คดีนี้ โจทก์ทั้งแปดเป็นเอกชนยื่นฟ้องโรงเรียนโยธินบูรณะ จำเลย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายจากการที่จำเลยไม่จัดการเรียนการสอนหลักสูตรเคมบริดจ์หรือโครงการนานาชาติ (YBIP : Yothinburana International Program) ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๙ ให้มีคุณภาพตามที่จำเลยโฆษณาไว้ โจทก์ทั้งแปดไม่มั่นใจคุณภาพการให้บริการการศึกษาในหลักสูตรของจำเลยจึงลาออกไปศึกษาที่สถาบันการศึกษาแห่งอื่น ทำให้โจทก์ทั้งแปดเสียหาย เห็นว่า คดีนี้ จำเลยเป็นสถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามมาตรา ๓๔ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารกิจการของสถานศึกษาหรือส่วนราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับของทางราชการและของสถานศึกษาหรือส่วนราชการ รวมทั้งนโยบายและวัตถุประสงค์ของสถานศึกษาหรือส่วนราชการ ประสานการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา ควบคุมดูแลบุคลากร การเงิน การพัสดุ สถานที่ และทรัพย์สินอื่นของสถานศึกษาหรือส่วนราชการ เป็นต้น จำเลยจึงเป็นสถานศึกษาที่ได้รับมอบหมายจากรัฐให้จัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาหรือดำเนินกิจการทางปกครองด้านการเรียนการสอนขั้นพื้นฐานโดยตรง ตามมาตรา ๓๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ถือเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อพิจารณาเหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดจากการที่โจทก์ทั้งแปดกล่าวอ้างว่า จำเลยไม่จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรให้มีคุณภาพตามที่จำเลยโฆษณาไว้ เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งแปดไม่มั่นใจคุณภาพการให้บริการการศึกษาในหลักสูตรของจำเลย จึงได้ลาออกไปศึกษาที่สถาบันการศึกษาแห่งอื่น เมื่อการจัดการศึกษาตามหลักสูตรของจำเลยได้รับจัดสรรงบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งเป็นการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาของรัฐ อันเป็นการใช้อำนาจรัฐจัดทำภารกิจของรัฐในด้านการศึกษาและอยู่ในกำกับดูแลของรัฐ จึงเป็นเรื่องการฟ้องว่าจำเลยละเลยไม่จัดการศึกษาให้มีมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด กรณีตามคำฟ้องจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คดีนี้ โจทก์ทั้งแปดเป็นเอกชนยื่นฟ้องโรงเรียนโยธินบูรณะ จำเลย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายจากการที่จำเลยไม่จัดการเรียนการสอนหลักสูตรเคมบริดจ์หรือโครงการนานาชาติ (YBIP : Yothinburana International Program) ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๙ ให้มีคุณภาพตามที่จำเลยโฆษณาไว้ โจทก์ทั้งแปดไม่มั่นใจคุณภาพการให้บริการการศึกษาในหลักสูตรของจำเลยจึงลาออกไปศึกษาที่สถาบันการศึกษาแห่งอื่น ทำให้โจทก์ทั้งแปดเสียหาย เห็นว่า คดีนี้ จำเลยเป็นสถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามมาตรา ๓๔ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารกิจการของสถานศึกษาหรือส่วนราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับของทางราชการและของสถานศึกษาหรือส่วนราชการ รวมทั้งนโยบายและวัตถุประสงค์ของสถานศึกษาหรือส่วนราชการ ประสานการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา ควบคุมดูแลบุคลากร การเงิน การพัสดุ สถานที่ และทรัพย์สินอื่นของสถานศึกษาหรือส่วนราชการ เป็นต้น จำเลยจึงเป็นสถานศึกษาที่ได้รับมอบหมายจากรัฐให้จัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาหรือดำเนินกิจการทางปกครองด้านการเรียนการสอนขั้นพื้นฐานโดยตรง ตามมาตรา ๓๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ถือเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อพิจารณาเหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดจากการที่โจทก์ทั้งแปดกล่าวอ้างว่า จำเลยไม่จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรให้มีคุณภาพตามที่จำเลยโฆษณาไว้ เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งแปดไม่มั่นใจคุณภาพการให้บริการการศึกษาในหลักสูตรของจำเลย จึงได้ลาออกไปศึกษาที่สถาบันการศึกษาแห่งอื่น เมื่อการจัดการศึกษาตามหลักสูตรของจำเลยได้รับจัดสรรงบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งเป็นการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาของรัฐ อันเป็นการใช้อำนาจรัฐจัดทำภารกิจของรัฐในด้านการศึกษาและอยู่ในกำกับดูแลของรัฐ จึงเป็นเรื่องการฟ้องว่าจำเลยละเลยไม่จัดการศึกษาให้มีมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด กรณีตามคำฟ้องจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
คดีนี้ เอกชนยื่นฟ้องการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ ๑ ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผิดสัญญาเช่าระบบแจ้งเตือนภัยผู้บุกรุกและอัคคีภัยอัตโนมัติ สำหรับ Unmanned Substation กับผู้ฟ้องคดี เมื่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาของสัญญาพิพาท เป็นสัญญาเช่าระบบพร้อมอุปกรณ์แจ้งเตือนภัยผู้บุกรุกและอัคคีภัยอัตโนมัติ สำหรับ Unmanned Substation โดยผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินมีหน้าที่ให้เช่าและติดตั้งระบบแจ้งเตือนภัยที่อาคารควบคุมสถานีไฟฟ้า จำนวน ๒๔ แห่ง และเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิด Workstation และซอฟต์แวร์บริหารจัดการ (Management Software) จำนวน ๑๓ จุด เพื่อติดตั้งศูนย์เฝ้ามองระบบทั้งหมดที่ศูนย์ควบคุมการจ่ายไฟฟ้าเขต ๑ ภาคกลาง และติดตั้งศูนย์เฝ้ามองระบบย่อยที่หน่วยปฏิบัติงานสถานีไฟฟ้า (หน่วย Unman ) จำนวน ๑๒ แห่ง รวมเป็น ๑๓ แห่ง โดยต้องติดตั้งระบบที่เช่าให้ถูกต้องครบถ้วนในลักษณะพร้อมใช้งาน รวมถึงทดสอบระบบการใช้งานและฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของผู้เช่าให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญาและได้รับการส่งมอบพื้นที่จากผู้เช่า กำหนดระยะเวลาเช่า ๓๖ เดือน ตกลงชำระค่าเช่างวดละ ๑ เดือน รวม ๓๖ งวด ดังนั้น ลักษณะของสัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาเช่าทรัพย์สิน โดยผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินและผู้ให้เช่ามีหน้าที่เพียงส่งมอบทรัพย์ซึ่งให้เช่าแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผู้เช่า และฝึกอบรมพนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้ใช้งานระบบที่เช่า โดยบุคคลที่เป็นผู้ดำเนินการใช้งานระบบตลอดระยะเวลาการเช่าเป็นพนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่ใช่ผู้ฟ้องคดี แต่ผู้ฟ้องคดีได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นค่าเช่าทรัพย์สิน ดังนั้น สัญญาดังกล่าวจึงเป็นเพียงสัญญาให้เช่าระบบป้องกันการโจรกรรมทรัพย์สินและอัคคีภัยที่อาคารควบคุมสถานีไฟฟ้าเท่านั้น มิใช่สัญญาที่มีข้อกำหนดให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้เช่าต้องเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ หรือดำเนินการใดในหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในการผลิต จัดให้ได้มา จัดส่งหรือจำหน่ายไฟฟ้า อันจะถือได้ว่าสัญญาที่ให้เอกชนเข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะด้วยกันกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ หรือเป็นสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค เมื่อสัญญาพิพาทไม่เข้าลักษณะหนึ่งลักษณะใดของบทนิยาม "สัญญาทางปกครอง" ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทตามคำฟ้องในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง เป็นแต่เพียงสัญญาทางแพ่งของหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม เมื่อคำฟ้องคดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ฟ้องแย้งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลยุติธรรมด้วย
คดีนี้ เอกชนยื่นฟ้องการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ ๑ ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผิดสัญญาเช่าระบบแจ้งเตือนภัยผู้บุกรุกและอัคคีภัยอัตโนมัติ สำหรับ Unmanned Substation กับผู้ฟ้องคดี เมื่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาของสัญญาพิพาท เป็นสัญญาเช่าระบบพร้อมอุปกรณ์แจ้งเตือนภัยผู้บุกรุกและอัคคีภัยอัตโนมัติ สำหรับ Unmanned Substation โดยผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินมีหน้าที่ให้เช่าและติดตั้งระบบแจ้งเตือนภัยที่อาคารควบคุมสถานีไฟฟ้า จำนวน ๒๔ แห่ง และเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิด Workstation และซอฟต์แวร์บริหารจัดการ (Management Software) จำนวน ๑๓ จุด เพื่อติดตั้งศูนย์เฝ้ามองระบบทั้งหมดที่ศูนย์ควบคุมการจ่ายไฟฟ้าเขต ๑ ภาคกลาง และติดตั้งศูนย์เฝ้ามองระบบย่อยที่หน่วยปฏิบัติงานสถานีไฟฟ้า (หน่วย Unman ) จำนวน ๑๒ แห่ง รวมเป็น ๑๓ แห่ง โดยต้องติดตั้งระบบที่เช่าให้ถูกต้องครบถ้วนในลักษณะพร้อมใช้งาน รวมถึงทดสอบระบบการใช้งานและฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของผู้เช่าให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญาและได้รับการส่งมอบพื้นที่จากผู้เช่า กำหนดระยะเวลาเช่า ๓๖ เดือน ตกลงชำระค่าเช่างวดละ ๑ เดือน รวม ๓๖ งวด ดังนั้น ลักษณะของสัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาเช่าทรัพย์สิน โดยผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินและผู้ให้เช่ามีหน้าที่เพียงส่งมอบทรัพย์ซึ่งให้เช่าแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผู้เช่า และฝึกอบรมพนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้ใช้งานระบบที่เช่า โดยบุคคลที่เป็นผู้ดำเนินการใช้งานระบบตลอดระยะเวลาการเช่าเป็นพนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่ใช่ผู้ฟ้องคดี แต่ผู้ฟ้องคดีได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นค่าเช่าทรัพย์สิน ดังนั้น สัญญาดังกล่าวจึงเป็นเพียงสัญญาให้เช่าระบบป้องกันการโจรกรรมทรัพย์สินและอัคคีภัยที่อาคารควบคุมสถานีไฟฟ้าเท่านั้น มิใช่สัญญาที่มีข้อกำหนดให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้เช่าต้องเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ หรือดำเนินการใดในหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในการผลิต จัดให้ได้มา จัดส่งหรือจำหน่ายไฟฟ้า อันจะถือได้ว่าสัญญาที่ให้เอกชนเข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะด้วยกันกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ หรือเป็นสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค เมื่อสัญญาพิพาทไม่เข้าลักษณะหนึ่งลักษณะใดของบทนิยาม "สัญญาทางปกครอง" ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทตามคำฟ้องในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง เป็นแต่เพียงสัญญาทางแพ่งของหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม เมื่อคำฟ้องคดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ฟ้องแย้งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลยุติธรรมด้วย
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างปรับปรุงซ่อมแซมระบบไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศแม้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่สัญญาดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ตามบทนิยามสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทตามคำฟ้องในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างปรับปรุงซ่อมแซมระบบไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศแม้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่สัญญาดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ตามบทนิยามสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทตามคำฟ้องในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
คดีที่บริษัทเอกชนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ในฐานะตัวแทนหรือผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ในคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้รับเหมาจัดงานกิจกรรมประเพณีบุญบั้งไฟ ซึ่งเดิมจำเลยที่ ๒ ว่าจ้างโจทก์ให้จัดงานประเพณีบุญบั้งไฟตามโครงการส่งเสริมสนับสนุนประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและสืบสานประเพณีบุญบั้งไฟอำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ประจำปีงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ สวนสาธารณะพญาแถน และเขตเทศบาลเมืองยโสธร ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๐๒/๒๕๕๘ และต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้ติดต่อด้วยวาจาให้โจทก์จัดงานประเพณีบุญบั้งไฟในอำเภอต่างๆ ในจังหวัดยโสธร จำนวน ๘ อำเภอ ซึ่งต่อมาโจทก์ได้จัดงานทั้งหมดตามโครงการฯ และส่งมอบงานแล้ว แต่กลับได้รับเงินค่าจ้างเฉพาะการจัดงานที่จัดขึ้น ณ สวนสาธารณะพญาแถน อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร โดยไม่ได้รับเงินค่าจ้างในส่วนงานที่จัดขึ้นใน ๘ อำเภอ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟที่จัดขึ้นใน ๘ อำเภอ พร้อมดอกเบี้ย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญา แต่โดยที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง เท่านั้น กรณีจึงมีปัญหาต้องพิจารณาว่าสัญญาจ้างเหมาจัดงานดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ เห็นว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนกลาง มีฐานะเป็นกระทรวง ตามมาตรา ๗ (๒) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ประกอบมาตรา ๕ (๕) แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ จำเลยที่ ๑ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นข้าราชการในสังกัดของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน และโดยที่มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การกีฬา การศึกษาด้านกีฬา นันทนาการ และราชการอื่นตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อพิจารณาขอบเขตของงานหรือกิจกรรมที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๒ ในฐานะตัวแทนหรือผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ได้ติดต่อด้วยวาจาให้โจทก์จัดงานประเพณีบุญบั้งไฟอีก ๑ โครงการ ระหว่างวันที่ ๑-๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ โดยมีสถานที่จัดงานตามอำเภอต่างๆ ในจังหวัดยโสธร จำนวน ๘ อำเภอ ซึ่งมีเนื้อหาและขอบเขตของงานลักษณะเดียวกับสัญญาจ้างเลขที่ ๐๒/๒๕๕๘ ที่ตกลงกันให้โจทก์รับจ้างเหมาตามโครงการส่งเสริมสนับสนุนประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและสืบสานประเพณีบุญบั้งไฟอำเภอเมืองยโสธรจังหวัดยโสธร ประจำปีงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ สวนสาธารณะพญาแถน และเขตเทศบาลเมืองยโสธร นั้น จะเห็นได้ว่า มีเนื้อหาเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและเผยแพร่ประเพณีบุญบั้งไฟของจังหวัดยโสธรซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของภาคอีสาน อันเป็นการส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดยโสธรซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ การที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๒ ในฐานะตัวแทนจำเลยที่ ๑ ว่าจ้างให้โจทก์ดำเนินการดังกล่าว จึงเป็นการมอบหมายให้โจทก์เข้าร่วมดำเนินกิจการบริการสาธารณะในหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ ซึ่งเป็นสัญญาทางปกครองประเภทหนึ่ง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
คดีที่บริษัทเอกชนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ในฐานะตัวแทนหรือผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ในคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้รับเหมาจัดงานกิจกรรมประเพณีบุญบั้งไฟ ซึ่งเดิมจำเลยที่ ๒ ว่าจ้างโจทก์ให้จัดงานประเพณีบุญบั้งไฟตามโครงการส่งเสริมสนับสนุนประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและสืบสานประเพณีบุญบั้งไฟอำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ประจำปีงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ สวนสาธารณะพญาแถน และเขตเทศบาลเมืองยโสธร ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๐๒/๒๕๕๘ และต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้ติดต่อด้วยวาจาให้โจทก์จัดงานประเพณีบุญบั้งไฟในอำเภอต่างๆ ในจังหวัดยโสธร จำนวน ๘ อำเภอ ซึ่งต่อมาโจทก์ได้จัดงานทั้งหมดตามโครงการฯ และส่งมอบงานแล้ว แต่กลับได้รับเงินค่าจ้างเฉพาะการจัดงานที่จัดขึ้น ณ สวนสาธารณะพญาแถน อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร โดยไม่ได้รับเงินค่าจ้างในส่วนงานที่จัดขึ้นใน ๘ อำเภอ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟที่จัดขึ้นใน ๘ อำเภอ พร้อมดอกเบี้ย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญา แต่โดยที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง เท่านั้น กรณีจึงมีปัญหาต้องพิจารณาว่าสัญญาจ้างเหมาจัดงานดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ เห็นว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนกลาง มีฐานะเป็นกระทรวง ตามมาตรา ๗ (๒) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ประกอบมาตรา ๕ (๕) แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ จำเลยที่ ๑ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นข้าราชการในสังกัดของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน และโดยที่มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การกีฬา การศึกษาด้านกีฬา นันทนาการ และราชการอื่นตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อพิจารณาขอบเขตของงานหรือกิจกรรมที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๒ ในฐานะตัวแทนหรือผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ได้ติดต่อด้วยวาจาให้โจทก์จัดงานประเพณีบุญบั้งไฟอีก ๑ โครงการ ระหว่างวันที่ ๑-๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ โดยมีสถานที่จัดงานตามอำเภอต่างๆ ในจังหวัดยโสธร จำนวน ๘ อำเภอ ซึ่งมีเนื้อหาและขอบเขตของงานลักษณะเดียวกับสัญญาจ้างเลขที่ ๐๒/๒๕๕๘ ที่ตกลงกันให้โจทก์รับจ้างเหมาตามโครงการส่งเสริมสนับสนุนประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและสืบสานประเพณีบุญบั้งไฟอำเภอเมืองยโสธรจังหวัดยโสธร ประจำปีงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ สวนสาธารณะพญาแถน และเขตเทศบาลเมืองยโสธร นั้น จะเห็นได้ว่า มีเนื้อหาเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและเผยแพร่ประเพณีบุญบั้งไฟของจังหวัดยโสธรซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของภาคอีสาน อันเป็นการส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดยโสธรซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ การที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๒ ในฐานะตัวแทนจำเลยที่ ๑ ว่าจ้างให้โจทก์ดำเนินการดังกล่าว จึงเป็นการมอบหมายให้โจทก์เข้าร่วมดำเนินกิจการบริการสาธารณะในหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ ซึ่งเป็นสัญญาทางปกครองประเภทหนึ่ง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารหอพักนักศึกษาและหอพักบุคลากรพร้อมรายการประกอบ ฯ แม้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่สัญญาดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ตามบทนิยามสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทตามคำฟ้อง ในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารหอพักนักศึกษาและหอพักบุคลากรพร้อมรายการประกอบ ฯ แม้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่สัญญาดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ตามบทนิยามสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทตามคำฟ้อง ในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
บทบัญญัติมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มิได้จำกัดเฉพาะคู่ความในคดีเท่านั้นที่จะยื่นคำร้องได้ ทั้งไม่จำต้องเป็นคู่ความเดียวกันที่สลับกันเป็นคู่ความแต่ละฝ่ายในแต่ละศาล เมื่อผู้ร้องอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผลของคำวินิจฉัยที่ศาลต่างระบบรับฟังข้อเท็จจริงที่เป็นการกระทำเดียวกันในข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันขัดแย้งกันผู้ร้องชอบที่จะยื่นคำร้องได้ ส่วนกำหนดเวลาที่ให้ยื่นคำร้องภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาฉบับหลังถึงที่สุด หาใช่อายุความที่จะต้องฟ้องคดีภายในกำหนด แม้ผู้ร้องจะยื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม คณะกรรมการมีอำนาจรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา การที่ศาลแต่ละระบบรับฟังข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันซึ่งอาจแตกต่างกันกระทั่งขัดแย้งกันย่อมทำให้ผลของการปรับข้อเท็จจริงเข้ากับข้อกฎหมายนั้นส่งผลให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของแต่ละศาลขัดแย้งกันไปด้วย การโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแต่ละระบบเป็นเหตุประการหนึ่งที่ผู้ร้องจักแสดงให้เห็นว่ามีความขัดแย้งกันในข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกัน การที่ผู้ร้องอ้างเหตุที่แม้จะเป็นการโต้แย้งการใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ก็มิใช่ข้อจำกัดที่จะเป็นเหตุให้เป็นคำร้องที่ไม่ชอบ
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ได้รับผลกระทบจากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด หมายเลขแดงที่ อ.๔๙๐/๒๕๖๐ ซึ่งขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลอาญา หมายเลขแดงที่ อ. ๗๙๖/๒๕๕๙ (ต่อมาโอนมาเป็นคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง หมายเลขแดงที่ อท. (ผ) ๓๕/๒๕๕๙) ในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน โดยเหตุสืบเนื่องจากการที่สำนักงานศาลยุติธรรมมีคำสั่งลงโทษไล่ผู้ร้องออกจากราชการ ฐานประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามมาตรา ๘๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕การที่ศาลยุติธรรมวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องไม่มีพฤติการณ์เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ตนหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรและไม่ได้เป็นผู้ปลอมเอกสารราชการตามฟ้อง พิพากษายกฟ้องทุกข้อหา คดีถึงที่สุด กับการที่ศาลปกครองกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษไล่ผู้ร้องออกจากราชการทั้งหมด แต่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาว่า คำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรมที่ไล่ผู้ร้อง (ผู้ฟ้องคดี) ออกจากราชการและกระบวนการต่าง ๆ ที่ดำเนินการมาเพื่อลงโทษทางวินัยผู้ร้องทั้งหมดนั้นชอบด้วยกฎหมาย การวินิจฉัยข้อเท็จจริงทั้งในศาลปกครองและในศาลยุติธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำอันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และการกระทำความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การปลอมเอกสาร ฯลฯ ซึ่งต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันนั้นเป็นกรณีที่ศาลปกครองและศาลยุติธรรมวินิจฉัยในข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกัน
ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้ร้องมีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามมาตรา ๘๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ นั้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันนี้ในคำพิพากษาของศาลยุติธรรมฉบับที่ผู้ร้องอ้าง ประกอบกับการที่ผู้ร้องมีคำขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่ได้ทุจริตจากการแก้ไขเอกสารราชการ ตามคำพิพากษาศาลยุติธรรมเพื่อให้ศาลปกครองสูงสุดเพิกถอนคำพิพากษาและยืนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดงที่ ๖๕/๒๕๕๕ อันเป็นกรณีที่ผู้ร้องมุ่งหมายให้ถือตามผลของคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง เมื่อคำพิพากษาศาลปกครองกลางฉบับที่ผู้ร้องขอให้บังคับนั้นมิใช่คำพิพากษาที่ถึงที่สุดตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการไม่รับวินิจฉัย
แม้การรับฟังข้อเท็จจริงกรณีผู้ร้องมีพฤติการณ์อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ผู้ร้องอ้างเป็นเหตุหลักในคำร้องจะเป็นกรณีที่ศาลปกครองและศาลยุติธรรมวินิจฉัยในข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกัน แต่ไม่ว่าคณะกรรมการจะวินิจฉัยให้ในทางใด ผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการในส่วนนี้ก็ไม่มีผลกระทบถึงคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดในส่วนอื่น กรณีไม่เป็นประโยชน์ที่จะวินิจฉัยคำร้องของผู้ร้องว่าจะให้ถือตามคำพิพากษาของศาลใด จำหน่ายคดีจากสารบบความ
บทบัญญัติมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มิได้จำกัดเฉพาะคู่ความในคดีเท่านั้นที่จะยื่นคำร้องได้ ทั้งไม่จำต้องเป็นคู่ความเดียวกันที่สลับกันเป็นคู่ความแต่ละฝ่ายในแต่ละศาล เมื่อผู้ร้องอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผลของคำวินิจฉัยที่ศาลต่างระบบรับฟังข้อเท็จจริงที่เป็นการกระทำเดียวกันในข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันขัดแย้งกันผู้ร้องชอบที่จะยื่นคำร้องได้ ส่วนกำหนดเวลาที่ให้ยื่นคำร้องภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาฉบับหลังถึงที่สุด หาใช่อายุความที่จะต้องฟ้องคดีภายในกำหนด แม้ผู้ร้องจะยื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม คณะกรรมการมีอำนาจรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา การที่ศาลแต่ละระบบรับฟังข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันซึ่งอาจแตกต่างกันกระทั่งขัดแย้งกันย่อมทำให้ผลของการปรับข้อเท็จจริงเข้ากับข้อกฎหมายนั้นส่งผลให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของแต่ละศาลขัดแย้งกันไปด้วย การโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแต่ละระบบเป็นเหตุประการหนึ่งที่ผู้ร้องจักแสดงให้เห็นว่ามีความขัดแย้งกันในข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกัน การที่ผู้ร้องอ้างเหตุที่แม้จะเป็นการโต้แย้งการใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ก็มิใช่ข้อจำกัดที่จะเป็นเหตุให้เป็นคำร้องที่ไม่ชอบ
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ได้รับผลกระทบจากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด หมายเลขแดงที่ อ.๔๙๐/๒๕๖๐ ซึ่งขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลอาญา หมายเลขแดงที่ อ. ๗๙๖/๒๕๕๙ (ต่อมาโอนมาเป็นคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง หมายเลขแดงที่ อท. (ผ) ๓๕/๒๕๕๙) ในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน โดยเหตุสืบเนื่องจากการที่สำนักงานศาลยุติธรรมมีคำสั่งลงโทษไล่ผู้ร้องออกจากราชการ ฐานประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามมาตรา ๘๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕การที่ศาลยุติธรรมวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องไม่มีพฤติการณ์เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ตนหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรและไม่ได้เป็นผู้ปลอมเอกสารราชการตามฟ้อง พิพากษายกฟ้องทุกข้อหา คดีถึงที่สุด กับการที่ศาลปกครองกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษไล่ผู้ร้องออกจากราชการทั้งหมด แต่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาว่า คำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรมที่ไล่ผู้ร้อง (ผู้ฟ้องคดี) ออกจากราชการและกระบวนการต่าง ๆ ที่ดำเนินการมาเพื่อลงโทษทางวินัยผู้ร้องทั้งหมดนั้นชอบด้วยกฎหมาย การวินิจฉัยข้อเท็จจริงทั้งในศาลปกครองและในศาลยุติธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำอันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และการกระทำความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การปลอมเอกสาร ฯลฯ ซึ่งต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันนั้นเป็นกรณีที่ศาลปกครองและศาลยุติธรรมวินิจฉัยในข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกัน
ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้ร้องมีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามมาตรา ๘๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ นั้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกันนี้ในคำพิพากษาของศาลยุติธรรมฉบับที่ผู้ร้องอ้าง ประกอบกับการที่ผู้ร้องมีคำขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่ได้ทุจริตจากการแก้ไขเอกสารราชการ ตามคำพิพากษาศาลยุติธรรมเพื่อให้ศาลปกครองสูงสุดเพิกถอนคำพิพากษาและยืนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดงที่ ๖๕/๒๕๕๕ อันเป็นกรณีที่ผู้ร้องมุ่งหมายให้ถือตามผลของคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง เมื่อคำพิพากษาศาลปกครองกลางฉบับที่ผู้ร้องขอให้บังคับนั้นมิใช่คำพิพากษาที่ถึงที่สุดตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการไม่รับวินิจฉัย
แม้การรับฟังข้อเท็จจริงกรณีผู้ร้องมีพฤติการณ์อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการตามมาตรา ๘๒ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ผู้ร้องอ้างเป็นเหตุหลักในคำร้องจะเป็นกรณีที่ศาลปกครองและศาลยุติธรรมวินิจฉัยในข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องเดียวกัน แต่ไม่ว่าคณะกรรมการจะวินิจฉัยให้ในทางใด ผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการในส่วนนี้ก็ไม่มีผลกระทบถึงคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดในส่วนอื่น กรณีไม่เป็นประโยชน์ที่จะวินิจฉัยคำร้องของผู้ร้องว่าจะให้ถือตามคำพิพากษาของศาลใด จำหน่ายคดีจากสารบบความ
คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นนายทหารสัญญาบัตรประจำการ อันเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๖ (๑) กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๓, ๑๗๔ ซึ่งเป็นการบรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิดได้กระทำความผิดอาญา คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ส่วนที่จำเลยโต้แย้งเขตอำนาจศาลทหารว่า คดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่พนักงานอัยการฟ้อง นาย ก. ต่อศาลจังหวัดฝาง จึงไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามมาตรา ๑๔ (๒) นั้น เห็นว่า คดีของศาลจังหวัดฝาง เป็นเรื่องที่จำเลยร้องทุกข์กล่าวโทษนาย ก. ต่อพนักงานสอบสวน ต่อมาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนาย ก. ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ทำให้เสียทรัพย์ และทำให้ผู้อื่นตกใจกลัวโดยการขู่เข็ญ ศาลจังหวัดฝางพิพากษายกฟ้อง ส่วนคดีของศาลมณฑลทหารบกที่ ๓๓ นี้ เป็นเรื่องที่นาย ก. ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยว่าจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานว่านาย ก. ชกต่อยทำร้ายร่างกายจำเลยจนได้รับบาดเจ็บแก่กายและจิตใจ ซึ่งอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ ๓๓ ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ แม้จำเลยกับนาย ก. ต่างสลับกันเป็นจำเลยในคดีทั้งสอง แต่การกระทำตามคำฟ้องในคดีทั้งสองเป็นการกระทำต่างกรรม ต่างวาระกัน ฐานความผิด วันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ แตกต่างกัน ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงไม่ใช่คดีที่เกี่ยวพันกับคดีอาญาที่นาย ก. ถูกจำเลยแจ้งความและพนักงานอัยการยื่นฟ้องนาย ก. ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ทำให้เสียทรัพย์ และทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว โดยการขู่เข็ญต่อศาลจังหวัดฝาง เป็นแต่เพียงคดีที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยที่ทำให้เกิดคดี ที่ศาลจังหวัดฝางเท่านั้น เมื่อคดีนี้มิใช่คดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลพลเรือน ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ มาตรา ๑๔ (๒) ที่จะเป็นข้อยกเว้นเขตอำนาจของศาลทหาร จึงเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลทหารตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นนายทหารสัญญาบัตรประจำการ อันเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๖ (๑) กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๓, ๑๗๔ ซึ่งเป็นการบรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิดได้กระทำความผิดอาญา คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ส่วนที่จำเลยโต้แย้งเขตอำนาจศาลทหารว่า คดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่พนักงานอัยการฟ้อง นาย ก. ต่อศาลจังหวัดฝาง จึงไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามมาตรา ๑๔ (๒) นั้น เห็นว่า คดีของศาลจังหวัดฝาง เป็นเรื่องที่จำเลยร้องทุกข์กล่าวโทษนาย ก. ต่อพนักงานสอบสวน ต่อมาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนาย ก. ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ทำให้เสียทรัพย์ และทำให้ผู้อื่นตกใจกลัวโดยการขู่เข็ญ ศาลจังหวัดฝางพิพากษายกฟ้อง ส่วนคดีของศาลมณฑลทหารบกที่ ๓๓ นี้ เป็นเรื่องที่นาย ก. ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยว่าจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานว่านาย ก. ชกต่อยทำร้ายร่างกายจำเลยจนได้รับบาดเจ็บแก่กายและจิตใจ ซึ่งอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ ๓๓ ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ แม้จำเลยกับนาย ก. ต่างสลับกันเป็นจำเลยในคดีทั้งสอง แต่การกระทำตามคำฟ้องในคดีทั้งสองเป็นการกระทำต่างกรรม ต่างวาระกัน ฐานความผิด วันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ แตกต่างกัน ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงไม่ใช่คดีที่เกี่ยวพันกับคดีอาญาที่นาย ก. ถูกจำเลยแจ้งความและพนักงานอัยการยื่นฟ้องนาย ก. ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ทำให้เสียทรัพย์ และทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว โดยการขู่เข็ญต่อศาลจังหวัดฝาง เป็นแต่เพียงคดีที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยที่ทำให้เกิดคดี ที่ศาลจังหวัดฝางเท่านั้น เมื่อคดีนี้มิใช่คดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลพลเรือน ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ มาตรา ๑๔ (๒) ที่จะเป็นข้อยกเว้นเขตอำนาจของศาลทหาร จึงเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลทหารตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
คดีพิพาทเกี่ยวกับพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 14 (2)
คดีนี้ โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้อง องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ที่ ๑ ผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ที่ ๒ นาย ม. ที่ ๓ นาย ป. ที่ ๔ จำเลย จากการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าคลังสินค้าหลังที่ ๑ และหลังที่ ๒ และสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาเช่าคลังสินค้า เพื่อใช้เก็บรักษาข้าวสารที่สีแปรสภาพจากข้าวเปลือกที่จำเลยที่ ๑ สั่งให้โรงสีส่งมอบตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต ๒๕๕๖ และสัญญาจ้างเหมาโจทก์ขนย้ายข้าวสารโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖ เก็บในคลังสินค้า แต่จำเลยที่ ๑ ค้างชำระค่าเช่าบางส่วน ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินค่าเช่าคลังสินค้าพร้อมดอกเบี้ย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาเช่าคลังสินค้าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ แต่โดยที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองเท่านั้น กรณีมีปัญหาต้องพิจารณาว่า สัญญาเช่าคลังสินค้าพิพาทเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ เห็นว่า มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน บัญญัติให้สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แม้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลและเป็นรัฐวิสาหกิจจัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๑๗ และพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ อันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงวัตถุประสงค์และลักษณะของสัญญาเช่าคลังสินค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แล้ว มีวัตถุประสงค์เพียงกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่ส่งมอบคลังสินค้าพร้อมทั้งจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก โดยให้เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ สามารถใช้งานได้ตลอดเวลาที่ปฏิบัติงาน กับกำหนดความรับผิดของโจทก์ในกรณีข้าวสารหรือกระสอบบรรจุข้าวสารเสื่อมคุณภาพเสียหายอันเกิดจากสถานที่เช่าไม่เหมาะสมกับการเก็บรักษาเท่านั้น สัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาทางแพ่ง ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีพิพาทตามสัญญาดังกล่าวจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงตามคำให้การของจำเลยทั้งสี่ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๑ ตามมูลค่าข้าวสารค้างส่งมอบและค่าปรับตามสัญญาฝากเก็บ แปรสภาพ และจัดจำหน่ายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ อันเนื่องมาจากโจทก์ไม่สามารถส่งข้าวสารตามคำสั่งแปรสภาพเข้าคลังสินค้าภายในระยะเวลาตามที่กำหนด เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ ได้รับความเสียหาย โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลางก็ตาม แต่ประเด็นแห่งคดีเป็นการฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญาฝากเก็บ แปรสภาพ และจัดจำหน่ายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการฝากเก็บ การแปรสภาพและการจัดจำหน่ายข้าวอันเป็นสัญญาคนละประเภทกับคดีพิพาทนี้ และเมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าสัญญาพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสี่เป็นสัญญาทางแพ่ง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้อง องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ที่ ๑ ผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ที่ ๒ นาย ม. ที่ ๓ นาย ป. ที่ ๔ จำเลย จากการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าคลังสินค้าหลังที่ ๑ และหลังที่ ๒ และสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาเช่าคลังสินค้า เพื่อใช้เก็บรักษาข้าวสารที่สีแปรสภาพจากข้าวเปลือกที่จำเลยที่ ๑ สั่งให้โรงสีส่งมอบตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต ๒๕๕๖ และสัญญาจ้างเหมาโจทก์ขนย้ายข้าวสารโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖ เก็บในคลังสินค้า แต่จำเลยที่ ๑ ค้างชำระค่าเช่าบางส่วน ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินค่าเช่าคลังสินค้าพร้อมดอกเบี้ย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาเช่าคลังสินค้าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ แต่โดยที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองเท่านั้น กรณีมีปัญหาต้องพิจารณาว่า สัญญาเช่าคลังสินค้าพิพาทเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ เห็นว่า มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน บัญญัติให้สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แม้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลและเป็นรัฐวิสาหกิจจัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๑๗ และพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ อันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงวัตถุประสงค์และลักษณะของสัญญาเช่าคลังสินค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แล้ว มีวัตถุประสงค์เพียงกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่ส่งมอบคลังสินค้าพร้อมทั้งจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก โดยให้เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ สามารถใช้งานได้ตลอดเวลาที่ปฏิบัติงาน กับกำหนดความรับผิดของโจทก์ในกรณีข้าวสารหรือกระสอบบรรจุข้าวสารเสื่อมคุณภาพเสียหายอันเกิดจากสถานที่เช่าไม่เหมาะสมกับการเก็บรักษาเท่านั้น สัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาทางแพ่ง ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีพิพาทตามสัญญาดังกล่าวจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงตามคำให้การของจำเลยทั้งสี่ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๑ ตามมูลค่าข้าวสารค้างส่งมอบและค่าปรับตามสัญญาฝากเก็บ แปรสภาพ และจัดจำหน่ายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ อันเนื่องมาจากโจทก์ไม่สามารถส่งข้าวสารตามคำสั่งแปรสภาพเข้าคลังสินค้าภายในระยะเวลาตามที่กำหนด เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ ได้รับความเสียหาย โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลางก็ตาม แต่ประเด็นแห่งคดีเป็นการฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญาฝากเก็บ แปรสภาพ และจัดจำหน่ายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการฝากเก็บ การแปรสภาพและการจัดจำหน่ายข้าวอันเป็นสัญญาคนละประเภทกับคดีพิพาทนี้ และเมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าสัญญาพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสี่เป็นสัญญาทางแพ่ง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
คดีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านไทร ที่๑ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านไทร ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุรินทร์ สาขาปราสาทที่ ๓ผู้ถูกฟ้องคดี ระหว่างพิจารณาศาลปกครองนครราชสีมามีคำสั่งเรียกนายอำเภอปราสาทเข้ามาเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ สรุปคำฟ้องได้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิซึ่งติดกับหนองทนงหรือหนองต่วน (หนองน้ำสาธารณะ) แต่เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑นำป้ายประกาศที่สาธารณะประจำหมู่บ้านหนองทนง หมู่ที่ ๒ และป้ายประกาศห้ามบุกรุกที่ดินไปปักไว้ในที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดครอบครอง นำดินไปถมในที่ดินรื้อรั้วลวดหนามของผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดและขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ รังวัดที่ดินเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดไม่สามารถทําประโยชน์ในที่ดินได้ ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีที่๒ ระงับการถมดินและปรับสภาพที่ดินให้เป็นดังเดิม ให้ระงับการรังวัดที่ดินพิพาท และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงบริเวณที่ดินพิพาทชอบด้วยกฎหมาย และการถมดินที่ดินพิพาทเพื่อทำสนามฟุตบอลชั่วคราวสำหรับประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดไม่ได้รับความเสียหาย เห็นว่า แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ถึงที่ ๔ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดกล่าวอ้างว่า ผู้แทนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑นำป้ายประกาศที่สาธารณะประจำหมู่บ้านหนองทนง หมู่ที่ ๒ และป้ายประกาศห้ามบุกรุกที่ดินไปปักแสดงไว้ในที่ดินพิพาท นำดินถมในที่ดินพิพาทรื้อรั้วลวดหนามของผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดและนำรังวัดเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่ดินพิพาท ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดอ้างว่าเป็นที่ดินที่ตนมีสิทธิครอบครองโดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกันอันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ด แต่หากที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จะเป็นผลให้การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่เป็นละเมิด ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า การที่ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านไทร ที่๑ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านไทร ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุรินทร์ สาขาปราสาทที่ ๓ผู้ถูกฟ้องคดี ระหว่างพิจารณาศาลปกครองนครราชสีมามีคำสั่งเรียกนายอำเภอปราสาทเข้ามาเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ สรุปคำฟ้องได้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิซึ่งติดกับหนองทนงหรือหนองต่วน (หนองน้ำสาธารณะ) แต่เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑นำป้ายประกาศที่สาธารณะประจำหมู่บ้านหนองทนง หมู่ที่ ๒ และป้ายประกาศห้ามบุกรุกที่ดินไปปักไว้ในที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดครอบครอง นำดินไปถมในที่ดินรื้อรั้วลวดหนามของผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดและขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ รังวัดที่ดินเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดไม่สามารถทําประโยชน์ในที่ดินได้ ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องคดีที่๒ ระงับการถมดินและปรับสภาพที่ดินให้เป็นดังเดิม ให้ระงับการรังวัดที่ดินพิพาท และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงบริเวณที่ดินพิพาทชอบด้วยกฎหมาย และการถมดินที่ดินพิพาทเพื่อทำสนามฟุตบอลชั่วคราวสำหรับประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดไม่ได้รับความเสียหาย เห็นว่า แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ถึงที่ ๔ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดกล่าวอ้างว่า ผู้แทนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑นำป้ายประกาศที่สาธารณะประจำหมู่บ้านหนองทนง หมู่ที่ ๒ และป้ายประกาศห้ามบุกรุกที่ดินไปปักแสดงไว้ในที่ดินพิพาท นำดินถมในที่ดินพิพาทรื้อรั้วลวดหนามของผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดและนำรังวัดเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่ดินพิพาท ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดอ้างว่าเป็นที่ดินที่ตนมีสิทธิครอบครองโดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกันอันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ด แต่หากที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จะเป็นผลให้การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่เป็นละเมิด ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า การที่ผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมทรัพยากรน้ำ ที่ ๑ สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค ๓ ที่ ๒ องค์การบริหารส่วนตำบลนางัว ที่ ๓ บริษัท ส. ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๙๓๗ ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๙๓๙ และเลขที่ ๑๙๔๐ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ไถขุดที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เพื่อก่อสร้างอ่างเก็บน้ำตามโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองแข้ใหญ่โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่เคยอุทิศที่ดินดังกล่าวให้เป็นที่สาธารณประโยชน์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๙๓๗ เป็นของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๙๓๙ และเลขที่ ๑๙๔๐ เป็นของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ปรับสภาพที่ดินทั้งสามแปลงให้กลับสู่สภาพเดิม หากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าทดแทนพร้อมดอกเบี้ย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่า ที่ดินพิพาทมีสภาพเป็นน้ำที่เป็นส่วนหนึ่งของแหล่งน้ำแข้ใหญ่ และที่ดินริมแหล่งน้ำหนองแข้ใหญ่ซึ่งเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันและสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน การดำเนินการโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองแข้ใหญ่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้การว่า สภาพพื้นที่ก่อนการก่อสร้างเป็นหนองน้ำสาธารณะขนาดใหญ่ ไม่ได้ก่อสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เห็นว่า แม้กรมทรัพยากรน้ำ ที่ ๑ สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค ๓ ที่ ๒ องค์การบริหารส่วนตำบลนางัว ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำตามโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองแข้ใหญ่รุกล้ำที่ดิน (น.ส. ๓ ก.) ของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำมีสภาพเป็นหนองน้ำสาธารณะซึ่งเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์จึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่กระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีทั้งสองกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่กระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสอง แต่หากที่ดินพิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะซึ่งเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่มีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมทรัพยากรน้ำ ที่ ๑ สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค ๓ ที่ ๒ องค์การบริหารส่วนตำบลนางัว ที่ ๓ บริษัท ส. ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๙๓๗ ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๙๓๙ และเลขที่ ๑๙๔๐ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ไถขุดที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เพื่อก่อสร้างอ่างเก็บน้ำตามโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองแข้ใหญ่โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่เคยอุทิศที่ดินดังกล่าวให้เป็นที่สาธารณประโยชน์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๙๓๗ เป็นของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๙๓๙ และเลขที่ ๑๙๔๐ เป็นของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ปรับสภาพที่ดินทั้งสามแปลงให้กลับสู่สภาพเดิม หากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าทดแทนพร้อมดอกเบี้ย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่า ที่ดินพิพาทมีสภาพเป็นน้ำที่เป็นส่วนหนึ่งของแหล่งน้ำแข้ใหญ่ และที่ดินริมแหล่งน้ำหนองแข้ใหญ่ซึ่งเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันและสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน การดำเนินการโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองแข้ใหญ่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้การว่า สภาพพื้นที่ก่อนการก่อสร้างเป็นหนองน้ำสาธารณะขนาดใหญ่ ไม่ได้ก่อสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เห็นว่า แม้กรมทรัพยากรน้ำ ที่ ๑ สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค ๓ ที่ ๒ องค์การบริหารส่วนตำบลนางัว ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำตามโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองแข้ใหญ่รุกล้ำที่ดิน (น.ส. ๓ ก.) ของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำมีสภาพเป็นหนองน้ำสาธารณะซึ่งเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์จึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่กระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีทั้งสองกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่กระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสอง แต่หากที่ดินพิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะซึ่งเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่มีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้อง กรมที่ดิน จำเลย อ้างว่า โจทก์นำคำพิพากษาคดีถึงที่สุดของศาลฎีกาไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดจำเลย เพื่อให้ดำเนินการตามคำพิพากษาศาลฎีกา แต่เจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ให้คำแนะนำแก่โจทก์ผิดพลาดด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถขายที่ดินดังกล่าวได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ส่วนจำเลยให้การว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนของโจทก์ ข้อความที่เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งต่อโจทก์เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวที่ไม่มีสภาพบังคับตามกฎหมายและไม่มีผลผูกพันจำเลย จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้ (๓) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น... คดีนี้แม้จำเลยจะมีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นหน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยอ้างว่า เจ้าหน้าที่ของจำเลยกระทำละเมิดให้คำแนะนำแก่โจทก์ผิดพลาดด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถขายที่ดินให้แก่ผู้อื่นได้ โดยคดีพิพาทเป็นเพียงการให้คำแนะนำซึ่งเป็นความเห็นของเจ้าหน้าที่ของจำเลยเท่านั้น มิใช่เป็นการวินิจฉัยสั่งการตามกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ที่จะถือว่าเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และมิใช่กรณีที่จำเลยใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ หรือคำสั่งอื่น เพื่อให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด คดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทจากการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น ที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามนัยมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้อง กรมที่ดิน จำเลย อ้างว่า โจทก์นำคำพิพากษาคดีถึงที่สุดของศาลฎีกาไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดจำเลย เพื่อให้ดำเนินการตามคำพิพากษาศาลฎีกา แต่เจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ให้คำแนะนำแก่โจทก์ผิดพลาดด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถขายที่ดินดังกล่าวได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ส่วนจำเลยให้การว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนของโจทก์ ข้อความที่เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งต่อโจทก์เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวที่ไม่มีสภาพบังคับตามกฎหมายและไม่มีผลผูกพันจำเลย จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้ (๓) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น... คดีนี้แม้จำเลยจะมีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นหน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยอ้างว่า เจ้าหน้าที่ของจำเลยกระทำละเมิดให้คำแนะนำแก่โจทก์ผิดพลาดด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถขายที่ดินให้แก่ผู้อื่นได้ โดยคดีพิพาทเป็นเพียงการให้คำแนะนำซึ่งเป็นความเห็นของเจ้าหน้าที่ของจำเลยเท่านั้น มิใช่เป็นการวินิจฉัยสั่งการตามกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ที่จะถือว่าเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และมิใช่กรณีที่จำเลยใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ หรือคำสั่งอื่น เพื่อให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด คดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทจากการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น ที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามนัยมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
คดีที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องเทศบาลตำบลจอหอ ที่ ๑ นายกเทศมนตรีตำบลจอหอ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ได้รับความเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองก่อสร้างท่อเหลี่ยมพร้อมถนนคอนกรีตเสริมเหล็กรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโฉนดที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกและทำให้ทรัพย์สินบนที่ดินแปลงดังกล่าวได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองคืนพื้นที่ในส่วนที่ได้บุกรุก ก่อสร้างกำแพงตามแนวเขตเดิม และชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า การก่อสร้างท่อเหลี่ยมพร้อมถนนตามโครงการก่อสร้างปรับปรุงคลองระบายน้ำดาดคอนกรีตของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่ได้รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี เจ้าของที่ดินติดลำเหมืองสาธารณประโยชน์ได้ยินยอมยกที่ดินของตนบางส่วนเพื่อกันแนวเขตที่ดินของตนตลอดแนวพื้นที่โครงการถือว่าลำเหมืองได้มีสภาพเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกันมาตั้งแต่วันที่ได้แสดงเจตนายกให้เป็นที่สาธารณะแล้ว ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองหรือผู้รับจ้างตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้าง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จะมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครองและผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อพิพาทในคดีนี้คู่กรณีโต้แย้งกันว่าที่ดินบริเวณพิพาทที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ก่อสร้างท่อเหลี่ยมพร้อมถนนคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินที่ประชาชนอุทิศให้เป็นที่สาธารณะและตกเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแล้ว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ส่วนปัญหาว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีและจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาท ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องเทศบาลตำบลจอหอ ที่ ๑ นายกเทศมนตรีตำบลจอหอ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ได้รับความเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองก่อสร้างท่อเหลี่ยมพร้อมถนนคอนกรีตเสริมเหล็กรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโฉนดที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกและทำให้ทรัพย์สินบนที่ดินแปลงดังกล่าวได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองคืนพื้นที่ในส่วนที่ได้บุกรุก ก่อสร้างกำแพงตามแนวเขตเดิม และชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า การก่อสร้างท่อเหลี่ยมพร้อมถนนตามโครงการก่อสร้างปรับปรุงคลองระบายน้ำดาดคอนกรีตของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่ได้รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี เจ้าของที่ดินติดลำเหมืองสาธารณประโยชน์ได้ยินยอมยกที่ดินของตนบางส่วนเพื่อกันแนวเขตที่ดินของตนตลอดแนวพื้นที่โครงการถือว่าลำเหมืองได้มีสภาพเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกันมาตั้งแต่วันที่ได้แสดงเจตนายกให้เป็นที่สาธารณะแล้ว ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองหรือผู้รับจ้างตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้าง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จะมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครองและผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อพิพาทในคดีนี้คู่กรณีโต้แย้งกันว่าที่ดินบริเวณพิพาทที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ก่อสร้างท่อเหลี่ยมพร้อมถนนคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินที่ประชาชนอุทิศให้เป็นที่สาธารณะและตกเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแล้ว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ส่วนปัญหาว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีและจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาท ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า ผู้ฟ้องคดีไม่มีหลักฐานในการแสดงสิทธิยืนยันการครอบครองที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้รังวัดที่ดินพิพาทโดยที่ดินข้างเคียงรับรองแนวเขตไม่ครบ ที่ดินแปลงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์มีเนื้อที่ตามการสำรวจ ๒๖ ไร่ แต่หลักเขตเก่าแปลงข้างเคียงสูญหาย ๒๕ หลัก เนื่องจากมีผู้บุกรุกและคัดค้านการรังวัดจึงได้น้อยกว่าเดิม ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๔ ได้ปฏิบัติหน้าที่ ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าขอให้ศาลเพิกถอนการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์ โดยอ้างเหตุผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ รังวัดรุกล้ำที่ดินซึ่งผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองทั้งแปลงอันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทว่าผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่อยู่ในความดูแลของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๕ โดยมิได้อ้างเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมายประการอื่น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ ส่วนคำขอให้เพิกถอนการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์เป็นผลต่อเนื่องในการวินิจฉัยเรื่องสิทธิในที่ดินพิพาทเท่านั้น ข้อพิพาทในคดีนี้ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า ผู้ฟ้องคดีไม่มีหลักฐานในการแสดงสิทธิยืนยันการครอบครองที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้รังวัดที่ดินพิพาทโดยที่ดินข้างเคียงรับรองแนวเขตไม่ครบ ที่ดินแปลงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์มีเนื้อที่ตามการสำรวจ ๒๖ ไร่ แต่หลักเขตเก่าแปลงข้างเคียงสูญหาย ๒๕ หลัก เนื่องจากมีผู้บุกรุกและคัดค้านการรังวัดจึงได้น้อยกว่าเดิม ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๔ ได้ปฏิบัติหน้าที่ ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าขอให้ศาลเพิกถอนการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์ โดยอ้างเหตุผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ รังวัดรุกล้ำที่ดินซึ่งผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองทั้งแปลงอันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทว่าผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่อยู่ในความดูแลของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๕ โดยมิได้อ้างเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมายประการอื่น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ ส่วนคำขอให้เพิกถอนการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์เป็นผลต่อเนื่องในการวินิจฉัยเรื่องสิทธิในที่ดินพิพาทเท่านั้น ข้อพิพาทในคดีนี้ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า ผู้ฟ้องคดีไม่มีหลักฐานในการแสดงสิทธิยืนยันการครอบครองที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้รังวัดที่ดินพิพาทโดยที่ดินข้างเคียงรับรองแนวเขตไม่ครบ ที่ดินแปลงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์มีเนื้อที่ตามการสำรวจ ๒๖ ไร่ แต่หลักเขตเก่าแปลงข้างเคียงสูญหาย ๒๕ หลัก เนื่องจากมีผู้บุกรุกและคัดค้านการรังวัดจึงได้น้อยกว่าเดิม ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๔ ได้ปฏิบัติหน้าที่ ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าขอให้ศาลเพิกถอนการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์ โดยอ้างเหตุผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ รังวัดรุกล้ำที่ดินซึ่งผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองทั้งแปลงอันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทว่าผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่อยู่ในความดูแลของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๕ โดยมิได้อ้างเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมายประการอื่น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ ส่วนคำขอให้เพิกถอนการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์เป็นผลต่อเนื่องในการวินิจฉัยเรื่องสิทธิในที่ดินพิพาทเท่านั้น ข้อพิพาทในคดีนี้ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า ผู้ฟ้องคดีไม่มีหลักฐานในการแสดงสิทธิยืนยันการครอบครองที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้รังวัดที่ดินพิพาทโดยที่ดินข้างเคียงรับรองแนวเขตไม่ครบ ที่ดินแปลงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์มีเนื้อที่ตามการสำรวจ ๒๖ ไร่ แต่หลักเขตเก่าแปลงข้างเคียงสูญหาย ๒๕ หลัก เนื่องจากมีผู้บุกรุกและคัดค้านการรังวัดจึงได้น้อยกว่าเดิม ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๔ ได้ปฏิบัติหน้าที่ ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าขอให้ศาลเพิกถอนการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์ โดยอ้างเหตุผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ รังวัดรุกล้ำที่ดินซึ่งผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองทั้งแปลงอันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทว่าผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่อยู่ในความดูแลของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๕ โดยมิได้อ้างเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมายประการอื่น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ ส่วนคำขอให้เพิกถอนการรังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดอนปู่ตาสาธารณประโยชน์เป็นผลต่อเนื่องในการวินิจฉัยเรื่องสิทธิในที่ดินพิพาทเท่านั้น ข้อพิพาทในคดีนี้ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดเป็นเอกชนยื่นฟ้องมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น จำเลย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าเสียหายจากการที่จำเลยไม่ส่งชื่อโจทก์ทั้งสิบเอ็ดให้แก่คุรุสภาเพื่อประกอบการขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของโจทก์ทั้งสิบเอ็ด และไม่จัดการเรียนการสอนให้เป็นไปตามประกาศ ข้อบังคับและหลักเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และคุรุสภา เป็นเหตุให้คุรุสภาไม่ให้การรับรองหลักสูตรดังกล่าว ทำให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่สามารถขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษาจากคุรุสภาได้ เห็นว่า คดีนี้ จำเลยเป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชน มีวัตถุประสงค์ในการให้การศึกษา ส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพชั้นสูงทำการสอน ทำการวิจัย ให้บริการทางวิชาการแก่สังคม และทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ จำเลยจึงเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐให้จัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๖ จำเลยจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อพิจารณาเหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดจากการที่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดกล่าวอ้างว่า จำเลยไม่จัดการศึกษาตามหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต หลักสูตรปรับปรุง ๒๕๕๕ สาขาวิชาการบริหารการศึกษาให้เป็นไปตามประกาศ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และคุรุสภา เป็นเหตุให้คุรุสภาไม่ให้การรับรองหลักสูตรดังกล่าว ทำให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่สามารถขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษาจากคุรุสภาได้ เมื่อการจัดการศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา (ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๕๕) เป็นการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาของรัฐ อันเป็นการใช้อำนาจรัฐจัดทำภารกิจของรัฐในด้านการศึกษาและอยู่ในกำกับดูแลของรัฐ จึงเป็นเรื่องการฟ้องว่าจำเลยละเลยไม่จัดการศึกษาให้มีมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด กรณีตามคำฟ้องจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คดีที่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดเป็นเอกชนยื่นฟ้องมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น จำเลย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าเสียหายจากการที่จำเลยไม่ส่งชื่อโจทก์ทั้งสิบเอ็ดให้แก่คุรุสภาเพื่อประกอบการขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของโจทก์ทั้งสิบเอ็ด และไม่จัดการเรียนการสอนให้เป็นไปตามประกาศ ข้อบังคับและหลักเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และคุรุสภา เป็นเหตุให้คุรุสภาไม่ให้การรับรองหลักสูตรดังกล่าว ทำให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่สามารถขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษาจากคุรุสภาได้ เห็นว่า คดีนี้ จำเลยเป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชน มีวัตถุประสงค์ในการให้การศึกษา ส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพชั้นสูงทำการสอน ทำการวิจัย ให้บริการทางวิชาการแก่สังคม และทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ จำเลยจึงเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐให้จัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๖ จำเลยจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อพิจารณาเหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดจากการที่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดกล่าวอ้างว่า จำเลยไม่จัดการศึกษาตามหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต หลักสูตรปรับปรุง ๒๕๕๕ สาขาวิชาการบริหารการศึกษาให้เป็นไปตามประกาศ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และคุรุสภา เป็นเหตุให้คุรุสภาไม่ให้การรับรองหลักสูตรดังกล่าว ทำให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่สามารถขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษาจากคุรุสภาได้ เมื่อการจัดการศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา (ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๕๕) เป็นการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาของรัฐ อันเป็นการใช้อำนาจรัฐจัดทำภารกิจของรัฐในด้านการศึกษาและอยู่ในกำกับดูแลของรัฐ จึงเป็นเรื่องการฟ้องว่าจำเลยละเลยไม่จัดการศึกษาให้มีมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด กรณีตามคำฟ้องจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบลหนองปรือ ที่ ๑ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองปรือ ที่ ๒ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองปรือ ที่ ๓ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๙ ที่ ๔ กำนันตำบลหนองปรือ ที่ ๕ จำเลย อ้างว่า ได้รับความเสียหายจากการที่ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๙ ร่วมกับราษฎรสร้างศาลาที่พักริมทางสาธารณประโยชน์รุกล้ำเข้าไปในที่ดินมีโฉนดของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันดำเนินการรื้อถอนศาลาออกไปจากที่ดินโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนจำเลยทั้งห้าให้การโดยสรุปว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๑ โดยเจ้าของที่ดินเดิมได้บริจาคที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๑๒ ตารางวา เพื่อให้ก่อสร้างศาลาพักริมทางสาธารณประโยชน์ แม้ต่อมามีการนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) ดังกล่าวไปขอออกเป็นโฉนดที่ดินและเปลี่ยนแปลงผู้ถือกรรมสิทธิ์ แต่ที่ดินพิพาทตกเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันมาตั้งแต่เจ้าของที่ดินเดิมแสดงเจตนาอุทิศให้จนถึงปัจจุบัน การก่อสร้างศาลาที่พักริมทางสาธารณประโยชน์กระทำโดยราษฎร โดยไม่ได้ใช้งบประมาณของทางราชการ จำเลยทั้งห้าจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้องค์การบริหารส่วนตำบลหนองปรือ จำเลยที่ ๑เป็นราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อพิพาทในคดีนี้คู่ความโต้แย้งกันว่าที่ดินอันเป็นที่ตั้งของศาลาที่พักริมทางเป็นที่ดินของโจทก์หรือเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันมาตั้งแต่ก่อนที่โจทก์จะมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ส่วนปัญหาว่าจำเลยทั้งห้ากระทำละเมิดต่อโจทก์และจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาท ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบลหนองปรือ ที่ ๑ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองปรือ ที่ ๒ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองปรือ ที่ ๓ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๙ ที่ ๔ กำนันตำบลหนองปรือ ที่ ๕ จำเลย อ้างว่า ได้รับความเสียหายจากการที่ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๙ ร่วมกับราษฎรสร้างศาลาที่พักริมทางสาธารณประโยชน์รุกล้ำเข้าไปในที่ดินมีโฉนดของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันดำเนินการรื้อถอนศาลาออกไปจากที่ดินโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนจำเลยทั้งห้าให้การโดยสรุปว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๑ โดยเจ้าของที่ดินเดิมได้บริจาคที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๑๒ ตารางวา เพื่อให้ก่อสร้างศาลาพักริมทางสาธารณประโยชน์ แม้ต่อมามีการนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) ดังกล่าวไปขอออกเป็นโฉนดที่ดินและเปลี่ยนแปลงผู้ถือกรรมสิทธิ์ แต่ที่ดินพิพาทตกเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันมาตั้งแต่เจ้าของที่ดินเดิมแสดงเจตนาอุทิศให้จนถึงปัจจุบัน การก่อสร้างศาลาที่พักริมทางสาธารณประโยชน์กระทำโดยราษฎร โดยไม่ได้ใช้งบประมาณของทางราชการ จำเลยทั้งห้าจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้องค์การบริหารส่วนตำบลหนองปรือ จำเลยที่ ๑เป็นราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อพิพาทในคดีนี้คู่ความโต้แย้งกันว่าที่ดินอันเป็นที่ตั้งของศาลาที่พักริมทางเป็นที่ดินของโจทก์หรือเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันมาตั้งแต่ก่อนที่โจทก์จะมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ส่วนปัญหาว่าจำเลยทั้งห้ากระทำละเมิดต่อโจทก์และจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาท ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทานซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ ก) เลขที่ ๔๖๓๓ และที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิอยู่ติดกัน ต่อมาสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ ๕ ซึ่งเป็นส่วนราชการของผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำทบ ครอบคลุมที่ดินส่วนที่มีเอกสารสิทธิและไม่มีเอกสารสิทธิของผู้ฟ้องคดี โดยคณะกรรมการจัดซื้อและกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินได้กำหนดราคาที่ดิน และมีการจ่ายค่าทดแทนให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการโครงการดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการกำหนดค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีไม่เพียงพอ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินค่าทดแทนและค่าขาดประโยชน์ พร้อมดอกเบี้ย และค่าเสียหายจากการก่อสร้างถนนลูกรังผ่านที่ดินผู้ฟ้องคดีระยะทางประมาณ ๔๐๐ เมตร ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำทบ มีการจ่ายเงินค่าทดแทนไปแล้วบางแปลง ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าราคาที่ดินตามที่คณะกรรมการฯกำหนดต่ำเกินไปจึงไม่สามารถตกลงกันได้ และผู้ฟ้องคดียินยอมให้ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างถนนเพื่อลำเลียงดินแล้วจึงไม่เป็นละเมิด ศาลปกครองอุดรธานีมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในส่วนที่ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินค่าทดแทนที่ดินและค่าขาดประโยชน์ไว้พิจารณา คดีจึงมีประเด็นเพียงว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างถนนลูกรังผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดี ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม เห็นว่า การฟ้องคดีเพื่อให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐรับผิดจากการกระทำละเมิดซึ่งจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ต้องเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีหรือจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือโจทก์อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร สำหรับเหตุในคดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีมีเพียงว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีโดยก่อสร้างถนนลูกรังผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ซึ่งเมื่อพิจารณาการกระทำละเมิดตามฟ้องดังกล่าวเห็นได้ว่ามิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันจะเข้าหลักเกณฑ์ของมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทานซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ ก) เลขที่ ๔๖๓๓ และที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิอยู่ติดกัน ต่อมาสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ ๕ ซึ่งเป็นส่วนราชการของผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำทบ ครอบคลุมที่ดินส่วนที่มีเอกสารสิทธิและไม่มีเอกสารสิทธิของผู้ฟ้องคดี โดยคณะกรรมการจัดซื้อและกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินได้กำหนดราคาที่ดิน และมีการจ่ายค่าทดแทนให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการโครงการดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการกำหนดค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีไม่เพียงพอ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินค่าทดแทนและค่าขาดประโยชน์ พร้อมดอกเบี้ย และค่าเสียหายจากการก่อสร้างถนนลูกรังผ่านที่ดินผู้ฟ้องคดีระยะทางประมาณ ๔๐๐ เมตร ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำทบ มีการจ่ายเงินค่าทดแทนไปแล้วบางแปลง ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าราคาที่ดินตามที่คณะกรรมการฯกำหนดต่ำเกินไปจึงไม่สามารถตกลงกันได้ และผู้ฟ้องคดียินยอมให้ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างถนนเพื่อลำเลียงดินแล้วจึงไม่เป็นละเมิด ศาลปกครองอุดรธานีมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในส่วนที่ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินค่าทดแทนที่ดินและค่าขาดประโยชน์ไว้พิจารณา คดีจึงมีประเด็นเพียงว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างถนนลูกรังผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดี ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม เห็นว่า การฟ้องคดีเพื่อให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐรับผิดจากการกระทำละเมิดซึ่งจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ต้องเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีหรือจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือโจทก์อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร สำหรับเหตุในคดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีมีเพียงว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีโดยก่อสร้างถนนลูกรังผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ซึ่งเมื่อพิจารณาการกระทำละเมิดตามฟ้องดังกล่าวเห็นได้ว่ามิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันจะเข้าหลักเกณฑ์ของมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|