล มิใช่คดีไม่มีมูล และศาลพิพากษา ยกฟ้อง โดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องทั้งมิได้อ้างข้อกฎหมายว่าเป็นมาตราใด ที่ยกฟ้อง โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264,265
ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องแล้วเห็นว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้กระทำการปลอมเอกสาร โดยเพิ่มตัดทอนหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร อันจะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร ฟ้องโจทก์จึงไม่เข้าองค์ประกอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,265 พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 16)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 17)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับ 17)พ.ศ. 2532 มาตรา 13 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทุกข้อ เป็นการฎีกาในข้อเท็จจริงและมีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องคดีก่อนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขใหม่จำเลยจึงฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงได้ ส่วนฎีกาข้อ 2.5 ของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญแห่งคดีอันควรได้รับการวินิจฉัย และฎีกาที่ว่า สัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอมทั้งฉบับ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบ เรียบร้อย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 120,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละห้าต่อปี ในต้นเงินกู้60,000 บาท นับแต่วันที่ 8 กันยายน 2531 จนกว่าจำเลย จะชำระให้เสร็จสิ้น แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 7,750 บาท และพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละห้าต่อปี ในต้นเงินกู้ 60,000 บาท นับแต่วันที่ 3 เมษายน 2532 จนกว่าจำเลย จะชำระเสร็จสิ้น แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 6,000 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 96)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 92)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ขณะที่จำเลยยื่นฎีกาคือวันที่ 15 สิงหาคม 2537ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขใหม่ได้ใช้บังคับแล้ว และคดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท จำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ส่วนที่จำเลย อ้างว่าฎีกาข้อ 2.5 ของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระ แก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จำเลยฎีกาในข้อ 2.5 ทำนองว่าโจทก์มิได้ยื่นต่อศาลซึ่งสำเนาเอกสารหมาย จ.1 และ จ.5 ก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 15 วัน เป็นการเอาเปรียบในเชิงคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะฟังว่าโจทก์มิได้ยื่นสำเนาเอกสารหมาย จ.1 และ จ.5 ก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 15 วัน แต่ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจรับฟังเอกสารหมาย จ.1 และ จ.5 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 ฉะนั้นที่ จำเลยขอมาในฎีกาข้อ 2.5 ตอนท้ายว่าศาลชั้นต้นไม่ควรรับฟัง พยานเอกสารดังกล่าวจึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟัง พยานหลักฐานของศาลชั้นต้น และเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่าสัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้อง เป็นเอกสารปลอมทั้งฉบับ ก็เป็นปัญหาว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารปลอม หรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยมาจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทุกข้อ เป็นการฎีกาในข้อเท็จจริงและมีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องคดีก่อนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขใหม่จำเลยจึงฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงได้ ส่วนฎีกาข้อ 2.5 ของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญแห่งคดีอันควรได้รับการวินิจฉัย และฎีกาที่ว่า สัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอมทั้งฉบับ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบ เรียบร้อย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 120,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละห้าต่อปี ในต้นเงินกู้60,000 บาท นับแต่วันที่ 8 กันยายน 2531 จนกว่าจำเลย จะชำระให้เสร็จสิ้น แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 7,750 บาท และพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละห้าต่อปี ในต้นเงินกู้ 60,000 บาท นับแต่วันที่ 3 เมษายน 2532 จนกว่าจำเลย จะชำระเสร็จสิ้น แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 6,000 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 96)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 92)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ขณะที่จำเลยยื่นฎีกาคือวันที่ 15 สิงหาคม 2537ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขใหม่ได้ใช้บังคับแล้ว และคดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท จำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ส่วนที่จำเลย อ้างว่าฎีกาข้อ 2.5 ของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระ แก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จำเลยฎีกาในข้อ 2.5 ทำนองว่าโจทก์มิได้ยื่นต่อศาลซึ่งสำเนาเอกสารหมาย จ.1 และ จ.5 ก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 15 วัน เป็นการเอาเปรียบในเชิงคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะฟังว่าโจทก์มิได้ยื่นสำเนาเอกสารหมาย จ.1 และ จ.5 ก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 15 วัน แต่ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจรับฟังเอกสารหมาย จ.1 และ จ.5 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 ฉะนั้นที่ จำเลยขอมาในฎีกาข้อ 2.5 ตอนท้ายว่าศาลชั้นต้นไม่ควรรับฟัง พยานเอกสารดังกล่าวจึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟัง พยานหลักฐานของศาลชั้นต้น และเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่าสัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้อง เป็นเอกสารปลอมทั้งฉบับ ก็เป็นปัญหาว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารปลอม หรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยมาจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ฎีกา ดุลพินิจของศาล เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาจึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริงอย่างเดียวนั้นเป็นการไม่ชอบ แท้จริงแล้วอุทธรณ์ของโจทก์มีทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายรวมกัน ทั้งเป็นข้อที่ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลล่างโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 76)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 78)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ เพราะเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้าม โจทก์จึงฎีกาคัดค้าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ให้รับฎีกาของโจทก์
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ฎีกา ดุลพินิจของศาล เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาจึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริงอย่างเดียวนั้นเป็นการไม่ชอบ แท้จริงแล้วอุทธรณ์ของโจทก์มีทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายรวมกัน ทั้งเป็นข้อที่ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลล่างโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 76)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 78)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ เพราะเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้าม โจทก์จึงฎีกาคัดค้าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ให้รับฎีกาของโจทก์
ความว่า จำเลยทั้งสามฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ 104,720 บาท จำเลยทั้งสามฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยาน เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง จึงห้ามฎีกาไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยทั้งสามเห็นว่า ฎีกาข้อ 4 ของจำเลยทั้งสามเป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสามไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 97,98)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียน แก้ไขทะเบียนชื่อผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรอง การทำประโยชน์เลขที่ 194 ตำบลหัวหว้าอำเภอศรีมหาโพธิจังหวัดปราจีนบุรี จากชื่อจำเลยทั้งสามเป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษา แทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 92)
จำเลยทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 95)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยทั้งสามอ้างว่าสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทมิได้ ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 นั้น เห็นว่า แม้สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์ และนายเคี่ยมจะเป็นโมฆะ แต่ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหลักฐานเป็น น.ส.3 ซึ่งเจ้าของมีเพียงสิทธิ ครอบครองและการโอนการครอบครองนั้นย่อมทำได้โดยการส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครอง การที่นายเคี่ยมส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองและทำประโยชน์เป็นการสละเจตนาครอบครองหรือไม่ยึดถือทรัพย์สินต่อไป มีผลให้การครอบครองสิ้นสุดลงเมื่อโจทก์เป็นผู้ มีสิทธิครอบครองจึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนแก้ไขชื่อผู้มีสิทธิครอบครองใน น.ส.3 ของที่ดินพิพาท เป็นชื่อโจทก์ จำเลยทั้งสามฎีกาในข้อ 4 ว่านายเคี่ยม ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์ก็ไม่สามารถฟ้องบังคับให้ จำเลยทั้งสามจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ได้ เพราะการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์และนายเคี่ยมเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อมิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน การซื้อขาย ดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคแรก และมาตรา 115 ดังนี้ เป็นฎีกาที่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ถือได้ว่าเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม
ความว่า จำเลยทั้งสามฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ 104,720 บาท จำเลยทั้งสามฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยาน เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง จึงห้ามฎีกาไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยทั้งสามเห็นว่า ฎีกาข้อ 4 ของจำเลยทั้งสามเป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสามไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 97,98)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียน แก้ไขทะเบียนชื่อผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรอง การทำประโยชน์เลขที่ 194 ตำบลหัวหว้าอำเภอศรีมหาโพธิจังหวัดปราจีนบุรี จากชื่อจำเลยทั้งสามเป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษา แทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 92)
จำเลยทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 95)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยทั้งสามอ้างว่าสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทมิได้ ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 นั้น เห็นว่า แม้สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์ และนายเคี่ยมจะเป็นโมฆะ แต่ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหลักฐานเป็น น.ส.3 ซึ่งเจ้าของมีเพียงสิทธิ ครอบครองและการโอนการครอบครองนั้นย่อมทำได้โดยการส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครอง การที่นายเคี่ยมส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองและทำประโยชน์เป็นการสละเจตนาครอบครองหรือไม่ยึดถือทรัพย์สินต่อไป มีผลให้การครอบครองสิ้นสุดลงเมื่อโจทก์เป็นผู้ มีสิทธิครอบครองจึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนแก้ไขชื่อผู้มีสิทธิครอบครองใน น.ส.3 ของที่ดินพิพาท เป็นชื่อโจทก์ จำเลยทั้งสามฎีกาในข้อ 4 ว่านายเคี่ยม ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์ก็ไม่สามารถฟ้องบังคับให้ จำเลยทั้งสามจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ได้ เพราะการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์และนายเคี่ยมเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อมิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน การซื้อขาย ดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคแรก และมาตรา 115 ดังนี้ เป็นฎีกาที่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ถือได้ว่าเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม
ความว่า ผู้ร้องฎีกา เนื่องจากปรากฏว่าผู้คัดค้าน ได้นำเครื่องหมายการค้าพิพาททั้ง 4 หมายเลขไปให้ บุคคลภายนอกใช้ในการผลิตสินค้าออกจำหน่าย โดยมีค่าตอบแทนในการใช้เครื่องหมายการค้า ซึ่ง ค่าตอบแทนนี้ควรจะตกได้แก่กองทรัพย์สินของจำเลย เพื่อมิให้กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลโปรดมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ ของผู้ร้อง โดยให้ผู้คัดค้านนำเงินจำนวน 30,000,000 บาท มาวางต่อศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุด โดยหากฝ่ายใด เป็นผู้ชนะคดีก็ให้รับเงินดังกล่าวไปโปรดอนุญาต
หมายเหตุ ผู้คัดค้านแถลงคัดค้าน (อันดับ 148)
กรณีเป็นชั้นขอให้เพิกถอนการโอน
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสี่เด็ดขาด ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ได้โอนเครื่องหมายการค้า เลขหมาย 46228,เลขหมาย 58397, เลขหมาย 73286 และเลขหมาย 75308ให้แก่ผู้คัดค้านโดยไม่สุจริต และมี ค่าตอบแทนไม่พอสมควรในระหว่างระยะเวลา 3 ปี ก่อน มีการขอให้จำเลยล้มละลาย ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอน การโอนเครื่องหมายการค้าดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนเครื่องหมายการค้าตามคำขอเลขที่ 72518 ทะเบียนเลขที่ 46228 คำขอเลขที่ 89661ทะเบียนเลขที่ 58397 คำขอเลขที่ 113962 ทะเบียนเลขที่ 75308และตามคำขอเลขที่ 113594 ทะเบียนเลขที่ 73286 ระหว่างบริษัทปฐมธุรกิจ จำกัด ผู้รับโอน และลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 ผู้โอน กลับเป็นของ ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 ดังเดิม หากไม่สามารถกระทำได้ให้ ผู้รับโอนใช้ราคาแทนเป็นเงิน 4,000,000 บาท เพื่อรวบรวม ไว้ในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องและผู้คัดค้านฎีกา (อันดับ 135,138)
ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 144 แผ่นที่ 3)
คำสั่ง
การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 จะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องขอเพื่อให้ ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกัน ได้รับความคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษา คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอน เครื่องหมายการค้าหากไม่สามารถเพิกถอนกลับคืนสู่ ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านใช้ราคาทรัพย์สินแทนพร้อมดอกเบี้ย การที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านนำเงินจำนวน 30,000,000 บาท มาวางศาลเพื่อเป็นค่าตอบแทน ในการที่ผู้คัดค้านนำเครื่องหมายการค้าพิพาทไปให้ บุคคลภายนอกใช้ เป็นการขอนอกขอบข่ายของประเด็น แห่งคดีและมิใช่เพื่อบังคับตามคำพิพากษา ศาลฎีกาไม่อาจ มีคำสั่งให้ตามคำร้องของ ผู้ร้องได้ ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องฎีกา เนื่องจากปรากฏว่าผู้คัดค้าน ได้นำเครื่องหมายการค้าพิพาททั้ง 4 หมายเลขไปให้ บุคคลภายนอกใช้ในการผลิตสินค้าออกจำหน่าย โดยมีค่าตอบแทนในการใช้เครื่องหมายการค้า ซึ่ง ค่าตอบแทนนี้ควรจะตกได้แก่กองทรัพย์สินของจำเลย เพื่อมิให้กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลโปรดมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ ของผู้ร้อง โดยให้ผู้คัดค้านนำเงินจำนวน 30,000,000 บาท มาวางต่อศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุด โดยหากฝ่ายใด เป็นผู้ชนะคดีก็ให้รับเงินดังกล่าวไปโปรดอนุญาต
หมายเหตุ ผู้คัดค้านแถลงคัดค้าน (อันดับ 148)
กรณีเป็นชั้นขอให้เพิกถอนการโอน
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสี่เด็ดขาด ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ได้โอนเครื่องหมายการค้า เลขหมาย 46228,เลขหมาย 58397, เลขหมาย 73286 และเลขหมาย 75308ให้แก่ผู้คัดค้านโดยไม่สุจริต และมี ค่าตอบแทนไม่พอสมควรในระหว่างระยะเวลา 3 ปี ก่อน มีการขอให้จำเลยล้มละลาย ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอน การโอนเครื่องหมายการค้าดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนเครื่องหมายการค้าตามคำขอเลขที่ 72518 ทะเบียนเลขที่ 46228 คำขอเลขที่ 89661ทะเบียนเลขที่ 58397 คำขอเลขที่ 113962 ทะเบียนเลขที่ 75308และตามคำขอเลขที่ 113594 ทะเบียนเลขที่ 73286 ระหว่างบริษัทปฐมธุรกิจ จำกัด ผู้รับโอน และลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 ผู้โอน กลับเป็นของ ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 ดังเดิม หากไม่สามารถกระทำได้ให้ ผู้รับโอนใช้ราคาแทนเป็นเงิน 4,000,000 บาท เพื่อรวบรวม ไว้ในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องและผู้คัดค้านฎีกา (อันดับ 135,138)
ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 144 แผ่นที่ 3)
คำสั่ง
การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 จะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องขอเพื่อให้ ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกัน ได้รับความคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษา คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอน เครื่องหมายการค้าหากไม่สามารถเพิกถอนกลับคืนสู่ ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านใช้ราคาทรัพย์สินแทนพร้อมดอกเบี้ย การที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านนำเงินจำนวน 30,000,000 บาท มาวางศาลเพื่อเป็นค่าตอบแทน ในการที่ผู้คัดค้านนำเครื่องหมายการค้าพิพาทไปให้ บุคคลภายนอกใช้ เป็นการขอนอกขอบข่ายของประเด็น แห่งคดีและมิใช่เพื่อบังคับตามคำพิพากษา ศาลฎีกาไม่อาจ มีคำสั่งให้ตามคำร้องของ ผู้ร้องได้ ยกคำร้อง
ความว่า เนื่องจากจำเลยยื่นคำแก้ฎีกาของโจทก์ และโจทก์ร่วมแล้ว แต่จากคำฟ้องของโจทก์บรรยายแต่เพียง ว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ โดยมิได้ระบุว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย กล่าวคือ โจทก์ได้บรรยายฟ้องในข้อ 1 แต่เพียงว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2533เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลย ได้บังอาจออกเช็คธนาคารเอเซีย จำกัด สาขาสุขสวัสดิ์ เลขที่ 3042364 ลงวันที่สั่งจ่าย 1 เมษายน 2534 จำนวนเงิน 250,000 บาท ให้แก่นายอภิชัยกิจไกรกล ผู้เสียหาย เพื่อเป็นการชำระหนี้ อันเป็นการบรรยายฟ้อง ที่ขาดองค์ประกอบของความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) และโดยนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 2133/2537 เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นปัญหา เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นประเด็น สำคัญแห่งคดีได้เสร็จสิ้นไปจากศาลโดยเร็ว ขอศาลฎีกา ได้โปรดวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย แล้วพิจารณา พิพากษายกฟ้องโจทก์
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า โจทก์หรือโจทก์ร่วมลงชื่อรับสำเนาคำร้องไว้ข้างคำร้อง (อันดับ 114)
ระหว่างพิจารณา นายอภิชัยกิจไกรกล ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ลงโทษจำคุก 8 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา (อันดับ 106,105)
ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 114)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าการขอให้ศาลวินิจฉัย ชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย คู่ความจะต้องยื่น คำขอระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นเป็นผู้สั่ง จำเลยจะยื่นคำขอต่อศาลฎีกาไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
ความว่า เนื่องจากจำเลยยื่นคำแก้ฎีกาของโจทก์ และโจทก์ร่วมแล้ว แต่จากคำฟ้องของโจทก์บรรยายแต่เพียง ว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ โดยมิได้ระบุว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย กล่าวคือ โจทก์ได้บรรยายฟ้องในข้อ 1 แต่เพียงว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2533เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลย ได้บังอาจออกเช็คธนาคารเอเซีย จำกัด สาขาสุขสวัสดิ์ เลขที่ 3042364 ลงวันที่สั่งจ่าย 1 เมษายน 2534 จำนวนเงิน 250,000 บาท ให้แก่นายอภิชัยกิจไกรกล ผู้เสียหาย เพื่อเป็นการชำระหนี้ อันเป็นการบรรยายฟ้อง ที่ขาดองค์ประกอบของความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) และโดยนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 2133/2537 เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นปัญหา เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นประเด็น สำคัญแห่งคดีได้เสร็จสิ้นไปจากศาลโดยเร็ว ขอศาลฎีกา ได้โปรดวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย แล้วพิจารณา พิพากษายกฟ้องโจทก์
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า โจทก์หรือโจทก์ร่วมลงชื่อรับสำเนาคำร้องไว้ข้างคำร้อง (อันดับ 114)
ระหว่างพิจารณา นายอภิชัยกิจไกรกล ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ลงโทษจำคุก 8 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา (อันดับ 106,105)
ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 114)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าการขอให้ศาลวินิจฉัย ชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย คู่ความจะต้องยื่น คำขอระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นเป็นผู้สั่ง จำเลยจะยื่นคำขอต่อศาลฎีกาไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 3 ฎีกา มีเหตุผลทั้งข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายพอที่ศาลฎีกาจะพิจารณาพิพากษา กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 73)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในจำนวนเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 15 มกราคม 2536)ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมกันรับผิดในจำนวนเงิน 240,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ในอัตราเดียวกันให้จำนวนเงินที่ต้องรับผิดแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 70,69)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 3 ได้รับอนุญาตให้ทุเลา การบังคับโดยวางหลักประกัน และได้ทำสัญญาค้ำประกัน ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 50,53)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ถ้าจำเลยที่ 3 หาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พร้อมด้วย ดอกเบี้ยนับถึงวันฟังคำสั่งนี้และต่อไปอีก 2 ปี มาให้จนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกามิฉะนั้น ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 3 ฎีกา มีเหตุผลทั้งข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายพอที่ศาลฎีกาจะพิจารณาพิพากษา กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 73)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในจำนวนเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 15 มกราคม 2536)ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมกันรับผิดในจำนวนเงิน 240,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ในอัตราเดียวกันให้จำนวนเงินที่ต้องรับผิดแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 70,69)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 3 ได้รับอนุญาตให้ทุเลา การบังคับโดยวางหลักประกัน และได้ทำสัญญาค้ำประกัน ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 50,53)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ถ้าจำเลยที่ 3 หาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พร้อมด้วย ดอกเบี้ยนับถึงวันฟังคำสั่งนี้และต่อไปอีก 2 ปี มาให้จนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกามิฉะนั้น ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้โจทก์
โจทก์เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องบังคับขอให้จำเลยไปยื่นคำขอขายและจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ถือได้ว่าโจทก์ขอบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายจึงเป็นข้อพิพาทที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ไม่ต้องห้าม ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 112,113)
fจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินขอให้จำเลยไปยื่นคำขอขายและจดทะเบียนขายที่ดิน น.ส.3 ก เลขที่ 422 เล่ม 5 ก เลขที่ดิน 79 ตำบลเขาต่อ อำเภอปลายพระยา จังหวัดกระบี่ เนื้อที่15 ไร่ 1 งาน 26 ตารางวา ให้แก่โจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอปลายพระยา แล้วรับเงิน ค่าที่ดินส่วนที่เหลือ 40,368 บาท จากโจทก์ หากไม่ปฏิบัติ ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ของจำเลย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน 129,264 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 109)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 110)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับผิดตามคำฟ้อง เท่ากับฎีกาให้ศาลพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทราคา 105,000 บาทให้โจทก์และให้ชดใช้ค่าเสียหายอีก 129,264 บาท ตามสัญญา ทุนทรัพย์ตามฎีกาโจทก์จึงเกินสองแสนบาท ฎีกาโจทก์ ไม่ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์เป็นการไม่ชอบ ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลเพิ่ม ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่แท้จริงและพิจารณาสั่งฎีกาโจทก์ใหม่
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้โจทก์
โจทก์เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องบังคับขอให้จำเลยไปยื่นคำขอขายและจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ถือได้ว่าโจทก์ขอบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายจึงเป็นข้อพิพาทที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ไม่ต้องห้าม ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 112,113)
fจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินขอให้จำเลยไปยื่นคำขอขายและจดทะเบียนขายที่ดิน น.ส.3 ก เลขที่ 422 เล่ม 5 ก เลขที่ดิน 79 ตำบลเขาต่อ อำเภอปลายพระยา จังหวัดกระบี่ เนื้อที่15 ไร่ 1 งาน 26 ตารางวา ให้แก่โจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอปลายพระยา แล้วรับเงิน ค่าที่ดินส่วนที่เหลือ 40,368 บาท จากโจทก์ หากไม่ปฏิบัติ ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ของจำเลย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน 129,264 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 109)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 110)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับผิดตามคำฟ้อง เท่ากับฎีกาให้ศาลพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทราคา 105,000 บาทให้โจทก์และให้ชดใช้ค่าเสียหายอีก 129,264 บาท ตามสัญญา ทุนทรัพย์ตามฎีกาโจทก์จึงเกินสองแสนบาท ฎีกาโจทก์ ไม่ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์เป็นการไม่ชอบ ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลเพิ่ม ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่แท้จริงและพิจารณาสั่งฎีกาโจทก์ใหม่
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ฎีกาในดุลพินิจการรับฟังพยาน เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้าม ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานแล้วนำมาปรับกับระเบียบของกรมที่ดินในเรื่อง แบ่งกรรมสิทธิ์รวมผิดพลาด เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกและโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเพิ่มเติมให้แก่โจทก์อีก 1 งาน 95 ตารางวาหากไม่สามารถแบ่งแยกและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้แก่โจทก์ได้ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา ของจำเลย หรือใช้ราคาเป็นเงิน 100,000 บาท จำเลย ยื่นคำให้การและฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ไปดำเนินการขอให้มีการรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ 6375 ตำบลศาลากลางอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เสียใหม่ โดยให้ส่วนที่จะตกได้แก่โจทก์เป็นเนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดง เจตนาของโจทก์ หากไม่สามารถแบ่งแยกที่ดินได้ ให้โจทก์ใช้ราคาที่ดินแก่จำเลย 75,000 บาท คำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ไปดำเนินการขอให้มีการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทเสียใหม่ โดยให้ส่วนที่จะตกได้แก่โจทก์มีเนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 30 ตารางวา นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 77)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 78)
คำสั่ง
โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานคลาดเคลื่อน ไปตามพยานบุคคลที่จำเลยนำเสนอไว้ในศาลชั้นต้น จึงทำให้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนไม่ถูกต้อง ตามกฎหมายและระเบียบของกรมที่ดิน เป็นฎีกาโต้เถียง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล อันเป็น ปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ฎีกาในดุลพินิจการรับฟังพยาน เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้าม ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานแล้วนำมาปรับกับระเบียบของกรมที่ดินในเรื่อง แบ่งกรรมสิทธิ์รวมผิดพลาด เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกและโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเพิ่มเติมให้แก่โจทก์อีก 1 งาน 95 ตารางวาหากไม่สามารถแบ่งแยกและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้แก่โจทก์ได้ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา ของจำเลย หรือใช้ราคาเป็นเงิน 100,000 บาท จำเลย ยื่นคำให้การและฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ไปดำเนินการขอให้มีการรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ 6375 ตำบลศาลากลางอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เสียใหม่ โดยให้ส่วนที่จะตกได้แก่โจทก์เป็นเนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดง เจตนาของโจทก์ หากไม่สามารถแบ่งแยกที่ดินได้ ให้โจทก์ใช้ราคาที่ดินแก่จำเลย 75,000 บาท คำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ไปดำเนินการขอให้มีการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทเสียใหม่ โดยให้ส่วนที่จะตกได้แก่โจทก์มีเนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 30 ตารางวา นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 77)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 78)
คำสั่ง
โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานคลาดเคลื่อน ไปตามพยานบุคคลที่จำเลยนำเสนอไว้ในศาลชั้นต้น จึงทำให้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนไม่ถูกต้อง ตามกฎหมายและระเบียบของกรมที่ดิน เป็นฎีกาโต้เถียง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล อันเป็น ปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของ จำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง และผู้พิพากษาที่พิจารณาพิพากษาคดีในศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาจำเลยที่ว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองกัญชาหรือไม่ และจำเลยครอบครองกัญชาไว้เพื่อ จำหน่ายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้ รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 67)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,72 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขแล้ว พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7(5),8,26,76 วรรคสอง,102 ที่แก้ไขแล้ว ประกาศ กระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2522) เรื่อง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 17 กันยายน 2522 ข้อ 4(1) ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ที่แก้ไขแล้ว ข้อหามีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือนฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปีรวมจำคุก 4 ปี 6 เดือน ริบอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน และกัญชาของกลาง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ข้อหามีกัญชา ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ให้จำคุก 3 ปี รวมโทษแล้ว เป็นจำคุก 3 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไป ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย(อันดับ 64)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 67)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี 6 เดือนศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นจำคุกจำเลย 3 ปี 6 เดือนโดยไม่แก้บทลงโทษ แก้เพียงโทษที่ลง เป็นการแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงเล็กน้อย คู่ความจึงต้องห้าม ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้ ครอบครองกัญชา และมิได้ครอบครองกัญชาเพื่อจำหน่าย เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาลอุทธรณ์ภาค 3จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ของจำเลยชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยยังมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาอื่นที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้อีกนั้น จำเลยชอบที่จะยื่นเสียภายในอายุความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2537 จำเลยมายื่นคำร้องขอให้ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับรองเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2537 จึงเกินหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยฟัง ต้องห้าม ตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ชอบแล้ว จึงให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของ จำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง และผู้พิพากษาที่พิจารณาพิพากษาคดีในศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาจำเลยที่ว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองกัญชาหรือไม่ และจำเลยครอบครองกัญชาไว้เพื่อ จำหน่ายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้ รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 67)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,72 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขแล้ว พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7(5),8,26,76 วรรคสอง,102 ที่แก้ไขแล้ว ประกาศ กระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2522) เรื่อง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 17 กันยายน 2522 ข้อ 4(1) ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ที่แก้ไขแล้ว ข้อหามีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือนฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปีรวมจำคุก 4 ปี 6 เดือน ริบอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน และกัญชาของกลาง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ข้อหามีกัญชา ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ให้จำคุก 3 ปี รวมโทษแล้ว เป็นจำคุก 3 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไป ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย(อันดับ 64)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 67)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี 6 เดือนศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นจำคุกจำเลย 3 ปี 6 เดือนโดยไม่แก้บทลงโทษ แก้เพียงโทษที่ลง เป็นการแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงเล็กน้อย คู่ความจึงต้องห้าม ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้ ครอบครองกัญชา และมิได้ครอบครองกัญชาเพื่อจำหน่าย เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาลอุทธรณ์ภาค 3จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ของจำเลยชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยยังมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาอื่นที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้อีกนั้น จำเลยชอบที่จะยื่นเสียภายในอายุความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2537 จำเลยมายื่นคำร้องขอให้ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับรองเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2537 จึงเกินหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยฟัง ต้องห้าม ตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ชอบแล้ว จึงให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของผู้ร้อง เป็นการโต้แย้งว่าผู้คัดค้านสุจริตหรือไม่ เป็นฎีกา ข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
ผู้ร้องเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้พิพากษายืนตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น ผู้ร้องย่อมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ได้อีกทั้งฎีกาของผู้ร้องก็ยังมีปัญหาข้อกฎหมายด้วยว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเกิน 10 ปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว ผู้คัดค้านจดทะเบียนรับโอนที่ดิน พิพาทมาโดยไม่สุจริต ผู้ร้องย่อมยกเป็นข้อต่อสู้ผู้คัดค้าน ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299,1300โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ร้องไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ ผู้คัดค้านได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 141)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 461ตำบลหนองไผ่แบน อำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานีเฉพาะส่วนตามเส้นสีเขียวในเอกสารหมาย ร.4 เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ 7 ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และคำขออื่นของผู้ร้องนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง ขอของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 135)
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 138)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้คัดค้านได้รับโอนกรรมสิทธิ์ ที่ดินพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต แม้ผู้ร้อง จะได้ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์แล้วก็ตาม แต่เมื่อยัง มิได้จดทะเบียนการได้มาก็ไม่อาจยกขึ้นต่อสู้ผู้คัดค้าน ได้ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้คัดค้านจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาท มาโดยไม่สุจริต จึงเป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับฟังมา อันเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง เมื่อราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้าม มิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ อันเป็นกฎหมาย ที่ใช้บังคับในขณะที่ผู้ร้องยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ของผู้ร้องชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของผู้ร้อง เป็นการโต้แย้งว่าผู้คัดค้านสุจริตหรือไม่ เป็นฎีกา ข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
ผู้ร้องเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้พิพากษายืนตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น ผู้ร้องย่อมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ได้อีกทั้งฎีกาของผู้ร้องก็ยังมีปัญหาข้อกฎหมายด้วยว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเกิน 10 ปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว ผู้คัดค้านจดทะเบียนรับโอนที่ดิน พิพาทมาโดยไม่สุจริต ผู้ร้องย่อมยกเป็นข้อต่อสู้ผู้คัดค้าน ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299,1300โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ร้องไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ ผู้คัดค้านได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 141)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 461ตำบลหนองไผ่แบน อำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานีเฉพาะส่วนตามเส้นสีเขียวในเอกสารหมาย ร.4 เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ 7 ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และคำขออื่นของผู้ร้องนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง ขอของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 135)
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 138)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้คัดค้านได้รับโอนกรรมสิทธิ์ ที่ดินพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต แม้ผู้ร้อง จะได้ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์แล้วก็ตาม แต่เมื่อยัง มิได้จดทะเบียนการได้มาก็ไม่อาจยกขึ้นต่อสู้ผู้คัดค้าน ได้ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้คัดค้านจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาท มาโดยไม่สุจริต จึงเป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับฟังมา อันเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง เมื่อราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้าม มิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ อันเป็นกฎหมาย ที่ใช้บังคับในขณะที่ผู้ร้องยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ของผู้ร้องชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าคำฟ้องอุทธรณ์เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า โจทก์พ้นจากการเป็น ลูกจ้างของจำเลยเนื่องจากโจทก์ขอลาออกหรือจำเลย เลิกจ้างโจทก์ เป็นสาระสำคัญแก่คดีสมควรที่จะได้รับ การวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 64)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย เป็นเงิน 12,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2536 เป็นต้นไป สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 12,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 15 พฤศจิกายน 2536) เป็นต้นไป ค่าจ้างค้างเป็นเงิน 3,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ สิบห้าต่อปีนับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2536 เป็นต้นไป และเงินสะสมจำนวน 800 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง(วันที่ 15 พฤศจิกายน 2536) เป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่ง ไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 56)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 59)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลย ไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจ การรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่ฟังว่า จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54ที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าคำฟ้องอุทธรณ์เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า โจทก์พ้นจากการเป็น ลูกจ้างของจำเลยเนื่องจากโจทก์ขอลาออกหรือจำเลย เลิกจ้างโจทก์ เป็นสาระสำคัญแก่คดีสมควรที่จะได้รับ การวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 64)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย เป็นเงิน 12,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2536 เป็นต้นไป สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 12,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 15 พฤศจิกายน 2536) เป็นต้นไป ค่าจ้างค้างเป็นเงิน 3,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ สิบห้าต่อปีนับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2536 เป็นต้นไป และเงินสะสมจำนวน 800 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง(วันที่ 15 พฤศจิกายน 2536) เป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่ง ไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 56)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 59)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลย ไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจ การรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่ฟังว่า จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54ที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลา ยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า คดีนี้จำเลยที่ 2ยื่นฎีกา และคำร้องภายในกำหนดจึงไม่จำต้องขอขยายเวลายื่นฎีกาอีก ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 เห็นว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอขยาย ระยะเวลายื่นฎีกาก็เพื่อใช้สิทธิที่จะขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ท่านอื่น อนุญาตให้จำเลยที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง การที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องจึงเป็นการตัดสิทธิของจำเลย ในการฎีกา จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอศาลอุทธรณ์พิพากษา กลับให้รับคำร้องขอขยายเวลาฎีกา และมีคำสั่งอนุญาต ให้ขยายระยะเวลาด้วย โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 197 แผ่นที่ 2)
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง จำเลยที่ 1ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 พร้อมบริวาร รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากโฉนดเลขที่ 1602 ตำบลศิลาลอย อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เฉพาะส่วนที่จำเลยที่ 2ครอบครอง กับให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ยกฟ้องแย้ง จำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 185 แผ่นที่ 3)
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง (อันดับ 185 แผ่นที่ 2)
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรวม สำนวนส่งศาลฎีกา (อันดับ 192)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้อง ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาของจำเลยที่ 2 เพราะ จำเลยที่ 2ได้ยื่นฎีกาและคำร้องขอให้ผู้พิพากษา ที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในเวลา ที่กฎหมายกำหนดแล้ว มิใช่กรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาที่จะต้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247,252 จำเลยที่ 2 ย่อมมีสิทธิ อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ได้ตามมาตรา 223 แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วก็เห็นสมควร วินิจฉัยไปเสียเลย ศาลฎีกาเห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ที่ปรากฏในอุทธรณ์คำสั่งซึ่งอ้างว่าขอขยายระยะเวลา ฎีกาเพื่อใช้สิทธิที่จะขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณา คดีในศาลชั้นต้นคือนายสุรศักดิ์คีรีวิเชียร หรือศาลอุทธรณ์รับรอง หรือขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาได้นั้น ไม่มีปรากฏเหตุผลดังกล่าวในคำร้องขอขยายระยะเวลาของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด คำร้องเพียงแต่อ้างเหตุว่าขอขยายระยะเวลาออกไป อีก 30 วัน เพื่อให้นายศตวรรษ ทาแก้ว ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีนี้ในศาลชั้นต้นรับรองเท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าฎีกาและคำร้องขอให้ผู้พิพากษาดังกล่าว รับรองได้ยื่นในกำหนดระยะเวลาฎีกา จึงมีคำสั่งยกคำร้อง ขอขยายระยะเวลาเสีย คำสั่ง ศาลชั้นต้นย่อมชอบด้วย กฎหมายแล้ว ให้ยกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 2
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลา ยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า คดีนี้จำเลยที่ 2ยื่นฎีกา และคำร้องภายในกำหนดจึงไม่จำต้องขอขยายเวลายื่นฎีกาอีก ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 เห็นว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอขยาย ระยะเวลายื่นฎีกาก็เพื่อใช้สิทธิที่จะขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ท่านอื่น อนุญาตให้จำเลยที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง การที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องจึงเป็นการตัดสิทธิของจำเลย ในการฎีกา จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอศาลอุทธรณ์พิพากษา กลับให้รับคำร้องขอขยายเวลาฎีกา และมีคำสั่งอนุญาต ให้ขยายระยะเวลาด้วย โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 197 แผ่นที่ 2)
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง จำเลยที่ 1ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 พร้อมบริวาร รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากโฉนดเลขที่ 1602 ตำบลศิลาลอย อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เฉพาะส่วนที่จำเลยที่ 2ครอบครอง กับให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ยกฟ้องแย้ง จำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 185 แผ่นที่ 3)
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง (อันดับ 185 แผ่นที่ 2)
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรวม สำนวนส่งศาลฎีกา (อันดับ 192)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้อง ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาของจำเลยที่ 2 เพราะ จำเลยที่ 2ได้ยื่นฎีกาและคำร้องขอให้ผู้พิพากษา ที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในเวลา ที่กฎหมายกำหนดแล้ว มิใช่กรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาที่จะต้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247,252 จำเลยที่ 2 ย่อมมีสิทธิ อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ได้ตามมาตรา 223 แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วก็เห็นสมควร วินิจฉัยไปเสียเลย ศาลฎีกาเห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ที่ปรากฏในอุทธรณ์คำสั่งซึ่งอ้างว่าขอขยายระยะเวลา ฎีกาเพื่อใช้สิทธิที่จะขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณา คดีในศาลชั้นต้นคือนายสุรศักดิ์คีรีวิเชียร หรือศาลอุทธรณ์รับรอง หรือขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาได้นั้น ไม่มีปรากฏเหตุผลดังกล่าวในคำร้องขอขยายระยะเวลาของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด คำร้องเพียงแต่อ้างเหตุว่าขอขยายระยะเวลาออกไป อีก 30 วัน เพื่อให้นายศตวรรษ ทาแก้ว ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีนี้ในศาลชั้นต้นรับรองเท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าฎีกาและคำร้องขอให้ผู้พิพากษาดังกล่าว รับรองได้ยื่นในกำหนดระยะเวลาฎีกา จึงมีคำสั่งยกคำร้อง ขอขยายระยะเวลาเสีย คำสั่ง ศาลชั้นต้นย่อมชอบด้วย กฎหมายแล้ว ให้ยกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 2
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า พ้นกำหนดเวลายื่นฎีกาแล้ว จึงให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 เห็นว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ รับรองฎีกาฉบับลงวันที่ 25 ตุลาคม 2537 ยังอยู่ ในระยะเวลาที่จำเลยที่ 2ขอขยายระยะเวลา ยื่นฎีกาไว้ แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอขยาย ระยะเวลายื่นฎีกาของจำเลยที่ 2 คำสั่งยกคำร้องฉบับลงวันที่ 25 ตุลาคม 2537 จึงมิชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลโปรดมีคำสั่งรับคำร้องดังกล่าว เพื่อให้ ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาต่อไป โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 197 แผ่นที่ 2)
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง จำเลยที่ 1ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 พร้อมบริวาร รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากโฉนดเลขที่ 1602 ตำบลศิลาลอย อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เฉพาะส่วนที่จำเลยที่ 2ครอบครอง กับให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ยกฟ้องแย้ง จำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 185 แผ่นที่ 3)
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองฎีกาฉบับลงวันที่ 25 ตุลาคม 2537 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 191)
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรวม สำนวนส่งศาลฎีกา (อันดับ 194)
คำสั่ง
ศาลฎีกายกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาเมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้อ่าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 2 ฟังเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2537 แต่จำเลยมายื่นคำร้องขอให้ นายสุรศักดิ์คีรีวิเชียร ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในวันที่ 25 ตุลาคม 2537 จึงเป็นการยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกา คำสั่ง ศาลชั้นต้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า พ้นกำหนดเวลายื่นฎีกาแล้ว จึงให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 เห็นว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ รับรองฎีกาฉบับลงวันที่ 25 ตุลาคม 2537 ยังอยู่ ในระยะเวลาที่จำเลยที่ 2ขอขยายระยะเวลา ยื่นฎีกาไว้ แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอขยาย ระยะเวลายื่นฎีกาของจำเลยที่ 2 คำสั่งยกคำร้องฉบับลงวันที่ 25 ตุลาคม 2537 จึงมิชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลโปรดมีคำสั่งรับคำร้องดังกล่าว เพื่อให้ ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาต่อไป โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 197 แผ่นที่ 2)
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง จำเลยที่ 1ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 พร้อมบริวาร รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากโฉนดเลขที่ 1602 ตำบลศิลาลอย อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เฉพาะส่วนที่จำเลยที่ 2ครอบครอง กับให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ยกฟ้องแย้ง จำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 185 แผ่นที่ 3)
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองฎีกาฉบับลงวันที่ 25 ตุลาคม 2537 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 191)
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรวม สำนวนส่งศาลฎีกา (อันดับ 194)
คำสั่ง
ศาลฎีกายกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาเมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้อ่าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 2 ฟังเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2537 แต่จำเลยมายื่นคำร้องขอให้ นายสุรศักดิ์คีรีวิเชียร ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในวันที่ 25 ตุลาคม 2537 จึงเป็นการยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกา คำสั่ง ศาลชั้นต้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ศาลชั้นต้นน่าจะสั่งฎีกาของ จำเลยที่ 2เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ขอขยายไว้ แต่กลับมีคำสั่งไม่รับฎีกาทั้งที่จำเลยที่ 2 ยังมีสิทธิ ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์รับรองฎีกาได้อยู่คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ ไม่รับฎีกาจึงมิชอบด้วยกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้เวลา จำเลยที่ 2 ในการที่จะยื่นคำร้องขออนุญาตให้จำเลยที่ 2 ฎีกาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 197 แผ่นที่ 2)
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 พร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากโฉนดเลขที่ 1602 ตำบลศิลาลอยอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เฉพาะส่วนที่จำเลยที่ 2ครอบครอง กับให้จำเลยที่ 2 ชำระ ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 145 แผ่นที่ 3)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 195)
คำสั่ง
ศาลฎีกายกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาคำสั่งของศาลชั้นต้น ที่ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ศาลชั้นต้นน่าจะสั่งฎีกาของ จำเลยที่ 2เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ขอขยายไว้ แต่กลับมีคำสั่งไม่รับฎีกาทั้งที่จำเลยที่ 2 ยังมีสิทธิ ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์รับรองฎีกาได้อยู่คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ ไม่รับฎีกาจึงมิชอบด้วยกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้เวลา จำเลยที่ 2 ในการที่จะยื่นคำร้องขออนุญาตให้จำเลยที่ 2 ฎีกาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 197 แผ่นที่ 2)
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 พร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากโฉนดเลขที่ 1602 ตำบลศิลาลอยอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เฉพาะส่วนที่จำเลยที่ 2ครอบครอง กับให้จำเลยที่ 2 ชำระ ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 145 แผ่นที่ 3)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 195)
คำสั่ง
ศาลฎีกายกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาคำสั่งของศาลชั้นต้น ที่ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่รับฎีกาโจทก์ เนื่องจากคำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 4
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 1.1 ถึง 1.4 ยกเว้นเฉพาะข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์สั่งรับแล้ว และอุทธรณ์ข้อ 1.5เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ดังนั้นคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับ ฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์จึง ไม่ชอบด้วยกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 171 แผ่นที่ 4)
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,352 และมาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าอุทธรณ์ ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับ อุทธรณ์โจทก์ (อันดับ 153)
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 1.4 ในส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ทำนองว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งตัดพยาน และงดสืบพยานโจทก์ไม่ชอบนั้น เท่ากับอุทธรณ์ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานนั้นไม่ชอบด้วย กระบวนพิจารณา จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ข้อดังกล่าวจึงไม่ชอบ ให้รับอุทธรณ์ ส่วนนี้ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป สำหรับอุทธรณ์ของ โจทก์ตามข้อ 1.1 ถึงข้อ 1.4 ยกเว้นเฉพาะข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์สั่งรับแล้วข้างต้นและอุทธรณ์ข้อ 1.5 นั้นโจทก์อุทธรณ์โต้แย้งการใช้ดุลพินิจของศาลในการรับฟัง พยานจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวง และวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ที่แก้ไขแล้วส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 1.5 ตอนท้าย ที่ว่าฟ้องโจทก์ยังไม่ขาดอายุความนั้น แม้จะเป็นปัญหา ข้อกฎหมาย แต่ปัญหาดังกล่าวศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัย และจำเลยก็ไม่ได้อุทธรณ์ อุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนดังกล่าว จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้น ไม่รับอุทธรณ์ชอบแล้ว จึงมีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของ ศาลชั้นต้น (อันดับ 162)
โจทก์ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 165)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 168)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตาม คำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ส่วนหนึ่ง และมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ส่วนหนึ่ง คำสั่งของศาลอุทธรณ์ ดังกล่าวจึงเป็นที่สุดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวง และวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 4 โจทก์ฎีกาคำสั่งนี้อีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ ฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่รับฎีกาโจทก์ เนื่องจากคำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 4
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 1.1 ถึง 1.4 ยกเว้นเฉพาะข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์สั่งรับแล้ว และอุทธรณ์ข้อ 1.5เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ดังนั้นคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับ ฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์จึง ไม่ชอบด้วยกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 171 แผ่นที่ 4)
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,352 และมาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าอุทธรณ์ ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับ อุทธรณ์โจทก์ (อันดับ 153)
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 1.4 ในส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ทำนองว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งตัดพยาน และงดสืบพยานโจทก์ไม่ชอบนั้น เท่ากับอุทธรณ์ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานนั้นไม่ชอบด้วย กระบวนพิจารณา จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ข้อดังกล่าวจึงไม่ชอบ ให้รับอุทธรณ์ ส่วนนี้ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป สำหรับอุทธรณ์ของ โจทก์ตามข้อ 1.1 ถึงข้อ 1.4 ยกเว้นเฉพาะข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์สั่งรับแล้วข้างต้นและอุทธรณ์ข้อ 1.5 นั้นโจทก์อุทธรณ์โต้แย้งการใช้ดุลพินิจของศาลในการรับฟัง พยานจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวง และวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ที่แก้ไขแล้วส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 1.5 ตอนท้าย ที่ว่าฟ้องโจทก์ยังไม่ขาดอายุความนั้น แม้จะเป็นปัญหา ข้อกฎหมาย แต่ปัญหาดังกล่าวศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัย และจำเลยก็ไม่ได้อุทธรณ์ อุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนดังกล่าว จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้น ไม่รับอุทธรณ์ชอบแล้ว จึงมีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของ ศาลชั้นต้น (อันดับ 162)
โจทก์ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 165)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 168)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตาม คำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ส่วนหนึ่ง และมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ส่วนหนึ่ง คำสั่งของศาลอุทธรณ์ ดังกล่าวจึงเป็นที่สุดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวง และวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 4 โจทก์ฎีกาคำสั่งนี้อีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ ฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธี พิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 จึงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาที่ว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังพยานคู่ของจำเลยทั้งสองขัดต่อ กฎหมายว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐาน คำสั่งของจำเลยที่ 1 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่ได้กระทำผิดและไม่ได้ ขัดคำสั่งของจำเลยที่ 1การว่ากล่าวตักเตือนของจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ไม่ชอบด้วยระเบียบข้อบังคับการปฏิบัติงาน ของจำเลยที่ 1 และการตีความข้อตกลงแห่งระเบียบ ข้อบังคับการปฏิบัติงานพิพาทของศาลแรงงานกลางชอบหรือไม่ และศาลแรงงานกลางฟังพยานหลักฐานขัดต่อกฎหมายหรือไม่ ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย รวมทั้งการเลิกจ้างโดย ไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ของประชาชน อันเป็นข้อยกเว้นที่โจทก์มีสิทธิ ยกขึ้นอ้างอิงในอุทธรณ์ได้โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ ของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 54)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินค่าชดเชยจำนวน 2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 23 มีนาคม 2537) จนกว่าจะจ่ายเงิน เสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 45)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 47)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงน่าเชื่อ ตามที่จำเลยนำสืบมาว่าโจทก์ไม่ออกไปดูแลควบคุมการทำงานของพนักงานในโรงงาน และดูแลให้พนักงานปฏิบัติ ตามระเบียบข้อบังคับในการทำงานของจำเลยตามหน้าที่ของโจทก์ และจำเลยได้ตักเตือนโจทก์หลายครั้งแล้วแต่โจทก์ก็เพิกเฉย การกระทำของโจทก์จึงเป็นการจงใจขัดคำสั่งของจำเลย อันชอบด้วยกฎหมาย และละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งของจำเลย เป็นอาจิน พฤติการณ์ของโจทก์ทำให้จำเลยขาดความไว้วางใจ ไม่เหมาะสมที่จะให้โจทก์ทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้จัดการโรงงานต่อไป การเลิกจ้างโจทก์จึงมิใช่การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โจทก์เรียกค่าเสียหายไม่ได้ ส่วนเงินสวัสดิการประจำตำแหน่ง จำเลยนำสืบได้ว่า จ่ายรวมเป็นเงินเดือนให้โจทก์ไปแล้ว โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานจำเลยฟังไม่ได้ว่า โจทก์จงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย และละเลยไม่นำพา ต่อคำสั่งของจำเลยเป็นอาจิณ จำเลยไม่นำสืบถึงการตักเตือน ด้วยลายลักษณ์อักษร โจทก์ไม่ได้กระทำผิดร้ายแรงและไม่ได้รับคำตักเตือนจากจำเลยการเลิกจ้างของจำเลยจึงเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายส่วนเงินสวัสดิการประจำตำแหน่งแยกออกจากเงินเดือนประจำ โจทก์ควรได้รับเงินจำนวนนี้อีก เป็นการ โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับ อุทธรณ์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธี พิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 จึงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาที่ว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังพยานคู่ของจำเลยทั้งสองขัดต่อ กฎหมายว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐาน คำสั่งของจำเลยที่ 1 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่ได้กระทำผิดและไม่ได้ ขัดคำสั่งของจำเลยที่ 1การว่ากล่าวตักเตือนของจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ไม่ชอบด้วยระเบียบข้อบังคับการปฏิบัติงาน ของจำเลยที่ 1 และการตีความข้อตกลงแห่งระเบียบ ข้อบังคับการปฏิบัติงานพิพาทของศาลแรงงานกลางชอบหรือไม่ และศาลแรงงานกลางฟังพยานหลักฐานขัดต่อกฎหมายหรือไม่ ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย รวมทั้งการเลิกจ้างโดย ไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ของประชาชน อันเป็นข้อยกเว้นที่โจทก์มีสิทธิ ยกขึ้นอ้างอิงในอุทธรณ์ได้โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ ของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 54)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินค่าชดเชยจำนวน 2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 23 มีนาคม 2537) จนกว่าจะจ่ายเงิน เสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 45)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 47)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงน่าเชื่อ ตามที่จำเลยนำสืบมาว่าโจทก์ไม่ออกไปดูแลควบคุมการทำงานของพนักงานในโรงงาน และดูแลให้พนักงานปฏิบัติ ตามระเบียบข้อบังคับในการทำงานของจำเลยตามหน้าที่ของโจทก์ และจำเลยได้ตักเตือนโจทก์หลายครั้งแล้วแต่โจทก์ก็เพิกเฉย การกระทำของโจทก์จึงเป็นการจงใจขัดคำสั่งของจำเลย อันชอบด้วยกฎหมาย และละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งของจำเลย เป็นอาจิน พฤติการณ์ของโจทก์ทำให้จำเลยขาดความไว้วางใจ ไม่เหมาะสมที่จะให้โจทก์ทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้จัดการโรงงานต่อไป การเลิกจ้างโจทก์จึงมิใช่การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โจทก์เรียกค่าเสียหายไม่ได้ ส่วนเงินสวัสดิการประจำตำแหน่ง จำเลยนำสืบได้ว่า จ่ายรวมเป็นเงินเดือนให้โจทก์ไปแล้ว โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานจำเลยฟังไม่ได้ว่า โจทก์จงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย และละเลยไม่นำพา ต่อคำสั่งของจำเลยเป็นอาจิณ จำเลยไม่นำสืบถึงการตักเตือน ด้วยลายลักษณ์อักษร โจทก์ไม่ได้กระทำผิดร้ายแรงและไม่ได้รับคำตักเตือนจากจำเลยการเลิกจ้างของจำเลยจึงเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายส่วนเงินสวัสดิการประจำตำแหน่งแยกออกจากเงินเดือนประจำ โจทก์ควรได้รับเงินจำนวนนี้อีก เป็นการ โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับ อุทธรณ์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|