คดีที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบลคลองใหญ่ ที่ ๑ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองใหญ่ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี โดยอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำละเมิดกรณีก่อสร้างถนนสาธารณประโยชน์รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรื้อถอนถนนพิพาทออกไปจากที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยเร็วและปรับที่ดินให้กลับคืนสู่สภาพเดิม หากไม่ดำเนินการให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชดใช้ค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนกับให้ชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การโต้แย้งว่า ที่ดินบริเวณพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ จึงเป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสถานะของที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินจะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมีอำนาจก่อสร้างถนนสาธารณะได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบลคลองใหญ่ ที่ ๑ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองใหญ่ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี โดยอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำละเมิดกรณีก่อสร้างถนนสาธารณประโยชน์รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรื้อถอนถนนพิพาทออกไปจากที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยเร็วและปรับที่ดินให้กลับคืนสู่สภาพเดิม หากไม่ดำเนินการให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชดใช้ค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนกับให้ชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การโต้แย้งว่า ที่ดินบริเวณพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ จึงเป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสถานะของที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินจะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมีอำนาจก่อสร้างถนนสาธารณะได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องนายอำเภอ น. ที่ ๑ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ถ. ที่ ๒ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๒ ที่ ๓ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด บ. ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๓๐๕๔ เนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๗๐.๖ ตารางวา ซึ่งบิดาเป็นผู้ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินโดยอาศัยหลักฐานการครอบครองเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๓๓๗ เนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ ๓๓ ตารางวา และที่ดินหัวไร่ปลายนาที่ไม่มีเอกสารสิทธิประมาณ ๔ ไร่ รวมเป็น ๑๔ ไร่ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ร่วมกันรังวัดชี้แนวเขตที่สาธารณประโยชน์ป่าช้าเก่าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยรังวัดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ เนื้อที่ ๔ ไร่และที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๓๐๕๔ ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงคัดค้านการรังวัด โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไปดำเนินการทางศาลภายใน ๖๐ วัน ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการรังวัดเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงและมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีไม่ใช่ที่สาธารณประโยชน์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มีหนังสือขอให้สำนักงานที่ดินจังหวัด บ. รังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) แปลงป่าช้าเก่า เนื้อที่ ๔ ไร่ การรังวัดเป็นไปตามหลักวิชาการด้านแผนที่ ในวันรังวัดผู้แทนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้แทนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้ชี้แนวเขตและนำรังวัด แต่ผู้ฟ้องคดีคัดค้านสิทธิทั้งแปลง เมื่อนำรูปแผนที่ลงที่หมายในระวางแผนที่ไม่ทับเอกสารสิทธิของบุคคลอื่น การดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่ยังมิได้ดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่ผู้เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ดำเนินการรังวัดเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงป่าช้าเก่าแล้วผู้ฟ้องคดีอ้างว่ารังวัดรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดิน และเมื่อพิจารณาความมุ่งหมายในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องนายอำเภอ น. ที่ ๑ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ถ. ที่ ๒ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๒ ที่ ๓ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด บ. ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๓๐๕๔ เนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๗๐.๖ ตารางวา ซึ่งบิดาเป็นผู้ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินโดยอาศัยหลักฐานการครอบครองเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๓๓๗ เนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ ๓๓ ตารางวา และที่ดินหัวไร่ปลายนาที่ไม่มีเอกสารสิทธิประมาณ ๔ ไร่ รวมเป็น ๑๔ ไร่ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ร่วมกันรังวัดชี้แนวเขตที่สาธารณประโยชน์ป่าช้าเก่าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยรังวัดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ เนื้อที่ ๔ ไร่และที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๓๐๕๔ ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงคัดค้านการรังวัด โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไปดำเนินการทางศาลภายใน ๖๐ วัน ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการรังวัดเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงและมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีไม่ใช่ที่สาธารณประโยชน์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ให้การทำนองเดียวกันว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มีหนังสือขอให้สำนักงานที่ดินจังหวัด บ. รังวัดออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) แปลงป่าช้าเก่า เนื้อที่ ๔ ไร่ การรังวัดเป็นไปตามหลักวิชาการด้านแผนที่ ในวันรังวัดผู้แทนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้แทนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้ชี้แนวเขตและนำรังวัด แต่ผู้ฟ้องคดีคัดค้านสิทธิทั้งแปลง เมื่อนำรูปแผนที่ลงที่หมายในระวางแผนที่ไม่ทับเอกสารสิทธิของบุคคลอื่น การดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่ยังมิได้ดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่ผู้เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ดำเนินการรังวัดเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงป่าช้าเก่าแล้วผู้ฟ้องคดีอ้างว่ารังวัดรุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดิน และเมื่อพิจารณาความมุ่งหมายในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดขอนแก่น ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่า ผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้จัดการมรดกของนาย ฮ. ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๕๖ และขอให้รังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ ๖๑๙๔๕ จำนวน ๖ ไร่ ให้แก่วัด อ. แต่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินและคำสั่งไม่รังวัดแบ่งแยกที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ กรณีดังกล่าวผู้ถูกฟ้องคดีได้มีคำวินิจฉัยสั่งการตามคำขอของผู้ฟ้องคดีแล้ว โดยเห็นว่าไม่อาจออกโฉนดที่ดินและรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้ กรณีจึงไม่ใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่จะอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำให้การและเอกสารในสำนวนว่า ศาลยุติธรรมเคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า นิติกรรมการยกให้ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๑๙๔๕ ระหว่างนาย ฮ. และวัด อ. จำเลย มีผลสมบูรณ์ และนาง น. โจทก์ ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดิน ๕ ไร่ ด้านทิศเหนือของโฉนดที่ดินเลขที่ ๖๑๙๔๕ การที่ผู้ฟ้องคดียื่นคำขอต่อผู้ถูกฟ้องคดีเพื่อขอให้ออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๕๖ ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับที่ดินตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดขอนแก่น เทศบาลนครขอนแก่นและวัด อ. ได้ยื่นคำคัดค้าน ผู้ถูกฟ้องคดีจึงได้สอบสวนเปรียบเทียบคู่กรณี แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงมีคำสั่งแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินการในชั้นศาลจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด การดำเนินการของผู้ถูกฟ้องคดีจึงเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา ๖๐ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน สอบสวนเปรียบเทียบและพิจารณาสั่งการไปตามที่เห็นสมควร ซึ่งแม้จะเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสิทธิของผู้ฟ้องคดี แต่เมื่อการวินิจฉัยสั่งการตามบทบัญญัตินี้เป็นกรณีการโต้แย้งสิทธิในที่ดินที่ขอออกโฉนดที่ดิน โดยวรรคสองของมาตราดังกล่าวบัญญัติให้ฝ่ายที่ไม่พอใจคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการฟ้องต่อศาลภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่ง เมื่อผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องต่อศาลโดยมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี ซึ่งไม่ว่าศาลจะวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือวัด อ. หรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ตามที่เทศบาลนครขอนแก่นคัดค้าน ย่อมกระทบต่อสิทธิในทางทรัพย์สินของบุคคลโดยต่างฝ่ายต่างต้องพิสูจน์การได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินเป็นสำคัญ เนื้อหาตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดี กรณีการขอออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๕๖ จึงมิใช่การขอให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของฝ่ายปกครอง แต่เป็นกรณีที่ขอให้ศาลมีคำพิพากษาคุ้มครองและรับรองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดขอนแก่น ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่า ผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้จัดการมรดกของนาย ฮ. ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๕๖ และขอให้รังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ ๖๑๙๔๕ จำนวน ๖ ไร่ ให้แก่วัด อ. แต่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินและคำสั่งไม่รังวัดแบ่งแยกที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ กรณีดังกล่าวผู้ถูกฟ้องคดีได้มีคำวินิจฉัยสั่งการตามคำขอของผู้ฟ้องคดีแล้ว โดยเห็นว่าไม่อาจออกโฉนดที่ดินและรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้ กรณีจึงไม่ใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่จะอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำให้การและเอกสารในสำนวนว่า ศาลยุติธรรมเคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า นิติกรรมการยกให้ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๑๙๔๕ ระหว่างนาย ฮ. และวัด อ. จำเลย มีผลสมบูรณ์ และนาง น. โจทก์ ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดิน ๕ ไร่ ด้านทิศเหนือของโฉนดที่ดินเลขที่ ๖๑๙๔๕ การที่ผู้ฟ้องคดียื่นคำขอต่อผู้ถูกฟ้องคดีเพื่อขอให้ออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๕๖ ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับที่ดินตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดขอนแก่น เทศบาลนครขอนแก่นและวัด อ. ได้ยื่นคำคัดค้าน ผู้ถูกฟ้องคดีจึงได้สอบสวนเปรียบเทียบคู่กรณี แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงมีคำสั่งแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินการในชั้นศาลจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด การดำเนินการของผู้ถูกฟ้องคดีจึงเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา ๖๐ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน สอบสวนเปรียบเทียบและพิจารณาสั่งการไปตามที่เห็นสมควร ซึ่งแม้จะเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสิทธิของผู้ฟ้องคดี แต่เมื่อการวินิจฉัยสั่งการตามบทบัญญัตินี้เป็นกรณีการโต้แย้งสิทธิในที่ดินที่ขอออกโฉนดที่ดิน โดยวรรคสองของมาตราดังกล่าวบัญญัติให้ฝ่ายที่ไม่พอใจคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการฟ้องต่อศาลภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่ง เมื่อผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องต่อศาลโดยมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี ซึ่งไม่ว่าศาลจะวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือวัด อ. หรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ตามที่เทศบาลนครขอนแก่นคัดค้าน ย่อมกระทบต่อสิทธิในทางทรัพย์สินของบุคคลโดยต่างฝ่ายต่างต้องพิสูจน์การได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินเป็นสำคัญ เนื้อหาตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดี กรณีการขอออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๕๖ จึงมิใช่การขอให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของฝ่ายปกครอง แต่เป็นกรณีที่ขอให้ศาลมีคำพิพากษาคุ้มครองและรับรองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน และคดีพิพาทที่เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่เอกชนทั้งห้า ยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๑ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ ๒ กระทรวงการคลัง ที่ ๓ มณฑลทหารบกที่ ๒๖ ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหน่วยงานทางปกครอง ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าเป็นเจ้าของที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๒๓ โดยครอบครองต่อมาจากบิดาและปู่ ผู้ฟ้องคดีทั้งห้ามอบหมายให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๓ เป็นตัวแทนไปยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค. ๑ ดังกล่าว แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ ๓ ชี้ตำแหน่งที่ดินในระวางแผนที่ เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แจ้งว่าทับซ้อนกับที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ บร. ๓๒๓๙ ของกระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ใช้ในราชการจังหวัดทหารบกบุรีรัมย์ และไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งยกเลิกคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน ให้รังวัดแบ่งแยกและออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า และให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ บร. ๓๒๓๙ เห็นว่า คดีนี้ แม้ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าฟ้องอ้างว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าโดยอ้างว่าเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ บร. ๓๒๓๙ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ผู้ฟ้องคดีก็ได้บรรยายฟ้องอ้างเหตุแห่งการไม่ชอบด้วยกฎหมายว่า ที่ดินตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๒๓ ที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าครอบครองทำประโยชน์ เป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้ามีสิทธิครอบครอง ไม่ใช่ที่ดินของรัฐที่จะนำไปออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงได้ และมีคำขอหลัก คือ ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งยกเลิกคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน ให้รังวัดแบ่งแยกและออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า ซึ่งแสดงให้เห็นความประสงค์ของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าที่ฟ้องคดีนี้ เพื่อขอให้ศาลรับรองสิทธิครอบครองในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๒๓ ที่ครอบครองต่อเนื่องมาจากบิดาและปู่ ซึ่งมีประเด็นพิพาทเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินเป็นสำคัญ แม้ผู้ฟ้องคดี ทั้งห้าจะมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ บร. ๓๒๓๙ มาด้วย ก็เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าหรือเป็นที่ดินของรัฐ ประกอบกับผู้ฟ้องคดีทั้งห้าอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อเนื่องจากบิดาและปู่ โดยบิดาได้ครอบครองและทำประโยชน์อยู่ในที่ดินมาตั้งแต่ปี ๒๔๘๑ อันเป็นเวลาก่อนที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับในปี ๒๔๙๗ ซึ่งมาตรา ๘ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดให้การออกโฉนดที่ดินในกรณีดังกล่าว โดยใช้หลักฐานการแจ้งการครอบครอง เมื่อพ้นกำหนดสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับ จะทำได้ต่อเมื่อมี คำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดของศาลยุติธรรมว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีที่เอกชนทั้งห้า ยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๑ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ ๒ กระทรวงการคลัง ที่ ๓ มณฑลทหารบกที่ ๒๖ ที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหน่วยงานทางปกครอง ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าเป็นเจ้าของที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๒๓ โดยครอบครองต่อมาจากบิดาและปู่ ผู้ฟ้องคดีทั้งห้ามอบหมายให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๓ เป็นตัวแทนไปยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค. ๑ ดังกล่าว แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ ๓ ชี้ตำแหน่งที่ดินในระวางแผนที่ เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แจ้งว่าทับซ้อนกับที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ บร. ๓๒๓๙ ของกระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ใช้ในราชการจังหวัดทหารบกบุรีรัมย์ และไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งยกเลิกคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน ให้รังวัดแบ่งแยกและออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า และให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) เลขที่ บร. ๓๒๓๙ เห็นว่า คดีนี้ แม้ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าฟ้องอ้างว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าโดยอ้างว่าเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ บร. ๓๒๓๙ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ผู้ฟ้องคดีก็ได้บรรยายฟ้องอ้างเหตุแห่งการไม่ชอบด้วยกฎหมายว่า ที่ดินตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๒๓ ที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าครอบครองทำประโยชน์ เป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้ามีสิทธิครอบครอง ไม่ใช่ที่ดินของรัฐที่จะนำไปออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงได้ และมีคำขอหลัก คือ ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งยกเลิกคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน ให้รังวัดแบ่งแยกและออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า ซึ่งแสดงให้เห็นความประสงค์ของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าที่ฟ้องคดีนี้ เพื่อขอให้ศาลรับรองสิทธิครอบครองในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๒๓ ที่ครอบครองต่อเนื่องมาจากบิดาและปู่ ซึ่งมีประเด็นพิพาทเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินเป็นสำคัญ แม้ผู้ฟ้องคดี ทั้งห้าจะมีคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ บร. ๓๒๓๙ มาด้วย ก็เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าหรือเป็นที่ดินของรัฐ ประกอบกับผู้ฟ้องคดีทั้งห้าอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อเนื่องจากบิดาและปู่ โดยบิดาได้ครอบครองและทำประโยชน์อยู่ในที่ดินมาตั้งแต่ปี ๒๔๘๑ อันเป็นเวลาก่อนที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับในปี ๒๔๙๗ ซึ่งมาตรา ๘ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดให้การออกโฉนดที่ดินในกรณีดังกล่าว โดยใช้หลักฐานการแจ้งการครอบครอง เมื่อพ้นกำหนดสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับ จะทำได้ต่อเมื่อมี คำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดของศาลยุติธรรมว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๑ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และนาง ป. ที่ ๒ จำเลย ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน อ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ เนื้อที่ ๑๑ ตารางวา ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้นำหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๗๖๙ ไปยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินทับที่ดินพิพาทที่โจทก์ครอบครองและกระทำการโดยไม่สุจริตนำชี้รังวัดที่ดินพิพาทของโจทก์รวมเข้าไปด้วย ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษได้ออกโฉนดเลขที่ ๒๑๙๔๖ ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยรวมที่ดินแปลงพิพาทของโจทก์เนื้อที่ ๑๑ ตารางวาเข้าไปด้วย จึงเป็นการออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ ๑๑ ตารางวา โดยห้ามจำเลยที่ ๒ เข้าเกี่ยวข้อง และเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๑๙๔๖ ในส่วนที่ออกทับที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๑๙๔๖ ได้กระทำโดยชอบด้วยกฎหมายโดยอาศัยหลักฐาน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๗๖๙ และไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๒ ซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๗๖๙ จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ได้ดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายในการนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๗๖๙ เนื้อที่ ๙๑ ตารางวา ไปยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ ทั้งในการรังวัดสอบเขตที่ดินโจทก์ซึ่งมีที่ดินข้างเคียงติดกับที่ดินของจำเลยที่ ๒ ก็มิได้คัดค้าน ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า เมื่อพิจารณาลักษณะข้อพิพาทในคดีนี้ที่โจทก์มีคำขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินแล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๑๙๔๖ ซึ่งไม่ว่าศาลจะวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยที่ ๒ ย่อมกระทบต่อสิทธิในทางทรัพย์สินของเอกชนทั้งสองฝ่าย กรณีจึงเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน โดยต่างฝ่ายต่างต้องพิสูจน์การได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินเป็นสำคัญ เนื้อหาตามคำฟ้องของโจทก์จึงมิใช่การขอให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของฝ่ายปกครอง แต่เป็นการขอให้ศาลรับรองและคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของตน กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๑ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และนาง ป. ที่ ๒ จำเลย ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน อ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ เนื้อที่ ๑๑ ตารางวา ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้นำหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๗๖๙ ไปยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินทับที่ดินพิพาทที่โจทก์ครอบครองและกระทำการโดยไม่สุจริตนำชี้รังวัดที่ดินพิพาทของโจทก์รวมเข้าไปด้วย ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษได้ออกโฉนดเลขที่ ๒๑๙๔๖ ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยรวมที่ดินแปลงพิพาทของโจทก์เนื้อที่ ๑๑ ตารางวาเข้าไปด้วย จึงเป็นการออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ ๑๑ ตารางวา โดยห้ามจำเลยที่ ๒ เข้าเกี่ยวข้อง และเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๑๙๔๖ ในส่วนที่ออกทับที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๑๙๔๖ ได้กระทำโดยชอบด้วยกฎหมายโดยอาศัยหลักฐาน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๗๖๙ และไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๒ ซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๗๖๙ จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ได้ดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายในการนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๗๖๙ เนื้อที่ ๙๑ ตารางวา ไปยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ ทั้งในการรังวัดสอบเขตที่ดินโจทก์ซึ่งมีที่ดินข้างเคียงติดกับที่ดินของจำเลยที่ ๒ ก็มิได้คัดค้าน ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า เมื่อพิจารณาลักษณะข้อพิพาทในคดีนี้ที่โจทก์มีคำขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินแล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๑๙๔๖ ซึ่งไม่ว่าศาลจะวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยที่ ๒ ย่อมกระทบต่อสิทธิในทางทรัพย์สินของเอกชนทั้งสองฝ่าย กรณีจึงเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน โดยต่างฝ่ายต่างต้องพิสูจน์การได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินเป็นสำคัญ เนื้อหาตามคำฟ้องของโจทก์จึงมิใช่การขอให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของฝ่ายปกครอง แต่เป็นการขอให้ศาลรับรองและคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของตน กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วน จนไม่สามารถทำนาหรือทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผู้ฟ้องคดีต้องเสียสิทธิการครอบครองในที่ดินและขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอนสภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่ดิน (ส.ค. ๑) ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เป็นการกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|