ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทานซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ ก) เลขที่ ๔๖๓๓ และที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิอยู่ติดกัน ต่อมาสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ ๕ ซึ่งเป็นส่วนราชการของผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำทบ ครอบคลุมที่ดินส่วนที่มีเอกสารสิทธิและไม่มีเอกสารสิทธิของผู้ฟ้องคดี โดยคณะกรรมการจัดซื้อและกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินได้กำหนดราคาที่ดิน และมีการจ่ายค่าทดแทนให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการโครงการดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการกำหนดค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีไม่เพียงพอ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินค่าทดแทนและค่าขาดประโยชน์ พร้อมดอกเบี้ย และค่าเสียหายจากการก่อสร้างถนนลูกรังผ่านที่ดินผู้ฟ้องคดีระยะทางประมาณ ๔๐๐ เมตร ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำทบ มีการจ่ายเงินค่าทดแทนไปแล้วบางแปลง ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าราคาที่ดินตามที่คณะกรรมการฯกำหนดต่ำเกินไปจึงไม่สามารถตกลงกันได้ และผู้ฟ้องคดียินยอมให้ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างถนนเพื่อลำเลียงดินแล้วจึงไม่เป็นละเมิด ศาลปกครองอุดรธานีมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในส่วนที่ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินค่าทดแทนที่ดินและค่าขาดประโยชน์ไว้พิจารณา คดีจึงมีประเด็นเพียงว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างถนนลูกรังผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดี ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม เห็นว่า การฟ้องคดีเพื่อให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐรับผิดจากการกระทำละเมิดซึ่งจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ต้องเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีหรือจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือโจทก์อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร สำหรับเหตุในคดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีมีเพียงว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีโดยก่อสร้างถนนลูกรังผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ซึ่งเมื่อพิจารณาการกระทำละเมิดตามฟ้องดังกล่าวเห็นได้ว่ามิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันจะเข้าหลักเกณฑ์ของมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทานซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ ก) เลขที่ ๔๖๓๓ และที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิอยู่ติดกัน ต่อมาสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ ๕ ซึ่งเป็นส่วนราชการของผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำทบ ครอบคลุมที่ดินส่วนที่มีเอกสารสิทธิและไม่มีเอกสารสิทธิของผู้ฟ้องคดี โดยคณะกรรมการจัดซื้อและกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินได้กำหนดราคาที่ดิน และมีการจ่ายค่าทดแทนให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการโครงการดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการกำหนดค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีไม่เพียงพอ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินค่าทดแทนและค่าขาดประโยชน์ พร้อมดอกเบี้ย และค่าเสียหายจากการก่อสร้างถนนลูกรังผ่านที่ดินผู้ฟ้องคดีระยะทางประมาณ ๔๐๐ เมตร ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำทบ มีการจ่ายเงินค่าทดแทนไปแล้วบางแปลง ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าราคาที่ดินตามที่คณะกรรมการฯกำหนดต่ำเกินไปจึงไม่สามารถตกลงกันได้ และผู้ฟ้องคดียินยอมให้ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างถนนเพื่อลำเลียงดินแล้วจึงไม่เป็นละเมิด ศาลปกครองอุดรธานีมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในส่วนที่ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินค่าทดแทนที่ดินและค่าขาดประโยชน์ไว้พิจารณา คดีจึงมีประเด็นเพียงว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างถนนลูกรังผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดี ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม เห็นว่า การฟ้องคดีเพื่อให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐรับผิดจากการกระทำละเมิดซึ่งจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ต้องเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีหรือจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือโจทก์อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร สำหรับเหตุในคดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีมีเพียงว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีโดยก่อสร้างถนนลูกรังผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ซึ่งเมื่อพิจารณาการกระทำละเมิดตามฟ้องดังกล่าวเห็นได้ว่ามิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันจะเข้าหลักเกณฑ์ของมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
คดีที่เอกชนผู้รับประกันภัย ยื่นฟ้องกรมทางหลวง จำเลย ว่า จำเลยไม่บำรุงรักษาทรัพย์ให้มั่นคงแข็งแรง เป็นเหตุให้เมื่อมีฝนตกหนัก ลมพัดแรง ทำให้เสาเหล็กและป้ายบอกทางของจำเลยที่ปลูกสร้างหรือติดตั้งไว้สำหรับการจราจรบนทางหลวง โค่นลงมาทับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย โจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้วใช้สิทธิไล่เบี้ยแก่จำเลย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย เมื่อ กรมทางหลวง จำเลย เป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นกรม สังกัดกระทรวงคมนาคม ตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๒ กำหนดให้กรมทางหลวง มีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง การก่อสร้างและบำรุงรักษาทางหลวงให้มีโครงข่ายทางหลวงที่สมบูรณ์ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทาง จึงเป็นกรณีที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ของจำเลยเกี่ยวกับการก่อสร้างและบำรุงรักษาทางหลวงให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทาง ประกอบกับพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ ก็ได้นิยามคำว่า ทางหลวง หมายความว่า ทางหรือถนนซึ่งจัดไว้เพื่อประโยชน์ในการจราจรสาธารณะทางบก... และหมายความรวมถึง...ป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร เครื่องหมายสัญญาณ เครื่องสัญญาณไฟฟ้า เครื่องแสดงสัญญาณ ที่จอดรถ ที่พักคนโดยสาร ที่พักริมทาง เรือหรือพาหนะสำหรับขนส่งข้ามฟาก ท่าเรือสำหรับขึ้นหรือลงรถ และอาคารหรือสิ่งอื่นอันเป็นอุปกรณ์งานทางบรรดาที่มีอยู่หรือที่ได้จัดไว้ในเขตทางหลวงเพื่อประโยชน์แก่งานทางหรือผู้ใช้ทางหลวงนั้นด้วย ดังนั้น เสาเหล็กและป้ายบอกทางของจำเลยที่อยู่ในเขตทางหลวงจึงเป็นอุปกรณ์งานทางบรรดาที่มีอยู่หรือที่ได้จัดไว้ในเขตทางหลวงเพื่อประโยชน์แก่งานทางหรือผู้ใช้ทางหลวงที่จำเลยมีหน้าที่ตามกฎหมายในการบำรุงรักษาให้มีความมั่นคงแข็งแรง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยอย่างเพียงพอแก่ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยไม่บำรุงรักษาทรัพย์ให้มั่นคงแข็งแรง เป็นเหตุให้เมื่อมีฝนตกหนัก ลมพัดแรง ทำให้เสาเหล็กและป้ายบอกทางของจำเลยที่ปลูกสร้างหรือติดตั้งไว้สำหรับการจราจรบนทางหลวง โค่นลงมาทับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย โจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้วใช้สิทธิไล่เบี้ยแก่จำเลย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คดีที่เอกชนผู้รับประกันภัย ยื่นฟ้องกรมทางหลวง จำเลย ว่า จำเลยไม่บำรุงรักษาทรัพย์ให้มั่นคงแข็งแรง เป็นเหตุให้เมื่อมีฝนตกหนัก ลมพัดแรง ทำให้เสาเหล็กและป้ายบอกทางของจำเลยที่ปลูกสร้างหรือติดตั้งไว้สำหรับการจราจรบนทางหลวง โค่นลงมาทับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย โจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้วใช้สิทธิไล่เบี้ยแก่จำเลย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย เมื่อ กรมทางหลวง จำเลย เป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นกรม สังกัดกระทรวงคมนาคม ตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๒ กำหนดให้กรมทางหลวง มีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง การก่อสร้างและบำรุงรักษาทางหลวงให้มีโครงข่ายทางหลวงที่สมบูรณ์ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทาง จึงเป็นกรณีที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ของจำเลยเกี่ยวกับการก่อสร้างและบำรุงรักษาทางหลวงให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทาง ประกอบกับพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ ก็ได้นิยามคำว่า ทางหลวง หมายความว่า ทางหรือถนนซึ่งจัดไว้เพื่อประโยชน์ในการจราจรสาธารณะทางบก... และหมายความรวมถึง...ป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร เครื่องหมายสัญญาณ เครื่องสัญญาณไฟฟ้า เครื่องแสดงสัญญาณ ที่จอดรถ ที่พักคนโดยสาร ที่พักริมทาง เรือหรือพาหนะสำหรับขนส่งข้ามฟาก ท่าเรือสำหรับขึ้นหรือลงรถ และอาคารหรือสิ่งอื่นอันเป็นอุปกรณ์งานทางบรรดาที่มีอยู่หรือที่ได้จัดไว้ในเขตทางหลวงเพื่อประโยชน์แก่งานทางหรือผู้ใช้ทางหลวงนั้นด้วย ดังนั้น เสาเหล็กและป้ายบอกทางของจำเลยที่อยู่ในเขตทางหลวงจึงเป็นอุปกรณ์งานทางบรรดาที่มีอยู่หรือที่ได้จัดไว้ในเขตทางหลวงเพื่อประโยชน์แก่งานทางหรือผู้ใช้ทางหลวงที่จำเลยมีหน้าที่ตามกฎหมายในการบำรุงรักษาให้มีความมั่นคงแข็งแรง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยอย่างเพียงพอแก่ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยไม่บำรุงรักษาทรัพย์ให้มั่นคงแข็งแรง เป็นเหตุให้เมื่อมีฝนตกหนัก ลมพัดแรง ทำให้เสาเหล็กและป้ายบอกทางของจำเลยที่ปลูกสร้างหรือติดตั้งไว้สำหรับการจราจรบนทางหลวง โค่นลงมาทับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย โจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้วใช้สิทธิไล่เบี้ยแก่จำเลย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
คดีที่บริษัทเอกชนเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กรมทางหลวง จำเลย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยคืนเงินค่าปรับและชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ในคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างก่อสร้างบ้านพักเรือนแถวชั้นประทวนและพลตำรวจตามแบบมาตรฐานตำรวจและแบบโรงจอดรถและลานซักล้างของอาคารเรือนแถวชั้นประทวน สถานีตำรวจทางหลวงที่ ๕ กองกำกับการ ๖ กองบังคับการตำรวจทางหลวง (อำนาจเจริญ) จำนวน ๑ แห่ง ระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจ้างกับจำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง แต่จำเลยคิดค่าปรับโจทก์ที่ส่งมอบงานล่าช้าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า สัญญาพิพาทมีวัตถุประสงค์เพื่อการบรรเทาความเดือดร้อนของข้าราชการตำรวจและครอบครัวที่ยังไม่มีที่พักอาศัยเท่านั้น มิได้เป็นไปเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะโดยตรงหรือเพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดทำบริการสาธารณะ อันจะถือเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และแม้จะเป็นสัญญาสำเร็จรูปและปรับราคาได้และมีข้อสัญญากำหนดสิทธิให้แก่จำเลยเลิกจ้างฝ่ายเดียวหรือสั่งให้ทำงานพิเศษ ก็มิได้มีลักษณะพิเศษที่ไม่อาจพบในสัญญาระหว่างเอกชนกับเอกชน สัญญาจ้างก่อสร้างพิพาทจึงไม่ใช่สัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่บริษัทเอกชนเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กรมทางหลวง จำเลย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยคืนเงินค่าปรับและชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ในคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างก่อสร้างบ้านพักเรือนแถวชั้นประทวนและพลตำรวจตามแบบมาตรฐานตำรวจและแบบโรงจอดรถและลานซักล้างของอาคารเรือนแถวชั้นประทวน สถานีตำรวจทางหลวงที่ ๕ กองกำกับการ ๖ กองบังคับการตำรวจทางหลวง (อำนาจเจริญ) จำนวน ๑ แห่ง ระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจ้างกับจำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง แต่จำเลยคิดค่าปรับโจทก์ที่ส่งมอบงานล่าช้าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า สัญญาพิพาทมีวัตถุประสงค์เพื่อการบรรเทาความเดือดร้อนของข้าราชการตำรวจและครอบครัวที่ยังไม่มีที่พักอาศัยเท่านั้น มิได้เป็นไปเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะโดยตรงหรือเพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดทำบริการสาธารณะ อันจะถือเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และแม้จะเป็นสัญญาสำเร็จรูปและปรับราคาได้และมีข้อสัญญากำหนดสิทธิให้แก่จำเลยเลิกจ้างฝ่ายเดียวหรือสั่งให้ทำงานพิเศษ ก็มิได้มีลักษณะพิเศษที่ไม่อาจพบในสัญญาระหว่างเอกชนกับเอกชน สัญญาจ้างก่อสร้างพิพาทจึงไม่ใช่สัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นเอกชน ยื่นฟ้องบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ที่ ๑ บริษัทกสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ที่ ๒ การไฟฟ้านครหลวง ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามละเลยต่อหน้าที่ไม่ตรวจสอบ บำรุงรักษาการติดตั้งและดูแลรักษาสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง พร้อมด้วยผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้โดยสารถูกสายสื่อสารโทรคมนาคมที่ห้อยลงมาเกี่ยวรถจักรยานยนต์ของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เสียหลักล้มลง เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รับบาดเจ็บ ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เห็นว่า แม้บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และบริษัทกสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จะไม่ใช่รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ก็เป็นบริษัทมหาชนจำกัดที่ถูกแปรรูปตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ และโดยที่มาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้ในกรณีที่กฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจที่มีการเปลี่ยนทุนเป็นหุ้นของบริษัทหรือกฎหมายอื่นมีบทบัญญัติให้อำนาจรัฐวิสาหกิจดำเนินการใด ๆ ต่อบุคคล ทรัพย์สินหรือสิทธิของบุคคล หรือบทบัญญัติให้การดำเนินการของรัฐวิสาหกิจนั้นได้รับยกเว้นไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการใด หรือได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายในเรื่องใด หรือมีบทบัญญัติให้สิทธิพิเศษแก่รัฐวิสาหกิจนั้นเป็นกรณีเฉพาะ หรือมีบทบัญญัติคุ้มครองกิจการ พนักงาน หรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ให้ถือว่าบทบัญญัตินั้นมีผลใช้บังคับต่อไป โดยบริษัทมีฐานะอย่างเดียวกับรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายดังกล่าว..." ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ จึงรับโอนภารกิจ สิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายเดิมและอาจเป็น "หน่วยงานทางปกครอง" ประเภทหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือให้ดำเนินกิจการทางปกครองได้ หากได้กระทำการเกี่ยวกับการบริการสาธารณะหรือดำเนินกิจการทางปกครองตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐ เมื่อข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เป็นเรื่องการติดตั้งสายสื่อสารโทรคมนาคม อันเป็นภารกิจตามอำนาจหน้าที่ซึ่งมีอยู่เดิมก่อนแปรรูปเป็นบริษัทมหาชน จำกัด การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ในคดีนี้ จึงเป็นการกระทำในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินกิจการทางปกครอง อันเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามนัยบทนิยาม "หน่วยงานทางปกครอง" ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนการไฟฟ้านครหลวง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เป็นรัฐวิสาหกิจที่ก่อตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. ๒๕๐๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้ได้มาและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า ในการดำเนินการเกี่ยวกับการติดตั้งสายสื่อสารและการจำหน่ายไฟฟ้าตามภารกิจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นการดำเนินกิจการทางปกครองภายในอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามนัยบทนิยาม "หน่วยงานทางปกครอง" ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เช่นกัน โดยในการจัดทำภารกิจติดตั้งสายสื่อสารดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามย่อมต้องรวมถึงหน้าที่ในการจัดระเบียบและดูแลรักษาความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าของเสาไฟฟ้าอันเป็นสถานที่ติดตั้งสายสื่อสาร ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓ (๖) และมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. ๒๕๐๑ เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามละเลยต่อหน้าที่ไม่ตรวจสอบดูแล รักษาสายสื่อสารและสายไฟที่ติดตั้งบนเสาไฟฟ้าของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยเฉพาะผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ไม่ตรวจสอบดูแล ผู้ขออนุญาตติดตั้งสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์การติดตั้งสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าและดูแลรักษาให้ใช้งานได้ในสภาพปกติตามระเบียบการไฟฟ้านครหลวง ว่าด้วยหลักเกณฑ์การติดตั้งสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ขับขี่มาเกี่ยวสายสื่อสารโทรคมนาคมที่ห้อยลงมาจากเสาไฟฟ้าของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เสียหลักล้มลง ทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รับบาดเจ็บ กรณีตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงเป็นการฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองละเลยต่อหน้าที่ในการตรวจสอบดูแลและรักษาความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สินที่ใช้ในการจัดทำสาธารณูปโภคตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองอันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นเอกชน ยื่นฟ้องบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ที่ ๑ บริษัทกสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ที่ ๒ การไฟฟ้านครหลวง ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามละเลยต่อหน้าที่ไม่ตรวจสอบ บำรุงรักษาการติดตั้งและดูแลรักษาสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง พร้อมด้วยผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้โดยสารถูกสายสื่อสารโทรคมนาคมที่ห้อยลงมาเกี่ยวรถจักรยานยนต์ของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เสียหลักล้มลง เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รับบาดเจ็บ ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เห็นว่า แม้บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และบริษัทกสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จะไม่ใช่รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ก็เป็นบริษัทมหาชนจำกัดที่ถูกแปรรูปตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ และโดยที่มาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้ในกรณีที่กฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจที่มีการเปลี่ยนทุนเป็นหุ้นของบริษัทหรือกฎหมายอื่นมีบทบัญญัติให้อำนาจรัฐวิสาหกิจดำเนินการใด ๆ ต่อบุคคล ทรัพย์สินหรือสิทธิของบุคคล หรือบทบัญญัติให้การดำเนินการของรัฐวิสาหกิจนั้นได้รับยกเว้นไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการใด หรือได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายในเรื่องใด หรือมีบทบัญญัติให้สิทธิพิเศษแก่รัฐวิสาหกิจนั้นเป็นกรณีเฉพาะ หรือมีบทบัญญัติคุ้มครองกิจการ พนักงาน หรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ให้ถือว่าบทบัญญัตินั้นมีผลใช้บังคับต่อไป โดยบริษัทมีฐานะอย่างเดียวกับรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายดังกล่าว..." ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ จึงรับโอนภารกิจ สิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายเดิมและอาจเป็น "หน่วยงานทางปกครอง" ประเภทหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือให้ดำเนินกิจการทางปกครองได้ หากได้กระทำการเกี่ยวกับการบริการสาธารณะหรือดำเนินกิจการทางปกครองตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐ เมื่อข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เป็นเรื่องการติดตั้งสายสื่อสารโทรคมนาคม อันเป็นภารกิจตามอำนาจหน้าที่ซึ่งมีอยู่เดิมก่อนแปรรูปเป็นบริษัทมหาชน จำกัด การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ในคดีนี้ จึงเป็นการกระทำในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินกิจการทางปกครอง อันเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามนัยบทนิยาม "หน่วยงานทางปกครอง" ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนการไฟฟ้านครหลวง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เป็นรัฐวิสาหกิจที่ก่อตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. ๒๕๐๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้ได้มาและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า ในการดำเนินการเกี่ยวกับการติดตั้งสายสื่อสารและการจำหน่ายไฟฟ้าตามภารกิจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นการดำเนินกิจการทางปกครองภายในอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามนัยบทนิยาม "หน่วยงานทางปกครอง" ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เช่นกัน โดยในการจัดทำภารกิจติดตั้งสายสื่อสารดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามย่อมต้องรวมถึงหน้าที่ในการจัดระเบียบและดูแลรักษาความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าของเสาไฟฟ้าอันเป็นสถานที่ติดตั้งสายสื่อสาร ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓ (๖) และมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. ๒๕๐๑ เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามละเลยต่อหน้าที่ไม่ตรวจสอบดูแล รักษาสายสื่อสารและสายไฟที่ติดตั้งบนเสาไฟฟ้าของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ โดยเฉพาะผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ไม่ตรวจสอบดูแล ผู้ขออนุญาตติดตั้งสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์การติดตั้งสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าและดูแลรักษาให้ใช้งานได้ในสภาพปกติตามระเบียบการไฟฟ้านครหลวง ว่าด้วยหลักเกณฑ์การติดตั้งสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ขับขี่มาเกี่ยวสายสื่อสารโทรคมนาคมที่ห้อยลงมาจากเสาไฟฟ้าของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เสียหลักล้มลง ทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รับบาดเจ็บ กรณีตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงเป็นการฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองละเลยต่อหน้าที่ในการตรวจสอบดูแลและรักษาความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สินที่ใช้ในการจัดทำสาธารณูปโภคตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองอันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
คดีที่เอกชน ยื่นฟ้องบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) จำเลย ว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจโครงการทดลองการให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ๓ G ระหว่างจำเลยกับโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนสิทธิและหน้าที่ตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวมาจากบริษัท ส. ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย เห็นว่า จำเลย เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชน จำกัด ถูกจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๔๒ โดยแปลงสภาพจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีอำนาจหน้าที่ประกอบกิจการโทรศัพท์ แต่จำเลยจะมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครองประเภทหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือให้ดำเนินกิจการทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ได้ก็ต่อเมื่อจำเลยได้กระทำการเกี่ยวกับการบริการสาธารณะหรือใช้อำนาจทางปกครองในการดำเนินบริการสาธารณะตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐ นอกเหนือจากนี้แล้ว การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการประกอบธุรกิจเช่นเดียวกับเอกชนทั่วไป บันทึกความเข้าใจฉบับพิพาทมีลักษณะเป็นสัญญาที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ๓ G ในระบบ Wideband Code-Division Multiple Access (WCDMA) จากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติและมีโครงข่ายเป็นของตนเองตกลงกับโจทก์ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการโทรคมนาคมแต่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเองเพื่อให้ความร่วมมือดำเนินโครงการทดลองการบริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ๓ G เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการให้บริการขายส่งและขายต่อบริการโทรคมนาคมเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ๓ G ภายใต้เครื่องหมายการค้า และช่องทางการจัดจำหน่ายของโจทก์ จึงมีลักษณะเป็นการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์ และเมื่อพิจารณามาตรา ๒๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ประกอบกับประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง การประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภทขายส่งบริการและบริการขายต่อบริการ กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตที่มีโครงข่ายโทรคมนาคมต้องยินยอมให้ผู้รับอนุญาตรายอื่นใช้โครงข่ายโทรคมนาคมของตน โดยได้กำหนดขั้นตอนการเจรจาและการทำสัญญาการบริการ ขายต่อบริการไว้ในข้อ ๙ - ๑๘ ของประกาศดังกล่าว เห็นได้ว่า สิทธิ หน้าที่ระหว่างโจทก์และจำเลยตามสัญญาอยู่ภายใต้เงื่อนไขการเจรจาตกลงในทางพาณิชย์ หรือธุรกิจในการประกอบกิจการโทรคมนาคม อันเป็นความสัมพันธ์ตามกฎหมายเอกชน บันทึกความเข้าใจฉบับพิพาทจึงมิใช่สัญญาที่มีคู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ตามบทนิยามสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง หากแต่เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่เอกชน ยื่นฟ้องบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) จำเลย ว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจโครงการทดลองการให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ๓ G ระหว่างจำเลยกับโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนสิทธิและหน้าที่ตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวมาจากบริษัท ส. ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย เห็นว่า จำเลย เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชน จำกัด ถูกจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๔๒ โดยแปลงสภาพจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีอำนาจหน้าที่ประกอบกิจการโทรศัพท์ แต่จำเลยจะมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครองประเภทหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือให้ดำเนินกิจการทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ได้ก็ต่อเมื่อจำเลยได้กระทำการเกี่ยวกับการบริการสาธารณะหรือใช้อำนาจทางปกครองในการดำเนินบริการสาธารณะตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐ นอกเหนือจากนี้แล้ว การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการประกอบธุรกิจเช่นเดียวกับเอกชนทั่วไป บันทึกความเข้าใจฉบับพิพาทมีลักษณะเป็นสัญญาที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ๓ G ในระบบ Wideband Code-Division Multiple Access (WCDMA) จากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติและมีโครงข่ายเป็นของตนเองตกลงกับโจทก์ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการโทรคมนาคมแต่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเองเพื่อให้ความร่วมมือดำเนินโครงการทดลองการบริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ๓ G เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการให้บริการขายส่งและขายต่อบริการโทรคมนาคมเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ๓ G ภายใต้เครื่องหมายการค้า และช่องทางการจัดจำหน่ายของโจทก์ จึงมีลักษณะเป็นการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์ และเมื่อพิจารณามาตรา ๒๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ประกอบกับประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง การประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภทขายส่งบริการและบริการขายต่อบริการ กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตที่มีโครงข่ายโทรคมนาคมต้องยินยอมให้ผู้รับอนุญาตรายอื่นใช้โครงข่ายโทรคมนาคมของตน โดยได้กำหนดขั้นตอนการเจรจาและการทำสัญญาการบริการ ขายต่อบริการไว้ในข้อ ๙ - ๑๘ ของประกาศดังกล่าว เห็นได้ว่า สิทธิ หน้าที่ระหว่างโจทก์และจำเลยตามสัญญาอยู่ภายใต้เงื่อนไขการเจรจาตกลงในทางพาณิชย์ หรือธุรกิจในการประกอบกิจการโทรคมนาคม อันเป็นความสัมพันธ์ตามกฎหมายเอกชน บันทึกความเข้าใจฉบับพิพาทจึงมิใช่สัญญาที่มีคู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ตามบทนิยามสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง หากแต่เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
คดีที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง โจทก์ หน่วยงานทางปกครองยื่นฟ้องจำเลย ซึ่งเป็นเอกชน อ้างว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด ญ. ทำสัญญาสัมปทานรังนกอีแอ่นกับโจทก์ โดยจำเลยทำหนังสือสัญญาค้ำประกันการชำระอากรรังนกตามสัญญาดังกล่าว ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัด ญ. ผิดนัดชำระเงินค่าอากรรังนกอีแอ่น คณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดตรังจึงมีมติให้ยกเลิกสัมปทาน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าอากรที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ เห็นว่า แม้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันรับผิดตามสัญญาค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานเก็บรังนกอีแอ่นระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ญ. แต่สัญญาระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ญ. เป็นสัญญาที่จัดทำขึ้นตามพระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่น พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งมาตรา ๗ วรรคสอง บัญญัติว่า ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดรับผิดชอบในการจัดเก็บเงินอากรรังนก..." และมาตรา ๑๔ วรรคสอง บัญญัติว่า "การขอรับสัมปทานในแต่ละจังหวัดให้ทำโดยการประมูลเงินอากรตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ผู้ว่าราชการจังหวัดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการประกาศกำหนด'' โดยในกรณีที่ผู้รับสัมปทานชำระเงินอากรเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดในสัมปทาน หรือชำระไม่ครบถ้วน มาตรา ๑๕ บัญญัติให้เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินอากรที่ต้องชำระ และวรรคสองของมาตราเดียวกัน บัญญัติว่า "เงินเพิ่มตามวรรคหนึ่งให้ถือเป็นเงินอากร'' ดังนั้น ผู้ที่จะเก็บรังนกในพื้นที่ที่พระราชบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้ได้จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับสัมปทานด้วยการประมูลเงินอากรและจะต้องจ่ายเงินอากรให้แก่รัฐ หากผู้รับสัมปทานชำระเงินอากรล่าช้าหรือไม่ครบถ้วนก็จะต้องเสียเงินเพิ่ม เงินอากรรังนกจึงเป็น "อากร" ตามบทนิยามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ และการทำสัมปทานเป็นเพียงวิธีการในการให้ได้มาซึ่งเงินอากรของรัฐ เมื่อคดีนี้เป็นข้อพิพาทระหว่างองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรังซึ่งเป็นราชการส่วนท้องถิ่นที่ได้รับเงินอากรจากสัมปทานรังนกตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่น พ.ศ. ๒๕๔๐ กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ญ. ซึ่งเป็นเอกชนที่ได้รับสัมปทานและมีหน้าที่ต้องชำระอากรตามพระราชบัญญัตินี้ เกี่ยวกับการเพิกเฉยไม่ชำระอากรภายในเวลาที่กำหนดในสัมปทานหรือชำระไม่ครบถ้วน และโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกค่าอากรที่ค้างชำระ กรณีจึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ภาษีอากรและเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามข้อผูกพันซึ่งได้ทำขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การจัดเก็บภาษีอากร อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร มาตรา ๗ (๒) และ (๔) และเป็นข้อยกเว้นเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งค้ำประกันการชำระเงินอากรของห้างหุ้นส่วนจำกัด ญ. อันเป็นหนี้อุปกรณ์ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากรด้วยเช่นกัน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง โจทก์ หน่วยงานทางปกครองยื่นฟ้องจำเลย ซึ่งเป็นเอกชน อ้างว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด ญ. ทำสัญญาสัมปทานรังนกอีแอ่นกับโจทก์ โดยจำเลยทำหนังสือสัญญาค้ำประกันการชำระอากรรังนกตามสัญญาดังกล่าว ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัด ญ. ผิดนัดชำระเงินค่าอากรรังนกอีแอ่น คณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดตรังจึงมีมติให้ยกเลิกสัมปทาน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าอากรที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ เห็นว่า แม้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันรับผิดตามสัญญาค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานเก็บรังนกอีแอ่นระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ญ. แต่สัญญาระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ญ. เป็นสัญญาที่จัดทำขึ้นตามพระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่น พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งมาตรา ๗ วรรคสอง บัญญัติว่า ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดรับผิดชอบในการจัดเก็บเงินอากรรังนก..." และมาตรา ๑๔ วรรคสอง บัญญัติว่า "การขอรับสัมปทานในแต่ละจังหวัดให้ทำโดยการประมูลเงินอากรตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ผู้ว่าราชการจังหวัดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการประกาศกำหนด'' โดยในกรณีที่ผู้รับสัมปทานชำระเงินอากรเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดในสัมปทาน หรือชำระไม่ครบถ้วน มาตรา ๑๕ บัญญัติให้เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินอากรที่ต้องชำระ และวรรคสองของมาตราเดียวกัน บัญญัติว่า "เงินเพิ่มตามวรรคหนึ่งให้ถือเป็นเงินอากร'' ดังนั้น ผู้ที่จะเก็บรังนกในพื้นที่ที่พระราชบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้ได้จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับสัมปทานด้วยการประมูลเงินอากรและจะต้องจ่ายเงินอากรให้แก่รัฐ หากผู้รับสัมปทานชำระเงินอากรล่าช้าหรือไม่ครบถ้วนก็จะต้องเสียเงินเพิ่ม เงินอากรรังนกจึงเป็น "อากร" ตามบทนิยามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ และการทำสัมปทานเป็นเพียงวิธีการในการให้ได้มาซึ่งเงินอากรของรัฐ เมื่อคดีนี้เป็นข้อพิพาทระหว่างองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรังซึ่งเป็นราชการส่วนท้องถิ่นที่ได้รับเงินอากรจากสัมปทานรังนกตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่น พ.ศ. ๒๕๔๐ กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ญ. ซึ่งเป็นเอกชนที่ได้รับสัมปทานและมีหน้าที่ต้องชำระอากรตามพระราชบัญญัตินี้ เกี่ยวกับการเพิกเฉยไม่ชำระอากรภายในเวลาที่กำหนดในสัมปทานหรือชำระไม่ครบถ้วน และโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกค่าอากรที่ค้างชำระ กรณีจึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ภาษีอากรและเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามข้อผูกพันซึ่งได้ทำขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การจัดเก็บภาษีอากร อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร มาตรา ๗ (๒) และ (๔) และเป็นข้อยกเว้นเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งค้ำประกันการชำระเงินอากรของห้างหุ้นส่วนจำกัด ญ. อันเป็นหนี้อุปกรณ์ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากรด้วยเช่นกัน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับพระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่น พ.ศ. 2540
คดีนี้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เดิม) ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องนาง น. ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีได้สมัครขอเข้ารับการศึกษาที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) โดยไม่ได้ทำหนังสืออนุมัติให้ถูกต้อง จึงทำให้ไม่สามารถทำงานให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้เต็มเวลา ผู้ฟ้องคดีจึงมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีออกจากตำแหน่งและมีคำสั่งเลิกจ้าง ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย เห็นว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีเป็นองค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖ และมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ผู้ฟ้องคดีมีวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการวางแผนและกำหนดนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของประเทศให้สอดคล้องกับแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของประเทศ การพัฒนาบุคลากร การตลาด การลงทุน กระบวนการผลิต และการให้บริการที่ได้มาตรฐานสากล รวมถึงการสร้างแรงจูงใจในการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ โดยการเสนอแนะมาตรการทางด้านภาษีและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ต่อคณะรัฐมนตรี สนับสนุนการค้นคว้าวิจัย การถ่ายทอดเทคโนโลยี และจัดให้มีกฎ ระเบียบ และมาตรการที่จำเป็นต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ส่งเสริมให้เกิดการคุ้มครองด้านทรัพย์สินทางปัญญาสำหรับซอฟต์แวร์ เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานและแก้ปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการทางด้านอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ให้มีบริการแบบเบ็ดเสร็จ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะ และการที่ผู้ฟ้องคดีทำสัญญาจ้างผู้ถูกฟ้องคดีเพื่อให้ปฏิบัติงานบริหารในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการของสำนักงานผู้ฟ้องคดี สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเป็นสัญญาเพื่อจัดหาบุคคลมาปฏิบัติงานเพื่อให้การดำเนินงานของสำนักงานอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะของผู้ฟ้องคดีบรรลุผล มีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะซึ่งเป็นความสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างตามกฎหมายเอกชน สัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คดีนี้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เดิม) ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องนาง น. ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีได้สมัครขอเข้ารับการศึกษาที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) โดยไม่ได้ทำหนังสืออนุมัติให้ถูกต้อง จึงทำให้ไม่สามารถทำงานให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้เต็มเวลา ผู้ฟ้องคดีจึงมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีออกจากตำแหน่งและมีคำสั่งเลิกจ้าง ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย เห็นว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีเป็นองค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖ และมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ผู้ฟ้องคดีมีวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการวางแผนและกำหนดนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของประเทศให้สอดคล้องกับแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของประเทศ การพัฒนาบุคลากร การตลาด การลงทุน กระบวนการผลิต และการให้บริการที่ได้มาตรฐานสากล รวมถึงการสร้างแรงจูงใจในการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ โดยการเสนอแนะมาตรการทางด้านภาษีและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ต่อคณะรัฐมนตรี สนับสนุนการค้นคว้าวิจัย การถ่ายทอดเทคโนโลยี และจัดให้มีกฎ ระเบียบ และมาตรการที่จำเป็นต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ส่งเสริมให้เกิดการคุ้มครองด้านทรัพย์สินทางปัญญาสำหรับซอฟต์แวร์ เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานและแก้ปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการทางด้านอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ให้มีบริการแบบเบ็ดเสร็จ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะ และการที่ผู้ฟ้องคดีทำสัญญาจ้างผู้ถูกฟ้องคดีเพื่อให้ปฏิบัติงานบริหารในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการของสำนักงานผู้ฟ้องคดี สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเป็นสัญญาเพื่อจัดหาบุคคลมาปฏิบัติงานเพื่อให้การดำเนินงานของสำนักงานอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะของผู้ฟ้องคดีบรรลุผล มีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะซึ่งเป็นความสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชน ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างตามกฎหมายเอกชน สัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกระทรวงมหาดไทยที่ ๑ เทศบาลตำบลผาอินทร์แปลง ที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินมือเปล่าซึ่งตั้งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยผู้ฟ้องคดีดำเนินการแจ้งสิทธิการทำประโยชน์แล้ว แต่ยังไม่ได้เอกสารสิทธิ ต่อมาเจ้าหน้าที่ในสังกัดหน่วยงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จงใจบุกรุกเข้ารื้อถอนรั้วกั้นแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี และรื้อถอนทำลายต้นไม้บริเวณคันคูดินในที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยมิได้รับอนุญาตและมิได้รับความยินยอมจากผู้ฟ้องคดี รวมทั้งสั่งห้ามมิให้ผู้ฟ้องคดีเข้าเกี่ยวข้องหรือปิดกั้นที่ดินบริเวณดังกล่าวอันเป็นการกระทำละเมิด ต่อมาศาลปกครองอุดรธานีมีคำสั่งเรียกกรมการปกครองและนายอำเภอเอราวัณ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เข้ามาเป็นคู่กรณี โดยกำหนดให้เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ตามลำดับ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะ ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้ผู้ฟ้องคดีอ้างเหตุว่าเจ้าหน้าที่ในสังกัดหน่วยงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จงใจบุกรุกเข้ารื้อถอนรั้วกั้นแนวเขตที่ดิน และรื้อถอนทำลายต้นไม้ที่ปลูกอยู่บริเวณคันคูดินในที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยมิได้รับอนุญาตและมิได้รับความยินยอมจากผู้ฟ้องคดี โดยผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ชำระค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดมาด้วยก็ตาม แต่การที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ศาลห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวและรบกวนการครอบครองที่ดินของผู้ฟ้องคดีอันแสดงถึงความมุ่งหมายที่จะให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินเป็นสำคัญ และการที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองหรือเป็นทางสาธารณะ จึงจะวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวกับการกระทำละเมิดระหว่างผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ได้ต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกระทรวงมหาดไทยที่ ๑ เทศบาลตำบลผาอินทร์แปลง ที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินมือเปล่าซึ่งตั้งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยผู้ฟ้องคดีดำเนินการแจ้งสิทธิการทำประโยชน์แล้ว แต่ยังไม่ได้เอกสารสิทธิ ต่อมาเจ้าหน้าที่ในสังกัดหน่วยงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จงใจบุกรุกเข้ารื้อถอนรั้วกั้นแนวเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี และรื้อถอนทำลายต้นไม้บริเวณคันคูดินในที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยมิได้รับอนุญาตและมิได้รับความยินยอมจากผู้ฟ้องคดี รวมทั้งสั่งห้ามมิให้ผู้ฟ้องคดีเข้าเกี่ยวข้องหรือปิดกั้นที่ดินบริเวณดังกล่าวอันเป็นการกระทำละเมิด ต่อมาศาลปกครองอุดรธานีมีคำสั่งเรียกกรมการปกครองและนายอำเภอเอราวัณ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เข้ามาเป็นคู่กรณี โดยกำหนดให้เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ ตามลำดับ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะ ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้ผู้ฟ้องคดีอ้างเหตุว่าเจ้าหน้าที่ในสังกัดหน่วยงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จงใจบุกรุกเข้ารื้อถอนรั้วกั้นแนวเขตที่ดิน และรื้อถอนทำลายต้นไม้ที่ปลูกอยู่บริเวณคันคูดินในที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยมิได้รับอนุญาตและมิได้รับความยินยอมจากผู้ฟ้องคดี โดยผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ชำระค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดมาด้วยก็ตาม แต่การที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ศาลห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวและรบกวนการครอบครองที่ดินของผู้ฟ้องคดีอันแสดงถึงความมุ่งหมายที่จะให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินเป็นสำคัญ และการที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองหรือเป็นทางสาธารณะ จึงจะวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวกับการกระทำละเมิดระหว่างผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ได้ต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
แม้โจทก์จะฟ้องคดีโดยตั้งรูปเรื่องตามคำฟ้องว่ากรมที่ดินกับพวกออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงทับที่ดินของโจทก์และมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์ ซึ่งเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองกับให้ออกโฉนดที่ดินแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๙๘๖ ให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่ก็เป็นไปเพื่อให้มีหลักฐานที่แสดงถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินว่าโจทก์เป็นเจ้าของเนื้อที่ดินดังกล่าว โดยโจทก์มิได้อ้างเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมายของการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงประการอื่น แสดงให้เห็นว่าโจทก์มิได้ประสงค์จะให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงดังกล่าว ความมุ่งหมายที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ก็เพื่อให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาท โจทก์มีสิทธิครอบครองหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ ส่วนคำขออื่น ๆ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทนั้นว่าเป็นที่ดินของโจทก์หรือเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
แม้โจทก์จะฟ้องคดีโดยตั้งรูปเรื่องตามคำฟ้องว่ากรมที่ดินกับพวกออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงทับที่ดินของโจทก์และมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์ ซึ่งเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองกับให้ออกโฉนดที่ดินแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๙๘๖ ให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่ก็เป็นไปเพื่อให้มีหลักฐานที่แสดงถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินว่าโจทก์เป็นเจ้าของเนื้อที่ดินดังกล่าว โดยโจทก์มิได้อ้างเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมายของการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงประการอื่น แสดงให้เห็นว่าโจทก์มิได้ประสงค์จะให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงดังกล่าว ความมุ่งหมายที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ก็เพื่อให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาท โจทก์มีสิทธิครอบครองหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ ส่วนคำขออื่น ๆ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทนั้นว่าเป็นที่ดินของโจทก์หรือเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่เอกชน ยื่นฟ้องผู้อำนวยการเขตสายไหม ที่ ๑ กรุงเทพมหานคร ที่ ๒ กระทรวงมหาดไทย ที่ ๓ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๔ จำเลย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหน่วยงานทางปกครอง ว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนาง น. ตามคำสั่งศาล นาง น. มีทรัพย์มรดกเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนดรวม ๒ แปลง กับเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แต่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง แปลง "หนองตามิ่งสาธารณประโยชน์" โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทับที่ดินพิพาท โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๔ เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยที่ ๔ เพิกเฉย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยทั้งสี่เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง และให้นาง น. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ส่วนจำเลยทั้งสี่ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้โจทก์จะมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง แต่เหตุแห่งการขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนาง น. อ้างว่านาง น. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท และหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงออกทับที่ดินพิพาท อันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดิน จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของนาง น. หรือเป็นที่ดินของรัฐ ดังนั้น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ในการใช้สิทธิทางศาล ก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของนาง น. การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทนาง น. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่เอกชน ยื่นฟ้องผู้อำนวยการเขตสายไหม ที่ ๑ กรุงเทพมหานคร ที่ ๒ กระทรวงมหาดไทย ที่ ๓ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๔ จำเลย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหน่วยงานทางปกครอง ว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนาง น. ตามคำสั่งศาล นาง น. มีทรัพย์มรดกเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนดรวม ๒ แปลง กับเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แต่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง แปลง "หนองตามิ่งสาธารณประโยชน์" โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทับที่ดินพิพาท โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๔ เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยที่ ๔ เพิกเฉย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยทั้งสี่เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง และให้นาง น. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ส่วนจำเลยทั้งสี่ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้โจทก์จะมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง แต่เหตุแห่งการขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนาง น. อ้างว่านาง น. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท และหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงออกทับที่ดินพิพาท อันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดิน จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของนาง น. หรือเป็นที่ดินของรัฐ ดังนั้น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ในการใช้สิทธิทางศาล ก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของนาง น. การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทนาง น. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมที่ดิน จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่า โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนาย ส. ได้ขอออกโฉนดที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๖๖ มีชื่อนาย ส. เป็นผู้แจ้งการครอบครอง แต่โจทก์ตรวจสอบพบว่า นาย ท. บิดาของจำเลยที่ ๒ ได้นำ ส.ค.๑ เลขที่ ๖๖ ไปขอออกเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๖๖ และแบ่งแยกออกเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ และ น.ส. ๓ ก.) และโฉนดที่ดิน การที่นายอำเภอเมืองศรีสะเกษ โดยจำเลยที่ ๑ ออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้กับบิดาของจำเลยที่ ๒ เป็นการออกโดยคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ และ น.ส. ๓ ก.) และโฉนดที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ที่ดินที่โจทก์จะนำรังวัดออกโฉนดที่ดินเป็นที่ดินคนละแปลงและคนละตำแหน่งกับที่ดินที่โจทก์ฟ้องและไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๖๖ หรือไม่ ส่วนจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๙ ให้การทำนองเดียวกันว่า ได้ที่ดินพิพาทมาโดยชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า แม้คดีนี้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีคำขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ และ น.ส. ๓ ก.) พิพาท แต่ก็กล่าวอ้างในคำฟ้องว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิในที่ดินทับกับที่ดินของนาย ส. ดังนี้ เมื่อพิจารณาลักษณะข้อพิพาทในคดีนี้ จะเห็นได้ว่าเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินที่นาย ส. มีสิทธิครอบครองตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๖๖ หรือเป็นที่ดินของจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๙ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินที่พิพาท ซึ่งไม่ว่าศาลจะวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของนาย ส. หรือของจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๙ ย่อมกระทบต่อสิทธิในทางทรัพย์สินของเอกชนทั้งสองฝ่าย กรณีจึงเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน โดยต่างฝ่ายต่างต้องพิสูจน์การได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินเป็นสำคัญ เนื้อหาตามคำฟ้องของโจทก์จึงมิใช่การขอให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของฝ่ายปกครอง แต่เป็นการขอให้ศาลรับรองและคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของตน กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมที่ดิน จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่า โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนาย ส. ได้ขอออกโฉนดที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๖๖ มีชื่อนาย ส. เป็นผู้แจ้งการครอบครอง แต่โจทก์ตรวจสอบพบว่า นาย ท. บิดาของจำเลยที่ ๒ ได้นำ ส.ค.๑ เลขที่ ๖๖ ไปขอออกเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๖๖ และแบ่งแยกออกเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ และ น.ส. ๓ ก.) และโฉนดที่ดิน การที่นายอำเภอเมืองศรีสะเกษ โดยจำเลยที่ ๑ ออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้กับบิดาของจำเลยที่ ๒ เป็นการออกโดยคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ และ น.ส. ๓ ก.) และโฉนดที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ที่ดินที่โจทก์จะนำรังวัดออกโฉนดที่ดินเป็นที่ดินคนละแปลงและคนละตำแหน่งกับที่ดินที่โจทก์ฟ้องและไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๖๖ หรือไม่ ส่วนจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๙ ให้การทำนองเดียวกันว่า ได้ที่ดินพิพาทมาโดยชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า แม้คดีนี้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีคำขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ และ น.ส. ๓ ก.) พิพาท แต่ก็กล่าวอ้างในคำฟ้องว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิในที่ดินทับกับที่ดินของนาย ส. ดังนี้ เมื่อพิจารณาลักษณะข้อพิพาทในคดีนี้ จะเห็นได้ว่าเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินที่นาย ส. มีสิทธิครอบครองตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๖๖ หรือเป็นที่ดินของจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๙ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินที่พิพาท ซึ่งไม่ว่าศาลจะวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของนาย ส. หรือของจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๙ ย่อมกระทบต่อสิทธิในทางทรัพย์สินของเอกชนทั้งสองฝ่าย กรณีจึงเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน โดยต่างฝ่ายต่างต้องพิสูจน์การได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินเป็นสำคัญ เนื้อหาตามคำฟ้องของโจทก์จึงมิใช่การขอให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของฝ่ายปกครอง แต่เป็นการขอให้ศาลรับรองและคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของตน กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|