ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๘/๒๕๕๕
วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดอุดรธานี
ระหว่าง
ศาลปกครองขอนแก่น
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดอุดรธานีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๒ นางสาวกัณทิมา พนมสิงห์ ที่ ๑ นางกาญจนาพนมสิงห์ ที่ ๒ นางจิราพร ศรีบูรพา ที่ ๓ นายมนตรี พนมสิงห์ ที่ ๔ โจทก์ ยื่นฟ้อง นางจีรพันธุ์รัตน์ประเสริฐกุล ที่ ๑ เทศบาลเมืองหนองสำโรง ที่ ๒ สำนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานี ที่ ๓ จำเลยต่อศาลจังหวัดอุดรธานี เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๗๒๑/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันได้รับการยกให้ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๑๓๔๖ ตำบลบ้านเลื่อม อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี มาจากนางเที่ยง พนมสิงห์ ผู้เป็นมารดา เมื่อปี ๒๕๓๘ สภาพของที่ดินขณะยกให้มีการก่อสร้างรั้วกำแพงล้อมรอบที่ดินทั้งสี่ด้าน ต่อมาในปี ๒๕๔๐ โจทก์ทั้งสี่ตกลงแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดิน และตกลงเว้นที่ดินไว้สำหรับใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยได้มีการยื่นคำขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานีและนำชี้ที่ดินที่จะทำการแบ่งกรรมสิทธิ์ดังกล่าวและเว้นที่ดินไว้สำหรับเป็นทางตามที่ตกลงกันไว้เป็นที่เรียบร้อย โดยยึดเอาแนวรั้วกำแพงด้านในเป็นจุดสิ้นสุดของทางที่ได้ตกลงจะใช้ประโยชน์ร่วมกัน โจทก์ทั้งสี่มิได้นำชี้ผ่านทะลุกำแพงไปจนถึงที่ดินแปลงข้างเคียง ทั้งนี้ ภายใต้ความเข้าใจของโจทก์ทั้งสี่ที่ว่า ทางที่ได้ทำการเว้นไว้นั้นเป็นทางที่โจทก์ทั้งสี่และบริวารเท่านั้นที่สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ ซึ่งต่อมาโจทก์ทั้งสี่ได้อาศัยใช้ประโยชน์ในที่ดินส่วนของตนและที่ดินส่วนที่เป็นทางร่วมกันมาตลอดจนถึงปัจจุบัน โดยมิได้มีบุคคลอื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้องหรือใช้ประโยชน์ด้วยแต่อย่างใด แต่เมื่อปี ๒๕๕๒ จำเลยที่ ๒ มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ที่ ๑ รื้อกำแพงและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นที่รุกล้ำเข้ามาในทางสาธารณประโยชน์ โดยมีสาเหตุมาจากจำเลยที่ ๑ เจ้าของที่ดินข้างเคียงขอให้จำเลยที่ ๒ เปิดทางสาธารณประโยชน์ (ทางหลวงสุขาภิบาล) เมื่อโจทก์ทั้งสี่ชี้แจงว่า เหตุดังกล่าวเป็นความคลาดเคลื่อนและสำคัญผิด ที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ทางสาธารณประโยชน์ โจทก์ทั้งสี่ประสงค์ใช้ประโยชน์ร่วมกันระหว่างพี่น้องซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันและได้เคยขอยกเลิกการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์อันเกิดจากความสำคัญผิดของโจทก์ทั้งสี่แล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่เคยใช้ทางที่โจทก์ทั้งสี่ตกลงใช้ประโยชน์ร่วมกันแต่อย่างใด การกล่าวอ้างดังกล่าวจึงไม่มีมูลความจริง นอกจากนี้การที่โจทก์ทั้งสี่ยื่นคำขอยกเลิกการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ แต่จำเลยที่ ๒ กลับคัดค้านคำขอของโจทก์ทั้งสี่โดยไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอ้างได้โดยชอบ เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๓ ไม่จดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการแบ่งหักที่ดินให้เป็นทางสาธารณประโยชน์อันเกิดจากความสำคัญผิดดังกล่าวของโจทก์ทั้งสี่ ทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนเพิกถอนการแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ของที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๑๓๔๖ โดยเปลี่ยนเป็นการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินไว้เป็นทางเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันแทน และห้ามมิให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ เข้าเกี่ยวข้องหรือกระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการรบกวนโต้แย้งหรือคัดค้านสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ที่มีอยู่ในหรือเหนือทางหรือที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ตามฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๙๔๐ ตำบลเชียงพิณ อำเภอเมืองอุดร จังหวัดอุดรธานี แต่เนื่องจากที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ ถูกที่ดินที่มีเจ้าของกรรมสิทธิ์ปิดล้อมไม่สามารถเข้าออกเพื่อทำประโยชน์ได้ จำเลยที่ ๑ถือเป็นผู้ได้รับทำให้ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ จำเป็นต้องหาทางเข้าออกสู่สาธารณประโยชน์หลังจากตรวจสอบพบว่า ที่ดินด้านหน้าติดกับที่ดินด้านหลังของโจทก์ทั้งสี่มีทางหลวงสุขาภิบาลซึ่งโจทก์ทั้งสี่ได้อุทิศที่ดินเนื้อที่ ๓๕ ตารางวา ให้เป็นทางสุขาภิบาลให้ใช้เป็นทางสาธารณประโยชน์ที่ดินดังกล่าวจึงมีสภาพตกเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน แต่จำเลยที่ ๑ไม่สามารถใช้เส้นทางเข้าออกได้เพราะมีประตูเหล็ก รั้ว ก่ออิฐถือปูนและสิ่งปลูกสร้างอื่นที่โจทก์ทั้งสี่ทำขึ้นปิดกั้นไว้จำเลยที่ ๑ จึงร้องเรียนต่อจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ดูแลรักษาทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อให้ดำเนินการเปิดทางที่ปิดกั้นให้สามารถใช้เป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันได้ อันเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ขอให้ยกฟ้อง นอกจากนี้จำเลยที่ ๑ ฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าทางพิพาทในคดีนี้เป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันให้รื้อถอนประตูเหล็กรั้วก่ออิฐถือปูนและสิ่งปลูกสร้างอื่นที่ปิดกั้นทางเข้าออกเพื่อเปิดเส้นทางที่ถูกปิดกั้นให้จำเลยที่ ๑ ใช้ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันได้ต่อไปกับห้ามมิให้โจทก์ทั้งสี่เข้ามาเกี่ยวข้องหรือกระทำด้วยประการใดอันเป็นการรบกวนการใช้ทางพิพาทนี้ของจำเลยที่ ๑ อย่างทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๒ ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่ แต่ได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๙๖ การที่จำเลยที่ ๑ มีหนังสือร้องเรียนมายังจำเลยที่ ๒ ว่าไม่สามารถใช้ทางหลวงสุขาภิบาลได้ เนื่องจากมีการก่อสร้างรั้วกำแพงกั้นและจากการตรวจสอบพบว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นทางสาธารณประโยชน์ การคัดค้านดังกล่าวเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด คดีนี้เป็นคดีปกครอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากจำเลยที่ ๓ ไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย คดีนี้เป็นคดีปกครองซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองการที่จำเลยที่ ๓ มิได้จดทะเบียนเพิกถอนการแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์เพราะอำนาจดังกล่าวเป็นของอธิบดีกรมที่ดินตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน จำเลยที่ ๓มีหน้าที่เพียงเสนอความเห็นเพื่อพิจารณา จึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่เคยมีเจตนาให้ทางดังกล่าวที่ปรากฏในที่ดินตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ เป็นทางสาธารณะที่ประชาชนใช้ร่วมกัน เพียงแต่ประสงค์ให้เป็นทางที่โจทก์ทั้งสี่และทายาทที่เกี่ยวข้องได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน นิติกรรมแบ่งแยกและยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะเป็นนิติกรรมที่เกิดขึ้นโดยความสำคัญผิดเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นการใช้ประโยชน์ระหว่างญาติผู้เกี่ยวข้อง ทางที่กล่าวอ้างไม่เคยมีสภาพการใช้งานที่เป็นไปในลักษณะที่เป็นทางสาธารณะที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ส่วนประตูเหล็ก รั้วก่ออิฐถือปูนหรือสิ่งปลูกสร้างตามที่กล่าวอ้างล้วนเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในอดีตและไม่เคยเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้งานแต่ประการใดโจทก์ทั้งสี่ไม่ได้กระทำสิ่งใดขึ้นมาเพื่อปิดกั้นทางที่มีสภาพเป็นทางสาธารณะที่ประชาชนใช้ร่วมกันตามที่จำเลยที่ ๑ กล่าวอ้าง
ในวันนัดพร้อมคดี ก่อนวันนัดสืบพยาน จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง เนื่องจากการคัดค้านการขอเพิกถอนการจดทะเบียนและการปฏิเสธไม่ยอมจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรม เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายจึงเป็นคดีพิพาททางปกครอง มิใช่คดีพิพาททางแพ่ง
ศาลจังหวัดอุดรธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีพิพาทของโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยทั้งสามนั้นเป็นการพิพาทเกี่ยวกับเรื่องการขอให้จำเลยที่ ๓ จดทะเบียนเพิกถอนการแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ของที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ ๓๑๓๔๖ ตำบลบ้านเลื่อม อำเภอเมืองอุดรธานีจังหวัดอุดรธานี ที่ทำไว้ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๐ โดยเปลี่ยนเป็นการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินไว้เป็นทางเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน และห้ามมิให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เข้าเกี่ยวข้องหรือทำด้วยประการใดๆอันเป็นการรบกวนโต้แย้งหรือคัดค้านสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ที่มีอยู่ในหรือเหนือทางหรือที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ตามฟ้อง ถือว่าเป็นการพิพาทตามประมวลกฎหมายที่ดินเรื่องที่วินิจฉัยจึงเป็นกรณีพิพาทว่าเป็นทางที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันหรือทางสาธารณประโยชน์หรือทางหลวงสุขาภิบาล เป็นการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองขอนแก่นพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ จะเห็นได้ว่า ศาลยุติธรรมเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีโดยทั่วไป เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น ในขณะที่ศาลปกครองเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐของรัฐด้วยกันเอง อันเนื่องมาจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่ต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายหรือเป็นการดำเนินกิจการทางปกครองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมถึงคดีพิพาทตามที่กฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลปกครองด้วย ทั้งนี้เว้นแต่เรื่องที่กฎหมายบัญญัติยกเว้นไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง หากคดีใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองและไม่เข้าข้อยกเว้นตามที่กฎหมายบัญญัติ ศาลปกครองย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้นได้ และศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้นสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อแบ่งแยกที่ดิน ตามมาตรา ๗๙แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๗๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งมีอำนาจสอบสวนคู่กรณี และเรียกให้บุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องได้ตามความจำเป็นตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๗๑ และมาตรา ๗๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ดังนั้น การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายจึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองที่มีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของบุคคล การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การที่โจทก์ทั้งสี่ยื่นฟ้องคดีต่อศาลโดยประสงค์เพื่อขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ของที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ ๓๑๓๔๖ ตำบลบ้านเลื่อม อำเภอเมืองอุดรธานีจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสี่ เนื่องจากการจดทะเบียนดังกล่าวเกิดจากความผิดพลาดคลาดเคลื่อนและสำคัญผิดของโจทก์ทั้งสี่ โดยโจทก์ทั้งสี่ประสงค์จะจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินดังกล่าวเพื่อเป็นทางสำหรับใช้ประโยชน์เฉพาะโจทก์ทั้งสี่และบริวารเท่านั้น และขอให้จดทะเบียนใหม่ให้ถูกต้องเพื่อเป็นทางที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันเฉพาะโจทก์ทั้งสี่และบริวาร รวมถึงขอให้มีการแก้ไขรูปแผนที่และระวางโฉนดที่ดินให้ถูกต้องตามความเป็นจริง จึงเป็นการฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานีซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่และมีอำนาจในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อแบ่งแยกที่ดิน ตามมาตรา ๗๙ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่โจทก์ทั้งสี่ระบุในคำฟ้องว่า สำนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานีเป็นจำเลยที่ ๓ ย่อมหมายถึงเจ้าพนักงานที่ดินนั่นเองข้อพิพาทในประเด็นนี้จึงเป็นคดีที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจำเลยที่ ๓ ดำเนินการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินแปลงที่โจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของเพื่อแบ่งหักเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการแบ่งหักที่ดินดังกล่าวซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครอง แล้วให้จดทะเบียนใหม่ให้ถูกต้อง จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเพื่อแบ่งหักที่ดินดังกล่าวตามคำขอของโจทก์ทั้งสี่ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
ส่วนกรณีจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นราชการส่วนท้องถิ่นที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเทศบาลพุทธศักราช ๒๔๙๖ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ กำหนดให้จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน เพื่อมิให้ผู้ใดนำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว การที่จำเลยที่ ๒ มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทั้งสี่เปิดทางสาธารณประโยชน์เพื่อทางพิพาทสามารถเปิดใช้ได้อย่างทางสาธารณประโยชน์และคัดค้านการขอจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ของโจทก์ทั้งสี่ จึงเป็นกรณีกระทำตามอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อคดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทั้งสี่รื้อถอนกำแพงและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นที่รุกล้ำเข้ามาในทางสาธารณประโยชน์เพื่อให้ทางดังกล่าวสามารถเปิดใช้ได้อย่างทางสาธารณประโยชน์ตามกฎหมายและคัดค้านการขอจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายและขอให้สั่งห้ามมิให้จำเลยที่ ๒ เข้าเกี่ยวข้องหรือกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวน โต้แย้ง หรือคัดค้านสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ที่มีอยู่ในหรือเหนือทางหรือที่ดินของของโจทก์ทั้งสี่ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับให้จำเลยที่ ๒ งดเว้นการคัดค้านการขอเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเพื่อแบ่งแยกที่ดินและให้จำเลยที่ ๒ ถือปฏิบัติต่อกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดที่ดิน เลขที่ ๓๑๓๔๖ ของโจทก์ทั้งสี่ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
สำหรับคำฟ้องของโจทก์ทั้งสี่กรณีฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเอกชนและมีหนังสือขอให้จำเลยที่ ๒ เปิดทางสาธารณประโยชน์หรือทางหลวงเทศบาล ที่โจทก์ทั้งสี่จดทะเบียนแบ่งหักเป็นทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าว เพื่อประสงค์ให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยที่ ๑ เข้ามาเกี่ยวข้องหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการรบกวน โต้แย้ง หรือคัดค้านสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ที่มีอยู่ในหรือเหนือทางหรือที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ และจำเลยที่ ๑ ได้ฟ้องแย้งมาในคำให้การเพื่อขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งว่าทางพิพาทในคดีนี้เป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน และขอให้โจทก์ทั้งสี่รื้อถอนประตูเหล็กหรือกำแพงและสิ่งก่อสร้างอื่นที่โจทก์ทั้งสี่ได้ทำขึ้นปิดกั้นทางเข้าออกทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าว โดยเปิดทางให้จำเลยที่ ๑ สามารถใช้ทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าว โดยห้ามมิให้โจทก์ทั้งสี่เข้ามาเข้ามาเกี่ยวข้องหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการรบกวนการใช้ทางพิพาทดังกล่าว เห็นได้ว่า คำฟ้องและคำฟ้องแย้งดังกล่าวเป็นการฟ้องคดีในประเด็นที่เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวพันสืบเนื่องมาจากการกระทำอันเป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีในประเด็นที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนแบ่งหักที่ดินให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าว และประเด็นที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยที่ ๒ คัดค้านการขอยกเลิกการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยไม่มีเหตุอันควร และห้ามมิให้จำเลยที่ ๒ เข้ามาเกี่ยวข้องหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการรบกวน โต้แย้ง หรือคัดค้านสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ อันเป็นประเด็นปัญหาย่อยของการกระทำที่เป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องคดี ซึ่งสมควรที่จะต้องได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน
ส่วนกรณีที่คดีมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือทางหลวงเทศบาล หรือที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสี่ นั้น เป็นประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดีอันเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะพิจารณาว่า การจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์อันเป็นคำสั่งทางปกครอง และการแจ้งให้เปิดทางสาธารณประโยชน์ รวมถึงการคัดค้านการขอเพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เท่านั้น และแม้การพิจารณาในเรื่องสิทธิในทางพิพาทจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ อีกทั้งจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็มิใช่ผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือผู้ทรงสิทธิครอบครองที่ดินอันเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือทางหลวงเทศบาลเพียงแต่มีกฎหมายกำหนดให้จำเลยที่ ๒ มีอำนาจหน้าที่ทางปกครองในการคุ้มครองและบำรุงดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งรัฐจำเป็นต้องอาศัยและใช้อำนาจเหนือเอกชน ข้อพิพาทในทำนองนี้จึงไม่อาจเป็นคดีพิพาทอันเกี่ยวด้วยสิทธิในที่ดินดังเช่นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยทั่วไป
เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดมาจากการใช่อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง(๑)และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบ ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องเอกชนด้วยกันเองเป็นจำเลยที่ ๑ หน่วยงานทางปกครองเป็นจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ อ้างว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันได้รับที่ดินร่วมกันตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๑๓๔๖ ตำบลบ้านเลื่อม อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีจากมารดา ซึ่งสภาพของที่ดินขณะยกให้มีการก่อสร้างรั้วกำแพงล้อมรอบที่ดินทั้งสี่ด้านต่อมาโจทก์ทั้งสี่แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยยื่นคำขอรวมถึงนำชี้ที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และได้ตกลงเว้นที่ดินไว้เป็นทางสำหรับใช้ประโยชน์ร่วมกันภายใต้ความเข้าใจว่า ทางที่ได้เว้นไว้นั้นเป็นทางที่โจทก์ทั้งสี่และบริวารเท่านั้นที่สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้และยึดเอาแนวรั้วกำแพงด้านในเป็นจุดสิ้นสุดของทางดังกล่าว โจทก์ทั้งสี่มิได้นำชี้ผ่านทะลุกำแพงไปจนถึงที่ดินแปลงข้างเคียง จำเลยที่ ๒ มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ที่ ๑ รื้อกำแพงและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นที่รุกล้ำเข้ามาในทางสาธารณประโยชน์เนื่องจากจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงขอให้จำเลยที่ ๒ เปิดทางสาธารณประโยชน์ (ทางหลวงสุขาภิบาล) โจทก์ทั้งสี่ได้ชี้แจงว่า เหตุดังกล่าวเป็นความคลาดเคลื่อนและสำคัญผิดและเคยขอยกเลิกการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์อันเกิดจากความสำคัญผิดของโจทก์ทั้งสี่แล้ว และจำเลยที่ ๑ ไม่เคยใช้ทางดังกล่าว การที่โจทก์ทั้งสี่ยื่นคำขอยกเลิกการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ แต่จำเลยที่ ๒ คัดค้าน เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๓ ไม่จดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการแบ่งหักที่ดินให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ ทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนเพิกถอนการแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๑๓๔๖ โดยเปลี่ยนเป็นการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินไว้เป็นทางเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันแทน และห้ามมิให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ เข้าเกี่ยวข้องหรือกระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการรบกวนโต้แย้งหรือคัดค้านสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ที่มีอยู่ในหรือเหนือทางหรือที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่า เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๙๔๐ ตำบลเชียงพิณ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ที่ดินดังกล่าวถูกที่ดินที่มีเจ้าของกรรมสิทธิ์ปิดล้อมไม่สามารถเข้าออกเพื่อทำประโยชน์ได้ ทำให้ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษจำเป็นต้องหาทางเข้าออกสู่สาธารณประโยชน์ จากการตรวจสอบพบว่า ที่ดินด้านหน้าติดกับที่ดินด้านหลังของโจทก์ทั้งสี่มีทางหลวงสุขาภิบาล ซึ่งโจทก์ทั้งสี่ได้อุทิศที่ดินเนื้อที่ ๓๕ ตารางวา ให้ใช้เป็นทางสาธารณประโยชน์ ที่ดินดังกล่าวจึงมีสภาพตกเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถใช้เส้นทางเข้าออกได้เพราะมีประตูเหล็ก รั้ว ก่ออิฐถือปูนและสิ่งปลูกสร้างอื่นที่โจทก์ทั้งสี่ทำขึ้นปิดกั้นไว้จำเลยที่ ๑ จึงร้องเรียนต่อจำเลยที่ ๒ ให้ดำเนินการเปิดทางที่ปิดกั้นให้สามารถใช้เป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันได้ และฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ให้รื้อถอนประตูเหล็กรั้วก่ออิฐถือปูนและสิ่งปลูกสร้างอื่นที่ปิดกั้นทางเข้าออกเพื่อเปิดเส้นทางที่ถูกปิดกั้น ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันได้ต่อไป กับห้ามมิให้โจทก์ทั้งสี่เข้ามาเกี่ยวข้องหรือกระทำด้วยประการใดอันเป็นการรบกวนการใช้ทางพิพาทนี้ของจำเลยที่ ๑ อย่างทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่ แต่เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ ๓ ให้การว่า มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ การที่จำเลยที่ ๓ มิได้จดทะเบียนเพิกถอนการแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์อำนาจดังกล่าวเป็นของอธิบดีกรมที่ดิน จำเลยที่ ๓ มีหน้าที่เพียงเสนอความเห็นเพื่อพิจารณา ขอให้ยกฟ้อง
เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ทั้งสี่ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ทางที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเว้นไว้เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันเฉพาะโจทก์ทั้งสี่กับบริวารเท่านั้น หรือเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่จำเลยที่ ๑ มีสิทธิใช้ประโยชน์ได้ด้วยเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไปว่าจำเลยที่ ๓ จะต้องเพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินของโจทก์ทั้งสี่เป็นทางสาธารณะหรือไม่ ดังนั้นจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสาวกัณทิมา พนมสิงห์ ที่ ๑ นางกาญจนาพนมสิงห์ ที่ ๒ นางจิราพร ศรีบูรพา ที่ ๓ นายมนตรี พนมสิงห์ ที่ ๔ โจทก์ นางจีรพันธุ์ รัตน์ประเสริฐกุล ที่ ๑ เทศบาลเมืองหนองสำโรง ที่ ๒ สำนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานี ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๘/๒๕๕๕
วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดอุดรธานี
ระหว่าง
ศาลปกครองขอนแก่น
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดอุดรธานีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๒ นางสาวกัณทิมา พนมสิงห์ ที่ ๑ นางกาญจนาพนมสิงห์ ที่ ๒ นางจิราพร ศรีบูรพา ที่ ๓ นายมนตรี พนมสิงห์ ที่ ๔ โจทก์ ยื่นฟ้อง นางจีรพันธุ์รัตน์ประเสริฐกุล ที่ ๑ เทศบาลเมืองหนองสำโรง ที่ ๒ สำนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานี ที่ ๓ จำเลยต่อศาลจังหวัดอุดรธานี เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๗๒๑/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันได้รับการยกให้ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๑๓๔๖ ตำบลบ้านเลื่อม อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี มาจากนางเที่ยง พนมสิงห์ ผู้เป็นมารดา เมื่อปี ๒๕๓๘ สภาพของที่ดินขณะยกให้มีการก่อสร้างรั้วกำแพงล้อมรอบที่ดินทั้งสี่ด้าน ต่อมาในปี ๒๕๔๐ โจทก์ทั้งสี่ตกลงแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดิน และตกลงเว้นที่ดินไว้สำหรับใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยได้มีการยื่นคำขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานีและนำชี้ที่ดินที่จะทำการแบ่งกรรมสิทธิ์ดังกล่าวและเว้นที่ดินไว้สำหรับเป็นทางตามที่ตกลงกันไว้เป็นที่เรียบร้อย โดยยึดเอาแนวรั้วกำแพงด้านในเป็นจุดสิ้นสุดของทางที่ได้ตกลงจะใช้ประโยชน์ร่วมกัน โจทก์ทั้งสี่มิได้นำชี้ผ่านทะลุกำแพงไปจนถึงที่ดินแปลงข้างเคียง ทั้งนี้ ภายใต้ความเข้าใจของโจทก์ทั้งสี่ที่ว่า ทางที่ได้ทำการเว้นไว้นั้นเป็นทางที่โจทก์ทั้งสี่และบริวารเท่านั้นที่สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ ซึ่งต่อมาโจทก์ทั้งสี่ได้อาศัยใช้ประโยชน์ในที่ดินส่วนของตนและที่ดินส่วนที่เป็นทางร่วมกันมาตลอดจนถึงปัจจุบัน โดยมิได้มีบุคคลอื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้องหรือใช้ประโยชน์ด้วยแต่อย่างใด แต่เมื่อปี ๒๕๕๒ จำเลยที่ ๒ มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ที่ ๑ รื้อกำแพงและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นที่รุกล้ำเข้ามาในทางสาธารณประโยชน์ โดยมีสาเหตุมาจากจำเลยที่ ๑ เจ้าของที่ดินข้างเคียงขอให้จำเลยที่ ๒ เปิดทางสาธารณประโยชน์ (ทางหลวงสุขาภิบาล) เมื่อโจทก์ทั้งสี่ชี้แจงว่า เหตุดังกล่าวเป็นความคลาดเคลื่อนและสำคัญผิด ที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ทางสาธารณประโยชน์ โจทก์ทั้งสี่ประสงค์ใช้ประโยชน์ร่วมกันระหว่างพี่น้องซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันและได้เคยขอยกเลิกการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์อันเกิดจากความสำคัญผิดของโจทก์ทั้งสี่แล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่เคยใช้ทางที่โจทก์ทั้งสี่ตกลงใช้ประโยชน์ร่วมกันแต่อย่างใด การกล่าวอ้างดังกล่าวจึงไม่มีมูลความจริง นอกจากนี้การที่โจทก์ทั้งสี่ยื่นคำขอยกเลิกการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ แต่จำเลยที่ ๒ กลับคัดค้านคำขอของโจทก์ทั้งสี่โดยไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอ้างได้โดยชอบ เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๓ ไม่จดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการแบ่งหักที่ดินให้เป็นทางสาธารณประโยชน์อันเกิดจากความสำคัญผิดดังกล่าวของโจทก์ทั้งสี่ ทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนเพิกถอนการแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ของที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๑๓๔๖ โดยเปลี่ยนเป็นการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินไว้เป็นทางเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันแทน และห้ามมิให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ เข้าเกี่ยวข้องหรือกระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการรบกวนโต้แย้งหรือคัดค้านสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ที่มีอยู่ในหรือเหนือทางหรือที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ตามฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๙๔๐ ตำบลเชียงพิณ อำเภอเมืองอุดร จังหวัดอุดรธานี แต่เนื่องจากที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ ถูกที่ดินที่มีเจ้าของกรรมสิทธิ์ปิดล้อมไม่สามารถเข้าออกเพื่อทำประโยชน์ได้ จำเลยที่ ๑ถือเป็นผู้ได้รับทำให้ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ จำเป็นต้องหาทางเข้าออกสู่สาธารณประโยชน์หลังจากตรวจสอบพบว่า ที่ดินด้านหน้าติดกับที่ดินด้านหลังของโจทก์ทั้งสี่มีทางหลวงสุขาภิบาลซึ่งโจทก์ทั้งสี่ได้อุทิศที่ดินเนื้อที่ ๓๕ ตารางวา ให้เป็นทางสุขาภิบาลให้ใช้เป็นทางสาธารณประโยชน์ที่ดินดังกล่าวจึงมีสภาพตกเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน แต่จำเลยที่ ๑ไม่สามารถใช้เส้นทางเข้าออกได้เพราะมีประตูเหล็ก รั้ว ก่ออิฐถือปูนและสิ่งปลูกสร้างอื่นที่โจทก์ทั้งสี่ทำขึ้นปิดกั้นไว้จำเลยที่ ๑ จึงร้องเรียนต่อจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ดูแลรักษาทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อให้ดำเนินการเปิดทางที่ปิดกั้นให้สามารถใช้เป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันได้ อันเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ขอให้ยกฟ้อง นอกจากนี้จำเลยที่ ๑ ฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าทางพิพาทในคดีนี้เป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันให้รื้อถอนประตูเหล็กรั้วก่ออิฐถือปูนและสิ่งปลูกสร้างอื่นที่ปิดกั้นทางเข้าออกเพื่อเปิดเส้นทางที่ถูกปิดกั้นให้จำเลยที่ ๑ ใช้ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันได้ต่อไปกับห้ามมิให้โจทก์ทั้งสี่เข้ามาเกี่ยวข้องหรือกระทำด้วยประการใดอันเป็นการรบกวนการใช้ทางพิพาทนี้ของจำเลยที่ ๑ อย่างทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๒ ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่ แต่ได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๙๖ การที่จำเลยที่ ๑ มีหนังสือร้องเรียนมายังจำเลยที่ ๒ ว่าไม่สามารถใช้ทางหลวงสุขาภิบาลได้ เนื่องจากมีการก่อสร้างรั้วกำแพงกั้นและจากการตรวจสอบพบว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นทางสาธารณประโยชน์ การคัดค้านดังกล่าวเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด คดีนี้เป็นคดีปกครอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากจำเลยที่ ๓ ไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย คดีนี้เป็นคดีปกครองซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองการที่จำเลยที่ ๓ มิได้จดทะเบียนเพิกถอนการแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์เพราะอำนาจดังกล่าวเป็นของอธิบดีกรมที่ดินตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน จำเลยที่ ๓มีหน้าที่เพียงเสนอความเห็นเพื่อพิจารณา จึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่เคยมีเจตนาให้ทางดังกล่าวที่ปรากฏในที่ดินตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ เป็นทางสาธารณะที่ประชาชนใช้ร่วมกัน เพียงแต่ประสงค์ให้เป็นทางที่โจทก์ทั้งสี่และทายาทที่เกี่ยวข้องได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน นิติกรรมแบ่งแยกและยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะเป็นนิติกรรมที่เกิดขึ้นโดยความสำคัญผิดเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นการใช้ประโยชน์ระหว่างญาติผู้เกี่ยวข้อง ทางที่กล่าวอ้างไม่เคยมีสภาพการใช้งานที่เป็นไปในลักษณะที่เป็นทางสาธารณะที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ส่วนประตูเหล็ก รั้วก่ออิฐถือปูนหรือสิ่งปลูกสร้างตามที่กล่าวอ้างล้วนเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในอดีตและไม่เคยเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้งานแต่ประการใดโจทก์ทั้งสี่ไม่ได้กระทำสิ่งใดขึ้นมาเพื่อปิดกั้นทางที่มีสภาพเป็นทางสาธารณะที่ประชาชนใช้ร่วมกันตามที่จำเลยที่ ๑ กล่าวอ้าง
ในวันนัดพร้อมคดี ก่อนวันนัดสืบพยาน จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง เนื่องจากการคัดค้านการขอเพิกถอนการจดทะเบียนและการปฏิเสธไม่ยอมจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรม เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายจึงเป็นคดีพิพาททางปกครอง มิใช่คดีพิพาททางแพ่ง
ศาลจังหวัดอุดรธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีพิพาทของโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยทั้งสามนั้นเป็นการพิพาทเกี่ยวกับเรื่องการขอให้จำเลยที่ ๓ จดทะเบียนเพิกถอนการแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ของที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ ๓๑๓๔๖ ตำบลบ้านเลื่อม อำเภอเมืองอุดรธานีจังหวัดอุดรธานี ที่ทำไว้ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๐ โดยเปลี่ยนเป็นการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินไว้เป็นทางเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน และห้ามมิให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เข้าเกี่ยวข้องหรือทำด้วยประการใดๆอันเป็นการรบกวนโต้แย้งหรือคัดค้านสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ที่มีอยู่ในหรือเหนือทางหรือที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ตามฟ้อง ถือว่าเป็นการพิพาทตามประมวลกฎหมายที่ดินเรื่องที่วินิจฉัยจึงเป็นกรณีพิพาทว่าเป็นทางที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันหรือทางสาธารณประโยชน์หรือทางหลวงสุขาภิบาล เป็นการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองขอนแก่นพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ จะเห็นได้ว่า ศาลยุติธรรมเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีโดยทั่วไป เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น ในขณะที่ศาลปกครองเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐของรัฐด้วยกันเอง อันเนื่องมาจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่ต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายหรือเป็นการดำเนินกิจการทางปกครองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมถึงคดีพิพาทตามที่กฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลปกครองด้วย ทั้งนี้เว้นแต่เรื่องที่กฎหมายบัญญัติยกเว้นไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง หากคดีใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองและไม่เข้าข้อยกเว้นตามที่กฎหมายบัญญัติ ศาลปกครองย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้นได้ และศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้นสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อแบ่งแยกที่ดิน ตามมาตรา ๗๙แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๗๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งมีอำนาจสอบสวนคู่กรณี และเรียกให้บุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องได้ตามความจำเป็นตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๗๑ และมาตรา ๗๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ดังนั้น การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายจึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองที่มีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของบุคคล การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การที่โจทก์ทั้งสี่ยื่นฟ้องคดีต่อศาลโดยประสงค์เพื่อขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ของที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ ๓๑๓๔๖ ตำบลบ้านเลื่อม อำเภอเมืองอุดรธานีจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสี่ เนื่องจากการจดทะเบียนดังกล่าวเกิดจากความผิดพลาดคลาดเคลื่อนและสำคัญผิดของโจทก์ทั้งสี่ โดยโจทก์ทั้งสี่ประสงค์จะจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินดังกล่าวเพื่อเป็นทางสำหรับใช้ประโยชน์เฉพาะโจทก์ทั้งสี่และบริวารเท่านั้น และขอให้จดทะเบียนใหม่ให้ถูกต้องเพื่อเป็นทางที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันเฉพาะโจทก์ทั้งสี่และบริวาร รวมถึงขอให้มีการแก้ไขรูปแผนที่และระวางโฉนดที่ดินให้ถูกต้องตามความเป็นจริง จึงเป็นการฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานีซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่และมีอำนาจในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อแบ่งแยกที่ดิน ตามมาตรา ๗๙ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่โจทก์ทั้งสี่ระบุในคำฟ้องว่า สำนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานีเป็นจำเลยที่ ๓ ย่อมหมายถึงเจ้าพนักงานที่ดินนั่นเองข้อพิพาทในประเด็นนี้จึงเป็นคดีที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจำเลยที่ ๓ ดำเนินการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินแปลงที่โจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของเพื่อแบ่งหักเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการแบ่งหักที่ดินดังกล่าวซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครอง แล้วให้จดทะเบียนใหม่ให้ถูกต้อง จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเพื่อแบ่งหักที่ดินดังกล่าวตามคำขอของโจทก์ทั้งสี่ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
ส่วนกรณีจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นราชการส่วนท้องถิ่นที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเทศบาลพุทธศักราช ๒๔๙๖ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ กำหนดให้จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน เพื่อมิให้ผู้ใดนำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว การที่จำเลยที่ ๒ มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทั้งสี่เปิดทางสาธารณประโยชน์เพื่อทางพิพาทสามารถเปิดใช้ได้อย่างทางสาธารณประโยชน์และคัดค้านการขอจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ของโจทก์ทั้งสี่ จึงเป็นกรณีกระทำตามอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อคดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทั้งสี่รื้อถอนกำแพงและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นที่รุกล้ำเข้ามาในทางสาธารณประโยชน์เพื่อให้ทางดังกล่าวสามารถเปิดใช้ได้อย่างทางสาธารณประโยชน์ตามกฎหมายและคัดค้านการขอจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายและขอให้สั่งห้ามมิให้จำเลยที่ ๒ เข้าเกี่ยวข้องหรือกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวน โต้แย้ง หรือคัดค้านสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ที่มีอยู่ในหรือเหนือทางหรือที่ดินของของโจทก์ทั้งสี่ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับให้จำเลยที่ ๒ งดเว้นการคัดค้านการขอเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเพื่อแบ่งแยกที่ดินและให้จำเลยที่ ๒ ถือปฏิบัติต่อกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดที่ดิน เลขที่ ๓๑๓๔๖ ของโจทก์ทั้งสี่ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
สำหรับคำฟ้องของโจทก์ทั้งสี่กรณีฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเอกชนและมีหนังสือขอให้จำเลยที่ ๒ เปิดทางสาธารณประโยชน์หรือทางหลวงเทศบาล ที่โจทก์ทั้งสี่จดทะเบียนแบ่งหักเป็นทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าว เพื่อประสงค์ให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยที่ ๑ เข้ามาเกี่ยวข้องหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการรบกวน โต้แย้ง หรือคัดค้านสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ที่มีอยู่ในหรือเหนือทางหรือที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ และจำเลยที่ ๑ ได้ฟ้องแย้งมาในคำให้การเพื่อขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งว่าทางพิพาทในคดีนี้เป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน และขอให้โจทก์ทั้งสี่รื้อถอนประตูเหล็กหรือกำแพงและสิ่งก่อสร้างอื่นที่โจทก์ทั้งสี่ได้ทำขึ้นปิดกั้นทางเข้าออกทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าว โดยเปิดทางให้จำเลยที่ ๑ สามารถใช้ทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าว โดยห้ามมิให้โจทก์ทั้งสี่เข้ามาเข้ามาเกี่ยวข้องหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการรบกวนการใช้ทางพิพาทดังกล่าว เห็นได้ว่า คำฟ้องและคำฟ้องแย้งดังกล่าวเป็นการฟ้องคดีในประเด็นที่เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวพันสืบเนื่องมาจากการกระทำอันเป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีในประเด็นที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนแบ่งหักที่ดินให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าว และประเด็นที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยที่ ๒ คัดค้านการขอยกเลิกการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยไม่มีเหตุอันควร และห้ามมิให้จำเลยที่ ๒ เข้ามาเกี่ยวข้องหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการรบกวน โต้แย้ง หรือคัดค้านสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ อันเป็นประเด็นปัญหาย่อยของการกระทำที่เป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องคดี ซึ่งสมควรที่จะต้องได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน
ส่วนกรณีที่คดีมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือทางหลวงเทศบาล หรือที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสี่ นั้น เป็นประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดีอันเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะพิจารณาว่า การจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์อันเป็นคำสั่งทางปกครอง และการแจ้งให้เปิดทางสาธารณประโยชน์ รวมถึงการคัดค้านการขอเพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เท่านั้น และแม้การพิจารณาในเรื่องสิทธิในทางพิพาทจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ อีกทั้งจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็มิใช่ผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือผู้ทรงสิทธิครอบครองที่ดินอันเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือทางหลวงเทศบาลเพียงแต่มีกฎหมายกำหนดให้จำเลยที่ ๒ มีอำนาจหน้าที่ทางปกครองในการคุ้มครองและบำรุงดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งรัฐจำเป็นต้องอาศัยและใช้อำนาจเหนือเอกชน ข้อพิพาทในทำนองนี้จึงไม่อาจเป็นคดีพิพาทอันเกี่ยวด้วยสิทธิในที่ดินดังเช่นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยทั่วไป
เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดมาจากการใช่อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง(๑)และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบ ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องเอกชนด้วยกันเองเป็นจำเลยที่ ๑ หน่วยงานทางปกครองเป็นจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ อ้างว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันได้รับที่ดินร่วมกันตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๑๓๔๖ ตำบลบ้านเลื่อม อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีจากมารดา ซึ่งสภาพของที่ดินขณะยกให้มีการก่อสร้างรั้วกำแพงล้อมรอบที่ดินทั้งสี่ด้านต่อมาโจทก์ทั้งสี่แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยยื่นคำขอรวมถึงนำชี้ที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และได้ตกลงเว้นที่ดินไว้เป็นทางสำหรับใช้ประโยชน์ร่วมกันภายใต้ความเข้าใจว่า ทางที่ได้เว้นไว้นั้นเป็นทางที่โจทก์ทั้งสี่และบริวารเท่านั้นที่สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้และยึดเอาแนวรั้วกำแพงด้านในเป็นจุดสิ้นสุดของทางดังกล่าว โจทก์ทั้งสี่มิได้นำชี้ผ่านทะลุกำแพงไปจนถึงที่ดินแปลงข้างเคียง จำเลยที่ ๒ มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ที่ ๑ รื้อกำแพงและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นที่รุกล้ำเข้ามาในทางสาธารณประโยชน์เนื่องจากจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงขอให้จำเลยที่ ๒ เปิดทางสาธารณประโยชน์ (ทางหลวงสุขาภิบาล) โจทก์ทั้งสี่ได้ชี้แจงว่า เหตุดังกล่าวเป็นความคลาดเคลื่อนและสำคัญผิดและเคยขอยกเลิกการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์อันเกิดจากความสำคัญผิดของโจทก์ทั้งสี่แล้ว และจำเลยที่ ๑ ไม่เคยใช้ทางดังกล่าว การที่โจทก์ทั้งสี่ยื่นคำขอยกเลิกการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ แต่จำเลยที่ ๒ คัดค้าน เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๓ ไม่จดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการแบ่งหักที่ดินให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ ทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนเพิกถอนการแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๑๓๔๖ โดยเปลี่ยนเป็นการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินไว้เป็นทางเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันแทน และห้ามมิให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ เข้าเกี่ยวข้องหรือกระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการรบกวนโต้แย้งหรือคัดค้านสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ที่มีอยู่ในหรือเหนือทางหรือที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่า เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๙๔๐ ตำบลเชียงพิณ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ที่ดินดังกล่าวถูกที่ดินที่มีเจ้าของกรรมสิทธิ์ปิดล้อมไม่สามารถเข้าออกเพื่อทำประโยชน์ได้ ทำให้ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษจำเป็นต้องหาทางเข้าออกสู่สาธารณประโยชน์ จากการตรวจสอบพบว่า ที่ดินด้านหน้าติดกับที่ดินด้านหลังของโจทก์ทั้งสี่มีทางหลวงสุขาภิบาล ซึ่งโจทก์ทั้งสี่ได้อุทิศที่ดินเนื้อที่ ๓๕ ตารางวา ให้ใช้เป็นทางสาธารณประโยชน์ ที่ดินดังกล่าวจึงมีสภาพตกเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถใช้เส้นทางเข้าออกได้เพราะมีประตูเหล็ก รั้ว ก่ออิฐถือปูนและสิ่งปลูกสร้างอื่นที่โจทก์ทั้งสี่ทำขึ้นปิดกั้นไว้จำเลยที่ ๑ จึงร้องเรียนต่อจำเลยที่ ๒ ให้ดำเนินการเปิดทางที่ปิดกั้นให้สามารถใช้เป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันได้ และฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ให้รื้อถอนประตูเหล็กรั้วก่ออิฐถือปูนและสิ่งปลูกสร้างอื่นที่ปิดกั้นทางเข้าออกเพื่อเปิดเส้นทางที่ถูกปิดกั้น ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันได้ต่อไป กับห้ามมิให้โจทก์ทั้งสี่เข้ามาเกี่ยวข้องหรือกระทำด้วยประการใดอันเป็นการรบกวนการใช้ทางพิพาทนี้ของจำเลยที่ ๑ อย่างทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่ แต่เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ ๓ ให้การว่า มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ การที่จำเลยที่ ๓ มิได้จดทะเบียนเพิกถอนการแบ่งหักที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์อำนาจดังกล่าวเป็นของอธิบดีกรมที่ดิน จำเลยที่ ๓ มีหน้าที่เพียงเสนอความเห็นเพื่อพิจารณา ขอให้ยกฟ้อง
เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ทั้งสี่ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ทางที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเว้นไว้เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันเฉพาะโจทก์ทั้งสี่กับบริวารเท่านั้น หรือเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่จำเลยที่ ๑ มีสิทธิใช้ประโยชน์ได้ด้วยเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไปว่าจำเลยที่ ๓ จะต้องเพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินของโจทก์ทั้งสี่เป็นทางสาธารณะหรือไม่ ดังนั้นจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสาวกัณทิมา พนมสิงห์ ที่ ๑ นางกาญจนาพนมสิงห์ ที่ ๒ นางจิราพร ศรีบูรพา ที่ ๓ นายมนตรี พนมสิงห์ ที่ ๔ โจทก์ นางจีรพันธุ์ รัตน์ประเสริฐกุล ที่ ๑ เทศบาลเมืองหนองสำโรง ที่ ๒ สำนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานี ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๗/๒๕๕๕
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๒ กรมส่งเสริมสหกรณ์ โจทก์ ยื่นฟ้อง บริษัทดับบลิวไอซี จำกัด ที่ ๑ ธนาคารกรุงไทย จำกัด ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๑๔๙/๒๕๕๒ ความว่า เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๐ โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ ๑ ให้เป็นผู้พัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์เป็นเงินจำนวน ๕,๙๙๐,๐๐๐ บาท โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ ๑ เป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๕๙๙,๐๐๐ บาท แต่เมื่อครบกำหนดตามสัญญาจ้าง จำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามสัญญา โดยส่งมอบงานไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่ระบุไว้ในสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถนำโปรแกรมและเครื่องคอมพิวเตอร์เครือข่าย รวมทั้งเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ไปใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ของสัญญา โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ดำเนินการส่งมอบงานตามสัญญา ซึ่งต่อมาจำเลยที่ ๑ มีหนังสือขอให้โจทก์ขยายเวลา แต่โจทก์ไม่เห็นสมควรให้ขยายเวลา เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๓ โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าปรับตามสัญญาเป็นเงินจำนวน ๑,๐๓๖,๒๗๐ บาท ให้แก่โจทก์ภายในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๓ และโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันให้แก่โจทก์ด้วย แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินจำนวน ๑,๗๓๖,๑๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๑,๐๓๖,๒๗๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเลิกสัญญาของโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เกิดขึ้นโดยมิใช่ความผิดของจำเลยที่ ๑ แต่เป็นความผิดของโจทก์เอง และโจทก์ยังไม่ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง นอกจากนี้การเลิกสัญญาของโจทก์เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ ๒ มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิติกรรมอันเกิดจากการกระทำระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ ประกอบกับจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งจำเลยที่ ๒ ว่า มิได้ปฏิบัติผิดสัญญาต่อโจทก์ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ อีกทั้งจำเลยที่ ๒ มิได้มีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมต่อโจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นของโจทก์ทำความเสียหายให้แก่โจทก์จริง โจทก์จะต้องไปบังคับชำระหนี้เอากับลูกหนี้ของโจทก์ก่อน คดีขาดอายุความ ค่าเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างอยู่นอกเหนือความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ ๒ ไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง และจำนวนค่าเสียหายไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้โจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครอง และสัญญาว่าจ้างที่โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ ๑ ซึ่งวัตถุประสงค์ของสัญญาเป็นการจัดจ้างพัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการให้บริการแก่ประชาชนหรือสมาชิกของโจทก์ที่ติดต่อกับโจทก์เพื่อให้มีความสะดวกรวดเร็วและสามารถใช้กับงานของโจทก์ได้ทุกระบบครบวงจรโดยไม่จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ โดยจำเลยจะต้องทำการฝึกอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ของโจทก์หลังทำการพัฒนาระบบโปรแกรมแล้วเสร็จ ทั้งระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังกล่าวนั้นก็จะต้องมีการปรับปรุงพัฒนาอยู่ตลอดเพื่อให้ทันต่อการให้บริการประชาชน สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ อันเป็นมูลเหตุพิพาทจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ คดีพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐมีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ มีอำนาจหน้าที่ส่งเสริมแนะนำและเผยแพร่การสหกรณ์ให้ความรู้หลักการแก่บุคลากร กลุ่มเกษตรกรและประชาชนทั่วไป โจทก์จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นสัญญาจ้างพัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ในสถานที่ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ สัญญาจ้างดังกล่าวที่มีการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์พร้อมโปรแกรมและอุปกรณ์เพื่อให้โจทก์มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยใช้ในการปฏิบัติงานให้มีความสะดวกรวดเร็ว ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวจึงไม่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองแต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นกรมมีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยมีภารกิจเกี่ยวกับการส่งเสริม เผยแพร่ ให้ความรู้เกี่ยวกับอุดมการณ์ หลักการและวิธีการสหกรณ์ให้แก่บุคลากรสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรและประชาชนทั่วไป ส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาระบบสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็ง ฯลฯ ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ อันเป็นภารกิจเกี่ยวกับการจัดทำบริการสาธารณะอย่างหนึ่งที่รัฐเป็นผู้จัดทำ การที่โจทก์ได้ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ ๑ ให้พัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานเป็นเครื่องมือในการให้บริการแก่ประชาชนหรือสมาชิกของโจทก์ที่ติดต่อกับโจทก์เพื่อให้มีความสะดวก รวดเร็ว และสามารถใช้งานของโจทก์ได้ทุกระบบครบวงจรโดยไม่จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ รวมทั้งต้องมีการปรับปรุงพัฒนาโปรแกรมอยู่ตลอด เพื่อให้ทันต่อการให้บริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง อันเป็นประโยชน์และเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์สำคัญที่จำเป็นต่อการให้บริการจัดทำบริการสาธารณะของโจทก์ให้บรรลุผล ดังนั้น สัญญาที่โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ ๑ พัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์จึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ ๒ ให้ไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาจ้างดังกล่าวเป็นสัญญาอุปกรณ์ เมื่อข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาหลักอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นสัญญาอุปกรณ์ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองด้วยเช่นกัน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ โจทก์เป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นกรม สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๙ (๑๑) ภารกิจเกี่ยวกับการส่งเสริม เผยแพร่ ให้ความรู้เกี่ยวกับอุดมการณ์ หลักการและวิธีการสหกรณ์ให้แก่บุคลากรสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และประชาชนทั่วไป ฯลฯ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเอกชนผิดสัญญาว่าจ้างพัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ ขอให้ รับผิดตามสัญญา ส่วนจำเลยที่ ๑ให้การว่า ไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา กรณีจึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาว่าจ้างพัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ คดีนี้จึงต้องพิจารณาว่า สัญญาว่าจ้างพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้น เมื่อสัญญาว่าจ้างพัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ มีสาระสำคัญให้จำเลยที่ ๑ พัฒนาโปรแกรมระบบงานสหกรณ์และติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ให้แก่หน่วยงานโจทก์ เพื่อนำไปติดตั้งใช้งานที่สหกรณ์ สามารถรวบรวมและเรียกใช้ข้อมูลของสหกรณ์ประเภทที่โจทก์ต้องการได้ผ่านโปรแกรมระบบงาน โดยจำเลยที่ ๑ จะต้องจัดส่งและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ พร้อมโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับระบบงานทุกระบบ ตลอดจนเดินสายเชื่อมโยงเครือข่ายและการติดต่อสื่อสารในระบบงานสหกรณ์ของโจทก์ให้ใช้งานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้โจทก์มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยใช้ในการปฏิบัติงานตามภารกิจในการดำเนินบริการสาธารณะของโจทก์ให้มีความสะดวก รวดเร็ว และสามารถใช้งานได้ทุกระบบครบวงจร การพัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ดังกล่าวจึงเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์สำคัญที่จำเป็นต่อการจัดทำบริการสาธารณะของโจทก์ให้บรรลุผล สัญญาว่าจ้างพัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นสัญญาอุปกรณ์ ก็อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองเช่นเดียวกัน
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง กรมส่งเสริมสหกรณ์ โจทก์ บริษัทดับบลิวไอซี จำกัด ที่ ๑ ธนาคารกรุงไทย จำกัด ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์/คัดทาน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๗/๒๕๕๕
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๒ กรมส่งเสริมสหกรณ์ โจทก์ ยื่นฟ้อง บริษัทดับบลิวไอซี จำกัด ที่ ๑ ธนาคารกรุงไทย จำกัด ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๑๔๙/๒๕๕๒ ความว่า เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๐ โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ ๑ ให้เป็นผู้พัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์เป็นเงินจำนวน ๕,๙๙๐,๐๐๐ บาท โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ ๑ เป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๕๙๙,๐๐๐ บาท แต่เมื่อครบกำหนดตามสัญญาจ้าง จำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามสัญญา โดยส่งมอบงานไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่ระบุไว้ในสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถนำโปรแกรมและเครื่องคอมพิวเตอร์เครือข่าย รวมทั้งเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ไปใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ของสัญญา โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ดำเนินการส่งมอบงานตามสัญญา ซึ่งต่อมาจำเลยที่ ๑ มีหนังสือขอให้โจทก์ขยายเวลา แต่โจทก์ไม่เห็นสมควรให้ขยายเวลา เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๓ โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าปรับตามสัญญาเป็นเงินจำนวน ๑,๐๓๖,๒๗๐ บาท ให้แก่โจทก์ภายในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๓ และโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันให้แก่โจทก์ด้วย แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินจำนวน ๑,๗๓๖,๑๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๑,๐๓๖,๒๗๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเลิกสัญญาของโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เกิดขึ้นโดยมิใช่ความผิดของจำเลยที่ ๑ แต่เป็นความผิดของโจทก์เอง และโจทก์ยังไม่ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง นอกจากนี้การเลิกสัญญาของโจทก์เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ ๒ มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิติกรรมอันเกิดจากการกระทำระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ ประกอบกับจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งจำเลยที่ ๒ ว่า มิได้ปฏิบัติผิดสัญญาต่อโจทก์ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ อีกทั้งจำเลยที่ ๒ มิได้มีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมต่อโจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นของโจทก์ทำความเสียหายให้แก่โจทก์จริง โจทก์จะต้องไปบังคับชำระหนี้เอากับลูกหนี้ของโจทก์ก่อน คดีขาดอายุความ ค่าเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างอยู่นอกเหนือความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ ๒ ไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง และจำนวนค่าเสียหายไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้โจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครอง และสัญญาว่าจ้างที่โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ ๑ ซึ่งวัตถุประสงค์ของสัญญาเป็นการจัดจ้างพัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการให้บริการแก่ประชาชนหรือสมาชิกของโจทก์ที่ติดต่อกับโจทก์เพื่อให้มีความสะดวกรวดเร็วและสามารถใช้กับงานของโจทก์ได้ทุกระบบครบวงจรโดยไม่จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ โดยจำเลยจะต้องทำการฝึกอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ของโจทก์หลังทำการพัฒนาระบบโปรแกรมแล้วเสร็จ ทั้งระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังกล่าวนั้นก็จะต้องมีการปรับปรุงพัฒนาอยู่ตลอดเพื่อให้ทันต่อการให้บริการประชาชน สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ อันเป็นมูลเหตุพิพาทจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ คดีพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐมีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ มีอำนาจหน้าที่ส่งเสริมแนะนำและเผยแพร่การสหกรณ์ให้ความรู้หลักการแก่บุคลากร กลุ่มเกษตรกรและประชาชนทั่วไป โจทก์จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นสัญญาจ้างพัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ในสถานที่ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ สัญญาจ้างดังกล่าวที่มีการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์พร้อมโปรแกรมและอุปกรณ์เพื่อให้โจทก์มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยใช้ในการปฏิบัติงานให้มีความสะดวกรวดเร็ว ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวจึงไม่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองแต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นกรมมีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยมีภารกิจเกี่ยวกับการส่งเสริม เผยแพร่ ให้ความรู้เกี่ยวกับอุดมการณ์ หลักการและวิธีการสหกรณ์ให้แก่บุคลากรสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรและประชาชนทั่วไป ส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาระบบสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็ง ฯลฯ ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ อันเป็นภารกิจเกี่ยวกับการจัดทำบริการสาธารณะอย่างหนึ่งที่รัฐเป็นผู้จัดทำ การที่โจทก์ได้ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ ๑ ให้พัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานเป็นเครื่องมือในการให้บริการแก่ประชาชนหรือสมาชิกของโจทก์ที่ติดต่อกับโจทก์เพื่อให้มีความสะดวก รวดเร็ว และสามารถใช้งานของโจทก์ได้ทุกระบบครบวงจรโดยไม่จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ รวมทั้งต้องมีการปรับปรุงพัฒนาโปรแกรมอยู่ตลอด เพื่อให้ทันต่อการให้บริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง อันเป็นประโยชน์และเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์สำคัญที่จำเป็นต่อการให้บริการจัดทำบริการสาธารณะของโจทก์ให้บรรลุผล ดังนั้น สัญญาที่โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ ๑ พัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์จึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ ๒ ให้ไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาจ้างดังกล่าวเป็นสัญญาอุปกรณ์ เมื่อข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาหลักอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นสัญญาอุปกรณ์ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองด้วยเช่นกัน
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ โจทก์เป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นกรม สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๙ (๑๑) ภารกิจเกี่ยวกับการส่งเสริม เผยแพร่ ให้ความรู้เกี่ยวกับอุดมการณ์ หลักการและวิธีการสหกรณ์ให้แก่บุคลากรสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และประชาชนทั่วไป ฯลฯ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเอกชนผิดสัญญาว่าจ้างพัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ ขอให้ รับผิดตามสัญญา ส่วนจำเลยที่ ๑ให้การว่า ไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา กรณีจึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาว่าจ้างพัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ คดีนี้จึงต้องพิจารณาว่า สัญญาว่าจ้างพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้น เมื่อสัญญาว่าจ้างพัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ มีสาระสำคัญให้จำเลยที่ ๑ พัฒนาโปรแกรมระบบงานสหกรณ์และติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ให้แก่หน่วยงานโจทก์ เพื่อนำไปติดตั้งใช้งานที่สหกรณ์ สามารถรวบรวมและเรียกใช้ข้อมูลของสหกรณ์ประเภทที่โจทก์ต้องการได้ผ่านโปรแกรมระบบงาน โดยจำเลยที่ ๑ จะต้องจัดส่งและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ พร้อมโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับระบบงานทุกระบบ ตลอดจนเดินสายเชื่อมโยงเครือข่ายและการติดต่อสื่อสารในระบบงานสหกรณ์ของโจทก์ให้ใช้งานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้โจทก์มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยใช้ในการปฏิบัติงานตามภารกิจในการดำเนินบริการสาธารณะของโจทก์ให้มีความสะดวก รวดเร็ว และสามารถใช้งานได้ทุกระบบครบวงจร การพัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ดังกล่าวจึงเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์สำคัญที่จำเป็นต่อการจัดทำบริการสาธารณะของโจทก์ให้บรรลุผล สัญญาว่าจ้างพัฒนาโปรแกรมและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นสัญญาอุปกรณ์ ก็อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองเช่นเดียวกัน
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง กรมส่งเสริมสหกรณ์ โจทก์ บริษัทดับบลิวไอซี จำกัด ที่ ๑ ธนาคารกรุงไทย จำกัด ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์/คัดทาน
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๖/๒๕๕๕
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๒ นางพัทยา กิตติเวช โจทก์ ยื่นฟ้องพลตำรวจเอก ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ที่ ๑ นางชัชชมา สมบูรณ์ทรัพย์ ที่ ๒ นายวิชัย เลิศพัฒนพันธุ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๕/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๙๗๙ ตำบลทุ่งสองห้อง (สีกัน) อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ) จังหวัดกรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๑๙๙ ตารางวา เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๙ โจทก์ยื่นคำร้องขอรังวัดสอบเขตที่ดินดังกล่าวต่อสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาดอนเมือง จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เจ้าของที่ดินซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ ด้านทิศตะวันออก ก่อสร้างบ้านลงบนที่ดินของตนโดยเว้นระยะห่างขอบนอกไม่ถูกต้องตาม พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๔๔ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงสมคบกับจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นช่างรังวัดที่ดินที่มาทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ โดยให้จำเลยที่ ๓ กล่าวอ้างกับโจทก์ว่า โจทก์ก่อสร้างรั้วด้านทิศตะวันตกไม่ถึงแนวเขตที่ดิน และให้โจทก์ขยับเสาหลักเขตรั้วออกไปอีก ๑๐ เซ็นติเมตร ทั้ง ๆ ที่โจทก์สร้างรั้วไว้ถูกต้องตามแนวเขตเดิมอยู่แล้ว โดยมีเจตนาจะให้ที่ดินของโจทก์ฝั่งทิศตะวันออกเนื้อที่ประมาณ ๐.๔ ตารางวา ตกเป็นของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อันเป็นผลให้การก่อสร้างอาคารในที่ดินของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีระยะขอบนอกถูกต้องตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๔๔ อันเป็นการหลีกเลี่ยงความผิดตามกฎหมาย ต่อมาวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๑ โจทก์ยื่นเรื่องขอสอบเขตที่ดินอีกครั้ง โดยมีนายประวิทย์ คงนาคา นายช่างรังวัดที่ดินเป็นผู้ดำเนินการรังวัดสอบเขต นายประวิทย์รังวัดที่ดินได้ ๑๙๙.๕ ตารางวา โดยยืนยันรูปแผนที่ดินของโจทก์ตามที่ จำเลยที่ ๓ ได้รังวัดไว้ ส่วนเนื้อที่เพิ่มมา ๐.๕ ตารางวานั้น เป็นเนื้อที่ดินพิพาท ๐.๔ ตารางวา บวกกับที่ดินมุมปาดที่จำเลยที่ ๓ ปักเสาหลักเขตไว้อีก ๐.๑ ตารางวา จากการรังวัดที่ดินของนายประวิทย์แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๓ รังวัดที่ดินของโจทก์รุกล้ำที่ดินสาธารณูปโภคของหมู่บ้านจัดสรรทั้งสองด้านคือ ด้านซอยแจ้งวัฒนะ ๑๔ เนื้อที่ ๐.๔ ตารางวา และที่มุมปาดมุมซอยเกษตร ๐.๑ ตารางวา โดยมีเจตนาไม่สุจริต ขอให้เพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ของจำเลยที่ ๓ ที่ได้กระทำไว้ในโฉนดที่ดินของโจทก์ โดยให้มีผลถึงการเพิกถอนการรังวัดสอบเขตและรูปแผนที่ต้นร่างที่กระทำโดยนายประวิทย์ คงนาคา ด้วย และให้ศาลมีคำสั่งเป็นหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาดอนเมือง ดำเนินการรังวัดสอบเขตและให้ปักเสาหลักเขตที่ดินของโจทก์เสียใหม่ให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ตามคำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๓ ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำละเมิดต่อโจทก์อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จะสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของจำเลยที่ ๓ ในการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ และจัดทำรูปแผนที่ไว้ในโฉนดที่ดินของโจทก์ แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ที่จำเลยที่ ๓ เป็นผู้จัดทำนั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นสำคัญ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง และการพิจารณาว่าคดีที่ฟ้องนั้นเป็นคดีประเภทใด อยู่ในเขตอำนาจของศาลใดต้องพิจารณาจากข้อกล่าวหาที่บรรยายมาในคำฟ้องและคำขอที่โจทก์ขอให้มีการแก้ไขเยียวยาความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นหลัก โดยต้องพิจารณาว่าประเด็นพิพาทใดเป็นประเด็นพิพาทหลักของคดีที่จะทำให้คดีเสร็จไปจากศาล คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า โจทก์ได้ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๙๗๙ แขวงทุ่งสองห้อง (สีกัน) เขตบางเขน (ตลาดขวัญ) กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นช่างรังวัดที่ดินที่มาดำเนินการรังวัดได้สมคบกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ กล่าวอ้างว่า โจทก์ก่อสร้างรั้วด้านทิศตะวันตกไม่ถึงแนวเขตที่ดิน และให้โจทก์ขยับเสาหลักเขตรั้วออกไปอีก ๑๐ เซ็นติเมตร ทั้งที่โจทก์ได้สร้างรั้วไว้ถูกต้องตามหลักเขตเดิมโดยมีเจตนาที่จะตัดที่ดินด้านทิศตะวันออกเนื้อที่ประมาณ ๐.๔ ตารางวา ของโจทก์ ให้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดต่อกับที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออกเพื่อเป็นผลให้อาคารที่ก่อสร้างของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีระยะขอบนอกของอาคารถึงเขตที่ดินถูกต้องตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๔๔ อันเป็นการหลีกเลี่ยงความผิดตามกฎหมายการดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยที่ ๓ เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต และทำให้ที่ดินของโจทก์ไปรุกล้ำที่ดินในส่วนที่เป็นสาธารณูปโภคของหมู่บ้านจัดสรร จึงฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ของจำเลยที่ ๓ ที่ได้กระทำไว้ในที่ดินของโจทก์ โดยให้มีผลถึงการเพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ต้นร่างที่กระทำโดยนายประวิทย์ คงนาคา ด้วย และให้ดำเนินการรังวัดสอบเขตและปักเสาหลักเขตที่ดินของโจทก์ให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง เห็นว่า จำเลยที่ ๓ เป็นข้าราชการในสังกัดกรมที่ดินซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ ได้ดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตอันเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลเพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ที่จำเลยที่ ๓ ดำเนินการและให้ดำเนินการรังวัดสอบเขตและปักเสาหลักเขตที่ดินของโจทก์ให้ถูกต้อง ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ ๓ ดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา ๖๙ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน การที่โจทก์บรรยายฟ้องโดยมุ่งประสงค์ให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของจำเลยที่ ๓ ซึ่งทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยมีคำขอให้เพิกถอนผลการรังวัดสอบเขตของจำเลยที่ ๓ และให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โดยไม่มีกรณีที่ศาลต้องชี้ว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ใด และแม้ว่าประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณีตามความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลของศาลแพ่ง หากมีอยู่จริงศาลปกครองก็มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวได้ เพราะเมื่อคดีนี้เป็นคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลปกครองแล้ว ศาลปกครองย่อมมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันเป็นประเด็นข้อเท็จจริงหนึ่งในคดีได้ และเป็นกรณีที่ต้องวินิจฉัยในชั้นการพิจารณาเนื้อหาของคดี และถึงแม้ว่าการพิจารณาในเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด และไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดี หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังบัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่าอันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันได้ว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์และนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ ตามมาตรา ๒๒๓ ประกอบกับมาตรา ๒๑๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นช่างรังวัดที่ดินดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต กล่าวอ้างว่าโจทก์ก่อสร้างรั้วด้านทิศตะวันตก ไม่ถึงแนวเขตที่ดิน และให้โจทก์ขยับเสาหลักเขตรั้วออกไปอีก ๑๐ เซ็นติเมตร โดยมีเจตนาที่จะตัดที่ดินด้านทิศตะวันออก เนื้อที่ประมาณ ๐.๔ ตารางวา ของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดต่อกับที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออก เพื่อให้อาคารที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก่อสร้างมีระยะขอบนอกอาคารถึงเขตที่ดินถูกต้องตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๔๔ อันเป็นการหลีกเลี่ยงความผิดตามกฎหมาย ทำให้ที่ดินของโจทก์ไปรุกล้ำที่ดินในส่วนที่เป็นสาธารณูปโภคของหมู่บ้านจัดสรร ขอให้เพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทและรูปแผนที่ของจำเลยที่ ๓ และให้ดำเนินการรังวัดสอบเขตและให้ปักเสาหลักเขตที่ดินของโจทก์ให้ถูกต้อง กรณีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์มุ่งประสงค์ให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา ๖๙ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อให้ศาลเพิกถอนผลการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีคำสั่งให้ดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินให้ถูกต้อง คดีไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ใด ดังนั้นข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางพัทยา กิตติเวช โจทก์ พลตำรวจเอก ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ที่ ๑ นางชัชชมา สมบูรณ์ทรัพย์ ที่ ๒ นายวิชัย เลิศพัฒนพันธุ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
ไม่มีย่อสั้น
(สำนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๖/๒๕๕๕
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๒ นางพัทยา กิตติเวช โจทก์ ยื่นฟ้องพลตำรวจเอก ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ที่ ๑ นางชัชชมา สมบูรณ์ทรัพย์ ที่ ๒ นายวิชัย เลิศพัฒนพันธุ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๕/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๙๗๙ ตำบลทุ่งสองห้อง (สีกัน) อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ) จังหวัดกรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๑๙๙ ตารางวา เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๙ โจทก์ยื่นคำร้องขอรังวัดสอบเขตที่ดินดังกล่าวต่อสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาดอนเมือง จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เจ้าของที่ดินซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ ด้านทิศตะวันออก ก่อสร้างบ้านลงบนที่ดินของตนโดยเว้นระยะห่างขอบนอกไม่ถูกต้องตาม พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๔๔ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงสมคบกับจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นช่างรังวัดที่ดินที่มาทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ โดยให้จำเลยที่ ๓ กล่าวอ้างกับโจทก์ว่า โจทก์ก่อสร้างรั้วด้านทิศตะวันตกไม่ถึงแนวเขตที่ดิน และให้โจทก์ขยับเสาหลักเขตรั้วออกไปอีก ๑๐ เซ็นติเมตร ทั้ง ๆ ที่โจทก์สร้างรั้วไว้ถูกต้องตามแนวเขตเดิมอยู่แล้ว โดยมีเจตนาจะให้ที่ดินของโจทก์ฝั่งทิศตะวันออกเนื้อที่ประมาณ ๐.๔ ตารางวา ตกเป็นของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อันเป็นผลให้การก่อสร้างอาคารในที่ดินของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีระยะขอบนอกถูกต้องตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๔๔ อันเป็นการหลีกเลี่ยงความผิดตามกฎหมาย ต่อมาวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๑ โจทก์ยื่นเรื่องขอสอบเขตที่ดินอีกครั้ง โดยมีนายประวิทย์ คงนาคา นายช่างรังวัดที่ดินเป็นผู้ดำเนินการรังวัดสอบเขต นายประวิทย์รังวัดที่ดินได้ ๑๙๙.๕ ตารางวา โดยยืนยันรูปแผนที่ดินของโจทก์ตามที่ จำเลยที่ ๓ ได้รังวัดไว้ ส่วนเนื้อที่เพิ่มมา ๐.๕ ตารางวานั้น เป็นเนื้อที่ดินพิพาท ๐.๔ ตารางวา บวกกับที่ดินมุมปาดที่จำเลยที่ ๓ ปักเสาหลักเขตไว้อีก ๐.๑ ตารางวา จากการรังวัดที่ดินของนายประวิทย์แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๓ รังวัดที่ดินของโจทก์รุกล้ำที่ดินสาธารณูปโภคของหมู่บ้านจัดสรรทั้งสองด้านคือ ด้านซอยแจ้งวัฒนะ ๑๔ เนื้อที่ ๐.๔ ตารางวา และที่มุมปาดมุมซอยเกษตร ๐.๑ ตารางวา โดยมีเจตนาไม่สุจริต ขอให้เพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ของจำเลยที่ ๓ ที่ได้กระทำไว้ในโฉนดที่ดินของโจทก์ โดยให้มีผลถึงการเพิกถอนการรังวัดสอบเขตและรูปแผนที่ต้นร่างที่กระทำโดยนายประวิทย์ คงนาคา ด้วย และให้ศาลมีคำสั่งเป็นหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาดอนเมือง ดำเนินการรังวัดสอบเขตและให้ปักเสาหลักเขตที่ดินของโจทก์เสียใหม่ให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ตามคำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๓ ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำละเมิดต่อโจทก์อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จะสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของจำเลยที่ ๓ ในการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ และจัดทำรูปแผนที่ไว้ในโฉนดที่ดินของโจทก์ แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ที่จำเลยที่ ๓ เป็นผู้จัดทำนั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นสำคัญ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง และการพิจารณาว่าคดีที่ฟ้องนั้นเป็นคดีประเภทใด อยู่ในเขตอำนาจของศาลใดต้องพิจารณาจากข้อกล่าวหาที่บรรยายมาในคำฟ้องและคำขอที่โจทก์ขอให้มีการแก้ไขเยียวยาความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นหลัก โดยต้องพิจารณาว่าประเด็นพิพาทใดเป็นประเด็นพิพาทหลักของคดีที่จะทำให้คดีเสร็จไปจากศาล คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า โจทก์ได้ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๙๗๙ แขวงทุ่งสองห้อง (สีกัน) เขตบางเขน (ตลาดขวัญ) กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นช่างรังวัดที่ดินที่มาดำเนินการรังวัดได้สมคบกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ กล่าวอ้างว่า โจทก์ก่อสร้างรั้วด้านทิศตะวันตกไม่ถึงแนวเขตที่ดิน และให้โจทก์ขยับเสาหลักเขตรั้วออกไปอีก ๑๐ เซ็นติเมตร ทั้งที่โจทก์ได้สร้างรั้วไว้ถูกต้องตามหลักเขตเดิมโดยมีเจตนาที่จะตัดที่ดินด้านทิศตะวันออกเนื้อที่ประมาณ ๐.๔ ตารางวา ของโจทก์ ให้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดต่อกับที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออกเพื่อเป็นผลให้อาคารที่ก่อสร้างของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีระยะขอบนอกของอาคารถึงเขตที่ดินถูกต้องตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๔๔ อันเป็นการหลีกเลี่ยงความผิดตามกฎหมายการดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยที่ ๓ เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต และทำให้ที่ดินของโจทก์ไปรุกล้ำที่ดินในส่วนที่เป็นสาธารณูปโภคของหมู่บ้านจัดสรร จึงฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ของจำเลยที่ ๓ ที่ได้กระทำไว้ในที่ดินของโจทก์ โดยให้มีผลถึงการเพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ต้นร่างที่กระทำโดยนายประวิทย์ คงนาคา ด้วย และให้ดำเนินการรังวัดสอบเขตและปักเสาหลักเขตที่ดินของโจทก์ให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง เห็นว่า จำเลยที่ ๓ เป็นข้าราชการในสังกัดกรมที่ดินซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ ได้ดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตอันเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลเพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ที่จำเลยที่ ๓ ดำเนินการและให้ดำเนินการรังวัดสอบเขตและปักเสาหลักเขตที่ดินของโจทก์ให้ถูกต้อง ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ ๓ ดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา ๖๙ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน การที่โจทก์บรรยายฟ้องโดยมุ่งประสงค์ให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของจำเลยที่ ๓ ซึ่งทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยมีคำขอให้เพิกถอนผลการรังวัดสอบเขตของจำเลยที่ ๓ และให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โดยไม่มีกรณีที่ศาลต้องชี้ว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ใด และแม้ว่าประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณีตามความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลของศาลแพ่ง หากมีอยู่จริงศาลปกครองก็มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวได้ เพราะเมื่อคดีนี้เป็นคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลปกครองแล้ว ศาลปกครองย่อมมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันเป็นประเด็นข้อเท็จจริงหนึ่งในคดีได้ และเป็นกรณีที่ต้องวินิจฉัยในชั้นการพิจารณาเนื้อหาของคดี และถึงแม้ว่าการพิจารณาในเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด และไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดี หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังบัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่าอันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันได้ว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์และนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ ตามมาตรา ๒๒๓ ประกอบกับมาตรา ๒๑๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นช่างรังวัดที่ดินดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต กล่าวอ้างว่าโจทก์ก่อสร้างรั้วด้านทิศตะวันตก ไม่ถึงแนวเขตที่ดิน และให้โจทก์ขยับเสาหลักเขตรั้วออกไปอีก ๑๐ เซ็นติเมตร โดยมีเจตนาที่จะตัดที่ดินด้านทิศตะวันออก เนื้อที่ประมาณ ๐.๔ ตารางวา ของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดต่อกับที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออก เพื่อให้อาคารที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก่อสร้างมีระยะขอบนอกอาคารถึงเขตที่ดินถูกต้องตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๔๔ อันเป็นการหลีกเลี่ยงความผิดตามกฎหมาย ทำให้ที่ดินของโจทก์ไปรุกล้ำที่ดินในส่วนที่เป็นสาธารณูปโภคของหมู่บ้านจัดสรร ขอให้เพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทและรูปแผนที่ของจำเลยที่ ๓ และให้ดำเนินการรังวัดสอบเขตและให้ปักเสาหลักเขตที่ดินของโจทก์ให้ถูกต้อง กรณีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์มุ่งประสงค์ให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา ๖๙ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อให้ศาลเพิกถอนผลการรังวัดสอบเขตที่ดินและรูปแผนที่ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีคำสั่งให้ดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินให้ถูกต้อง คดีไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ใด ดังนั้นข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางพัทยา กิตติเวช โจทก์ พลตำรวจเอก ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ที่ ๑ นางชัชชมา สมบูรณ์ทรัพย์ ที่ ๒ นายวิชัย เลิศพัฒนพันธุ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕/๒๕๕๕
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๑ นายสุวรรณ์ ศรีลาชัย โจทก์ ยื่นฟ้องกระทรวงการคลัง ที่ ๑ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๔๙๓/๒๕๕๑ ความว่า โจทก์มีอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๑ โจทก์ยืนรอรับส่งผู้โดยสารบริเวณด้านหน้าประตูทางเข้า - ออก (ประตูที่ ๔) ซึ่งเป็นประตูเหล็กอัลลอยย์ของจำเลยที่ ๑ แต่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๒ ปรากฏว่าประตูเหล็กอัลลอยย์ดังกล่าวมีสภาพชำรุด หรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอ ล้มทับตัวโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บ กระดูกสันหลังข้อที่ ๕ ยุบตัว และกระดูกต้นขาซ้ายหัก จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองประตูเหล็กอัลลอยย์ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้ครอบครองประตูที่เกิดเหตุเพราะจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าวตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ การที่ตัวยึดรางล้อด้านบนของประตูเหล็กหักมาล้มทับโจทก์เกิดจากอุบัติเหตุไม่มีผู้ใดคาดหมายได้ เนื่องจากก่อนวันเกิดเหตุประตู ที่เกิดเหตุมีลักษณะมั่นคงแข็งแรงอยู่ในสภาพใช้การได้ดีตามปกติ จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ ค่าเสียหายสูงเกินจริง จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ตามคำฟ้องโจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งสอง ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองได้กระทำละเมิดเนื่องจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่มาตรา ๔๓๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดให้ต้องปฏิบัติ ในการแก้ไขความชำรุดบกพร่องหรือบำรุงรักษาทรัพย์สินในการครอบครองของจำเลยทั้งสองให้อยู่ในสภาพที่ดีเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บ จึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๐ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงิน การคลังแผ่นดิน การประเมินราคาทรัพย์สิน การบริหารพัสดุภาครัฐ กิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ ทรัพย์สินของแผ่นดิน ภาษีอากร การรัษฎากร กิจการหารายได้ที่รัฐมีอำนาจดำเนินการได้แต่ผู้เดียวตามกฎหมาย และไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่น การบริหารหนี้สาธารณะ การบริหารและการพัฒนารัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ ฯลฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓๙ กำหนดให้จำเลยที่ ๒ มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการเงินแผ่นดิน ตรวจสอบการรับจ่าย การเก็บรักษา การใช้จ่ายเงิน การใช้จ่ายทรัพย์สินหรือการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วย รับตรวจ ตรวจสอบบัญชีและรายงานรายรับจ่ายเงินประจำปีงบประมาณและงบแสดงฐานะการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ ตรวจสอบบัญชีทุนสำรองเงินตราประจำปี และแสดงความเห็นว่าเป็นไปตามกฎหมายและตามความจริงหรือไม่ ฯลฯ โดยกฎหมายดังกล่าวมิได้กำหนดอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะให้จำเลยทั้งสองมีหน้าที่บำรุงรักษาสิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งสองมิให้ชำรุดบกพร่องแต่อย่างใด การที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้บำรุงรักษาประตูทางเข้า - ออก ที่เกิดเหตุอย่างเพียงพอ จึงมีสภาพชำรุดบกพร่อง เป็นเหตุให้ล้มทับตัวโจทก์ได้รับบาดเจ็บ จึงมิได้เป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะให้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองต้องปฏิบัติ แต่เป็นการกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดที่เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๓๔ ซึ่งเป็นกฎหมาย ที่กำหนดหน้าที่ให้บุคคลทั่วไปต้องปฏิบัติ คดีตามคำฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติอันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นกระทรวง จำเลยที่ ๒ มีฐานะเป็นกรม จำเลยทั้งสองจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อพิจารณาถึงอำนาจหน้าที่โดยรวมของจำเลยทั้งสองที่มีความเกี่ยวข้องกับการเงินการคลังอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะที่มีความจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีระบบการรักษาความปลอดภัยอย่างสูงแล้ว การรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงแข็งแรงของอาคารสถานที่และทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่จึงเป็นกรณีที่มีความสำคัญ ทั้งนี้ เพื่อให้การเก็บรักษาระบบฐานข้อมูล เอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการเงินการคลังของประเทศให้มีความปลอดภัย และโดยที่การดำเนินกิจการตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งสองในเรื่องดังกล่าวจำเป็นต้องมีอาคารสถานที่ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ในการปฏิบัติการและเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการติดต่อประสานงาน รวมทั้งประชาชน ผู้มาติดต่อราชการให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้งานและมีความมั่นคงแข็งแรงปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา ข้อ ๑๓ (ค) ของประกาศคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เรื่อง การแบ่งส่วนราชการและอำนาจหน้าที่ภายในของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๙ จึงได้กำหนดให้สำนักงานบริหารงานกลาง ซึ่งเป็นส่วนราชการภายในของจำเลยที่ ๒ มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารพัสดุ การจัดหา การบริการ การควบคุมดูแลบำรุงรักษาเกี่ยวกับยานพาหนะ อาคารสถานที่และอุปกรณ์ และงานด้านการพิมพ์ รวมทั้งการรักษาความปลอดภัยของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กรณีจึงเห็นได้ว่า ระเบียบดังกล่าวได้มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ในการดูแลบำรุงรักษาอาคารสถานที่ของจำเลยที่ ๒ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยไว้เป็นการเฉพาะ การรักษาความปลอดภัยซึ่งรวมถึงความมั่นคงแข็งแรงของอาคารสถานที่ของหน่วยงานดังกล่าว ถือเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งสองตามที่ระเบียบกำหนดไว้ การที่ประตูทางเข้า - ออก (ประตู ๔) ซึ่งเป็นของจำเลยที่ ๑ แต่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๒ ล้มทับตัวโจทก์ เนื่องจากมีสภาพชำรุดหรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บ เท่ากับเป็นการกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองละเลยต่อหน้าที่ในการซ่อมบำรุงประตูอาคารสำนักงานซึ่งเป็นสถานที่ราชการที่ใช้ในการดำเนินกิจการทางปกครองของจำเลยที่ ๒ ให้อยู่ในสภาพมั่นคง ใช้การได้ดี และมีความปลอดภัยแก่ประชาชนทั่วไป เป็นเหตุให้ประตูดังกล่าวล้มทับโจทก์ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และหากจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดตามคำฟ้อง ศาลปกครองสามารถออกคำบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามนัยมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่นหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร บทบัญญัติดังกล่าวเป็นการกำหนดประเภทคดีปกครองที่เกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ โดยมุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น คดีนี้จำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นกระทรวง จำเลยที่ ๒ มีฐานะเป็นกรม จำเลยทั้งสองจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยจำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงิน การคลังแผ่นดิน การประเมินราคาทรัพย์สิน การบริหารพัสดุภาครัฐ กิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ ทรัพย์สินของแผ่นดิน ภาษีอากร การรัษฎากร ฯ ตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ส่วนจำเลยที่ ๒ มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการเงินแผ่นดิน ตรวจสอบบัญชีและรายงานการรับจ่ายเงินประจำปีงบประมาณ และงบแสดงฐานะการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ ตรวจสอบบัญชีทุนสำรองเงินตราประจำปี ตรวจสอบเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากร ฯ ตามมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้โจทก์อ้างว่า ประตูเหล็กอัลลอยย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๒ มีสภาพชำรุด หรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอ ล้มทับตัวโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิด เหตุละเมิดดังกล่าวเป็นเรื่องของความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างบำรุงรักษาไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นหน้าที่โดยทั่ว ๆ ไปของผู้ครองโรงเรือนที่จะต้องใช้ความระมัดระวัง มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) จึงไม่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายสุวรรณ์ ศรีลาชัย โจทก์ กระทรวงการคลัง ที่ ๑ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕/๒๕๕๕
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๑ นายสุวรรณ์ ศรีลาชัย โจทก์ ยื่นฟ้องกระทรวงการคลัง ที่ ๑ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๔๙๓/๒๕๕๑ ความว่า โจทก์มีอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๑ โจทก์ยืนรอรับส่งผู้โดยสารบริเวณด้านหน้าประตูทางเข้า - ออก (ประตูที่ ๔) ซึ่งเป็นประตูเหล็กอัลลอยย์ของจำเลยที่ ๑ แต่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๒ ปรากฏว่าประตูเหล็กอัลลอยย์ดังกล่าวมีสภาพชำรุด หรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอ ล้มทับตัวโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บ กระดูกสันหลังข้อที่ ๕ ยุบตัว และกระดูกต้นขาซ้ายหัก จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองประตูเหล็กอัลลอยย์ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้ครอบครองประตูที่เกิดเหตุเพราะจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าวตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ การที่ตัวยึดรางล้อด้านบนของประตูเหล็กหักมาล้มทับโจทก์เกิดจากอุบัติเหตุไม่มีผู้ใดคาดหมายได้ เนื่องจากก่อนวันเกิดเหตุประตู ที่เกิดเหตุมีลักษณะมั่นคงแข็งแรงอยู่ในสภาพใช้การได้ดีตามปกติ จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ ค่าเสียหายสูงเกินจริง จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ตามคำฟ้องโจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งสอง ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองได้กระทำละเมิดเนื่องจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่มาตรา ๔๓๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดให้ต้องปฏิบัติ ในการแก้ไขความชำรุดบกพร่องหรือบำรุงรักษาทรัพย์สินในการครอบครองของจำเลยทั้งสองให้อยู่ในสภาพที่ดีเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บ จึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๐ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงิน การคลังแผ่นดิน การประเมินราคาทรัพย์สิน การบริหารพัสดุภาครัฐ กิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ ทรัพย์สินของแผ่นดิน ภาษีอากร การรัษฎากร กิจการหารายได้ที่รัฐมีอำนาจดำเนินการได้แต่ผู้เดียวตามกฎหมาย และไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่น การบริหารหนี้สาธารณะ การบริหารและการพัฒนารัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ ฯลฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓๙ กำหนดให้จำเลยที่ ๒ มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการเงินแผ่นดิน ตรวจสอบการรับจ่าย การเก็บรักษา การใช้จ่ายเงิน การใช้จ่ายทรัพย์สินหรือการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วย รับตรวจ ตรวจสอบบัญชีและรายงานรายรับจ่ายเงินประจำปีงบประมาณและงบแสดงฐานะการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ ตรวจสอบบัญชีทุนสำรองเงินตราประจำปี และแสดงความเห็นว่าเป็นไปตามกฎหมายและตามความจริงหรือไม่ ฯลฯ โดยกฎหมายดังกล่าวมิได้กำหนดอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะให้จำเลยทั้งสองมีหน้าที่บำรุงรักษาสิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งสองมิให้ชำรุดบกพร่องแต่อย่างใด การที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้บำรุงรักษาประตูทางเข้า - ออก ที่เกิดเหตุอย่างเพียงพอ จึงมีสภาพชำรุดบกพร่อง เป็นเหตุให้ล้มทับตัวโจทก์ได้รับบาดเจ็บ จึงมิได้เป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะให้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองต้องปฏิบัติ แต่เป็นการกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดที่เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๓๔ ซึ่งเป็นกฎหมาย ที่กำหนดหน้าที่ให้บุคคลทั่วไปต้องปฏิบัติ คดีตามคำฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติอันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นกระทรวง จำเลยที่ ๒ มีฐานะเป็นกรม จำเลยทั้งสองจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อพิจารณาถึงอำนาจหน้าที่โดยรวมของจำเลยทั้งสองที่มีความเกี่ยวข้องกับการเงินการคลังอันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะที่มีความจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีระบบการรักษาความปลอดภัยอย่างสูงแล้ว การรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงแข็งแรงของอาคารสถานที่และทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่จึงเป็นกรณีที่มีความสำคัญ ทั้งนี้ เพื่อให้การเก็บรักษาระบบฐานข้อมูล เอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการเงินการคลังของประเทศให้มีความปลอดภัย และโดยที่การดำเนินกิจการตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งสองในเรื่องดังกล่าวจำเป็นต้องมีอาคารสถานที่ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ในการปฏิบัติการและเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการติดต่อประสานงาน รวมทั้งประชาชน ผู้มาติดต่อราชการให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้งานและมีความมั่นคงแข็งแรงปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา ข้อ ๑๓ (ค) ของประกาศคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เรื่อง การแบ่งส่วนราชการและอำนาจหน้าที่ภายในของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๙ จึงได้กำหนดให้สำนักงานบริหารงานกลาง ซึ่งเป็นส่วนราชการภายในของจำเลยที่ ๒ มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารพัสดุ การจัดหา การบริการ การควบคุมดูแลบำรุงรักษาเกี่ยวกับยานพาหนะ อาคารสถานที่และอุปกรณ์ และงานด้านการพิมพ์ รวมทั้งการรักษาความปลอดภัยของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กรณีจึงเห็นได้ว่า ระเบียบดังกล่าวได้มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ในการดูแลบำรุงรักษาอาคารสถานที่ของจำเลยที่ ๒ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยไว้เป็นการเฉพาะ การรักษาความปลอดภัยซึ่งรวมถึงความมั่นคงแข็งแรงของอาคารสถานที่ของหน่วยงานดังกล่าว ถือเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งสองตามที่ระเบียบกำหนดไว้ การที่ประตูทางเข้า - ออก (ประตู ๔) ซึ่งเป็นของจำเลยที่ ๑ แต่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๒ ล้มทับตัวโจทก์ เนื่องจากมีสภาพชำรุดหรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บ เท่ากับเป็นการกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองละเลยต่อหน้าที่ในการซ่อมบำรุงประตูอาคารสำนักงานซึ่งเป็นสถานที่ราชการที่ใช้ในการดำเนินกิจการทางปกครองของจำเลยที่ ๒ ให้อยู่ในสภาพมั่นคง ใช้การได้ดี และมีความปลอดภัยแก่ประชาชนทั่วไป เป็นเหตุให้ประตูดังกล่าวล้มทับโจทก์ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และหากจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดตามคำฟ้อง ศาลปกครองสามารถออกคำบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามนัยมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่นหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร บทบัญญัติดังกล่าวเป็นการกำหนดประเภทคดีปกครองที่เกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ โดยมุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น คดีนี้จำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นกระทรวง จำเลยที่ ๒ มีฐานะเป็นกรม จำเลยทั้งสองจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยจำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงิน การคลังแผ่นดิน การประเมินราคาทรัพย์สิน การบริหารพัสดุภาครัฐ กิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ ทรัพย์สินของแผ่นดิน ภาษีอากร การรัษฎากร ฯ ตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ส่วนจำเลยที่ ๒ มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการเงินแผ่นดิน ตรวจสอบบัญชีและรายงานการรับจ่ายเงินประจำปีงบประมาณ และงบแสดงฐานะการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ ตรวจสอบบัญชีทุนสำรองเงินตราประจำปี ตรวจสอบเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากร ฯ ตามมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้โจทก์อ้างว่า ประตูเหล็กอัลลอยย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๒ มีสภาพชำรุด หรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอ ล้มทับตัวโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิด เหตุละเมิดดังกล่าวเป็นเรื่องของความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างบำรุงรักษาไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นหน้าที่โดยทั่ว ๆ ไปของผู้ครองโรงเรือนที่จะต้องใช้ความระมัดระวัง มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) จึงไม่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายสุวรรณ์ ศรีลาชัย โจทก์ กระทรวงการคลัง ที่ ๑ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔/๒๕๕๕
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดนนทบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนนทบุรีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๑ นางอุไร ชาลีมุ้ย โจทก์ ยื่นฟ้อง นายสมรักษ์ ชาลีมุ้ย ที่ ๑ นางอรทัย กองโชค ที่ ๒ นางสุทธาทิพย์ อิฐกาญจนา ที่ ๓ นายอุทัยหรือสันต์ชัย แก้วหมาย ที่ ๔ นายสมพงษ์ มาตย์วิเศษ ที่ ๕ นายวิชัย สุภาพ ที่ ๖ นายหรือพันเอก เอกชัย ล้อมพงศ์ ที่ ๗ กรมที่ดิน ที่ ๘ นายศิลป์ชัย สถิตเสถียร ที่ ๙ นายกัณฐศักย์ สุคนธมาน ที่ ๑๐ จำเลย ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ส. ๑๓๓๗/๒๕๕๑ ความว่า เมื่อประมาณต้นเดือนกันยายน ๒๕๔๐ โจทก์ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ ดำเนินการจดทะเบียนรับซื้อฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๗๒๘๙ และเลขที่ ๕๗๒๙๐ ตำบลเสาธงหิน (บางกระบือ) อำเภอบางใหญ่ (บางบัวทอง) จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จากจำเลยที่ ๓ ต่อมาวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๐ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจและกรอกรายละเอียดโดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอม แล้วนำสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้านและสำเนาภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ที่โจทก์ได้ลงลายมือชื่อรับรองและมอบให้กับจำเลยที่ ๒ ไว้ มาประกอบกับหนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวเพื่อใช้อ้างต่อจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินให้รับจดทะเบียนขายฝากระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ ซึ่งจำเลยที่ ๔ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อไม่ตรวจสอบลายมือชื่อผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจปลอมกับลายมือชื่อที่แท้จริงของโจทก์ในสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้านและสำเนาภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน อีกทั้งเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเหตุให้โจทก์ต้องชำระค่ารับซื้อฝากแก่จำเลยที่ ๓ เป็นเงิน ๒,๐๔๐,๐๐๐ บาท การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ จึงเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ นิติกรรมการขายฝากระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้นำโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งเป็นเอกสารปลอมมามอบให้แก่โจทก์ และเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๐ จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจที่ใช้เฉพาะสำนักงานที่ดินและกรอกรายละเอียดโดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอม และร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้านและภาพถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๐ จำเลยที่ ๑ ได้นำเอกสารปลอมทั้งสามฉบับดังกล่าวอ้างต่อจำเลยที่ ๙ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้รับจดทะเบียนการให้ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ยืนยันต่อจำเลยที่ ๙ ว่า ลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจปลอมเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงและโจทก์ได้ลงชื่อต่อหน้าตน โดยเฉพาะจำเลยที่ ๕ และที่ ๗ ได้ลงบันทึกยืนยันด้านหลังในหนังสือมอบอำนาจปลอมว่าเป็นญาติกับโจทก์ ทั้งที่ไม่ใช่ความจริง จำเลยที่ ๙ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อโดยเปรียบเทียบลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจในเอกสารปลอมทั้งสามฉบับดังกล่าวกับลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจในสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้านและสำเนาภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ที่เคยใช้ประกอบในการจดทะเบียนนิติกรรมขายฝากเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๐ แล้วเห็นว่าลายมือชื่อแตกต่างกัน แต่จำเลยที่ ๙ ไม่ได้ให้โจทก์มายืนยันลายมือชื่อในเอกสาร เพียงแต่โทรศัพท์มาสอบถามและมีผู้อื่นรับสายแจ้งว่าโจทก์มีการยกให้ที่ดินจริง ก็รับจดทะเบียนการให้แก่จำเลยที่ ๑ การกระทำของจำเลยที่ ๙ จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ ๕ ถึงที่ ๗ และที่ ๙ จึงเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย นิติกรรมการให้เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๐ จึงตกเป็นโมฆะ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งสองแปลงดังกล่าวจดทะเบียนจำนองและขึ้นเงินจำนองกับบุคคลอื่นและในวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ได้จดทะเบียนจำนองและขึ้นเงินจำนองกับจำเลยที่ ๑๐ หลายครั้ง นิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๑๐ ย่อมเป็นโมฆะด้วย โจทก์ทราบว่าโฉนดที่ดินที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มอบให้เป็นโฉนดที่ดินปลอม เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๗๒๘๙ ตำบลเสาธงหิน (บางกระบือ) อำเภอบางใหญ่ (บางบัวทอง) จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง นิติกรรมการให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ดังกล่าว นิติกรรมจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และนิติกรรมขึ้นเงินจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ดังกล่าวทั้งหมด ให้จำเลยที่ ๓ จดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๗๒๘๙ และเลขที่ ๕๗๒๙๐ ตำบลเสาธงหิน (บางกระบือ) อำเภอบางใหญ่ (บางบัวทอง) จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ ๕๒/๓๗ เลขที่ ๕๒/๓๘ ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ โดยมีกำหนดระยะเวลาขายฝาก ๑ ปี ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาบางใหญ่ หากจำเลยที่ ๓ ไม่อาจมาดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๓ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ ถึงที่ ๙ ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๕ และที่ ๖ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ปลอมลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ ทำนิติกรรมรับซื้อฝากแต่เพียงผู้เดียว การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ เป็นความเท็จ จึงเป็นการใช้สิทธิที่ไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้ การที่โจทก์ได้รับโฉนดที่ดินจากจำเลยที่ ๑ แล้วไม่ตรวจสอบว่าเป็นโฉนดที่ดินฉบับจริงหรือฉบับปลอม จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๗ ให้การว่า จำเลยที่ ๗ ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างฉบับลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๐ จริง แต่มิได้ร่วมและรู้เห็นเกี่ยวกับการปลอมเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด หากจำเลยที่ ๗ รู้ว่ามีการปลอมเอกสารดังกล่าวก็จะไม่ลงชื่อรับรอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ที่ ๘ และที่ ๙ ให้การว่า เหตุละเมิดของจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ ตามที่โจทก์ฟ้องได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ โจทก์ชอบที่จะฟ้องจำเลยที่ ๘ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นต้นสังกัดของจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ ได้โดยตรงตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ จำเลยที่ ๔ ได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๓ กับโจทก์ เนื่องจากเห็นว่าเป็นกรณีที่ไม่มีลายมือชื่อของโจทก์ในสารบบที่ดินที่จะถือเป็นตัวอย่างลายมือชื่อของโจทก์ที่จะนำมาเปรียบเทียบเพื่อทำการตรวจสอบได้ แต่คู่กรณีได้บันทึกความรับผิดกันเองไว้เป็นหลักฐานแล้ว และเมื่อตรวจสอบลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจเทียบเคียงกับลายมือชื่อของโจทก์ในสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวประชาชนแล้วปรากฏว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกัน ประกอบกับเป็นการทำนิติกรรมที่โจทก์ได้มาซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง ไม่ทำให้โจทก์เสียสิทธิอันพึงมีพึงได้ไป อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการตามคำสั่งกรมที่ดินที่ ๑๐/๒๕๐๑ เรื่องหนังสือมอบอำนาจ ข้อ ๓ (จ) และจำเลยที่ ๙ ได้จดทะเบียนนิติกรรมประเภทให้ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่า เป็นกรณีโจทก์ (มารดา) มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ (บุตร) ทำนิติกรรมประเภทให้โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับ และลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจ ลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๐ เปรียบเทียบกับลายมือชื่อเดิมของโจทก์ที่ปรากฏในสารบบที่ดินทั้งสองแปลงแล้วมีลักษณะคล้ายคลึงกัน สามารถดำเนินการจดทะเบียนได้ตามระเบียบกรมที่ดิน ว่าด้วยการมอบอำนาจให้ทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมหรือกิจการอื่นเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๑๐ (๔) แต่จำเลยที่ ๙ ได้ใช้ความระมัดระวังมากกว่าที่ระเบียบฯ กำหนด โดยให้จำเลยที่ ๑ นำบุคคลที่รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องการมอบอำนาจมายืนยันและให้บุคคลดังกล่าวบันทึกความรับผิดชอบกันเองไว้เป็นหลักฐาน อีกทั้งได้โทรศัพท์สอบถามข้อเท็จจริงในรายละเอียดกับโจทก์แล้ว เมื่อได้ข้อมูลถูกต้องตรงกับความจริง จำเลยที่ ๙ เชื่อโดยสุจริตว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับมอบอำนาจจริงและโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงจริง มีอำนาจโอนกรรมสิทธิ์ให้กับบุคคลอื่นได้ตามกฎหมาย จำเลยที่ ๙ จึงจดทะเบียนนิติกรรมประเภทให้ตามความประสงค์ของคู่สัญญา การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยถูกต้องชอบด้วยกฎหมายและปฏิบัติหน้าที่โดยใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ตามอำนาจหน้าที่ถูกต้องครบถ้วนตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ ไม่ได้กระทำละเมิดหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อโจทก์แต่อย่างใด คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑๐ ให้การว่า จำเลยที่ ๑๐ เป็นบุคคลภายนอก ไม่เกี่ยวข้องกับนิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ การรับจำนองของจำเลยที่ ๑๐ เป็นไปโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยที่ ๑๐ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์และไม่เสียสิทธิในฐานะผู้รับจำนอง สัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๑๐ ไม่เป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ที่ ๘ และที่ ๙ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของจำเลยที่ ๔ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งกรมที่ดินที่ ๑๐/๒๕๐๑ เรื่องหนังสือมอบอำนาจ ข้อ ๓ (จ) และจำเลยที่ ๙ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบกรมที่ดิน ว่าด้วยการมอบอำนาจให้ทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม หรือกิจการอื่นเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๑๐ (๔) จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนนทบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินในสังกัดของจำเลยที่ ๘ ร่วมกับเอกชนโดยยกข้อกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๔ และที่ ๙ กระทำการโดยประมาทเลินเล่อและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ตรวจสอบลายมือชื่อในเอกสารตามที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ยื่นต่อจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ ซึ่งเป็นเอกสารปลอม โดยโจทก์มิได้ให้ความยินยอม ซึ่งจำเลยที่ ๔ ได้ดำเนินการรับจดทะเบียนนิติกรรมการขายฝากและจำเลยที่ ๙ รับจดทะเบียนนิติกรรมการให้เป็นการไม่ชอบ ตกเป็นโมฆะ ซึ่งในคดีนี้โจทก์ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝาก นิติกรรมการยกให้และนิติกรรมการจำนองและขึ้นเงินจำนองตามคำขอท้ายฟ้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาตามหลักประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ ๔ ว่าด้วยนิติกรรม และกรณีที่โจทก์เรียกให้จำเลยที่ ๔ และที่ ๙ ชดใช้ค่าเสียหายมาด้วย ก็ต้องพิจารณาว่าเป็นการกระทำโดยละเมิดหรือไม่ ซึ่งต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิด ดังนั้น แม้ข้อพิพาทในคดีนี้โจทก์จะกล่าวอ้างว่า เจ้าพนักงานของรัฐสังกัดกรมที่ดินกระทำการโดยประมาทเลินเล่อและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการรับจดทะเบียนนิติกรรมการขายฝาก นิติกรรมยกให้ ก็เป็นเรื่องของการกล่าวอ้างว่าการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบให้ถูกต้องตามหน้าที่ จึงไม่เป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีเป็นการขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการซื้อฝาก ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ โดยอ้างว่า จำเลยที่ ๔ ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดิน กระทำการโดยประมาทเลินเล่อไม่ตรวจสอบลายมือชื่อที่แท้จริงของโจทก์ในสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้าน และสำเนาภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน เปรียบเทียบกับลายมือชื่อปลอมในหนังสือมอบอำนาจให้ทำการซื้อฝาก แล้วจำเลยที่ ๔ ได้จดทะเบียนการซื้อฝาก (ขายฝาก) ไปตามหนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าว อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้โจทก์ต้องชำระค่ารับซื้อฝากแก่จำเลยที่ ๓ เป็นเงินจำนวน ๒,๐๔๐,๐๐๐ บาท และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการให้และนิติกรรมจำนองอีกหลายครั้ง อันเนื่องมาจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๙ ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดิน และเรียกให้จำเลยที่ ๘ ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายแก่โจทก์ คดีจึงมีประเด็นหลักที่จะต้องวินิจฉัยว่า การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทเป็นการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามคำฟ้องเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ก่อนที่จะรับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามคำขอของคู่กรณีพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องทำการสอบสวนคู่กรณีและมีอำนาจเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องได้ตามความจำเป็นเพื่อพิสูจน์ถึงสิทธิและความสามารถของบุคคลรวมทั้งความสมบูรณ์ของนิติกรรม ตามนัยมาตรา ๗๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และข้อ ๒ (๑) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่บุคคลใดแล้ว ทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวย่อมได้รับการรับรองและคุ้มครองตราบเท่าที่ยังไม่ถูกเพิกถอนจากพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กรณีพิพาทตามคำฟ้องนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทและให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒ และจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๙ ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามคำขอของโจทก์ได้ ตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ส่วนประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า โจทก์ได้มอบให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำนิติกรรมในที่ดินที่พิพาทหรือไม่ เป็นเพียงประเด็นย่อยหนึ่งในหลายประเด็นของประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาว่าการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งแม้การพิจารณาในประเด็นย่อยดังกล่าวจะต้องพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่การพิจารณาดังกล่าวมิใช่เกณฑ์การพิจารณาลักษณะคดีว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด และไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใด ห้ามมิให้ศาลปกครองนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะดังกล่าวมาใช้ในการพิจารณาคดีได้ ดังนั้น ประเด็นย่อยดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองเช่นกัน เมื่อคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมตามนัยมาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ จึงเห็นว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ที่ ๕ ถึงที่ ๗ และที่ ๑๐ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน จำเลยที่ ๔ ที่ ๘ และที่ ๙ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครอง ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องสรุปได้ว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ จดทะเบียนรับซื้อฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๗๒๘๙ และเลขที่ ๕๗๒๙๐ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จากจำเลยที่ ๓ แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในหนังสือมอบอำนาจแล้วนำสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้านและสำเนาภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ที่โจทก์ได้ลงลายมือชื่อรับรองไว้มาประกอบกับหนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวเพื่อใช้อ้างต่อจำเลยที่ ๔ ซึ่งจำเลยที่ ๔ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อรับจดทะเบียนขายฝากที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวโดยไม่ตรวจสอบลายมือชื่อของโจทก์ อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ จึงเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ นิติกรรมการขายฝากระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้นำโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวซึ่งเป็นเอกสารปลอมมามอบให้แก่โจทก์ และต่อมาจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในหนังสือมอบอำนาจ ภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้านและภาพถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ และจำเลยที่ ๑ ได้นำเอกสารปลอมทั้งสามฉบับดังกล่าวอ้างต่อจำเลยที่ ๙ เพื่อให้รับจดทะเบียนการให้ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ยืนยันต่อจำเลยที่ ๙ ว่า ลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจปลอมเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงและโจทก์ได้ลงชื่อต่อหน้าตน ซึ่งจำเลยที่ ๙ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ไม่ได้ให้โจทก์มายืนยันลายมือชื่อในเอกสารเพียงแต่โทรศัพท์มาสอบถามและมีผู้อื่นรับสายแจ้งว่าโจทก์มีการยกให้ที่ดินจริง ก็รับจดทะเบียนการให้แก่จำเลยที่ ๑ การกระทำของจำเลยที่ ๙ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อและเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ ๕ ถึงที่ ๗ และที่ ๙ จึงเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย นิติกรรมการให้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงตกเป็นโมฆะ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งสองแปลงดังกล่าวจดทะเบียนจำนองและขึ้นเงินจำนองกับบุคคลอื่นและนำมาจำนองและขึ้นเงินจำนองกับจำเลยที่ ๑๐ นิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๑๐ ย่อมเป็นโมฆะด้วย ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการขายฝาก การให้ การจำนองและไถ่ถอนจำนองที่เกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๗๒๘๙ และเลขที่ ๕๗๒๙๐ ทั้งหมด ให้จำเลยที่ ๓ จดทะเบียนขายฝากที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ โดยมีกำหนดระยะเวลาขายฝาก ๑ ปี หากจำเลยที่ ๓ ไม่อาจมาดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๓ และให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ ถึงที่ ๙ ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย เห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นผู้รับจดทะเบียนนิติกรรมการขายฝากและการโอนที่ดินพิพาทมาด้วยก็ตาม แต่การรับจดทะเบียนสิทธิดังกล่าวก็จะต้องพิจารณาสิทธิของบุคคลผู้เป็นคู่กรณีเป็นสำคัญ เมื่อมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เกิดจากการที่โจทก์อ้างว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๕ ถึงที่ ๗ ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในหนังสือมอบอำนาจเพื่อใช้ในการจดทะเบียนซื้อฝากที่ดินจากจำเลยที่ ๓ และจดทะเบียนการให้ที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ ๑ อันเป็นกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน ซึ่งคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๔ ที่ ๘ และที่ ๙ ที่โจทก์กล่าวอ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐได้กระทำการโดยประมาทเลินเล่อในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมก็เป็นกรณีที่สืบเนื่องมาจากการปลอมหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่โจทก์มีคำขอได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ข้อเท็จจริงว่าหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ รับซื้อฝากที่ดินพิพาท และหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาทชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นหลัก หากได้ความว่าการมอบอำนาจถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมพิพาทก็ย่อมจะชอบด้วยกฎหมายมีผลให้สิทธิในที่ดินพิพาทโอนไปเป็นของจำเลยที่ ๑ แต่หากการมอบอำนาจไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมพิพาทก็ย่อมจะไม่ชอบด้วยกฎหมายมีผลให้สิทธิในที่ดินยังเป็นของจำเลยที่ ๓ อยู่ ข้อพิพาทในคดีนี้เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางอุไร ชาลีมุ้ย โจทก์ นายสมรักษ์ ชาลีมุ้ย ที่๑ นางอรทัย กองโชค ที่ ๒ นางสุทธาทิพย์ อิฐกาญจนา ที่ ๓ นายอุทัยหรือสันต์ชัย แก้วหมาย ที่ ๔ นายสมพงษ์ มาตย์วิเศษ ที่ ๕ นายวิชัย สุภาพ ที่ ๖ นายหรือพันเอก เอกชัย ล้อมพงศ์ ที่ ๗ กรมที่ดิน ที่ ๘ นายศิลป์ชัย สถิตเสถียร ที่ ๙ นายกัณฐศักย์ สุคนธมาน ที่ ๑๐ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔/๒๕๕๕
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดนนทบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนนทบุรีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๑ นางอุไร ชาลีมุ้ย โจทก์ ยื่นฟ้อง นายสมรักษ์ ชาลีมุ้ย ที่ ๑ นางอรทัย กองโชค ที่ ๒ นางสุทธาทิพย์ อิฐกาญจนา ที่ ๓ นายอุทัยหรือสันต์ชัย แก้วหมาย ที่ ๔ นายสมพงษ์ มาตย์วิเศษ ที่ ๕ นายวิชัย สุภาพ ที่ ๖ นายหรือพันเอก เอกชัย ล้อมพงศ์ ที่ ๗ กรมที่ดิน ที่ ๘ นายศิลป์ชัย สถิตเสถียร ที่ ๙ นายกัณฐศักย์ สุคนธมาน ที่ ๑๐ จำเลย ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ส. ๑๓๓๗/๒๕๕๑ ความว่า เมื่อประมาณต้นเดือนกันยายน ๒๕๔๐ โจทก์ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ ดำเนินการจดทะเบียนรับซื้อฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๗๒๘๙ และเลขที่ ๕๗๒๙๐ ตำบลเสาธงหิน (บางกระบือ) อำเภอบางใหญ่ (บางบัวทอง) จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จากจำเลยที่ ๓ ต่อมาวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๐ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจและกรอกรายละเอียดโดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอม แล้วนำสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้านและสำเนาภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ที่โจทก์ได้ลงลายมือชื่อรับรองและมอบให้กับจำเลยที่ ๒ ไว้ มาประกอบกับหนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวเพื่อใช้อ้างต่อจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินให้รับจดทะเบียนขายฝากระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ ซึ่งจำเลยที่ ๔ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อไม่ตรวจสอบลายมือชื่อผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจปลอมกับลายมือชื่อที่แท้จริงของโจทก์ในสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้านและสำเนาภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน อีกทั้งเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเหตุให้โจทก์ต้องชำระค่ารับซื้อฝากแก่จำเลยที่ ๓ เป็นเงิน ๒,๐๔๐,๐๐๐ บาท การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ จึงเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ นิติกรรมการขายฝากระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้นำโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งเป็นเอกสารปลอมมามอบให้แก่โจทก์ และเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๐ จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจที่ใช้เฉพาะสำนักงานที่ดินและกรอกรายละเอียดโดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอม และร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้านและภาพถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๐ จำเลยที่ ๑ ได้นำเอกสารปลอมทั้งสามฉบับดังกล่าวอ้างต่อจำเลยที่ ๙ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้รับจดทะเบียนการให้ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ยืนยันต่อจำเลยที่ ๙ ว่า ลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจปลอมเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงและโจทก์ได้ลงชื่อต่อหน้าตน โดยเฉพาะจำเลยที่ ๕ และที่ ๗ ได้ลงบันทึกยืนยันด้านหลังในหนังสือมอบอำนาจปลอมว่าเป็นญาติกับโจทก์ ทั้งที่ไม่ใช่ความจริง จำเลยที่ ๙ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อโดยเปรียบเทียบลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจในเอกสารปลอมทั้งสามฉบับดังกล่าวกับลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจในสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้านและสำเนาภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ที่เคยใช้ประกอบในการจดทะเบียนนิติกรรมขายฝากเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๐ แล้วเห็นว่าลายมือชื่อแตกต่างกัน แต่จำเลยที่ ๙ ไม่ได้ให้โจทก์มายืนยันลายมือชื่อในเอกสาร เพียงแต่โทรศัพท์มาสอบถามและมีผู้อื่นรับสายแจ้งว่าโจทก์มีการยกให้ที่ดินจริง ก็รับจดทะเบียนการให้แก่จำเลยที่ ๑ การกระทำของจำเลยที่ ๙ จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ ๕ ถึงที่ ๗ และที่ ๙ จึงเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย นิติกรรมการให้เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๐ จึงตกเป็นโมฆะ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งสองแปลงดังกล่าวจดทะเบียนจำนองและขึ้นเงินจำนองกับบุคคลอื่นและในวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ได้จดทะเบียนจำนองและขึ้นเงินจำนองกับจำเลยที่ ๑๐ หลายครั้ง นิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๑๐ ย่อมเป็นโมฆะด้วย โจทก์ทราบว่าโฉนดที่ดินที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มอบให้เป็นโฉนดที่ดินปลอม เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๗๒๘๙ ตำบลเสาธงหิน (บางกระบือ) อำเภอบางใหญ่ (บางบัวทอง) จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง นิติกรรมการให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ดังกล่าว นิติกรรมจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และนิติกรรมขึ้นเงินจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ดังกล่าวทั้งหมด ให้จำเลยที่ ๓ จดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๗๒๘๙ และเลขที่ ๕๗๒๙๐ ตำบลเสาธงหิน (บางกระบือ) อำเภอบางใหญ่ (บางบัวทอง) จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ ๕๒/๓๗ เลขที่ ๕๒/๓๘ ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ โดยมีกำหนดระยะเวลาขายฝาก ๑ ปี ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาบางใหญ่ หากจำเลยที่ ๓ ไม่อาจมาดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๓ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ ถึงที่ ๙ ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๕ และที่ ๖ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ปลอมลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ ทำนิติกรรมรับซื้อฝากแต่เพียงผู้เดียว การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ เป็นความเท็จ จึงเป็นการใช้สิทธิที่ไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้ การที่โจทก์ได้รับโฉนดที่ดินจากจำเลยที่ ๑ แล้วไม่ตรวจสอบว่าเป็นโฉนดที่ดินฉบับจริงหรือฉบับปลอม จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๗ ให้การว่า จำเลยที่ ๗ ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างฉบับลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๐ จริง แต่มิได้ร่วมและรู้เห็นเกี่ยวกับการปลอมเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด หากจำเลยที่ ๗ รู้ว่ามีการปลอมเอกสารดังกล่าวก็จะไม่ลงชื่อรับรอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ที่ ๘ และที่ ๙ ให้การว่า เหตุละเมิดของจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ ตามที่โจทก์ฟ้องได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ โจทก์ชอบที่จะฟ้องจำเลยที่ ๘ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นต้นสังกัดของจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ ได้โดยตรงตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ จำเลยที่ ๔ ได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๓ กับโจทก์ เนื่องจากเห็นว่าเป็นกรณีที่ไม่มีลายมือชื่อของโจทก์ในสารบบที่ดินที่จะถือเป็นตัวอย่างลายมือชื่อของโจทก์ที่จะนำมาเปรียบเทียบเพื่อทำการตรวจสอบได้ แต่คู่กรณีได้บันทึกความรับผิดกันเองไว้เป็นหลักฐานแล้ว และเมื่อตรวจสอบลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจเทียบเคียงกับลายมือชื่อของโจทก์ในสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวประชาชนแล้วปรากฏว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกัน ประกอบกับเป็นการทำนิติกรรมที่โจทก์ได้มาซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง ไม่ทำให้โจทก์เสียสิทธิอันพึงมีพึงได้ไป อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการตามคำสั่งกรมที่ดินที่ ๑๐/๒๕๐๑ เรื่องหนังสือมอบอำนาจ ข้อ ๓ (จ) และจำเลยที่ ๙ ได้จดทะเบียนนิติกรรมประเภทให้ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่า เป็นกรณีโจทก์ (มารดา) มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ (บุตร) ทำนิติกรรมประเภทให้โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับ และลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจ ลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๐ เปรียบเทียบกับลายมือชื่อเดิมของโจทก์ที่ปรากฏในสารบบที่ดินทั้งสองแปลงแล้วมีลักษณะคล้ายคลึงกัน สามารถดำเนินการจดทะเบียนได้ตามระเบียบกรมที่ดิน ว่าด้วยการมอบอำนาจให้ทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมหรือกิจการอื่นเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๑๐ (๔) แต่จำเลยที่ ๙ ได้ใช้ความระมัดระวังมากกว่าที่ระเบียบฯ กำหนด โดยให้จำเลยที่ ๑ นำบุคคลที่รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องการมอบอำนาจมายืนยันและให้บุคคลดังกล่าวบันทึกความรับผิดชอบกันเองไว้เป็นหลักฐาน อีกทั้งได้โทรศัพท์สอบถามข้อเท็จจริงในรายละเอียดกับโจทก์แล้ว เมื่อได้ข้อมูลถูกต้องตรงกับความจริง จำเลยที่ ๙ เชื่อโดยสุจริตว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับมอบอำนาจจริงและโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงจริง มีอำนาจโอนกรรมสิทธิ์ให้กับบุคคลอื่นได้ตามกฎหมาย จำเลยที่ ๙ จึงจดทะเบียนนิติกรรมประเภทให้ตามความประสงค์ของคู่สัญญา การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยถูกต้องชอบด้วยกฎหมายและปฏิบัติหน้าที่โดยใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ตามอำนาจหน้าที่ถูกต้องครบถ้วนตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ ไม่ได้กระทำละเมิดหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อโจทก์แต่อย่างใด คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑๐ ให้การว่า จำเลยที่ ๑๐ เป็นบุคคลภายนอก ไม่เกี่ยวข้องกับนิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ การรับจำนองของจำเลยที่ ๑๐ เป็นไปโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยที่ ๑๐ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์และไม่เสียสิทธิในฐานะผู้รับจำนอง สัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๑๐ ไม่เป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ที่ ๘ และที่ ๙ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของจำเลยที่ ๔ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งกรมที่ดินที่ ๑๐/๒๕๐๑ เรื่องหนังสือมอบอำนาจ ข้อ ๓ (จ) และจำเลยที่ ๙ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบกรมที่ดิน ว่าด้วยการมอบอำนาจให้ทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม หรือกิจการอื่นเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๑๐ (๔) จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนนทบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินในสังกัดของจำเลยที่ ๘ ร่วมกับเอกชนโดยยกข้อกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๔ และที่ ๙ กระทำการโดยประมาทเลินเล่อและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ตรวจสอบลายมือชื่อในเอกสารตามที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ยื่นต่อจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ ซึ่งเป็นเอกสารปลอม โดยโจทก์มิได้ให้ความยินยอม ซึ่งจำเลยที่ ๔ ได้ดำเนินการรับจดทะเบียนนิติกรรมการขายฝากและจำเลยที่ ๙ รับจดทะเบียนนิติกรรมการให้เป็นการไม่ชอบ ตกเป็นโมฆะ ซึ่งในคดีนี้โจทก์ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝาก นิติกรรมการยกให้และนิติกรรมการจำนองและขึ้นเงินจำนองตามคำขอท้ายฟ้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาตามหลักประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ ๔ ว่าด้วยนิติกรรม และกรณีที่โจทก์เรียกให้จำเลยที่ ๔ และที่ ๙ ชดใช้ค่าเสียหายมาด้วย ก็ต้องพิจารณาว่าเป็นการกระทำโดยละเมิดหรือไม่ ซึ่งต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิด ดังนั้น แม้ข้อพิพาทในคดีนี้โจทก์จะกล่าวอ้างว่า เจ้าพนักงานของรัฐสังกัดกรมที่ดินกระทำการโดยประมาทเลินเล่อและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการรับจดทะเบียนนิติกรรมการขายฝาก นิติกรรมยกให้ ก็เป็นเรื่องของการกล่าวอ้างว่าการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบให้ถูกต้องตามหน้าที่ จึงไม่เป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีเป็นการขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการซื้อฝาก ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ โดยอ้างว่า จำเลยที่ ๔ ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดิน กระทำการโดยประมาทเลินเล่อไม่ตรวจสอบลายมือชื่อที่แท้จริงของโจทก์ในสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้าน และสำเนาภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน เปรียบเทียบกับลายมือชื่อปลอมในหนังสือมอบอำนาจให้ทำการซื้อฝาก แล้วจำเลยที่ ๔ ได้จดทะเบียนการซื้อฝาก (ขายฝาก) ไปตามหนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าว อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้โจทก์ต้องชำระค่ารับซื้อฝากแก่จำเลยที่ ๓ เป็นเงินจำนวน ๒,๐๔๐,๐๐๐ บาท และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการให้และนิติกรรมจำนองอีกหลายครั้ง อันเนื่องมาจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๙ ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดิน และเรียกให้จำเลยที่ ๘ ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายแก่โจทก์ คดีจึงมีประเด็นหลักที่จะต้องวินิจฉัยว่า การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทเป็นการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามคำฟ้องเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ก่อนที่จะรับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามคำขอของคู่กรณีพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องทำการสอบสวนคู่กรณีและมีอำนาจเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องได้ตามความจำเป็นเพื่อพิสูจน์ถึงสิทธิและความสามารถของบุคคลรวมทั้งความสมบูรณ์ของนิติกรรม ตามนัยมาตรา ๗๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และข้อ ๒ (๑) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่บุคคลใดแล้ว ทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวย่อมได้รับการรับรองและคุ้มครองตราบเท่าที่ยังไม่ถูกเพิกถอนจากพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กรณีพิพาทตามคำฟ้องนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทและให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๒ และจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๙ ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามคำขอของโจทก์ได้ ตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ส่วนประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า โจทก์ได้มอบให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำนิติกรรมในที่ดินที่พิพาทหรือไม่ เป็นเพียงประเด็นย่อยหนึ่งในหลายประเด็นของประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาว่าการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของจำเลยที่ ๔ และที่ ๙ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งแม้การพิจารณาในประเด็นย่อยดังกล่าวจะต้องพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่การพิจารณาดังกล่าวมิใช่เกณฑ์การพิจารณาลักษณะคดีว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด และไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใด ห้ามมิให้ศาลปกครองนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะดังกล่าวมาใช้ในการพิจารณาคดีได้ ดังนั้น ประเด็นย่อยดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองเช่นกัน เมื่อคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมตามนัยมาตรา ๒๑๘ และมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ จึงเห็นว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ที่ ๕ ถึงที่ ๗ และที่ ๑๐ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน จำเลยที่ ๔ ที่ ๘ และที่ ๙ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครอง ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องสรุปได้ว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ จดทะเบียนรับซื้อฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๗๒๘๙ และเลขที่ ๕๗๒๙๐ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จากจำเลยที่ ๓ แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในหนังสือมอบอำนาจแล้วนำสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้านและสำเนาภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ที่โจทก์ได้ลงลายมือชื่อรับรองไว้มาประกอบกับหนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวเพื่อใช้อ้างต่อจำเลยที่ ๔ ซึ่งจำเลยที่ ๔ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อรับจดทะเบียนขายฝากที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวโดยไม่ตรวจสอบลายมือชื่อของโจทก์ อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ จึงเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ นิติกรรมการขายฝากระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้นำโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวซึ่งเป็นเอกสารปลอมมามอบให้แก่โจทก์ และต่อมาจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในหนังสือมอบอำนาจ ภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้านและภาพถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ และจำเลยที่ ๑ ได้นำเอกสารปลอมทั้งสามฉบับดังกล่าวอ้างต่อจำเลยที่ ๙ เพื่อให้รับจดทะเบียนการให้ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ยืนยันต่อจำเลยที่ ๙ ว่า ลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจปลอมเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงและโจทก์ได้ลงชื่อต่อหน้าตน ซึ่งจำเลยที่ ๙ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ไม่ได้ให้โจทก์มายืนยันลายมือชื่อในเอกสารเพียงแต่โทรศัพท์มาสอบถามและมีผู้อื่นรับสายแจ้งว่าโจทก์มีการยกให้ที่ดินจริง ก็รับจดทะเบียนการให้แก่จำเลยที่ ๑ การกระทำของจำเลยที่ ๙ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อและเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ ๕ ถึงที่ ๗ และที่ ๙ จึงเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย นิติกรรมการให้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงตกเป็นโมฆะ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งสองแปลงดังกล่าวจดทะเบียนจำนองและขึ้นเงินจำนองกับบุคคลอื่นและนำมาจำนองและขึ้นเงินจำนองกับจำเลยที่ ๑๐ นิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๑๐ ย่อมเป็นโมฆะด้วย ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการขายฝาก การให้ การจำนองและไถ่ถอนจำนองที่เกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๗๒๘๙ และเลขที่ ๕๗๒๙๐ ทั้งหมด ให้จำเลยที่ ๓ จดทะเบียนขายฝากที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ โดยมีกำหนดระยะเวลาขายฝาก ๑ ปี หากจำเลยที่ ๓ ไม่อาจมาดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๓ และให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ ถึงที่ ๙ ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย เห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นผู้รับจดทะเบียนนิติกรรมการขายฝากและการโอนที่ดินพิพาทมาด้วยก็ตาม แต่การรับจดทะเบียนสิทธิดังกล่าวก็จะต้องพิจารณาสิทธิของบุคคลผู้เป็นคู่กรณีเป็นสำคัญ เมื่อมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เกิดจากการที่โจทก์อ้างว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๕ ถึงที่ ๗ ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในหนังสือมอบอำนาจเพื่อใช้ในการจดทะเบียนซื้อฝากที่ดินจากจำเลยที่ ๓ และจดทะเบียนการให้ที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ ๑ อันเป็นกรณีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน ซึ่งคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๔ ที่ ๘ และที่ ๙ ที่โจทก์กล่าวอ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐได้กระทำการโดยประมาทเลินเล่อในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมก็เป็นกรณีที่สืบเนื่องมาจากการปลอมหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่โจทก์มีคำขอได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ข้อเท็จจริงว่าหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ รับซื้อฝากที่ดินพิพาท และหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาทชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นหลัก หากได้ความว่าการมอบอำนาจถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมพิพาทก็ย่อมจะชอบด้วยกฎหมายมีผลให้สิทธิในที่ดินพิพาทโอนไปเป็นของจำเลยที่ ๑ แต่หากการมอบอำนาจไม่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมพิพาทก็ย่อมจะไม่ชอบด้วยกฎหมายมีผลให้สิทธิในที่ดินยังเป็นของจำเลยที่ ๓ อยู่ ข้อพิพาทในคดีนี้เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางอุไร ชาลีมุ้ย โจทก์ นายสมรักษ์ ชาลีมุ้ย ที่๑ นางอรทัย กองโชค ที่ ๒ นางสุทธาทิพย์ อิฐกาญจนา ที่ ๓ นายอุทัยหรือสันต์ชัย แก้วหมาย ที่ ๔ นายสมพงษ์ มาตย์วิเศษ ที่ ๕ นายวิชัย สุภาพ ที่ ๖ นายหรือพันเอก เอกชัย ล้อมพงศ์ ที่ ๗ กรมที่ดิน ที่ ๘ นายศิลป์ชัย สถิตเสถียร ที่ ๙ นายกัณฐศักย์ สุคนธมาน ที่ ๑๐ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑/๒๕๕๕
วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๑ เทศบาลเมืองนาสาร ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดเรือนทรัพย์ ที่ ๑ นายเกรียงศักดิ์ ระวิวงศ์ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราช เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๐๒/๒๕๕๑ ความว่า เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๙ ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้ก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ในวงเงิน ๕,๔๙๕,๐๐๐ บาท มีหนังสือ ค้ำประกันของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาเวียงสระ เป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญาจ้างในวงเงิน ๒๗๔,๗๕๐ บาท แต่การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ผู้ฟ้องคดีจึงบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกัน และได้ว่าจ้างผู้รับจ้างรายใหม่ทำงานต่อจนแล้วเสร็จ ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายเป็นเงิน ๓๘๓,๐๐๐ บาท ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายเป็นเงิน ๓๘๓,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๕,๖๖๕.๑๙ บาท และให้ร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจาก เห็นว่า แม้คดีนี้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นคู่สัญญาจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เมื่อโรงแรม คลิฟโฮเต็ลได้จดทะเบียนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการโรงแรม ภัตตาคาร ไนต์คลับ ฯลฯ โรงแรมดังกล่าวจึงมิใช่สร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำบริการสาธารณะ หรือเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินการบริการสาธารณะและแม้ว่าข้อสัญญามีข้อผูกมัดดังเช่นสัญญาทั่วไปของทางราชการก็ตาม เมื่ออาคารที่ว่าจ้างก่อสร้างปรับปรุงมีไว้เพื่อให้เอกชนเช่าดำเนินการในเชิงพาณิชย์ สัญญาจ้างก่อสร้างระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง คดีพิพาทดังกล่าวจึงมิใช่คดีพิพาท ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาได้
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้รับคำฟ้องไว้พิจารณา เนื่องจากเห็นว่าผู้ฟ้องคดีว่าจ้างให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ทำการก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ซึ่งแม้เดิมอาคารโรงแรมดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจะนำออกให้บุคคลอื่นเช่าเพื่อประกอบกิจการโรงแรมในเชิงพาณิชย์มาก่อนก็ตาม แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องอุทธรณ์และคำชี้แจงเพิ่มเติมพร้อมพยานหลักฐานในชั้นศาลปกครองสูงสุดว่า หลังจากที่เอกชนได้เลิกเช่าอาคารโรงแรมดังกล่าวในปี ๒๕๓๕ แล้ว อาคารมีสภาพเก่าและชำรุดได้ถูกทิ้งว่างไว้จนกระทั่งปี ๒๕๔๙ ผู้ฟ้องคดีจึงมีนโยบายปรับปรุงอาคารดังกล่าว โดยว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้ทำการก่อสร้างปรับปรุงตามสัญญาจ้างพิพาทเพื่อเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ (ห้องสมุดและศูนย์คอมพิวเตอร์) และศูนย์ฟิตเนสเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในชั้นที่ ๒ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่ายังมีบางส่วนของอาคารดังกล่าว (ชั้นที่ ๓) ที่ผู้ฟ้องคดียังใช้ในเชิงพาณิชย์ คือ เปิดบริการให้เช่าเป็นห้องพักอยู่จำนวน ๑๘ ห้อง แต่เมื่อสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างเหมารวมฉบับเดียวกันที่ไม่อาจแบ่งเป็นแต่ละส่วนได้ จึงต้องถือว่าสัญญาจ้างเหมารวมในสัญญาฉบับเดียวกันที่ไม่อาจแบ่งออกเป็นแต่ละส่วนได้ จึงต้องถือว่าสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารดังกล่าวทั้งหมดเป็นการจ้างเพื่อจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคอันเป็นเครื่องมือในการจัดทำบริการสาธารณะของผู้ฟ้องคดี และเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับเมื่อขณะทำสัญญาจ้างในคดีนี้ปรากฏตามแบบแปลนแผนผังท้ายสัญญาจ้างว่า ผู้ฟ้องคดีจะใช้อาคารชั้นที่ ๒ ตามวัตถุประสงค์ดังที่กล่าวมาแล้ว คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า สัญญาจ้างก่อสร้างปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการโรงแรมหรือให้เอกชนเช่าดำเนินธุรกิจโรงแรม อันเป็นการประกอบกิจการในเชิงพาณิชย์เป็นสำคัญ การที่ผู้ฟ้องคดีได้ใช้เนื้อที่เพียงเล็กน้อยของอาคารเป็นศูนย์การเรียนรู้และสถานที่ออกกำลังกาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ฟ้องคดีได้ดำเนินการภายหลังจากที่ได้ทำสัญญากับผู้ฟ้องคดีแล้ว สัญญาพิพาทจึงมิใช่สัญญาทางปกครอง แต่เป็นสัญญาทางแพ่ง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อคดีนี้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองโต้แย้งว่า เป็นกรณีพิพาทในทางแพ่ง ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม จึงให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้ชั่วคราว เพื่อให้ศาลยุติธรรมจัดทำความเห็นตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ และข้อ ๑๙ ของข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔
ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้เทศบาลเมืองนาสารผู้ฟ้องคดีจะมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่สัญญาที่ผู้ฟ้องคดีทำกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ จะต้องเป็นสัญญาที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ตามคำฟ้องผู้ฟ้องคดีหาได้บรรยายว่าสัญญาดังกล่าวเข้าลักษณะใดลักษณะหนึ่ง คงปรากฏตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดว่า ผู้ฟ้องคดีได้เสนอข้อเท็จจริงตามคำร้องอุทธรณ์และคำชี้แจงเพิ่มเติมพร้อมพยานหลักฐานในชั้นศาลปกครองสูงสุดว่า ผู้ฟ้องคดีมีนโยบายปรับปรุงอาคารพิพาทเพื่อเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ (ห้องสมุดและศูนย์คอมพิวเตอร์) และศูนย์ฟิตเนส (สถานที่ออกกำลังกาย) เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในชั้นที่ ๒ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะเท่านั้น นอกจากนั้นผู้ฟ้องคดียังรับว่า ในชั้นที่ ๓ ผู้ฟ้องคดียังคงเปิดบริการในเชิงพาณิชย์ โดยเปิดบริการเป็นห้องพักอยู่จำนวน ๑๘ ห้อง เมื่อพิจารณาถึงลักษณะที่ตั้งของห้องสมุด ศูนย์คอมพิวเตอร์และศูนย์ฟิตเนสที่ตั้งอยู่ในชั้นที่ ๒ การที่ประชาชนจะเข้าไปใช้บริการย่อมไม่เป็นที่สะดวก แตกต่างจากการที่จะนำเครื่องออกกำลังกายไปวางไว้ตามสวนสาธารณะหรือสถานที่สาธารณะต่าง ๆ หรือตามอาคารสาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ ที่สื่อให้เห็นว่า ประชาชนสามารถเข้าไปใช้บริการได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่อาคารพิพาทกลับปรับปรุงให้มีสภาพเป็นโรงแรม การจัดการดูแลภายในโรงแรมย่อมต้องเข้มงวดทั้งในเรื่องความปลอดภัย ความสะอาด และความสะดวกของแขกผู้มาพัก อีกทั้งมีการเรียกชื่ออาคารดังกล่าวว่าเป็นโรงแรมเทศบาลอันมีลักษณะเป็นการพาณิชย์อย่างเห็นได้ชัดการที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าไปใช้บริการย่อมไม่เป็นที่สะดวก แต่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่แขกผู้มาพักในโรงแรมมากกว่า ย่อมแสดงให้เห็นว่าวัตถุประสงค์การจ้างให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองปรับปรุงอาคารพิพาทก็เพื่อวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์เป็นหลัก มิใช่เพื่อจัดให้มีบริการสาธารณะเป็นหลักแต่อย่างใด แม้สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารดังกล่าวจะเป็นสัญญาจ้างเหมารวมในสัญญาฉบับเดียวกันที่มิอาจแบ่งแยกได้ จึงต้องถือวัตถุประสงค์ของการจ้างว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อการใดเป็นสำคัญ และเมื่อปรากฏว่าสัญญาจ้างดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ปรับปรุงเพื่อให้เอกชนเช่าดำเนินการในเชิงพาณิชย์ สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารระหว่าง ผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองตามคำนิยามในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ กรณีจึงมิใช่คดีพิพาทตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้นคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เทศบาลเมืองนาสาร ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องเอกชนให้ชำระค่าเสียหายจากการที่หน่วยงานทางปกครองต้องว่าจ้างผู้รับจ้างรายใหม่อันเนื่องมาจากเอกชนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผิดสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) กับผู้ฟ้องคดี กรณีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยในคดีนี้ว่า สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวได้นิยามสัญญาทางปกครองไว้ตามมาตรา ๓ ว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า โรงแรมดังกล่าวซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ผู้ฟ้องคดี และผู้ฟ้องคดีได้เปิดให้เอกชนเช่าเพื่อประกอบการโรงแรมและเก็บค่าเช่าเรื่อยมา ซึ่งผู้ฟ้องคดีเองสามารถกระทำได้ตามนัยพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๕๔(๑๒) ที่ให้อำนาจเทศบาลเมืองสามารถจัดทำกิจการเทศพาณิชย์ในเขตเทศบาลได้ กรณีจึงแสดงให้เห็นได้ว่าเทศบาลเมืองนาสารซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ได้ใช้อาคารโรงแรมดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์ในการพาณิชยกรรมเป็นสำคัญ โดยได้มุ่งเก็บค่าเช่าจากเอกชนในเชิงการค้าพาณิชย์ การที่ผู้ฟ้องคดีทำสัญญาปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๒๒/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๙ ก็เนื่องจากอาคารโรงแรมดังกล่าวมีสภาพเก่าและชำรุดทรุดโทรม โดยทางผู้ฟ้องคดีได้ปรับปรุงก็เพื่อกิจกรรมทางพาณิชยกรรมของผู้ฟ้องคดีเอง การปรับปรุงดังกล่าวหาใช่เพื่อใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะแต่อย่างใดไม่ ถึงแม้จะมีข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีการปรับปรุงบางส่วนของอาคารพิพาทเป็นห้องสมุดและศูนย์คอมพิวเตอร์ และสถานออกกำลังกาย เพื่อให้ประชาชนใช้บริการก็ตาม แต่การบริการดังกล่าวเป็นไปเพื่อสนับสนุนการดำเนินการเชิงพาณิชย์ของผู้ฟ้องคดี โดยเมื่อพิจารณาจากที่ตั้งของห้องสมุด ศูนย์คอมพิวเตอร์ และสถานออกกำลังกาย ที่ตั้งอยู่ภายในอาคารโรงแรมชั้นที่ ๒ ซึ่งประชาชนทั่วไปย่อมไม่สะดวกที่เข้าไปใช้บริการ คงมีแต่บุคคลที่เข้าไปใช้บริการโรงแรมเท่านั้นที่อาจได้ประโยชน์ในการบริการดังกล่าว สัญญาจ้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) จึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ในการพาณิชยกรรมของผู้ฟ้องคดีเอง หาใช่สัญญาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนในการดำเนินกิจกรรมทางปกครองในการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อพิเคราะห์ถึงสัญญาดังกล่าวก็ไม่ปรากกฏว่ามีข้อกำหนดที่ให้สิทธิพิเศษแก่ฝ่ายปกครองแต่อย่างใด ดังนั้น แม้คู่สัญญาในสัญญาดังกล่าวฝ่ายหนึ่งจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ก็มิอาจทำให้สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองตามนัยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ สัญญาว่าจ้างปรับปรุงอาคารโรงแรมจึงเป็นสัญญาทางแพ่ง อยู่ในอำนาจควบคุมตรวจสอบของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างเทศบาลเมืองนาสาร ผู้ฟ้องคดี ห้างหุ้นส่วนจำกัด เรือนทรัพย์ ที่ ๑ นายเกรียงศักดิ์ ระวิวงศ์ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑/๒๕๕๕
วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๑ เทศบาลเมืองนาสาร ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดเรือนทรัพย์ ที่ ๑ นายเกรียงศักดิ์ ระวิวงศ์ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราช เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๐๒/๒๕๕๑ ความว่า เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๙ ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้ก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ในวงเงิน ๕,๔๙๕,๐๐๐ บาท มีหนังสือ ค้ำประกันของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาเวียงสระ เป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญาจ้างในวงเงิน ๒๗๔,๗๕๐ บาท แต่การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ผู้ฟ้องคดีจึงบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกัน และได้ว่าจ้างผู้รับจ้างรายใหม่ทำงานต่อจนแล้วเสร็จ ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายเป็นเงิน ๓๘๓,๐๐๐ บาท ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายเป็นเงิน ๓๘๓,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๕,๖๖๕.๑๙ บาท และให้ร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจาก เห็นว่า แม้คดีนี้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นคู่สัญญาจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เมื่อโรงแรม คลิฟโฮเต็ลได้จดทะเบียนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการโรงแรม ภัตตาคาร ไนต์คลับ ฯลฯ โรงแรมดังกล่าวจึงมิใช่สร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำบริการสาธารณะ หรือเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินการบริการสาธารณะและแม้ว่าข้อสัญญามีข้อผูกมัดดังเช่นสัญญาทั่วไปของทางราชการก็ตาม เมื่ออาคารที่ว่าจ้างก่อสร้างปรับปรุงมีไว้เพื่อให้เอกชนเช่าดำเนินการในเชิงพาณิชย์ สัญญาจ้างก่อสร้างระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง คดีพิพาทดังกล่าวจึงมิใช่คดีพิพาท ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาได้
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้รับคำฟ้องไว้พิจารณา เนื่องจากเห็นว่าผู้ฟ้องคดีว่าจ้างให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ทำการก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ซึ่งแม้เดิมอาคารโรงแรมดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจะนำออกให้บุคคลอื่นเช่าเพื่อประกอบกิจการโรงแรมในเชิงพาณิชย์มาก่อนก็ตาม แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องอุทธรณ์และคำชี้แจงเพิ่มเติมพร้อมพยานหลักฐานในชั้นศาลปกครองสูงสุดว่า หลังจากที่เอกชนได้เลิกเช่าอาคารโรงแรมดังกล่าวในปี ๒๕๓๕ แล้ว อาคารมีสภาพเก่าและชำรุดได้ถูกทิ้งว่างไว้จนกระทั่งปี ๒๕๔๙ ผู้ฟ้องคดีจึงมีนโยบายปรับปรุงอาคารดังกล่าว โดยว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้ทำการก่อสร้างปรับปรุงตามสัญญาจ้างพิพาทเพื่อเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ (ห้องสมุดและศูนย์คอมพิวเตอร์) และศูนย์ฟิตเนสเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในชั้นที่ ๒ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่ายังมีบางส่วนของอาคารดังกล่าว (ชั้นที่ ๓) ที่ผู้ฟ้องคดียังใช้ในเชิงพาณิชย์ คือ เปิดบริการให้เช่าเป็นห้องพักอยู่จำนวน ๑๘ ห้อง แต่เมื่อสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างเหมารวมฉบับเดียวกันที่ไม่อาจแบ่งเป็นแต่ละส่วนได้ จึงต้องถือว่าสัญญาจ้างเหมารวมในสัญญาฉบับเดียวกันที่ไม่อาจแบ่งออกเป็นแต่ละส่วนได้ จึงต้องถือว่าสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารดังกล่าวทั้งหมดเป็นการจ้างเพื่อจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคอันเป็นเครื่องมือในการจัดทำบริการสาธารณะของผู้ฟ้องคดี และเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับเมื่อขณะทำสัญญาจ้างในคดีนี้ปรากฏตามแบบแปลนแผนผังท้ายสัญญาจ้างว่า ผู้ฟ้องคดีจะใช้อาคารชั้นที่ ๒ ตามวัตถุประสงค์ดังที่กล่าวมาแล้ว คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า สัญญาจ้างก่อสร้างปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการโรงแรมหรือให้เอกชนเช่าดำเนินธุรกิจโรงแรม อันเป็นการประกอบกิจการในเชิงพาณิชย์เป็นสำคัญ การที่ผู้ฟ้องคดีได้ใช้เนื้อที่เพียงเล็กน้อยของอาคารเป็นศูนย์การเรียนรู้และสถานที่ออกกำลังกาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ฟ้องคดีได้ดำเนินการภายหลังจากที่ได้ทำสัญญากับผู้ฟ้องคดีแล้ว สัญญาพิพาทจึงมิใช่สัญญาทางปกครอง แต่เป็นสัญญาทางแพ่ง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อคดีนี้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองโต้แย้งว่า เป็นกรณีพิพาทในทางแพ่ง ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม จึงให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้ชั่วคราว เพื่อให้ศาลยุติธรรมจัดทำความเห็นตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ และข้อ ๑๙ ของข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔
ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้เทศบาลเมืองนาสารผู้ฟ้องคดีจะมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่สัญญาที่ผู้ฟ้องคดีทำกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ จะต้องเป็นสัญญาที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ตามคำฟ้องผู้ฟ้องคดีหาได้บรรยายว่าสัญญาดังกล่าวเข้าลักษณะใดลักษณะหนึ่ง คงปรากฏตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดว่า ผู้ฟ้องคดีได้เสนอข้อเท็จจริงตามคำร้องอุทธรณ์และคำชี้แจงเพิ่มเติมพร้อมพยานหลักฐานในชั้นศาลปกครองสูงสุดว่า ผู้ฟ้องคดีมีนโยบายปรับปรุงอาคารพิพาทเพื่อเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ (ห้องสมุดและศูนย์คอมพิวเตอร์) และศูนย์ฟิตเนส (สถานที่ออกกำลังกาย) เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในชั้นที่ ๒ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะเท่านั้น นอกจากนั้นผู้ฟ้องคดียังรับว่า ในชั้นที่ ๓ ผู้ฟ้องคดียังคงเปิดบริการในเชิงพาณิชย์ โดยเปิดบริการเป็นห้องพักอยู่จำนวน ๑๘ ห้อง เมื่อพิจารณาถึงลักษณะที่ตั้งของห้องสมุด ศูนย์คอมพิวเตอร์และศูนย์ฟิตเนสที่ตั้งอยู่ในชั้นที่ ๒ การที่ประชาชนจะเข้าไปใช้บริการย่อมไม่เป็นที่สะดวก แตกต่างจากการที่จะนำเครื่องออกกำลังกายไปวางไว้ตามสวนสาธารณะหรือสถานที่สาธารณะต่าง ๆ หรือตามอาคารสาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ ที่สื่อให้เห็นว่า ประชาชนสามารถเข้าไปใช้บริการได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่อาคารพิพาทกลับปรับปรุงให้มีสภาพเป็นโรงแรม การจัดการดูแลภายในโรงแรมย่อมต้องเข้มงวดทั้งในเรื่องความปลอดภัย ความสะอาด และความสะดวกของแขกผู้มาพัก อีกทั้งมีการเรียกชื่ออาคารดังกล่าวว่าเป็นโรงแรมเทศบาลอันมีลักษณะเป็นการพาณิชย์อย่างเห็นได้ชัดการที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าไปใช้บริการย่อมไม่เป็นที่สะดวก แต่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่แขกผู้มาพักในโรงแรมมากกว่า ย่อมแสดงให้เห็นว่าวัตถุประสงค์การจ้างให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองปรับปรุงอาคารพิพาทก็เพื่อวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์เป็นหลัก มิใช่เพื่อจัดให้มีบริการสาธารณะเป็นหลักแต่อย่างใด แม้สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารดังกล่าวจะเป็นสัญญาจ้างเหมารวมในสัญญาฉบับเดียวกันที่มิอาจแบ่งแยกได้ จึงต้องถือวัตถุประสงค์ของการจ้างว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อการใดเป็นสำคัญ และเมื่อปรากฏว่าสัญญาจ้างดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ปรับปรุงเพื่อให้เอกชนเช่าดำเนินการในเชิงพาณิชย์ สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารระหว่าง ผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองตามคำนิยามในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ กรณีจึงมิใช่คดีพิพาทตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้นคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เทศบาลเมืองนาสาร ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องเอกชนให้ชำระค่าเสียหายจากการที่หน่วยงานทางปกครองต้องว่าจ้างผู้รับจ้างรายใหม่อันเนื่องมาจากเอกชนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผิดสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) กับผู้ฟ้องคดี กรณีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยในคดีนี้ว่า สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวได้นิยามสัญญาทางปกครองไว้ตามมาตรา ๓ ว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า โรงแรมดังกล่าวซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ผู้ฟ้องคดี และผู้ฟ้องคดีได้เปิดให้เอกชนเช่าเพื่อประกอบการโรงแรมและเก็บค่าเช่าเรื่อยมา ซึ่งผู้ฟ้องคดีเองสามารถกระทำได้ตามนัยพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๕๔(๑๒) ที่ให้อำนาจเทศบาลเมืองสามารถจัดทำกิจการเทศพาณิชย์ในเขตเทศบาลได้ กรณีจึงแสดงให้เห็นได้ว่าเทศบาลเมืองนาสารซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ได้ใช้อาคารโรงแรมดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์ในการพาณิชยกรรมเป็นสำคัญ โดยได้มุ่งเก็บค่าเช่าจากเอกชนในเชิงการค้าพาณิชย์ การที่ผู้ฟ้องคดีทำสัญญาปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๒๒/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๙ ก็เนื่องจากอาคารโรงแรมดังกล่าวมีสภาพเก่าและชำรุดทรุดโทรม โดยทางผู้ฟ้องคดีได้ปรับปรุงก็เพื่อกิจกรรมทางพาณิชยกรรมของผู้ฟ้องคดีเอง การปรับปรุงดังกล่าวหาใช่เพื่อใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะแต่อย่างใดไม่ ถึงแม้จะมีข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีการปรับปรุงบางส่วนของอาคารพิพาทเป็นห้องสมุดและศูนย์คอมพิวเตอร์ และสถานออกกำลังกาย เพื่อให้ประชาชนใช้บริการก็ตาม แต่การบริการดังกล่าวเป็นไปเพื่อสนับสนุนการดำเนินการเชิงพาณิชย์ของผู้ฟ้องคดี โดยเมื่อพิจารณาจากที่ตั้งของห้องสมุด ศูนย์คอมพิวเตอร์ และสถานออกกำลังกาย ที่ตั้งอยู่ภายในอาคารโรงแรมชั้นที่ ๒ ซึ่งประชาชนทั่วไปย่อมไม่สะดวกที่เข้าไปใช้บริการ คงมีแต่บุคคลที่เข้าไปใช้บริการโรงแรมเท่านั้นที่อาจได้ประโยชน์ในการบริการดังกล่าว สัญญาจ้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) จึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ในการพาณิชยกรรมของผู้ฟ้องคดีเอง หาใช่สัญญาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนในการดำเนินกิจกรรมทางปกครองในการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อพิเคราะห์ถึงสัญญาดังกล่าวก็ไม่ปรากกฏว่ามีข้อกำหนดที่ให้สิทธิพิเศษแก่ฝ่ายปกครองแต่อย่างใด ดังนั้น แม้คู่สัญญาในสัญญาดังกล่าวฝ่ายหนึ่งจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ก็มิอาจทำให้สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองตามนัยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ สัญญาว่าจ้างปรับปรุงอาคารโรงแรมจึงเป็นสัญญาทางแพ่ง อยู่ในอำนาจควบคุมตรวจสอบของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างเทศบาลเมืองนาสาร ผู้ฟ้องคดี ห้างหุ้นส่วนจำกัด เรือนทรัพย์ ที่ ๑ นายเกรียงศักดิ์ ระวิวงศ์ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒/๒๕๕๕
วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลจังหวัดระยอง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดระยองโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓)ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ บริษัทปิยะ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ผู้ร้อง ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดระยอง เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๕๘๖/๒๕๕๒ โดยอ้างว่า ผู้ร้องมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช (กรมป่าไม้เดิม) อันเนื่องมาจากสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการศูนย์การศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ซึ่งอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ชำระเงินจำนวน ๔,๑๖๐,๙๗๗.๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันทำคำชี้ขาดจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น และให้คืนหลักประกันผลงานที่หักไว้เป็นเงินจำนวน ๔๗๒,๙๑๗.๙๐ บาท แก่ผู้ร้อง แต่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เพิกเฉย ขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชชำระเงินจำนวน ๔,๗๕๘,๗๒๕.๑๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของเงินจำนวน ๔,๑๖๐,๙๗๗.๙๖ บาท นับถัดจากวันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ผู้คัดค้าน ยื่นคำร้องคัดค้านว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่มีผลผูกพันคู่พิพาทและไม่อาจขอบังคับได้ เนื่องจากการชี้ขาดมีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานหลายประการ อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งการที่อนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยกำหนดเปลี่ยนแปลงค่างานตามสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการศูนย์การศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ให้แตกต่างไปจากข้อตกลงในสัญญาจึงเป็นการไม่ชอบด้วยข้อสัญญา ถือเป็นการชี้ขาดขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน อันเป็นเหตุให้คำชี้ขาดดังกล่าวถูกเพิกถอนได้ตามมาตรา ๔๐ (๑) (ง) (๒) (ข) ประกอบมาตรา ๓๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ผู้คัดค้านจึงยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางภายในกำหนดตามกฎหมาย ศาลปกครองกลางรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาแล้วเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๐๖๖/๒๕๕๒ ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องว่า คดีนี้เป็นคดีที่สืบเนื่องจากผู้คัดค้านตกลงทำสัญญาว่าจ้าง ผู้ร้องให้ก่อสร้างโครงการศูนย์ศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง เพื่อศึกษาธรรมชาติ โดยจัดทำบริการสาธารณะและจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคอันเป็นสัญญาทางปกครอง และเมื่อเริ่มดำเนินการตามสัญญาดังกล่าว เกิดมีข้อพิพาทโต้แย้งเกี่ยวกับข้อกำหนดในสัญญาและมีการนำเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการพิจารณาซึ่งต่อมาอนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ขอให้บังคับตามคำชี้ขาดดังกล่าว คดีจึงมีมูลหนี้มาจากสัญญาทางปกครอง และผู้คัดค้านได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้ศาลปกครองกลางพิจารณาสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแล้ว หากศาลปกครองกลางมีคำสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าว ผู้ร้องก็ไม่อาจบังคับตามคำชี้ขาดได้ คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ผู้ร้องทำคำชี้แจงว่า คดีนี้มีเนื้อหาประเด็นพิพาทเกี่ยวกับการว่าจ้างก่อสร้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง การที่ผู้คัดค้านอ้างว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการขัดต่อข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานถือเป็นการชี้ขาดที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เป็นการโต้แย้งการวิเคราะห์พยานหลักฐานและดุลพินิจ ในการวินิจฉัยหรือการรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนของอนุญาโตตุลาการและการโต้แย้งการให้เหตุผลในการวินิจฉัยซึ่งไม่ปรากฏว่ามีการวินิจฉัยผิดจากวิธีพิจารณาโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๓๗ วรรคสอง มาตรา ๔๐ (๑) (ง) (๒) (ข) ศาลจังหวัดระยองเป็นศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในคดีนี้ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๙ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๒ อีกทั้งหากเป็นกรณีที่ศาลที่มีเขตอำนาจทำการเพิกถอนหรือระงับใช้ซึ่งคำชี้ขาด ศาลอาจเลื่อนการพิจารณาคดีที่ขอบังคับตามคำชี้ขาดไปได้ตามที่เห็นสมควร และถ้าคู่พิพาทฝ่ายที่ขอบังคับตามคำชี้ขาดร้องขอ ศาลอาจสั่งให้คู่พิพาทฝ่ายที่จะถูกบังคับวางหลักประกันที่เหมาะสมก่อนก็ได้ ตามมาตรา ๔๓ (๖) ขอให้ยกคำร้องขอโอนคดีและดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ต่อไป
ศาลจังหวัดระยองพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลนี้เพื่อบังคับตามคำชี้ขาด แล้วผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านอ้างเหตุว่า คำชี้ขาดอยู่ระหว่างการพิจารณาขอให้ศาลปกครองเพิกถอนตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๓๗ วรรคสอง มาตรา ๔๐ (๑) (ง) (๒) (ข) ประกอบมาตรา ๓๗ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองนั้น ผู้คัดค้านมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องผิดเขตอำนาจศาลหรือคำร้องถูกจำกัดห้ามโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายเรื่องเขตอำนาจศาลแต่อย่างใด ผู้คัดค้านอ้างแต่เพียงว่าคำชี้ขาดอยู่ระหว่างการพิจารณาคำร้องขอเพิกถอนของศาลปกครองเท่านั้น เมื่อคำร้องนี้มิใช่การร้องผิดเขตอำนาจศาลหรือต้องถูกจำกัดห้ามโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายเรื่องเขตอำนาจศาล แต่ผู้ร้องยื่นคำร้องตามภูมิลำเนาที่ตนมีและตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลนี้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ประกอบกับก่อนยื่นคำร้องและขณะยื่นคำร้องหรือขณะนี้ศาลปกครองยังมิได้มีคำสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการแต่อย่างใด คำร้องนี้จึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดระยองที่มีเขตอำนาจ ซึ่งย่อมบังคับได้ตามคำชี้ขาดที่กล่าวมา ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๑ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้มูลเหตุแห่งข้อพิพาทตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการคือสัญญาก่อสร้างโครงการศูนย์ศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ระหว่างผู้ร้องกับกรมป่าไม้ ซึ่งต่อมาผู้คัดค้านได้รับโอนสิทธิ หน้าที่และภาระผูกพันตามสัญญาดังกล่าวมาจากกรมป่าไม้ ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๒๒ มาตรา ๒๓ ประกอบพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๖๗ เมื่อสัญญาดังกล่าวมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งคือผู้คัดค้านซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ และวัตถุแห่งสัญญานี้คือการก่อสร้างสิ่งสร้างทั่วไปโครงการศูนย์ศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง เพื่อเป็นแหล่งสำหรับศึกษาหาความรู้ฝึกอบรมด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของผู้คัดค้านที่ใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะในการอนุรักษ์ สงวน คุ้มครอง ฟื้นฟู ดูแลรักษา ส่งเสริมและทำนุบำรุงทรัพยากรป่าไม้ให้บรรลุผล สัญญาดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นสัญญาที่จัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค อันเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ศาลปกครองจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทซึ่งได้เสนอต่ออนุญาโตตุลาการตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังนั้นการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการอันเกิดจากข้อพิพาทตามสัญญาดังกล่าว จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๖) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบมาตรา ๙ และมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ ข้อเท็จจริงตามคำร้องสรุปได้ว่า ผู้ร้องมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการศูนย์การศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ระหว่างผู้ร้อง ผู้รับจ้าง กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช (กรมป่าไม้เดิม) ผู้ว่าจ้าง ซึ่งคณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ชำระเงินจำนวน ๔,๑๖๐,๙๗๗.๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันทำคำชี้ขาดจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น และให้คืนหลักประกันผลงานที่หักไว้เป็นเงินจำนวน ๔๗๒,๙๑๗.๙๐ บาท แก่ผู้ร้อง แต่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เพิกเฉย ขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชชำระเงินจำนวน ๔,๗๕๘,๗๒๕.๑๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของเงินจำนวน ๔,๑๖๐,๙๗๗.๙๖ บาท นับถัดจากวันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านสรุปได้ว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่มีผลผูกพันคู่พิพาทและไม่อาจขอบังคับได้ เนื่องจากเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งการที่อนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยกำหนดเปลี่ยนแปลงค่างานตามสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการศูนย์การศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ให้แตกต่างไปจากข้อตกลงในสัญญาจึงเป็นการไม่ชอบด้วยข้อสัญญา ถือเป็นการชี้ขาดขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน อันเป็นเหตุให้คำชี้ขาดดังกล่าวถูกเพิกถอนได้ตามมาตรา ๔๐ (๑) (ง) (๒) (ข) ประกอบมาตรา ๓๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ผู้คัดค้านจึงยื่นคำคัดค้านต่อศาลปกครองกลางภายในกำหนดตามกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองกลางรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาแล้ว ขอให้ยกคำร้อง เห็นว่า กรณีเป็นข้อพิพาทที่สืบเนื่องมาจากสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการศูนย์การศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง คดีจึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่า สัญญาพิพาทระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ คดีนี้ เมื่อผู้คัดค้านรับโอนสิทธิ หน้าที่และภาระผูกพันตามสัญญาดังกล่าวมาจากกรมป่าไม้ซึ่งเป็นคู่สัญญาเดิม ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๒๒ มาตรา ๒๓ ประกอบพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๖๗ มีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ทำสัญญาว่าจ้างผู้ร้องให้ก่อสร้างสิ่งสร้างทั่วไปโครงการศูนย์การศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง เพื่อเป็นแหล่งสำหรับศึกษาหาความรู้ฝึกอบรมด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นภารกิจเกี่ยวกับการจัดทำบริการสาธารณะอย่างหนึ่งในการอนุรักษ์ สงวน คุ้มครอง ฟื้นฟู ดูแลรักษา ส่งเสริมและทำนุบำรุงทรัพยากรป่าไม้ให้บรรลุผล สัญญาดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นสัญญาที่จัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค อันเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนั้น การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการอันเกิดจากข้อพิพาทตามสัญญาจ้างก่อสร้างดังกล่าว จึงเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๖) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบมาตรา ๙ และมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง บริษัทปิยะ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ผู้ร้อง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ผู้คัดค้าน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒/๒๕๕๕
วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลจังหวัดระยอง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดระยองโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓)ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ บริษัทปิยะ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ผู้ร้อง ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดระยอง เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๕๘๖/๒๕๕๒ โดยอ้างว่า ผู้ร้องมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช (กรมป่าไม้เดิม) อันเนื่องมาจากสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการศูนย์การศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ซึ่งอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ชำระเงินจำนวน ๔,๑๖๐,๙๗๗.๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันทำคำชี้ขาดจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น และให้คืนหลักประกันผลงานที่หักไว้เป็นเงินจำนวน ๔๗๒,๙๑๗.๙๐ บาท แก่ผู้ร้อง แต่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เพิกเฉย ขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชชำระเงินจำนวน ๔,๗๕๘,๗๒๕.๑๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของเงินจำนวน ๔,๑๖๐,๙๗๗.๙๖ บาท นับถัดจากวันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ผู้คัดค้าน ยื่นคำร้องคัดค้านว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่มีผลผูกพันคู่พิพาทและไม่อาจขอบังคับได้ เนื่องจากการชี้ขาดมีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานหลายประการ อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งการที่อนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยกำหนดเปลี่ยนแปลงค่างานตามสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการศูนย์การศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ให้แตกต่างไปจากข้อตกลงในสัญญาจึงเป็นการไม่ชอบด้วยข้อสัญญา ถือเป็นการชี้ขาดขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน อันเป็นเหตุให้คำชี้ขาดดังกล่าวถูกเพิกถอนได้ตามมาตรา ๔๐ (๑) (ง) (๒) (ข) ประกอบมาตรา ๓๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ผู้คัดค้านจึงยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางภายในกำหนดตามกฎหมาย ศาลปกครองกลางรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาแล้วเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๐๖๖/๒๕๕๒ ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องว่า คดีนี้เป็นคดีที่สืบเนื่องจากผู้คัดค้านตกลงทำสัญญาว่าจ้าง ผู้ร้องให้ก่อสร้างโครงการศูนย์ศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง เพื่อศึกษาธรรมชาติ โดยจัดทำบริการสาธารณะและจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคอันเป็นสัญญาทางปกครอง และเมื่อเริ่มดำเนินการตามสัญญาดังกล่าว เกิดมีข้อพิพาทโต้แย้งเกี่ยวกับข้อกำหนดในสัญญาและมีการนำเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการพิจารณาซึ่งต่อมาอนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ขอให้บังคับตามคำชี้ขาดดังกล่าว คดีจึงมีมูลหนี้มาจากสัญญาทางปกครอง และผู้คัดค้านได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้ศาลปกครองกลางพิจารณาสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแล้ว หากศาลปกครองกลางมีคำสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าว ผู้ร้องก็ไม่อาจบังคับตามคำชี้ขาดได้ คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ผู้ร้องทำคำชี้แจงว่า คดีนี้มีเนื้อหาประเด็นพิพาทเกี่ยวกับการว่าจ้างก่อสร้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง การที่ผู้คัดค้านอ้างว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการขัดต่อข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานถือเป็นการชี้ขาดที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เป็นการโต้แย้งการวิเคราะห์พยานหลักฐานและดุลพินิจ ในการวินิจฉัยหรือการรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนของอนุญาโตตุลาการและการโต้แย้งการให้เหตุผลในการวินิจฉัยซึ่งไม่ปรากฏว่ามีการวินิจฉัยผิดจากวิธีพิจารณาโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๓๗ วรรคสอง มาตรา ๔๐ (๑) (ง) (๒) (ข) ศาลจังหวัดระยองเป็นศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในคดีนี้ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๙ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๒ อีกทั้งหากเป็นกรณีที่ศาลที่มีเขตอำนาจทำการเพิกถอนหรือระงับใช้ซึ่งคำชี้ขาด ศาลอาจเลื่อนการพิจารณาคดีที่ขอบังคับตามคำชี้ขาดไปได้ตามที่เห็นสมควร และถ้าคู่พิพาทฝ่ายที่ขอบังคับตามคำชี้ขาดร้องขอ ศาลอาจสั่งให้คู่พิพาทฝ่ายที่จะถูกบังคับวางหลักประกันที่เหมาะสมก่อนก็ได้ ตามมาตรา ๔๓ (๖) ขอให้ยกคำร้องขอโอนคดีและดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ต่อไป
ศาลจังหวัดระยองพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลนี้เพื่อบังคับตามคำชี้ขาด แล้วผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านอ้างเหตุว่า คำชี้ขาดอยู่ระหว่างการพิจารณาขอให้ศาลปกครองเพิกถอนตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๓๗ วรรคสอง มาตรา ๔๐ (๑) (ง) (๒) (ข) ประกอบมาตรา ๓๗ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองนั้น ผู้คัดค้านมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องผิดเขตอำนาจศาลหรือคำร้องถูกจำกัดห้ามโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายเรื่องเขตอำนาจศาลแต่อย่างใด ผู้คัดค้านอ้างแต่เพียงว่าคำชี้ขาดอยู่ระหว่างการพิจารณาคำร้องขอเพิกถอนของศาลปกครองเท่านั้น เมื่อคำร้องนี้มิใช่การร้องผิดเขตอำนาจศาลหรือต้องถูกจำกัดห้ามโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายเรื่องเขตอำนาจศาล แต่ผู้ร้องยื่นคำร้องตามภูมิลำเนาที่ตนมีและตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลนี้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ประกอบกับก่อนยื่นคำร้องและขณะยื่นคำร้องหรือขณะนี้ศาลปกครองยังมิได้มีคำสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการแต่อย่างใด คำร้องนี้จึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดระยองที่มีเขตอำนาจ ซึ่งย่อมบังคับได้ตามคำชี้ขาดที่กล่าวมา ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๑ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้มูลเหตุแห่งข้อพิพาทตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการคือสัญญาก่อสร้างโครงการศูนย์ศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ระหว่างผู้ร้องกับกรมป่าไม้ ซึ่งต่อมาผู้คัดค้านได้รับโอนสิทธิ หน้าที่และภาระผูกพันตามสัญญาดังกล่าวมาจากกรมป่าไม้ ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๒๒ มาตรา ๒๓ ประกอบพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๖๗ เมื่อสัญญาดังกล่าวมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งคือผู้คัดค้านซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ และวัตถุแห่งสัญญานี้คือการก่อสร้างสิ่งสร้างทั่วไปโครงการศูนย์ศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง เพื่อเป็นแหล่งสำหรับศึกษาหาความรู้ฝึกอบรมด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของผู้คัดค้านที่ใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะในการอนุรักษ์ สงวน คุ้มครอง ฟื้นฟู ดูแลรักษา ส่งเสริมและทำนุบำรุงทรัพยากรป่าไม้ให้บรรลุผล สัญญาดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นสัญญาที่จัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค อันเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ศาลปกครองจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทซึ่งได้เสนอต่ออนุญาโตตุลาการตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังนั้นการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการอันเกิดจากข้อพิพาทตามสัญญาดังกล่าว จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๖) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบมาตรา ๙ และมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ ข้อเท็จจริงตามคำร้องสรุปได้ว่า ผู้ร้องมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการศูนย์การศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ระหว่างผู้ร้อง ผู้รับจ้าง กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช (กรมป่าไม้เดิม) ผู้ว่าจ้าง ซึ่งคณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ชำระเงินจำนวน ๔,๑๖๐,๙๗๗.๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันทำคำชี้ขาดจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น และให้คืนหลักประกันผลงานที่หักไว้เป็นเงินจำนวน ๔๗๒,๙๑๗.๙๐ บาท แก่ผู้ร้อง แต่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เพิกเฉย ขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชชำระเงินจำนวน ๔,๗๕๘,๗๒๕.๑๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของเงินจำนวน ๔,๑๖๐,๙๗๗.๙๖ บาท นับถัดจากวันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านสรุปได้ว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่มีผลผูกพันคู่พิพาทและไม่อาจขอบังคับได้ เนื่องจากเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งการที่อนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยกำหนดเปลี่ยนแปลงค่างานตามสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการศูนย์การศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ให้แตกต่างไปจากข้อตกลงในสัญญาจึงเป็นการไม่ชอบด้วยข้อสัญญา ถือเป็นการชี้ขาดขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน อันเป็นเหตุให้คำชี้ขาดดังกล่าวถูกเพิกถอนได้ตามมาตรา ๔๐ (๑) (ง) (๒) (ข) ประกอบมาตรา ๓๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ผู้คัดค้านจึงยื่นคำคัดค้านต่อศาลปกครองกลางภายในกำหนดตามกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองกลางรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาแล้ว ขอให้ยกคำร้อง เห็นว่า กรณีเป็นข้อพิพาทที่สืบเนื่องมาจากสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการศูนย์การศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง คดีจึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่า สัญญาพิพาทระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ คดีนี้ เมื่อผู้คัดค้านรับโอนสิทธิ หน้าที่และภาระผูกพันตามสัญญาดังกล่าวมาจากกรมป่าไม้ซึ่งเป็นคู่สัญญาเดิม ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๒๒ มาตรา ๒๓ ประกอบพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๖๗ มีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ทำสัญญาว่าจ้างผู้ร้องให้ก่อสร้างสิ่งสร้างทั่วไปโครงการศูนย์การศึกษาธรรมชาติทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง เพื่อเป็นแหล่งสำหรับศึกษาหาความรู้ฝึกอบรมด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นภารกิจเกี่ยวกับการจัดทำบริการสาธารณะอย่างหนึ่งในการอนุรักษ์ สงวน คุ้มครอง ฟื้นฟู ดูแลรักษา ส่งเสริมและทำนุบำรุงทรัพยากรป่าไม้ให้บรรลุผล สัญญาดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นสัญญาที่จัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค อันเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนั้น การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการอันเกิดจากข้อพิพาทตามสัญญาจ้างก่อสร้างดังกล่าว จึงเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๖) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบมาตรา ๙ และมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง บริษัทปิยะ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ผู้ร้อง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ผู้คัดค้าน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑/๒๕๕๕
วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๑ เทศบาลเมืองนาสาร ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดเรือนทรัพย์ ที่ ๑ นายเกรียงศักดิ์ ระวิวงศ์ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราช เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๐๒/๒๕๕๑ ความว่า เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๙ ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้ก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ในวงเงิน ๕,๔๙๕,๐๐๐ บาท มีหนังสือ ค้ำประกันของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาเวียงสระ เป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญาจ้างในวงเงิน ๒๗๔,๗๕๐ บาท แต่การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ผู้ฟ้องคดีจึงบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกัน และได้ว่าจ้างผู้รับจ้างรายใหม่ทำงานต่อจนแล้วเสร็จ ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายเป็นเงิน ๓๘๓,๐๐๐ บาท ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายเป็นเงิน ๓๘๓,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๕,๖๖๕.๑๙ บาท และให้ร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจาก เห็นว่า แม้คดีนี้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นคู่สัญญาจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เมื่อโรงแรม คลิฟโฮเต็ลได้จดทะเบียนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการโรงแรม ภัตตาคาร ไนต์คลับ ฯลฯ โรงแรมดังกล่าวจึงมิใช่สร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำบริการสาธารณะ หรือเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินการบริการสาธารณะและแม้ว่าข้อสัญญามีข้อผูกมัดดังเช่นสัญญาทั่วไปของทางราชการก็ตาม เมื่ออาคารที่ว่าจ้างก่อสร้างปรับปรุงมีไว้เพื่อให้เอกชนเช่าดำเนินการในเชิงพาณิชย์ สัญญาจ้างก่อสร้างระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง คดีพิพาทดังกล่าวจึงมิใช่คดีพิพาท ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาได้
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้รับคำฟ้องไว้พิจารณา เนื่องจากเห็นว่าผู้ฟ้องคดีว่าจ้างให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ทำการก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ซึ่งแม้เดิมอาคารโรงแรมดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจะนำออกให้บุคคลอื่นเช่าเพื่อประกอบกิจการโรงแรมในเชิงพาณิชย์มาก่อนก็ตาม แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องอุทธรณ์และคำชี้แจงเพิ่มเติมพร้อมพยานหลักฐานในชั้นศาลปกครองสูงสุดว่า หลังจากที่เอกชนได้เลิกเช่าอาคารโรงแรมดังกล่าวในปี ๒๕๓๕ แล้ว อาคารมีสภาพเก่าและชำรุดได้ถูกทิ้งว่างไว้จนกระทั่งปี ๒๕๔๙ ผู้ฟ้องคดีจึงมีนโยบายปรับปรุงอาคารดังกล่าว โดยว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้ทำการก่อสร้างปรับปรุงตามสัญญาจ้างพิพาทเพื่อเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ (ห้องสมุดและศูนย์คอมพิวเตอร์) และศูนย์ฟิตเนสเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในชั้นที่ ๒ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่ายังมีบางส่วนของอาคารดังกล่าว (ชั้นที่ ๓) ที่ผู้ฟ้องคดียังใช้ในเชิงพาณิชย์ คือ เปิดบริการให้เช่าเป็นห้องพักอยู่จำนวน ๑๘ ห้อง แต่เมื่อสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างเหมารวมฉบับเดียวกันที่ไม่อาจแบ่งเป็นแต่ละส่วนได้ จึงต้องถือว่าสัญญาจ้างเหมารวมในสัญญาฉบับเดียวกันที่ไม่อาจแบ่งออกเป็นแต่ละส่วนได้ จึงต้องถือว่าสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารดังกล่าวทั้งหมดเป็นการจ้างเพื่อจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคอันเป็นเครื่องมือในการจัดทำบริการสาธารณะของผู้ฟ้องคดี และเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับเมื่อขณะทำสัญญาจ้างในคดีนี้ปรากฏตามแบบแปลนแผนผังท้ายสัญญาจ้างว่า ผู้ฟ้องคดีจะใช้อาคารชั้นที่ ๒ ตามวัตถุประสงค์ดังที่กล่าวมาแล้ว คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า สัญญาจ้างก่อสร้างปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการโรงแรมหรือให้เอกชนเช่าดำเนินธุรกิจโรงแรม อันเป็นการประกอบกิจการในเชิงพาณิชย์เป็นสำคัญ การที่ผู้ฟ้องคดีได้ใช้เนื้อที่เพียงเล็กน้อยของอาคารเป็นศูนย์การเรียนรู้และสถานที่ออกกำลังกาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ฟ้องคดีได้ดำเนินการภายหลังจากที่ได้ทำสัญญากับผู้ฟ้องคดีแล้ว สัญญาพิพาทจึงมิใช่สัญญาทางปกครอง แต่เป็นสัญญาทางแพ่ง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อคดีนี้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองโต้แย้งว่า เป็นกรณีพิพาทในทางแพ่ง ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม จึงให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้ชั่วคราว เพื่อให้ศาลยุติธรรมจัดทำความเห็นตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ และข้อ ๑๙ ของข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔
ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้เทศบาลเมืองนาสารผู้ฟ้องคดีจะมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่สัญญาที่ผู้ฟ้องคดีทำกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ จะต้องเป็นสัญญาที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ตามคำฟ้องผู้ฟ้องคดีหาได้บรรยายว่าสัญญาดังกล่าวเข้าลักษณะใดลักษณะหนึ่ง คงปรากฏตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดว่า ผู้ฟ้องคดีได้เสนอข้อเท็จจริงตามคำร้องอุทธรณ์และคำชี้แจงเพิ่มเติมพร้อมพยานหลักฐานในชั้นศาลปกครองสูงสุดว่า ผู้ฟ้องคดีมีนโยบายปรับปรุงอาคารพิพาทเพื่อเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ (ห้องสมุดและศูนย์คอมพิวเตอร์) และศูนย์ฟิตเนส (สถานที่ออกกำลังกาย) เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในชั้นที่ ๒ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะเท่านั้น นอกจากนั้นผู้ฟ้องคดียังรับว่า ในชั้นที่ ๓ ผู้ฟ้องคดียังคงเปิดบริการในเชิงพาณิชย์ โดยเปิดบริการเป็นห้องพักอยู่จำนวน ๑๘ ห้อง เมื่อพิจารณาถึงลักษณะที่ตั้งของห้องสมุด ศูนย์คอมพิวเตอร์และศูนย์ฟิตเนสที่ตั้งอยู่ในชั้นที่ ๒ การที่ประชาชนจะเข้าไปใช้บริการย่อมไม่เป็นที่สะดวก แตกต่างจากการที่จะนำเครื่องออกกำลังกายไปวางไว้ตามสวนสาธารณะหรือสถานที่สาธารณะต่าง ๆ หรือตามอาคารสาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ ที่สื่อให้เห็นว่า ประชาชนสามารถเข้าไปใช้บริการได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่อาคารพิพาทกลับปรับปรุงให้มีสภาพเป็นโรงแรม การจัดการดูแลภายในโรงแรมย่อมต้องเข้มงวดทั้งในเรื่องความปลอดภัย ความสะอาด และความสะดวกของแขกผู้มาพัก อีกทั้งมีการเรียกชื่ออาคารดังกล่าวว่าเป็นโรงแรมเทศบาลอันมีลักษณะเป็นการพาณิชย์อย่างเห็นได้ชัด การที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าไปใช้บริการย่อมไม่เป็นที่สะดวก แต่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่แขกผู้มาพักในโรงแรมมากกว่า ย่อมแสดงให้เห็นว่าวัตถุประสงค์การจ้างให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองปรับปรุงอาคารพิพาทก็เพื่อวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์เป็นหลัก มิใช่เพื่อจัดให้มีบริการสาธารณะเป็นหลักแต่อย่างใด แม้สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารดังกล่าวจะเป็นสัญญาจ้างเหมารวมในสัญญาฉบับเดียวกันที่มิอาจแบ่งแยกได้ จึงต้องถือวัตถุประสงค์ของการจ้างว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อการใดเป็นสำคัญ และเมื่อปรากฏว่าสัญญาจ้างดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ปรับปรุงเพื่อให้เอกชนเช่าดำเนินการในเชิงพาณิชย์ สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองตามคำนิยามในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ กรณีจึงมิใช่คดีพิพาทตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้นคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เทศบาลเมืองนาสาร ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องเอกชนให้ชำระค่าเสียหายจากการที่หน่วยงานทางปกครองต้องว่าจ้างผู้รับจ้างรายใหม่อันเนื่องมาจากเอกชนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผิดสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) กับผู้ฟ้องคดี กรณีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยในคดีนี้ว่า สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวได้นิยามสัญญาทางปกครองไว้ตามมาตรา ๓ ว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า โรงแรมดังกล่าวซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ผู้ฟ้องคดี และผู้ฟ้องคดีได้เปิดให้เอกชนเช่าเพื่อประกอบการโรงแรมและเก็บค่าเช่าเรื่อยมา ซึ่งผู้ฟ้องคดีเองสามารถกระทำได้ตามนัยพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๕๔(๑๒) ที่ให้อำนาจเทศบาลเมืองสามารถจัดทำกิจการเทศพาณิชย์ในเขตเทศบาลได้ กรณีจึงแสดงให้เห็นได้ว่าเทศบาลเมืองนาสารซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ได้ใช้อาคารโรงแรมดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์ในการพาณิชยกรรมเป็นสำคัญ โดยได้มุ่งเก็บค่าเช่าจากเอกชนในเชิงการค้าพาณิชย์ การที่ผู้ฟ้องคดีทำสัญญาปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๒๒/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๙ ก็เนื่องจากอาคารโรงแรมดังกล่าวมีสภาพเก่าและชำรุดทรุดโทรม โดยทางผู้ฟ้องคดีได้ปรับปรุงก็เพื่อกิจกรรมทางพาณิชยกรรมของผู้ฟ้องคดีเอง การปรับปรุงดังกล่าวหาใช่เพื่อใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะแต่อย่างใดไม่ ถึงแม้จะมีข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีการปรับปรุงบางส่วนของอาคารพิพาทเป็นห้องสมุดและศูนย์คอมพิวเตอร์ และสถานออกกำลังกาย เพื่อให้ประชาชนใช้บริการก็ตาม แต่การบริการดังกล่าวเป็นไปเพื่อสนับสนุนการดำเนินการเชิงพาณิชย์ของผู้ฟ้องคดี โดยเมื่อพิจารณาจากที่ตั้งของห้องสมุด ศูนย์คอมพิวเตอร์ และสถานออกกำลังกาย ที่ตั้งอยู่ภายในอาคารโรงแรมชั้นที่ ๒ ซึ่งประชาชนทั่วไปย่อมไม่สะดวกที่เข้าไปใช้บริการ คงมีแต่บุคคลที่เข้าไปใช้บริการโรงแรมเท่านั้นที่อาจได้ประโยชน์ในการบริการดังกล่าว สัญญาจ้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) จึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ในการพาณิชยกรรมของผู้ฟ้องคดีเอง หาใช่สัญญาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนในการดำเนินกิจกรรมทางปกครองในการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อพิเคราะห์ถึงสัญญาดังกล่าวก็ไม่ปรากกฏว่ามีข้อกำหนดที่ให้สิทธิพิเศษแก่ฝ่ายปกครองแต่อย่างใด ดังนั้น แม้คู่สัญญาในสัญญาดังกล่าวฝ่ายหนึ่งจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ก็มิอาจทำให้สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองตามนัยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ สัญญาว่าจ้างปรับปรุงอาคารโรงแรมจึงเป็นสัญญาทางแพ่ง อยู่ในอำนาจควบคุมตรวจสอบของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างเทศบาลเมืองนาสาร ผู้ฟ้องคดี ห้างหุ้นส่วนจำกัดเรือนทรัพย์ ที่ ๑ นายเกรียงศักดิ์ ระวิวงศ์ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑/๒๕๕๕
วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๑ เทศบาลเมืองนาสาร ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดเรือนทรัพย์ ที่ ๑ นายเกรียงศักดิ์ ระวิวงศ์ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราช เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๐๒/๒๕๕๑ ความว่า เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๙ ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้ก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ในวงเงิน ๕,๔๙๕,๐๐๐ บาท มีหนังสือ ค้ำประกันของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาเวียงสระ เป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญาจ้างในวงเงิน ๒๗๔,๗๕๐ บาท แต่การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ผู้ฟ้องคดีจึงบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกัน และได้ว่าจ้างผู้รับจ้างรายใหม่ทำงานต่อจนแล้วเสร็จ ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายเป็นเงิน ๓๘๓,๐๐๐ บาท ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายเป็นเงิน ๓๘๓,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๕,๖๖๕.๑๙ บาท และให้ร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจาก เห็นว่า แม้คดีนี้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นคู่สัญญาจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เมื่อโรงแรม คลิฟโฮเต็ลได้จดทะเบียนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการโรงแรม ภัตตาคาร ไนต์คลับ ฯลฯ โรงแรมดังกล่าวจึงมิใช่สร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำบริการสาธารณะ หรือเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินการบริการสาธารณะและแม้ว่าข้อสัญญามีข้อผูกมัดดังเช่นสัญญาทั่วไปของทางราชการก็ตาม เมื่ออาคารที่ว่าจ้างก่อสร้างปรับปรุงมีไว้เพื่อให้เอกชนเช่าดำเนินการในเชิงพาณิชย์ สัญญาจ้างก่อสร้างระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง คดีพิพาทดังกล่าวจึงมิใช่คดีพิพาท ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาได้
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้รับคำฟ้องไว้พิจารณา เนื่องจากเห็นว่าผู้ฟ้องคดีว่าจ้างให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ทำการก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ซึ่งแม้เดิมอาคารโรงแรมดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจะนำออกให้บุคคลอื่นเช่าเพื่อประกอบกิจการโรงแรมในเชิงพาณิชย์มาก่อนก็ตาม แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องอุทธรณ์และคำชี้แจงเพิ่มเติมพร้อมพยานหลักฐานในชั้นศาลปกครองสูงสุดว่า หลังจากที่เอกชนได้เลิกเช่าอาคารโรงแรมดังกล่าวในปี ๒๕๓๕ แล้ว อาคารมีสภาพเก่าและชำรุดได้ถูกทิ้งว่างไว้จนกระทั่งปี ๒๕๔๙ ผู้ฟ้องคดีจึงมีนโยบายปรับปรุงอาคารดังกล่าว โดยว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้ทำการก่อสร้างปรับปรุงตามสัญญาจ้างพิพาทเพื่อเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ (ห้องสมุดและศูนย์คอมพิวเตอร์) และศูนย์ฟิตเนสเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในชั้นที่ ๒ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่ายังมีบางส่วนของอาคารดังกล่าว (ชั้นที่ ๓) ที่ผู้ฟ้องคดียังใช้ในเชิงพาณิชย์ คือ เปิดบริการให้เช่าเป็นห้องพักอยู่จำนวน ๑๘ ห้อง แต่เมื่อสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างเหมารวมฉบับเดียวกันที่ไม่อาจแบ่งเป็นแต่ละส่วนได้ จึงต้องถือว่าสัญญาจ้างเหมารวมในสัญญาฉบับเดียวกันที่ไม่อาจแบ่งออกเป็นแต่ละส่วนได้ จึงต้องถือว่าสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารดังกล่าวทั้งหมดเป็นการจ้างเพื่อจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคอันเป็นเครื่องมือในการจัดทำบริการสาธารณะของผู้ฟ้องคดี และเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับเมื่อขณะทำสัญญาจ้างในคดีนี้ปรากฏตามแบบแปลนแผนผังท้ายสัญญาจ้างว่า ผู้ฟ้องคดีจะใช้อาคารชั้นที่ ๒ ตามวัตถุประสงค์ดังที่กล่าวมาแล้ว คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า สัญญาจ้างก่อสร้างปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการโรงแรมหรือให้เอกชนเช่าดำเนินธุรกิจโรงแรม อันเป็นการประกอบกิจการในเชิงพาณิชย์เป็นสำคัญ การที่ผู้ฟ้องคดีได้ใช้เนื้อที่เพียงเล็กน้อยของอาคารเป็นศูนย์การเรียนรู้และสถานที่ออกกำลังกาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ฟ้องคดีได้ดำเนินการภายหลังจากที่ได้ทำสัญญากับผู้ฟ้องคดีแล้ว สัญญาพิพาทจึงมิใช่สัญญาทางปกครอง แต่เป็นสัญญาทางแพ่ง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อคดีนี้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองโต้แย้งว่า เป็นกรณีพิพาทในทางแพ่ง ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม จึงให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้ชั่วคราว เพื่อให้ศาลยุติธรรมจัดทำความเห็นตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ และข้อ ๑๙ ของข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔
ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้เทศบาลเมืองนาสารผู้ฟ้องคดีจะมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่สัญญาที่ผู้ฟ้องคดีทำกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ จะต้องเป็นสัญญาที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ตามคำฟ้องผู้ฟ้องคดีหาได้บรรยายว่าสัญญาดังกล่าวเข้าลักษณะใดลักษณะหนึ่ง คงปรากฏตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดว่า ผู้ฟ้องคดีได้เสนอข้อเท็จจริงตามคำร้องอุทธรณ์และคำชี้แจงเพิ่มเติมพร้อมพยานหลักฐานในชั้นศาลปกครองสูงสุดว่า ผู้ฟ้องคดีมีนโยบายปรับปรุงอาคารพิพาทเพื่อเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ (ห้องสมุดและศูนย์คอมพิวเตอร์) และศูนย์ฟิตเนส (สถานที่ออกกำลังกาย) เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในชั้นที่ ๒ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะเท่านั้น นอกจากนั้นผู้ฟ้องคดียังรับว่า ในชั้นที่ ๓ ผู้ฟ้องคดียังคงเปิดบริการในเชิงพาณิชย์ โดยเปิดบริการเป็นห้องพักอยู่จำนวน ๑๘ ห้อง เมื่อพิจารณาถึงลักษณะที่ตั้งของห้องสมุด ศูนย์คอมพิวเตอร์และศูนย์ฟิตเนสที่ตั้งอยู่ในชั้นที่ ๒ การที่ประชาชนจะเข้าไปใช้บริการย่อมไม่เป็นที่สะดวก แตกต่างจากการที่จะนำเครื่องออกกำลังกายไปวางไว้ตามสวนสาธารณะหรือสถานที่สาธารณะต่าง ๆ หรือตามอาคารสาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ ที่สื่อให้เห็นว่า ประชาชนสามารถเข้าไปใช้บริการได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่อาคารพิพาทกลับปรับปรุงให้มีสภาพเป็นโรงแรม การจัดการดูแลภายในโรงแรมย่อมต้องเข้มงวดทั้งในเรื่องความปลอดภัย ความสะอาด และความสะดวกของแขกผู้มาพัก อีกทั้งมีการเรียกชื่ออาคารดังกล่าวว่าเป็นโรงแรมเทศบาลอันมีลักษณะเป็นการพาณิชย์อย่างเห็นได้ชัด การที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าไปใช้บริการย่อมไม่เป็นที่สะดวก แต่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่แขกผู้มาพักในโรงแรมมากกว่า ย่อมแสดงให้เห็นว่าวัตถุประสงค์การจ้างให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองปรับปรุงอาคารพิพาทก็เพื่อวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์เป็นหลัก มิใช่เพื่อจัดให้มีบริการสาธารณะเป็นหลักแต่อย่างใด แม้สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารดังกล่าวจะเป็นสัญญาจ้างเหมารวมในสัญญาฉบับเดียวกันที่มิอาจแบ่งแยกได้ จึงต้องถือวัตถุประสงค์ของการจ้างว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อการใดเป็นสำคัญ และเมื่อปรากฏว่าสัญญาจ้างดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ปรับปรุงเพื่อให้เอกชนเช่าดำเนินการในเชิงพาณิชย์ สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองตามคำนิยามในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ กรณีจึงมิใช่คดีพิพาทตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้นคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เทศบาลเมืองนาสาร ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องเอกชนให้ชำระค่าเสียหายจากการที่หน่วยงานทางปกครองต้องว่าจ้างผู้รับจ้างรายใหม่อันเนื่องมาจากเอกชนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผิดสัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) กับผู้ฟ้องคดี กรณีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยในคดีนี้ว่า สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวได้นิยามสัญญาทางปกครองไว้ตามมาตรา ๓ ว่า สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า โรงแรมดังกล่าวซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ผู้ฟ้องคดี และผู้ฟ้องคดีได้เปิดให้เอกชนเช่าเพื่อประกอบการโรงแรมและเก็บค่าเช่าเรื่อยมา ซึ่งผู้ฟ้องคดีเองสามารถกระทำได้ตามนัยพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๕๔(๑๒) ที่ให้อำนาจเทศบาลเมืองสามารถจัดทำกิจการเทศพาณิชย์ในเขตเทศบาลได้ กรณีจึงแสดงให้เห็นได้ว่าเทศบาลเมืองนาสารซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ได้ใช้อาคารโรงแรมดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์ในการพาณิชยกรรมเป็นสำคัญ โดยได้มุ่งเก็บค่าเช่าจากเอกชนในเชิงการค้าพาณิชย์ การที่ผู้ฟ้องคดีทำสัญญาปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๒๒/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๙ ก็เนื่องจากอาคารโรงแรมดังกล่าวมีสภาพเก่าและชำรุดทรุดโทรม โดยทางผู้ฟ้องคดีได้ปรับปรุงก็เพื่อกิจกรรมทางพาณิชยกรรมของผู้ฟ้องคดีเอง การปรับปรุงดังกล่าวหาใช่เพื่อใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะแต่อย่างใดไม่ ถึงแม้จะมีข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีการปรับปรุงบางส่วนของอาคารพิพาทเป็นห้องสมุดและศูนย์คอมพิวเตอร์ และสถานออกกำลังกาย เพื่อให้ประชาชนใช้บริการก็ตาม แต่การบริการดังกล่าวเป็นไปเพื่อสนับสนุนการดำเนินการเชิงพาณิชย์ของผู้ฟ้องคดี โดยเมื่อพิจารณาจากที่ตั้งของห้องสมุด ศูนย์คอมพิวเตอร์ และสถานออกกำลังกาย ที่ตั้งอยู่ภายในอาคารโรงแรมชั้นที่ ๒ ซึ่งประชาชนทั่วไปย่อมไม่สะดวกที่เข้าไปใช้บริการ คงมีแต่บุคคลที่เข้าไปใช้บริการโรงแรมเท่านั้นที่อาจได้ประโยชน์ในการบริการดังกล่าว สัญญาจ้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล (คลิฟโฮเต็ล) จึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ในการพาณิชยกรรมของผู้ฟ้องคดีเอง หาใช่สัญญาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนในการดำเนินกิจกรรมทางปกครองในการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อพิเคราะห์ถึงสัญญาดังกล่าวก็ไม่ปรากกฏว่ามีข้อกำหนดที่ให้สิทธิพิเศษแก่ฝ่ายปกครองแต่อย่างใด ดังนั้น แม้คู่สัญญาในสัญญาดังกล่าวฝ่ายหนึ่งจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ก็มิอาจทำให้สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองตามนัยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ สัญญาว่าจ้างปรับปรุงอาคารโรงแรมจึงเป็นสัญญาทางแพ่ง อยู่ในอำนาจควบคุมตรวจสอบของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างเทศบาลเมืองนาสาร ผู้ฟ้องคดี ห้างหุ้นส่วนจำกัดเรือนทรัพย์ ที่ ๑ นายเกรียงศักดิ์ ระวิวงศ์ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕๔/๒๕๕๔
วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดภูเก็ต
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดภูเก็ตส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โจทก์ยื่นฟ้อง นายสมปอง สกุลทับ ที่ ๑ นายสุรศักดิ์ มณีศรี ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดภูเก็ตเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๖๓/๒๕๕๑ ความว่า เดิมที่ดินริมทะเล ถนนหมื่นเงิน (หาดไตรตรัง) ตำแหน่งที่ดินระวาง/กลุ่ม ๔๕๗ เป็นที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิดต่อมากรมป่าไม้ได้ส่งมอบที่ดินซึ่งเป็นพื้นที่ป่าเศรษฐกิจเสื่อมโทรม (โซนอี) ให้โจทก์ไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินและรัฐบาลได้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขากมลา ป่าเทือกเขานาคเกิดและป่าเขาสามเหลี่ยม เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลเชิงทะเล ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง ตำบลกมลา ตำบลกะทู้ ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ และตำบลเกาะแก้ว ตำบลรัษฎา ตำบลวิชิต ตำบลกะรน ตำบลฉลอง ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ให้เป็นเขตปฎิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๗ อันมีผลเป็นการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในที่ดินแปลงดังกล่าวและให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แต่จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินบริเวณถนนหมื่นเงิน (หาดไตรตรัง) ที่ดินโครงการปฏิรูปที่ดินป่าเทือกเขานาคเกิด ตำแหน่งที่ดินระวาง/กลุ่ม ๔๕๗ แปลงเลขที่ ๑ ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ ๒๖ ไร่ ๐ งาน ๗๐ ตารางวา ด้วยการก่นสร้าง แผ้วถางป่า ทำการก่อสร้างอาคารรั้วหรือกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็ก ถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ป้ายบอกชื่อโรงแรมและร้านอาหาร โดยทำเป็นที่อยู่อาศัย ร้านอาหารและโรงแรมในที่ดินของโจทก์ อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองและบริวารทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทำให้ที่ดินกลับสู่สภาพเดิมและออกจากที่ดินของโจทก์ภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับหนังสือ ต่อมาจำเลยทั้งสองได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งโจทก์ โจทก์จึงรายงานความคิดเห็นพร้อมเหตุผลเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในฐานะผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตมีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสองทราบ จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือแจ้งดังกล่าวแล้ว แต่ยังคงเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างทำที่ดินให้กลับสู่สภาพเดิมและออกจากที่ดินของโจทก์จำเลยทั้งสองให้การในทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากการมอบอำนาจไม่ถูกต้อง จำเลยที่ ๑ ไม่เคยบุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินในโครงการปฏิรูปที่ดินป่าเทือกเขานาคเกิด แต่ได้ครอบครองที่ดินมาโดยชอบด้วยกฎหมายโดยได้รับสิทธิการครอบครองมาจากนายนอง สกุลทับ และนายชูวิทย์ สกุลทับ โดยนายนองได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินเต็มพื้นที่ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ และได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์จากคณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติเป็นเนื้อที่๒๑ ไร่ ๕๐ ตารางวา และได้ครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๔๒๔ หมู่ที่ ๑ ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ประมาณ ๗ ไร่ ๓ งาน ๖ ตารางวา รวมเนื้อที่ครอบครอง ๒๘ ไร่เศษ แต่เมื่อรังวัดแล้วปรากฏว่ามีเพียง ๒๖ ไร่เศษ ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้ เมื่อนายนองถึงแก่ความตายนายชูวิทย์และจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกันครอบครองมาถึงปัจจุบันโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งสิทธิ ส่วนจำเลยที่ ๒ซึ่งทำสัญญาเช่าจากจำเลยที่ ๑ และได้รับสิทธิครอบครองมาจากจำเลยที่ ๑ จึงได้รับสิทธิครอบครองที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้เมื่อปี ๒๕๔๖ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอออกส.ป.ก. ๔ - ๐๑ ต่อสำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ต แต่ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด จำเลยที่ ๑ จึงขอยกเลิกการขอออกส.ป.ก. ๔ - ๐๑ เนื่องจากจำเลยที่ ๑ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับ และไม่ได้รับความยินยอมจากนายชูวิทย์ ซึ่งเป็นผู้ครอบครองร่วม และที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ครอบครองอยู่ในแนวเขตปฏิรูปที่ดินเพียงไม่กี่ตารางวา โจทก์ไม่มีอำนาจอ้างสิทธิใดๆ ในที่ดินของจำเลยทั้งสองที่ได้ถือครองอย่างถูกต้องตามกฎหมายนอกจากนี้การพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกับเมื่อจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งแจ้งให้จำเลยทั้งสองยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองภายในเก้าสิบวัน จำเลยทั้งสองได้ใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราชเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๐/๒๕๕๐ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า ก่อนที่โจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ จำเลยทั้งสองยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราชเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๐/๒๕๕๐ ซึ่งเป็นคดีที่มีมูลคดีเดียวกันและคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองนครศรีธรรมราช ศาลจังหวัดภูเก็ต จึงไม่มีอำนาจพิจารณาคดีแต่อย่างใด โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า การที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกยึดถือครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และจำเลยทั้งสองให้การว่าตนมีสิทธิในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ประเด็นพิพาทแห่งคดีนี้จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการโต้แย้งสิทธิครอบครองหรือการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดิน คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ส่วนคดีที่จำเลยทั้งสองฟ้องต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราชเป็นคดีเกี่ยวกับคำสั่งทางปกครอง กรณีจึงมีประเด็นข้อพิพาทต่างกันกับคดีนี้ ขอให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องและมีความเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม
ศาลจังหวัดภูเก็ตพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิครอบครองจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองในที่ดิน มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมาย มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ ๒๕๔๒ มาตรา ๙ คดีพิพาทนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนการที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า จำเลยทั้งสองได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราช โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้นั้น เป็นการโต้แย้งในเรื่องอำนาจฟ้องคดีนี้เท่านั้นมิได้ทำให้คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลจังหวัดภูเก็ต
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โจทก์ เป็นส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โจทก์จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนจำเลยทั้งสองเป็นเอกชน คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานราชการกับเอกชน อันเป็นองค์ประกอบประการแรกของคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากมีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขากมลาป่าเทือกเขานาคเกิด และป่าเขาสามเหลี่ยม ซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่จังหวัดภูเก็ตเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยทั้งสองได้บุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินบริเวณถนนหมื่นเงิน (หาดไตรตรัง) ซึ่งเป็นที่ดินตามโครงการปฏิรูปที่ดินป่าเทือกเขานาคเกิดด้วยการก่นสร้าง แผ้วถางป่า แล้วทำการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างอื่นโดยทำเป็นที่อยู่อาศัยร้านอาหารและโรงแรม โจทก์จึงได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและทำที่ดินให้กลับสู่สภาพเดิมและให้ออกจากที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสองได้ยื่นอุทธรณ์ต่อเจ้าหน้าที่ในสังกัดโจทก์ ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตได้มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์แล้วไม่พอใจคำวินิจฉัย จึงฟ้องสำนักการปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ตที่ ๑ ปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ตที่ ๒ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตที่ ๓ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราชในคดีหมายเลขดำที่ ๔๐/๒๕๕๐ ให้เพิกถอนคำสั่งของโจทก์ที่ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งในขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองนครศรีธรรมราชโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ในคดีหมายเลขดำที่ ๒๖๓/๒๕๕๑ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างทำที่ดินให้กลับสู่สภาพเดิมและให้ออกจากที่ดินแปลงดังกล่าว เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องจากการที่โจทก์ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะแล้วเกิดปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทซึ่งมีเหตุแห่งการฟ้องคดีอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือเนื่องจากการดำเนินกิจการทางปกครองของโจทก์ อันเป็นองค์ประกอบประการที่สองของคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทที่มีลักษณะครบองค์ประกอบของคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองประกอบกับคดีหมายเลขดำที่ ๔๐/๒๕๕๐ ของศาลปกครองนครศรีธรรมราช และคดีหมายเลขดำที่ ๒๖๓/๒๕๕๑ของศาลจังหวัดภูเก็ตเป็นคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน และคำขอที่ขอให้ศาลพิพากษาและออกคำบังคับมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน การให้คดีทั้งสองสำนวนพิจารณาโดยศาลต่างกันผลของคำพิพากษาทั้งสองศาลอาจขัดแย้งกันจนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมได้ คดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวควรได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เมื่อคดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวมีลักษณะเป็นคดีปกครอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองซึ่งในกรณีนี้ได้แก่ศาลปกครองนครศรีธรรมราช ซึ่งหากศาลปกครองนครศรีธรรมราชรับข้อพิพาทในคดีหมายเลขดำที่ ๒๖๓/๒๕๕๑ ไว้พิจารณารวมกับคดีหมายเลขดำที่ ๔๐/๒๕๕๐ ศาลปกครองนครศรีธรรมราชสามารถออกคำบังคับให้จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทตามคำขอของโจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๕) พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองยื่นฟ้องเอกชน ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องสรุปได้ว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินริมทะเลถนนหมื่นเงิน (หาดไตรตรัง) ซึ่งเป็นที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิด ต่อมากรมป่าไม้ได้ส่งมอบที่ดินซึ่งเป็นพื้นที่ป่าเศรษฐกิจเสื่อมโทรม (โซนอี) ให้โจทก์ไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินและรัฐบาลได้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขากมลา ป่าเทือกเขานาคเกิดและป่าเขาสามเหลี่ยมเป็นเขตปฏิรูปที่ดินตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลเชิงทะเล ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง ตำบลกมลา ตำบลกะทู้ ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ และตำบลเกาะแก้ว ตำบลรัษฎา ตำบลวิชิต ตำบลกะรน ตำบลฉลอง ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ให้เป็นเขตปฎิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๗ แต่จำเลยทั้งสองสร้างอาคารร้านอาหารและโรงแรมบุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินของโจทก์ โดยทำเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองและบริวารทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทำให้ที่ดินกลับสู่สภาพเดิมและออกจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งโจทก์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในฐานะผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์จึงมีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสองทราบ แต่จำเลยซึ่งได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วยังคงเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างทำที่ดินให้กลับสู่สภาพเดิมและออกจากที่ดินของโจทก์ ส่วนจำเลยทั้งสองให้การโดยสรุปว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากการมอบอำนาจไม่ถูกต้อง จำเลยที่ ๑ ไม่เคยบุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทแต่ได้ครอบครองที่ดินมาโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๒ ซึ่งทำสัญญาเช่าจากจำเลยที่ ๑ และได้รับสิทธิครอบครองมาจากจำเลยที่ ๑ จึงได้รับสิทธิครอบครองที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย การพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้นจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินแปลงพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป ดังนั้นจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โจทก์ นายสมปอง สกุลทับ ที่ ๑ นายสุรศักดิ์ มณีศรี ที่ ๒ จำเลยอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕๔/๒๕๕๔
วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดภูเก็ต
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดภูเก็ตส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โจทก์ยื่นฟ้อง นายสมปอง สกุลทับ ที่ ๑ นายสุรศักดิ์ มณีศรี ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดภูเก็ตเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๖๓/๒๕๕๑ ความว่า เดิมที่ดินริมทะเล ถนนหมื่นเงิน (หาดไตรตรัง) ตำแหน่งที่ดินระวาง/กลุ่ม ๔๕๗ เป็นที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิดต่อมากรมป่าไม้ได้ส่งมอบที่ดินซึ่งเป็นพื้นที่ป่าเศรษฐกิจเสื่อมโทรม (โซนอี) ให้โจทก์ไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินและรัฐบาลได้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขากมลา ป่าเทือกเขานาคเกิดและป่าเขาสามเหลี่ยม เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลเชิงทะเล ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง ตำบลกมลา ตำบลกะทู้ ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ และตำบลเกาะแก้ว ตำบลรัษฎา ตำบลวิชิต ตำบลกะรน ตำบลฉลอง ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ให้เป็นเขตปฎิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๗ อันมีผลเป็นการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในที่ดินแปลงดังกล่าวและให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แต่จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินบริเวณถนนหมื่นเงิน (หาดไตรตรัง) ที่ดินโครงการปฏิรูปที่ดินป่าเทือกเขานาคเกิด ตำแหน่งที่ดินระวาง/กลุ่ม ๔๕๗ แปลงเลขที่ ๑ ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ ๒๖ ไร่ ๐ งาน ๗๐ ตารางวา ด้วยการก่นสร้าง แผ้วถางป่า ทำการก่อสร้างอาคารรั้วหรือกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็ก ถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ป้ายบอกชื่อโรงแรมและร้านอาหาร โดยทำเป็นที่อยู่อาศัย ร้านอาหารและโรงแรมในที่ดินของโจทก์ อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองและบริวารทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทำให้ที่ดินกลับสู่สภาพเดิมและออกจากที่ดินของโจทก์ภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับหนังสือ ต่อมาจำเลยทั้งสองได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งโจทก์ โจทก์จึงรายงานความคิดเห็นพร้อมเหตุผลเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในฐานะผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตมีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสองทราบ จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือแจ้งดังกล่าวแล้ว แต่ยังคงเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างทำที่ดินให้กลับสู่สภาพเดิมและออกจากที่ดินของโจทก์จำเลยทั้งสองให้การในทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากการมอบอำนาจไม่ถูกต้อง จำเลยที่ ๑ ไม่เคยบุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินในโครงการปฏิรูปที่ดินป่าเทือกเขานาคเกิด แต่ได้ครอบครองที่ดินมาโดยชอบด้วยกฎหมายโดยได้รับสิทธิการครอบครองมาจากนายนอง สกุลทับ และนายชูวิทย์ สกุลทับ โดยนายนองได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินเต็มพื้นที่ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ และได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์จากคณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติเป็นเนื้อที่๒๑ ไร่ ๕๐ ตารางวา และได้ครอบครองที่ดินตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๔๒๔ หมู่ที่ ๑ ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ประมาณ ๗ ไร่ ๓ งาน ๖ ตารางวา รวมเนื้อที่ครอบครอง ๒๘ ไร่เศษ แต่เมื่อรังวัดแล้วปรากฏว่ามีเพียง ๒๖ ไร่เศษ ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้ เมื่อนายนองถึงแก่ความตายนายชูวิทย์และจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกันครอบครองมาถึงปัจจุบันโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งสิทธิ ส่วนจำเลยที่ ๒ซึ่งทำสัญญาเช่าจากจำเลยที่ ๑ และได้รับสิทธิครอบครองมาจากจำเลยที่ ๑ จึงได้รับสิทธิครอบครองที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้เมื่อปี ๒๕๔๖ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอออกส.ป.ก. ๔ - ๐๑ ต่อสำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ต แต่ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด จำเลยที่ ๑ จึงขอยกเลิกการขอออกส.ป.ก. ๔ - ๐๑ เนื่องจากจำเลยที่ ๑ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับ และไม่ได้รับความยินยอมจากนายชูวิทย์ ซึ่งเป็นผู้ครอบครองร่วม และที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ครอบครองอยู่ในแนวเขตปฏิรูปที่ดินเพียงไม่กี่ตารางวา โจทก์ไม่มีอำนาจอ้างสิทธิใดๆ ในที่ดินของจำเลยทั้งสองที่ได้ถือครองอย่างถูกต้องตามกฎหมายนอกจากนี้การพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกับเมื่อจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งแจ้งให้จำเลยทั้งสองยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองภายในเก้าสิบวัน จำเลยทั้งสองได้ใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราชเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๐/๒๕๕๐ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า ก่อนที่โจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ จำเลยทั้งสองยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราชเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๐/๒๕๕๐ ซึ่งเป็นคดีที่มีมูลคดีเดียวกันและคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองนครศรีธรรมราช ศาลจังหวัดภูเก็ต จึงไม่มีอำนาจพิจารณาคดีแต่อย่างใด โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า การที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกยึดถือครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และจำเลยทั้งสองให้การว่าตนมีสิทธิในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ประเด็นพิพาทแห่งคดีนี้จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการโต้แย้งสิทธิครอบครองหรือการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดิน คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ส่วนคดีที่จำเลยทั้งสองฟ้องต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราชเป็นคดีเกี่ยวกับคำสั่งทางปกครอง กรณีจึงมีประเด็นข้อพิพาทต่างกันกับคดีนี้ ขอให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องและมีความเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม
ศาลจังหวัดภูเก็ตพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิครอบครองจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองในที่ดิน มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมาย มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ ๒๕๔๒ มาตรา ๙ คดีพิพาทนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนการที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า จำเลยทั้งสองได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราช โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้นั้น เป็นการโต้แย้งในเรื่องอำนาจฟ้องคดีนี้เท่านั้นมิได้ทำให้คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลจังหวัดภูเก็ต
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โจทก์ เป็นส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โจทก์จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ส่วนจำเลยทั้งสองเป็นเอกชน คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานราชการกับเอกชน อันเป็นองค์ประกอบประการแรกของคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากมีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขากมลาป่าเทือกเขานาคเกิด และป่าเขาสามเหลี่ยม ซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่จังหวัดภูเก็ตเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยทั้งสองได้บุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินบริเวณถนนหมื่นเงิน (หาดไตรตรัง) ซึ่งเป็นที่ดินตามโครงการปฏิรูปที่ดินป่าเทือกเขานาคเกิดด้วยการก่นสร้าง แผ้วถางป่า แล้วทำการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างอื่นโดยทำเป็นที่อยู่อาศัยร้านอาหารและโรงแรม โจทก์จึงได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและทำที่ดินให้กลับสู่สภาพเดิมและให้ออกจากที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสองได้ยื่นอุทธรณ์ต่อเจ้าหน้าที่ในสังกัดโจทก์ ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตได้มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์แล้วไม่พอใจคำวินิจฉัย จึงฟ้องสำนักการปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ตที่ ๑ ปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ตที่ ๒ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตที่ ๓ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราชในคดีหมายเลขดำที่ ๔๐/๒๕๕๐ ให้เพิกถอนคำสั่งของโจทก์ที่ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งในขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองนครศรีธรรมราชโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ในคดีหมายเลขดำที่ ๒๖๓/๒๕๕๑ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างทำที่ดินให้กลับสู่สภาพเดิมและให้ออกจากที่ดินแปลงดังกล่าว เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องจากการที่โจทก์ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะแล้วเกิดปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทซึ่งมีเหตุแห่งการฟ้องคดีอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือเนื่องจากการดำเนินกิจการทางปกครองของโจทก์ อันเป็นองค์ประกอบประการที่สองของคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทที่มีลักษณะครบองค์ประกอบของคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองประกอบกับคดีหมายเลขดำที่ ๔๐/๒๕๕๐ ของศาลปกครองนครศรีธรรมราช และคดีหมายเลขดำที่ ๒๖๓/๒๕๕๑ของศาลจังหวัดภูเก็ตเป็นคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน และคำขอที่ขอให้ศาลพิพากษาและออกคำบังคับมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน การให้คดีทั้งสองสำนวนพิจารณาโดยศาลต่างกันผลของคำพิพากษาทั้งสองศาลอาจขัดแย้งกันจนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมได้ คดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวควรได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เมื่อคดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวมีลักษณะเป็นคดีปกครอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองซึ่งในกรณีนี้ได้แก่ศาลปกครองนครศรีธรรมราช ซึ่งหากศาลปกครองนครศรีธรรมราชรับข้อพิพาทในคดีหมายเลขดำที่ ๒๖๓/๒๕๕๑ ไว้พิจารณารวมกับคดีหมายเลขดำที่ ๔๐/๒๕๕๐ ศาลปกครองนครศรีธรรมราชสามารถออกคำบังคับให้จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทตามคำขอของโจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๕) พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองยื่นฟ้องเอกชน ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องสรุปได้ว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินริมทะเลถนนหมื่นเงิน (หาดไตรตรัง) ซึ่งเป็นที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิด ต่อมากรมป่าไม้ได้ส่งมอบที่ดินซึ่งเป็นพื้นที่ป่าเศรษฐกิจเสื่อมโทรม (โซนอี) ให้โจทก์ไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินและรัฐบาลได้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขากมลา ป่าเทือกเขานาคเกิดและป่าเขาสามเหลี่ยมเป็นเขตปฏิรูปที่ดินตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลเชิงทะเล ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง ตำบลกมลา ตำบลกะทู้ ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ และตำบลเกาะแก้ว ตำบลรัษฎา ตำบลวิชิต ตำบลกะรน ตำบลฉลอง ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ให้เป็นเขตปฎิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๗ แต่จำเลยทั้งสองสร้างอาคารร้านอาหารและโรงแรมบุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินของโจทก์ โดยทำเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองและบริวารทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทำให้ที่ดินกลับสู่สภาพเดิมและออกจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งโจทก์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในฐานะผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์จึงมีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสองทราบ แต่จำเลยซึ่งได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วยังคงเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างทำที่ดินให้กลับสู่สภาพเดิมและออกจากที่ดินของโจทก์ ส่วนจำเลยทั้งสองให้การโดยสรุปว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากการมอบอำนาจไม่ถูกต้อง จำเลยที่ ๑ ไม่เคยบุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทแต่ได้ครอบครองที่ดินมาโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๒ ซึ่งทำสัญญาเช่าจากจำเลยที่ ๑ และได้รับสิทธิครอบครองมาจากจำเลยที่ ๑ จึงได้รับสิทธิครอบครองที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย การพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้นจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินแปลงพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป ดังนั้นจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โจทก์ นายสมปอง สกุลทับ ที่ ๑ นายสุรศักดิ์ มณีศรี ที่ ๒ จำเลยอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕๓/๒๕๕๔
วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๒ บริษัทนาราชา จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องกรมที่ดิน จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๖๗๑๑/๒๕๕๒ ความว่า เมื่อปี ๒๕๒๐ เจ้าพนักงานที่ดินกิ่งอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา เจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลย ได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ ตำบลเกาะยาวใหญ่ กิ่งอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ให้แก่นายหมาดหร้า มาตรศรี ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๒๘ นายหมาดหร้าได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายบำรุง วงศ์ชุมพิศ และเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๒๘ นายบำรุงได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่หม่อมหลวงตรีทศยุทธ์ เทวกุล หลังจากนั้นเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๘ หม่อมหลวงตรีทศยุทธ์ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ แต่เนื่องจากในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ฉบับดังกล่าว เจ้าพนักงานที่ดินกิ่งอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ไม่ประทับตราคำว่า "ห้ามโอนภายในสิบปี ตามมาตรา ๕๘ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน" ไว้ในสารบัญการจดทะเบียนของหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวทั้งฉบับหลวงและฉบับราษฎร และเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินกิ่งอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ผู้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนปฏิบัติหน้าที่โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ไม่ตรวจสอบให้แน่ชัดเสียก่อนว่าที่ดินอยู่ในบังคับห้ามโอนหรือไม่ กลับจดทะเบียนโอนที่ดินเรื่อยมาจนเป็นกรรมสิทธิ์และสิทธิการครอบครองของหม่อมหลวงตรีทศยุทธ์ ทำให้โจทก์เชื่อโดยสุจริตว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่สามารถจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนขายให้แก่โจทก์ได้ โจทก์จึงรับซื้อที่ดินและรับโอนเป็นรายสุดท้ายโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ทั้งขณะที่โจทก์จดทะเบียนรับโอนก็ล่วงเลยระยะเวลาห้ามโอนแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องแก้ไขรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้โจทก์เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามเดิม แต่จำเลยกลับมีคำสั่งให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนระหว่างนายหมาดหร้ากับนายบำรุง ระหว่างนายบำรุงกับหม่อมหลวงตรีทศยุทธ์ และระหว่างหม่อมหลวงตรีทศยุทธ์กับโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถนำที่ดินไปยื่นคำขอออกโฉนดได้ และไม่สามารถนำไปขอทำการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างลงบนที่ดินตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ได้ ทำให้สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ขาดเอกสารสิทธิ์รองรับโดยสมบูรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน ๓๘,๗๘๔,๓๑๕ บาท และชำระเงินปีละ ๒,๓๗๔,๕๔๙ บาท นับจากปีที่ฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยกรณีจำเลยใช้อำนาจตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ในการเพิกถอนรายการจดทะเบียนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยมิได้จดแจ้งข้อกำหนดห้ามโอนสิบปี ไว้ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เป็นเพียงการคลาดเคลื่อนในด้านทะเบียนเท่านั้น มิได้ทำให้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ซึ่งได้ให้ตามขั้นตอนของกฎหมาย ตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ที่ไม่ชอบและไม่ทำให้นายหมาดหร้าซึ่งเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๓๙๗ เสียสิทธิแต่อย่างใด ที่ดินดังกล่าวยังคงอยู่ในกำหนดห้ามโอนสิบปี ตามมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคห้า แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน การที่นายหมาดหร้าขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายบำรุง และการที่นายบำรุงขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่หม่อมหลวงตรีทศยุทธ์ อยู่ในระหว่างระยะเวลาห้ามโอนสิบปี จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๕๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จำเลยจึงอาศัยอำนาจตามมาตรา ๖๑ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ รวม ๓ รายการ และให้จดแจ้งการห้ามโอนลงในสารบัญจดทะเบียน ซึ่งเป็นเพียงการแก้ไขทางทะเบียนให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เมื่อหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ ได้ออกให้แก่นายหมาดหร้าตั้งแต่ปี ๒๕๒๐ ปัจจุบันจึงพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอนแล้ว โจทก์ซึ่งได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมาโดยเจตนายึดถือเพื่อตน ย่อมได้สิทธิครอบครองตามมาตรา ๑๓๖๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นอกจากนี้เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ โจทก์ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนการได้มาโดยการครอบครองที่ดินในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ ต่อนายอำเภอเกาะยาว ซึ่งสำนักงานที่ดินอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ได้ทำการสอบสวนสิทธิและได้กำหนดนัดช่างให้ออกไปทำการรังวัดและชี้แนวเขตที่ดินเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๓ โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายหรือเสียสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว สิทธิในที่ดินของโจทก์มีอยู่อย่างไร ก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม จำเลยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านแต่อย่างใด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยเป็นส่วนราชการ มีฐานะเป็นกรมสังกัดกระทรวงมหาดไทย จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่การกระทำของเจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยดังที่โจทก์อ้างเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทางปกครองตามอำนาจหน้าที่ทั่วไปของเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อให้การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) และการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมบรรลุผลเท่านั้น เจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยมิได้ใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรจนเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเสียแล้ว คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม สำหรับเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อไม่กระทำตามหน้าที่ โดยละเว้นการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้ที่ดินเป็นชื่อโจทก์ แต่จำเลยกลับมีคำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนทั้งหมด ทั้งๆ ที่ขณะโจทก์จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนมานั้นล่วงเลยระยะเวลาห้ามโอนแล้ว เห็นว่า แม้คำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนขายทั้งหมดเป็นการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย ซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองก็ตาม แต่การที่ศาลจะมี
คำพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี ซึ่งจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ว่าด้วยทรัพย์สิน และประมวลกฎหมายที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมเช่นเดียวกัน
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จำเลยมีฐานะเป็นกรมสังกัดกระทรวงมหาดไทย มีภารกิจเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิในที่ดินของบุคคลและจัดการที่ดินของรัฐ โดยการออกหนังสือแสดงสิทธิ และให้บริการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์และมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องตามข้อ ๒ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. ๒๕๔๕ จำเลยจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง คดีนี้เป็นการฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่ดำเนินการจดแจ้งการห้ามโอนที่ดินให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคห้า แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ประกอบกับหนังสือสั่งการของกรมที่ดิน ที่ มท ๐๖๐๙/ว ๗๒๑๑ ลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๒๐ จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่โจทก์ฟ้องว่า เจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยได้จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่หม่อมหลวงตรีทศยุทธ์ตามคำขอของนายบำรุงทั้งที่อยู่ในระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมาย และต่อมาหม่อมหลวงตรีทศยุทธ์ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนโอนขายให้แก่โจทก์ โดยมิได้ตรวจสอบขณะรับจดทะเบียนโอนขายว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในบังคับห้ามโอนตามกฎหมายหรือไม่ จึงเป็นการฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยใช้อำนาจตามกฎหมายในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายที่ดิน และข้อ ๒ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งรับซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ในส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่เพิกถอนรายการจดทะเบียนประเภทขายระหว่างหม่อมหลวงตรีทศยุทธ์กับโจทก์ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อรวมข้อหาของโจทก์ตามฟ้อง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย คำสั่งทางปกครอง และจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองสามารถออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง สำหรับประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลของศาลแพ่ง หากมีอยู่จริงศาลปกครองก็มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยได้ เพราะเมื่อคดีนี้เป็นคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลปกครองแล้ว ศาลปกครองย่อมมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันเป็นประเด็นข้อเท็จจริงหนึ่งในคดีได้และเป็นกรณีที่ต้องวินิจฉัยในชั้นการพิจารณาเนื้อหาของคดี แม้การพิจารณาเรื่องกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในทรัพย์สินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด และไม่มีบทบัญญัติใดบัญญัติห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดี หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดบัญญัติให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล หรือนิติบุคคล หรือหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๔๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ดังนั้น มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินได้ นอกจากนี้ เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เกิดจากการที่จำเลยมีคำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทอันเนื่องมาจากเป็นกรณีที่ต้องห้ามตามมาตรา ๕๘ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน การพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนดังกล่าว จึงเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อนว่าการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ รวมถึงจำเลยได้ดำเนินการเพิกถอนรายการจดทะเบียนเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินหรือไม่ สำหรับประเด็นที่ว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่นั้น เห็นว่า โดยที่การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประเภทขายที่ดินเป็นการดำเนินการเพื่อก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้รับโอนเหนืออสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียน โดยสิทธิของผู้รับโอนดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแล้ว ในเมื่อสิทธิของผู้รับโอนเป็นผลอันเนื่องมาจากการจดทะเบียนประเภทขาย ดังนั้น ปัญหาความชอบด้วยกฎหมายของการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประเภทขายที่ดินจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเด็นว่าผู้รับโอนได้สิทธิครอบครองที่ดินนั้นหรือไม่ แต่ปัญหาความชอบด้วยกฎหมายของการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังกล่าวขึ้นอยู่กับการใช้อำนาจของเจ้าพนักงานที่ดินในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๗๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ในการสอบสวนสิทธิ ความสามารถ และความสมบูรณ์ของนิติกรรมที่คู่กรณีมาขอจดทะเบียนตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน วิธีการ เงื่อนไขหรือรูปแบบในการจดทะเบียนที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง การพิจารณาว่าการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทและคำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงไม่จำต้องพิจารณาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแต่อย่างใด เพราะกรณีดังกล่าวนี้โจทก์อาจได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ทรัพย์สิน ลักษณะ ๓ ครอบครอง ก็ได้ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำตามฟ้องเลย อีกทั้งข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอยู่แล้วโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งสิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท คดีนี้จึงไม่มีประเด็นพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินคงมีเพียงประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ และต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เท่านั้น ประกอบกับจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองมิใช่เป็นผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือผู้ทรงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แต่เป็นผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการออกหนังสือแสดงสิทธิและให้บริการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนด ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทระหว่างผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินด้วยกันเองดังเช่นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยทั่วไป และมิใช่คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณีตามความเห็นของศาลแพ่ง ดังนั้น เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย คำสั่งทางปกครอง และจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ตามมาตรา ๒๑๘ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เอกชนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ โดยข้อเท็จจริงตามฟ้องสรุปได้ว่า เจ้าพนักงานที่ดินกิ่งอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลย ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ไม่ประทับตราคำว่า "ห้ามโอนภายในสิบปี ตามมาตรา ๕๘ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน" ไว้ในสารบัญการจดทะเบียน ต่อมาเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ไม่ตรวจสอบให้แน่ชัดเสียก่อนว่า ที่ดินดังกล่าวอยู่ในบังคับห้ามโอนหรือไม่ ทำให้โจทก์เชื่อโดยสุจริตว่า เป็นที่ดินที่สามารถจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนขายให้แก่โจทก์ได้ โจทก์จึงรับซื้อที่ดินและรับโอนเป็นรายสุดท้ายโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ต่อมาจำเลยกลับมีคำสั่งให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ รวม ๓ รายการ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายไม่สามารถนำที่ดินไปยื่นคำขอออกโฉนดได้ และไม่สามารถนำไปขอทำการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างลงบนที่ดินตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ได้ เพราะขาดเอกสารสิทธิ์รองรับโดยสมบูรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ส่วนจำเลยให้การว่า จำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยมิได้จดแจ้งข้อกำหนดห้ามโอนสิบปี ไว้ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) มิได้ทำให้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ฉบับดังกล่าวเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินดังกล่าวยังคงมีข้อตกลงห้ามโอนสิบปี การโอนที่ดินใดๆ ในระยะเวลาที่ห้ามโอนจึงตกเป็นโมฆะ จำเลยจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่จดภายในเวลาห้ามโอน จำนวน ๓ รายการ และให้จดแจ้งการห้ามโอนลงในสารบัญจดทะเบียน โดยจำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบโดยชอบแล้ว แต่โจทก์ไม่ได้โต้แย้ง อย่างไรก็ดีปัจจุบันพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอนแล้ว โจทก์ซึ่งได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมาโดยเจตนายึดถือเพื่อตน โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครอง โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายหรือเสียสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง ดังนั้น เมื่อพิจารณาคำฟ้องคำให้การแล้วเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ จึงเป็นการฟ้องคดีอันสืบเนื่องมาจากการที่เจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ โดยไม่จดแจ้งข้อกำหนดห้ามโอนตามกฎหมายลงในสารบัญจดทะเบียน และรับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง เป็นเหตุให้จำเลยมีคำสั่งให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ฉบับดังกล่าวในเวลาต่อมา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ตามกฎหมายในการตรวจสอบและพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดไว้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์โต้แย้งว่า จำเลยใช้อำนาจหน้าที่เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทนาราชา จำกัด โจทก์ กรมที่ดิน จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕๓/๒๕๕๔
วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๒ บริษัทนาราชา จำกัด โจทก์ ยื่นฟ้องกรมที่ดิน จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๖๗๑๑/๒๕๕๒ ความว่า เมื่อปี ๒๕๒๐ เจ้าพนักงานที่ดินกิ่งอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา เจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลย ได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ ตำบลเกาะยาวใหญ่ กิ่งอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ให้แก่นายหมาดหร้า มาตรศรี ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๒๘ นายหมาดหร้าได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายบำรุง วงศ์ชุมพิศ และเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๒๘ นายบำรุงได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่หม่อมหลวงตรีทศยุทธ์ เทวกุล หลังจากนั้นเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๘ หม่อมหลวงตรีทศยุทธ์ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ แต่เนื่องจากในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ฉบับดังกล่าว เจ้าพนักงานที่ดินกิ่งอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ไม่ประทับตราคำว่า "ห้ามโอนภายในสิบปี ตามมาตรา ๕๘ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน" ไว้ในสารบัญการจดทะเบียนของหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวทั้งฉบับหลวงและฉบับราษฎร และเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินกิ่งอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ผู้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนปฏิบัติหน้าที่โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ไม่ตรวจสอบให้แน่ชัดเสียก่อนว่าที่ดินอยู่ในบังคับห้ามโอนหรือไม่ กลับจดทะเบียนโอนที่ดินเรื่อยมาจนเป็นกรรมสิทธิ์และสิทธิการครอบครองของหม่อมหลวงตรีทศยุทธ์ ทำให้โจทก์เชื่อโดยสุจริตว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่สามารถจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนขายให้แก่โจทก์ได้ โจทก์จึงรับซื้อที่ดินและรับโอนเป็นรายสุดท้ายโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ทั้งขณะที่โจทก์จดทะเบียนรับโอนก็ล่วงเลยระยะเวลาห้ามโอนแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องแก้ไขรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้โจทก์เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามเดิม แต่จำเลยกลับมีคำสั่งให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนระหว่างนายหมาดหร้ากับนายบำรุง ระหว่างนายบำรุงกับหม่อมหลวงตรีทศยุทธ์ และระหว่างหม่อมหลวงตรีทศยุทธ์กับโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถนำที่ดินไปยื่นคำขอออกโฉนดได้ และไม่สามารถนำไปขอทำการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างลงบนที่ดินตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ได้ ทำให้สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ขาดเอกสารสิทธิ์รองรับโดยสมบูรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน ๓๘,๗๘๔,๓๑๕ บาท และชำระเงินปีละ ๒,๓๗๔,๕๔๙ บาท นับจากปีที่ฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยกรณีจำเลยใช้อำนาจตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ในการเพิกถอนรายการจดทะเบียนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยมิได้จดแจ้งข้อกำหนดห้ามโอนสิบปี ไว้ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เป็นเพียงการคลาดเคลื่อนในด้านทะเบียนเท่านั้น มิได้ทำให้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ซึ่งได้ให้ตามขั้นตอนของกฎหมาย ตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ที่ไม่ชอบและไม่ทำให้นายหมาดหร้าซึ่งเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๓๙๗ เสียสิทธิแต่อย่างใด ที่ดินดังกล่าวยังคงอยู่ในกำหนดห้ามโอนสิบปี ตามมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคห้า แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน การที่นายหมาดหร้าขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายบำรุง และการที่นายบำรุงขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่หม่อมหลวงตรีทศยุทธ์ อยู่ในระหว่างระยะเวลาห้ามโอนสิบปี จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๕๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จำเลยจึงอาศัยอำนาจตามมาตรา ๖๑ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ รวม ๓ รายการ และให้จดแจ้งการห้ามโอนลงในสารบัญจดทะเบียน ซึ่งเป็นเพียงการแก้ไขทางทะเบียนให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เมื่อหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ ได้ออกให้แก่นายหมาดหร้าตั้งแต่ปี ๒๕๒๐ ปัจจุบันจึงพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอนแล้ว โจทก์ซึ่งได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมาโดยเจตนายึดถือเพื่อตน ย่อมได้สิทธิครอบครองตามมาตรา ๑๓๖๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นอกจากนี้เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ โจทก์ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนการได้มาโดยการครอบครองที่ดินในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ ต่อนายอำเภอเกาะยาว ซึ่งสำนักงานที่ดินอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ได้ทำการสอบสวนสิทธิและได้กำหนดนัดช่างให้ออกไปทำการรังวัดและชี้แนวเขตที่ดินเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๓ โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายหรือเสียสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว สิทธิในที่ดินของโจทก์มีอยู่อย่างไร ก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม จำเลยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านแต่อย่างใด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยเป็นส่วนราชการ มีฐานะเป็นกรมสังกัดกระทรวงมหาดไทย จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่การกระทำของเจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยดังที่โจทก์อ้างเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทางปกครองตามอำนาจหน้าที่ทั่วไปของเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อให้การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) และการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมบรรลุผลเท่านั้น เจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยมิได้ใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรจนเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเสียแล้ว คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม สำหรับเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อไม่กระทำตามหน้าที่ โดยละเว้นการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้ที่ดินเป็นชื่อโจทก์ แต่จำเลยกลับมีคำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนทั้งหมด ทั้งๆ ที่ขณะโจทก์จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนมานั้นล่วงเลยระยะเวลาห้ามโอนแล้ว เห็นว่า แม้คำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนขายทั้งหมดเป็นการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย ซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองก็ตาม แต่การที่ศาลจะมี
คำพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี ซึ่งจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ว่าด้วยทรัพย์สิน และประมวลกฎหมายที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมเช่นเดียวกัน
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จำเลยมีฐานะเป็นกรมสังกัดกระทรวงมหาดไทย มีภารกิจเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิในที่ดินของบุคคลและจัดการที่ดินของรัฐ โดยการออกหนังสือแสดงสิทธิ และให้บริการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์และมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องตามข้อ ๒ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. ๒๕๔๕ จำเลยจึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง คดีนี้เป็นการฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่ดำเนินการจดแจ้งการห้ามโอนที่ดินให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคห้า แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ประกอบกับหนังสือสั่งการของกรมที่ดิน ที่ มท ๐๖๐๙/ว ๗๒๑๑ ลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๒๐ จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ การที่โจทก์ฟ้องว่า เจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยได้จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่หม่อมหลวงตรีทศยุทธ์ตามคำขอของนายบำรุงทั้งที่อยู่ในระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมาย และต่อมาหม่อมหลวงตรีทศยุทธ์ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนโอนขายให้แก่โจทก์ โดยมิได้ตรวจสอบขณะรับจดทะเบียนโอนขายว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในบังคับห้ามโอนตามกฎหมายหรือไม่ จึงเป็นการฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยใช้อำนาจตามกฎหมายในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายที่ดิน และข้อ ๒ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งรับซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ในส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่เพิกถอนรายการจดทะเบียนประเภทขายระหว่างหม่อมหลวงตรีทศยุทธ์กับโจทก์ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อรวมข้อหาของโจทก์ตามฟ้อง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย คำสั่งทางปกครอง และจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองสามารถออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง สำหรับประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลของศาลแพ่ง หากมีอยู่จริงศาลปกครองก็มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยได้ เพราะเมื่อคดีนี้เป็นคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลปกครองแล้ว ศาลปกครองย่อมมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันเป็นประเด็นข้อเท็จจริงหนึ่งในคดีได้และเป็นกรณีที่ต้องวินิจฉัยในชั้นการพิจารณาเนื้อหาของคดี แม้การพิจารณาเรื่องกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในทรัพย์สินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด และไม่มีบทบัญญัติใดบัญญัติห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดี หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดบัญญัติให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล หรือนิติบุคคล หรือหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๔๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ดังนั้น มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินได้ นอกจากนี้ เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เกิดจากการที่จำเลยมีคำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทอันเนื่องมาจากเป็นกรณีที่ต้องห้ามตามมาตรา ๕๘ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน การพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนดังกล่าว จึงเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อนว่าการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ รวมถึงจำเลยได้ดำเนินการเพิกถอนรายการจดทะเบียนเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินหรือไม่ สำหรับประเด็นที่ว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่นั้น เห็นว่า โดยที่การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประเภทขายที่ดินเป็นการดำเนินการเพื่อก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้รับโอนเหนืออสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียน โดยสิทธิของผู้รับโอนดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแล้ว ในเมื่อสิทธิของผู้รับโอนเป็นผลอันเนื่องมาจากการจดทะเบียนประเภทขาย ดังนั้น ปัญหาความชอบด้วยกฎหมายของการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประเภทขายที่ดินจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเด็นว่าผู้รับโอนได้สิทธิครอบครองที่ดินนั้นหรือไม่ แต่ปัญหาความชอบด้วยกฎหมายของการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังกล่าวขึ้นอยู่กับการใช้อำนาจของเจ้าพนักงานที่ดินในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๗๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ในการสอบสวนสิทธิ ความสามารถ และความสมบูรณ์ของนิติกรรมที่คู่กรณีมาขอจดทะเบียนตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน วิธีการ เงื่อนไขหรือรูปแบบในการจดทะเบียนที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง การพิจารณาว่าการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทและคำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงไม่จำต้องพิจารณาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแต่อย่างใด เพราะกรณีดังกล่าวนี้โจทก์อาจได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ทรัพย์สิน ลักษณะ ๓ ครอบครอง ก็ได้ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำตามฟ้องเลย อีกทั้งข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอยู่แล้วโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งสิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท คดีนี้จึงไม่มีประเด็นพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินคงมีเพียงประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ และต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เท่านั้น ประกอบกับจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองมิใช่เป็นผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือผู้ทรงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แต่เป็นผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการออกหนังสือแสดงสิทธิและให้บริการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนด ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทระหว่างผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินด้วยกันเองดังเช่นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยทั่วไป และมิใช่คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณีตามความเห็นของศาลแพ่ง ดังนั้น เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย คำสั่งทางปกครอง และจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ตามมาตรา ๒๑๘ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เอกชนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ โดยข้อเท็จจริงตามฟ้องสรุปได้ว่า เจ้าพนักงานที่ดินกิ่งอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลย ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ไม่ประทับตราคำว่า "ห้ามโอนภายในสิบปี ตามมาตรา ๕๘ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน" ไว้ในสารบัญการจดทะเบียน ต่อมาเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ไม่ตรวจสอบให้แน่ชัดเสียก่อนว่า ที่ดินดังกล่าวอยู่ในบังคับห้ามโอนหรือไม่ ทำให้โจทก์เชื่อโดยสุจริตว่า เป็นที่ดินที่สามารถจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนขายให้แก่โจทก์ได้ โจทก์จึงรับซื้อที่ดินและรับโอนเป็นรายสุดท้ายโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ต่อมาจำเลยกลับมีคำสั่งให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ รวม ๓ รายการ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายไม่สามารถนำที่ดินไปยื่นคำขอออกโฉนดได้ และไม่สามารถนำไปขอทำการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างลงบนที่ดินตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ได้ เพราะขาดเอกสารสิทธิ์รองรับโดยสมบูรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ส่วนจำเลยให้การว่า จำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยมิได้จดแจ้งข้อกำหนดห้ามโอนสิบปี ไว้ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) มิได้ทำให้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ฉบับดังกล่าวเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินดังกล่าวยังคงมีข้อตกลงห้ามโอนสิบปี การโอนที่ดินใดๆ ในระยะเวลาที่ห้ามโอนจึงตกเป็นโมฆะ จำเลยจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่จดภายในเวลาห้ามโอน จำนวน ๓ รายการ และให้จดแจ้งการห้ามโอนลงในสารบัญจดทะเบียน โดยจำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบโดยชอบแล้ว แต่โจทก์ไม่ได้โต้แย้ง อย่างไรก็ดีปัจจุบันพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอนแล้ว โจทก์ซึ่งได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมาโดยเจตนายึดถือเพื่อตน โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครอง โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายหรือเสียสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง ดังนั้น เมื่อพิจารณาคำฟ้องคำให้การแล้วเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ จึงเป็นการฟ้องคดีอันสืบเนื่องมาจากการที่เจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๙๗ โดยไม่จดแจ้งข้อกำหนดห้ามโอนตามกฎหมายลงในสารบัญจดทะเบียน และรับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง เป็นเหตุให้จำเลยมีคำสั่งให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ฉบับดังกล่าวในเวลาต่อมา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ตามกฎหมายในการตรวจสอบและพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดไว้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์โต้แย้งว่า จำเลยใช้อำนาจหน้าที่เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทนาราชา จำกัด โจทก์ กรมที่ดิน จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕๒/๒๕๕๔
วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลแขวงพระนครเหนือ
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแขวงพระนครเหนือโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๒ นางสาวอุฌาวดี วินุราช โจทก์ ยื่นฟ้อง พลตรี สกล เอี่ยมตระกูล ในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชา กองอำนวยการ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จำเลย ต่อศาลแขวงพระนครเหนือ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๒๐๘/๒๕๕๒ ความว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งพนักงานเตรียมข้อมูลและรหัสหอผู้ป่วย ๘/๘ ปฏิบัติงานอยู่ที่กองจิตเวชและประสาทวิทยา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากกรณีจำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชา กองอำนวยการ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มีหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรอง ให้ข้อเสนอแนะในกิจการสายงานด้านต่างๆ ก่อนนำเรียนผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเพื่อพิจารณาต่อไป รวมทั้งกำกับดูแลตามความรู้ความสามารถที่เหมาะสมในการปฏิบัติงานตามแผนงานและวงรอบการปฏิบัติงานประจำเพื่อให้เกิดการพัฒนางานอย่างต่อเนื่องได้มีบันทึกข้อความที่ กห. ๐๔๔๖.๑๖/๑๑๕ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ เสนอความเห็นต่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (ผ่านหัวหน้าศูนย์บริหารงานทรัพยากรบุคคลฯ) เพื่อขออนุมัติไม่ต่อสัญญาการจ้างลูกจ้างชั่วคราวกับโจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในการปลอมใบสั่งยาของแพทย์อันเป็นข้อความที่ฝ่าฝืนต่อความจริง จำเลยรู้ว่าโจทก์ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตดังกล่าว เพราะจำเลยไม่เคยกล่าวหาหรือตั้งข้อหาว่าโจทก์กระทำผิดวินัย ข้อบังคับและมีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งไม่เคยแต่งตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นสอบสวนโจทก์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกฎเกล้ามีคำสั่งไม่ต่อสัญญาการจ้างลูกจ้างชั่วคราวกับโจทก์ อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้และสูญเสียโอกาสเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่มั่นคง รวมทั้งความเสียหายจากการที่ถูกเลิกจ้าง ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า การพิจารณากลั่นกรองและให้ความเห็นแก่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าของจำเลยเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตามระบบบริหารงาน มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์เสียหาย อำนาจชี้ขาดในการสั่งให้ต่อสัญญาการจ้างลูกจ้างชั่วคราว มิใช่เป็นอำนาจโดยตรงของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงมิได้เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแขวงพระนครเหนือพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชาของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าได้ทำบันทึกข้อความถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (ผ่านหัวหน้าศูนย์บริหารงานทรัพยากรบุคคลฯ) ผู้ที่มีอำนาจพิจารณาและมีคำสั่งไม่ต่อสัญญาจ้างลูกจ้างชั่วคราวกับโจทก์คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า การปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ทำบันทึกข้อความดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าที่ทั่วไป มิใช่เป็นการออกคำสั่งทางปกครองหรือเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรอันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องคดีอันเนื่องมาจากการกระทำอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย จึงมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาก่อนว่า การปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือไม่ โดยที่มาตรา ๖ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๕๗ ลงวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๑๕ บัญญัติว่า อำนาจในการสั่ง การอนุญาต การให้อนุมัติหรือการปฏิบัติราชการประจำที่ผู้บังคับบัญชาทหารไม่ว่าจะเป็นชั้นใดซึ่งรองมาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะพึงปฏิบัติ หรือดำเนินการตามกฎหมายใดๆ จะมอบอำนาจโดยทำเป็นหนังสือให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทหารตำแหน่งอื่นทำการแทนในนามของผู้บังคับบัญชาทหารผู้มอบอำนาจก็ได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กระทรวงกลาโหมกำหนด และมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้ผู้ทำการแทนมีอำนาจและหน้าที่ตามตำแหน่งที่ทำการแทนนั้นๆ ต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓ และประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว ซึ่งมาตรา ๒๔ วรรคหกและวรรคเจ็ด แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติหลักการสำคัญไว้ในทำนองเดียวกันว่า อำนาจในการสั่ง การอนุญาต การอนุมัติ หรือการปฏิบัติราชการประจำที่ผู้บังคับบัญชาทหารไม่ว่าจะเป็นชั้นใด ซึ่งรองลงมาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย่อมสามารถมอบอำนาจในการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินการตามกฎหมายใดๆ ให้ผู้บังคับบัญชาทหารตำแหน่งอื่นทำการแทนในตำแหน่งของผู้บังคับบัญชาทหารผู้มอบอำนาจได้ โดยผู้ทำการแทนมีอำนาจและหน้าที่ตามตำแหน่งที่ทำการแทนนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยได้รับการแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชากองอำนวยการ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ตามคำสั่งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (เฉพาะ) ที่ ๓๒๓/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ต่อมาผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าได้มีคำสั่งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (เฉพาะ) ที่ ๓๒๓/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐ กำหนดให้หัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชาโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองให้ข้อเสนอแนะในกิจการสายงานด้านต่างๆ ก่อนเสนอผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จึงเป็นกรณีที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาทหารในสังกัดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้ามอบอำนาจให้หัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชากองอำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาทหารตำแหน่งอื่น พิจารณากลั่นกรองกิจการงานด้านต่างๆ แทนตนก่อนจะเสนอให้ตัดสินใจสั่งการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น เมื่อเป็นเช่นนี้การที่จำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเสนอความเห็นต่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าว่า ไม่ควรต่อสัญญาจ้างลูกจ้างชั่วคราวตำแหน่งต่างๆ รวมทั้งโจทก์ด้วย จึงอยู่ในขอบอำนาจหรือหน้าที่ของจำเลย เมื่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าไม่ต่อสัญญาจ้างโจทก์ตามที่จำเลยเสนอความเห็นซึ่งโจทก์เห็นว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์จึงนำคดีมาฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากเสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณและขาดรายได้จากการที่ไม่ได้รับการต่อสัญญา คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ จึงเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยตามที่จำเลยได้รับมอบหมาย ตามนัยมาตรา ๖ ทวิ และมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๕๗ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น หรือมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ประกอบคำสั่งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (เฉพาะ) ที่ ๓๒๓/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ดังกล่าวข้างต้น คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และมิใช่เป็นข้อพิพาท อันเกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามนัยมาตรา ๙ วรรคสอง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในขณะนี้โจทก์จะยังมิได้ฟ้องกองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐให้เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ถูกต้อง ตามนัยมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ก็ตาม แต่คดีนี้ก็ยังคงเป็นคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
ข้อเท็จจริงคดีนี้ ขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นลูกจ้างชั่วคราวของโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ยื่นฟ้องจำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชา กองอำนวยการ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าอ้างว่า ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากจำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชา กองอำนวยการ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เสนอความเห็นต่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อขออนุมัติไม่ต่อสัญญาการจ้างลูกจ้างชั่วคราวกับโจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในการปลอมใบสั่งยาของแพทย์อันเป็นข้อความที่ฝ่าฝืนต่อความจริง จำเลยรู้ว่าโจทก์ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกฎเกล้ามีคำสั่งไม่ต่อสัญญาการจ้างลูกจ้างชั่วคราวกับโจทก์ อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ เห็นว่า เมื่อการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์กล่าวอ้างคือ การเสนอความเห็นของจำเลยต่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าให้เลิกจ้างโจทก์ แม้จำเลยจะเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๖ ทวิ และมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๕๗ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น หรือมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ประกอบคำสั่งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (เฉพาะ) ที่ ๓๒๓/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ก็ตาม แต่การเสนอความเห็นดังกล่าวมิใช่เป็นการสั่งอนุญาตหรือการอนุมัติ อันจะมีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ที่จะถือได้ว่าเป็นคำสั่งทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๕ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นเพียงการเตรียมการหรือดำเนินการและเป็นการปฏิบัติหน้าที่ธรรมดาทั่วๆ ไปของเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น มิได้เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายแต่อย่างใด ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีละเมิดทางแพ่ง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสาวอุฌาวดี วินุราช โจทก์ พลตรี สกล เอี่ยมตระกูล ในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชา กองอำนวยการ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕๒/๒๕๕๔
วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลแขวงพระนครเหนือ
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแขวงพระนครเหนือโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๒ นางสาวอุฌาวดี วินุราช โจทก์ ยื่นฟ้อง พลตรี สกล เอี่ยมตระกูล ในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชา กองอำนวยการ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จำเลย ต่อศาลแขวงพระนครเหนือ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๒๐๘/๒๕๕๒ ความว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งพนักงานเตรียมข้อมูลและรหัสหอผู้ป่วย ๘/๘ ปฏิบัติงานอยู่ที่กองจิตเวชและประสาทวิทยา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากกรณีจำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชา กองอำนวยการ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มีหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรอง ให้ข้อเสนอแนะในกิจการสายงานด้านต่างๆ ก่อนนำเรียนผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเพื่อพิจารณาต่อไป รวมทั้งกำกับดูแลตามความรู้ความสามารถที่เหมาะสมในการปฏิบัติงานตามแผนงานและวงรอบการปฏิบัติงานประจำเพื่อให้เกิดการพัฒนางานอย่างต่อเนื่องได้มีบันทึกข้อความที่ กห. ๐๔๔๖.๑๖/๑๑๕ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ เสนอความเห็นต่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (ผ่านหัวหน้าศูนย์บริหารงานทรัพยากรบุคคลฯ) เพื่อขออนุมัติไม่ต่อสัญญาการจ้างลูกจ้างชั่วคราวกับโจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในการปลอมใบสั่งยาของแพทย์อันเป็นข้อความที่ฝ่าฝืนต่อความจริง จำเลยรู้ว่าโจทก์ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตดังกล่าว เพราะจำเลยไม่เคยกล่าวหาหรือตั้งข้อหาว่าโจทก์กระทำผิดวินัย ข้อบังคับและมีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งไม่เคยแต่งตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นสอบสวนโจทก์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกฎเกล้ามีคำสั่งไม่ต่อสัญญาการจ้างลูกจ้างชั่วคราวกับโจทก์ อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้และสูญเสียโอกาสเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่มั่นคง รวมทั้งความเสียหายจากการที่ถูกเลิกจ้าง ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า การพิจารณากลั่นกรองและให้ความเห็นแก่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าของจำเลยเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตามระบบบริหารงาน มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์เสียหาย อำนาจชี้ขาดในการสั่งให้ต่อสัญญาการจ้างลูกจ้างชั่วคราว มิใช่เป็นอำนาจโดยตรงของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงมิได้เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแขวงพระนครเหนือพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชาของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าได้ทำบันทึกข้อความถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (ผ่านหัวหน้าศูนย์บริหารงานทรัพยากรบุคคลฯ) ผู้ที่มีอำนาจพิจารณาและมีคำสั่งไม่ต่อสัญญาจ้างลูกจ้างชั่วคราวกับโจทก์คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า การปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ทำบันทึกข้อความดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าที่ทั่วไป มิใช่เป็นการออกคำสั่งทางปกครองหรือเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรอันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องคดีอันเนื่องมาจากการกระทำอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย จึงมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาก่อนว่า การปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือไม่ โดยที่มาตรา ๖ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๕๗ ลงวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๑๕ บัญญัติว่า อำนาจในการสั่ง การอนุญาต การให้อนุมัติหรือการปฏิบัติราชการประจำที่ผู้บังคับบัญชาทหารไม่ว่าจะเป็นชั้นใดซึ่งรองมาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะพึงปฏิบัติ หรือดำเนินการตามกฎหมายใดๆ จะมอบอำนาจโดยทำเป็นหนังสือให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทหารตำแหน่งอื่นทำการแทนในนามของผู้บังคับบัญชาทหารผู้มอบอำนาจก็ได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กระทรวงกลาโหมกำหนด และมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้ผู้ทำการแทนมีอำนาจและหน้าที่ตามตำแหน่งที่ทำการแทนนั้นๆ ต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓ และประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว ซึ่งมาตรา ๒๔ วรรคหกและวรรคเจ็ด แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติหลักการสำคัญไว้ในทำนองเดียวกันว่า อำนาจในการสั่ง การอนุญาต การอนุมัติ หรือการปฏิบัติราชการประจำที่ผู้บังคับบัญชาทหารไม่ว่าจะเป็นชั้นใด ซึ่งรองลงมาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย่อมสามารถมอบอำนาจในการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินการตามกฎหมายใดๆ ให้ผู้บังคับบัญชาทหารตำแหน่งอื่นทำการแทนในตำแหน่งของผู้บังคับบัญชาทหารผู้มอบอำนาจได้ โดยผู้ทำการแทนมีอำนาจและหน้าที่ตามตำแหน่งที่ทำการแทนนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยได้รับการแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชากองอำนวยการ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ตามคำสั่งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (เฉพาะ) ที่ ๓๒๓/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ต่อมาผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าได้มีคำสั่งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (เฉพาะ) ที่ ๓๒๓/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐ กำหนดให้หัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชาโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองให้ข้อเสนอแนะในกิจการสายงานด้านต่างๆ ก่อนเสนอผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จึงเป็นกรณีที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาทหารในสังกัดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้ามอบอำนาจให้หัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชากองอำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาทหารตำแหน่งอื่น พิจารณากลั่นกรองกิจการงานด้านต่างๆ แทนตนก่อนจะเสนอให้ตัดสินใจสั่งการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น เมื่อเป็นเช่นนี้การที่จำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเสนอความเห็นต่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าว่า ไม่ควรต่อสัญญาจ้างลูกจ้างชั่วคราวตำแหน่งต่างๆ รวมทั้งโจทก์ด้วย จึงอยู่ในขอบอำนาจหรือหน้าที่ของจำเลย เมื่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าไม่ต่อสัญญาจ้างโจทก์ตามที่จำเลยเสนอความเห็นซึ่งโจทก์เห็นว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์จึงนำคดีมาฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากเสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณและขาดรายได้จากการที่ไม่ได้รับการต่อสัญญา คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ จึงเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยตามที่จำเลยได้รับมอบหมาย ตามนัยมาตรา ๖ ทวิ และมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๕๗ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น หรือมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ประกอบคำสั่งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (เฉพาะ) ที่ ๓๒๓/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ดังกล่าวข้างต้น คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และมิใช่เป็นข้อพิพาท อันเกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ตามนัยมาตรา ๙ วรรคสอง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในขณะนี้โจทก์จะยังมิได้ฟ้องกองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐให้เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ถูกต้อง ตามนัยมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ก็ตาม แต่คดีนี้ก็ยังคงเป็นคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
ข้อเท็จจริงคดีนี้ ขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นลูกจ้างชั่วคราวของโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ยื่นฟ้องจำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชา กองอำนวยการ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าอ้างว่า ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากจำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชา กองอำนวยการ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เสนอความเห็นต่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อขออนุมัติไม่ต่อสัญญาการจ้างลูกจ้างชั่วคราวกับโจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในการปลอมใบสั่งยาของแพทย์อันเป็นข้อความที่ฝ่าฝืนต่อความจริง จำเลยรู้ว่าโจทก์ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกฎเกล้ามีคำสั่งไม่ต่อสัญญาการจ้างลูกจ้างชั่วคราวกับโจทก์ อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ เห็นว่า เมื่อการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์กล่าวอ้างคือ การเสนอความเห็นของจำเลยต่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าให้เลิกจ้างโจทก์ แม้จำเลยจะเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๖ ทวิ และมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๕๗ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น หรือมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ประกอบคำสั่งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (เฉพาะ) ที่ ๓๒๓/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ก็ตาม แต่การเสนอความเห็นดังกล่าวมิใช่เป็นการสั่งอนุญาตหรือการอนุมัติ อันจะมีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ที่จะถือได้ว่าเป็นคำสั่งทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๕ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นเพียงการเตรียมการหรือดำเนินการและเป็นการปฏิบัติหน้าที่ธรรมดาทั่วๆ ไปของเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น มิได้เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายแต่อย่างใด ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีละเมิดทางแพ่ง ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสาวอุฌาวดี วินุราช โจทก์ พลตรี สกล เอี่ยมตระกูล ในฐานะหัวหน้าสำนักงานผู้บังคับบัญชา กองอำนวยการ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕๑/๒๕๕๔
วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๐ บริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดินที่ ๑ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๓๕๖/๒๕๕๐ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของผู้ถือสิทธิครอบครองร่วมกับนางพรรณี จันทร์เพ็ญ ในที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๒๒๙ ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน เนื้อที่ ๓ ไร่ ๓ งาน ๗๕ ตารางวา โดยผู้ฟ้องคดี ถือสิทธิครอบครองในอัตราส่วน ๑,๔๑๕ ส่วนใน ๑,๕๗๕ ส่วน หรือคิดเป็นเนื้อที่ ๓ ไร่ ๒ งาน ๑๕ ตารางวา เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๐ อธิบดีกรมที่ดินได้มีคำสั่งที่ ๑๗๖๑/๒๕๕๐ ให้เพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ดังกล่าว อ้างว่าออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากใบจองได้ออกในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๐๙ อันเป็นที่ดินที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาจัดให้ประชาชนตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน พ.ศ. ๒๔๙๘ หมวด ๒ ข้อ ๓ (๑) และเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ตามนัยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๗) และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ที่บังคับใช้อยู่ในขณะนั้น ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่ง จำเลยที่ ๒ พิจารณาแล้วเห็นว่าคำสั่งให้เพิกถอน น.ส. ๓ ดังกล่าวชอบแล้ว ให้ยกอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า ก่อนการออกใบจองและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบโดยละเอียด และเป็นเอกสารที่รัฐออกให้ซึ่งเป็นเอกสารมหาชน ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นเอกสารแท้จริงและถูกต้อง และการออกใบจองในที่ดินของผู้ฟ้องคดีและ น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ไม่ปรากฏว่าที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือป่าไม้ถาวร และไม่มีสภาพเป็นป่าอันจะถือได้ว่า เป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติหรือเขตป่าไม้ถาวรตามกฎหมาย รวมทั้งมีทางหลวงแผ่นดินตัดผ่านและอยู่ในย่านชุมชนที่มีผู้อาศัยอยู่หนาแน่น ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ราษฎรได้เข้าครอบครองทำประโยชน์มาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ก่อนการกำหนดเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตป่าไม้ถาวร ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๑๗๖๑/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๐ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า ระหว่างการรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ตามคำขอของผู้ฟ้องคดีและนางพรรณี สำนักงานที่ดินจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ตรวจสอบตามที่ได้รับแจ้งจากสำนักบริหารจัดการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ๑๗ (แม่สะเรียง) พบว่า น.ส. ๓ ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ "ป่าแม่ปายฝั่งซ้าย" และเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน คณะกรรมการสอบสวนมีความเห็นว่า ใบจองเลขที่ ๒๒๙ ได้ออกในที่ดินที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาจัดให้ประชาชน และเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ที่ออกสืบเนื่องมาจากใบจองเลขที่ ๒๒๙ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายที่กระทำโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีมีประเด็นว่า ที่ดินตาม น.ส. ๓ ที่พิพาทเป็นสิทธิครอบครองของผู้ฟ้องคดีหรืออยู่ในเขตป่าไม้ถาวรหรือป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลซึ่งต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ทรัพย์สิน และประมวลกฎหมายที่ดิน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลยุติธรรมเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีโดยทั่วไป เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น ในขณะที่ศาลปกครองเป็น ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน อันเนื่องมาจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจทางปกครองหรือการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่ต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายหรือเป็นการดำเนินกิจการทางปกครอง รวมถึงคดีพิพาทตามที่กฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลปกครองด้วย เว้นแต่เรื่องที่มีกฎหมายบัญญัติยกเว้นไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ ๑๗๖๑/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๐ เพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ซึ่งผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับนางพรรณี และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้วินิจฉัยยกคำอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นการออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องมาจากเห็นว่า น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ เป็น น.ส. ๓ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกมาจากหลักฐานใบจองเลขที่ ๒๒๙ ซึ่งออกในที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่ดินที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาจัดให้ประชาชนตามหมวด ๒ ข้อ ๓ (๑) แห่งระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน พ.ศ. ๒๔๙๘ และเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ (ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น) แต่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าที่ดินดังกล่าวไม่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีและเป็นที่ดินที่ได้มีการเข้าครอบครองทำประโยชน์มาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับก่อนการกำหนดเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตป่าไม้ถาวร อีกทั้งที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่นำมาจัดให้แก่ประชาชนได้ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า การออกคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และการวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นการปฏิบัติราชการที่กระทำโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย คดีนี้จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า การออกคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งการออกคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลทำให้สิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีที่มีอยู่ตามหลักฐาน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ระงับไป จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ อีกทั้งในการวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวมีปัญหาเบื้องต้นที่จะต้องพิจารณาว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่นำมาจัดให้ประชาชนได้หรือไม่ และเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินหรือไม่ อันเป็นปัญหาที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับการที่เอกชนจะได้รับสิทธิในที่ดินของรัฐซึ่งเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน มิใช่เป็นเรื่องการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างเอกชนกับเอกชน คดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งนี้ มิได้มีกฎหมายใดบัญญัติห้ามมิให้ศาลปกครองนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลกฎหมายที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับการให้เอกชนได้สิทธิในที่ดินของรัฐมาวินิจฉัยแต่อย่างใด ดังนั้นคดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอนพิจารณาแล้วเห็นว่า สิทธิของบุคคลอันเกี่ยวกับที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ทรัพย์สิน มาตรา ๑๒๙๘ ที่บัญญัติว่า "ทรัพยสิทธิทั้งหลายนั้น ท่านว่าจะก่อตั้งขึ้นได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฏหมายนี้หรือกฎหมายอื่น" บทบัญญัตินี้กำหนดให้การพิจารณาข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอยู่ในบังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่นที่บัญญัติเรื่องนั้นไว้เป็นพิเศษ และการพิจารณาสิทธิในที่ดินพิพาทคดีนี้ยังต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายที่ดินประกอบด้วย โดยจะต้องพิจารณาถึงสิทธิครอบครองและการใช้ประโยชน์ในที่ดินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน และแม้เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ โดยอ้างว่าเป็น น.ส. ๓ ที่ออกมาโดยอาศัยหลักฐานใบจองที่ออกในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๐๙ ของผู้ฟ้องคดี ก็ตาม แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว หรือเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาในปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรืออยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๑๙/๒๕๔๘
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม แต่ตามคำฟ้องผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของผู้ถือสิทธิครอบครองร่วมกับผู้มีชื่อในที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามส่วนที่ตกลงกัน แต่ถูกผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เพิกถอนอ้างว่าออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากใบจองได้ออกในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาจัดให้ประชาชนตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ และเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ตามนัยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๗) และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่ง จำเลยที่ ๒ ยกอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า ก่อนการออกใบจองและหนังสือรับรองการทำประโยชน์
ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบโดยละเอียด และเป็นเอกสารที่รัฐออกให้ซึ่งเป็นเอกสารมหาชน ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นเอกสารแท้จริงและถูกต้อง และการออกใบจองในที่ดินของผู้ฟ้องคดีและ น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ไม่ปรากฏว่าที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือป่าไม้ถาวร และไม่มีสภาพเป็นป่าอันจะถือได้ว่าเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติหรือเขตป่าไม้ถาวรตามกฎหมาย รวมทั้งมีทางหลวงแผ่นดินตัดผ่านและอยู่ในย่านชุมชนที่มีผู้อาศัยอยู่หนาแน่น ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ราษฎรได้เข้าครอบครองทำประโยชน์มาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ก่อนการกำหนดเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตป่าไม้ถาวร ขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า ขณะรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวม สำนักงานที่ดินจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ตรวจสอบพบว่า น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ "ป่าแม่ปายฝั่งซ้าย" และเขตป่าไม้ถาวร คณะกรรมการสอบสวนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ แต่งตั้งมีความเห็นว่า ใบจองเลขที่ ๒๒๙ ได้ออกในที่ดินที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาจัดให้ประชาชน และเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ที่ออกสืบเนื่องมาจากใบจองเลขที่ ๒๒๙ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายที่กระทำโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตป่าไม้ถาวรเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด ผู้ฟ้องคดี อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๑ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕๑/๒๕๕๔
วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๐ บริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดินที่ ๑ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๓๕๖/๒๕๕๐ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของผู้ถือสิทธิครอบครองร่วมกับนางพรรณี จันทร์เพ็ญ ในที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๒๒๙ ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน เนื้อที่ ๓ ไร่ ๓ งาน ๗๕ ตารางวา โดยผู้ฟ้องคดี ถือสิทธิครอบครองในอัตราส่วน ๑,๔๑๕ ส่วนใน ๑,๕๗๕ ส่วน หรือคิดเป็นเนื้อที่ ๓ ไร่ ๒ งาน ๑๕ ตารางวา เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๐ อธิบดีกรมที่ดินได้มีคำสั่งที่ ๑๗๖๑/๒๕๕๐ ให้เพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ดังกล่าว อ้างว่าออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากใบจองได้ออกในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๐๙ อันเป็นที่ดินที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาจัดให้ประชาชนตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน พ.ศ. ๒๔๙๘ หมวด ๒ ข้อ ๓ (๑) และเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ตามนัยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๗) และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ที่บังคับใช้อยู่ในขณะนั้น ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่ง จำเลยที่ ๒ พิจารณาแล้วเห็นว่าคำสั่งให้เพิกถอน น.ส. ๓ ดังกล่าวชอบแล้ว ให้ยกอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า ก่อนการออกใบจองและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบโดยละเอียด และเป็นเอกสารที่รัฐออกให้ซึ่งเป็นเอกสารมหาชน ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นเอกสารแท้จริงและถูกต้อง และการออกใบจองในที่ดินของผู้ฟ้องคดีและ น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ไม่ปรากฏว่าที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือป่าไม้ถาวร และไม่มีสภาพเป็นป่าอันจะถือได้ว่า เป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติหรือเขตป่าไม้ถาวรตามกฎหมาย รวมทั้งมีทางหลวงแผ่นดินตัดผ่านและอยู่ในย่านชุมชนที่มีผู้อาศัยอยู่หนาแน่น ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ราษฎรได้เข้าครอบครองทำประโยชน์มาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ก่อนการกำหนดเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตป่าไม้ถาวร ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๑๗๖๑/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๐ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า ระหว่างการรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ตามคำขอของผู้ฟ้องคดีและนางพรรณี สำนักงานที่ดินจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ตรวจสอบตามที่ได้รับแจ้งจากสำนักบริหารจัดการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ๑๗ (แม่สะเรียง) พบว่า น.ส. ๓ ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ "ป่าแม่ปายฝั่งซ้าย" และเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน คณะกรรมการสอบสวนมีความเห็นว่า ใบจองเลขที่ ๒๒๙ ได้ออกในที่ดินที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาจัดให้ประชาชน และเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ที่ออกสืบเนื่องมาจากใบจองเลขที่ ๒๒๙ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายที่กระทำโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีมีประเด็นว่า ที่ดินตาม น.ส. ๓ ที่พิพาทเป็นสิทธิครอบครองของผู้ฟ้องคดีหรืออยู่ในเขตป่าไม้ถาวรหรือป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลซึ่งต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ทรัพย์สิน และประมวลกฎหมายที่ดิน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลยุติธรรมเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีโดยทั่วไป เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น ในขณะที่ศาลปกครองเป็น ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน อันเนื่องมาจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจทางปกครองหรือการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่ต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายหรือเป็นการดำเนินกิจการทางปกครอง รวมถึงคดีพิพาทตามที่กฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลปกครองด้วย เว้นแต่เรื่องที่มีกฎหมายบัญญัติยกเว้นไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ ๑๗๖๑/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๐ เพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ซึ่งผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับนางพรรณี และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้วินิจฉัยยกคำอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นการออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องมาจากเห็นว่า น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ เป็น น.ส. ๓ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกมาจากหลักฐานใบจองเลขที่ ๒๒๙ ซึ่งออกในที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่ดินที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาจัดให้ประชาชนตามหมวด ๒ ข้อ ๓ (๑) แห่งระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน พ.ศ. ๒๔๙๘ และเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ (ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น) แต่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าที่ดินดังกล่าวไม่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีและเป็นที่ดินที่ได้มีการเข้าครอบครองทำประโยชน์มาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับก่อนการกำหนดเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตป่าไม้ถาวร อีกทั้งที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่นำมาจัดให้แก่ประชาชนได้ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า การออกคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และการวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นการปฏิบัติราชการที่กระทำโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย คดีนี้จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า การออกคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งการออกคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลทำให้สิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีที่มีอยู่ตามหลักฐาน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ระงับไป จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ อีกทั้งในการวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวมีปัญหาเบื้องต้นที่จะต้องพิจารณาว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่นำมาจัดให้ประชาชนได้หรือไม่ และเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินหรือไม่ อันเป็นปัญหาที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับการที่เอกชนจะได้รับสิทธิในที่ดินของรัฐซึ่งเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน มิใช่เป็นเรื่องการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างเอกชนกับเอกชน คดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งนี้ มิได้มีกฎหมายใดบัญญัติห้ามมิให้ศาลปกครองนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลกฎหมายที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับการให้เอกชนได้สิทธิในที่ดินของรัฐมาวินิจฉัยแต่อย่างใด ดังนั้นคดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอนพิจารณาแล้วเห็นว่า สิทธิของบุคคลอันเกี่ยวกับที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ทรัพย์สิน มาตรา ๑๒๙๘ ที่บัญญัติว่า "ทรัพยสิทธิทั้งหลายนั้น ท่านว่าจะก่อตั้งขึ้นได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฏหมายนี้หรือกฎหมายอื่น" บทบัญญัตินี้กำหนดให้การพิจารณาข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอยู่ในบังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่นที่บัญญัติเรื่องนั้นไว้เป็นพิเศษ และการพิจารณาสิทธิในที่ดินพิพาทคดีนี้ยังต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายที่ดินประกอบด้วย โดยจะต้องพิจารณาถึงสิทธิครอบครองและการใช้ประโยชน์ในที่ดินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน และแม้เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ โดยอ้างว่าเป็น น.ส. ๓ ที่ออกมาโดยอาศัยหลักฐานใบจองที่ออกในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๐๙ ของผู้ฟ้องคดี ก็ตาม แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว หรือเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาในปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรืออยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๑๙/๒๕๔๘
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม แต่ตามคำฟ้องผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของผู้ถือสิทธิครอบครองร่วมกับผู้มีชื่อในที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามส่วนที่ตกลงกัน แต่ถูกผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เพิกถอนอ้างว่าออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากใบจองได้ออกในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาจัดให้ประชาชนตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ และเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ตามนัยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๗) และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่ง จำเลยที่ ๒ ยกอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า ก่อนการออกใบจองและหนังสือรับรองการทำประโยชน์
ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบโดยละเอียด และเป็นเอกสารที่รัฐออกให้ซึ่งเป็นเอกสารมหาชน ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นเอกสารแท้จริงและถูกต้อง และการออกใบจองในที่ดินของผู้ฟ้องคดีและ น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ไม่ปรากฏว่าที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือป่าไม้ถาวร และไม่มีสภาพเป็นป่าอันจะถือได้ว่าเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติหรือเขตป่าไม้ถาวรตามกฎหมาย รวมทั้งมีทางหลวงแผ่นดินตัดผ่านและอยู่ในย่านชุมชนที่มีผู้อาศัยอยู่หนาแน่น ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ราษฎรได้เข้าครอบครองทำประโยชน์มาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ก่อนการกำหนดเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตป่าไม้ถาวร ขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า ขณะรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวม สำนักงานที่ดินจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ตรวจสอบพบว่า น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ "ป่าแม่ปายฝั่งซ้าย" และเขตป่าไม้ถาวร คณะกรรมการสอบสวนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ แต่งตั้งมีความเห็นว่า ใบจองเลขที่ ๒๒๙ ได้ออกในที่ดินที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาจัดให้ประชาชน และเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ ที่ออกสืบเนื่องมาจากใบจองเลขที่ ๒๒๙ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๒๙ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายที่กระทำโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตป่าไม้ถาวรเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างบริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด ผู้ฟ้องคดี อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๑ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕๐/๒๕๕๔
วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลจังหวัดแม่สอด
ระหว่าง
ศาลปกครองพิษณุโลก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดแม่สอดโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ นางทองหล่อ แสงตะคร้อ โจทก์ ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๑ พันตำรวจโท ทรงวุฒิ จิตประสงค์พานิช ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดแม่สอด เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๘๑/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บฉ ๓๗๒๔ ตาก เช่าซื้อมาจากธนาคารทิสโก้ จำกัด ในราคา ๕๔๖,๙๑๒ บาท เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ จำเลยที่ ๒ จับกุมนางสุพรทิพย์ เรือนแก้ว กับพวกในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย พร้อมยึดรถยนต์คันดังกล่าวเป็นของกลาง ต่อมารถยนต์ของกลางได้หายไปในระหว่างที่ถูกยึด ถือเป็นการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๒ ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน ๕๔๖,๙๑๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลมีคำสั่งรับฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๑ ไม่รับฟ้องจำเลยที่ ๒ เนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดตามที่โจทก์ฟ้องในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๕ วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยเก็บรักษารถยนต์คันพิพาทโดยสุจริต เช่นวิญญูชนพึงกระทำในการเก็บรักษาทรัพย์สินของตนและปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบ การกระทำของจำเลยจึงไม่ได้กระทำโดยเจตนาหรือประมาทอันเป็นเหตุให้รถยนต์คันพิพาทถูกลักไปจากที่เก็บรักษา แต่เป็นเพราะโจทก์มีส่วนรู้เห็นให้ใช้กุญแจสำรองของรถยนต์คันพิพาทลักลอบนำรถยนต์ไป จำเลยจึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ค่าเสียหายสูงเกินจริง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า การเก็บรักษาของกลางเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามที่กำหนดไว้ในระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ลักษณะ ๑๕ การฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือสูญหาย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดแม่สอดพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ สืบเนื่องมาจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดรถยนต์ไว้เป็นของกลางในคดีอาญา เป็นการดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แล้วรถยนต์ของกลางได้สูญหายไป แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่จำเลยที่ ๑ จะมีความรับผิดหรือไม่ ต้องพิจารณาว่าจำเลยที่ ๒ ละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ จึงเป็นส่วนสำคัญ และเหตุละเมิดตามคำฟ้องของโจทก์มิได้เป็นผลโดยตรงจากการใช้อำนาจทางกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิด อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินงานของรัฐทุกระบบต้องถูกตรวจโดยศาลได้ เว้นแต่เป็นเรื่องที่ศาลไม่อาจตรวจสอบได้โดยสภาพ ส่วนการที่จะพิจารณาว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีประเภทใดได้ต้องพิจารณาจากพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง สำหรับคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง นอกจากข้อยกเว้นตามมาตรา ๙ วรรคสอง และเรื่องที่ศาลไม่อาจตรวจสอบได้โดยสภาพแล้ว ยังมีคดีประเภทอื่นที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของ ศาลอื่น เช่น คดีแพ่ง หรือคดีอาญา เป็นต้น ดังนั้น แม้ศาลปกครองจะไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนหรือระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน หากเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจกระทำการในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือกฎหมายอื่นที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการนำผู้กระทำผิดทางอาญามาลงโทษ หรือเนื่องมาจากการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือกฎหมายอื่นที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการนำผู้กระทำผิดทางอาญามาลงโทษกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ทั้งนี้ เพราะการพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทดังกล่าวรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมก็ตาม แต่โดยที่ในขั้นตอนการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ คือพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้นอาจมีการกระทำทางปกครองปะปนอยู่ด้วยซึ่งกรณีเช่นว่านี้ คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเคยมีคำวินิจฉัยที่ ๑๙/๒๕๔๕ วินิจฉัยว่า หากการกระทำใดที่กระทำนอกเหนือหรือมิได้กระทำตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือกฎหมายอื่น ซึ่งกำหนดขั้นตอนการดำเนินงานที่จะนำไปสู่การนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษทางอาญา เช่น การจับกุม การสอบสวน การมีความเห็นในคดี และการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลยุติธรรม และเป็นการกระทำที่เข้าเกณฑ์กรณีพิพาทตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง ย่อมเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้กำหนดวิธีการเก็บรักษาทรัพย์ของกลางไว้เป็นการเฉพาะ ซึ่งกรณีการเก็บรักษารถของกลาง เจ้าพนักงานตำรวจจะต้องปฏิบัติตามประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ในลักษณะ ๑๕ ของกลางและของส่วนตัวผู้ต้องหา บทที่ ๙ การปฏิบัติเกี่ยวกับรถของกลาง ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขจากประมวลระเบียบการตำรวจที่จัดทำขึ้นตามข้อบังคับที่ ๑/๒๕๙๘ (ที่ถูกน่าจะเป็น ๑/๒๔๙๘) เรื่อง วางระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ซึ่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์) สั่งให้ใช้บังคับเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๙๘ (ที่ถูกน่าจะเป็น ๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘) โดยประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีดังกล่าวกำหนดผู้มีหน้าที่เก็บรักษารถของกลาง สถานที่เก็บรักษารถของกลาง วิธีการเก็บรักษารถของกลาง ดังนั้น การเก็บรักษาของกลางของเจ้าพนักงานตำรวจตามประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีจึงไม่ใช่ขั้นตอนการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนด เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดอาญามาลงโทษ อีกทั้งคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลได้เคยมีคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๓/๒๕๕๑ และที่ ๒๖/๒๕๕๑ วินิจฉัยว่า กรณีที่พนักงานอัยการสั่งฟ้องโดยมิได้ขอริบทรัพย์ของกลาง เมื่อโจทก์ไปขอรับทรัพย์ของกลางคืนแต่เจ้าหน้าที่ของจำเลย (กรมป่าไม้) ไม่ยอมคืนให้ กรณีเช่นนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ซึ่งเป็นการวางแนวคำวินิจฉัยว่า ข้อพิพาทที่เกิดจากการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการยึดสิ่งของต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีอาญา ตามมาตรา ๘๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาถือเป็นการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญาอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่ข้อพิพาทที่เกิดจากการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับสิ่งของที่ยึดไว้ภายหลังจากนั้นซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคดีอาญาเป็นการใช้อำนาจของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามระเบียบ ข้อบังคับที่หน่วยงานทางปกครองได้จัดให้มีขึ้นอันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร หรือคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิด หรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร แล้วแต่กรณี ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องปรากฏว่า หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยที่ ๒ ได้จับกุมบุคคลผู้มีชื่อจำนวน ๓ คน ในข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ ๑ ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และยึดรถยนต์ซึ่งโจทก์เป็นผู้ครอบครองไว้เป็นของกลางในคดีดังกล่าวไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด โจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยที่ ๒ เพื่อขอรับรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อนำไปเก็บรักษาไว้ชั่วคราวในระหว่างที่จำเลยที่ ๒ ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา แต่จำเลยที่ ๒ แจ้งโจทก์ว่ารถยนต์ซึ่งจำเลยที่ ๒ ยึดไว้เป็นของกลางในคดีได้สูญหายไป โจทก์เห็นว่า จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์ของกลางเหมือนเช่นวิญญูชนพึงต้องดูแลทรัพย์สินของตน เมื่อจำเลยที่ ๒ ไม่ดูแลรักษารถยนต์พิพาทของกลางตามสมควร เป็นเหตุให้รถยนต์พิพาทหายไปทั้งคัน จึงถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ และเมื่อจำเลยที่ ๒ ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๑ (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ จึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ราคารถยนต์พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จากคำฟ้องของโจทก์ จึงมิใช่เป็นการโต้แย้งการดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของพนักงานสอบสวนที่ยึดรถยนต์ของโจทก์ไว้เป็นของกลางในคดีอาญาเพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหา แต่เป็นการฟ้องว่าจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่เก็บรักษาของกลางที่ยึดไว้ กระทำละเมิดโดยไม่ดูแลรักษารถยนต์พิพาทของกลางของโจทก์ เป็นเหตุให้รถยนต์พิพาทหายไปทั้งคัน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล โดยมีคำขอให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่จำเลยที่ ๒ สังกัด และจำเลยที่ ๒ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการที่จำเลยที่ ๒ ไม่ระมัดระวังในการดูแลรักษารถยนต์ของกลาง เมื่อการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๒ ตามโจทก์กล่าวหา เกิดจากการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาของกลางตามประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีในลักษณะ ๑๕ ของกลางและของส่วนตัวผู้ต้องหา บทที่ ๙ การปฏิบัติเกี่ยวกับรถของกลาง อันเป็นการกระทำทางปกครอง คดีนี้จึงมิใช่ข้อพิพาทจากการกระทำละเมิดในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ จับกุมผู้มีชื่อกับพวกในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย พร้อมยึดรถยนต์กระบะที่โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อไว้เป็นของกลาง ต่อมารถยนต์ของกลางดังกล่าวได้หายไปในระหว่างที่ถูกยึด เป็นการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๒ ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่ารถพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยเก็บรักษาทรัพย์ของกลางถูกต้องตามระเบียบ เหตุที่รถยนต์คันพิพาทสูญหายเพราะโจทก์มีส่วนรู้เห็นให้ใช้กุญแจสำรอง จำเลยจึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ค่าเสียหายสูงเกินจริง เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เจ้าพนักงานผู้จับหรือรับตัวผู้ถูกจับไว้มีอำนาจค้นตัวผู้ต้องหา และยึดสิ่งของต่าง ๆ ที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ วรรคสาม บัญญัติว่า สิ่งของใดที่ยึดไว้เจ้าพนักงานมีอำนาจยึดไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด เมื่อเสร็จคดีแล้วก็ให้คืนแก่ผู้ต้องหาหรือแก่ผู้อื่นซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของนั้น เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น และมาตรา ๘๕/๑ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในระหว่างสอบสวน สิ่งของที่เจ้าพนักงานได้ยึดไว้ซึ่งมิใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ถ้ายังไม่ได้นำสืบหรือแสดงเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี เจ้าของหรือผู้ซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของที่เจ้าพนักงานยึดไว้อาจยื่นคำร้องต่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการแล้วแต่กรณี เพื่อขอรับสิ่งของนั้นไปดูแลรักษา หรือใช้ประโยชน์โดยไม่มีหลักประกัน หรือมีประกัน หรือมีประกันและหลักประกันก็ได้ วรรคสอง บัญญัติว่า การสั่งคืนสิ่งของตามวรรคหนึ่งจะต้องไม่กระทบถึงการใช้สิ่งของนั้นเป็นพยานหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในภายหลัง ทั้งนี้ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งโดยมิชักช้า โดยอาจเรียกประกันจากผู้ยื่นคำร้องหรือกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดให้บุคคลนั้นปฏิบัติ และหากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือบุคคลดังกล่าวไม่ยอมคืนสิ่งของนั้นเมื่อมีคำสั่งให้คืน ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการแล้วแต่กรณี มีอำนาจยึดสิ่งของนั้นกลับคืนและบังคับตามสัญญาประกันเช่นว่านั้นได้ วิธีการยื่นคำร้อง เงื่อนไขและการอนุญาตให้เป็นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง และวรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่อนุญาต ผู้ยื่นคำร้องมีสิทธิยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลชั้นต้นที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวได้ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการไม่อนุญาตและให้ศาลพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาต ศาลอาจเรียกประกันหรือกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดได้ตามที่เห็นสมควร คำสั่งของศาลให้เป็นที่สุด ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจทำการจับกุมผู้กระทำความผิดพร้อมกับยึดรถยนต์ของโจทก์ จึงเป็นการใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๕ ซึ่งในมาตรา ๘๕/๑ ก็กำหนดวิธีการไว้ว่า ทรัพย์ที่ถูกยึดไว้ถ้ายังไม่ได้นำสืบหรือแสดงเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี เจ้าของหรือผู้ซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของที่เจ้าพนักงานยึดไว้อาจร้องขอต่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการให้คืนทรัพย์ของกลางแก่ตนได้ และในวรรคท้าย หากเจ้าพนักงานดังกล่าวไม่ยอมคืนให้ เจ้าของทรัพย์ชอบที่จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงาน "ต่อศาลชั้นต้นที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวได้" กรณีจึงเป็นข้อพิพาทที่เกิดจากการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้กำหนดขั้นตอนและวิธีการไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว ทั้งได้กำหนดให้ศาลชั้นต้นที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาในเรื่องนั้น ๆ เป็นศาลที่มีเขตอำนาจด้วย จึงเป็นคดีพิพาทที่เกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่อันเนื่องจากการใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางทองหล่อ แสงตะคร้อ โจทก์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๑ พันตำรวจโท ทรงวุฒิ จิตประสงค์พานิช ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๕๐/๒๕๕๔
วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลจังหวัดแม่สอด
ระหว่าง
ศาลปกครองพิษณุโลก
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดแม่สอดโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ นางทองหล่อ แสงตะคร้อ โจทก์ ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๑ พันตำรวจโท ทรงวุฒิ จิตประสงค์พานิช ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดแม่สอด เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๘๑/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บฉ ๓๗๒๔ ตาก เช่าซื้อมาจากธนาคารทิสโก้ จำกัด ในราคา ๕๔๖,๙๑๒ บาท เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ จำเลยที่ ๒ จับกุมนางสุพรทิพย์ เรือนแก้ว กับพวกในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย พร้อมยึดรถยนต์คันดังกล่าวเป็นของกลาง ต่อมารถยนต์ของกลางได้หายไปในระหว่างที่ถูกยึด ถือเป็นการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๒ ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน ๕๔๖,๙๑๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลมีคำสั่งรับฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๑ ไม่รับฟ้องจำเลยที่ ๒ เนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดตามที่โจทก์ฟ้องในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๕ วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยเก็บรักษารถยนต์คันพิพาทโดยสุจริต เช่นวิญญูชนพึงกระทำในการเก็บรักษาทรัพย์สินของตนและปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบ การกระทำของจำเลยจึงไม่ได้กระทำโดยเจตนาหรือประมาทอันเป็นเหตุให้รถยนต์คันพิพาทถูกลักไปจากที่เก็บรักษา แต่เป็นเพราะโจทก์มีส่วนรู้เห็นให้ใช้กุญแจสำรองของรถยนต์คันพิพาทลักลอบนำรถยนต์ไป จำเลยจึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ค่าเสียหายสูงเกินจริง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า การเก็บรักษาของกลางเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามที่กำหนดไว้ในระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ลักษณะ ๑๕ การฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือสูญหาย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดแม่สอดพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ สืบเนื่องมาจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดรถยนต์ไว้เป็นของกลางในคดีอาญา เป็นการดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แล้วรถยนต์ของกลางได้สูญหายไป แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่จำเลยที่ ๑ จะมีความรับผิดหรือไม่ ต้องพิจารณาว่าจำเลยที่ ๒ ละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ จึงเป็นส่วนสำคัญ และเหตุละเมิดตามคำฟ้องของโจทก์มิได้เป็นผลโดยตรงจากการใช้อำนาจทางกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิด อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินงานของรัฐทุกระบบต้องถูกตรวจโดยศาลได้ เว้นแต่เป็นเรื่องที่ศาลไม่อาจตรวจสอบได้โดยสภาพ ส่วนการที่จะพิจารณาว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีประเภทใดได้ต้องพิจารณาจากพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง สำหรับคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง นอกจากข้อยกเว้นตามมาตรา ๙ วรรคสอง และเรื่องที่ศาลไม่อาจตรวจสอบได้โดยสภาพแล้ว ยังมีคดีประเภทอื่นที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของ ศาลอื่น เช่น คดีแพ่ง หรือคดีอาญา เป็นต้น ดังนั้น แม้ศาลปกครองจะไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนหรือระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน หากเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจกระทำการในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือกฎหมายอื่นที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการนำผู้กระทำผิดทางอาญามาลงโทษ หรือเนื่องมาจากการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือกฎหมายอื่นที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการนำผู้กระทำผิดทางอาญามาลงโทษกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ทั้งนี้ เพราะการพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทดังกล่าวรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมก็ตาม แต่โดยที่ในขั้นตอนการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ คือพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้นอาจมีการกระทำทางปกครองปะปนอยู่ด้วยซึ่งกรณีเช่นว่านี้ คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเคยมีคำวินิจฉัยที่ ๑๙/๒๕๔๕ วินิจฉัยว่า หากการกระทำใดที่กระทำนอกเหนือหรือมิได้กระทำตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือกฎหมายอื่น ซึ่งกำหนดขั้นตอนการดำเนินงานที่จะนำไปสู่การนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษทางอาญา เช่น การจับกุม การสอบสวน การมีความเห็นในคดี และการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลยุติธรรม และเป็นการกระทำที่เข้าเกณฑ์กรณีพิพาทตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง ย่อมเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้กำหนดวิธีการเก็บรักษาทรัพย์ของกลางไว้เป็นการเฉพาะ ซึ่งกรณีการเก็บรักษารถของกลาง เจ้าพนักงานตำรวจจะต้องปฏิบัติตามประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ในลักษณะ ๑๕ ของกลางและของส่วนตัวผู้ต้องหา บทที่ ๙ การปฏิบัติเกี่ยวกับรถของกลาง ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขจากประมวลระเบียบการตำรวจที่จัดทำขึ้นตามข้อบังคับที่ ๑/๒๕๙๘ (ที่ถูกน่าจะเป็น ๑/๒๔๙๘) เรื่อง วางระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ซึ่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์) สั่งให้ใช้บังคับเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๙๘ (ที่ถูกน่าจะเป็น ๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘) โดยประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีดังกล่าวกำหนดผู้มีหน้าที่เก็บรักษารถของกลาง สถานที่เก็บรักษารถของกลาง วิธีการเก็บรักษารถของกลาง ดังนั้น การเก็บรักษาของกลางของเจ้าพนักงานตำรวจตามประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีจึงไม่ใช่ขั้นตอนการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนด เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดอาญามาลงโทษ อีกทั้งคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลได้เคยมีคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๓/๒๕๕๑ และที่ ๒๖/๒๕๕๑ วินิจฉัยว่า กรณีที่พนักงานอัยการสั่งฟ้องโดยมิได้ขอริบทรัพย์ของกลาง เมื่อโจทก์ไปขอรับทรัพย์ของกลางคืนแต่เจ้าหน้าที่ของจำเลย (กรมป่าไม้) ไม่ยอมคืนให้ กรณีเช่นนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ซึ่งเป็นการวางแนวคำวินิจฉัยว่า ข้อพิพาทที่เกิดจากการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการยึดสิ่งของต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีอาญา ตามมาตรา ๘๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาถือเป็นการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญาอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่ข้อพิพาทที่เกิดจากการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับสิ่งของที่ยึดไว้ภายหลังจากนั้นซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคดีอาญาเป็นการใช้อำนาจของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามระเบียบ ข้อบังคับที่หน่วยงานทางปกครองได้จัดให้มีขึ้นอันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร หรือคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิด หรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร แล้วแต่กรณี ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องปรากฏว่า หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยที่ ๒ ได้จับกุมบุคคลผู้มีชื่อจำนวน ๓ คน ในข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ ๑ ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และยึดรถยนต์ซึ่งโจทก์เป็นผู้ครอบครองไว้เป็นของกลางในคดีดังกล่าวไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด โจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยที่ ๒ เพื่อขอรับรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อนำไปเก็บรักษาไว้ชั่วคราวในระหว่างที่จำเลยที่ ๒ ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา แต่จำเลยที่ ๒ แจ้งโจทก์ว่ารถยนต์ซึ่งจำเลยที่ ๒ ยึดไว้เป็นของกลางในคดีได้สูญหายไป โจทก์เห็นว่า จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์ของกลางเหมือนเช่นวิญญูชนพึงต้องดูแลทรัพย์สินของตน เมื่อจำเลยที่ ๒ ไม่ดูแลรักษารถยนต์พิพาทของกลางตามสมควร เป็นเหตุให้รถยนต์พิพาทหายไปทั้งคัน จึงถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ และเมื่อจำเลยที่ ๒ ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๑ (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ จึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ราคารถยนต์พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จากคำฟ้องของโจทก์ จึงมิใช่เป็นการโต้แย้งการดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของพนักงานสอบสวนที่ยึดรถยนต์ของโจทก์ไว้เป็นของกลางในคดีอาญาเพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหา แต่เป็นการฟ้องว่าจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่เก็บรักษาของกลางที่ยึดไว้ กระทำละเมิดโดยไม่ดูแลรักษารถยนต์พิพาทของกลางของโจทก์ เป็นเหตุให้รถยนต์พิพาทหายไปทั้งคัน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล โดยมีคำขอให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่จำเลยที่ ๒ สังกัด และจำเลยที่ ๒ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการที่จำเลยที่ ๒ ไม่ระมัดระวังในการดูแลรักษารถยนต์ของกลาง เมื่อการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๒ ตามโจทก์กล่าวหา เกิดจากการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาของกลางตามประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีในลักษณะ ๑๕ ของกลางและของส่วนตัวผู้ต้องหา บทที่ ๙ การปฏิบัติเกี่ยวกับรถของกลาง อันเป็นการกระทำทางปกครอง คดีนี้จึงมิใช่ข้อพิพาทจากการกระทำละเมิดในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ จับกุมผู้มีชื่อกับพวกในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย พร้อมยึดรถยนต์กระบะที่โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อไว้เป็นของกลาง ต่อมารถยนต์ของกลางดังกล่าวได้หายไปในระหว่างที่ถูกยึด เป็นการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๒ ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่ารถพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยเก็บรักษาทรัพย์ของกลางถูกต้องตามระเบียบ เหตุที่รถยนต์คันพิพาทสูญหายเพราะโจทก์มีส่วนรู้เห็นให้ใช้กุญแจสำรอง จำเลยจึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ค่าเสียหายสูงเกินจริง เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เจ้าพนักงานผู้จับหรือรับตัวผู้ถูกจับไว้มีอำนาจค้นตัวผู้ต้องหา และยึดสิ่งของต่าง ๆ ที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ วรรคสาม บัญญัติว่า สิ่งของใดที่ยึดไว้เจ้าพนักงานมีอำนาจยึดไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด เมื่อเสร็จคดีแล้วก็ให้คืนแก่ผู้ต้องหาหรือแก่ผู้อื่นซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของนั้น เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น และมาตรา ๘๕/๑ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในระหว่างสอบสวน สิ่งของที่เจ้าพนักงานได้ยึดไว้ซึ่งมิใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ถ้ายังไม่ได้นำสืบหรือแสดงเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี เจ้าของหรือผู้ซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของที่เจ้าพนักงานยึดไว้อาจยื่นคำร้องต่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการแล้วแต่กรณี เพื่อขอรับสิ่งของนั้นไปดูแลรักษา หรือใช้ประโยชน์โดยไม่มีหลักประกัน หรือมีประกัน หรือมีประกันและหลักประกันก็ได้ วรรคสอง บัญญัติว่า การสั่งคืนสิ่งของตามวรรคหนึ่งจะต้องไม่กระทบถึงการใช้สิ่งของนั้นเป็นพยานหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในภายหลัง ทั้งนี้ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งโดยมิชักช้า โดยอาจเรียกประกันจากผู้ยื่นคำร้องหรือกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดให้บุคคลนั้นปฏิบัติ และหากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือบุคคลดังกล่าวไม่ยอมคืนสิ่งของนั้นเมื่อมีคำสั่งให้คืน ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการแล้วแต่กรณี มีอำนาจยึดสิ่งของนั้นกลับคืนและบังคับตามสัญญาประกันเช่นว่านั้นได้ วิธีการยื่นคำร้อง เงื่อนไขและการอนุญาตให้เป็นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง และวรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่อนุญาต ผู้ยื่นคำร้องมีสิทธิยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลชั้นต้นที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวได้ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการไม่อนุญาตและให้ศาลพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาต ศาลอาจเรียกประกันหรือกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดได้ตามที่เห็นสมควร คำสั่งของศาลให้เป็นที่สุด ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจทำการจับกุมผู้กระทำความผิดพร้อมกับยึดรถยนต์ของโจทก์ จึงเป็นการใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๕ ซึ่งในมาตรา ๘๕/๑ ก็กำหนดวิธีการไว้ว่า ทรัพย์ที่ถูกยึดไว้ถ้ายังไม่ได้นำสืบหรือแสดงเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี เจ้าของหรือผู้ซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของที่เจ้าพนักงานยึดไว้อาจร้องขอต่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการให้คืนทรัพย์ของกลางแก่ตนได้ และในวรรคท้าย หากเจ้าพนักงานดังกล่าวไม่ยอมคืนให้ เจ้าของทรัพย์ชอบที่จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงาน "ต่อศาลชั้นต้นที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวได้" กรณีจึงเป็นข้อพิพาทที่เกิดจากการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้กำหนดขั้นตอนและวิธีการไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว ทั้งได้กำหนดให้ศาลชั้นต้นที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาในเรื่องนั้น ๆ เป็นศาลที่มีเขตอำนาจด้วย จึงเป็นคดีพิพาทที่เกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่อันเนื่องจากการใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางทองหล่อ แสงตะคร้อ โจทก์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๑ พันตำรวจโท ทรงวุฒิ จิตประสงค์พานิช ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๙/๒๕๕๔
วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดชลบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองระยอง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดชลบุรีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ กระทรวงการคลัง โจทก์ ยื่นฟ้องนายสิริชัย บุญนุช จำเลย ต่อศาลจังหวัดชลบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๒๒/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินสนามยิงเป้าโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๕ ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ ๓๔๘ ไร่ ๑ งาน ๓๙ ตารางวา อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นที่ราชพัสดุใช้ในราชการกองทัพเรือ เมื่อปี ๒๕๑๗ โจทก์มอบหมายให้กองทัพเรือขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่ดินดังกล่าว กรมที่ดินได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่ดินบริเวณสนามยิงเป้าบางส่วนรวม ๓ แปลง และในปี ๒๕๒๖ กรมธนารักษ์ได้นำที่ดินดังกล่าวไปขึ้นทะเบียนราชพัสดุหมายเลขทะเบียน ชบ. ๔๖๕ ที่ดินบริเวณนั้นจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ แต่ถูกนางประยูรวดี ยุทธศาสตร์โกศล บุกรุกเข้าครอบครองและขอออกโฉนดที่ดินบริเวณสนามยิงเป้า ซึ่งกรมที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ ให้แก่นางประยูรวดีเมื่อปี ๒๔๘๘ และที่ดินตามโฉนดดังกล่าวมีการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยอีกหลายแปลง โดยให้แปลงที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๒๕ เป็นแปลงคงเหลือ เป็นการออกโฉนดที่ดินทับที่ราชพัสดุแปลงที่ ชบ. ๔๖๕ ของโจทก์ ต่อมาเมื่อปี ๒๕๒๘ จำเลยรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๑๓ ที่แยกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ และเข้าครอบครองก่อสร้างบ้าน สิ่งปลูกสร้างลงในที่ดินที่รับโอนมาซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์แจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สิน บริวาร และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่งมีเนื้อที่ ๒ งาน ๒๘ ตารางวา ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๔๑๓ และให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากที่ดินของโจทก์ หากไม่ยินยอมขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการ และห้ามจำเลยและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ กับให้ชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๓๕๒ บาท แก่โจทก์นับแต่วันที่ศาลพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดและขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๑๓ ได้ออกโฉนดตั้งแต่ปี ๒๔๘๘ ก่อนมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ผู้มีสิทธิในที่ดินย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา ๓ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ก่อนที่ที่ดินจะตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยมีเจ้าของกรรมสิทธิ์มาก่อนแล้วหลายคน หากเป็นที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรมที่ดินก็ควรจะปฏิเสธการจดทะเบียนซื้อขายให้กับจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดชลบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นรัฐยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชนเกี่ยวกับเรื่องสิทธิในที่ดิน ซึ่งการพิจารณาสิทธิในที่ดินพิพาทต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ และประมวลกฎหมายที่ดิน ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้หรือไม่ นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเป็นของผู้ถูกฟ้องคดี จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองระยองพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาคำฟ้องและเหตุแห่งการฟ้องคดีประกอบกับคำขอของผู้ฟ้องคดีแล้วเห็นได้ว่า แม้ว่าโจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเอกชนและมีประเด็นข้อเท็จจริงที่ต้องวินิจฉัยด้วยว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครองผู้มีอำนาจหน้าที่ในการปกครอง ดูแลและบำรุงรักษาที่ราชพัสดุ ตามที่กฎหมายให้อำนาจและกำหนดหน้าที่ไว้เป็นการเฉพาะตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ และกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๕ การฟ้องคดีนี้จึงไม่ได้เป็นข้อพิพาทในลักษณะเดียวกับคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างเอกชนกับเอกชน เพราะโจทก์มิได้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเหมือนกรณีการถือกรรมสิทธิ์ของเอกชนทั่วไป แต่เป็นการฟ้องคดีในฐานะที่โจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนรัฐ และมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นการฟ้องคดีเพื่อแสดงสถานะ หรือความมีอยู่ของที่สาธารณประโยชน์ และการที่โจทก์ฟ้องโดยกล่าวหาว่า จำเลยบุกรุกเข้าครอบครองที่ดินบริเวณสนามยิงเป้าที่กรมธนารักษ์ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุซึ่งใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ และได้มีการดำเนินการออกโฉนดที่ดินในบริเวณดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการฟ้องว่า การออกโฉนดที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อผู้ที่มีอำนาจในการออกโฉนดที่ดิน หรือการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน ได้แก่ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดินสาขา หรือเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมาย ตามมาตรา ๕๗ หรือตามบทบัญญัติอื่นในประมวลกฎหมายที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง อันเป็นการใช้อำนาจทางปกครองเพื่อออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินซึ่งมีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของบุคคลอันเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นข้อพิพาทที่มีมูลเหตุมาจากการใช้อำนาจทางปกครองของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยมีประเด็นแห่งคดีที่ศาลต้องวินิจฉัยว่า การที่เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๔๑๓ ให้แก่นางประยูรวดีเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดิน และให้จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) ประกอบกับมาตรา ๗๑ (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และการที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า กรมที่ดินออกโฉนดที่ดินพิพาททับที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งเป็นการฟ้องว่า การออกโฉนดที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีคำขอโดยชัดแจ้งว่าขอให้ศาลเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นการแก้ไขเยียวยาความเสียหายของโจทก์ และขอให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท กรมที่ดินจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนี้ ซึ่งอาจเข้ามาเป็นคู่กรณีด้วยการร้องสอด ฉะนั้น เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จึงเป็นการโต้แย้งว่า กรมที่ดินหรือเจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินพิพาทไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์จะมิได้ยื่นฟ้องกรมที่ดินหรือเจ้าพนักงานที่ดินเป็นจำเลยในคดีนี้ ศาลปกครองก็มีอำนาจเรียกกรมที่ดินหรือเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเป็นคู่กรณีด้วยการร้องสอดได้ ตามนัยมาตรา ๓ และมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบข้อ ๗๘ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ และมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง (๓) (ข) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง นอกจากนั้น บทบัญญัติมาตรา ๗๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอกในหลายกรณี เช่น มาตรา ๗๑ (๑) ในกรณีคำพิพากษาให้บุคคลใดออกไปจากสถานที่ใดให้ใช้บังคับตลอดถึงบริวารของผู้นั้นที่อยู่ในสถานที่นั้นด้วย เว้นแต่ผู้นั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิพิเศษอื่น และมาตรา ๗๑ (๔) กรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่เกี่ยวกับสิทธิและทรัพย์สินใด ๆ คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาขับไล่บุคคลได้ รวมถึงวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินโดยนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ได้ ประกอบกับไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดได้บัญญัติให้อำนาจแก่ศาลยุติธรรมที่จะเพิกถอนคำสั่งทางปกครองทั้งหมดหรือบางส่วนเหมือนดังเช่นที่บัญญัติให้อำนาจศาลปกครองกำหนดคำบังคับเป็นการเฉพาะไว้ในมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน สำหรับประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตามโฉนดที่ดินพิพาท นั้น เป็นประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดีหลังจากที่ศาลมีคำสั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณาแล้ว และเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่ศาลจะพิจารณาว่า การออกโฉนดที่ดินอันเป็นคำสั่งทางปกครองเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เท่านั้น และประเด็นปัญหาอื่นที่จะต้องพิจารณาว่า การออกโฉนดที่ดินเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็เป็นประเด็นที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง ดังนั้นคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์จะเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่ตามคำฟ้องคดีนี้โจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินสนามยิงเป้าโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๕ ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ ๓๔๘ ไร่ ๑ งาน ๓๙ ตารางวา อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นที่ราชพัสดุใช้ในราชการกองทัพเรือ ตามทะเบียนราชพัสดุหมายเลข ชบ. ๔๖๕ แต่ถูกนางประยูรวดีบุกรุกเข้าครอบครองและเมื่อปี ๒๔๘๘ กรมที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ ให้แก่นางประยูรวดี ทับที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าว จำเลยเป็นผู้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๑๓ ที่แยกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ และเข้าครอบครองก่อสร้างบ้าน สิ่งปลูกสร้างลงในที่ดินที่รับโอนมาซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์แจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สิน บริวาร และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่งมีเนื้อที่ ๒ งาน ๒๘ ตารางวา ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๔๑๓ และให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากที่ดินของโจทก์ หากไม่ยินยอมขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการ และห้ามจำเลยและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ กับให้ชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนจำเลยให้การว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๑๓ ได้ออกโฉนดตั้งแต่ปี ๒๔๘๘ ก่อนมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ผู้มีสิทธิในที่ดินย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา ๓ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ก่อนที่ที่ดินจะตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยมีเจ้าของกรรมสิทธิ์มาก่อนแล้วหลายคน หากเป็นที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรมที่ดินก็ควรจะปฏิเสธการจดทะเบียนซื้อขายให้กับจำเลย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนี้ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างกระทรวงการคลัง โจทก์ นายสิริชัย บุญนุช จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๙/๒๕๕๔
วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดชลบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองระยอง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดชลบุรีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ กระทรวงการคลัง โจทก์ ยื่นฟ้องนายสิริชัย บุญนุช จำเลย ต่อศาลจังหวัดชลบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๒๒/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินสนามยิงเป้าโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๕ ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ ๓๔๘ ไร่ ๑ งาน ๓๙ ตารางวา อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นที่ราชพัสดุใช้ในราชการกองทัพเรือ เมื่อปี ๒๕๑๗ โจทก์มอบหมายให้กองทัพเรือขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่ดินดังกล่าว กรมที่ดินได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่ดินบริเวณสนามยิงเป้าบางส่วนรวม ๓ แปลง และในปี ๒๕๒๖ กรมธนารักษ์ได้นำที่ดินดังกล่าวไปขึ้นทะเบียนราชพัสดุหมายเลขทะเบียน ชบ. ๔๖๕ ที่ดินบริเวณนั้นจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ แต่ถูกนางประยูรวดี ยุทธศาสตร์โกศล บุกรุกเข้าครอบครองและขอออกโฉนดที่ดินบริเวณสนามยิงเป้า ซึ่งกรมที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ ให้แก่นางประยูรวดีเมื่อปี ๒๔๘๘ และที่ดินตามโฉนดดังกล่าวมีการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยอีกหลายแปลง โดยให้แปลงที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๒๕ เป็นแปลงคงเหลือ เป็นการออกโฉนดที่ดินทับที่ราชพัสดุแปลงที่ ชบ. ๔๖๕ ของโจทก์ ต่อมาเมื่อปี ๒๕๒๘ จำเลยรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๑๓ ที่แยกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ และเข้าครอบครองก่อสร้างบ้าน สิ่งปลูกสร้างลงในที่ดินที่รับโอนมาซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์แจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สิน บริวาร และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่งมีเนื้อที่ ๒ งาน ๒๘ ตารางวา ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๔๑๓ และให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากที่ดินของโจทก์ หากไม่ยินยอมขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการ และห้ามจำเลยและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ กับให้ชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๓๕๒ บาท แก่โจทก์นับแต่วันที่ศาลพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดและขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๑๓ ได้ออกโฉนดตั้งแต่ปี ๒๔๘๘ ก่อนมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ผู้มีสิทธิในที่ดินย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา ๓ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ก่อนที่ที่ดินจะตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยมีเจ้าของกรรมสิทธิ์มาก่อนแล้วหลายคน หากเป็นที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรมที่ดินก็ควรจะปฏิเสธการจดทะเบียนซื้อขายให้กับจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดชลบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นรัฐยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชนเกี่ยวกับเรื่องสิทธิในที่ดิน ซึ่งการพิจารณาสิทธิในที่ดินพิพาทต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ และประมวลกฎหมายที่ดิน ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้หรือไม่ นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเป็นของผู้ถูกฟ้องคดี จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองระยองพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาคำฟ้องและเหตุแห่งการฟ้องคดีประกอบกับคำขอของผู้ฟ้องคดีแล้วเห็นได้ว่า แม้ว่าโจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเอกชนและมีประเด็นข้อเท็จจริงที่ต้องวินิจฉัยด้วยว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครองผู้มีอำนาจหน้าที่ในการปกครอง ดูแลและบำรุงรักษาที่ราชพัสดุ ตามที่กฎหมายให้อำนาจและกำหนดหน้าที่ไว้เป็นการเฉพาะตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ และกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๕ การฟ้องคดีนี้จึงไม่ได้เป็นข้อพิพาทในลักษณะเดียวกับคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างเอกชนกับเอกชน เพราะโจทก์มิได้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเหมือนกรณีการถือกรรมสิทธิ์ของเอกชนทั่วไป แต่เป็นการฟ้องคดีในฐานะที่โจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนรัฐ และมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นการฟ้องคดีเพื่อแสดงสถานะ หรือความมีอยู่ของที่สาธารณประโยชน์ และการที่โจทก์ฟ้องโดยกล่าวหาว่า จำเลยบุกรุกเข้าครอบครองที่ดินบริเวณสนามยิงเป้าที่กรมธนารักษ์ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุซึ่งใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ และได้มีการดำเนินการออกโฉนดที่ดินในบริเวณดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการฟ้องว่า การออกโฉนดที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อผู้ที่มีอำนาจในการออกโฉนดที่ดิน หรือการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน ได้แก่ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดินสาขา หรือเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมาย ตามมาตรา ๕๗ หรือตามบทบัญญัติอื่นในประมวลกฎหมายที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง อันเป็นการใช้อำนาจทางปกครองเพื่อออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินซึ่งมีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของบุคคลอันเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นข้อพิพาทที่มีมูลเหตุมาจากการใช้อำนาจทางปกครองของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยมีประเด็นแห่งคดีที่ศาลต้องวินิจฉัยว่า การที่เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๔๑๓ ให้แก่นางประยูรวดีเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดิน และให้จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) ประกอบกับมาตรา ๗๑ (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และการที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า กรมที่ดินออกโฉนดที่ดินพิพาททับที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งเป็นการฟ้องว่า การออกโฉนดที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีคำขอโดยชัดแจ้งว่าขอให้ศาลเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นการแก้ไขเยียวยาความเสียหายของโจทก์ และขอให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท กรมที่ดินจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนี้ ซึ่งอาจเข้ามาเป็นคู่กรณีด้วยการร้องสอด ฉะนั้น เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จึงเป็นการโต้แย้งว่า กรมที่ดินหรือเจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินพิพาทไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์จะมิได้ยื่นฟ้องกรมที่ดินหรือเจ้าพนักงานที่ดินเป็นจำเลยในคดีนี้ ศาลปกครองก็มีอำนาจเรียกกรมที่ดินหรือเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเป็นคู่กรณีด้วยการร้องสอดได้ ตามนัยมาตรา ๓ และมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบข้อ ๗๘ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ และมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง (๓) (ข) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง นอกจากนั้น บทบัญญัติมาตรา ๗๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอกในหลายกรณี เช่น มาตรา ๗๑ (๑) ในกรณีคำพิพากษาให้บุคคลใดออกไปจากสถานที่ใดให้ใช้บังคับตลอดถึงบริวารของผู้นั้นที่อยู่ในสถานที่นั้นด้วย เว้นแต่ผู้นั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิพิเศษอื่น และมาตรา ๗๑ (๔) กรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่เกี่ยวกับสิทธิและทรัพย์สินใด ๆ คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาขับไล่บุคคลได้ รวมถึงวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินโดยนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ได้ ประกอบกับไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดได้บัญญัติให้อำนาจแก่ศาลยุติธรรมที่จะเพิกถอนคำสั่งทางปกครองทั้งหมดหรือบางส่วนเหมือนดังเช่นที่บัญญัติให้อำนาจศาลปกครองกำหนดคำบังคับเป็นการเฉพาะไว้ในมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน สำหรับประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตามโฉนดที่ดินพิพาท นั้น เป็นประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดีหลังจากที่ศาลมีคำสั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณาแล้ว และเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่ศาลจะพิจารณาว่า การออกโฉนดที่ดินอันเป็นคำสั่งทางปกครองเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เท่านั้น และประเด็นปัญหาอื่นที่จะต้องพิจารณาว่า การออกโฉนดที่ดินเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็เป็นประเด็นที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง ดังนั้นคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์จะเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่ตามคำฟ้องคดีนี้โจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินสนามยิงเป้าโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๕ ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ ๓๔๘ ไร่ ๑ งาน ๓๙ ตารางวา อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นที่ราชพัสดุใช้ในราชการกองทัพเรือ ตามทะเบียนราชพัสดุหมายเลข ชบ. ๔๖๕ แต่ถูกนางประยูรวดีบุกรุกเข้าครอบครองและเมื่อปี ๒๔๘๘ กรมที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ ให้แก่นางประยูรวดี ทับที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าว จำเลยเป็นผู้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๑๓ ที่แยกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ และเข้าครอบครองก่อสร้างบ้าน สิ่งปลูกสร้างลงในที่ดินที่รับโอนมาซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์แจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สิน บริวาร และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่งมีเนื้อที่ ๒ งาน ๒๘ ตารางวา ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๔๑๓ และให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากที่ดินของโจทก์ หากไม่ยินยอมขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการ และห้ามจำเลยและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ กับให้ชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนจำเลยให้การว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๑๓ ได้ออกโฉนดตั้งแต่ปี ๒๔๘๘ ก่อนมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ผู้มีสิทธิในที่ดินย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา ๓ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ก่อนที่ที่ดินจะตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยมีเจ้าของกรรมสิทธิ์มาก่อนแล้วหลายคน หากเป็นที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรมที่ดินก็ควรจะปฏิเสธการจดทะเบียนซื้อขายให้กับจำเลย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนี้ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างกระทรวงการคลัง โจทก์ นายสิริชัย บุญนุช จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๘/๒๕๕๔
วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแรงงานกลาง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแรงงานกลางโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ นางพรรณี ปริวัตรนานนท์ ที่ ๑ กับพวกรวม ๙๒๐ คน โจทก์ ยื่นฟ้องสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา จำเลย ต่อศาลแรงงานกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๙๐, ๑๕๙๙ - ๑๘๑๔, ๒๐๒๗ - ๒๔๘๑, ๒๘๒๘ - ๒๘๕๘, ๔๐๓๒ - ๔๑๔๓, ๔๒๑๔ - ๔๒๓๒, ๔๓๙๖ - ๔๓๙๙, ๔๔๙๐ - ๔๕๗๑/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบเป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลยเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งเดิมองค์การจัดหาผลประโยชน์ของจำเลยคือองค์การค้าของคุรุสภา ซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเดิมเป็นองค์การจัดหาผลประโยชน์ของคุรุสภาตามพระราชบัญญัติครู พ.ศ. ๒๔๘๘ ต่อมาเมื่อมีการตราพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ จึงมีการโอนบรรดากิจการ เงิน ทรัพย์สิน หนี้ สิทธิต่าง ๆ ขององค์การค้าของคุรุสภาไปเป็นของจำเลย ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติให้ปรับอัตราค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๓ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ให้ปรับในอัตราค่าจ้างร้อยละสามเท่ากันทุกอัตรา และให้ได้รับค่าจ้างสูงกว่าอัตราที่เพิ่มร้อยละสามตามอัตราจ้างใหม่อีก ๒ ขั้น ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗ เป็นต้นไป ครั้งที่สองเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๙ ให้ปรับในอัตราค่าจ้างร้อยละห้าของอัตราค่าจ้างที่ได้รับ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๘ เป็นต้นไป และครั้งที่สามเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๐ ให้ปรับในอัตราค่าจ้างร้อยละสี่ของอัตราค่าจ้างที่ได้รับ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ เป็นต้นไป จำเลยจึงต้องปรับเงินเดือนขึ้นให้แก่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบจำนวน ๓ ครั้ง แต่จำเลยกลับไม่ดำเนินการปรับเงินเดือนขึ้นให้แก่โจทก์บางราย และปรับเงินเดือนขึ้นให้แก่โจทก์บางรายเพียงครึ่งขั้น ทำให้โจทก์บางรายไม่ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือน และในบางรายได้รับการขึ้นเงินเดือนไม่ครบถ้วน อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๒๕ ข้อ ๑๗ เรื่องการพิจารณาความดีความชอบประจำปี ซึ่งจำเลยได้ปฏิบัติมาตลอด ขอให้บังคับจำเลยปรับขึ้นเงินเดือนให้แก่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบตามมติคณะรัฐมนตรีและให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับจากวันเกิดสิทธิเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้น
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลในกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ จึงเป็นหน่วยงานของรัฐและเป็นส่วนราชการตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๒ และเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๒๕ ข้อ ๑๗ ที่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบฟ้องขอให้จำเลยปฏิบัติตามถือไม่ได้ว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เนื่องจากมีข้อความไม่ครบถ้วนตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ และเป็นการบันทึกระหว่างสหภาพแรงงานองค์การค้าของคุรุสภากับองค์การคุรุสภาซึ่งเป็นการทำบันทึกข้อตกลงก่อนที่พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ มีผลใช้บังคับให้มีการจัดตั้งหน่วยงานองค์การค้าของจำเลยขึ้น การปรับเปลี่ยนสภาพการจ้างที่ออกคำสั่งให้เปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างเป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๖๓ (๕) และมาตรา ๙๐ และระเบียบคุรุสภาว่าด้วยการบริหารองค์การค้าของคุรุสภา ข้อ ๘ จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานของรัฐทำสัญญากับลูกจ้างของรัฐ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงเป็นสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และมีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้บริการสาธารณะในด้านการศึกษา ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา สื่อการเรียนการสอนด้านการศึกษา และเรื่องอื่นที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษาแก่สถานศึกษาทั้งองค์กรของรัฐหรือภาคเอกชนและบุคคลทั่วไป จึงถือว่าองค์การค้าของจำเลยดำเนินกิจการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภารกิจในการจัดจ้างบริการสาธารณะด้านการจัดการศึกษาของจำเลย จึงเป็นสัญญาทางปกครอง เมื่อมีข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญาจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
นอกจากนี้ จำเลยให้การว่า จำเลยได้ออกข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่าด้วยการบริหารสำนักงาน พ.ศ. ๒๕๔๗ และข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่าด้วยการบริหารสำนักงาน พ.ศ. ๒๕๕๑ และข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่าด้วยการบริหารงานองค์การค้าของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๙ และฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้แบ่งแยกพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยออกเป็น ๒ ประเภท โดยข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่าด้วยการบริหารสำนักงาน พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดให้ พนักงานเจ้าหน้าที่หมายความว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา แต่ไม่รวมถึงพนักงานเจ้าหน้าที่ขององค์การค้าของจำเลย จึงเกิดข้อโต้แย้งหรือพิพาทระหว่างลูกจ้างขององค์การของจำเลยกับจำเลยในประเด็นที่ว่า ข้อบังคับฯ ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวศาลปกครองกลางได้รับคำฟ้องไว้พิจารณาแล้ว เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๙๖๖/๒๕๕๐ และถ้าศาลปกครองกลางฟังว่า ข้อบังคับฯ ดังกล่าวขัดต่อกฎหมายย่อมส่งผลต่อการใช้ดุลพินิจของจำเลยในคดีนี้โดยตรง ประเด็นทั้งสองนี้มีความเกี่ยวพันกันโดยตรง จึงเห็นได้ว่าข้อบังคับฯ ดังกล่าวออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๖๓ (๖) แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ ที่กำหนดให้ คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษามีอำนาจและหน้าที่ออกข้อบังคับและหลักเกณฑ์ในการดำเนินกิจการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา และมาตรา ๘๓ วรรคท้าย กำหนดว่า ให้มีการปรับปรุงการบริหารจัดการองค์การค้าของคุรุสภาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและมีประสิทธิภาพสามารถแข่งขันอย่างเสรีได้ แสดงให้เห็นว่าลูกจ้างของจำเลยทั้งสองหน่วยงานหาได้อยู่ภายใต้ข้อบังคับเดียวกันไม่ การที่จำเลยไม่ปรับเงินเดือนค่าจ้างให้โจทก์ทั้งหมดตามคำฟ้องโดยมีเหตุผลมาจากการมีผลประกอบการที่ขาดทุน แต่จำเลยได้ปรับเงินเดือนค่าจ้างให้แก่พนักงานของจำเลยอื่นที่ไม่ใช่พนักงานลูกจ้างขององค์การค้าของจำเลย เห็นได้ชัดว่ามีกรณีข้อพิพาทโต้แย้งขึ้นเกี่ยวกับการที่จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมหรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ ซึ่งถือว่าเป็นกรณีพิพาทเรื่องเดียวกันกับเรื่องที่ศาลปกครองได้รับพิจารณาไว้แล้ว ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ จะปรากฏว่าจำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการและส่วนหนึ่งของรายได้ที่จำเลยได้รับมาจากเงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน แต่มูลเหตุแห่งการพิพาทคดีนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์อันเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานที่โจทก์ในฐานะลูกจ้างเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติในฐานะที่เป็นนายจ้าง จึงมีลักษณะเป็นการจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเป็นการเรียกร้องให้จำเลยจัดสภาพการจ้างให้สอดคล้องกับมติของคณะรัฐมนตรี จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๒) คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ รายได้ที่ได้รับส่วนหนึ่งเป็นเงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน จึงเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินงานด้านสวัสดิการ สวัสดิภาพ สิทธิประโยชน์เกื้อกูลอื่น และความมั่นคงของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ อันถือเป็นหน้าที่เกี่ยวกับการบริการสาธารณะในด้านการศึกษา ส่วนโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบเป็นลูกจ้างของจำเลย มีหน้าที่ปฏิบัติงานตามภารกิจของจำเลยในด้านการจัดหาผลประโยชน์ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบกับจำเลย เป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและมีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงานทั่วไป หากมีคดีและข้อพิพาทโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับการจ้างงานถือเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่จากข้อเท็จจริงในคดีนี้โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบคนฟ้องว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ปรับอัตราค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างของรัฐรวม ๓ ครั้ง ในอัตราร้อยละสาม ร้อยละห้าและร้อยละสี่ตามลำดับเพื่อความเป็นธรรม เนื่องจากได้มีการปรับอัตราเงินเดือนให้แก่ข้าราชการไปแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม โดยไม่ปรับค่าจ้างให้แก่โจทก์บางราย และปรับค่าจ้างให้แก่โจทก์บางรายเพียงครึ่งขั้น ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยปรับค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบคนตามมติคณะรัฐมนตรีเต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ยซึ่งคณะรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการบริหารราชการแผ่นดิน และการกำหนดนโยบายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในสังกัดและในกำกับถือปฏิบัติ จำเลยเป็นหน่วยงานของรัฐในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี การที่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบคนฟ้องว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีจึงเป็นการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ส่วนที่ฟ้องเรียกดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันเกิดสิทธิตามมติคณะรัฐมนตรีเป็นการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิด จึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และไม่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ตามมาตรา ๘ (๑) และ (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือ
ศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบฟ้องว่า จำเลยไม่ดำเนินการปรับเงินเดือนขึ้นให้แก่โจทก์บางราย และในบางรายได้รับการขึ้นเงินเดือนไม่ครบถ้วนตามมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ปรับอัตราค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๓ ครั้ง อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๒๕ ข้อ ๑๗ เรื่องการพิจารณาความดีความชอบประจำปี ซึ่งจะต้องพิจารณาโดยถือหลักเกณฑ์การพิจารณาตามมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดไว้ในขณะนั้นๆ ขอให้บังคับจำเลยปรับขึ้นเงินเดือนให้แก่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบตามมติคณะรัฐมนตรีพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยให้การทำนองว่า โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบไม่ใช่พนักงานลูกจ้างประเภทที่จะได้รับการปรับค่าจ้าง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเกี่ยวกับสัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบกับจำเลย ซึ่งจำต้องพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ เห็นว่า แต่เดิมโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบทำสัญญาเป็นลูกจ้างขององค์การค้าของคุรุสภา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการหาประโยชน์ให้แก่คุรุสภาและอำนวยความสะดวกให้แก่การศึกษา โดยผลิต จำหน่ายและพัฒนาหนังสือ สื่อการเรียนการสอน รับจ้างพิมพ์งานทั่วไปและข้อสอบ โดยไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลหรือหน่วยงานใด และสามารถบริหารกิจการจนมีกำไร ต่อมาองค์การค้าของคุรุสภานายจ้างของโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบได้โอนไปอยู่ในสังกัดของจำเลยตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ แต่ก็ยังคงมีวัตถุประสงค์และภารกิจเช่นเดิม ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การดำเนินกิจการขององค์การค้าของคุรุสภาดำเนินกิจการเช่นเดียวกันกับเอกชนที่ผลิต จำหน่าย และพัฒนาหนังสือ สื่อการเรียนการสอน ซึ่งเป็นการประกอบกิจการเชิงพาณิชยกรรมจนมีกำไร สามารถนำไปจัดสรรให้กับองค์การคุรุสภาได้ นอกจากนี้องค์การค้าของคุรุสภาก็มีการจัดตั้งสหภาพแรงงานและเคยมีการยื่นข้อเรียกร้องต่อกันจนมีการทำบันทึกข้อตกลงกัน และเมื่อพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ มิได้บัญญัติยกเว้นการนำพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาบังคับใช้กับกิจการของจำเลย ทั้งบทบัญญัติตามกฎหมายดังกล่าวก็มิได้บัญญัติยกเว้นมิให้นำมาใช้บังคับกับหน่วยงานอื่นใดของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะในลักษณะของจำเลยด้วยแล้ว จำเลยจึงอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายดังกล่าว รวมทั้งโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบด้วย ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบและจำเลยจึงมีลักษณะเป็นนายจ้างลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๒) คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางพรรณี ปริวัตรนานนท์ ที่ ๑ กับพวกรวม ๙๒๐ คน โจทก์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา จำเลยอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๘/๒๕๕๔
วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแรงงานกลาง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแรงงานกลางโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ นางพรรณี ปริวัตรนานนท์ ที่ ๑ กับพวกรวม ๙๒๐ คน โจทก์ ยื่นฟ้องสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา จำเลย ต่อศาลแรงงานกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๙๐, ๑๕๙๙ - ๑๘๑๔, ๒๐๒๗ - ๒๔๘๑, ๒๘๒๘ - ๒๘๕๘, ๔๐๓๒ - ๔๑๔๓, ๔๒๑๔ - ๔๒๓๒, ๔๓๙๖ - ๔๓๙๙, ๔๔๙๐ - ๔๕๗๑/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบเป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลยเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งเดิมองค์การจัดหาผลประโยชน์ของจำเลยคือองค์การค้าของคุรุสภา ซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเดิมเป็นองค์การจัดหาผลประโยชน์ของคุรุสภาตามพระราชบัญญัติครู พ.ศ. ๒๔๘๘ ต่อมาเมื่อมีการตราพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ จึงมีการโอนบรรดากิจการ เงิน ทรัพย์สิน หนี้ สิทธิต่าง ๆ ขององค์การค้าของคุรุสภาไปเป็นของจำเลย ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติให้ปรับอัตราค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๓ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ให้ปรับในอัตราค่าจ้างร้อยละสามเท่ากันทุกอัตรา และให้ได้รับค่าจ้างสูงกว่าอัตราที่เพิ่มร้อยละสามตามอัตราจ้างใหม่อีก ๒ ขั้น ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗ เป็นต้นไป ครั้งที่สองเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๙ ให้ปรับในอัตราค่าจ้างร้อยละห้าของอัตราค่าจ้างที่ได้รับ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๘ เป็นต้นไป และครั้งที่สามเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๐ ให้ปรับในอัตราค่าจ้างร้อยละสี่ของอัตราค่าจ้างที่ได้รับ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ เป็นต้นไป จำเลยจึงต้องปรับเงินเดือนขึ้นให้แก่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบจำนวน ๓ ครั้ง แต่จำเลยกลับไม่ดำเนินการปรับเงินเดือนขึ้นให้แก่โจทก์บางราย และปรับเงินเดือนขึ้นให้แก่โจทก์บางรายเพียงครึ่งขั้น ทำให้โจทก์บางรายไม่ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือน และในบางรายได้รับการขึ้นเงินเดือนไม่ครบถ้วน อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๒๕ ข้อ ๑๗ เรื่องการพิจารณาความดีความชอบประจำปี ซึ่งจำเลยได้ปฏิบัติมาตลอด ขอให้บังคับจำเลยปรับขึ้นเงินเดือนให้แก่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบตามมติคณะรัฐมนตรีและให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับจากวันเกิดสิทธิเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้น
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลในกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ จึงเป็นหน่วยงานของรัฐและเป็นส่วนราชการตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๒ และเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๒๕ ข้อ ๑๗ ที่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบฟ้องขอให้จำเลยปฏิบัติตามถือไม่ได้ว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เนื่องจากมีข้อความไม่ครบถ้วนตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ และเป็นการบันทึกระหว่างสหภาพแรงงานองค์การค้าของคุรุสภากับองค์การคุรุสภาซึ่งเป็นการทำบันทึกข้อตกลงก่อนที่พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ มีผลใช้บังคับให้มีการจัดตั้งหน่วยงานองค์การค้าของจำเลยขึ้น การปรับเปลี่ยนสภาพการจ้างที่ออกคำสั่งให้เปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างเป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๖๓ (๕) และมาตรา ๙๐ และระเบียบคุรุสภาว่าด้วยการบริหารองค์การค้าของคุรุสภา ข้อ ๘ จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานของรัฐทำสัญญากับลูกจ้างของรัฐ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงเป็นสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และมีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้บริการสาธารณะในด้านการศึกษา ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา สื่อการเรียนการสอนด้านการศึกษา และเรื่องอื่นที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษาแก่สถานศึกษาทั้งองค์กรของรัฐหรือภาคเอกชนและบุคคลทั่วไป จึงถือว่าองค์การค้าของจำเลยดำเนินกิจการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภารกิจในการจัดจ้างบริการสาธารณะด้านการจัดการศึกษาของจำเลย จึงเป็นสัญญาทางปกครอง เมื่อมีข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญาจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
นอกจากนี้ จำเลยให้การว่า จำเลยได้ออกข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่าด้วยการบริหารสำนักงาน พ.ศ. ๒๕๔๗ และข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่าด้วยการบริหารสำนักงาน พ.ศ. ๒๕๕๑ และข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่าด้วยการบริหารงานองค์การค้าของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๙ และฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้แบ่งแยกพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยออกเป็น ๒ ประเภท โดยข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่าด้วยการบริหารสำนักงาน พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดให้ พนักงานเจ้าหน้าที่หมายความว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา แต่ไม่รวมถึงพนักงานเจ้าหน้าที่ขององค์การค้าของจำเลย จึงเกิดข้อโต้แย้งหรือพิพาทระหว่างลูกจ้างขององค์การของจำเลยกับจำเลยในประเด็นที่ว่า ข้อบังคับฯ ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวศาลปกครองกลางได้รับคำฟ้องไว้พิจารณาแล้ว เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๙๖๖/๒๕๕๐ และถ้าศาลปกครองกลางฟังว่า ข้อบังคับฯ ดังกล่าวขัดต่อกฎหมายย่อมส่งผลต่อการใช้ดุลพินิจของจำเลยในคดีนี้โดยตรง ประเด็นทั้งสองนี้มีความเกี่ยวพันกันโดยตรง จึงเห็นได้ว่าข้อบังคับฯ ดังกล่าวออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๖๓ (๖) แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ ที่กำหนดให้ คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษามีอำนาจและหน้าที่ออกข้อบังคับและหลักเกณฑ์ในการดำเนินกิจการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา และมาตรา ๘๓ วรรคท้าย กำหนดว่า ให้มีการปรับปรุงการบริหารจัดการองค์การค้าของคุรุสภาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและมีประสิทธิภาพสามารถแข่งขันอย่างเสรีได้ แสดงให้เห็นว่าลูกจ้างของจำเลยทั้งสองหน่วยงานหาได้อยู่ภายใต้ข้อบังคับเดียวกันไม่ การที่จำเลยไม่ปรับเงินเดือนค่าจ้างให้โจทก์ทั้งหมดตามคำฟ้องโดยมีเหตุผลมาจากการมีผลประกอบการที่ขาดทุน แต่จำเลยได้ปรับเงินเดือนค่าจ้างให้แก่พนักงานของจำเลยอื่นที่ไม่ใช่พนักงานลูกจ้างขององค์การค้าของจำเลย เห็นได้ชัดว่ามีกรณีข้อพิพาทโต้แย้งขึ้นเกี่ยวกับการที่จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมหรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ ซึ่งถือว่าเป็นกรณีพิพาทเรื่องเดียวกันกับเรื่องที่ศาลปกครองได้รับพิจารณาไว้แล้ว ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ จะปรากฏว่าจำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการและส่วนหนึ่งของรายได้ที่จำเลยได้รับมาจากเงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน แต่มูลเหตุแห่งการพิพาทคดีนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์อันเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานที่โจทก์ในฐานะลูกจ้างเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติในฐานะที่เป็นนายจ้าง จึงมีลักษณะเป็นการจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเป็นการเรียกร้องให้จำเลยจัดสภาพการจ้างให้สอดคล้องกับมติของคณะรัฐมนตรี จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๒) คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ รายได้ที่ได้รับส่วนหนึ่งเป็นเงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน จึงเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ และเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินงานด้านสวัสดิการ สวัสดิภาพ สิทธิประโยชน์เกื้อกูลอื่น และความมั่นคงของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ อันถือเป็นหน้าที่เกี่ยวกับการบริการสาธารณะในด้านการศึกษา ส่วนโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบเป็นลูกจ้างของจำเลย มีหน้าที่ปฏิบัติงานตามภารกิจของจำเลยในด้านการจัดหาผลประโยชน์ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบกับจำเลย เป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและมีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงานทั่วไป หากมีคดีและข้อพิพาทโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับการจ้างงานถือเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่จากข้อเท็จจริงในคดีนี้โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบคนฟ้องว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ปรับอัตราค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างของรัฐรวม ๓ ครั้ง ในอัตราร้อยละสาม ร้อยละห้าและร้อยละสี่ตามลำดับเพื่อความเป็นธรรม เนื่องจากได้มีการปรับอัตราเงินเดือนให้แก่ข้าราชการไปแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม โดยไม่ปรับค่าจ้างให้แก่โจทก์บางราย และปรับค่าจ้างให้แก่โจทก์บางรายเพียงครึ่งขั้น ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยปรับค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบคนตามมติคณะรัฐมนตรีเต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ยซึ่งคณะรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการบริหารราชการแผ่นดิน และการกำหนดนโยบายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในสังกัดและในกำกับถือปฏิบัติ จำเลยเป็นหน่วยงานของรัฐในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี การที่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบคนฟ้องว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีจึงเป็นการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ส่วนที่ฟ้องเรียกดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันเกิดสิทธิตามมติคณะรัฐมนตรีเป็นการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิด จึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และไม่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ตามมาตรา ๘ (๑) และ (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือ
ศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบฟ้องว่า จำเลยไม่ดำเนินการปรับเงินเดือนขึ้นให้แก่โจทก์บางราย และในบางรายได้รับการขึ้นเงินเดือนไม่ครบถ้วนตามมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ปรับอัตราค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๓ ครั้ง อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๒๕ ข้อ ๑๗ เรื่องการพิจารณาความดีความชอบประจำปี ซึ่งจะต้องพิจารณาโดยถือหลักเกณฑ์การพิจารณาตามมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดไว้ในขณะนั้นๆ ขอให้บังคับจำเลยปรับขึ้นเงินเดือนให้แก่โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบตามมติคณะรัฐมนตรีพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยให้การทำนองว่า โจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบไม่ใช่พนักงานลูกจ้างประเภทที่จะได้รับการปรับค่าจ้าง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเกี่ยวกับสัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบกับจำเลย ซึ่งจำต้องพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ เห็นว่า แต่เดิมโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบทำสัญญาเป็นลูกจ้างขององค์การค้าของคุรุสภา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการหาประโยชน์ให้แก่คุรุสภาและอำนวยความสะดวกให้แก่การศึกษา โดยผลิต จำหน่ายและพัฒนาหนังสือ สื่อการเรียนการสอน รับจ้างพิมพ์งานทั่วไปและข้อสอบ โดยไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลหรือหน่วยงานใด และสามารถบริหารกิจการจนมีกำไร ต่อมาองค์การค้าของคุรุสภานายจ้างของโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบได้โอนไปอยู่ในสังกัดของจำเลยตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ แต่ก็ยังคงมีวัตถุประสงค์และภารกิจเช่นเดิม ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การดำเนินกิจการขององค์การค้าของคุรุสภาดำเนินกิจการเช่นเดียวกันกับเอกชนที่ผลิต จำหน่าย และพัฒนาหนังสือ สื่อการเรียนการสอน ซึ่งเป็นการประกอบกิจการเชิงพาณิชยกรรมจนมีกำไร สามารถนำไปจัดสรรให้กับองค์การคุรุสภาได้ นอกจากนี้องค์การค้าของคุรุสภาก็มีการจัดตั้งสหภาพแรงงานและเคยมีการยื่นข้อเรียกร้องต่อกันจนมีการทำบันทึกข้อตกลงกัน และเมื่อพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ มิได้บัญญัติยกเว้นการนำพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาบังคับใช้กับกิจการของจำเลย ทั้งบทบัญญัติตามกฎหมายดังกล่าวก็มิได้บัญญัติยกเว้นมิให้นำมาใช้บังคับกับหน่วยงานอื่นใดของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะในลักษณะของจำเลยด้วยแล้ว จำเลยจึงอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายดังกล่าว รวมทั้งโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบด้วย ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ทั้งเก้าร้อยยี่สิบและจำเลยจึงมีลักษณะเป็นนายจ้างลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) และ (๒) คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางพรรณี ปริวัตรนานนท์ ที่ ๑ กับพวกรวม ๙๒๐ คน โจทก์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา จำเลยอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๗/๒๕๕๔
วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดนางรอง
ระหว่าง
ศาลปกครองนครราชสีมา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนางรองโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ นายจง มาดาโต ที่ ๑ นายวีรพงษ์ มาดาโต ที่ ๒ นายประภาส มาดาโต ที่ ๓ นางจันทร์เพ็ญ รัตนนท์ ที่ ๔ โจทก์ ยื่นฟ้องนายคำจันทร์ อนันมา จำเลย ต่อศาลจังหวัดนางรอง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๒๘/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์ทั้งสี่ครอบครองและทำประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) เลขที่ ๒๐๘๓ ตำบลห้วยหิน อำเภอหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ เนื้อที่ ๒๘ ไร่ ๑ งาน ๒๑ ตารางวา ซึ่งเดิมเป็นของนางผม อนันมา ภรรยาของโจทก์ที่ ๑ และมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๔ โจทก์ทั้งสี่และนางผมร่วมกันทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๑ นางผมถึงแก่ความตายโจทก์ทั้งสี่ยังคงร่วมกันทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวตลอดมา เมื่อปี ๒๕๔๘ จำเลยซึ่งเป็นพี่ชายของนางผม ได้ขอทำนาในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ทางด้านทิศตะวันออกเป็นเนื้อที่ประมาณ ๑๔ ไร่ จนกระทั่งปี ๒๕๕๑ จำเลยเปลี่ยนจากทำนาเป็นทำไร่อ้อย ซึ่งต่อมาปลายปี ๒๕๕๑ โจทก์ทั้งสี่ไม่ประสงค์ให้จำเลยทำไร่อ้อยจึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนอ้อยและออกจากที่ดิน แต่จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสี่โดยอ้างว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นมรดกของบิดามารดาจำเลย อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ปีละ ๕๐,๐๐๐ บาท นับแต่ปี ๒๕๕๑ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินผู้มีสิทธิทำกิน ไม่ได้เป็นผู้ครอบครองหรือร่วมกันทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทและไม่มีคุณสมบัติตามกฎหมายที่จะได้รับสิทธิในที่ดินจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ที่โจทก์กล่าวอ้างกับที่ดินที่จำเลยครอบครองทำประโยชน์มิใช่แปลงเดียวกัน อีกทั้งไม่ได้อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ข้อกล่าวอ้างของโจทก์ทั้งสี่เป็นความเท็จ จำเลยซื้อสิทธิการครอบครองในที่ดินมาจากนางเบ็ญจวรรณ สุธีมีชัยกุล โดยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวตั้งแต่ปี ๒๕๑๒ จนถึงปัจจุบัน เนื้อที่ ๗๑ ไร่ ๒ งาน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ทะเบียนเล่ม ๑๑ หน้า ๑๗๑ สารบบเล่ม หมู่ที่ ๑๔ หน้า ๔๒ ตำบลห้วยหิน (หนองกระทิง) อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งภายหลังจำเลยได้แบ่งที่ดินส่วนหนึ่งให้นางผมเข้าร่วมกันทำประโยชน์โดยเป็นการครอบครองแทนจำเลย โดยไม่เคยขายหรือถูกเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนให้แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ การที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมออกหนังสืออนุญาตให้ผู้ใดเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยตาม ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง และหากหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ที่มีชื่อนางผมทับซ้อนกับที่ดินของจำเลยตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) ดังกล่าว ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ดังกล่าว และห้ามมิให้โจทก์ทั้งสี่และบริวารรบกวนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลย กับให้โจทก์ทั้งสี่ชำระค่าเสียหาย
โจทก์ทั้งสี่ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท เนื่องจากโจทก์ที่ ๑ เป็นคู่สมรสของนางผม และโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๔ เป็นบุตรของนางผมจึงเป็นทายาทโดยธรรมของนางผมและมีสิทธิที่จะเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท การออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) เป็นการออกโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ได้ ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลมีคำสั่งให้นายอำเภอหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ รังวัดสอบเขตว่า ที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) เลขที่ ๒๐๘๓ อยู่ในเขตที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก) เลขที่ ๔๒ หรือไม่ ผลการรังวัดสอบเขตปรากฏว่า ที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ดังกล่าวอยู่ในเขตที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลย ศาลจึงมีคำสั่งเรียกสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเข้ามาเป็นจำเลยร่วม
จำเลยร่วมยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ตามคำร้องของจำเลยนั้นเป็นการโต้แย้งว่า จำเลยร่วมได้พิจารณาและมีมติอนุญาตให้นางผม เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน ถือเป็นการโต้แย้งคำสั่งในทางปกครองอันอยู่ในอำนาจพิจารณาและพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนางรองพิจารณาแล้วเห็นว่า จากการรังวัดสอบเขตได้ความว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้เข้าทำประโยชน์อยู่ก่อนแล้ว ต่อมาจำเลยร่วมออกหนังสืออนุญาตให้นางผมเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินทับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวบางส่วน จำเลยขอให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินดังกล่าว การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอได้นั้น จึงต้องพิจารณาให้ได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของโจทก์ทั้งสี่หรือจำเลย อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง การออกเอกสาร ส.ป.ก. ๔-๐๑ เป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำเลยร่วมมีฐานะเป็นกรม ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ และมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน จำเลยร่วมจึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แม้คดีนี้จะเป็นกรณีที่เอกชนฟ้องเอกชน แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่จำเลยร่วมออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ ให้แก่นางผม ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและศาลได้มีคำสั่งเรียกสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเข้ามาเป็นจำเลยร่วม มีผลทำให้คดีนี้เป็นคดีพิพาทกันระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชนอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองในการออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ อันเป็นคำสั่งทางปกครอง ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
สำหรับประเด็นปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์นั้น เป็นประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดีอันเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะพิจารณาว่าการดำเนินการออก ส.ป.ก ๔-๐๑ ให้แก่นางผมเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่พิพาทหรือไม่จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวมิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ ดังนั้นคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน โดยอ้างว่า โจทก์ทั้งสี่ครอบครองและทำประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) เลขที่ ๒๐๘๓ ตำบลห้วยหิน อำเภอหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ เนื้อที่ ๒๘ ไร่ ๑ งาน ๒๑ ตารางวา เมื่อปี ๒๕๔๘ จำเลยขอใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่เป็นเนื้อที่ประมาณ ๑๔ ไร่ ต่อมาโจทก์ทั้งสี่ไม่ประสงค์ให้จำเลยใช้ประโยชน์ในที่ดินจึงบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ แต่จำเลยไม่ยินยอม ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ ส่วนจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน ไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์และไม่มีคุณสมบัติตามกฎหมายที่จะได้รับสิทธิในที่ดินจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ที่โจทก์กล่าวอ้างกับที่ดินที่จำเลยครอบครองทำประโยชน์มิใช่แปลงเดียวกันและไม่ได้อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ข้อกล่าวอ้างของโจทก์ทั้งสี่เป็นความเท็จ จำเลยซื้อสิทธิการครอบครองในที่ดินมาจากผู้มีชื่อ โดยมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) โดยไม่เคยขายหรือถูกเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนให้แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ การที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมออกหนังสืออนุญาตให้ผู้ใดเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง หากหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) แปลงที่โจทก์ทั้งสี่กล่าวอ้างทับซ้อนกับที่ดินของจำเลยตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) ดังกล่าว ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ดังกล่าว และห้ามมิให้โจทก์ทั้งสี่และบริวารรบกวนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลย กับให้โจทก์ทั้งสี่ชำระค่าเสียหาย โจทก์ทั้งสี่ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท การออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) เป็นการออกโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ได้ ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ซึ่งต่อมาศาลจังหวัดนางรองมีคำสั่งเรียกสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ดังนั้น กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่และจำเลยต่างมีความมุ่งหมายในการฟ้องคดีเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองและคุ้มครองสิทธิในที่ดิน แม้จำเลยจะกล่าวอ้างว่าได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยร่วมออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (สปก. ๔-๐๑ ข) โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (สปก. ๔-๐๑ ข) ดังกล่าว แต่เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีกรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (สปก. ๔-๐๑ ข.) ทับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ของจำเลย ประกอบกับโจทก์ทั้งสี่และจำเลยยังโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสี่ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายจง มาดาโต ที่ ๑ นายวีรพงษ์ มาดาโต ที่ ๒ นายประภาส มาดาโต ที่ ๓ นางจันทร์เพ็ญ รัตนนท์ ที่ ๔ โจทก์ นายคำจันทร์ อนันมา จำเลย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำเลยร่วม อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๗/๒๕๕๔
วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดนางรอง
ระหว่าง
ศาลปกครองนครราชสีมา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนางรองโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ นายจง มาดาโต ที่ ๑ นายวีรพงษ์ มาดาโต ที่ ๒ นายประภาส มาดาโต ที่ ๓ นางจันทร์เพ็ญ รัตนนท์ ที่ ๔ โจทก์ ยื่นฟ้องนายคำจันทร์ อนันมา จำเลย ต่อศาลจังหวัดนางรอง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๒๘/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์ทั้งสี่ครอบครองและทำประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) เลขที่ ๒๐๘๓ ตำบลห้วยหิน อำเภอหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ เนื้อที่ ๒๘ ไร่ ๑ งาน ๒๑ ตารางวา ซึ่งเดิมเป็นของนางผม อนันมา ภรรยาของโจทก์ที่ ๑ และมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๔ โจทก์ทั้งสี่และนางผมร่วมกันทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๑ นางผมถึงแก่ความตายโจทก์ทั้งสี่ยังคงร่วมกันทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวตลอดมา เมื่อปี ๒๕๔๘ จำเลยซึ่งเป็นพี่ชายของนางผม ได้ขอทำนาในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ทางด้านทิศตะวันออกเป็นเนื้อที่ประมาณ ๑๔ ไร่ จนกระทั่งปี ๒๕๕๑ จำเลยเปลี่ยนจากทำนาเป็นทำไร่อ้อย ซึ่งต่อมาปลายปี ๒๕๕๑ โจทก์ทั้งสี่ไม่ประสงค์ให้จำเลยทำไร่อ้อยจึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนอ้อยและออกจากที่ดิน แต่จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสี่โดยอ้างว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นมรดกของบิดามารดาจำเลย อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ปีละ ๕๐,๐๐๐ บาท นับแต่ปี ๒๕๕๑ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินผู้มีสิทธิทำกิน ไม่ได้เป็นผู้ครอบครองหรือร่วมกันทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทและไม่มีคุณสมบัติตามกฎหมายที่จะได้รับสิทธิในที่ดินจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ที่โจทก์กล่าวอ้างกับที่ดินที่จำเลยครอบครองทำประโยชน์มิใช่แปลงเดียวกัน อีกทั้งไม่ได้อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ข้อกล่าวอ้างของโจทก์ทั้งสี่เป็นความเท็จ จำเลยซื้อสิทธิการครอบครองในที่ดินมาจากนางเบ็ญจวรรณ สุธีมีชัยกุล โดยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวตั้งแต่ปี ๒๕๑๒ จนถึงปัจจุบัน เนื้อที่ ๗๑ ไร่ ๒ งาน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ทะเบียนเล่ม ๑๑ หน้า ๑๗๑ สารบบเล่ม หมู่ที่ ๑๔ หน้า ๔๒ ตำบลห้วยหิน (หนองกระทิง) อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งภายหลังจำเลยได้แบ่งที่ดินส่วนหนึ่งให้นางผมเข้าร่วมกันทำประโยชน์โดยเป็นการครอบครองแทนจำเลย โดยไม่เคยขายหรือถูกเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนให้แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ การที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมออกหนังสืออนุญาตให้ผู้ใดเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยตาม ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง และหากหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ที่มีชื่อนางผมทับซ้อนกับที่ดินของจำเลยตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) ดังกล่าว ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ดังกล่าว และห้ามมิให้โจทก์ทั้งสี่และบริวารรบกวนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลย กับให้โจทก์ทั้งสี่ชำระค่าเสียหาย
โจทก์ทั้งสี่ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท เนื่องจากโจทก์ที่ ๑ เป็นคู่สมรสของนางผม และโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๔ เป็นบุตรของนางผมจึงเป็นทายาทโดยธรรมของนางผมและมีสิทธิที่จะเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท การออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) เป็นการออกโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ได้ ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลมีคำสั่งให้นายอำเภอหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ รังวัดสอบเขตว่า ที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) เลขที่ ๒๐๘๓ อยู่ในเขตที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก) เลขที่ ๔๒ หรือไม่ ผลการรังวัดสอบเขตปรากฏว่า ที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ดังกล่าวอยู่ในเขตที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลย ศาลจึงมีคำสั่งเรียกสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเข้ามาเป็นจำเลยร่วม
จำเลยร่วมยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ตามคำร้องของจำเลยนั้นเป็นการโต้แย้งว่า จำเลยร่วมได้พิจารณาและมีมติอนุญาตให้นางผม เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน ถือเป็นการโต้แย้งคำสั่งในทางปกครองอันอยู่ในอำนาจพิจารณาและพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนางรองพิจารณาแล้วเห็นว่า จากการรังวัดสอบเขตได้ความว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้เข้าทำประโยชน์อยู่ก่อนแล้ว ต่อมาจำเลยร่วมออกหนังสืออนุญาตให้นางผมเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินทับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวบางส่วน จำเลยขอให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินดังกล่าว การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอได้นั้น จึงต้องพิจารณาให้ได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของโจทก์ทั้งสี่หรือจำเลย อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง การออกเอกสาร ส.ป.ก. ๔-๐๑ เป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำเลยร่วมมีฐานะเป็นกรม ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ และมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน จำเลยร่วมจึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แม้คดีนี้จะเป็นกรณีที่เอกชนฟ้องเอกชน แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่จำเลยร่วมออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ ให้แก่นางผม ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและศาลได้มีคำสั่งเรียกสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเข้ามาเป็นจำเลยร่วม มีผลทำให้คดีนี้เป็นคดีพิพาทกันระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชนอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองในการออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ อันเป็นคำสั่งทางปกครอง ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
สำหรับประเด็นปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์นั้น เป็นประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดีอันเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะพิจารณาว่าการดำเนินการออก ส.ป.ก ๔-๐๑ ให้แก่นางผมเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่พิพาทหรือไม่จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวมิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ ดังนั้นคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน โดยอ้างว่า โจทก์ทั้งสี่ครอบครองและทำประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) เลขที่ ๒๐๘๓ ตำบลห้วยหิน อำเภอหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ เนื้อที่ ๒๘ ไร่ ๑ งาน ๒๑ ตารางวา เมื่อปี ๒๕๔๘ จำเลยขอใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่เป็นเนื้อที่ประมาณ ๑๔ ไร่ ต่อมาโจทก์ทั้งสี่ไม่ประสงค์ให้จำเลยใช้ประโยชน์ในที่ดินจึงบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ แต่จำเลยไม่ยินยอม ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ ส่วนจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน ไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์และไม่มีคุณสมบัติตามกฎหมายที่จะได้รับสิทธิในที่ดินจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ที่โจทก์กล่าวอ้างกับที่ดินที่จำเลยครอบครองทำประโยชน์มิใช่แปลงเดียวกันและไม่ได้อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ข้อกล่าวอ้างของโจทก์ทั้งสี่เป็นความเท็จ จำเลยซื้อสิทธิการครอบครองในที่ดินมาจากผู้มีชื่อ โดยมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) โดยไม่เคยขายหรือถูกเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนให้แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ การที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมออกหนังสืออนุญาตให้ผู้ใดเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง หากหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) แปลงที่โจทก์ทั้งสี่กล่าวอ้างทับซ้อนกับที่ดินของจำเลยตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) ดังกล่าว ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ดังกล่าว และห้ามมิให้โจทก์ทั้งสี่และบริวารรบกวนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลย กับให้โจทก์ทั้งสี่ชำระค่าเสียหาย โจทก์ทั้งสี่ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท การออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) เป็นการออกโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ได้ ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ซึ่งต่อมาศาลจังหวัดนางรองมีคำสั่งเรียกสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ดังนั้น กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่และจำเลยต่างมีความมุ่งหมายในการฟ้องคดีเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองและคุ้มครองสิทธิในที่ดิน แม้จำเลยจะกล่าวอ้างว่าได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยร่วมออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (สปก. ๔-๐๑ ข) โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (สปก. ๔-๐๑ ข) ดังกล่าว แต่เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีกรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (สปก. ๔-๐๑ ข.) ทับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ของจำเลย ประกอบกับโจทก์ทั้งสี่และจำเลยยังโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสี่ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายจง มาดาโต ที่ ๑ นายวีรพงษ์ มาดาโต ที่ ๒ นายประภาส มาดาโต ที่ ๓ นางจันทร์เพ็ญ รัตนนท์ ที่ ๔ โจทก์ นายคำจันทร์ อนันมา จำเลย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำเลยร่วม อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๖/๒๕๕๔
วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์
ระหว่าง
ศาลปกครองนครราชสีมา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๒ นายแสวง ผมทำ ที่ ๑ นางหนูแดง สออนรัมย์ ที่ ๒ นางแสงจันทร์ สรวนรัมย์ ที่ ๓ นายชัยวัฒน์ เส็งนา ที่ ๔ นายชัชชาย เส็งนา ที่ ๕ โจทก์ยื่นฟ้องกระทรวงมหาดไทย ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ นายโสภณ ห่วงญาติ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๙๐๙/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์ทั้งห้าเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองในที่ดินที่ตั้งอยู่ ตำบลโคกสะอาด อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยโจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของผู้ถือสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) เลขที่ ๑๒๖ หมู่ที่ ๑๐ เนื้อที่ ๘ ไร่ ๓๔ ตารางวา โจทก์ที่ ๒ เป็นเจ้าของโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๐๓๒๖ เนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๓ งาน ๗๒ ตารางวาโจทก์ที่ ๓ เป็นเจ้าของโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๐๓๒๗ เนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๓ งาน ๗๑ ตารางวา โจทก์ที่ ๔และที่ ๕ เป็นเจ้าของผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓)เลขที่ ๘ หมู่ ๑๐ เนื้อที่ ๑๒ ไร่ ๒ งาน ซึ่งเอกสารสิทธิของโจทก์ทั้งห้าออกตามประมวลกฎหมายที่ดินโดยชอบ ต่อมานายอำเภอลำปลายมาศในขณะนั้นยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์สาขาลำปลายมาศ เจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยที่ ๒ ขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่สาธารณประโยชน์ "หนองปุ๊ก" แต่การนำรังวัดชี้แนวเขตได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ที่ ๑ เป็นเนื้อที่๖ ไร่ ๑ งาน ๘๙ ตารางวา โจทก์ที่ ๒ เป็นเนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ๙๑ ตารางวา โจทก์ที่ ๓ เป็นเนื้อที่ ๒ งาน ๗๐ ตารางวา โจทก์ที่ ๔ และที่ ๕ เป็นเนื้อที่ ๒ งาน ๖๒ ตารางวา โจทก์ทั้งห้ายื่นคัดค้านไว้ตามระเบียบ ต่อมาเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ เจ้าพนักงานที่ดินฯ ประกาศออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) รุกล้ำทับที่ดินดังกล่าว โจทก์ทั้งห้าจึงยื่นเรื่องคัดค้านอีก แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยที่ ๑ ไม่ได้พิจารณาคำคัดค้านของโจทก์ทั้งห้า แต่ได้ประกาศออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลง "หนองปุ๊ก" โดยไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะออกประกาศดังกล่าวได้ โจทก์ทั้งห้าเป็นเจ้าของที่ดินที่พิพาทที่ได้ครอบครองโดยสุจริต โดยสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ รวมทั้งได้ทำประโยชน์ในที่ดินที่พิพาทตลอดมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๐ และเสียภาษีบำรุงท้องที่มาโดยตลอดที่ดินพิพาท จึงไม่ใช่ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน และทางราชการก็ไม่ได้มีหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง หรือประกาศกันเขตที่ดินพิพาทไว้เป็นที่สาธารณประโยชน์ การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงพิพาทจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๒ จำเลยที่ ๓ ในฐานะนายอำเภอลำปลายมาศได้สั่งให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสะอาดมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งห้าชะลอการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ซึ่งมีผลห้ามมิให้โจทก์ทั้งห้าเข้าทำนาในที่ดินพิพาท เป็นการโต้แย้งสิทธิทำให้โจทก์ทั้งห้าได้รับความเดือดร้อนเสียหายไม่ได้ทำนาตามสิทธิของตน อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลง "หนองปุ๊ก" เลขที่ ๔๐๒ ตั้งอยู่หมู่ที่ ๗ ตำบลโคกสะอาด อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ออกทับที่ดินของโจทก์ทั้งห้า
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยทั้งสามไม่ได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง(น.ส.ล.) "หนองปุ๊ก" ทับที่ดินของโจทก์ทั้งห้า และไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งห้า โจทก์ทั้งห้าจะยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินมิได้เอกสารสิทธิของโจทก์ทั้งห้าบางส่วนออกทับหนองน้ำสาธารณะ "หนองปุ๊ก" ดังนั้นการออกเอกสารสิทธิให้แก่โจทก์ทั้งห้าดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงออกโดยถูกต้องตามกฎหมายและข้อบังคับของทางราชการ คำสั่งที่ให้เพิกถอนเอกสารสิทธิจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว นอกจากนี้ภายหลังออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแล้วโจทก์ทั้งห้ายังคงเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาท โจทก์ทั้งห้าไม่ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย อีกทั้งคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง เนื่องจากเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓)
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้คำฟ้องของโจทก์ทั้งห้าจะบรรยายการกระทำของจำเลยทั้งสามส่วนหนึ่งว่า จำเลยทั้งสามใช้อำนาจตามกฎหมายกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งห้าสืบเนื่องมาจากการมีคำสั่งของฝ่ายปกครองในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ตามคำขอของโจทก์ทั้งห้าประสงค์ให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงที่ออกทับที่ดินของโจทก์ทั้งห้าเท่านั้น ประเด็นหลักที่โต้แย้งกันจึงเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งห้าหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ซึ่งศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งห้าจริงตามข้ออ้างหรือไม่จึงจะพิจารณาเกี่ยวกับความเสียหายของโจทก์ทั้งห้าและข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสามต่อไปซึ่งต้องพิเคราะห์ถึงสิทธิของบุคคลอันเกี่ยวกับที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ทรัพย์สิน มาตรา ๑๒๙๘ บัญญัติว่า "ทรัพยสิทธิทั้งหลายนั้น ท่านว่าจะก่อตั้งขึ้นได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น" บทบัญญัติมาตรานี้กำหนดให้การพิจารณาข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอยู่ในบังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่นที่บัญญัติในเรื่องนั้นเป็นพิเศษ นอกจากนี้ แม้โฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งห้าจะเป็นเอกสารมหาชนก็ตาม แต่เอกสารมหาชนนั้น ตามมาตรา ๑๒๗ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเพียงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง อันเป็นข้อสันนิษฐานไม่เด็ดขาด เป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้น จำต้องนำสืบความไม่ถูกต้องแห่งเอกสารกรณีจึงไม่อาจฟังข้อเท็จจริงยุติได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งห้า ซึ่งในการพิจารณาถึงสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี ศาลจะต้องวินิจฉัยข้ออ้างซึ่งเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในมาตรา ๑๓๐๔ ที่บัญญัติถึงว่าที่ดินประเภทใดจัดเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอีกเช่นเดียวกันหรือทั้งนี้อาจรวมไปถึงประมวลกฎหมายที่ดินด้วย เพื่อจะได้วินิจฉัยถึงสิทธิครอบครองของโจทก์ทั้งห้า เมื่อคดีนี้มีประเด็นข้อวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินและศาลจะต้องพิจารณาถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินว่าเป็นของโจทก์ทั้งห้าหรือเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นหลัก จึงจะพิพากษาว่าจะเพิกถอนนิติกรรมตามคำขอท้ายฟ้องได้หรือไม่ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญหากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒ การออก น.ส.ล. เป็นการรับรองเขตที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมที่ดินและต้องดำเนินการตามมาตรา ๘ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดินประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๖(พ.ศ. ๒๕๑๖) ฯ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๕ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และระเบียบกรมที่ดินว่าด้วยการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง พ.ศ. ๒๕๑๗ เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้มีการดำเนินการรังวัดและประกาศการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงพิพาทแล้ว ดังนั้นการดำเนินการของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์สาขาลำปลายมาศ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยที่ ๒ เพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงพิพาท จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครองของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ การที่โจทก์ทั้งห้าฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์และนายอำเภอลำปลายมาศ และจำเลยที่ ๒ โดยเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขาลำปลายมาศ ได้ดำเนินการรังวัดและออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงพิพาททับที่ดินอันเป็นเอกสารสิทธิของโจทก์ทั้งห้าที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งโจทก์ทั้งห้าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทที่ได้ครอบครองโดยสุจริต โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและได้ทำประโยชน์มาโดยตลอดตั้งแต่บรรพบุรุษด้วยการทำนาทำไร่เต็มพื้นที่ตลอดมา ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๐ทั้งได้เสียภาษีบำรุงท้องที่มาโดยตลอด และการที่จำเลยที่ ๓ ได้สั่งการให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสะอาดมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งห้าชะลอการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ทำให้โจทก์ทั้งห้าได้รับความเสียหายไม่ได้ทำนาตามสิทธิพื้นฐานของตนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงพิพาทและการกระทำของจำเลยทั้งสาม จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งห้าประสงค์ให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงพิพาทส่วนที่ออกทับที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิของโจทก์ทั้งห้า แม้คดีมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าที่พิพาทเป็นที่ดินกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งห้าหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ประเด็นดังกล่าวก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดี อันเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็น ปัญหาที่จะพิจารณาว่าการดำเนินการรังวัดที่ดินเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงพิพาทของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาว่าโจทก์ทั้งห้าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่พิพาทดังกล่าวหรือไม่ จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาบังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลที่อยู่ภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิที่ดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ได้ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ทั้งห้าได้ตามมาตรา ๗๒วรรคหนึ่ง(๑) และ (๓) และ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือดำเนินกิจการทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยประกอบกับ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ทั้งห้าได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) และวรรคสองแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จำเลยทั้งสามมีหน้าที่ในการดำเนินการออก น.ส.ล. จึงมิได้ อยู่ในฐานะเจ้าของหรือผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท ข้อพิพาทในคดีนี้ จึงเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับความมีอยู่หรือสถานะของที่สาธารณประโยชน์ ซึ่งมิใช่เรื่องพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด ทั้งตามความเห็นของศาลจังหวัดบุรีรัมย์ที่ ๑/๒๕๕๓ บรรทัดที่ ๔ - ๖ก็ยังมีความเห็นว่า โจทก์ทั้งห้าบรรยายคำฟ้องถึงการกระทำของจำเลยทั้งสามส่วนหนึ่งว่าจำเลยทั้งสามใช้อำนาจตามกฎหมายกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งห้า โดยสืบเนื่องมาจากการมีคำสั่งของฝ่ายปกครองในการออก น.ส.ล. พิพาท ซึ่งอ้างว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายแสดงให้เห็นว่า ศาลจังหวัดบุรีรัมย์เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีปกครอง แต่การที่ศาลจังหวัดบุรีรัมย์มีความเห็นต่อไปว่า "คดีมีประเด็นที่ศาลจะต้องพิจารณาก่อนว่าที่ดินแปลงพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งห้าหรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม" เป็นกรณีที่ศาลจังหวัดบุรีรัมย์นำประเด็นข้อเท็จจริงดังกล่าวมาใช้เป็นเกณฑ์การพิจารณาเขตอำนาจศาล ซึ่งนอกเหนือไปจากเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาเขตอำนาจศาลตามบทบัญญัติมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือดำเนินกิจการทางปกครองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมจึงย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๓ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม แต่ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งห้าอ้างว่า โจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๔ และที่ ๕ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) เลขที่ ๑๒๖ และเลขที่ ๘ ตามลำดับ ส่วนโจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๐๓๒๖และ ๓๐๓๒๗ ที่ดินทั้งสี่แปลง ตั้งอยู่ ตำบลโคกสะอาด อำเภอลำปลายมาศจังหวัดบุรีรัมย์ มีการออกเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินโดยชอบ แต่ถูกจำเลยทั้งสามออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่สาธารณประโยชน์ "หนองปุ๊ก" ทับที่ดินของโจทก์ทั้งห้าบางส่วน โจทก์ทั้งห้าเป็นเจ้าของที่ดินที่พิพาทที่ได้ครอบครองโดยสุจริต โดยสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของรวมทั้งได้ทำประโยชน์ในที่ดินที่พิพาทและเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา ที่ดินพิพาทไม่ใช่ ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน และทางราชการก็ไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง หรือประกาศกันเขตที่ดินพิพาทไว้เป็นที่สาธารณประโยชน์ การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงพิพาทจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยที่ ๓ สั่งให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสะอาดมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งห้าชะลอการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ทำให้โจทก์ทั้งห้าไม่สามารถเข้าทำนาในที่ดินพิพาทตามสิทธิของตนได้ ขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลง "หนองปุ๊ก" ที่ออกทับที่ดินของโจทก์ทั้งห้า ส่วนจำเลยทั้งสามให้การว่า ไม่ได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) "หนองปุ๊ก" ทับที่ดินของโจทก์ทั้งห้า โจทก์ทั้งห้าจะยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินมิได้ เอกสารสิทธิของโจทก์ทั้งห้าบางส่วนออกทับหนองน้ำสาธารณะ "หนองปุ๊ก"และออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงออกโดยถูกต้องตามกฎหมายและข้อบังคับของทางราชการคำสั่งที่ให้เพิกถอนเอกสารสิทธิจึงชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ทั้งห้าได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความ เสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งห้าตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายแสวง ผมทำ ที่ ๑ นางหนูแดง สออนรัมย์ ที่ ๒ นางแสงจันทร์ สรวนรัมย์ ที่ ๓ นายชัยวัฒน์ เส็งนา ที่ ๔ นายชัชชาย เส็งนา ที่ ๕ โจทก์ กระทรวงมหาดไทย ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ นายโสภณ ห่วงญาติ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๖/๒๕๕๔
วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์
ระหว่าง
ศาลปกครองนครราชสีมา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๒ นายแสวง ผมทำ ที่ ๑ นางหนูแดง สออนรัมย์ ที่ ๒ นางแสงจันทร์ สรวนรัมย์ ที่ ๓ นายชัยวัฒน์ เส็งนา ที่ ๔ นายชัชชาย เส็งนา ที่ ๕ โจทก์ยื่นฟ้องกระทรวงมหาดไทย ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ นายโสภณ ห่วงญาติ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๙๐๙/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์ทั้งห้าเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองในที่ดินที่ตั้งอยู่ ตำบลโคกสะอาด อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยโจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของผู้ถือสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) เลขที่ ๑๒๖ หมู่ที่ ๑๐ เนื้อที่ ๘ ไร่ ๓๔ ตารางวา โจทก์ที่ ๒ เป็นเจ้าของโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๐๓๒๖ เนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๓ งาน ๗๒ ตารางวาโจทก์ที่ ๓ เป็นเจ้าของโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๐๓๒๗ เนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๓ งาน ๗๑ ตารางวา โจทก์ที่ ๔และที่ ๕ เป็นเจ้าของผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓)เลขที่ ๘ หมู่ ๑๐ เนื้อที่ ๑๒ ไร่ ๒ งาน ซึ่งเอกสารสิทธิของโจทก์ทั้งห้าออกตามประมวลกฎหมายที่ดินโดยชอบ ต่อมานายอำเภอลำปลายมาศในขณะนั้นยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์สาขาลำปลายมาศ เจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยที่ ๒ ขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่สาธารณประโยชน์ "หนองปุ๊ก" แต่การนำรังวัดชี้แนวเขตได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ที่ ๑ เป็นเนื้อที่๖ ไร่ ๑ งาน ๘๙ ตารางวา โจทก์ที่ ๒ เป็นเนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ๙๑ ตารางวา โจทก์ที่ ๓ เป็นเนื้อที่ ๒ งาน ๗๐ ตารางวา โจทก์ที่ ๔ และที่ ๕ เป็นเนื้อที่ ๒ งาน ๖๒ ตารางวา โจทก์ทั้งห้ายื่นคัดค้านไว้ตามระเบียบ ต่อมาเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ เจ้าพนักงานที่ดินฯ ประกาศออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) รุกล้ำทับที่ดินดังกล่าว โจทก์ทั้งห้าจึงยื่นเรื่องคัดค้านอีก แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยที่ ๑ ไม่ได้พิจารณาคำคัดค้านของโจทก์ทั้งห้า แต่ได้ประกาศออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลง "หนองปุ๊ก" โดยไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะออกประกาศดังกล่าวได้ โจทก์ทั้งห้าเป็นเจ้าของที่ดินที่พิพาทที่ได้ครอบครองโดยสุจริต โดยสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ รวมทั้งได้ทำประโยชน์ในที่ดินที่พิพาทตลอดมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๐ และเสียภาษีบำรุงท้องที่มาโดยตลอดที่ดินพิพาท จึงไม่ใช่ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน และทางราชการก็ไม่ได้มีหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง หรือประกาศกันเขตที่ดินพิพาทไว้เป็นที่สาธารณประโยชน์ การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงพิพาทจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๒ จำเลยที่ ๓ ในฐานะนายอำเภอลำปลายมาศได้สั่งให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสะอาดมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งห้าชะลอการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ซึ่งมีผลห้ามมิให้โจทก์ทั้งห้าเข้าทำนาในที่ดินพิพาท เป็นการโต้แย้งสิทธิทำให้โจทก์ทั้งห้าได้รับความเดือดร้อนเสียหายไม่ได้ทำนาตามสิทธิของตน อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลง "หนองปุ๊ก" เลขที่ ๔๐๒ ตั้งอยู่หมู่ที่ ๗ ตำบลโคกสะอาด อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ออกทับที่ดินของโจทก์ทั้งห้า
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยทั้งสามไม่ได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง(น.ส.ล.) "หนองปุ๊ก" ทับที่ดินของโจทก์ทั้งห้า และไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งห้า โจทก์ทั้งห้าจะยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินมิได้เอกสารสิทธิของโจทก์ทั้งห้าบางส่วนออกทับหนองน้ำสาธารณะ "หนองปุ๊ก" ดังนั้นการออกเอกสารสิทธิให้แก่โจทก์ทั้งห้าดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงออกโดยถูกต้องตามกฎหมายและข้อบังคับของทางราชการ คำสั่งที่ให้เพิกถอนเอกสารสิทธิจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว นอกจากนี้ภายหลังออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแล้วโจทก์ทั้งห้ายังคงเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาท โจทก์ทั้งห้าไม่ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย อีกทั้งคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง เนื่องจากเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓)
ศาลจังหวัดบุรีรัมย์พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้คำฟ้องของโจทก์ทั้งห้าจะบรรยายการกระทำของจำเลยทั้งสามส่วนหนึ่งว่า จำเลยทั้งสามใช้อำนาจตามกฎหมายกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งห้าสืบเนื่องมาจากการมีคำสั่งของฝ่ายปกครองในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ตามคำขอของโจทก์ทั้งห้าประสงค์ให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงที่ออกทับที่ดินของโจทก์ทั้งห้าเท่านั้น ประเด็นหลักที่โต้แย้งกันจึงเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งห้าหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ซึ่งศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งห้าจริงตามข้ออ้างหรือไม่จึงจะพิจารณาเกี่ยวกับความเสียหายของโจทก์ทั้งห้าและข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสามต่อไปซึ่งต้องพิเคราะห์ถึงสิทธิของบุคคลอันเกี่ยวกับที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ทรัพย์สิน มาตรา ๑๒๙๘ บัญญัติว่า "ทรัพยสิทธิทั้งหลายนั้น ท่านว่าจะก่อตั้งขึ้นได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น" บทบัญญัติมาตรานี้กำหนดให้การพิจารณาข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอยู่ในบังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่นที่บัญญัติในเรื่องนั้นเป็นพิเศษ นอกจากนี้ แม้โฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งห้าจะเป็นเอกสารมหาชนก็ตาม แต่เอกสารมหาชนนั้น ตามมาตรา ๑๒๗ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเพียงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง อันเป็นข้อสันนิษฐานไม่เด็ดขาด เป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้น จำต้องนำสืบความไม่ถูกต้องแห่งเอกสารกรณีจึงไม่อาจฟังข้อเท็จจริงยุติได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งห้า ซึ่งในการพิจารณาถึงสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี ศาลจะต้องวินิจฉัยข้ออ้างซึ่งเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในมาตรา ๑๓๐๔ ที่บัญญัติถึงว่าที่ดินประเภทใดจัดเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอีกเช่นเดียวกันหรือทั้งนี้อาจรวมไปถึงประมวลกฎหมายที่ดินด้วย เพื่อจะได้วินิจฉัยถึงสิทธิครอบครองของโจทก์ทั้งห้า เมื่อคดีนี้มีประเด็นข้อวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินและศาลจะต้องพิจารณาถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินว่าเป็นของโจทก์ทั้งห้าหรือเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นหลัก จึงจะพิพากษาว่าจะเพิกถอนนิติกรรมตามคำขอท้ายฟ้องได้หรือไม่ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญหากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒ การออก น.ส.ล. เป็นการรับรองเขตที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมที่ดินและต้องดำเนินการตามมาตรา ๘ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดินประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๖(พ.ศ. ๒๕๑๖) ฯ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๕ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และระเบียบกรมที่ดินว่าด้วยการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง พ.ศ. ๒๕๑๗ เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้มีการดำเนินการรังวัดและประกาศการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงพิพาทแล้ว ดังนั้นการดำเนินการของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์สาขาลำปลายมาศ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยที่ ๒ เพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงพิพาท จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครองของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ การที่โจทก์ทั้งห้าฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์และนายอำเภอลำปลายมาศ และจำเลยที่ ๒ โดยเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขาลำปลายมาศ ได้ดำเนินการรังวัดและออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงพิพาททับที่ดินอันเป็นเอกสารสิทธิของโจทก์ทั้งห้าที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งโจทก์ทั้งห้าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทที่ได้ครอบครองโดยสุจริต โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและได้ทำประโยชน์มาโดยตลอดตั้งแต่บรรพบุรุษด้วยการทำนาทำไร่เต็มพื้นที่ตลอดมา ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๐ทั้งได้เสียภาษีบำรุงท้องที่มาโดยตลอด และการที่จำเลยที่ ๓ ได้สั่งการให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสะอาดมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งห้าชะลอการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ทำให้โจทก์ทั้งห้าได้รับความเสียหายไม่ได้ทำนาตามสิทธิพื้นฐานของตนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงพิพาทและการกระทำของจำเลยทั้งสาม จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งห้าประสงค์ให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงพิพาทส่วนที่ออกทับที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิของโจทก์ทั้งห้า แม้คดีมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าที่พิพาทเป็นที่ดินกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งห้าหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ประเด็นดังกล่าวก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดี อันเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็น ปัญหาที่จะพิจารณาว่าการดำเนินการรังวัดที่ดินเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลงพิพาทของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาว่าโจทก์ทั้งห้าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่พิพาทดังกล่าวหรือไม่ จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาบังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลที่อยู่ภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิที่ดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ได้ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ทั้งห้าได้ตามมาตรา ๗๒วรรคหนึ่ง(๑) และ (๓) และ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือดำเนินกิจการทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยประกอบกับ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ทั้งห้าได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) และวรรคสองแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จำเลยทั้งสามมีหน้าที่ในการดำเนินการออก น.ส.ล. จึงมิได้ อยู่ในฐานะเจ้าของหรือผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท ข้อพิพาทในคดีนี้ จึงเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับความมีอยู่หรือสถานะของที่สาธารณประโยชน์ ซึ่งมิใช่เรื่องพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด ทั้งตามความเห็นของศาลจังหวัดบุรีรัมย์ที่ ๑/๒๕๕๓ บรรทัดที่ ๔ - ๖ก็ยังมีความเห็นว่า โจทก์ทั้งห้าบรรยายคำฟ้องถึงการกระทำของจำเลยทั้งสามส่วนหนึ่งว่าจำเลยทั้งสามใช้อำนาจตามกฎหมายกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งห้า โดยสืบเนื่องมาจากการมีคำสั่งของฝ่ายปกครองในการออก น.ส.ล. พิพาท ซึ่งอ้างว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายแสดงให้เห็นว่า ศาลจังหวัดบุรีรัมย์เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีปกครอง แต่การที่ศาลจังหวัดบุรีรัมย์มีความเห็นต่อไปว่า "คดีมีประเด็นที่ศาลจะต้องพิจารณาก่อนว่าที่ดินแปลงพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งห้าหรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม" เป็นกรณีที่ศาลจังหวัดบุรีรัมย์นำประเด็นข้อเท็จจริงดังกล่าวมาใช้เป็นเกณฑ์การพิจารณาเขตอำนาจศาล ซึ่งนอกเหนือไปจากเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาเขตอำนาจศาลตามบทบัญญัติมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือดำเนินกิจการทางปกครองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมจึงย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และจำเลยที่ ๓ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม แต่ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งห้าอ้างว่า โจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๔ และที่ ๕ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) เลขที่ ๑๒๖ และเลขที่ ๘ ตามลำดับ ส่วนโจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๐๓๒๖และ ๓๐๓๒๗ ที่ดินทั้งสี่แปลง ตั้งอยู่ ตำบลโคกสะอาด อำเภอลำปลายมาศจังหวัดบุรีรัมย์ มีการออกเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินโดยชอบ แต่ถูกจำเลยทั้งสามออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่สาธารณประโยชน์ "หนองปุ๊ก" ทับที่ดินของโจทก์ทั้งห้าบางส่วน โจทก์ทั้งห้าเป็นเจ้าของที่ดินที่พิพาทที่ได้ครอบครองโดยสุจริต โดยสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของรวมทั้งได้ทำประโยชน์ในที่ดินที่พิพาทและเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา ที่ดินพิพาทไม่ใช่ ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน และทางราชการก็ไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง หรือประกาศกันเขตที่ดินพิพาทไว้เป็นที่สาธารณประโยชน์ การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงพิพาทจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยที่ ๓ สั่งให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสะอาดมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งห้าชะลอการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ทำให้โจทก์ทั้งห้าไม่สามารถเข้าทำนาในที่ดินพิพาทตามสิทธิของตนได้ ขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงแปลง "หนองปุ๊ก" ที่ออกทับที่ดินของโจทก์ทั้งห้า ส่วนจำเลยทั้งสามให้การว่า ไม่ได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) "หนองปุ๊ก" ทับที่ดินของโจทก์ทั้งห้า โจทก์ทั้งห้าจะยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินมิได้ เอกสารสิทธิของโจทก์ทั้งห้าบางส่วนออกทับหนองน้ำสาธารณะ "หนองปุ๊ก"และออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงออกโดยถูกต้องตามกฎหมายและข้อบังคับของทางราชการคำสั่งที่ให้เพิกถอนเอกสารสิทธิจึงชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ทั้งห้าได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความ เสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งห้าตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายแสวง ผมทำ ที่ ๑ นางหนูแดง สออนรัมย์ ที่ ๒ นางแสงจันทร์ สรวนรัมย์ ที่ ๓ นายชัยวัฒน์ เส็งนา ที่ ๔ นายชัชชาย เส็งนา ที่ ๕ โจทก์ กระทรวงมหาดไทย ที่ ๑ กรมที่ดิน ที่ ๒ นายโสภณ ห่วงญาติ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๕/๒๕๕๔
วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลจังหวัดระยอง
ระหว่าง
ศาลปกครองระยอง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดระยองโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ เด็กชายธนภัทร สุทธศิลป์ โดยนางสาวอุมาพร พรหมบุตร ผู้แทนโดยชอบธรรม ที่ ๑ นางสาวอุมาพร พรหมบุตร ที่ ๒ นายชาติ สุทธศิลป์ ที่ ๓ โจทก์ ยื่นฟ้อง นางสาวทัศนีย์ สว่างแจ้ง ที่ ๑ เทศบาลตำบลบ้านปลวกแดง ที่ ๒ นายชัยยงค์ คูเพ็ญวิจิตตระการ ที่ ๓ นายเดชา สุนทราเดชอังกูร ที่ ๔ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอปลวกแดง ที่ ๕ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเขต ๒ (ภาคกลาง) จังหวัดชลบุรี ที่ ๖ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ ๗ จำเลย ต่อศาลจังหวัดระยอง เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๔๙๐๓/๒๕๕๑ ความว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นเด็กนักเรียนชั้นอนุบาล ๒ ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลปลวกแดง จำเลยที่ ๑ และครูประจำวันได้ปล่อยให้เด็กนักเรียนของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและโจทก์ที่ ๑ ออกมาเล่นนอกบริเวณอาคารเรียน ซึ่งจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และครูเวรประจำวันทราบดีว่าที่ตั้งของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอยู่ติดกับที่ทำการของจำเลยที่ ๕ และไม่มีรั้วกั้นแนวเขต จำเลยที่ ๕ โดยการบริหารจัดการของจำเลยที่ ๔ นำเสาไฟฟ้าจำนวนมากมาวางกองซ้อนกันหลายชั้น ติดกับแนวเขตศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในลักษณะที่อาจเป็นอันตราย แต่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ไม่ห้ามเด็กนักเรียนของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กรวมทั้งโจทก์ที่ ๑ วิ่งเล่นเข้าไปใกล้เสาไฟฟ้าดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑ ถูกเสาไฟฟ้าที่จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ กองไว้หล่นทับโจทก์ที่ ๑ ได้รับบาดเจ็บสาหัส การได้รับบาดเจ็บสาหัสของโจทก์ที่ ๑ เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันอุบัติเหตุและอุบัติภัยไม่ให้เกิดกับเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กด้วยการจัดสภาพแวดล้อมทั้งภายในอาคารและนอกอาคารให้ปลอดภัย โดยในส่วนของภายนอกอาคารต้องมีรั้วกั้นบริเวณให้เป็นสัดส่วน แต่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ กลับละเลยไม่ทำรั้ว ประกอบกับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ไม่ใช้ความระมัดระวังปล่อยให้เด็กในความดูแลรวมทั้งโจทก์ที่ ๑ ไปวิ่งเล่นในบริเวณแนวเขตที่ติดต่อระหว่างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กกับที่ทำการของจำเลยที่ ๕ ส่วนจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๗ มีหน้าที่จัดหาสถานที่เพื่อจัดเก็บเสาไฟฟ้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุอุบัติภัยไม่ให้เกิดกับบุคคลอื่นแต่ไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอโดยนำเสาไฟฟ้ามาวางกองหลายชั้นและระหว่างชั้นได้นำท่อนไม้รองหนุนไว้ซึ่งไม่มีความแข็งแรงรองรับน้ำหนักของเสาไฟฟ้า และละเลยไม่จัดเปลี่ยนท่อนไม้ที่ใช้รองเสาไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรง อีกทั้งจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ สามารถนำเสาไฟฟ้าไปกองไว้ที่อื่นซึ่งไม่ติดกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเพื่อป้องกันไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นแต่หาได้ทำเช่นนั้นไม่ ทำให้โจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหายแก่ร่างกาย อนามัยและจิตใจ ขอให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒๓,๑๑๒,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชำระเงินจำนวน ๔๗๑,๓๓๑.๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ และจำเลยที่ ๗ ให้การว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์ที่ ๓ ไม่ใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๓ จดทะเบียนรับรองบุตรหลังเกิดเหตุคดีนี้ โจทก์ที่ ๓ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ได้ใช้ความระมัดระวังโดยการจัดให้มีครูประจำชั้นและครูพี่เลี้ยงในการดูแลนักเรียนของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจำนวนห้องละ ๒ คน เพียงพอที่จะดูแลเด็กนักเรียนแต่ละห้อง โดยครูทั้งสองจะต้องอยู่กับเด็กนักเรียนตลอดเวลาและมีประตูทางเข้าออกเพียงด้านเดียวและเปิดปิด เป็นเวลา จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และครูประจำศูนย์เด็กเล็กได้ห้ามเด็ดขาดไม่ให้เด็กนักเรียนไปเล่นบริเวณที่เกิดเหตุ การเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้จึงไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และเกิดเพราะเหตุสุดวิสัย สถานที่กองเสาไฟฟ้าเดิมมีรั้วขึงลวดล้อมรอบแต่ถูกคนร้ายลักตัดลวดไป คงเหลือแต่เสาไม้ปักเป็นแนว การเก็บและกองเสาไฟฟ้าได้จัดให้มีท่อนไม้หมอนวางกั้นกลางขนาดตามที่กำหนดไว้ในหนังสือสั่งการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีความมั่นคงแข็งแรงปลอดภัยในการรองรับน้ำหนัก เสาไฟฟ้าอย่างเพียงพอและใช้งานประมาณ ๒ เดือนก่อนเกิดเหตุ การที่เสาไฟฟ้าหล่นทับมือและเท้าของโจทก์ที่ ๑ นั้น เป็นเสาไฟฟ้าต้นริมสุดในชั้นที่ ๕ สาเหตุมาจากการปีนเหนี่ยวรั้งเสาไฟฟ้า อุบัติเหตุม จึงเกิดจากเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๗ ค่าเสียหายสูงเกินจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลจังหวัดระยองมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ทั้งสามสำหรับจำเลยที่ ๕ และที่ ๖ เนื่องจากไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลเป็นเพียงหน่วยงานย่อยในสังกัดจำเลยที่ ๗ เท่านั้น
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ และจำเลยที่ ๗ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสามอ้างว่า จำเลยที่ ๗ มีหน้าที่จัดหาสถานที่เพื่อจัดเก็บเสาไฟฟ้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และอุบัติภัย มิให้เกิดกับบุคคลอื่น อันเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๗ มีหน้าที่จัดให้มีและบำรุงรักษาสิ่งสาธารณูปโภค และระบบสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น แต่จำเลยที่ ๗ มิได้จัดเก็บ และบำรุงสาธารณูปโภค และสิ่งบริการสาธารณะให้มีความปลอดภัยอย่างเพียงพอ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๑๔/๒๕๔๗, ๑๕/๒๕๔๗ และ ๑๐/๒๕๔๘
ศาลจังหวัดระยองพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยที่ ๗ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ แต่มูลเหตุละเมิดที่โจทก์ทั้งสามฟ้องนั้นเกิดจากการที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอปลวกแดง ซึ่งเป็นหน่วยงานย่อยของจำเลยที่ ๗ นำเสาไฟฟ้าจำนวนมากมากองบนที่ดินติดแนวเขตของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กซึ่งมีเด็กนักเรียนซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุไม่เกิน ๕ ปี อยู่เป็นจำนวนมากรวมทั้งโจทก์ที่ ๑ ด้วย โดยวางซ้อนกันหลายชั้น ระหว่างชั้นได้นำท่อนไม้รองหนุนไว้ซึ่งไม่มีความแข็งแรงในการรองรับน้ำหนักของเสาไฟฟ้า เป็นเหตุให้เสาไฟฟ้าหล่นทับโจทก์ที่ ๑ ได้รับอันตรายสาหัสนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามฟ้องมิใช่กรณีละเมิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎคำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร แต่เป็นการละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของจำเลยที่ ๗ ซึ่งไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่กรณีในภาวะการณ์เช่นนั้น จึงมิใช่เกี่ยวกับการละเมิดทางปกครองตามนัยมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองระยองพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องของโจทก์แล้ว เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๗ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีหน้าที่จัดหาสถานที่เพื่อจัดเก็บเสาไฟฟ้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและอุบัติภัยมิให้เกิดกับบุคคลอื่น อันเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๗ มีหน้าที่จัดให้มีและบำรุงรักษาสิ่งสาธารณูปโภค และระบบสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น การจัดให้มีและบำรุงรักษาสิ่งสาธารณูปโภคดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย ในการจัดระบบและให้บริการสาธารณะ ได้ละเลยต่อหน้าที่มิได้จัดเก็บบำรุงสาธารณูปโภคและสิ่งบริการสาธารณะให้มีความปลอดภัยอย่างเพียงพอ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโจทก์ทั้งสาม นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๓ (๖) บัญญัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีอำนาจกระทำการต่าง ๆ ภายในขอบวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๖ และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง...(๖) จัดระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เมื่อจำเลยที่ ๗ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองมีอำนาจหน้าที่ในการจัดระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตามมาตรา ๑๓ (๖) แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ ถูกฟ้องว่าละเลยไม่ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอในการจัดหาสถานที่เพื่อจัดเก็บเสาไฟฟ้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุมิให้เกิดกับบุคคลอื่น จนเป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑ ซึ่งวิ่งเล่นเข้าไปในบริเวณใกล้เสาไฟฟ้าดังกล่าว ถูกเสาไฟฟ้าที่กองไว้หล่นทับได้รับบาดเจ็บสาหัส มูลเหตุแห่งการทำละเมิดจึงเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติของจำเลยที่ ๗ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม คดีนี้จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง อันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
แต่อย่างไรก็ตาม คดีนี้แม้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ และที่ ๗ จะยื่นคำร้องโต้แย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเฉพาะมูลคดีที่เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ ๗ ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำร้องดังกล่าวโดยตลอดแล้วเห็นได้ว่า เป็นการประสงค์ที่จะโอนคดีทั้งคดีไปพิจารณาพิพากษาที่ศาลปกครอง โดยพิจารณาเห็นว่า จำเลยที่ ๒ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๕๐ (๖) และ (๗) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๑ ประกอบกับมาตรา ๑๖ (๙) และ (๑๐) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ในการสังคมสงเคราะห์ การพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก สตรี คนชรา และผู้ด้อยโอกาส และการจัดการศึกษาให้แก่ราษฎร ซึ่งอำนาจหน้าที่ดังกล่าวย่อมรวมถึงการจัดให้มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในพื้นที่รับผิดชอบของจำเลยด้วย จำเลยที่ ๒ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และเป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ส่วนจำเลยที่ ๑ เป็นพนักงานส่วนท้องถิ่นสังกัดจำเลยที่ ๒ ตำแหน่งหัวหน้าศูนย์เด็กเล็ก จำเลยที่ ๓ เป็นนายกเทศมนตรีตำบลบ้านปลวกแดง จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และเป็นเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิด พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อโจทก์ทั้งสามฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ และครูเวรประจำวันได้ปล่อยให้เด็กนักเรียนศูนย์พัฒนาเด็กเล็กรวมทั้งโจทก์ที่ ๑ ออกมาเล่นนอกบริเวณอาคารเรียน โดยจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และครูเวรประจำวันทราบดีว่าที่ตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กดังกล่าวอยู่ติดกับที่ทำการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอปลวกแดงซึ่งมีเสาไฟฟ้าจำนวนมากวางกองเป็นชั้น ๆ หลายชั้น ชั้นละจำนวนหลายต้นติดกับแนวเขตศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในลักษณะที่น่าเป็นอันตราย แต่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และครูเวรประจำวันมิได้ใช้ความระมัดระวังโดยการห้ามมิให้เด็กนักเรียนรวมทั้งโจทก์ที่ ๑ วิ่งเล่นเข้าใกล้เสาไฟฟ้าดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑ ถูกเสาไฟฟ้าหล่นทับได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเหตุดังกล่าวเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และครูเวรประจำวันที่ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลเด็กนักเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบตามหน้าที่รวมทั้งมิได้จัดทำรั้วกั้นบริเวณศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้เป็นสัดส่วน จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๗ กรณีจึงเป็นการฟ้องกล่าวหาว่าหน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิดอันเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครองตามมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มูลคดีในส่วนนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เช่นเดียวกัน ดังนั้น คดีนี้ทั้งคดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่นหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร บทบัญญัติดังกล่าวเป็นการกำหนดประเภทคดีปกครองที่เกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ โดยมุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ไม่รวมถึงการกระทำละเมิดอันมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ คดีนี้จำเลยที่ ๒ เป็นราชการส่วนท้องถิ่น มีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๕๐ (๖) และ (๗) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๑ ประกอบกับมาตรา ๑๖ (๙) และ (๑๐) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ในการสังคมสงเคราะห์ การพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก สตรี คนชรา และผู้ด้อยโอกาสและการจัดการศึกษาให้แก่ราษฎร มีจำเลยที่ ๓ เป็นผู้แทน และจำเลยที่ ๑ เป็นหัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัด ส่วนจำเลยที่ ๗ เป็นรัฐวิสาหกิจมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีวัตถุประสงค์ในการผลิต จัดให้ได้มา จัดส่ง และจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าในเขตส่วนภูมิภาคซึ่งอยู่นอกเขตท้องที่ที่การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการอยู่ และในประเทศใกล้เคียง ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๖ และมาตรา ๗ และมีอำนาจกระทำการต่าง ๆ ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ดังกล่าว ซึ่งรวมถึงอำนาจจัดระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตามมาตรา ๑๓ (๖) เมื่อโจทก์ ทั้งสามฟ้องว่า จำเลยที่ ๗ ไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอในการนำเสาไฟฟ้ามาวางกองไว้หลายชั้นและระหว่างชั้นได้นำท่อนไม้รองหนุนไว้ซึ่งไม่มีความแข็งแรงรองรับน้ำหนัก และละเลยไม่จัดเปลี่ยนท่อนไม้ที่ใช้รองเสาไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรง ทั้งไม่นำเสาไฟฟ้าไปกองไว้ที่อื่นซึ่งไม่ติดกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑ ถูกเสาไฟฟ้าหล่นทับได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ ๗ ที่โจทก์อ้าง กล่าวถึงการที่จำเลยที่ ๗ นำเสาไฟฟ้ามาวางกองหลายชั้นและระหว่างชั้นได้นำท่อนไม้รองหนุนไว้ซึ่งไม่มีความแข็งแรงรองรับน้ำหนัก และละเลยไม่จัดเปลี่ยนท่อนไม้ที่ใช้รองเสาไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรง และไม่นำเสาไฟฟ้าไปกองไว้ที่อื่นที่ไม่ติดกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑ ถูกเสาไฟฟ้าหล่นทับได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นอำนาจในการปฏิบัติหน้าที่โดยทั่วไปของจำเลยที่ ๗ เท่านั้น เหตุละเมิดหาใช่เกิดจากการใช้อำนาจในการผลิต จัดให้ได้มา จัดส่ง และจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นอำนาจโดยตรงของจำเลยที่ ๗ แต่อย่างใด ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างเด็กชายธนภัทร สุทธศิลป์ โดยนางสาวอุมาพร พรหมบุตร ผู้แทนโดยชอบธรรม ที่ ๑ นางสาวอุมาพร พรหมบุตร ที่ ๒ นายชาติ สุทธศิลป์ ที่ ๓ โจทก์ นางสาวทัศนีย์ สว่างแจ้ง ที่ ๑ เทศบาลตำบลบ้านปลวกแดง ที่ ๒ นายชัยยงค์ คูเพ็ญวิจิตตระการ ที่ ๓ นายเดชา สุนทราเดชอังกูร ที่ ๔ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอปลวกแดง ที่ ๕ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต ๒ (ภาคกลาง) จังหวัดชลบุรี ที่ ๖ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ ๗ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๕/๒๕๕๔
วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลจังหวัดระยอง
ระหว่าง
ศาลปกครองระยอง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดระยองโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ เด็กชายธนภัทร สุทธศิลป์ โดยนางสาวอุมาพร พรหมบุตร ผู้แทนโดยชอบธรรม ที่ ๑ นางสาวอุมาพร พรหมบุตร ที่ ๒ นายชาติ สุทธศิลป์ ที่ ๓ โจทก์ ยื่นฟ้อง นางสาวทัศนีย์ สว่างแจ้ง ที่ ๑ เทศบาลตำบลบ้านปลวกแดง ที่ ๒ นายชัยยงค์ คูเพ็ญวิจิตตระการ ที่ ๓ นายเดชา สุนทราเดชอังกูร ที่ ๔ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอปลวกแดง ที่ ๕ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเขต ๒ (ภาคกลาง) จังหวัดชลบุรี ที่ ๖ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ ๗ จำเลย ต่อศาลจังหวัดระยอง เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๔๙๐๓/๒๕๕๑ ความว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นเด็กนักเรียนชั้นอนุบาล ๒ ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลปลวกแดง จำเลยที่ ๑ และครูประจำวันได้ปล่อยให้เด็กนักเรียนของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและโจทก์ที่ ๑ ออกมาเล่นนอกบริเวณอาคารเรียน ซึ่งจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และครูเวรประจำวันทราบดีว่าที่ตั้งของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอยู่ติดกับที่ทำการของจำเลยที่ ๕ และไม่มีรั้วกั้นแนวเขต จำเลยที่ ๕ โดยการบริหารจัดการของจำเลยที่ ๔ นำเสาไฟฟ้าจำนวนมากมาวางกองซ้อนกันหลายชั้น ติดกับแนวเขตศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในลักษณะที่อาจเป็นอันตราย แต่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ไม่ห้ามเด็กนักเรียนของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กรวมทั้งโจทก์ที่ ๑ วิ่งเล่นเข้าไปใกล้เสาไฟฟ้าดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑ ถูกเสาไฟฟ้าที่จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ กองไว้หล่นทับโจทก์ที่ ๑ ได้รับบาดเจ็บสาหัส การได้รับบาดเจ็บสาหัสของโจทก์ที่ ๑ เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันอุบัติเหตุและอุบัติภัยไม่ให้เกิดกับเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กด้วยการจัดสภาพแวดล้อมทั้งภายในอาคารและนอกอาคารให้ปลอดภัย โดยในส่วนของภายนอกอาคารต้องมีรั้วกั้นบริเวณให้เป็นสัดส่วน แต่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ กลับละเลยไม่ทำรั้ว ประกอบกับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ไม่ใช้ความระมัดระวังปล่อยให้เด็กในความดูแลรวมทั้งโจทก์ที่ ๑ ไปวิ่งเล่นในบริเวณแนวเขตที่ติดต่อระหว่างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กกับที่ทำการของจำเลยที่ ๕ ส่วนจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๗ มีหน้าที่จัดหาสถานที่เพื่อจัดเก็บเสาไฟฟ้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุอุบัติภัยไม่ให้เกิดกับบุคคลอื่นแต่ไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอโดยนำเสาไฟฟ้ามาวางกองหลายชั้นและระหว่างชั้นได้นำท่อนไม้รองหนุนไว้ซึ่งไม่มีความแข็งแรงรองรับน้ำหนักของเสาไฟฟ้า และละเลยไม่จัดเปลี่ยนท่อนไม้ที่ใช้รองเสาไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรง อีกทั้งจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ สามารถนำเสาไฟฟ้าไปกองไว้ที่อื่นซึ่งไม่ติดกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเพื่อป้องกันไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นแต่หาได้ทำเช่นนั้นไม่ ทำให้โจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหายแก่ร่างกาย อนามัยและจิตใจ ขอให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒๓,๑๑๒,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชำระเงินจำนวน ๔๗๑,๓๓๑.๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ และจำเลยที่ ๗ ให้การว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์ที่ ๓ ไม่ใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๓ จดทะเบียนรับรองบุตรหลังเกิดเหตุคดีนี้ โจทก์ที่ ๓ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ได้ใช้ความระมัดระวังโดยการจัดให้มีครูประจำชั้นและครูพี่เลี้ยงในการดูแลนักเรียนของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจำนวนห้องละ ๒ คน เพียงพอที่จะดูแลเด็กนักเรียนแต่ละห้อง โดยครูทั้งสองจะต้องอยู่กับเด็กนักเรียนตลอดเวลาและมีประตูทางเข้าออกเพียงด้านเดียวและเปิดปิด เป็นเวลา จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และครูประจำศูนย์เด็กเล็กได้ห้ามเด็ดขาดไม่ให้เด็กนักเรียนไปเล่นบริเวณที่เกิดเหตุ การเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้จึงไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และเกิดเพราะเหตุสุดวิสัย สถานที่กองเสาไฟฟ้าเดิมมีรั้วขึงลวดล้อมรอบแต่ถูกคนร้ายลักตัดลวดไป คงเหลือแต่เสาไม้ปักเป็นแนว การเก็บและกองเสาไฟฟ้าได้จัดให้มีท่อนไม้หมอนวางกั้นกลางขนาดตามที่กำหนดไว้ในหนังสือสั่งการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีความมั่นคงแข็งแรงปลอดภัยในการรองรับน้ำหนัก เสาไฟฟ้าอย่างเพียงพอและใช้งานประมาณ ๒ เดือนก่อนเกิดเหตุ การที่เสาไฟฟ้าหล่นทับมือและเท้าของโจทก์ที่ ๑ นั้น เป็นเสาไฟฟ้าต้นริมสุดในชั้นที่ ๕ สาเหตุมาจากการปีนเหนี่ยวรั้งเสาไฟฟ้า อุบัติเหตุม จึงเกิดจากเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๗ ค่าเสียหายสูงเกินจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลจังหวัดระยองมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ทั้งสามสำหรับจำเลยที่ ๕ และที่ ๖ เนื่องจากไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลเป็นเพียงหน่วยงานย่อยในสังกัดจำเลยที่ ๗ เท่านั้น
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ และจำเลยที่ ๗ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสามอ้างว่า จำเลยที่ ๗ มีหน้าที่จัดหาสถานที่เพื่อจัดเก็บเสาไฟฟ้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และอุบัติภัย มิให้เกิดกับบุคคลอื่น อันเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๗ มีหน้าที่จัดให้มีและบำรุงรักษาสิ่งสาธารณูปโภค และระบบสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น แต่จำเลยที่ ๗ มิได้จัดเก็บ และบำรุงสาธารณูปโภค และสิ่งบริการสาธารณะให้มีความปลอดภัยอย่างเพียงพอ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๑๔/๒๕๔๗, ๑๕/๒๕๔๗ และ ๑๐/๒๕๔๘
ศาลจังหวัดระยองพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยที่ ๗ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ แต่มูลเหตุละเมิดที่โจทก์ทั้งสามฟ้องนั้นเกิดจากการที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอปลวกแดง ซึ่งเป็นหน่วยงานย่อยของจำเลยที่ ๗ นำเสาไฟฟ้าจำนวนมากมากองบนที่ดินติดแนวเขตของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กซึ่งมีเด็กนักเรียนซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุไม่เกิน ๕ ปี อยู่เป็นจำนวนมากรวมทั้งโจทก์ที่ ๑ ด้วย โดยวางซ้อนกันหลายชั้น ระหว่างชั้นได้นำท่อนไม้รองหนุนไว้ซึ่งไม่มีความแข็งแรงในการรองรับน้ำหนักของเสาไฟฟ้า เป็นเหตุให้เสาไฟฟ้าหล่นทับโจทก์ที่ ๑ ได้รับอันตรายสาหัสนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามฟ้องมิใช่กรณีละเมิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎคำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร แต่เป็นการละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของจำเลยที่ ๗ ซึ่งไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่กรณีในภาวะการณ์เช่นนั้น จึงมิใช่เกี่ยวกับการละเมิดทางปกครองตามนัยมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองระยองพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องของโจทก์แล้ว เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๗ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีหน้าที่จัดหาสถานที่เพื่อจัดเก็บเสาไฟฟ้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและอุบัติภัยมิให้เกิดกับบุคคลอื่น อันเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๗ มีหน้าที่จัดให้มีและบำรุงรักษาสิ่งสาธารณูปโภค และระบบสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น การจัดให้มีและบำรุงรักษาสิ่งสาธารณูปโภคดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย ในการจัดระบบและให้บริการสาธารณะ ได้ละเลยต่อหน้าที่มิได้จัดเก็บบำรุงสาธารณูปโภคและสิ่งบริการสาธารณะให้มีความปลอดภัยอย่างเพียงพอ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโจทก์ทั้งสาม นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๓ (๖) บัญญัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีอำนาจกระทำการต่าง ๆ ภายในขอบวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๖ และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง...(๖) จัดระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เมื่อจำเลยที่ ๗ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองมีอำนาจหน้าที่ในการจัดระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตามมาตรา ๑๓ (๖) แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ ถูกฟ้องว่าละเลยไม่ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอในการจัดหาสถานที่เพื่อจัดเก็บเสาไฟฟ้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุมิให้เกิดกับบุคคลอื่น จนเป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑ ซึ่งวิ่งเล่นเข้าไปในบริเวณใกล้เสาไฟฟ้าดังกล่าว ถูกเสาไฟฟ้าที่กองไว้หล่นทับได้รับบาดเจ็บสาหัส มูลเหตุแห่งการทำละเมิดจึงเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติของจำเลยที่ ๗ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม คดีนี้จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง อันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
แต่อย่างไรก็ตาม คดีนี้แม้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ และที่ ๗ จะยื่นคำร้องโต้แย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเฉพาะมูลคดีที่เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ ๗ ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำร้องดังกล่าวโดยตลอดแล้วเห็นได้ว่า เป็นการประสงค์ที่จะโอนคดีทั้งคดีไปพิจารณาพิพากษาที่ศาลปกครอง โดยพิจารณาเห็นว่า จำเลยที่ ๒ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๕๐ (๖) และ (๗) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๑ ประกอบกับมาตรา ๑๖ (๙) และ (๑๐) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ในการสังคมสงเคราะห์ การพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก สตรี คนชรา และผู้ด้อยโอกาส และการจัดการศึกษาให้แก่ราษฎร ซึ่งอำนาจหน้าที่ดังกล่าวย่อมรวมถึงการจัดให้มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในพื้นที่รับผิดชอบของจำเลยด้วย จำเลยที่ ๒ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และเป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ส่วนจำเลยที่ ๑ เป็นพนักงานส่วนท้องถิ่นสังกัดจำเลยที่ ๒ ตำแหน่งหัวหน้าศูนย์เด็กเล็ก จำเลยที่ ๓ เป็นนายกเทศมนตรีตำบลบ้านปลวกแดง จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และเป็นเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิด พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อโจทก์ทั้งสามฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ และครูเวรประจำวันได้ปล่อยให้เด็กนักเรียนศูนย์พัฒนาเด็กเล็กรวมทั้งโจทก์ที่ ๑ ออกมาเล่นนอกบริเวณอาคารเรียน โดยจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และครูเวรประจำวันทราบดีว่าที่ตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กดังกล่าวอยู่ติดกับที่ทำการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอปลวกแดงซึ่งมีเสาไฟฟ้าจำนวนมากวางกองเป็นชั้น ๆ หลายชั้น ชั้นละจำนวนหลายต้นติดกับแนวเขตศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในลักษณะที่น่าเป็นอันตราย แต่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และครูเวรประจำวันมิได้ใช้ความระมัดระวังโดยการห้ามมิให้เด็กนักเรียนรวมทั้งโจทก์ที่ ๑ วิ่งเล่นเข้าใกล้เสาไฟฟ้าดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑ ถูกเสาไฟฟ้าหล่นทับได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเหตุดังกล่าวเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ และครูเวรประจำวันที่ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลเด็กนักเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบตามหน้าที่รวมทั้งมิได้จัดทำรั้วกั้นบริเวณศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้เป็นสัดส่วน จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๗ กรณีจึงเป็นการฟ้องกล่าวหาว่าหน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิดอันเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครองตามมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มูลคดีในส่วนนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เช่นเดียวกัน ดังนั้น คดีนี้ทั้งคดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่นหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร บทบัญญัติดังกล่าวเป็นการกำหนดประเภทคดีปกครองที่เกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ โดยมุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ไม่รวมถึงการกระทำละเมิดอันมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ คดีนี้จำเลยที่ ๒ เป็นราชการส่วนท้องถิ่น มีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๕๐ (๖) และ (๗) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๑ ประกอบกับมาตรา ๑๖ (๙) และ (๑๐) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ในการสังคมสงเคราะห์ การพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก สตรี คนชรา และผู้ด้อยโอกาสและการจัดการศึกษาให้แก่ราษฎร มีจำเลยที่ ๓ เป็นผู้แทน และจำเลยที่ ๑ เป็นหัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัด ส่วนจำเลยที่ ๗ เป็นรัฐวิสาหกิจมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีวัตถุประสงค์ในการผลิต จัดให้ได้มา จัดส่ง และจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าในเขตส่วนภูมิภาคซึ่งอยู่นอกเขตท้องที่ที่การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการอยู่ และในประเทศใกล้เคียง ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๖ และมาตรา ๗ และมีอำนาจกระทำการต่าง ๆ ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ดังกล่าว ซึ่งรวมถึงอำนาจจัดระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตามมาตรา ๑๓ (๖) เมื่อโจทก์ ทั้งสามฟ้องว่า จำเลยที่ ๗ ไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอในการนำเสาไฟฟ้ามาวางกองไว้หลายชั้นและระหว่างชั้นได้นำท่อนไม้รองหนุนไว้ซึ่งไม่มีความแข็งแรงรองรับน้ำหนัก และละเลยไม่จัดเปลี่ยนท่อนไม้ที่ใช้รองเสาไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรง ทั้งไม่นำเสาไฟฟ้าไปกองไว้ที่อื่นซึ่งไม่ติดกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑ ถูกเสาไฟฟ้าหล่นทับได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ ๗ ที่โจทก์อ้าง กล่าวถึงการที่จำเลยที่ ๗ นำเสาไฟฟ้ามาวางกองหลายชั้นและระหว่างชั้นได้นำท่อนไม้รองหนุนไว้ซึ่งไม่มีความแข็งแรงรองรับน้ำหนัก และละเลยไม่จัดเปลี่ยนท่อนไม้ที่ใช้รองเสาไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรง และไม่นำเสาไฟฟ้าไปกองไว้ที่อื่นที่ไม่ติดกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑ ถูกเสาไฟฟ้าหล่นทับได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นอำนาจในการปฏิบัติหน้าที่โดยทั่วไปของจำเลยที่ ๗ เท่านั้น เหตุละเมิดหาใช่เกิดจากการใช้อำนาจในการผลิต จัดให้ได้มา จัดส่ง และจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นอำนาจโดยตรงของจำเลยที่ ๗ แต่อย่างใด ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างเด็กชายธนภัทร สุทธศิลป์ โดยนางสาวอุมาพร พรหมบุตร ผู้แทนโดยชอบธรรม ที่ ๑ นางสาวอุมาพร พรหมบุตร ที่ ๒ นายชาติ สุทธศิลป์ ที่ ๓ โจทก์ นางสาวทัศนีย์ สว่างแจ้ง ที่ ๑ เทศบาลตำบลบ้านปลวกแดง ที่ ๒ นายชัยยงค์ คูเพ็ญวิจิตตระการ ที่ ๓ นายเดชา สุนทราเดชอังกูร ที่ ๔ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอปลวกแดง ที่ ๕ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต ๒ (ภาคกลาง) จังหวัดชลบุรี ที่ ๖ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ ๗ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๔/๒๕๕๔
วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลจังหวัดสีคิ้ว
ระหว่าง
ศาลปกครองนครราชสีมา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดสีคิ้วโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๒ นางวารุณี สุนยี่ขัน ที่ ๑ นางสาวนิลาวัล บุญโปรด ที่ ๒ โจทก์ ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๑ ดาบตำรวจจำนงค์ แก้วหาญ ที่ ๒ บริษัทกรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลจังหวัดสีคิ้ว เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๔/๒๕๕๒ ความว่า เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจในสังกัดและบังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ถก ๙๕๑ กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๓ ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการในทางการงานของจำเลยที่ ๑ โดยขับรถยนต์คันดังกล่าวกลับจากการไปรับตัวผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์กลับสถานีตำรวจภูธรปากช่อง มาตามถนนสายปากช่อง - หัวลำ มุ่งหน้าไปยังอำเภอปากช่อง เมื่อมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งสภาพถนนเป็นทางลาดลงและเป็นเวลากลางคืนมีแสงสว่างไม่เพียงพอต่อการมองเห็น ตามวิสัยและพฤติการณ์ของบุคคลในภาวะเช่นจำเลยที่ ๒ ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยลดความเร็วของรถลงและขับรถให้อยู่ในช่องเดินรถของตนเองเพื่อความปลอดภัยหากมีรถคันอื่นแล่นสวนทางมา แต่จำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวด้วยความประมาทโดยขับด้วยความเร็วสูงและล้ำเข้าไปในช่องเดินรถฝั่งตรงข้าม เป็นเหตุให้ชนกับรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน งคง ๖๕๐ นครราชสีมา ที่โจทก์ที่ ๑ ขับสวนทางมาในช่องเดินรถของตนอย่างแรง ทำให้โจทก์ที่ ๑ ผู้ขับขี่และโจทก์ที่ ๒ ซึ่งนั่งซ้อนท้ายมาได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาทรมานจนไม่สามารถประกอบอาชีพการงานตามปกติได้เกินกว่า ๒๐ วัน และรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวของโจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหายทั้งคัน การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ ๒ เป็นการกระทำโดยประมาทและได้กระทำไปในขณะปฏิบัติหน้าที่ราชการในทางการงานของจำเลยที่ ๑ และเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง จำนวน ๑๔,๐๑๒,๐๔๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ เนื่องจากคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๒ กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ในทางการงานของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์คันเกิดเหตุกลับจากไปรับตัวผู้ต้องหาในคดีลักทรัพย์มายังสถานีตำรวจภูธรปากช่องพร้อมพนักงานสอบสวน โจทก์ทั้งสองย่อมต้องฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐต้นสังกัด แต่จะฟ้องจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๕ เหตุที่เกิดขึ้นมิได้เกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ ๒ แต่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ที่ ๑ ที่ขับรถล้ำเส้นกึ่งกลางทางเดินรถเข้าไปในช่องเดินรถสวนซึ่งเป็นช่องเดินรถของจำเลยที่ ๒ ในระยะกระชั้นชิด โดยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการขับรถตามสมควร และค่าเสียหายที่เรียกร้องนั้นสูงเกินส่วน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยที่ ๒ ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้นของจำเลยที่ ๑ จริง แต่จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ประมาทหรือกระทำละเมิดตามที่ฟ้อง หากแต่เป็นความประมาทของโจทก์ที่ ๑ เองแต่เพียงฝ่ายเดียว จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองเช่นกัน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นการยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐว่ากระทำประมาทเลินเล่อ ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง อันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ปฏิบัติ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลจังหวัดสีคิ้วพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๒ เป็นข้าราชการสังกัดจำเลยที่ ๑ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองกล่าวหาว่า จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๓ โดยประมาท เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ ๑ ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับบาดเจ็บ และรถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหาย ลักษณะของพฤติกรรมต่างๆ ที่โจทก์ทั้งสองอ้างเป็นการกล่าวถึงขั้นตอนที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๒ ในขณะขับรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อรับตัวผู้ต้องหามาควบคุมที่สถานีตำรวจ เพื่อให้การรับตัวผู้ต้องหากลับมาควบคุมที่สถานีตำรวจภูธรปากช่องบรรลุผล อันถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทั่วไปเท่านั้น หาใช่เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายแต่อย่างใดไม่ ทั้งการที่จะพิจารณาว่าจำเลยทั้งสามจะต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่เพียงใดนั้น ก็เป็นข้อพิพาทที่เกี่ยวพันกัน ซึ่งศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าจำเลยที่ ๒ กระทำละเมิดหรือไม่ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) หากแต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า บทบัญญัติในมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครองไว้เป็นการเฉพาะ ดังนั้น ในการพิจารณาเขตอำนาจศาลระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรม จึงต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นหลัก หากคดีใดไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองจึงจะอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม และหากคดีใดอยู่ในอำนาจของศาลปกครองแล้วศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา โดยที่มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงการกระทำละเมิดที่เกิดจากการดำเนินกิจการทางปกครอง ดังนั้น คดีนี้มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติหน้าที่พลขับของร้อยเวรสอบสวน โดยจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์ของทางราชการของจำเลยที่ ๑ ซึ่งทำประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๓ เพื่อไปรับตัวผู้ต้องหาในคดีลักทรัพย์กลับไปยังสถานีตำรวจภูธรปากช่อง โดยเดินทางพร้อมกับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรปากช่องซึ่งเป็นร้อยเวร และได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ที่กระบะหลังรถ จำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์มาตามถนนสายปากช่อง - หัวลำ และเกิดเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ ๑ เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัสและทำให้ทรัพย์ได้รับความเสียหาย เห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานของรัฐที่จำเลยที่ ๒ อยู่ในสังกัด มาตรา ๖ (๗) แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการอื่นใดเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ ตามมาตรา ๖ (๑) (๒) (๓) (๔) หรือ (๕) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของจำเลยที่ ๑ หรือตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เหตุพิพาทเกิดขึ้นในขณะที่จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติหน้าที่เป็นพลขับของร้อยเวรสอบสวนขับรถยนต์ของทางราชการระหว่างทางเพื่อรับตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปยังสถานีตำรวจภูธรปากช่อง เมื่อพิจารณาถึงเป้าหมายการเดินทางเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ทางปกครองอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ตามนัยมาตรา ๖ (๗) แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ อันเป็นการดำเนินกิจการทางปกครองของหน่วยงานทางปกครอง และมิใช่เป็นการกระทำตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นการเฉพาะ ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีลักษณะเป็นคดีปกครองตามมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๑ เป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าพนักงานตำรวจในสังกัดจำเลยที่ ๑ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร" อันเป็นการกำหนดประเภทคดีปกครองที่เกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ โดยมุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ไม่รวมถึงการกระทำละเมิดอันมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้โจทก์ทั้งสองอ้างว่า จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ที่ได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๓ ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการในทางการงานของจำเลยที่ ๑ โดยขับรถยนต์คันดังกล่าวกลับจากการไปรับตัวผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์กลับสถานีตำรวจภูธรปากช่อง แต่จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยประมาทชนกับรถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ ๑ ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๒ กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองโดยการขับรถ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทั่วไป หาใช่เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้ จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางวารุณี สุนยี่ขัน ที่ ๑ นางสาวนิลาวัล บุญโปรด ที่ ๒ โจทก์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๑ ดาบตำรวจจำนงค์ แก้วหาญ ที่ ๒ บริษัทกรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๔/๒๕๕๔
วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลจังหวัดสีคิ้ว
ระหว่าง
ศาลปกครองนครราชสีมา
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดสีคิ้วโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๒ นางวารุณี สุนยี่ขัน ที่ ๑ นางสาวนิลาวัล บุญโปรด ที่ ๒ โจทก์ ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๑ ดาบตำรวจจำนงค์ แก้วหาญ ที่ ๒ บริษัทกรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลจังหวัดสีคิ้ว เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๓๔/๒๕๕๒ ความว่า เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจในสังกัดและบังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ถก ๙๕๑ กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๓ ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการในทางการงานของจำเลยที่ ๑ โดยขับรถยนต์คันดังกล่าวกลับจากการไปรับตัวผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์กลับสถานีตำรวจภูธรปากช่อง มาตามถนนสายปากช่อง - หัวลำ มุ่งหน้าไปยังอำเภอปากช่อง เมื่อมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งสภาพถนนเป็นทางลาดลงและเป็นเวลากลางคืนมีแสงสว่างไม่เพียงพอต่อการมองเห็น ตามวิสัยและพฤติการณ์ของบุคคลในภาวะเช่นจำเลยที่ ๒ ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยลดความเร็วของรถลงและขับรถให้อยู่ในช่องเดินรถของตนเองเพื่อความปลอดภัยหากมีรถคันอื่นแล่นสวนทางมา แต่จำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวด้วยความประมาทโดยขับด้วยความเร็วสูงและล้ำเข้าไปในช่องเดินรถฝั่งตรงข้าม เป็นเหตุให้ชนกับรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน งคง ๖๕๐ นครราชสีมา ที่โจทก์ที่ ๑ ขับสวนทางมาในช่องเดินรถของตนอย่างแรง ทำให้โจทก์ที่ ๑ ผู้ขับขี่และโจทก์ที่ ๒ ซึ่งนั่งซ้อนท้ายมาได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาทรมานจนไม่สามารถประกอบอาชีพการงานตามปกติได้เกินกว่า ๒๐ วัน และรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวของโจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหายทั้งคัน การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ ๒ เป็นการกระทำโดยประมาทและได้กระทำไปในขณะปฏิบัติหน้าที่ราชการในทางการงานของจำเลยที่ ๑ และเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง จำนวน ๑๔,๐๑๒,๐๔๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ เนื่องจากคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๒ กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ในทางการงานของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์คันเกิดเหตุกลับจากไปรับตัวผู้ต้องหาในคดีลักทรัพย์มายังสถานีตำรวจภูธรปากช่องพร้อมพนักงานสอบสวน โจทก์ทั้งสองย่อมต้องฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐต้นสังกัด แต่จะฟ้องจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๕ เหตุที่เกิดขึ้นมิได้เกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ ๒ แต่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ที่ ๑ ที่ขับรถล้ำเส้นกึ่งกลางทางเดินรถเข้าไปในช่องเดินรถสวนซึ่งเป็นช่องเดินรถของจำเลยที่ ๒ ในระยะกระชั้นชิด โดยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการขับรถตามสมควร และค่าเสียหายที่เรียกร้องนั้นสูงเกินส่วน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยที่ ๒ ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้นของจำเลยที่ ๑ จริง แต่จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ประมาทหรือกระทำละเมิดตามที่ฟ้อง หากแต่เป็นความประมาทของโจทก์ที่ ๑ เองแต่เพียงฝ่ายเดียว จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองเช่นกัน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นการยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐว่ากระทำประมาทเลินเล่อ ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง อันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ปฏิบัติ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลจังหวัดสีคิ้วพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๒ เป็นข้าราชการสังกัดจำเลยที่ ๑ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองกล่าวหาว่า จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๓ โดยประมาท เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ ๑ ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับบาดเจ็บ และรถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหาย ลักษณะของพฤติกรรมต่างๆ ที่โจทก์ทั้งสองอ้างเป็นการกล่าวถึงขั้นตอนที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๒ ในขณะขับรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อรับตัวผู้ต้องหามาควบคุมที่สถานีตำรวจ เพื่อให้การรับตัวผู้ต้องหากลับมาควบคุมที่สถานีตำรวจภูธรปากช่องบรรลุผล อันถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทั่วไปเท่านั้น หาใช่เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายแต่อย่างใดไม่ ทั้งการที่จะพิจารณาว่าจำเลยทั้งสามจะต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่เพียงใดนั้น ก็เป็นข้อพิพาทที่เกี่ยวพันกัน ซึ่งศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าจำเลยที่ ๒ กระทำละเมิดหรือไม่ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) หากแต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า บทบัญญัติในมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครองไว้เป็นการเฉพาะ ดังนั้น ในการพิจารณาเขตอำนาจศาลระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรม จึงต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นหลัก หากคดีใดไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองจึงจะอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม และหากคดีใดอยู่ในอำนาจของศาลปกครองแล้วศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา โดยที่มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงการกระทำละเมิดที่เกิดจากการดำเนินกิจการทางปกครอง ดังนั้น คดีนี้มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติหน้าที่พลขับของร้อยเวรสอบสวน โดยจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์ของทางราชการของจำเลยที่ ๑ ซึ่งทำประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๓ เพื่อไปรับตัวผู้ต้องหาในคดีลักทรัพย์กลับไปยังสถานีตำรวจภูธรปากช่อง โดยเดินทางพร้อมกับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรปากช่องซึ่งเป็นร้อยเวร และได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ที่กระบะหลังรถ จำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์มาตามถนนสายปากช่อง - หัวลำ และเกิดเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ ๑ เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัสและทำให้ทรัพย์ได้รับความเสียหาย เห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานของรัฐที่จำเลยที่ ๒ อยู่ในสังกัด มาตรา ๖ (๗) แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการอื่นใดเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ ตามมาตรา ๖ (๑) (๒) (๓) (๔) หรือ (๕) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของจำเลยที่ ๑ หรือตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เหตุพิพาทเกิดขึ้นในขณะที่จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติหน้าที่เป็นพลขับของร้อยเวรสอบสวนขับรถยนต์ของทางราชการระหว่างทางเพื่อรับตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปยังสถานีตำรวจภูธรปากช่อง เมื่อพิจารณาถึงเป้าหมายการเดินทางเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ทางปกครองอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ตามนัยมาตรา ๖ (๗) แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ อันเป็นการดำเนินกิจการทางปกครองของหน่วยงานทางปกครอง และมิใช่เป็นการกระทำตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นการเฉพาะ ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีลักษณะเป็นคดีปกครองตามมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๑ เป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าพนักงานตำรวจในสังกัดจำเลยที่ ๑ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ "ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร" อันเป็นการกำหนดประเภทคดีปกครองที่เกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ โดยมุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ไม่รวมถึงการกระทำละเมิดอันมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้โจทก์ทั้งสองอ้างว่า จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ที่ได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๓ ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการในทางการงานของจำเลยที่ ๑ โดยขับรถยนต์คันดังกล่าวกลับจากการไปรับตัวผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์กลับสถานีตำรวจภูธรปากช่อง แต่จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยประมาทชนกับรถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ ๑ ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๒ กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองโดยการขับรถ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทั่วไป หาใช่เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้ จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางวารุณี สุนยี่ขัน ที่ ๑ นางสาวนิลาวัล บุญโปรด ที่ ๒ โจทก์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๑ ดาบตำรวจจำนงค์ แก้วหาญ ที่ ๒ บริษัทกรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๓/๒๕๕๔
วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองขอนแก่น
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ นางสาวศรวิวัลย์ หรือล้อม มุลเมือง โจทก์ ยื่นฟ้อง กรมชลประทาน จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๙๓๗/๒๕๕๑ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของและครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๑๗ ตำบลหนองเทาใหญ่ อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม เนื้อที่ ๒๕ ไร่ ๑ งาน ๑๐ ตารางวา โดยรับมรดกมาจากบิดา จำเลยซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วนจำนวน ๕ ไร่ ๓๖ ตารางวา เพื่อสร้างประตูระบายน้ำในโครงการน้ำก่ำและโครงการพัฒนาลุ่มน้ำสงครามของจำเลย เมื่อจำเลยเข้าก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านตับเต่าตามโครงการดังกล่าวเจ้าหน้าที่ของจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ในส่วนที่ไม่ได้ขายให้แก่จำเลยแล้วทำการขุด เจาะ และก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และลึกลงไปในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ไม่น้อยกว่า ๒ ไร่ ต่อมาจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ขายที่ดินบริเวณดังกล่าวอ้างว่าได้มีพระราชกฤษฎีกาให้เวนคืนที่ดินดังกล่าวและได้ฝากเงินค่าเวนคืนที่ดินพร้อมค่าทดแทนไม้ยืนต้น จำนวน ๘๙,๘๐๐ บาท ไว้ที่ธนาคารให้แก่โจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่ประสงค์จะรับเงินดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่า การปฏิบัติงานในหน้าที่ของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำละเมิดและก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อโจทก์ ขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท และให้จำเลยทำที่ดินให้กลับคืนสภาพเดิม หากไม่สามารถทำได้ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีกเป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ถือเอาเงินจำนวน ๘๙,๘๐๐ บาท ที่จำเลยวางไว้แก่โจทก์ที่ธนาคารดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งแห่งค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับงบประมาณมาก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านตับเต่าจึงจัดซื้อที่ดินจากราษฎรในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว โดยในส่วนที่ดินของโจทก์ซื้อไว้ ๒ จุด จุดแรกเนื้อที่ ๑ งาน ๙๕ ตารางวา จุดที่ ๒ เนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน ๔๑ ตารางวา แต่ที่ดินจุดที่ ๒ ไม่พอก่อสร้าง จำเลยจึงขอซื้อที่ดินจากโจทก์เพิ่มเติมประมาณ ๒ ไร่เศษ แต่โจทก์ไม่ยอมขายอ้างว่าทางโครงการใช้พื้นที่เกินกว่าที่ตกลงไว้ จำเลยเพียงแต่ปักหลักเขตให้เห็นว่าจะต้องใช้พื้นที่เพิ่มเติมจากที่ซื้อไว้เดิมว่าเป็นจำนวนเนื้อที่เท่าใด จำเลยไม่ได้เข้าไปขุด เจาะ ก่อสร้างหรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จำเลยก่อสร้างในพื้นที่ที่จำเลยซื้อมาจากโจทก์เท่านั้น จำเลยระงับการก่อสร้างในบริเวณดังกล่าวตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ และในปี ๒๕๔๙ ได้มีพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินของโจทก์เนื้อที่ ๒ ไร่ ๖๘ ตารางวา ตามที่จำเลยร้องขอ จำเลยนำเงินค่าเวนคืนฝากธนาคารในนามของโจทก์แล้ว แต่ไม่อาจเข้าไปก่อสร้างได้เนื่องจากโจทก์กับพวกขัดขวาง จำเลยไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการบุกรุกเข้าไปก่อสร้างในที่ดินพิพาทของโจทก์และพื้นที่ต่อเนื่องประมาณ ๑๐ กว่าไร่ ได้รับความเสียหายไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่น ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่เอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานปกครองว่ากระทำละเมิดโดยบุกรุกเข้าไปขุดเจาะเพื่อก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านตับเต่าตามโครงการของจำเลยในที่ดินของโจทก์ ทำให้ที่ดินของโจทก์เสียหาย ใช้ทำประโยชน์ไม่ได้อย่างเช่นเคยและเกิดแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ขอให้จำเลยทำให้ที่ดินของโจทก์บริเวณที่จำเลยขุดเจาะก่อสร้างให้กลับคืนดังเดิม โดยจำเลยเสียค่าใช้จ่ายเองและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า ไม่ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จำเลยได้ทำการก่อสร้างในเขตที่ดินที่จำเลยซื้อมาจากโจทก์เท่านั้น ส่วนที่ดินของโจทก์ที่เสียหายใช้ทำประโยชน์อย่างเช่นเคยไม่ได้นั้นก็เป็นมาแต่ก่อนอยู่แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด ดังนั้นคดีนี้ศาลจึงต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลยแล้ว จึงจะพิจารณาต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นละเมิดหรือไม่ จะต้องชดใช้ค่าเสียหายเพียงใด อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองขอนแก่นพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครอง เป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คดีนี้จำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยที่มาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช ๒๔๘๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้บัญญัติให้กรมชลประทานมีอำนาจนำเอาอสังหาริมทรัพย์ของเอกชนไปใช้เพื่อประโยชน์แก่กรมชลประทานได้ โดยการตกลงการโอนกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้ามิได้ตกลงการโอนไว้เป็นอย่างอื่นให้ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมาย ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนั้น ข้อ ๑ แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ กำหนดให้จำเลยมีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำตามศักยภาพของลุ่มน้ำให้เพียงพอโดยการจัดสรรน้ำให้กับผู้ใช้น้ำทุกประเภทเพื่อให้ผู้ใช้น้ำได้รับน้ำอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ตลอดจนป้องกันความเสียหายอันเกิดจากน้ำ โดยมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการจัดให้ได้มาซึ่งน้ำ หรือกัก เก็บ รักษา ควบคุม ส่ง ระบายหรือแบ่งน้ำเพื่อเกษตรกรรม การพลังงาน การสาธารณูปโภคหรือการอุตสาหกรรม ดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันความเสียหายอันเกิดจากน้ำ ความปลอดภัยของเขื่อนและอาคารประกอบฯ รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมชลประทาน หรือตามที่กระทรวง หรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย ดังนั้นการก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านตับเต่าตามโครงการน้ำก่ำและโครงการพัฒนาลุ่มน้ำสงครามของจำเลย จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง และปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินกิจการทางปกครองตามที่กฎหมายกำหนด การที่โจทก์ฟ้องว่าการดำเนินโครงการของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีตามฟ้องของโจทก์ จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว สำหรับประเด็นที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลย นั้น เห็นว่า โดยที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จึงได้ดำเนินการขอซื้อเพิ่มเติมและได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินดังกล่าวภายหลัง ไม่มีข้อเท็จจริงใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยโต้แย้งเรื่องสิทธิในที่ดิน คดีจึงไม่มีประเด็นพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า โดยที่มาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช ๒๔๘๕ บัญญัติให้จำเลยมีอำนาจนำเอาอสังหาริมทรัพย์ของเอกชนไปใช้ประโยชน์แก่การชลประทานได้ โดยการตกลงการโอนกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้ามิได้ตกลงการโอนไว้ เป็นอย่างอื่นให้ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ จำเลยยังมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการจัดให้ได้มาซึ่งน้ำ หรือกัก เก็บ รักษา ควบคุม ส่ง ระบายหรือแบ่งน้ำเพื่อเกษตรกรรม การพลังงาน การสาธารณูปโภค หรือการอุตสาหกรรม ดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันความเสียหายอันเกิดจากน้ำ ความปลอดภัยของเขื่อนและอาคารประกอบฯ ตามข้อ ๑ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ การก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านตับเต่าตามโครงการน้ำก่ำและโครงการพัฒนาลุ่มน้ำสงครามของจำเลย จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองและปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินกิจการทางปกครองตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อโจทก์ฟ้องว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวของจำเลยได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ในส่วนที่โจทก์ไม่ได้ขายให้แก่จำเลย และเมื่อโจทก์ไม่ยอมขายที่ดินบริเวณพิพาทให้แก่จำเลยเพิ่มเติม จำเลยจึงออก พระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินบริเวณที่ต้องใช้เพิ่มเติมดังกล่าว ซึ่งโจทก์เห็นว่ามีเจตนาเพื่อกลบเกลื่อนปิดบังหรือลบล้างความผิดอันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีจึงเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองและการดำเนินกิจการทางปกครอง และเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ประกอบกับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งจำเลยก็ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จึงขอซื้อเพิ่มเติมและออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินดังกล่าวในภายหลัง คดีนี้จึงไม่มีข้อโต้แย้งหรือประเด็นพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวศรวิวัลย์ หรือล้อม มุลเมือง โจทก์ กรมชลประทาน จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๓/๒๕๕๔
วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองขอนแก่น
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ นางสาวศรวิวัลย์ หรือล้อม มุลเมือง โจทก์ ยื่นฟ้อง กรมชลประทาน จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๙๓๗/๒๕๕๑ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของและครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๑๗ ตำบลหนองเทาใหญ่ อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม เนื้อที่ ๒๕ ไร่ ๑ งาน ๑๐ ตารางวา โดยรับมรดกมาจากบิดา จำเลยซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วนจำนวน ๕ ไร่ ๓๖ ตารางวา เพื่อสร้างประตูระบายน้ำในโครงการน้ำก่ำและโครงการพัฒนาลุ่มน้ำสงครามของจำเลย เมื่อจำเลยเข้าก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านตับเต่าตามโครงการดังกล่าวเจ้าหน้าที่ของจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ในส่วนที่ไม่ได้ขายให้แก่จำเลยแล้วทำการขุด เจาะ และก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และลึกลงไปในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ไม่น้อยกว่า ๒ ไร่ ต่อมาจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ขายที่ดินบริเวณดังกล่าวอ้างว่าได้มีพระราชกฤษฎีกาให้เวนคืนที่ดินดังกล่าวและได้ฝากเงินค่าเวนคืนที่ดินพร้อมค่าทดแทนไม้ยืนต้น จำนวน ๘๙,๘๐๐ บาท ไว้ที่ธนาคารให้แก่โจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่ประสงค์จะรับเงินดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่า การปฏิบัติงานในหน้าที่ของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำละเมิดและก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อโจทก์ ขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท และให้จำเลยทำที่ดินให้กลับคืนสภาพเดิม หากไม่สามารถทำได้ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีกเป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ถือเอาเงินจำนวน ๘๙,๘๐๐ บาท ที่จำเลยวางไว้แก่โจทก์ที่ธนาคารดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งแห่งค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับงบประมาณมาก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านตับเต่าจึงจัดซื้อที่ดินจากราษฎรในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว โดยในส่วนที่ดินของโจทก์ซื้อไว้ ๒ จุด จุดแรกเนื้อที่ ๑ งาน ๙๕ ตารางวา จุดที่ ๒ เนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน ๔๑ ตารางวา แต่ที่ดินจุดที่ ๒ ไม่พอก่อสร้าง จำเลยจึงขอซื้อที่ดินจากโจทก์เพิ่มเติมประมาณ ๒ ไร่เศษ แต่โจทก์ไม่ยอมขายอ้างว่าทางโครงการใช้พื้นที่เกินกว่าที่ตกลงไว้ จำเลยเพียงแต่ปักหลักเขตให้เห็นว่าจะต้องใช้พื้นที่เพิ่มเติมจากที่ซื้อไว้เดิมว่าเป็นจำนวนเนื้อที่เท่าใด จำเลยไม่ได้เข้าไปขุด เจาะ ก่อสร้างหรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จำเลยก่อสร้างในพื้นที่ที่จำเลยซื้อมาจากโจทก์เท่านั้น จำเลยระงับการก่อสร้างในบริเวณดังกล่าวตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ และในปี ๒๕๔๙ ได้มีพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินของโจทก์เนื้อที่ ๒ ไร่ ๖๘ ตารางวา ตามที่จำเลยร้องขอ จำเลยนำเงินค่าเวนคืนฝากธนาคารในนามของโจทก์แล้ว แต่ไม่อาจเข้าไปก่อสร้างได้เนื่องจากโจทก์กับพวกขัดขวาง จำเลยไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการบุกรุกเข้าไปก่อสร้างในที่ดินพิพาทของโจทก์และพื้นที่ต่อเนื่องประมาณ ๑๐ กว่าไร่ ได้รับความเสียหายไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่น ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่เอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานปกครองว่ากระทำละเมิดโดยบุกรุกเข้าไปขุดเจาะเพื่อก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านตับเต่าตามโครงการของจำเลยในที่ดินของโจทก์ ทำให้ที่ดินของโจทก์เสียหาย ใช้ทำประโยชน์ไม่ได้อย่างเช่นเคยและเกิดแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ขอให้จำเลยทำให้ที่ดินของโจทก์บริเวณที่จำเลยขุดเจาะก่อสร้างให้กลับคืนดังเดิม โดยจำเลยเสียค่าใช้จ่ายเองและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า ไม่ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จำเลยได้ทำการก่อสร้างในเขตที่ดินที่จำเลยซื้อมาจากโจทก์เท่านั้น ส่วนที่ดินของโจทก์ที่เสียหายใช้ทำประโยชน์อย่างเช่นเคยไม่ได้นั้นก็เป็นมาแต่ก่อนอยู่แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด ดังนั้นคดีนี้ศาลจึงต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลยแล้ว จึงจะพิจารณาต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นละเมิดหรือไม่ จะต้องชดใช้ค่าเสียหายเพียงใด อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองขอนแก่นพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครอง เป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คดีนี้จำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยที่มาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช ๒๔๘๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้บัญญัติให้กรมชลประทานมีอำนาจนำเอาอสังหาริมทรัพย์ของเอกชนไปใช้เพื่อประโยชน์แก่กรมชลประทานได้ โดยการตกลงการโอนกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้ามิได้ตกลงการโอนไว้เป็นอย่างอื่นให้ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมาย ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนั้น ข้อ ๑ แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ กำหนดให้จำเลยมีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำตามศักยภาพของลุ่มน้ำให้เพียงพอโดยการจัดสรรน้ำให้กับผู้ใช้น้ำทุกประเภทเพื่อให้ผู้ใช้น้ำได้รับน้ำอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ตลอดจนป้องกันความเสียหายอันเกิดจากน้ำ โดยมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการจัดให้ได้มาซึ่งน้ำ หรือกัก เก็บ รักษา ควบคุม ส่ง ระบายหรือแบ่งน้ำเพื่อเกษตรกรรม การพลังงาน การสาธารณูปโภคหรือการอุตสาหกรรม ดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันความเสียหายอันเกิดจากน้ำ ความปลอดภัยของเขื่อนและอาคารประกอบฯ รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมชลประทาน หรือตามที่กระทรวง หรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย ดังนั้นการก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านตับเต่าตามโครงการน้ำก่ำและโครงการพัฒนาลุ่มน้ำสงครามของจำเลย จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง และปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินกิจการทางปกครองตามที่กฎหมายกำหนด การที่โจทก์ฟ้องว่าการดำเนินโครงการของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีตามฟ้องของโจทก์ จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว สำหรับประเด็นที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลย นั้น เห็นว่า โดยที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จึงได้ดำเนินการขอซื้อเพิ่มเติมและได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินดังกล่าวภายหลัง ไม่มีข้อเท็จจริงใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยโต้แย้งเรื่องสิทธิในที่ดิน คดีจึงไม่มีประเด็นพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า โดยที่มาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช ๒๔๘๕ บัญญัติให้จำเลยมีอำนาจนำเอาอสังหาริมทรัพย์ของเอกชนไปใช้ประโยชน์แก่การชลประทานได้ โดยการตกลงการโอนกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้ามิได้ตกลงการโอนไว้ เป็นอย่างอื่นให้ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ จำเลยยังมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการจัดให้ได้มาซึ่งน้ำ หรือกัก เก็บ รักษา ควบคุม ส่ง ระบายหรือแบ่งน้ำเพื่อเกษตรกรรม การพลังงาน การสาธารณูปโภค หรือการอุตสาหกรรม ดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันความเสียหายอันเกิดจากน้ำ ความปลอดภัยของเขื่อนและอาคารประกอบฯ ตามข้อ ๑ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ การก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านตับเต่าตามโครงการน้ำก่ำและโครงการพัฒนาลุ่มน้ำสงครามของจำเลย จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองและปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินกิจการทางปกครองตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อโจทก์ฟ้องว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวของจำเลยได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ในส่วนที่โจทก์ไม่ได้ขายให้แก่จำเลย และเมื่อโจทก์ไม่ยอมขายที่ดินบริเวณพิพาทให้แก่จำเลยเพิ่มเติม จำเลยจึงออก พระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินบริเวณที่ต้องใช้เพิ่มเติมดังกล่าว ซึ่งโจทก์เห็นว่ามีเจตนาเพื่อกลบเกลื่อนปิดบังหรือลบล้างความผิดอันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีจึงเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองและการดำเนินกิจการทางปกครอง และเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ประกอบกับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งจำเลยก็ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จึงขอซื้อเพิ่มเติมและออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินดังกล่าวในภายหลัง คดีนี้จึงไม่มีข้อโต้แย้งหรือประเด็นพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวศรวิวัลย์ หรือล้อม มุลเมือง โจทก์ กรมชลประทาน จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศิลปชัย สรภักดี (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศิลปชัย สรภักดี) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|