ปัญหาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินความจริง และคาดคะเนเหตุการณ์มาลงโทษจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินขอบเขตแห่งความเป็นจริงและเป็นการคาดคะเนเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 18)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก กระทงเดียว ถึงแม้จะเป็นทรัพย์ที่ได้มาจาก การกระทำผิดฐานลักทรัพย์ต่างกรรมกัน แต่จำเลยได้รับทรัพย์ ดังกล่าวไว้ในคราวเดียวกัน ให้จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปีและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 6,500 บาท แก่ผู้เสียหาย ส่วนคำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 17)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 18)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินความจริงและคาดคะเนเหตุการณ์มาลงโทษจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับฎีกาของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป
ปัญหาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินความจริง และคาดคะเนเหตุการณ์มาลงโทษจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินขอบเขตแห่งความเป็นจริงและเป็นการคาดคะเนเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 18)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก กระทงเดียว ถึงแม้จะเป็นทรัพย์ที่ได้มาจาก การกระทำผิดฐานลักทรัพย์ต่างกรรมกัน แต่จำเลยได้รับทรัพย์ ดังกล่าวไว้ในคราวเดียวกัน ให้จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปีและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 6,500 บาท แก่ผู้เสียหาย ส่วนคำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 17)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 18)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินความจริงและคาดคะเนเหตุการณ์มาลงโทษจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับฎีกาของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า จำเลยอุทธรณ์ ข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ว่าสัญญาตามเอกสารหมายเลข 2 ของโจทก์ ใช้บังคับได้หรือไม่นั้นเป็น ปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 29)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยคืนเงินประกันการทำงาน จำนวน 5,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับ (อันดับ 26)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 27)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์หยิบยก พยานหลักฐานขึ้นอ้าง เพื่อให้ศาลฎีกาฟังว่าการที่โจทก์ทำงาน เป็นลูกจ้างจำเลยไม่ครบหนึ่งปี ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลแรงงานกลางที่ฟังว่าจำเลยไม่ได้รับความเสียหาย เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 ที่ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า จำเลยอุทธรณ์ ข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ว่าสัญญาตามเอกสารหมายเลข 2 ของโจทก์ ใช้บังคับได้หรือไม่นั้นเป็น ปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 29)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยคืนเงินประกันการทำงาน จำนวน 5,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับ (อันดับ 26)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 27)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์หยิบยก พยานหลักฐานขึ้นอ้าง เพื่อให้ศาลฎีกาฟังว่าการที่โจทก์ทำงาน เป็นลูกจ้างจำเลยไม่ครบหนึ่งปี ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลแรงงานกลางที่ฟังว่าจำเลยไม่ได้รับความเสียหาย เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 ที่ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้ยึดถือกัญชาของกลางไว้จึงไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 ซึ่งนำมาใช้ใน คดีอาญาได้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 111)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26,76 วรรคแรก จำคุก 5 ปีคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์ต่อการ พิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ริบของกลาง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 110)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 111)
คำสั่ง
คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 1ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองจำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้ยึดถือกัญชาของกลาง จึงไม่ได้ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1367 ซึ่งเท่ากับเป็นการโต้แย้งว่าจำเลยไม่ได้มีกัญชา ของกลางไว้ในครอบครอง อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้ยึดถือกัญชาของกลางไว้จึงไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 ซึ่งนำมาใช้ใน คดีอาญาได้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 111)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26,76 วรรคแรก จำคุก 5 ปีคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์ต่อการ พิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ริบของกลาง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 110)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 111)
คำสั่ง
คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 1ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองจำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้ยึดถือกัญชาของกลาง จึงไม่ได้ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1367 ซึ่งเท่ากับเป็นการโต้แย้งว่าจำเลยไม่ได้มีกัญชา ของกลางไว้ในครอบครอง อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ฎีกาเฉพาะในประเด็นเรื่องจำเลยต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกในบัญชีเงินฝาก จำนวน 164,989.30 บาท หรือไม่เท่านั้น ถือว่าจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ที่โจทก์ฎีกาเป็นการ โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาต้องถือทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องในศาลชั้นต้นเมื่อทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกจำนวน 207,494 บาท จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาและคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยและผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 128,129,130)
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ นางอนงค์อู่พิมาย ผู้ร้อง เข้าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 164,989.30 บาทแก่โจทก์ ให้นำที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 40411,18506,9769ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา และบ้านเลขที่ 174หมู่ที่ 13 ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมามาแบ่งปันระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยให้ได้รับคนละส่วนเท่ากันหากแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินสุทธิมาแบ่งระหว่างโจทก์ กับจำเลยคนละส่วนเท่ากัน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องใช้เงิน จำนวน 164,989.30 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 118,123)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 125)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฎีกาโต้เถียงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 164,989.30 บาท แก่โจทก์ไม่ชอบนั้น ถือว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทกันระหว่างโจทก์จำเลยในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จะถือทุนทรัพย์ตามที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นไม่ได้เพราะขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ฎีกาเฉพาะในประเด็นเรื่องจำเลยต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกในบัญชีเงินฝาก จำนวน 164,989.30 บาท หรือไม่เท่านั้น ถือว่าจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ที่โจทก์ฎีกาเป็นการ โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาต้องถือทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องในศาลชั้นต้นเมื่อทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกจำนวน 207,494 บาท จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาและคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยและผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 128,129,130)
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ นางอนงค์อู่พิมาย ผู้ร้อง เข้าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 164,989.30 บาทแก่โจทก์ ให้นำที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 40411,18506,9769ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา และบ้านเลขที่ 174หมู่ที่ 13 ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมามาแบ่งปันระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยให้ได้รับคนละส่วนเท่ากันหากแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินสุทธิมาแบ่งระหว่างโจทก์ กับจำเลยคนละส่วนเท่ากัน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องใช้เงิน จำนวน 164,989.30 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 118,123)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 125)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฎีกาโต้เถียงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 164,989.30 บาท แก่โจทก์ไม่ชอบนั้น ถือว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทกันระหว่างโจทก์จำเลยในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จะถือทุนทรัพย์ตามที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นไม่ได้เพราะขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องฎีกา การทุเลาการบังคับมิได้ก่อให้เกิด ความเสียหายใด ๆ แก่โจทก์โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์และจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 116,120)
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ นางอนงค์ อู่พิมาย ผู้ร้อง เข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 164,989.30 บาท แก่ โจทก์ ให้นำที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 40411,18506,9769ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา และบ้านเลขที่174 หมู่ที่ 13 ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมามาแบ่งปันระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยให้ได้รับคนละส่วนเท่ากัน หากแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินสุทธิมาแบ่งระหว่างโจทก์ กับจำเลยคนละส่วนเท่ากัน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องใช้เงิน จำนวน 164,989.30 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องสอดฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 113,114)
ชั้นอุทธรณ์ ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า เป็นเรื่องขอคุ้มครองประโยชน์จึงห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาท แจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบและแจ้งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารออมสิน สาขาพิมายที่มีชื่อนางเตี้ยและนายเที่ยง ได้พรที่ธนาคารออมสินสาขาพิมาย ไว้ในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งอายัดให้เจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินสาขาพิมาย ทราบ
ความว่า ผู้ร้องฎีกา การทุเลาการบังคับมิได้ก่อให้เกิด ความเสียหายใด ๆ แก่โจทก์โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์และจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 116,120)
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ นางอนงค์ อู่พิมาย ผู้ร้อง เข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 164,989.30 บาท แก่ โจทก์ ให้นำที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 40411,18506,9769ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา และบ้านเลขที่174 หมู่ที่ 13 ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมามาแบ่งปันระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยให้ได้รับคนละส่วนเท่ากัน หากแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินสุทธิมาแบ่งระหว่างโจทก์ กับจำเลยคนละส่วนเท่ากัน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องใช้เงิน จำนวน 164,989.30 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องสอดฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 113,114)
ชั้นอุทธรณ์ ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า เป็นเรื่องขอคุ้มครองประโยชน์จึงห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาท แจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบและแจ้งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารออมสิน สาขาพิมายที่มีชื่อนางเตี้ยและนายเที่ยง ได้พรที่ธนาคารออมสินสาขาพิมาย ไว้ในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งอายัดให้เจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินสาขาพิมาย ทราบ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยป้องกัน อันชอบด้วยกฎหมายมิใช่บันดาลโทสะ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 70)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 ให้จำคุก 2 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและคำเบิกความในชั้นศาล เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 4 ปี ริบมีดของกลาง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้วางโทษจำคุก 3 ปี คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ให้หนึ่งในสามคงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 69)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 70)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาโดยหยิบยกคำพยานบุคคลขึ้นมา โต้เถียงเพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริง การกระทำของจำเลย เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1เพื่อนำไปสู่ ปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นป้องกันโดยชอบ ด้วยกฎหมาย มิใช่บันดาลโทสะ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยป้องกัน อันชอบด้วยกฎหมายมิใช่บันดาลโทสะ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 70)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 ให้จำคุก 2 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและคำเบิกความในชั้นศาล เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 4 ปี ริบมีดของกลาง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้วางโทษจำคุก 3 ปี คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ให้หนึ่งในสามคงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 69)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 70)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาโดยหยิบยกคำพยานบุคคลขึ้นมา โต้เถียงเพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริง การกระทำของจำเลย เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1เพื่อนำไปสู่ ปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นป้องกันโดยชอบ ด้วยกฎหมาย มิใช่บันดาลโทสะ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งต่อเนื่องกับคำสั่ง ไม่อนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ซึ่งถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 และเป็นการ สั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 เป็นเรื่อง ที่อยู่ในกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยเฉพาะเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิ ฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 อีก จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาคำสั่งของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองเห็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ฎีกาคำสั่งของ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่เกี่ยวเนื่องกับคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลย ทั้งสองดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 แต่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนเกี่ยวกับเหตุที่ทนายจำเลยทั้งสองเจ็บป่วยไม่อาจยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการวางเงินค่าธรรมเนียมได้ภายในกำหนดเวลา อันเป็นเหตุสุดวิสัยและเป็นพฤติการณ์พิเศษ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23ซึ่งไม่จำกัดสิทธิห้ามฎีกาแต่ประการใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 159,160)
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 847,281.25 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสอง อุทธรณ์และยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวน แล้วมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองมีเงินพอเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ ให้ยกคำร้องของ จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ทั้งสองและให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระ ต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งนี้ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลา การวางเงินค่าธรรมเนียมอีกเป็นครั้งที่ 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ว่า ตามคำร้องอ้างเหตุทนายจำเลยทั้งสองป่วย โดยไม่ปรากฏ ใบรับรองแพทย์มาแสดง ทั้งทนายจำเลยทั้งสองสามารถมอบหมาย ให้ตัวความหรือบุคคลอื่นมา กระ ทำการแทนได้ ตามคำร้องจึงไม่ใช่ เหตุสุดวิสัยเมื่อจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องพ้นระยะเวลาแล้ว จึงไม่อนุญาต ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 155)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 158)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มี คำสั่งยืนตามศาลชั้นต้น ไม่อนุญาตให้จำเลย ทั้งสองขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาล คำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่งต่อเนื่องจากคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา จึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายทั้งเป็นเรื่องที่อยู่ในกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1โดยเฉพาะจำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฎีกาคำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อีก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยทั้งสองนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องจำเลยทั้งสอง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งต่อเนื่องกับคำสั่ง ไม่อนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ซึ่งถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 และเป็นการ สั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 เป็นเรื่อง ที่อยู่ในกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยเฉพาะเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิ ฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 อีก จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาคำสั่งของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองเห็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ฎีกาคำสั่งของ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่เกี่ยวเนื่องกับคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลย ทั้งสองดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 แต่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนเกี่ยวกับเหตุที่ทนายจำเลยทั้งสองเจ็บป่วยไม่อาจยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการวางเงินค่าธรรมเนียมได้ภายในกำหนดเวลา อันเป็นเหตุสุดวิสัยและเป็นพฤติการณ์พิเศษ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23ซึ่งไม่จำกัดสิทธิห้ามฎีกาแต่ประการใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 159,160)
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 847,281.25 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสอง อุทธรณ์และยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวน แล้วมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองมีเงินพอเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ ให้ยกคำร้องของ จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ทั้งสองและให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระ ต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งนี้ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลา การวางเงินค่าธรรมเนียมอีกเป็นครั้งที่ 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ว่า ตามคำร้องอ้างเหตุทนายจำเลยทั้งสองป่วย โดยไม่ปรากฏ ใบรับรองแพทย์มาแสดง ทั้งทนายจำเลยทั้งสองสามารถมอบหมาย ให้ตัวความหรือบุคคลอื่นมา กระ ทำการแทนได้ ตามคำร้องจึงไม่ใช่ เหตุสุดวิสัยเมื่อจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องพ้นระยะเวลาแล้ว จึงไม่อนุญาต ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 155)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 158)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มี คำสั่งยืนตามศาลชั้นต้น ไม่อนุญาตให้จำเลย ทั้งสองขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาล คำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่งต่อเนื่องจากคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา จึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายทั้งเป็นเรื่องที่อยู่ในกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1โดยเฉพาะจำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฎีกาคำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อีก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยทั้งสองนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องจำเลยทั้งสอง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา บัดนี้เนื่องจากจำเลยได้นำเงินมาชำระให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์จึง ไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีกับจำเลยอีกต่อไป จึงขอถอนฟ้อง โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยแถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้าน (อันดับ 84)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด อันเกิดจากการใช้เช็ค พุทธศักราช 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พุทธศักราช 2534 มาตรา 4 จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การ พิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก1 เดือน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนมีกำหนด 1 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 67)
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 69)
ศาลฎีกาทำคำสั่งแล้ว คดีอยู่ระหว่างนัดฟังคำสั่ง
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 84)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นความผิดต่อส่วนตัว โจทก์ย่อมถอนฟ้องได้ก่อนคดีถึงที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคสอง อนุญาตให้ โจทก์ถอนฟ้องได้ สิทธินำคดีอาญาฟ้องย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)จึงให้จำหน่าย คดีออกจากสารบบความ
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา บัดนี้เนื่องจากจำเลยได้นำเงินมาชำระให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์จึง ไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีกับจำเลยอีกต่อไป จึงขอถอนฟ้อง โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยแถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้าน (อันดับ 84)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด อันเกิดจากการใช้เช็ค พุทธศักราช 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พุทธศักราช 2534 มาตรา 4 จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การ พิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก1 เดือน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนมีกำหนด 1 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 67)
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 69)
ศาลฎีกาทำคำสั่งแล้ว คดีอยู่ระหว่างนัดฟังคำสั่ง
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 84)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นความผิดต่อส่วนตัว โจทก์ย่อมถอนฟ้องได้ก่อนคดีถึงที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคสอง อนุญาตให้ โจทก์ถอนฟ้องได้ สิทธินำคดีอาญาฟ้องย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)จึงให้จำหน่าย คดีออกจากสารบบความ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีต้องห้ามฎีกาจึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า คดีนี้ คำให้การของพยานโจทก์ล้วนให้การ ขัดแย้งกันทั้งหมดและจำเลยถูกจับกุมในคดีเพราะมีเรื่อง โกรธเคืองกับเจ้าพนักงานตำรวจจนถึงขั้นฟ้องร้องน่าจะยกประโยชน์ แห่งความสงสัยให้เป็นประโยชน์กับจำเลย รายละเอียดปรากฏตาม สำเนาฎีกา และคดีนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของ ประชาชน เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรจะได้รับวินิจฉัย โปรดมี คำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) จำคุก 4 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 1,500 บาท บัตรเอทีเอ็ม 3 ฉบับบัตรข้าราชการ 1 ฉบับแก่ผู้เสียหาย
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 ให้จำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 99)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 101)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) จำคุก 4 ปีศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 จำคุก 2 ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลย ฎีกาว่า ผู้เสียหายกับพยานโจทก์ไม่เห็นคนร้าย และคำให้การ พยานโจทก์ล้วนเบิกความขัดแย้ง สาเหตุที่จำเลยถูกจับกุม เนื่องจากมีเรื่องโกรธเคืองกับเจ้าพนักงานตำรวจ น่าจะยกประโยชน์ แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยนั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้น ไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ จำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีต้องห้ามฎีกาจึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า คดีนี้ คำให้การของพยานโจทก์ล้วนให้การ ขัดแย้งกันทั้งหมดและจำเลยถูกจับกุมในคดีเพราะมีเรื่อง โกรธเคืองกับเจ้าพนักงานตำรวจจนถึงขั้นฟ้องร้องน่าจะยกประโยชน์ แห่งความสงสัยให้เป็นประโยชน์กับจำเลย รายละเอียดปรากฏตาม สำเนาฎีกา และคดีนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของ ประชาชน เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรจะได้รับวินิจฉัย โปรดมี คำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) จำคุก 4 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 1,500 บาท บัตรเอทีเอ็ม 3 ฉบับบัตรข้าราชการ 1 ฉบับแก่ผู้เสียหาย
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 ให้จำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 99)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 101)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) จำคุก 4 ปีศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 จำคุก 2 ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลย ฎีกาว่า ผู้เสียหายกับพยานโจทก์ไม่เห็นคนร้าย และคำให้การ พยานโจทก์ล้วนเบิกความขัดแย้ง สาเหตุที่จำเลยถูกจับกุม เนื่องจากมีเรื่องโกรธเคืองกับเจ้าพนักงานตำรวจ น่าจะยกประโยชน์ แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยนั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้น ไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ จำเลย
ความว่า จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 3 มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยที่ 3 ฎีกาในข้อ 2 ข้อ 2.2 และข้อ 2.3 ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 คืนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาทั้งหมดแก่ จำเลยที่ 3
จำเลยที่ 3 เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ตราสำคัญของโจทก์ ที่ประทับในหนังสือมอบอำนาจและหนังสือสัญญาเช่าซื้อเป็นตราปลอม ไม่ถูกต้องและตรงกันกับตราสำคัญซึ่งโจทก์จดทะเบียนไว้กับ กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 3 ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 64 แผ่นที่ 1 และ แผ่นที่ 7)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบรถกระบะ ยี่ห้อมิตซูบิชิแอล200หมายเลขทะเบียน7ห-8742 คืนโจทก์ ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีหากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันชดใช้ราคา แทนเป็นเงิน 180,000 บาท กับให้ร่วมกับชำระค่าเสียหาย เป็นค่าขาดประโยชน์จำนวน 19,000 บาท และค่าขาดประโยชน์ รายเดือนหลังฟ้องต่อไปอีกเดือนละ 1,800 บาท นับถัดจากวันฟ้อง คือวันที่ 27 มีนาคม 2535 ไปไม่เกิน 1 ปี หรือจนกว่าจะส่งมอบ รถคืนหรือชำระราคาแทนแล้วเสร็จได้เร็วกว่านี้คำขออื่น นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 60)
จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้ออ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 3 ย่อมต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย การเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้ามฎีกาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดี ของจำเลยที่ 3 มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วว่า ตราสำคัญที่ประทับในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีและใบสัญญา เช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นตราสำคัญของโจทก์ที่ได้ จดทะเบียนไว้กับกระทรวงพาณิชย์ การที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า ตราสำคัญของโจทก์ที่ประทับในหนังสือมอบอำนาจและหนังสือ สัญญาเช่าซื้อเป็นตราปลอมไม่ถูกต้องและตรงกันกับตราสำคัญ ซึ่งโจทก์จดทะเบียนไว้กับกองทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย ปัญหา ข้อกฎหมายดังกล่าวจึงต้องห้ามฎีกา ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 นั้น จึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 3 มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยที่ 3 ฎีกาในข้อ 2 ข้อ 2.2 และข้อ 2.3 ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 คืนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาทั้งหมดแก่ จำเลยที่ 3
จำเลยที่ 3 เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ตราสำคัญของโจทก์ ที่ประทับในหนังสือมอบอำนาจและหนังสือสัญญาเช่าซื้อเป็นตราปลอม ไม่ถูกต้องและตรงกันกับตราสำคัญซึ่งโจทก์จดทะเบียนไว้กับ กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 3 ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 64 แผ่นที่ 1 และ แผ่นที่ 7)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบรถกระบะ ยี่ห้อมิตซูบิชิแอล200หมายเลขทะเบียน7ห-8742 คืนโจทก์ ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีหากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันชดใช้ราคา แทนเป็นเงิน 180,000 บาท กับให้ร่วมกับชำระค่าเสียหาย เป็นค่าขาดประโยชน์จำนวน 19,000 บาท และค่าขาดประโยชน์ รายเดือนหลังฟ้องต่อไปอีกเดือนละ 1,800 บาท นับถัดจากวันฟ้อง คือวันที่ 27 มีนาคม 2535 ไปไม่เกิน 1 ปี หรือจนกว่าจะส่งมอบ รถคืนหรือชำระราคาแทนแล้วเสร็จได้เร็วกว่านี้คำขออื่น นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 60)
จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้ออ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 3 ย่อมต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย การเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้ามฎีกาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดี ของจำเลยที่ 3 มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วว่า ตราสำคัญที่ประทับในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีและใบสัญญา เช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นตราสำคัญของโจทก์ที่ได้ จดทะเบียนไว้กับกระทรวงพาณิชย์ การที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า ตราสำคัญของโจทก์ที่ประทับในหนังสือมอบอำนาจและหนังสือ สัญญาเช่าซื้อเป็นตราปลอมไม่ถูกต้องและตรงกันกับตราสำคัญ ซึ่งโจทก์จดทะเบียนไว้กับกองทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย ปัญหา ข้อกฎหมายดังกล่าวจึงต้องห้ามฎีกา ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 นั้น จึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ เนื่องจากโจทก์กับจำเลยตกลงกันได้ โจทก์ไม่มีความประสงค์ที่จะดำเนินคดีอีกต่อไป จึงขอถอนฟ้อง โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยแถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้าน (อันดับ 27)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 5,940 บาท แก่โจทก์และให้จำเลยจ่ายค่ารถแก่โจทก์เดือนละ 400 บาท ทุกเดือน นับแต่วันจ่ายค่าจ้างในเดือนมิถุนายน 2537 ซึ่งถัดจาก เดือนที่ฟ้องเป็นต้นไป
จำเลยอุทธรณ์ (อันดับ 22)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 27)
คำสั่ง
เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษาแล้วย่อมไม่อาจอนุญาตให้โจทก์ ถอนฟ้องได้ ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ เนื่องจากโจทก์กับจำเลยตกลงกันได้ โจทก์ไม่มีความประสงค์ที่จะดำเนินคดีอีกต่อไป จึงขอถอนฟ้อง โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยแถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้าน (อันดับ 27)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 5,940 บาท แก่โจทก์และให้จำเลยจ่ายค่ารถแก่โจทก์เดือนละ 400 บาท ทุกเดือน นับแต่วันจ่ายค่าจ้างในเดือนมิถุนายน 2537 ซึ่งถัดจาก เดือนที่ฟ้องเป็นต้นไป
จำเลยอุทธรณ์ (อันดับ 22)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 27)
คำสั่ง
เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษาแล้วย่อมไม่อาจอนุญาตให้โจทก์ ถอนฟ้องได้ ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้โจทก์ฟ้อง บังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทรวม 6 แปลง ตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งตามคำฟ้องที่ดินพิพาทมีราคารวม 53,100 บาท ศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 20,000 บาท จำเลยฎีกา ดังนั้นราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกายังไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยที่ว่าสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์และจำเลย เป็นการแสดงเจตนาหลอกลวง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อราคาทรัพย์สินที่พิพาทในคดีนี้ไม่เกินสองแสนบาท จึง ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของ จำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า สัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญา วางมัดจำเอกสารหมาย จ.3 ที่โจทก์และจำเลยทำขึ้นเป็นการ แสดงเจตนาลวงบุคคลภายนอก ไม่มีผลผูกพันบังคับคู่ความ ตามกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ประกอบกับคดีของจำเลย ที่ฟ้องฎีกาเป็นการฟ้องเพื่อทำลายนิติกรรมสัญญา จึงเป็นคดี ที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 205 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือ รับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1158 ถึงเลขที่ 1163 ตำบลแหลมสักอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ให้แก่โจทก์หากไม่ไปโอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน และ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน จำนวน 20,000 บาท แก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 200)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 201)
คำสั่ง
คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ทำขึ้นระหว่างโจทก์ และจำเลยเป็นเจตนาลวง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้โจทก์ฟ้อง บังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทรวม 6 แปลง ตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งตามคำฟ้องที่ดินพิพาทมีราคารวม 53,100 บาท ศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 20,000 บาท จำเลยฎีกา ดังนั้นราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกายังไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยที่ว่าสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์และจำเลย เป็นการแสดงเจตนาหลอกลวง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อราคาทรัพย์สินที่พิพาทในคดีนี้ไม่เกินสองแสนบาท จึง ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของ จำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า สัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญา วางมัดจำเอกสารหมาย จ.3 ที่โจทก์และจำเลยทำขึ้นเป็นการ แสดงเจตนาลวงบุคคลภายนอก ไม่มีผลผูกพันบังคับคู่ความ ตามกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ประกอบกับคดีของจำเลย ที่ฟ้องฎีกาเป็นการฟ้องเพื่อทำลายนิติกรรมสัญญา จึงเป็นคดี ที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 205 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือ รับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1158 ถึงเลขที่ 1163 ตำบลแหลมสักอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ให้แก่โจทก์หากไม่ไปโอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน และ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน จำนวน 20,000 บาท แก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 200)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 201)
คำสั่ง
คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ทำขึ้นระหว่างโจทก์ และจำเลยเป็นเจตนาลวง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฎีกาของ จำเลยที่ 2 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และมิได้กล่าวโดยชัดแจ้งโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในข้อกฎหมายอย่างไร เป็นฎีกาต้องห้ามและไม่ชอบ จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 คืนค่าขึ้นศาล
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาที่ว่าจำเลยที่ 2 มิได้กระทำโดยประมาทแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายประมาทนั้น เป็นการพิจารณานอกฟ้องนอกประเด็น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกา ของจำเลยที่ 2 ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 168)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้เงิน 55,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 155)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 160)
คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่าเหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2ฎีกาว่า ไม่ได้ประมาทเลินเล่อ จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟัง พยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาข้อเท็จจริง คดีนี้ ราคาทรัพย์สินที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกา ในข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 นั้น ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฎีกาของ จำเลยที่ 2 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และมิได้กล่าวโดยชัดแจ้งโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในข้อกฎหมายอย่างไร เป็นฎีกาต้องห้ามและไม่ชอบ จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 คืนค่าขึ้นศาล
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาที่ว่าจำเลยที่ 2 มิได้กระทำโดยประมาทแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายประมาทนั้น เป็นการพิจารณานอกฟ้องนอกประเด็น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกา ของจำเลยที่ 2 ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 168)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้เงิน 55,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 155)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 160)
คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่าเหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2ฎีกาว่า ไม่ได้ประมาทเลินเล่อ จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟัง พยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาข้อเท็จจริง คดีนี้ ราคาทรัพย์สินที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกา ในข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 นั้น ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ประกันฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีผิด สัญญาประกันต่อศาล เมื่อศาลนี้มีคำสั่งบังคับตามสัญญาประกัน และศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้ว คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 ที่แก้ไขแล้ว จึงไม่รับฎีกาของผู้ประกัน
ผู้ประกันเห็นว่า ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 119 มิได้ห้ามมิให้ผู้ประกันฎีกาแต่อย่างใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ประกันไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 94)
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานยักยอกศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรก รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือนรวมจำคุก 3 ปี จำเลยอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวโดยมีนายบุญมี แก้วขอนยาง เป็นผู้ประกัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและตีราคาประกันเป็นเงิน 150,000 บาท ต่อมาผู้ประกันผิดสัญญาไม่ส่งตัวจำเลยไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ศาลชั้นต้นมีคำสั่งปรับผู้ประกันเต็มตามสัญญา ผู้ประกัน ยื่นคำร้องขอให้งดหรือลดค่าปรับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
ผู้ประกันอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับผู้ประกันเป็นเงิน 75,000 บาท
ผู้ประกันฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 93)
ผู้ประกันจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 94)
คำสั่ง
กรณีนายประกันผิดสัญญาประกันต่อศาล ศาลมีอำนาจสั่งบังคับ ตามสัญญาประกันได้ เมื่อศาลสั่งประการใดแล้ว ผู้ร้องซึ่งเป็น ผู้ประกันย่อมอุทธรณ์ได้ คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งเกี่ยวกับสัญญาประกันแล้ว คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1ให้เป็นที่สุด ย่อมฎีกาต่อไปไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาของผู้ร้องจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ประกันฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีผิด สัญญาประกันต่อศาล เมื่อศาลนี้มีคำสั่งบังคับตามสัญญาประกัน และศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้ว คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 ที่แก้ไขแล้ว จึงไม่รับฎีกาของผู้ประกัน
ผู้ประกันเห็นว่า ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 119 มิได้ห้ามมิให้ผู้ประกันฎีกาแต่อย่างใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ประกันไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 94)
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานยักยอกศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรก รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือนรวมจำคุก 3 ปี จำเลยอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวโดยมีนายบุญมี แก้วขอนยาง เป็นผู้ประกัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและตีราคาประกันเป็นเงิน 150,000 บาท ต่อมาผู้ประกันผิดสัญญาไม่ส่งตัวจำเลยไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ศาลชั้นต้นมีคำสั่งปรับผู้ประกันเต็มตามสัญญา ผู้ประกัน ยื่นคำร้องขอให้งดหรือลดค่าปรับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
ผู้ประกันอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับผู้ประกันเป็นเงิน 75,000 บาท
ผู้ประกันฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 93)
ผู้ประกันจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 94)
คำสั่ง
กรณีนายประกันผิดสัญญาประกันต่อศาล ศาลมีอำนาจสั่งบังคับ ตามสัญญาประกันได้ เมื่อศาลสั่งประการใดแล้ว ผู้ร้องซึ่งเป็น ผู้ประกันย่อมอุทธรณ์ได้ คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งเกี่ยวกับสัญญาประกันแล้ว คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1ให้เป็นที่สุด ย่อมฎีกาต่อไปไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาของผู้ร้องจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า คดีนี้ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้วแต่เนื่องจากสัญญาประนีประนอมยอมความในหน้าที่ 1 บรรทัดที่ 2โจทก์ได้พิมพ์ข้อความเกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่ดินผิดพลาด ไปเล็กน้อย จึงขอแก้ไขข้อความเกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่ดิน จากข้อความเดิมว่าจำนวนเนื้อที่ประมาณ 3 งาน 34 ตารางวา เป็นว่า จำนวนเนื้อที่ประมาณ 3 งาน 43 ตารางวา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้านในกำหนด (อันดับ 190,191)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 998 แขวงบางยี่เรือ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานครที่ดินโฉนดเลขที่ 1006 แขวงบางยี่เรือ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร และที่ดินโฉนดเลขที่ 1503 แขวงบางยี่เรือเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เฉพาะส่วนที่เป็นมรดกของร้อยตำรวจตรีผล เหลืองสอาด ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งในสี่ส่วน หากตกลงแบ่งกันไม่ได้ก็ให้ขายโดยประมูลราคา ระหว่างกันเองหรือขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์ทั้งสอง คนละหนึ่งในสี่ส่วน คำขอโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกามีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังนี้ข้อ 1. จำเลยทั้งสองตกลงยอมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โฉนดเลขที่ 998 ตำบลบางยี่เรือ อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานครจำนวนเนื้อที่ประมาณ 3 งาน 34 ตารางวา ให้เป็นกรรมสิทธิ์ ของโจทก์ทั้งสองแต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาตามยอม หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ของจำเลยทั้งสอง และจำเลยทั้งสองยอมชำระเงินให้โจทก์ทั้งสอง อีก 320,000 บาท (สามแสนสองหมื่นบาท) โดยขอผ่อนชำระเป็น 2 งวด ๆ แรก ในวันนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แปลงดังกล่าวข้างต้น จำเลยทั้งสองจะชำระเงินให้โจทก์ทั้งสอง 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาท) งวดที่สอง ภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่ชำระเงินงวดแรก จำเลยทั้งสองจะชำระเงินให้ โจทก์ทั้งสองอีก 220,000 บาท (สองแสนสองหมื่นบาท) หากผิดนัดให้โจทก์ทั้งสองบังคับคดีได้ทันที ข้อ 2. โจทก์ทั้งสองตกลง ยอมตามสัญญาข้อ 1. และไม่ติดใจเรียกร้องทรัพย์มรดกใด ๆ จากจำเลยทั้งสองต่อไปอีก
ต่อมาโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 187)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีที่ศาลมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของคู่ความนั้น ถือได้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ คำพิพากษา ซึ่งถ้ามีข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่น ๆย่อมแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 143 คดีนี้จำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความยินยอมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 998 แขวงบางยี่เรือ เขตบางกอกใหญ่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีเนื้อที่ 3 งาน 43 ตารางวา ให้แก่โจทก์แต่ในสัญญาประนีประนอมยอมความมีการพิมพ์ตัวเลขผิดพลาดจาก 3 งาน 43 ตารางวา เป็น 3 งาน 34 ตารางวา โจทก์ขอแก้ไข ให้ถูกต้องตามเนื้อที่ในโฉนด เป็นการขอแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น จึงอนุญาตให้แก้ไขได้ ตามคำร้อง
ความว่า คดีนี้ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้วแต่เนื่องจากสัญญาประนีประนอมยอมความในหน้าที่ 1 บรรทัดที่ 2โจทก์ได้พิมพ์ข้อความเกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่ดินผิดพลาด ไปเล็กน้อย จึงขอแก้ไขข้อความเกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่ดิน จากข้อความเดิมว่าจำนวนเนื้อที่ประมาณ 3 งาน 34 ตารางวา เป็นว่า จำนวนเนื้อที่ประมาณ 3 งาน 43 ตารางวา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้านในกำหนด (อันดับ 190,191)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 998 แขวงบางยี่เรือ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานครที่ดินโฉนดเลขที่ 1006 แขวงบางยี่เรือ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร และที่ดินโฉนดเลขที่ 1503 แขวงบางยี่เรือเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เฉพาะส่วนที่เป็นมรดกของร้อยตำรวจตรีผล เหลืองสอาด ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งในสี่ส่วน หากตกลงแบ่งกันไม่ได้ก็ให้ขายโดยประมูลราคา ระหว่างกันเองหรือขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์ทั้งสอง คนละหนึ่งในสี่ส่วน คำขอโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกามีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังนี้ข้อ 1. จำเลยทั้งสองตกลงยอมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โฉนดเลขที่ 998 ตำบลบางยี่เรือ อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานครจำนวนเนื้อที่ประมาณ 3 งาน 34 ตารางวา ให้เป็นกรรมสิทธิ์ ของโจทก์ทั้งสองแต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาตามยอม หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ของจำเลยทั้งสอง และจำเลยทั้งสองยอมชำระเงินให้โจทก์ทั้งสอง อีก 320,000 บาท (สามแสนสองหมื่นบาท) โดยขอผ่อนชำระเป็น 2 งวด ๆ แรก ในวันนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แปลงดังกล่าวข้างต้น จำเลยทั้งสองจะชำระเงินให้โจทก์ทั้งสอง 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาท) งวดที่สอง ภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่ชำระเงินงวดแรก จำเลยทั้งสองจะชำระเงินให้ โจทก์ทั้งสองอีก 220,000 บาท (สองแสนสองหมื่นบาท) หากผิดนัดให้โจทก์ทั้งสองบังคับคดีได้ทันที ข้อ 2. โจทก์ทั้งสองตกลง ยอมตามสัญญาข้อ 1. และไม่ติดใจเรียกร้องทรัพย์มรดกใด ๆ จากจำเลยทั้งสองต่อไปอีก
ต่อมาโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 187)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีที่ศาลมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของคู่ความนั้น ถือได้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ คำพิพากษา ซึ่งถ้ามีข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่น ๆย่อมแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 143 คดีนี้จำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความยินยอมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 998 แขวงบางยี่เรือ เขตบางกอกใหญ่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีเนื้อที่ 3 งาน 43 ตารางวา ให้แก่โจทก์แต่ในสัญญาประนีประนอมยอมความมีการพิมพ์ตัวเลขผิดพลาดจาก 3 งาน 43 ตารางวา เป็น 3 งาน 34 ตารางวา โจทก์ขอแก้ไข ให้ถูกต้องตามเนื้อที่ในโฉนด เป็นการขอแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น จึงอนุญาตให้แก้ไขได้ ตามคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อเท็จจริง ของจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ส่วนฎีกาข้อกฎหมายเป็นสาระแก่คดี (ที่ถูกน่าจะเป็น ไม่เป็นสาระแก่คดี) อันควรได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการ พิจารณาได้ความว่าจำเลยลักนอตกลึง ซึ่งยึดกับตัวถังรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย เป็นข้อสาระสำคัญและจำเลยได้หลงข้อต่อสู้ ศาลลงโทษจำเลย ไม่ได้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 61)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3) แต่โจทก์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335,80 จึงให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3) ประกอบมาตรา 80จำคุก 2 ปี จำเลยให้การ รับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ หนึ่งในสี่ คงเหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3) วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 80 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 60)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 61)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย และยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปี จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อเท็จจริงชอบแล้ว ส่วนฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาได้หรือไม่นั้น เป็นสาระสำคัญแก่คดี จึงให้รับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวของจำเลยไว้พิจารณา
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อเท็จจริง ของจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ส่วนฎีกาข้อกฎหมายเป็นสาระแก่คดี (ที่ถูกน่าจะเป็น ไม่เป็นสาระแก่คดี) อันควรได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการ พิจารณาได้ความว่าจำเลยลักนอตกลึง ซึ่งยึดกับตัวถังรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย เป็นข้อสาระสำคัญและจำเลยได้หลงข้อต่อสู้ ศาลลงโทษจำเลย ไม่ได้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 61)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3) แต่โจทก์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335,80 จึงให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3) ประกอบมาตรา 80จำคุก 2 ปี จำเลยให้การ รับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ หนึ่งในสี่ คงเหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3) วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 80 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 60)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 61)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย และยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปี จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อเท็จจริงชอบแล้ว ส่วนฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาได้หรือไม่นั้น เป็นสาระสำคัญแก่คดี จึงให้รับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวของจำเลยไว้พิจารณา
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า เช็คพิพาทฉบับที่ 6,7 และ 9เป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ล.1เมื่อสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลง เช็คพิพาทฉบับที่ 6,7 และ 9จึงไม่เป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 180)
คดีทั้งสี่สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 รวม 9 กระทง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวมจำคุก 18 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 รวม 3 กระทง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวมจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 172)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 180)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเช็คพิพาทฉบับที่ 6,7และ 9 จำเลยสั่งจ่ายเป็นค่าเช่าซื้อล่วงหน้าก่อนสัญญาเช่าซื้อ สิ้นสุดลง จำเลยฎีกาว่า เช็คพิพาทฉบับที่ 6,7 และ 9 เป็นเช็คชำระหนี้ค่าเช่าซื้อหลังจากสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ล.1ถูกยกเลิกไปแล้ว จึงเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า เช็คพิพาทฉบับที่ 6,7 และ 9เป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ล.1เมื่อสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลง เช็คพิพาทฉบับที่ 6,7 และ 9จึงไม่เป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 180)
คดีทั้งสี่สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 รวม 9 กระทง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวมจำคุก 18 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 รวม 3 กระทง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวมจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 172)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 180)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเช็คพิพาทฉบับที่ 6,7และ 9 จำเลยสั่งจ่ายเป็นค่าเช่าซื้อล่วงหน้าก่อนสัญญาเช่าซื้อ สิ้นสุดลง จำเลยฎีกาว่า เช็คพิพาทฉบับที่ 6,7 และ 9 เป็นเช็คชำระหนี้ค่าเช่าซื้อหลังจากสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ล.1ถูกยกเลิกไปแล้ว จึงเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีโจทก์เป็นที่สุดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคสามต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 6527/2534 ของศาลชั้นต้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 16,18)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรก และให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 5,225 บาท แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การกระทำของจำเลยตามฟ้อง โจทก์ เคยยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลนี้ และศาลนี้ได้วินิจฉัยคดี เสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6527/2534โจทก์นำคดีมาฟ้องอีก จึงเป็นฟ้องซ้ำ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์ มิได้แสดงไว้โดยชัดแจ้งซึ่งข้อกฎหมาย จึงไม่รับอุทธรณ์
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์โจทก์ไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงที่จะแสดงว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสองพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 14)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 15)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์โจทก์คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคสามศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีโจทก์เป็นที่สุดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคสามต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 6527/2534 ของศาลชั้นต้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 16,18)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรก และให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 5,225 บาท แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การกระทำของจำเลยตามฟ้อง โจทก์ เคยยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลนี้ และศาลนี้ได้วินิจฉัยคดี เสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6527/2534โจทก์นำคดีมาฟ้องอีก จึงเป็นฟ้องซ้ำ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์ มิได้แสดงไว้โดยชัดแจ้งซึ่งข้อกฎหมาย จึงไม่รับอุทธรณ์
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์โจทก์ไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงที่จะแสดงว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสองพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 14)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 15)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์โจทก์คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคสามศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกา ที่ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา แก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 ที่ว่า ผู้ร้องยื่นคำร้อง อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ผู้ร้องเลื่อนคดี และยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา โดยเสียค่าคำร้องในอัตรา 40 บาท เป็นการถูกต้องแล้ว และฎีกาข้อ 2.2ที่ว่า ผู้ร้องเลื่อนคดีเพราะเจ็บป่วยมีใบรับรองแพทย์มาแสดงกรณีมีเหตุจำเป็นสามารถเลื่อนคดีได้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
คดีชั้นร้องขัดทรัพย์และขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน6 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งสอง เพื่อบังคับชำระหนี้แก่โจทก์ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดและคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ในวันนัดไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ผู้ร้องขอเลื่อนการพิจารณาคดี ศาลชั้นต้นอนุญาตต่อมาทนายผู้ร้องยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีกอ้างเหตุผู้ร้องเจ็บป่วยมาศาลไม่ได้พร้อมใบรับรองแพทย์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ร้องขอเลื่อนคดีครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 พฤติการณ์มีลักษณะ เป็นการประวิงคดี จึงให้ยกคำร้อง หากผู้ร้องประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้ผู้ร้องนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน 7 วัน ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งโดยเสียค่าคำร้องในอัตรา 40 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาให้ศาลชั้นต้นเรียก ค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จากผู้ร้องในอัตรา 200 บาท ให้ถูกต้อง ครบถ้วน แต่ผู้ร้องไม่นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระ ตามคำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 61)
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของผู้ร้องไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกาและเป็นฎีกาที่มีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ให้รับฎีกา ของผู้ร้องไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกา ที่ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา แก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 ที่ว่า ผู้ร้องยื่นคำร้อง อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ผู้ร้องเลื่อนคดี และยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา โดยเสียค่าคำร้องในอัตรา 40 บาท เป็นการถูกต้องแล้ว และฎีกาข้อ 2.2ที่ว่า ผู้ร้องเลื่อนคดีเพราะเจ็บป่วยมีใบรับรองแพทย์มาแสดงกรณีมีเหตุจำเป็นสามารถเลื่อนคดีได้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
คดีชั้นร้องขัดทรัพย์และขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน6 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งสอง เพื่อบังคับชำระหนี้แก่โจทก์ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดและคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ในวันนัดไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ผู้ร้องขอเลื่อนการพิจารณาคดี ศาลชั้นต้นอนุญาตต่อมาทนายผู้ร้องยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีกอ้างเหตุผู้ร้องเจ็บป่วยมาศาลไม่ได้พร้อมใบรับรองแพทย์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ร้องขอเลื่อนคดีครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 พฤติการณ์มีลักษณะ เป็นการประวิงคดี จึงให้ยกคำร้อง หากผู้ร้องประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้ผู้ร้องนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน 7 วัน ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งโดยเสียค่าคำร้องในอัตรา 40 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาให้ศาลชั้นต้นเรียก ค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จากผู้ร้องในอัตรา 200 บาท ให้ถูกต้อง ครบถ้วน แต่ผู้ร้องไม่นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระ ตามคำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 61)
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของผู้ร้องไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกาและเป็นฎีกาที่มีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ให้รับฎีกา ของผู้ร้องไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์ของ ศาลชั้นต้น คำสั่งนี้เป็นที่สุด จึงไม่รับฎีกาคำสั่งของจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองเห็นว่า สาระสำคัญของฎีกาคำสั่งของจำเลยทั้งสองเป็นข้อโต้เถียงที่ว่า ที่ดินที่ใช้ปลูกโกดัง สำหรับเก็บสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการเกษตรนั้น เป็นทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสองได้ใช้ในการประกอบกสิกรรมหรือ พาณิชยกรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307หรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 136 แผ่นที่ 2)
คดีสืบเนื่องจากเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศ ขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยทั้งสอง เพื่อนำเงินมาชำระให้โจทก์ ตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกา พิพากษายืน จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอจัดการทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307 ศาลชั้นต้น ไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า พิเคราะห์จากคำร้องและคำเบิกความ แล้วเห็นว่า จำเลยใช้ที่ดินที่ถูกยึดเป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้น กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307 ให้ยกคำร้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการ วินิจฉัย จึงไม่รับอุทธรณ์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1มีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว จำเลยนำสืบว่า ที่ดินแปลงที่ ถูกบังคับคดีจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้น แม้ข้อเท็จจริง จะปรากฏว่า จำเลยใช้บางส่วนเป็นโกดังเก็บผลิตผลทางเกษตรของจำเลยก็ตาม ก็ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลจะสั่งให้จัดการตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307 ได้เช่นเดิมศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 126)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 128)
คำสั่ง
คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์ของ ศาลชั้นต้น คำสั่งนี้เป็นที่สุด จึงไม่รับฎีกาคำสั่งของจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองเห็นว่า สาระสำคัญของฎีกาคำสั่งของจำเลยทั้งสองเป็นข้อโต้เถียงที่ว่า ที่ดินที่ใช้ปลูกโกดัง สำหรับเก็บสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการเกษตรนั้น เป็นทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสองได้ใช้ในการประกอบกสิกรรมหรือ พาณิชยกรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307หรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 136 แผ่นที่ 2)
คดีสืบเนื่องจากเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศ ขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยทั้งสอง เพื่อนำเงินมาชำระให้โจทก์ ตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกา พิพากษายืน จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอจัดการทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307 ศาลชั้นต้น ไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า พิเคราะห์จากคำร้องและคำเบิกความ แล้วเห็นว่า จำเลยใช้ที่ดินที่ถูกยึดเป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้น กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307 ให้ยกคำร้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการ วินิจฉัย จึงไม่รับอุทธรณ์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1มีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว จำเลยนำสืบว่า ที่ดินแปลงที่ ถูกบังคับคดีจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้น แม้ข้อเท็จจริง จะปรากฏว่า จำเลยใช้บางส่วนเป็นโกดังเก็บผลิตผลทางเกษตรของจำเลยก็ตาม ก็ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลจะสั่งให้จัดการตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307 ได้เช่นเดิมศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 126)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 128)
คำสั่ง
คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|