ตามคำฟ้องเพิ่มเติมที่โจทก์ยื่นคำร้องมาเป็นเรื่องที่โจทก์เรียกเงินที่โจทก์ได้ชำระให้จำเลยไปตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2525 พร้อมดอกเบี้ยคืนส่วนตามคำฟ้องเดิมเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้เพิกถอนสัญญายินยอมผ่อนชำระเงินทดแทนพิเศษให้แก่รัฐตามหนังสือฉบับลงวันที่ 29 ธันวาคม 2529 และเรียกเงินที่ได้ชำระไปตามสัญญาดังกล่าวคืน มูลคดีตามคำฟ้องเดิมกับคำฟ้องเพิ่มเติมไม่มีความเกี่ยวข้องกัน และคำฟ้องเพิ่มเติมอีกข้อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว แม้หากจะฟังว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องคืนจากจำเลย สิทธิของโจทก์ก็เกิดภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงถือไม่ได้ว่า คำฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม
ตามคำฟ้องเพิ่มเติมที่โจทก์ยื่นคำร้องมาเป็นเรื่องที่โจทก์เรียกเงินที่โจทก์ได้ชำระให้จำเลยไปตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2525 พร้อมดอกเบี้ยคืนส่วนตามคำฟ้องเดิมเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้เพิกถอนสัญญายินยอมผ่อนชำระเงินทดแทนพิเศษให้แก่รัฐตามหนังสือฉบับลงวันที่ 29 ธันวาคม 2529 และเรียกเงินที่ได้ชำระไปตามสัญญาดังกล่าวคืน มูลคดีตามคำฟ้องเดิมกับคำฟ้องเพิ่มเติมไม่มีความเกี่ยวข้องกัน และคำฟ้องเพิ่มเติมอีกข้อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว แม้หากจะฟังว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องคืนจากจำเลย สิทธิของโจทก์ก็เกิดภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงถือไม่ได้ว่า คำฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แม้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ คดีส่วนอาญา ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาลงโทษจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง โจทก์ยังสามารถฎีกาได้อีก จำเลยมิได้ระบุว่าคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุด จึงฟังไม่ได้ว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว ในคดีนี้จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้กำลังทำร้ายร่างกายโจทก์จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายแก่กายเส้นเอ็นไหล่ขวาอักเสบและเส้นประสาทที่เกี่ยวกับการบังคับการเคลื่อนไหวของแขนขวาผิดปกติ จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน159,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์นำความเท็จมาฟ้องโดยมีสาเหตุเกิดจากโจทก์กับพวกร่วมกันทำให้ทรัพย์สินของจำเลยกับพวกเสียหาย จำเลยกับพวกจึงแจ้งความดำเนินคดีต่อโจทก์กับพวก โจทก์จึงแจ้งความดำเนินคดีต่อจำเลยในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจซึ่งจำเลยไม่ได้ใช้กำลังทำร้ายร่างกายโจทก์แต่อย่างใด และเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ชอบที่ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน12,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินจำนวน5,800 บาท แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาในทำนองว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งในคดีอาญานั้นศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไปแล้ว คดีนี้จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว คดีดังกล่าวศาลแขวงพระนครใต้ พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดและลงโทษจำเลยส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ในคดีอาญาดังกล่าวจึงยังฎีกาได้ ทั้งตามฎีกาของจำเลยคดีนี้ก็ไม่ได้ระบุว่า คดีอาญาดังกล่าวคดีถึงที่สุดไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่า ขณะนี้คดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นในชั้นนี้ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวตามที่จำเลยฎีกา
พิพากษายืน
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แม้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ คดีส่วนอาญา ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาลงโทษจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง โจทก์ยังสามารถฎีกาได้อีก จำเลยมิได้ระบุว่าคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุด จึงฟังไม่ได้ว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว ในคดีนี้จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้กำลังทำร้ายร่างกายโจทก์จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายแก่กายเส้นเอ็นไหล่ขวาอักเสบและเส้นประสาทที่เกี่ยวกับการบังคับการเคลื่อนไหวของแขนขวาผิดปกติ จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน159,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์นำความเท็จมาฟ้องโดยมีสาเหตุเกิดจากโจทก์กับพวกร่วมกันทำให้ทรัพย์สินของจำเลยกับพวกเสียหาย จำเลยกับพวกจึงแจ้งความดำเนินคดีต่อโจทก์กับพวก โจทก์จึงแจ้งความดำเนินคดีต่อจำเลยในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจซึ่งจำเลยไม่ได้ใช้กำลังทำร้ายร่างกายโจทก์แต่อย่างใด และเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ชอบที่ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน12,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินจำนวน5,800 บาท แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาในทำนองว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งในคดีอาญานั้นศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไปแล้ว คดีนี้จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว คดีดังกล่าวศาลแขวงพระนครใต้ พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดและลงโทษจำเลยส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ในคดีอาญาดังกล่าวจึงยังฎีกาได้ ทั้งตามฎีกาของจำเลยคดีนี้ก็ไม่ได้ระบุว่า คดีอาญาดังกล่าวคดีถึงที่สุดไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่า ขณะนี้คดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นในชั้นนี้ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวตามที่จำเลยฎีกา
พิพากษายืน
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แม้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้
คดีส่วนอาญา ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาลงโทษจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง โจทก์ยังสามารถฎีกาได้อีก จำเลยมิได้ระบุว่าคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุด จึงฟังไม่ได้ว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว ในคดีนี้จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แม้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้
คดีส่วนอาญา ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาลงโทษจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง โจทก์ยังสามารถฎีกาได้อีก จำเลยมิได้ระบุว่าคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุด จึงฟังไม่ได้ว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว ในคดีนี้จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาเช่าเอกสารหมายจ.1ของโจทก์ต้องห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87,90เดิมเนื่องจากโจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยานจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนโจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่จำต้องส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยานนัดแรกไม่ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค2กลับวินิจฉัยว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมอ้างว่าหลงลืมพลั้งเผลอโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำหนังสือเช่ามาสืบและโจทก์ไม่ทราบว่าหนังสือเช่านั้นมีอยู่กรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค2ในส่วนนี้เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแห่งคำอุทธรณ์และเป็นการนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88วรรคสี่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่13)พ.ศ.2535มาตรา3ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มิได้ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่13)พ.ศ.2535มาตรา2จึงเป็นการนำกฎหมายที่บังคับใช้ภายหลังมาใช้บังคับย้อนหลังต่อกระบวนพิจารณาที่ล่วงเลยมาแล้วย่อมเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยต่อไปว่าแม้ศาลชั้นต้นอนุญาตและโจทก์อ้างเอกสารที่ระบุพยานเพิ่มเติมเป็นพยานแล้วก็ย่อมต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87,90นั้นก็หาได้แสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา90เดิมอย่างไรไม่ได้อ้างบทบัญญัติของกฎหมายและแปลความหมายของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา90เดิมไว้จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา141(4)ประกอบด้วยมาตรา246ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค2เพื่อให้พิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(1)ประกอบด้วยมาตรา247
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ บังคับ จำเลย ขนย้าย ทรัพย์สิน และ บริวารออกจาก ที่ดิน โฉนด เลขที่ 3979 เลขที่ ดิน 19 หน้า สำรวจ 317ตำบล ยางขาว อำเภอพยุหะคีรี จังหวัด นครสวรรค์ และ ให้ จำเลย ชดใช้ ค่าเสียหาย แก่ โจทก์ ปี ละ 1,800 บาท นับแต่ วันฟ้อง จนกว่าจำเลย จะ ขนย้าย ทรัพย์สิน และ บริวาร ออก ไป จาก ที่ดิน ของ โจทก์
จำเลย ให้การ ว่า จำเลย เป็น เจ้าของ ที่ดินพิพาท เนื่องจากนาย ชุ่ม นำ ที่ดินพิพาท มา ขายฝาก แก่ จำเลย มี กำหนด ไถ่ถอน 3 ปี ครบ กำหนด แล้ว นาย ชุ่ม ไม่ ไถ่ถอน จำเลย เข้า ครอบครอง ทำประโยชน์ ต่อมา ด้วย ความสงบ เปิดเผย และ ด้วย เจตนา เป็น เจ้าของ โดย ไม่มี ผู้ใดโต้แย้ง เป็น เวลา ติดต่อ กัน จน ถึง ปัจจุบัน 13 ปี เศษ จำเลย จึง ได้กรรมสิทธิ์ ใน ที่ดิน แปลง นี้ ด้วย การ ครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จำเลย ไม่ได้ ทำละเมิด ต่อโจทก์ ขอให้ ยกฟ้อง
วันที่ 23 พฤษภาคม 2534 อันเป็น วันที่ ศาล เริ่มต้น ทำการสืบพยาน จำเลย ซึ่ง จำเลย เป็น ฝ่าย นำสืบ ก่อน นั้น โจทก์ ได้ ยื่นคำแถลง พร้อม บัญชีระบุพยาน เพิ่มเติม อ้าง สัญญาเช่า ที่นา ระหว่างนาย ชุ่ม กับ โจทก์ จำเลย ได้รับ สำเนา คำแถลง พร้อม บัญชีระบุพยาน เพิ่มเติม แล้ว ไม่ แถลง คัดค้าน ศาลชั้นต้น อนุญาต ให้ โจทก์ ยื่น บัญชีระบุพยาน เพิ่มเติม ได้ จำเลย เบิกความ ใน วันที่ 23 พฤษภาคม 2534 ว่า"จำเลย ไม่ทราบ เรื่อง สัญญาเช่า ระหว่าง นาย ชุ่ม กับ โจทก์ เพราะ โจทก์ ไม่ได้ ส่ง สำเนา สัญญา ให้ จำเลย ก่อน วัน นี้ " ต่อมา วันที่ 11 กันยายน2534 จำเลย นำสืบ นาย ชุ่ม โจทก์ ได้ อ้าง สัญญาเช่า ตาม บัญชี ระบุพยาน เพิ่มเติม ใน การ ถาม ค้านพยาน ต่อ ศาล จำเลย ไม่ คัดค้าน ว่าโจทก์ อ้าง สัญญาเช่า ดังกล่าว ฝ่าฝืน ต่อ ประมวล กฎหมาย วิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 90 เดิม ศาลชั้นต้น รับ สัญญาเช่า ดังกล่าว ไว้ หมาย จ. 1
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้องโจทก์
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า คดี นี้ ศาลชั้นต้น วินิจฉัย ว่า สัญญาเช่าเอกสาร หมาย จ. 1 ที่นาย ชุ่ม ทำ สัญญาเช่า ที่นา 9 ไร่ 2 งาน ตำบล ยางขาว อำเภอพยุหะคีรี จังหวัด นครสวรรค์ จาก โจทก์ นั้น ต้องห้าม รับฟัง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87, 90 เดิมเนื่องจาก โจทก์ ไม่ได้ ส่ง สำเนา ให้ จำเลย ก่อน วัน (ที่ ศาล เริ่มต้น ทำการ )สืบพยาน จำเลย ซึ่ง เป็น ฝ่าย นำสืบ ก่อน โจทก์ ฎีกา ใน ข้อกฎหมาย ว่าเอกสาร หมาย จ. 1 โจทก์ ส่ง อ้าง ตาม บัญชีระบุพยาน เพิ่มเติม จึง ส่งสำเนา เอกสาร ให้ จำเลย ใน วัน ระบุพยาน เพิ่มเติม ได้ ไม่ต้อง ส่ง สำเนา ให้จำเลย ก่อน วันที่ ศาล เริ่มต้น ทำการ สืบพยาน นัดแรก จึง ไม่ต้องห้าม รับฟังตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87, 90 เดิม แต่ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 กลับ วินิจฉัย ว่า "โจทก์ ยื่น คำร้องขอ ยื่น บัญชีระบุพยาน เพิ่มเติม อ้างว่า หลงลืม พลั้งเผลอ โดย ไม่ปรากฏ ว่า โจทก์ไม่สามารถ ทราบ ได้ว่า ต้อง นำ หนังสือ เช่า มา สืบ และ โจทก์ ไม่ทราบ ว่าหนังสือ เช่า นั้น มี อยู่ จึง เป็น ข้อ แก้ตัว ที่ ยาก จะ รับฟัง เมื่อ กฎหมายกำหนด หน้าที่ ของ คู่ความ ใน การ ระบุ อ้าง พยาน ไว้ โดย ชัดเจน เช่นนี้ จะ ยกประโยชน์ แห่ง ความยุติธรรม มา ใช้ อย่าง ฟุ่มเฟือย หา ควร ไม่ เพราะความยุติธรรม นั้น จะ ต้อง เป็น ไป เพื่อ คู่ความ ทั้ง สอง ฝ่าย มิใช่ เพื่อฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง แต่ ฝ่ายเดียว กรณี ไม่มี เหตุสมควร ที่ จะ อนุญาตให้ โจทก์ ระบุพยาน เพิ่มเติม " เห็นว่า คำวินิจฉัย ของ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2ใน ส่วน นี้ ย่อม เห็น ได้ว่า เป็น การ วินิจฉัย นอกประเด็น แห่ง คำอุทธรณ์และ เป็น การ นำ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสี่แก้ไข เพิ่มเติม โดย พระราชบัญญัติ แก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 มาตรา 3ซึ่ง เป็น บท กฎหมาย ที่ มิได้ ใช้ บังคับ อยู่ ใน ขณะที่ โจทก์ ดำเนินกระบวนพิจารณา ดังกล่าว มา วินิจฉัย เป็น การ ไม่ชอบ ด้วย พระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 13)พ.ศ. 2535 มาตรา 2 ที่ บัญญัติ ว่า "พระราชบัญญัติ นี้ ให้ ใช้ บังคับเมื่อ พ้น กำหนด หนึ่ง ร้อย ยี่สิบ วัน นับแต่ วันประกาศ ใน ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้น ไป เว้นแต่ มาตรา 9 ให้ ใช้ บังคับ ตั้งแต่ วัน ถัด จาก วันประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เป็นต้น ไป " เมื่อ พระราชบัญญัติ แก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 ได้ ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เมื่อ วันที่ 4 มีนาคม 2535 จึง เห็น ได้ว่า เป็น การนำ กฎหมาย ที่ บังคับ ใช้ ภายหลัง มา ใช้ บังคับ ย้อนหลัง ต่อ กระบวนพิจารณาที่ ล่วงเลย มา แล้ว ย่อม เป็น การ ไม่ชอบ นอกจาก นี้ มาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติ แก้ไข เพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 ก็ ได้ บัญญัติ ยกเว้น ไว้ โดยชัดแจ้ง ว่า"พระราชบัญญัติ นี้ ไม่ใช่ บังคับ แก่ บรรดา คดี ที่ ได้ ยื่นฟ้อง ไว้ แล้ว ก่อนวันที่ พระราชบัญญัติ นี้ ใช้ บังคับ และ ให้ ใช้ กฎหมาย ที่ ใช้ บังคับ อยู่ใน วันที่ ยื่นฟ้อง นั้น บังคับ แก่ คดี ดังกล่าว จนกว่า คดี จะ ถึงที่สุดเว้นแต่ มาตรา 9 ให้ ใช้ บังคับ แก่ บรรดา คดี ที่ ได้ ยื่นฟ้อง ไว้ แล้วก่อน วันที่ พระราชบัญญัติ นี้ ใช้ บังคับ ด้วย " ฉะนั้น การ ที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 นำ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 แก้ไขเพิ่มเติม โดย พระราชบัญญัติ แก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 มา ใช้ บังคับ ใน กรณี นี้ จึงเป็น การ ไม่ชอบ สำหรับ คำวินิจฉัย ของ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ใน ตอน ต่อมา ที่ ว่า"แม้ ศาลชั้นต้น อนุญาต และ โจทก์ อ้าง เอกสาร ที่ ระบุพยาน เพิ่มเติมเป็น พยาน แล้ว ก็ ย่อม ต้องห้าม มิให้ รับฟัง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 และ 90" นั้นก็ หา ได้ แสดง เหตุผล แห่ง คำวินิจฉัย ว่า ไม่ชอบ ด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 เดิม อย่างไร ไม่ได้อ้าง บทบัญญัติ ของ กฎหมาย และ แปล ความหมาย ของ บทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 เดิม ไว้ แล้ว นำข้อเท็จจริง ที่ โจทก์ อุทธรณ์ นั้น ปรับ เข้า กับ ข้อกฎหมาย จึง เป็น การไม่ชอบ ด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141(4) ประกอบด้วย มาตรา 246 ซึ่ง บัญญัติ ไว้ มี ใจความ ว่า คำพิพากษา ให้ ทำเป็น หนังสือ และ ต้อง กล่าว หรือ แสดง เหตุผล แห่ง คำวินิจฉัย ทั้งปวงและ บทบัญญัติ แห่ง ประมวล กฎหมาย นี้ ว่าด้วย การ พิจารณา และ ชี้ขาด ตัดสินคดี ใน ศาลชั้นต้น นั้น ให้ ใช้ บังคับ แก่ การ พิจารณา และ ชี้ขาด ตัดสิน คดี ในชั้นอุทธรณ์ โดย อนุโลม ดังนี้ เมื่อ คดี ปรากฏ เหตุ ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2มิได้ ปฏิบัติ ตาม บทบัญญัติ แห่งกฎหมาย วิธีพิจารณา ความ แพ่ง ว่าด้วยคำพิพากษา ศาลฎีกา อาศัย อำนาจ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) ประกอบ ด้วย มาตรา 247 เห็นสมควร ให้ ส่ง สำนวนคืน ไป ยัง ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 เพื่อ ให้ พิพากษา ใหม่
พิพากษายก คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ให้ ส่ง สำนวน คืน ไป ยังศาลอุทธรณ์ ภาค 2 เพื่อ พิพากษา ใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียม ใน ชั้นฎีกาให้ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 รวม สั่ง เมื่อ พิพากษา ใหม่ และ หาก โจทก์ ฎีกา คัดค้านคำพิพากษา ใหม่ ของ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ก็ ให้ยก เว้น ค่าขึ้นศาล ชั้นฎีกาแก่ โจทก์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาเช่าเอกสารหมายจ.1ของโจทก์ต้องห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87,90เดิมเนื่องจากโจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยานจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนโจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่จำต้องส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยานนัดแรกไม่ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค2กลับวินิจฉัยว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมอ้างว่าหลงลืมพลั้งเผลอโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำหนังสือเช่ามาสืบและโจทก์ไม่ทราบว่าหนังสือเช่านั้นมีอยู่กรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค2ในส่วนนี้เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแห่งคำอุทธรณ์และเป็นการนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88วรรคสี่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่13)พ.ศ.2535มาตรา3ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มิได้ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่13)พ.ศ.2535มาตรา2จึงเป็นการนำกฎหมายที่บังคับใช้ภายหลังมาใช้บังคับย้อนหลังต่อกระบวนพิจารณาที่ล่วงเลยมาแล้วย่อมเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยต่อไปว่าแม้ศาลชั้นต้นอนุญาตและโจทก์อ้างเอกสารที่ระบุพยานเพิ่มเติมเป็นพยานแล้วก็ย่อมต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87,90นั้นก็หาได้แสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา90เดิมอย่างไรไม่ได้อ้างบทบัญญัติของกฎหมายและแปลความหมายของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา90เดิมไว้จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา141(4)ประกอบด้วยมาตรา246ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค2เพื่อให้พิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(1)ประกอบด้วยมาตรา247
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ บังคับ จำเลย ขนย้าย ทรัพย์สิน และ บริวารออกจาก ที่ดิน โฉนด เลขที่ 3979 เลขที่ ดิน 19 หน้า สำรวจ 317ตำบล ยางขาว อำเภอพยุหะคีรี จังหวัด นครสวรรค์ และ ให้ จำเลย ชดใช้ ค่าเสียหาย แก่ โจทก์ ปี ละ 1,800 บาท นับแต่ วันฟ้อง จนกว่าจำเลย จะ ขนย้าย ทรัพย์สิน และ บริวาร ออก ไป จาก ที่ดิน ของ โจทก์
จำเลย ให้การ ว่า จำเลย เป็น เจ้าของ ที่ดินพิพาท เนื่องจากนาย ชุ่ม นำ ที่ดินพิพาท มา ขายฝาก แก่ จำเลย มี กำหนด ไถ่ถอน 3 ปี ครบ กำหนด แล้ว นาย ชุ่ม ไม่ ไถ่ถอน จำเลย เข้า ครอบครอง ทำประโยชน์ ต่อมา ด้วย ความสงบ เปิดเผย และ ด้วย เจตนา เป็น เจ้าของ โดย ไม่มี ผู้ใดโต้แย้ง เป็น เวลา ติดต่อ กัน จน ถึง ปัจจุบัน 13 ปี เศษ จำเลย จึง ได้กรรมสิทธิ์ ใน ที่ดิน แปลง นี้ ด้วย การ ครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จำเลย ไม่ได้ ทำละเมิด ต่อโจทก์ ขอให้ ยกฟ้อง
วันที่ 23 พฤษภาคม 2534 อันเป็น วันที่ ศาล เริ่มต้น ทำการสืบพยาน จำเลย ซึ่ง จำเลย เป็น ฝ่าย นำสืบ ก่อน นั้น โจทก์ ได้ ยื่นคำแถลง พร้อม บัญชีระบุพยาน เพิ่มเติม อ้าง สัญญาเช่า ที่นา ระหว่างนาย ชุ่ม กับ โจทก์ จำเลย ได้รับ สำเนา คำแถลง พร้อม บัญชีระบุพยาน เพิ่มเติม แล้ว ไม่ แถลง คัดค้าน ศาลชั้นต้น อนุญาต ให้ โจทก์ ยื่น บัญชีระบุพยาน เพิ่มเติม ได้ จำเลย เบิกความ ใน วันที่ 23 พฤษภาคม 2534 ว่า"จำเลย ไม่ทราบ เรื่อง สัญญาเช่า ระหว่าง นาย ชุ่ม กับ โจทก์ เพราะ โจทก์ ไม่ได้ ส่ง สำเนา สัญญา ให้ จำเลย ก่อน วัน นี้ " ต่อมา วันที่ 11 กันยายน2534 จำเลย นำสืบ นาย ชุ่ม โจทก์ ได้ อ้าง สัญญาเช่า ตาม บัญชี ระบุพยาน เพิ่มเติม ใน การ ถาม ค้านพยาน ต่อ ศาล จำเลย ไม่ คัดค้าน ว่าโจทก์ อ้าง สัญญาเช่า ดังกล่าว ฝ่าฝืน ต่อ ประมวล กฎหมาย วิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 90 เดิม ศาลชั้นต้น รับ สัญญาเช่า ดังกล่าว ไว้ หมาย จ. 1
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้องโจทก์
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า คดี นี้ ศาลชั้นต้น วินิจฉัย ว่า สัญญาเช่าเอกสาร หมาย จ. 1 ที่นาย ชุ่ม ทำ สัญญาเช่า ที่นา 9 ไร่ 2 งาน ตำบล ยางขาว อำเภอพยุหะคีรี จังหวัด นครสวรรค์ จาก โจทก์ นั้น ต้องห้าม รับฟัง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87, 90 เดิมเนื่องจาก โจทก์ ไม่ได้ ส่ง สำเนา ให้ จำเลย ก่อน วัน (ที่ ศาล เริ่มต้น ทำการ )สืบพยาน จำเลย ซึ่ง เป็น ฝ่าย นำสืบ ก่อน โจทก์ ฎีกา ใน ข้อกฎหมาย ว่าเอกสาร หมาย จ. 1 โจทก์ ส่ง อ้าง ตาม บัญชีระบุพยาน เพิ่มเติม จึง ส่งสำเนา เอกสาร ให้ จำเลย ใน วัน ระบุพยาน เพิ่มเติม ได้ ไม่ต้อง ส่ง สำเนา ให้จำเลย ก่อน วันที่ ศาล เริ่มต้น ทำการ สืบพยาน นัดแรก จึง ไม่ต้องห้าม รับฟังตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87, 90 เดิม แต่ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 กลับ วินิจฉัย ว่า "โจทก์ ยื่น คำร้องขอ ยื่น บัญชีระบุพยาน เพิ่มเติม อ้างว่า หลงลืม พลั้งเผลอ โดย ไม่ปรากฏ ว่า โจทก์ไม่สามารถ ทราบ ได้ว่า ต้อง นำ หนังสือ เช่า มา สืบ และ โจทก์ ไม่ทราบ ว่าหนังสือ เช่า นั้น มี อยู่ จึง เป็น ข้อ แก้ตัว ที่ ยาก จะ รับฟัง เมื่อ กฎหมายกำหนด หน้าที่ ของ คู่ความ ใน การ ระบุ อ้าง พยาน ไว้ โดย ชัดเจน เช่นนี้ จะ ยกประโยชน์ แห่ง ความยุติธรรม มา ใช้ อย่าง ฟุ่มเฟือย หา ควร ไม่ เพราะความยุติธรรม นั้น จะ ต้อง เป็น ไป เพื่อ คู่ความ ทั้ง สอง ฝ่าย มิใช่ เพื่อฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง แต่ ฝ่ายเดียว กรณี ไม่มี เหตุสมควร ที่ จะ อนุญาตให้ โจทก์ ระบุพยาน เพิ่มเติม " เห็นว่า คำวินิจฉัย ของ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2ใน ส่วน นี้ ย่อม เห็น ได้ว่า เป็น การ วินิจฉัย นอกประเด็น แห่ง คำอุทธรณ์และ เป็น การ นำ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสี่แก้ไข เพิ่มเติม โดย พระราชบัญญัติ แก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 มาตรา 3ซึ่ง เป็น บท กฎหมาย ที่ มิได้ ใช้ บังคับ อยู่ ใน ขณะที่ โจทก์ ดำเนินกระบวนพิจารณา ดังกล่าว มา วินิจฉัย เป็น การ ไม่ชอบ ด้วย พระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 13)พ.ศ. 2535 มาตรา 2 ที่ บัญญัติ ว่า "พระราชบัญญัติ นี้ ให้ ใช้ บังคับเมื่อ พ้น กำหนด หนึ่ง ร้อย ยี่สิบ วัน นับแต่ วันประกาศ ใน ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้น ไป เว้นแต่ มาตรา 9 ให้ ใช้ บังคับ ตั้งแต่ วัน ถัด จาก วันประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เป็นต้น ไป " เมื่อ พระราชบัญญัติ แก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 ได้ ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เมื่อ วันที่ 4 มีนาคม 2535 จึง เห็น ได้ว่า เป็น การนำ กฎหมาย ที่ บังคับ ใช้ ภายหลัง มา ใช้ บังคับ ย้อนหลัง ต่อ กระบวนพิจารณาที่ ล่วงเลย มา แล้ว ย่อม เป็น การ ไม่ชอบ นอกจาก นี้ มาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติ แก้ไข เพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 ก็ ได้ บัญญัติ ยกเว้น ไว้ โดยชัดแจ้ง ว่า"พระราชบัญญัติ นี้ ไม่ใช่ บังคับ แก่ บรรดา คดี ที่ ได้ ยื่นฟ้อง ไว้ แล้ว ก่อนวันที่ พระราชบัญญัติ นี้ ใช้ บังคับ และ ให้ ใช้ กฎหมาย ที่ ใช้ บังคับ อยู่ใน วันที่ ยื่นฟ้อง นั้น บังคับ แก่ คดี ดังกล่าว จนกว่า คดี จะ ถึงที่สุดเว้นแต่ มาตรา 9 ให้ ใช้ บังคับ แก่ บรรดา คดี ที่ ได้ ยื่นฟ้อง ไว้ แล้วก่อน วันที่ พระราชบัญญัติ นี้ ใช้ บังคับ ด้วย " ฉะนั้น การ ที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 นำ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 แก้ไขเพิ่มเติม โดย พระราชบัญญัติ แก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 มา ใช้ บังคับ ใน กรณี นี้ จึงเป็น การ ไม่ชอบ สำหรับ คำวินิจฉัย ของ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ใน ตอน ต่อมา ที่ ว่า"แม้ ศาลชั้นต้น อนุญาต และ โจทก์ อ้าง เอกสาร ที่ ระบุพยาน เพิ่มเติมเป็น พยาน แล้ว ก็ ย่อม ต้องห้าม มิให้ รับฟัง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 และ 90" นั้นก็ หา ได้ แสดง เหตุผล แห่ง คำวินิจฉัย ว่า ไม่ชอบ ด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 เดิม อย่างไร ไม่ได้อ้าง บทบัญญัติ ของ กฎหมาย และ แปล ความหมาย ของ บทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 เดิม ไว้ แล้ว นำข้อเท็จจริง ที่ โจทก์ อุทธรณ์ นั้น ปรับ เข้า กับ ข้อกฎหมาย จึง เป็น การไม่ชอบ ด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141(4) ประกอบด้วย มาตรา 246 ซึ่ง บัญญัติ ไว้ มี ใจความ ว่า คำพิพากษา ให้ ทำเป็น หนังสือ และ ต้อง กล่าว หรือ แสดง เหตุผล แห่ง คำวินิจฉัย ทั้งปวงและ บทบัญญัติ แห่ง ประมวล กฎหมาย นี้ ว่าด้วย การ พิจารณา และ ชี้ขาด ตัดสินคดี ใน ศาลชั้นต้น นั้น ให้ ใช้ บังคับ แก่ การ พิจารณา และ ชี้ขาด ตัดสิน คดี ในชั้นอุทธรณ์ โดย อนุโลม ดังนี้ เมื่อ คดี ปรากฏ เหตุ ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2มิได้ ปฏิบัติ ตาม บทบัญญัติ แห่งกฎหมาย วิธีพิจารณา ความ แพ่ง ว่าด้วยคำพิพากษา ศาลฎีกา อาศัย อำนาจ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) ประกอบ ด้วย มาตรา 247 เห็นสมควร ให้ ส่ง สำนวนคืน ไป ยัง ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 เพื่อ ให้ พิพากษา ใหม่
พิพากษายก คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ให้ ส่ง สำนวน คืน ไป ยังศาลอุทธรณ์ ภาค 2 เพื่อ พิพากษา ใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียม ใน ชั้นฎีกาให้ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 รวม สั่ง เมื่อ พิพากษา ใหม่ และ หาก โจทก์ ฎีกา คัดค้านคำพิพากษา ใหม่ ของ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ก็ ให้ยก เว้น ค่าขึ้นศาล ชั้นฎีกาแก่ โจทก์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.1 ของโจทก์ต้องห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87,90เดิมเนื่องจากโจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยานจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อน โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่จำต้องส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยานนัดแรกไม่ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับวินิจฉัยว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติม อ้างว่าหลงลืมพลั้งเผลอโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำหนังสือเช่ามาสืบและโจทก์ไม่ทราบว่าหนังสือเช่านั้นมีอยู่ กรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติม คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2ในส่วนนี้ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแห่งคำอุทธรณ์ และเป็นการนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสี่ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 มาตรา 3 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มิได้ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม เป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 มาตรา 2 จึงเป็นการนำกฎหมายที่บังคับใช้ภายหลังมาใช้บังคับย้อนหลังต่อกระบวนพิจารณาที่ล่วงเลยมาแล้วย่อมเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยต่อไปว่า แม้ศาลชั้นต้นอนุญาตและโจทก์อ้างเอกสารที่ระบุพยานเพิ่มเติมเป็นพยานแล้ว ก็ย่อมต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87,90 นั้นก็หาได้แสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 เดิม อย่างไร ไม่ได้อ้างบทบัญญัติของกฎหมาย และแปลความหมายของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 เดิม ไว้ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141(4) ประกอบด้วยมาตรา 246 ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2เพื่อให้พิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) ประกอบด้วยมาตรา 247
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 3979 เลขที่ดิน 19 หน้าสำรวจ 317ตำบลยางขาว อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 1,800 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท เนื่องจากนายชุ่มนำที่ดินพิพาทมาขายฝากแก่จำเลยมีกำหนดไถ่ถอน 3 ปีครบกำหนดแล้วนายชุ่มไม่ไถ่ถอน จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ต่อมาด้วยความสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งเป็นเวลาติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน 13 ปีเศษ จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ด้วยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จำเลยไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
วันที่ 23 พฤษภาคม 2534 อันเป็นวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยานจำเลย ซึ่งจำเลยเป็นฝ่ายนำสืบก่อนนั้น โจทก์ได้ยื่นคำแถลงพร้อมบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม อ้างสัญญาเช่าที่นาระหว่างนายชุ่มกับโจทก์ จำเลยได้รับสำเนาคำแถลงพร้อมบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมแล้ว ไม่แถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ จำเลยเบิกความในวันที่ 23 พฤษภาคม 2534 ว่า"จำเลยไม่ทราบเรื่องสัญญาเช่าระหว่างนายชุ่มกับโจทก์ เพราะโจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาสัญญาให้จำเลยก่อนวันนี้" ต่อมาวันที่ 11 กันยายน2534 จำเลยนำสืบนายชุ่ม โจทก์ ได้อ้างสัญญาเช่า ตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมในการถามค้านพยานต่อศาล จำเลยไม่คัดค้านว่าโจทก์อ้างสัญญาเช่าดังกล่าวฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 เดิม ศาลชั้นต้นรับสัญญาเช่าดังกล่าวไว้หมาย จ.1
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.1 ที่นายชุ่มทำสัญญาเช่าที่นา 9 ไร่ 2 งาน ตำบลยางขาว อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ จากโจทก์นั้นต้องห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87, 90 เดิมเนื่องจากโจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวัน (ที่ศาลเริ่มต้นทำการ)สืบพยานจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อน โจทก์ฎีกาในข้อกฎหมายว่าเอกสารหมาย จ.1 โจทก์ส่งอ้างตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมจึงส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยในวันระบุพยานเพิ่มเติมได้ ไม่ต้องส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยานนัดแรก จึงไม่ต้องห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87, 90 เดิม แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับวินิจฉัยว่า "โจทก์ยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม อ้างว่าหลงลืมพลั้งเผลอโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำหนังสือเช่ามาสืบ และโจทก์ไม่ทราบว่าหนังสือเช่านั้นมีอยู่ จึงเป็นข้อแก้ตัวที่ยากจะรับฟัง เมื่อกฎหมายกำหนดหน้าที่ของคู่ความในการระบุอ้างพยานไว้โดยชัดเจนเช่นนี้ จะยกประโยชน์แห่งความยุติธรรมมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยหาควรไม่ เพราะความยุติธรรมนั้นจะต้องเป็นไปเพื่อคู่ความทั้งสองฝ่าย มิใช่เพื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว กรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติม" เห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2ในส่วนนี้ย่อมเห็นได้ว่า เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแห่งคำอุทธรณ์และเป็นการนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสี่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 มาตรา 3ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มิได้ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวมาวินิจฉัย เป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 13)พ.ศ. 2535 มาตรา 2 ที่บัญญัติว่า "พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่มาตรา 9 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป" เมื่อพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2535 จึงเห็นได้ว่าเป็นการนำกฎหมายที่บังคับใช้ภายหลังมาใช้บังคับย้อนหลังต่อกระบวนพิจารณาที่ล่วงเลยมาแล้วย่อมเป็นการไม่ชอบ นอกจากนี้มาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 ก็ได้บัญญัติยกเว้นไว้โดยชัดแจ้งว่า"พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช่บังคับแก่บรรดาคดีที่ได้ยื่นฟ้องไว้แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และให้ใช้กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่ยื่นฟ้องนั้นบังคับแก่คดีดังกล่าวจนกว่าคดีจะถึงที่สุดเว้นแต่มาตรา 9 ให้ใช้บังคับแก่บรรดาคดีที่ได้ยื่นฟ้องไว้แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย" ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 มาใช้บังคับในกรณีนี้จึงเป็นการไม่ชอบ สำหรับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในตอนต่อมาที่ว่า"แม้ศาลชั้นต้นอนุญาตและโจทก์อ้างเอกสารที่ระบุพยานเพิ่มเติมเป็นพยานแล้ว ก็ย่อมต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 และ 90" นั้นก็หาได้แสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่า ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 เดิม อย่างไรไม่ได้อ้างบทบัญญัติของกฎหมาย และแปลความหมายของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 เดิม ไว้ แล้วนำข้อเท็จจริงที่โจทก์อุทธรณ์นั้นปรับเข้ากับข้อกฎหมายจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141(4) ประกอบด้วยมาตรา 246 ซึ่งบัญญัติไว้มีใจความว่า คำพิพากษาให้ทำเป็นหนังสือและต้องกล่าวหรือแสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยทั้งปวงและบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในศาลชั้นต้นนั้น ให้ใช้บังคับแก่การพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์โดยอนุโลมดังนี้เมื่อคดีปรากฏเหตุที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษา ศาลฎีกาอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) ประกอบด้วยมาตรา 247 เห็นสมควรให้ส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อให้พิพากษาใหม่
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อพิพากษาใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่และหากโจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาใหม่ของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็ให้ยกเว้นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.1 ของโจทก์ต้องห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87,90เดิมเนื่องจากโจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยานจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อน โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่จำต้องส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยานนัดแรกไม่ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับวินิจฉัยว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติม อ้างว่าหลงลืมพลั้งเผลอโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำหนังสือเช่ามาสืบและโจทก์ไม่ทราบว่าหนังสือเช่านั้นมีอยู่ กรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติม คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2ในส่วนนี้ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแห่งคำอุทธรณ์ และเป็นการนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสี่ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 มาตรา 3 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มิได้ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม เป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 มาตรา 2 จึงเป็นการนำกฎหมายที่บังคับใช้ภายหลังมาใช้บังคับย้อนหลังต่อกระบวนพิจารณาที่ล่วงเลยมาแล้วย่อมเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยต่อไปว่า แม้ศาลชั้นต้นอนุญาตและโจทก์อ้างเอกสารที่ระบุพยานเพิ่มเติมเป็นพยานแล้ว ก็ย่อมต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87,90 นั้นก็หาได้แสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 เดิม อย่างไร ไม่ได้อ้างบทบัญญัติของกฎหมาย และแปลความหมายของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 เดิม ไว้ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141(4) ประกอบด้วยมาตรา 246 ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2เพื่อให้พิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) ประกอบด้วยมาตรา 247
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 3979 เลขที่ดิน 19 หน้าสำรวจ 317ตำบลยางขาว อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 1,800 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท เนื่องจากนายชุ่มนำที่ดินพิพาทมาขายฝากแก่จำเลยมีกำหนดไถ่ถอน 3 ปีครบกำหนดแล้วนายชุ่มไม่ไถ่ถอน จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ต่อมาด้วยความสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งเป็นเวลาติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน 13 ปีเศษ จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ด้วยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จำเลยไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
วันที่ 23 พฤษภาคม 2534 อันเป็นวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยานจำเลย ซึ่งจำเลยเป็นฝ่ายนำสืบก่อนนั้น โจทก์ได้ยื่นคำแถลงพร้อมบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม อ้างสัญญาเช่าที่นาระหว่างนายชุ่มกับโจทก์ จำเลยได้รับสำเนาคำแถลงพร้อมบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมแล้ว ไม่แถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ จำเลยเบิกความในวันที่ 23 พฤษภาคม 2534 ว่า"จำเลยไม่ทราบเรื่องสัญญาเช่าระหว่างนายชุ่มกับโจทก์ เพราะโจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาสัญญาให้จำเลยก่อนวันนี้" ต่อมาวันที่ 11 กันยายน2534 จำเลยนำสืบนายชุ่ม โจทก์ ได้อ้างสัญญาเช่า ตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมในการถามค้านพยานต่อศาล จำเลยไม่คัดค้านว่าโจทก์อ้างสัญญาเช่าดังกล่าวฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 เดิม ศาลชั้นต้นรับสัญญาเช่าดังกล่าวไว้หมาย จ.1
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.1 ที่นายชุ่มทำสัญญาเช่าที่นา 9 ไร่ 2 งาน ตำบลยางขาว อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ จากโจทก์นั้นต้องห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87, 90 เดิมเนื่องจากโจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวัน (ที่ศาลเริ่มต้นทำการ)สืบพยานจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อน โจทก์ฎีกาในข้อกฎหมายว่าเอกสารหมาย จ.1 โจทก์ส่งอ้างตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมจึงส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยในวันระบุพยานเพิ่มเติมได้ ไม่ต้องส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยานนัดแรก จึงไม่ต้องห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87, 90 เดิม แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับวินิจฉัยว่า "โจทก์ยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม อ้างว่าหลงลืมพลั้งเผลอโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำหนังสือเช่ามาสืบ และโจทก์ไม่ทราบว่าหนังสือเช่านั้นมีอยู่ จึงเป็นข้อแก้ตัวที่ยากจะรับฟัง เมื่อกฎหมายกำหนดหน้าที่ของคู่ความในการระบุอ้างพยานไว้โดยชัดเจนเช่นนี้ จะยกประโยชน์แห่งความยุติธรรมมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยหาควรไม่ เพราะความยุติธรรมนั้นจะต้องเป็นไปเพื่อคู่ความทั้งสองฝ่าย มิใช่เพื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว กรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติม" เห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2ในส่วนนี้ย่อมเห็นได้ว่า เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแห่งคำอุทธรณ์และเป็นการนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสี่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 มาตรา 3ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มิได้ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวมาวินิจฉัย เป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 13)พ.ศ. 2535 มาตรา 2 ที่บัญญัติว่า "พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่มาตรา 9 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป" เมื่อพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2535 จึงเห็นได้ว่าเป็นการนำกฎหมายที่บังคับใช้ภายหลังมาใช้บังคับย้อนหลังต่อกระบวนพิจารณาที่ล่วงเลยมาแล้วย่อมเป็นการไม่ชอบ นอกจากนี้มาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 ก็ได้บัญญัติยกเว้นไว้โดยชัดแจ้งว่า"พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช่บังคับแก่บรรดาคดีที่ได้ยื่นฟ้องไว้แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และให้ใช้กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่ยื่นฟ้องนั้นบังคับแก่คดีดังกล่าวจนกว่าคดีจะถึงที่สุดเว้นแต่มาตรา 9 ให้ใช้บังคับแก่บรรดาคดีที่ได้ยื่นฟ้องไว้แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย" ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 มาใช้บังคับในกรณีนี้จึงเป็นการไม่ชอบ สำหรับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในตอนต่อมาที่ว่า"แม้ศาลชั้นต้นอนุญาตและโจทก์อ้างเอกสารที่ระบุพยานเพิ่มเติมเป็นพยานแล้ว ก็ย่อมต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 และ 90" นั้นก็หาได้แสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่า ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 เดิม อย่างไรไม่ได้อ้างบทบัญญัติของกฎหมาย และแปลความหมายของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 เดิม ไว้ แล้วนำข้อเท็จจริงที่โจทก์อุทธรณ์นั้นปรับเข้ากับข้อกฎหมายจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141(4) ประกอบด้วยมาตรา 246 ซึ่งบัญญัติไว้มีใจความว่า คำพิพากษาให้ทำเป็นหนังสือและต้องกล่าวหรือแสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยทั้งปวงและบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในศาลชั้นต้นนั้น ให้ใช้บังคับแก่การพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์โดยอนุโลมดังนี้เมื่อคดีปรากฏเหตุที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษา ศาลฎีกาอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) ประกอบด้วยมาตรา 247 เห็นสมควรให้ส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อให้พิพากษาใหม่
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อพิพากษาใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่และหากโจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาใหม่ของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็ให้ยกเว้นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาแก่โจทก์
โจทก์ฟ้องเรียกสินสมรสส่วนของโจทก์เฉพาะที่เป็นเงินสดในบัญชีเงินฝากของ พ. ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกไปจากจำเลยที่ 3 จำนวน 3,652,065.20 บาท ว่าโจทก์มีสิทธิได้กึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็มิได้ปฏิเสธทั้งยังยอมรับในบัญชีทรัพย์อันดับที่ 26 ท้ายรายงานการประชุมของทายาทว่าจำนวนเงิน 3,652,065.20 บาท เป็นสินสมรสระหว่างนาย พ.กับโจทก์ จึงฟังได้ว่าเงินจำนวน 3,652,065.20 บาท ที่จำเลยที่ 1และที่ 2 เบิกไปจากจำเลยที่ 3 เป็นสินสมรสระหว่าง พ.กับโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิได้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1625 ประกอบด้วยมาตรา 1533 คือ จำนวน 1,826,032.60 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2ต้องรับผิดคืนเงินจำนวนนี้ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยส่วนดอกเบี้ยนั้น การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกเงินสินสมรสของโจทก์ไปแล้วไม่คืนให้โจทก์ย่อมเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยให้โจทก์อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีโดยนับแต่วันที่เบิกเอาไปจากจำเลยที่ 3 เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 206 และ 224 โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินโดยอ้างว่าเป็นสินสมรส และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรส โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินดังกล่าวเพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งแปลงจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดอ้างศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นทายาทของนายพิชัย กังสัมฤทธิ์ ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว จำเลยที่ 1และที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันของนายพิชัย จำเลยที่ 3เป็นบริษัทจำกัดจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์และมีสาขาประกอบกิจการธนาคารในประเทศไทย หลังจากที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกของนายพิชัยแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและตามพินัยกรรม ปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์มรดกและเบิกเงินไปจากจำเลยที่ 3 จำนวน 3,652,065.20 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ได้มาระหว่างที่นายพิชัยสมรสกับโจทก์ โดยยังไม่ได้ทำการแบ่งแยกออกเป็นสินสมรสส่วนของโจทก์และไม่นำส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของนายพิชัยไปแสดงไว้ในรายการบัญชีทรัพย์มรดกของนายพิชัยทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับสินสมรสส่วนของโจทก์กึ่งหนึ่งเป็นเงิน 1,826,032.60 บาท ก่อนที่นายพิชัยจะถึงแก่กรรมนายพิชัยและโจทก์ได้ร่วมกันเช่าซื้อที่ดินแปลงที่ 289ซอยสุภาพงษ์ ถนนลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร จากสันนิบาต เทศบาลแห่งประเทศไทย เมื่อนายพิชัยถึงแก่กรรมแล้วโจทก์เป็นผู้ผ่อนชำระต่อ รวมเป็นเงินที่ได้ผ่อนชำระไปทั้งสิ้น 160,800 บาทที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินสมรสระหว่างนายพิชัยกับโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้แสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ของสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทยและแจ้งว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกของนายพิชัย โจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย สันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทยหลงเชื่อจึงโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1และที่ 2 ไปทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย สำหรับจำเลยที่ 3เนื่องจากโจทก์เคยมีหนังสือแจ้งให้ทราบแล้วว่าจำนวนเงินดังกล่าวในบัญชีเงินฝากของนายพิชัยเป็นสินสมรสขอให้จำเลยที่ 3กันและแยกเงินส่วนของโจทก์ที่เป็นสินสมรสไว้ด้วย แต่เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 มาแสดงตนขอรับเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยที่ 3จำเลยที่ 3 กลับจ่ายให้ไปจึงถือว่าเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับเงินสินสมรสส่วนของโจทก์จำนวน 1,826,032.60 บาท จำเลยทั้งสามต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปีซึ่งโจทก์มีสิทธิจะได้รับจากจำเลยที่ 3 หากไม่มีการเบิกเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2527 จนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย 296,730.30 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,122,762.90 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินจำนวน 2,122,762.90 บาทให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน1,826,032.60 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินแปลงที่ 289 ซอยสุภาพงษ์ถนนลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ หากโอนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้เงินจำนวน 103,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ถอนจำเลยที่ 1และที่ 2 จากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายพิชัย และมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกแทน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกก็ได้จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกขึ้นภายใน 15 วันแต่ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครบถ้วนเพราะทรัพย์สินมีมากและอยู่ในความครอบครองของโจทก์ จำเลยที่ 1และที่ 2 เคยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ส่งมอบทรัพย์สินดังกล่าวแล้วแต่โจทก์ไม่ยอมส่งมอบ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงได้ยื่นคำร้องแจ้งเหตุขัดข้องดังกล่าวพร้อมกับขอขยายเวลาจัดทำบัญชีทรัพย์ต่อศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ 3235-3236/2528 และได้ยื่นบัญชีทรัพย์ภายในกำหนดเวลาแล้ว ส่วนเงินในบัญชีกระแสรายวันของนายพิชัยที่ฝากไว้กับจำเลยที่ 3 จำนวน 3,652,065.20 บาทนั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ขอรับไปเพื่อเปลี่ยนชื่อบัญชีเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายพิชัยไม่ได้นำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ สำหรับที่ดินแปลงเลขที่ 289ซอยสุภาพงษ์ ถนนลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 และที่ 2รับโอนใส่ชื่อของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายพิชัย เพื่อจัดทำบัญชีทรัพย์และแบ่งให้แก่ทายาทต่อไปหาได้มีเจตนาปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์มรดกไม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2ได้ปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ได้จ่ายเงินตามฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายพิชัยไปโดยสุจริตเพราะมีคำพิพากษาถึงที่สุดตั้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของนายพิชัยแล้ว จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายพิชัย กังสัมฤทธิ์ ใช้เงินจำนวน 810,615.47 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 29 มิถุนายน2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ กับให้โอนที่ดินแปลงที่ 289 ซอยสุภาพงษ์ ถนนลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์หากโอนไม่ได้ให้ใช้เงินจำนวน 103,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่ง ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 ตุลาคม 2528)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 3 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันใช้เงินจำนวน 2,122,762.90 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 1,826,032.60 บาทนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 ตุลาคม 2528) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นทายาทของนายพิชัย กังสัมฤทธิ์จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของนายพิชัย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการมรดกโดยมิชอบเป็นเหตุให้ต้องถูกถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก และมีเหตุที่จะตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกแทนหรือไม่ปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1และที่ 2 ตามที่โจทก์อ้างมายังไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2มีเจตนาที่จะปิดบังทรัพย์มรดกดังกล่าว กรณียังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะถอนจำเลยที่ 1 และที่ 2 จากการเป็นผู้จัดการมรดกจึงไม่มีเหตุที่จะตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกแทน
ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีว่า โจทก์ควรได้รับส่วนแบ่งสินสมรสที่เป็นเงินฝากของนายพิชัยเป็นจำนวนเท่าไร เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกสินสมรสส่วนของโจทก์เฉพาะที่เป็นเงินสดในบัญชีเงินฝากของนายพิชัยที่จำเลยที่ 1 และที่ 2เบิกไปจากจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2527 จำนวน3,652,065.20 บาท ว่าโจทก์มีสิทธิได้กึ่งหนึ่ง คือ จำนวน1,826,032.60 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็มิได้ปฏิเสธ ทั้งยังยอมรับในบัญชีทรัพย์อันดับที่ 26 ท้ายรายงานการประชุมของทายาทตามเอกสารหมาย ล.13 ว่าจำนวนเงิน 3,652,065.20 บาท เป็นสินสมรสระหว่างนายพิชัยกับโจทก์ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า เงินจำนวน3,652,065.20 บาท ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกไปจากจำเลยที่ 3เป็นสินสมรสระหว่างนายพิชัยกับโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิได้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1625 ประกอบด้วยมาตรา 1533คือ จำนวน 1,826,032.60 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องรับผิดคืนเงินจำนวนนี้ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ส่วนดอกเบี้ยนั้นการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกเงินสินสมรสของโจทก์ไปแล้วไม่คืนให้โจทก์ย่อมเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยให้โจทก์อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โดยนับแต่วันที่เบิกเอาไปจากจำเลยที่ 3 คือวันที่ 29 มิถุนายน 2527 เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 206 และ 224
ปัญหาสุดท้ายมีว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินแปลง 289 (โฉนดที่ดินเลขที่ 118004 ตำบลลาดยาวอำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร) ซอยสุภาพงษ์ ถนนลาดพร้าวกรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ทั้งแปลงนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาก็ตามศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นสินสมรส และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรส โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินดังกล่าวเพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1และที่ 2 โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งแปลง จึงเป็นการไม่ชอบ
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 2,122,762.90 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาขอรับผิดเพียง 1,020,589.12 บาท ค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาจึงต้องคิดจากทุนทรัพย์ 1,102,173.78 บาท ซึ่งคิดเป็นเงิน 27,555 บาทแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาเป็นเงิน99,060 บาท จึงสมควรคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินให้แก่จำเลยที่ 1และที่ 2 จำนวน 71,505 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 1,826,032.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินแปลงเลขที่ 289 (โฉนดที่ดินเลขที่ 118004 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร)ซอยสุภาพงษ์ ถนนลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์โดยใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกึ่งหนึ่งในโฉนดที่ดินดังกล่าว นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 15,000 บาทและคืนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาที่เสียเกินมาจำนวน 71,505 บาทแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2
โจทก์ฟ้องเรียกสินสมรสส่วนของโจทก์เฉพาะที่เป็นเงินสดในบัญชีเงินฝากของ พ. ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกไปจากจำเลยที่ 3 จำนวน 3,652,065.20 บาท ว่าโจทก์มีสิทธิได้กึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็มิได้ปฏิเสธทั้งยังยอมรับในบัญชีทรัพย์อันดับที่ 26 ท้ายรายงานการประชุมของทายาทว่าจำนวนเงิน 3,652,065.20 บาท เป็นสินสมรสระหว่างนาย พ.กับโจทก์ จึงฟังได้ว่าเงินจำนวน 3,652,065.20 บาท ที่จำเลยที่ 1และที่ 2 เบิกไปจากจำเลยที่ 3 เป็นสินสมรสระหว่าง พ.กับโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิได้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1625 ประกอบด้วยมาตรา 1533 คือ จำนวน 1,826,032.60 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2ต้องรับผิดคืนเงินจำนวนนี้ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยส่วนดอกเบี้ยนั้น การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกเงินสินสมรสของโจทก์ไปแล้วไม่คืนให้โจทก์ย่อมเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยให้โจทก์อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีโดยนับแต่วันที่เบิกเอาไปจากจำเลยที่ 3 เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 206 และ 224 โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินโดยอ้างว่าเป็นสินสมรส และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรส โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินดังกล่าวเพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งแปลงจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดอ้างศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นทายาทของนายพิชัย กังสัมฤทธิ์ ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว จำเลยที่ 1และที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันของนายพิชัย จำเลยที่ 3เป็นบริษัทจำกัดจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์และมีสาขาประกอบกิจการธนาคารในประเทศไทย หลังจากที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกของนายพิชัยแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและตามพินัยกรรม ปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์มรดกและเบิกเงินไปจากจำเลยที่ 3 จำนวน 3,652,065.20 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ได้มาระหว่างที่นายพิชัยสมรสกับโจทก์ โดยยังไม่ได้ทำการแบ่งแยกออกเป็นสินสมรสส่วนของโจทก์และไม่นำส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของนายพิชัยไปแสดงไว้ในรายการบัญชีทรัพย์มรดกของนายพิชัยทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับสินสมรสส่วนของโจทก์กึ่งหนึ่งเป็นเงิน 1,826,032.60 บาท ก่อนที่นายพิชัยจะถึงแก่กรรมนายพิชัยและโจทก์ได้ร่วมกันเช่าซื้อที่ดินแปลงที่ 289ซอยสุภาพงษ์ ถนนลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร จากสันนิบาต เทศบาลแห่งประเทศไทย เมื่อนายพิชัยถึงแก่กรรมแล้วโจทก์เป็นผู้ผ่อนชำระต่อ รวมเป็นเงินที่ได้ผ่อนชำระไปทั้งสิ้น 160,800 บาทที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินสมรสระหว่างนายพิชัยกับโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้แสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ของสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทยและแจ้งว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกของนายพิชัย โจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย สันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทยหลงเชื่อจึงโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1และที่ 2 ไปทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย สำหรับจำเลยที่ 3เนื่องจากโจทก์เคยมีหนังสือแจ้งให้ทราบแล้วว่าจำนวนเงินดังกล่าวในบัญชีเงินฝากของนายพิชัยเป็นสินสมรสขอให้จำเลยที่ 3กันและแยกเงินส่วนของโจทก์ที่เป็นสินสมรสไว้ด้วย แต่เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 มาแสดงตนขอรับเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยที่ 3จำเลยที่ 3 กลับจ่ายให้ไปจึงถือว่าเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับเงินสินสมรสส่วนของโจทก์จำนวน 1,826,032.60 บาท จำเลยทั้งสามต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปีซึ่งโจทก์มีสิทธิจะได้รับจากจำเลยที่ 3 หากไม่มีการเบิกเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2527 จนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย 296,730.30 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,122,762.90 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินจำนวน 2,122,762.90 บาทให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน1,826,032.60 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินแปลงที่ 289 ซอยสุภาพงษ์ถนนลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ หากโอนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้เงินจำนวน 103,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ถอนจำเลยที่ 1และที่ 2 จากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายพิชัย และมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกแทน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกก็ได้จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกขึ้นภายใน 15 วันแต่ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครบถ้วนเพราะทรัพย์สินมีมากและอยู่ในความครอบครองของโจทก์ จำเลยที่ 1และที่ 2 เคยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ส่งมอบทรัพย์สินดังกล่าวแล้วแต่โจทก์ไม่ยอมส่งมอบ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงได้ยื่นคำร้องแจ้งเหตุขัดข้องดังกล่าวพร้อมกับขอขยายเวลาจัดทำบัญชีทรัพย์ต่อศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ 3235-3236/2528 และได้ยื่นบัญชีทรัพย์ภายในกำหนดเวลาแล้ว ส่วนเงินในบัญชีกระแสรายวันของนายพิชัยที่ฝากไว้กับจำเลยที่ 3 จำนวน 3,652,065.20 บาทนั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ขอรับไปเพื่อเปลี่ยนชื่อบัญชีเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายพิชัยไม่ได้นำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ สำหรับที่ดินแปลงเลขที่ 289ซอยสุภาพงษ์ ถนนลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 และที่ 2รับโอนใส่ชื่อของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายพิชัย เพื่อจัดทำบัญชีทรัพย์และแบ่งให้แก่ทายาทต่อไปหาได้มีเจตนาปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์มรดกไม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2ได้ปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ได้จ่ายเงินตามฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายพิชัยไปโดยสุจริตเพราะมีคำพิพากษาถึงที่สุดตั้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของนายพิชัยแล้ว จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายพิชัย กังสัมฤทธิ์ ใช้เงินจำนวน 810,615.47 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 29 มิถุนายน2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ กับให้โอนที่ดินแปลงที่ 289 ซอยสุภาพงษ์ ถนนลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์หากโอนไม่ได้ให้ใช้เงินจำนวน 103,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่ง ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 ตุลาคม 2528)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 3 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันใช้เงินจำนวน 2,122,762.90 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 1,826,032.60 บาทนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 ตุลาคม 2528) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นทายาทของนายพิชัย กังสัมฤทธิ์จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของนายพิชัย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการมรดกโดยมิชอบเป็นเหตุให้ต้องถูกถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก และมีเหตุที่จะตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกแทนหรือไม่ปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1และที่ 2 ตามที่โจทก์อ้างมายังไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2มีเจตนาที่จะปิดบังทรัพย์มรดกดังกล่าว กรณียังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะถอนจำเลยที่ 1 และที่ 2 จากการเป็นผู้จัดการมรดกจึงไม่มีเหตุที่จะตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกแทน
ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีว่า โจทก์ควรได้รับส่วนแบ่งสินสมรสที่เป็นเงินฝากของนายพิชัยเป็นจำนวนเท่าไร เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกสินสมรสส่วนของโจทก์เฉพาะที่เป็นเงินสดในบัญชีเงินฝากของนายพิชัยที่จำเลยที่ 1 และที่ 2เบิกไปจากจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2527 จำนวน3,652,065.20 บาท ว่าโจทก์มีสิทธิได้กึ่งหนึ่ง คือ จำนวน1,826,032.60 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็มิได้ปฏิเสธ ทั้งยังยอมรับในบัญชีทรัพย์อันดับที่ 26 ท้ายรายงานการประชุมของทายาทตามเอกสารหมาย ล.13 ว่าจำนวนเงิน 3,652,065.20 บาท เป็นสินสมรสระหว่างนายพิชัยกับโจทก์ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า เงินจำนวน3,652,065.20 บาท ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกไปจากจำเลยที่ 3เป็นสินสมรสระหว่างนายพิชัยกับโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิได้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1625 ประกอบด้วยมาตรา 1533คือ จำนวน 1,826,032.60 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องรับผิดคืนเงินจำนวนนี้ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ส่วนดอกเบี้ยนั้นการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกเงินสินสมรสของโจทก์ไปแล้วไม่คืนให้โจทก์ย่อมเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยให้โจทก์อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โดยนับแต่วันที่เบิกเอาไปจากจำเลยที่ 3 คือวันที่ 29 มิถุนายน 2527 เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 206 และ 224
ปัญหาสุดท้ายมีว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินแปลง 289 (โฉนดที่ดินเลขที่ 118004 ตำบลลาดยาวอำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร) ซอยสุภาพงษ์ ถนนลาดพร้าวกรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ทั้งแปลงนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาก็ตามศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นสินสมรส และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรส โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินดังกล่าวเพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1และที่ 2 โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งแปลง จึงเป็นการไม่ชอบ
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 2,122,762.90 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาขอรับผิดเพียง 1,020,589.12 บาท ค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาจึงต้องคิดจากทุนทรัพย์ 1,102,173.78 บาท ซึ่งคิดเป็นเงิน 27,555 บาทแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาเป็นเงิน99,060 บาท จึงสมควรคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินให้แก่จำเลยที่ 1และที่ 2 จำนวน 71,505 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 1,826,032.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินแปลงเลขที่ 289 (โฉนดที่ดินเลขที่ 118004 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร)ซอยสุภาพงษ์ ถนนลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์โดยใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกึ่งหนึ่งในโฉนดที่ดินดังกล่าว นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 15,000 บาทและคืนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาที่เสียเกินมาจำนวน 71,505 บาทแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2
โจทก์ฟ้องเรียกสินสมรสส่วนของโจทก์เฉพาะที่เป็นเงินสดในบัญชีเงินฝากของ พ.ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกไปจากจำเลยที่ 3 จำนวน3,652,065.20 บาท ว่าโจทก์มีสิทธิได้กึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็มิได้ปฏิเสธทั้งยังยอมรับในบัญชีทรัพย์อันดับที่ 26 ท้ายรายงานการประชุมของทายาทว่าจำนวนเงิน 3,652,065.20 บาท เป็นสินสมรสระหว่างนาย พ.กับโจทก์ จึงฟังได้ว่าเงินจำนวน 3,652,065.20 บาท ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกไปจากจำเลยที่ 3เป็นสินสมรสระหว่าง พ.กับโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิได้กึ่งหนึ่งตาม ป.พ.พ.มาตรา1625 ประกอบด้วยมาตรา 1533 คือ จำนวน 1,826,032.60 บาท จำเลยที่ 1และที่ 2 ต้องรับผิดคืนเงินจำนวนนี้ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ส่วนดอกเบี้ยนั้น การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกเงินสินสมรสของโจทก์ไปแล้วไม่คืนให้โจทก์ย่อมเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยให้โจทก์อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โดยนับแต่วันที่เบิกเอาไปจากจำเลยที่ 3 เป็นต้นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 206 และ 224
โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินโดยอ้างว่าเป็นสินสมรส และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรส โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินดังกล่าวเพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งแปลงจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
โจทก์ฟ้องเรียกสินสมรสส่วนของโจทก์เฉพาะที่เป็นเงินสดในบัญชีเงินฝากของ พ.ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกไปจากจำเลยที่ 3 จำนวน3,652,065.20 บาท ว่าโจทก์มีสิทธิได้กึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็มิได้ปฏิเสธทั้งยังยอมรับในบัญชีทรัพย์อันดับที่ 26 ท้ายรายงานการประชุมของทายาทว่าจำนวนเงิน 3,652,065.20 บาท เป็นสินสมรสระหว่างนาย พ.กับโจทก์ จึงฟังได้ว่าเงินจำนวน 3,652,065.20 บาท ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกไปจากจำเลยที่ 3เป็นสินสมรสระหว่าง พ.กับโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิได้กึ่งหนึ่งตาม ป.พ.พ.มาตรา1625 ประกอบด้วยมาตรา 1533 คือ จำนวน 1,826,032.60 บาท จำเลยที่ 1และที่ 2 ต้องรับผิดคืนเงินจำนวนนี้ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ส่วนดอกเบี้ยนั้น การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกเงินสินสมรสของโจทก์ไปแล้วไม่คืนให้โจทก์ย่อมเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยให้โจทก์อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โดยนับแต่วันที่เบิกเอาไปจากจำเลยที่ 3 เป็นต้นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 206 และ 224
โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินโดยอ้างว่าเป็นสินสมรส และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรส โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินดังกล่าวเพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งแปลงจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทรายเดียวกันในคดีแพ่ง ซึ่งถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยไม่ใช่ของผู้ร้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของผู้ร้อง แม้ที่ดินพิพาทจะมีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท ผู้ร้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนั้น แต่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้รอการพิจารณาคำร้องขอเข้าอยู่อาศัยและทำประโยชน์ของผู้ร้องไว้ เพราะที่ดินพิพาทถูกยึด ผู้ร้องจึงยังไม่ได้รับสิทธิให้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ยังไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิร้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีและให้ถอนการยึดตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 158 ต้องยกคำร้องขอ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่ากรณีเป็นการร้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามฎีกาของผู้ร้องต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ในคดีนี้ได้ฟ้องจำเลยขอให้ล้มละลายศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานบังคับคดีได้โอนทรัพย์ที่ยึดในคดีแพ่งเข้ามาไว้ในกองทรัพย์สินของจำเลย ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ถอนการยึดเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินพิพาทที่ยึดนั้นมิใช่ของจำเลยผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยและเข้าครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2526 เป็นต้นมา เดิมที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่ต่อมามีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินพิพาทจึงเป็นที่ดินของรัฐหรือสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองมาก่อนและได้ยื่นคำร้องขอต่อสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อเข้าอยู่อาศัยและทำประโยชน์ตามระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีมีสิทธิร้องคัดค้านการยึดและขอให้เพิกถอนการยึดที่ดินพิพาทได้ ขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ถอนการยึดที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิร้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีและให้ถอนการยึดได้หรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทในรายเดียวกันนี้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1493/2527 ของศาลชั้นต้น ซึ่งคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ไม่ใช่ของผู้ร้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังยุติได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของผู้ร้อง ส่วนที่ผู้ร้องอ้างในคดีนี้ว่าเดิมที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่ต่อมามีพระราชกฤษฎีกา กำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนและได้ยื่นคำร้องขอต่อสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อเข้าอยู่อาศัยและทำประโยชน์ตามระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ทำการรังวัดที่ดินพิพาทตามคำร้องขอของผู้ร้องโดยมีเนื้อที่ 46 ไร่ 3 งาน 99 ตารางวา ผู้ร้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า แม้เป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง แต่ปรากฏตามคำร้องขอของผู้ร้องว่าสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้รอการพิจารณาคำร้องขอของผู้ร้องไว้เพราะที่ดินพิพาทถูกยึด ดังนี้แสดงว่าผู้ร้องยังไม่ได้รับสิทธิให้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จึงยังไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิร้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีและให้ถอนการยึดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 158 ต้องยกคำร้องขอคดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่ากรณีเป็นการร้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามฎีกาของผู้ร้องต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน
ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทรายเดียวกันในคดีแพ่ง ซึ่งถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยไม่ใช่ของผู้ร้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของผู้ร้อง แม้ที่ดินพิพาทจะมีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท ผู้ร้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนั้น แต่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้รอการพิจารณาคำร้องขอเข้าอยู่อาศัยและทำประโยชน์ของผู้ร้องไว้ เพราะที่ดินพิพาทถูกยึด ผู้ร้องจึงยังไม่ได้รับสิทธิให้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ยังไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิร้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีและให้ถอนการยึดตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 158 ต้องยกคำร้องขอ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่ากรณีเป็นการร้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามฎีกาของผู้ร้องต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ในคดีนี้ได้ฟ้องจำเลยขอให้ล้มละลายศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานบังคับคดีได้โอนทรัพย์ที่ยึดในคดีแพ่งเข้ามาไว้ในกองทรัพย์สินของจำเลย ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ถอนการยึดเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินพิพาทที่ยึดนั้นมิใช่ของจำเลยผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยและเข้าครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2526 เป็นต้นมา เดิมที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่ต่อมามีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินพิพาทจึงเป็นที่ดินของรัฐหรือสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองมาก่อนและได้ยื่นคำร้องขอต่อสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อเข้าอยู่อาศัยและทำประโยชน์ตามระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีมีสิทธิร้องคัดค้านการยึดและขอให้เพิกถอนการยึดที่ดินพิพาทได้ ขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ถอนการยึดที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิร้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีและให้ถอนการยึดได้หรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทในรายเดียวกันนี้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1493/2527 ของศาลชั้นต้น ซึ่งคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ไม่ใช่ของผู้ร้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังยุติได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของผู้ร้อง ส่วนที่ผู้ร้องอ้างในคดีนี้ว่าเดิมที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่ต่อมามีพระราชกฤษฎีกา กำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนและได้ยื่นคำร้องขอต่อสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อเข้าอยู่อาศัยและทำประโยชน์ตามระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ทำการรังวัดที่ดินพิพาทตามคำร้องขอของผู้ร้องโดยมีเนื้อที่ 46 ไร่ 3 งาน 99 ตารางวา ผู้ร้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า แม้เป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง แต่ปรากฏตามคำร้องขอของผู้ร้องว่าสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้รอการพิจารณาคำร้องขอของผู้ร้องไว้เพราะที่ดินพิพาทถูกยึด ดังนี้แสดงว่าผู้ร้องยังไม่ได้รับสิทธิให้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จึงยังไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิร้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีและให้ถอนการยึดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 158 ต้องยกคำร้องขอคดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่ากรณีเป็นการร้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามฎีกาของผู้ร้องต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน
ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทรายเดียวกันในคดีแพ่ง ซึ่งถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยไม่ใช่ของผู้ร้องข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของผู้ร้อง
แม้ที่ดินพิพาทจะมีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท ผู้ร้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนั้น แต่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้รอการพิจารณาคำร้องขอเข้าอยู่อาศัยและทำประโยชน์ของผู้ร้องไว้ เพราะที่ดินพิพาทถูกยึด ผู้ร้องจึงยังไม่ได้รับสิทธิให้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ยังไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิร้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีและให้ถอนการยึดตามพ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 158 ต้องยกคำร้องขอ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่า กรณีเป็นการร้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามฎีกาของผู้ร้องต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทรายเดียวกันในคดีแพ่ง ซึ่งถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยไม่ใช่ของผู้ร้องข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของผู้ร้อง
แม้ที่ดินพิพาทจะมีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท ผู้ร้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนั้น แต่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้รอการพิจารณาคำร้องขอเข้าอยู่อาศัยและทำประโยชน์ของผู้ร้องไว้ เพราะที่ดินพิพาทถูกยึด ผู้ร้องจึงยังไม่ได้รับสิทธิให้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ยังไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิร้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีและให้ถอนการยึดตามพ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 158 ต้องยกคำร้องขอ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่า กรณีเป็นการร้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามฎีกาของผู้ร้องต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
การที่บุคคลจะใช้สิทธิทางศาลได้จะต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ แต่พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มิได้บัญญัติให้บุคคลใช้สิทธิทางศาลในเรื่องที่จะขอให้เพิกถอนการประชุมสภาเทศบาลและมติของที่ประชุมสภาเทศบาลไว้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธินำคดีมาสู่ศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 เมื่อพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ได้บัญญัติเกี่ยวกับสภาเทศบาลไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงนำบทบัญญัติ มาตรา 1195 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยคดีหาได้ไม่
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า เทศบาลเมืองระยองเป็นเทศบาลเมืองตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มีนายเฉลา วิริยะพงษ์เป็นนายกเทศมนตรี นายเอี่ยม จันทร์สว่าง เป็นประธานสภาเทศบาลผู้ร้องทั้งสองกับบุคคลอื่นอีก 16 คน เป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองระยองซึ่งได้รับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2533 สภาเทศบาลเมืองระยองได้กำหนดสมัยประชุมสามัญประจำปี 2534 ไว้ 2 สมัยคือสมัยแรกตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2534 สมัยที่สองตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2534 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม2534 ประธานสภาเทศบาลเมืองระยองได้มีหนังสือเชิญสมาชิกสภาเทศบาลเมืองระยอง ประชุมสมัยประชุมสามัญวันสุดท้ายในวันที่ 15 สิงหาคม2534 โดยมีวาระสำคัญคือพิจารณาร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2535 ในวันประชุมดังกล่าว ประธานสภาเทศบาลเมืองระยองได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า นายเฉลา วิริยะพงษ์ นายกเทศมนตรีได้มีหนังสือขอขยายเวลาการประชุมสามัญสมัยที่สองต่อไปอีก 15 วันตั้งแต่วันที่ 16 ถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2534 การขายเวลาสมัยประชุมสามัญดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการขยายเวลาการประชุมสมัยสามัญเป็นอำนาจหน้าที่ของสภาเทศบาลเป็นผู้ขอขยายและประธานสภามีหนังสือขออนุญาตจังหวัดตามมติที่ประชุมของสภาเทศบาลตามมาตรา 24แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2492 ต่อมาวันที่ 22 สิงหาคม 2534ได้มีการประชุมตามหนังสือเชิญประชุมของประธานสภาเทศบาลเมืองระยองก่อนจะมีการประชุมผู้ร้องที่ 1 ได้ยื่นญัตติว่าการประชุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เทศบาลเมืองระยองดำเนินการขยายเวลาประชุมให้เป็นไปตามกฎหมายเสียก่อน แต่ที่ประชุมได้ลงมติว่าการประชุมในวันดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายแล้ว ผู้ร้องทั้งสองและนายมานพ วาจาสิทธิได้เดินออกจากที่ประชุมและได้ทำหนังสือคัดค้านการประชุมและเรื่องอื่น ๆ ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้มีหนังสือถึงผู้ร้องว่าได้ว่ากล่าวตักเตือนประธานสภาเทศบาลเมืองระยองและนายกเทศมนตรีเมืองระยองแล้ว ปรากฏตามสำเนาหนังสือเอกสารท้ายคำร้อง และต่อมามีการประชุมสภาเทศบาลในวันที่ 26 และวันที่30 สิงหาคม 2534 อีก การประชุมในวันที่ 22 วันที่ 26 และวันที่30 สิงหาคม 2534 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย มติของที่ประชุมทั้งหมดเป็นโมฆะ เพราะการขอขยายเวลาการประชุมเป็นหน้าที่ของสภาเทศบาลมิใช่หน้าที่ของนายกเทศมนตรี ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล ขอให้เพิกถอนการประชุมและมีมติที่ประชุมของสภาเทศบาลเมืองระยองในวันที่ 22 วันที่ 26 และวันที่30 สิงหาคม 2534
ผู้คัดค้านทั้งสิบห้ายื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 1เป็นนายกเทศมนตรีเมืองระยอง ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นประธานสภาเทศบาลเมืองระยอง ผู้คัดค้านที่ 3 ถึงที่ 15 เป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองระยอง การขอขยายเวลาสมัยการประชุมสามัญตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 24 มิได้ระบุว่าผู้ใดจะเป็นผู้เสนอขออนุญาตต่อผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ได้กำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อนุญาต เมื่อเทศบาลเมืองระยองโดยผู้คัดค้านที่ 1 ในฐานะนายกเทศมนตรีได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดระยองขออนุญาตขยายเวลาการประชุมสามัญสภาเทศบาลเมืองระยองสมัยที่สองและต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้อนุญาตให้ขยายเวลาการประชุมดังกล่าวแล้ว การประชุมและมติของที่ประชุมสภาเทศบาลเมืองระยองในวันที่ 22 วันที่ 26 และวันที่ 30 สิงหาคม 2534 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วให้งดไต่สวนและวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ไม่มีบทบัญญัติให้บุคคลใช้สิทธิทางศาลในเรื่องนี้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิมายื่นคำร้องต่อศาล ให้ยกคำร้อง ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าผู้ร้องทั้งสองจะขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการประชุมและมติของที่ประชุมสภาเทศบาลเมืองระยองได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิจะนำคดีมาสู่ศาลได้หรือไม่ ซึ่งจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 คือมีการโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ร้องทั้งสองแล้วหรือยัง หรือผู้ร้องทั้งสองจะใช้สิทธิทางศาลในกรณีนี้ได้หรือไม่พิเคราะห์แล้ว ตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสองไม่ปรากฏว่าการประชุมสภาเทศบาลเมืองระยองซึ่งได้ประชุมในช่วงระยะเวลาที่มีการขยายเวลาการประชุมสมัยที่ 2 ประจำปี 2534 และมติของที่ประชุมสภาเทศบาลเมืองระยองดังกล่าวเป็นการโต้แย้งสิทธิหน้าที่ของผู้ร้องทั้งสองแต่อย่างใดเลย สำหรับปัญหาที่ว่าผู้ร้องทั้งสองจะใช้สิทธิทางศาลในกรณีนี้ได้หรือไม่ เห็นว่า การที่บุคคลจะใช้สิทธิทางศาลได้จะต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ แต่พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มิได้บัญญัติให้บุคคลใช้สิทธิทางศาลในเรื่องที่จะขอให้เพิกถอนการประชุมสภาเทศบาลและมติของที่ประชุมสภาเทศบาลไว้แต่อย่างใด ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่มีสิทธินำคดีมาสู่ศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ที่ผู้ร้องทั้งสองฎีกาว่าในเมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้จึงต้องวินิจฉัยคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 เรื่องการขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของบริษัทซึ่งเป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนั้นเห็นว่า พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ได้บัญญัติเกี่ยวกับสภาเทศบาลไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงจะนำบทบัญญัติ มาตรา 1195 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยคดีหาได้ไม่"
พิพากษายืน
การที่บุคคลจะใช้สิทธิทางศาลได้จะต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ แต่พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มิได้บัญญัติให้บุคคลใช้สิทธิทางศาลในเรื่องที่จะขอให้เพิกถอนการประชุมสภาเทศบาลและมติของที่ประชุมสภาเทศบาลไว้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธินำคดีมาสู่ศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 เมื่อพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ได้บัญญัติเกี่ยวกับสภาเทศบาลไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงนำบทบัญญัติ มาตรา 1195 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยคดีหาได้ไม่
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า เทศบาลเมืองระยองเป็นเทศบาลเมืองตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มีนายเฉลา วิริยะพงษ์เป็นนายกเทศมนตรี นายเอี่ยม จันทร์สว่าง เป็นประธานสภาเทศบาลผู้ร้องทั้งสองกับบุคคลอื่นอีก 16 คน เป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองระยองซึ่งได้รับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2533 สภาเทศบาลเมืองระยองได้กำหนดสมัยประชุมสามัญประจำปี 2534 ไว้ 2 สมัยคือสมัยแรกตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2534 สมัยที่สองตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2534 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม2534 ประธานสภาเทศบาลเมืองระยองได้มีหนังสือเชิญสมาชิกสภาเทศบาลเมืองระยอง ประชุมสมัยประชุมสามัญวันสุดท้ายในวันที่ 15 สิงหาคม2534 โดยมีวาระสำคัญคือพิจารณาร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2535 ในวันประชุมดังกล่าว ประธานสภาเทศบาลเมืองระยองได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า นายเฉลา วิริยะพงษ์ นายกเทศมนตรีได้มีหนังสือขอขยายเวลาการประชุมสามัญสมัยที่สองต่อไปอีก 15 วันตั้งแต่วันที่ 16 ถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2534 การขายเวลาสมัยประชุมสามัญดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการขยายเวลาการประชุมสมัยสามัญเป็นอำนาจหน้าที่ของสภาเทศบาลเป็นผู้ขอขยายและประธานสภามีหนังสือขออนุญาตจังหวัดตามมติที่ประชุมของสภาเทศบาลตามมาตรา 24แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2492 ต่อมาวันที่ 22 สิงหาคม 2534ได้มีการประชุมตามหนังสือเชิญประชุมของประธานสภาเทศบาลเมืองระยองก่อนจะมีการประชุมผู้ร้องที่ 1 ได้ยื่นญัตติว่าการประชุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เทศบาลเมืองระยองดำเนินการขยายเวลาประชุมให้เป็นไปตามกฎหมายเสียก่อน แต่ที่ประชุมได้ลงมติว่าการประชุมในวันดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายแล้ว ผู้ร้องทั้งสองและนายมานพ วาจาสิทธิได้เดินออกจากที่ประชุมและได้ทำหนังสือคัดค้านการประชุมและเรื่องอื่น ๆ ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้มีหนังสือถึงผู้ร้องว่าได้ว่ากล่าวตักเตือนประธานสภาเทศบาลเมืองระยองและนายกเทศมนตรีเมืองระยองแล้ว ปรากฏตามสำเนาหนังสือเอกสารท้ายคำร้อง และต่อมามีการประชุมสภาเทศบาลในวันที่ 26 และวันที่30 สิงหาคม 2534 อีก การประชุมในวันที่ 22 วันที่ 26 และวันที่30 สิงหาคม 2534 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย มติของที่ประชุมทั้งหมดเป็นโมฆะ เพราะการขอขยายเวลาการประชุมเป็นหน้าที่ของสภาเทศบาลมิใช่หน้าที่ของนายกเทศมนตรี ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล ขอให้เพิกถอนการประชุมและมีมติที่ประชุมของสภาเทศบาลเมืองระยองในวันที่ 22 วันที่ 26 และวันที่30 สิงหาคม 2534
ผู้คัดค้านทั้งสิบห้ายื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 1เป็นนายกเทศมนตรีเมืองระยอง ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นประธานสภาเทศบาลเมืองระยอง ผู้คัดค้านที่ 3 ถึงที่ 15 เป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองระยอง การขอขยายเวลาสมัยการประชุมสามัญตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 24 มิได้ระบุว่าผู้ใดจะเป็นผู้เสนอขออนุญาตต่อผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ได้กำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อนุญาต เมื่อเทศบาลเมืองระยองโดยผู้คัดค้านที่ 1 ในฐานะนายกเทศมนตรีได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดระยองขออนุญาตขยายเวลาการประชุมสามัญสภาเทศบาลเมืองระยองสมัยที่สองและต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้อนุญาตให้ขยายเวลาการประชุมดังกล่าวแล้ว การประชุมและมติของที่ประชุมสภาเทศบาลเมืองระยองในวันที่ 22 วันที่ 26 และวันที่ 30 สิงหาคม 2534 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วให้งดไต่สวนและวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ไม่มีบทบัญญัติให้บุคคลใช้สิทธิทางศาลในเรื่องนี้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิมายื่นคำร้องต่อศาล ให้ยกคำร้อง ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าผู้ร้องทั้งสองจะขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการประชุมและมติของที่ประชุมสภาเทศบาลเมืองระยองได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิจะนำคดีมาสู่ศาลได้หรือไม่ ซึ่งจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 คือมีการโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ร้องทั้งสองแล้วหรือยัง หรือผู้ร้องทั้งสองจะใช้สิทธิทางศาลในกรณีนี้ได้หรือไม่พิเคราะห์แล้ว ตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสองไม่ปรากฏว่าการประชุมสภาเทศบาลเมืองระยองซึ่งได้ประชุมในช่วงระยะเวลาที่มีการขยายเวลาการประชุมสมัยที่ 2 ประจำปี 2534 และมติของที่ประชุมสภาเทศบาลเมืองระยองดังกล่าวเป็นการโต้แย้งสิทธิหน้าที่ของผู้ร้องทั้งสองแต่อย่างใดเลย สำหรับปัญหาที่ว่าผู้ร้องทั้งสองจะใช้สิทธิทางศาลในกรณีนี้ได้หรือไม่ เห็นว่า การที่บุคคลจะใช้สิทธิทางศาลได้จะต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ แต่พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มิได้บัญญัติให้บุคคลใช้สิทธิทางศาลในเรื่องที่จะขอให้เพิกถอนการประชุมสภาเทศบาลและมติของที่ประชุมสภาเทศบาลไว้แต่อย่างใด ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่มีสิทธินำคดีมาสู่ศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ที่ผู้ร้องทั้งสองฎีกาว่าในเมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้จึงต้องวินิจฉัยคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 เรื่องการขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของบริษัทซึ่งเป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนั้นเห็นว่า พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ได้บัญญัติเกี่ยวกับสภาเทศบาลไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงจะนำบทบัญญัติ มาตรา 1195 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยคดีหาได้ไม่"
พิพากษายืน
พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยองจังหวัดระยอง พ.ศ. 2527 มาตรา 5 บัญญัติ ให้จำเลยกำหนดราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืนตามความเป็นธรรมที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ฯ โดยนอกจากคำนึงถึงราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ประกอบกับเหตุและวัตถุประสงค์ของการเวนคืนด้วย และตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 มาตรา 6 กำหนดให้จำเลยมีวัตถุประสงค์แสวงหากำไรทางเศรษฐกิจอยู่ด้วย จำเลยย่อมได้รับผลประโยชน์จากที่ดินที่ถูกเวนคืนด้วย เมื่อจำเลยได้รับที่ดินของโจทก์ไปเท่าใดก็ควรจะต้องใช้ค่าทดแทนราคาให้แก่โจทก์ตามราคาของ ที่ดินของโจทก์ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ฯ จึงถือว่าเป็นราคาตามความเป็นธรรม ที่ดินพิพาทของโจทก์ด้านหนึ่งติดทะเล อีกด้านหนึ่งติดถนนซอยสาธารณะ โจทก์ได้ปรับปรุงที่ดินทั้งแปลงให้มีสภาพที่ดีขึ้นเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยทั้งที่ดินพิพาทที่ถูกเวนคืนมีเนื้อที่ 10 ไร่ 3 งาน 85 ตารางวา ไม่มากจนถึงกับมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดราคาให้แตกต่างกันเป็นส่วน ๆ ลดหลั่นลงไปตามหน่วยที่กำหนดไว้ในบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อเป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมอำเภอเมืองระยอง ปี 2525-2527 การกำหนดค่าทดแทนที่ดินพิพาทเป็นราคาเดียวกันตลอดทั้งแปลงเท่ากับราคาที่กำหนดไว้ตามบัญชีกำหนดราคา ฯ ในส่วนที่ดินนอกเขตสุขาภิบาลฝั่งทิศใต้ถนนสุขุมวิท บริเวณชายทะเลห่างจากทะเลหรือถนนริมทะเลรัศมี 100 เมตร จึงชอบด้วยมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุดอำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. 2527
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2527 มีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุดอำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. 2527 ให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจกำหนดราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน ครั้นวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2529 จำเลยได้มีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า ได้กำหนดค่าทดแทนที่ดิน พืชผล ต้นไม้ อาคารและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืนให้โจทก์รวม 1,501,369.20 บาท ที่ดินของโจทก์มีราคาธรรมดาที่ซื้อกันในท้องตลาดขณะที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอบ้านฉาง อำเภอเมืองระยอง และอำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. 2525 ใช้บังคับ ตารางวาละ 1,250 บาท แต่โจทก์ขอคิดเพียงตารางวาละ 750 บาท คิดเป็นเงิน 3,288,750 บาท และโจทก์ได้ใช้เงินค่าปลูกสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินไปจำนวน 1,855,000 บาท เมื่อหักจำนวนเงินค่าทดแทนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ได้รับแล้ว1,420,834.20 บาท จำเลยจะต้องจ่ายค่าทดแทนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพิ่มให้โจทก์อีก 3,722,915.80 บาท พร้อมดอกเบี้ย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 3,722,915.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยกำหนดค่าทดแทนที่ดินตามราคาประเมินทรัพย์ฯ และกำหนดค่ารื้อย้ายอาคารและสิ่งปลูกสร้างโดยคำนึงถึงความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของรัฐในลักษณะที่เป็นธรรมและเหมาะสมแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้นให้แก่โจทก์ เป็นเงิน 665,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 5 กรกฎาคม 2532) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยองจังหวัดระยอง พ.ศ. 2527 มาตรา 5 บัญญัติให้จำเลยกำหนดราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืนตามความเป็นธรรมที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่กิ่งอำเภอบ้านฉาง อำเภอเมืองระยอง และอำเภอเมืองระยองจังหวัดระยอง พ.ศ. 2525 คือวันที่ 10 ธันวาคม 2525 โดยนอกจากคำนึงถึงราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแล้วยังต้องคำนึงถึงสภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ประกอบกับเหตุและวัตถุประสงค์ของการเวนคืนด้วย และตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 มาตรา 6 กำหนดให้จำเลยเป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์แสวงหากำไรทางเศรษฐกิจอยู่ด้วยจำเลยย่อมได้รับผลประโยชน์จากที่ดินที่ถูกเวนคืนด้วย เมื่อจำเลยได้รับที่ดินของโจทก์ไปเท่าใดก็ควรจะต้องใช้ค่าทดแทนราคาให้แก่โจทก์ตามราคาของที่ดินของโจทก์ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ฯ จึงถือว่าเป็นราคาตามความเป็นธรรม ปัญหานี้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาเมื่อปี 2513 ในราคา314,400 บาท ไร่ละประมาณ 30,000 บาท เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยที่ดินพิพาทด้านหนึ่งติดทะเล อีกด้านหนึ่งติดถนนซอยสาธารณะโจทก์ได้ปรับปรุงที่ดินและปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดิน 3 หลัง สร้างศาลา ขุดบ่อน้ำจืด 3 บ่อ และปลูกไม้ยืนต้น เห็นว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาก่อนพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ฯ ใช้บังคับประมาณ 12 ปี และได้ปรับปรุงที่ดินพิพาทให้มีสภาพที่ดีขึ้น ตลอดจนระยะเวลาที่ผ่านมานาน ย่อมทำให้ที่ดินพิพาทมีราคาสูงขึ้นอีกมาก ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของนายเทพ อินบัง กำนันตำบลมาบตาพุด พยานจำเลยว่า เมื่อปี 2525 ที่ดินติดทะเลที่อยู่ใกล้กับที่ดินที่ถูกเวนคืนราคาซื้อขายไร่ละกว่า 100,000 บาท ที่ดินของโจทก์ทั้งแปลงมีราคาซื้อขายไร่ละกว่า 100,000 บาทขึ้นไป โดยปกติในการซื้อขายทั่วไปมักจะซื้อขายราคาเดียวกันทั้งแปลง นอกจากนี้ตามบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อเป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม อำเภอเมืองระยอง ปี 2525 -2527ก็กำหนดไว้ว่า ที่ดินนอกเขตสุขาภิบาล ฝั่งทิศใต้ถนนสุขุมวิทบริเวณชายทะเลห่างจากทะเลหรือถนนริมทะเลรัศมี 100 เมตร ไร่ละ110,000 บาท และโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยคิดเฉลี่ยราคาทั้งแปลงและได้ใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของที่ดินพิพาทในลักษณะเดียวกันคือใช้เป็นที่อยู่อาศัย ทั้งที่ดินพิพาทที่ถูกเวนคืนมีเนื้อที่10 ไร่ 3 งาน 85 ตารางวา ไม่มากจนถึงกับมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดราคาให้แตกต่างกันเป็นส่วน ๆ ลดหลั่นลงไปตามหน่วยที่กำหนดไว้ในบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อเป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมอำเภอเมืองระยอง ปี 2525-2527 ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าทดแทนที่ดินพิพาทไร่ละ 110,000 บาท เป็นราคาเดียวกันตลอดทั้งแปลงเป็นการกำหนดค่าทดแทนที่ดินพิพาทที่ได้คำนึงถึงผลการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ ซึ่งตีราคาเพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่และราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตลอดจนสภาพและที่ตั้งของที่ดินพิพาทประกอบกับเหตุผลและวัตถุประสงค์ของการเวนคืนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคมแล้ว ชอบด้วยมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยองจังหวัดระยอง พ.ศ. 2527
พิพากษายืน
พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยองจังหวัดระยอง พ.ศ. 2527 มาตรา 5 บัญญัติ ให้จำเลยกำหนดราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืนตามความเป็นธรรมที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ฯ โดยนอกจากคำนึงถึงราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ประกอบกับเหตุและวัตถุประสงค์ของการเวนคืนด้วย และตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 มาตรา 6 กำหนดให้จำเลยมีวัตถุประสงค์แสวงหากำไรทางเศรษฐกิจอยู่ด้วย จำเลยย่อมได้รับผลประโยชน์จากที่ดินที่ถูกเวนคืนด้วย เมื่อจำเลยได้รับที่ดินของโจทก์ไปเท่าใดก็ควรจะต้องใช้ค่าทดแทนราคาให้แก่โจทก์ตามราคาของ ที่ดินของโจทก์ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ฯ จึงถือว่าเป็นราคาตามความเป็นธรรม ที่ดินพิพาทของโจทก์ด้านหนึ่งติดทะเล อีกด้านหนึ่งติดถนนซอยสาธารณะ โจทก์ได้ปรับปรุงที่ดินทั้งแปลงให้มีสภาพที่ดีขึ้นเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยทั้งที่ดินพิพาทที่ถูกเวนคืนมีเนื้อที่ 10 ไร่ 3 งาน 85 ตารางวา ไม่มากจนถึงกับมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดราคาให้แตกต่างกันเป็นส่วน ๆ ลดหลั่นลงไปตามหน่วยที่กำหนดไว้ในบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อเป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมอำเภอเมืองระยอง ปี 2525-2527 การกำหนดค่าทดแทนที่ดินพิพาทเป็นราคาเดียวกันตลอดทั้งแปลงเท่ากับราคาที่กำหนดไว้ตามบัญชีกำหนดราคา ฯ ในส่วนที่ดินนอกเขตสุขาภิบาลฝั่งทิศใต้ถนนสุขุมวิท บริเวณชายทะเลห่างจากทะเลหรือถนนริมทะเลรัศมี 100 เมตร จึงชอบด้วยมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุดอำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. 2527
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2527 มีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุดอำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. 2527 ให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจกำหนดราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน ครั้นวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2529 จำเลยได้มีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า ได้กำหนดค่าทดแทนที่ดิน พืชผล ต้นไม้ อาคารและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืนให้โจทก์รวม 1,501,369.20 บาท ที่ดินของโจทก์มีราคาธรรมดาที่ซื้อกันในท้องตลาดขณะที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอบ้านฉาง อำเภอเมืองระยอง และอำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. 2525 ใช้บังคับ ตารางวาละ 1,250 บาท แต่โจทก์ขอคิดเพียงตารางวาละ 750 บาท คิดเป็นเงิน 3,288,750 บาท และโจทก์ได้ใช้เงินค่าปลูกสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินไปจำนวน 1,855,000 บาท เมื่อหักจำนวนเงินค่าทดแทนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ได้รับแล้ว1,420,834.20 บาท จำเลยจะต้องจ่ายค่าทดแทนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพิ่มให้โจทก์อีก 3,722,915.80 บาท พร้อมดอกเบี้ย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 3,722,915.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยกำหนดค่าทดแทนที่ดินตามราคาประเมินทรัพย์ฯ และกำหนดค่ารื้อย้ายอาคารและสิ่งปลูกสร้างโดยคำนึงถึงความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของรัฐในลักษณะที่เป็นธรรมและเหมาะสมแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้นให้แก่โจทก์ เป็นเงิน 665,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 5 กรกฎาคม 2532) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยองจังหวัดระยอง พ.ศ. 2527 มาตรา 5 บัญญัติให้จำเลยกำหนดราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืนตามความเป็นธรรมที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่กิ่งอำเภอบ้านฉาง อำเภอเมืองระยอง และอำเภอเมืองระยองจังหวัดระยอง พ.ศ. 2525 คือวันที่ 10 ธันวาคม 2525 โดยนอกจากคำนึงถึงราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแล้วยังต้องคำนึงถึงสภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ประกอบกับเหตุและวัตถุประสงค์ของการเวนคืนด้วย และตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 มาตรา 6 กำหนดให้จำเลยเป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์แสวงหากำไรทางเศรษฐกิจอยู่ด้วยจำเลยย่อมได้รับผลประโยชน์จากที่ดินที่ถูกเวนคืนด้วย เมื่อจำเลยได้รับที่ดินของโจทก์ไปเท่าใดก็ควรจะต้องใช้ค่าทดแทนราคาให้แก่โจทก์ตามราคาของที่ดินของโจทก์ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ฯ จึงถือว่าเป็นราคาตามความเป็นธรรม ปัญหานี้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาเมื่อปี 2513 ในราคา314,400 บาท ไร่ละประมาณ 30,000 บาท เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยที่ดินพิพาทด้านหนึ่งติดทะเล อีกด้านหนึ่งติดถนนซอยสาธารณะโจทก์ได้ปรับปรุงที่ดินและปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดิน 3 หลัง สร้างศาลา ขุดบ่อน้ำจืด 3 บ่อ และปลูกไม้ยืนต้น เห็นว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาก่อนพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ฯ ใช้บังคับประมาณ 12 ปี และได้ปรับปรุงที่ดินพิพาทให้มีสภาพที่ดีขึ้น ตลอดจนระยะเวลาที่ผ่านมานาน ย่อมทำให้ที่ดินพิพาทมีราคาสูงขึ้นอีกมาก ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของนายเทพ อินบัง กำนันตำบลมาบตาพุด พยานจำเลยว่า เมื่อปี 2525 ที่ดินติดทะเลที่อยู่ใกล้กับที่ดินที่ถูกเวนคืนราคาซื้อขายไร่ละกว่า 100,000 บาท ที่ดินของโจทก์ทั้งแปลงมีราคาซื้อขายไร่ละกว่า 100,000 บาทขึ้นไป โดยปกติในการซื้อขายทั่วไปมักจะซื้อขายราคาเดียวกันทั้งแปลง นอกจากนี้ตามบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อเป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม อำเภอเมืองระยอง ปี 2525 -2527ก็กำหนดไว้ว่า ที่ดินนอกเขตสุขาภิบาล ฝั่งทิศใต้ถนนสุขุมวิทบริเวณชายทะเลห่างจากทะเลหรือถนนริมทะเลรัศมี 100 เมตร ไร่ละ110,000 บาท และโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยคิดเฉลี่ยราคาทั้งแปลงและได้ใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของที่ดินพิพาทในลักษณะเดียวกันคือใช้เป็นที่อยู่อาศัย ทั้งที่ดินพิพาทที่ถูกเวนคืนมีเนื้อที่10 ไร่ 3 งาน 85 ตารางวา ไม่มากจนถึงกับมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดราคาให้แตกต่างกันเป็นส่วน ๆ ลดหลั่นลงไปตามหน่วยที่กำหนดไว้ในบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อเป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมอำเภอเมืองระยอง ปี 2525-2527 ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าทดแทนที่ดินพิพาทไร่ละ 110,000 บาท เป็นราคาเดียวกันตลอดทั้งแปลงเป็นการกำหนดค่าทดแทนที่ดินพิพาทที่ได้คำนึงถึงผลการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ ซึ่งตีราคาเพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่และราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตลอดจนสภาพและที่ตั้งของที่ดินพิพาทประกอบกับเหตุผลและวัตถุประสงค์ของการเวนคืนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคมแล้ว ชอบด้วยมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยองจังหวัดระยอง พ.ศ. 2527
พิพากษายืน
พ.ร.บ. เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ.2527 มาตรา 5 บัญญัติให้จำเลยกำหนดราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืนตามความเป็นธรรมที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ฯ โดยนอกจากคำนึงถึงราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ประกอบกับเหตุและวัตถุประสงค์ของการเวนคืนด้วย และตาม พ.ร.บ. การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 มาตรา 6กำหนดให้จำเลยมีวัตถุประสงค์แสวงหากำไรทางเศรษฐกิจอยู่ด้วย จำเลยย่อมได้รับผลประโยชน์จากที่ดินที่ถูกเวนคืนด้วย เมื่อจำเลยได้รับที่ดินของโจทก์ไปเท่าใดก็ควรจะต้องใช้ค่าทดแทนราคาให้แก่โจทก์ตามราคาของที่ดินของโจทก์ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ฯ จึงถือว่าเป็นราคาตามความเป็นธรรม
ที่ดินพิพาทของโจทก์ด้านหนึ่งติดทะเล อีกด้านหนึ่งติดถนนซอยสาธารณะ โจทก์ได้ปรับปรุงที่ดินทั้งแปลงให้มีสภาพที่ดีขึ้นเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยทั้งที่ดินพิพาทที่ถูกเวนคืนมีเนื้อที่ 10 ไร่ 3 งาน 85 ตารางวา ไม่มากจนถึงกับมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดราคาให้แตกต่างกันเป็นส่วน ๆ ลดหลั่นลงไปตามหน่วยที่กำหนดไว้ในบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อเป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม อำเภอเมืองระยอง ปี 2525 -2527 การกำหนดค่าทดแทนที่ดินพิพาทเป็นราคาเดียวกันตลอดทั้งแปลงเท่ากับราคาที่กำหนดไว้ตามบัญชีกำหนดราคา ฯ ในส่วนที่ดินนอกเขตสุขาภิบาลฝั่งทิศใต้ถนนสุขุมวิท บริเวณชายทะเลห่างจากทะเลหรือถนนริมทะเลรัศมี 100 เมตร จึงชอบด้วยมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ.2527
พ.ร.บ. เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ.2527 มาตรา 5 บัญญัติให้จำเลยกำหนดราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืนตามความเป็นธรรมที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ฯ โดยนอกจากคำนึงถึงราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ประกอบกับเหตุและวัตถุประสงค์ของการเวนคืนด้วย และตาม พ.ร.บ. การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 มาตรา 6กำหนดให้จำเลยมีวัตถุประสงค์แสวงหากำไรทางเศรษฐกิจอยู่ด้วย จำเลยย่อมได้รับผลประโยชน์จากที่ดินที่ถูกเวนคืนด้วย เมื่อจำเลยได้รับที่ดินของโจทก์ไปเท่าใดก็ควรจะต้องใช้ค่าทดแทนราคาให้แก่โจทก์ตามราคาของที่ดินของโจทก์ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ฯ จึงถือว่าเป็นราคาตามความเป็นธรรม
ที่ดินพิพาทของโจทก์ด้านหนึ่งติดทะเล อีกด้านหนึ่งติดถนนซอยสาธารณะ โจทก์ได้ปรับปรุงที่ดินทั้งแปลงให้มีสภาพที่ดีขึ้นเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยทั้งที่ดินพิพาทที่ถูกเวนคืนมีเนื้อที่ 10 ไร่ 3 งาน 85 ตารางวา ไม่มากจนถึงกับมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดราคาให้แตกต่างกันเป็นส่วน ๆ ลดหลั่นลงไปตามหน่วยที่กำหนดไว้ในบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อเป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม อำเภอเมืองระยอง ปี 2525 -2527 การกำหนดค่าทดแทนที่ดินพิพาทเป็นราคาเดียวกันตลอดทั้งแปลงเท่ากับราคาที่กำหนดไว้ตามบัญชีกำหนดราคา ฯ ในส่วนที่ดินนอกเขตสุขาภิบาลฝั่งทิศใต้ถนนสุขุมวิท บริเวณชายทะเลห่างจากทะเลหรือถนนริมทะเลรัศมี 100 เมตร จึงชอบด้วยมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ.2527
ตามคำฟ้องโจทก์อาศัยสิทธิตามมาตรา 41(1) แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะเกิดข้อพิพาท ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าจำเลยที่ 1 ผู้ที่ได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของ ดังนี้ ผู้ที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์คือ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ที่โจทก์อ้างว่าได้นำเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์หรือเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับของโจทก์ไปขอจดทะเบียนโดยไม่ชอบ หาใช่จำเลยที่ 2ผู้เป็นนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า และกรมทะเบียนการค้าจำเลยที่ 3 ไม่ เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นอักษรโรมันคำว่า "NattySHOES"และรูปคนยืนในรองเท้า ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 เป็นอักษรโรมัน คำว่า "NATTY" แม้เครื่องหมายการค้าของโจทก์จะมีคำว่า"SHOES" อยู่ใต้คำว่า "Natty" และมีรูปคนยืนอยู่ในรองเท้าซึ่งเป็นส่วนประกอบ ส่วนของจำเลยที่ 1 ไม่มี คงมีคำว่า "NATTY" ซึ่งเป็นตัวพิมพ์ใหญ่คำเดียว และการประดิษฐ์ตัวอักษรโรมันแตกต่างกันแต่สำเนียงเรียกขานและคำแปลเหมือนกันคือทั้งของโจทก์และจำเลยที่ 1ต่างเรียกขานว่า แน็ตตี้แปลว่าหรูสมาร์ทโก้ เหมือนกันอักษรอื่นและรูปคนยืนในรองเท้าซึ่งเป็นส่วนประกอบในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่มีความเด่นชัดเท่ากับคำว่า "Natty" ที่เป็นอักษรโรมันคำเดียวกันกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1เครื่องหมายการค้าทั้งสองจึงมีสาระสำคัญอยู่ที่ใช้ภาษาต่างประเทศและมีสำเนียงเรียกขานเหมือนกัน ผู้ซื้อย่อมเรียกขานสินค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1 เหมือนกันว่า แน็ตตี้ ผู้ซื้อจึงอาจสับสนหลงผิดได้ว่าสินค้าทั้งสองเครื่องหมายการค้าเป็นเจ้าของคนเดียวกันเมื่อเครื่องหมายการค้าทั้งของโจทก์และของจำเลยที่ 1 ต่างขอจดทะเบียนในสินค้าจำพวกเดียวกัน แม้ขณะพิพาทจะใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าต่างชนิดกัน แต่ก็อยู่ในจำพวกเดียวกัน ย่อมทำให้สาธารณชนหลงผิดได้ว่าสินค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1 เป็นของผู้ผลิตรายเดียวกัน เครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1จึงเหมือนและคล้ายกันจนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนแล้วการที่จำเลยที่ 1 ใช้เครื่องหมายการค้าที่เป็นอักษรโรมันคำเดียวกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์และมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกันเช่นนี้เป็นการจงใจใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "NATTY" ให้เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ด้วยจำเลยที่ 1 เห็นว่าสินค้าของโจทก์ที่มีเครื่องหมายการค้าโดยเฉพาะคำว่า "Natty" เป็นที่นิยมแพร่หลายเพื่อให้ผู้ซื้อหลงเข้าใจผิดว่าสินค้าของจำเลยที่ 1เป็นสินค้าของโจทก์ เมื่อโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty"มาก่อนจำเลยที่ 1 โจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า"Natty" ที่เขียนเป็น 2 แบบว่า "Natty" และ "NATTY" ดีกว่าจำเลยที่ 1
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า "Natty" และรูปคนประดิษฐ์อยู่ในรูปรองเท้า ซึ่งโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้านี้กับสินค้ารองเท้าชนิดต่าง ๆ ตั้งแต่ปี 2523 ครั้นปี 2526 โจทก์เคยให้นายชัยโรจน์นำเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ไปยื่นขอจดทะเบียน แต่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าปฏิเสธการรับจดทะเบียน โจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty"กับสินค้าของโจทก์มาตลอด ต่อมาปี 2529 โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวในนามของโจทก์เอง โดยยื่นขอในรายการสินค้าจำพวก 38 สำหรับสินค้ารองเท้าหนัง รองเท้าสตรี รองเท้าแตะรองเท้าผ้าใบ รองเท้ายาง ปรากฏว่านายทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์ดังกล่าวเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ของจำเลยที่ 1ตามทะเบียนเลขที่ 108924 ซึ่งได้รับการจดทะเบียนไว้ในรายการสินค้าจำพวก 38 สำหรับสินค้าทั้งจำพวกอันเป็นรายการเกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่มและเครื่องแต่งกาย ซึ่งสินค้ารองเท้าก็รวมอยู่ในจำพวก 38 นี้ด้วย การที่จำเลยที่ 1 ลอบเอาเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ของโจทก์ไปจดทะเบียนทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า โจทก์ได้ใช้และยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ก่อนที่จำเลยที่ 1 โจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ดีกว่าจำเลยที่ 1 ขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ดีกว่าจำเลยที่ 1ให้จำเลยทั้งสามเพิกถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอเลขที่ 155261 ทะเบียนเลขที่ 108924 หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" และรูปคนประดิษฐ์อยู่ในรองเท้าโดยชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียนถูกต้องตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 เครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty"เป็นเครื่องหมายการค้าที่จำเลยที่ 1 คิดประดิษฐ์ขึ้นเอง จำเลยที่ 1จึงเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" จำเลยที่ 1นำไปจดทะเบียนโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายทุกประการ กองสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าได้จดทะเบียนให้แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอน จำเลยที่ 2 และที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยชอบไม่ได้ประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 2 จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 ตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์หรือจำเลยที่ 1 มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty"ซึ่งเขียนเป็น 2 แบบ ว่า "Natty" และ "NATTY" ดีกว่ากัน และจำเลยทั้งสามต้องเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ 108924เพราะเครื่องหมายการค้าของโจทก์และจำเลยที่ 1 เหมือนหรือคล้ายกันจนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์อาศัยสิทธิตามมาตรา 41(1) แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ. 2474 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะเกิดข้อพิพาท ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าจำเลยที่ 1 ผู้ที่ได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของ ดังนี้ ผู้ที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์คือ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ที่โจทก์อ้างว่าได้นำเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์หรือเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับของโจทก์ไปขอจดทะเบียนโดยไม่ชอบ หาใช่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า และกรมทะเบียนการค้าจำเลยที่ 3 ไม่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเครื่องหมายการค้าที่จำเลยที่ 2 รับจดทะเบียนให้จำเลยที่ 1ไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์นั้น ปรากฏว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นอักษรโรมันคำว่า "Natty SHOES"และรูปคนยืนในรองเท้า ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1เป็นอักษรโรมัน คำว่า "Natty" แม้เครื่องหมายการค้าของโจทก์จะมีคำว่า "SHOES" อยู่ใต้คำว่า "Natty" และมีรูปคนยืนอยู่ในรองเท้าซึ่งเป็นส่วนประกอบ ส่วนของจำเลยที่ 1 ไม่มี คงมีคำว่า"NATTY" ซึ่งเป็นตัวพิมพ์ใหญ่คำเดียว และการประดิษฐ์ตัวอักษรโรมันแตกต่างกัน แต่สำเนียงเรียกขานและคำแปลเหมือนกัน คือ ทั้งของโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างเรียกขานว่า แน็ตตี้ แปลว่า หรู สมาร์ท โก้เหมือนกัน อักษรอื่นและรูปคนยืนในรองเท้าซึ่งเป็นส่วนประกอบในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่มีความเด่นชัดเท่ากับคำว่า"Natty" ที่เป็นอักษรโรมันคำเดียวกันกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 เครื่องหมายการค้าทั้งสองจึงมีสาระสำคัญอยู่ที่ใช้ภาษาต่างประเทศและมีสำเนียงเรียกขานเหมือนกัน ผู้ซื้อย่อมเรียกขานสินค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1 เหมือนกันว่า แน็ตตี้ ผู้ซื้อจึงอาจสับสนหลงผิดได้ว่าสินค้าทั้งสองเครื่องหมายการค้าเป็นของเจ้าของคนเดียวกัน เมื่อเครื่องหมายการค้าทั้งของโจทก์และของจำเลยที่ 1ต่างขอจดทะเบียนในสินค้าจำพวกเดียวกัน แม้ขณะพิพาทจะใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าต่างชนิดกัน แต่ก็อยู่ในจำพวกเดียวกันย่อมทำให้สาธารณชนหลงผิดได้ว่าสินค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1เป็นของผู้ผลิตรายเดียวกัน เครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1 จึงเหมือนและคล้ายกันจนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนแล้ว ส่วนปัญหาว่าโจทก์หรือจำเลยที่ 1 มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ซึ่งเขียนเป็น 2 แบบ ว่า "Natty" และ "NATTY"ดีกว่ากัน ปรากฏว่าปี 2526 โจทก์ได้ให้นายชัยโรจน์ไปยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty SHOES" และรูปคนอยู่ในรองเท้า ใช้กับสินค้าจำพวก 38 รายการ สินค้ารองเท้าหนังรองเท้าสตรี รองเท้าแตะ รองเท้าผ้าใบ รองเท้ายาง และรองเท้าอื่น ๆทุกชนิดตามสำเนาคำขอเลขที่ 129291 แต่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่รับจดทะเบียนให้เพราะเห็นว่าคำว่า "Natty SHOES" เป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง จึงเป็นเครื่องหมายที่ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะผู้ขอจดทะเบียนอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า คณะกรรมการวินิจฉัยยืนตามคำสั่งปฏิเสธของนายทะเบียน แต่โจทก์ยังคงใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวตลอดมาจนกระทั่งปี 2529 โจทก์ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นอีกครั้งหนึ่ง แต่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่ยอมจดทะเบียนให้โดยอ้างว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าคำว่า "NATTY" ของจำเลยที่ 1 ที่ได้รับการจดทะเบียนไว้แล้ว ส่วนจำเลยที่ 1 ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า"NATTY" มาเพียง 1 ปี ก่อนนำเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไปจดทะเบียนย่อมแสดงว่าจำเลยได้ใช้คำว่า "Natty" เป็นเครื่องหมายการค้าของตนมาแต่ปี 2528 อันเป็นเวลาภายหลังที่โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ใช้เครื่องหมายการค้าที่เป็นอักษรโรมันคำเดียวกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์และมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกันเช่นนี้เชื่อว่าจำเลยจงใจใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "NATTY" ให้เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ด้วยจำเลยที่ 1 เห็นว่าสินค้าของโจทก์ที่มีเครื่องหมายการค้าโดยเฉพาะคำว่า "Natty"นี้เป็นที่นิยมแพร่หลายเพื่อให้ผู้ซื้อหลงเข้าใจผิดว่าสินค้าของจำเลยที่ 1 เป็นสินค้าของโจทก์ เมื่อโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" มาก่อนจำเลยที่ 1 โจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ที่เขียนเป็น 2 แบบ ว่า "Natty" และ "NATTY"ดีกว่าจำเลยที่ 1
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 ตามคำขอเลขที่ 155261 ทะเบียนเลขที่ 108924
ตามคำฟ้องโจทก์อาศัยสิทธิตามมาตรา 41(1) แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะเกิดข้อพิพาท ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าจำเลยที่ 1 ผู้ที่ได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของ ดังนี้ ผู้ที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์คือ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ที่โจทก์อ้างว่าได้นำเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์หรือเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับของโจทก์ไปขอจดทะเบียนโดยไม่ชอบ หาใช่จำเลยที่ 2ผู้เป็นนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า และกรมทะเบียนการค้าจำเลยที่ 3 ไม่ เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นอักษรโรมันคำว่า "NattySHOES"และรูปคนยืนในรองเท้า ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 เป็นอักษรโรมัน คำว่า "NATTY" แม้เครื่องหมายการค้าของโจทก์จะมีคำว่า"SHOES" อยู่ใต้คำว่า "Natty" และมีรูปคนยืนอยู่ในรองเท้าซึ่งเป็นส่วนประกอบ ส่วนของจำเลยที่ 1 ไม่มี คงมีคำว่า "NATTY" ซึ่งเป็นตัวพิมพ์ใหญ่คำเดียว และการประดิษฐ์ตัวอักษรโรมันแตกต่างกันแต่สำเนียงเรียกขานและคำแปลเหมือนกันคือทั้งของโจทก์และจำเลยที่ 1ต่างเรียกขานว่า แน็ตตี้แปลว่าหรูสมาร์ทโก้ เหมือนกันอักษรอื่นและรูปคนยืนในรองเท้าซึ่งเป็นส่วนประกอบในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่มีความเด่นชัดเท่ากับคำว่า "Natty" ที่เป็นอักษรโรมันคำเดียวกันกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1เครื่องหมายการค้าทั้งสองจึงมีสาระสำคัญอยู่ที่ใช้ภาษาต่างประเทศและมีสำเนียงเรียกขานเหมือนกัน ผู้ซื้อย่อมเรียกขานสินค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1 เหมือนกันว่า แน็ตตี้ ผู้ซื้อจึงอาจสับสนหลงผิดได้ว่าสินค้าทั้งสองเครื่องหมายการค้าเป็นเจ้าของคนเดียวกันเมื่อเครื่องหมายการค้าทั้งของโจทก์และของจำเลยที่ 1 ต่างขอจดทะเบียนในสินค้าจำพวกเดียวกัน แม้ขณะพิพาทจะใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าต่างชนิดกัน แต่ก็อยู่ในจำพวกเดียวกัน ย่อมทำให้สาธารณชนหลงผิดได้ว่าสินค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1 เป็นของผู้ผลิตรายเดียวกัน เครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1จึงเหมือนและคล้ายกันจนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนแล้วการที่จำเลยที่ 1 ใช้เครื่องหมายการค้าที่เป็นอักษรโรมันคำเดียวกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์และมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกันเช่นนี้เป็นการจงใจใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "NATTY" ให้เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ด้วยจำเลยที่ 1 เห็นว่าสินค้าของโจทก์ที่มีเครื่องหมายการค้าโดยเฉพาะคำว่า "Natty" เป็นที่นิยมแพร่หลายเพื่อให้ผู้ซื้อหลงเข้าใจผิดว่าสินค้าของจำเลยที่ 1เป็นสินค้าของโจทก์ เมื่อโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty"มาก่อนจำเลยที่ 1 โจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า"Natty" ที่เขียนเป็น 2 แบบว่า "Natty" และ "NATTY" ดีกว่าจำเลยที่ 1
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า "Natty" และรูปคนประดิษฐ์อยู่ในรูปรองเท้า ซึ่งโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้านี้กับสินค้ารองเท้าชนิดต่าง ๆ ตั้งแต่ปี 2523 ครั้นปี 2526 โจทก์เคยให้นายชัยโรจน์นำเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ไปยื่นขอจดทะเบียน แต่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าปฏิเสธการรับจดทะเบียน โจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty"กับสินค้าของโจทก์มาตลอด ต่อมาปี 2529 โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวในนามของโจทก์เอง โดยยื่นขอในรายการสินค้าจำพวก 38 สำหรับสินค้ารองเท้าหนัง รองเท้าสตรี รองเท้าแตะรองเท้าผ้าใบ รองเท้ายาง ปรากฏว่านายทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์ดังกล่าวเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ของจำเลยที่ 1ตามทะเบียนเลขที่ 108924 ซึ่งได้รับการจดทะเบียนไว้ในรายการสินค้าจำพวก 38 สำหรับสินค้าทั้งจำพวกอันเป็นรายการเกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่มและเครื่องแต่งกาย ซึ่งสินค้ารองเท้าก็รวมอยู่ในจำพวก 38 นี้ด้วย การที่จำเลยที่ 1 ลอบเอาเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ของโจทก์ไปจดทะเบียนทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า โจทก์ได้ใช้และยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ก่อนที่จำเลยที่ 1 โจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ดีกว่าจำเลยที่ 1 ขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ดีกว่าจำเลยที่ 1ให้จำเลยทั้งสามเพิกถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอเลขที่ 155261 ทะเบียนเลขที่ 108924 หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" และรูปคนประดิษฐ์อยู่ในรองเท้าโดยชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียนถูกต้องตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 เครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty"เป็นเครื่องหมายการค้าที่จำเลยที่ 1 คิดประดิษฐ์ขึ้นเอง จำเลยที่ 1จึงเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" จำเลยที่ 1นำไปจดทะเบียนโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายทุกประการ กองสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าได้จดทะเบียนให้แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอน จำเลยที่ 2 และที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยชอบไม่ได้ประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 2 จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 ตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์หรือจำเลยที่ 1 มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty"ซึ่งเขียนเป็น 2 แบบ ว่า "Natty" และ "NATTY" ดีกว่ากัน และจำเลยทั้งสามต้องเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ 108924เพราะเครื่องหมายการค้าของโจทก์และจำเลยที่ 1 เหมือนหรือคล้ายกันจนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์อาศัยสิทธิตามมาตรา 41(1) แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ. 2474 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะเกิดข้อพิพาท ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าจำเลยที่ 1 ผู้ที่ได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของ ดังนี้ ผู้ที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์คือ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ที่โจทก์อ้างว่าได้นำเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์หรือเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับของโจทก์ไปขอจดทะเบียนโดยไม่ชอบ หาใช่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า และกรมทะเบียนการค้าจำเลยที่ 3 ไม่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเครื่องหมายการค้าที่จำเลยที่ 2 รับจดทะเบียนให้จำเลยที่ 1ไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์นั้น ปรากฏว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นอักษรโรมันคำว่า "Natty SHOES"และรูปคนยืนในรองเท้า ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1เป็นอักษรโรมัน คำว่า "Natty" แม้เครื่องหมายการค้าของโจทก์จะมีคำว่า "SHOES" อยู่ใต้คำว่า "Natty" และมีรูปคนยืนอยู่ในรองเท้าซึ่งเป็นส่วนประกอบ ส่วนของจำเลยที่ 1 ไม่มี คงมีคำว่า"NATTY" ซึ่งเป็นตัวพิมพ์ใหญ่คำเดียว และการประดิษฐ์ตัวอักษรโรมันแตกต่างกัน แต่สำเนียงเรียกขานและคำแปลเหมือนกัน คือ ทั้งของโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างเรียกขานว่า แน็ตตี้ แปลว่า หรู สมาร์ท โก้เหมือนกัน อักษรอื่นและรูปคนยืนในรองเท้าซึ่งเป็นส่วนประกอบในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่มีความเด่นชัดเท่ากับคำว่า"Natty" ที่เป็นอักษรโรมันคำเดียวกันกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 เครื่องหมายการค้าทั้งสองจึงมีสาระสำคัญอยู่ที่ใช้ภาษาต่างประเทศและมีสำเนียงเรียกขานเหมือนกัน ผู้ซื้อย่อมเรียกขานสินค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1 เหมือนกันว่า แน็ตตี้ ผู้ซื้อจึงอาจสับสนหลงผิดได้ว่าสินค้าทั้งสองเครื่องหมายการค้าเป็นของเจ้าของคนเดียวกัน เมื่อเครื่องหมายการค้าทั้งของโจทก์และของจำเลยที่ 1ต่างขอจดทะเบียนในสินค้าจำพวกเดียวกัน แม้ขณะพิพาทจะใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าต่างชนิดกัน แต่ก็อยู่ในจำพวกเดียวกันย่อมทำให้สาธารณชนหลงผิดได้ว่าสินค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1เป็นของผู้ผลิตรายเดียวกัน เครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1 จึงเหมือนและคล้ายกันจนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนแล้ว ส่วนปัญหาว่าโจทก์หรือจำเลยที่ 1 มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ซึ่งเขียนเป็น 2 แบบ ว่า "Natty" และ "NATTY"ดีกว่ากัน ปรากฏว่าปี 2526 โจทก์ได้ให้นายชัยโรจน์ไปยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty SHOES" และรูปคนอยู่ในรองเท้า ใช้กับสินค้าจำพวก 38 รายการ สินค้ารองเท้าหนังรองเท้าสตรี รองเท้าแตะ รองเท้าผ้าใบ รองเท้ายาง และรองเท้าอื่น ๆทุกชนิดตามสำเนาคำขอเลขที่ 129291 แต่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่รับจดทะเบียนให้เพราะเห็นว่าคำว่า "Natty SHOES" เป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง จึงเป็นเครื่องหมายที่ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะผู้ขอจดทะเบียนอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า คณะกรรมการวินิจฉัยยืนตามคำสั่งปฏิเสธของนายทะเบียน แต่โจทก์ยังคงใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวตลอดมาจนกระทั่งปี 2529 โจทก์ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นอีกครั้งหนึ่ง แต่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่ยอมจดทะเบียนให้โดยอ้างว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าคำว่า "NATTY" ของจำเลยที่ 1 ที่ได้รับการจดทะเบียนไว้แล้ว ส่วนจำเลยที่ 1 ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า"NATTY" มาเพียง 1 ปี ก่อนนำเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไปจดทะเบียนย่อมแสดงว่าจำเลยได้ใช้คำว่า "Natty" เป็นเครื่องหมายการค้าของตนมาแต่ปี 2528 อันเป็นเวลาภายหลังที่โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ใช้เครื่องหมายการค้าที่เป็นอักษรโรมันคำเดียวกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์และมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกันเช่นนี้เชื่อว่าจำเลยจงใจใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "NATTY" ให้เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ด้วยจำเลยที่ 1 เห็นว่าสินค้าของโจทก์ที่มีเครื่องหมายการค้าโดยเฉพาะคำว่า "Natty"นี้เป็นที่นิยมแพร่หลายเพื่อให้ผู้ซื้อหลงเข้าใจผิดว่าสินค้าของจำเลยที่ 1 เป็นสินค้าของโจทก์ เมื่อโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" มาก่อนจำเลยที่ 1 โจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ที่เขียนเป็น 2 แบบ ว่า "Natty" และ "NATTY"ดีกว่าจำเลยที่ 1
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 ตามคำขอเลขที่ 155261 ทะเบียนเลขที่ 108924
ตามคำฟ้องโจทก์อาศัยสิทธิตามมาตรา 41 (1) แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะเกิดข้อพิพาท ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าจำเลยที่ 1 ผู้ที่ได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของดังนี้ ผู้ที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์คือ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ที่โจทก์อ้างว่าได้นำเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์หรือเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับของโจทก์ไปขอจดทะเบียนโดยไม่ชอบ หาใช่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า และกรมทะเบียนการค้าจำเลยที่ 3 ไม่
เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นอักษรโรมันคำว่า "NattySHOES" และรูปคนยืนในรองเท้า ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 เป็นอักษรโรมัน คำว่า "NATTY" แม้เครื่องหมายการค้าของโจทก์จะมีคำว่า "SHOES"อยู่ใต้คำว่า "Natty" และมีรูปคนยืนอยู่ในรองเท้าซึ่งเป็นส่วนประกอบ ส่วนของจำเลยที่ 1 ไม่มี คงมีคำว่า "NATTY" ซึ่งเป็นตัวพิมพ์ใหญ่คำเดียว และการประดิษฐ์ตัวอักษรโรมันแตกต่างกัน แต่สำเนียงเรียกขานและคำแปลเหมือนกันคือทั้งของโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างเรียกขานว่า แน็ตตี้ แปลว่า หรู สมาร์ท โก้เหมือนกัน อักษรอื่นและรูปคนยืนในรองเท้าซึ่งเป็นส่วนประกอบในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่มีความเด่นชัดเท่ากับคำว่า "Natty" ที่เป็นอักษรโรมันคำเดียวกันกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 เครื่องหมายการค้าทั้งสองจึงมีสาระสำคัญอยู่ที่ใช้ภาษาต่างประเทศและมีสำเนียงเรียกขานเหมือนกัน ผู้ซื้อย่อมเรียกขานสินค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1 เหมือนกันว่า แน็ตตี้ ผู้ซื้อจึงอาจสับสนหลงผิดได้ว่าสินค้าทั้งสองเครื่องหมายการค้าเป็นเจ้าของคนเดียวกัน เมื่อเครื่องหมายการค้าทั้งของโจทก์และของจำเลยที่ 1 ต่างขอจดทะเบียนในสินค้าจำพวกเดียวกันแม้ขณะพิพาทจะใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าต่างชนิดกัน แต่ก็อยู่ในจำพวกเดียวกัน ย่อมทำให้สาธารณชนหลงผิดได้ว่าสินค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1เป็นของผู้ผลิตรายเดียวกัน เครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1จึงเหมือนและคล้ายกันจนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ใช้เครื่องหมายการค้าที่เป็นอักษรโรมันคำเดียวกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์และมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกันเช่นนี้ เป็นการจงใจใช้เครื่องหมาย-การค้าคำว่า "NATTY" ให้เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ด้วยจำเลยที่ 1 เห็นว่าสินค้าของโจทก์ที่มีเครื่องหมายการค้าโดยเฉพาะคำว่า"Natty" เป็นที่นิยมแพร่หลายเพื่อให้ผู้ซื้อหลงเข้าใจผิดว่าสินค้าของจำเลยที่ 1เป็นสินค้าของโจทก์ เมื่อโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" มาก่อนจำเลยที่ 1 โจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ที่เขียนเป็น 2 แบบว่า "Natty" และ "NATTY" ดีกว่าจำเลยที่ 1
ตามคำฟ้องโจทก์อาศัยสิทธิตามมาตรา 41 (1) แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะเกิดข้อพิพาท ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าจำเลยที่ 1 ผู้ที่ได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของดังนี้ ผู้ที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์คือ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ที่โจทก์อ้างว่าได้นำเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์หรือเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับของโจทก์ไปขอจดทะเบียนโดยไม่ชอบ หาใช่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า และกรมทะเบียนการค้าจำเลยที่ 3 ไม่
เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นอักษรโรมันคำว่า "NattySHOES" และรูปคนยืนในรองเท้า ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 เป็นอักษรโรมัน คำว่า "NATTY" แม้เครื่องหมายการค้าของโจทก์จะมีคำว่า "SHOES"อยู่ใต้คำว่า "Natty" และมีรูปคนยืนอยู่ในรองเท้าซึ่งเป็นส่วนประกอบ ส่วนของจำเลยที่ 1 ไม่มี คงมีคำว่า "NATTY" ซึ่งเป็นตัวพิมพ์ใหญ่คำเดียว และการประดิษฐ์ตัวอักษรโรมันแตกต่างกัน แต่สำเนียงเรียกขานและคำแปลเหมือนกันคือทั้งของโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างเรียกขานว่า แน็ตตี้ แปลว่า หรู สมาร์ท โก้เหมือนกัน อักษรอื่นและรูปคนยืนในรองเท้าซึ่งเป็นส่วนประกอบในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่มีความเด่นชัดเท่ากับคำว่า "Natty" ที่เป็นอักษรโรมันคำเดียวกันกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ 1 เครื่องหมายการค้าทั้งสองจึงมีสาระสำคัญอยู่ที่ใช้ภาษาต่างประเทศและมีสำเนียงเรียกขานเหมือนกัน ผู้ซื้อย่อมเรียกขานสินค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1 เหมือนกันว่า แน็ตตี้ ผู้ซื้อจึงอาจสับสนหลงผิดได้ว่าสินค้าทั้งสองเครื่องหมายการค้าเป็นเจ้าของคนเดียวกัน เมื่อเครื่องหมายการค้าทั้งของโจทก์และของจำเลยที่ 1 ต่างขอจดทะเบียนในสินค้าจำพวกเดียวกันแม้ขณะพิพาทจะใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าต่างชนิดกัน แต่ก็อยู่ในจำพวกเดียวกัน ย่อมทำให้สาธารณชนหลงผิดได้ว่าสินค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1เป็นของผู้ผลิตรายเดียวกัน เครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยที่ 1จึงเหมือนและคล้ายกันจนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ใช้เครื่องหมายการค้าที่เป็นอักษรโรมันคำเดียวกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์และมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกันเช่นนี้ เป็นการจงใจใช้เครื่องหมาย-การค้าคำว่า "NATTY" ให้เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ด้วยจำเลยที่ 1 เห็นว่าสินค้าของโจทก์ที่มีเครื่องหมายการค้าโดยเฉพาะคำว่า"Natty" เป็นที่นิยมแพร่หลายเพื่อให้ผู้ซื้อหลงเข้าใจผิดว่าสินค้าของจำเลยที่ 1เป็นสินค้าของโจทก์ เมื่อโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" มาก่อนจำเลยที่ 1 โจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า "Natty" ที่เขียนเป็น 2 แบบว่า "Natty" และ "NATTY" ดีกว่าจำเลยที่ 1
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำการติดตั้งบันใดเลื่อนจากชั้นใต้ดินไปชั้นที่ 1 และใช้บริเวณชั้นใต้ดินเพื่อการอื่นโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นการดัดแปลงต่อเติมอาคารผิดไปจากแบบแปลนโดยมิได้รับอนุญาต ซึ่งโจทก์มีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย โดยโจทก์มีคำขอให้บังคับจำเลยใช้บริเวณชั้นใต้ดินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติว่าบริเวณชั้นใต้ดินของอาคารที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างนั้นต้องทำเป็นลานจอดรถ แต่จำเลยได้ใช้ลานจอดรถดังกล่าวเพื่อการอื่นดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบริเวณชั้นใต้ดินดังกล่าวและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า เจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจพบว่าจำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคาร 5 ชั้น ตามหนังสืออนุญาตให้ก่อสร้างอาคารเลขที่ 280/2528 ทำการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารเลขที่5/68-69 ให้ผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตกล่าวคือ ทำการติดตั้งบันไดเลื่อนจากชั้นใต้ดินขึ้นไปชั้นที่ 1 ซึ่งตามแบบแปลนไม่มีบันไดเลื่อนและใช้บริเวณชั้นใต้ดินเพื่อการอื่นโดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์อันเป็นการต่อเติม ดัดแปลงซึ่งขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ลงวันที่8 มีนาคม 2522 ข้อ 30 และ 88 และฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 22, 31, 40, 44, 45 โจทก์จึงมีคำสั่งให้จำเลยระงับการก่อสร้างดัดแปลงเคลื่อนย้ายอาคารตามมาตรา 40 วรรคหนึ่งหรือให้ระงับการรื้อถอนอาคารตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง และมีคำสั่งให้จำเลยดำเนินการแก้ไขและให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตก่อสร้างดัดแปลงหรือเคลื่อนย้ายอาคารตามมาตรา 43 วรรคหนึ่ง ต่อมาโจทก์มีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าวตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แต่จำเลยเพิกเฉย โดยไม่รื้อถอนภายในกำหนด 30 วัน และมิได้อุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งตามกฎหมายกำหนดขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารด้านหน้าทางทิศใต้ซึ่งก่อสร้างเกินจากแบบแปลนขนาด 5.35 x 25 เมตร จำนวน 4 ชั้นที่จำเลยดัดแปลงต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย รื้อถอนบันไดเลื่อนจากชั้นใต้ดินขึ้นชันที่ 1 ทำการก่อสร้างลานจอดรถในชั้นที่ 3 ถึงชั้นที่ 5 เปลี่ยนตำแหน่งและจำนวนห้องน้ำ ห้องส้วมให้เป็นไปตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้บริเวณชั้นใต้ดินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนได้เอง โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนทั้งสิ้น
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คำสั่งต่าง ๆ ของโจทก์นั้นจำเลยได้อุทธรณ์ตามกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารด้านหน้าทางทิศใต้ขนาด 5.35 X 25 เมตร สูง 4 ชั้น ซึ่งสร้างเกินจากแบบแปลนบันไดเลื่อนจากชั้นใต้ดินขึ้นสู่ชั้นที่ 1 ห้องน้ำ ห้องส้วมตั้งแต่ชั้นใต้ดินถึงชั้นที่ 5 และให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในบริเวณชั้นใต้ดิน ทำให้เป็นลานจอดรถตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตในอาคารเลขที่ 5/68-69 หากจำเลยไม่รื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนเองด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในบริเวณชั้นใต้ดินทำให้เป็นลานจอดรถตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต โดยโจทก์มิได้มีคำขอให้บังคับดังกล่าวจึงไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า คดีนี้ตามฟ้องและข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วฟังได้ว่า บริเวณชั้นใต้ดินของอาคาร 5 ชั้น ที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างนั้นต้องทำเป็นลานจอดรถ แต่จำเลยได้ใช้ลานจอดรถดังกล่าวเพื่อการอื่นและโจทก์มีคำขอข้อ 4 ให้บังคับจำเลยใช้บริเวณชั้นใต้ดินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต ซึ่งมีผลเท่ากับขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในบริเวณชั้นใต้ดินออกไปเพื่อใช้เป็นลานจอดรถตามที่จำเลยขออนุญาตนั่นเอง ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบริเวณชั้นใต้ดินดังกล่าวจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำการติดตั้งบันใดเลื่อนจากชั้นใต้ดินไปชั้นที่ 1 และใช้บริเวณชั้นใต้ดินเพื่อการอื่นโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นการดัดแปลงต่อเติมอาคารผิดไปจากแบบแปลนโดยมิได้รับอนุญาต ซึ่งโจทก์มีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย โดยโจทก์มีคำขอให้บังคับจำเลยใช้บริเวณชั้นใต้ดินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติว่าบริเวณชั้นใต้ดินของอาคารที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างนั้นต้องทำเป็นลานจอดรถ แต่จำเลยได้ใช้ลานจอดรถดังกล่าวเพื่อการอื่นดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบริเวณชั้นใต้ดินดังกล่าวและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า เจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจพบว่าจำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคาร 5 ชั้น ตามหนังสืออนุญาตให้ก่อสร้างอาคารเลขที่ 280/2528 ทำการก่อสร้างดัดแปลงต่อเติมอาคารเลขที่5/68-69 ให้ผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตกล่าวคือ ทำการติดตั้งบันไดเลื่อนจากชั้นใต้ดินขึ้นไปชั้นที่ 1 ซึ่งตามแบบแปลนไม่มีบันไดเลื่อนและใช้บริเวณชั้นใต้ดินเพื่อการอื่นโดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์อันเป็นการต่อเติม ดัดแปลงซึ่งขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ลงวันที่8 มีนาคม 2522 ข้อ 30 และ 88 และฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 22, 31, 40, 44, 45 โจทก์จึงมีคำสั่งให้จำเลยระงับการก่อสร้างดัดแปลงเคลื่อนย้ายอาคารตามมาตรา 40 วรรคหนึ่งหรือให้ระงับการรื้อถอนอาคารตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง และมีคำสั่งให้จำเลยดำเนินการแก้ไขและให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตก่อสร้างดัดแปลงหรือเคลื่อนย้ายอาคารตามมาตรา 43 วรรคหนึ่ง ต่อมาโจทก์มีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าวตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แต่จำเลยเพิกเฉย โดยไม่รื้อถอนภายในกำหนด 30 วัน และมิได้อุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งตามกฎหมายกำหนดขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารด้านหน้าทางทิศใต้ซึ่งก่อสร้างเกินจากแบบแปลนขนาด 5.35 x 25 เมตร จำนวน 4 ชั้นที่จำเลยดัดแปลงต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย รื้อถอนบันไดเลื่อนจากชั้นใต้ดินขึ้นชันที่ 1 ทำการก่อสร้างลานจอดรถในชั้นที่ 3 ถึงชั้นที่ 5 เปลี่ยนตำแหน่งและจำนวนห้องน้ำ ห้องส้วมให้เป็นไปตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้บริเวณชั้นใต้ดินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนได้เอง โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนทั้งสิ้น
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คำสั่งต่าง ๆ ของโจทก์นั้นจำเลยได้อุทธรณ์ตามกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารด้านหน้าทางทิศใต้ขนาด 5.35 X 25 เมตร สูง 4 ชั้น ซึ่งสร้างเกินจากแบบแปลนบันไดเลื่อนจากชั้นใต้ดินขึ้นสู่ชั้นที่ 1 ห้องน้ำ ห้องส้วมตั้งแต่ชั้นใต้ดินถึงชั้นที่ 5 และให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในบริเวณชั้นใต้ดิน ทำให้เป็นลานจอดรถตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตในอาคารเลขที่ 5/68-69 หากจำเลยไม่รื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนเองด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในบริเวณชั้นใต้ดินทำให้เป็นลานจอดรถตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต โดยโจทก์มิได้มีคำขอให้บังคับดังกล่าวจึงไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า คดีนี้ตามฟ้องและข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วฟังได้ว่า บริเวณชั้นใต้ดินของอาคาร 5 ชั้น ที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างนั้นต้องทำเป็นลานจอดรถ แต่จำเลยได้ใช้ลานจอดรถดังกล่าวเพื่อการอื่นและโจทก์มีคำขอข้อ 4 ให้บังคับจำเลยใช้บริเวณชั้นใต้ดินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต ซึ่งมีผลเท่ากับขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในบริเวณชั้นใต้ดินออกไปเพื่อใช้เป็นลานจอดรถตามที่จำเลยขออนุญาตนั่นเอง ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบริเวณชั้นใต้ดินดังกล่าวจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำการติดตั้งบันใดเลื่อนจากชั้นใต้ดินไปชั้นที่ 1 และใช้บริเวณชั้นใต้ดินเพื่อการอื่นโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นการดัดแปลงต่อเติมอาคารผิดไปจากแบบแปลนโดยมิได้รับอนุญาต ซึ่งโจทก์มีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย โดยโจทก์มีคำขอให้บังคับจำเลยใช้บริเวณชั้นใต้ดินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติว่าบริเวณชั้นใต้ดินของอาคารที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างนั้นต้องทำเป็นลานจอดรถแต่จำเลยได้ใช้ลานจอดรถดังกล่าวเพื่อการอื่น ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบริเวณชั้นใต้ดินดังกล่าวและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำการติดตั้งบันใดเลื่อนจากชั้นใต้ดินไปชั้นที่ 1 และใช้บริเวณชั้นใต้ดินเพื่อการอื่นโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นการดัดแปลงต่อเติมอาคารผิดไปจากแบบแปลนโดยมิได้รับอนุญาต ซึ่งโจทก์มีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย โดยโจทก์มีคำขอให้บังคับจำเลยใช้บริเวณชั้นใต้ดินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติว่าบริเวณชั้นใต้ดินของอาคารที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างนั้นต้องทำเป็นลานจอดรถแต่จำเลยได้ใช้ลานจอดรถดังกล่าวเพื่อการอื่น ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบริเวณชั้นใต้ดินดังกล่าวและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงชอบแล้ว
โจทก์กับสามีโจทก์เป็นสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรสกันตามบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การหย่านอกจากได้ทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่อ 2 คนแล้วยังต้องจดทะเบียนหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1515 อีกด้วย การหย่าจึงจะสมบูรณ์ เมื่อโจทก์กับสามีโจทก์ยังไม่มีการจดทะเบียนหย่า โจทก์กับสามีโจทก์จึงยังเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย ดังนั้น แม้จำเลยจะมีข้อตกลงกับโจทก์ว่าหากโจทก์ยอมหย่ากับสามีจำเลยจะไม่ดำเนิน คดีอาญากับโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผย ว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า ในทำนองชู้สาวโจทก์ในฐานะภริยาจึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1523 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนายนิลาสน์เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 1 คน เมื่อประมาณเดือนเมษายน 2530โจทก์และสามีได้ย้ายจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มารับราชการอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร หลังจากนั้นประมาณ 2-3 เดือน สามีโจทก์ได้ไปติดพันจำเลยซึ่งเป็นนักร้องอยู่ห้องอาหารแห่งหนึ่ง โจทก์ได้ขอร้องให้สามีโจทก์และจำเลยเลิกติดต่อกันแต่ได้รับการปฏิเสธเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2531 โจทก์ได้ไปที่บ้านจำเลยเพื่อรับบุตรสาวของโจทก์ ซึ่งสามีโจทก์นำมาเลี้ยงไว้ที่บ้านจำเลย จำเลยได้ตบหน้าโจทก์ที่ด้านซ้ายอย่างแรงขณะโจทก์นั่งอยู่ในรถยนต์โจทก์เสียหลักชายโครงด้านขวากระทบกับตัวรถมีเลือดไหลที่ใบหน้าและรู้สึกปวดที่ชายโครงด้านขวา โจทก์จึงไปแจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย การที่จำเลยแสดงออกแก่บุคคลทั่วไปว่ามีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาวและให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าเป็นภริยาของสามีโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าทดแทนเป็นเงิน 80,000 บาท และค่าเสียหายต่อร่างกายเป็นเงิน20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นภริยาของนายนิลาสน์เพราะได้ตกลงหย่าขาดกันแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจหวงห้ามมิให้จำเลยมีความสัมพันธ์หรือแสดงออกถึงความสัมพันธ์ใด ๆ กับนายนิลาสน์โจทก์เป็นคนมีความประพฤติไม่เรียบร้อย โจทก์ชอบด่านายนิลาสน์ด้วยคำหยาบและคำไม่เหมาะสมจนนายนิลาสน์เกิดความอับอาย โจทก์เคยด่าจำเลยด้วยคำหยาบ ดูถูกเหยียดหยามและใส่ความจำเลยหลายครั้ง ซึ่งครั้งหนึ่งโจทก์ได้เขียนข้อความในกระดาษอย่างเปิดเผยด่าจำเลยด้วยคำหยาบและใส่ความจำเลยแล้วมอบให้ผู้อื่นนำมาให้จำเลย จำเลยได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ได้เสนอขอยอมความกับจำเลยโดยตกลงหย่ากับนายนิลาสน์ โจทก์จึงมิได้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายแก่ชื่อเสียงและสถานะภาพทางสังคมเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2531 โจทก์กับพวกขับรถยนต์มาจอดที่หน้าบ้านจำเลยแล้วร้องด่าจำเลยด้วยถ้อยคำหยาบคายใส่ความจำเลย จำเลยจึงต้องกระทำเพื่อป้องกันตนเอง โดยใช้มือลอดผ่านช่องหน้าต่างกระจกรถยนต์ที่โจทก์ไขลงไว้เพื่อด่า จำเลยจะดึงผมของโจทก์ แต่ปลายนิ้วของจำเลยปัดถูกหน้าของโจทก์เพียงเล็กน้อย ไม่ทำให้โจทก์ บาดเจ็บถึงขนาดกระดูกซี่โครงร้าวได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าทดแทนจำนวน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย10,000 บาท และค่าทดแทน 50,000 บาท รวม 60,000 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นที่ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกามีเพียงว่าหลังจากโจทก์กับนายนิลาสน์ซึ่งเป็นสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรสตายกฎหมายได้ยินยอมหย่าโดยทำเป็นหนังสือและมีพยานลงชื่อ 2 คน แล้ว แต่ยังไม่มีการจดทะเบียนหย่า จำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาวโจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยหรือไม่ ปัญหานี้มีข้อจะต้องพิจารณาว่าการหย่าดังกล่าวทำให้การสมรสสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่เห็นว่า แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1514 จะบัญญัติให้คู่สมรสทำการหย่าโดยความยินยอมต้องทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคนโดยไม่ได้บังคับว่าจะต้องนำไปจดทะเบียนหย่าก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวจะต้องเป็นการสมรสที่ไม่มีการจดทะเบียน เช่น การสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย การหย่ากันเองโดยไม่ต้องจดทะเบียนหย่าก็สมบูรณ์ แต่สำหรับกรณีนี้โจทก์กับสามีโจทก์เป็นสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรสกันตามบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การหย่านอกจากได้ทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่อ 2 คนแล้ว ยังต้องจดทะเบียนหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1515 อีกด้วย การหย่าจึงจะสมบูรณ์ เหตุนี้เมื่อโจทก์กับสามีโจทก์ยังไม่มีการจดทะเบียนหย่าโจทก์กับสามีโจทก์จึงยังเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย ดังนั้นแม้จำเลยจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อตกลงหย่า ดังที่จำเลยฎีกาก็ตามแต่เมื่อจำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนหย่าในทำนองชู้สาว โจทก์ในฐานะภริยาจึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง
พิพากษายืน
โจทก์กับสามีโจทก์เป็นสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรสกันตามบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การหย่านอกจากได้ทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่อ 2 คนแล้วยังต้องจดทะเบียนหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1515 อีกด้วย การหย่าจึงจะสมบูรณ์ เมื่อโจทก์กับสามีโจทก์ยังไม่มีการจดทะเบียนหย่า โจทก์กับสามีโจทก์จึงยังเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย ดังนั้น แม้จำเลยจะมีข้อตกลงกับโจทก์ว่าหากโจทก์ยอมหย่ากับสามีจำเลยจะไม่ดำเนิน คดีอาญากับโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผย ว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า ในทำนองชู้สาวโจทก์ในฐานะภริยาจึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1523 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนายนิลาสน์เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 1 คน เมื่อประมาณเดือนเมษายน 2530โจทก์และสามีได้ย้ายจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มารับราชการอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร หลังจากนั้นประมาณ 2-3 เดือน สามีโจทก์ได้ไปติดพันจำเลยซึ่งเป็นนักร้องอยู่ห้องอาหารแห่งหนึ่ง โจทก์ได้ขอร้องให้สามีโจทก์และจำเลยเลิกติดต่อกันแต่ได้รับการปฏิเสธเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2531 โจทก์ได้ไปที่บ้านจำเลยเพื่อรับบุตรสาวของโจทก์ ซึ่งสามีโจทก์นำมาเลี้ยงไว้ที่บ้านจำเลย จำเลยได้ตบหน้าโจทก์ที่ด้านซ้ายอย่างแรงขณะโจทก์นั่งอยู่ในรถยนต์โจทก์เสียหลักชายโครงด้านขวากระทบกับตัวรถมีเลือดไหลที่ใบหน้าและรู้สึกปวดที่ชายโครงด้านขวา โจทก์จึงไปแจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย การที่จำเลยแสดงออกแก่บุคคลทั่วไปว่ามีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาวและให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าเป็นภริยาของสามีโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าทดแทนเป็นเงิน 80,000 บาท และค่าเสียหายต่อร่างกายเป็นเงิน20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นภริยาของนายนิลาสน์เพราะได้ตกลงหย่าขาดกันแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจหวงห้ามมิให้จำเลยมีความสัมพันธ์หรือแสดงออกถึงความสัมพันธ์ใด ๆ กับนายนิลาสน์โจทก์เป็นคนมีความประพฤติไม่เรียบร้อย โจทก์ชอบด่านายนิลาสน์ด้วยคำหยาบและคำไม่เหมาะสมจนนายนิลาสน์เกิดความอับอาย โจทก์เคยด่าจำเลยด้วยคำหยาบ ดูถูกเหยียดหยามและใส่ความจำเลยหลายครั้ง ซึ่งครั้งหนึ่งโจทก์ได้เขียนข้อความในกระดาษอย่างเปิดเผยด่าจำเลยด้วยคำหยาบและใส่ความจำเลยแล้วมอบให้ผู้อื่นนำมาให้จำเลย จำเลยได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ได้เสนอขอยอมความกับจำเลยโดยตกลงหย่ากับนายนิลาสน์ โจทก์จึงมิได้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายแก่ชื่อเสียงและสถานะภาพทางสังคมเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2531 โจทก์กับพวกขับรถยนต์มาจอดที่หน้าบ้านจำเลยแล้วร้องด่าจำเลยด้วยถ้อยคำหยาบคายใส่ความจำเลย จำเลยจึงต้องกระทำเพื่อป้องกันตนเอง โดยใช้มือลอดผ่านช่องหน้าต่างกระจกรถยนต์ที่โจทก์ไขลงไว้เพื่อด่า จำเลยจะดึงผมของโจทก์ แต่ปลายนิ้วของจำเลยปัดถูกหน้าของโจทก์เพียงเล็กน้อย ไม่ทำให้โจทก์ บาดเจ็บถึงขนาดกระดูกซี่โครงร้าวได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าทดแทนจำนวน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย10,000 บาท และค่าทดแทน 50,000 บาท รวม 60,000 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นที่ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกามีเพียงว่าหลังจากโจทก์กับนายนิลาสน์ซึ่งเป็นสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรสตายกฎหมายได้ยินยอมหย่าโดยทำเป็นหนังสือและมีพยานลงชื่อ 2 คน แล้ว แต่ยังไม่มีการจดทะเบียนหย่า จำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาวโจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยหรือไม่ ปัญหานี้มีข้อจะต้องพิจารณาว่าการหย่าดังกล่าวทำให้การสมรสสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่เห็นว่า แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1514 จะบัญญัติให้คู่สมรสทำการหย่าโดยความยินยอมต้องทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคนโดยไม่ได้บังคับว่าจะต้องนำไปจดทะเบียนหย่าก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวจะต้องเป็นการสมรสที่ไม่มีการจดทะเบียน เช่น การสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย การหย่ากันเองโดยไม่ต้องจดทะเบียนหย่าก็สมบูรณ์ แต่สำหรับกรณีนี้โจทก์กับสามีโจทก์เป็นสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรสกันตามบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การหย่านอกจากได้ทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่อ 2 คนแล้ว ยังต้องจดทะเบียนหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1515 อีกด้วย การหย่าจึงจะสมบูรณ์ เหตุนี้เมื่อโจทก์กับสามีโจทก์ยังไม่มีการจดทะเบียนหย่าโจทก์กับสามีโจทก์จึงยังเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย ดังนั้นแม้จำเลยจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อตกลงหย่า ดังที่จำเลยฎีกาก็ตามแต่เมื่อจำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนหย่าในทำนองชู้สาว โจทก์ในฐานะภริยาจึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง
พิพากษายืน
โจทก์กับสามีโจทก์เป็นสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรสกันตามบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การหย่านอกจากได้ทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่อ 2 คนแล้วยังต้องจดทะเบียนหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1515 อีกด้วย การหย่าจึงจะสมบูรณ์ เมื่อโจทก์กับสามีโจทก์ยังไม่มีการจดทะเบียนหย่า โจทก์กับสามีโจทก์จึงยังเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย ดังนั้น แม้จำเลยจะมีข้อตกลงกับโจทก์ว่าหากโจทก์ยอมหย่ากับสามีจำเลยจะไม่ดำเนินคดีอาญากับโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนหย่าในทำนองชู้สาว โจทก์ในฐานะภริยาจึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง
โจทก์กับสามีโจทก์เป็นสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรสกันตามบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การหย่านอกจากได้ทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่อ 2 คนแล้วยังต้องจดทะเบียนหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1515 อีกด้วย การหย่าจึงจะสมบูรณ์ เมื่อโจทก์กับสามีโจทก์ยังไม่มีการจดทะเบียนหย่า โจทก์กับสามีโจทก์จึงยังเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย ดังนั้น แม้จำเลยจะมีข้อตกลงกับโจทก์ว่าหากโจทก์ยอมหย่ากับสามีจำเลยจะไม่ดำเนินคดีอาญากับโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนหย่าในทำนองชู้สาว โจทก์ในฐานะภริยาจึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530มาตรา 21 บัญญัติว่า เงินค่าทดแทนที่จะให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 นั้น ถ้ามิได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับใดโดยเฉพาะแล้ว ให้กำหนดโดยคำนึงถึง (1) ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับ พระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา 6 ฯลฯการที่คณะกรรมการของจำเลยได้กำหนดค่าทดแทนค่าที่ดินให้แก่โจทก์ โดยอาศัยราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามมาตรา 21(3) โดย ไม่คำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินฯ พ.ศ. 2530 ใช้บังคับด้วย กรณีจึงไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืน เมื่อศาลวินิจฉัยให้โจทก์ได้รับชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นแล้วโจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันที่ต้องมีการจ่ายหรือวางเงินค่าทดแทนนั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530มาตรา 26 วรรคท้าย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่38646 เลขที่ดิน 1389 ตำบลบางซื้อ (บางเขนฝั่งใต้)อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร จำเลยยัง ได้ทำการเวนคืนที่ดินตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอปากเกร็ด อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรีและเขตบางเขน เขตดุสิต เขตพญาไท เขตปทุมวันเขตบางรัก เขตยานนาวา เขตห้วยขวาง เขตบางกะปิเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2530 ทำให้ที่ดินโจทก์ดังกล่าวถูกเวนคืนทั้งหมด จำเลยกำหนดค่าทดแทนให้โจทก์ในอัตราตารางวาละ 6,000 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้จำเลยชำระเงิน 465,395 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9.5 ต่อปี ของต้นเงิน 416,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมกรเพื่อทำหน้าที่กำหนดราคาเบื้องต้นและจำนวนเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนในท้องที่เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร คณะกรรมการดังกล่าวได้ประชุมกำหนดเงินค่าทดแทนที่จะจ่ายค่าทดแทนที่ดินตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 9 และมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 แล้วมีมติเห็นชอบให้ใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (ราคาประเมินของกรมที่ดิน) ในปี 2531 ถึงปี2534 เป็นหลักเกณฑ์ในการคิดค่าทดแทนที่ดินเนื่องจากมีราคาสูงกว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ที่มีการตีราคาไว้เพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ สำหรับที่ดินของโจทก์คณะกรรมการได้พิจารณากำหนดค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ตามบัญชีราคาประเมินที่ดินเขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ของกรมที่ดินในโซน 66 บล็อก พีหน่วยที่ 2 ติดซอยในระยะ 40 เมตร ราคา ตารางวาละ6,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ถูกต้องเหมาะสมเป็นธรรมและชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยไม่ต้องชดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน416,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 9.5 ต่อปี นับแต่วันที่6 ธันวาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกาว่า
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า คณะกรรมการได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซึ่งสูงกว่าราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่มีการตีราคาไว้เพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดและโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 21 บัญญัติว่าเงินค่าทดแทนที่จะให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18นั้น ถ้ามิได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับใดโดยเฉพาะแล้วให้กำหนดโดยคำนึงถึง (1)ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา 6 ฯลฯ การที่คณะกรรมการของจำเลยได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์โดยอาศัยราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามมาตรา 21(3) โดยไม่คำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน พ.ศ.2530 ใช้บังคับด้วยกรณีจึงไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืน และข้อเท็จจริงได้ความว่า ที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนกับที่ดินของนายธวัชชัยจันทร์กะพ้อ อยู่ตรงข้ามกันและห่างกันประมาณ 5 เมตรตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่27 ธันวาคม 2534 และจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินของนายธวัชชัยเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2531 ในราคาตารางวาละ10,000 บาท ซึ่งเห็นได้ว่าที่ดินของโจทก์และของนายธวัชชัยอยู่ในบริเวณเดียวกันและนับใกล้กันมาก ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืน การกำหนดค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนจึงควรจะเป็นราคาอย่างเดียวกับที่จำเลยซื้อจากนายธวัชชัย การที่คณะกรรมการของจำเลยกำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ในราคาตารางวาละ 6,000 บาท จึงต่ำไปเห็นสมควรให้จำเลยชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นให้แก่โจทก์ในราคาตารางวาละ 10,000 บาท และสำหรับดอกเบี้ยซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับหรือไม่เพียงใดนั้น เมื่อศาลวินิจฉัยให้โจทก์ได้รับชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันที่ต้องมีการจ่ายหรือวางเงินค่าทดแทนนั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 26 วรรคท้ายซึ่งโจทก์อ้างว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้นมีอัตราร้อยละ 9.5 ต่อปี จำเลยไม่ได้นำสืบว่าไม่ถูกต้องแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบ จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 9.5 ต่อปี คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530มาตรา 21 บัญญัติว่า เงินค่าทดแทนที่จะให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 นั้น ถ้ามิได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับใดโดยเฉพาะแล้ว ให้กำหนดโดยคำนึงถึง (1) ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับ พระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา 6 ฯลฯการที่คณะกรรมการของจำเลยได้กำหนดค่าทดแทนค่าที่ดินให้แก่โจทก์ โดยอาศัยราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามมาตรา 21(3) โดย ไม่คำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินฯ พ.ศ. 2530 ใช้บังคับด้วย กรณีจึงไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืน เมื่อศาลวินิจฉัยให้โจทก์ได้รับชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นแล้วโจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันที่ต้องมีการจ่ายหรือวางเงินค่าทดแทนนั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530มาตรา 26 วรรคท้าย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่38646 เลขที่ดิน 1389 ตำบลบางซื้อ (บางเขนฝั่งใต้)อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร จำเลยยัง ได้ทำการเวนคืนที่ดินตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอปากเกร็ด อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรีและเขตบางเขน เขตดุสิต เขตพญาไท เขตปทุมวันเขตบางรัก เขตยานนาวา เขตห้วยขวาง เขตบางกะปิเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2530 ทำให้ที่ดินโจทก์ดังกล่าวถูกเวนคืนทั้งหมด จำเลยกำหนดค่าทดแทนให้โจทก์ในอัตราตารางวาละ 6,000 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้จำเลยชำระเงิน 465,395 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9.5 ต่อปี ของต้นเงิน 416,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมกรเพื่อทำหน้าที่กำหนดราคาเบื้องต้นและจำนวนเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนในท้องที่เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร คณะกรรมการดังกล่าวได้ประชุมกำหนดเงินค่าทดแทนที่จะจ่ายค่าทดแทนที่ดินตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 9 และมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 แล้วมีมติเห็นชอบให้ใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (ราคาประเมินของกรมที่ดิน) ในปี 2531 ถึงปี2534 เป็นหลักเกณฑ์ในการคิดค่าทดแทนที่ดินเนื่องจากมีราคาสูงกว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ที่มีการตีราคาไว้เพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ สำหรับที่ดินของโจทก์คณะกรรมการได้พิจารณากำหนดค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ตามบัญชีราคาประเมินที่ดินเขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ของกรมที่ดินในโซน 66 บล็อก พีหน่วยที่ 2 ติดซอยในระยะ 40 เมตร ราคา ตารางวาละ6,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ถูกต้องเหมาะสมเป็นธรรมและชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยไม่ต้องชดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน416,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 9.5 ต่อปี นับแต่วันที่6 ธันวาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกาว่า
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า คณะกรรมการได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซึ่งสูงกว่าราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่มีการตีราคาไว้เพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดและโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 21 บัญญัติว่าเงินค่าทดแทนที่จะให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18นั้น ถ้ามิได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับใดโดยเฉพาะแล้วให้กำหนดโดยคำนึงถึง (1)ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา 6 ฯลฯ การที่คณะกรรมการของจำเลยได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์โดยอาศัยราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามมาตรา 21(3) โดยไม่คำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน พ.ศ.2530 ใช้บังคับด้วยกรณีจึงไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืน และข้อเท็จจริงได้ความว่า ที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนกับที่ดินของนายธวัชชัยจันทร์กะพ้อ อยู่ตรงข้ามกันและห่างกันประมาณ 5 เมตรตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่27 ธันวาคม 2534 และจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินของนายธวัชชัยเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2531 ในราคาตารางวาละ10,000 บาท ซึ่งเห็นได้ว่าที่ดินของโจทก์และของนายธวัชชัยอยู่ในบริเวณเดียวกันและนับใกล้กันมาก ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืน การกำหนดค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนจึงควรจะเป็นราคาอย่างเดียวกับที่จำเลยซื้อจากนายธวัชชัย การที่คณะกรรมการของจำเลยกำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ในราคาตารางวาละ 6,000 บาท จึงต่ำไปเห็นสมควรให้จำเลยชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นให้แก่โจทก์ในราคาตารางวาละ 10,000 บาท และสำหรับดอกเบี้ยซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับหรือไม่เพียงใดนั้น เมื่อศาลวินิจฉัยให้โจทก์ได้รับชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันที่ต้องมีการจ่ายหรือวางเงินค่าทดแทนนั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 26 วรรคท้ายซึ่งโจทก์อ้างว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้นมีอัตราร้อยละ 9.5 ต่อปี จำเลยไม่ได้นำสืบว่าไม่ถูกต้องแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบ จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 9.5 ต่อปี คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530มาตรา 21 บัญญัติว่า เงินค่าทดแทนที่จะให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา18 นั้น ถ้ามิได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษใน พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับใดโดยเฉพาะแล้ว ให้กำหนดโดยคำนึงถึง (1) ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหา-ริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับ พ.ร.ฎ.ที่ออกตามมาตรา 6 ฯลฯการที่คณะกรรมการของจำเลยได้กำหนดค่าทดแทนค่าที่ดินให้แก่โจทก์โดยอาศัยราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามมาตรา 21 (3) โดยไม่คำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหา-ริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันที่ พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดิน ฯ พ.ศ.2530ใช้บังคับด้วย กรณีจึงไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืน
เมื่อศาลวินิจฉัยให้โจทก์ได้รับชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นแล้วโจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันที่ต้องมีการจ่ายหรือวางเงินค่าทดแทนนั้นตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา26 วรรคท้าย
ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530มาตรา 21 บัญญัติว่า เงินค่าทดแทนที่จะให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา18 นั้น ถ้ามิได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษใน พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับใดโดยเฉพาะแล้ว ให้กำหนดโดยคำนึงถึง (1) ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหา-ริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับ พ.ร.ฎ.ที่ออกตามมาตรา 6 ฯลฯการที่คณะกรรมการของจำเลยได้กำหนดค่าทดแทนค่าที่ดินให้แก่โจทก์โดยอาศัยราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามมาตรา 21 (3) โดยไม่คำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหา-ริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันที่ พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดิน ฯ พ.ศ.2530ใช้บังคับด้วย กรณีจึงไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืน
เมื่อศาลวินิจฉัยให้โจทก์ได้รับชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นแล้วโจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันที่ต้องมีการจ่ายหรือวางเงินค่าทดแทนนั้นตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา26 วรรคท้าย
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|