ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้วคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ที่แก้ไข ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาล
จำเลยเห็นว่า การนำสืบพยานของโจทก์เป็นการเปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อความในเอกสารที่มีอยู่ ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟัง พยานบุคคล แต่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าเป็นการนำสืบตามความจริง ที่ระบุไว้ในสัญญา จึงเป็นการรับฟังพยานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 167621 ตำบลสะพานสูง อำเภอบางกะปิกรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ หากไม่ไปจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 51)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การนำสืบพยานของโจทก์เป็นการ นำสืบตามข้อเท็จจริงที่มีระบุไว้ในสัญญาตามเอกสารหมาย จ.3 ตอนท้าย และศาลอุทธรณ์เชื่อข้อเท็จจริงตามสัญญาส่วนนี้ การที่ จำเลยฎีกาว่า ความจริงตามสัญญาดังกล่าวมีข้อความระบุว่า การชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่เหลือแบ่งเป็น 3 งวด ศาลควรเชื่อ ข้อเท็จจริงตรงส่วนที่ระบุนี้ ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาโต้เถียง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล อันเป็นข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้วคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ที่แก้ไข ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาล
จำเลยเห็นว่า การนำสืบพยานของโจทก์เป็นการเปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อความในเอกสารที่มีอยู่ ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟัง พยานบุคคล แต่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าเป็นการนำสืบตามความจริง ที่ระบุไว้ในสัญญา จึงเป็นการรับฟังพยานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 167621 ตำบลสะพานสูง อำเภอบางกะปิกรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ หากไม่ไปจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 51)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การนำสืบพยานของโจทก์เป็นการ นำสืบตามข้อเท็จจริงที่มีระบุไว้ในสัญญาตามเอกสารหมาย จ.3 ตอนท้าย และศาลอุทธรณ์เชื่อข้อเท็จจริงตามสัญญาส่วนนี้ การที่ จำเลยฎีกาว่า ความจริงตามสัญญาดังกล่าวมีข้อความระบุว่า การชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่เหลือแบ่งเป็น 3 งวด ศาลควรเชื่อ ข้อเท็จจริงตรงส่วนที่ระบุนี้ ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาโต้เถียง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล อันเป็นข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ฟ้อง ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจ ให้เช่าขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท และคดีมี ทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่าการที่จำเลยนำ เนื้อความในเอกสารมาต่อสู้กับโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยได้หรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับ ฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองออกจากที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1196 เลขที่ดิน 314 ตำบลเวียงตาลอำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง พร้อมสิ่งปลูกสร้างภายใน 7 วันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา โดยให้ส่งมอบให้โจทก์ และให้จำเลยทั้งสอง ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2534 จนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ดังกล่าว และส่งมอบให้โจทก์ คำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องแย้ง ของจำเลย
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ทั้งสอง (อันดับ 110)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 111)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้วให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ฟ้อง ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจ ให้เช่าขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท และคดีมี ทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่าการที่จำเลยนำ เนื้อความในเอกสารมาต่อสู้กับโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยได้หรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับ ฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองออกจากที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1196 เลขที่ดิน 314 ตำบลเวียงตาลอำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง พร้อมสิ่งปลูกสร้างภายใน 7 วันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา โดยให้ส่งมอบให้โจทก์ และให้จำเลยทั้งสอง ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2534 จนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ดังกล่าว และส่งมอบให้โจทก์ คำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องแย้ง ของจำเลย
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ทั้งสอง (อันดับ 110)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 111)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้วให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54
จำเลยเห็นว่า จำเลยอุทธรณ์ในประเด็นแรกว่า โจทก์ทุจริต ต่อหน้าที่หรือไม่ประเด็นข้อที่ 2 โจทก์จงใจทำให้จำเลยเสียหาย หรือไม่ ประเด็นข้อที่ 3 โจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับ การทำงานหรือระเบียบโดยมีการตักเตือนเป็นหนังสือแล้วหรือไม่ และในประเด็นข้อที่ 4 โจทก์มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยหรือไม่ ทั้งหมดนี้เป็นการอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ข้อเท็จจริงนั้นได้ ปรับเข้ากับข้อกฎหมายคลาดเคลื่อนไป โปรดมีคำสั่งให้ รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 66 แผ่นที่ 2)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 75,000 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 45,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 51)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 59)
คำสั่ง
จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวาง ศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234ประกอบกับ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54
จำเลยเห็นว่า จำเลยอุทธรณ์ในประเด็นแรกว่า โจทก์ทุจริต ต่อหน้าที่หรือไม่ประเด็นข้อที่ 2 โจทก์จงใจทำให้จำเลยเสียหาย หรือไม่ ประเด็นข้อที่ 3 โจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับ การทำงานหรือระเบียบโดยมีการตักเตือนเป็นหนังสือแล้วหรือไม่ และในประเด็นข้อที่ 4 โจทก์มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยหรือไม่ ทั้งหมดนี้เป็นการอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ข้อเท็จจริงนั้นได้ ปรับเข้ากับข้อกฎหมายคลาดเคลื่อนไป โปรดมีคำสั่งให้ รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 66 แผ่นที่ 2)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 75,000 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 45,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 51)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 59)
คำสั่ง
จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวาง ศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234ประกอบกับ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า เหตุที่รถชนกันไม่ใช่ เหตุสุดวิสัย แต่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายนิคม ผู้ตาย เพราะนายนิคมไม่ได้ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอเช่นบุคคลทั่วไป ขับรถหักหลบสุนัขที่วิ่งข้ามถนนตัดหน้าล้ำ เข้ามาในช่องทางเดินรถของฝ่ายโจทก์นั้น เป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 77,78)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 140,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 75)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 76)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟัง ข้อเท็จจริงแล้วว่า เหตุที่รถชนกันครั้งนี้ถือไม่ได้ว่าเป็น ความประมาทของผู้ตาย แต่เป็นเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นโดย บังเอิญจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โจทก์จะ ฎีกาโต้เถียงอีกว่า เหตุที่รถชนกันไม่ใช่เหตุสุดวิสัย แต่เกิดจากความประมาทของผู้ตาย ย่อมเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน สองแสนบาทฎีกาของโจทก์จึงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า เหตุที่รถชนกันไม่ใช่ เหตุสุดวิสัย แต่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายนิคม ผู้ตาย เพราะนายนิคมไม่ได้ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอเช่นบุคคลทั่วไป ขับรถหักหลบสุนัขที่วิ่งข้ามถนนตัดหน้าล้ำ เข้ามาในช่องทางเดินรถของฝ่ายโจทก์นั้น เป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 77,78)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 140,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 75)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 76)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟัง ข้อเท็จจริงแล้วว่า เหตุที่รถชนกันครั้งนี้ถือไม่ได้ว่าเป็น ความประมาทของผู้ตาย แต่เป็นเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นโดย บังเอิญจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โจทก์จะ ฎีกาโต้เถียงอีกว่า เหตุที่รถชนกันไม่ใช่เหตุสุดวิสัย แต่เกิดจากความประมาทของผู้ตาย ย่อมเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน สองแสนบาทฎีกาของโจทก์จึงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องสอดฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของ ผู้ร้องสอดเป็นการให้รับฟังข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหา ข้อกฎหมายถือว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรค 1 และวรรค 2จึงไม่รับฎีกาของผู้ร้องสอด คืนค่าธรรมเนียมทั้งหมด
ผู้ร้องสอดเห็นว่า ฎีกาที่ว่าโจทก์ส่งหนังสือบอกเลิก สัญญาเช่าไปยังที่อื่น อันมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลย การบอกเลิก สัญญาเช่าของโจทก์จึงไม่อาจถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 โจทก์ไม่มี อำนาจฟ้องจำเลยนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับ ฎีกาของผู้ร้องสอดไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลย ผู้ร้องสอดและบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 306/323(เลขที่ใหม่เป็นเลขที่ 10) หมู่ที่ 7ตำบลลำไทรอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 24328 ตำบลลำตาเสา (คลองซอยที่ 26 ฝั่งเหนือ)อำเภอวังน้อย (พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ห้ามเกี่ยวข้องต่อไปกับให้จำเลยและ ผู้ร้องสอดร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลย ผู้ร้องสอดและบริวารจะออกไปจาก ที่ดินพิพาท ยกคำร้องสอด
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ผู้ร้องสอด
ผู้ร้องสอดฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 178)
ผู้ร้องสอดจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 179)
คำสั่ง
ฎีกาข้อ 2 ของผู้ร้องสอดที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องสอดต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เป็น คำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นฎีกาในปัญหา ข้อกฎหมายจึงให้รับฎีกาเฉพาะข้อที่กล่าวนี้ไว้
ความว่า ผู้ร้องสอดฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของ ผู้ร้องสอดเป็นการให้รับฟังข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหา ข้อกฎหมายถือว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรค 1 และวรรค 2จึงไม่รับฎีกาของผู้ร้องสอด คืนค่าธรรมเนียมทั้งหมด
ผู้ร้องสอดเห็นว่า ฎีกาที่ว่าโจทก์ส่งหนังสือบอกเลิก สัญญาเช่าไปยังที่อื่น อันมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลย การบอกเลิก สัญญาเช่าของโจทก์จึงไม่อาจถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 โจทก์ไม่มี อำนาจฟ้องจำเลยนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับ ฎีกาของผู้ร้องสอดไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลย ผู้ร้องสอดและบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 306/323(เลขที่ใหม่เป็นเลขที่ 10) หมู่ที่ 7ตำบลลำไทรอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 24328 ตำบลลำตาเสา (คลองซอยที่ 26 ฝั่งเหนือ)อำเภอวังน้อย (พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ห้ามเกี่ยวข้องต่อไปกับให้จำเลยและ ผู้ร้องสอดร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลย ผู้ร้องสอดและบริวารจะออกไปจาก ที่ดินพิพาท ยกคำร้องสอด
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ผู้ร้องสอด
ผู้ร้องสอดฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 178)
ผู้ร้องสอดจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 179)
คำสั่ง
ฎีกาข้อ 2 ของผู้ร้องสอดที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องสอดต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เป็น คำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นฎีกาในปัญหา ข้อกฎหมายจึงให้รับฎีกาเฉพาะข้อที่กล่าวนี้ไว้
ความว่า จำเลยฎีกา มีทางชนะคดี โปรดมีคำสั่งห้ามผู้ซื้อทรัพย์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ขายทอดตลาดไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์และผู้ซื้อทรัพย์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 67,68)
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องหย่าและขอแบ่งทรัพย์สินจากจำเลยคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี และเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2534 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 25706 เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 5 ตารางวา ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา เจ้าพนักงาน บังคับคดีได้ประกาศขายทอดตลาดทรัพย์รายนี้ และเมื่อวันที่29 กันยายน 2535 บริษัทสยามแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตร จำกัดผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ประมูลซื้อได้ในราคาสูงสุด 1,050,000 บาทต่อมาวันที่ 1 ตุลาคม 2535 จำเลยยื่นคำร้องว่า ราคาทรัพย์ที่ขายทอดตลาดไปนั้นต่ำเกินกว่าความเป็นจริงซึ่งมีราคา ประมาณ 3,000,000 บาท และต่ำกว่าราคาประเมินขณะยึดทรัพย์ ตีราคาประเมินไว้ 1,515,000 บาท ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการขาย ทอดตลาดครั้งนี้ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า ก่อนที่ ผู้ซื้อทรัพย์จะเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์รายนี้ได้ เจ้าพนักงาน บังคับคดีเคยนำทรัพย์รายนี้ออกขายทอดตลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2535 ปรากฏว่ามีผู้ให้ความสนใจน้อย และมีผู้เข้าสู้ราคาเพียง 1 ราย โดยให้ราคาเพียง 1,000,000 บาท จำเลยคัดค้านว่าราคาต่ำเกินไป เจ้าพนักงานบังคับคดีให้งด การขายและให้โอกาสโจทก์และจำเลยหาคนมาสู้ราคาใหม่ตาม บันทึกหมาย จ.1 ครั้นถึงวันนัดขายทอดตลาดใหม่จำเลยไม่สามารถ นำผู้ซื้อทรัพย์รายนี้ในราคาสูงกว่านี้ราคาทรัพย์ที่ ผู้ซื้อทรัพย์ประมูลได้เป็นราคาพอสมควร เพราะเจ้าพนักงานที่ดิน ประเมินราคาไว้เพียงตารางวาละ 2,500 บาท เท่านั้น ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องของ จำเลยแล้วมีคำสั่ง ว่าไม่ต้องไต่สวน ให้ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา และยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54,59)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ให้ระงับการจดทะเบียนสิทธิในทรัพย์ที่ขายทอดตลาดให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์เป็นการชั่วคราวในระหว่างฎีกา
ความว่า จำเลยฎีกา มีทางชนะคดี โปรดมีคำสั่งห้ามผู้ซื้อทรัพย์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ขายทอดตลาดไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์และผู้ซื้อทรัพย์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 67,68)
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องหย่าและขอแบ่งทรัพย์สินจากจำเลยคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี และเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2534 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 25706 เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 5 ตารางวา ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา เจ้าพนักงาน บังคับคดีได้ประกาศขายทอดตลาดทรัพย์รายนี้ และเมื่อวันที่29 กันยายน 2535 บริษัทสยามแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตร จำกัดผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ประมูลซื้อได้ในราคาสูงสุด 1,050,000 บาทต่อมาวันที่ 1 ตุลาคม 2535 จำเลยยื่นคำร้องว่า ราคาทรัพย์ที่ขายทอดตลาดไปนั้นต่ำเกินกว่าความเป็นจริงซึ่งมีราคา ประมาณ 3,000,000 บาท และต่ำกว่าราคาประเมินขณะยึดทรัพย์ ตีราคาประเมินไว้ 1,515,000 บาท ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการขาย ทอดตลาดครั้งนี้ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า ก่อนที่ ผู้ซื้อทรัพย์จะเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์รายนี้ได้ เจ้าพนักงาน บังคับคดีเคยนำทรัพย์รายนี้ออกขายทอดตลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2535 ปรากฏว่ามีผู้ให้ความสนใจน้อย และมีผู้เข้าสู้ราคาเพียง 1 ราย โดยให้ราคาเพียง 1,000,000 บาท จำเลยคัดค้านว่าราคาต่ำเกินไป เจ้าพนักงานบังคับคดีให้งด การขายและให้โอกาสโจทก์และจำเลยหาคนมาสู้ราคาใหม่ตาม บันทึกหมาย จ.1 ครั้นถึงวันนัดขายทอดตลาดใหม่จำเลยไม่สามารถ นำผู้ซื้อทรัพย์รายนี้ในราคาสูงกว่านี้ราคาทรัพย์ที่ ผู้ซื้อทรัพย์ประมูลได้เป็นราคาพอสมควร เพราะเจ้าพนักงานที่ดิน ประเมินราคาไว้เพียงตารางวาละ 2,500 บาท เท่านั้น ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องของ จำเลยแล้วมีคำสั่ง ว่าไม่ต้องไต่สวน ให้ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา และยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54,59)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ให้ระงับการจดทะเบียนสิทธิในทรัพย์ที่ขายทอดตลาดให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์เป็นการชั่วคราวในระหว่างฎีกา
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลในข้อที่ว่า แก้วหูซ้ายของผู้เสียหายทะลุหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเพื่อ นำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมาย เป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ในทางพิจารณาข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าบาดแผลที่ปรากฏแก่ผู้เสียหายที่เกิดจากการกระทำของจำเลยเป็นเพียงรอยบวมฟกช้ำเท่านั้น ซึ่งบาดแผลดังกล่าวจะถือว่าเป็นการทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 หาได้ไม่ จำเลยฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวโดยมิได้โต้แย้งว่าแก้วหูซ้ายของ ผู้เสียหายทะลุหรือไม่แต่อย่างใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 82)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 294 ลงโทษจำคุก 2 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 77)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 80)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน การที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายมีบาดแผลเพียงรอยบวมฟกช้ำนั้นเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายจนแก้วหูซ้ายทะลุ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลในข้อที่ว่า แก้วหูซ้ายของผู้เสียหายทะลุหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเพื่อ นำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมาย เป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ในทางพิจารณาข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าบาดแผลที่ปรากฏแก่ผู้เสียหายที่เกิดจากการกระทำของจำเลยเป็นเพียงรอยบวมฟกช้ำเท่านั้น ซึ่งบาดแผลดังกล่าวจะถือว่าเป็นการทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 หาได้ไม่ จำเลยฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวโดยมิได้โต้แย้งว่าแก้วหูซ้ายของ ผู้เสียหายทะลุหรือไม่แต่อย่างใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 82)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 294 ลงโทษจำคุก 2 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 77)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 80)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน การที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายมีบาดแผลเพียงรอยบวมฟกช้ำนั้นเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายจนแก้วหูซ้ายทะลุ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 จึงไม่รับ
จำเลยที่ 2 เห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า เมื่อโจทก์ทั้ง ห้าสิบสามทำงานให้กับจำเลยที่ 2 จนถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2537จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อค่าจ้างหรือค่าอื่นใดที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระต่อโจทก์ทั้งห้าสิบสาม ภายหลังจาก วันดังกล่าวและคำเบิกความของพยานโจทก์เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงจึงไม่อาจรับฟังได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2ไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ทั้งห้าสิบสามสำนวนได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 86)
คดีทั้งห้าสิบสามสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวม พิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 53 ส่วนจำเลยทุกสำนวนเป็นบุคคลเดียวกัน
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าจ้างค้าง ค่าทำงานในวันหยุด ค่าล่วงเวลา พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้าสิบสาม กับให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าเช่าบ้านให้โจทก์ ที่ 2 และที่ 3 อีกส่วนหนึ่ง พร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันตามตารางแสดงจำนวนเงินค้างชำระท้ายคำพิพากษา
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับ อุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 80)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 83)
คำสั่ง
จำเลยที่ 2 ไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกัน มาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2
ความว่า จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 54 จึงไม่รับ
จำเลยที่ 2 เห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า เมื่อโจทก์ทั้ง ห้าสิบสามทำงานให้กับจำเลยที่ 2 จนถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2537จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อค่าจ้างหรือค่าอื่นใดที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระต่อโจทก์ทั้งห้าสิบสาม ภายหลังจาก วันดังกล่าวและคำเบิกความของพยานโจทก์เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงจึงไม่อาจรับฟังได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2ไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ทั้งห้าสิบสามสำนวนได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 86)
คดีทั้งห้าสิบสามสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวม พิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 53 ส่วนจำเลยทุกสำนวนเป็นบุคคลเดียวกัน
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าจ้างค้าง ค่าทำงานในวันหยุด ค่าล่วงเวลา พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้าสิบสาม กับให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าเช่าบ้านให้โจทก์ ที่ 2 และที่ 3 อีกส่วนหนึ่ง พร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันตามตารางแสดงจำนวนเงินค้างชำระท้ายคำพิพากษา
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับ อุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 80)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 83)
คำสั่ง
จำเลยที่ 2 ไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกัน มาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2
ความว่า จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ในข้อที่มิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ถือเป็นอุทธรณ์ที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์
จำเลยที่ 2 เห็นว่า อุทธรณ์ในประเด็นที่ว่า จำเลยที่ 2ซึ่งเป็นผู้รับเหมาชั้นต้นจะต้องรับผิดต่อค่าจ้างหรือค่าอื่นใดต่อโจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างช่วงต่อเมื่อโจทก์ทั้งสองได้ทำงานที่ว่าจ้างให้กับจำเลยที่ 2เท่านั้น ดังนั้นค่าจ้างหรือค่าอื่นใดของเดือนมีนาคม 2537ที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 2จึงไม่ต้องรับผิด เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลจะต้องหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ที่ 1 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว ส่วนโจทก์ที่ 2 ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่(อันดับ 40)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณา กับคดีอื่นอีกสี่สำนวน ซึ่งศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ จำหน่ายคดีไปแล้ว โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนเป็นโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ตามลำดับ ส่วนจำเลยทั้งสองสำนวนเป็นบุคคลเดียวกัน
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าจ้าง ที่ค้างจำนวน 45,000 บาทแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 7,500 บาทแก่ โจทก์ที่ 2 และให้จำเลยที่ 1 โดยลำพังจ่ายค่าเช่าบ้านจำนวน 2,350 บาทแก่โจทก์ที่ 1 อีกจำนวนหนึ่งด้วย
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 33)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 36)
คำสั่ง
จำเลยที่ 2 ไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกัน มาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดี แรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์ คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2
ความว่า จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ในข้อที่มิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ถือเป็นอุทธรณ์ที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์
จำเลยที่ 2 เห็นว่า อุทธรณ์ในประเด็นที่ว่า จำเลยที่ 2ซึ่งเป็นผู้รับเหมาชั้นต้นจะต้องรับผิดต่อค่าจ้างหรือค่าอื่นใดต่อโจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างช่วงต่อเมื่อโจทก์ทั้งสองได้ทำงานที่ว่าจ้างให้กับจำเลยที่ 2เท่านั้น ดังนั้นค่าจ้างหรือค่าอื่นใดของเดือนมีนาคม 2537ที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 2จึงไม่ต้องรับผิด เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลจะต้องหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ที่ 1 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว ส่วนโจทก์ที่ 2 ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่(อันดับ 40)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณา กับคดีอื่นอีกสี่สำนวน ซึ่งศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ จำหน่ายคดีไปแล้ว โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนเป็นโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ตามลำดับ ส่วนจำเลยทั้งสองสำนวนเป็นบุคคลเดียวกัน
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าจ้าง ที่ค้างจำนวน 45,000 บาทแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 7,500 บาทแก่ โจทก์ที่ 2 และให้จำเลยที่ 1 โดยลำพังจ่ายค่าเช่าบ้านจำนวน 2,350 บาทแก่โจทก์ที่ 1 อีกจำนวนหนึ่งด้วย
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 33)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 36)
คำสั่ง
จำเลยที่ 2 ไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกัน มาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดี แรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์ คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2
ความว่า ผู้ร้องฎีกา เพื่อให้ผู้ร้องได้รับความ คุ้มครองในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ขอให้ศาลมีคำสั่งงดการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ยึดไว้จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงคัดค้าน(อันดับ 125)
กรณีเป็นชั้นคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาของ ศาลอุทธรณ์ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาด และ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 เป็นบุคคลล้มละลายแล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และประกาศขายทอดตลาด ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ว่าทรัพย์สินตามประกาศขายทอดตลาดในวันที่ 27 มีนาคม 2535รวม 47 รายการนั้น เป็นทรัพย์สินของผู้ร้อง ไม่ใช่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ขอให้ถอนการยึดทรัพย์ ดังกล่าว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดไต่สวนคำร้อง แต่ ผู้ร้องไม่นำพยานมาให้ไต่สวน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมี คำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งของ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นนัดไต่สวน คำร้องของ ผู้ร้องในวันที่ 21 ตุลาคม 2535ถึงวันนัดไต่สวน ผู้ร้องทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบให้ได้ข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้อง กล่าวอ้างในคำร้อง จึงฟังไม่ได้ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ให้ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 102,101)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่พิพาทไว้ในระหว่างฎีกา
ความว่า ผู้ร้องฎีกา เพื่อให้ผู้ร้องได้รับความ คุ้มครองในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ขอให้ศาลมีคำสั่งงดการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ยึดไว้จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงคัดค้าน(อันดับ 125)
กรณีเป็นชั้นคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาของ ศาลอุทธรณ์ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาด และ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 เป็นบุคคลล้มละลายแล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และประกาศขายทอดตลาด ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ว่าทรัพย์สินตามประกาศขายทอดตลาดในวันที่ 27 มีนาคม 2535รวม 47 รายการนั้น เป็นทรัพย์สินของผู้ร้อง ไม่ใช่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ขอให้ถอนการยึดทรัพย์ ดังกล่าว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดไต่สวนคำร้อง แต่ ผู้ร้องไม่นำพยานมาให้ไต่สวน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมี คำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งของ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นนัดไต่สวน คำร้องของ ผู้ร้องในวันที่ 21 ตุลาคม 2535ถึงวันนัดไต่สวน ผู้ร้องทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบให้ได้ข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้อง กล่าวอ้างในคำร้อง จึงฟังไม่ได้ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ให้ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 102,101)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่พิพาทไว้ในระหว่างฎีกา
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้อง ขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่าคดีของจำเลยที่ 1ถึงที่สุดตั้งแต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว เพราะจำเลยที่ 1มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด และสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับว่าศาลไม่รับฎีกา จึงไม่รับคำร้อง
จำเลยที่ 1 เห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่สามารถยกปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า จำเลยร่วมต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ขึ้นกล่าวอ้างในศาลอุทธรณ์ได้ เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้ทำได้ เนื่องจากจำเลยที่ 1 เห็นพ้องกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษา ให้จำเลยร่วมต้องรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นอ้างในฎีกาได้ และ ถือได้ว่า ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าจำเลยร่วมต้องรับผิดกับ จำเลยที่ 1 ต่อโจทก์หรือไม่ ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ แล้ว ปัญหานี้เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จำเลยที่ 1 มีทางชนะคดี โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 และอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อนด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ขอให้เรียกบริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมร่วมกันใช้เงินจำนวน 31,185 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยร่วมแต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยร่วมใหม่ภายในอายุความนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับดังกล่าว (อันดับ 92 แผ่นที่ 1 และแผ่นที่ 11)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 95)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยจำเลยร่วมจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วม หาได้เกี่ยวด้วยกับจำเลยที่ 1กรณีไม่ต้องด้วยข้อกฎหมายอันอาจยกขึ้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสองจำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนของจำเลยที่ 1 เป็นที่สุดแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 147 วรรคสอง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้อง ขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่าคดีของจำเลยที่ 1ถึงที่สุดตั้งแต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว เพราะจำเลยที่ 1มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด และสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับว่าศาลไม่รับฎีกา จึงไม่รับคำร้อง
จำเลยที่ 1 เห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่สามารถยกปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า จำเลยร่วมต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ขึ้นกล่าวอ้างในศาลอุทธรณ์ได้ เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้ทำได้ เนื่องจากจำเลยที่ 1 เห็นพ้องกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษา ให้จำเลยร่วมต้องรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นอ้างในฎีกาได้ และ ถือได้ว่า ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าจำเลยร่วมต้องรับผิดกับ จำเลยที่ 1 ต่อโจทก์หรือไม่ ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ แล้ว ปัญหานี้เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จำเลยที่ 1 มีทางชนะคดี โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 และอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อนด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ขอให้เรียกบริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมร่วมกันใช้เงินจำนวน 31,185 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยร่วมแต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยร่วมใหม่ภายในอายุความนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับดังกล่าว (อันดับ 92 แผ่นที่ 1 และแผ่นที่ 11)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 95)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยจำเลยร่วมจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วม หาได้เกี่ยวด้วยกับจำเลยที่ 1กรณีไม่ต้องด้วยข้อกฎหมายอันอาจยกขึ้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสองจำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนของจำเลยที่ 1 เป็นที่สุดแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 147 วรรคสอง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ ที่พิพาทไม่เกินสองแสนบาท ทั้งผู้พิพากษาซึ่งทำการพิจารณา และพิพากษาคดีนี้เห็นว่าไม่มีเหตุที่จะรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งเมื่อพิจารณาฎีกาของโจทก์แล้วเห็นว่าเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาแก่โจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยและพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นซึ่งเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
คดีสองสำนวนนี้กับคดีหมายเลขแดงที่ 8/2535 และหมายเลข แดงที่ 9/2535 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณา พิพากษาเข้าด้วยกันโดยเรียกจำเลยในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามลำดับ แต่คดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยุติไปแล้ว คงขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เฉพาะคดีสำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนใจความทำนองเดียวกันว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 888 เลขที่ดิน 39 ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา จำนวนเนื้อที่ 95 ไร่ 2 งาน67 ตารางวา เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2532 จำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้โต้แย้งคัดค้านการที่โจทก์นำเจ้าหน้าที่ทำการรังวัดสอบเขต ที่ดินแปลงดังกล่าว จำเลยที่ 3 อ้างว่ามีสิทธิครอบครองที่ดิน ของโจทก์ด้านทิศเหนือจำนวนเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ และจำเลย ที่ 4 อ้างว่ามีสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออก จำนวนเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ รายละเอียดตามรูปแผนที่จำลอง ท้ายฟ้อง อันเป็นการแย่งการครอบครอง ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์มีสิทธิดีกว่าจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน (สำนวนที่สาม และสำนวนที่สี่)
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์(อันดับ 141)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 146)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฎีกาว่า คำให้การจำเลยที่ 3 ที่ 4ไม่มีประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองที่ดิน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องเรียกเอาที่ดินคืนจากจำเลยเกินกว่า 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จึงหมดสิทธิฟ้องเรียกเอาคืน ที่ดินจากจำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น นั้น แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่เมื่อคดีนี้ต้องห้ามฎีกา ในข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ครอบครองทำประโยชน์ที่พิพาทมาตั้งแต่ ปี 2519 จนถึงวันฟ้อง ข้อเท็จจริงนี้จึงเป็นอันยุติไปตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ดังนั้นปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาย่อมไม่อาจทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป การที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 วินิจฉัยประเด็นในเรื่องการแย่งการครอบครองก็เป็น การวินิจฉัยเกินเลยไปจากคำฟ้องและคำให้การ แต่ข้อเท็จจริง ต้องฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 3ที่ 4 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง อยู่นั่นเอง ฎีกาโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับ การวินิจฉัย ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ ที่พิพาทไม่เกินสองแสนบาท ทั้งผู้พิพากษาซึ่งทำการพิจารณา และพิพากษาคดีนี้เห็นว่าไม่มีเหตุที่จะรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งเมื่อพิจารณาฎีกาของโจทก์แล้วเห็นว่าเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาแก่โจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยและพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นซึ่งเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
คดีสองสำนวนนี้กับคดีหมายเลขแดงที่ 8/2535 และหมายเลข แดงที่ 9/2535 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณา พิพากษาเข้าด้วยกันโดยเรียกจำเลยในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามลำดับ แต่คดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยุติไปแล้ว คงขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เฉพาะคดีสำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนใจความทำนองเดียวกันว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 888 เลขที่ดิน 39 ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา จำนวนเนื้อที่ 95 ไร่ 2 งาน67 ตารางวา เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2532 จำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้โต้แย้งคัดค้านการที่โจทก์นำเจ้าหน้าที่ทำการรังวัดสอบเขต ที่ดินแปลงดังกล่าว จำเลยที่ 3 อ้างว่ามีสิทธิครอบครองที่ดิน ของโจทก์ด้านทิศเหนือจำนวนเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ และจำเลย ที่ 4 อ้างว่ามีสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออก จำนวนเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ รายละเอียดตามรูปแผนที่จำลอง ท้ายฟ้อง อันเป็นการแย่งการครอบครอง ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์มีสิทธิดีกว่าจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน (สำนวนที่สาม และสำนวนที่สี่)
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์(อันดับ 141)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 146)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฎีกาว่า คำให้การจำเลยที่ 3 ที่ 4ไม่มีประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองที่ดิน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องเรียกเอาที่ดินคืนจากจำเลยเกินกว่า 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จึงหมดสิทธิฟ้องเรียกเอาคืน ที่ดินจากจำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น นั้น แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่เมื่อคดีนี้ต้องห้ามฎีกา ในข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ครอบครองทำประโยชน์ที่พิพาทมาตั้งแต่ ปี 2519 จนถึงวันฟ้อง ข้อเท็จจริงนี้จึงเป็นอันยุติไปตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ดังนั้นปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาย่อมไม่อาจทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป การที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 วินิจฉัยประเด็นในเรื่องการแย่งการครอบครองก็เป็น การวินิจฉัยเกินเลยไปจากคำฟ้องและคำให้การ แต่ข้อเท็จจริง ต้องฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 3ที่ 4 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง อยู่นั่นเอง ฎีกาโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับ การวินิจฉัย ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำแก้ฎีกาฉบับลงวันที่6 กรกฎาคม 2537 ศาลชั้นต้นสั่งว่าครบกำหนดแก้ฎีกาวันที่19 พฤษภาคม 2537 จำเลยที่ 2 ยื่นมาเกินกำหนดระยะเวลาแล้วจึงไม่รับเป็นคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 เห็นว่า จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องฉบับลง วันที่ 9 พฤษภาคม 2537 ขอให้ศาลไต่สวนฎีกาโจทก์และขอขยายอายุ การยื่นคำแก้ฎีกาไว้ เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้แจ้งผลของคำสั่ง เกี่ยวกับการขยายเวลายื่นคำแก้ฎีกาให้แก่จำเลยที่ 2ทราบ จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ยังมีสิทธิยื่นคำแก้ฎีกา ขอศาลฎีกา ได้โปรดมีคำสั่งรับคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 2 หรือรับไว้ เป็นคำแถลงการณ์ต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 167)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกจำเลยสำนวนแรกว่าจำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยใน สำนวนหลังว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80,83ให้วางโทษ จำคุกคนละ 10 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยทั้งสามไว้ในระหว่างฎีกา
โจทก์ฎีกา (อันดับ 149)
จำเลยที่ 2 ได้รับสำเนาฎีกาเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2537ต่อมาวันที่ 9 พฤษภาคม 2537 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ ไต่สวนอายุฎีกาของโจทก์และให้ถือเอาวันที่จำเลยที่ 2 ทราบ คำสั่งของศาลเป็นวันเริ่มกำหนดอายุแก้ฎีกา (อันดับ 149 แผ่นที่ 6,157)
วันที่ 15 กรกฎาคม 2537 จำเลยที่ 2 ยื่นคำแก้ฎีกา(คำแก้ฎีกาลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2537) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำแก้ฎีกาดังกล่าว (อันดับ 164)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 167)
คำสั่ง
คำร้องของ จำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2537ไม่ชัดแจ้งว่าเป็นการขอขยายระยะเวลายื่นคำแก้ฎีกา เมื่อ ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้รับสำเนาฎีกาของโจทก์เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2537 แล้วมิได้ยื่นคำแก้ฎีกาเสียภายในวันที่ 19 พฤษภาคม 2537 แต่กลับมายื่นภายหลัง จึงเป็นการยื่น คำแก้ฎีกาเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไม่รับเป็นคำแก้ฎีกา แต่ให้รับไว้เป็นคำแถลงการณ์
ความว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำแก้ฎีกาฉบับลงวันที่6 กรกฎาคม 2537 ศาลชั้นต้นสั่งว่าครบกำหนดแก้ฎีกาวันที่19 พฤษภาคม 2537 จำเลยที่ 2 ยื่นมาเกินกำหนดระยะเวลาแล้วจึงไม่รับเป็นคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 เห็นว่า จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องฉบับลง วันที่ 9 พฤษภาคม 2537 ขอให้ศาลไต่สวนฎีกาโจทก์และขอขยายอายุ การยื่นคำแก้ฎีกาไว้ เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้แจ้งผลของคำสั่ง เกี่ยวกับการขยายเวลายื่นคำแก้ฎีกาให้แก่จำเลยที่ 2ทราบ จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ยังมีสิทธิยื่นคำแก้ฎีกา ขอศาลฎีกา ได้โปรดมีคำสั่งรับคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 2 หรือรับไว้ เป็นคำแถลงการณ์ต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 167)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกจำเลยสำนวนแรกว่าจำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยใน สำนวนหลังว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80,83ให้วางโทษ จำคุกคนละ 10 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยทั้งสามไว้ในระหว่างฎีกา
โจทก์ฎีกา (อันดับ 149)
จำเลยที่ 2 ได้รับสำเนาฎีกาเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2537ต่อมาวันที่ 9 พฤษภาคม 2537 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ ไต่สวนอายุฎีกาของโจทก์และให้ถือเอาวันที่จำเลยที่ 2 ทราบ คำสั่งของศาลเป็นวันเริ่มกำหนดอายุแก้ฎีกา (อันดับ 149 แผ่นที่ 6,157)
วันที่ 15 กรกฎาคม 2537 จำเลยที่ 2 ยื่นคำแก้ฎีกา(คำแก้ฎีกาลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2537) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำแก้ฎีกาดังกล่าว (อันดับ 164)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 167)
คำสั่ง
คำร้องของ จำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2537ไม่ชัดแจ้งว่าเป็นการขอขยายระยะเวลายื่นคำแก้ฎีกา เมื่อ ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้รับสำเนาฎีกาของโจทก์เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2537 แล้วมิได้ยื่นคำแก้ฎีกาเสียภายในวันที่ 19 พฤษภาคม 2537 แต่กลับมายื่นภายหลัง จึงเป็นการยื่น คำแก้ฎีกาเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไม่รับเป็นคำแก้ฎีกา แต่ให้รับไว้เป็นคำแถลงการณ์
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานของจำเลยแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีพยานหลักฐานแสดงว่าธนาคารกสิกรไทย จะพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้แก่จำเลยนั้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 179 แผ่นที่ 2)
ระหว่างพิจารณา นายสมพงษ์เธียรไทย ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(2)ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิด และเป็นคุณแก่ ผู้กระทำความผิดเนื่องจากมีโทษปรับน้อยกว่ากฎหมายที่ใช้ใน ขณะกระทำความผิด การกระทำของจำเลยเป็นความผิด 2 กรรม ลงโทษ ทุกกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำคุกจำเลยกระทง ละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลย 2 ปี ยกคำขอนับโทษต่อเนื่องจากศาล ยังไม่ได้พิพากษาในคดีที่ขอนับโทษต่อ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 178 แผ่นที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 179 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นไม่ควรด่วนตัด พยานของจำเลยเป็นการไม่ชอบนั้น จำเลยหาได้อ้างว่าคำสั่ง งดสืบพยานของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายบทใด อันจะทำให้ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นเรื่องดุลพินิจของ ศาลที่สั่งงดสืบพยานจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานของจำเลยแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีพยานหลักฐานแสดงว่าธนาคารกสิกรไทย จะพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้แก่จำเลยนั้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 179 แผ่นที่ 2)
ระหว่างพิจารณา นายสมพงษ์เธียรไทย ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(2)ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิด และเป็นคุณแก่ ผู้กระทำความผิดเนื่องจากมีโทษปรับน้อยกว่ากฎหมายที่ใช้ใน ขณะกระทำความผิด การกระทำของจำเลยเป็นความผิด 2 กรรม ลงโทษ ทุกกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำคุกจำเลยกระทง ละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลย 2 ปี ยกคำขอนับโทษต่อเนื่องจากศาล ยังไม่ได้พิพากษาในคดีที่ขอนับโทษต่อ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 178 แผ่นที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 179 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นไม่ควรด่วนตัด พยานของจำเลยเป็นการไม่ชอบนั้น จำเลยหาได้อ้างว่าคำสั่ง งดสืบพยานของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายบทใด อันจะทำให้ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นเรื่องดุลพินิจของ ศาลที่สั่งงดสืบพยานจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองเห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสอง ในขณะที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งยังไม่ห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยทั้งสองจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ประกอบกับฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องและศาลพิพากษาเกินคำขอ และฎีกาที่ว่า ศาลรับฟังพยานบุคคลซึ่งนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมพยานเอกสารต้องห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93และมาตรา 94 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ทั้งสองได้รับสำเนา คำร้องแล้วหรือไม่ (อันดับ 152)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 52801 ตำบลลำปลาทิว อำเภอลาดกระบัง (แสนแสบ)กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 50 ตารางวา ภายใน30 วัน หากจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา หากโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 2ไม่อาจตกลง แบ่งแยกที่ดินเป็นสัดส่วนได้ ให้นำที่ดินทั้งแปลงออก ประมูลขายในระหว่างกันเอง หากประมูลขายระหว่างกันเองไม่ได้ ให้นำออกขายทอดตลาด เพื่อนำเงินที่ได้มาแบ่งกันตามส่วน ให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนการเลิกสัญญาเช่าที่นาที่ได้ รับจากนางบุญลือ ดิษาภิรมย์ ให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน18,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่ วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินแก่โจทก์เสร็จสิ้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 150)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 151)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ประเด็นข้อ 3 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าแม้การยกให้นาพิพาทได้จดทะเบียนเป็นนิติกรรมการซื้อขาย แต่การที่ นาง บุญลือ เจ้าของนาจะขายนาพิพาทจำเป็นต้องเลิกการเช่านาเพื่อให้ผู้เช่านาออกจากนาพิพาทก่อน เชื่อได้ว่านางบุญลือยกที่ดินโฉนดเลขที่ 52801 ให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นค่าทดแทนการเลิกสัญญาเช่านาด้วย ที่จำเลย ทั้งสองนำสืบว่าซื้อที่ดินโฉนดดังกล่าวจากนางบุญลือ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ดังนั้นที่จำเลยทั้งสองฎีกาโต้เถียงว่าศาลอุทธรณ์ฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืนต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อ คดีที่ฟ้องนี้เป็นคดีมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท และจำเลยทั้งสองยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2537 อันเป็นเวลาภายหลังจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 มีผลใช้บังคับ ซึ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่นี้บัญญัติว่า "ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง"จำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาสำหรับประเด็นข้อนี้ตามบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนประเด็นข้อ 2 เกี่ยวกับคำสั่งของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แขวงลำปลาทิวครั้งที่ 3/2534 ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2533 ที่อาศัยเป็น หลักแห่งข้อหาให้แบ่งนาพิพาท ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังว่าเป็น คำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่นาพิพาทหรือที่ดินโฉนดเลข ที่ 52801เป็นลาภมิควรได้ ให้จำเลยที่ 1 แบ่งแยกให้แก่ โจทก์ทั้งสองตามส่วน และจำเลยทั้งสองฎีกาว่า คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ส่วนนี้เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายจึงให้รับฎีกาของ จำเลยทั้งสองข้อนี้ไว้พิจารณาและดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองเห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสอง ในขณะที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งยังไม่ห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยทั้งสองจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ประกอบกับฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องและศาลพิพากษาเกินคำขอ และฎีกาที่ว่า ศาลรับฟังพยานบุคคลซึ่งนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมพยานเอกสารต้องห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93และมาตรา 94 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ทั้งสองได้รับสำเนา คำร้องแล้วหรือไม่ (อันดับ 152)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 52801 ตำบลลำปลาทิว อำเภอลาดกระบัง (แสนแสบ)กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 50 ตารางวา ภายใน30 วัน หากจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา หากโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 2ไม่อาจตกลง แบ่งแยกที่ดินเป็นสัดส่วนได้ ให้นำที่ดินทั้งแปลงออก ประมูลขายในระหว่างกันเอง หากประมูลขายระหว่างกันเองไม่ได้ ให้นำออกขายทอดตลาด เพื่อนำเงินที่ได้มาแบ่งกันตามส่วน ให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนการเลิกสัญญาเช่าที่นาที่ได้ รับจากนางบุญลือ ดิษาภิรมย์ ให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน18,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่ วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินแก่โจทก์เสร็จสิ้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 150)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 151)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ประเด็นข้อ 3 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าแม้การยกให้นาพิพาทได้จดทะเบียนเป็นนิติกรรมการซื้อขาย แต่การที่ นาง บุญลือ เจ้าของนาจะขายนาพิพาทจำเป็นต้องเลิกการเช่านาเพื่อให้ผู้เช่านาออกจากนาพิพาทก่อน เชื่อได้ว่านางบุญลือยกที่ดินโฉนดเลขที่ 52801 ให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นค่าทดแทนการเลิกสัญญาเช่านาด้วย ที่จำเลย ทั้งสองนำสืบว่าซื้อที่ดินโฉนดดังกล่าวจากนางบุญลือ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ดังนั้นที่จำเลยทั้งสองฎีกาโต้เถียงว่าศาลอุทธรณ์ฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืนต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อ คดีที่ฟ้องนี้เป็นคดีมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท และจำเลยทั้งสองยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2537 อันเป็นเวลาภายหลังจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 มีผลใช้บังคับ ซึ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่นี้บัญญัติว่า "ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง"จำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาสำหรับประเด็นข้อนี้ตามบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนประเด็นข้อ 2 เกี่ยวกับคำสั่งของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แขวงลำปลาทิวครั้งที่ 3/2534 ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2533 ที่อาศัยเป็น หลักแห่งข้อหาให้แบ่งนาพิพาท ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังว่าเป็น คำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่นาพิพาทหรือที่ดินโฉนดเลข ที่ 52801เป็นลาภมิควรได้ ให้จำเลยที่ 1 แบ่งแยกให้แก่ โจทก์ทั้งสองตามส่วน และจำเลยทั้งสองฎีกาว่า คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ส่วนนี้เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายจึงให้รับฎีกาของ จำเลยทั้งสองข้อนี้ไว้พิจารณาและดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาพ้นเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงไม่รับคำร้อง
จำเลยเห็นว่า จำเลยมิได้มีเจตนาหรือจงใจละทิ้งคดีแต่เหตุที่ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาล่าช้า เนื่องจากทนายจำเลยเมื่อยื่นฎีกาแล้วก็มิได้ติดตามฟังคำสั่งว่าศาลจะรับฎีกาหรือไม่ และจำเลยก็ไม่สามารถยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาเองได้ เนื่องจากจำเลยไม่รู้กฎหมายอีกประการหนึ่งคือ เมื่อทนายจำเลยและจำเลยยังมิได้ฟังคำสั่งศาล การยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา จึงไม่พ้นกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด โปรดมีคำสั่งรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 80 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก มาตรา 268 ประกอบมาตรา 265 การกระทำของ จำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานรับของโจร จำคุก 5 ปี ฐานใช้ เอกสารราชการปลอม จำคุก 3 ปี รวมเป็นจำคุกจำเลย 8 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี ริบแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ จำนวน 2 แผ่น ของกลาง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหา ข้อเท็จจริง จำเลยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ไม่รับเป็นฎีกาของจำเลยทั้งสองกระทง (อันดับ 74 แผ่นที่ 2)
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว (อันดับ 77)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 80 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
จำเลยยื่นฎีกาวันที่ 7 กรกฎาคม 2537 และตามแบบพิมพ์ท้ายฎีกา มีข้อความว่า "รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอถือว่าทราบแล้ว" ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับในวันเดียวกัน ถือว่าจำเลยทราบ คำสั่งศาลชั้นต้นในวันนั้น จำเลยเพิ่งยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2537 พ้นกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันฟังคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 224 จึงต้องห้าม ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาพ้นเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงไม่รับคำร้อง
จำเลยเห็นว่า จำเลยมิได้มีเจตนาหรือจงใจละทิ้งคดีแต่เหตุที่ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาล่าช้า เนื่องจากทนายจำเลยเมื่อยื่นฎีกาแล้วก็มิได้ติดตามฟังคำสั่งว่าศาลจะรับฎีกาหรือไม่ และจำเลยก็ไม่สามารถยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาเองได้ เนื่องจากจำเลยไม่รู้กฎหมายอีกประการหนึ่งคือ เมื่อทนายจำเลยและจำเลยยังมิได้ฟังคำสั่งศาล การยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา จึงไม่พ้นกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด โปรดมีคำสั่งรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 80 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก มาตรา 268 ประกอบมาตรา 265 การกระทำของ จำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานรับของโจร จำคุก 5 ปี ฐานใช้ เอกสารราชการปลอม จำคุก 3 ปี รวมเป็นจำคุกจำเลย 8 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี ริบแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ จำนวน 2 แผ่น ของกลาง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหา ข้อเท็จจริง จำเลยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ไม่รับเป็นฎีกาของจำเลยทั้งสองกระทง (อันดับ 74 แผ่นที่ 2)
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว (อันดับ 77)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 80 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
จำเลยยื่นฎีกาวันที่ 7 กรกฎาคม 2537 และตามแบบพิมพ์ท้ายฎีกา มีข้อความว่า "รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอถือว่าทราบแล้ว" ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับในวันเดียวกัน ถือว่าจำเลยทราบ คำสั่งศาลชั้นต้นในวันนั้น จำเลยเพิ่งยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2537 พ้นกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันฟังคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 224 จึงต้องห้าม ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย เนื่องจากจำเลยยื่นฎีกาเกินกำหนดเวลา
จำเลยเห็นว่า จำเลยมิได้มีเจตนาที่จะยื่นฎีกาเกินกำหนด เนื่องจากจำเลยเข้าใจว่าเริ่มนับระยะเวลาฎีกาตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2537 และครบกำหนดในวันที่ 18 กันยายน 2537จำเลยได้รับเอกสารที่ขอถ่ายในวันที่ 29 สิงหาคม 2537 และได้ยื่นฎีกาต่อศาลในวันที่ 6 กันยายน 2537 ซึ่งจำเลยได้กระทำอย่างเต็มความสามารถ เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาคดีแล้ว อนึ่งโทษจำคุกมีอัตราสูง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม โปรดมี คำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 99)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138,140,288,289(2) ประกอบมาตรา 80 ประกอบ มาตรา 52(1),371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 55,78 ความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติ การตามหน้าที่โดยมีหรือใช้อาวุธ เป็นความผิดกรรมเดียวกับ ความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ซึ่งเป็นบทหนัก ให้จำคุก ตลอดชีวิต ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ ปรับ 90 บาท ฐานมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจ ออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง จำคุก 3 ปี จำเลยให้การ รับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ หนึ่งในสามทุกกระทงความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน 33 ปี 4 เดือน ข้อหาพาอาวุธไปในเมือง ปรับ 60 บาท ข้อหามี เครื่องกระสุนที่เจ้าพนักงานไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 35 ปี 4 เดือน ปรับ 60 บาท ริบของกลาง ข้อหาอื่น นอกจากนี้ให้ยก ส่วนคำขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจาก โทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1437/2534 และคดีอาญา หมายเลขดำที่ 30/2535ของศาลนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าคดีทั้งสอง ดังกล่าวศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่นับโทษต่อให้
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ในความผิดฐานมี อาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7,72 ที่แก้ไขแล้ว จำคุก 1 ปี ในความผิดฐาน พาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ลงโทษตาม พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว ซึ่งเป็นกฎหมายที่มี โทษหนักที่สุด จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม เป็นจำคุก 1 ปี รวมเป็นโทษจำคุกจำเลย ทั้งสิ้น 36 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 98)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 99)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2537วันครบกำหนดยื่นฎีกา เป็นวันที่ 2 กันยายน 2537 แต่จำเลยยื่นฎีกาในวันที่ 6 กันยายน 2537 จึงถือว่าจำเลยมิได้ฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ให้ฟังก็ย่อมไม่มีสิทธิฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 216 วรรคแรก ส่วนที่จำเลยอ้างว่า จำเลยมิได้มีเจตนาที่จะยื่นฎีกาเกินกำหนดเพราะว่าเจ้าหน้าที่ศาลได้ถ่ายเอกสารทั้งหมดให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2537 จำเลยมีเวลาในการยื่นฎีกานับจากวันที่จำเลยได้รับเอกสารเพียง 4 วัน นั้นเห็นว่า ถ้าหากจำเลยมีพฤติการณ์พิเศษอันศาลจะพึงขยายระยะเวลายื่นฎีกา จำเลยก็ย่อมยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่ง ขยายระยะเวลายื่นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย เนื่องจากจำเลยยื่นฎีกาเกินกำหนดเวลา
จำเลยเห็นว่า จำเลยมิได้มีเจตนาที่จะยื่นฎีกาเกินกำหนด เนื่องจากจำเลยเข้าใจว่าเริ่มนับระยะเวลาฎีกาตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2537 และครบกำหนดในวันที่ 18 กันยายน 2537จำเลยได้รับเอกสารที่ขอถ่ายในวันที่ 29 สิงหาคม 2537 และได้ยื่นฎีกาต่อศาลในวันที่ 6 กันยายน 2537 ซึ่งจำเลยได้กระทำอย่างเต็มความสามารถ เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาคดีแล้ว อนึ่งโทษจำคุกมีอัตราสูง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม โปรดมี คำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 99)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138,140,288,289(2) ประกอบมาตรา 80 ประกอบ มาตรา 52(1),371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 55,78 ความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติ การตามหน้าที่โดยมีหรือใช้อาวุธ เป็นความผิดกรรมเดียวกับ ความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ซึ่งเป็นบทหนัก ให้จำคุก ตลอดชีวิต ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ ปรับ 90 บาท ฐานมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจ ออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง จำคุก 3 ปี จำเลยให้การ รับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ หนึ่งในสามทุกกระทงความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน 33 ปี 4 เดือน ข้อหาพาอาวุธไปในเมือง ปรับ 60 บาท ข้อหามี เครื่องกระสุนที่เจ้าพนักงานไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 35 ปี 4 เดือน ปรับ 60 บาท ริบของกลาง ข้อหาอื่น นอกจากนี้ให้ยก ส่วนคำขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจาก โทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1437/2534 และคดีอาญา หมายเลขดำที่ 30/2535ของศาลนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าคดีทั้งสอง ดังกล่าวศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่นับโทษต่อให้
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ในความผิดฐานมี อาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7,72 ที่แก้ไขแล้ว จำคุก 1 ปี ในความผิดฐาน พาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ลงโทษตาม พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว ซึ่งเป็นกฎหมายที่มี โทษหนักที่สุด จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม เป็นจำคุก 1 ปี รวมเป็นโทษจำคุกจำเลย ทั้งสิ้น 36 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 98)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 99)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2537วันครบกำหนดยื่นฎีกา เป็นวันที่ 2 กันยายน 2537 แต่จำเลยยื่นฎีกาในวันที่ 6 กันยายน 2537 จึงถือว่าจำเลยมิได้ฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ให้ฟังก็ย่อมไม่มีสิทธิฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 216 วรรคแรก ส่วนที่จำเลยอ้างว่า จำเลยมิได้มีเจตนาที่จะยื่นฎีกาเกินกำหนดเพราะว่าเจ้าหน้าที่ศาลได้ถ่ายเอกสารทั้งหมดให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2537 จำเลยมีเวลาในการยื่นฎีกานับจากวันที่จำเลยได้รับเอกสารเพียง 4 วัน นั้นเห็นว่า ถ้าหากจำเลยมีพฤติการณ์พิเศษอันศาลจะพึงขยายระยะเวลายื่นฎีกา จำเลยก็ย่อมยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่ง ขยายระยะเวลายื่นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลยทั้งสองในประเด็นแรกจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ส่วนประเด็นสุดท้าย จำเลยฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาจำเลยทั้งสอง คืนค่าธรรมเนียมทั้งหมด
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองในประเด็นแรก จำเลยทั้งสองได้ว่ากล่าวไว้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แล้ว และยังเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและ ศีลธรรมอันดีของประชาชน ส่วนประเด็นสุดท้าย จำเลยทั้งสอง มิได้ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล หากแต่ ฎีกาคำวินิจฉัยของศาลที่ขัดกับข้อกฎหมายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7574 ตำบลบ้านด่าน อำเภอเมืองบุรีรัมย์จังหวัดบุรีรัมย์ ลงวันที่ 29 เมษายน 2534 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2และให้จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนด ดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนด เลขที่ 5641 ตำบลบ้านด่าน อำเภอเมืองบุรีรัมย์จังหวัดบุรีรัมย์ ให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นการตอบแทน หากจำเลย ทั้งสองเพิกเฉย ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของ จำเลยทั้งสอง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 132)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 136)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทมี สัญญาแลกเปลี่ยนระหว่างโจทก์กับนายชุนแล้วโจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทเกิน 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์และต่อมาทายาทนายชุน กับจำเลยที่ 1 ตกลงโอนที่พิพาทให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาโดยนำที่พิพาทขายให้จำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริต ขอเพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 และทายาทนายชุนไม่เคยบันทึกตกลงแลกเปลี่ยนที่พิพาทกับโจทก์จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซื้อขายที่พิพาทกันโดยสุจริต จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ได้มาซึ่ง อสังหาริมทรัพย์คือที่พิพาทโดยนิติกรรมแลกเปลี่ยน แต่การได้มาของโจทก์มิได้มีการจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ การได้มาของโจทก์ไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท จำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทของนายชุน มีอำนาจจำหน่ายที่พิพาทได้ตามกฎหมาย จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบใน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน เป็นฎีกาต้องห้าม
ส่วนฎีกาจำเลยทั้งสองที่ว่า จำเลยทั้งสองซื้อที่พิพาทจาก จำเลยที่ 1 โดยสุจริตตามราคากลางของทางราชการตามหนังสือ ราคาประเมินที่ดินพิพาทของสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกา ข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกา จำเลยทั้งสองชอบแล้วให้ยกคำร้องจำเลยทั้งสอง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลยทั้งสองในประเด็นแรกจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ส่วนประเด็นสุดท้าย จำเลยฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาจำเลยทั้งสอง คืนค่าธรรมเนียมทั้งหมด
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองในประเด็นแรก จำเลยทั้งสองได้ว่ากล่าวไว้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แล้ว และยังเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและ ศีลธรรมอันดีของประชาชน ส่วนประเด็นสุดท้าย จำเลยทั้งสอง มิได้ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล หากแต่ ฎีกาคำวินิจฉัยของศาลที่ขัดกับข้อกฎหมายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7574 ตำบลบ้านด่าน อำเภอเมืองบุรีรัมย์จังหวัดบุรีรัมย์ ลงวันที่ 29 เมษายน 2534 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2และให้จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนด ดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนด เลขที่ 5641 ตำบลบ้านด่าน อำเภอเมืองบุรีรัมย์จังหวัดบุรีรัมย์ ให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นการตอบแทน หากจำเลย ทั้งสองเพิกเฉย ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของ จำเลยทั้งสอง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 132)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 136)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทมี สัญญาแลกเปลี่ยนระหว่างโจทก์กับนายชุนแล้วโจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทเกิน 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์และต่อมาทายาทนายชุน กับจำเลยที่ 1 ตกลงโอนที่พิพาทให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาโดยนำที่พิพาทขายให้จำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริต ขอเพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 และทายาทนายชุนไม่เคยบันทึกตกลงแลกเปลี่ยนที่พิพาทกับโจทก์จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซื้อขายที่พิพาทกันโดยสุจริต จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ได้มาซึ่ง อสังหาริมทรัพย์คือที่พิพาทโดยนิติกรรมแลกเปลี่ยน แต่การได้มาของโจทก์มิได้มีการจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ การได้มาของโจทก์ไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท จำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทของนายชุน มีอำนาจจำหน่ายที่พิพาทได้ตามกฎหมาย จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบใน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน เป็นฎีกาต้องห้าม
ส่วนฎีกาจำเลยทั้งสองที่ว่า จำเลยทั้งสองซื้อที่พิพาทจาก จำเลยที่ 1 โดยสุจริตตามราคากลางของทางราชการตามหนังสือ ราคาประเมินที่ดินพิพาทของสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกา ข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกา จำเลยทั้งสองชอบแล้วให้ยกคำร้องจำเลยทั้งสอง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่าคำฟ้องของโจทก์ขัดกันเอง จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 28)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,91 และตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43,78,157,160 วรรคสอง ลงโทษฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจำคุก 6 ปี และฐานหลบหนี โดยไม่ให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำคุก 4 เดือน รวมเป็นโทษจำคุก 6 ปี 4 เดือน จำเลยให้การ รับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี 2 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานประมาทเป็นเหตุ ให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90 ส่วนความผิดฐานหลบหนีไปไม่หยุด ช่วยเหลือและแสดงตัวแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ลงโทษ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78 ประกอบ มาตรา 160 วรรคแรก ที่แก้ไขแล้ว จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การ รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน รวมกับฐาน ประมาทแล้ว จำคุก 3 ปี 1 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไป ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 27 แผ่นที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 28)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าโจทก์บรรยายฟ้องขัดกับข้อเท็จจริงและขัดกันเองเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่จำเลยได้ให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ตลอดข้อกล่าวหาแล้ว เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่าคำฟ้องของโจทก์ขัดกันเอง จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 28)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,91 และตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43,78,157,160 วรรคสอง ลงโทษฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจำคุก 6 ปี และฐานหลบหนี โดยไม่ให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำคุก 4 เดือน รวมเป็นโทษจำคุก 6 ปี 4 เดือน จำเลยให้การ รับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี 2 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานประมาทเป็นเหตุ ให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90 ส่วนความผิดฐานหลบหนีไปไม่หยุด ช่วยเหลือและแสดงตัวแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ลงโทษ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78 ประกอบ มาตรา 160 วรรคแรก ที่แก้ไขแล้ว จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การ รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน รวมกับฐาน ประมาทแล้ว จำคุก 3 ปี 1 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไป ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 27 แผ่นที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 28)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าโจทก์บรรยายฟ้องขัดกับข้อเท็จจริงและขัดกันเองเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่จำเลยได้ให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ตลอดข้อกล่าวหาแล้ว เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา 29,000 บาท จึงต้องห้าม ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์ทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมด
โจทก์ทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ทั้งสองเป็นปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 100)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยถมหรือกลบทางระบายน้ำและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในแนวเขตที่ดินของโจทก์ หากจำเลยไม่ยอมกลบหรือถมและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ดังกล่าว ขอให้ถือเอาคำพิพากษาสั่งให้โจทก์มีอำนาจถมหรือกลบ และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินโจทก์ และให้จำเลยรับรอง แนวเขตที่ดินของจำเลยให้ตรงตามแผนที่พิพาทตามที่ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานีทำขึ้น ถ้าจำเลยไม่รับรอง แนวเขต ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้โจทก์นำไปแก้รูปแผนที่ต่อเจ้าพนักงานที่ดินได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 95)
โจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 97)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองเพราะเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 โจทก์ทั้งสองจึงฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ ให้รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา 29,000 บาท จึงต้องห้าม ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์ทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมด
โจทก์ทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ทั้งสองเป็นปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 100)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยถมหรือกลบทางระบายน้ำและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในแนวเขตที่ดินของโจทก์ หากจำเลยไม่ยอมกลบหรือถมและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ดังกล่าว ขอให้ถือเอาคำพิพากษาสั่งให้โจทก์มีอำนาจถมหรือกลบ และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินโจทก์ และให้จำเลยรับรอง แนวเขตที่ดินของจำเลยให้ตรงตามแผนที่พิพาทตามที่ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานีทำขึ้น ถ้าจำเลยไม่รับรอง แนวเขต ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้โจทก์นำไปแก้รูปแผนที่ต่อเจ้าพนักงานที่ดินได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 95)
โจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 97)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองเพราะเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 โจทก์ทั้งสองจึงฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ ให้รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|