ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๘/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นางสาวนุชจรินทร์ รัตนพิทักษ์ โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๘๕/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองคำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวนุชจรินทร์ รัตนพิทักษ์ โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๘/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นางสาวนุชจรินทร์ รัตนพิทักษ์ โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๘๕/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองคำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวนุชจรินทร์ รัตนพิทักษ์ โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๗/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นางสาวมณีรัตน์ สุขจิตต์นิตยกาล โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๘๔/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้ จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวมณีรัตน์ สุขจิตต์นิตยกาล โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๗/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นางสาวมณีรัตน์ สุขจิตต์นิตยกาล โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๘๔/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้ จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวมณีรัตน์ สุขจิตต์นิตยกาล โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๖/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นายจุลพงษ์ ลิมปสุธรรม โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๘๓/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายจุลพงษ์ ลิมปสุธรรม โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๖/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นายจุลพงษ์ ลิมปสุธรรม โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๘๓/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายจุลพงษ์ ลิมปสุธรรม โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๕/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นางสาวกิ่งกาญจน์ เรืองรองรัศมี โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๘๒/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาด ซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวกิ่งกาญจน์ เรืองรองรัศมี โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๕/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นางสาวกิ่งกาญจน์ เรืองรองรัศมี โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๘๒/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาด ซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวกิ่งกาญจน์ เรืองรองรัศมี โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๔/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นางสุดาวัลย์ ชิยารัชต์ โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๘๑/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสุดาวัลย์ ชิยารัชต์ โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๔/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นางสุดาวัลย์ ชิยารัชต์ โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๘๑/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสุดาวัลย์ ชิยารัชต์ โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๓/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่อง
อำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นางสาวนิภา ตั้งคติธรรม โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๘๐/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้ จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์
เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวนิภา ตั้งคติธรรม โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๓/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่อง
อำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นางสาวนิภา ตั้งคติธรรม โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๘๐/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้ จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์
เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวนิภา ตั้งคติธรรม โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๒/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่อง
อำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นางสาวพัชรี ธนาบริพัฒน์ โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๗๙/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวพัชรี ธนาบริพัฒน์ โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๒/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่อง
อำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นางสาวพัชรี ธนาบริพัฒน์ โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๗๙/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวพัชรี ธนาบริพัฒน์ โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๑/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นางสาวพนัชกร บุญสิงห์ศร โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๗๘/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้ จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวพนัชกร บุญสิงห์ศร โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๑/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นางสาวพนัชกร บุญสิงห์ศร โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๗๘/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้ จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวพนัชกร บุญสิงห์ศร โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๐/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นายเอี่ยม เรือนงาม โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๗๗/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายเอี่ยม เรือนงาม โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๐/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นายเอี่ยม เรือนงาม โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๗๗/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าว จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายเอี่ยม เรือนงาม โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๙/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นายมนตรี เพชรศรี โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๗๕/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายมนตรี เพชรศรี โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๙/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นายมนตรี เพชรศรี โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๗๕/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายมนตรี เพชรศรี โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๘/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นายอรรถกร สยมภาค โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๗๔/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายอรรถกร สยมภาค โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๘/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นายอรรถกร สยมภาค โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๗๔/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายอรรถกร สยมภาค โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๗/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นายประเสริฐ กล้าแห่งงาน โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๗๓/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายประเสริฐ กล้าแห่งงาน โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๗/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นายประเสริฐ กล้าแห่งงาน โจทก์ ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๗๓/๒๕๕๒ ความว่า จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะจัดให้มีตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๓ จึงมอบหมายให้ตัวแทนยื่นคำขอจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดหาที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เช่า โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยที่ ๒ ตกลงเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๓๙ ที่ ๑๓๔๐ และที่ ๑๓๔๑ เลขที่ดิน ๑๑ ๗๑ และ ๑๙ แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร รวม ๓ โฉนด เนื้อที่ ๘๓ ไร่ ๑ งาน ๖.๕ ตารางวา กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสวนพฤกษศาสตร์กรุงเทพ มีกำหนดระยะเวลา ๒๙ ปี ๔ เดือน ๑๓ วัน โดยสัญญาเช่าระบุให้จำเลยที่ ๒ สามารถนำที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงได้ โดยจดทะเบียนการเช่าเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนการเช่าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในการบริหารสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จัดตั้งบริษัทเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากที่ดินที่เช่า โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติให้เคร่งครัดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพื่อให้การบริหารงานของจำเลยที่ ๓ เป็นไปโดยสะดวก จำเลยที่ ๓ จึงเข้าเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังได้เสนอที่ดินเพื่อให้จำเลยที่ ๑ เช่า เพียงรายเดียว โดยไม่มีการแข่งขันในการเสนอให้เช่าอย่างเป็นธรรม จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงเป็นโมฆะ ต่อมาประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งสามได้ประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จะมีแผงค้าจำนวน ๕,๖๘๑ แผง และจะมีผู้ค้ารายย่อยในขณะส่งมอบพื้นที่ให้จำเลยที่ ๑ ต้องไม่น้อยกว่า ๒,๘๔๐ ราย โดยจะให้ผู้เช่าแผงรายย่อยซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาและเสียค่าก่อสร้างได้เช่า มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี โจทก์ได้จองเช่าพื้นที่กับจำเลยทั้งสาม และได้ออกค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีผู้ค้ารายย่อยส่งให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญา ในส่วนของศูนย์อาหารจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้จัดให้ผู้ค้ารายย่อยซึ่งเป็นผู้ชำระค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ บริหารแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ กลับให้ตัวแทนหรือบริวารเข้ามาบริหารจัดการแสวงหาประโยชน์จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่จำเลยที่ ๒ ได้ส่งมอบตลาดสนามหลวง ๒ ให้จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้ให้โจทก์เช่าพื้นที่มีกำหนดระยะเวลา ๑๐ ปี ตามที่ประกาศโฆษณาไว้ การที่โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวร และชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้กับจำเลยทั้งสามเพราะเชื่อตามประกาศโฆษณาเชิญชวนของจำเลยทั้งสามว่าการเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะ การที่จำเลยทั้งสามรับเงินไว้จากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้นิติกรรมการเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และนิติกรรมการจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องสำนักงานตลาด พ.ศ. ๒๕๓๔ และระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยวิธีการตกลงราคาและเป็นการเช่าเพื่อประโยชน์ในการขยายตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) อันเป็นงานในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ไม่ผิดตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ การเช่าช่วงดังกล่าว รวมทั้งสัญญาเช่าแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นไปตามหลักการทำนิติกรรมสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่เป็นโมฆะ โครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) ส่วนขยาย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกประกาศโฆษณาเชิญชวน และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารตลาด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารการก่อสร้างและการขาย โจทก์ทำสัญญาจองแผงค้ากับจำเลยที่ ๒ และทำสัญญาเช่าแผงค้ากับจำเลยที่ ๑ ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญหรือให้สัญญาด้วยประการใดๆ จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ การเข้าทำสัญญาของโจทก์มิใช่เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ แต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแผงค้าถาวรแล้ว โจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและไม่ชำระค่าเช่ารายเดือนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระค่าเช่า แต่โจทก์เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเช่าแผงค้าถาวรอีกต่อไปและเป็นผู้ผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์อ้างว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญา จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ แต่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดหาผู้ค้ารายย่อย และเป็นผู้เรียกเก็บค่าพัฒนาและก่อสร้าง นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าแผงค้าถาวร จำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าเช่ารายเดือนจากโจทก์เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่มีหน้าที่ความรับผิดใดในสัญญาเช่าช่วงที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การทำสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นการเช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๘ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ ตามเอกสารแผ่นพับโฆษณาไม่มีข้อความอันเป็นเท็จ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลใดรวมถึงโจทก์ที่จะหลงเชื่อ การทำสัญญาจองแผงค้าของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และการทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม และไม่เป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่ทำสัญญา อีกทั้งไม่เป็นการทำสัญญาที่สำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันจะทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ คดีขาดอายุความ คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำความอันเป็นเท็จมากล่าวอ้างฟ้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ และไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ เนื่องจากโจทก์ยังใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอันมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะต่างๆ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๘๙ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินกับจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดทำเป็นโครงการตลาดธนบุรี (สนามหลวง ๒) จำนวน ๕,๖๘๑ แผง และตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าช่วง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าช่วงตกลงให้ผลประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วงเป็นค่าเช่ารายเดือนในอัตราเดือนละ ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท โดยที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่ากับประชาชนผู้ค้าแผงรายย่อยที่สนใจเพื่อเก็บค่าเช่าแผงเป็นรายเดือนอีกทอดหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ต้องชำระค่าเช่าแผงเดือนละ ๗๕๐ บาท เมื่อคำนวณรายได้ที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ค้าแผงถาวรที่ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างตลาด และผู้ค้าแผงทั่วไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า ๔,๒๖๐,๗๕๐ บาท ซึ่งลักษณะการดำเนินงานดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคโดยตรงหรือโดยสภาพอันจะมีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หากแต่เป็นการดำเนินการในเชิงพาณิชย์โดยมิได้มีการใช้เอกสิทธิ์ของรัฐเหนือคู่สัญญาเพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองบรรลุผล อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่สัญญาอันมีลักษณะเป็นเอกเทศสัญญาระหว่างบุคคล ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์แผงค้าถาวรตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ต่อสัญญาเช่า และไม่ชำระค่าเช่ารายเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้าง ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ ๓ ที่ว่าโจทก์ยังคงใช้สิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งโดยแท้เช่นเดียวกัน ความรับผิดของจำเลยทั้งสามจะมีต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นลักษณะของนิติกรรมสัญญา มิใช่ลักษณะของสัญญาทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ การจองแผงค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีพิพาทในทางแพ่งระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดให้มีและควบคุมตลาด และมาตรา ๑๘ ประกอบกับมาตรา ๑๖ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองในการจัดให้มีและควบคุมตลาด ซึ่งการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมต้องหมายถึงการดำเนินการทั้งปวงเพื่อจัดให้มีตลาดสำหรับให้บริการแก่ประชาชนนับตั้งแต่การจัดหาที่ดิน การก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจัดให้มีผู้ค้ามาจำหน่ายสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนด โดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคมากกว่าการแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์เยี่ยงการดำเนินกิจการตลาดของเอกชนทั่วไป และมูลคดีนี้สืบเนื่องจากการที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการจัดให้มีตลาดอันเป็นบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้เช่าแผงค้ากับโจทก์ สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรนี้จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอันได้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง และการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินจากจำเลยที่ ๒ เพื่อนำมาก่อสร้างตลาด และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าแผงค้าถาวรเพื่อให้โจทก์จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ประชาชนในตลาดนั้น ทำให้การจัดให้ตลาดเพื่อให้บริการแก่ประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ บรรลุผล สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาให้เช่าแผงค้าดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ และโจทก์เข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง สัญญาเช่าช่วงที่ดินและสัญญาเช่าแผงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะและให้คืนเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีพิพาทในกรณีดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เข้าทำสัญญาจองแผงค้า สัญญาเช่าแผงค้าถาวรและชำระเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยทั้งสาม เนื่องจากเชื่อตามประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่าสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์จะได้เช่าแผงค้ามีกำหนดเวลา ๑๐ ปี จึงเป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖ สัญญาทั้งสองฉบับจึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาของโจทก์ทั้งสองฉบับและเพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าพัฒนาและค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ความประสงค์หลักของโจทก์ในคดีนี้ คือต้องการฟ้องเพิกถอนสัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ตามลำดับ โดยมีข้ออ้างว่าสัญญาหลักที่จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะส่งผลให้สัญญาจองแผงค้าและสัญญาเช่าแผงค้าถาวรที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสัญญาทั้งสองฉบับนี้เป็นหลักว่าเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครองหรือสัญญาทางแพ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาจองแผงค้าที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเอกชน ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ก็ยืนยันว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ดำเนินการก่อสร้างตลาดและจัดหาผู้ค้ารายย่อย มิใช่ผู้บริหารตลาดอันจะถือว่าเป็นการบริการสาธารณะ สัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทำขึ้นนี้ จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งธรรมดาที่มิได้มีลักษณะเป็นการจัดให้มีบริการสาธารณะ ส่วนสัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามความหมายของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ข้อกำหนดของสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงการให้เช่าสถานที่ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งระหว่างเอกชนด้วยกัน มิได้มีข้อกำหนดพิเศษที่จะให้พิจารณาได้ว่ามีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง หรือเป็นการมอบหมายให้โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนเป็นผู้จัดให้มีบริการสาธารณะแทนจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๑ ประสงค์เพียงค่าเช่าแผงค้ารายเดือนซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกับเอกชน สัญญาเช่าแผงค้าถาวรระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่ง มิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิจารณาประการสุดท้าย สำหรับสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการจัดให้มีตลาดซึ่งเป็นบริการสาธารณะตามที่มีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงการเช่าพื้นที่จากจำเลยที่ ๒ มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๒ บริหารตลาด สัญญาเช่าช่วงที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาทางแพ่งธรรมดา ที่มิได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นี้ เป็นเพียงข้ออ้างของโจทก์เพื่อนำมาสู่การขอเพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๑ ทั้งสองฉบับที่กล่าวมาและขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินคืน เมื่อความประสงค์หลักของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีที่ศาลจะต้องพิจารณานี้ เป็นสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาในศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความ
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายประเสริฐ กล้าแห่งงาน โจทก์ กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ บริษัทไทเทวราช จำกัด ที่ ๒ นายเอธัส มนต์เสรีนุสรณ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๖/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองพิษณุโลก
ระหว่าง
ศาลจังหวัดพิจิตร
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองพิษณุโลกโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ นางสาวดำ มามี ที่ ๑ นายเล็ก มามี ที่ ๒ นางสาวภัทราพรมามี ที่ ๓ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง นายอำเภอสามง่าม ที่ ๑ เจ้าพนักงานที่ดินหัวหน้าส่วนแยกสามง่าม ที่ ๒ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองพิษณุโลก เป็นคดีหมายเลขดำที่๖๕/๒๕๕๓ ความว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๖๖๖ เลขที่ ๑๘๗๙๐ และเลขที่ ๕๖๖๕ ตำบลสามง่าม อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ตามลำดับ ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย อันเนื่องมาจากผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๑ มีคำสั่งตามหนังสือที่ พจ ๐๔๑๗/๕๕๒-๕๕๓ ลงวันที่๓ มีนาคม ๒๕๕๓ ว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามด้านทิศเหนือติดกับที่ดินของผู้มีชื่อเป็นทางสาธารณประโยชน์กว้างประมาณ ๓ เมตร และห้ามผู้ฟ้องคดีทั้งสามอย่าได้กระทำการใด ๆ อันเป็นการปิดกั้นทางเดิน ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเห็นว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเว้นไว้สำหรับให้ญาติที่มีที่ดินติดกันใช้เป็นทางเดินไปบริเวณท่าน้ำ มิได้มีการยกให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ ทั้งนี้ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ ได้ไปปรึกษากับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้ออกโฉนดที่ดินเพิ่มเติมที่เว้นว่างไว้ แต่ได้รับการปฏิเสธ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือชี้แจงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่แจ้งว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นทางสาธารณประโยชน์ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทำการรังวัดที่ดินของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ เพิ่มเติมจากที่ได้เว้นว่างไว้
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การว่า อำเภอสามง่ามได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ร้องเรียนว่า ได้แบ่งพื้นที่บางส่วนกว้างประมาณ ๓ เมตรเพื่อเป็นทางเดินของญาติเท่านั้น แต่ทางอำเภอสามง่ามระบุว่าเป็นทางสาธารณประโยชน์เมื่อผู้มีชื่อมาขอออกโฉนดที่ดินคณะกรรมการสรุปว่า ทางดังกล่าวเป็นทางสาธารณประโยชน์แม้ไม่มีหลักฐานการอุทิศให้เป็นหนังสือ ก็ตาม อำเภอสามง่ามแจ้งผลการตรวจสอบให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ทราบ ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒อุทธรณ์ ผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวถูกตัดแบ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์เกิดจากการที่เจ้าของที่ดินเดิมอุทิศให้เป็นที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันมิได้เกิดจากการใช้อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่กระทบสิทธิของผู้ร้องเรียนแต่อย่างใด การแจ้งผลการตรวจสอบเป็นการแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเป็นทางสาธารณะดังกล่าวเท่านั้น คำร้องคัดค้านผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง จึงมิใช่คำอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๔๔ และ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรจึงไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาคำคัดค้านดังกล่าวผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ของจังหวัดพิจิตรให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ทราบและขอให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ อย่ากระทำการใด ๆ อันเป็นการปิดกั้นทางเดินสาธารณประโยชน์ดังกล่าว อันเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นข้าราชการสังกัดกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน และสิ่งซึ่งเป็นสาธารณประโยชน์อันอยู่ในเขตอำเภอตามมาตรา ๑๒๒แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นข้าราชการสังกัดกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย เป็นเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีหนังสือที่ พจ ๐๔๑๗/๕๕๒-๕๕๓ ลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๓ แจ้งว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่พลเมืองใช้ร่วมกัน และห้ามมิให้กระทำการใด ๆอันเป็นการปิดกั้นทางเดินสาธารณประโยชน์ดังกล่าว การมีหนังสือของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำดังกล่าวได้ เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสามเห็นว่าที่ดินพิพาทเจ้าของเดิมเพียงแต่เว้นไว้สำหรับเป็นทางเดินในเครือญาติเท่านั้นมิได้อุทิศเป็นทางสาธารณประโยชน์และได้ปรึกษากับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้ออกโฉนดที่ดินเพิ่มเติมที่เว้นว่างไว้ แต่ได้รับการปฏิเสธ จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนหนังสือของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ดำเนินการรังวัดเพิ่มเติมในส่วนที่ว่างไว้เป็นทางเดิน จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามกล่าวอ้างว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ดำเนินการรังวัดที่ดินให้ถูกต้องตามโฉนดที่ดิน คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๒)แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับ โดยสั่งห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กระทำการใด ๆ ที่เป็นการรบกวนกรรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม สั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองถือปฏิบัติต่อสิทธิในทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามและสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ปฏิบัติหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลปกครองกำหนดตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง(๑) (๒) และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ส่วนคดีมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดีอันเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะต้องพิจารณาว่า การออกคำสั่งว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์ และห้ามผู้ฟ้องคดีทั้งสามกระทำการใด ๆ อันเป็นการปิดกั้นทางเดินนั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาในเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าว ก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด และไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาบังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ได้ ทั้งนี้ ข้อพิพาทดังกล่าวเป็นเรื่องการคุ้มครองสิทธิของเอกชนฝ่ายหนึ่งกับการคุ้มครองประโยชน์ของสาธารณะอีกฝ่ายหนึ่ง มิใช่เรื่องสิทธิในทรัพย์สินระหว่างเอกชนกับเอกชน ทั้งการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกคำสั่งว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นทางสาธารณประโยชน์และห้ามมิให้กระทำการใด ๆ อันเป็นการปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวก็เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณะ มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีจึงเป็นคดีพิพาทระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดิน อันเป็นสาธารณะ มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีจึงเป็นคดีที่พิพาทระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ และเมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดพิจิตรพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การสรุปได้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสามอ้างว่า ทางเดินพิพาทกว้างประมาณ ๓ เมตร เป็นของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทำการรังวัดที่ดินเพื่อให้ทางเดินพิพาทดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีหนังสือคัดค้าน ฉบับลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๓ ว่า ทางเดินพิพาทเจ้าของที่ดินเดิมอุทิศให้เป็นทางที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน จึงตกเป็นทางสาธารณประโยชน์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ ดังนั้น ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ทางเดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ หรือเป็นทางสาธารณประโยชน์ กรณีเป็นเรื่องที่คู่ความยังโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในทางเดินพิพาทว่าเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือไม่ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนหนังสือคัดค้านของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตามคำขอของผู้ฟ้องคดีทั้งสามได้หรือไม่นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความตามประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเสียก่อนเป็นสำคัญ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่า
ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๖๖๖ เลขที่ ๑๘๗๙๐ และเลขที่ ๕๖๖๕ ตามลำดับ ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งตามหนังสือที่ พจ ๐๔๑๗/๕๕๒-๕๕๓ ให้ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามซึ่งกว้างประมาณ ๓ เมตร ด้านทิศเหนือ เป็นทางสาธารณประโยชน์และห้ามผู้ฟ้องคดีทั้งสามกระทำการใดปิดกั้นทางเดิน ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเห็นว่า ที่ดินดังกล่าวผู้ฟ้องคดีทั้งสามเว้นไว้สำหรับให้ญาติที่มีที่ดินติดกันใช้เป็นทางเดินไปท่าน้ำ มิได้ยกให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ จึงปรึกษาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้ออกโฉนดที่ดินที่เว้นว่างไว้เพิ่มเติมแต่ได้รับการปฏิเสธ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือชี้แจงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่แจ้งว่าที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทำการรังวัดที่ดินของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ เพิ่มเติมจากที่ได้เว้นว่างไว้ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การว่า อำเภอสามง่ามได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ร้องเรียนคณะกรรมการสรุปว่า ทางดังกล่าวเป็นทางสาธารณประโยชน์ อำเภอสามง่ามจึงแจ้งผลการตรวจสอบให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ทราบ ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ จึงอุทธรณ์ ผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวถูกตัดแบ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ซึ่งเจ้าของที่ดินเดิมอุทิศให้เป็นที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันมิได้เกิดจากการใช้อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่กระทบสิทธิของผู้ร้องเรียน การแจ้งผลการตรวจสอบเป็นเพียงการแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเป็นทางสาธารณะเท่านั้น คำร้องคัดค้านผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง จึงมิใช่คำอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรจึงไม่มีอำนาจพิจารณาคำคัดค้านดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีทั้งสามได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ทางที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสามซึ่งเว้นไว้เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันเฉพาะผู้ฟ้องคดีทั้งสามกับบริวารเท่านั้น หรือเป็นทางสาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป นอกจากนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสามยังขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือชี้แจงของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ว่าที่ดินพิพาทของผู้ฟ้องคดีเป็นทางสาธารณประโยชน์อย่าปิดกั้นตามหนังสือที่ พจ ๐๔๑๗/๕๕๒-๕๕๓ ซึ่งหนังสือดังกล่าวคงมีสาระสำคัญเป็นเพียงการชี้แจงให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสามทราบว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์เท่านั้น อย่าปิดกั้น หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย หนังสือดังกล่าวนี้ไม่ก่อให้เกิดสิทธิ หน้าที่ แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงการแจ้งให้ทราบเท่านั้น จึงมิใช่คำสั่งทางปกครองและมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการออกคำสั่งทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ดังนั้น จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสาวดำ มามี ที่ ๑ นายเล็ก มามี ที่ ๒ นางสาวภัทราพรมามี ที่ ๓ ผู้ฟ้องคดี นายอำเภอสามง่าม ที่ ๑ เจ้าพนักงานที่ดินหัวหน้าส่วนแยกสามง่าม ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๖/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองพิษณุโลก
ระหว่าง
ศาลจังหวัดพิจิตร
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองพิษณุโลกโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ นางสาวดำ มามี ที่ ๑ นายเล็ก มามี ที่ ๒ นางสาวภัทราพรมามี ที่ ๓ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง นายอำเภอสามง่าม ที่ ๑ เจ้าพนักงานที่ดินหัวหน้าส่วนแยกสามง่าม ที่ ๒ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองพิษณุโลก เป็นคดีหมายเลขดำที่๖๕/๒๕๕๓ ความว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๖๖๖ เลขที่ ๑๘๗๙๐ และเลขที่ ๕๖๖๕ ตำบลสามง่าม อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ตามลำดับ ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย อันเนื่องมาจากผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๑ มีคำสั่งตามหนังสือที่ พจ ๐๔๑๗/๕๕๒-๕๕๓ ลงวันที่๓ มีนาคม ๒๕๕๓ ว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามด้านทิศเหนือติดกับที่ดินของผู้มีชื่อเป็นทางสาธารณประโยชน์กว้างประมาณ ๓ เมตร และห้ามผู้ฟ้องคดีทั้งสามอย่าได้กระทำการใด ๆ อันเป็นการปิดกั้นทางเดิน ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเห็นว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเว้นไว้สำหรับให้ญาติที่มีที่ดินติดกันใช้เป็นทางเดินไปบริเวณท่าน้ำ มิได้มีการยกให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ ทั้งนี้ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ ได้ไปปรึกษากับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้ออกโฉนดที่ดินเพิ่มเติมที่เว้นว่างไว้ แต่ได้รับการปฏิเสธ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือชี้แจงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่แจ้งว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นทางสาธารณประโยชน์ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทำการรังวัดที่ดินของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ เพิ่มเติมจากที่ได้เว้นว่างไว้
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การว่า อำเภอสามง่ามได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ร้องเรียนว่า ได้แบ่งพื้นที่บางส่วนกว้างประมาณ ๓ เมตรเพื่อเป็นทางเดินของญาติเท่านั้น แต่ทางอำเภอสามง่ามระบุว่าเป็นทางสาธารณประโยชน์เมื่อผู้มีชื่อมาขอออกโฉนดที่ดินคณะกรรมการสรุปว่า ทางดังกล่าวเป็นทางสาธารณประโยชน์แม้ไม่มีหลักฐานการอุทิศให้เป็นหนังสือ ก็ตาม อำเภอสามง่ามแจ้งผลการตรวจสอบให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ทราบ ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒อุทธรณ์ ผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวถูกตัดแบ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์เกิดจากการที่เจ้าของที่ดินเดิมอุทิศให้เป็นที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันมิได้เกิดจากการใช้อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่กระทบสิทธิของผู้ร้องเรียนแต่อย่างใด การแจ้งผลการตรวจสอบเป็นการแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเป็นทางสาธารณะดังกล่าวเท่านั้น คำร้องคัดค้านผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง จึงมิใช่คำอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๔๔ และ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรจึงไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาคำคัดค้านดังกล่าวผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ของจังหวัดพิจิตรให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ทราบและขอให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ อย่ากระทำการใด ๆ อันเป็นการปิดกั้นทางเดินสาธารณประโยชน์ดังกล่าว อันเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองพิษณุโลกพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นข้าราชการสังกัดกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน และสิ่งซึ่งเป็นสาธารณประโยชน์อันอยู่ในเขตอำเภอตามมาตรา ๑๒๒แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นข้าราชการสังกัดกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย เป็นเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีหนังสือที่ พจ ๐๔๑๗/๕๕๒-๕๕๓ ลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๓ แจ้งว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่พลเมืองใช้ร่วมกัน และห้ามมิให้กระทำการใด ๆอันเป็นการปิดกั้นทางเดินสาธารณประโยชน์ดังกล่าว การมีหนังสือของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำดังกล่าวได้ เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสามเห็นว่าที่ดินพิพาทเจ้าของเดิมเพียงแต่เว้นไว้สำหรับเป็นทางเดินในเครือญาติเท่านั้นมิได้อุทิศเป็นทางสาธารณประโยชน์และได้ปรึกษากับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้ออกโฉนดที่ดินเพิ่มเติมที่เว้นว่างไว้ แต่ได้รับการปฏิเสธ จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนหนังสือของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ดำเนินการรังวัดเพิ่มเติมในส่วนที่ว่างไว้เป็นทางเดิน จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามกล่าวอ้างว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ดำเนินการรังวัดที่ดินให้ถูกต้องตามโฉนดที่ดิน คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๒)แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับ โดยสั่งห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กระทำการใด ๆ ที่เป็นการรบกวนกรรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม สั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองถือปฏิบัติต่อสิทธิในทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามและสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ปฏิบัติหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลปกครองกำหนดตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง(๑) (๒) และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ส่วนคดีมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดีอันเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะต้องพิจารณาว่า การออกคำสั่งว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์ และห้ามผู้ฟ้องคดีทั้งสามกระทำการใด ๆ อันเป็นการปิดกั้นทางเดินนั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาในเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าว ก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด และไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาบังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ได้ ทั้งนี้ ข้อพิพาทดังกล่าวเป็นเรื่องการคุ้มครองสิทธิของเอกชนฝ่ายหนึ่งกับการคุ้มครองประโยชน์ของสาธารณะอีกฝ่ายหนึ่ง มิใช่เรื่องสิทธิในทรัพย์สินระหว่างเอกชนกับเอกชน ทั้งการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกคำสั่งว่าที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นทางสาธารณประโยชน์และห้ามมิให้กระทำการใด ๆ อันเป็นการปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวก็เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณะ มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีจึงเป็นคดีพิพาทระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดิน อันเป็นสาธารณะ มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีจึงเป็นคดีที่พิพาทระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ และเมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดพิจิตรพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การสรุปได้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสามอ้างว่า ทางเดินพิพาทกว้างประมาณ ๓ เมตร เป็นของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทำการรังวัดที่ดินเพื่อให้ทางเดินพิพาทดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีหนังสือคัดค้าน ฉบับลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๓ ว่า ทางเดินพิพาทเจ้าของที่ดินเดิมอุทิศให้เป็นทางที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน จึงตกเป็นทางสาธารณประโยชน์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ ดังนั้น ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ทางเดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ หรือเป็นทางสาธารณประโยชน์ กรณีเป็นเรื่องที่คู่ความยังโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในทางเดินพิพาทว่าเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือไม่ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนหนังสือคัดค้านของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตามคำขอของผู้ฟ้องคดีทั้งสามได้หรือไม่นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความตามประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเสียก่อนเป็นสำคัญ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่า
ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๖๖๖ เลขที่ ๑๘๗๙๐ และเลขที่ ๕๖๖๕ ตามลำดับ ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งตามหนังสือที่ พจ ๐๔๑๗/๕๕๒-๕๕๓ ให้ที่ดินของผู้ฟ้องคดีทั้งสามซึ่งกว้างประมาณ ๓ เมตร ด้านทิศเหนือ เป็นทางสาธารณประโยชน์และห้ามผู้ฟ้องคดีทั้งสามกระทำการใดปิดกั้นทางเดิน ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเห็นว่า ที่ดินดังกล่าวผู้ฟ้องคดีทั้งสามเว้นไว้สำหรับให้ญาติที่มีที่ดินติดกันใช้เป็นทางเดินไปท่าน้ำ มิได้ยกให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ จึงปรึกษาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้ออกโฉนดที่ดินที่เว้นว่างไว้เพิ่มเติมแต่ได้รับการปฏิเสธ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือชี้แจงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่แจ้งว่าที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทำการรังวัดที่ดินของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ เพิ่มเติมจากที่ได้เว้นว่างไว้ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การว่า อำเภอสามง่ามได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ร้องเรียนคณะกรรมการสรุปว่า ทางดังกล่าวเป็นทางสาธารณประโยชน์ อำเภอสามง่ามจึงแจ้งผลการตรวจสอบให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ทราบ ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ จึงอุทธรณ์ ผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวถูกตัดแบ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ซึ่งเจ้าของที่ดินเดิมอุทิศให้เป็นที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันมิได้เกิดจากการใช้อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่กระทบสิทธิของผู้ร้องเรียน การแจ้งผลการตรวจสอบเป็นเพียงการแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเป็นทางสาธารณะเท่านั้น คำร้องคัดค้านผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง จึงมิใช่คำอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรจึงไม่มีอำนาจพิจารณาคำคัดค้านดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีทั้งสามได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ทางที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสามซึ่งเว้นไว้เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันเฉพาะผู้ฟ้องคดีทั้งสามกับบริวารเท่านั้น หรือเป็นทางสาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป นอกจากนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสามยังขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือชี้แจงของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ว่าที่ดินพิพาทของผู้ฟ้องคดีเป็นทางสาธารณประโยชน์อย่าปิดกั้นตามหนังสือที่ พจ ๐๔๑๗/๕๕๒-๕๕๓ ซึ่งหนังสือดังกล่าวคงมีสาระสำคัญเป็นเพียงการชี้แจงให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสามทราบว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์เท่านั้น อย่าปิดกั้น หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย หนังสือดังกล่าวนี้ไม่ก่อให้เกิดสิทธิ หน้าที่ แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงการแจ้งให้ทราบเท่านั้น จึงมิใช่คำสั่งทางปกครองและมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการออกคำสั่งทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ดังนั้น จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสาวดำ มามี ที่ ๑ นายเล็ก มามี ที่ ๒ นางสาวภัทราพรมามี ที่ ๓ ผู้ฟ้องคดี นายอำเภอสามง่าม ที่ ๑ เจ้าพนักงานที่ดินหัวหน้าส่วนแยกสามง่าม ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๕/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒ นายสนทยา น้อยเจริญ ที่ ๑ นายสนทยา น้อยเจริญ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเสาวลักษณ์ น้อยเจริญ ที่ ๒ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๙๙/๒๕๕๒ ความว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทสีลม แพลนเนอร์ จำกัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและทางด้านการบริหารงาน และเป็นผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการกิจการ การจัดการหลักทรัพย์ การจัดการด้านการเงิน และการจัดการเพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้และโครงสร้างทุน รวมตลอดถึงการให้บริการเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการและผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ เป็นผู้จัดการมรดกของนางเสาวลักษณ์ น้อยเจริญ ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๒ ผู้ถูกฟ้องคดีได้กล่าวโทษผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ และมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ไว้ตามมาตรา ๒๖๗ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ร่วมกับบุคคลอื่นทุจริต ยักยอกเงินและหุ้นบริษัทเวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัทปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมิได้มีการแจ้งข้อกล่าวหานางเสาวลักษณ์แต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินดังกล่าวเป็นการออกคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ฟ้องคดีที่ ๑ มิได้ร่วมกับบุคคลอื่นทุจริต ยักยอกเงินและหุ้นบริษัทเวิลด์แก๊สฯ และไม่มีส่วนร่วมหรือดำเนินการใดๆ ในการยักยอกเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าว อีกทั้งผู้ฟ้องคดีที่ ๑ มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ผู้ถูกฟ้องคดีอายัดไว้ โดยทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของนางเสาวลักษณ์ซึ่งมิได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี การออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีจึงปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ทำให้ไม่สามารถจัดการแบ่งทรัพย์มรดกของนางเสาวลักษณ์ให้แก่ทายาทได้ เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะผู้จัดการมรดกได้รับความเสียหาย ผู้ฟ้องคดีทั้งสองทราบคำสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้ถูกฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๒ และได้มีหนังสือลงวันที่ ศาลอาญาเพื่อวินิจฉัย ฉะนั้น หากคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองอีกศาลหนึ่ง ย่อมก่อให้เกิดความสับสนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้ใช้บังคับกฎหมาย รวมทั้งเอกชนผู้อยู่ใต้บังคับของกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ศาลทั้งสองมีคำวินิจฉัยแตกต่างกัน
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติดังกล่าวได้มีบทบัญญัติที่มอบหมายให้ผู้ถูกฟ้องคดีใช้อำนาจทางปกครองหลายประการ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ รวมทั้งเป็นเจ้าหน้าที่ตามบทนิยามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ด้วย และโดยที่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ได้แก่ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีอาศัยอำนาจตามมาตรา ๒๖๗ แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ออกคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิในทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีอันเป็นคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองยื่นฟ้องคดีต่อศาลว่า การออกคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีนี้จึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยการออกคำสั่ง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ สำหรับกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีอ้างว่า การออกคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามมาตรา ๒๖๗ แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญานั้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามมาตรา ๑๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา กำหนดโทษทางอาญาไว้เพียง ๕ สถานคือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน การยึดหรืออายัดทรัพย์สินจึงมิใช่เป็นการลงโทษในทางอาญา และแม้ว่าการยึดและการอายัดทรัพย์สินตามบทบัญญัติดังกล่าวจะเป็นมาตรการที่กำหนดขึ้นเพื่อให้การดำเนินคดีอาญาหรือคดีแพ่งในชั้นบังคับคดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การยึดหรืออายัดทรัพย์สินดังกล่าวไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินคดีอาญาหรือทางแพ่ง อันเกิดจากการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ หากแต่เป็นขั้นตอนต่างหากที่แยกออกมาจากการดำเนินคดีดังกล่าว ดังจะเห็นได้ว่าเงื่อนไขของการที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะใช้อำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบุคคลใดนั้น ได้แก่ การที่ปรากฏหลักฐานว่ามีบุคคลใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวที่มีลักษณะอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน และผู้ถูกฟ้องคดีมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้กระทำการนั้นจะยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของตนเท่านั้น โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีการดำเนินคดีอาญา (เช่น การกล่าวโทษผู้กระทำผิดต่อพนักงานสอบสวน) เสียก่อน นอกจากนี้ ในการพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดี ประเด็นที่จะต้องพิจารณาคดีคือ คำสั่งอายัดทรัพย์สินที่กระทำโดยผู้ถูกฟ้องคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นกรณีที่จะต้องอาศัยหลักการพิจารณาทางปกครองในส่วนที่ว่าด้วยความชอบด้วยกฎหมายทางปกครอง อันได้แก่ การพิเคราะห์ว่าผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจในการออกคำสั่งหรือไม่ และคำสั่งดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามที่กฎหมายได้ให้ไว้หรือไม่ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องอาศัยหลักการหรือความเชี่ยวชาญในการรับฟังและชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานตามกฎหมายแต่อย่างใด และแม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา เพื่อมีคำสั่งขยายระยะเวลาการยึดและอายัดทรัพย์ทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีไปอีก และศาลอาญาได้มีคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีไปแล้ว แต่การที่ศาลอาญามีคำสั่งดังกล่าวก็เป็นการดำเนินการในขั้นตอนที่ต่อมาจากการออกคำสั่งดังกล่าว และมิได้เป็นการผูกมัดหรือถือเป็นยุติในเรื่องอำนาจศาลแต่อย่างใด คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิจารณาแล้วเห็นว่า กระบวนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖๗ แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นกระบวนการที่ป้องกันการยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการที่จะให้มีการริบทรัพย์สินของผู้กระทำผิดต่อไปซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินคดีอาญา โดยหากศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาคดีอาญาดังกล่าวได้พิเคราะห์พยานหลักฐานในสำนวนแล้วเห็นว่า ทรัพย์สินของผู้กระทำผิดที่ยึดหรืออายัดไว้เป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ก็อาจใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ ซึ่งบัญญัติรองรับอำนาจของศาลอาญาซึ่งเป็นศาลยุติธรรมว่าในการริบทรัพย์สินนอกจากศาลจะมีอำนาจริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้อีกด้วยคือ (๒) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยการกระทำความผิด ดังนั้นการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นกระบวนการต่อเนื่องกับการดำเนินกระบวนยุติธรรมทางอาญาในข้อหาความผิดเกี่ยวกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยหากศาลเห็นว่าทรัพย์สินที่ยึดไว้เป็นทรัพย์สินที่ได้โดยการกระทำความผิดก็มีอำนาจริบให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน อันถือเป็นการลงโทษทางอาญาแก่ผู้กระทำผิดอย่างหนึ่ง ตามมาตรา ๑๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา นอกจากนี้มาตรา ๔๔/๑ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็บัญญัติให้ผู้เสียหายมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาก่อนเริ่มสืบพยานขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำผิดของจำเลยได้ด้วย ดังนั้นการยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนยุติธรรมทางอาญาอันนำไปสู่การลงโทษผู้กระทำผิดให้มีประสิทธิภาพที่สุดเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีและมีโทษทางอาญา ทั้งยังเป็นการเยียวยาผู้เสียหายจากการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ด้วย ดังนั้น หากมีการร้องขอให้เพิกถอนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงชอบที่ศาลยุติธรรมจะมีอำนาจตรวจสอบกระบวนการขั้นตอนดังกล่าวเสียแต่ต้น ประกอบกับการพิจารณาเพิกถอนการใช้อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีในการสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๒๖๗ นั้น จะต้องพิจารณาถึงสามประเด็นด้วยกันคือ ประเด็นที่หนึ่งคือต้องปรากฏหลักฐานว่าผู้นั้นได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ประเด็นที่สองคือความผิดที่บุคคลนั้นได้กระทำเข้าองค์ประกอบความผิดที่มีลักษณะอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน และประเด็นสุดท้ายคือมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้กระทำความผิดจะยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของตนหรือไม่ ซึ่งทั้งผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีต่างก็มีหน้าที่ต้องเสนอพยานหลักฐานต่อศาลเพื่อให้ศาลใช้ดุลพินิจออกคำสั่งได้อย่างถูกต้องด้วย ดังนั้นในการดำเนินกระบวนพิจารณาเพิกถอนการใช้อำนาจสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงจำเป็นที่จะต้องอาศัยหลักวิชาการตามประมวลกฎหมายอาญาและความเชี่ยวชาญในการรับฟังและชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วยว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะบ่งชี้ให้เห็นในเบื้องต้นว่าผู้ที่จะถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามพระราชบัญญัตินี้ได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และความผิดที่บุคคลนั้นได้กระทำไปเป็นความผิดที่มีลักษณะอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนหรือไม่ นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาพยานหลักฐานต่อไปอีกว่ามีเหตุสมควรเชื่อว่า ผู้กระทำผิดจะยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของตนหรือไม่ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งสิ้น ดังนั้นความเห็นของศาลปกครองที่ว่า ประเด็นที่ต้องพิจารณาในเรื่องนี้คือ คำสั่งอายัดทรัพย์สินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งจะวิเคราะห์เพียงว่าผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจในการออกคำสั่งหรือไม่ และคำสั่งดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามที่กฎหมายให้ไว้หรือไม่ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยหลักการหรือความเชี่ยวชาญในการรับฟังและชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานตามกฎหมายอาญาแต่อย่างใดนั้น ศาลแพ่งกรุงเทพใต้จึงไม่อาจเห็นพ้องด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น นอกจากนี้เมื่อตรวจสอบถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖๗ แล้วจะเห็นได้ว่าการยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดมีส่วนเชื่อมโยงกับการฟ้องคดีอาญา โดยมีการบัญญัติให้ระยะเวลาในการยึดอายัดทรัพย์สินเกี่ยวพันกับการฟ้องคดีด้วย โดยกำหนดไว้ว่าหากมีการฟ้องคดีภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่ที่มีการยึดอายัด ก็ให้คำสั่งยึดหรืออายัดมีผลต่อไปจนกว่าศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งการฟ้องคดีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ซึ่งมีโทษทางอาญาจะต้องยื่นฟ้องยังศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญา และย่อมหมายถึงศาลยุติธรรม หากตีความถ้อยคำว่าศาลที่มีอำนาจตรวจสอบการใช้อำนาจตามมาตราดังกล่าวหมายถึงศาลปกครองก็อาจทำให้การดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวเกิดความสับสนและไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยจะเป็นได้จากกรณีในเรื่องนี้ที่ผู้กระทำผิดขอให้ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งยึดหรืออายัด แต่พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอขยายระยะเวลายึดอายัดทรัพย์สินของจำเลยออกไปอีก ซึ่งหากความเห็นของศาลทั้งสองขัดกันโดยศาลปกครองมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิด แต่ศาลอาญาสั่งขยายระยะเวลาออกไปอีกตามคำขอ กรณีจะถือคำสั่งใดเป็นคำสั่งที่ผู้ถูกฟ้องคดีต้องปฏิบัติตาม เนื่องจากศาลทั้งสองต่างก็มีฐานะเป็นศาลชั้นต้นเช่นเดียวกัน จึงไม่เป็นการสอดคล้องกับเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของมาตรา ๒๖๗ ดังนั้นการเพิกถอนคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เป็นกระบวนการต่อเนื่องกับการดำเนินกระบวนยุติธรรมทางอาญาซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ข้อพิพาทคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงคดีนี้สรุปได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้กล่าวโทษผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ และมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ไว้ตามมาตรา ๒๖๗ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ร่วมกับบุคคลอื่นทุจริต ยักยอกเงินและหุ้นบริษัทเวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด โดยทรัพย์สินที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งอายัดไว้มิใช่ทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ แต่เป็นทรัพย์สินในกองมรดกของนางเสาวลักษณ์ ซึ่งมิได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินดังกล่าวเป็นการออกคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ฟ้องคดีที่ ๑ มิได้ร่วมกับบุคคลอื่นทุจริต ยักยอกเงินและหุ้นบริษัทเวิลด์แก๊สฯ และไม่มีส่วนร่วมหรือดำเนินการใดๆ ในการยักยอกเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าว อีกทั้งผู้ฟ้องคดีที่ ๑ มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ผู้ถูกฟ้องคดีอายัดไว้ แต่เป็นทรัพย์สินในกองมรดกของนางเสาวลักษณ์ซึ่งมิได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี การออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีจึงปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ทำให้ไม่สามารถจัดการแบ่งทรัพย์มรดกของนางเสาวลักษณ์ให้แก่ทายาทได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เห็นว่า โดยที่พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๒๖๗ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานว่าบุคคลใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีลักษณะอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ประชาชน และสำนักงานมีเหตุอันควรเชื่อว่า ผู้กระทำความผิดจะยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของตน ให้สำนักงานด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการ กลต. มีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบุคคลนั้นหรือทรัพย์สินซึ่งมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าเป็นของบุคคลนั้นได้ แต่จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินไว้เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันไม่ได้ เว้นแต่ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาล ให้คำสั่งยึดหรืออายัดดังกล่าวยังคงมีผลต่อไปจนกว่าศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น และในกรณีมีเหตุจำเป็นไม่สามารถฟ้องคดีได้ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ศาลที่มีเขตอำนาจจะสั่งขยายระยะเวลาออกไปอีกตามคำขอของสำนักงานก็ได้ แต่การจะขยายเวลาอีกเกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันมิได้ ดังนั้น เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เนื่องมาจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้กล่าวโทษผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษในข้อหาความผิดเกี่ยวกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ อันเป็นกระบวนการป้องกันการยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่มีบทกำหนดโทษจำคุกและปรับซึ่งเป็นโทษทางอาญา และกระบวนการดังกล่าวเป็นขั้นตอนที่นำไปสู่การดำเนินคดีและฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้ลงโทษผู้กระทำความผิดทางอาญา ดังนั้น การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จึงเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเป็นกระบวนยุติธรรมทางอาญาในข้อหาความผิดเกี่ยวกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายสนทยา น้อยเจริญ ที่ ๑ นายสนทยา น้อยเจริญ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเสาวลักษณ์ น้อยเจริญ ที่ ๒ ผู้ฟ้องคดี สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๕/๒๕๕๕
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒ นายสนทยา น้อยเจริญ ที่ ๑ นายสนทยา น้อยเจริญ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเสาวลักษณ์ น้อยเจริญ ที่ ๒ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๙๙/๒๕๕๒ ความว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทสีลม แพลนเนอร์ จำกัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและทางด้านการบริหารงาน และเป็นผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการกิจการ การจัดการหลักทรัพย์ การจัดการด้านการเงิน และการจัดการเพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้และโครงสร้างทุน รวมตลอดถึงการให้บริการเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการและผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ เป็นผู้จัดการมรดกของนางเสาวลักษณ์ น้อยเจริญ ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๒ ผู้ถูกฟ้องคดีได้กล่าวโทษผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ และมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ไว้ตามมาตรา ๒๖๗ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ร่วมกับบุคคลอื่นทุจริต ยักยอกเงินและหุ้นบริษัทเวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัทปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมิได้มีการแจ้งข้อกล่าวหานางเสาวลักษณ์แต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินดังกล่าวเป็นการออกคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ฟ้องคดีที่ ๑ มิได้ร่วมกับบุคคลอื่นทุจริต ยักยอกเงินและหุ้นบริษัทเวิลด์แก๊สฯ และไม่มีส่วนร่วมหรือดำเนินการใดๆ ในการยักยอกเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าว อีกทั้งผู้ฟ้องคดีที่ ๑ มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ผู้ถูกฟ้องคดีอายัดไว้ โดยทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของนางเสาวลักษณ์ซึ่งมิได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี การออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีจึงปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ทำให้ไม่สามารถจัดการแบ่งทรัพย์มรดกของนางเสาวลักษณ์ให้แก่ทายาทได้ เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะผู้จัดการมรดกได้รับความเสียหาย ผู้ฟ้องคดีทั้งสองทราบคำสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้ถูกฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๒ และได้มีหนังสือลงวันที่ ศาลอาญาเพื่อวินิจฉัย ฉะนั้น หากคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองอีกศาลหนึ่ง ย่อมก่อให้เกิดความสับสนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้ใช้บังคับกฎหมาย รวมทั้งเอกชนผู้อยู่ใต้บังคับของกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ศาลทั้งสองมีคำวินิจฉัยแตกต่างกัน
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติดังกล่าวได้มีบทบัญญัติที่มอบหมายให้ผู้ถูกฟ้องคดีใช้อำนาจทางปกครองหลายประการ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ รวมทั้งเป็นเจ้าหน้าที่ตามบทนิยามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ด้วย และโดยที่เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ได้แก่ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีอาศัยอำนาจตามมาตรา ๒๖๗ แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ออกคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิในทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีอันเป็นคำสั่งทางปกครอง เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองยื่นฟ้องคดีต่อศาลว่า การออกคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีนี้จึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยการออกคำสั่ง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ สำหรับกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีอ้างว่า การออกคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามมาตรา ๒๖๗ แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญานั้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามมาตรา ๑๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา กำหนดโทษทางอาญาไว้เพียง ๕ สถานคือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน การยึดหรืออายัดทรัพย์สินจึงมิใช่เป็นการลงโทษในทางอาญา และแม้ว่าการยึดและการอายัดทรัพย์สินตามบทบัญญัติดังกล่าวจะเป็นมาตรการที่กำหนดขึ้นเพื่อให้การดำเนินคดีอาญาหรือคดีแพ่งในชั้นบังคับคดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การยึดหรืออายัดทรัพย์สินดังกล่าวไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินคดีอาญาหรือทางแพ่ง อันเกิดจากการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ หากแต่เป็นขั้นตอนต่างหากที่แยกออกมาจากการดำเนินคดีดังกล่าว ดังจะเห็นได้ว่าเงื่อนไขของการที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะใช้อำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบุคคลใดนั้น ได้แก่ การที่ปรากฏหลักฐานว่ามีบุคคลใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวที่มีลักษณะอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน และผู้ถูกฟ้องคดีมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้กระทำการนั้นจะยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของตนเท่านั้น โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีการดำเนินคดีอาญา (เช่น การกล่าวโทษผู้กระทำผิดต่อพนักงานสอบสวน) เสียก่อน นอกจากนี้ ในการพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดี ประเด็นที่จะต้องพิจารณาคดีคือ คำสั่งอายัดทรัพย์สินที่กระทำโดยผู้ถูกฟ้องคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นกรณีที่จะต้องอาศัยหลักการพิจารณาทางปกครองในส่วนที่ว่าด้วยความชอบด้วยกฎหมายทางปกครอง อันได้แก่ การพิเคราะห์ว่าผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจในการออกคำสั่งหรือไม่ และคำสั่งดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามที่กฎหมายได้ให้ไว้หรือไม่ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องอาศัยหลักการหรือความเชี่ยวชาญในการรับฟังและชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานตามกฎหมายแต่อย่างใด และแม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา เพื่อมีคำสั่งขยายระยะเวลาการยึดและอายัดทรัพย์ทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้งสองตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีไปอีก และศาลอาญาได้มีคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีไปแล้ว แต่การที่ศาลอาญามีคำสั่งดังกล่าวก็เป็นการดำเนินการในขั้นตอนที่ต่อมาจากการออกคำสั่งดังกล่าว และมิได้เป็นการผูกมัดหรือถือเป็นยุติในเรื่องอำนาจศาลแต่อย่างใด คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิจารณาแล้วเห็นว่า กระบวนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖๗ แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นกระบวนการที่ป้องกันการยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการที่จะให้มีการริบทรัพย์สินของผู้กระทำผิดต่อไปซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินคดีอาญา โดยหากศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาคดีอาญาดังกล่าวได้พิเคราะห์พยานหลักฐานในสำนวนแล้วเห็นว่า ทรัพย์สินของผู้กระทำผิดที่ยึดหรืออายัดไว้เป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ก็อาจใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ ซึ่งบัญญัติรองรับอำนาจของศาลอาญาซึ่งเป็นศาลยุติธรรมว่าในการริบทรัพย์สินนอกจากศาลจะมีอำนาจริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้อีกด้วยคือ (๒) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยการกระทำความผิด ดังนั้นการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นกระบวนการต่อเนื่องกับการดำเนินกระบวนยุติธรรมทางอาญาในข้อหาความผิดเกี่ยวกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยหากศาลเห็นว่าทรัพย์สินที่ยึดไว้เป็นทรัพย์สินที่ได้โดยการกระทำความผิดก็มีอำนาจริบให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน อันถือเป็นการลงโทษทางอาญาแก่ผู้กระทำผิดอย่างหนึ่ง ตามมาตรา ๑๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา นอกจากนี้มาตรา ๔๔/๑ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็บัญญัติให้ผู้เสียหายมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาก่อนเริ่มสืบพยานขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำผิดของจำเลยได้ด้วย ดังนั้นการยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนยุติธรรมทางอาญาอันนำไปสู่การลงโทษผู้กระทำผิดให้มีประสิทธิภาพที่สุดเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีและมีโทษทางอาญา ทั้งยังเป็นการเยียวยาผู้เสียหายจากการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ด้วย ดังนั้น หากมีการร้องขอให้เพิกถอนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงชอบที่ศาลยุติธรรมจะมีอำนาจตรวจสอบกระบวนการขั้นตอนดังกล่าวเสียแต่ต้น ประกอบกับการพิจารณาเพิกถอนการใช้อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีในการสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๒๖๗ นั้น จะต้องพิจารณาถึงสามประเด็นด้วยกันคือ ประเด็นที่หนึ่งคือต้องปรากฏหลักฐานว่าผู้นั้นได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ประเด็นที่สองคือความผิดที่บุคคลนั้นได้กระทำเข้าองค์ประกอบความผิดที่มีลักษณะอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน และประเด็นสุดท้ายคือมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้กระทำความผิดจะยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของตนหรือไม่ ซึ่งทั้งผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีต่างก็มีหน้าที่ต้องเสนอพยานหลักฐานต่อศาลเพื่อให้ศาลใช้ดุลพินิจออกคำสั่งได้อย่างถูกต้องด้วย ดังนั้นในการดำเนินกระบวนพิจารณาเพิกถอนการใช้อำนาจสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงจำเป็นที่จะต้องอาศัยหลักวิชาการตามประมวลกฎหมายอาญาและความเชี่ยวชาญในการรับฟังและชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วยว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะบ่งชี้ให้เห็นในเบื้องต้นว่าผู้ที่จะถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามพระราชบัญญัตินี้ได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และความผิดที่บุคคลนั้นได้กระทำไปเป็นความผิดที่มีลักษณะอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนหรือไม่ นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาพยานหลักฐานต่อไปอีกว่ามีเหตุสมควรเชื่อว่า ผู้กระทำผิดจะยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของตนหรือไม่ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งสิ้น ดังนั้นความเห็นของศาลปกครองที่ว่า ประเด็นที่ต้องพิจารณาในเรื่องนี้คือ คำสั่งอายัดทรัพย์สินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งจะวิเคราะห์เพียงว่าผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจในการออกคำสั่งหรือไม่ และคำสั่งดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามที่กฎหมายให้ไว้หรือไม่ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยหลักการหรือความเชี่ยวชาญในการรับฟังและชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานตามกฎหมายอาญาแต่อย่างใดนั้น ศาลแพ่งกรุงเทพใต้จึงไม่อาจเห็นพ้องด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น นอกจากนี้เมื่อตรวจสอบถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖๗ แล้วจะเห็นได้ว่าการยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดมีส่วนเชื่อมโยงกับการฟ้องคดีอาญา โดยมีการบัญญัติให้ระยะเวลาในการยึดอายัดทรัพย์สินเกี่ยวพันกับการฟ้องคดีด้วย โดยกำหนดไว้ว่าหากมีการฟ้องคดีภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่ที่มีการยึดอายัด ก็ให้คำสั่งยึดหรืออายัดมีผลต่อไปจนกว่าศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งการฟ้องคดีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ซึ่งมีโทษทางอาญาจะต้องยื่นฟ้องยังศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญา และย่อมหมายถึงศาลยุติธรรม หากตีความถ้อยคำว่าศาลที่มีอำนาจตรวจสอบการใช้อำนาจตามมาตราดังกล่าวหมายถึงศาลปกครองก็อาจทำให้การดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวเกิดความสับสนและไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยจะเป็นได้จากกรณีในเรื่องนี้ที่ผู้กระทำผิดขอให้ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งยึดหรืออายัด แต่พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอขยายระยะเวลายึดอายัดทรัพย์สินของจำเลยออกไปอีก ซึ่งหากความเห็นของศาลทั้งสองขัดกันโดยศาลปกครองมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิด แต่ศาลอาญาสั่งขยายระยะเวลาออกไปอีกตามคำขอ กรณีจะถือคำสั่งใดเป็นคำสั่งที่ผู้ถูกฟ้องคดีต้องปฏิบัติตาม เนื่องจากศาลทั้งสองต่างก็มีฐานะเป็นศาลชั้นต้นเช่นเดียวกัน จึงไม่เป็นการสอดคล้องกับเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของมาตรา ๒๖๗ ดังนั้นการเพิกถอนคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เป็นกระบวนการต่อเนื่องกับการดำเนินกระบวนยุติธรรมทางอาญาซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ข้อพิพาทคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงคดีนี้สรุปได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้กล่าวโทษผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ และมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ไว้ตามมาตรา ๒๖๗ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ร่วมกับบุคคลอื่นทุจริต ยักยอกเงินและหุ้นบริษัทเวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด โดยทรัพย์สินที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งอายัดไว้มิใช่ทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ แต่เป็นทรัพย์สินในกองมรดกของนางเสาวลักษณ์ ซึ่งมิได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินดังกล่าวเป็นการออกคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ฟ้องคดีที่ ๑ มิได้ร่วมกับบุคคลอื่นทุจริต ยักยอกเงินและหุ้นบริษัทเวิลด์แก๊สฯ และไม่มีส่วนร่วมหรือดำเนินการใดๆ ในการยักยอกเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าว อีกทั้งผู้ฟ้องคดีที่ ๑ มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ผู้ถูกฟ้องคดีอายัดไว้ แต่เป็นทรัพย์สินในกองมรดกของนางเสาวลักษณ์ซึ่งมิได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี การออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีจึงปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ทำให้ไม่สามารถจัดการแบ่งทรัพย์มรดกของนางเสาวลักษณ์ให้แก่ทายาทได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เห็นว่า โดยที่พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๒๖๗ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานว่าบุคคลใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีลักษณะอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ประชาชน และสำนักงานมีเหตุอันควรเชื่อว่า ผู้กระทำความผิดจะยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของตน ให้สำนักงานด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการ กลต. มีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบุคคลนั้นหรือทรัพย์สินซึ่งมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าเป็นของบุคคลนั้นได้ แต่จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินไว้เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันไม่ได้ เว้นแต่ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาล ให้คำสั่งยึดหรืออายัดดังกล่าวยังคงมีผลต่อไปจนกว่าศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น และในกรณีมีเหตุจำเป็นไม่สามารถฟ้องคดีได้ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ศาลที่มีเขตอำนาจจะสั่งขยายระยะเวลาออกไปอีกตามคำขอของสำนักงานก็ได้ แต่การจะขยายเวลาอีกเกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันมิได้ ดังนั้น เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เนื่องมาจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้กล่าวโทษผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษในข้อหาความผิดเกี่ยวกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ อันเป็นกระบวนการป้องกันการยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่มีบทกำหนดโทษจำคุกและปรับซึ่งเป็นโทษทางอาญา และกระบวนการดังกล่าวเป็นขั้นตอนที่นำไปสู่การดำเนินคดีและฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้ลงโทษผู้กระทำความผิดทางอาญา ดังนั้น การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จึงเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเป็นกระบวนยุติธรรมทางอาญาในข้อหาความผิดเกี่ยวกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ข้อพิพาทในคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายสนทยา น้อยเจริญ ที่ ๑ นายสนทยา น้อยเจริญ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเสาวลักษณ์ น้อยเจริญ ที่ ๒ ผู้ฟ้องคดี สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1)
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๔/๒๕๕๕
วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดชลบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองระยอง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดชลบุรีโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ กระทรวงการคลัง โจทก์ ยื่นฟ้องนางสาวสรวงกนก หรือมนพัทธ์ สอนจิตต์ หรือธนาจิตาภา จำเลย ต่อศาลจังหวัดชลบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๖๑/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินสนามยิงเป้าโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๕ ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ ๓๔๘ ไร่ ๑ งาน ๓๙ ตารางวา อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นที่ราชพัสดุใช้ในราชการกองทัพเรือ เมื่อปี ๒๕๑๗ โจทก์มอบหมายให้กองทัพเรือขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่ดินดังกล่าว กรมที่ดินได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่ดินบริเวณสนามยิงเป้าบางส่วน รวม ๓ แปลง และในปี ๒๕๒๖ กรมธนารักษ์ได้นำที่ดินดังกล่าวไปขึ้นทะเบียนราชพัสดุหมายเลขทะเบียน ชบ. ๔๖๕ ที่ดินบริเวณนั้นจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ แต่ถูกนางประยูรวดี ยุทธศาสตร์โกศล บุกรุกเข้าครอบครองและขอออกโฉนดที่ดินบริเวณสนามยิงเป้า ซึ่งกรมที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ ให้แก่นางประยูรวดีเมื่อปี ๒๔๘๘ และที่ดินตามโฉนดดังกล่าวมีการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยอีกหลายแปลง โดยให้แปลงที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๒๕ เป็นแปลงคงเหลือ เป็นการออกโฉนดที่ดินทับที่ราชพัสดุแปลงที่ ชบ. ๔๖๕ ของโจทก์ ต่อมาเมื่อปี ๒๕๒๘ จำเลยรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๒๗ ที่แยกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ และเข้าครอบครองก่อสร้างบ้าน สิ่งปลูกสร้างลงในที่ดินที่รับโอนมาซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์แจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สิน บริวาร และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่งมีเนื้อที่ ๑ ไร่ ๒๘ ตารางวา ได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๗ และให้จำเลยและบริวาร ขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากที่ดินของโจทก์ หากไม่ยินยอมขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการ และห้ามจำเลยและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ กับให้ชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๒,๕๖๘ บาท แก่โจทก์นับแต่วันที่ศาลพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดและขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๒๗ มาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว โดยที่โจทก์ไม่เคยโต้แย้ง ที่ดินพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ที่ดินพิพาทออกโฉนดตั้งแต่ปี ๒๔๘๘ การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในปี ๒๕๑๗ การมีพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ ล้วนเกิดขึ้นภายหลังออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๗ ทั้งสิ้น การนำที่ดินพิพาทไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดชลบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีมีประเด็นหลักที่ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า สิทธิในที่ดินพิพาทเป็นที่ดินราชพัสดุสำหรับใช้ในราชการกองทัพเรือหรือเป็นที่ดินของเอกชน ซึ่งศาลต้องพิจารณาถึงสิทธิครอบครองการใช้ประโยชน์ในที่ดินของคู่กรณีและพยานหลักฐานการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทของคู่ความเป็นสำคัญ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองระยองพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาคำฟ้องและเหตุแห่งการฟ้องคดีประกอบกับคำขอของผู้ฟ้องคดีแล้วเห็นได้ว่า แม้ว่าโจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเอกชนและมีประเด็นข้อเท็จจริงที่ต้องวินิจฉัยด้วยว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครองผู้มีอำนาจหน้าที่ในการปกครอง ดูแลและบำรุงรักษาที่ราชพัสดุ ตามที่กฎหมายให้อำนาจและกำหนดหน้าที่ไว้เป็นการเฉพาะตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ และกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๕ การฟ้องคดีนี้จึงไม่ได้เป็นข้อพิพาทในลักษณะเดียวกับคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างเอกชนกับเอกชน เพราะโจทก์มิได้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเหมือนกรณีการถือกรรมสิทธิ์ของเอกชนทั่วไป แต่เป็นการฟ้องคดีในฐานะที่โจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนรัฐ และมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่กฎหมายกำหนดไว้ อีกทั้งการที่ที่ดินพิพาทจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ ประเภทใด ย่อมเป็นไปตามการจัดระบบที่ดินของรัฐ ฉะนั้นการที่จะวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะหรือไม่ เป็นกรณีที่จะต้องวินิจฉัยถึงสถานะทางกฎหมาย หรือความมีอยู่ของที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อีกทั้งการที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในคดีนี้เนื่องจากการออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งผู้ที่มีอำนาจในการออกโฉนดที่ดิน หรือการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน ได้แก่ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดินสาขา หรือเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมาย ตามมาตรา ๕๗ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยเจ้าพนักงานที่ดินจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง อันเป็นการใช้อำนาจทางปกครองเพื่อออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินซึ่งมีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของบุคคลอันเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดิน และให้จำเลยออกไปจาก ที่ดินพิพาทได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) ประกอบกับมาตรา ๗๑ (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และการที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า กรมที่ดินออกโฉนดที่ดินพิพาททับที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน อันเป็นการฟ้องว่า การออกโฉนดที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีคำขอโดยชัดแจ้งว่าขอให้ศาลเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นการแก้ไขเยียวยาความเสียหายของโจทก์ และขอให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จึงเป็นการโต้แย้งว่า กรมที่ดินหรือเจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินพิพาทไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์จะมิได้ยื่นฟ้องกรมที่ดินหรือเจ้าพนักงานที่ดินเป็นจำเลยในคดีนี้ แต่กรมที่ดินย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนี้ ฉะนั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลปกครองจึงมีอำนาจเรียกกรมที่ดินหรือเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเป็นคู่กรณีด้วยการร้องสอดได้ ตามนัยมาตรา ๓ และมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบข้อ ๗๘ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ และมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง (๓) (ข) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง นอกจากนั้น บทบัญญัติมาตรา ๗๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอกในหลายกรณี เช่น มาตรา ๗๑ (๑) ในกรณีคำพิพากษาให้บุคคลใดออกไปจากสถานที่ใดให้ใช้บังคับตลอดถึงบริวารของผู้นั้นที่อยู่ในสถานที่นั้นด้วย เว้นแต่ผู้นั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิพิเศษอื่น และมาตรา ๗๑ (๔) กรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่เกี่ยวกับสิทธิและทรัพย์สินใด ๆ คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาขับไล่บุคคลได้ รวมถึงวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินโดยนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ได้ ประกอบกับไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดได้บัญญัติให้อำนาจแก่ศาลยุติธรรมที่จะเพิกถอนคำสั่งทางปกครองทั้งหมดหรือบางส่วนเหมือนดังเช่นที่บัญญัติให้อำนาจศาลปกครองกำหนดคำบังคับเป็นการเฉพาะไว้ในมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน สำหรับประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะหรือไม่นั้น เป็นประเด็นปัญหาที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดีหลังจากที่ศาลมีคำสั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณาแล้ว และเป็นเพียงประเด็นย่อยหนึ่งที่จะต้องวินิจฉัยก่อนการวินิจฉัยว่าการออกโฉนดที่ดินอันเป็นคำสั่งทางปกครองเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เท่านั้น จึงเป็นประเด็นที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง ดังนั้นคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์จะเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่ตามคำฟ้องคดีนี้โจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินสนามยิงเป้าโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๕ ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ ๓๔๘ ไร่ ๑ งาน ๓๙ ตารางวา อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นที่ราชพัสดุใช้ในราชการกองทัพเรือ ตามทะเบียนราชพัสดุหมายเลข ชบ. ๔๖๕ แต่ถูกนางประยูรวดี บุกรุกเข้าครอบครองและเมื่อปี ๒๔๘๘ กรมที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ ให้แก่นางประยูรวดี ทับที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าว จำเลยเป็นผู้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๒๗ ที่แยกมาจาก โฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ และเข้าครอบครองก่อสร้างบ้าน สิ่งปลูกสร้างลงในที่ดินที่รับโอนมาซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์แจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สิน บริวาร และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่งมีเนื้อที่ ๑ ไร่ ๒๘ ตารางวา ได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๗ และให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากที่ดินของโจทก์ หากไม่ยินยอมขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการ และห้ามจำเลยและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ กับให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า จำเลยรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๒๗ มาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว โดยที่โจทก์ไม่เคยโต้แย้ง ที่ดินพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ที่ดินพิพาทออกโฉนดตั้งแต่ปี ๒๔๘๘ การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในปี ๒๕๑๗ การมีพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ ล้วนเกิดขึ้นภายหลังออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๗ ทั้งสิ้น การนำที่ดินพิพาทไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนี้ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างกระทรวงการคลัง โจทก์ นางสาวสรวงกนก หรือมนพัทธ์ สอนจิตต์ หรือ ธนาจิตาภา จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๔/๒๕๕๕
วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดชลบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองระยอง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดชลบุรีโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ กระทรวงการคลัง โจทก์ ยื่นฟ้องนางสาวสรวงกนก หรือมนพัทธ์ สอนจิตต์ หรือธนาจิตาภา จำเลย ต่อศาลจังหวัดชลบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๖๑/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินสนามยิงเป้าโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๕ ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ ๓๔๘ ไร่ ๑ งาน ๓๙ ตารางวา อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นที่ราชพัสดุใช้ในราชการกองทัพเรือ เมื่อปี ๒๕๑๗ โจทก์มอบหมายให้กองทัพเรือขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่ดินดังกล่าว กรมที่ดินได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในที่ดินบริเวณสนามยิงเป้าบางส่วน รวม ๓ แปลง และในปี ๒๕๒๖ กรมธนารักษ์ได้นำที่ดินดังกล่าวไปขึ้นทะเบียนราชพัสดุหมายเลขทะเบียน ชบ. ๔๖๕ ที่ดินบริเวณนั้นจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ แต่ถูกนางประยูรวดี ยุทธศาสตร์โกศล บุกรุกเข้าครอบครองและขอออกโฉนดที่ดินบริเวณสนามยิงเป้า ซึ่งกรมที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ ให้แก่นางประยูรวดีเมื่อปี ๒๔๘๘ และที่ดินตามโฉนดดังกล่าวมีการแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยอีกหลายแปลง โดยให้แปลงที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๒๕ เป็นแปลงคงเหลือ เป็นการออกโฉนดที่ดินทับที่ราชพัสดุแปลงที่ ชบ. ๔๖๕ ของโจทก์ ต่อมาเมื่อปี ๒๕๒๘ จำเลยรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๒๗ ที่แยกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ และเข้าครอบครองก่อสร้างบ้าน สิ่งปลูกสร้างลงในที่ดินที่รับโอนมาซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์แจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สิน บริวาร และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่งมีเนื้อที่ ๑ ไร่ ๒๘ ตารางวา ได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๗ และให้จำเลยและบริวาร ขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากที่ดินของโจทก์ หากไม่ยินยอมขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการ และห้ามจำเลยและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ กับให้ชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๒,๕๖๘ บาท แก่โจทก์นับแต่วันที่ศาลพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดและขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๒๗ มาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว โดยที่โจทก์ไม่เคยโต้แย้ง ที่ดินพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ที่ดินพิพาทออกโฉนดตั้งแต่ปี ๒๔๘๘ การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในปี ๒๕๑๗ การมีพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ ล้วนเกิดขึ้นภายหลังออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๗ ทั้งสิ้น การนำที่ดินพิพาทไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดชลบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีมีประเด็นหลักที่ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า สิทธิในที่ดินพิพาทเป็นที่ดินราชพัสดุสำหรับใช้ในราชการกองทัพเรือหรือเป็นที่ดินของเอกชน ซึ่งศาลต้องพิจารณาถึงสิทธิครอบครองการใช้ประโยชน์ในที่ดินของคู่กรณีและพยานหลักฐานการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทของคู่ความเป็นสำคัญ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองระยองพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาคำฟ้องและเหตุแห่งการฟ้องคดีประกอบกับคำขอของผู้ฟ้องคดีแล้วเห็นได้ว่า แม้ว่าโจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเอกชนและมีประเด็นข้อเท็จจริงที่ต้องวินิจฉัยด้วยว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครองผู้มีอำนาจหน้าที่ในการปกครอง ดูแลและบำรุงรักษาที่ราชพัสดุ ตามที่กฎหมายให้อำนาจและกำหนดหน้าที่ไว้เป็นการเฉพาะตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ และกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๕ การฟ้องคดีนี้จึงไม่ได้เป็นข้อพิพาทในลักษณะเดียวกับคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างเอกชนกับเอกชน เพราะโจทก์มิได้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเหมือนกรณีการถือกรรมสิทธิ์ของเอกชนทั่วไป แต่เป็นการฟ้องคดีในฐานะที่โจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนรัฐ และมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่กฎหมายกำหนดไว้ อีกทั้งการที่ที่ดินพิพาทจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ ประเภทใด ย่อมเป็นไปตามการจัดระบบที่ดินของรัฐ ฉะนั้นการที่จะวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะหรือไม่ เป็นกรณีที่จะต้องวินิจฉัยถึงสถานะทางกฎหมาย หรือความมีอยู่ของที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อีกทั้งการที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในคดีนี้เนื่องจากการออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งผู้ที่มีอำนาจในการออกโฉนดที่ดิน หรือการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน ได้แก่ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดินสาขา หรือเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมาย ตามมาตรา ๕๗ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยเจ้าพนักงานที่ดินจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง อันเป็นการใช้อำนาจทางปกครองเพื่อออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินซึ่งมีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของบุคคลอันเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดิน และให้จำเลยออกไปจาก ที่ดินพิพาทได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) ประกอบกับมาตรา ๗๑ (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และการที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า กรมที่ดินออกโฉนดที่ดินพิพาททับที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน อันเป็นการฟ้องว่า การออกโฉนดที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีคำขอโดยชัดแจ้งว่าขอให้ศาลเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นการแก้ไขเยียวยาความเสียหายของโจทก์ และขอให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จึงเป็นการโต้แย้งว่า กรมที่ดินหรือเจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินพิพาทไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์จะมิได้ยื่นฟ้องกรมที่ดินหรือเจ้าพนักงานที่ดินเป็นจำเลยในคดีนี้ แต่กรมที่ดินย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนี้ ฉะนั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลปกครองจึงมีอำนาจเรียกกรมที่ดินหรือเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเป็นคู่กรณีด้วยการร้องสอดได้ ตามนัยมาตรา ๓ และมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบข้อ ๗๘ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ และมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง (๓) (ข) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง นอกจากนั้น บทบัญญัติมาตรา ๗๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอกในหลายกรณี เช่น มาตรา ๗๑ (๑) ในกรณีคำพิพากษาให้บุคคลใดออกไปจากสถานที่ใดให้ใช้บังคับตลอดถึงบริวารของผู้นั้นที่อยู่ในสถานที่นั้นด้วย เว้นแต่ผู้นั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิพิเศษอื่น และมาตรา ๗๑ (๔) กรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่เกี่ยวกับสิทธิและทรัพย์สินใด ๆ คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาขับไล่บุคคลได้ รวมถึงวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินโดยนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ได้ ประกอบกับไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดได้บัญญัติให้อำนาจแก่ศาลยุติธรรมที่จะเพิกถอนคำสั่งทางปกครองทั้งหมดหรือบางส่วนเหมือนดังเช่นที่บัญญัติให้อำนาจศาลปกครองกำหนดคำบังคับเป็นการเฉพาะไว้ในมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน สำหรับประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะหรือไม่นั้น เป็นประเด็นปัญหาที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดีหลังจากที่ศาลมีคำสั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณาแล้ว และเป็นเพียงประเด็นย่อยหนึ่งที่จะต้องวินิจฉัยก่อนการวินิจฉัยว่าการออกโฉนดที่ดินอันเป็นคำสั่งทางปกครองเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เท่านั้น จึงเป็นประเด็นที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง ดังนั้นคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์จะเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่ตามคำฟ้องคดีนี้โจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินสนามยิงเป้าโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๕ ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ ๓๔๘ ไร่ ๑ งาน ๓๙ ตารางวา อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นที่ราชพัสดุใช้ในราชการกองทัพเรือ ตามทะเบียนราชพัสดุหมายเลข ชบ. ๔๖๕ แต่ถูกนางประยูรวดี บุกรุกเข้าครอบครองและเมื่อปี ๒๔๘๘ กรมที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ ให้แก่นางประยูรวดี ทับที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าว จำเลยเป็นผู้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๒๗ ที่แยกมาจาก โฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๕ และเข้าครอบครองก่อสร้างบ้าน สิ่งปลูกสร้างลงในที่ดินที่รับโอนมาซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์แจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สิน บริวาร และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่งมีเนื้อที่ ๑ ไร่ ๒๘ ตารางวา ได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๗ และให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนโฉนดที่ดินดังกล่าวออกจากที่ดินของโจทก์ หากไม่ยินยอมขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการ และห้ามจำเลยและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ กับให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า จำเลยรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๒๗ มาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว โดยที่โจทก์ไม่เคยโต้แย้ง ที่ดินพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ที่ดินพิพาทออกโฉนดตั้งแต่ปี ๒๔๘๘ การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในปี ๒๕๑๗ การมีพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ ล้วนเกิดขึ้นภายหลังออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๓๒๗ ทั้งสิ้น การนำที่ดินพิพาทไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนี้ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างกระทรวงการคลัง โจทก์ นางสาวสรวงกนก หรือมนพัทธ์ สอนจิตต์ หรือ ธนาจิตาภา จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๓/๒๕๕๕
วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดนนทบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนนทบุรีโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ นางพนิดา ปานใย โจทก์ ยื่นฟ้องเทศบาลเมืองบางกรวย จำเลย ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ส. ๒๐๙๕/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๗๖๔ ตำบลบ้านลุ่ม อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และโจทก์ทำประโยชน์โดยเก็บค่าเช่าจากบุคคลที่นำสินค้าไปจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ ต่อมาประมาณเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒ จำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยมอบหมายให้พนักงานของจำเลยและเจ้าพนักงานตำรวจเทศกิจประกาศคำสั่งของจำเลยห้ามไม่ให้บุคคลใดนำสินค้าไปจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ โดยจำเลยอ้างว่าที่ดินของโจทก์ตกเป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริงและโจทก์ได้โต้แย้งไว้ การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขาดรายได้ค่าเช่าจากบุคคลที่นำสินค้าไปจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยยกเลิกคำสั่งห้ามบุคคลเข้ามาจัดจำหน่ายสินค้าในที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้ามายุ่งเกี่ยว ออกคำสั่งใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงินค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะหยุดกระทำการละเมิด
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๕๗๖๔ เป็นส่วนหนึ่งของทางสาธารณประโยชน์ ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันไม่น้อยกว่า ๔๐ ปี โดยโจทก์หรือบริวารไม่ได้ห้ามปราม เมื่อจำเลยจะทำการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กในที่ดินพิพาท โจทก์ก็ไม่คัดค้าน ทั้งได้ทำหนังสือยินยอมให้ก่อสร้าง ถือได้ว่าโจทก์ได้ยกที่ดินที่ถนนสาธารณะตัดผ่านให้เป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องขอให้จำเลยยกเลิกคำสั่งอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายที่ห้ามบุคคลเข้าไปจัดจำหน่ายสินค้าในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนนทบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้มีประเด็นหลักที่คู่กรณีโต้แย้งกันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของโจทก์หรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ซึ่งศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ แล้วจึงจะพิจารณาได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นละเมิดหรือไม่ และจะต้องชดใช้ค่าเสียหายเพียงใด ดังนั้น เมื่อศาลจำต้องพิจารณาถึงสิทธิของโจทก์ในที่ดินพิพาทที่เกิดเหตุแล้ว จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คดีนี้จำเลยเป็นราชการส่วนท้องถิ่น จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดระบบบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนภายในท้องถิ่นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ หลายประการรวมถึงอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาที่สาธารณะตามมาตรา ๑๖ (๒๗) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และการควบคุมดูแลการดำเนินกิจการในที่สาธารณะตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ พระราชบัญญัติการรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ และประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๔๔ ลงวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๐๒ อีกด้วย เมื่อมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เกิดจากการที่จำเลยได้ประกาศคำสั่งห้ามบุคคลใดนำสินค้าไปจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ โดยอ้างว่าที่ดินของโจทก์ตกเป็นทางสาธารณประโยชน์ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่จำเลยกระทำการตามอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามที่กฎหมายบัญญัติ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๗๖๔ ตำบลบ้านลุ่ม อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และได้หาประโยชน์จากที่ดินดังกล่าว โดยเก็บค่าเช่าจากบุคคลที่นำสินค้ามาจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ การที่จำเลยได้มอบหมายให้พนักงานของจำเลยและตำรวจเทศกิจเข้ามาประกาศคำสั่งของจำเลยโดยห้ามมิให้บุคคลนำสินค้าเข้ามาจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ โดยอ้างว่าที่ดินดังกล่าวได้ตกเป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว ทั้งที่โจทก์ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทอยู่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากการที่ไม่มีบุคคลใดเข้ามาจำหน่ายสินค้าในที่ดินของโจทก์ จึงฟ้องคดีเพื่อขอให้จำเลยยกเลิกคำสั่งห้ามบุคคลเข้ามาจัดจำหน่ายสินค้าในที่ดินของโจทก์ ตลอดจนห้ามจำเลยเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือออกคำสั่งใดเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าขาดประโยชน์ให้แก่โจทก์เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะหยุดกระทำการละเมิด กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับโดยสั่งห้ามมิให้จำเลยกระทำการใด ๆ ที่เป็นการรบกวนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) รวมถึงการสั่งให้จำเลยถือปฏิบัติต่อสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว แม้คดีนี้จะมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาด้วยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ประเด็นดังกล่าวก็เป็นเพียงปัญหาข้อเท็จจริงที่ใช้ประกอบการพิจารณาในข้อหาหน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อหาการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายเท่านั้น หามีผลทำให้คดีซึ่งเป็นคดีปกครองเปลี่ยนเป็นคดีแพ่งไปได้ไม่ และแม้การพิจารณาในเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การนำบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาลักษณะคดีว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลหนึ่งศาลใดที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายเหล่านั้นมาวินิจฉัยข้อพิพาทของคดีไว้โดยเฉพาะ ดังนั้นศาลปกครองจึงสามารถนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และประมวลกฎหมายที่ดินมาใช้ในการวินิจฉัย ข้อพิพาทแห่งคดีได้ นอกจากนั้น มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวยังบัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่าอันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ ประกอบกับจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองมิใช่เป็นผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือผู้ทรงสิทธิครอบครองในที่ดินซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ แต่เป็นผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการดูแลรักษาที่สาธารณะตามที่กฎหมายกำหนด ข้อพิพาทในคดีนี้จึงไม่ใช่คดีพิพาทระหว่างผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินด้วยกันเองดังเช่นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยทั่วไป เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมจึงไม่มีอำนาจ พิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๒๓ ประกอบกับมาตรา ๒๑๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือ ศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยจะเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๗๖๔ ตำบลบ้านลุ่ม อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี โดยทำประโยชน์เก็บค่าเช่าจากบุคคลที่นำสินค้าไปจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ จำเลยมอบหมายให้พนักงานของจำเลยและเจ้าพนักงานตำรวจเทศกิจประกาศคำสั่งของจำเลยห้ามไม่ให้บุคคลใดนำสินค้าไปจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ โดยอ้างว่าที่ดินของโจทก์ตกเป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริง การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขาดรายได้ค่าเช่าจากบุคคลที่นำสินค้าไปจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ ขอให้จำเลยยกเลิกคำสั่งห้ามบุคคลเข้ามาจัดจำหน่ายสินค้าในที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้ามายุ่งเกี่ยว ออกคำสั่งใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงินค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ ส่วนจำเลยให้การว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๕๗๖๔ เป็นส่วนหนึ่งของทางสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันไม่น้อยกว่า ๔๐ ปี โดยโจทก์หรือบริวารไม่ได้ห้ามปราม เมื่อจำเลยจะทำการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กในที่ดินพิพาท โจทก์ก็ไม่คัดค้าน ทั้งได้ทำหนังสือยินยอมให้ก่อสร้าง ถือได้ว่าโจทก์ได้ยกที่ดินที่ถนนสาธารณะตัดผ่านให้เป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) (๓) บัญญัติให้คดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ บัญญัติให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น เมื่อคดีมีประเด็นข้อพิพาทที่ว่า ที่ดินเป็นของบุคคลใดยังไม่ยุติ จึงไม่อาจก้าวล่วงไปวินิจฉัยว่า การที่จำเลยออกคำสั่งห้ามมิให้บุคคลใดนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในที่พิพาท เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเมื่อการวินิจฉัยว่า บุคคลใดเป็นผู้มีสิทธิในที่ดิน ไม่ใช่ คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำทางปกครองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจศาลยุติธรรมซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๑๘ จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางพนิดา ปานใย โจทก์ เทศบาลเมืองบางกรวย จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๓/๒๕๕๕
วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดนนทบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนนทบุรีโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ นางพนิดา ปานใย โจทก์ ยื่นฟ้องเทศบาลเมืองบางกรวย จำเลย ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ส. ๒๐๙๕/๒๕๕๒ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๗๖๔ ตำบลบ้านลุ่ม อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และโจทก์ทำประโยชน์โดยเก็บค่าเช่าจากบุคคลที่นำสินค้าไปจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ ต่อมาประมาณเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒ จำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยมอบหมายให้พนักงานของจำเลยและเจ้าพนักงานตำรวจเทศกิจประกาศคำสั่งของจำเลยห้ามไม่ให้บุคคลใดนำสินค้าไปจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ โดยจำเลยอ้างว่าที่ดินของโจทก์ตกเป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริงและโจทก์ได้โต้แย้งไว้ การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขาดรายได้ค่าเช่าจากบุคคลที่นำสินค้าไปจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยยกเลิกคำสั่งห้ามบุคคลเข้ามาจัดจำหน่ายสินค้าในที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้ามายุ่งเกี่ยว ออกคำสั่งใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงินค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะหยุดกระทำการละเมิด
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๕๗๖๔ เป็นส่วนหนึ่งของทางสาธารณประโยชน์ ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันไม่น้อยกว่า ๔๐ ปี โดยโจทก์หรือบริวารไม่ได้ห้ามปราม เมื่อจำเลยจะทำการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กในที่ดินพิพาท โจทก์ก็ไม่คัดค้าน ทั้งได้ทำหนังสือยินยอมให้ก่อสร้าง ถือได้ว่าโจทก์ได้ยกที่ดินที่ถนนสาธารณะตัดผ่านให้เป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องขอให้จำเลยยกเลิกคำสั่งอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายที่ห้ามบุคคลเข้าไปจัดจำหน่ายสินค้าในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนนทบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้มีประเด็นหลักที่คู่กรณีโต้แย้งกันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของโจทก์หรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ซึ่งศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ แล้วจึงจะพิจารณาได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นละเมิดหรือไม่ และจะต้องชดใช้ค่าเสียหายเพียงใด ดังนั้น เมื่อศาลจำต้องพิจารณาถึงสิทธิของโจทก์ในที่ดินพิพาทที่เกิดเหตุแล้ว จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คดีนี้จำเลยเป็นราชการส่วนท้องถิ่น จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดระบบบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนภายในท้องถิ่นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ หลายประการรวมถึงอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาที่สาธารณะตามมาตรา ๑๖ (๒๗) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และการควบคุมดูแลการดำเนินกิจการในที่สาธารณะตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ พระราชบัญญัติการรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ และประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๔๔ ลงวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๐๒ อีกด้วย เมื่อมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เกิดจากการที่จำเลยได้ประกาศคำสั่งห้ามบุคคลใดนำสินค้าไปจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ โดยอ้างว่าที่ดินของโจทก์ตกเป็นทางสาธารณประโยชน์ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่จำเลยกระทำการตามอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามที่กฎหมายบัญญัติ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๗๖๔ ตำบลบ้านลุ่ม อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และได้หาประโยชน์จากที่ดินดังกล่าว โดยเก็บค่าเช่าจากบุคคลที่นำสินค้ามาจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ การที่จำเลยได้มอบหมายให้พนักงานของจำเลยและตำรวจเทศกิจเข้ามาประกาศคำสั่งของจำเลยโดยห้ามมิให้บุคคลนำสินค้าเข้ามาจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ โดยอ้างว่าที่ดินดังกล่าวได้ตกเป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว ทั้งที่โจทก์ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทอยู่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากการที่ไม่มีบุคคลใดเข้ามาจำหน่ายสินค้าในที่ดินของโจทก์ จึงฟ้องคดีเพื่อขอให้จำเลยยกเลิกคำสั่งห้ามบุคคลเข้ามาจัดจำหน่ายสินค้าในที่ดินของโจทก์ ตลอดจนห้ามจำเลยเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือออกคำสั่งใดเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าขาดประโยชน์ให้แก่โจทก์เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะหยุดกระทำการละเมิด กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับโดยสั่งห้ามมิให้จำเลยกระทำการใด ๆ ที่เป็นการรบกวนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) รวมถึงการสั่งให้จำเลยถือปฏิบัติต่อสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว แม้คดีนี้จะมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาด้วยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ประเด็นดังกล่าวก็เป็นเพียงปัญหาข้อเท็จจริงที่ใช้ประกอบการพิจารณาในข้อหาหน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อหาการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายเท่านั้น หามีผลทำให้คดีซึ่งเป็นคดีปกครองเปลี่ยนเป็นคดีแพ่งไปได้ไม่ และแม้การพิจารณาในเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การนำบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาลักษณะคดีว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลหนึ่งศาลใดที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายเหล่านั้นมาวินิจฉัยข้อพิพาทของคดีไว้โดยเฉพาะ ดังนั้นศาลปกครองจึงสามารถนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และประมวลกฎหมายที่ดินมาใช้ในการวินิจฉัย ข้อพิพาทแห่งคดีได้ นอกจากนั้น มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวยังบัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่าอันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีได้ ประกอบกับจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองมิใช่เป็นผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือผู้ทรงสิทธิครอบครองในที่ดินซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ แต่เป็นผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการดูแลรักษาที่สาธารณะตามที่กฎหมายกำหนด ข้อพิพาทในคดีนี้จึงไม่ใช่คดีพิพาทระหว่างผู้ทรงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินด้วยกันเองดังเช่นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยทั่วไป เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมจึงไม่มีอำนาจ พิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๒๓ ประกอบกับมาตรา ๒๑๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือ ศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยจะเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ตาม แต่ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๗๖๔ ตำบลบ้านลุ่ม อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี โดยทำประโยชน์เก็บค่าเช่าจากบุคคลที่นำสินค้าไปจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ จำเลยมอบหมายให้พนักงานของจำเลยและเจ้าพนักงานตำรวจเทศกิจประกาศคำสั่งของจำเลยห้ามไม่ให้บุคคลใดนำสินค้าไปจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ โดยอ้างว่าที่ดินของโจทก์ตกเป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริง การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขาดรายได้ค่าเช่าจากบุคคลที่นำสินค้าไปจัดจำหน่ายในที่ดินของโจทก์ ขอให้จำเลยยกเลิกคำสั่งห้ามบุคคลเข้ามาจัดจำหน่ายสินค้าในที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้ามายุ่งเกี่ยว ออกคำสั่งใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงินค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ ส่วนจำเลยให้การว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๕๗๖๔ เป็นส่วนหนึ่งของทางสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันไม่น้อยกว่า ๔๐ ปี โดยโจทก์หรือบริวารไม่ได้ห้ามปราม เมื่อจำเลยจะทำการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กในที่ดินพิพาท โจทก์ก็ไม่คัดค้าน ทั้งได้ทำหนังสือยินยอมให้ก่อสร้าง ถือได้ว่าโจทก์ได้ยกที่ดินที่ถนนสาธารณะตัดผ่านให้เป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) (๓) บัญญัติให้คดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ บัญญัติให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น เมื่อคดีมีประเด็นข้อพิพาทที่ว่า ที่ดินเป็นของบุคคลใดยังไม่ยุติ จึงไม่อาจก้าวล่วงไปวินิจฉัยว่า การที่จำเลยออกคำสั่งห้ามมิให้บุคคลใดนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในที่พิพาท เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเมื่อการวินิจฉัยว่า บุคคลใดเป็นผู้มีสิทธิในที่ดิน ไม่ใช่ คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำทางปกครองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจศาลยุติธรรมซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๑๘ จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางพนิดา ปานใย โจทก์ เทศบาลเมืองบางกรวย จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๒/๒๕๕๕
วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๒ นางวนิดา กุลยดุลย์ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ ๒ ผู้อำนวยการเขตวัฒนา ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๓/๒๕๕๒ ต่อมา ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๙๘/๒๕๕๒ ซึ่งอธิบดีศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้รวมสำนวนคดีทั้งสองนี้เข้าด้วยกันโดยให้สำนวนคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๓/๒๕๕๒ เป็นสำนวนหลัก ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๑๕๓๑ ตำบลคลองตัน (บางกะปิฝั่งใต้) อำเภอพระโขนง (บางกะปิ) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๑ - ๓ - ๔๒ ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง มีแนวรั้วล้อมรอบโดยซื้อมาจากผู้มีชื่อ และได้ครอบครองที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๕๙ ตำบลบางกะปิฝั่งใต้ อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ด้านทิศเหนือติดถนนซอยพร้อมจิตร (สุขุมวิท ๓๓) ในส่วนที่กั้นเขตไว้เป็นรั้วล้อมรอบที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๒๐ ตารางวา มาตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้มีหนังสือแจ้งว่าที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๕๙ ซึ่งผู้ฟ้องคดีครอบครองและก่อสร้างรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นทางสาธารณประโยชน์ให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กที่ก่อสร้างรุกล้ำทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวออกไป ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีหนังสือที่ กท ๘๕๐๓/๘๑๘๓ ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ แจ้งว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๒๗๕๙ บริเวณที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองได้มีการจดภาระจำยอมเรื่องทางเดินตามคำขอฉบับที่ ๖๐/๕๒๓ ลงวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ซึ่งประชาชนใช้สัญจรมาเป็นเวลานานกว่า ๖๒ ปี ถือได้ว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งราษฎรได้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ไม่อาจเพิกถอนคำสั่งเดิมได้ และเสนอผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ วินิจฉัยแล้วเห็นว่า เป็นการรุกล้ำที่สาธารณะจริง จึงให้ยกอุทธรณ์และแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบ แต่ที่ดินพิพาทดังกล่าวผู้ฟ้องคดีครอบครองใช้ประโยชน์มาตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ และครอบครองใช้ประโยชน์โดยสงบ เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของมาแล้วกว่า ๒๐ ปี ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ฟ้องคดีด้วยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่มีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างได้ ขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ตามหนังสือที่ กท ๘๕๐๓/๖๗๑๘ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๑ และที่ กท ๘๕๐๓/๘๑๘๓ ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตามหนังสือที่ กท ๘๕๐๓/๓๖๖๐ ลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ และห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเข้ามาขัดขวางหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๕๙ ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การว่า สำนักงานเขตวัฒนาได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่มีประชาชนขอให้ตรวจสอบความถูกต้อง การอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารสูงซอยพร้อมจิตร ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เนื่องจากมีการก่อสร้างอาคารสูงในซอยแคบมีความกว้างไม่ถึง ๑๐ เมตร จากการตรวจสอบพบว่าซอยพร้อมจิตร มีการจดเป็นทางภาระจำยอม ลงวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๔๘๙ เรื่องทางเดินมีความกว้าง ๑๐ - ๑๒ เมตร ซึ่งกรุงเทพมหานครได้ปรับปรุงเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กเพื่อประชาชนใช้สัญจรร่วมกัน โดยมีประชาชนได้ก่อสร้างรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กรุกล้ำแนวเขตทางสาธารณะจำนวน ๔ ราย โดยรายของผู้ฟ้องคดีมีการก่อสร้างรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กรุกล้ำทางสาธารณประโยชน์ มุมด้านตะวันออกมีระยะ ๒ เมตร และมุมด้านตะวันตกมีระยะ ๒.๘๔ เมตร จึงมีคำสั่งให้รื้อถอนและทำให้ทางสาธารณะกลับสู่สภาพเดิม ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า แม้ผู้ฟ้องคดีจะขอให้เพิกถอนคำสั่งอันเป็นคำสั่งทางปกครอง แต่ก็ได้กล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทมิได้เป็นที่สาธารณประโยชน์ แต่เป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และครอบครองอยู่ จึงเป็นการโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้นศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ กระทำการตามอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อคดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๑๕๓๑ ตำบลคลองตัน (บางกะปิฝั่งใต้) อำเภอพระโขนง (บางกะปิ) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๑ - ๓ - ๔๒ ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง มีแนวรั้วล้อมรอบโดยซื้อมาจากผู้มีชื่อ และได้ครอบครองบางส่วนของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๕๙ ตำบลบางกะปิฝั่งใต้ อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๒๐ ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินของผู้มีชื่อโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า ๑๐ ปี บางส่วนของที่ดินแปลงนี้จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ใช้อำนาจตามมาตรา ๑๑๗ มาตรา ๑๑๘ และมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบมาตรา ๖๙ (๑) และมาตรา ๘๙ (๑๐) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีหนังสือที่ กท ๘๕๐๓/๖๗๑๘ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๑ แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว และทำถนนให้กลับอยู่สภาพเดิมภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ มิฉะนั้นจะมีความผิดตามมาตรา ๙ และมาตรา ๑๐๘ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และความผิดตามมาตรา ๓๖๐ และมาตรา ๓๖๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยอ้างว่าผู้ฟ้องคดีก่อสร้างรั้วรุกล้ำที่สาธารณะ ด้านทิศตะวันออกประมาณ ๒ เมตร และด้านทิศตะวันตกประมาณ ๒.๘๔ เมตร การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้ผู้คดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จึงฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่ กท ๘๕๐๓/๖๗๑๘ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๑ และที่ กท ๘๕๐๓/๘๑๘๓ ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ พร้อมกับห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเข้ามาขัดขวางหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๕๙ ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับโดยสั่งห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามกระทำการรบกวนสิทธิในทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) และสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามถือปฏิบัติต่อสิทธิในทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ประกอบกับมาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคล ภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง
แม้คดีนี้จะมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาด้วยว่า รั้วพิพาทปลูกสร้างในที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือปลูกสร้างในที่สาธารณะ ซึ่งจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาลักษณะคดีว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติในกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทแห่งคดีได้และศาลปกครองก็ได้นำบทบัญญัติในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาปรับใช้กับการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองหลายกรณี เช่นการวินิจฉัยเกี่ยวกับดอกเบี้ยที่คู่สัญญาต้องรับผิดในการฟ้องคดีเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองหรือการวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่นำหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาปรับใช้กับการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองเท่าที่สภาพของเรื่องจะเปิดช่องให้กระทำได้และไม่ขัดต่อหลักการพื้นฐานของคดีปกครอง ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเป็นเพียงหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาที่สาธารณะตามมาตรา ๘๙ (๑๐) และมาตรา ๖๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ ประกอบมาตรา ๑๑๗ มาตรา ๑๑๘ และมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเป็นผู้ทรงสิทธิหรือมีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงพิพาท ข้อพิพาทในทำนองนี้จึงไม่อาจเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิในที่ดินดังเช่นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยทั่วไป เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้มีคำสั่งแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชนรื้อถอนรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กที่รุกล้ำที่สาธารณะ ผู้ฟ้องคดีโต้แย้งว่าที่ดินที่มีคำสั่งให้รื้อถอนรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของตน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบถึงการไม่เพิกถอนคำสั่งให้รื้อถอนดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจึงอุทธรณ์คำสั่ง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ แจ้งคำสั่งยกอุทธรณ์ให้ผู้ฟ้องคดีทราบ แม้คำสั่งดังกล่าวจะเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จะสืบเนื่องมาจากการออกคำสั่งหรือการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่ผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งเหล่านั้นโดยโต้แย้งว่าที่ดินที่มีคำสั่งให้รื้อถอน รั้วที่รุกล้ำเป็นกรรมสิทธิ์ของตน มิใช่ที่สาธารณะดังที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การนั้น เป็นเรื่องที่มีการโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่า ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวตามคำขอของผู้ฟ้องคดี และห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเข้ามาขัดขวางเกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๗๕๙ ตำบลบางกะปิฝั่งใต้ อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เฉพาะส่วนเนื้อที่ประมาณ ๒๐ ตารางวา ที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของตนนั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามโต้แย้งเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าว ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน คือศาลยุติธรรม ดังนั้นคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ กับที่ ๓ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม แต่ตามคำฟ้องผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีครอบครองที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๕๙ ตำบลบางกะปิฝั่งใต้ อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ด้านทิศเหนือติดถนนซอยพร้อมจิตร (สุขุมวิท ๓๓) ในส่วนที่กั้นเขตไว้เป็นรั้วล้อมรอบที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๒๐ ตารางวา โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านหรือรอนสิทธิมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ แจ้งแก่ผู้ฟ้องคดีว่าที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองเป็นทางสาธารณประโยชน์ ให้ดำเนินการรื้อถอนรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กของผู้ฟ้องคดีออกไป ผู้ฟ้องคดีจึงอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จึงแจ้งแก่ผู้ฟ้องคดีว่าที่ดินพิพาทมีการจดภาระจำยอมเรื่องทางเดินตั้งแต่ปี ๒๔๘๙ และประชาชนใช้สัญจรนานกว่า ๖๒ ปี ถือได้ว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่อาจเพิกถอนคำสั่งได้ และเสนอความเห็นต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ วินิจฉัยแล้ว เห็นว่าการสร้างรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กของผู้ฟ้องคดีเป็นการสร้างรั้วรุกล้ำที่สาธารณะจริง จึงวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ แต่ที่ดินพิพาทดังกล่าวผู้ฟ้องคดีครอบครองใช้ประโยชน์มาตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ และครอบครองใช้ประโยชน์โดยสงบ เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของมาแล้วกว่า ๒๐ ปี ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ฟ้องคดีด้วยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่มีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างได้ ขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเข้ามาขัดขวางหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การว่า สำนักงานเขตตรวจสอบพบว่าซอยพร้อมจิตรมีการจดเป็นทางภาระจำยอมเรื่องทางเดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ปรับปรุงเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กให้ประชาชนใช้สัญจรร่วมกัน แต่มีประชาชนก่อสร้างรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กรุกล้ำแนวเขตทางสาธารณะจำนวน ๔ ราย รวมทั้งรายผู้ฟ้องคดี จึงมีคำสั่งให้รื้อถอนและทำให้ทางสาธารณะกลับสู่สภาพเดิม เห็นว่า เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาท ซึ่งการที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นทางสาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางวนิดา กุลยดุลย์ ผู้ฟ้องคดี กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ ๒ ผู้อำนวยการเขตวัฒนา ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๒/๒๕๕๕
วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๒ นางวนิดา กุลยดุลย์ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ ๒ ผู้อำนวยการเขตวัฒนา ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๓/๒๕๕๒ ต่อมา ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๙๘/๒๕๕๒ ซึ่งอธิบดีศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้รวมสำนวนคดีทั้งสองนี้เข้าด้วยกันโดยให้สำนวนคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๓/๒๕๕๒ เป็นสำนวนหลัก ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๑๕๓๑ ตำบลคลองตัน (บางกะปิฝั่งใต้) อำเภอพระโขนง (บางกะปิ) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๑ - ๓ - ๔๒ ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง มีแนวรั้วล้อมรอบโดยซื้อมาจากผู้มีชื่อ และได้ครอบครองที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๕๙ ตำบลบางกะปิฝั่งใต้ อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ด้านทิศเหนือติดถนนซอยพร้อมจิตร (สุขุมวิท ๓๓) ในส่วนที่กั้นเขตไว้เป็นรั้วล้อมรอบที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๒๐ ตารางวา มาตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้มีหนังสือแจ้งว่าที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๕๙ ซึ่งผู้ฟ้องคดีครอบครองและก่อสร้างรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นทางสาธารณประโยชน์ให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กที่ก่อสร้างรุกล้ำทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวออกไป ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีหนังสือที่ กท ๘๕๐๓/๘๑๘๓ ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ แจ้งว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๒๗๕๙ บริเวณที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองได้มีการจดภาระจำยอมเรื่องทางเดินตามคำขอฉบับที่ ๖๐/๕๒๓ ลงวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ซึ่งประชาชนใช้สัญจรมาเป็นเวลานานกว่า ๖๒ ปี ถือได้ว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งราษฎรได้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ไม่อาจเพิกถอนคำสั่งเดิมได้ และเสนอผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ วินิจฉัยแล้วเห็นว่า เป็นการรุกล้ำที่สาธารณะจริง จึงให้ยกอุทธรณ์และแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบ แต่ที่ดินพิพาทดังกล่าวผู้ฟ้องคดีครอบครองใช้ประโยชน์มาตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ และครอบครองใช้ประโยชน์โดยสงบ เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของมาแล้วกว่า ๒๐ ปี ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ฟ้องคดีด้วยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่มีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างได้ ขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ตามหนังสือที่ กท ๘๕๐๓/๖๗๑๘ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๑ และที่ กท ๘๕๐๓/๘๑๘๓ ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตามหนังสือที่ กท ๘๕๐๓/๓๖๖๐ ลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ และห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเข้ามาขัดขวางหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๕๙ ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การว่า สำนักงานเขตวัฒนาได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่มีประชาชนขอให้ตรวจสอบความถูกต้อง การอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารสูงซอยพร้อมจิตร ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เนื่องจากมีการก่อสร้างอาคารสูงในซอยแคบมีความกว้างไม่ถึง ๑๐ เมตร จากการตรวจสอบพบว่าซอยพร้อมจิตร มีการจดเป็นทางภาระจำยอม ลงวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๔๘๙ เรื่องทางเดินมีความกว้าง ๑๐ - ๑๒ เมตร ซึ่งกรุงเทพมหานครได้ปรับปรุงเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กเพื่อประชาชนใช้สัญจรร่วมกัน โดยมีประชาชนได้ก่อสร้างรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กรุกล้ำแนวเขตทางสาธารณะจำนวน ๔ ราย โดยรายของผู้ฟ้องคดีมีการก่อสร้างรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กรุกล้ำทางสาธารณประโยชน์ มุมด้านตะวันออกมีระยะ ๒ เมตร และมุมด้านตะวันตกมีระยะ ๒.๘๔ เมตร จึงมีคำสั่งให้รื้อถอนและทำให้ทางสาธารณะกลับสู่สภาพเดิม ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า แม้ผู้ฟ้องคดีจะขอให้เพิกถอนคำสั่งอันเป็นคำสั่งทางปกครอง แต่ก็ได้กล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทมิได้เป็นที่สาธารณประโยชน์ แต่เป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และครอบครองอยู่ จึงเป็นการโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้นศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ กระทำการตามอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อคดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๑๕๓๑ ตำบลคลองตัน (บางกะปิฝั่งใต้) อำเภอพระโขนง (บางกะปิ) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๑ - ๓ - ๔๒ ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง มีแนวรั้วล้อมรอบโดยซื้อมาจากผู้มีชื่อ และได้ครอบครองบางส่วนของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๕๙ ตำบลบางกะปิฝั่งใต้ อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๒๐ ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินของผู้มีชื่อโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า ๑๐ ปี บางส่วนของที่ดินแปลงนี้จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ใช้อำนาจตามมาตรา ๑๑๗ มาตรา ๑๑๘ และมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบมาตรา ๖๙ (๑) และมาตรา ๘๙ (๑๐) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ มีหนังสือที่ กท ๘๕๐๓/๖๗๑๘ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๑ แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว และทำถนนให้กลับอยู่สภาพเดิมภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ มิฉะนั้นจะมีความผิดตามมาตรา ๙ และมาตรา ๑๐๘ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และความผิดตามมาตรา ๓๖๐ และมาตรา ๓๖๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยอ้างว่าผู้ฟ้องคดีก่อสร้างรั้วรุกล้ำที่สาธารณะ ด้านทิศตะวันออกประมาณ ๒ เมตร และด้านทิศตะวันตกประมาณ ๒.๘๔ เมตร การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้ผู้คดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จึงฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่ กท ๘๕๐๓/๖๗๑๘ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๑ และที่ กท ๘๕๐๓/๘๑๘๓ ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ พร้อมกับห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเข้ามาขัดขวางหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๕๙ ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับโดยสั่งห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามกระทำการรบกวนสิทธิในทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) และสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามถือปฏิบัติต่อสิทธิในทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ประกอบกับมาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคล ภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง
แม้คดีนี้จะมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาด้วยว่า รั้วพิพาทปลูกสร้างในที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือปลูกสร้างในที่สาธารณะ ซึ่งจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาลักษณะคดีว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติในกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทแห่งคดีได้และศาลปกครองก็ได้นำบทบัญญัติในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาปรับใช้กับการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองหลายกรณี เช่นการวินิจฉัยเกี่ยวกับดอกเบี้ยที่คู่สัญญาต้องรับผิดในการฟ้องคดีเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองหรือการวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่นำหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาปรับใช้กับการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองเท่าที่สภาพของเรื่องจะเปิดช่องให้กระทำได้และไม่ขัดต่อหลักการพื้นฐานของคดีปกครอง ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเป็นเพียงหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาที่สาธารณะตามมาตรา ๘๙ (๑๐) และมาตรา ๖๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ ประกอบมาตรา ๑๑๗ มาตรา ๑๑๘ และมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเป็นผู้ทรงสิทธิหรือมีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงพิพาท ข้อพิพาทในทำนองนี้จึงไม่อาจเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิในที่ดินดังเช่นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยทั่วไป เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้มีคำสั่งแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชนรื้อถอนรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กที่รุกล้ำที่สาธารณะ ผู้ฟ้องคดีโต้แย้งว่าที่ดินที่มีคำสั่งให้รื้อถอนรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของตน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบถึงการไม่เพิกถอนคำสั่งให้รื้อถอนดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจึงอุทธรณ์คำสั่ง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ แจ้งคำสั่งยกอุทธรณ์ให้ผู้ฟ้องคดีทราบ แม้คำสั่งดังกล่าวจะเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จะสืบเนื่องมาจากการออกคำสั่งหรือการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่ผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งเหล่านั้นโดยโต้แย้งว่าที่ดินที่มีคำสั่งให้รื้อถอน รั้วที่รุกล้ำเป็นกรรมสิทธิ์ของตน มิใช่ที่สาธารณะดังที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การนั้น เป็นเรื่องที่มีการโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่า ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวตามคำขอของผู้ฟ้องคดี และห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเข้ามาขัดขวางเกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๗๕๙ ตำบลบางกะปิฝั่งใต้ อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เฉพาะส่วนเนื้อที่ประมาณ ๒๐ ตารางวา ที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของตนนั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามโต้แย้งเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าว ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน คือศาลยุติธรรม ดังนั้นคดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ กับที่ ๓ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม แต่ตามคำฟ้องผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีครอบครองที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๕๙ ตำบลบางกะปิฝั่งใต้ อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ด้านทิศเหนือติดถนนซอยพร้อมจิตร (สุขุมวิท ๓๓) ในส่วนที่กั้นเขตไว้เป็นรั้วล้อมรอบที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๒๐ ตารางวา โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านหรือรอนสิทธิมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ แจ้งแก่ผู้ฟ้องคดีว่าที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองเป็นทางสาธารณประโยชน์ ให้ดำเนินการรื้อถอนรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กของผู้ฟ้องคดีออกไป ผู้ฟ้องคดีจึงอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จึงแจ้งแก่ผู้ฟ้องคดีว่าที่ดินพิพาทมีการจดภาระจำยอมเรื่องทางเดินตั้งแต่ปี ๒๔๘๙ และประชาชนใช้สัญจรนานกว่า ๖๒ ปี ถือได้ว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่อาจเพิกถอนคำสั่งได้ และเสนอความเห็นต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ วินิจฉัยแล้ว เห็นว่าการสร้างรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กของผู้ฟ้องคดีเป็นการสร้างรั้วรุกล้ำที่สาธารณะจริง จึงวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ แต่ที่ดินพิพาทดังกล่าวผู้ฟ้องคดีครอบครองใช้ประโยชน์มาตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ และครอบครองใช้ประโยชน์โดยสงบ เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของมาแล้วกว่า ๒๐ ปี ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ฟ้องคดีด้วยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่มีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างได้ ขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเข้ามาขัดขวางหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนที่ผู้ฟ้องคดีครอบครอง ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การว่า สำนักงานเขตตรวจสอบพบว่าซอยพร้อมจิตรมีการจดเป็นทางภาระจำยอมเรื่องทางเดิน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ปรับปรุงเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กให้ประชาชนใช้สัญจรร่วมกัน แต่มีประชาชนก่อสร้างรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กรุกล้ำแนวเขตทางสาธารณะจำนวน ๔ ราย รวมทั้งรายผู้ฟ้องคดี จึงมีคำสั่งให้รื้อถอนและทำให้ทางสาธารณะกลับสู่สภาพเดิม เห็นว่า เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาท ซึ่งการที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นทางสาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางวนิดา กุลยดุลย์ ผู้ฟ้องคดี กรุงเทพมหานคร ที่ ๑ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ ๒ ผู้อำนวยการเขตวัฒนา ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑/๒๕๕๕
วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองนครราชสีมา
ระหว่าง
ศาลจังหวัดเดชอุดม
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองนครราชสีมาโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๒ นายสุรสิทธิ์ ฉัตรวิไล ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องนายกเทศมนตรีเมืองเดชอุดม ผู้ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองนครราชสีมา เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๖๑๑/๒๕๕๒ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๔๐๑๙ ตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ ๒๓ ไร่ ๒ งาน ๔๖ ตารางวา แต่ถูกผู้ถูกฟ้องคดีรังวัดสอบเขตที่ดินสาธารณประโยชน์รุกล้ำเข้าไปในที่ดินดังกล่าว ตัดต้นไม้ ขุดดิน และปักเสารั้วคอนกรีตพร้อมทั้งขึงรั้วลวดหนามเป็นแนวเขตที่สาธารณประโยชน์ใหม่รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีประมาณ ๒ - ๗ เมตร ตลอดแนวถนนเป็นระยะทางประมาณ ๒๐๐ เมตร ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีหยุดการกระทำดังกล่าว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกเฉย ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีถอนแนวรั้วที่ทำขึ้นใหม่และให้กลับไปใช้แนวรั้วของผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม ตรวจสอบเขตทางหลวงเทศบาลบริเวณถนนศรีขรภูมิ ช่วงจากทางแยกถนนราษฎร์บูรณะถึงลำห้วยตลาดตามที่ได้รับหนังสือร้องเรียนจากราษฎรว่ามีผู้บุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ห้วยตลาด เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้รับการยืนยันแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์จากสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม จึงดำเนินการปักแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ตามแนวเขตดังกล่าว อันเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และเป็นการดำเนินการโดยชอบแล้ว
ผู้ถูกฟ้องคดียื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้รับการยืนยันแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ในที่ดินพิพาทจากสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องปักแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ตามนั้น อันเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ และการที่ ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีรื้อถอนการปักแนวเขตที่ดินพิพาท ผู้ฟ้องคดีจะต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองของผู้ฟ้องคดี อันเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง การดูแลรักษาที่สาธารณประโยชน์เป็นการดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่ของเทศบาลตามมาตรา ๕๓ (๑) ประกอบมาตรา ๕๐ (๙) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ และมาตรา ๑๖ (๒๗) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังจากเทศบาลเมืองเดชอุดมได้รับหนังสือร้องเรียนว่ามีผู้บุกรุกที่สาธารณประโยชน์ห้วยตลาดริมถนนศรีขรภูมิ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงได้มีหนังสือขอให้สำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม ทำการตรวจสอบเขตทางหลวง บริเวณถนนศรีขรภูมิ ช่วงจากทางแยกถนนราษฎร์บูรณะถึงลำห้วยตลาด และเมื่อสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม ได้ทำการรังวัดและแจ้งผลการรังวัดพร้อมส่งรูปแผนที่รังวัดให้ผู้ถูกฟ้องคดีทราบแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีได้เข้าปักแนวรั้วที่สาธารณประโยชน์ตามรูปแผนที่ (รว. ๙) ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม ตรวจสอบและจัดส่งให้เพื่อเป็นการรักษาที่สาธารณประโยชน์ การกระทำดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีจึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครองของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีรังวัดสอบเขตที่สาธารณประโยชน์เข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดี รวมทั้งตัดต้นไม้และทำลายรั้วซึ่งเป็นแนวเขตเดิมแล้วปักเสาคอนกรีตและขึงลวดหนามเป็นแนวเขตที่สาธารณประโยชน์ใหม่ รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดีประมาณ ๓ - ๑๐ เมตร ตลอดแนวถนนเป็นระยะทางประมาณ ๒๐๐ เมตร ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีรื้อถอนแนวรั้วที่ทำขึ้นใหม่และให้กลับไปใช้แนวรั้วเดิมของผู้ฟ้องคดี จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นคดีปกครองที่กล่าวหาว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น แม้คดีมีประเด็นต้องพิจารณาว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ ประเด็นดังกล่าวก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดี อันเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะพิจารณาว่าการดำเนินการรังวัดที่สาธารณประโยชน์พร้อมทั้งการปักเสาคอนกรีตและขึงรั้วลวดหนามของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดังกล่าวหรือไม่จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าว ก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาบังคับแก่คดีได้เช่นกัน นอกจากนี้มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับ สิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ได้ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือดำเนินกิจการทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของ ผู้ฟ้องคดีได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว อีกทั้งเทศบาลเมืองเดชอุดมหรือผู้ถูกฟ้องคดีมีหน้าที่ดูแลที่สาธารณประโยชน์ จึงมิได้อยู่ในฐานะเจ้าของหรือผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทซึ่งศาลจะพิพากษาเพียงเฉพาะสิทธิในที่ดิน ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีประเด็นการโต้แย้งเกี่ยวกับความมีอยู่หรือสถานะของที่สาธารณประโยชน์รวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ เพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมิใช่เรื่องพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด เมื่อคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจปกครองตามกฎหมายหรือดำเนินกิจการทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมจึงย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดเดชอุดมพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๔๐๑๙ ตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ ๑๓ - ๒ - ๔๖ ไร่ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือถึงสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม ให้รังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ริมถนนศรีขรภูมิที่อยู่ติดกับที่ดินของผู้ฟ้องคดีทางด้านทิศตะวันออก ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ที่รังวัดใหม่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นเส้นตรงตลอดแนวจากหลักไม้ทางด้านทิศเหนือมายังหลักหมุดทางด้านทิศใต้ และผู้ถูกฟ้องคดีพร้อมพนักงานเทศบาลกระทำละเมิดโดยบุกรุกเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดี ตัดต้นไม้และขุดดินพร้อมทั้งนำเสารั้วคอนกรีตมาปักแนวเขตที่ช่างรังวัดทำการรังวัด ผู้ฟ้องคดีจึงขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีถอนแนวรั้วที่ทำขึ้นออกไป จะเห็นได้ว่าผู้ฟ้องคดียืนยันว่าที่ดินในส่วนที่พนักงานเทศบาลของผู้ถูกฟ้องคดีเข้าไปตัดต้นไม้ ขุดดินและปักเสาคอนกรีตตามแนวเขตที่ช่างรังวัดทำการรังวัดใหม่เป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดี แต่ฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีโต้แย้งว่าไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดี โดยที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์มิใช่ที่ดินของผู้ฟ้องคดี ดังนั้น การที่ศาลจะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่และจะต้องรื้อถอนแนวรั้วหรือไม่ ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ข้อเท็จจริงที่เป็นหลักสำคัญในการชี้ขาดตัดสินคดีเสียก่อนว่า ที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แล้วจึงจะพิจารณาได้ว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นละเมิดหรือไม่ อันเป็นกรณีพิพาทที่เกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม แต่ตามคำฟ้องผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๔๐๑๙ ตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ ๒๓ ไร่ ๒ งาน ๔๖ ตารางวา แต่ถูกผู้ถูกฟ้องคดีรังวัดสอบเขตที่ดินแล้วปักเสารั้วคอนกรีตพร้อมทั้งขึงรั้วลวดหนามเป็นแนวเขตที่สาธารณประโยชน์รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีประมาณ ๒ - ๗ เมตร ตลอดแนวถนน เป็นระยะทางประมาณ ๒๐๐ เมตร ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีถอนแนวรั้วที่ทำขึ้นใหม่และให้กลับไปใช้แนวรั้วของผู้ฟ้องคดี ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม ตรวจสอบเขตทางหลวงเทศบาลบริเวณถนนศรีขรภูมิ ช่วงจากทางแยกถนนราษฎร์บูรณะถึงลำห้วยตลาดตามที่ได้รับหนังสือร้องเรียนจากราษฎรว่ามีผู้บุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ห้วยตลาด เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้รับการยืนยันแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์จากสำนักงานที่ดินจึงดำเนินการปักแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ตามแนวเขตดังกล่าว อันเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และเป็นการดำเนินการโดยชอบแล้ว เห็นว่า เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ซึ่งการที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายสุรสิทธิ์ ฉัตรวิไล ผู้ฟ้องคดี นายกเทศมนตรีเมืองเดชอุดม ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๑/๒๕๕๕
วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองนครราชสีมา
ระหว่าง
ศาลจังหวัดเดชอุดม
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองนครราชสีมาโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๒ นายสุรสิทธิ์ ฉัตรวิไล ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องนายกเทศมนตรีเมืองเดชอุดม ผู้ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองนครราชสีมา เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๖๑๑/๒๕๕๒ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๔๐๑๙ ตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ ๒๓ ไร่ ๒ งาน ๔๖ ตารางวา แต่ถูกผู้ถูกฟ้องคดีรังวัดสอบเขตที่ดินสาธารณประโยชน์รุกล้ำเข้าไปในที่ดินดังกล่าว ตัดต้นไม้ ขุดดิน และปักเสารั้วคอนกรีตพร้อมทั้งขึงรั้วลวดหนามเป็นแนวเขตที่สาธารณประโยชน์ใหม่รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีประมาณ ๒ - ๗ เมตร ตลอดแนวถนนเป็นระยะทางประมาณ ๒๐๐ เมตร ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีหยุดการกระทำดังกล่าว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกเฉย ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีถอนแนวรั้วที่ทำขึ้นใหม่และให้กลับไปใช้แนวรั้วของผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม ตรวจสอบเขตทางหลวงเทศบาลบริเวณถนนศรีขรภูมิ ช่วงจากทางแยกถนนราษฎร์บูรณะถึงลำห้วยตลาดตามที่ได้รับหนังสือร้องเรียนจากราษฎรว่ามีผู้บุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ห้วยตลาด เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้รับการยืนยันแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์จากสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม จึงดำเนินการปักแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ตามแนวเขตดังกล่าว อันเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และเป็นการดำเนินการโดยชอบแล้ว
ผู้ถูกฟ้องคดียื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้รับการยืนยันแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ในที่ดินพิพาทจากสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องปักแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ตามนั้น อันเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ และการที่ ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีรื้อถอนการปักแนวเขตที่ดินพิพาท ผู้ฟ้องคดีจะต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองของผู้ฟ้องคดี อันเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลปกครองและศาลยุติธรรมจะต้องพิจารณาเขตอำนาจของศาลปกครองเป็นสำคัญ หากคดีพิพาทใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง การดูแลรักษาที่สาธารณประโยชน์เป็นการดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่ของเทศบาลตามมาตรา ๕๓ (๑) ประกอบมาตรา ๕๐ (๙) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ และมาตรา ๑๖ (๒๗) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังจากเทศบาลเมืองเดชอุดมได้รับหนังสือร้องเรียนว่ามีผู้บุกรุกที่สาธารณประโยชน์ห้วยตลาดริมถนนศรีขรภูมิ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงได้มีหนังสือขอให้สำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม ทำการตรวจสอบเขตทางหลวง บริเวณถนนศรีขรภูมิ ช่วงจากทางแยกถนนราษฎร์บูรณะถึงลำห้วยตลาด และเมื่อสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม ได้ทำการรังวัดและแจ้งผลการรังวัดพร้อมส่งรูปแผนที่รังวัดให้ผู้ถูกฟ้องคดีทราบแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีได้เข้าปักแนวรั้วที่สาธารณประโยชน์ตามรูปแผนที่ (รว. ๙) ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม ตรวจสอบและจัดส่งให้เพื่อเป็นการรักษาที่สาธารณประโยชน์ การกระทำดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีจึงเป็นการใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครองของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีรังวัดสอบเขตที่สาธารณประโยชน์เข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดี รวมทั้งตัดต้นไม้และทำลายรั้วซึ่งเป็นแนวเขตเดิมแล้วปักเสาคอนกรีตและขึงลวดหนามเป็นแนวเขตที่สาธารณประโยชน์ใหม่ รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดีประมาณ ๓ - ๑๐ เมตร ตลอดแนวถนนเป็นระยะทางประมาณ ๒๐๐ เมตร ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีรื้อถอนแนวรั้วที่ทำขึ้นใหม่และให้กลับไปใช้แนวรั้วเดิมของผู้ฟ้องคดี จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นคดีปกครองที่กล่าวหาว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น แม้คดีมีประเด็นต้องพิจารณาว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์ ประเด็นดังกล่าวก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดี อันเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะพิจารณาว่าการดำเนินการรังวัดที่สาธารณประโยชน์พร้อมทั้งการปักเสาคอนกรีตและขึงรั้วลวดหนามของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดังกล่าวหรือไม่จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าว ก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาบังคับแก่คดีได้เช่นกัน นอกจากนี้มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับ สิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ได้ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือดำเนินกิจการทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของ ผู้ฟ้องคดีได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว อีกทั้งเทศบาลเมืองเดชอุดมหรือผู้ถูกฟ้องคดีมีหน้าที่ดูแลที่สาธารณประโยชน์ จึงมิได้อยู่ในฐานะเจ้าของหรือผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทซึ่งศาลจะพิพากษาเพียงเฉพาะสิทธิในที่ดิน ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีประเด็นการโต้แย้งเกี่ยวกับความมีอยู่หรือสถานะของที่สาธารณประโยชน์รวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ เพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมิใช่เรื่องพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด เมื่อคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจปกครองตามกฎหมายหรือดำเนินกิจการทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองแล้ว ศาลยุติธรรมจึงย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามนัยมาตรา ๒๑๘ ประกอบมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดเดชอุดมพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๔๐๑๙ ตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ ๑๓ - ๒ - ๔๖ ไร่ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือถึงสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม ให้รังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ริมถนนศรีขรภูมิที่อยู่ติดกับที่ดินของผู้ฟ้องคดีทางด้านทิศตะวันออก ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ที่รังวัดใหม่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นเส้นตรงตลอดแนวจากหลักไม้ทางด้านทิศเหนือมายังหลักหมุดทางด้านทิศใต้ และผู้ถูกฟ้องคดีพร้อมพนักงานเทศบาลกระทำละเมิดโดยบุกรุกเข้ามาในที่ดินของผู้ฟ้องคดี ตัดต้นไม้และขุดดินพร้อมทั้งนำเสารั้วคอนกรีตมาปักแนวเขตที่ช่างรังวัดทำการรังวัด ผู้ฟ้องคดีจึงขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีถอนแนวรั้วที่ทำขึ้นออกไป จะเห็นได้ว่าผู้ฟ้องคดียืนยันว่าที่ดินในส่วนที่พนักงานเทศบาลของผู้ถูกฟ้องคดีเข้าไปตัดต้นไม้ ขุดดินและปักเสาคอนกรีตตามแนวเขตที่ช่างรังวัดทำการรังวัดใหม่เป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดี แต่ฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีโต้แย้งว่าไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ฟ้องคดี โดยที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์มิใช่ที่ดินของผู้ฟ้องคดี ดังนั้น การที่ศาลจะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่และจะต้องรื้อถอนแนวรั้วหรือไม่ ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ข้อเท็จจริงที่เป็นหลักสำคัญในการชี้ขาดตัดสินคดีเสียก่อนว่า ที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แล้วจึงจะพิจารณาได้ว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นละเมิดหรือไม่ อันเป็นกรณีพิพาทที่เกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ถูกฟ้องคดีจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม แต่ตามคำฟ้องผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๔๐๑๙ ตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ ๒๓ ไร่ ๒ งาน ๔๖ ตารางวา แต่ถูกผู้ถูกฟ้องคดีรังวัดสอบเขตที่ดินแล้วปักเสารั้วคอนกรีตพร้อมทั้งขึงรั้วลวดหนามเป็นแนวเขตที่สาธารณประโยชน์รุกล้ำที่ดินของผู้ฟ้องคดีประมาณ ๒ - ๗ เมตร ตลอดแนวถนน เป็นระยะทางประมาณ ๒๐๐ เมตร ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีถอนแนวรั้วที่ทำขึ้นใหม่และให้กลับไปใช้แนวรั้วของผู้ฟ้องคดี ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาเดชอุดม ตรวจสอบเขตทางหลวงเทศบาลบริเวณถนนศรีขรภูมิ ช่วงจากทางแยกถนนราษฎร์บูรณะถึงลำห้วยตลาดตามที่ได้รับหนังสือร้องเรียนจากราษฎรว่ามีผู้บุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ห้วยตลาด เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้รับการยืนยันแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์จากสำนักงานที่ดินจึงดำเนินการปักแนวเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ตามแนวเขตดังกล่าว อันเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และเป็นการดำเนินการโดยชอบแล้ว เห็นว่า เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ซึ่งการที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายสุรสิทธิ์ ฉัตรวิไล ผู้ฟ้องคดี นายกเทศมนตรีเมืองเดชอุดม ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐/๒๕๕๕
วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลภาษีอากรกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ นายวิสารท อังคทะวานิช ที่ ๑ นางสาวจิรวรรณ จิรวัฒน์สถิตย์ ที่ ๒ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร ที่ ๑ อธิบดีกรมสรรพากร ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๙๓/๒๕๕๓ ความว่า เมื่อประมาณปี ๒๕๓๙ ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้นำโฉนดที่ดินจำนวน ๗ แปลง ไปขอกู้เงินจากนายทุน ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ไม่สามารถนำเงินไปไถ่ถอนโฉนดที่ดินคืนได้จึงลงลายมือชื่อโอนลอยให้นายทุนไป นายทุนได้นำโฉนดที่ดินไปขายให้ผู้อื่นโดยไม่แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ทราบ ประมาณปี ๒๕๔๖ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้อายัดเงินในบัญชีของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ รวม ๔ บัญชี เป็นเงิน ๒๔๖,๐๑๓.๘๕ บาท ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จึงทราบว่าเป็นหนี้กรมสรรพากร เป็นเงินจำนวน ๑,๖๖๖,๙๔๓.๖๕ บาท ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จึงมีหนังสืออุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาลดเบี้ยปรับ ให้คงเหลือเงินที่ยังต้องชำระจำนวน ๘๓๑,๐๒๙.๑๖ บาท หักเงินที่ถูกอายัดจำนวน ๒๔๖,๐๑๓.๘๕ บาท คงเหลือเงินจำนวน ๕๘๕,๐๑๕.๓๑ บาท ซึ่งผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้ผ่อนชำระไปแล้ว ๑๒ เดือน เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท คงเหลือเงินที่ต้องชำระจำนวน ๕๔๙,๐๑๕.๓๑ บาท ต่อมาผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้รับทราบจากสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๗ ว่า ได้อายัดเงินในบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ ๐๐-๐๐๓๔-๓๖-๐๐๑๐๕๗-๙ ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ที่ได้ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากบัญชีอื่นมาฝากไว้โดยมีผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ลงลายมือชื่อร่วม เพื่อที่หากผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ป่วยกะทันหันหรือป่วยหนักไม่สามารถเบิกเงินได้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จะได้ถอนเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ มิได้มีเจตนาที่จะยกเงินในบัญชีดังกล่าวให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ กึ่งหนึ่งดังที่เจ้าหน้าที่สันนิษฐาน ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงมีหนังสือถึงสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๗ คัดค้านการอายัดเงินในบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าว แต่สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๗ แจ้งว่ากรณีดังกล่าวเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ในเงินในบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวคนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๗ การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รับความเสียหาย ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินในบัญชีชื่อดังกล่าวได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เลขที่บัญชี ๐๐-๐๐๓๔-๓๖-๐๐๑๐๕๗-๙ และให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าว
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า คดีนี้มีมูลเหตุมาจากการที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้ค้างชำระภาษีธุรกิจเฉพาะเนื่องจากการขายอสังหาริมทรัพย์ภายในระยะเวลา ๕ ปี นับแต่วันที่ได้อสังหาริมทรัพย์นั้นมา จึงเข้าลักษณะเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไร ตามมาตรา ๓ (๖) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางการค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ ๒๔๔) พ.ศ. ๒๕๓๔ จากการเร่งรัดของเจ้าหน้าที่พบว่าผู้ฟ้องคดีที่ ๑ มีสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากประจำของธนาคารออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บัญชีเลขที่ ๐๐-๐๐๓๔-๓๖-๐๐๑๐๕๗-๙ ซึ่งสำนักงานสรรพากรภาค ๑ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าทรัพย์สินที่สอบสวนพบดังกล่าวไม่เป็นทรัพย์สินที่ห้ามอายัด ตามข้อ ๘ แห่งระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการอายัดทรัพย์สิน ตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ จึงอนุมัติให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๗ อายัดสิทธิเรียกร้องของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในบัญชีเงินฝากดังกล่าว สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๗ จึงมีคำสั่งอายัดสิทธิของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในบัญชีเงินฝากดังกล่าว โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร และระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการอายัดทรัพย์สิน ตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งอายัดที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองใช้สิทธิตามมาตรา ๑๒ ของประมวลรัษฎากร มูลคดีจึงเป็นการพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร ข้อพิพาทดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากร นอกจากนี้บัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวได้ระบุเงื่อนไขในการสั่งจ่ายว่า "คนใดคนหนึ่งถอนปิดบัญชี" ย่อมเป็นการแสดงเจตนาว่าผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ยินยอมให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ สามารถเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวร่วมกับผู้ฟ้องคดีที่ ๒ กฎหมายต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ในเงินในบัญชีดังกล่าวคนละกึ่งหนึ่งเท่ากัน ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๗ เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีร่วมกันผู้ฟ้องคดีที่ ๒ คนละกึ่งหนึ่งอันมีต่อธนาคารออมสิน ที่จะถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวได้ กรมสรรพากรในฐานะเจ้าหนี้ของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จึงมีสิทธิตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร ที่จะอายัดเงินจำนวนกึ่งหนึ่งในบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวมาชำระภาษีอากรค้างได้ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้กระทำการตามหน้าที่ หลักเกณฑ์และขั้นตอนชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรและอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สรรพากรว่าใช้อำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลกฎหมายรัษฎากรถูกต้องตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์ของกฎหมายหรือไม่ และการพิจารณาคดีดังกล่าวนั้น ศาลจำต้องพิจารณาถึงประมวลรัษฎากร ประกอบกับระเบียบข้อบังคับกรมสรรพากรเป็นหลักในการพิจารณาพิพากษาคดี ประกอบกับมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ บัญญัติว่า ศาลภาษีอากรมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งในเรื่องต่อไปนี้ (๒) คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร ฉะนั้น เมื่อกรณีดังกล่าวมีศาลชำนัญการพิเศษเฉพาะอยู่แล้ว คือศาลภาษีอากร กรณีจึงไม่ใช่คดีตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองกลาง และเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองกลางที่จะพิจารณาพิพากษาคดีนี้
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้ออกคำสั่งกรมสรรพากร ที่ (สภ. ๑) ๗๑๘๓-๗๑๘๔/๒๕๕๒ เรื่อง ให้อายัดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ โดยได้ทำการอายัดสิทธิเรียกร้องของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในบัญชีเงินฝากธนาคารออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อชำระหนี้ภาษีอากรตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการอายัดทรัพย์ตามอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยมิได้มีประเด็นโต้แย้งเรื่องจำนวนเงินค่าภาษีที่ผู้ถูกฟ้องคดีประเมินเรียกเก็บแต่อย่างใด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร และระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการอายัดทรัพย์สิน ตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ และเป็นมาตรการบังคับทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองฟ้องว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดังกล่าว ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการใช้อำนาจตามกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองในการอายัดทรัพย์สินว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มิใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับภาษีอากรที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากรตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ จึงถือว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการกระทำของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้มีคำสั่งอายัดบัญชีเงินฝาก ธนาคารออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เลขที่ ๐๐-๐๐๓๔-๓๖-๐๐๑๐๕๗-๙ ของผู้ฟ้องคดีทั้งสองนั้น เป็นกรณีที่สืบเนื่องจากการที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ถูกประเมินภาษีโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และเมื่อผู้ฟ้องคดีที่ ๑ มีชื่ออยู่ในบัญชีเงินฝากดังกล่าวร่วมกับผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจนเกิดเป็นข้อพิพาทในคดีนี้ ซึ่งเมื่อพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ทำการอายัดบัญชีเงินฝากของผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นการใช้อำนาจในการออกคำสั่งทางปกครองเพื่อบังคับชำระหนี้ค่าภาษีค้างโดยการอายัดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดในหนี้ค่าภาษี ตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร จึงเป็นมาตรการที่เกี่ยวกับการบังคับตามสิทธิเรียกร้องในหนี้ค่าภาษีอากรของรัฐ เมื่อมีข้อโต้แย้งว่าเป็นการใช้อำนาจอายัดโดยที่มิชอบด้วยกฎหมาย ก็ย่อมถือเป็นคดีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร ซึ่งจะต้องมีการวินิจฉัยว่าการใช้อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยการวินิจฉัยดังกล่าวก็จะต้องพิจารณาถึงมูลหนี้ค่าภาษีตามประมวลรัษฎากรอันเป็นที่มาของการบังคับชำระหนี้ที่พิพาท เมื่อคดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองอ้างว่าคำสั่งอายัดของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นคดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานตามกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร และเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากร ตามมาตรา ๗ (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองฟ้องว่า เดิมเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินเรียกเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะแก่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และได้มีคำสั่งอายัดเงินในบัญชีของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ รวม ๔ บัญชี ตั้งแต่ประมาณปี ๒๕๔๖ ซึ่งผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้อุทธรณ์การประเมินดังกล่าว คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณางดเบี้ยปรับ และผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้ผ่อนชำระภาษีอากรค้างในส่วนที่เหลือดังกล่าว ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีคำสั่งที่ (สภ. ๑) ๗๑๘๓-๗๑๘๔/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ ให้อายัดสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากธนาคารออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เลขที่ ๐๐-๐๐๓๔-๓๖-๐๐๑๐๕๗-๙ ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีร่วมกัน โดยผู้ฟ้องคดี
ทั้งสองได้คัดค้านการอายัดในครั้งนี้ว่าเงินฝากในบัญชีดังกล่าวเป็นของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ โดยมีผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ลงชื่อร่วมเพื่อความสะดวกในการถอนเงินสำหรับการจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ในกรณีจำเป็นเท่านั้น โดยผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ไม่มีเจตนาที่จะยกเงินในบัญชีให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ แต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้คัดค้านการอายัดสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากดังกล่าวแต่ไม่เป็นผล ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองที่ให้อายัดสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากดังกล่าว เห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เลขที่บัญชี ๐๐-๐๐๓๔-๓๖-๐๐๑๐๕๗-๙ ของตน ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีได้ออกคำสั่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๒ อันเนื่องมาจากผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ค้างชำระหนี้ค่าภาษีอากรเพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้าง ซึ่งเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองโต้แย้งว่าการใช้สิทธิเรียกร้องของรัฐดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร ตามมาตรา ๗ (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากร และไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคสอง (๓) คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายวิสารท อังคทะวานิช ที่ ๑ นางสาวจิรวรรณ
จิรวัฒน์สถิตย์ ที่ ๒ ผู้ฟ้องคดี กรมสรรพากร ที่ ๑ อธิบดีกรมสรรพากร ที่ ๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๐/๒๕๕๕
วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง คดีเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลภาษีอากรกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ นายวิสารท อังคทะวานิช ที่ ๑ นางสาวจิรวรรณ จิรวัฒน์สถิตย์ ที่ ๒ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร ที่ ๑ อธิบดีกรมสรรพากร ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๙๓/๒๕๕๓ ความว่า เมื่อประมาณปี ๒๕๓๙ ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้นำโฉนดที่ดินจำนวน ๗ แปลง ไปขอกู้เงินจากนายทุน ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ไม่สามารถนำเงินไปไถ่ถอนโฉนดที่ดินคืนได้จึงลงลายมือชื่อโอนลอยให้นายทุนไป นายทุนได้นำโฉนดที่ดินไปขายให้ผู้อื่นโดยไม่แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ทราบ ประมาณปี ๒๕๔๖ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้อายัดเงินในบัญชีของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ รวม ๔ บัญชี เป็นเงิน ๒๔๖,๐๑๓.๘๕ บาท ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จึงทราบว่าเป็นหนี้กรมสรรพากร เป็นเงินจำนวน ๑,๖๖๖,๙๔๓.๖๕ บาท ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จึงมีหนังสืออุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาลดเบี้ยปรับ ให้คงเหลือเงินที่ยังต้องชำระจำนวน ๘๓๑,๐๒๙.๑๖ บาท หักเงินที่ถูกอายัดจำนวน ๒๔๖,๐๑๓.๘๕ บาท คงเหลือเงินจำนวน ๕๘๕,๐๑๕.๓๑ บาท ซึ่งผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้ผ่อนชำระไปแล้ว ๑๒ เดือน เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท คงเหลือเงินที่ต้องชำระจำนวน ๕๔๙,๐๑๕.๓๑ บาท ต่อมาผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้รับทราบจากสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๗ ว่า ได้อายัดเงินในบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ ๐๐-๐๐๓๔-๓๖-๐๐๑๐๕๗-๙ ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ที่ได้ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากบัญชีอื่นมาฝากไว้โดยมีผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ลงลายมือชื่อร่วม เพื่อที่หากผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ป่วยกะทันหันหรือป่วยหนักไม่สามารถเบิกเงินได้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จะได้ถอนเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ มิได้มีเจตนาที่จะยกเงินในบัญชีดังกล่าวให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ กึ่งหนึ่งดังที่เจ้าหน้าที่สันนิษฐาน ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงมีหนังสือถึงสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๗ คัดค้านการอายัดเงินในบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าว แต่สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๗ แจ้งว่ากรณีดังกล่าวเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ในเงินในบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวคนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๗ การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รับความเสียหาย ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินในบัญชีชื่อดังกล่าวได้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เลขที่บัญชี ๐๐-๐๐๓๔-๓๖-๐๐๑๐๕๗-๙ และให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าว
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า คดีนี้มีมูลเหตุมาจากการที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้ค้างชำระภาษีธุรกิจเฉพาะเนื่องจากการขายอสังหาริมทรัพย์ภายในระยะเวลา ๕ ปี นับแต่วันที่ได้อสังหาริมทรัพย์นั้นมา จึงเข้าลักษณะเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไร ตามมาตรา ๓ (๖) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางการค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ ๒๔๔) พ.ศ. ๒๕๓๔ จากการเร่งรัดของเจ้าหน้าที่พบว่าผู้ฟ้องคดีที่ ๑ มีสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากประจำของธนาคารออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บัญชีเลขที่ ๐๐-๐๐๓๔-๓๖-๐๐๑๐๕๗-๙ ซึ่งสำนักงานสรรพากรภาค ๑ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าทรัพย์สินที่สอบสวนพบดังกล่าวไม่เป็นทรัพย์สินที่ห้ามอายัด ตามข้อ ๘ แห่งระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการอายัดทรัพย์สิน ตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ จึงอนุมัติให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๗ อายัดสิทธิเรียกร้องของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในบัญชีเงินฝากดังกล่าว สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๗ จึงมีคำสั่งอายัดสิทธิของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในบัญชีเงินฝากดังกล่าว โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร และระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการอายัดทรัพย์สิน ตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งอายัดที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองใช้สิทธิตามมาตรา ๑๒ ของประมวลรัษฎากร มูลคดีจึงเป็นการพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร ข้อพิพาทดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากร นอกจากนี้บัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวได้ระบุเงื่อนไขในการสั่งจ่ายว่า "คนใดคนหนึ่งถอนปิดบัญชี" ย่อมเป็นการแสดงเจตนาว่าผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ยินยอมให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ สามารถเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวร่วมกับผู้ฟ้องคดีที่ ๒ กฎหมายต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ในเงินในบัญชีดังกล่าวคนละกึ่งหนึ่งเท่ากัน ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๗ เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีร่วมกันผู้ฟ้องคดีที่ ๒ คนละกึ่งหนึ่งอันมีต่อธนาคารออมสิน ที่จะถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวได้ กรมสรรพากรในฐานะเจ้าหนี้ของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จึงมีสิทธิตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร ที่จะอายัดเงินจำนวนกึ่งหนึ่งในบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวมาชำระภาษีอากรค้างได้ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้กระทำการตามหน้าที่ หลักเกณฑ์และขั้นตอนชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรและอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สรรพากรว่าใช้อำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลกฎหมายรัษฎากรถูกต้องตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์ของกฎหมายหรือไม่ และการพิจารณาคดีดังกล่าวนั้น ศาลจำต้องพิจารณาถึงประมวลรัษฎากร ประกอบกับระเบียบข้อบังคับกรมสรรพากรเป็นหลักในการพิจารณาพิพากษาคดี ประกอบกับมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ บัญญัติว่า ศาลภาษีอากรมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งในเรื่องต่อไปนี้ (๒) คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร ฉะนั้น เมื่อกรณีดังกล่าวมีศาลชำนัญการพิเศษเฉพาะอยู่แล้ว คือศาลภาษีอากร กรณีจึงไม่ใช่คดีตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองกลาง และเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองกลางที่จะพิจารณาพิพากษาคดีนี้
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้ออกคำสั่งกรมสรรพากร ที่ (สภ. ๑) ๗๑๘๓-๗๑๘๔/๒๕๕๒ เรื่อง ให้อายัดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ โดยได้ทำการอายัดสิทธิเรียกร้องของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในบัญชีเงินฝากธนาคารออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อชำระหนี้ภาษีอากรตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการอายัดทรัพย์ตามอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยมิได้มีประเด็นโต้แย้งเรื่องจำนวนเงินค่าภาษีที่ผู้ถูกฟ้องคดีประเมินเรียกเก็บแต่อย่างใด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร และระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการอายัดทรัพย์สิน ตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ และเป็นมาตรการบังคับทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองฟ้องว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดังกล่าว ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการใช้อำนาจตามกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองในการอายัดทรัพย์สินว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มิใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับภาษีอากรที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากรตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ จึงถือว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการกระทำของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้มีคำสั่งอายัดบัญชีเงินฝาก ธนาคารออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เลขที่ ๐๐-๐๐๓๔-๓๖-๐๐๑๐๕๗-๙ ของผู้ฟ้องคดีทั้งสองนั้น เป็นกรณีที่สืบเนื่องจากการที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ถูกประเมินภาษีโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และเมื่อผู้ฟ้องคดีที่ ๑ มีชื่ออยู่ในบัญชีเงินฝากดังกล่าวร่วมกับผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจนเกิดเป็นข้อพิพาทในคดีนี้ ซึ่งเมื่อพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ทำการอายัดบัญชีเงินฝากของผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นการใช้อำนาจในการออกคำสั่งทางปกครองเพื่อบังคับชำระหนี้ค่าภาษีค้างโดยการอายัดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดในหนี้ค่าภาษี ตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร จึงเป็นมาตรการที่เกี่ยวกับการบังคับตามสิทธิเรียกร้องในหนี้ค่าภาษีอากรของรัฐ เมื่อมีข้อโต้แย้งว่าเป็นการใช้อำนาจอายัดโดยที่มิชอบด้วยกฎหมาย ก็ย่อมถือเป็นคดีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร ซึ่งจะต้องมีการวินิจฉัยว่าการใช้อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยการวินิจฉัยดังกล่าวก็จะต้องพิจารณาถึงมูลหนี้ค่าภาษีตามประมวลรัษฎากรอันเป็นที่มาของการบังคับชำระหนี้ที่พิพาท เมื่อคดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองอ้างว่าคำสั่งอายัดของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นคดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานตามกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร และเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากร ตามมาตรา ๗ (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองฟ้องว่า เดิมเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินเรียกเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะแก่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และได้มีคำสั่งอายัดเงินในบัญชีของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ รวม ๔ บัญชี ตั้งแต่ประมาณปี ๒๕๔๖ ซึ่งผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้อุทธรณ์การประเมินดังกล่าว คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณางดเบี้ยปรับ และผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้ผ่อนชำระภาษีอากรค้างในส่วนที่เหลือดังกล่าว ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีคำสั่งที่ (สภ. ๑) ๗๑๘๓-๗๑๘๔/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ ให้อายัดสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากธนาคารออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เลขที่ ๐๐-๐๐๓๔-๓๖-๐๐๑๐๕๗-๙ ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีร่วมกัน โดยผู้ฟ้องคดี
ทั้งสองได้คัดค้านการอายัดในครั้งนี้ว่าเงินฝากในบัญชีดังกล่าวเป็นของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ โดยมีผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ลงชื่อร่วมเพื่อความสะดวกในการถอนเงินสำหรับการจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ในกรณีจำเป็นเท่านั้น โดยผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ไม่มีเจตนาที่จะยกเงินในบัญชีให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ แต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้คัดค้านการอายัดสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากดังกล่าวแต่ไม่เป็นผล ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองที่ให้อายัดสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากดังกล่าว เห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เลขที่บัญชี ๐๐-๐๐๓๔-๓๖-๐๐๑๐๕๗-๙ ของตน ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีได้ออกคำสั่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๒ อันเนื่องมาจากผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ค้างชำระหนี้ค่าภาษีอากรเพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้าง ซึ่งเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองโต้แย้งว่าการใช้สิทธิเรียกร้องของรัฐดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร ตามมาตรา ๗ (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากร และไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคสอง (๓) คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นายวิสารท อังคทะวานิช ที่ ๑ นางสาวจิรวรรณ
จิรวัฒน์สถิตย์ ที่ ๒ ผู้ฟ้องคดี กรมสรรพากร ที่ ๑ อธิบดีกรมสรรพากร ที่ ๒ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คดีเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙/๒๕๕๕
วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่งธนบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งธนบุรีโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๓ กรมธนารักษ์ โจทก์ ยื่นฟ้องบริษัทรอยัล ดีเฟนส์ จำกัด จำเลย ต่อศาลแพ่งธนบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ. ๘/๒๕๕๓ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๐ โจทก์กับจำเลยตกลงทำสัญญาซื้อขายประตูตรวจค้นโลหะจำนวน ๖ ประตู รวมเป็นเงินจำนวน ๗๒๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาเลขที่ ๗๙/๒๕๕๐ โดยสัญญากำหนดว่า จำเลยต้องส่งมอบประตูดังกล่าวแก่โจทก์ ณ สำนักงานกษาปณ์ ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหนึ่ง จังหวัดปทุมธานี ภายใน ๑๒๐ วัน ต่อมาจำเลยได้นำประตูมาติดตั้ง แต่ปรากฏว่า ประตูตรวจค้นโลหะที่ส่งมอบนั้นไม่เป็นไปตามสัญญา คณะกรรมการตรวจรับประตูจึงไม่ตรวจรับประตูตามสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันตามหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หลังจากนั้นโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายประตูตรวจค้นโลหะฉบับใหม่กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามอินเตอร์ อาร์มส์ ซึ่งห้างดังกล่าวได้ส่งมอบประตูและติดตั้งให้แก่โจทก์เรียบร้อยแล้ว การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยจำเลยต้องชำระค่าปรับและค่าเสียหายของราคาที่เพิ่มขึ้นของประตูเนื่องจากโจทก์ต้องจัดซื้อประตูโลหะใหม่ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าปรับจำนวน ๒๑๙,๒๑๒.๙๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๐๐,๑๖๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป และชำระเงินค่าเสียหายของราคาที่เพิ่มขึ้นจำนวน ๑,๐๓๐,๐๑๔.๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๙๗๖,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์และจำเลยสมัครใจเลิกสัญญาต่อกัน โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าปรับตามสัญญาได้ และไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในส่วนค่าราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น ค่าปรับขาดอายุความ และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์คืนเงินจำนวน ๓๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เหตุที่จำเลยบอกเลิกสัญญาเพราะไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิริบหลักประกัน และระยะเวลาที่โจทก์ทำสัญญาซื้อขายใหม่กับบุคคลภายนอกก็อยู่ภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ทรัพย์สินที่ซื้อขายตามสัญญาซื้อขายพิพาทนั้น โจทก์จัดซื้อจากจำเลยเพื่อใช้ในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่มาติดต่อกับโจทก์มีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะอันถือได้ว่าเป็นสัญญาทางปกครอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแพ่งธนบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) และมาตรา ๓ บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งสัญญาทางปกครองหมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ คดีนี้สัญญาซื้อขายประตูตรวจค้นโลหะฉบับพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักใช้ในการตรวจตราพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ทำงานในโรงงานผลิตของสำนักงานกษาปณ์เพื่อป้องกันมิใหhมีการลักลอบนำเหรียญกษาปณ์หรือโลหะของมีค่าที่ใช้ในขั้นตอนการผลิตเหรียญกษาปณ์หรือเหรียญราชอิสริยาภรณ์ออกไปจากโรงงานผลิต โดยพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของโรงงานผลิตต้องเข้าออกโรงงานโดยการผ่านประตูดังกล่าว ในกรณีที่มีบุคคลภายนอกจะเข้าไปในโรงงานผลิต ก็ต้องฝากเหรียญกษาปณ์ที่พกพามาไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์ที่โจทก์จัดไว้ให้ จึงเห็นได้ว่า สัญญาฉบับพิพาทนั้นเป็นการซื้อขายประตูตรวจค้นโลหะที่โจทก์ใช้สำหรับมุ่งประโยชน์ในการดูแลทรัพย์สินของโจทก์เป็นหลัก หาได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั่วไปไม่ และเป็นสัญญาที่คู่สัญญาทำขึ้นโดยมุ่งผูกพันด้วยใจสมัครบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกันอันเป็นสัญญาทางแพ่งที่มีหน่วยงานทางปกครองเป็นคู่สัญญาเท่านั้น ฉะนั้น ข้อพิพาทคดีนี้จึงมิใช่คดีเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองอันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์เป็นหน่วยงานระดับกรมสังกัดกระทรวงการคลังซึ่งตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ประกอบกับกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ มีภารกิจและอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะเกี่ยวกับการผลิตเหรียญกษาปณ์และจัดสร้างเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตลอดจนเก็บรักษาทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินให้มีความปลอดภัยและอยู่ในสภาพที่ดีเพื่อนำออกเผยแพร่และสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม โจทก์จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โจทก์ทำสัญญาซื้อประตูตรวจค้นโลหะพร้อมติดตั้งระบบและฝึกฝนการใช้งานกับจำเลยสำหรับใช้ในการตรวจค้นเพื่อป้องกันมิให้เหรียญกษาปณ์ โลหะที่มีค่า เช่น เงิน ทองคำ ฯลฯ ซึ่งย่อมรวมตลอดถึงทรัพย์สินที่มีค่าของแผ่นดินที่โจทก์มีหน้าที่เก็บรักษาที่เป็นโลหะต้องสูญหายไป จึงเห็นได้ว่าการจัดทำบริการสาธารณะตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ของโจทก์เกี่ยวข้องกับโลหะที่มีค่าที่ใช้ในการผลิตเหรียญกษาปณ์ จัดสร้างเครื่องราชอิสริยยศ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ รวมทั้งทรัพย์สินที่มีค่าของแผ่นดินจึงต้องเก็บรักษาเป็นอย่างดีและมีความปลอดภัยสูงยิ่งกว่าภารกิจของหน่วยงานของรัฐโดยทั่วไป หากไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและมั่นคงสูงแล้วโลหะที่มีค่าและทรัพย์สินที่มีค่าของแผ่นดินย่อมสูญหายโดยง่ายอาจทำให้โจทก์ปฏิบัติตามภารกิจอำนาจหน้าที่ของตนไม่บรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องตรวจค้นโลหะจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่โจทก์ใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ให้บรรลุผล นอกจากนั้น สัญญาซื้อขายยังมีข้อกำหนดที่ไม่อาจพบในสัญญาทางแพ่งทั่วไปอย่างแน่นอน ได้แก่ ข้อ ๔ ของสัญญากำหนดให้จำเลยต้องใช้เรือไทยในการขนส่งของหรือเครื่องตรวจโลหะตามสัญญานี้ และหากจำเลยขนส่งสิ่งของตามสัญญาโดยไม่ใช้เรือไทยจะต้องนำหลักฐานซึ่งแสดงว่าได้ชำระค่าธรรมเนียมพิเศษเนื่องจากการไม่บรรทุกของโดยเรือไทยจึงจะมีสิทธิได้รับเงินค่าสิ่งของจากโจทก์ได้ซึ่งแสดงให้เห็นเอกสิทธิ์พิเศษของโจทก์ที่มีเหนือจำเลย และการที่โจทก์จะเข้าทำสัญญาซื้อขายเครื่องตรวจค้นโลหะกับจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจอิสระในการคัดเลือก เพื่อเข้าทำสัญญากับจำเลยแต่ต้องปฏิบัติตามระเบียบของโจทก์โดยเคร่งครัด แตกต่างจากความสมัครใจของเอกชนทั่วไปในการเข้าทำสัญญาทางแพ่ง เมื่อสัญญาซื้อขายเครื่องตรวจค้นโลหะระหว่างโจทก์กับจำเลยมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งคือโจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครอง และมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดซื้อเครื่องมือสำคัญที่โจทก์ใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ให้บรรลุผล และมีข้อกำหนดในสัญญาที่ให้เอกสิทธิ์แก่โจทก์ซึ่งไม่อาจพบในสัญญาทางแพ่งได้อย่างแน่นอน อีกทั้งโจทก์ไม่อาจแสดงความสมัครใจในการเข้าทำสัญญากับจำเลยได้โดยอิสระเช่นเดียวกับเอกชนทั่วไป หากแต่ต้องปฏิบัติตามระเบียบของโจทก์โดยเคร่งครัด สัญญาจึงมิได้ทำขึ้นโดยมุ่งผูกพันด้วยใจสมัครบนพื้นฐานแห่งเท่าเทียมกัน สัญญาซื้อขายเครื่องตรวจโลหะที่พิพาทในคดีนี้จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาพร้อมกับเรียกเงินค่าปรับตามสัญญาและค่าเสียหายจากจำเลย จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมชำระเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นกรมสังกัดกระทรวงการคลัง มีภารกิจและอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการผลิตเหรียญกษาปณ์และจัดสร้างเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตลอดจนเก็บรักษาทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินให้มีความปลอดภัยและอยู่ในสภาพที่ดีเพื่อนำออกเผยแพร่และสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม ตามข้อ ๒ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยที่การจัดทำบริการสาธารณะตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ของโจทก์เกี่ยวข้องกับโลหะที่มีค่าที่ใช้ในการผลิตเหรียญกษาปณ์ จัดสร้างเครื่องราชอิสริยยศ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ รวมทั้งทรัพย์สินที่มีค่าของแผ่นดิน จึงต้องมีการเก็บรักษาเป็นอย่างดีและมีความปลอดภัยสูงเพื่อป้องกันมิให้โลหะและทรัพย์สินที่มีค่าสูญหาย เครื่องตรวจค้นโลหะจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่โจทก์ใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ให้บรรลุผล ดังนั้น สัญญาซื้อประตูตรวจค้นโลหะพร้อมติดตั้งระบบและฝึกฝนการใช้งานระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งคือโจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครอง และมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดซื้อเครื่องมือสำคัญที่โจทก์ใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ให้บรรลุผล ทั้งสัญญาดังกล่าวมีข้อกำหนดในสัญญาที่ให้เอกสิทธิ์แก่โจทก์ซึ่งไม่อาจพบในสัญญาทางแพ่งทั่วไป ได้แก่ ข้อ ๔ ที่กำหนดให้จำเลยต้องใช้เรือไทยในการขนส่งสิ่งของหรือเครื่องตรวจโลหะตามสัญญา ซึ่งหากจำเลยขนส่งสิ่งของโดยไม่ใช้เรือไทย จำเลยจะต้องนำหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมพิเศษเนื่องจากการไม่บรรทุกของโดยเรือไทย จึงจะมีสิทธิได้รับเงินค่าสิ่งของจากโจทก์ สัญญาพิพาทจึงมิได้ทำขึ้นโดยมุ่งผูกพันด้วยใจสมัครบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกันเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งอีกด้วย สัญญาพิพาทคดีนี้จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญา เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าปรับและค่าเสียหายแก่โจทก์ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างกรมธนารักษ์ โจทก์ บริษัทรอยัล ดีเฟนส์ จำกัด จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่มีย่อสั้น
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙/๒๕๕๕
วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่งธนบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งธนบุรีโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๓ กรมธนารักษ์ โจทก์ ยื่นฟ้องบริษัทรอยัล ดีเฟนส์ จำกัด จำเลย ต่อศาลแพ่งธนบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ. ๘/๒๕๕๓ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๐ โจทก์กับจำเลยตกลงทำสัญญาซื้อขายประตูตรวจค้นโลหะจำนวน ๖ ประตู รวมเป็นเงินจำนวน ๗๒๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาเลขที่ ๗๙/๒๕๕๐ โดยสัญญากำหนดว่า จำเลยต้องส่งมอบประตูดังกล่าวแก่โจทก์ ณ สำนักงานกษาปณ์ ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหนึ่ง จังหวัดปทุมธานี ภายใน ๑๒๐ วัน ต่อมาจำเลยได้นำประตูมาติดตั้ง แต่ปรากฏว่า ประตูตรวจค้นโลหะที่ส่งมอบนั้นไม่เป็นไปตามสัญญา คณะกรรมการตรวจรับประตูจึงไม่ตรวจรับประตูตามสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันตามหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หลังจากนั้นโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายประตูตรวจค้นโลหะฉบับใหม่กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามอินเตอร์ อาร์มส์ ซึ่งห้างดังกล่าวได้ส่งมอบประตูและติดตั้งให้แก่โจทก์เรียบร้อยแล้ว การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยจำเลยต้องชำระค่าปรับและค่าเสียหายของราคาที่เพิ่มขึ้นของประตูเนื่องจากโจทก์ต้องจัดซื้อประตูโลหะใหม่ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าปรับจำนวน ๒๑๙,๒๑๒.๙๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๐๐,๑๖๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป และชำระเงินค่าเสียหายของราคาที่เพิ่มขึ้นจำนวน ๑,๐๓๐,๐๑๔.๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๙๗๖,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์และจำเลยสมัครใจเลิกสัญญาต่อกัน โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าปรับตามสัญญาได้ และไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในส่วนค่าราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น ค่าปรับขาดอายุความ และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์คืนเงินจำนวน ๓๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เหตุที่จำเลยบอกเลิกสัญญาเพราะไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิริบหลักประกัน และระยะเวลาที่โจทก์ทำสัญญาซื้อขายใหม่กับบุคคลภายนอกก็อยู่ภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ทรัพย์สินที่ซื้อขายตามสัญญาซื้อขายพิพาทนั้น โจทก์จัดซื้อจากจำเลยเพื่อใช้ในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่มาติดต่อกับโจทก์มีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะอันถือได้ว่าเป็นสัญญาทางปกครอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแพ่งธนบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) และมาตรา ๓ บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ซึ่งสัญญาทางปกครองหมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ คดีนี้สัญญาซื้อขายประตูตรวจค้นโลหะฉบับพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักใช้ในการตรวจตราพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ทำงานในโรงงานผลิตของสำนักงานกษาปณ์เพื่อป้องกันมิใหhมีการลักลอบนำเหรียญกษาปณ์หรือโลหะของมีค่าที่ใช้ในขั้นตอนการผลิตเหรียญกษาปณ์หรือเหรียญราชอิสริยาภรณ์ออกไปจากโรงงานผลิต โดยพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของโรงงานผลิตต้องเข้าออกโรงงานโดยการผ่านประตูดังกล่าว ในกรณีที่มีบุคคลภายนอกจะเข้าไปในโรงงานผลิต ก็ต้องฝากเหรียญกษาปณ์ที่พกพามาไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์ที่โจทก์จัดไว้ให้ จึงเห็นได้ว่า สัญญาฉบับพิพาทนั้นเป็นการซื้อขายประตูตรวจค้นโลหะที่โจทก์ใช้สำหรับมุ่งประโยชน์ในการดูแลทรัพย์สินของโจทก์เป็นหลัก หาได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั่วไปไม่ และเป็นสัญญาที่คู่สัญญาทำขึ้นโดยมุ่งผูกพันด้วยใจสมัครบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกันอันเป็นสัญญาทางแพ่งที่มีหน่วยงานทางปกครองเป็นคู่สัญญาเท่านั้น ฉะนั้น ข้อพิพาทคดีนี้จึงมิใช่คดีเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองอันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์เป็นหน่วยงานระดับกรมสังกัดกระทรวงการคลังซึ่งตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ประกอบกับกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ มีภารกิจและอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะเกี่ยวกับการผลิตเหรียญกษาปณ์และจัดสร้างเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตลอดจนเก็บรักษาทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินให้มีความปลอดภัยและอยู่ในสภาพที่ดีเพื่อนำออกเผยแพร่และสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม โจทก์จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โจทก์ทำสัญญาซื้อประตูตรวจค้นโลหะพร้อมติดตั้งระบบและฝึกฝนการใช้งานกับจำเลยสำหรับใช้ในการตรวจค้นเพื่อป้องกันมิให้เหรียญกษาปณ์ โลหะที่มีค่า เช่น เงิน ทองคำ ฯลฯ ซึ่งย่อมรวมตลอดถึงทรัพย์สินที่มีค่าของแผ่นดินที่โจทก์มีหน้าที่เก็บรักษาที่เป็นโลหะต้องสูญหายไป จึงเห็นได้ว่าการจัดทำบริการสาธารณะตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ของโจทก์เกี่ยวข้องกับโลหะที่มีค่าที่ใช้ในการผลิตเหรียญกษาปณ์ จัดสร้างเครื่องราชอิสริยยศ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ รวมทั้งทรัพย์สินที่มีค่าของแผ่นดินจึงต้องเก็บรักษาเป็นอย่างดีและมีความปลอดภัยสูงยิ่งกว่าภารกิจของหน่วยงานของรัฐโดยทั่วไป หากไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและมั่นคงสูงแล้วโลหะที่มีค่าและทรัพย์สินที่มีค่าของแผ่นดินย่อมสูญหายโดยง่ายอาจทำให้โจทก์ปฏิบัติตามภารกิจอำนาจหน้าที่ของตนไม่บรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องตรวจค้นโลหะจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่โจทก์ใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ให้บรรลุผล นอกจากนั้น สัญญาซื้อขายยังมีข้อกำหนดที่ไม่อาจพบในสัญญาทางแพ่งทั่วไปอย่างแน่นอน ได้แก่ ข้อ ๔ ของสัญญากำหนดให้จำเลยต้องใช้เรือไทยในการขนส่งของหรือเครื่องตรวจโลหะตามสัญญานี้ และหากจำเลยขนส่งสิ่งของตามสัญญาโดยไม่ใช้เรือไทยจะต้องนำหลักฐานซึ่งแสดงว่าได้ชำระค่าธรรมเนียมพิเศษเนื่องจากการไม่บรรทุกของโดยเรือไทยจึงจะมีสิทธิได้รับเงินค่าสิ่งของจากโจทก์ได้ซึ่งแสดงให้เห็นเอกสิทธิ์พิเศษของโจทก์ที่มีเหนือจำเลย และการที่โจทก์จะเข้าทำสัญญาซื้อขายเครื่องตรวจค้นโลหะกับจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจอิสระในการคัดเลือก เพื่อเข้าทำสัญญากับจำเลยแต่ต้องปฏิบัติตามระเบียบของโจทก์โดยเคร่งครัด แตกต่างจากความสมัครใจของเอกชนทั่วไปในการเข้าทำสัญญาทางแพ่ง เมื่อสัญญาซื้อขายเครื่องตรวจค้นโลหะระหว่างโจทก์กับจำเลยมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งคือโจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครอง และมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดซื้อเครื่องมือสำคัญที่โจทก์ใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ให้บรรลุผล และมีข้อกำหนดในสัญญาที่ให้เอกสิทธิ์แก่โจทก์ซึ่งไม่อาจพบในสัญญาทางแพ่งได้อย่างแน่นอน อีกทั้งโจทก์ไม่อาจแสดงความสมัครใจในการเข้าทำสัญญากับจำเลยได้โดยอิสระเช่นเดียวกับเอกชนทั่วไป หากแต่ต้องปฏิบัติตามระเบียบของโจทก์โดยเคร่งครัด สัญญาจึงมิได้ทำขึ้นโดยมุ่งผูกพันด้วยใจสมัครบนพื้นฐานแห่งเท่าเทียมกัน สัญญาซื้อขายเครื่องตรวจโลหะที่พิพาทในคดีนี้จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาพร้อมกับเรียกเงินค่าปรับตามสัญญาและค่าเสียหายจากจำเลย จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมชำระเงินให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นกรมสังกัดกระทรวงการคลัง มีภารกิจและอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการผลิตเหรียญกษาปณ์และจัดสร้างเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตลอดจนเก็บรักษาทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินให้มีความปลอดภัยและอยู่ในสภาพที่ดีเพื่อนำออกเผยแพร่และสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม ตามข้อ ๒ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยที่การจัดทำบริการสาธารณะตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ของโจทก์เกี่ยวข้องกับโลหะที่มีค่าที่ใช้ในการผลิตเหรียญกษาปณ์ จัดสร้างเครื่องราชอิสริยยศ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ รวมทั้งทรัพย์สินที่มีค่าของแผ่นดิน จึงต้องมีการเก็บรักษาเป็นอย่างดีและมีความปลอดภัยสูงเพื่อป้องกันมิให้โลหะและทรัพย์สินที่มีค่าสูญหาย เครื่องตรวจค้นโลหะจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่โจทก์ใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ให้บรรลุผล ดังนั้น สัญญาซื้อประตูตรวจค้นโลหะพร้อมติดตั้งระบบและฝึกฝนการใช้งานระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงมีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งคือโจทก์เป็นหน่วยงานทางปกครอง และมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดซื้อเครื่องมือสำคัญที่โจทก์ใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ให้บรรลุผล ทั้งสัญญาดังกล่าวมีข้อกำหนดในสัญญาที่ให้เอกสิทธิ์แก่โจทก์ซึ่งไม่อาจพบในสัญญาทางแพ่งทั่วไป ได้แก่ ข้อ ๔ ที่กำหนดให้จำเลยต้องใช้เรือไทยในการขนส่งสิ่งของหรือเครื่องตรวจโลหะตามสัญญา ซึ่งหากจำเลยขนส่งสิ่งของโดยไม่ใช้เรือไทย จำเลยจะต้องนำหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมพิเศษเนื่องจากการไม่บรรทุกของโดยเรือไทย จึงจะมีสิทธิได้รับเงินค่าสิ่งของจากโจทก์ สัญญาพิพาทจึงมิได้ทำขึ้นโดยมุ่งผูกพันด้วยใจสมัครบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกันเช่นเดียวกับสัญญาทางแพ่งอีกด้วย สัญญาพิพาทคดีนี้จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญา เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าปรับและค่าเสียหายแก่โจทก์ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างกรมธนารักษ์ โจทก์ บริษัทรอยัล ดีเฟนส์ จำกัด จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ไพโรจน์ วายุภาพ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายไพโรจน์ วายุภาพ) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท จิระ โกมุทพงศ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(จิระ โกมุทพงศ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4)
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|