จำเลยที่ 1 เป็นธนาคารประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการเงินอันเป็นธุรกิจที่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 4 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มีหน้าที่รับและจ่ายเงิน แต่การลักทรัพย์ที่อยู่ในตู้นิรภัยของจำเลยที่ 1 ที่ให้โจทก์ที่ 1เช่าเก็บทรัพย์สินเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและมิใช่งานในหน้าที่ของจำเลยที่ 4การที่จำเลยที่ 4 ลักทรัพย์ของโจทก์จึงมิใช่เป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1
การที่โจทก์ที่ 1 กับ น.เช่าตู้นิรภัยจากจำเลยที่ 1 เพื่อใช้เป็นที่เก็บทรัพย์นั้น ทุกครั้งที่โจทก์ที่ 1 กับ น.ภริยาโจทก์ที่ 1 นำทรัพย์ไปเก็บโจทก์ที่ 1 กับ น. มิได้ส่งมอบทรัพย์ที่เก็บให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1ก็มิได้มีส่วนรู้เห็นว่า โจทก์ที่ 1 กับ น. นำทรัพย์อะไรไปเก็บไว้บ้าง เมื่อโจทก์ที่ 1กับ น. ต้องการนำทรัพย์ที่เก็บไว้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนกลับคืนก็ไปนำกลับมาเองโดยโจทก์ที่ 1 กับ น.เพียงแต่ยื่นคำร้องขอให้จำเลยที่ 1 นำกุญแจต้นแบบของธนาคารมาร่วมไขเปิดตู้นิรภัยด้วยเท่านั้น โดยจำเลยที่ 1 มิได้ทำการส่งมอบทรัพย์คืน สัญญาเช่าตู้นิรภัยจึงมิใช่สัญญาฝากทรัพย์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 657
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 กับ น. เช่าตู้นิรภัยจากจำเลยที่ 1 เพื่อใช้เป็นที่เก็บทรัพย์ แล้วจำเลยทั้งสี่จงใจหรือประมาทเลินเล่อไม่ดูแลกุญแจธนาคารให้ดี ปล่อยให้จำเลยที่ 4 นำกุญแจธนาคารไปไขตู้นิรภัยของโจทก์ แล้วลักเอาทรัพย์ที่เก็บไว้ไป ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยทั้งสี่จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสอง คำฟ้องดังกล่าวชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับแล้ว ฟ้องโจทก์ทั้งสองจึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มีหน้าที่เก็บรักษากุญแจต้นแบบของธนาคารและมีหน้าที่นำกุญแจต้นแบบของธนาคารไปเปิดตู้นิรภัยร่วมกับลูกค้าของธนาคาร เมื่อจำเลยที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อปล่อยให้จำเลยที่ 4 นำกุญแจต้นแบบของธนาคารไปเปิดตู้นิรภัยเองตามลำพังเป็นเหตุให้จำเลยที่ 4 ถือโอกาสลักกุญแจของโจทก์ที่ 1 และ น. มาเปิดตู้นิรภัยลักเอาทรัพย์มีค่าของโจทก์ที่ 1 และ น.ไปได้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 3ประมาทเลินเล่อในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลเยที่ 3 ต่อโจทก์ทั้งสองด้วย
จำเลยที่ 1 เป็นธนาคารประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการเงินอันเป็นธุรกิจที่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 4 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มีหน้าที่รับและจ่ายเงิน แต่การลักทรัพย์ที่อยู่ในตู้นิรภัยของจำเลยที่ 1 ที่ให้โจทก์ที่ 1เช่าเก็บทรัพย์สินเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและมิใช่งานในหน้าที่ของจำเลยที่ 4การที่จำเลยที่ 4 ลักทรัพย์ของโจทก์จึงมิใช่เป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1
การที่โจทก์ที่ 1 กับ น.เช่าตู้นิรภัยจากจำเลยที่ 1 เพื่อใช้เป็นที่เก็บทรัพย์นั้น ทุกครั้งที่โจทก์ที่ 1 กับ น.ภริยาโจทก์ที่ 1 นำทรัพย์ไปเก็บโจทก์ที่ 1 กับ น. มิได้ส่งมอบทรัพย์ที่เก็บให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1ก็มิได้มีส่วนรู้เห็นว่า โจทก์ที่ 1 กับ น. นำทรัพย์อะไรไปเก็บไว้บ้าง เมื่อโจทก์ที่ 1กับ น. ต้องการนำทรัพย์ที่เก็บไว้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนกลับคืนก็ไปนำกลับมาเองโดยโจทก์ที่ 1 กับ น.เพียงแต่ยื่นคำร้องขอให้จำเลยที่ 1 นำกุญแจต้นแบบของธนาคารมาร่วมไขเปิดตู้นิรภัยด้วยเท่านั้น โดยจำเลยที่ 1 มิได้ทำการส่งมอบทรัพย์คืน สัญญาเช่าตู้นิรภัยจึงมิใช่สัญญาฝากทรัพย์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 657
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 กับ น. เช่าตู้นิรภัยจากจำเลยที่ 1 เพื่อใช้เป็นที่เก็บทรัพย์ แล้วจำเลยทั้งสี่จงใจหรือประมาทเลินเล่อไม่ดูแลกุญแจธนาคารให้ดี ปล่อยให้จำเลยที่ 4 นำกุญแจธนาคารไปไขตู้นิรภัยของโจทก์ แล้วลักเอาทรัพย์ที่เก็บไว้ไป ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยทั้งสี่จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสอง คำฟ้องดังกล่าวชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับแล้ว ฟ้องโจทก์ทั้งสองจึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มีหน้าที่เก็บรักษากุญแจต้นแบบของธนาคารและมีหน้าที่นำกุญแจต้นแบบของธนาคารไปเปิดตู้นิรภัยร่วมกับลูกค้าของธนาคาร เมื่อจำเลยที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อปล่อยให้จำเลยที่ 4 นำกุญแจต้นแบบของธนาคารไปเปิดตู้นิรภัยเองตามลำพังเป็นเหตุให้จำเลยที่ 4 ถือโอกาสลักกุญแจของโจทก์ที่ 1 และ น. มาเปิดตู้นิรภัยลักเอาทรัพย์มีค่าของโจทก์ที่ 1 และ น.ไปได้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 3ประมาทเลินเล่อในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลเยที่ 3 ต่อโจทก์ทั้งสองด้วย
ความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ซึ่งเป็นการกระทำอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดอยู่ในตัวเองและรวมอยู่ในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้ลงโทษจำเลยในข้อหานี้เมื่อการกระทำผิดที่โจทก์ฟ้องนั้น รวมการกระทำข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจซึ่งปรากฏในทางพิจารณาที่ได้ความ ทั้งโจทก์ก็ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยด้วย ศาลฎีกาชอบที่จะลงโทษจำเลยในข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสอง จำคุก 12 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ชกผู้เสียหาย การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ซึ่งเป็นการกระทำอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดอยู่ในตัวเองและรวมอยู่ในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์แต่ศาลอุทธรณ์มิได้ลงโทษจำเลยในข้อหานี้ ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อการกระทำผิดที่โจทก์ฟ้องนั้น รวมการกระทำข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจซึ่งปรากฏในทางพิจารณาที่ได้ความ ทั้งโจทก์ก็ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยด้วย ศาลฎีกาชอบที่จะลงโทษจำเลยในข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 ปรับ 500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ซึ่งเป็นการกระทำอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดอยู่ในตัวเองและรวมอยู่ในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้ลงโทษจำเลยในข้อหานี้เมื่อการกระทำผิดที่โจทก์ฟ้องนั้น รวมการกระทำข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจซึ่งปรากฏในทางพิจารณาที่ได้ความ ทั้งโจทก์ก็ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยด้วย ศาลฎีกาชอบที่จะลงโทษจำเลยในข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสอง จำคุก 12 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ชกผู้เสียหาย การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ซึ่งเป็นการกระทำอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดอยู่ในตัวเองและรวมอยู่ในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์แต่ศาลอุทธรณ์มิได้ลงโทษจำเลยในข้อหานี้ ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อการกระทำผิดที่โจทก์ฟ้องนั้น รวมการกระทำข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจซึ่งปรากฏในทางพิจารณาที่ได้ความ ทั้งโจทก์ก็ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยด้วย ศาลฎีกาชอบที่จะลงโทษจำเลยในข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 ปรับ 500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 391 ซึ่งเป็นการกระทำอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดอยู่ในตัวเองและรวมอยู่ในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้ลงโทษจำเลยในข้อหานี้ เมื่อการกระทำผิดที่โจทก์ฟ้องนั้น รวมการกระทำข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งปรากฏในทางพิจารณาที่ได้ความ ทั้งโจทก์ก็ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยด้วย ศาลฎีกาชอบที่จะลงโทษจำเลยในข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 391 ซึ่งเป็นการกระทำอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดอยู่ในตัวเองและรวมอยู่ในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้ลงโทษจำเลยในข้อหานี้ เมื่อการกระทำผิดที่โจทก์ฟ้องนั้น รวมการกระทำข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งปรากฏในทางพิจารณาที่ได้ความ ทั้งโจทก์ก็ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยด้วย ศาลฎีกาชอบที่จะลงโทษจำเลยในข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
พ.เป็นผู้จัดการมรดกของส. จึงมีอำนาจขายบ้านพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกเพื่อนำเอาเงินมาแบ่งให้ทายาทได้ มิใช่เป็นเรื่องตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1745ซึ่งต้องนำมาตรา 1356 ถึงมาตรา 1366 ในเรื่องเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมมาใช้บังคับ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายสิ่งของออกไปจากบ้านเลขที่ 31/1 หมู่ที่ 11 ตำบลคำตากล้า อำเภอคำตากล้าจังหวัดสกลนคร ของโจทก์และห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับบ้านหลังดังกล่าวต่อไป
จำเลยให้การว่า สัญญาซื้อขายบ้านพิพาทของโจทก์ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย บ้านพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายสุวรรณบิดาของจำเลย นายบุญเลิศผู้จัดการมรดกของนายสุวรรณกับโจทก์ทำสัญญาซื้อขายบ้านพิพาทกันโดยจำเลยไม่ได้ให้ความยินยอมด้วย นิติกรรมดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์ เป็นการฉ้อฉลระหว่างโจทก์กับนายบุญเลิศ โจทก์จึงไม่มีสิทธิในบ้านพิพาททั้งนายบุญเลิศไม่มีอำนาจที่จะขายบ้านพิพาทได้เพราะเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจและทำนอกเหนือขอบอำนาจ ไม่ผูกพันจำเลยซึ่งเป็นทายาทโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายสิ่งของออกไปจากบ้านพิพาทเลขที่ 31/1 หมู่ที่ 11 ตำบลคำตากล้า อำเภอคำตากล้าจังหวัดสกลนคร ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับบ้านพิพาทอีกต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า นายบุญเลิศมีอำนาจขายบ้านพิพาทหรือไม่นั้น เห็นว่าเมื่อนายบุญเลิศเป็นผู้จัดการมรดกและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์มรดกนายบุญเลิศจึงมีอำนาจขายบ้านพิพาทเพื่อนำเอาเงินมาแบ่งให้แก่ทายาทการที่นายบุญเลิศขายบ้านพิพาทจึงเป็นการชอบแล้ว ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า กรณีนี้จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1745 ที่บัญญัติว่า "ถ้ามีทายาทหลายคน ทายาทเหล่านั้นมีสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับทรัพย์มรดกร่วมกันจนกว่าจะได้แบ่งมรดกกันเสร็จแล้ว และให้ใช้มาตรา 1356 ถึงมาตรา 1366 แห่งประมวลกฎหมายนี้บังคับเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติแห่งบรรพนี้" ฉะนั้นจึงต้องนำบทบัญญัติมาตรา 1356 ถึงมาตรา 1366 ในเรื่องเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมมาใช้บังคับ กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 1361 นั้น เห็นว่าบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวเป็นกรณีระหว่างทายาทด้วยกัน มิใช่กรณีที่มีผู้จัดการมรดกอย่างเช่นกรณีนี้จึงไม่อาจนำบทบัญญัติต่าง ๆดังกล่าวมาใช้บังคับแก่กรณีนี้ได้
พิพากษายืน
พ.เป็นผู้จัดการมรดกของส. จึงมีอำนาจขายบ้านพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกเพื่อนำเอาเงินมาแบ่งให้ทายาทได้ มิใช่เป็นเรื่องตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1745ซึ่งต้องนำมาตรา 1356 ถึงมาตรา 1366 ในเรื่องเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมมาใช้บังคับ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายสิ่งของออกไปจากบ้านเลขที่ 31/1 หมู่ที่ 11 ตำบลคำตากล้า อำเภอคำตากล้าจังหวัดสกลนคร ของโจทก์และห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับบ้านหลังดังกล่าวต่อไป
จำเลยให้การว่า สัญญาซื้อขายบ้านพิพาทของโจทก์ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย บ้านพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายสุวรรณบิดาของจำเลย นายบุญเลิศผู้จัดการมรดกของนายสุวรรณกับโจทก์ทำสัญญาซื้อขายบ้านพิพาทกันโดยจำเลยไม่ได้ให้ความยินยอมด้วย นิติกรรมดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์ เป็นการฉ้อฉลระหว่างโจทก์กับนายบุญเลิศ โจทก์จึงไม่มีสิทธิในบ้านพิพาททั้งนายบุญเลิศไม่มีอำนาจที่จะขายบ้านพิพาทได้เพราะเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจและทำนอกเหนือขอบอำนาจ ไม่ผูกพันจำเลยซึ่งเป็นทายาทโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายสิ่งของออกไปจากบ้านพิพาทเลขที่ 31/1 หมู่ที่ 11 ตำบลคำตากล้า อำเภอคำตากล้าจังหวัดสกลนคร ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับบ้านพิพาทอีกต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า นายบุญเลิศมีอำนาจขายบ้านพิพาทหรือไม่นั้น เห็นว่าเมื่อนายบุญเลิศเป็นผู้จัดการมรดกและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์มรดกนายบุญเลิศจึงมีอำนาจขายบ้านพิพาทเพื่อนำเอาเงินมาแบ่งให้แก่ทายาทการที่นายบุญเลิศขายบ้านพิพาทจึงเป็นการชอบแล้ว ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า กรณีนี้จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1745 ที่บัญญัติว่า "ถ้ามีทายาทหลายคน ทายาทเหล่านั้นมีสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับทรัพย์มรดกร่วมกันจนกว่าจะได้แบ่งมรดกกันเสร็จแล้ว และให้ใช้มาตรา 1356 ถึงมาตรา 1366 แห่งประมวลกฎหมายนี้บังคับเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติแห่งบรรพนี้" ฉะนั้นจึงต้องนำบทบัญญัติมาตรา 1356 ถึงมาตรา 1366 ในเรื่องเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมมาใช้บังคับ กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 1361 นั้น เห็นว่าบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวเป็นกรณีระหว่างทายาทด้วยกัน มิใช่กรณีที่มีผู้จัดการมรดกอย่างเช่นกรณีนี้จึงไม่อาจนำบทบัญญัติต่าง ๆดังกล่าวมาใช้บังคับแก่กรณีนี้ได้
พิพากษายืน
พ.เป็นผู้จัดการมรดกของ ส. จึงมีอำนาจขายบ้านพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกเพื่อนำเอาเงินมาแบ่งให้ทายาทได้ มิใช่เป็นเรื่องตกอยู่ในบังคับแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1745 ซึ่งต้องนำมาตรา 1356 ถึงมาตรา 1366 ในเรื่องเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมมาใช้บังคับ
พ.เป็นผู้จัดการมรดกของ ส. จึงมีอำนาจขายบ้านพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกเพื่อนำเอาเงินมาแบ่งให้ทายาทได้ มิใช่เป็นเรื่องตกอยู่ในบังคับแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1745 ซึ่งต้องนำมาตรา 1356 ถึงมาตรา 1366 ในเรื่องเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมมาใช้บังคับ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ประกอบด้วยมาตรา 438 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นเป็นการเฉพาะไว้แล้วโจทก์ผู้ยืมรถยนต์ของผู้อื่นมาแล้วถูกจำเลยทำละเมิดชนท้ายได้รับความเสียหาย โจทก์ไม่มีหน้าที่ซ่อมรถยนต์คันที่ถูกทำละเมิดได้รับความเสียหายให้อยู่ในสภาพเดิม จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิด ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดใช้ค่าซ่อมรถยนต์ให้อยู่ในสภาพเดิม
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิด
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธความรับผิดหลายประการ รวมทั้งต่อสู้คดีว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันที่เกิดเหตุชนกันและไม่ใช่ผู้เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดใช้ค่าซ่อมรถยนต์คันที่โจทก์ยืมมาจากเจ้าของแล้วถูกจำเลยที่ 1ทำละเมิดขับรถยนต์ชนท้ายได้รับความเสียหายนั้นหรือไม่ ปัญหาข้อนี้โจทก์อ้างว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 647บัญญัติว่า "ค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้นผู้ยืมต้องเป็นผู้เสีย" ดังนั้น เมื่อรถยนต์ที่โจทก์ยืมมาใช้ถูกจำเลยที่ 1 ทำละเมิดให้เสียหาย แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมซ่อมให้คืนสภาพเหมือนเดิม โจทก์จึงมีหน้าที่ซ่อมรถยนต์ดังกล่าวตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวแล้วโจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดใช้ค่าซ่อมรถยนต์คันดังกล่าวให้คืนสภาพเหมือนเดิมได้นั้นเห็นว่า บทกฎหมายที่โจทก์อ้างอิงดังกล่าวนั้น มีความหมายเพียงว่า ผู้ยืมต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืม อันเป็นปกติของการใช้ทรัพย์สินที่ยืมเท่านั้นมิใช่กรณีอันเกิดจากการถูกกระทำละเมิด ซึ่งเป็นเหตุอันผิดปกติที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ประกอบด้วยมาตรา 438 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นเป็นการเฉพาะไว้แล้วโจทก์จึงไม่มีหน้าที่จะต้องซ่อมรถยนต์คันที่ถูกจำเลยที่ 1ทำละเมิดได้รับความเสียหายนั้น ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดใช้ค่าซ่อมรถยนต์ดังกล่าวให้คืนสภาพเหมือนเดิมได้ ฎีกาของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ประกอบด้วยมาตรา 438 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นเป็นการเฉพาะไว้แล้วโจทก์ผู้ยืมรถยนต์ของผู้อื่นมาแล้วถูกจำเลยทำละเมิดชนท้ายได้รับความเสียหาย โจทก์ไม่มีหน้าที่ซ่อมรถยนต์คันที่ถูกทำละเมิดได้รับความเสียหายให้อยู่ในสภาพเดิม จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิด ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดใช้ค่าซ่อมรถยนต์ให้อยู่ในสภาพเดิม
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิด
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธความรับผิดหลายประการ รวมทั้งต่อสู้คดีว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันที่เกิดเหตุชนกันและไม่ใช่ผู้เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดใช้ค่าซ่อมรถยนต์คันที่โจทก์ยืมมาจากเจ้าของแล้วถูกจำเลยที่ 1ทำละเมิดขับรถยนต์ชนท้ายได้รับความเสียหายนั้นหรือไม่ ปัญหาข้อนี้โจทก์อ้างว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 647บัญญัติว่า "ค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้นผู้ยืมต้องเป็นผู้เสีย" ดังนั้น เมื่อรถยนต์ที่โจทก์ยืมมาใช้ถูกจำเลยที่ 1 ทำละเมิดให้เสียหาย แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมซ่อมให้คืนสภาพเหมือนเดิม โจทก์จึงมีหน้าที่ซ่อมรถยนต์ดังกล่าวตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวแล้วโจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดใช้ค่าซ่อมรถยนต์คันดังกล่าวให้คืนสภาพเหมือนเดิมได้นั้นเห็นว่า บทกฎหมายที่โจทก์อ้างอิงดังกล่าวนั้น มีความหมายเพียงว่า ผู้ยืมต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืม อันเป็นปกติของการใช้ทรัพย์สินที่ยืมเท่านั้นมิใช่กรณีอันเกิดจากการถูกกระทำละเมิด ซึ่งเป็นเหตุอันผิดปกติที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ประกอบด้วยมาตรา 438 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นเป็นการเฉพาะไว้แล้วโจทก์จึงไม่มีหน้าที่จะต้องซ่อมรถยนต์คันที่ถูกจำเลยที่ 1ทำละเมิดได้รับความเสียหายนั้น ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดใช้ค่าซ่อมรถยนต์ดังกล่าวให้คืนสภาพเหมือนเดิมได้ ฎีกาของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ป.พ.พ. มาตรา 420 ประกอบด้วยมาตรา 438 วรรคสองบัญญัติให้ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นเป็นการเฉพาะไว้แล้ว โจทก์ผู้ยืมรถยนต์ของผู้อื่นมาแล้วถูกจำเลยทำละเมิดชนท้ายได้รับความเสียหาย โจทก์ไม่มีหน้าที่ซ่อมรถยนต์คันที่ถูกทำละเมิดได้รับความเสียหายให้อยู่ในสภาพเดิม จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิด ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดใช้ค่าซ่อมรถยนต์ให้อยู่ในสภาพเดิม
ป.พ.พ. มาตรา 420 ประกอบด้วยมาตรา 438 วรรคสองบัญญัติให้ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นเป็นการเฉพาะไว้แล้ว โจทก์ผู้ยืมรถยนต์ของผู้อื่นมาแล้วถูกจำเลยทำละเมิดชนท้ายได้รับความเสียหาย โจทก์ไม่มีหน้าที่ซ่อมรถยนต์คันที่ถูกทำละเมิดได้รับความเสียหายให้อยู่ในสภาพเดิม จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิด ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดใช้ค่าซ่อมรถยนต์ให้อยู่ในสภาพเดิม
ขณะที่ ต. ลงชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์มอบอำนาจให้ ซ.ฟ้องคดีแทนโจทก์นั้นต. ยังเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ แม้ภายหลัง ต. จะลาออกหนังสือมอบอำนาจนั้นคงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เหตุที่ ต. พ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของโจทก์ หาได้ทำให้ฐานะของผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนโจทก์สิ้นสุดตามไปไม่ ท. ทราบว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้สั่งจ่ายเด็ดขาดก่อนที่จะนำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ เมื่อ ท.เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยทราบ จึงถือว่าจำเลยทราบด้วย เมื่อผู้สั่งจ่ายเช็คถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยต้องนำเช็คไปขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27,91การที่จำเลยนำเช็คของผู้สั่งจ่ายไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ทั้งที่รู้อยู่ว่าผู้สั่งจ่ายถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยจะอ้างความไม่สุจริตของตนมาเป็นเหตุที่จะไม่คืนเงินตามเช็คที่ได้รับจากโจทก์หาได้ไม่
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดนายตามใจ ขำภโต กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ในขณะนั้นได้มอบอำนาจให้นายชิน อาจวาริน ฟ้องคดีแทน จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีนางทองเยาว์ แจ้งบุญ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2531 จำเลยนำเช็คของโจทก์สาขาถนนศรีอยุธยา มีห้างหุ้นส่วนจำกัดนครหลวงวิสาหกิจและการลงทุนเป็นผู้สั่งจ่าย จำนวน 5 ฉบับ รวมเป็นเงิน 1,201,574 บาทไปเรียกเก็บเงินโดยรู้อยู่แล้วว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนจำกัดนครหลวงวิสาหกิจและการลงทุนเด็ดขาดแล้วแต่จำเลยสมคบกับผู้สั่งจ่ายนำเช็คมาเรียกเก็บเงินจากโจทก์โดยอาศัยช่องว่างการปฏิบัติงานของพนักงานโจทก์ ทำให้โจทก์ใช้เงินให้จำเลยโดยหลงผิด เป็นการเบิกและรับเงินไปจากโจทก์โดยไม่สุจริตและปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน1,290,457.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากเงินต้น 1,201,574 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า นายชินผู้รับมอบอำนาจโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะขณะทำหนังสือมอบอำนาจนายตามใจกรรมการผู้จัดการใหญ่ลงลายมือชื่อเป็นผู้มอบอำนาจไว้ แต่ขณะฟ้องนายตามใจถูกโจทก์ปลดออกจากตำแหน่งไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ หนังสือมอบอำนาจถูกยกเลิกเพิกถอนไปแล้วก่อนที่จำเลยจะนำเช็คทั้งห้าฉบับไปเรียกเก็บเงิน จำเลยไม่ทราบว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดนครหลวงวิสาหกิจและการลงทุนถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด การที่โจทก์ใช้เงินให้จำเลยตามเช็คพิพาทเป็นการจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของผู้สั่งจ่ายตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์กับผู้สั่งจ่าย การที่จำเลยรับเงินจึงมีมูลโดยชอบด้วยกฎหมายมิใช่ลาภมิควรได้และเป็นการรับโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน 1,201,574บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีโดยชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด กรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อแทนโจทก์ได้ระหว่างวันที่ 12 มิถุนายน 2523 ถึงวันที่26 ตุลาคม 2525 คือ นายตามใจ ขำภโต กรรมการผู้จัดการใหญ่ผู้เดียวหรือกรรมการอื่นโดยประทับตราสำคัญของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.3เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2524 นายตามใจได้ลงชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์มอบอำนาจให้นายชิน อาจวาริน ฟ้องคดีแทนโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2 เห็นว่า การกระทำของนายตามใจนั้นถูกต้องตามข้อความในเอกสารที่สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้รับรองดังกล่าวแม้ภายหลังวันที่ 26 ตุลาคม 2525 นายตามใจจะลาออก แต่หนังสือมอบอำนาจของนายตามใจที่ได้มอบอำนาจให้นายชินฟ้องคดีขณะนายตามใจมีอำนาจกระทำแทนโจทก์นั้นคงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เหตุที่นายตามใจพ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของโจทก์ จึงหาได้ทำให้ฐานะของผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนโจทก์สิ้นสุดตามไปไม่ ฟังได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องคดีโดยชอบแล้ว
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการต่อไปมีว่า จำเลยไม่ได้สมคบกับห้างหุ้นส่วนจำกัดนครหลวงวิสาหกิจและการลงทุนผู้สั่งจ่ายนำเช็คไปเบิกเงินจากโจทก์โดยรู้อยู่ก่อนว่าผู้สั่งจ่ายถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว อันเป็นการกระทำโดยสุจริตหรือไม่ โจทก์มีนายชินผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า นายสุธรรมผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของผู้สั่งจ่ายเป็นบิดาของสามีนางวาสนาซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของจำเลยและบุคคลทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเดียวกันตามหนังสือรับรองและสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 จำเลยย่อมทราบดีว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้สั่งจ่ายเด็ดขาด ทั้งการที่จำเลยรวบรวมเช็คหลายฉบับบางฉบับถึงกำหนดใช้เงินแล้วเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนมาเรียกเก็บเงินจากโจทก์จึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ส่วนจำเลยมีนางทองเยาว์เป็นพยานเบิกความว่า ก่อนนำเช็คไปเรียกเก็บเงินจำเลยไม่ทราบว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้สั่งจ่ายเด็ดขาด แต่นางทองเยาว์ก็เบิกความรับว่า นางวาสนาบุตรของพยานเป็นภริยาของนายสุพล บุตรของนายสุธรรม นอกจากนี้พยานยังได้ติดต่อเล่นแชร์และแลกเช็คกับนายคมสันหุ้นส่วนผู้จัดการของผู้สั่งจ่ายตั้งแต่ปี 2526 ตลอดมาเป็นการเจือสมพยานโจทก์พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นางทองเยาว์ ทราบว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้สั่งจ่ายเด็ดขาดก่อนที่จะนำเช็คเอกสารหมายจ.4 ไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ เมื่อนางทองเยาว์ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยทราบจึงถือว่าจำเลยทราบด้วย เช่นนี้จำเลยจึงต้องนำเช็คเอกสารหมาย จ.4 ไปขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27, 91ดังนั้นการที่จำเลยนำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ทั้งที่รู้อยู่ว่าผู้สั่งจ่ายถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วถือได้ว่าเป็นการสมคบกับผู้สั่งจ่ายและใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยจะอ้างความไม่สุจริตของตนมาเป็นเหตุที่จะไม่คืนเงินที่ได้รับจากโจทก์หาได้ไม่
พิพากษายืน
ขณะที่ ต. ลงชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์มอบอำนาจให้ ซ.ฟ้องคดีแทนโจทก์นั้นต. ยังเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ แม้ภายหลัง ต. จะลาออกหนังสือมอบอำนาจนั้นคงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เหตุที่ ต. พ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของโจทก์ หาได้ทำให้ฐานะของผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนโจทก์สิ้นสุดตามไปไม่ ท. ทราบว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้สั่งจ่ายเด็ดขาดก่อนที่จะนำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ เมื่อ ท.เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยทราบ จึงถือว่าจำเลยทราบด้วย เมื่อผู้สั่งจ่ายเช็คถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยต้องนำเช็คไปขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27,91การที่จำเลยนำเช็คของผู้สั่งจ่ายไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ทั้งที่รู้อยู่ว่าผู้สั่งจ่ายถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยจะอ้างความไม่สุจริตของตนมาเป็นเหตุที่จะไม่คืนเงินตามเช็คที่ได้รับจากโจทก์หาได้ไม่
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดนายตามใจ ขำภโต กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ในขณะนั้นได้มอบอำนาจให้นายชิน อาจวาริน ฟ้องคดีแทน จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีนางทองเยาว์ แจ้งบุญ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2531 จำเลยนำเช็คของโจทก์สาขาถนนศรีอยุธยา มีห้างหุ้นส่วนจำกัดนครหลวงวิสาหกิจและการลงทุนเป็นผู้สั่งจ่าย จำนวน 5 ฉบับ รวมเป็นเงิน 1,201,574 บาทไปเรียกเก็บเงินโดยรู้อยู่แล้วว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนจำกัดนครหลวงวิสาหกิจและการลงทุนเด็ดขาดแล้วแต่จำเลยสมคบกับผู้สั่งจ่ายนำเช็คมาเรียกเก็บเงินจากโจทก์โดยอาศัยช่องว่างการปฏิบัติงานของพนักงานโจทก์ ทำให้โจทก์ใช้เงินให้จำเลยโดยหลงผิด เป็นการเบิกและรับเงินไปจากโจทก์โดยไม่สุจริตและปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน1,290,457.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากเงินต้น 1,201,574 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า นายชินผู้รับมอบอำนาจโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะขณะทำหนังสือมอบอำนาจนายตามใจกรรมการผู้จัดการใหญ่ลงลายมือชื่อเป็นผู้มอบอำนาจไว้ แต่ขณะฟ้องนายตามใจถูกโจทก์ปลดออกจากตำแหน่งไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ หนังสือมอบอำนาจถูกยกเลิกเพิกถอนไปแล้วก่อนที่จำเลยจะนำเช็คทั้งห้าฉบับไปเรียกเก็บเงิน จำเลยไม่ทราบว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดนครหลวงวิสาหกิจและการลงทุนถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด การที่โจทก์ใช้เงินให้จำเลยตามเช็คพิพาทเป็นการจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของผู้สั่งจ่ายตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์กับผู้สั่งจ่าย การที่จำเลยรับเงินจึงมีมูลโดยชอบด้วยกฎหมายมิใช่ลาภมิควรได้และเป็นการรับโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน 1,201,574บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีโดยชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด กรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อแทนโจทก์ได้ระหว่างวันที่ 12 มิถุนายน 2523 ถึงวันที่26 ตุลาคม 2525 คือ นายตามใจ ขำภโต กรรมการผู้จัดการใหญ่ผู้เดียวหรือกรรมการอื่นโดยประทับตราสำคัญของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.3เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2524 นายตามใจได้ลงชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์มอบอำนาจให้นายชิน อาจวาริน ฟ้องคดีแทนโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2 เห็นว่า การกระทำของนายตามใจนั้นถูกต้องตามข้อความในเอกสารที่สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้รับรองดังกล่าวแม้ภายหลังวันที่ 26 ตุลาคม 2525 นายตามใจจะลาออก แต่หนังสือมอบอำนาจของนายตามใจที่ได้มอบอำนาจให้นายชินฟ้องคดีขณะนายตามใจมีอำนาจกระทำแทนโจทก์นั้นคงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เหตุที่นายตามใจพ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของโจทก์ จึงหาได้ทำให้ฐานะของผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนโจทก์สิ้นสุดตามไปไม่ ฟังได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องคดีโดยชอบแล้ว
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการต่อไปมีว่า จำเลยไม่ได้สมคบกับห้างหุ้นส่วนจำกัดนครหลวงวิสาหกิจและการลงทุนผู้สั่งจ่ายนำเช็คไปเบิกเงินจากโจทก์โดยรู้อยู่ก่อนว่าผู้สั่งจ่ายถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว อันเป็นการกระทำโดยสุจริตหรือไม่ โจทก์มีนายชินผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า นายสุธรรมผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของผู้สั่งจ่ายเป็นบิดาของสามีนางวาสนาซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของจำเลยและบุคคลทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเดียวกันตามหนังสือรับรองและสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 จำเลยย่อมทราบดีว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้สั่งจ่ายเด็ดขาด ทั้งการที่จำเลยรวบรวมเช็คหลายฉบับบางฉบับถึงกำหนดใช้เงินแล้วเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนมาเรียกเก็บเงินจากโจทก์จึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ส่วนจำเลยมีนางทองเยาว์เป็นพยานเบิกความว่า ก่อนนำเช็คไปเรียกเก็บเงินจำเลยไม่ทราบว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้สั่งจ่ายเด็ดขาด แต่นางทองเยาว์ก็เบิกความรับว่า นางวาสนาบุตรของพยานเป็นภริยาของนายสุพล บุตรของนายสุธรรม นอกจากนี้พยานยังได้ติดต่อเล่นแชร์และแลกเช็คกับนายคมสันหุ้นส่วนผู้จัดการของผู้สั่งจ่ายตั้งแต่ปี 2526 ตลอดมาเป็นการเจือสมพยานโจทก์พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นางทองเยาว์ ทราบว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้สั่งจ่ายเด็ดขาดก่อนที่จะนำเช็คเอกสารหมายจ.4 ไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ เมื่อนางทองเยาว์ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยทราบจึงถือว่าจำเลยทราบด้วย เช่นนี้จำเลยจึงต้องนำเช็คเอกสารหมาย จ.4 ไปขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27, 91ดังนั้นการที่จำเลยนำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ทั้งที่รู้อยู่ว่าผู้สั่งจ่ายถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วถือได้ว่าเป็นการสมคบกับผู้สั่งจ่ายและใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยจะอ้างความไม่สุจริตของตนมาเป็นเหตุที่จะไม่คืนเงินที่ได้รับจากโจทก์หาได้ไม่
พิพากษายืน
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีทรัพย์สินเหลืออยู่ไม่พอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ เป็นการกระทำเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตนได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน จึงมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็รู้อยู่แล้วเช่นเดียวกันว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้รับโอนที่ดินจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นตัวการเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 สิทธิที่จะบังคับชำระหนี้จะหมดไปหรือไม่ ไม่ใช่องค์ประกอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 หากฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ก็เป็นการกระทำการดังที่กล่าวไว้ในมาตรานี้แล้วจำเลยทั้งสี่จึงต้องมีความผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83 ให้จำคุกคนละ 1 ปี
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350บัญญัติว่า "ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี ฯลฯ" จากข้อเท็จจริงที่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 คืนเงินมัดจำพร้อมเบี้ยปรับรวมเป็นเงิน7,020,000 บาท ให้แก่โจทก์ภายใน 7 วัน มิฉะนั้นโจทก์จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 รู้แล้วว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้ดังกล่าว การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3และที่ 4 โดยที่โจทก์กล่าวในฟ้องและนำสืบว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2มีทรัพย์สินที่เหลืออยู่ไม่พอที่จะชำระหนี้จำนวน 7,020,000 บาทซึ่งฝ่ายจำเลยทั้งสี่ก็ไม่ได้นำสืบว่ามีทรัพย์อื่นพอที่จะชำระหนี้โจทก์ได้ เช่นนี้ ก็ต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตนได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนจึงมีความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 3และที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็รู้อยู่แล้วเช่นเดียวกันว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ชำระหนี้ดังกล่าว และจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีทรัพย์สินอื่นพอที่จะชำระหนี้โจทก์ได้ การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 รับโอนที่ดินจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 เช่นนี้ก็ต้องฟังว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีความผิดในฐานเป็นตัวการเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่วนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์อาจจะไม่เสียสิทธิในอันที่จะบังคับชำระหนี้ เพราะหากจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีทรัพย์ไม่พอชำระหนี้โจทก์ ทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไป โจทก์ชอบที่จะบังคับคดีเอาจากจำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้อีก เนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีแพ่งแล้วนั้น เห็นว่า สิทธิที่จะบังคับชำระหนี้จะหมดไปหรือไม่ ไม่ใช่องค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 หากฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ก็เป็นการกระทำการดังที่กล่าวไว้ในมาตรานี้แล้ว จำเลยทั้งสี่ก็ต้องมีความผิด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งกฎหมายมุ่งถึงเจตนาของลูกหนี้ที่จะโกงเจ้าหนี้ โดยรู้อยู่ว่าเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้อยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับปัญหาว่าสิทธิการบังคับคดีจะยังมีอยู่หรือไม่ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83 ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปีสำหรับจำเลยที่ 2 มีอายุ 78 ปีแล้ว เห็นควรให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 และให้ปรับ 4,000 บาทไม่ชำระค่าปรับบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีทรัพย์สินเหลืออยู่ไม่พอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ เป็นการกระทำเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตนได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน จึงมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็รู้อยู่แล้วเช่นเดียวกันว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้รับโอนที่ดินจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นตัวการเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 สิทธิที่จะบังคับชำระหนี้จะหมดไปหรือไม่ ไม่ใช่องค์ประกอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 หากฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ก็เป็นการกระทำการดังที่กล่าวไว้ในมาตรานี้แล้วจำเลยทั้งสี่จึงต้องมีความผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83 ให้จำคุกคนละ 1 ปี
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350บัญญัติว่า "ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี ฯลฯ" จากข้อเท็จจริงที่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 คืนเงินมัดจำพร้อมเบี้ยปรับรวมเป็นเงิน7,020,000 บาท ให้แก่โจทก์ภายใน 7 วัน มิฉะนั้นโจทก์จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 รู้แล้วว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้ดังกล่าว การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3และที่ 4 โดยที่โจทก์กล่าวในฟ้องและนำสืบว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2มีทรัพย์สินที่เหลืออยู่ไม่พอที่จะชำระหนี้จำนวน 7,020,000 บาทซึ่งฝ่ายจำเลยทั้งสี่ก็ไม่ได้นำสืบว่ามีทรัพย์อื่นพอที่จะชำระหนี้โจทก์ได้ เช่นนี้ ก็ต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตนได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนจึงมีความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 3และที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็รู้อยู่แล้วเช่นเดียวกันว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ชำระหนี้ดังกล่าว และจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีทรัพย์สินอื่นพอที่จะชำระหนี้โจทก์ได้ การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 รับโอนที่ดินจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 เช่นนี้ก็ต้องฟังว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีความผิดในฐานเป็นตัวการเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่วนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์อาจจะไม่เสียสิทธิในอันที่จะบังคับชำระหนี้ เพราะหากจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีทรัพย์ไม่พอชำระหนี้โจทก์ ทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไป โจทก์ชอบที่จะบังคับคดีเอาจากจำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้อีก เนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีแพ่งแล้วนั้น เห็นว่า สิทธิที่จะบังคับชำระหนี้จะหมดไปหรือไม่ ไม่ใช่องค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 หากฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ก็เป็นการกระทำการดังที่กล่าวไว้ในมาตรานี้แล้ว จำเลยทั้งสี่ก็ต้องมีความผิด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งกฎหมายมุ่งถึงเจตนาของลูกหนี้ที่จะโกงเจ้าหนี้ โดยรู้อยู่ว่าเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้อยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับปัญหาว่าสิทธิการบังคับคดีจะยังมีอยู่หรือไม่ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83 ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปีสำหรับจำเลยที่ 2 มีอายุ 78 ปีแล้ว เห็นควรให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 และให้ปรับ 4,000 บาทไม่ชำระค่าปรับบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ และจำเลยที่ 1และที่ 2 มีทรัพย์สินเหลืออยู่ไม่พอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ เป็นการกระทำเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตนได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน จึงมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ตาม ป.อ. มาตรา 350 ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็รู้อยู่แล้วเช่นเดียวกันว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้ รับโอนที่ดินจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นตัวการเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2
สิทธิที่จะบังคับชำระหนี้จะหมดไปหรือไม่ ไม่ใช่องค์ประกอบตามป.อ. มาตรา 350 หากฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ก็เป็นการกระทำการดังที่กล่าวไว้ในมาตรานี้แล้ว จำเลย-ทั้งสี่จึงต้องมีความผิด
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ และจำเลยที่ 1และที่ 2 มีทรัพย์สินเหลืออยู่ไม่พอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ เป็นการกระทำเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตนได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน จึงมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ตาม ป.อ. มาตรา 350 ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็รู้อยู่แล้วเช่นเดียวกันว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้ รับโอนที่ดินจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นตัวการเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2
สิทธิที่จะบังคับชำระหนี้จะหมดไปหรือไม่ ไม่ใช่องค์ประกอบตามป.อ. มาตรา 350 หากฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ก็เป็นการกระทำการดังที่กล่าวไว้ในมาตรานี้แล้ว จำเลย-ทั้งสี่จึงต้องมีความผิด
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าที่มีเพียงแบบแจ้งการครอบครองที่ดินหรือ ส.ค.1 การให้ซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงมิอาจจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน และการให้ในลักษณะนี้สมบูรณ์โดยการส่งมอบการครอบครองที่ดินให้ จึงมิได้ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 การโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ของ ห. ตามนิติกรรมการให้ในบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.2 เป็นเรื่องที่ ห.ผู้ให้แสดงเจตนาสละการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทที่ ห.ยึดถือครอบครองอยู่เดิมให้แก่จำเลยที่ 1 การครอบครองของ ห.ย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 วรรคแรกจำเลยที่ 1 จึงได้ซึ่งสิทธิครอบครองตามบันทึกถ้อยคำดังกล่าวกรณีมิใช่เป็นการโอนสิทธิครอบครองตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 วรรคสอง หรือมาตรา 9 แต่อย่างใด การสละการยึดถือครอบครองในลักษณะเช่นนี้ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย การให้ที่ดินพิพาทของห. แก่จำเลยที่ 1 จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1378
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาทำลายหรือเพิกถอนนิติกรรมการยกให้ซึ่งที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 109 ที่นางหยุกลั่น แซ่เฮ่าหรือแซ่แท่น ยกให้จำเลยที่ 1 และให้ทำลายหรือเพิกถอนการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวด้วยเนื่องจากนางหยุกลั่นได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 1 แล้ว
จำเลยทั้งสองให้การว่า นางหยุกลั่นทำพินัยกรรมยกที่ดินตามฟ้องแก่โจทก์และจำเลยที่ 1 จริง แต่ก่อนนางหยุกลั่นถึงแก่ความตายได้ทำบันทึกยกที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 แล้ว ถือได้ว่าเป็นการเพิกถอนข้อกำหนดในพินัยกรรมโดยปริยาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำเลยที่ 1ถึงแก่กรรม นางวิรัตน์ วิริยะภูรี ทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าที่มีเพียงแบบแจ้งการครอบครองที่ดินหรือ ส.ค.1 เท่านั้น การให้ซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงมิอาจจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 และการให้ในลักษณะนี้สมบูรณ์โดยการส่งมอบการครอบครองที่ดินที่ให้จึงมิได้ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ดังนั้นการที่นางหยุกลั่นทำนิติกรรมตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.2 ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเสน่หา จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ดังที่โจทก์ฎีกา ส่วนการที่นางหยุกลั่นโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดยที่นายอำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา ยังไม่ได้รับรองว่าที่ดินพิพาทได้ทำประโยชน์แล้วจะขัดต่อประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 8 วรรคสองหรือไม่นั้นเห็นว่า การโอนที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ของนางหยุกลั่นตามนิติกรรมการให้ในบันทึกถ้อยคำ เอกสารหมาย ล.2 เป็นเรื่องที่นางหยุกลั่นผู้ให้แสดงเจตนาสละการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทที่นางหยุกลั่นยึดถือครอบครองอยู่เดิมให้แก่จำเลยที่ 1การครอบครองของนางหยุกลั่นย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 วรรคแรก จำเลยที่ 1จึงได้ซึ่งสิทธิครอบครองตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.2 มิใช่เป็นการโอนสิทธิครอบครองตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 มาตรา 8 วรรคสอง หรือมาตรา 9 แต่อย่างใดการสละการยึดถือครอบครองในลักษณะเช่นนี้ไม่ต้องห้ามตามกฎหมายการให้ที่พิพาทของนางหยุกลั่นแก่จำเลยที่ 1 จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 หาได้ตกเป็นโมฆะดังที่โจทก์ฎีกาไม่
พิพากษายืน
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าที่มีเพียงแบบแจ้งการครอบครองที่ดินหรือ ส.ค.1 การให้ซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงมิอาจจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน และการให้ในลักษณะนี้สมบูรณ์โดยการส่งมอบการครอบครองที่ดินให้ จึงมิได้ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 การโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ของ ห. ตามนิติกรรมการให้ในบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.2 เป็นเรื่องที่ ห.ผู้ให้แสดงเจตนาสละการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทที่ ห.ยึดถือครอบครองอยู่เดิมให้แก่จำเลยที่ 1 การครอบครองของ ห.ย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 วรรคแรกจำเลยที่ 1 จึงได้ซึ่งสิทธิครอบครองตามบันทึกถ้อยคำดังกล่าวกรณีมิใช่เป็นการโอนสิทธิครอบครองตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 วรรคสอง หรือมาตรา 9 แต่อย่างใด การสละการยึดถือครอบครองในลักษณะเช่นนี้ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย การให้ที่ดินพิพาทของห. แก่จำเลยที่ 1 จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1378
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาทำลายหรือเพิกถอนนิติกรรมการยกให้ซึ่งที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 109 ที่นางหยุกลั่น แซ่เฮ่าหรือแซ่แท่น ยกให้จำเลยที่ 1 และให้ทำลายหรือเพิกถอนการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวด้วยเนื่องจากนางหยุกลั่นได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 1 แล้ว
จำเลยทั้งสองให้การว่า นางหยุกลั่นทำพินัยกรรมยกที่ดินตามฟ้องแก่โจทก์และจำเลยที่ 1 จริง แต่ก่อนนางหยุกลั่นถึงแก่ความตายได้ทำบันทึกยกที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 แล้ว ถือได้ว่าเป็นการเพิกถอนข้อกำหนดในพินัยกรรมโดยปริยาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำเลยที่ 1ถึงแก่กรรม นางวิรัตน์ วิริยะภูรี ทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าที่มีเพียงแบบแจ้งการครอบครองที่ดินหรือ ส.ค.1 เท่านั้น การให้ซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงมิอาจจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 และการให้ในลักษณะนี้สมบูรณ์โดยการส่งมอบการครอบครองที่ดินที่ให้จึงมิได้ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ดังนั้นการที่นางหยุกลั่นทำนิติกรรมตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.2 ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเสน่หา จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ดังที่โจทก์ฎีกา ส่วนการที่นางหยุกลั่นโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดยที่นายอำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา ยังไม่ได้รับรองว่าที่ดินพิพาทได้ทำประโยชน์แล้วจะขัดต่อประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 8 วรรคสองหรือไม่นั้นเห็นว่า การโอนที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ของนางหยุกลั่นตามนิติกรรมการให้ในบันทึกถ้อยคำ เอกสารหมาย ล.2 เป็นเรื่องที่นางหยุกลั่นผู้ให้แสดงเจตนาสละการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทที่นางหยุกลั่นยึดถือครอบครองอยู่เดิมให้แก่จำเลยที่ 1การครอบครองของนางหยุกลั่นย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 วรรคแรก จำเลยที่ 1จึงได้ซึ่งสิทธิครอบครองตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.2 มิใช่เป็นการโอนสิทธิครอบครองตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 มาตรา 8 วรรคสอง หรือมาตรา 9 แต่อย่างใดการสละการยึดถือครอบครองในลักษณะเช่นนี้ไม่ต้องห้ามตามกฎหมายการให้ที่พิพาทของนางหยุกลั่นแก่จำเลยที่ 1 จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 หาได้ตกเป็นโมฆะดังที่โจทก์ฎีกาไม่
พิพากษายืน
ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังมา ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบ มิใช่ศาลวินิจฉัยพยานหลักฐานนอกสำนวน การที่โจทก์ฎีกาต้องการให้ศาลฟังข้อเท็จจริงตามที่ตนต้องการ จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญประมาณ 20 ปีมาแล้ว โจทก์ที่ 1 ยกที่ดินด้านทิศตะวันตกให้แก่จำเลยและยกที่ดินด้านทิศใต้ให้แก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 ได้เข้าครอบครองโดยก่อสร้างยุ้งข้าวและโกดังเก็บของบนที่ดินที่ได้รับการยกให้ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา จำเลยได้แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าที่ดินทั้งหมดเป็นของจำเลย จนเจ้าหน้าที่ได้ใส่ชื่อจำเลยในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งแปลง โดยรุกล้ำที่ของโจทก์ที่ 1 จำนวน32 ตารางวา และของโจทก์ที่ 2 จำนวน 12 ตารางวา ขอให้เพิกถอนหรือทำลาย น.ส.3 ก. เลขที่ 819 ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และครอบครองทำประโยชน์ โจทก์ทั้งสองไม่ได้ฟ้องขอให้เพิกถอนภายใน 1 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 2
โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 2 อ้างว่า จากพยานหลักฐานโจทก์และพยานหลักฐานในสำนวนนี้ปรากฏว่ายุ้งข้าวโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ปลูกสร้างมาประมาณ 20 ปีแล้ว ไม่ใช่นายปานปลูกสร้างขึ้นแล้วยกให้โจทก์ที่ 2 และจำเลยแต่อย่างใดและที่ดินพิพาทก็เป็นของโจทก์ที่ 2 ข้อนี้เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่า ยุ้งข้าวเป็นของนายปานปลูกสร้างขึ้นแล้วยกให้โจทก์ที่ 2 และจำเลยไม่ใช่ของโจทก์ที่ 2 และวินิจฉัยด้วยว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ที่ 2 ในขณะออกน.ส.3 ก. ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านนั้น ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบและฟังข้อเท็จจริงได้ดังกล่าว และที่ศาลวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 2 ทราบว่าจำเลยออก น.ส.3 ก. ก่อนนำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปี คดีขาดอายุความนั้นก็เป็นการวินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ฟังได้ความจากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบเช่นเดียวกัน มิใช่ศาลวินิจฉัยพยานหลักฐานนอกสำนวน ส่วนข้อเท็จจริงที่โจทก์ที่ 2 ยกขึ้นอ้างว่าเป็นเช่นนั้นมิใช่ดังที่ศาลรับฟังกรณีเป็นเรื่องโจทก์ที่ 2 โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลโดยโจทก์ที่ 2 ต้องการให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงตามที่ตนต้องการเท่านั้น ฎีกาของโจทก์ที่ 2 จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์ที่ 2
ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังมา ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบ มิใช่ศาลวินิจฉัยพยานหลักฐานนอกสำนวน การที่โจทก์ฎีกาต้องการให้ศาลฟังข้อเท็จจริงตามที่ตนต้องการ จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญประมาณ 20 ปีมาแล้ว โจทก์ที่ 1 ยกที่ดินด้านทิศตะวันตกให้แก่จำเลยและยกที่ดินด้านทิศใต้ให้แก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 ได้เข้าครอบครองโดยก่อสร้างยุ้งข้าวและโกดังเก็บของบนที่ดินที่ได้รับการยกให้ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา จำเลยได้แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าที่ดินทั้งหมดเป็นของจำเลย จนเจ้าหน้าที่ได้ใส่ชื่อจำเลยในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งแปลง โดยรุกล้ำที่ของโจทก์ที่ 1 จำนวน32 ตารางวา และของโจทก์ที่ 2 จำนวน 12 ตารางวา ขอให้เพิกถอนหรือทำลาย น.ส.3 ก. เลขที่ 819 ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และครอบครองทำประโยชน์ โจทก์ทั้งสองไม่ได้ฟ้องขอให้เพิกถอนภายใน 1 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 2
โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 2 อ้างว่า จากพยานหลักฐานโจทก์และพยานหลักฐานในสำนวนนี้ปรากฏว่ายุ้งข้าวโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ปลูกสร้างมาประมาณ 20 ปีแล้ว ไม่ใช่นายปานปลูกสร้างขึ้นแล้วยกให้โจทก์ที่ 2 และจำเลยแต่อย่างใดและที่ดินพิพาทก็เป็นของโจทก์ที่ 2 ข้อนี้เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่า ยุ้งข้าวเป็นของนายปานปลูกสร้างขึ้นแล้วยกให้โจทก์ที่ 2 และจำเลยไม่ใช่ของโจทก์ที่ 2 และวินิจฉัยด้วยว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ที่ 2 ในขณะออกน.ส.3 ก. ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านนั้น ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบและฟังข้อเท็จจริงได้ดังกล่าว และที่ศาลวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 2 ทราบว่าจำเลยออก น.ส.3 ก. ก่อนนำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปี คดีขาดอายุความนั้นก็เป็นการวินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ฟังได้ความจากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบเช่นเดียวกัน มิใช่ศาลวินิจฉัยพยานหลักฐานนอกสำนวน ส่วนข้อเท็จจริงที่โจทก์ที่ 2 ยกขึ้นอ้างว่าเป็นเช่นนั้นมิใช่ดังที่ศาลรับฟังกรณีเป็นเรื่องโจทก์ที่ 2 โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลโดยโจทก์ที่ 2 ต้องการให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงตามที่ตนต้องการเท่านั้น ฎีกาของโจทก์ที่ 2 จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์ที่ 2
ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังมา ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ปรากฎจากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบ มิใช่ศาลวินิจฉัยพยานหลักฐานนอกสำนวน การที่โจทก์ฎีกาต้องการให้ศาลฟังข้อเท็จจริงตามที่ตนต้องการ จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังมา ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ปรากฎจากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบ มิใช่ศาลวินิจฉัยพยานหลักฐานนอกสำนวน การที่โจทก์ฎีกาต้องการให้ศาลฟังข้อเท็จจริงตามที่ตนต้องการ จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำโฉนดที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และ อ. มาให้จำเลยยึดถือไว้โดยมีข้อตกลงกันไว้ด้วยต่อมาโจทก์ขอให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ตามข้อตกลงแต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ จำเลยก็ให้การยอมรับว่าจำเลยไม่ยอมคืนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์จริง แม้จำเลยจะให้การอ้างว่าจำเลยรับโฉนดที่ดินไว้ในฐานะผู้แทนของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีและจำเลยฎีกาอ้างว่าจำเลยเก็บโฉนดที่ดินไว้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี จำเลยไม่อาจนำโฉนดที่ดินมาคืนให้แก่โจทก์ได้ก็ตาม ก็ถือได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิตามฟ้องของโจทก์แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ได้
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2531 เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจพบว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีได้ร่วมกันทุจริตยักยอกเงินของทางราชการไปโดยนางนิตยา ไชยวงศ์พี่สาวโจทก์เป็นผู้ทำฎีกาเบิกจ่ายเงินและจำเลยเป็นผู้ลงชื่ออนุมัติให้เบิกจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว แล้วนางนิตยาได้หนีไปต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2531 จำเลยให้โจทก์ติดตามตัวนางนิตยามาพบภายใน 7 วัน โดยให้โจทก์นำโฉนดที่ดินเลขที่ 9186ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์และนางสาวอัญชลี ไชยวงศ์ มาให้จำเลยยึดถือไว้ จำเลยตกลงว่าหากได้ตัวนางนิตยามาภายในกำหนดจำเลยจะคืนโฉนดที่ดินดังกล่าว และระหว่างที่โฉนดที่ดินอยู่ที่จำเลยจำเลยจะไม่ดำเนินคดีอาญาแก่นางนิตยา หากดำเนินคดีอาญาแก่นางนิตยาเมื่อใด จำเลยจะคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวทันที ต่อมาวันที่ 22 มีนาคม 2531 จำเลยแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่านางนิตยาทุจริตต่อหน้าที่ทำให้เงินหายไป 724,049.47 บาทขอให้ดำเนินคดีแก่นางนิตยา โจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 9186ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ให้แก่โจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้จับกุมคุมขังจนกว่าโจทก์จะได้โฉนดที่ดินดังกล่าวคืน
จำเลยให้การว่า จำเลยมีตำแหน่งสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีเป็นผู้บังคับบัญชาของนางนิตยา เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีสำนักงานสาธารณสุข จังหวัดเพชรบุรี เมื่อประมาณวันที่ 7 มีนาคม2531 จำเลยสั่งให้ตรวจสอบการปฏิบัติงานในหน้าที่ของนางนิตยาซึ่งขาดราชการไปหลายวัน ปรากฏว่านางนิตยานำเงินของทางราชการไปใช้จ่ายเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต เป็นเงิน 724,049.47 บาทต่อมาวันที่ 13 มีนาคม 2531 โจทก์และนางสาวอัญชลีตกลงกับจำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีผู้มีอำนาจทำการแทนสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี ยอมรับผิดชดใช้เงินที่ นางนิตยาทุจริตนำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวแทนโดยนำโฉนดที่ดินเลขที่ 9186 ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลมจังหวัดเพชรบุรี มาวางเป็นหลักประกันให้จำเลยในฐานะสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรียึดถือไว้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกโฉนดที่ดินคืนจากจำเลยในฐานะส่วนตัว จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีมีสิทธิที่จะยึดหน่วงโฉนดที่ดินไว้จนกว่าสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีจะได้รับชำระหนี้เสร็จสิ้น จำเลยไม่เคยตกลงกับโจทก์ว่าระหว่างที่โฉนดที่ดินอยู่ที่จำเลย จำเลยจะไม่ดำเนินคดีอาญาแก่นางนิตยา หากดำเนินคดีอาญาแก่นางนิตยาเมื่อใดจำเลยจะคืนโฉนดที่ดินให้โจทก์ทันทีขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 9186ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี แก่โจทก์ส่วนที่โจทก์มีคำขอว่า หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้จับกุมจำเลยมาขังจนกว่าโจทก์จะได้โฉนดที่ดินคืนนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวในชั้นบังคับคดี คำขอส่วนนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำโฉนดที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และนางสาวอัญชลีมาให้จำเลยยึดถือไว้โดยมีข้อตกลงกันไว้ด้วย ต่อมาโจทก์ขอให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ ตามข้อตกลงแต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ จำเลยก็ให้การยอมรับว่าจำเลยไม่ยอมคืนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์จริง แม้จำเลยจะให้การอ้างว่าจำเลยรับโฉนดที่ดินไว้ในฐานะผู้แทนของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีและจำเลยฎีกาอ้างว่าจำเลยเก็บโฉนดที่ดินไว้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี จำเลยไม่อาจนำโฉนดที่ดินมาคืนให้แก่โจทก์ได้ก็ตามก็ถือได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิตามฟ้องของโจทก์แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ได้
พิพากษายืน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำโฉนดที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และ อ. มาให้จำเลยยึดถือไว้โดยมีข้อตกลงกันไว้ด้วยต่อมาโจทก์ขอให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ตามข้อตกลงแต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ จำเลยก็ให้การยอมรับว่าจำเลยไม่ยอมคืนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์จริง แม้จำเลยจะให้การอ้างว่าจำเลยรับโฉนดที่ดินไว้ในฐานะผู้แทนของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีและจำเลยฎีกาอ้างว่าจำเลยเก็บโฉนดที่ดินไว้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี จำเลยไม่อาจนำโฉนดที่ดินมาคืนให้แก่โจทก์ได้ก็ตาม ก็ถือได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิตามฟ้องของโจทก์แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ได้
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2531 เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจพบว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีได้ร่วมกันทุจริตยักยอกเงินของทางราชการไปโดยนางนิตยา ไชยวงศ์พี่สาวโจทก์เป็นผู้ทำฎีกาเบิกจ่ายเงินและจำเลยเป็นผู้ลงชื่ออนุมัติให้เบิกจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว แล้วนางนิตยาได้หนีไปต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2531 จำเลยให้โจทก์ติดตามตัวนางนิตยามาพบภายใน 7 วัน โดยให้โจทก์นำโฉนดที่ดินเลขที่ 9186ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์และนางสาวอัญชลี ไชยวงศ์ มาให้จำเลยยึดถือไว้ จำเลยตกลงว่าหากได้ตัวนางนิตยามาภายในกำหนดจำเลยจะคืนโฉนดที่ดินดังกล่าว และระหว่างที่โฉนดที่ดินอยู่ที่จำเลยจำเลยจะไม่ดำเนินคดีอาญาแก่นางนิตยา หากดำเนินคดีอาญาแก่นางนิตยาเมื่อใด จำเลยจะคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวทันที ต่อมาวันที่ 22 มีนาคม 2531 จำเลยแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่านางนิตยาทุจริตต่อหน้าที่ทำให้เงินหายไป 724,049.47 บาทขอให้ดำเนินคดีแก่นางนิตยา โจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 9186ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ให้แก่โจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้จับกุมคุมขังจนกว่าโจทก์จะได้โฉนดที่ดินดังกล่าวคืน
จำเลยให้การว่า จำเลยมีตำแหน่งสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีเป็นผู้บังคับบัญชาของนางนิตยา เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีสำนักงานสาธารณสุข จังหวัดเพชรบุรี เมื่อประมาณวันที่ 7 มีนาคม2531 จำเลยสั่งให้ตรวจสอบการปฏิบัติงานในหน้าที่ของนางนิตยาซึ่งขาดราชการไปหลายวัน ปรากฏว่านางนิตยานำเงินของทางราชการไปใช้จ่ายเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต เป็นเงิน 724,049.47 บาทต่อมาวันที่ 13 มีนาคม 2531 โจทก์และนางสาวอัญชลีตกลงกับจำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีผู้มีอำนาจทำการแทนสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี ยอมรับผิดชดใช้เงินที่ นางนิตยาทุจริตนำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวแทนโดยนำโฉนดที่ดินเลขที่ 9186 ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลมจังหวัดเพชรบุรี มาวางเป็นหลักประกันให้จำเลยในฐานะสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรียึดถือไว้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกโฉนดที่ดินคืนจากจำเลยในฐานะส่วนตัว จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีมีสิทธิที่จะยึดหน่วงโฉนดที่ดินไว้จนกว่าสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีจะได้รับชำระหนี้เสร็จสิ้น จำเลยไม่เคยตกลงกับโจทก์ว่าระหว่างที่โฉนดที่ดินอยู่ที่จำเลย จำเลยจะไม่ดำเนินคดีอาญาแก่นางนิตยา หากดำเนินคดีอาญาแก่นางนิตยาเมื่อใดจำเลยจะคืนโฉนดที่ดินให้โจทก์ทันทีขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 9186ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี แก่โจทก์ส่วนที่โจทก์มีคำขอว่า หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้จับกุมจำเลยมาขังจนกว่าโจทก์จะได้โฉนดที่ดินคืนนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวในชั้นบังคับคดี คำขอส่วนนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำโฉนดที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และนางสาวอัญชลีมาให้จำเลยยึดถือไว้โดยมีข้อตกลงกันไว้ด้วย ต่อมาโจทก์ขอให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ ตามข้อตกลงแต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ จำเลยก็ให้การยอมรับว่าจำเลยไม่ยอมคืนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์จริง แม้จำเลยจะให้การอ้างว่าจำเลยรับโฉนดที่ดินไว้ในฐานะผู้แทนของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีและจำเลยฎีกาอ้างว่าจำเลยเก็บโฉนดที่ดินไว้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี จำเลยไม่อาจนำโฉนดที่ดินมาคืนให้แก่โจทก์ได้ก็ตามก็ถือได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิตามฟ้องของโจทก์แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ได้
พิพากษายืน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำโฉนดที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และ อ.มาให้จำเลยยึดถือไว้โดยมีข้อตกลงกันไว้ด้วย ต่อมาโจทก์ขอให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ตามข้อตกลง แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ จำเลยก็ให้การยอมรับว่าจำเลยไม่ยอมคืนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์จริง แม้จำเลยจะให้การอ้างว่าจำเลยรับโฉนดที่ดินไว้ในฐานะผู้แทนของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี และจำเลยฎีกาอ้างว่าจำเลยเก็บโฉนดที่ดินไว้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี จำเลยไม่อาจนำโฉนดที่ดินมาคืนให้แก่โจทก์ได้ก็ตาม ก็ถือได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิตามฟ้องของโจทก์แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำโฉนดที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และ อ.มาให้จำเลยยึดถือไว้โดยมีข้อตกลงกันไว้ด้วย ต่อมาโจทก์ขอให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ตามข้อตกลง แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ จำเลยก็ให้การยอมรับว่าจำเลยไม่ยอมคืนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์จริง แม้จำเลยจะให้การอ้างว่าจำเลยรับโฉนดที่ดินไว้ในฐานะผู้แทนของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี และจำเลยฎีกาอ้างว่าจำเลยเก็บโฉนดที่ดินไว้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี จำเลยไม่อาจนำโฉนดที่ดินมาคืนให้แก่โจทก์ได้ก็ตาม ก็ถือได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิตามฟ้องของโจทก์แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ได้
ข่าวในหนังสือพิมพ์มีข้อความว่า "กูละเบื่อ ศาลสั่งจำคุกภูมิ ศรีธัญรัตน์บก.นสพ. ประชาธิปไตย ฐานเบี้ยวเช็ค"มีความหมายว่า โจทก์ซึ่งเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยถูกศาลพิพากษาจำคุกเพราะเป็นคนไม่ตรง คดโกงออกเช็คโดยคดโกง มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคอิสาน (ที่ถูกเป็นภาคอีสาน) จำเลยที่ 2เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ จำเลยที่ 3 เป็นบรรณาธิการข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน ระหว่างวันที่ 16 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2535 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันจำเลยทั้งสามร่วมกันเขียนและโฆษณาตีพิมพ์ข้อความใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ลงในหนังสือพิมพ์ภาคอิสาน ซึ่งพิมพ์ออกจำหน่ายให้แก่ประชาชนทั่วไป ฉบับประจำวันที่ 16 ถึง 30 มิถุนายน 2535 คอลัมน์ แจกหมาก ว่า ติดคุกคงสบายดีนะ คุณผีเฮ้ย คุณพี่...ฮา กูละเบื่อ ศาลสั่งจำคุกภูมิ ศรีธัญรัตน์บก.นสพ.ประชาธิปไตย ฐานเบี้ยวเช็ค อันมีความหมายว่าโจทก์เป็นคนน่าเบื่อหน่าย น่ารังเกียจ ติดคุกเพราะคดโกงหักหลังหลอกลวงไม่จ่ายเงินตามเช็ค ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328, 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 เสียจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328, 83 ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือนและปรับคนละ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้คนละ 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ข้อความที่ว่า "ติดคุกคงสบายดีนะ คุณผี เฮ้ย คุณพี่...ฮา" ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อความในข่าวเรื่องที่เกี่ยวกับโจทก์ และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า แต่ข้อความที่ว่า "กูละเบื่อ ศาลสั่งจำคุกภูมิ ศรีธัญรัตน์บก.น.ส.พ.ประชาธิปไตย ฐานเบี้ยวเช็ค" ซึ่งมีความหมายว่าโจทก์ซึ่งเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยถูกศาลพิพากษาจำคุกเพราะเป็นคนไม่ตรง คดโกง ออกเช็คโดยคดโกงมีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้ เมื่อจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดด้วยการลงข้อความในหนังสือพิมพ์จึงมีความผิดตามฟ้อง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ข่าวในหนังสือพิมพ์มีข้อความว่า "กูละเบื่อ ศาลสั่งจำคุกภูมิ ศรีธัญรัตน์บก.นสพ. ประชาธิปไตย ฐานเบี้ยวเช็ค"มีความหมายว่า โจทก์ซึ่งเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยถูกศาลพิพากษาจำคุกเพราะเป็นคนไม่ตรง คดโกงออกเช็คโดยคดโกง มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคอิสาน (ที่ถูกเป็นภาคอีสาน) จำเลยที่ 2เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ จำเลยที่ 3 เป็นบรรณาธิการข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน ระหว่างวันที่ 16 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2535 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันจำเลยทั้งสามร่วมกันเขียนและโฆษณาตีพิมพ์ข้อความใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ลงในหนังสือพิมพ์ภาคอิสาน ซึ่งพิมพ์ออกจำหน่ายให้แก่ประชาชนทั่วไป ฉบับประจำวันที่ 16 ถึง 30 มิถุนายน 2535 คอลัมน์ แจกหมาก ว่า ติดคุกคงสบายดีนะ คุณผีเฮ้ย คุณพี่...ฮา กูละเบื่อ ศาลสั่งจำคุกภูมิ ศรีธัญรัตน์บก.นสพ.ประชาธิปไตย ฐานเบี้ยวเช็ค อันมีความหมายว่าโจทก์เป็นคนน่าเบื่อหน่าย น่ารังเกียจ ติดคุกเพราะคดโกงหักหลังหลอกลวงไม่จ่ายเงินตามเช็ค ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328, 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 เสียจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328, 83 ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือนและปรับคนละ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้คนละ 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ข้อความที่ว่า "ติดคุกคงสบายดีนะ คุณผี เฮ้ย คุณพี่...ฮา" ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อความในข่าวเรื่องที่เกี่ยวกับโจทก์ และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า แต่ข้อความที่ว่า "กูละเบื่อ ศาลสั่งจำคุกภูมิ ศรีธัญรัตน์บก.น.ส.พ.ประชาธิปไตย ฐานเบี้ยวเช็ค" ซึ่งมีความหมายว่าโจทก์ซึ่งเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยถูกศาลพิพากษาจำคุกเพราะเป็นคนไม่ตรง คดโกง ออกเช็คโดยคดโกงมีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้ เมื่อจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดด้วยการลงข้อความในหนังสือพิมพ์จึงมีความผิดตามฟ้อง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายแล้ว คำสั่งนั้นมีผลทันที จำเลยย่อมหลุดพ้นการล้มละลาย หลุดพ้นคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดกลับคืนสู่ฐานะเดิม เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยเพื่อแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22,124 ฎีกาของเจ้าหนี้ซึ่งโต้แย้งเกี่ยวกับการยื่นคำขอรับชำระหนี้จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป ให้จำหน่ายคดีเจ้าหนี้เสียจากสารบบความ
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ต่อมาเจ้าหนี้ยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งยกคำร้อง
เจ้าหนี้ยื่นคำร้องว่า เจ้าหนี้ได้ขอขยายกำหนดเวลาขอรับชำระหนี้และวางเงินค่าใช้จ่ายต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หลายครั้งเพราะเจ้าหนี้ต้องเดินทางไปต่างประเทศหรือต่างจังหวัด และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้อนุญาตให้ขยายเวลาไปเป็นวันที่3 กันยายน 2535 แต่เมื่อเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในวันดังกล่าวเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กลับมีคำสั่งไม่รับคำขอรับชำระหนี้โดยฟังว่าเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้พ้นกำหนดสองเดือนตามกฎหมายแล้วขอให้มีคำสั่งกลับหรือยกคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ไว้ดำเนินการต่อไป
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า เจ้าหนี้มิได้ขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายและเจ้าหนี้มิใช่เจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักรที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายเวลาขอรับชำระหนี้ให้ได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
เจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายของจำเลย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 135(2) ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2535 และคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายแล้ว คำสั่งนั้นมีผลทันที จำเลยย่อมหลุดพ้นการล้มละลาย หลุดพ้นคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดกลับคืนสู่ฐานะเดิมเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยเพื่อแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 22, 124 ดังนั้น ฎีกาของเจ้าหนี้ซึ่งโต้แย้งเกี่ยวกับการยื่นคำขอรับชำระหนี้จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป
ให้จำหน่ายคดีเจ้าหนี้เสียจากสารบบความ
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายแล้ว คำสั่งนั้นมีผลทันที จำเลยย่อมหลุดพ้นการล้มละลาย หลุดพ้นคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดกลับคืนสู่ฐานะเดิม เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยเพื่อแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22,124 ฎีกาของเจ้าหนี้ซึ่งโต้แย้งเกี่ยวกับการยื่นคำขอรับชำระหนี้จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป ให้จำหน่ายคดีเจ้าหนี้เสียจากสารบบความ
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ต่อมาเจ้าหนี้ยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งยกคำร้อง
เจ้าหนี้ยื่นคำร้องว่า เจ้าหนี้ได้ขอขยายกำหนดเวลาขอรับชำระหนี้และวางเงินค่าใช้จ่ายต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หลายครั้งเพราะเจ้าหนี้ต้องเดินทางไปต่างประเทศหรือต่างจังหวัด และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้อนุญาตให้ขยายเวลาไปเป็นวันที่3 กันยายน 2535 แต่เมื่อเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในวันดังกล่าวเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กลับมีคำสั่งไม่รับคำขอรับชำระหนี้โดยฟังว่าเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้พ้นกำหนดสองเดือนตามกฎหมายแล้วขอให้มีคำสั่งกลับหรือยกคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ไว้ดำเนินการต่อไป
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า เจ้าหนี้มิได้ขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายและเจ้าหนี้มิใช่เจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักรที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายเวลาขอรับชำระหนี้ให้ได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
เจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายของจำเลย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 135(2) ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2535 และคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายแล้ว คำสั่งนั้นมีผลทันที จำเลยย่อมหลุดพ้นการล้มละลาย หลุดพ้นคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดกลับคืนสู่ฐานะเดิมเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยเพื่อแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 22, 124 ดังนั้น ฎีกาของเจ้าหนี้ซึ่งโต้แย้งเกี่ยวกับการยื่นคำขอรับชำระหนี้จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป
ให้จำหน่ายคดีเจ้าหนี้เสียจากสารบบความ
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายแล้ว คำสั่งนั้นมีผลทันที จำเลยย่อมหลุดพ้นการล้มละลาย หลุดพ้นคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดกลับคืนสู่ฐานะเดิม เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยเพื่อแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22, 124 ฎีกาของเจ้าหนี้ซึ่งโต้แย้งเกี่ยวกับการยื่นคำขอรับชำระหนี้จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไปให้จำหน่ายคดีเจ้าหนี้เสียจากสารบบความ
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายแล้ว คำสั่งนั้นมีผลทันที จำเลยย่อมหลุดพ้นการล้มละลาย หลุดพ้นคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดกลับคืนสู่ฐานะเดิม เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยเพื่อแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22, 124 ฎีกาของเจ้าหนี้ซึ่งโต้แย้งเกี่ยวกับการยื่นคำขอรับชำระหนี้จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไปให้จำหน่ายคดีเจ้าหนี้เสียจากสารบบความ
จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยได้กระทำไปในฐานะตัวแทน ว.จำเลยกับโจทก์ทั้งสองไม่มีความเกี่ยวพันกันในส่วนนี้ แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยกลับฎีกาแต่เพียงว่าข้อความในสัญญาข้อ 2 ระบุไว้ว่า ผู้ให้สัญญายอมยกเงินที่ขายเกินให้แก่นายหน้าแสดงว่าราคาที่ดินส่วนที่ขายเกินจากไร่ละ300,000 บาท ต้องเป็นของจำเลยมิใช่เป็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใด เพราะเป็นคำมั่นสัญญาเฉพาะระหว่างผู้ทำสัญญากับผู้ให้สัญญาเท่านั้น โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว ดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง นอกจากนี้ฎีกาของจำเลยดังกล่าวอ้างเหตุแตกต่างจากอุทธรณ์ของจำเลย จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนกันยายน 2532 โจทก์ทั้งสองนายบรรจง วัยทรง และจำเลย ได้ตกลงร่วมกันเป็นนายหน้าขายที่ดินโฉนดเลขที่ 8013 ให้แก่นายวิกรม เจริญพร โดยตกลงกันว่าเงินค่านายหน้าจำนวน 5 เปอร์เซ็นต์ ของราคาที่ดินรวมทั้งราคาที่ดินในส่วนที่เกินไร่ละ 300,000 บาท ให้นำมาแบ่งเป็นสี่ส่วนคนละเท่ากัน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2533 (ที่ถูก 2532)โจทก์ทั้งสองนายบรรจง และจำเลยได้ตกลงให้นายบรรจงและจำเลยเป็นตัวแทนเข้าทำสัญญานายหน้ากับนายวิกรมเจ้าของที่ดินต่อมาโจทก์ทั้งสองและนายบรรจงได้ร่วมกันชี้ช่องให้นายวิกรมเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายกับผู้จะซื้อได้สำเร็จในราคาไร่ละ350,000 บาท เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2533 และได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและชำระราคาที่ดินกันเรียบร้อย นายวิกรมได้ชำระเงินค่านายหน้าและราคาที่ดินส่วนที่เกินงวดสุดท้ายจำนวน1,225,000 บาทแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมนำส่วนแบ่งมามอบให้แก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองทวงถามจำเลยแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยจำเลยจึงผิดสัญญา ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 623,984 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 612,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า จำเลยแต่เพียงผู้เดียวเป็นนายหน้าขายที่ดินให้แก่นายวิกรม เจริญพร จำเลยไม่ได้เป็นตัวแทนของโจทก์ทั้งสองเข้าทำสัญญานายหน้ากับนายวิกรม จากพฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสองเป็นเพียงนายหน้าของฝ่ายผู้จะซื้อ ไม่มีสิทธิที่จะได้ค่านายหน้าจากฝ่ายผู้จะขาย แต่เมื่อมีการซื้อขายที่ดินแปลงนี้กันแล้วโจทก์ทั้งสองได้มาขอค่านายหน้าจากจำเลย จำเลยเห็นใจโจทก์ทั้งสองจึงได้แบ่งเป็นค่านายหน้าให้แก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 250,000 บาทโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกร้องค่านายหน้าและราคาที่ดินส่วนที่เกินจากจำเลยอีกขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองคนละ218,334 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาในข้อ 2(ก)(ข)(ง) และข้อ 3 โดยอ้างคำเบิกความของนายวิไล ท้วมชุมพร และสำเนาหนังสือสัญญานายหน้าเอกสารหมาย ล.2 ว่า โจทก์ทั้งสองไม่ใช่นายหน้า เพราะไม่ได้ลงชื่อในช่องการเป็นนายหน้าในสัญญาแต่ลงชื่อเป็นเพียงพยาน จะมากล่าวอ้างว่าเป็นนายหน้าร่วมกับจำเลยไม่ได้และในการซื้อขายที่ดินระหว่างนายวิกรมเจ้าของที่ดินกับนายสมัยผู้ซื้อก็ไม่ได้ผ่านโจทก์ทั้งสองกับพวก อีกทั้งโจทก์ที่ 2 เป็นเพียงผู้เดินตามมากับโจทก์ที่ 1 เนื่องจากเป็นเพื่อนกันไม่มีส่วนร่วมในการเป็นนายหน้าย่อมไม่มีสิทธิมาเรียกร้องค่านายหน้าจากจำเลยนั้น ปรากฏว่าจำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนฎีกาในข้อ 2(จ) เกี่ยวกับราคาที่ดินส่วนที่ขายเกินจากไร่ละ 300,000 บาท ซึ่งปัญหาดังกล่าวจำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยได้กระทำไปในฐานะตัวแทนนายวิกรม จำเลยกับโจทก์ทั้งสองไม่มีความเกี่ยวพันกันในส่วนนี้ แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยกลับฎีกาแต่เพียงว่า ข้อความในสัญญาข้อ 2 ระบุไว้ว่าผู้ให้สัญญายอมยกเงินที่ขายเกินให้แก่นายหน้าแสดงว่าราคาที่ดินส่วนที่ขายเกินจากไร่ละ 300,000 บาท ต้องเป็นของจำเลยมิใช่เป็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใด เพราะเป็นคำมั่นสัญญาเฉพาะระหว่างผู้ทำสัญญากับผู้ให้สัญญาเท่านั้น โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว เห็นว่า ฎีกาของจำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร ที่ถูกต้องเป็นอย่างไรเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง นอกจากนี้ฎีกาของจำเลยดังกล่าวอ้างเหตุแตกต่างจากอุทธรณ์ของจำเลย จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นเดียวกัน
พิพากษายกฎีกาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยได้กระทำไปในฐานะตัวแทน ว.จำเลยกับโจทก์ทั้งสองไม่มีความเกี่ยวพันกันในส่วนนี้ แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยกลับฎีกาแต่เพียงว่าข้อความในสัญญาข้อ 2 ระบุไว้ว่า ผู้ให้สัญญายอมยกเงินที่ขายเกินให้แก่นายหน้าแสดงว่าราคาที่ดินส่วนที่ขายเกินจากไร่ละ300,000 บาท ต้องเป็นของจำเลยมิใช่เป็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใด เพราะเป็นคำมั่นสัญญาเฉพาะระหว่างผู้ทำสัญญากับผู้ให้สัญญาเท่านั้น โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว ดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง นอกจากนี้ฎีกาของจำเลยดังกล่าวอ้างเหตุแตกต่างจากอุทธรณ์ของจำเลย จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนกันยายน 2532 โจทก์ทั้งสองนายบรรจง วัยทรง และจำเลย ได้ตกลงร่วมกันเป็นนายหน้าขายที่ดินโฉนดเลขที่ 8013 ให้แก่นายวิกรม เจริญพร โดยตกลงกันว่าเงินค่านายหน้าจำนวน 5 เปอร์เซ็นต์ ของราคาที่ดินรวมทั้งราคาที่ดินในส่วนที่เกินไร่ละ 300,000 บาท ให้นำมาแบ่งเป็นสี่ส่วนคนละเท่ากัน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2533 (ที่ถูก 2532)โจทก์ทั้งสองนายบรรจง และจำเลยได้ตกลงให้นายบรรจงและจำเลยเป็นตัวแทนเข้าทำสัญญานายหน้ากับนายวิกรมเจ้าของที่ดินต่อมาโจทก์ทั้งสองและนายบรรจงได้ร่วมกันชี้ช่องให้นายวิกรมเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายกับผู้จะซื้อได้สำเร็จในราคาไร่ละ350,000 บาท เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2533 และได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและชำระราคาที่ดินกันเรียบร้อย นายวิกรมได้ชำระเงินค่านายหน้าและราคาที่ดินส่วนที่เกินงวดสุดท้ายจำนวน1,225,000 บาทแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมนำส่วนแบ่งมามอบให้แก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองทวงถามจำเลยแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยจำเลยจึงผิดสัญญา ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 623,984 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 612,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า จำเลยแต่เพียงผู้เดียวเป็นนายหน้าขายที่ดินให้แก่นายวิกรม เจริญพร จำเลยไม่ได้เป็นตัวแทนของโจทก์ทั้งสองเข้าทำสัญญานายหน้ากับนายวิกรม จากพฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสองเป็นเพียงนายหน้าของฝ่ายผู้จะซื้อ ไม่มีสิทธิที่จะได้ค่านายหน้าจากฝ่ายผู้จะขาย แต่เมื่อมีการซื้อขายที่ดินแปลงนี้กันแล้วโจทก์ทั้งสองได้มาขอค่านายหน้าจากจำเลย จำเลยเห็นใจโจทก์ทั้งสองจึงได้แบ่งเป็นค่านายหน้าให้แก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 250,000 บาทโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกร้องค่านายหน้าและราคาที่ดินส่วนที่เกินจากจำเลยอีกขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองคนละ218,334 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาในข้อ 2(ก)(ข)(ง) และข้อ 3 โดยอ้างคำเบิกความของนายวิไล ท้วมชุมพร และสำเนาหนังสือสัญญานายหน้าเอกสารหมาย ล.2 ว่า โจทก์ทั้งสองไม่ใช่นายหน้า เพราะไม่ได้ลงชื่อในช่องการเป็นนายหน้าในสัญญาแต่ลงชื่อเป็นเพียงพยาน จะมากล่าวอ้างว่าเป็นนายหน้าร่วมกับจำเลยไม่ได้และในการซื้อขายที่ดินระหว่างนายวิกรมเจ้าของที่ดินกับนายสมัยผู้ซื้อก็ไม่ได้ผ่านโจทก์ทั้งสองกับพวก อีกทั้งโจทก์ที่ 2 เป็นเพียงผู้เดินตามมากับโจทก์ที่ 1 เนื่องจากเป็นเพื่อนกันไม่มีส่วนร่วมในการเป็นนายหน้าย่อมไม่มีสิทธิมาเรียกร้องค่านายหน้าจากจำเลยนั้น ปรากฏว่าจำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนฎีกาในข้อ 2(จ) เกี่ยวกับราคาที่ดินส่วนที่ขายเกินจากไร่ละ 300,000 บาท ซึ่งปัญหาดังกล่าวจำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยได้กระทำไปในฐานะตัวแทนนายวิกรม จำเลยกับโจทก์ทั้งสองไม่มีความเกี่ยวพันกันในส่วนนี้ แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยกลับฎีกาแต่เพียงว่า ข้อความในสัญญาข้อ 2 ระบุไว้ว่าผู้ให้สัญญายอมยกเงินที่ขายเกินให้แก่นายหน้าแสดงว่าราคาที่ดินส่วนที่ขายเกินจากไร่ละ 300,000 บาท ต้องเป็นของจำเลยมิใช่เป็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใด เพราะเป็นคำมั่นสัญญาเฉพาะระหว่างผู้ทำสัญญากับผู้ให้สัญญาเท่านั้น โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว เห็นว่า ฎีกาของจำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร ที่ถูกต้องเป็นอย่างไรเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง นอกจากนี้ฎีกาของจำเลยดังกล่าวอ้างเหตุแตกต่างจากอุทธรณ์ของจำเลย จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นเดียวกัน
พิพากษายกฎีกาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยได้กระทำไปในฐานะตัวแทน ว.จำเลยกับโจทก์ทั้งสองไม่มีความเกี่ยวพันกันในส่วนนี้ แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามป.วิ.พ.มาตรา 225 ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยกลับฎีกาแต่เพียงว่าข้อความในสัญญาข้อ 2 ระบุไว้ว่า ผู้ให้สัญญายอมยกเงินที่ขายเกินให้แก่นายหน้าแสดงว่าราคาที่ดินส่วนที่ขายเกินจากไร่ละ 300,000 บาท ต้องเป็นของจำเลยมิใช่เป็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใด เพราะเป็นคำมั่นสัญญาเฉพาะระหว่างผู้ทำสัญญากับผู้ให้สัญญาเท่านั้น โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว ดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งนอกจากนี้ฎีกาของจำเลยดังกล่าวอ้างเหตุแตกต่างจากอุทธรณ์ของจำเลย จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยได้กระทำไปในฐานะตัวแทน ว.จำเลยกับโจทก์ทั้งสองไม่มีความเกี่ยวพันกันในส่วนนี้ แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามป.วิ.พ.มาตรา 225 ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยกลับฎีกาแต่เพียงว่าข้อความในสัญญาข้อ 2 ระบุไว้ว่า ผู้ให้สัญญายอมยกเงินที่ขายเกินให้แก่นายหน้าแสดงว่าราคาที่ดินส่วนที่ขายเกินจากไร่ละ 300,000 บาท ต้องเป็นของจำเลยมิใช่เป็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใด เพราะเป็นคำมั่นสัญญาเฉพาะระหว่างผู้ทำสัญญากับผู้ให้สัญญาเท่านั้น โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว ดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งนอกจากนี้ฎีกาของจำเลยดังกล่าวอ้างเหตุแตกต่างจากอุทธรณ์ของจำเลย จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|