บริษัท ฟ. ได้ส่งสินค้าให้โจทก์ทางทะเล โดยโจทก์เอาประกันภัยสินค้าดังกล่าวไว้แก่จำเลย การประกันภัยดังกล่าวเป็นสัญญาประกันภัยทะเลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 868 ซึ่งจะต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายทะเลแต่ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายทะเลเกี่ยวกับสัญญาประกันภัยทะเล ทั้งไม่มีจารีตประเพณีเกี่ยวกับสัญญาเช่นว่านั้น เรื่องอายุความฟ้องเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยในคดีนี้จึงต้องนำไปประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติในบรรพ 3 ลักษณะ 20 หมวด 2 ว่าด้วยการประกันวินาศภัย อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 4 วรรคสาม (เดิม)
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เอาประกันภัยกระดาษกล่องสีขาว ที่สั่งซื้อจากบริษัทฟอร์เรสต์ โพรดักส์ เอ บี จำกัด ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่ประเทศสวีเดนจำนวน 379 ม้วน น้ำหนัก 200 ตัน มูลค่ารวมค่าขนส่งเป็นเงิน 92,630.88 เหรียญสหรัฐ ไว้แก่จำเลยในวงเงินประกันภัย 105,600 เหรียญสหรัฐ เป็นการประกันภัยความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่สินค้าของโจทก์ในระหว่างการขนส่งจากคลังสินค้าของผู้ขายจนถึงคลังสินค้าของโจทก์ในประเทศไทย ซึ่งยินยอมให้เปลี่ยนประเภทและพาหนะที่ขนส่งได้กับเป็นกรมธรรม์ประกันภัยประเภทคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยทุกชนิด ต่อมาบริษัทฟอร์เรสต์ โพรดักส์ เอ บี จำกัด ได้ส่งสินค้าดังกล่าวมาถึงคลังสินค้าของโจทก์เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2529 ปรากฏว่าสินค้าได้รับความเสียหายเป็นเงิน 4,890.99 บาท โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยไม่ชำระ ขอให้จำเลยชดใช้ต้นเงิน 8,890.99 บาท ดอกเบี้ย1,833.81 บาท รวมเป็นเงิน 10,724.80 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 8,890.99 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะสินค้าของโจทก์เสียหายเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2529 แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2531 เป็นเวลาเกิน 2 ปีบริษัทฟอร์เรสต์ โพรดักส์ เอ บี จำกัด ไม่ได้ส่งสินค้าที่โจทก์เอาประกันภัยไว้แก่จำเลยมาให้โจทก์ หากมีการส่งสินค้ามาจริงสินค้าที่ส่งมาก็ไม่ใช่สินค้าที่จำเลยรับประกันภัยไว้ สินค้าของโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายในระหว่างขนส่ง แต่เกิดความเสียหายภายหลังจากที่โจทก์ได้รับสินค้านี้ไว้แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดแม้สินค้าของโจทก์จะเสียหาย โจทก์ก็เรียกร้องจากจำเลยไม่ได้เพราะโจทก์ทำผิดเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยทางทะเล เป็นเหตุให้กรมธรรม์ประกันภัยไม่คุ้มครองความเสียหายของสินค้าขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นในชั้นฎีกาตามฎีกาของโจทก์มีว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้เป็นการประกันภัยทางทะเลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 868 ซึ่งบัญญัติให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายทะเล แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีบทบัญญัติกฎหมายทะเลใช้บังคับ ต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยการประกันวินาศภัยซึ่งเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงมาปรับคดีอายุความฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจึงต้องนำอายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 มาปรับคดี ศาลฎีกาเห็นว่าบริษัทฟอร์เรสต์โพรดักส์ เอ บี จำกัด ได้ส่งสินค้าให้โจทก์ทางทะเล โดยโจทก์เอาประกันภัยสินค้าดังกล่าวไว้แก่จำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัยสินค้าทางทะเลและคำแปลเอกสารหมาย จ.1การประกันภัยดังกล่าวเป็นสัญญาประกันภัยทะเลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 868 ซึ่งจะต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายทะเล แต่ปัจจุบันประเทศไทย ยังไม่มีกฎหมายทะเลเกี่ยวกับสัญญาประกันภัยทะเล ทั้งไม่มีจารีตประเพณีเกี่ยวกับสัญญาเช่นว่านั้น เรื่องอายุความฟ้องเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยในคดีนี้จึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติในบรรพ 3 ลักษณะ 20 หมวด 2 ว่าด้วยการประกันวินาศภัยอันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคสาม (เดิม)และโดยที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า "ในการเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดสองปีนับแต่วันวินาศภัย" คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าวินาศภัยเกิดขึ้นก่อนหรือในวันที่ 25 มกราคม 2529 เพราะโจทก์รับสินค้าเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2529 ก็ปรากฏความเสียหายของสินค้าแล้ว โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายของสินค้าเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2531 พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันวินาศภัย คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ
พิพากษายืน
บริษัท ฟ. ได้ส่งสินค้าให้โจทก์ทางทะเล โดยโจทก์เอาประกันภัยสินค้าดังกล่าวไว้แก่จำเลย การประกันภัยดังกล่าวเป็นสัญญาประกันภัยทะเลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 868 ซึ่งจะต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายทะเลแต่ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายทะเลเกี่ยวกับสัญญาประกันภัยทะเล ทั้งไม่มีจารีตประเพณีเกี่ยวกับสัญญาเช่นว่านั้น เรื่องอายุความฟ้องเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยในคดีนี้จึงต้องนำไปประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติในบรรพ 3 ลักษณะ 20 หมวด 2 ว่าด้วยการประกันวินาศภัย อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 4 วรรคสาม (เดิม)
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เอาประกันภัยกระดาษกล่องสีขาว ที่สั่งซื้อจากบริษัทฟอร์เรสต์ โพรดักส์ เอ บี จำกัด ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่ประเทศสวีเดนจำนวน 379 ม้วน น้ำหนัก 200 ตัน มูลค่ารวมค่าขนส่งเป็นเงิน 92,630.88 เหรียญสหรัฐ ไว้แก่จำเลยในวงเงินประกันภัย 105,600 เหรียญสหรัฐ เป็นการประกันภัยความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่สินค้าของโจทก์ในระหว่างการขนส่งจากคลังสินค้าของผู้ขายจนถึงคลังสินค้าของโจทก์ในประเทศไทย ซึ่งยินยอมให้เปลี่ยนประเภทและพาหนะที่ขนส่งได้กับเป็นกรมธรรม์ประกันภัยประเภทคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยทุกชนิด ต่อมาบริษัทฟอร์เรสต์ โพรดักส์ เอ บี จำกัด ได้ส่งสินค้าดังกล่าวมาถึงคลังสินค้าของโจทก์เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2529 ปรากฏว่าสินค้าได้รับความเสียหายเป็นเงิน 4,890.99 บาท โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยไม่ชำระ ขอให้จำเลยชดใช้ต้นเงิน 8,890.99 บาท ดอกเบี้ย1,833.81 บาท รวมเป็นเงิน 10,724.80 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 8,890.99 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะสินค้าของโจทก์เสียหายเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2529 แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2531 เป็นเวลาเกิน 2 ปีบริษัทฟอร์เรสต์ โพรดักส์ เอ บี จำกัด ไม่ได้ส่งสินค้าที่โจทก์เอาประกันภัยไว้แก่จำเลยมาให้โจทก์ หากมีการส่งสินค้ามาจริงสินค้าที่ส่งมาก็ไม่ใช่สินค้าที่จำเลยรับประกันภัยไว้ สินค้าของโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายในระหว่างขนส่ง แต่เกิดความเสียหายภายหลังจากที่โจทก์ได้รับสินค้านี้ไว้แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดแม้สินค้าของโจทก์จะเสียหาย โจทก์ก็เรียกร้องจากจำเลยไม่ได้เพราะโจทก์ทำผิดเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยทางทะเล เป็นเหตุให้กรมธรรม์ประกันภัยไม่คุ้มครองความเสียหายของสินค้าขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นในชั้นฎีกาตามฎีกาของโจทก์มีว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้เป็นการประกันภัยทางทะเลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 868 ซึ่งบัญญัติให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายทะเล แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีบทบัญญัติกฎหมายทะเลใช้บังคับ ต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยการประกันวินาศภัยซึ่งเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงมาปรับคดีอายุความฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจึงต้องนำอายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 มาปรับคดี ศาลฎีกาเห็นว่าบริษัทฟอร์เรสต์โพรดักส์ เอ บี จำกัด ได้ส่งสินค้าให้โจทก์ทางทะเล โดยโจทก์เอาประกันภัยสินค้าดังกล่าวไว้แก่จำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัยสินค้าทางทะเลและคำแปลเอกสารหมาย จ.1การประกันภัยดังกล่าวเป็นสัญญาประกันภัยทะเลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 868 ซึ่งจะต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายทะเล แต่ปัจจุบันประเทศไทย ยังไม่มีกฎหมายทะเลเกี่ยวกับสัญญาประกันภัยทะเล ทั้งไม่มีจารีตประเพณีเกี่ยวกับสัญญาเช่นว่านั้น เรื่องอายุความฟ้องเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยในคดีนี้จึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติในบรรพ 3 ลักษณะ 20 หมวด 2 ว่าด้วยการประกันวินาศภัยอันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคสาม (เดิม)และโดยที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า "ในการเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดสองปีนับแต่วันวินาศภัย" คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าวินาศภัยเกิดขึ้นก่อนหรือในวันที่ 25 มกราคม 2529 เพราะโจทก์รับสินค้าเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2529 ก็ปรากฏความเสียหายของสินค้าแล้ว โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายของสินค้าเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2531 พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันวินาศภัย คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ
พิพากษายืน
บริษัท ฟ.ได้ส่งสินค้าให้โจทก์ทางทะเล โดยโจทก์เอาประกันภัยสินค้าดังกล่าวไว้แก่จำเลย การประกันภัยดังกล่าวเป็นสัญญาประกันภัยทะเลตามป.พ.พ.มาตรา 868 ซึ่งจะต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายทะเล แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายทะเลเกี่ยวกับสัญญาประกันภัยทะเล ทั้งไม่มีจารีตประเพณีเกี่ยวกับสัญญาเช่นว่านั้น เรื่องอายุความฟ้องเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญา-ประกันภัยในคดีนี้จึงต้องนำ ป.พ.พ.มาตรา 882 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติในบรรพ 3 ลักษณะ 20 หมวด 2 ว่าด้วยการประกันวินาศภัย อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับคดีตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ.มาตรา 4 วรรคสาม (เดิม)
บริษัท ฟ.ได้ส่งสินค้าให้โจทก์ทางทะเล โดยโจทก์เอาประกันภัยสินค้าดังกล่าวไว้แก่จำเลย การประกันภัยดังกล่าวเป็นสัญญาประกันภัยทะเลตามป.พ.พ.มาตรา 868 ซึ่งจะต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายทะเล แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายทะเลเกี่ยวกับสัญญาประกันภัยทะเล ทั้งไม่มีจารีตประเพณีเกี่ยวกับสัญญาเช่นว่านั้น เรื่องอายุความฟ้องเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญา-ประกันภัยในคดีนี้จึงต้องนำ ป.พ.พ.มาตรา 882 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติในบรรพ 3 ลักษณะ 20 หมวด 2 ว่าด้วยการประกันวินาศภัย อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับคดีตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ.มาตรา 4 วรรคสาม (เดิม)
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีที่แนบมาท้ายฟ้อง แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องก็ตามแต่ก็เป็นเพียงรายละเอียดแห่งคำฟ้องเท่านั้น มิใช่สภาพแห่งข้อหาในคำฟ้องอันจะต้องแสดงไว้โดยแจ้งชัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคหนึ่ง การที่หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ระบุว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวก โดยมิได้ระบุให้แจ้งชัดว่าเป็นจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมแต่ประการใดไม่ เพราะตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยซึ่งรับสิทธิจากเจ้าของรถผู้เอาประภันภัยฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้ทำละเมิดจำเลยที่ 2 เจ้าของรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับ และจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวให้ร่วมกันรับผิดในมูลละเมิดที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อไปชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้โดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว และที่หนังสือมอบอำนาจระบุให้ฟ้องจำเลยที่ 1กับพวก ก็ย่อมหมายถึงมอบอำนาจให้ฟ้องผู้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 คือจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับจำเลยที่ 3มีข้อตกลงว่าหากผู้เอารถไปใช้โดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัยแล้ว ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันนี้ไปทำละเมิดต่อรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์ 47,585 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 ยืมรถไปใช้เป็นการส่วนตัว จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีตามเอกสารท้ายฟ้องได้ระบุตัวผู้ถูกฟ้องไว้ว่าจำเลยที่ 1กับพวก แต่ไม่ระบุว่ากับพวกนั้นเป็นใครบ้าง จำเลยที่ 2 ที่ 3จึงไม่ทราบทำให้หลงต่อสู้เป็นฟ้องเคลือบคลุมเหตุเกิดจากความประมาทของนายอุดม วิวัฒผล คนขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้แต่เพียงผู้เดียวที่ขับไปชนท้ายรถยนต์ ข้างหน้า2 คัน รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับมากำลังชะลอความเร็วและจะหยุดได้ไหลไปกระแทกรถยนต์ของฝ่ายโจทก์ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดก็เฉพาะส่วนท้ายรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ไม่เกิน 10,000 บาทเท่านั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าเสียหายส่วนหน้าของรถยนต์คันดังกล่าวจากจำเลยทั้งสาม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์ 47,585 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสามในเรื่องอำนาจฟ้องและเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 3นอกจากนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 238 ประกอบด้วยมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงมาว่า คดีนี้โจทก์มอบอำนาจให้นายสมชาย ชัยวงศ์ณรงค์ดำเนินคดีแทนตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องซึ่งมีข้อความระบุว่า โจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์นั่งส่วนบุคคลหมายเลขทะเบียน 6 ข-6662กรุงเทพมหานคร ไว้จากเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าว จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลหมายเลขทะเบียน 5 จ-2170 กรุงเทพมหานครซึ่งได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3 มีข้อตกลงตามกรมธรรม์ประกันภัยว่า หากผู้เอารถไปใช้โดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัยแล้ว ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดด้วยตามวันเวลาเกิดเหตุที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 5 จ-2170กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 2 โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันดังกล่าวด้วยความประมาทเลินเล่อไปชนท้ายรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6 ข-6662 กรุงเทพมหานคร ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ เป็นเหตุให้รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไปชนรถยนต์ที่อยู่ข้างหน้าอีก 2 คัน ทำให้รถยนต์ที่โจทก์รับประกันได้รับความเสียหายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทั้งนี้โดยผู้ขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไม่มีส่วนประมาทเลินเล่อด้วยโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้นำรถยนต์ที่รับประกันภัยไว้ไปจัดการซ่อมเสียเงินค่าซ่อมและค่าลากรถเป็นเงินรวม 47,585 บาท โจทก์จึงรับช่วงสิทธิจากเจ้าของรถผู้เอาประกันภัยมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้
ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ระบุมอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1 เพียงคนเดียวไม่ได้ระบุถึงจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่อยู่ในสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับที่จะต้องร่วมรับผิดด้วย คำฟ้องของโจทก์จึงไม่แจ้งชัด ทำให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 หลงข้อต่อสู้เป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีที่แนบมาท้ายฟ้อง แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงรายละเอียดแห่งคำฟ้องเท่านั้นมิใช่สภาพแห่งข้อหาในคำฟ้องอันจะต้องแสดงไว้โดยแจ้งชัด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคแรก การที่หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ระบุว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวก โดยมิได้ระบุให้แจ้งชัดว่าเป็นจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมแต่ประการใดไม่ เพราะตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยซึ่งรับสิทธิจากเจ้าของรถผู้เอาประกันภัยฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้ทำละเมิดจำเลยที่ 2 เจ้าของรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับ และจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวให้ร่วมกันรับผิดในมูลละเมิดที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อไปชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้โดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว และที่หนังสือมอบอำนาจระบุให้ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกก็ย่อมหมายถึงมอบอำนาจให้ฟ้องผู้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 คือจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 ไม่ต้องร่วมรับผิดเพราะจำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประภันภัย จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดแล้ว จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยจากจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดด้วยนั้น เห็นว่า ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับจำเลยที่ 3 มีข้อตกลงว่าหากผู้เอารถไปใช้โดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัยแล้ว ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันที่ไปทำละเมิดต่อรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2ผู้เอาประกันภัย จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัย จึงต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว
พิพากษายืน
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีที่แนบมาท้ายฟ้อง แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องก็ตามแต่ก็เป็นเพียงรายละเอียดแห่งคำฟ้องเท่านั้น มิใช่สภาพแห่งข้อหาในคำฟ้องอันจะต้องแสดงไว้โดยแจ้งชัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคหนึ่ง การที่หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ระบุว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวก โดยมิได้ระบุให้แจ้งชัดว่าเป็นจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมแต่ประการใดไม่ เพราะตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยซึ่งรับสิทธิจากเจ้าของรถผู้เอาประภันภัยฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้ทำละเมิดจำเลยที่ 2 เจ้าของรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับ และจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวให้ร่วมกันรับผิดในมูลละเมิดที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อไปชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้โดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว และที่หนังสือมอบอำนาจระบุให้ฟ้องจำเลยที่ 1กับพวก ก็ย่อมหมายถึงมอบอำนาจให้ฟ้องผู้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 คือจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับจำเลยที่ 3มีข้อตกลงว่าหากผู้เอารถไปใช้โดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัยแล้ว ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันนี้ไปทำละเมิดต่อรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์ 47,585 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 ยืมรถไปใช้เป็นการส่วนตัว จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีตามเอกสารท้ายฟ้องได้ระบุตัวผู้ถูกฟ้องไว้ว่าจำเลยที่ 1กับพวก แต่ไม่ระบุว่ากับพวกนั้นเป็นใครบ้าง จำเลยที่ 2 ที่ 3จึงไม่ทราบทำให้หลงต่อสู้เป็นฟ้องเคลือบคลุมเหตุเกิดจากความประมาทของนายอุดม วิวัฒผล คนขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้แต่เพียงผู้เดียวที่ขับไปชนท้ายรถยนต์ ข้างหน้า2 คัน รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับมากำลังชะลอความเร็วและจะหยุดได้ไหลไปกระแทกรถยนต์ของฝ่ายโจทก์ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดก็เฉพาะส่วนท้ายรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ไม่เกิน 10,000 บาทเท่านั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าเสียหายส่วนหน้าของรถยนต์คันดังกล่าวจากจำเลยทั้งสาม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์ 47,585 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสามในเรื่องอำนาจฟ้องและเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 3นอกจากนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 238 ประกอบด้วยมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงมาว่า คดีนี้โจทก์มอบอำนาจให้นายสมชาย ชัยวงศ์ณรงค์ดำเนินคดีแทนตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องซึ่งมีข้อความระบุว่า โจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์นั่งส่วนบุคคลหมายเลขทะเบียน 6 ข-6662กรุงเทพมหานคร ไว้จากเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าว จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลหมายเลขทะเบียน 5 จ-2170 กรุงเทพมหานครซึ่งได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3 มีข้อตกลงตามกรมธรรม์ประกันภัยว่า หากผู้เอารถไปใช้โดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัยแล้ว ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดด้วยตามวันเวลาเกิดเหตุที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 5 จ-2170กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 2 โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันดังกล่าวด้วยความประมาทเลินเล่อไปชนท้ายรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6 ข-6662 กรุงเทพมหานคร ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ เป็นเหตุให้รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไปชนรถยนต์ที่อยู่ข้างหน้าอีก 2 คัน ทำให้รถยนต์ที่โจทก์รับประกันได้รับความเสียหายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทั้งนี้โดยผู้ขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไม่มีส่วนประมาทเลินเล่อด้วยโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้นำรถยนต์ที่รับประกันภัยไว้ไปจัดการซ่อมเสียเงินค่าซ่อมและค่าลากรถเป็นเงินรวม 47,585 บาท โจทก์จึงรับช่วงสิทธิจากเจ้าของรถผู้เอาประกันภัยมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้
ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ระบุมอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1 เพียงคนเดียวไม่ได้ระบุถึงจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่อยู่ในสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับที่จะต้องร่วมรับผิดด้วย คำฟ้องของโจทก์จึงไม่แจ้งชัด ทำให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 หลงข้อต่อสู้เป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีที่แนบมาท้ายฟ้อง แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงรายละเอียดแห่งคำฟ้องเท่านั้นมิใช่สภาพแห่งข้อหาในคำฟ้องอันจะต้องแสดงไว้โดยแจ้งชัด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคแรก การที่หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ระบุว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวก โดยมิได้ระบุให้แจ้งชัดว่าเป็นจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมแต่ประการใดไม่ เพราะตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยซึ่งรับสิทธิจากเจ้าของรถผู้เอาประกันภัยฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้ทำละเมิดจำเลยที่ 2 เจ้าของรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับ และจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวให้ร่วมกันรับผิดในมูลละเมิดที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อไปชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้โดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว และที่หนังสือมอบอำนาจระบุให้ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกก็ย่อมหมายถึงมอบอำนาจให้ฟ้องผู้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 คือจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 ไม่ต้องร่วมรับผิดเพราะจำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประภันภัย จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดแล้ว จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยจากจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดด้วยนั้น เห็นว่า ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับจำเลยที่ 3 มีข้อตกลงว่าหากผู้เอารถไปใช้โดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัยแล้ว ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันที่ไปทำละเมิดต่อรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2ผู้เอาประกันภัย จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัย จึงต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว
พิพากษายืน
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีที่แนบมาท้ายฟ้อง แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องก็ตามแต่ก็เป็นเพียงรายละเอียดแห่งคำฟ้องเท่านั้น มิใช่สภาพแห่งข้อหาในคำฟ้องอันจะต้องแสดงไว้โดยแจ้งชัด ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคหนึ่งการที่หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ระบุว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1กับพวก โดยมิได้ระบุให้แจ้งชัดว่าเป็นจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมแต่ประการใดไม่ เพราะตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยซึ่งรับสิทธิจากเจ้าของรถผู้เอาประกันภัยฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้ทำละเมิด จำเลยที่ 2 เจ้าของรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับ และจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวให้ร่วมกันรับผิดในมูลละเมิดที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อไปชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้โดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว และที่หนังสือมอบอำนาจระบุให้ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวก ก็ย่อมหมายถึงมอบอำนาจให้ฟ้องผู้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1คือจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย
ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับจำเลยที่ 3มีข้อตกลงว่าหากผู้เอารถไปใช้โดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัยแล้ว ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันนี้ไปทำละเมิดต่อรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัย จำเลยที่ 3ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีที่แนบมาท้ายฟ้อง แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องก็ตามแต่ก็เป็นเพียงรายละเอียดแห่งคำฟ้องเท่านั้น มิใช่สภาพแห่งข้อหาในคำฟ้องอันจะต้องแสดงไว้โดยแจ้งชัด ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคหนึ่งการที่หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ระบุว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1กับพวก โดยมิได้ระบุให้แจ้งชัดว่าเป็นจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมแต่ประการใดไม่ เพราะตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยซึ่งรับสิทธิจากเจ้าของรถผู้เอาประกันภัยฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้ทำละเมิด จำเลยที่ 2 เจ้าของรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับ และจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวให้ร่วมกันรับผิดในมูลละเมิดที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อไปชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้โดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว และที่หนังสือมอบอำนาจระบุให้ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวก ก็ย่อมหมายถึงมอบอำนาจให้ฟ้องผู้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1คือจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย
ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับจำเลยที่ 3มีข้อตกลงว่าหากผู้เอารถไปใช้โดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัยแล้ว ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันนี้ไปทำละเมิดต่อรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัย จำเลยที่ 3ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว
จำเลยกล่าวถ้อยคำต่อหน้าโจทก์ร่วมและลูกน้องของโจทก์ร่วมว่า"แม่มึงไม่ต้องไปฟัง กูจะเอาอย่างนี้ ถ้าเซ็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไรคุณเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร ทำงานไม่รับผิดชอบ ตัดสินปัญหาไม่ได้พอมีปัญหาก็โยนกันไปโยนกันมา คน ร.ส.พ. ทำงานกันอย่างนี้หรือ"โดยกล่าวในที่ทำงานของโจทก์ร่วมขณะที่โจทก์ร่วมกำลังปฏิบัติหน้าที่จึงเป็นการสบประมาทโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมอับอายขายหน้าเป็นการดูหมิ่นโจทก์ร่วมซึ่งหน้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393และเนื่องจากถ้อยคำดังกล่าวเป็นการวิจารณ์การทำงานของโจทก์ร่วมที่กล่าวต่อโจทก์ร่วมโดยตรง ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหมิ่นประมาทและดูหมิ่นซึ่งหน้านายสุวัฒิชัย ทองรัตน์ ผู้เสียหาย โดยพูดใส่ความผู้เสียหายต่อหน้าบุคคลที่สามว่า "แม่มึงไม่ต้องไปฟัง กูจะเอาอย่างนี้ ถ้าเซ็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คุณเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร ทำงานไม่รับผิดชอบตัดสินปัญหาไม่ได้ พอมีปัญหาก็โยนกันไปโยนกันมา คน ร.ส.พ.ทำงานอย่างนี้เองหรือ" ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 393, 90
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสุวัฒิชัย ทองรัตน์ ผู้เสียหาย ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมเพียงประการเดียวว่า ถ้อยคำที่จำเลยพูดต่อหน้าโจทก์ร่วมตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องนั้นจะเป็นการหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นซึ่งหน้าหรือไม่ ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าวันเกิดเหตุ จำเลยกับนายอำนวย พลเภรีย์ไปหาโจทก์ร่วมที่ห้องทำงานเพื่อให้โจทก์ร่วมลงนาม ในหนังสือรับรองการเบิกค่ารักษาพยาบาลของจำเลย โจทก์ร่วมให้นางสาวจินตนามีสุวรรณ์ นำไปตรวจสอบ จึงเกิดการโต้เถียงกัน จำเลยพูดขึ้นว่า"แม่มึงไม่ต้องไปฟัง กูจะเอาอย่างนี้ ถ้าเซ็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไรคุณเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร ทำงานไม่รับผิดชอบ ตัดสินปัญหาไม่ได้พอมีปัญหาก็โยนกันไปโยนมา คน ร.ส.พ.ทำงานกันอย่างนี้หรือเห็นว่า จำเลยกล่าวถ้อยคำดังกล่าวต่อหน้าโจทก์ร่วมในสถานที่ทำงานของโจทก์ร่วม และในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังปฏิบัติหน้าที่จึงเป็นการสบประมาทโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมอับอายขายหน้า จำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 แต่ถ้อยคำดังกล่าวข้างต้นเป็นการดูหมิ่นและวิจารณ์การทำงานของโจทก์ร่วมและกล่าวถึงโจทก์ร่วมโดยตรง ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393 ให้ลงโทษปรับจำเลย 1,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยกล่าวถ้อยคำต่อหน้าโจทก์ร่วมและลูกน้องของโจทก์ร่วมว่า"แม่มึงไม่ต้องไปฟัง กูจะเอาอย่างนี้ ถ้าเซ็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไรคุณเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร ทำงานไม่รับผิดชอบ ตัดสินปัญหาไม่ได้พอมีปัญหาก็โยนกันไปโยนกันมา คน ร.ส.พ. ทำงานกันอย่างนี้หรือ"โดยกล่าวในที่ทำงานของโจทก์ร่วมขณะที่โจทก์ร่วมกำลังปฏิบัติหน้าที่จึงเป็นการสบประมาทโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมอับอายขายหน้าเป็นการดูหมิ่นโจทก์ร่วมซึ่งหน้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393และเนื่องจากถ้อยคำดังกล่าวเป็นการวิจารณ์การทำงานของโจทก์ร่วมที่กล่าวต่อโจทก์ร่วมโดยตรง ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหมิ่นประมาทและดูหมิ่นซึ่งหน้านายสุวัฒิชัย ทองรัตน์ ผู้เสียหาย โดยพูดใส่ความผู้เสียหายต่อหน้าบุคคลที่สามว่า "แม่มึงไม่ต้องไปฟัง กูจะเอาอย่างนี้ ถ้าเซ็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คุณเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร ทำงานไม่รับผิดชอบตัดสินปัญหาไม่ได้ พอมีปัญหาก็โยนกันไปโยนกันมา คน ร.ส.พ.ทำงานอย่างนี้เองหรือ" ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 393, 90
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสุวัฒิชัย ทองรัตน์ ผู้เสียหาย ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมเพียงประการเดียวว่า ถ้อยคำที่จำเลยพูดต่อหน้าโจทก์ร่วมตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องนั้นจะเป็นการหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นซึ่งหน้าหรือไม่ ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าวันเกิดเหตุ จำเลยกับนายอำนวย พลเภรีย์ไปหาโจทก์ร่วมที่ห้องทำงานเพื่อให้โจทก์ร่วมลงนาม ในหนังสือรับรองการเบิกค่ารักษาพยาบาลของจำเลย โจทก์ร่วมให้นางสาวจินตนามีสุวรรณ์ นำไปตรวจสอบ จึงเกิดการโต้เถียงกัน จำเลยพูดขึ้นว่า"แม่มึงไม่ต้องไปฟัง กูจะเอาอย่างนี้ ถ้าเซ็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไรคุณเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร ทำงานไม่รับผิดชอบ ตัดสินปัญหาไม่ได้พอมีปัญหาก็โยนกันไปโยนมา คน ร.ส.พ.ทำงานกันอย่างนี้หรือเห็นว่า จำเลยกล่าวถ้อยคำดังกล่าวต่อหน้าโจทก์ร่วมในสถานที่ทำงานของโจทก์ร่วม และในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังปฏิบัติหน้าที่จึงเป็นการสบประมาทโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมอับอายขายหน้า จำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 แต่ถ้อยคำดังกล่าวข้างต้นเป็นการดูหมิ่นและวิจารณ์การทำงานของโจทก์ร่วมและกล่าวถึงโจทก์ร่วมโดยตรง ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393 ให้ลงโทษปรับจำเลย 1,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยกับ อ. ไปหาโจทก์ร่วมที่ห้องทำงานเพื่อให้โจทก์ร่วมลงนามในหนังสือรับรองการเบิกค่ารักษาพยาบาลของจำเลย โจทก์ร่วมให้ จ. นำไปตรวจสอบจึงเกิดการโต้เถียงกัน จำเลยพูดขึ้นว่า"แม่มึงไม่ต้องไปฟัง กูจะเอาอย่างนี้ ถ้าเซ็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไรคุณเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร ทำงานไม่รับผิดชอบ ตัดสินปัญหาไม่ได้พอมีปัญหาก็โยนกันไปโยนกันมา คน ร.ส.พ. ทำงานกันอย่างนี้หรือ"ต่อหน้าโจทก์ร่วมในขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ เป็นการสบประมาททำให้โจทก์ร่วมอับอายขายหน้า จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393 แต่ถ้อยคำดังกล่าวเป็นการดูหมิ่นและวิจารณ์การทำงานของโจทก์ร่วมและกล่าวถึงโจทก์ร่วมโดยตรง ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,393, 90
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสุวัฒิชัย ทองรัตน์ ผู้เสียหาย ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมเพียงประการเดียวว่า ถ้อยคำที่จำเลยพูดต่อหน้าโจทก์ร่วมตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องนั้นจะเป็นการหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นซึ่งหน้าหรือไม่ ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า วันเกิดเหตุ จำเลยกับนายอำนวย พลเภรีย์ไปหาโจทก์ร่วมที่ห้องทำงานเพื่อให้โจทก์ร่วมลงนามในหนังสือรับรองการเบิกค่ารักษาพยาบาลของจำเลย โจทก์ร่วมให้นางสาวจินตนา มีสุวรรณ์ นำไปตรวจสอบจึงเกิดการโต้เถียงกันจำเลยพูดขึ้นว่า "แม่มึงไม่ต้องไปฟัง กูจะเอาอย่างนี้ ถ้าเซ็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คุณเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร ทำงานไม่รับผิดชอบตัดสินปัญหาไม่ได้ พอมีปัญหาก็โยนกันไปโยนกันมา คน ร.ส.พ.ทำงานกันอย่างนี้หรือ" พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกล่าวถ้อยคำดังกล่าวต่อหน้าโจทก์ร่วม ในสถานที่ทำงานของโจทก์ร่วมและในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นการสบประมาทโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมอับอายขายหน้า จำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393แต่ถ้อยคำดังกล่าวข้างต้นเป็นการดูหมิ่นและวิจารณ์การทำงานของโจทก์ร่วมและกล่าวถึงโจทก์ร่วมโดยตรง ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ฎีกาโจทก์ร่วมฟังขึ้นบางส่วน"
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393 ให้ลงโทษปรับจำเลย 1,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยกับ อ. ไปหาโจทก์ร่วมที่ห้องทำงานเพื่อให้โจทก์ร่วมลงนามในหนังสือรับรองการเบิกค่ารักษาพยาบาลของจำเลย โจทก์ร่วมให้ จ. นำไปตรวจสอบจึงเกิดการโต้เถียงกัน จำเลยพูดขึ้นว่า"แม่มึงไม่ต้องไปฟัง กูจะเอาอย่างนี้ ถ้าเซ็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไรคุณเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร ทำงานไม่รับผิดชอบ ตัดสินปัญหาไม่ได้พอมีปัญหาก็โยนกันไปโยนกันมา คน ร.ส.พ. ทำงานกันอย่างนี้หรือ"ต่อหน้าโจทก์ร่วมในขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ เป็นการสบประมาททำให้โจทก์ร่วมอับอายขายหน้า จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393 แต่ถ้อยคำดังกล่าวเป็นการดูหมิ่นและวิจารณ์การทำงานของโจทก์ร่วมและกล่าวถึงโจทก์ร่วมโดยตรง ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,393, 90
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสุวัฒิชัย ทองรัตน์ ผู้เสียหาย ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมเพียงประการเดียวว่า ถ้อยคำที่จำเลยพูดต่อหน้าโจทก์ร่วมตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องนั้นจะเป็นการหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นซึ่งหน้าหรือไม่ ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า วันเกิดเหตุ จำเลยกับนายอำนวย พลเภรีย์ไปหาโจทก์ร่วมที่ห้องทำงานเพื่อให้โจทก์ร่วมลงนามในหนังสือรับรองการเบิกค่ารักษาพยาบาลของจำเลย โจทก์ร่วมให้นางสาวจินตนา มีสุวรรณ์ นำไปตรวจสอบจึงเกิดการโต้เถียงกันจำเลยพูดขึ้นว่า "แม่มึงไม่ต้องไปฟัง กูจะเอาอย่างนี้ ถ้าเซ็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คุณเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร ทำงานไม่รับผิดชอบตัดสินปัญหาไม่ได้ พอมีปัญหาก็โยนกันไปโยนกันมา คน ร.ส.พ.ทำงานกันอย่างนี้หรือ" พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกล่าวถ้อยคำดังกล่าวต่อหน้าโจทก์ร่วม ในสถานที่ทำงานของโจทก์ร่วมและในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นการสบประมาทโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมอับอายขายหน้า จำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393แต่ถ้อยคำดังกล่าวข้างต้นเป็นการดูหมิ่นและวิจารณ์การทำงานของโจทก์ร่วมและกล่าวถึงโจทก์ร่วมโดยตรง ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ฎีกาโจทก์ร่วมฟังขึ้นบางส่วน"
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393 ให้ลงโทษปรับจำเลย 1,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยกล่าวถ้อยคำต่อหน้าโจทก์ร่วมและลูกน้องของโจทก์ร่วมว่า"แม่มึงไม่ต้องไปฟัง กูจะเอาอย่างนี้ ถ้าเซ็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คุณเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร ทำงานไม่รับผิดชอบ ตัดสินปัญหาไม่ได้ พอมีปัญหาก็โยนกันไปโยนกันมา คนร.ส.พ.ทำงานกันอย่างนี้หรือ" โดยกล่าวในที่ทำงานของโจทก์ร่วมขณะที่โจทก์ร่วมกำลังปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นการสบประมาทโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมอับอายขายหน้าเป็นการดูหมิ่นโจทก์ร่วมซึ่งหน้า ตาม ป.อ. มาตรา 393 และเนื่องจากถ้อยคำดังกล่าวเป็นการวิจารณ์การทำงานของโจทก์ร่วมที่กล่าวต่อโจทก์ร่วมโดยตรง ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
จำเลยกล่าวถ้อยคำต่อหน้าโจทก์ร่วมและลูกน้องของโจทก์ร่วมว่า"แม่มึงไม่ต้องไปฟัง กูจะเอาอย่างนี้ ถ้าเซ็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คุณเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร ทำงานไม่รับผิดชอบ ตัดสินปัญหาไม่ได้ พอมีปัญหาก็โยนกันไปโยนกันมา คนร.ส.พ.ทำงานกันอย่างนี้หรือ" โดยกล่าวในที่ทำงานของโจทก์ร่วมขณะที่โจทก์ร่วมกำลังปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นการสบประมาทโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมอับอายขายหน้าเป็นการดูหมิ่นโจทก์ร่วมซึ่งหน้า ตาม ป.อ. มาตรา 393 และเนื่องจากถ้อยคำดังกล่าวเป็นการวิจารณ์การทำงานของโจทก์ร่วมที่กล่าวต่อโจทก์ร่วมโดยตรง ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
จำเลยใช้อุบายว่าจะให้เงินแก่ผู้ตายอายุ 16 ปีลวงให้ผู้ตายตามไปและปล่อยให้ผู้ตายอยู่กับชาย 2 คน ซึ่งเป็นพวกของจำเลยโดยเห็นแก่เงินซึ่งชายทั้งสองจะมอบให้แก่จำเลยเป็นการตอบแทน จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปี โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อค้ากำไร
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 58, 91, 288, 318 และบวกโทษของจำเลยที่รอการลงโทษไว้อีกคดีหนึ่งเข้าด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 318 วรรคสาม ลงโทษจำคุก 4 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ให้บวกโทษจำคุก 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 465/2534 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 เป็นจำคุก 2 ปี 14 เดือนให้ยกฟ้องโจทก์ข้อหาฆ่าผู้อื่น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสามเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยได้พรากผู้ตายซึ่งอายุ 16 ปี ไปจากความปกครองของนายป้อและนางเสงี่ยมบิดามารดาผู้ตาย โดยจำเลยใช้อุบายว่าจะให้เงินแก่ผู้ตาย ให้ผู้ตายตามไปและปล่อยให้ผู้ตายอยู่กับชาย 2 คน ซึ่งเป็นพวกของจำเลยโดยเห็นแก่เงินซึ่งชายทั้งสองจะมอบให้แก่จำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปี โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อค้ากำไร จริงตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 318 วรรคสาม นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยใช้อุบายว่าจะให้เงินแก่ผู้ตายอายุ 16 ปีลวงให้ผู้ตายตามไปและปล่อยให้ผู้ตายอยู่กับชาย 2 คน ซึ่งเป็นพวกของจำเลยโดยเห็นแก่เงินซึ่งชายทั้งสองจะมอบให้แก่จำเลยเป็นการตอบแทน จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปี โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อค้ากำไร
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 58, 91, 288, 318 และบวกโทษของจำเลยที่รอการลงโทษไว้อีกคดีหนึ่งเข้าด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 318 วรรคสาม ลงโทษจำคุก 4 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ให้บวกโทษจำคุก 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 465/2534 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 เป็นจำคุก 2 ปี 14 เดือนให้ยกฟ้องโจทก์ข้อหาฆ่าผู้อื่น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสามเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยได้พรากผู้ตายซึ่งอายุ 16 ปี ไปจากความปกครองของนายป้อและนางเสงี่ยมบิดามารดาผู้ตาย โดยจำเลยใช้อุบายว่าจะให้เงินแก่ผู้ตาย ให้ผู้ตายตามไปและปล่อยให้ผู้ตายอยู่กับชาย 2 คน ซึ่งเป็นพวกของจำเลยโดยเห็นแก่เงินซึ่งชายทั้งสองจะมอบให้แก่จำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปี โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อค้ากำไร จริงตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 318 วรรคสาม นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยใช้อุบายว่าจะให้เงินแก่ผู้ตายอายุ 16 ปีลวงให้ผู้ตายตามไปและปล่อยให้ผู้ตายอยู่กับชาย 2 คน ซึ่งเป็นพวกของจำเลยโดยเห็นแก่เงินซึ่งชายทั้งสองจะมอบให้แก่จำเลยเป็นการตอบแทน จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปี โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อค้ากำไร
จำเลยใช้อุบายว่าจะให้เงินแก่ผู้ตายอายุ 16 ปีลวงให้ผู้ตายตามไปและปล่อยให้ผู้ตายอยู่กับชาย 2 คน ซึ่งเป็นพวกของจำเลยโดยเห็นแก่เงินซึ่งชายทั้งสองจะมอบให้แก่จำเลยเป็นการตอบแทน จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปี โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อค้ากำไร
การกระทำของจำเลยเป็นแต่เพียงความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายด้วยประการใด ๆ ซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยมิได้รับอนุญาตเท่านั้น ดังนั้นเทปของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนและจำหน่ายซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ โดยทำเป็นธุรกิจและได้รับประโยชน์ตอบแทนด้วยการคิดค่าบริการในรูปของค่าธรรมเนียมสมาชิกจากลูกค้า โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนกลางและไม่มีเหตุได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมายอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ พร้อมด้วยเทป 159 ม้วนซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้และมีไว้ใช้ในการกระทำผิดดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ.2530มาตรา 4, 6, 34 จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน ปรับ 2,100 บาท โทษจำคุกเห็นสมควรรอไว้มีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ของกลางไม่ริบ
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้สั่งริบของกลางโดยรองอัยการสูงสุดรักษาราชการแทนอัยการสูงสุด รับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นแต่เพียงความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายด้วยประการใด ๆ ซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนตามกฎหมาย ซึ่งความผิดฐานนี้เกิดจากการที่จำเลยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ดังนั้นเทปของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์ซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
พิพากษายืน
การกระทำของจำเลยเป็นแต่เพียงความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายด้วยประการใด ๆ ซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยมิได้รับอนุญาตเท่านั้น ดังนั้นเทปของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนและจำหน่ายซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ โดยทำเป็นธุรกิจและได้รับประโยชน์ตอบแทนด้วยการคิดค่าบริการในรูปของค่าธรรมเนียมสมาชิกจากลูกค้า โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนกลางและไม่มีเหตุได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมายอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ พร้อมด้วยเทป 159 ม้วนซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้และมีไว้ใช้ในการกระทำผิดดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ.2530มาตรา 4, 6, 34 จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน ปรับ 2,100 บาท โทษจำคุกเห็นสมควรรอไว้มีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ของกลางไม่ริบ
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้สั่งริบของกลางโดยรองอัยการสูงสุดรักษาราชการแทนอัยการสูงสุด รับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นแต่เพียงความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายด้วยประการใด ๆ ซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนตามกฎหมาย ซึ่งความผิดฐานนี้เกิดจากการที่จำเลยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ดังนั้นเทปของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์ซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
พิพากษายืน
การกระทำของจำเลยเป็นแต่เพียงความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายด้วยประการใด ๆ ซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยมิได้รับอนุญาตเท่านั้น ดังนั้นเทปของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)
การกระทำของจำเลยเป็นแต่เพียงความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายด้วยประการใด ๆ ซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยมิได้รับอนุญาตเท่านั้น ดังนั้นเทปของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)
เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพียงกระทงเดียวไม่มีทางที่จำเลยจะมีความผิดฐานเสพเฮโรอีนหรือเสพกัญชา เพราะไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ จึงไม่อาจฟังได้ว่าบ้องกัญชาของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดศาลย่อมไม่มีอำนาจริบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 67, 102 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67 ให้จำคุก 1 ปี จำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมประพฤติจำเลยโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติสองเดือนต่อครั้งมีกำหนด 1 ปี และไม่ริบบ้องกัญชาของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตเพียงกระทงเดียว ไม่มีทางที่จำเลยจะกระทำผิดฐานเสพเฮโรอีนหรือเสพกัญชาได้เลย เพราะไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ การมีบ้องกัญชาของกลางไว้ก็เพื่อกระทำผิดฐานเสพเฮโรอีนหรือเสพกัญชา แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องข้อเท็จจริงก็ไม่อาจฟังได้ว่าบ้องกัญชาเป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดฐานที่โจทก์ฟ้องเพราะไม่เกี่ยวกับการมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต บ้องกัญชาของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดคดีนี้ ศาลย่อมไม่มีอำนาจริบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาไม่ริบบ้องกัญชาของกลางนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพียงกระทงเดียวไม่มีทางที่จำเลยจะมีความผิดฐานเสพเฮโรอีนหรือเสพกัญชา เพราะไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ จึงไม่อาจฟังได้ว่าบ้องกัญชาของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดศาลย่อมไม่มีอำนาจริบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 67, 102 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67 ให้จำคุก 1 ปี จำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมประพฤติจำเลยโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติสองเดือนต่อครั้งมีกำหนด 1 ปี และไม่ริบบ้องกัญชาของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตเพียงกระทงเดียว ไม่มีทางที่จำเลยจะกระทำผิดฐานเสพเฮโรอีนหรือเสพกัญชาได้เลย เพราะไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ การมีบ้องกัญชาของกลางไว้ก็เพื่อกระทำผิดฐานเสพเฮโรอีนหรือเสพกัญชา แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องข้อเท็จจริงก็ไม่อาจฟังได้ว่าบ้องกัญชาเป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดฐานที่โจทก์ฟ้องเพราะไม่เกี่ยวกับการมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต บ้องกัญชาของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดคดีนี้ ศาลย่อมไม่มีอำนาจริบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาไม่ริบบ้องกัญชาของกลางนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพียงกระทงเดียวไม่มีทางที่จำเลยจะมีความผิดฐานเสพเฮโรอีนหรือเสพกัญชา เพราะไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ จึงไม่อาจฟังได้ว่าบ้องกัญชาของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดศาลย่อมไม่มีอำนาจริบ
เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพียงกระทงเดียวไม่มีทางที่จำเลยจะมีความผิดฐานเสพเฮโรอีนหรือเสพกัญชา เพราะไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ จึงไม่อาจฟังได้ว่าบ้องกัญชาของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดศาลย่อมไม่มีอำนาจริบ
โจทก์ บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ก่อสร้าง ดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ.2522มาตรา21,22และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ.2522หมวด4ข้อ30และขัดต่อกฎกระทรวงฉบับที่7(พ.ศ.2517)ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างพ.ศ.2479และการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารนั้นทำให้อาคารของจำเลยมีสภาพหรือการใช้อาจเป็นภยันตรายต่อชีวิตร่างกายสุขภาพหรือทรัพย์หรือไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัยอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ.2522และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ.2522ดังกล่าวแล้วโจทก์จึงไม่อาจออกใบอนุญาตให้จำเลยก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารได้โจทก์เคยมีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตมาตั้งแต่พ.ศ.2525,พ.ศ.2528และพ.ศ.2529แต่จำเลยไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งของโจทก์ซึ่งเป็น เจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงได้ฟ้องต่อศาลคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำฟ้องที่ร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ.2522มาตรา42(เดิม)ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นแล้ว จำเลยกระทำการ ต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ.2522หมวด4ข้อ30ทั้งขัดต่อกฎกระทรวงฉบับที่7(พ.ศ.2517)ออกตามความในพระราชบัญญัติ ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2479เช่นอาคารพิพาทไม่มีที่จอดรถยนต์ที่ถูกต้องและเพียงพอทำให้โจทก์ออกใบอนุญาตให้ไม่ได้อาคารที่จำเลยต่อเติมดัดแปลงจึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงดังกล่าวได้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทและร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนอาคารพิพาทได้ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ.2522มาตรา42วรรคแรกและวรรคสาม(เดิม)ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงหาใช่เป็นการวินิจฉัยและพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ บังคับ จำเลย รื้อถอน อาคาร ส่วน ที่ ปลูกสร้างดัดแปลง ต่อเติม นอกเหนือ ไป จาก แบบแปลน ที่ ได้ อนุญาต โดย ส่วน ที่ดัดแปลง ต่อเติม นี้ โจทก์ ไม่อาจ ออก ใบอนุญาต ให้ จำเลย ก่อสร้าง หรือดัดแปลง อาคาร ได้ ถ้า จำเลย ไม่ยอม รื้อถอน ให้ โจทก์ รื้อถอน ได้เองตาม พระราชบัญญัติ ควบคุม อาคาร พ.ศ. 2522 โดย จำเลย เป็น ผู้ เสียค่าใช้จ่าย
จำเลย ให้การ ว่า โจทก์ ไม่มี อำนาจฟ้อง ให้ จำเลย รื้อถอน อาคารส่วน ที่ ปลูกสร้าง ดัดแปลง ต่อเติม ตาม ฟ้อง ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุมกล่าว คือ โจทก์ ไม่ได้ บรรยายฟ้อง ว่า ใช้ สิทธิ ตาม กฎหมาย ใด และ มาตรา ใดมา ฟ้องร้อง บังคับ ให้ จำเลย รื้อถอน จำเลย ยื่น ขออนุญาต ก่อสร้าง ดัดแปลงต่อเติม อาคาร ตาม ฟ้อง ถูกต้อง ตาม ขั้นตอน ตาม พระราชบัญญัติ ควบคุม อาคารพ.ศ. 2522 และ ตาม ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุม การ ก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ไว้ เรียบร้อย แล้ว ขณะ นี้ อยู่ ใน ระหว่าง การ พิจารณาอนุญาต ของ โจทก์ โจทก์ จึง ไม่มี อำนาจฟ้อง จำเลย อีก ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ให้ จำเลย รื้อถอน อาคาร ส่วน ที่ก่อสร้าง ดัดแปลง ต่อเติม ตาม ฟ้อง คือ อาคาร ชั้น ที่ 9 ขนาด อาคาร13 x 40.60 เมตร และ 13 x 19 เมตร สูง 2.50 เมตร อาคาร ขนาด7.60 x 13 เมตร สูง 23.50 เมตร (9 ชั้น ดาดฟ้า ) ที่ ติดต่อ กับอาคาร 8 ชั้น เดิม ผนัง อิฐ ชั้นล่าง ของ อาคาร 8 ชั้น ซึ่ง เดิม เป็นที่ว่าง สำหรับ จอดรถยนต์ ที่ จำเลย กั้น จัด เป็น ห้อง ๆ และ อาคาร ขนาด1.50 x 5 เมตร สูง 2.50 เมตร หลังคา คอนกรีต ติดกับ อาคาร 8 ชั้น เดิมตาม บริเวณ ที่ ขีด เส้น สีแดง ใน เอกสาร หมาย จ. 8 หาก จำเลย ไม่ยอม รื้อถอนให้ โจทก์ รื้อถอน ได้เอง โดย จำเลย เป็น ผู้ เสีย ค่าใช้จ่าย ตามพระราชบัญญัติ ควบคุม อาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า ข้อเท็จจริง เบื้องต้น ฟังได้ ว่า จำเลยเป็น เจ้าของ และ ผู้ครอบครอง อาคาร ที่อยู่อาศัย 8 ชั้น ดาดฟ้า จำนวน1 หลัง ซึ่ง ปลูก อยู่ ใน ที่ดิน ของ นาย รัฐธรรมนูญ จำนงภูมิเวท โดย โจทก์ อนุญาต ให้ จำเลย ปลูกสร้าง อาคาร ดังกล่าว ได้ แต่ จำเลย ต่อเติมอาคาร เป็น ชั้น ที่ 9 ขนาด กว้าง 13 เมตร ยาว 40.60 เมตร และ13 x 19 เมตร สูง ประมาณ 2.50 เมตร เต็ม ดาดฟ้า รูป ตัว แอล จำเลยก่อสร้าง อาคาร ขนาด 7.60 เมตร x 13 เมตร สูง ประมาณ 23.50 เมตรก่อสร้าง อาคาร ขนาด 1.50 เมตร x 5 เมตร สูง 2.50 เมตร และ ก่อ อิฐฉาบปูน ผนัง ชั้นล่าง ของ อาคาร ซึ่ง เดิม ใช้ เป็น ที่จอดรถยนต์ ทำให้ อาคารของ จำเลย ไม่มี ที่จอดรถยนต์ จำเลย กระทำ ไป โดย ไม่ได้ รับ อนุญาต จาก โจทก์โจทก์ มี หนังสือ แจ้ง คำสั่ง ให้ จำเลย รื้อถอน อาคาร ส่วน ที่ ก่อสร้างต่อเติม โดย ไม่ได้ รับ อนุญาต จำเลย ได้รับ หนังสือ ของ โจทก์ แล้วแต่ จำเลย ไม่ปฏิบัติ ตาม คำสั่ง ดังกล่าว
ข้อ ที่ จำเลย ฎีกา ว่า โจทก์ หา ได้ บรรยายฟ้อง ระบุ ว่าการ ก่อสร้างดัดแปลง ต่อเติม อาคาร โดย ไม่ได้ รับ อนุญาต ของ จำเลย ไม่สามารถ แก้ไขเปลี่ยนแปลง ให้ ถูกต้อง ตาม กฎกระทรวง และ ข้อ บัญญัติ ท้องถิ่น ได้อัน จะ เป็นเหตุ ให้ โจทก์ สั่ง ให้ รื้อถอน หรือ ร้องขอ ต่อ ศาล ให้ บังคับให้ มี การ รื้อถอน ได้ ตาม มาตรา 42 แห่ง พระราชบัญญัติ ควบคุม อาคารพ.ศ. 2522 ที่ ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย ว่า การ ก่อสร้าง ดัดแปลง ต่อเติมอาคาร ของ จำเลย ไม่สามารถ แก้ไข เปลี่ยนแปลง ให้ ถูกต้อง ตาม กฎกระทรวงจึง เป็น การ พิพากษา นอกฟ้อง นอกประเด็น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถึง แม้ ว่าการ ก่อสร้าง ดัดแปลง ต่อเติม อาคาร ของ จำเลย ไม่ได้ รับ อนุญาต จาก โจทก์และ ขัด ต่อ กฎกระทรวง ก็ ตาม แต่ ก็ หาใช่ ว่าการ กระทำ ของ จำเลย ไม่สามารถแก้ไข เปลี่ยนแปลง ให้ ถูกต้อง ได้ เห็นว่า โจทก์ บรรยายฟ้อง ว่า จำเลยได้ กระทำการ ก่อสร้าง ดัดแปลง ต่อเติม อาคาร โดย ไม่ได้ รับ อนุญาตเป็น การ ฝ่าฝืน พระราชบัญญัติ ควบคุม อาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21, 22และ ขัด ต่อ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ. 2522 หมวด 4 ข้อ 30 และ ขัด ต่อ กฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2517)ออก ตาม ความใน พระราชบัญญัติ ควบคุม การ ก่อสร้าง พ.ศ. 2479 และการ ก่อสร้าง ดัดแปลง ต่อเติม อาคาร นั้น ทำให้ อาคาร ของ จำเลย มี สภาพหรือ การ ใช้ อาจ เป็น ภยันตราย ต่อ ชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรือ ทรัพย์หรือไม่ ปลอดภัย จาก อัคคีภัย อันเป็น การ ฝ่าฝืน พระราชบัญญัติ ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 และ ขัด ต่อ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ดังกล่าว แล้ว โจทก์ จึงไม่อาจ ออก ใบอนุญาต ให้ จำเลย ก่อสร้าง หรือ ดัดแปลง อาคาร ได้ โจทก์ เคยมี คำสั่ง เป็น หนังสือ ให้ จำเลย รื้อถอน อาคาร ที่ ต่อเติม โดย ไม่ได้ รับอนุญาต มา ตั้งแต่ พ.ศ. 2525, พ.ศ. 2528 และ พ.ศ. 2529 แต่ จำเลยไม่ปฏิบัติ การ ให้ เป็น ไป ตาม คำสั่ง ของ โจทก์ ซึ่ง เป็น เจ้าพนักงานท้องถิ่น จึง ได้ ฟ้อง ต่อ ศาล เห็นว่า ตาม คำบรรยายฟ้อง ของ โจทก์ ดังกล่าวเป็น คำฟ้อง ที่ ร้องขอ ต่อ ศาล ให้ บังคับ ให้ มี การ รื้อถอน ตาม พระราชบัญญัติควบคุม อาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42 (เดิม ) ซึ่ง เป็น กฎหมาย ที่ ใช้บังคับ ใน ขณะ นั้น แล้ว และ ข้อเท็จจริง ฟังได้ ว่า จำเลย กระทำการ ต่อเติมอาคาร โดย ไม่ได้ รับ อนุญาต ขัด ต่อ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 หมวด 4 ข้อ 30 ทั้ง ขัด ต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2517) ออก ตาม ความใน พระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2479 เช่น อาคาร พิพาท ไม่มี ที่จอดรถยนต์ ที่ ถูกต้อง และ เพียงพอ ทำให้ โจทก์ ออก ใบอนุญาต ให้ ไม่ได้อาคาร ที่ จำเลย ต่อเติม ดัดแปลง จึง ไม่สามารถ แก้ไข เปลี่ยนแปลง ให้ ถูกต้องตาม กฎกระทรวง ดังกล่าว ได้ โจทก์ ซึ่ง เป็น เจ้าพนักงาน ท้องถิ่นจึง มีอำนาจ สั่ง ให้ จำเลย รื้อถอน อาคาร พิพาท และ ร้องขอ ต่อ ศาล ให้ บังคับให้ มี การ รื้อถอน อาคาร พิพาท ได้ ตาม พระราชบัญญัติ ควบคุม อาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 42 วรรคแรก และ วรรคสาม (เดิม ) ที่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ดัง ที่ จำเลย ฎีกา หาใช่ เป็น การ วินิจฉัย และ พิพากษา นอกฟ้องนอกประเด็น ไม่ ทั้ง เป็น การ วินิจฉัย ที่ชอบ แล้ว
พิพากษายืน
โจทก์ บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ก่อสร้าง ดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ.2522มาตรา21,22และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ.2522หมวด4ข้อ30และขัดต่อกฎกระทรวงฉบับที่7(พ.ศ.2517)ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างพ.ศ.2479และการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารนั้นทำให้อาคารของจำเลยมีสภาพหรือการใช้อาจเป็นภยันตรายต่อชีวิตร่างกายสุขภาพหรือทรัพย์หรือไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัยอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ.2522และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ.2522ดังกล่าวแล้วโจทก์จึงไม่อาจออกใบอนุญาตให้จำเลยก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารได้โจทก์เคยมีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตมาตั้งแต่พ.ศ.2525,พ.ศ.2528และพ.ศ.2529แต่จำเลยไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งของโจทก์ซึ่งเป็น เจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงได้ฟ้องต่อศาลคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำฟ้องที่ร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ.2522มาตรา42(เดิม)ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นแล้ว จำเลยกระทำการ ต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ.2522หมวด4ข้อ30ทั้งขัดต่อกฎกระทรวงฉบับที่7(พ.ศ.2517)ออกตามความในพระราชบัญญัติ ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2479เช่นอาคารพิพาทไม่มีที่จอดรถยนต์ที่ถูกต้องและเพียงพอทำให้โจทก์ออกใบอนุญาตให้ไม่ได้อาคารที่จำเลยต่อเติมดัดแปลงจึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงดังกล่าวได้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทและร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนอาคารพิพาทได้ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ.2522มาตรา42วรรคแรกและวรรคสาม(เดิม)ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงหาใช่เป็นการวินิจฉัยและพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ บังคับ จำเลย รื้อถอน อาคาร ส่วน ที่ ปลูกสร้างดัดแปลง ต่อเติม นอกเหนือ ไป จาก แบบแปลน ที่ ได้ อนุญาต โดย ส่วน ที่ดัดแปลง ต่อเติม นี้ โจทก์ ไม่อาจ ออก ใบอนุญาต ให้ จำเลย ก่อสร้าง หรือดัดแปลง อาคาร ได้ ถ้า จำเลย ไม่ยอม รื้อถอน ให้ โจทก์ รื้อถอน ได้เองตาม พระราชบัญญัติ ควบคุม อาคาร พ.ศ. 2522 โดย จำเลย เป็น ผู้ เสียค่าใช้จ่าย
จำเลย ให้การ ว่า โจทก์ ไม่มี อำนาจฟ้อง ให้ จำเลย รื้อถอน อาคารส่วน ที่ ปลูกสร้าง ดัดแปลง ต่อเติม ตาม ฟ้อง ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุมกล่าว คือ โจทก์ ไม่ได้ บรรยายฟ้อง ว่า ใช้ สิทธิ ตาม กฎหมาย ใด และ มาตรา ใดมา ฟ้องร้อง บังคับ ให้ จำเลย รื้อถอน จำเลย ยื่น ขออนุญาต ก่อสร้าง ดัดแปลงต่อเติม อาคาร ตาม ฟ้อง ถูกต้อง ตาม ขั้นตอน ตาม พระราชบัญญัติ ควบคุม อาคารพ.ศ. 2522 และ ตาม ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุม การ ก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ไว้ เรียบร้อย แล้ว ขณะ นี้ อยู่ ใน ระหว่าง การ พิจารณาอนุญาต ของ โจทก์ โจทก์ จึง ไม่มี อำนาจฟ้อง จำเลย อีก ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ให้ จำเลย รื้อถอน อาคาร ส่วน ที่ก่อสร้าง ดัดแปลง ต่อเติม ตาม ฟ้อง คือ อาคาร ชั้น ที่ 9 ขนาด อาคาร13 x 40.60 เมตร และ 13 x 19 เมตร สูง 2.50 เมตร อาคาร ขนาด7.60 x 13 เมตร สูง 23.50 เมตร (9 ชั้น ดาดฟ้า ) ที่ ติดต่อ กับอาคาร 8 ชั้น เดิม ผนัง อิฐ ชั้นล่าง ของ อาคาร 8 ชั้น ซึ่ง เดิม เป็นที่ว่าง สำหรับ จอดรถยนต์ ที่ จำเลย กั้น จัด เป็น ห้อง ๆ และ อาคาร ขนาด1.50 x 5 เมตร สูง 2.50 เมตร หลังคา คอนกรีต ติดกับ อาคาร 8 ชั้น เดิมตาม บริเวณ ที่ ขีด เส้น สีแดง ใน เอกสาร หมาย จ. 8 หาก จำเลย ไม่ยอม รื้อถอนให้ โจทก์ รื้อถอน ได้เอง โดย จำเลย เป็น ผู้ เสีย ค่าใช้จ่าย ตามพระราชบัญญัติ ควบคุม อาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า ข้อเท็จจริง เบื้องต้น ฟังได้ ว่า จำเลยเป็น เจ้าของ และ ผู้ครอบครอง อาคาร ที่อยู่อาศัย 8 ชั้น ดาดฟ้า จำนวน1 หลัง ซึ่ง ปลูก อยู่ ใน ที่ดิน ของ นาย รัฐธรรมนูญ จำนงภูมิเวท โดย โจทก์ อนุญาต ให้ จำเลย ปลูกสร้าง อาคาร ดังกล่าว ได้ แต่ จำเลย ต่อเติมอาคาร เป็น ชั้น ที่ 9 ขนาด กว้าง 13 เมตร ยาว 40.60 เมตร และ13 x 19 เมตร สูง ประมาณ 2.50 เมตร เต็ม ดาดฟ้า รูป ตัว แอล จำเลยก่อสร้าง อาคาร ขนาด 7.60 เมตร x 13 เมตร สูง ประมาณ 23.50 เมตรก่อสร้าง อาคาร ขนาด 1.50 เมตร x 5 เมตร สูง 2.50 เมตร และ ก่อ อิฐฉาบปูน ผนัง ชั้นล่าง ของ อาคาร ซึ่ง เดิม ใช้ เป็น ที่จอดรถยนต์ ทำให้ อาคารของ จำเลย ไม่มี ที่จอดรถยนต์ จำเลย กระทำ ไป โดย ไม่ได้ รับ อนุญาต จาก โจทก์โจทก์ มี หนังสือ แจ้ง คำสั่ง ให้ จำเลย รื้อถอน อาคาร ส่วน ที่ ก่อสร้างต่อเติม โดย ไม่ได้ รับ อนุญาต จำเลย ได้รับ หนังสือ ของ โจทก์ แล้วแต่ จำเลย ไม่ปฏิบัติ ตาม คำสั่ง ดังกล่าว
ข้อ ที่ จำเลย ฎีกา ว่า โจทก์ หา ได้ บรรยายฟ้อง ระบุ ว่าการ ก่อสร้างดัดแปลง ต่อเติม อาคาร โดย ไม่ได้ รับ อนุญาต ของ จำเลย ไม่สามารถ แก้ไขเปลี่ยนแปลง ให้ ถูกต้อง ตาม กฎกระทรวง และ ข้อ บัญญัติ ท้องถิ่น ได้อัน จะ เป็นเหตุ ให้ โจทก์ สั่ง ให้ รื้อถอน หรือ ร้องขอ ต่อ ศาล ให้ บังคับให้ มี การ รื้อถอน ได้ ตาม มาตรา 42 แห่ง พระราชบัญญัติ ควบคุม อาคารพ.ศ. 2522 ที่ ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย ว่า การ ก่อสร้าง ดัดแปลง ต่อเติมอาคาร ของ จำเลย ไม่สามารถ แก้ไข เปลี่ยนแปลง ให้ ถูกต้อง ตาม กฎกระทรวงจึง เป็น การ พิพากษา นอกฟ้อง นอกประเด็น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถึง แม้ ว่าการ ก่อสร้าง ดัดแปลง ต่อเติม อาคาร ของ จำเลย ไม่ได้ รับ อนุญาต จาก โจทก์และ ขัด ต่อ กฎกระทรวง ก็ ตาม แต่ ก็ หาใช่ ว่าการ กระทำ ของ จำเลย ไม่สามารถแก้ไข เปลี่ยนแปลง ให้ ถูกต้อง ได้ เห็นว่า โจทก์ บรรยายฟ้อง ว่า จำเลยได้ กระทำการ ก่อสร้าง ดัดแปลง ต่อเติม อาคาร โดย ไม่ได้ รับ อนุญาตเป็น การ ฝ่าฝืน พระราชบัญญัติ ควบคุม อาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21, 22และ ขัด ต่อ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ. 2522 หมวด 4 ข้อ 30 และ ขัด ต่อ กฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2517)ออก ตาม ความใน พระราชบัญญัติ ควบคุม การ ก่อสร้าง พ.ศ. 2479 และการ ก่อสร้าง ดัดแปลง ต่อเติม อาคาร นั้น ทำให้ อาคาร ของ จำเลย มี สภาพหรือ การ ใช้ อาจ เป็น ภยันตราย ต่อ ชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรือ ทรัพย์หรือไม่ ปลอดภัย จาก อัคคีภัย อันเป็น การ ฝ่าฝืน พระราชบัญญัติ ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 และ ขัด ต่อ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ดังกล่าว แล้ว โจทก์ จึงไม่อาจ ออก ใบอนุญาต ให้ จำเลย ก่อสร้าง หรือ ดัดแปลง อาคาร ได้ โจทก์ เคยมี คำสั่ง เป็น หนังสือ ให้ จำเลย รื้อถอน อาคาร ที่ ต่อเติม โดย ไม่ได้ รับอนุญาต มา ตั้งแต่ พ.ศ. 2525, พ.ศ. 2528 และ พ.ศ. 2529 แต่ จำเลยไม่ปฏิบัติ การ ให้ เป็น ไป ตาม คำสั่ง ของ โจทก์ ซึ่ง เป็น เจ้าพนักงานท้องถิ่น จึง ได้ ฟ้อง ต่อ ศาล เห็นว่า ตาม คำบรรยายฟ้อง ของ โจทก์ ดังกล่าวเป็น คำฟ้อง ที่ ร้องขอ ต่อ ศาล ให้ บังคับ ให้ มี การ รื้อถอน ตาม พระราชบัญญัติควบคุม อาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42 (เดิม ) ซึ่ง เป็น กฎหมาย ที่ ใช้บังคับ ใน ขณะ นั้น แล้ว และ ข้อเท็จจริง ฟังได้ ว่า จำเลย กระทำการ ต่อเติมอาคาร โดย ไม่ได้ รับ อนุญาต ขัด ต่อ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 หมวด 4 ข้อ 30 ทั้ง ขัด ต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2517) ออก ตาม ความใน พระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2479 เช่น อาคาร พิพาท ไม่มี ที่จอดรถยนต์ ที่ ถูกต้อง และ เพียงพอ ทำให้ โจทก์ ออก ใบอนุญาต ให้ ไม่ได้อาคาร ที่ จำเลย ต่อเติม ดัดแปลง จึง ไม่สามารถ แก้ไข เปลี่ยนแปลง ให้ ถูกต้องตาม กฎกระทรวง ดังกล่าว ได้ โจทก์ ซึ่ง เป็น เจ้าพนักงาน ท้องถิ่นจึง มีอำนาจ สั่ง ให้ จำเลย รื้อถอน อาคาร พิพาท และ ร้องขอ ต่อ ศาล ให้ บังคับให้ มี การ รื้อถอน อาคาร พิพาท ได้ ตาม พระราชบัญญัติ ควบคุม อาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 42 วรรคแรก และ วรรคสาม (เดิม ) ที่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ดัง ที่ จำเลย ฎีกา หาใช่ เป็น การ วินิจฉัย และ พิพากษา นอกฟ้องนอกประเด็น ไม่ ทั้ง เป็น การ วินิจฉัย ที่ชอบ แล้ว
พิพากษายืน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21,22 และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522หมวด 4 ข้อ 30 และขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2517) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง พ.ศ. 2479 และการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารนั้นทำให้อาคารของจำเลยมีสภาพหรือการใช้อาจเป็นภยันตรายต่อชีวิต ร่างกายสุขภาพหรือทรัพย์ หรือไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ. 2522 ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่อาจออกใบอนุญาตให้จำเลยก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารได้ โจทก์เคยมีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตมาตั้งแต่ พ.ศ. 2525, พ.ศ. 2528และ พ.ศ. 2529 แต่จำเลยไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงได้ฟ้องต่อศาลคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำฟ้องที่ร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42(เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นแล้ว จำเลยกระทำการต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522หมวด 4 ข้อ 30 ทั้งขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2517) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2479 เช่นอาคารพิพาทไม่มีที่จอดรถยนต์ ที่ถูกต้องและเพียงพอ ทำให้โจทก์ออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ อาคารที่จำเลยต่อเติมดัดแปลง จึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงดังกล่าวได้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทและร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนอาคารพิพาทได้ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42 วรรคแรก และวรรคสาม (เดิม) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงหาใช่เป็นการวินิจฉัยและพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่
โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่ปลูกสร้างดัดแปลงต่อเติมนอกเหนือไปจากแบบแปลนที่ได้อนุญาตโดยส่วนที่ดัดแปลงต่อเติมนี้ โจทก์ไม่อาจออกใบอนุญาตให้จำเลยก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารได้ ถ้าจำเลยไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนได้เองตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่ปลูกสร้างดัดแปลงต่อเติมตามฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมกล่าวคือโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าใช้สิทธิตามกฎหมายใด และมาตราใดมาฟ้องร้องบังคับให้จำเลยรื้อถอน จำเลยยื่นขออนุญาตก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารตามฟ้องถูกต้องตามขั้นตอน ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 และตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ไว้เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาอนุญาตของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยอีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่ก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมตามฟ้อง คืออาคารชั้นที่ 9 ขนาดอาคาร13 x 40.60 เมตร และ 13 x 19 เมตร สูง 2.50 เมตร อาคารขนาด7.60 x 13 เมตร สูง 23.50 เมตร (9 ชั้น ดาดฟ้า) ที่ติดต่อกับอาคาร 8 ชั้นเดิม ผนังอิฐชั้นล่างของอาคาร 8 ชั้น ซึ่งเดิมเป็นที่ว่างสำหรับจอดรถยนต์ที่จำเลยกั้นจัดเป็นห้อง ๆ และอาคารขนาด1.50 x 5 เมตร สูง 2.50 เมตร หลังคาคอนกรีตติดกับอาคาร 8 ชั้นเดิมตามบริเวณที่ขีดเส้นสีแดงในเอกสารหมาย จ.8 หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารที่อยู่อาศัย 8 ชั้น ดาดฟ้าจำนวน1 หลัง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของนายรัฐธรรมนูญ จำนงภูมิเวทโดยโจทก์อนุญาตให้จำเลยปลูกสร้างอาคารดังกล่าวได้ แต่จำเลยต่อเติมอาคารเป็นชั้นที่ 9 ขนาดกว้าง 13 เมตร ยาว 40.60 เมตร และ13 x 19 เมตร สูงประมาณ 2.50 เมตร เต็มดาดฟ้ารูปตัวแอล จำเลยก่อสร้างอาคารขนาด 7.60 เมตร x 13 เมตร สูงประมาณ 23.50 เมตรก่อสร้างอาคารขนาด 1.50 เมตร x 5 เมตร สูง 2.50 เมตร และก่ออิฐฉาบปูนผนังชั้นล่างของอาคารซึ่งเดิมใช้เป็นที่จอดรถยนต์ ทำให้อาคารของจำเลยไม่มีที่จอดรถยนต์ จำเลยกระทำไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์โจทก์มีหนังสือแจ้งคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่ก่อสร้างต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยได้รับหนังสือของโจทก์แล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์หาได้บรรยายฟ้องระบุว่าการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงและข้อบัญญัติท้องถิ่นได้อันจะเป็นเหตุให้โจทก์สั่งให้รื้อถอนหรือร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนได้ ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงจึงเป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถึงแม้ว่าการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารของจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์และขัดต่อกฎกระทรวงก็ตาม แต่ก็หาใช่ว่าการกระทำของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21, 22และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ. 2522 หมวด 4 ข้อ 30 และขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2517)ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง พ.ศ. 2479 และการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารนั้นทำให้อาคารของจำเลยมีสภาพหรือการใช้อาจเป็นภยันตรายต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพหรือทรัพย์หรือไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่อาจออกใบอนุญาตให้จำเลยก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารได้ โจทก์เคยมีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตมาตั้งแต่ พ.ศ. 2525, พ.ศ. 2528 และ พ.ศ. 2529 แต่จำเลยไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงได้ฟ้องต่อศาล เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำฟ้องที่ร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นแล้ว และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำการต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 หมวด 4 ข้อ 30 ทั้งขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2517) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2479 เช่น อาคารพิพาทไม่มีที่จอดรถยนต์ที่ถูกต้องและเพียงพอ ทำให้โจทก์ออกใบอนุญาตให้ไม่ได้อาคารที่จำเลยต่อเติมดัดแปลงจึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงดังกล่าวได้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทและร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนอาคารพิพาทได้ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 42 วรรคแรก และวรรคสาม (เดิม) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยดังที่จำเลยฎีกาหาใช่เป็นการวินิจฉัยและพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่ ทั้งเป็นการวินิจฉัยที่ชอบแล้ว
พิพากษายืน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21,22 และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522หมวด 4 ข้อ 30 และขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2517) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง พ.ศ. 2479 และการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารนั้นทำให้อาคารของจำเลยมีสภาพหรือการใช้อาจเป็นภยันตรายต่อชีวิต ร่างกายสุขภาพหรือทรัพย์ หรือไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ. 2522 ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่อาจออกใบอนุญาตให้จำเลยก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารได้ โจทก์เคยมีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตมาตั้งแต่ พ.ศ. 2525, พ.ศ. 2528และ พ.ศ. 2529 แต่จำเลยไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงได้ฟ้องต่อศาลคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำฟ้องที่ร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42(เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นแล้ว จำเลยกระทำการต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522หมวด 4 ข้อ 30 ทั้งขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2517) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2479 เช่นอาคารพิพาทไม่มีที่จอดรถยนต์ ที่ถูกต้องและเพียงพอ ทำให้โจทก์ออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ อาคารที่จำเลยต่อเติมดัดแปลง จึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงดังกล่าวได้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทและร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนอาคารพิพาทได้ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42 วรรคแรก และวรรคสาม (เดิม) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงหาใช่เป็นการวินิจฉัยและพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่
โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่ปลูกสร้างดัดแปลงต่อเติมนอกเหนือไปจากแบบแปลนที่ได้อนุญาตโดยส่วนที่ดัดแปลงต่อเติมนี้ โจทก์ไม่อาจออกใบอนุญาตให้จำเลยก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารได้ ถ้าจำเลยไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนได้เองตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่ปลูกสร้างดัดแปลงต่อเติมตามฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมกล่าวคือโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าใช้สิทธิตามกฎหมายใด และมาตราใดมาฟ้องร้องบังคับให้จำเลยรื้อถอน จำเลยยื่นขออนุญาตก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารตามฟ้องถูกต้องตามขั้นตอน ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 และตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ไว้เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาอนุญาตของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยอีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่ก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมตามฟ้อง คืออาคารชั้นที่ 9 ขนาดอาคาร13 x 40.60 เมตร และ 13 x 19 เมตร สูง 2.50 เมตร อาคารขนาด7.60 x 13 เมตร สูง 23.50 เมตร (9 ชั้น ดาดฟ้า) ที่ติดต่อกับอาคาร 8 ชั้นเดิม ผนังอิฐชั้นล่างของอาคาร 8 ชั้น ซึ่งเดิมเป็นที่ว่างสำหรับจอดรถยนต์ที่จำเลยกั้นจัดเป็นห้อง ๆ และอาคารขนาด1.50 x 5 เมตร สูง 2.50 เมตร หลังคาคอนกรีตติดกับอาคาร 8 ชั้นเดิมตามบริเวณที่ขีดเส้นสีแดงในเอกสารหมาย จ.8 หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารที่อยู่อาศัย 8 ชั้น ดาดฟ้าจำนวน1 หลัง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของนายรัฐธรรมนูญ จำนงภูมิเวทโดยโจทก์อนุญาตให้จำเลยปลูกสร้างอาคารดังกล่าวได้ แต่จำเลยต่อเติมอาคารเป็นชั้นที่ 9 ขนาดกว้าง 13 เมตร ยาว 40.60 เมตร และ13 x 19 เมตร สูงประมาณ 2.50 เมตร เต็มดาดฟ้ารูปตัวแอล จำเลยก่อสร้างอาคารขนาด 7.60 เมตร x 13 เมตร สูงประมาณ 23.50 เมตรก่อสร้างอาคารขนาด 1.50 เมตร x 5 เมตร สูง 2.50 เมตร และก่ออิฐฉาบปูนผนังชั้นล่างของอาคารซึ่งเดิมใช้เป็นที่จอดรถยนต์ ทำให้อาคารของจำเลยไม่มีที่จอดรถยนต์ จำเลยกระทำไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์โจทก์มีหนังสือแจ้งคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่ก่อสร้างต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยได้รับหนังสือของโจทก์แล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์หาได้บรรยายฟ้องระบุว่าการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงและข้อบัญญัติท้องถิ่นได้อันจะเป็นเหตุให้โจทก์สั่งให้รื้อถอนหรือร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนได้ ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงจึงเป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถึงแม้ว่าการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารของจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์และขัดต่อกฎกระทรวงก็ตาม แต่ก็หาใช่ว่าการกระทำของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21, 22และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ. 2522 หมวด 4 ข้อ 30 และขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2517)ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง พ.ศ. 2479 และการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารนั้นทำให้อาคารของจำเลยมีสภาพหรือการใช้อาจเป็นภยันตรายต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพหรือทรัพย์หรือไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่อาจออกใบอนุญาตให้จำเลยก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารได้ โจทก์เคยมีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตมาตั้งแต่ พ.ศ. 2525, พ.ศ. 2528 และ พ.ศ. 2529 แต่จำเลยไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงได้ฟ้องต่อศาล เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำฟ้องที่ร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นแล้ว และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำการต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 หมวด 4 ข้อ 30 ทั้งขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2517) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2479 เช่น อาคารพิพาทไม่มีที่จอดรถยนต์ที่ถูกต้องและเพียงพอ ทำให้โจทก์ออกใบอนุญาตให้ไม่ได้อาคารที่จำเลยต่อเติมดัดแปลงจึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงดังกล่าวได้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทและร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนอาคารพิพาทได้ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 42 วรรคแรก และวรรคสาม (เดิม) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยดังที่จำเลยฎีกาหาใช่เป็นการวินิจฉัยและพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่ ทั้งเป็นการวินิจฉัยที่ชอบแล้ว
พิพากษายืน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 21,22 และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2522หมวด 4 ข้อ 30 และขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2517) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมการก่อสร้าง พ.ศ.2479 และการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารนั้นทำให้อาคารของจำเลยมีสภาพหรือการใช้อาจเป็นภยันตรายต่อชีวิต ร่างกายสุขภาพหรือทรัพย์ หรือไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ควบคุมอาคารพ.ศ.2522 และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ.2522 ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่อาจออกใบอนุญาตให้จำเลยก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารได้ โจทก์เคยมีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตมาตั้งแต่ พ.ศ.2525, พ.ศ.2528 และ พ.ศ.2529 แต่จำเลยไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงได้ฟ้องต่อศาลคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำฟ้องที่ร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 42 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นแล้ว
จำเลยกระทำการต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2522 หมวด 4 ข้อ30 ทั้งขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2517) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2479 เช่น อาคารพิพาทไม่มีที่จอดรถยนต์ที่ถูกต้องและเพียงพอ ทำให้โจทก์ออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ อาคารที่จำเลยต่อเติมดัดแปลง จึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงดังกล่าวได้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทและร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนอาคารพิพาทได้ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 42 วรรคแรก และวรรคสาม (เดิม) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวง หาใช่เป็นการวินิจฉัยและพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 21,22 และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2522หมวด 4 ข้อ 30 และขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2517) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมการก่อสร้าง พ.ศ.2479 และการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารนั้นทำให้อาคารของจำเลยมีสภาพหรือการใช้อาจเป็นภยันตรายต่อชีวิต ร่างกายสุขภาพหรือทรัพย์ หรือไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ควบคุมอาคารพ.ศ.2522 และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ.2522 ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่อาจออกใบอนุญาตให้จำเลยก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารได้ โจทก์เคยมีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตมาตั้งแต่ พ.ศ.2525, พ.ศ.2528 และ พ.ศ.2529 แต่จำเลยไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงได้ฟ้องต่อศาลคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำฟ้องที่ร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 42 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นแล้ว
จำเลยกระทำการต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2522 หมวด 4 ข้อ30 ทั้งขัดต่อกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2517) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2479 เช่น อาคารพิพาทไม่มีที่จอดรถยนต์ที่ถูกต้องและเพียงพอ ทำให้โจทก์ออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ อาคารที่จำเลยต่อเติมดัดแปลง จึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงดังกล่าวได้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทและร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนอาคารพิพาทได้ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 42 วรรคแรก และวรรคสาม (เดิม) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวง หาใช่เป็นการวินิจฉัยและพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่
ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลย ระบุชื่อสัญญาว่า "สัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ย" เรียกโจทก์ว่าตัวการ เรียกจำเลยว่าตัวแทนข้อความในสัญญาข้อหนึ่งใจความว่า "ตัวแทนสัญญาว่าจะจำหน่ายปุ๋ยให้แก่เกษตรกรในนามของตนเองในราคาและเงื่อนไข ดังนี้" สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นสัญญาตัวแทนค้าต่างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 833 การชำระราคาปุ๋ยจึงต้องปรับตามมาตรา 838 วรรคหนึ่ง ซึ่งเมื่อข้อสัญญากำหนดว่าตัวแทนค้าต่างจะต้องรับผิดในหนี้หรือราคาปุ๋ยต่อตัวการ ดังนั้น ไม่ว่าจำเลยจะได้รับชำระหนี้ค่าปุ๋ยจากผู้ซื้อคือเกษตรกรแล้วหรือไม่จำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินค่าปุ๋ยที่ค้างแก่โจทก์ มิใช่รับผิดเฉพาะกรณีที่ได้รับเงินค่าปุ๋ยมาแล้วเท่านั้น เมื่อคดีฟังได้ว่า มีคนนำเอาสัญญาค้ำประกันของธนาคารไปจากการครอบครองของโจทก์ โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมแล้วเอาสัญญาค้ำประกันปลอมไว้แทนและจำเลยเอาสัญญาค้ำประกันภัยฉบับแท้จริงไปมอบคืนแก่ธนาคาร กรณีจึงมิใช่เรื่องโจทก์เวนคืนหรือมอบหมายให้ผู้ใดเวนคืนหรือมอบหมายให้ผู้ใดเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งสิทธิแก่ธนาคารตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 327 วรรคสาม เมื่อไม่ปรากฏว่าหนี้ตามสัญญาค้ำประกันได้ระงับลงแล้ว ธนาคารผู้ค้ำประกันจำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันนั้น สัญญาระบุว่า "ในกรณีตัวแทนผิดนัดไม่ส่งเงินค้างชำระภายในกำหนด ตัวแทนยินยอมให้ตัวการคิดราคาปุ๋ยอีกตันละ 100 บาทบวกดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนถึงวันชำระเงินเสร็จสิ้น" นั้น การคิดราคาปุ๋ยอีกตันละ 100 บาท และเรียกดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีดังกล่าว ย่อมเป็นการกำหนดเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 ซึ่งไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยของเบี้ยปรับ หรือค่าเสียหายซ้อนค่าเสียหายข้อสัญญาดังกล่าวจึงใช้บังคับได้ ดอกเบี้ยซึ่งตัวแทนต้องเสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 811 นั้น กฎหมายมิได้กำหนดไว้ว่าเป็นอัตราร้อยละเท่าใดซึ่งโจทก์มีสิทธิได้เพียงในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ไม่ถึงร้อยละ 15 ต่อปีเมื่อสัญญากำหนดให้ใช้ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นการกำหนดเบี้ยปรับอย่างหนึ่งซึ่งศาลชอบที่จะกำหนดให้โจทก์ใช้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี อันเป็นอัตราที่เหมาะสมได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยสูตร 16-20-0 ของโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันความรับผิดตามสัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 รับมอบปุ๋ยไปจากโจทก์และได้จำหน่ายปุ๋ยให้เกษตรกรหลายรายและชำระเงินล่วงหน้าตันละ 215 บาท หรือร้อยละ 5 ให้โจทก์ ส่วนเงินที่ค้างชำระเมื่อครบกำหนดตามสัญญาจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 10,859,049.06 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 7,524,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญาตัวแทน จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าปรับหรือค่าเสียหายใด ๆค่าปุ๋ยเพิ่มตันละ 100 บาท เป็นค่าปรับโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากเงินค่าปรับอีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน7,524,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน7,524,000 บาท นับแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2528 ซึ่งเป็นวันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน3,335,049.01 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในข้อที่ว่าตามข้อความในสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระเงินค่าปุ๋ยให้แก่โจทก์อันจะทำให้จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดด้วยหรือไม่นั้นตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย จ.5 ระบุชื่อสัญญาว่า "สัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ย" เรียกโจทก์ว่าตัวการ เรียกจำเลยที่ 1 ว่าตัวแทนข้อความในสัญญาข้อ 14 ในความว่า "ตัวแทนสัญญาว่าจะจำหน่ายปุ๋ยให้แก่เกษตรกรในนามของตนเองในราคาและเงื่อนไข ดังนี้" และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 833บัญญัติว่า "อันว่าต้วแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางการค้าขายของเขาย่อมทำการซื้อ หรือขายทรัพย์สิน หรือรับจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ" เช่นนี้ สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสัญญาตัวแทนค้าต่าง ฉะนั้นสำหรับราคาปุ๋ยจึงต้องปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 838 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า"ถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ไซร้ท่านว่าตัวแทนค้าต่างหาต้องรับผิดต่อตัวการเพื่อชำระหนี้นั้นเองไม่ เว้นแต่จะได้มีข้อกำหนดในสัญญา ว่าจะต้องรับผิดถึงเพียงนั้น" ซึ่งในกรณีนี้สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ข้อ 15 กำหนดว่า "ตัวแทนสัญญาว่าจะส่งเงินค่าปุ๋ยให้แก่ตัวการ ดังนี้ 15.1 ขายเงินสดให้ส่งทุกวันที่ 15 และวันสิ้นเดือนของทุกเดือนไม่เว้นวันหยุดราชการถ้าตรงกับวันหยุดราชการหรือวันหยุดตามประเพณีนิยม ให้ส่งวันรุ่งขึ้นหลังจากวันหยุดได้ 15.2 ขายเงินเชื่อ ให้ส่งเงินชำระล่วงหน้าทุกวันที่ 15 และวันสิ้นเดือนของทุกเดือน ส่วนเงินค้างชำระให้ส่งให้เสร็จสิ้นตามกำหนดเวลาของแต่ละสัญญา ไม่เว้นวันหยุดราชการหรือหยุดตามประเพณี" จึงเป็นกรณีที่มีข้อกำหนดในสัญญาเช่า ตัวแทนค้าต่างจะต้องรับผิดในหนี้หรือราคาปุ๋ยต่อตัวการด้วย หากผู้ซื้อคือเกษตรกรไม่ชำระตามบทบัญญัติมาตรา838 วรรคหนึ่ง ฉะนั้น ไม่ว่าจำเลยที่ 1 จะได้รับชำระหนี้ค่าปุ๋ยจากผู้ซื้อคือเกษตรกรแล้วหรือไม่ จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระเงินค่าปุ๋ยที่ค้างแก่โจทก์ หาใช่จะต้องรับผิดเฉพาะกรณีที่ได้รับเงินค่าปุ๋ยมาแล้วดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาไม่ ส่วนที่จำเลยที่ 2มิได้ค้ำประกันการชำระเงินค่าปุ๋ย แต่ได้ค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินค่าปุ๋ยแก่โจทก์นั้น เมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระเงินค่าปุ๋ยต่อโจทก์ตามสัญญาข้อ 15 แต่จำเลยที่ 1มิได้ชำระเงินแก่โจทก์ ซึ่งเป็นการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาหรือไม่ปฏิบัติตามสัญญาจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะหนี้ระงับแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 327 นั้นมาตรา 327 วรรคสาม บัญญัติว่า "ถ้าเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ได้เวนคืนแล้วไซร้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปแล้ว" เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่า มีคนนำเอาสัญญาประกันเอกสารหมาย จ.99 ถึง จ.101 ไปจากการครอบครองของโจทก์โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมแล้วเอาสัญญาค้ำประกันปลอมไว้แทนและจำเลยที่ 1 เอาสัญญาค้ำประกันฉบับแท้จริงเอกสารหมาย จ.99หรือ จ.101 ไปมอบคืนแก่จำเลยที่ 2 กรณีจึงมิใช่เรื่องที่โจทก์เวนคืนหรือมอบหมายให้ผู้ใดเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งสิทธิแก่จำเลย 2 ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 327 วรรคสาม ยิ่งกว่านี้บทกฎหมายมาตราดังกล่าวยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน เมื่อปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์แล้วว่า จำเลยที่ 1ก็ดี จำเลยที่ 2 ก็ดี ไม่เคยชำระหนี้ ก็ย่อมหักล้างข้อสันนิษฐานได้ คดีฟังไม่ได้ว่าหนี้ตามสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ระงับแล้ว จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดชดใช้เงินค่าปุ๋ยที่ยังค้างอยู่จำนวน 7,524,000 บาท แก่โจทก์
สำหรับประเด็นในเรื่องดอกเบี้ยนั้น ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.5ข้อ 15 วรรคสาม กำหนดว่า "ในกรณีตัวแทนผิดสัญญาข้อ 15.2 ไม่ส่งเงินค้างชำระภายในกำหนด ตัวแทนยินยอมให้ตัวการคิดราคาปุ๋ยอีกตันละ 100 บาท บวกดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันผิดนัดจนถึงวันชำระเงินเสร็จสิ้น" ซึ่งการคิดราคาปุ๋ยอีกตันละ 100 บาทนี้ แม้โจทก์จะนำสืบว่าเป็นเพราะราคาที่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ขายนั้นเป็นราคาต่ำกว่าต้นทุน เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดจึงต้องคิดเท่าราคาทุนคือคิดเพิ่มอีกตันละ 100 บาท มิใช่เบี้ยปรับก็ตามแต่การกำหนดในสัญญาเช่นนี้ย่อมเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 และนอกจากให้คิดราคาปุ๋ยอีกตันละ 100 บาท แล้ว สัญญาข้อ 15 วรรคสาม ยังกำหนดต่อไปว่า"บวกดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15 ต่อปี" ข้อความตอนนี้ ก็เป็นการกำหนดเบี้ยปรับอีกด้วย ซึ่งไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยของเบี้ยปรับ หรือค่าเสียหายซ้อนค่าเสียหายดังที่จำเลยที่ 2กล่าวอ้าง ข้อสัญญาดังกล่าวจึงใช้บังคับได้
ส่วนจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดในดอกเบี้ยในอัตราเท่าใดนั้นศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อสัญญานี้เป็นการกำหนดเบี้ยปรับแต่สูงเกินส่วน จึงได้กำหนดให้จำเลยที่ 2 ชำระในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ควรจะได้รับในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีตามที่กำหนดในสัญญาเอกสารหมาย จ.5 โดยอ้างว่าราคาปุ๋ยที่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ขายนี้เป็นราคาต่ำกว่าต้นทุนเมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจึงกำหนดราคาให้ชำระเพิ่มอีกตันละ 100 บาทเท่าราคาทุน จำเลยที่ 1ไม่ชำระจึงเป็นการเอาเงินของตัวการไปใช้ต้องชำระดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 811 มิใช่เบี้ยปรับศาลฎีกาเห็นว่า ดอกเบี้ยตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้าง กฎหมายมิได้กำหนดไว้ว่าเป็นอัตราร้อยละเท่าใด ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้เพียงในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ไม่ถึงร้อยละ15 ต่อปี เมื่อสัญญาเอกสารหมาย จ.5 กำหนดให้ใช้ดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นการกำหนดเบี้ยปรับอย่างหนึ่งนั่นเอง และเมื่อคำนึงถึงทางได้เสียของโจทก์แล้วเห็นว่า เบี้ยปรับที่กำหนดไว้นี้สูงเกินส่วน ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ใช้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจึงเหมาะสมแล้ว
พิพากษายืน
ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลย ระบุชื่อสัญญาว่า "สัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ย" เรียกโจทก์ว่าตัวการ เรียกจำเลยว่าตัวแทนข้อความในสัญญาข้อหนึ่งใจความว่า "ตัวแทนสัญญาว่าจะจำหน่ายปุ๋ยให้แก่เกษตรกรในนามของตนเองในราคาและเงื่อนไข ดังนี้" สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นสัญญาตัวแทนค้าต่างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 833 การชำระราคาปุ๋ยจึงต้องปรับตามมาตรา 838 วรรคหนึ่ง ซึ่งเมื่อข้อสัญญากำหนดว่าตัวแทนค้าต่างจะต้องรับผิดในหนี้หรือราคาปุ๋ยต่อตัวการ ดังนั้น ไม่ว่าจำเลยจะได้รับชำระหนี้ค่าปุ๋ยจากผู้ซื้อคือเกษตรกรแล้วหรือไม่จำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินค่าปุ๋ยที่ค้างแก่โจทก์ มิใช่รับผิดเฉพาะกรณีที่ได้รับเงินค่าปุ๋ยมาแล้วเท่านั้น เมื่อคดีฟังได้ว่า มีคนนำเอาสัญญาค้ำประกันของธนาคารไปจากการครอบครองของโจทก์ โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมแล้วเอาสัญญาค้ำประกันปลอมไว้แทนและจำเลยเอาสัญญาค้ำประกันภัยฉบับแท้จริงไปมอบคืนแก่ธนาคาร กรณีจึงมิใช่เรื่องโจทก์เวนคืนหรือมอบหมายให้ผู้ใดเวนคืนหรือมอบหมายให้ผู้ใดเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งสิทธิแก่ธนาคารตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 327 วรรคสาม เมื่อไม่ปรากฏว่าหนี้ตามสัญญาค้ำประกันได้ระงับลงแล้ว ธนาคารผู้ค้ำประกันจำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันนั้น สัญญาระบุว่า "ในกรณีตัวแทนผิดนัดไม่ส่งเงินค้างชำระภายในกำหนด ตัวแทนยินยอมให้ตัวการคิดราคาปุ๋ยอีกตันละ 100 บาทบวกดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนถึงวันชำระเงินเสร็จสิ้น" นั้น การคิดราคาปุ๋ยอีกตันละ 100 บาท และเรียกดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีดังกล่าว ย่อมเป็นการกำหนดเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 ซึ่งไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยของเบี้ยปรับ หรือค่าเสียหายซ้อนค่าเสียหายข้อสัญญาดังกล่าวจึงใช้บังคับได้ ดอกเบี้ยซึ่งตัวแทนต้องเสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 811 นั้น กฎหมายมิได้กำหนดไว้ว่าเป็นอัตราร้อยละเท่าใดซึ่งโจทก์มีสิทธิได้เพียงในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ไม่ถึงร้อยละ 15 ต่อปีเมื่อสัญญากำหนดให้ใช้ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นการกำหนดเบี้ยปรับอย่างหนึ่งซึ่งศาลชอบที่จะกำหนดให้โจทก์ใช้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี อันเป็นอัตราที่เหมาะสมได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยสูตร 16-20-0 ของโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันความรับผิดตามสัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 รับมอบปุ๋ยไปจากโจทก์และได้จำหน่ายปุ๋ยให้เกษตรกรหลายรายและชำระเงินล่วงหน้าตันละ 215 บาท หรือร้อยละ 5 ให้โจทก์ ส่วนเงินที่ค้างชำระเมื่อครบกำหนดตามสัญญาจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 10,859,049.06 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 7,524,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญาตัวแทน จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าปรับหรือค่าเสียหายใด ๆค่าปุ๋ยเพิ่มตันละ 100 บาท เป็นค่าปรับโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากเงินค่าปรับอีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน7,524,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน7,524,000 บาท นับแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2528 ซึ่งเป็นวันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน3,335,049.01 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในข้อที่ว่าตามข้อความในสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระเงินค่าปุ๋ยให้แก่โจทก์อันจะทำให้จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดด้วยหรือไม่นั้นตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย จ.5 ระบุชื่อสัญญาว่า "สัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ย" เรียกโจทก์ว่าตัวการ เรียกจำเลยที่ 1 ว่าตัวแทนข้อความในสัญญาข้อ 14 ในความว่า "ตัวแทนสัญญาว่าจะจำหน่ายปุ๋ยให้แก่เกษตรกรในนามของตนเองในราคาและเงื่อนไข ดังนี้" และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 833บัญญัติว่า "อันว่าต้วแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางการค้าขายของเขาย่อมทำการซื้อ หรือขายทรัพย์สิน หรือรับจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ" เช่นนี้ สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสัญญาตัวแทนค้าต่าง ฉะนั้นสำหรับราคาปุ๋ยจึงต้องปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 838 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า"ถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ไซร้ท่านว่าตัวแทนค้าต่างหาต้องรับผิดต่อตัวการเพื่อชำระหนี้นั้นเองไม่ เว้นแต่จะได้มีข้อกำหนดในสัญญา ว่าจะต้องรับผิดถึงเพียงนั้น" ซึ่งในกรณีนี้สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ข้อ 15 กำหนดว่า "ตัวแทนสัญญาว่าจะส่งเงินค่าปุ๋ยให้แก่ตัวการ ดังนี้ 15.1 ขายเงินสดให้ส่งทุกวันที่ 15 และวันสิ้นเดือนของทุกเดือนไม่เว้นวันหยุดราชการถ้าตรงกับวันหยุดราชการหรือวันหยุดตามประเพณีนิยม ให้ส่งวันรุ่งขึ้นหลังจากวันหยุดได้ 15.2 ขายเงินเชื่อ ให้ส่งเงินชำระล่วงหน้าทุกวันที่ 15 และวันสิ้นเดือนของทุกเดือน ส่วนเงินค้างชำระให้ส่งให้เสร็จสิ้นตามกำหนดเวลาของแต่ละสัญญา ไม่เว้นวันหยุดราชการหรือหยุดตามประเพณี" จึงเป็นกรณีที่มีข้อกำหนดในสัญญาเช่า ตัวแทนค้าต่างจะต้องรับผิดในหนี้หรือราคาปุ๋ยต่อตัวการด้วย หากผู้ซื้อคือเกษตรกรไม่ชำระตามบทบัญญัติมาตรา838 วรรคหนึ่ง ฉะนั้น ไม่ว่าจำเลยที่ 1 จะได้รับชำระหนี้ค่าปุ๋ยจากผู้ซื้อคือเกษตรกรแล้วหรือไม่ จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระเงินค่าปุ๋ยที่ค้างแก่โจทก์ หาใช่จะต้องรับผิดเฉพาะกรณีที่ได้รับเงินค่าปุ๋ยมาแล้วดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาไม่ ส่วนที่จำเลยที่ 2มิได้ค้ำประกันการชำระเงินค่าปุ๋ย แต่ได้ค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินค่าปุ๋ยแก่โจทก์นั้น เมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระเงินค่าปุ๋ยต่อโจทก์ตามสัญญาข้อ 15 แต่จำเลยที่ 1มิได้ชำระเงินแก่โจทก์ ซึ่งเป็นการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาหรือไม่ปฏิบัติตามสัญญาจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะหนี้ระงับแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 327 นั้นมาตรา 327 วรรคสาม บัญญัติว่า "ถ้าเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ได้เวนคืนแล้วไซร้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปแล้ว" เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่า มีคนนำเอาสัญญาประกันเอกสารหมาย จ.99 ถึง จ.101 ไปจากการครอบครองของโจทก์โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมแล้วเอาสัญญาค้ำประกันปลอมไว้แทนและจำเลยที่ 1 เอาสัญญาค้ำประกันฉบับแท้จริงเอกสารหมาย จ.99หรือ จ.101 ไปมอบคืนแก่จำเลยที่ 2 กรณีจึงมิใช่เรื่องที่โจทก์เวนคืนหรือมอบหมายให้ผู้ใดเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งสิทธิแก่จำเลย 2 ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 327 วรรคสาม ยิ่งกว่านี้บทกฎหมายมาตราดังกล่าวยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน เมื่อปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์แล้วว่า จำเลยที่ 1ก็ดี จำเลยที่ 2 ก็ดี ไม่เคยชำระหนี้ ก็ย่อมหักล้างข้อสันนิษฐานได้ คดีฟังไม่ได้ว่าหนี้ตามสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ระงับแล้ว จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดชดใช้เงินค่าปุ๋ยที่ยังค้างอยู่จำนวน 7,524,000 บาท แก่โจทก์
สำหรับประเด็นในเรื่องดอกเบี้ยนั้น ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.5ข้อ 15 วรรคสาม กำหนดว่า "ในกรณีตัวแทนผิดสัญญาข้อ 15.2 ไม่ส่งเงินค้างชำระภายในกำหนด ตัวแทนยินยอมให้ตัวการคิดราคาปุ๋ยอีกตันละ 100 บาท บวกดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันผิดนัดจนถึงวันชำระเงินเสร็จสิ้น" ซึ่งการคิดราคาปุ๋ยอีกตันละ 100 บาทนี้ แม้โจทก์จะนำสืบว่าเป็นเพราะราคาที่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ขายนั้นเป็นราคาต่ำกว่าต้นทุน เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดจึงต้องคิดเท่าราคาทุนคือคิดเพิ่มอีกตันละ 100 บาท มิใช่เบี้ยปรับก็ตามแต่การกำหนดในสัญญาเช่นนี้ย่อมเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 และนอกจากให้คิดราคาปุ๋ยอีกตันละ 100 บาท แล้ว สัญญาข้อ 15 วรรคสาม ยังกำหนดต่อไปว่า"บวกดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15 ต่อปี" ข้อความตอนนี้ ก็เป็นการกำหนดเบี้ยปรับอีกด้วย ซึ่งไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยของเบี้ยปรับ หรือค่าเสียหายซ้อนค่าเสียหายดังที่จำเลยที่ 2กล่าวอ้าง ข้อสัญญาดังกล่าวจึงใช้บังคับได้
ส่วนจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดในดอกเบี้ยในอัตราเท่าใดนั้นศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อสัญญานี้เป็นการกำหนดเบี้ยปรับแต่สูงเกินส่วน จึงได้กำหนดให้จำเลยที่ 2 ชำระในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ควรจะได้รับในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีตามที่กำหนดในสัญญาเอกสารหมาย จ.5 โดยอ้างว่าราคาปุ๋ยที่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ขายนี้เป็นราคาต่ำกว่าต้นทุนเมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจึงกำหนดราคาให้ชำระเพิ่มอีกตันละ 100 บาทเท่าราคาทุน จำเลยที่ 1ไม่ชำระจึงเป็นการเอาเงินของตัวการไปใช้ต้องชำระดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 811 มิใช่เบี้ยปรับศาลฎีกาเห็นว่า ดอกเบี้ยตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้าง กฎหมายมิได้กำหนดไว้ว่าเป็นอัตราร้อยละเท่าใด ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้เพียงในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ไม่ถึงร้อยละ15 ต่อปี เมื่อสัญญาเอกสารหมาย จ.5 กำหนดให้ใช้ดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นการกำหนดเบี้ยปรับอย่างหนึ่งนั่นเอง และเมื่อคำนึงถึงทางได้เสียของโจทก์แล้วเห็นว่า เบี้ยปรับที่กำหนดไว้นี้สูงเกินส่วน ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ใช้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจึงเหมาะสมแล้ว
พิพากษายืน
ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลย ระบุชื่อสัญญาว่า "สัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ย" เรียกโจทก์ว่าตัวการ เรียกจำเลยว่าตัวแทน ข้อความในสัญญาข้อหนึ่งใจความว่า "ตัวแทนสัญญาว่าจะจำหน่ายปุ๋ยให้แก่เกษตรกรในนามของตนเองในราคาและเงื่อนไข ดังนี้..." สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นสัญญาตัวแทนค้าต่างตาม ป.พ.พ. มาตรา 833 การชำระราคาปุ๋ยจึงต้องปรับตามมาตรา 838 วรรคหนึ่ง ซึ่งเมื่อมีข้อสัญญากำหนดว่าตัวแทนค้าต่างจะต้องรับผิดในหนี้หรือราคาปุ๋ยต่อตัวการ ดังนั้น ไม่ว่าจำเลยจะได้รับชำระหนี้ค่าปุ๋ยจากผู้ซื้อคือเกษตรกรแล้วหรือไม่ จำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินค่าปุ๋ยที่ค้างแก่โจทก์ มิใช่รับผิดเฉพาะกรณีที่ได้รับเงินค่าปุ๋ยมาแล้วเท่านั้น
เมื่อคดีฟังได้ว่า มีคนนำเอาสัญญาค้ำประกันของธนาคารไปจากการครอบครองของโจทก์ โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมแล้วเอาสัญญาค้ำประกันปลอมไว้แทนและจำเลยเอาสัญญาค้ำประกันฉบับแท้จริงไปมอบคืนแก่ธนาคาร กรณีจึงมิใช่เรื่องโจทก์เวนคืนหรือมอบหมายให้ผู้ใดเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งสิทธิแก่ธนาคารตามความหมายของ ป.พ.พ. มาตรา 327 วรรคสาม เมื่อไม่ปรากฎว่าหนี้ตามสัญญาค้ำประกันได้ระงับลงแล้ว ธนาคารผู้ค้ำประกันจำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันนั้น
สัญญาระบุว่า "ในกรณีตัวแทนผิดนัดไม่ส่งเงินค้างชำระภายในกำหนด ตัวแทนยินยอมให้ตัวการคิดราคาปุ๋ยอีกตันละ 100 บาท บวกดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนถึงวันชำระเงินเสร็จสิ้น" นั้น การคิดราคาปุ๋ยอีกตันละ 100 บาท และเรียกดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีดังกล่าว ย่อมเป็นการกำหนดเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 ซึ่งไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยของเบี้ยปรับ หรือค่าเสียหายซ้อนค่าเสียหาย ข้อสัญญาดังกล่าวจึงใช้บังคับได้
ดอกเบี้ยซึ่งตัวแทนต้องเสียตาม ป.พ.พ. มาตรา 811 นั้นกฎหมายมิได้กำหนดไว้ว่าเป็นอัตราร้อยละเท่าใด ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้เพียงในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 7 ไม่ถึงร้อยละ 15 ต่อปี เมื่อสัญญากำหนดให้ใช้ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นการกำหนดเบี้ยปรับอย่างหนึ่งซึ่งศาลชอบที่จะกำหนดให้โจทก์ใช้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี อันเป็นอัตราที่เหมาะสมได้
ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลย ระบุชื่อสัญญาว่า "สัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ย" เรียกโจทก์ว่าตัวการ เรียกจำเลยว่าตัวแทน ข้อความในสัญญาข้อหนึ่งใจความว่า "ตัวแทนสัญญาว่าจะจำหน่ายปุ๋ยให้แก่เกษตรกรในนามของตนเองในราคาและเงื่อนไข ดังนี้..." สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นสัญญาตัวแทนค้าต่างตาม ป.พ.พ. มาตรา 833 การชำระราคาปุ๋ยจึงต้องปรับตามมาตรา 838 วรรคหนึ่ง ซึ่งเมื่อมีข้อสัญญากำหนดว่าตัวแทนค้าต่างจะต้องรับผิดในหนี้หรือราคาปุ๋ยต่อตัวการ ดังนั้น ไม่ว่าจำเลยจะได้รับชำระหนี้ค่าปุ๋ยจากผู้ซื้อคือเกษตรกรแล้วหรือไม่ จำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินค่าปุ๋ยที่ค้างแก่โจทก์ มิใช่รับผิดเฉพาะกรณีที่ได้รับเงินค่าปุ๋ยมาแล้วเท่านั้น
เมื่อคดีฟังได้ว่า มีคนนำเอาสัญญาค้ำประกันของธนาคารไปจากการครอบครองของโจทก์ โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมแล้วเอาสัญญาค้ำประกันปลอมไว้แทนและจำเลยเอาสัญญาค้ำประกันฉบับแท้จริงไปมอบคืนแก่ธนาคาร กรณีจึงมิใช่เรื่องโจทก์เวนคืนหรือมอบหมายให้ผู้ใดเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งสิทธิแก่ธนาคารตามความหมายของ ป.พ.พ. มาตรา 327 วรรคสาม เมื่อไม่ปรากฎว่าหนี้ตามสัญญาค้ำประกันได้ระงับลงแล้ว ธนาคารผู้ค้ำประกันจำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันนั้น
สัญญาระบุว่า "ในกรณีตัวแทนผิดนัดไม่ส่งเงินค้างชำระภายในกำหนด ตัวแทนยินยอมให้ตัวการคิดราคาปุ๋ยอีกตันละ 100 บาท บวกดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนถึงวันชำระเงินเสร็จสิ้น" นั้น การคิดราคาปุ๋ยอีกตันละ 100 บาท และเรียกดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีดังกล่าว ย่อมเป็นการกำหนดเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 ซึ่งไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยของเบี้ยปรับ หรือค่าเสียหายซ้อนค่าเสียหาย ข้อสัญญาดังกล่าวจึงใช้บังคับได้
ดอกเบี้ยซึ่งตัวแทนต้องเสียตาม ป.พ.พ. มาตรา 811 นั้นกฎหมายมิได้กำหนดไว้ว่าเป็นอัตราร้อยละเท่าใด ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้เพียงในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 7 ไม่ถึงร้อยละ 15 ต่อปี เมื่อสัญญากำหนดให้ใช้ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นการกำหนดเบี้ยปรับอย่างหนึ่งซึ่งศาลชอบที่จะกำหนดให้โจทก์ใช้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี อันเป็นอัตราที่เหมาะสมได้
คดีเดิมจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยแล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน คดีถึงที่สุด คำพิพากษาตามยอมจึงผูกพันคู่ความ หากคู่ความไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความคู่ความชอบที่จะขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ซึ่งคดีเดิมโจทก์เคยยื่นคำร้องว่าโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยเจตนาไม่ขายที่ดินพิพาท ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ยกคำร้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่ง แต่กลับมายื่นฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ ดังนี้คำร้อง ของ โจทก์ในคดีก่อนและคำฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงมีประเด็นแห่งคดีอย่างเดียวกัน คือให้วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ คู่ความทั้งสองฝ่ายก็เป็นรายเดียวกันศาลชั้นต้นเคยวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีก่อนไปแล้วคำฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ และฟ้องซ้ำด้วย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 314/2532 ของศาลชั้นต้น โดยไม่ยอมขายที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์และนำที่ดินพิพาทไปจำนองไว้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด ขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแล้วโอนขายให้โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยมีสิทธิได้รับเงินค่าที่ดินพิพาทจำนวน 130,000 บาท จากโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยได้ขอให้บังคับคดีแล้ว หากโจทก์เห็นว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาก็สามารถขอให้บังคับคดีในคดีเดิมได้ ฟ้องโจทก์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 314/2532ของศาลชั้นต้น จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยขอให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการขายฝากต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมใจความว่า โจทก์ตกลงเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลย คิดค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกในอัตราร้อยละ 30 ของผลผลิตที่ได้จากที่ดินพิพาทที่เช่าทั้งหมด จำเลยตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทคืนในราคา 130,000บาท ภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2534 หากไม่ซื้อภายในกำหนดยอมออกไปจากที่ดินพิพาท หากผิดสัญญายินยอมให้โจทก์บังคับคดีโดยจำเลยยอมออกจากที่ดินพิพาท คดีถึงที่สุด คำพิพากษาตามยอมดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความ หากคู่ความไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความคู่ความชอบที่จะขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อไปได้อนึ่งคดีดังกล่าวโจทก์เคยยื่นคำร้องว่าโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยเจตนาไม่ขายที่ดินพิพาท ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าตามสัญญา ยกคำร้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งแต่กลับมายื่นฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ ดังนี้คำร้อง ของ โจทก์ในคดีก่อนและคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ ประเด็นแห่งคดีทั้งสองเป็นประเด็นเดียวกันคือให้วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ คู่ความทั้งสองฝ่ายก็เป็นรายเดียวกัน ศาลชั้นต้นเคยวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีก่อนไปแล้ว คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นนั้นอีก เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำและฟ้องซ้ำด้วย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน
คดีเดิมจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยแล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน คดีถึงที่สุด คำพิพากษาตามยอมจึงผูกพันคู่ความ หากคู่ความไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความคู่ความชอบที่จะขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ซึ่งคดีเดิมโจทก์เคยยื่นคำร้องว่าโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยเจตนาไม่ขายที่ดินพิพาท ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ยกคำร้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่ง แต่กลับมายื่นฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ ดังนี้คำร้อง ของ โจทก์ในคดีก่อนและคำฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงมีประเด็นแห่งคดีอย่างเดียวกัน คือให้วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ คู่ความทั้งสองฝ่ายก็เป็นรายเดียวกันศาลชั้นต้นเคยวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีก่อนไปแล้วคำฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ และฟ้องซ้ำด้วย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 314/2532 ของศาลชั้นต้น โดยไม่ยอมขายที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์และนำที่ดินพิพาทไปจำนองไว้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด ขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแล้วโอนขายให้โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยมีสิทธิได้รับเงินค่าที่ดินพิพาทจำนวน 130,000 บาท จากโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยได้ขอให้บังคับคดีแล้ว หากโจทก์เห็นว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาก็สามารถขอให้บังคับคดีในคดีเดิมได้ ฟ้องโจทก์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 314/2532ของศาลชั้นต้น จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยขอให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการขายฝากต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมใจความว่า โจทก์ตกลงเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลย คิดค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกในอัตราร้อยละ 30 ของผลผลิตที่ได้จากที่ดินพิพาทที่เช่าทั้งหมด จำเลยตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทคืนในราคา 130,000บาท ภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2534 หากไม่ซื้อภายในกำหนดยอมออกไปจากที่ดินพิพาท หากผิดสัญญายินยอมให้โจทก์บังคับคดีโดยจำเลยยอมออกจากที่ดินพิพาท คดีถึงที่สุด คำพิพากษาตามยอมดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความ หากคู่ความไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความคู่ความชอบที่จะขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อไปได้อนึ่งคดีดังกล่าวโจทก์เคยยื่นคำร้องว่าโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยเจตนาไม่ขายที่ดินพิพาท ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าตามสัญญา ยกคำร้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งแต่กลับมายื่นฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ ดังนี้คำร้อง ของ โจทก์ในคดีก่อนและคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ ประเด็นแห่งคดีทั้งสองเป็นประเด็นเดียวกันคือให้วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ คู่ความทั้งสองฝ่ายก็เป็นรายเดียวกัน ศาลชั้นต้นเคยวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีก่อนไปแล้ว คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นนั้นอีก เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำและฟ้องซ้ำด้วย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน
จำเลยเคยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์คดีนี้ออกจากที่ดินพิพาทต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมว่า โจทก์ตกลงเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลย จำเลยตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทคืน หากไม่ซื้อภายในกำหนดยอมออกไปจากที่ดินพิพาทหากผิดสัญญายินยอมให้โจทก์บังคับคดีโดยจำเลยยอมออกจากที่ดินพิพาทคดีถึงที่สุด ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยเจตนาไม่ขายที่ดินพิพาท ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าตามสัญญา ยกคำร้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่ง ดังนี้ การที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีใหม่ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นนั้นอีก เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำและฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 314/2532 ของศาลชั้นต้น ขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแล้วโอนขายให้โจทก์ ได้รับเงินค่าที่ดินพิพาทจำนวน 130,000 บาท จากโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยได้ขอให้บังคับคดีแล้วหากโจทก์เห็นว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาก็สามารถขอให้บังคับคดีในคดีเดิมได้ ฟ้องโจทก์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำโจทก์ใช้สิทธิในการบังคับคดีเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 314/2532 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ พิเคราะห์แล้วคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 314/2532 ของศาลชั้นต้น จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยขอให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการขายฝาก ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมใจความว่า โจทก์ตกลงเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลย คิดค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกในอัตราร้อยละ 30ของผลผลิตที่ได้จากที่ดินพิพาทที่เช่าทั้งหมด จำเลยตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทคืนในราคา 130,000 บาท ภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2534หากไม่ซื้อภายในกำหนดยอมออกไปจากที่ดินพิพาท หากผิดสัญญายินยอมให้โจทก์บังคับคดีโดยจำเลยยอมออกจากที่ดินพิพาท คดีถึงที่สุดคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความ หากคู่ความไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คู่ความชอบที่จะขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อไปได้ อนึ่ง คดีดังกล่าวโจทก์เคยยื่นคำร้องว่าโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยเจตนาไม่ขายที่ดินพิพาท ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าตามสัญญา ยกคำร้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่ง แต่กลับมายื่นฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ ดังนี้ คำร้องของโจทก์ในคดีก่อนและคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ประเด็นแห่งคดีทั้งสองเป็นประเด็นเดียวกัน คือให้วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ คู่ความทั้งสองฝ่ายก็เป็นรายเดียวกัน ศาลชั้นต้นเคยวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีก่อนไปแล้ว คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นนั้นอีก เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำและฟ้องซ้ำด้วย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ขอให้สืบพยานต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
จำเลยเคยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์คดีนี้ออกจากที่ดินพิพาทต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมว่า โจทก์ตกลงเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลย จำเลยตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทคืน หากไม่ซื้อภายในกำหนดยอมออกไปจากที่ดินพิพาทหากผิดสัญญายินยอมให้โจทก์บังคับคดีโดยจำเลยยอมออกจากที่ดินพิพาทคดีถึงที่สุด ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยเจตนาไม่ขายที่ดินพิพาท ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าตามสัญญา ยกคำร้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่ง ดังนี้ การที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีใหม่ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นนั้นอีก เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำและฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 314/2532 ของศาลชั้นต้น ขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแล้วโอนขายให้โจทก์ ได้รับเงินค่าที่ดินพิพาทจำนวน 130,000 บาท จากโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยได้ขอให้บังคับคดีแล้วหากโจทก์เห็นว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาก็สามารถขอให้บังคับคดีในคดีเดิมได้ ฟ้องโจทก์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำโจทก์ใช้สิทธิในการบังคับคดีเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 314/2532 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ พิเคราะห์แล้วคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 314/2532 ของศาลชั้นต้น จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยขอให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการขายฝาก ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมใจความว่า โจทก์ตกลงเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลย คิดค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกในอัตราร้อยละ 30ของผลผลิตที่ได้จากที่ดินพิพาทที่เช่าทั้งหมด จำเลยตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทคืนในราคา 130,000 บาท ภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2534หากไม่ซื้อภายในกำหนดยอมออกไปจากที่ดินพิพาท หากผิดสัญญายินยอมให้โจทก์บังคับคดีโดยจำเลยยอมออกจากที่ดินพิพาท คดีถึงที่สุดคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความ หากคู่ความไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คู่ความชอบที่จะขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อไปได้ อนึ่ง คดีดังกล่าวโจทก์เคยยื่นคำร้องว่าโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยเจตนาไม่ขายที่ดินพิพาท ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าตามสัญญา ยกคำร้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่ง แต่กลับมายื่นฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ ดังนี้ คำร้องของโจทก์ในคดีก่อนและคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ประเด็นแห่งคดีทั้งสองเป็นประเด็นเดียวกัน คือให้วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ คู่ความทั้งสองฝ่ายก็เป็นรายเดียวกัน ศาลชั้นต้นเคยวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีก่อนไปแล้ว คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นนั้นอีก เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำและฟ้องซ้ำด้วย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ขอให้สืบพยานต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|