คดีนี้เอกชนยื่นฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านนา ราชการส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีโดยการนำรถบรรทุกขยะของผู้ถูกฟ้องคดีนำขยะเข้ามาเททิ้งในที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับอนุญาต และได้มีการขุดหลุมทิ้งขยะในพื้นดินพิพาทเป็นบริเวณกว้างประมาณ ๕ ไร่เศษ ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายซึ่งการกระทำละเมิดตามฟ้องดังกล่าวมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันจะเข้าหลักเกณฑ์ของมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นแต่เพียงหน้าที่ที่ต้องทำในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล ตามมาตรา ๖๗ (๒) ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ ในเรื่องการกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล เมื่อการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีตามคำฟ้องมิใช่การใช้อำนาจตามกฎหมายที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ข้อพิพาทคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้เอกชนยื่นฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านนา ราชการส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีโดยการนำรถบรรทุกขยะของผู้ถูกฟ้องคดีนำขยะเข้ามาเททิ้งในที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับอนุญาต และได้มีการขุดหลุมทิ้งขยะในพื้นดินพิพาทเป็นบริเวณกว้างประมาณ ๕ ไร่เศษ ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายซึ่งการกระทำละเมิดตามฟ้องดังกล่าวมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันจะเข้าหลักเกณฑ์ของมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นแต่เพียงหน้าที่ที่ต้องทำในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล ตามมาตรา ๖๗ (๒) ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ ในเรื่องการกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล เมื่อการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีตามคำฟ้องมิใช่การใช้อำนาจตามกฎหมายที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ข้อพิพาทคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
คดีที่โจทก์กับพวกรวม ๔ คน เป็นเอกชน ยื่นฟ้องนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ธ. จำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๐ ซึ่งเป็นกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ธ. และกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๑๑ ผู้อำนวยเขตสะพานสูง จำเลยที่ ๑๒ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่ ๑๓ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ ระงับ หยุด ยกเลิกการเรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ให้รื้อถอน ทำลาย ย้ายป้อมยามและไม้กั้นทางเข้าออกและห้ามก่อสร้าง ตั้ง วางเครื่องกีดขวางหรืออาคารหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ บนทางสาธารณะถนนซอยรามคำแหง ๑๕๐ และที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรได้อุทิศให้เป็นสาธารณประโยชน์ กับให้แสดงรายการงบดุล บัญชีรายรับรายจ่ายที่อ้างต่อนายทะเบียนตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ จนถึงปัจจุบัน และให้จำเลยที่ ๑๑ และที่ ๑๒ เข้ารื้อถอนป้อมยามและไม้กั้นทางเข้าออกจากถนนซอยรามคำแหง ๑๕๐ กับให้จำเลยที่ ๑๓ โดยพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางชันหรือพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ ตามกฎหมาย
สำหรับคำฟ้องในส่วนที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ นั้น เป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน และจำเลยที่ ๑๑ ถึงที่ ๑๓ ไม่โต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีระหว่างโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม คดีในส่วนของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ส่วนคดีระหว่างโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยที่ ๑๓ ศาลแพ่งมีนบุรีและศาลปกครองกลางมีความเห็นพ้องกันว่า เป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม จึงไม่มีปัญหาการขัดกันระหว่างอำนาจศาลที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลต้องวินิจฉัยชี้ขาด ตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะคำฟ้องในส่วนของจำเลยที่ ๑๑ และที่ ๑๒ ว่า เป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
เมื่อพิจารณาคำฟ้องในส่วนกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๑๑ และผู้อำนวยการเขตสะพานสูง จำเลยที่ ๑๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แล้ว โจทก์ทั้งสี่กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๑๑ และที่ ๑๒ ปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ ใช้ถนนสาธารณะในซอยรามคำแหง ๑๕๐ แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ จำเลยที่ ๑๑ โดยจำเลยที่ ๑๒ มีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ได้ออกคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ รื้อถอนไม้กั้นรถยนต์ที่ขวางทางเข้าออกซึ่งรุกล้ำถนนสาธารณประโยชน์ในซอยรามคำแหง ๑๕๐ และแจ้งความดำเนินคดีกับจำเลยที่ ๑ แต่เมื่อจำเลยที่ ๑ เพิกเฉย จำเลยที่ ๑๒ กลับไม่ดำเนินการใด ๆ อันเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ มาตรา ๑๑๗ มาตรา ๑๑๘ และมาตรา ๑๒๒ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๖๙ และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙ มาตรา ๑๐๘ และมาตรา ๑๐๘ ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อ ๑๑ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๙๖ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๕ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยที่ ๑๑ และที่ ๑๒ เข้าดำเนินการรื้อถอนป้อมยามและไม้กั้นรถยนต์ตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย จึงเป็นการฟ้องว่า จำเลยที่ ๑๑ และที่ ๑๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยที่ ๑๑ และที่ ๑๒ จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คดีที่โจทก์กับพวกรวม ๔ คน เป็นเอกชน ยื่นฟ้องนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ธ. จำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๐ ซึ่งเป็นกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ธ. และกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๑๑ ผู้อำนวยเขตสะพานสูง จำเลยที่ ๑๒ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่ ๑๓ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ ระงับ หยุด ยกเลิกการเรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ให้รื้อถอน ทำลาย ย้ายป้อมยามและไม้กั้นทางเข้าออกและห้ามก่อสร้าง ตั้ง วางเครื่องกีดขวางหรืออาคารหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ บนทางสาธารณะถนนซอยรามคำแหง ๑๕๐ และที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรได้อุทิศให้เป็นสาธารณประโยชน์ กับให้แสดงรายการงบดุล บัญชีรายรับรายจ่ายที่อ้างต่อนายทะเบียนตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ จนถึงปัจจุบัน และให้จำเลยที่ ๑๑ และที่ ๑๒ เข้ารื้อถอนป้อมยามและไม้กั้นทางเข้าออกจากถนนซอยรามคำแหง ๑๕๐ กับให้จำเลยที่ ๑๓ โดยพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางชันหรือพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ ตามกฎหมาย
สำหรับคำฟ้องในส่วนที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ นั้น เป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน และจำเลยที่ ๑๑ ถึงที่ ๑๓ ไม่โต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีระหว่างโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม คดีในส่วนของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ส่วนคดีระหว่างโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยที่ ๑๓ ศาลแพ่งมีนบุรีและศาลปกครองกลางมีความเห็นพ้องกันว่า เป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม จึงไม่มีปัญหาการขัดกันระหว่างอำนาจศาลที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลต้องวินิจฉัยชี้ขาด ตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะคำฟ้องในส่วนของจำเลยที่ ๑๑ และที่ ๑๒ ว่า เป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
เมื่อพิจารณาคำฟ้องในส่วนกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๑๑ และผู้อำนวยการเขตสะพานสูง จำเลยที่ ๑๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แล้ว โจทก์ทั้งสี่กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๑๑ และที่ ๑๒ ปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ ใช้ถนนสาธารณะในซอยรามคำแหง ๑๕๐ แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ จำเลยที่ ๑๑ โดยจำเลยที่ ๑๒ มีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ได้ออกคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ รื้อถอนไม้กั้นรถยนต์ที่ขวางทางเข้าออกซึ่งรุกล้ำถนนสาธารณประโยชน์ในซอยรามคำแหง ๑๕๐ และแจ้งความดำเนินคดีกับจำเลยที่ ๑ แต่เมื่อจำเลยที่ ๑ เพิกเฉย จำเลยที่ ๑๒ กลับไม่ดำเนินการใด ๆ อันเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ มาตรา ๑๑๗ มาตรา ๑๑๘ และมาตรา ๑๒๒ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๖๙ และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙ มาตรา ๑๐๘ และมาตรา ๑๐๘ ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อ ๑๑ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๙๖ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๕ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยที่ ๑๑ และที่ ๑๒ เข้าดำเนินการรื้อถอนป้อมยามและไม้กั้นรถยนต์ตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย จึงเป็นการฟ้องว่า จำเลยที่ ๑๑ และที่ ๑๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยที่ ๑๑ และที่ ๑๒ จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คดีพิพาทเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2)
คดีที่ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชน ยื่นฟ้องผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดปัตตานี ที่ ๑ อธิบดีกรมบังคับคดี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ผบ. ๒๙๘๒/๒๕๖๒ ของศาลจังหวัดปัตตานี โดยเมื่อผู้ฟ้องคดียื่นคำร้องขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ อายัดเงินปันผลสหกรณ์ออมทรัพย์ครูปัตตานี จำกัด ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีหน้าที่อำนวยความสะดวก ให้บริการแก่ประชาชนด้วยความรวดเร็วและเป็นธรรม ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสาร และแนะนำผู้ฟ้องคดีให้ทราบถึงเอกสารที่จำเป็นต้องนำมายื่นพร้อมกับคำร้อง แต่กลับไม่กระทำตามหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า ประวิงเวลา ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายต่อสิทธิที่จะได้รับบริการอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นธรรม อันเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ละเลยไม่ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้เกิดประสิทธิภาพ จึงต้องรับผิดต่อผู้ฟ้องคดีแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีพร้อมดอกเบี้ย คดีนี้จึงเป็นคดีที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีในเรื่อง ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลยุติธรรม ซึ่งมาตรา ๒๘๕ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง บัญญัติให้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม คดีนี้จึงไม่ใช่คดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คดีที่ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชน ยื่นฟ้องผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดปัตตานี ที่ ๑ อธิบดีกรมบังคับคดี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ผบ. ๒๙๘๒/๒๕๖๒ ของศาลจังหวัดปัตตานี โดยเมื่อผู้ฟ้องคดียื่นคำร้องขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ อายัดเงินปันผลสหกรณ์ออมทรัพย์ครูปัตตานี จำกัด ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีหน้าที่อำนวยความสะดวก ให้บริการแก่ประชาชนด้วยความรวดเร็วและเป็นธรรม ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสาร และแนะนำผู้ฟ้องคดีให้ทราบถึงเอกสารที่จำเป็นต้องนำมายื่นพร้อมกับคำร้อง แต่กลับไม่กระทำตามหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า ประวิงเวลา ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายต่อสิทธิที่จะได้รับบริการอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นธรรม อันเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ละเลยไม่ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้เกิดประสิทธิภาพ จึงต้องรับผิดต่อผู้ฟ้องคดีแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีพร้อมดอกเบี้ย คดีนี้จึงเป็นคดีที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีในเรื่อง ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลยุติธรรม ซึ่งมาตรา ๒๘๕ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง บัญญัติให้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม คดีนี้จึงไม่ใช่คดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๓ บัญญัติว่า ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาวางบทลงโทษผู้กระทำผิดต่อกฎหมายทหารหรือกฎหมายอื่นในทางอาญา ในคดีซึ่งผู้กระทำผิดเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิด จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า เจตนารมณ์ของกฎหมายในการที่ให้มีศาลทหารแยกต่างหากจากศาลพลเรือนก็เพื่อให้บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารที่กระทำความผิดต่อกฎหมายทหารหรือกฎหมายอื่นที่มีโทษทางอาญาต้องได้รับการพิจารณาพิพากษาคดีในอำนาจของศาลทหาร เพื่อวัตถุประสงค์ในการปกครองบังคับบัญชาและส่งเสริมอำนาจของผู้บังคับบัญชาทหาร อันเป็นการยึดหลักเขตอำนาจศาลเหนือตัวบุคคลผู้กระทำผิดซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิด และเป็นการยกเว้นอำนาจศาลยุติธรรมซึ่งเป็นศาลพลเรือนไม่ให้พิจารณาพิพากษาคดีอาญาซึ่งผู้กระทำผิดเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิด คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องโดยมุ่งหมายที่จะดำเนินคดีกับจำเลยที่ ๑ ในข้อหาบุกรุก ลักทรัพย์ และจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่เมื่อกองบัญชาการกองทัพไทย จำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๑ จึงมิใช่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ ที่ศาลทหารจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ส่วนที่โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าการที่จำเลยที่ ๒ อนุมัติคำสั่งให้โจทก์ที่ ๒ ออกจากราชการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีคำขอท้ายฟ้องให้ศาลเพิกถอนคำสั่งให้ออกจากราชการของโจทก์ที่ ๒ และให้ชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากต้องออกจากราชการ เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองประสงค์จะดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่งเป็นสำคัญ กรณีจึงเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ตามมาตรา ๑๓ ทั้งโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ในความผิดข้อหาให้การอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวน โดยมีข้อเท็จจริงว่าขณะที่จำเลยที่ ๒ ให้การเป็นพยาน จำเลยที่ ๒ เกษียณอายุราชการแล้ว ดังนั้น จำเลยที่ ๒ จึงมิใช่บุคคลที่อยู่ในอำนาจของศาลทหารในขณะกระทำผิด คดีนี้จึงเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหาร ตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ส่วนคดีจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางหรือศาลยุติธรรมอื่นก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาตามบทบัญญัติของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมต่อไป
พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๓ บัญญัติว่า ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาวางบทลงโทษผู้กระทำผิดต่อกฎหมายทหารหรือกฎหมายอื่นในทางอาญา ในคดีซึ่งผู้กระทำผิดเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิด จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า เจตนารมณ์ของกฎหมายในการที่ให้มีศาลทหารแยกต่างหากจากศาลพลเรือนก็เพื่อให้บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารที่กระทำความผิดต่อกฎหมายทหารหรือกฎหมายอื่นที่มีโทษทางอาญาต้องได้รับการพิจารณาพิพากษาคดีในอำนาจของศาลทหาร เพื่อวัตถุประสงค์ในการปกครองบังคับบัญชาและส่งเสริมอำนาจของผู้บังคับบัญชาทหาร อันเป็นการยึดหลักเขตอำนาจศาลเหนือตัวบุคคลผู้กระทำผิดซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิด และเป็นการยกเว้นอำนาจศาลยุติธรรมซึ่งเป็นศาลพลเรือนไม่ให้พิจารณาพิพากษาคดีอาญาซึ่งผู้กระทำผิดเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิด คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องโดยมุ่งหมายที่จะดำเนินคดีกับจำเลยที่ ๑ ในข้อหาบุกรุก ลักทรัพย์ และจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่เมื่อกองบัญชาการกองทัพไทย จำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๑ จึงมิใช่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ ที่ศาลทหารจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ส่วนที่โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าการที่จำเลยที่ ๒ อนุมัติคำสั่งให้โจทก์ที่ ๒ ออกจากราชการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีคำขอท้ายฟ้องให้ศาลเพิกถอนคำสั่งให้ออกจากราชการของโจทก์ที่ ๒ และให้ชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากต้องออกจากราชการ เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองประสงค์จะดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่งเป็นสำคัญ กรณีจึงเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ตามมาตรา ๑๓ ทั้งโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ในความผิดข้อหาให้การอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวน โดยมีข้อเท็จจริงว่าขณะที่จำเลยที่ ๒ ให้การเป็นพยาน จำเลยที่ ๒ เกษียณอายุราชการแล้ว ดังนั้น จำเลยที่ ๒ จึงมิใช่บุคคลที่อยู่ในอำนาจของศาลทหารในขณะกระทำผิด คดีนี้จึงเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหาร ตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ส่วนคดีจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางหรือศาลยุติธรรมอื่นก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาตามบทบัญญัติของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมต่อไป
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498
คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ต้องเป็นคดีที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกฟ้องให้รับผิดเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี เป็นผู้ใช้อำนาจตามกฎหมายออกกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือกระทำการอื่นใด หรือละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรโดยกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือการกระทำอื่น หรือการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร นั้น ก่อความเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี เมื่อคดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าบ้านที่จำเลยได้รับไปโดยไม่มีสิทธิพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ โดยการที่จำเลยรับเงินดังกล่าวจากโจทก์ไปนั้น มิใช่กรณีที่จำเลยใช้อำนาจตามกฎหมาย ออกกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือกระทำการอื่นใด ทั้งมิใช่กรณีที่จำเลยละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรแต่อย่างใด คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ต้องเป็นคดีที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกฟ้องให้รับผิดเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี เป็นผู้ใช้อำนาจตามกฎหมายออกกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือกระทำการอื่นใด หรือละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรโดยกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือการกระทำอื่น หรือการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร นั้น ก่อความเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี เมื่อคดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าบ้านที่จำเลยได้รับไปโดยไม่มีสิทธิพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ โดยการที่จำเลยรับเงินดังกล่าวจากโจทก์ไปนั้น มิใช่กรณีที่จำเลยใช้อำนาจตามกฎหมาย ออกกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือกระทำการอื่นใด ทั้งมิใช่กรณีที่จำเลยละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรแต่อย่างใด คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
คดีที่เอกชน ยื่นฟ้องกรรมการบริหารพัฒนาพิงคนคร ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร ที่ ๑ สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ที่ ๒ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกคำสั่งลงโทษทางวินัยไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากการเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตามการชี้มูลความผิดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ฟ้องคดีไม่ได้กระทำผิดอาญาและผิดวินัยร้ายแรง ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีกลับเข้าทำงาน พร้อมทั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดรายได้ เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ เกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งลงโทษไล่ออก โดยเห็นว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดีตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ตามสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงว่า มีมูลความผิดอาญา และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วย การจัดตั้งองค์การมหาชนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๙๘ วรรคแรก ที่เป็นกฎหมายพิเศษเกี่ยวกับมาตรการในการปราบปรามการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในทางวินัย คำสั่งลงโทษไล่ออกดังกล่าว จึงมีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ทำให้ผู้ฟ้องคดีต้องสิ้นสุดสถานภาพการเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นการระงับหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายของผู้ฟ้องคดีโดยตรง จึงเป็นคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องโดยมีคำขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ โต้แย้งเขตอำนาจศาลปกครองว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นประเด็นเกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยอันเป็นผลมาจากสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าสถานะของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง การลงโทษทางวินัยผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง ไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญา นอกจากนี้มาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ กำหนดวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ และให้การดำเนินงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี ซึ่งลักษณะดังกล่าวไม่อาจพบได้ในการดำเนินงานของนิติบุคคลเอกชน ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จ้างผู้ฟ้องคดีเข้าทำงานในหน่วยงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างตามกฎหมายเอกชน แต่มีลักษณะเป็นข้อตกลงที่ให้ผู้ฟ้องคดีเข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน เข้าลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ข้อพิพาทตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน หรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
คดีที่เอกชน ยื่นฟ้องกรรมการบริหารพัฒนาพิงคนคร ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร ที่ ๑ สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ที่ ๒ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกคำสั่งลงโทษทางวินัยไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากการเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตามการชี้มูลความผิดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ฟ้องคดีไม่ได้กระทำผิดอาญาและผิดวินัยร้ายแรง ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีกลับเข้าทำงาน พร้อมทั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดรายได้ เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ เกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งลงโทษไล่ออก โดยเห็นว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดีตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ตามสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงว่า มีมูลความผิดอาญา และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วย การจัดตั้งองค์การมหาชนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๙๘ วรรคแรก ที่เป็นกฎหมายพิเศษเกี่ยวกับมาตรการในการปราบปรามการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในทางวินัย คำสั่งลงโทษไล่ออกดังกล่าว จึงมีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ทำให้ผู้ฟ้องคดีต้องสิ้นสุดสถานภาพการเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นการระงับหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายของผู้ฟ้องคดีโดยตรง จึงเป็นคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องโดยมีคำขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ โต้แย้งเขตอำนาจศาลปกครองว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นประเด็นเกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยอันเป็นผลมาจากสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าสถานะของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง การลงโทษทางวินัยผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง ไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญา นอกจากนี้มาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ กำหนดวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ และให้การดำเนินงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี ซึ่งลักษณะดังกล่าวไม่อาจพบได้ในการดำเนินงานของนิติบุคคลเอกชน ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จ้างผู้ฟ้องคดีเข้าทำงานในหน่วยงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างตามกฎหมายเอกชน แต่มีลักษณะเป็นข้อตกลงที่ให้ผู้ฟ้องคดีเข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน เข้าลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ข้อพิพาทตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน หรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และ (3)
แม้คดีนี้เอกชนผู้ฟ้องคดีจะยื่นฟ้องสำนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรี สาขาสองพี่น้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ อำเภอสองพี่น้อง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และองค์การบริหารส่วนตำบลต้นตาล ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรี สาขาสองพี่น้อง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ยื่นคำร้องขอรังวัดที่ดินเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลง "หนองลาดตะเพียน" โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ นำชี้และรังวัดแนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๓๒ ของบิดาผู้ฟ้องคดี เนื้อที่ ๙๐.๘ ตารางวา อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน และอยู่นอกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒ โดยผู้ฟ้องคดีไม่มีหลักฐานแสดงสิทธิในที่ดิน กรณีจึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นส่วนราชการที่มีหน้าที่ดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันอันอยู่ในเขตอำเภอ ว่าที่ดินเนื้อที่ ๙๐.๘ ตารางวานั้น เป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๓๒ ของบิดาผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน และโดยที่กฎกระทรวงฉบับที่ ๔๕ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ข้อ ๒ วรรคสอง กำหนดว่า "ในกรณีที่มีผู้คัดค้าน ให้อธิบดีรอการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงไว้แล้วดำเนินการ ดังนี้ (๑) ในกรณีที่ผู้คัดค้านไม่มีหลักฐานแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินและไม่ไปใช้สิทธิทางศาลภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คัดค้าน ให้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงได้ หากผู้คัดค้านไปใช้สิทธิทางศาล ให้รอการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเฉพาะส่วนที่คัดค้านจนกว่าจะได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแสดงว่าผู้คัดค้าน ไม่มีสิทธิในที่ดินนั้น" ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องต่อศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งแสดงสิทธิในที่ดินพิพาท คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
แม้คดีนี้เอกชนผู้ฟ้องคดีจะยื่นฟ้องสำนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรี สาขาสองพี่น้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ อำเภอสองพี่น้อง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และองค์การบริหารส่วนตำบลต้นตาล ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรี สาขาสองพี่น้อง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ยื่นคำร้องขอรังวัดที่ดินเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลง "หนองลาดตะเพียน" โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ นำชี้และรังวัดแนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๓๒ ของบิดาผู้ฟ้องคดี เนื้อที่ ๙๐.๘ ตารางวา อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน และอยู่นอกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒ โดยผู้ฟ้องคดีไม่มีหลักฐานแสดงสิทธิในที่ดิน กรณีจึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นส่วนราชการที่มีหน้าที่ดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันอันอยู่ในเขตอำเภอ ว่าที่ดินเนื้อที่ ๙๐.๘ ตารางวานั้น เป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๓๒ ของบิดาผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน และโดยที่กฎกระทรวงฉบับที่ ๔๕ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ข้อ ๒ วรรคสอง กำหนดว่า "ในกรณีที่มีผู้คัดค้าน ให้อธิบดีรอการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงไว้แล้วดำเนินการ ดังนี้ (๑) ในกรณีที่ผู้คัดค้านไม่มีหลักฐานแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินและไม่ไปใช้สิทธิทางศาลภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คัดค้าน ให้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงได้ หากผู้คัดค้านไปใช้สิทธิทางศาล ให้รอการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเฉพาะส่วนที่คัดค้านจนกว่าจะได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแสดงว่าผู้คัดค้าน ไม่มีสิทธิในที่ดินนั้น" ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องต่อศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งแสดงสิทธิในที่ดินพิพาท คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๑ อำเภอบุณฑริก ที่ ๒ องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยข่า ที่ ๓ กำนันตำบลห้วยข่า ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ เฉพาะส่วนที่ออกทับที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองเป็นโมฆะ กับขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ แม้ผู้ฟ้องคดีจะมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ ที่ทับซ้อนกับที่ดินของผู้ฟ้องคดี อันมีลักษณะเป็นการตั้งรูปเรื่องการฟ้องคดีเป็นคดีฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เหตุแห่งการขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินของรัฐ ดังนั้น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี กรณีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดิน แม้ผู้ฟ้องคดีจะมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) มาด้วยก็ตาม ก็เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือที่สาธารณประโยชน์ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๑ อำเภอบุณฑริก ที่ ๒ องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยข่า ที่ ๓ กำนันตำบลห้วยข่า ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ เฉพาะส่วนที่ออกทับที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองเป็นโมฆะ กับขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ แม้ผู้ฟ้องคดีจะมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ ที่ทับซ้อนกับที่ดินของผู้ฟ้องคดี อันมีลักษณะเป็นการตั้งรูปเรื่องการฟ้องคดีเป็นคดีฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เหตุแห่งการขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินของรัฐ ดังนั้น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี กรณีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดิน แม้ผู้ฟ้องคดีจะมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) มาด้วยก็ตาม ก็เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือที่สาธารณประโยชน์ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นเอกชน ยื่นฟ้องเทศบาลตำบลหลักห้า ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนาง จ. ตามคำสั่งศาล โดยนาง จ. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๑๑ ได้อนุญาตด้วยวาจาให้กำนันตำบลยกกระบัตร สร้างศาลาที่พักผู้โดยสารชั่วคราวบนที่ดินเนื้อที่ไม่เกิน ๕ ตารางวา จากนั้น นาง จ. อนุญาตด้วยวาจาให้ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๔ ซ่อมแซมศาลาที่พักโดยมีเงื่อนไขให้รื้อถอนเมื่อนาง จ. ถึงแก่ความตาย แต่หลังจาก นาง จ.ถึงแก่ความตาย ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิเสธไม่รื้อถอน อ้างว่าศาลาที่พักผู้โดยสารเป็นทรัพย์สินที่ประชาชนให้ประโยชน์ร่วมกันมานาน ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีรื้อถอนศาลา ที่พักผู้โดยสารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๑๑ ด้วยค่าใช้จ่ายของผู้ถูกฟ้องคดีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากไม่รื้อถอนให้แล้วเสร็จภายในกำหนด ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นผู้รื้อถอนโดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การสรุปได้ว่า ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๔ ยืนยันว่าไม่มีข้อตกลงให้รื้อถอนศาลาที่พัก และผู้ถูกฟ้องคดีไม่สามารถรื้อถอนศาลาที่พักเนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน การกระทำของนาง จ. ถือได้ว่านาง จ. ได้อุทิศที่ดินบริเวณดังกล่าวให้เป็นที่สาธารณประโยชน์โดยปริยาย ศาลาที่พักดังกล่าวจึงมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การดำเนินการของผู้ถูกฟ้องคดีจึงชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีมาจากข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีทั้งสองว่า นาง จ. ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๑๑ ได้อนุญาตด้วยวาจาให้สร้างศาลาที่พักผู้โดยสารบนที่ดินแปลงดังกล่าวเนื้อที่ไม่เกิน ๕ ตารางวา โดยมีข้อตกลงให้รื้อถอนศาลาที่พักผู้โดยสารออกไปเมื่อนาง จ. ถึงแก่ความตาย แต่เมื่อภายหลังนาง จ. ถึงแก่ความตาย ผู้ฟ้องคดีทั้งสองขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีรื้อถอน ผู้ถูกฟ้องคดีกลับไม่ดำเนินการรื้อถอน อ้างว่าศาลาที่พักผู้โดยสารเป็นทรัพย์สินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันมาเป็นเวลานาน และที่ดินบริเวณที่มีการสร้างศาลาที่พักผู้โดยสารนาง จ. ได้อุทิศให้เป็นที่สาธารณประโยชน์โดยปริยาย ศาลาที่พักดังกล่าวจึงมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อันเป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีทั้งสองที่ฟ้องต่อศาล ก็เพื่อให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของนาง จ. การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนาง จ. ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นเอกชน ยื่นฟ้องเทศบาลตำบลหลักห้า ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนาง จ. ตามคำสั่งศาล โดยนาง จ. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๑๑ ได้อนุญาตด้วยวาจาให้กำนันตำบลยกกระบัตร สร้างศาลาที่พักผู้โดยสารชั่วคราวบนที่ดินเนื้อที่ไม่เกิน ๕ ตารางวา จากนั้น นาง จ. อนุญาตด้วยวาจาให้ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๔ ซ่อมแซมศาลาที่พักโดยมีเงื่อนไขให้รื้อถอนเมื่อนาง จ. ถึงแก่ความตาย แต่หลังจาก นาง จ.ถึงแก่ความตาย ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิเสธไม่รื้อถอน อ้างว่าศาลาที่พักผู้โดยสารเป็นทรัพย์สินที่ประชาชนให้ประโยชน์ร่วมกันมานาน ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีรื้อถอนศาลา ที่พักผู้โดยสารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๑๑ ด้วยค่าใช้จ่ายของผู้ถูกฟ้องคดีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากไม่รื้อถอนให้แล้วเสร็จภายในกำหนด ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นผู้รื้อถอนโดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การสรุปได้ว่า ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๔ ยืนยันว่าไม่มีข้อตกลงให้รื้อถอนศาลาที่พัก และผู้ถูกฟ้องคดีไม่สามารถรื้อถอนศาลาที่พักเนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน การกระทำของนาง จ. ถือได้ว่านาง จ. ได้อุทิศที่ดินบริเวณดังกล่าวให้เป็นที่สาธารณประโยชน์โดยปริยาย ศาลาที่พักดังกล่าวจึงมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การดำเนินการของผู้ถูกฟ้องคดีจึงชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีมาจากข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีทั้งสองว่า นาง จ. ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๑๑ ได้อนุญาตด้วยวาจาให้สร้างศาลาที่พักผู้โดยสารบนที่ดินแปลงดังกล่าวเนื้อที่ไม่เกิน ๕ ตารางวา โดยมีข้อตกลงให้รื้อถอนศาลาที่พักผู้โดยสารออกไปเมื่อนาง จ. ถึงแก่ความตาย แต่เมื่อภายหลังนาง จ. ถึงแก่ความตาย ผู้ฟ้องคดีทั้งสองขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีรื้อถอน ผู้ถูกฟ้องคดีกลับไม่ดำเนินการรื้อถอน อ้างว่าศาลาที่พักผู้โดยสารเป็นทรัพย์สินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันมาเป็นเวลานาน และที่ดินบริเวณที่มีการสร้างศาลาที่พักผู้โดยสารนาง จ. ได้อุทิศให้เป็นที่สาธารณประโยชน์โดยปริยาย ศาลาที่พักดังกล่าวจึงมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อันเป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีทั้งสองที่ฟ้องต่อศาล ก็เพื่อให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของนาง จ. การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนาง จ. ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่เอกชน ยื่นฟ้องปฏิรูปที่ดินจังหวัดพังงา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหลักฐาน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑ โดยรับให้มาจากมารดา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) เลขที่ ๑๔๒๗ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทับซ้อนที่ดินดังกล่าวของผู้ฟ้องคดีทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอน ส.ป.ก. ๔-๐๑ ที่ออกทับซ้อนที่ดินของผู้ฟ้องคดี และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ ให้การว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่เสื่อมโทรม ต่อมามีพระราชกฤษฎีกาให้ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตปฏิรูป ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ จึงมีอำนาจนำที่ดินพิพาทมาทำการปฏิรูปได้ การจัดที่ดินให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นไปตามขั้นตอน ระเบียบ และกฎหมาย การออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีไม่ได้รับความเสียหาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑ มารดาผู้ฟ้องคดีขายให้แก่บิดาของตน แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทางทะเบียน โดยบิดาเข้าครอบครองที่ดินและปลูกต้นปาล์มน้ำมันทั้งแปลง จากนั้นส่งมอบการครอบครองให้แก่ตน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท การออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมายไม่ทับซ้อนกับที่ดินของผู้ฟ้องคดี เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทับที่ดินมีเอกสารสิทธิตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑ ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ อ้างว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิและพิสูจน์สิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ และการที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่เอกชน ยื่นฟ้องปฏิรูปที่ดินจังหวัดพังงา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหลักฐาน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑ โดยรับให้มาจากมารดา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) เลขที่ ๑๔๒๗ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทับซ้อนที่ดินดังกล่าวของผู้ฟ้องคดีทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอน ส.ป.ก. ๔-๐๑ ที่ออกทับซ้อนที่ดินของผู้ฟ้องคดี และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ ให้การว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่เสื่อมโทรม ต่อมามีพระราชกฤษฎีกาให้ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตปฏิรูป ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ จึงมีอำนาจนำที่ดินพิพาทมาทำการปฏิรูปได้ การจัดที่ดินให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นไปตามขั้นตอน ระเบียบ และกฎหมาย การออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีไม่ได้รับความเสียหาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑ มารดาผู้ฟ้องคดีขายให้แก่บิดาของตน แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทางทะเบียน โดยบิดาเข้าครอบครองที่ดินและปลูกต้นปาล์มน้ำมันทั้งแปลง จากนั้นส่งมอบการครอบครองให้แก่ตน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท การออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมายไม่ทับซ้อนกับที่ดินของผู้ฟ้องคดี เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทับที่ดินมีเอกสารสิทธิตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑ ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ อ้างว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิและพิสูจน์สิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ และการที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้เอกชนยื่นฟ้องสำนักงานก่อสร้างทางที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๑ กรมทางหลวง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินได้รับความเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ก่อสร้างทางหลวงรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าปรับที่นาและผลผลิตทางการเกษตร (ข้าว) เสียหาย ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองคืนที่ดินและปรับสภาพที่ดินของผู้ฟ้องคดีในส่วนที่ถูกรุกล้ำให้กลับคืนสภาพเดิม ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางหลวง สายแยกทางหลวงหมายเลข ๒๔ จาก ๒ ช่องจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร รวมระยะทาง ๑๒.๘๑๕ กิโลเมตร ในการก่อสร้างทางดังกล่าวได้ดำเนินการในเขตทางเดิมและเขตทางใหม่ที่จะต้องเวนคืนเพิ่ม แต่ที่ดินโฉนดพิพาทไม่ได้ถูกเวนคืน และไม่ได้สร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดี การดำเนินการของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองก่อสร้างถนนรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดี แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่าได้ก่อสร้างทางหลวงในเขตทางเดิมไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดี การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นเขตทางเดิมจะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมีอำนาจก่อสร้างถนนได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า การที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้เอกชนยื่นฟ้องสำนักงานก่อสร้างทางที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๑ กรมทางหลวง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินได้รับความเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ก่อสร้างทางหลวงรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าปรับที่นาและผลผลิตทางการเกษตร (ข้าว) เสียหาย ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองคืนที่ดินและปรับสภาพที่ดินของผู้ฟ้องคดีในส่วนที่ถูกรุกล้ำให้กลับคืนสภาพเดิม ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางหลวง สายแยกทางหลวงหมายเลข ๒๔ จาก ๒ ช่องจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร รวมระยะทาง ๑๒.๘๑๕ กิโลเมตร ในการก่อสร้างทางดังกล่าวได้ดำเนินการในเขตทางเดิมและเขตทางใหม่ที่จะต้องเวนคืนเพิ่ม แต่ที่ดินโฉนดพิพาทไม่ได้ถูกเวนคืน และไม่ได้สร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดี การดำเนินการของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองก่อสร้างถนนรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดี แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่าได้ก่อสร้างทางหลวงในเขตทางเดิมไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดี การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นเขตทางเดิมจะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมีอำนาจก่อสร้างถนนได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า การที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา คดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) และคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบลดงขวาง ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ สำนักงานที่ดินจังหวัดนครพนม ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และนายช่างรังวัด ที่ ๔ นายอำเภอเมืองนครพนม ที่ ๕ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า การดำเนินการเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเมื่อนำรูปแผนที่การรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์ ลงที่หมายในระวางแผนที่แล้วปรากฏว่ารูปแผนที่ไม่ทับที่ดินแปลงข้างเคียงและที่สาธารณประโยชน์รวมถึงที่ดินของผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๔ ได้ปฏิบัติหน้าที่ ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าขอให้ศาลเพิกถอนการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์ โดยอ้างเหตุผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ รังวัดรุกล้ำที่ดินซึ่งผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองทั้งแปลงอันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทว่าผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่อยู่ในความดูแลของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๕ โดยมิได้อ้างเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมายประการอื่น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ ส่วนคำขอให้เพิกถอนการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์เป็นผลต่อเนื่องในการวินิจฉัยเรื่องสิทธิในที่ดินพิพาทเท่านั้น ข้อพิพาทในคดีนี้ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบลดงขวาง ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ สำนักงานที่ดินจังหวัดนครพนม ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และนายช่างรังวัด ที่ ๔ นายอำเภอเมืองนครพนม ที่ ๕ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า การดำเนินการเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเมื่อนำรูปแผนที่การรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์ ลงที่หมายในระวางแผนที่แล้วปรากฏว่ารูปแผนที่ไม่ทับที่ดินแปลงข้างเคียงและที่สาธารณประโยชน์รวมถึงที่ดินของผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๔ ได้ปฏิบัติหน้าที่ ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าขอให้ศาลเพิกถอนการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์ โดยอ้างเหตุผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ รังวัดรุกล้ำที่ดินซึ่งผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองทั้งแปลงอันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทว่าผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่อยู่ในความดูแลของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๕ โดยมิได้อ้างเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมายประการอื่น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ ส่วนคำขอให้เพิกถอนการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์เป็นผลต่อเนื่องในการวินิจฉัยเรื่องสิทธิในที่ดินพิพาทเท่านั้น ข้อพิพาทในคดีนี้ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทานซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่า คดีนี้ นางสาวขนิษฐา เฒ่าอุดม ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๙๙๑๐๔ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ๗ ตารางวา พร้อมบ้าน ๑ หลัง ติดคลองส่งน้ำชลประทาน มีหลักเขตคลองส่งน้ำชลประทานของผู้ถูกฟ้องคดีปักอยู่นอกกำแพงบ้าน ต่อมาเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีนำหลักเขตคลองส่งน้ำชลประทานมาปักใหม่ในที่ดินของผู้ฟ้องคดีบริเวณที่ระยะ ๒ เมตร จากจุดเดิม และทุบทำลายหลักเขตชลประทานเดิมออก ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีย้ายหลักเขตชลประทานดังกล่าวกลับที่เดิมและขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย รวม ๒๗๐,๘๔๒ บาท ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า เหตุที่ผู้ถูกฟ้องคดีทุบทำลายหลักเขตเดิมและปักหลักเขตใหม่เนื่องจากมีการซ่อมแซมเขตชลประทานดังกล่าว โดยเขตคลองชลประทานฝั่งขวาต้องกว้าง ๑๐ เมตรแต่หลักเขตเก่าที่ปักอยู่ติดกำแพงบ้านผู้ฟ้องคดี มีความกว้างประมาณ ๘ เมตร ซึ่งไม่ตรงกับระยะเขตคลองของโครงการ จึงต้องปักหลักเขตใหม่ที่ระยะ ๑๐ เมตร และทำลายหลักเขตเดิม เห็นว่า กรณีตามคำฟ้องเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามคำฟ้องนี้ เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม เมื่อพิจารณาตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้ (๓) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรคดีนี้กรมชลประทานผู้ถูกฟ้องคดี เป็นราชการส่วนกลาง ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ประกอบมาตรา ๑๙ (๓) แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และโดยที่การปักหลักเขตคลองส่งน้ำชลประทานเพื่อดำเนินการตามโครงการอ่างเก็บน้ำหนองสำโรง จังหวัดอุดรธานีเป็นการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดี ในเรื่องการจัดให้ได้มาซึ่งน้ำ หรือกัก เก็บรักษา ควบคุม ส่ง ระบาย หรือจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตร การพลังงาน การสาธารณูปโภคหรือการอุตสาหกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยการชลประทาน กฎหมายว่าด้วยคันและคูน้ำ และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตามข้อ ๒ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๗การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีจึงเป็นการกระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดให้ได้มาซึ่งอ่างเก็บน้ำตามโครงการดังกล่าว เมื่อผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทุบทำลายหลักเขตคลองส่งน้ำเดิมที่อยู่นอกรั้วบ้านของผู้ฟ้องคดีและปักหลักเขตใหม่เข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดี ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย กรณีตามคำฟ้องจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับคดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีรับว่าได้ทำลายหลักเขตเดิมและปักหลักเขตใหม่ เพื่อให้เขตคลองส่งน้ำฝั่งขวามีความกว้าง ๑๐ เมตร โดยไม่ได้ให้การโต้แย้งว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ของผู้ฟ้องคดี ทั้งยังให้การว่าเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ หลังจากฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อส่งช่างรังวัดมารังวัดสอบเขตที่ดินเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องแนวเขตของกรมชลประทานกับแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทำลายหลักเขตเดิมและปักหลักเขตใหม่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดี โดยที่ยังไม่มีการตรวจสอบแนวเขตที่ดินอย่างชัดแจ้งนั้น เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นละเมิดแก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ทั้งผู้ฟ้องคดีชี้แจงข้อเท็จจริงตามคำสั่งศาลปกครองอุดรธานี ตามข้อ ๑๗ ของข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ว่า ผู้ฟ้องคดีไม่ต้องการพิสูจน์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ใด แต่ต้องการเรียกร้องค่าเสียหาย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทานซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่า คดีนี้ นางสาวขนิษฐา เฒ่าอุดม ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๙๙๑๐๔ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ๗ ตารางวา พร้อมบ้าน ๑ หลัง ติดคลองส่งน้ำชลประทาน มีหลักเขตคลองส่งน้ำชลประทานของผู้ถูกฟ้องคดีปักอยู่นอกกำแพงบ้าน ต่อมาเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีนำหลักเขตคลองส่งน้ำชลประทานมาปักใหม่ในที่ดินของผู้ฟ้องคดีบริเวณที่ระยะ ๒ เมตร จากจุดเดิม และทุบทำลายหลักเขตชลประทานเดิมออก ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีย้ายหลักเขตชลประทานดังกล่าวกลับที่เดิมและขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย รวม ๒๗๐,๘๔๒ บาท ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า เหตุที่ผู้ถูกฟ้องคดีทุบทำลายหลักเขตเดิมและปักหลักเขตใหม่เนื่องจากมีการซ่อมแซมเขตชลประทานดังกล่าว โดยเขตคลองชลประทานฝั่งขวาต้องกว้าง ๑๐ เมตรแต่หลักเขตเก่าที่ปักอยู่ติดกำแพงบ้านผู้ฟ้องคดี มีความกว้างประมาณ ๘ เมตร ซึ่งไม่ตรงกับระยะเขตคลองของโครงการ จึงต้องปักหลักเขตใหม่ที่ระยะ ๑๐ เมตร และทำลายหลักเขตเดิม เห็นว่า กรณีตามคำฟ้องเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามคำฟ้องนี้ เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม เมื่อพิจารณาตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้ (๓) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรคดีนี้กรมชลประทานผู้ถูกฟ้องคดี เป็นราชการส่วนกลาง ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ประกอบมาตรา ๑๙ (๓) แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และโดยที่การปักหลักเขตคลองส่งน้ำชลประทานเพื่อดำเนินการตามโครงการอ่างเก็บน้ำหนองสำโรง จังหวัดอุดรธานีเป็นการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดี ในเรื่องการจัดให้ได้มาซึ่งน้ำ หรือกัก เก็บรักษา ควบคุม ส่ง ระบาย หรือจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตร การพลังงาน การสาธารณูปโภคหรือการอุตสาหกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยการชลประทาน กฎหมายว่าด้วยคันและคูน้ำ และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตามข้อ ๒ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๗การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีจึงเป็นการกระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดให้ได้มาซึ่งอ่างเก็บน้ำตามโครงการดังกล่าว เมื่อผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทุบทำลายหลักเขตคลองส่งน้ำเดิมที่อยู่นอกรั้วบ้านของผู้ฟ้องคดีและปักหลักเขตใหม่เข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดี ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย กรณีตามคำฟ้องจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับคดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีรับว่าได้ทำลายหลักเขตเดิมและปักหลักเขตใหม่ เพื่อให้เขตคลองส่งน้ำฝั่งขวามีความกว้าง ๑๐ เมตร โดยไม่ได้ให้การโต้แย้งว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ของผู้ฟ้องคดี ทั้งยังให้การว่าเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ หลังจากฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อส่งช่างรังวัดมารังวัดสอบเขตที่ดินเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องแนวเขตของกรมชลประทานกับแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทำลายหลักเขตเดิมและปักหลักเขตใหม่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดี โดยที่ยังไม่มีการตรวจสอบแนวเขตที่ดินอย่างชัดแจ้งนั้น เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นละเมิดแก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ทั้งผู้ฟ้องคดีชี้แจงข้อเท็จจริงตามคำสั่งศาลปกครองอุดรธานี ตามข้อ ๑๗ ของข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ว่า ผู้ฟ้องคดีไม่ต้องการพิสูจน์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ใด แต่ต้องการเรียกร้องค่าเสียหาย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
กรณีมีปัญหาต้องพิจารณาว่า ข้อตกลงเช่าอุปกรณ์วิทยุสื่อสารระหว่างโจทก์กับบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด เป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ เห็นว่า บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด จำเลย ซึ่งเป็นคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นหน่วยงานผู้ให้บริการการเดินอากาศของประเทศ โดยรัฐบาลได้รับโอนกิจการเข้ามาดำเนินงานในรูปแบบองค์กรของรัฐบาล และมอบหมายให้บริหารการจราจรทางอากาศ การสื่อสารการบิน การให้บริการระบบช่วยการเดินอากาศ และระบบติดตามอากาศยาน ให้บริการข่าวสารการเดินอากาศและงานแผนที่เดินอากาศ อันเป็นภารกิจของรัฐ จำเลยจึงเป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นในรูปแบบบริษัทจำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกาที่จะถือว่าเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ อย่างไรก็ตาม จำเลยอาจเป็นหน่วยงานทางปกครองประเภทหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือให้ดำเนินกิจการทางปกครองได้ หากจำเลยได้กระทำการตามหน้าที่หรืออำนาจที่ได้รับมอบหมายจากรัฐ นอกเหนือจากนี้แล้ว การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการดำเนินการในฐานะบริษัทจำกัดเช่นเดียวกับนิติบุคคลเอกชนทั่วไป เมื่อพิจารณาเนื้อหาของข้อตกลงเช่าอุปกรณ์วิทยุสื่อสารที่พิพาท มีสาระสำคัญเพียงจำเลยซึ่งเป็นผู้ให้เช่าตกลงให้ผู้เช่าเช่าอุปกรณ์วิทยุสื่อสารเพื่อใช้ในกิจการด้านการขนส่งสินค้าภายในเขตปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยจำเลยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นค่าเช่ารายเดือน มิใช่การให้บริการควบคุมการจราจรทางอากาศ ให้บริการสื่อสารการบิน และให้บริการเครื่องช่วยการเดินอากาศ ที่เป็นการดำเนินกิจการทางปกครอง อันจะถือได้ว่าจำเลยกระทำการในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือให้ดำเนินกิจการทางปกครอง การกระทำของจำเลยตามข้อตกลงนี้จึงไม่ทำให้จำเลยมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ข้อตกลงหรือสัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาเป็นเอกชนด้วยกัน จึงเป็นสัญญาทางแพ่งไม่ใช่สัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
กรณีมีปัญหาต้องพิจารณาว่า ข้อตกลงเช่าอุปกรณ์วิทยุสื่อสารระหว่างโจทก์กับบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด เป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ เห็นว่า บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด จำเลย ซึ่งเป็นคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นหน่วยงานผู้ให้บริการการเดินอากาศของประเทศ โดยรัฐบาลได้รับโอนกิจการเข้ามาดำเนินงานในรูปแบบองค์กรของรัฐบาล และมอบหมายให้บริหารการจราจรทางอากาศ การสื่อสารการบิน การให้บริการระบบช่วยการเดินอากาศ และระบบติดตามอากาศยาน ให้บริการข่าวสารการเดินอากาศและงานแผนที่เดินอากาศ อันเป็นภารกิจของรัฐ จำเลยจึงเป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นในรูปแบบบริษัทจำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกาที่จะถือว่าเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ อย่างไรก็ตาม จำเลยอาจเป็นหน่วยงานทางปกครองประเภทหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือให้ดำเนินกิจการทางปกครองได้ หากจำเลยได้กระทำการตามหน้าที่หรืออำนาจที่ได้รับมอบหมายจากรัฐ นอกเหนือจากนี้แล้ว การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการดำเนินการในฐานะบริษัทจำกัดเช่นเดียวกับนิติบุคคลเอกชนทั่วไป เมื่อพิจารณาเนื้อหาของข้อตกลงเช่าอุปกรณ์วิทยุสื่อสารที่พิพาท มีสาระสำคัญเพียงจำเลยซึ่งเป็นผู้ให้เช่าตกลงให้ผู้เช่าเช่าอุปกรณ์วิทยุสื่อสารเพื่อใช้ในกิจการด้านการขนส่งสินค้าภายในเขตปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยจำเลยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นค่าเช่ารายเดือน มิใช่การให้บริการควบคุมการจราจรทางอากาศ ให้บริการสื่อสารการบิน และให้บริการเครื่องช่วยการเดินอากาศ ที่เป็นการดำเนินกิจการทางปกครอง อันจะถือได้ว่าจำเลยกระทำการในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือให้ดำเนินกิจการทางปกครอง การกระทำของจำเลยตามข้อตกลงนี้จึงไม่ทำให้จำเลยมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ข้อตกลงหรือสัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาเป็นเอกชนด้วยกัน จึงเป็นสัญญาทางแพ่งไม่ใช่สัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนครปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร ที่ ๑ สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ที่ ๒ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกคำสั่งลงโทษทางวินัยไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากการเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตามการชี้มูลความผิดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ฟ้องคดีไม่ได้กระทำผิดอาญาและผิดวินัยร้ายแรง ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีกลับเข้าทำงาน พร้อมทั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดรายได้ เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ เกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งลงโทษไล่ออก โดยเห็นว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดีตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ตามสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงว่า มีมูลความผิดอาญา และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การมหาชนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๙๘ วรรคแรก ที่เป็นกฎหมายพิเศษเกี่ยวกับมาตรการในการปราบปรามการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในทางวินัย คำสั่งลงโทษไล่ออกดังกล่าว จึงมีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ทำให้ผู้ฟ้องคดีต้องสิ้นสุดสถานภาพการเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นการระงับหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายของผู้ฟ้องคดีโดยตรง จึงเป็นคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องโดยมีคำขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ โต้แย้งเขตอำนาจศาลปกครองว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นประเด็นเกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยอันเป็นผลมาจากสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าสถานะของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง การลงโทษทางวินัยผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง ไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญา นอกจากนี้มาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ กำหนดวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ และให้การดำเนินงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี ซึ่งลักษณะดังกล่าวไม่อาจพบได้ในการดำเนินงานของนิติบุคคลเอกชน ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จ้างผู้ฟ้องคดีเข้าทำงานในหน่วยงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างตามกฎหมายเอกชน แต่มีลักษณะเป็นข้อตกลงที่ให้ผู้ฟ้องคดีเข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน เข้าลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ข้อพิพาทตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน หรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนครปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร ที่ ๑ สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ที่ ๒ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกคำสั่งลงโทษทางวินัยไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากการเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตามการชี้มูลความผิดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ฟ้องคดีไม่ได้กระทำผิดอาญาและผิดวินัยร้ายแรง ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีกลับเข้าทำงาน พร้อมทั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดรายได้ เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ เกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งลงโทษไล่ออก โดยเห็นว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดีตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ตามสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงว่า มีมูลความผิดอาญา และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การมหาชนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๙๘ วรรคแรก ที่เป็นกฎหมายพิเศษเกี่ยวกับมาตรการในการปราบปรามการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในทางวินัย คำสั่งลงโทษไล่ออกดังกล่าว จึงมีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ทำให้ผู้ฟ้องคดีต้องสิ้นสุดสถานภาพการเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นการระงับหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายของผู้ฟ้องคดีโดยตรง จึงเป็นคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องโดยมีคำขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ โต้แย้งเขตอำนาจศาลปกครองว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นประเด็นเกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยอันเป็นผลมาจากสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าสถานะของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง การลงโทษทางวินัยผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง ไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญา นอกจากนี้มาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ กำหนดวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ และให้การดำเนินงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี ซึ่งลักษณะดังกล่าวไม่อาจพบได้ในการดำเนินงานของนิติบุคคลเอกชน ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จ้างผู้ฟ้องคดีเข้าทำงานในหน่วยงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างตามกฎหมายเอกชน แต่มีลักษณะเป็นข้อตกลงที่ให้ผู้ฟ้องคดีเข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน เข้าลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ข้อพิพาทตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน หรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และ (3)
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนครปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร ที่ ๑ สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ที่ ๒ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกคำสั่งลงโทษทางวินัยไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากการเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตามการชี้มูลความผิดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ฟ้องคดีไม่ได้กระทำผิดอาญาและผิดวินัยร้ายแรง ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีกลับเข้าทำงาน พร้อมทั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดรายได้ เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ เกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งลงโทษไล่ออก โดยเห็นว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดีตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ตามสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงว่า มีมูลความผิดอาญา และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การมหาชนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๙๘ วรรคแรก ที่เป็นกฎหมายพิเศษเกี่ยวกับมาตรการในการปราบปรามการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในทางวินัย คำสั่งลงโทษไล่ออกดังกล่าว จึงมีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ทำให้ผู้ฟ้องคดีต้องสิ้นสุดสถานภาพการเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นการระงับหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายของผู้ฟ้องคดีโดยตรง จึงเป็นคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องโดยมีคำขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ โต้แย้งเขตอำนาจศาลปกครองว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นประเด็นเกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยอันเป็นผลมาจากสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าสถานะของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง การลงโทษทางวินัยผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง ไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญา นอกจากนี้มาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ กำหนดวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ และให้การดำเนินงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี ซึ่งลักษณะดังกล่าวไม่อาจพบได้ในการดำเนินงานของนิติบุคคลเอกชน ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จ้างผู้ฟ้องคดีเข้าทำงานในหน่วยงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างตามกฎหมายเอกชน แต่มีลักษณะเป็นข้อตกลงที่ให้ผู้ฟ้องคดีเข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน เข้าลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ข้อพิพาทตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน หรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนครปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร ที่ ๑ สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ที่ ๒ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกคำสั่งลงโทษทางวินัยไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากการเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตามการชี้มูลความผิดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ฟ้องคดีไม่ได้กระทำผิดอาญาและผิดวินัยร้ายแรง ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีกลับเข้าทำงาน พร้อมทั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดรายได้ เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ เกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งลงโทษไล่ออก โดยเห็นว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดีตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ตามสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงว่า มีมูลความผิดอาญา และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การมหาชนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๙๘ วรรคแรก ที่เป็นกฎหมายพิเศษเกี่ยวกับมาตรการในการปราบปรามการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในทางวินัย คำสั่งลงโทษไล่ออกดังกล่าว จึงมีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ทำให้ผู้ฟ้องคดีต้องสิ้นสุดสถานภาพการเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นการระงับหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายของผู้ฟ้องคดีโดยตรง จึงเป็นคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องโดยมีคำขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ โต้แย้งเขตอำนาจศาลปกครองว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นประเด็นเกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยอันเป็นผลมาจากสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าสถานะของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง การลงโทษทางวินัยผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง ไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญา นอกจากนี้มาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ กำหนดวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ และให้การดำเนินงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี ซึ่งลักษณะดังกล่าวไม่อาจพบได้ในการดำเนินงานของนิติบุคคลเอกชน ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จ้างผู้ฟ้องคดีเข้าทำงานในหน่วยงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างตามกฎหมายเอกชน แต่มีลักษณะเป็นข้อตกลงที่ให้ผู้ฟ้องคดีเข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน เข้าลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ข้อพิพาทตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน หรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และ (3)
คดีที่ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๓ เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ต่อเนื่องจากบิดาซึ่งครอบครองที่ดินมาก่อนที่จะมีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ แต่ผู้ฟ้องคดีถูกกล่าวหาว่าบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์ตามหนังสือสำคัญ สำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ บางส่วน จนถูกฟ้องคดีอาญาฐานความผิดต่อประมวลกฎหมายที่ดินต่อศาลจังหวัดอุบลราชธานีและศาลจังหวัดเดชอุดม ทั้งสองศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง ผู้ฟ้องคดีจึงมิได้กระทำความผิดฐานบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้ขอรังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ ในส่วนที่ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า แม้คดีนี้ผู้ฟ้องคดีจะมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ ที่ทับซ้อนกับที่ดินของผู้ฟ้องคดี อันมีลักษณะเป็นการตั้งรูปเรื่องการฟ้องคดีเป็นคดีฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เหตุแห่งการขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ผู้ฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินของรัฐ ดังนั้น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาล ก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี กรณีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดิน แม้ผู้ฟ้องคดีจะมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) มาด้วยก็ตาม ก็เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือที่สาธารณประโยชน์ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๓ เนื้อที่ ๒๐ ไร่ ต่อเนื่องจากบิดาซึ่งครอบครองที่ดินมาก่อนที่จะมีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ แต่ผู้ฟ้องคดีถูกกล่าวหาว่าบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์ตามหนังสือสำคัญ สำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ บางส่วน จนถูกฟ้องคดีอาญาฐานความผิดต่อประมวลกฎหมายที่ดินต่อศาลจังหวัดอุบลราชธานีและศาลจังหวัดเดชอุดม ทั้งสองศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง ผู้ฟ้องคดีจึงมิได้กระทำความผิดฐานบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้ขอรังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ ในส่วนที่ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า แม้คดีนี้ผู้ฟ้องคดีจะมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ ๑๔๘๘๖ ที่ทับซ้อนกับที่ดินของผู้ฟ้องคดี อันมีลักษณะเป็นการตั้งรูปเรื่องการฟ้องคดีเป็นคดีฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เหตุแห่งการขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ผู้ฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินของรัฐ ดังนั้น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาล ก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี กรณีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดิน แม้ผู้ฟ้องคดีจะมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) มาด้วยก็ตาม ก็เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือที่สาธารณประโยชน์ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบล ส. ที่ ๑ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ส. ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี สรุปคำฟ้องได้ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๗๖๙๙ ซึ่งออกมาจากหลักฐานตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๙๘ และ น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๑๕ ต่อมามีการออก น.ส.ล. เลขที่ ชย ๑๑๗๓ (ศาลตาปู่สาธารณประโยชน์) ทับซ้อนกับโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๗๖๙๙ และเทพื้นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กรุกล้ำเข้ามาในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๔๗๖๙๙ ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ฟ้องคดีได้สร้างรั้วลวดหนามปิดกั้นถนนคอนกรีตที่สร้างรุกล้ำเขตที่ดินพิพาท แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างออกจากที่สาธารณประโยชน์ "ศาลตาปู่" ผู้ฟ้องคดีจึงอุทธรณ์คำสั่งต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แต่มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนการออก น.ส.ล. เลขที่ ชย ๑๑๗๓ และแก้ไขโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๗๖๙๙ โดยนำพื้นที่ส่วนที่เพิกถอน น.ส.ล. กลับคืนตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๗๖๙๙ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินของผู้ฟ้องคดีและปรับที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินสาธารณประโยชน์ "ศาลตาปู่" เป็นที่ดินของรัฐ อยู่ในเขตรับผิดชอบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถนนคอนกรีตเสริมเหล็กและรั้วลวดหนามพิพาทอยู่ในที่สาธารณประโยชน์ศาลตาปู่ ตาม น.ส.ล. เลขที่ ๑๑๗๓ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่า การออก น.ส.ล. เลขที่ ชย ๑๑๗๓ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๗๖๙๙ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ได้ดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๔ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ออก น.ส.ล. เลขที่ ชย ๑๑๗๓ ทับซ้อนกับโฉนดเลขที่ ๔๗๖๙๙ ของผู้ฟ้องคดี และบริเวณที่ตั้งศาลตาปู่มีการเทพื้นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กรุกล้ำเข้ามาในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๔๗๖๙๙ โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ กระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จะเป็นผลให้การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ไม่เป็นละเมิด ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบล ส. ที่ ๑ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ส. ที่ ๒ กรมที่ดิน ที่ ๓ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี สรุปคำฟ้องได้ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๗๖๙๙ ซึ่งออกมาจากหลักฐานตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๙๘ และ น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑๑๕ ต่อมามีการออก น.ส.ล. เลขที่ ชย ๑๑๗๓ (ศาลตาปู่สาธารณประโยชน์) ทับซ้อนกับโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๗๖๙๙ และเทพื้นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กรุกล้ำเข้ามาในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๔๗๖๙๙ ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ฟ้องคดีได้สร้างรั้วลวดหนามปิดกั้นถนนคอนกรีตที่สร้างรุกล้ำเขตที่ดินพิพาท แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างออกจากที่สาธารณประโยชน์ "ศาลตาปู่" ผู้ฟ้องคดีจึงอุทธรณ์คำสั่งต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แต่มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนการออก น.ส.ล. เลขที่ ชย ๑๑๗๓ และแก้ไขโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๗๖๙๙ โดยนำพื้นที่ส่วนที่เพิกถอน น.ส.ล. กลับคืนตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๗๖๙๙ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินของผู้ฟ้องคดีและปรับที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินสาธารณประโยชน์ "ศาลตาปู่" เป็นที่ดินของรัฐ อยู่ในเขตรับผิดชอบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถนนคอนกรีตเสริมเหล็กและรั้วลวดหนามพิพาทอยู่ในที่สาธารณประโยชน์ศาลตาปู่ ตาม น.ส.ล. เลขที่ ๑๑๗๓ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่า การออก น.ส.ล. เลขที่ ชย ๑๑๗๓ และโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๗๖๙๙ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ได้ดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๔ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ออก น.ส.ล. เลขที่ ชย ๑๑๗๓ ทับซ้อนกับโฉนดเลขที่ ๔๗๖๙๙ ของผู้ฟ้องคดี และบริเวณที่ตั้งศาลตาปู่มีการเทพื้นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กรุกล้ำเข้ามาในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๔๗๖๙๙ โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ กระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จะเป็นผลให้การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ไม่เป็นละเมิด ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องสำนักงานที่ดินจังหวัดขอนแก่น สาขาน้ำพอง ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ และองค์การบริหารส่วนตำบลท่ากระเสริม ที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ โดยผู้ฟ้องคดีอ้างเหตุแห่งการฟ้องคดี ๒ ข้อหา ข้อหาแรก ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าการรังวัดสอบเขตที่ดินของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ไม่มีการแจ้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงครบทุกคน ช่างรังวัดไม่ดำเนินการรังวัดด้วยตนเองโดยปล่อยให้คนงานส่องกล้องและถือปริซึมรีเฟกต์ทำงานกันเอง และกระทำการล่าช้าโดยเลื่อนนัดรังวัดและไกล่เกลี่ยหลายครั้งตั้งแต่วันยื่นคำร้อง เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการต้องเดินทางมาสำนักงานที่ดินหลายครั้ง โดยมีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ สังกัด ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาติดต่อราชการเพื่อรังวัดสอบเขตที่ดินหลายครั้งเป็นเงิน ๖,๐๐๐ บาท กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายและจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีในข้อหาแรกนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนคำฟ้องข้อหาที่สอง การที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าเหตุที่ไม่อาจรังวัดที่ดินของ ผู้ฟ้องคดีได้สำเร็จเนื่องจากเจ้าของที่ดินข้างเคียง และผู้แทนนายอำเภอกับผู้แทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ คัดค้านการรังวัดสอบเขตว่า ผู้ฟ้องคดีนำรังวัดรุกล้ำที่ดินของตนและถนนสาธารณประโยชน์ โดยมี คำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ คืนที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีโดยการย้ายแนวเขตทางสาธารณะออกจากแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดและให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีคำสั่งให้รื้อบ้านเลขที่ ๑๒๘ ของนางสาว จ. เพื่อคืนพื้นที่ให้แก่ผู้ฟ้องคดี นั้น การกระทำของเจ้าของที่ดินข้างเคียง และผู้แทนนายอำเภอน้ำพอง กับผู้แทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่คัดค้านการรังวัดนำชี้แนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี เป็นการระวังแนวเขตที่ดินอันเนื่องมาจากมีการขอรังวัดสอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามมาตรา ๖๙ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อมิให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดกันรังวัดสอบเขตที่ดินของตนรุกล้ำเข้ามาในแนวเขตที่ดินข้างเคียงหรือที่ดินสาธารณะ แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ในกรณี การคัดค้านการรังวัดที่ดินตามมาตรา ๖๙ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินนี้ ไม่ใช่การใช้อำนาจตามกฎหมาย การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่คัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีว่าที่ดินส่วนพิพาทเป็นที่สาธารณะ จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ทั้งข้อเท็จจริงปรากฏตามสำนวนว่า เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้สอบสวนไกล่เกลี่ยผู้ฟ้องคดีที่ขอรังวัดสอบเขตที่ดินและเจ้าของที่ดินข้างเคียงด้านที่มีการคัดค้านแล้ว แต่ไม่อาจตกลงกันได้ โดยตกลงกันว่าคู่กรณีจะไปใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้พิสูจน์สิทธิในที่ดินต่อไป ตามบันทึกการไกล่เกลี่ย ลงวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมาตรา ๖๙ ทวิ วรรคห้า แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีตามข้อหาที่สองนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างผู้ฟ้องคดีกับเจ้าของที่ดินข้างเคียงและผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่มีหน้าที่ในการดูแลรักษาที่สาธารณะในเขตพื้นที่ตำบลท่ากระเสริม ข้อหาที่สองซึ่งมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า ใครเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากันนี้จึงแยกออกได้จากข้อหาแรกในเรื่องการตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ แม้ผู้ฟ้องคดีจะมีคำขอให้ศาลบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รังวัดสอบเขตที่ดินและ ปักหมุดโฉนดให้ได้พื้นที่ครบตามโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ คืนที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีโดยการย้ายแนวเขตทางสาธารณะออกจากแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีคำสั่งให้รื้อถอนอาคารออกจากแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี ก็เป็นผลต่อเนื่องในการวินิจฉัยกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท และเป็นคำขอที่แสดงให้เห็นเจตนาของผู้ฟ้องคดีที่ใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้รับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตน ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีย่อมนำคำพิพากษาของศาลยุติธรรมไปขอให้เจ้าหน้าที่และบุคคลที่เกี่ยวข้องบังคับให้เป็นไปตามสิทธิของผู้ฟ้องคดีได้ เพราะคำวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า ทั้งนี้ ตามมาตรา ๑๔๕ (๒) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินซึ่งเป็นสิทธิในทางทรัพย์สินของบุคคล เป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ดังนั้น ข้อหาที่สองนี้จึงเป็นข้อพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องสำนักงานที่ดินจังหวัดขอนแก่น สาขาน้ำพอง ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ และองค์การบริหารส่วนตำบลท่ากระเสริม ที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ โดยผู้ฟ้องคดีอ้างเหตุแห่งการฟ้องคดี ๒ ข้อหา ข้อหาแรก ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าการรังวัดสอบเขตที่ดินของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ไม่มีการแจ้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงครบทุกคน ช่างรังวัดไม่ดำเนินการรังวัดด้วยตนเองโดยปล่อยให้คนงานส่องกล้องและถือปริซึมรีเฟกต์ทำงานกันเอง และกระทำการล่าช้าโดยเลื่อนนัดรังวัดและไกล่เกลี่ยหลายครั้งตั้งแต่วันยื่นคำร้อง เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการต้องเดินทางมาสำนักงานที่ดินหลายครั้ง โดยมีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ สังกัด ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาติดต่อราชการเพื่อรังวัดสอบเขตที่ดินหลายครั้งเป็นเงิน ๖,๐๐๐ บาท กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายและจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีในข้อหาแรกนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนคำฟ้องข้อหาที่สอง การที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าเหตุที่ไม่อาจรังวัดที่ดินของ ผู้ฟ้องคดีได้สำเร็จเนื่องจากเจ้าของที่ดินข้างเคียง และผู้แทนนายอำเภอกับผู้แทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ คัดค้านการรังวัดสอบเขตว่า ผู้ฟ้องคดีนำรังวัดรุกล้ำที่ดินของตนและถนนสาธารณประโยชน์ โดยมี คำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ คืนที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีโดยการย้ายแนวเขตทางสาธารณะออกจากแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดและให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีคำสั่งให้รื้อบ้านเลขที่ ๑๒๘ ของนางสาว จ. เพื่อคืนพื้นที่ให้แก่ผู้ฟ้องคดี นั้น การกระทำของเจ้าของที่ดินข้างเคียง และผู้แทนนายอำเภอน้ำพอง กับผู้แทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่คัดค้านการรังวัดนำชี้แนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี เป็นการระวังแนวเขตที่ดินอันเนื่องมาจากมีการขอรังวัดสอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามมาตรา ๖๙ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อมิให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดกันรังวัดสอบเขตที่ดินของตนรุกล้ำเข้ามาในแนวเขตที่ดินข้างเคียงหรือที่ดินสาธารณะ แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ในกรณี การคัดค้านการรังวัดที่ดินตามมาตรา ๖๙ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินนี้ ไม่ใช่การใช้อำนาจตามกฎหมาย การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่คัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีว่าที่ดินส่วนพิพาทเป็นที่สาธารณะ จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ทั้งข้อเท็จจริงปรากฏตามสำนวนว่า เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้สอบสวนไกล่เกลี่ยผู้ฟ้องคดีที่ขอรังวัดสอบเขตที่ดินและเจ้าของที่ดินข้างเคียงด้านที่มีการคัดค้านแล้ว แต่ไม่อาจตกลงกันได้ โดยตกลงกันว่าคู่กรณีจะไปใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้พิสูจน์สิทธิในที่ดินต่อไป ตามบันทึกการไกล่เกลี่ย ลงวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมาตรา ๖๙ ทวิ วรรคห้า แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีตามข้อหาที่สองนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างผู้ฟ้องคดีกับเจ้าของที่ดินข้างเคียงและผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่มีหน้าที่ในการดูแลรักษาที่สาธารณะในเขตพื้นที่ตำบลท่ากระเสริม ข้อหาที่สองซึ่งมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า ใครเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากันนี้จึงแยกออกได้จากข้อหาแรกในเรื่องการตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ แม้ผู้ฟ้องคดีจะมีคำขอให้ศาลบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รังวัดสอบเขตที่ดินและ ปักหมุดโฉนดให้ได้พื้นที่ครบตามโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ คืนที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีโดยการย้ายแนวเขตทางสาธารณะออกจากแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีคำสั่งให้รื้อถอนอาคารออกจากแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี ก็เป็นผลต่อเนื่องในการวินิจฉัยกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท และเป็นคำขอที่แสดงให้เห็นเจตนาของผู้ฟ้องคดีที่ใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้รับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตน ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีย่อมนำคำพิพากษาของศาลยุติธรรมไปขอให้เจ้าหน้าที่และบุคคลที่เกี่ยวข้องบังคับให้เป็นไปตามสิทธิของผู้ฟ้องคดีได้ เพราะคำวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า ทั้งนี้ ตามมาตรา ๑๔๕ (๒) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินซึ่งเป็นสิทธิในทางทรัพย์สินของบุคคล เป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ดังนั้น ข้อหาที่สองนี้จึงเป็นข้อพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) และคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่เอกชน ยื่นฟ้องกรรมการบริหารปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร ที่ ๑ สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ที่ ๒ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกคำสั่งลงโทษทางวินัยไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากการเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตามการชี้มูลความผิดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ฟ้องคดีไม่ได้กระทำผิดอาญาและผิดวินัยร้ายแรง ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีกลับเข้าทำงาน พร้อมทั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดรายได้ เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ เกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งลงโทษไล่ออก โดยเห็นว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดีตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ตามสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงว่า มีมูลความผิดอาญา และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การมหาชนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๙๘ วรรคแรก ที่เป็นกฎหมายพิเศษเกี่ยวกับมาตรการในการปราบปรามการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในทางวินัย คำสั่งลงโทษไล่ออกดังกล่าว จึงมีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ทำให้ผู้ฟ้องคดีต้องสิ้นสุดสถานภาพการเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นการระงับหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายของผู้ฟ้องคดีโดยตรง จึงเป็นคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องโดยมีคำขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ โต้แย้งเขตอำนาจศาลปกครองว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นประเด็นเกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยอันเป็นผลมาจากสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าสถานะของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง การลงโทษทางวินัยผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง ไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญา นอกจากนี้มาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ กำหนดวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ และให้การดำเนินงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี ซึ่งลักษณะดังกล่าวไม่อาจพบได้ในการดำเนินงานของนิติบุคคลเอกชน ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จ้างผู้ฟ้องคดีเข้าทำงานในหน่วยงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างตามกฎหมายเอกชน แต่มีลักษณะเป็นข้อตกลงที่ให้ผู้ฟ้องคดีเข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน เข้าลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ข้อพิพาทตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน หรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
คดีที่เอกชน ยื่นฟ้องกรรมการบริหารปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร ที่ ๑ สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ที่ ๒ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกคำสั่งลงโทษทางวินัยไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากการเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตามการชี้มูลความผิดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ฟ้องคดีไม่ได้กระทำผิดอาญาและผิดวินัยร้ายแรง ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีกลับเข้าทำงาน พร้อมทั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดรายได้ เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ เกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งลงโทษไล่ออก โดยเห็นว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดีตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ตามสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงว่า มีมูลความผิดอาญา และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การมหาชนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๙๘ วรรคแรก ที่เป็นกฎหมายพิเศษเกี่ยวกับมาตรการในการปราบปรามการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในทางวินัย คำสั่งลงโทษไล่ออกดังกล่าว จึงมีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ทำให้ผู้ฟ้องคดีต้องสิ้นสุดสถานภาพการเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นการระงับหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายของผู้ฟ้องคดีโดยตรง จึงเป็นคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องโดยมีคำขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ โต้แย้งเขตอำนาจศาลปกครองว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นประเด็นเกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยอันเป็นผลมาจากสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าสถานะของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นองค์การมหาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง การลงโทษทางวินัยผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง ไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญา นอกจากนี้มาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ กำหนดวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ และให้การดำเนินงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี ซึ่งลักษณะดังกล่าวไม่อาจพบได้ในการดำเนินงานของนิติบุคคลเอกชน ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จ้างผู้ฟ้องคดีเข้าทำงานในหน่วยงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างตามกฎหมายเอกชน แต่มีลักษณะเป็นข้อตกลงที่ให้ผู้ฟ้องคดีเข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อันเป็นนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน เข้าลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ข้อพิพาทตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน หรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๑) อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
คดีพิพาทเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และ (3)
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|