จำเลยที่ 1 มีอำนาจในการตัดสินใจรับผู้เข้าร่วมโครงการที่ผ่านการตรวจร่างกายเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 และหากมีผู้เข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 จำนวนมากก็จะทำให้จำเลยที่ 3 ได้รับประโยชน์จากค่าผ่าตัดเป็นจำนวนมากไปด้วย พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันในโครงการของจำเลยที่ 1 ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ดำเนินโครงการร่วมกัน และจำเลยที่ 1 ในฐานะร่วมเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 4 ในการผ่าตัดศัลยกรรมให้ผู้เข้าร่วมโครงการด้วยจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 4 ก่อขึ้น ในส่วนของความรับผิดในการโฆษณาด้วยข้อความที่เกินความจริง แม้การกระทำของจำเลยที่ 1 ตามฟ้องอาจเป็นได้ทั้งละเมิดและสัญญา แต่เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าจำเลยทั้งสี่กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ กรณีต้องถือว่าไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องผิดสัญญา การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำโฆษณาและคำรับรองของจำเลยที่ 1 เป็นส่วนหนึ่งของสัญญา เมื่อการโฆษณาและรับรองไม่ตรงกับความจริง จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาต่อโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากประเด็นข้อพิพาท คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 141 (5) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 เมื่อปัญหานี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 โฆษณาว่าผ่าตัดไร้รอยแผลเข้าลักษณะข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริงอันเป็นกรณีจำเลยที่ 1 ละเมิดสิทธิของโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้อุทธรณ์ จึงต้องรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และ ที่ 3 ถือได้ว่าดำเนินการโครงการร่วมกัน การที่จำเลยที่ 3 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 โฆษณาโครงการด้วยข้อความเกินความจริง แต่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 ยังรับทำศัลยกรรรมให้ผู้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวมาตลอด ย่อมรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ร่วมรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 โฆษณาโครงการเกินจริง จึงต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 9,978,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และขอให้ศาลกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษต่อจำเลยทั้งสี่ขั้นสูงสุด
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว และให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันชำระเงิน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 เมษายน 2562) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 12,000 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับการยกเว้นนั้นให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 นำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ชำระตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 เมษายน 2562) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อตั้งโครงการ ฟ. มีวัตถุประสงค์ให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่ต้องการทำศัลยกรรมเกี่ยวกับความงามโดยเป็นผู้ติดต่อโรงพยาบาลเพื่อให้บุคคลดังกล่าวทำศัลยกรรม ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการต้องให้โครงการบันทึกวิดีโอทั้งก่อนและหลังทำศัลยกรรม แล้วโครงการจะพิจารณานำไปประชาสัมพันธ์เผยแพร่ทางสื่อต่าง ๆ โครงการดังกล่าวมีเว็บไซต์เผยแพร่ข้อมูลการทำศัลยกรรมความงาม เผยแพร่วิดีโอการสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมโครงการที่มีความพึงพอใจต่อการทำศัลยกรรม มีภาพของผู้เข้าร่วมโครงการเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังทำศัลยกรรม จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาลใช้ชื่อว่า โรงพยาบาล ฉ. จำเลยที่ 4 เป็นศัลยแพทย์ตกแต่งประจำโรงพยาบาลดังกล่าวและเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 หลังจากโจทก์ทราบข้อมูลโครงการ ฟ. ทางสื่อออนไลน์ โจทก์เริ่มติดต่อสนทนากับพนักงานของโครงการดังกล่าวทางเฟซบุ๊ก เพื่อเข้าร่วมโครงการทำศัลยกรรมดึงหน้า ต่อมาวันที่ 28 สิงหาคม 2561 โจทก์ชำระเงินจองให้โครงการโดยโอนเข้าบัญชีธนาคารชื่อบัญชี โครงการ ฟ. โดยจำเลยที่ 2 (ผู้อำนวยการฝ่ายประสานงานจองคิวผ่าตัดโครงการ ฟ. ) 50,000 บาท วันที่ 19 ธันวาคม 2561 โจทก์เดินทางมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาไปพบจำเลยที่ 1 ที่บ้านของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการ โจทก์ชำระเงินสดให้โครงการ 228,500 บาท และโอนเงินเข้าบัญชีชื่อบัญชี โครงการ ฟ. โดยจำเลยที่ 2 (ผู้อำนวยการฝ่ายประสานงานจองคิวผ่าตัดโครงการ ฟ. ) 200,000 บาท รวมเป็นเงินที่ชำระไปแล้วทั้งสิ้น 478,500 บาท แบ่งเป็นค่าดึงหน้าสามส่วน 280,000 บาท ค่าดึงคอ 180,000 บาท และค่าตรวจร่างกาย 18,500 บาท จากนั้นจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาจ้างเป็นที่ปรึกษาและปรับปรุงความงาม และวันเดียวกันทางโครงการได้ออกหนังสือส่งตัวคนไข้ให้โจทก์และเรียกรถแท็กซี่ให้พาโจทก์ไปส่งที่โรงพยาบาล ฉ. วันที่ 20 ธันวาคม 2561 โจทก์ได้รับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าและดึงคอโดยจำเลยที่ 4 เป็นแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด วันที่ 21 ธันวาคม 2561 จำเลยที่ 3 ได้รับค่ารักษาพยาบาลจากโครงการ ฟ. เป็นค่าตรวจร่างกายโจทก์ 13,300 บาท และค่าผ่าตัดดึงหน้าและดึงคอโจทก์ 160,000 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำละเมิด และจำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด และตามที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่ สำหรับฟ้องโจทก์ในส่วนที่อ้างว่า จำเลยที่ 4 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้โจทก์มีแผลเป็นที่ด้านหน้าและหลังใบหูทั้งสองข้าง ใบหน้าเบี้ยว ผิวหนังบริเวณแก้มและคางไม่เรียบตะปุ่มตะป่ำ นั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 4 และเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 3 ได้อธิบายขั้นตอนการรักษารวมทั้งผลที่จะเกิดขึ้นจากการรักษาให้โจทก์ทราบแล้ว ซึ่งผลการผ่าตัดที่ปรากฏแผลเป็นหลังจากผ่าตัดเป็นไปตามแผนการผ่าตัดของจำเลยที่ 4 มิได้ปรากฏบาดแผลจากการผ่าตัดที่จะเป็นการบ่งชี้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 4 เป็นไปด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้ใบหน้าของโจทก์เสียโฉม ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 มิได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อในการผ่าตัดดึงหน้าให้แก่โจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้ จึงต้องรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาเฉพาะแผลพุพองใต้คางของโจทก์ และการโฆษณาด้วยข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริงของจำเลยที่ 1
ปัญหาข้อต่อไปที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในการโฆษณาด้วยข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริงหรือไม่ เพียงใด และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า แม้การกระทำของจำเลยที่ 1 ตามฟ้องอาจเป็นได้ทั้งละเมิดและผิดสัญญา แต่เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าจำเลยทั้งสี่กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ส่วนเรื่องผิดสัญญามิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ และโจทก์ไม่ได้คัดค้าน กรณีต้องถือว่าไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องผิดสัญญา การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำโฆษณาและคำรับรองของจำเลยที่ 1 เป็นส่วนหนึ่งของสัญญา เมื่อการโฆษณาและรับรองไม่ตรงกับความจริง จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาต่อโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากประเด็นข้อพิพาท คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 141 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ปัญหาว่า จำเลยที่ 1 โฆษณาด้วยข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริงอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เป็นปัญหาที่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัย แต่เมื่อสำนวนขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน ปัญหาข้อนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 โฆษณาว่าผ่าตัดไร้รอยแผลเข้าลักษณะข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง อันเป็นการโฆษณาที่ใช้ข้อความไม่เป็นธรรมก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับการบริการ และตัดโอกาสของโจทก์ที่จะใช้ข้อมูลดังกล่าวตัดสินใจที่จะเข้าทำสัญญาเป็นที่ปรึกษาและปรับปรุงความงามกับจำเลยที่ 1 โจทก์ผู้บริโภคจึงไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา เป็นกรณีจำเลยที่ 1 ละเมิดสิทธิของโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้อุทธรณ์ จึงต้องรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 4 แจ้งถึงความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นภายหลังการผ่าตัดให้โจทก์ทราบแล้ว แต่โจทก์เพิ่งจะได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวก่อนการผ่าตัดเพียงไม่กี่ชั่วโมง ประกอบกับที่จำเลยที่ 1 ให้โจทก์ทำไว้ ระบุในข้อ 5 ว่า หากโจทก์ไม่ยอมเข้ารับการผ่าตัด ให้เงินที่โจทก์ชำระแก่จำเลยที่ 1 แล้วตกเป็นของจำเลยที่ 1 ทั้งหมดโดยไม่ต้องคืนแก่โจทก์ แสดงว่าโจทก์ตกอยู่ในภาวะจำยอมที่จะต้องตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด การที่โจทก์ทราบข้อมูลเรื่องแผลเป็นจากจำเลยที่ 4 ก่อนการผ่าตัดจึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ให้ไม่เป็นละเมิด จำเลยที่ 1 ยังคงต้องรับผิดในความเสียหายต่อโจทก์ ที่โจทก์ฎีกาขอให้กำหนดค่าเสียหายสูงสุดตามฟ้อง และที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าตนเองได้รับความทุกข์ทรมานทางร่างกายและจิตใจอย่างไรบ้างจนก่อให้เกิดความเสียหายคำนวณเป็นราคาเงินได้ ในทางกลับกันโจทก์ได้รับการผ่าตัดจนใบหน้าสวยงามย่อมทำให้โจทก์มีความสุขสดชื่น จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้โจทก์ทนทุกข์ทรมาน นั้น เห็นสมควรวินิจฉัยไปพร้อมกัน โดยเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 โฆษณาเกินความจริงว่าผ่าตัดไร้รอยแผล ย่อมทำให้โจทก์คาดหวังว่าหลังได้รับการผ่าตัดจะไม่มีแผลเป็นอยู่บนใบหน้าโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีแผลเป็นบริเวณใบหน้าโจทก์ ไม่เป็นไปตามคำโฆษณา ย่อมเกิดผลกระทบกระเทือนต่อสภาพจิตใจโจทก์ ถือว่าโจทก์ได้รับความทุกข์ทรมานทางจิตใจ ซึ่งเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 แม้โจทก์ไม่อาจนำสืบให้เห็นได้ว่าความเสียหายดังกล่าวคำนวณเป็นราคาเงินเท่าใด ศาลก็มีอำนาจกำหนดให้ได้ตามที่เห็นสมควร โดยเห็นว่า การที่โจทก์ยอมเสียเงินเป็นค่าใช้จ่ายให้จำเลยที่ 1 เป็นจำนวนมากถึง 478,500 บาท เพื่อทำศัลยกรรมดึงหน้าและดึงคอตามคำโฆษณาของจำเลยที่ 1 แสดงว่าโจทก์ให้ความสำคัญกับการไม่มีแผลเป็นบริเวณใบหน้าเป็นพิเศษ เมื่อมีแผลเป็นเกิดขึ้นย่อมกระทบกระเทือนต่อสภาพจิตใจโจทก์เป็นอย่างมากและเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม ได้พิจารณาแผลเป็นบริเวณใบหน้าโจทก์แล้ว คงเหลือแผลเป็นอยู่ที่ขมับ หลังใบหู และท้ายทอย แม้ไม่เป็นไปตามคำโฆษณาของจำเลยที่ 1 ที่รับรองว่าไม่มีแผลเป็น แต่แผลเป็นดังกล่าวก็จางลงมาก สอดคล้องกับที่พลตำรวจโทนายแพทย์อรรถพันธ์ตอบทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และทนายจำเลยที่ 3 ที่ 4 ถามค้านว่า แผลเป็นที่เกิดจากการผ่าตัดจะจางลงไปเรื่อย ๆ เมื่อระยะเวลาผ่านไปจะเห็นแผลเป็นไม่ชัด ประกอบกับบริเวณดังกล่าวมีเส้นผมบังอยู่ หากไม่ได้ตั้งใจมองในระยะใกล้ก็ไม่น่าจะเห็นแผลเป็นได้ ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้โจทก์ 200,000 บาท นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 แล้ว ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่แก้ไขใหม่ นั้น เห็นว่า ก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ได้มีการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่อาจปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี และมาตรา 7 แห่งพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จึงต้องบังคับตามมาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขอัตราดอกเบี้ยเสียใหม่ให้ถูกต้อง ที่โจทก์ฎีกาขอให้กำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษ นั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 โฆษณาว่าเป็นการผ่าตัดไร้รอยแผล แม้จะเป็นการโฆษณาเกินความจริง แต่แผลเป็นหลังผ่าตัดที่ยังคงเหลืออยู่ที่ขมับ หลังใบหู และท้ายทอยของโจทก์เป็นแผลเป็นที่เกิดขึ้นตามปกติของการผ่าตัด อีกทั้งตามวิดีโอคลิปปรากฏว่าผลการผ่าตัดทำให้ใบหน้าโจทก์เปลี่ยนแปลงดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนที่จำเลยที่ 4 ไม่ได้ตรวจความเรียบร้อยของแผลให้โจทก์ในช่วงที่มีการนัดตัดไหมทำให้แผลที่เกิดขึ้นใต้คางของโจทก์ไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีและโจทก์ขาดโอกาสที่จะได้รับคำแนะนำการดูแลแผลที่ถูกต้องก็มีผลเพียงทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ กรณียังไม่อาจรับฟังได้ว่าการกระทำที่ถูกฟ้องร้องในคดีนี้เกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม หรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จึงไม่อาจสั่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ได้ ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในการโฆษณาเท็จ นั้น เห็นว่า ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในตอนต้นแล้วว่าพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถือได้ว่าดำเนินการโครงการ ฟ. ร่วมกัน การที่จำเลยที่ 3 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 โฆษณาโครงการ ฟ. ด้วยข้อความเกินความจริง แต่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 ยังรับทำศัลยกรรมให้ผู้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวมาตลอด ย่อมรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 โฆษณาโครงการเกินความจริง จึงต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ด้วย ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 มีการแบ่งปันผลประโยชน์กัน และจำเลยที่ 2 มาฟ้องผู้เข้าร่วมโครงการ ฟ. ที่ค้างชำระเงินแก่โครงการเป็นการส่วนตัวตามสำเนาสัญญาแบ่งผลประโยชน์ที่เกิดจากโครงการ ฟ. ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 และสำเนาคำพิพากษาแนบท้ายฎีกาของโจทก์ นั้น เห็นว่า โจทก์ไม่ได้อ้างส่งสำเนาสัญญาแบ่งผลประโยชน์แนบท้ายฎีกาของโจทก์เป็นพยานหลักฐานให้ถูกต้องตามขั้นตอนกระบวนพิจารณา นอกจากนี้ยังปรากฏจากสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 49/2564 ของศาลจังหวัดพิษณุโลก แนบท้ายฎีกาของโจทก์เองว่าจำเลยที่ 2 เบิกความในคดีอื่นว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้รับเงินเดือน เดือนละ 40,000 บาท ไม่มีส่วนในการลงทุนในโครงการ ฟ. ขัดกับข้อความในสัญญาแบ่งผลประโยชน์ จึงไม่อาจนำสำเนาสัญญาแบ่งผลประโยชน์ดังกล่าวมารับฟังได้ เมื่อศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในตอนต้นแล้วว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยที่ 2 มีผลประโยชน์ในโครงการ ฟ. ร่วมกับจำเลยที่ 1 อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมรู้เห็นกับการโฆษณาเกินความจริงของจำเลยที่ 1 ดังนั้น จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 4 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 และเกี่ยวข้องเพียงเป็นแพทย์ผู้ผ่าตัดโจทก์ ไม่ปรากฏว่ามีผลประโยชน์ร่วมกับจำเลยที่ 1 หรือร่วมรู้เห็นกับการโฆษณาเกินความจริงของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อโต้แย้งอื่นที่จำเลยที่ 1 อ้างมาในฎีกาเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 เพราะถูกหลอกลวงด้วยข้อความอันเป็นเท็จจึงเป็นการเข้าใจผิดในสาระสำคัญย่อมตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ต้องคืนเงินที่หลอกลวงเอาไปจากโจทก์ทั้งหมด นั้น โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในคำฟ้อง จึงเป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 270,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 เมษายน 2562) ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ อัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ใช้อัตราที่ปรับเปลี่ยนบวกด้วยอัตราร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ ให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดชำระเงินดังกล่าว 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราและตามระยะเวลาเดียวกันแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 มีอำนาจในการตัดสินใจรับผู้เข้าร่วมโครงการที่ผ่านการตรวจร่างกายเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 และหากมีผู้เข้าร่วมโครงการกับจำเลยที่ 1 จำนวนมากก็จะทำให้จำเลยที่ 3 ได้รับประโยชน์จากค่าผ่าตัดเป็นจำนวนมากไปด้วย พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันในโครงการของจำเลยที่ 1 ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ดำเนินโครงการร่วมกัน และจำเลยที่ 1 ในฐานะร่วมเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 4 ในการผ่าตัดศัลยกรรมให้ผู้เข้าร่วมโครงการด้วยจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 4 ก่อขึ้น ในส่วนของความรับผิดในการโฆษณาด้วยข้อความที่เกินความจริง แม้การกระทำของจำเลยที่ 1 ตามฟ้องอาจเป็นได้ทั้งละเมิดและสัญญา แต่เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าจำเลยทั้งสี่กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ กรณีต้องถือว่าไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องผิดสัญญา การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำโฆษณาและคำรับรองของจำเลยที่ 1 เป็นส่วนหนึ่งของสัญญา เมื่อการโฆษณาและรับรองไม่ตรงกับความจริง จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาต่อโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากประเด็นข้อพิพาท คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 141 (5) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 เมื่อปัญหานี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 โฆษณาว่าผ่าตัดไร้รอยแผลเข้าลักษณะข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริงอันเป็นกรณีจำเลยที่ 1 ละเมิดสิทธิของโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้อุทธรณ์ จึงต้องรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และ ที่ 3 ถือได้ว่าดำเนินการโครงการร่วมกัน การที่จำเลยที่ 3 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 โฆษณาโครงการด้วยข้อความเกินความจริง แต่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 ยังรับทำศัลยกรรรมให้ผู้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวมาตลอด ย่อมรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ร่วมรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 โฆษณาโครงการเกินจริง จึงต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 9,978,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และขอให้ศาลกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษต่อจำเลยทั้งสี่ขั้นสูงสุด
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว และให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันชำระเงิน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 เมษายน 2562) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 12,000 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับการยกเว้นนั้นให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 นำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ชำระตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 เมษายน 2562) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อตั้งโครงการ ฟ. มีวัตถุประสงค์ให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่ต้องการทำศัลยกรรมเกี่ยวกับความงามโดยเป็นผู้ติดต่อโรงพยาบาลเพื่อให้บุคคลดังกล่าวทำศัลยกรรม ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการต้องให้โครงการบันทึกวิดีโอทั้งก่อนและหลังทำศัลยกรรม แล้วโครงการจะพิจารณานำไปประชาสัมพันธ์เผยแพร่ทางสื่อต่าง ๆ โครงการดังกล่าวมีเว็บไซต์เผยแพร่ข้อมูลการทำศัลยกรรมความงาม เผยแพร่วิดีโอการสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมโครงการที่มีความพึงพอใจต่อการทำศัลยกรรม มีภาพของผู้เข้าร่วมโครงการเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังทำศัลยกรรม จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาลใช้ชื่อว่า โรงพยาบาล ฉ. จำเลยที่ 4 เป็นศัลยแพทย์ตกแต่งประจำโรงพยาบาลดังกล่าวและเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 หลังจากโจทก์ทราบข้อมูลโครงการ ฟ. ทางสื่อออนไลน์ โจทก์เริ่มติดต่อสนทนากับพนักงานของโครงการดังกล่าวทางเฟซบุ๊ก เพื่อเข้าร่วมโครงการทำศัลยกรรมดึงหน้า ต่อมาวันที่ 28 สิงหาคม 2561 โจทก์ชำระเงินจองให้โครงการโดยโอนเข้าบัญชีธนาคารชื่อบัญชี โครงการ ฟ. โดยจำเลยที่ 2 (ผู้อำนวยการฝ่ายประสานงานจองคิวผ่าตัดโครงการ ฟ. ) 50,000 บาท วันที่ 19 ธันวาคม 2561 โจทก์เดินทางมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาไปพบจำเลยที่ 1 ที่บ้านของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการ โจทก์ชำระเงินสดให้โครงการ 228,500 บาท และโอนเงินเข้าบัญชีชื่อบัญชี โครงการ ฟ. โดยจำเลยที่ 2 (ผู้อำนวยการฝ่ายประสานงานจองคิวผ่าตัดโครงการ ฟ. ) 200,000 บาท รวมเป็นเงินที่ชำระไปแล้วทั้งสิ้น 478,500 บาท แบ่งเป็นค่าดึงหน้าสามส่วน 280,000 บาท ค่าดึงคอ 180,000 บาท และค่าตรวจร่างกาย 18,500 บาท จากนั้นจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาจ้างเป็นที่ปรึกษาและปรับปรุงความงาม และวันเดียวกันทางโครงการได้ออกหนังสือส่งตัวคนไข้ให้โจทก์และเรียกรถแท็กซี่ให้พาโจทก์ไปส่งที่โรงพยาบาล ฉ. วันที่ 20 ธันวาคม 2561 โจทก์ได้รับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าและดึงคอโดยจำเลยที่ 4 เป็นแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด วันที่ 21 ธันวาคม 2561 จำเลยที่ 3 ได้รับค่ารักษาพยาบาลจากโครงการ ฟ. เป็นค่าตรวจร่างกายโจทก์ 13,300 บาท และค่าผ่าตัดดึงหน้าและดึงคอโจทก์ 160,000 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำละเมิด และจำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด และตามที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่ สำหรับฟ้องโจทก์ในส่วนที่อ้างว่า จำเลยที่ 4 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้โจทก์มีแผลเป็นที่ด้านหน้าและหลังใบหูทั้งสองข้าง ใบหน้าเบี้ยว ผิวหนังบริเวณแก้มและคางไม่เรียบตะปุ่มตะป่ำ นั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 4 และเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 3 ได้อธิบายขั้นตอนการรักษารวมทั้งผลที่จะเกิดขึ้นจากการรักษาให้โจทก์ทราบแล้ว ซึ่งผลการผ่าตัดที่ปรากฏแผลเป็นหลังจากผ่าตัดเป็นไปตามแผนการผ่าตัดของจำเลยที่ 4 มิได้ปรากฏบาดแผลจากการผ่าตัดที่จะเป็นการบ่งชี้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 4 เป็นไปด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้ใบหน้าของโจทก์เสียโฉม ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 มิได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อในการผ่าตัดดึงหน้าให้แก่โจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้ จึงต้องรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาเฉพาะแผลพุพองใต้คางของโจทก์ และการโฆษณาด้วยข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริงของจำเลยที่ 1
ปัญหาข้อต่อไปที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในการโฆษณาด้วยข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริงหรือไม่ เพียงใด และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า แม้การกระทำของจำเลยที่ 1 ตามฟ้องอาจเป็นได้ทั้งละเมิดและผิดสัญญา แต่เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าจำเลยทั้งสี่กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ส่วนเรื่องผิดสัญญามิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ และโจทก์ไม่ได้คัดค้าน กรณีต้องถือว่าไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องผิดสัญญา การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำโฆษณาและคำรับรองของจำเลยที่ 1 เป็นส่วนหนึ่งของสัญญา เมื่อการโฆษณาและรับรองไม่ตรงกับความจริง จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาต่อโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากประเด็นข้อพิพาท คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 141 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ปัญหาว่า จำเลยที่ 1 โฆษณาด้วยข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริงอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เป็นปัญหาที่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัย แต่เมื่อสำนวนขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน ปัญหาข้อนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 โฆษณาว่าผ่าตัดไร้รอยแผลเข้าลักษณะข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง อันเป็นการโฆษณาที่ใช้ข้อความไม่เป็นธรรมก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับการบริการ และตัดโอกาสของโจทก์ที่จะใช้ข้อมูลดังกล่าวตัดสินใจที่จะเข้าทำสัญญาเป็นที่ปรึกษาและปรับปรุงความงามกับจำเลยที่ 1 โจทก์ผู้บริโภคจึงไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา เป็นกรณีจำเลยที่ 1 ละเมิดสิทธิของโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้อุทธรณ์ จึงต้องรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 4 แจ้งถึงความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นภายหลังการผ่าตัดให้โจทก์ทราบแล้ว แต่โจทก์เพิ่งจะได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวก่อนการผ่าตัดเพียงไม่กี่ชั่วโมง ประกอบกับที่จำเลยที่ 1 ให้โจทก์ทำไว้ ระบุในข้อ 5 ว่า หากโจทก์ไม่ยอมเข้ารับการผ่าตัด ให้เงินที่โจทก์ชำระแก่จำเลยที่ 1 แล้วตกเป็นของจำเลยที่ 1 ทั้งหมดโดยไม่ต้องคืนแก่โจทก์ แสดงว่าโจทก์ตกอยู่ในภาวะจำยอมที่จะต้องตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด การที่โจทก์ทราบข้อมูลเรื่องแผลเป็นจากจำเลยที่ 4 ก่อนการผ่าตัดจึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ให้ไม่เป็นละเมิด จำเลยที่ 1 ยังคงต้องรับผิดในความเสียหายต่อโจทก์ ที่โจทก์ฎีกาขอให้กำหนดค่าเสียหายสูงสุดตามฟ้อง และที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าตนเองได้รับความทุกข์ทรมานทางร่างกายและจิตใจอย่างไรบ้างจนก่อให้เกิดความเสียหายคำนวณเป็นราคาเงินได้ ในทางกลับกันโจทก์ได้รับการผ่าตัดจนใบหน้าสวยงามย่อมทำให้โจทก์มีความสุขสดชื่น จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้โจทก์ทนทุกข์ทรมาน นั้น เห็นสมควรวินิจฉัยไปพร้อมกัน โดยเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 โฆษณาเกินความจริงว่าผ่าตัดไร้รอยแผล ย่อมทำให้โจทก์คาดหวังว่าหลังได้รับการผ่าตัดจะไม่มีแผลเป็นอยู่บนใบหน้าโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีแผลเป็นบริเวณใบหน้าโจทก์ ไม่เป็นไปตามคำโฆษณา ย่อมเกิดผลกระทบกระเทือนต่อสภาพจิตใจโจทก์ ถือว่าโจทก์ได้รับความทุกข์ทรมานทางจิตใจ ซึ่งเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 แม้โจทก์ไม่อาจนำสืบให้เห็นได้ว่าความเสียหายดังกล่าวคำนวณเป็นราคาเงินเท่าใด ศาลก็มีอำนาจกำหนดให้ได้ตามที่เห็นสมควร โดยเห็นว่า การที่โจทก์ยอมเสียเงินเป็นค่าใช้จ่ายให้จำเลยที่ 1 เป็นจำนวนมากถึง 478,500 บาท เพื่อทำศัลยกรรมดึงหน้าและดึงคอตามคำโฆษณาของจำเลยที่ 1 แสดงว่าโจทก์ให้ความสำคัญกับการไม่มีแผลเป็นบริเวณใบหน้าเป็นพิเศษ เมื่อมีแผลเป็นเกิดขึ้นย่อมกระทบกระเทือนต่อสภาพจิตใจโจทก์เป็นอย่างมากและเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม ได้พิจารณาแผลเป็นบริเวณใบหน้าโจทก์แล้ว คงเหลือแผลเป็นอยู่ที่ขมับ หลังใบหู และท้ายทอย แม้ไม่เป็นไปตามคำโฆษณาของจำเลยที่ 1 ที่รับรองว่าไม่มีแผลเป็น แต่แผลเป็นดังกล่าวก็จางลงมาก สอดคล้องกับที่พลตำรวจโทนายแพทย์อรรถพันธ์ตอบทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และทนายจำเลยที่ 3 ที่ 4 ถามค้านว่า แผลเป็นที่เกิดจากการผ่าตัดจะจางลงไปเรื่อย ๆ เมื่อระยะเวลาผ่านไปจะเห็นแผลเป็นไม่ชัด ประกอบกับบริเวณดังกล่าวมีเส้นผมบังอยู่ หากไม่ได้ตั้งใจมองในระยะใกล้ก็ไม่น่าจะเห็นแผลเป็นได้ ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้โจทก์ 200,000 บาท นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 แล้ว ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่แก้ไขใหม่ นั้น เห็นว่า ก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ได้มีการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่อาจปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี และมาตรา 7 แห่งพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จึงต้องบังคับตามมาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขอัตราดอกเบี้ยเสียใหม่ให้ถูกต้อง ที่โจทก์ฎีกาขอให้กำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษ นั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 โฆษณาว่าเป็นการผ่าตัดไร้รอยแผล แม้จะเป็นการโฆษณาเกินความจริง แต่แผลเป็นหลังผ่าตัดที่ยังคงเหลืออยู่ที่ขมับ หลังใบหู และท้ายทอยของโจทก์เป็นแผลเป็นที่เกิดขึ้นตามปกติของการผ่าตัด อีกทั้งตามวิดีโอคลิปปรากฏว่าผลการผ่าตัดทำให้ใบหน้าโจทก์เปลี่ยนแปลงดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนที่จำเลยที่ 4 ไม่ได้ตรวจความเรียบร้อยของแผลให้โจทก์ในช่วงที่มีการนัดตัดไหมทำให้แผลที่เกิดขึ้นใต้คางของโจทก์ไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีและโจทก์ขาดโอกาสที่จะได้รับคำแนะนำการดูแลแผลที่ถูกต้องก็มีผลเพียงทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ กรณียังไม่อาจรับฟังได้ว่าการกระทำที่ถูกฟ้องร้องในคดีนี้เกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม หรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จึงไม่อาจสั่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ได้ ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในการโฆษณาเท็จ นั้น เห็นว่า ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในตอนต้นแล้วว่าพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถือได้ว่าดำเนินการโครงการ ฟ. ร่วมกัน การที่จำเลยที่ 3 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 โฆษณาโครงการ ฟ. ด้วยข้อความเกินความจริง แต่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 3 ยังรับทำศัลยกรรมให้ผู้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวมาตลอด ย่อมรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 โฆษณาโครงการเกินความจริง จึงต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ด้วย ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 มีการแบ่งปันผลประโยชน์กัน และจำเลยที่ 2 มาฟ้องผู้เข้าร่วมโครงการ ฟ. ที่ค้างชำระเงินแก่โครงการเป็นการส่วนตัวตามสำเนาสัญญาแบ่งผลประโยชน์ที่เกิดจากโครงการ ฟ. ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 และสำเนาคำพิพากษาแนบท้ายฎีกาของโจทก์ นั้น เห็นว่า โจทก์ไม่ได้อ้างส่งสำเนาสัญญาแบ่งผลประโยชน์แนบท้ายฎีกาของโจทก์เป็นพยานหลักฐานให้ถูกต้องตามขั้นตอนกระบวนพิจารณา นอกจากนี้ยังปรากฏจากสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 49/2564 ของศาลจังหวัดพิษณุโลก แนบท้ายฎีกาของโจทก์เองว่าจำเลยที่ 2 เบิกความในคดีอื่นว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้รับเงินเดือน เดือนละ 40,000 บาท ไม่มีส่วนในการลงทุนในโครงการ ฟ. ขัดกับข้อความในสัญญาแบ่งผลประโยชน์ จึงไม่อาจนำสำเนาสัญญาแบ่งผลประโยชน์ดังกล่าวมารับฟังได้ เมื่อศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในตอนต้นแล้วว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยที่ 2 มีผลประโยชน์ในโครงการ ฟ. ร่วมกับจำเลยที่ 1 อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมรู้เห็นกับการโฆษณาเกินความจริงของจำเลยที่ 1 ดังนั้น จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 4 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 และเกี่ยวข้องเพียงเป็นแพทย์ผู้ผ่าตัดโจทก์ ไม่ปรากฏว่ามีผลประโยชน์ร่วมกับจำเลยที่ 1 หรือร่วมรู้เห็นกับการโฆษณาเกินความจริงของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อโต้แย้งอื่นที่จำเลยที่ 1 อ้างมาในฎีกาเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 เพราะถูกหลอกลวงด้วยข้อความอันเป็นเท็จจึงเป็นการเข้าใจผิดในสาระสำคัญย่อมตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ต้องคืนเงินที่หลอกลวงเอาไปจากโจทก์ทั้งหมด นั้น โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในคำฟ้อง จึงเป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 270,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 เมษายน 2562) ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ อัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ใช้อัตราที่ปรับเปลี่ยนบวกด้วยอัตราร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ ให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดชำระเงินดังกล่าว 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราและตามระยะเวลาเดียวกันแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์และจำเลยภายหลังหย่าเป็นความตกลงระงับข้อพิพาทที่โจทก์และจำเลยไม่อาจรักษาสถานภาพของการสมรสที่มีต่อกันไว้ได้ด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เป็นสัญญาอย่างหนึ่งที่ต้องตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 171 และมาตรา 368 การตีความข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยจะอาศัยเพียงลำพังข้อสัญญาข้อหนึ่งข้อใดเพียงข้อเดียว ย่อมไม่อาจทราบเจตนาอันแท้จริงในทางสุจริตของคู่สัญญาได้ สัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 7 มีความว่า จำเลยยอมชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่โจทก์เดือนละ 25,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 10 ตุลาคม 2561 และจะชำระทุกวันที่ 10 ของทุกเดือนไปจนกว่าจะครบ 5 ปี แม้สัญญาระบุว่าเป็นข้อตกลงในเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู แต่แท้ที่จริงเป็นข้อตกลงในเรื่องการจ่ายค่าเลี้ยงชีพภายหลังการหย่า และสัญญาข้อ 8 ที่ว่า จำเลยตกลงจะชำระเงินโบนัสแก่โจทก์ปีละ 100,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกในปี 2567 หลังจากที่จำเลยได้จ่ายเงินตามสัญญาข้อ 7 ครบ 5 ปี ในปี 2566 ซึ่งมีลักษณะเป็นเงินค่าเลี้ยงชีพภายหลังการหย่าเช่นกันและเป็นการจ่ายค่าเลี้ยงชีพต่อเนื่องกับสัญญาข้อ 7 รวมแล้วเป็นเวลา 10 ปี เป็นที่เห็นได้ชัดว่าเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยตกลงยอมผ่อนผันตามคำเรียกร้องของโจทก์ในคำฟ้อง ด้วยการลดจำนวนเงินที่เรียกร้องทั้งสองจำนวนลงจากที่จำเลยจะต้องจ่ายในช่วง 5 ปีแรก เดือนละ 35,000 บาท เหลือเดือนละ 25,000 บาท และช่วง 5 ปีหลัง จากที่จำเลยต้องจ่ายเงินได้พิเศษประจำปีจากการทำงานของจำเลย (โบนัส) จำนวนครึ่งหนึ่งของเงินได้ เหลือเพียงปีละ 100,000 บาท แม้คำฟ้องและสัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูหรือค่าเลี้ยงชีพจากเงินได้พิเศษประจำปีจากการทำงานของจำเลย (โบนัส) ในช่วง 5 ปี หลังก็ตาม แต่น่าจะเป็นเพราะโจทก์ต้องการเรียกร้องเป็นเงินครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินได้พิเศษประจำปีจากการทำงานหรือโบนัสของจำเลย มิได้ถือเอาเป็นข้อสำคัญว่าเงินที่จะนำมาจ่ายให้แก่โจทก์จะต้องเป็นเงินโบนัสที่จำเลยได้มาจากบริษัท บ. ประกอบกับสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้กำหนดเงื่อนไขไว้อย่างใดว่า เงินที่จะจ่ายแก่โจทก์ต้องเป็นเงินโบนัสที่จำเลยได้จากบริษัท บ. เมื่อพิเคราะห์เจตนาอันแท้จริงของโจทก์และจำเลยแล้ว โจทก์และจำเลยมีเจตนาตกลงกันให้จำเลยจ่ายเงินเป็นค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ ตามสัญญาข้อ 8 อีกปีละ 100,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกในปี 2567 เป็นต้นไป นอกเหนือจากที่จะต้องจ่ายตามสัญญาข้อ 7 อย่างไรก็ตามหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 8 เป็นหนี้ในอนาคต ยังไม่ถึงกำหนดตามคำพิพากษาตามยอม จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาตามยอมของศาล เช่นนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้มีการบังคับคดีแก่จำเลยได้ คำสั่งและคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่ให้อายัดเงินในบัญชีธนาคารของจำเลยนั้น เป็นการไม่ชอบ และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246, 252 และ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ 2553 มาตรา 182/1
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 ซึ่งโจทก์จำเลยตกลงกันว่า ข้อ 1 โจทก์และจำเลยตกลงจะไปจดทะเบียนหย่ากัน...ภายในวันนี้ หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมแทนการแสดงเจตนา ข้อ 2...ข้อ 3...ข้อ 4...ข้อ 5...ข้อ 6...ข้อ 7 จำเลยยอมชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่โจทก์เดือนละ 25,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 10 ตุลาคม 2561 และจะชำระทุกวันที่ 10 ของทุกเดือนไปจนกว่าจะครบ 5 ปี ข้อ 8 จำเลยยินยอมชำระเงินโบนัสที่พึงได้จากบริษัท บ. ให้แก่โจทก์ปีละ 100,000 บาท เป็นระยะเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกในปี 2567 โดยจะชำระภายใน 30 วัน หลังจากจำเลยได้รับเงินโบนัสจากบริษัท ข้อ 9... ข้อ 10 โจทก์และจำเลยตกลงกันตามข้อ 1 ถึงข้อ 9 และไม่ติดใจเรียกร้องประการอื่นใดอีก และข้อ 11 หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดข้อตกลงดังกล่าวข้างต้นยินยอมให้อีกฝ่ายบังคับคดีได้ทันที ศาลชั้นต้นออกคำบังคับตามยอม ต่อมาวันที่ 16 ตุลาคม 2561 โจทก์แถลงต่อศาลชั้นต้นขอให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามยอมข้อ 7 ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี
วันที่ 8 มีนาคม 2564 โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมโดยไม่มีหนี้ค้างชำระ บัดนี้จำเลยได้ลาออกจากบริษัท บ. ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ทำให้โจทก์ไม่สามารถบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 7 และข้อ 8 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีคำสั่งให้ถอนการอายัดเงินกรณีจำเลยลาออก เงินโบนัสและเงินอื่น ๆ เหลือเพียงอายัดแต่เงินเดือน โจทก์ได้แถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินบำเหน็จของจำเลยกรณีลาออกจากงาน ซึ่งจำเลยจะได้รับจากบริษัท บ. ส่งเข้าบัญชีบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขานานาเหนือ ของจำเลย เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 7 เดือนละ 25,000 บาท อีก 35 งวด จนถึงเดือนกันยายน 2566 และเงินโบนัสตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 8 ปีละ 100,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เป็นเงิน 500,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,375,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งว่าโจทก์สามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้จำเลยชำระ เจ้าพนักงานจึงจะดำเนินการให้ได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินจำนวน 1,375,000 บาท จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือมีคำสั่งอื่นใดเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ศาลชั้นต้นนัดพร้อม ในวันนัดพร้อมโจทก์แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์ไม่ติดใจเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 7 เนื่องจากยังไม่ถึงกำหนดชำระ จำเลยแถลงว่า จำเลยมิได้ลาออกจากงาน แต่บริษัท บ. เลิกจ้าง โดยจำเลยจะได้รับเงินจากการออกจากงานประมาณ 5,000,000 บาท ส่วนข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 8 ที่ว่า จำเลยยินยอมจะจ่ายเงินโบนัสที่พึงได้จากบริษัทดังกล่าวแก่โจทก์ปีละ 100,000 บาท เป็นเวลา 5 ปีนั้น เมื่อจำเลยออกจากงาน ข้อตกลงนี้เป็นพ้นวิสัยที่จะบังคับได้ต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เจตนารมณ์ของคู่สัญญาประสงค์จะให้โจทก์ได้รับเงินรายปีจากจำเลยปีละ 100,000 บาท โดยเบื้องต้นให้จำเลยชำระจากเงินโบนัส เมื่อลาออกจากงานย่อมไม่มีเงินโบนัสรายปีที่จะนำมาจ่ายตามข้อตกลงได้ แต่หนี้ที่ตกลงกันไว้ยังมีอยู่ จึงให้อายัดเงินที่จำเลยจะได้จากบริษัท บ. จำนวน 500,000 บาท ตามข้อ 8 ของสัญญาประนีประนอมยอมความ ลงวันที่ 6 กันยายน 2561
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาประการเดียวว่า โจทก์มีสิทธิขออายัดเงินในบัญชีธนาคารของจำเลยเพื่อชำระเงินโบนัสแก่โจทก์ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 8 หรือไม่ เห็นว่า คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ นอกจากโจทก์และจำเลยทำความตกลงในเรื่องหย่าซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ไปจดทะเบียนหย่ากันแล้ว ยังมีข้อตกลงกันในเรื่องการแบ่งทรัพย์สินและที่พิพาทกันในชั้นนี้คือ ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 8 ที่ว่า “จำเลยยินยอมชำระเงินโบนัสที่พึงได้จากบริษัท บ. ให้แก่โจทก์ ปีละ 100,000 บาท เป็นระยะเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกในปี 2567 โดยจะชำระภายใน 30 วัน หลังจากจำเลยได้รับเงินโบนัสจากบริษัท” จำเลยฎีกาว่า ข้อตกลงที่จำเลยยินยอมชำระเงินโบนัสนี้เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนต่อเมื่อจำเลยจะต้องมีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวจากบริษัท บ. และจำเลยจะชำระภายใน 30 วัน หลังจากที่จำเลยได้รับเงินจากบริษัท เมื่อจำเลยพ้นจากสภาพการเป็นพนักงานของบริษัทนั้นแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิจะได้รับเงินโบนัสที่จะนำมาชำระแก่โจทก์ การชำระเงินโบนัสแก่โจทก์จึงเป็นอันพ้นวิสัยนั้น เห็นว่า ข้อตกลงเรื่องการแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์และจำเลยภายหลังเมื่อหย่าเป็นความตกลงระงับข้อพิพาทที่โจทก์และจำเลยไม่อาจรักษาสถานภาพของการสมรสที่มีต่อกันไว้ได้ด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เป็นสัญญาอย่างหนึ่งที่ต้องตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 171 และมาตรา 368 การตีความข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยจะอาศัยเพียงลำพังข้อสัญญาข้อหนึ่งข้อใดเพียงข้อเดียวดังที่จำเลยอ้างในฎีกา ย่อมไม่อาจทราบเจตนาอันแท้จริงในทางสุจริตของคู่สัญญาได้ โดยโจทก์แก้ฎีกาว่า การจ่ายเงินตามสัญญาข้อ 8 โจทก์ประสงค์ให้จำเลยจ่ายเงินให้โจทก์อีกปีละ 100,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เท่ากับสัญญาข้อ 7 โดยจำเลยขอจ่ายหลังจากจ่ายค่าเลี้ยงดูตามสัญญาข้อ 7 ครบ 5 ปีแล้ว ในปัญหานี้ สัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 7 มีความว่า จำเลยยอมชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่โจทก์เดือนละ 25,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 10 ตุลาคม 2561 และจะชำระทุกวันที่ 10 ของทุกเดือนไปจนกว่าจะครบ 5 ปี แม้สัญญาระบุว่าเป็นข้อตกลงในเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู แต่แท้ที่จริงเป็นข้อตกลงในเรื่องการจ่ายค่าเลี้ยงชีพภายหลังการหย่า และสัญญาข้อ 8 ที่ว่า จำเลยตกลงจะชำระเงินโบนัสแก่โจทก์ปีละ 100,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกในปี 2567 หลังจากที่จำเลยได้จ่ายเงินตามสัญญาข้อ 7 ครบ 5 ปี ในปี 2566 ซึ่งถือว่ามีลักษณะเป็นเงินค่าเลี้ยงชีพภายหลังการหย่าเช่นกันและเป็นการจ่ายค่าเลี้ยงชีพต่อเนื่องกับสัญญาข้อ 7 รวมแล้วเป็นเวลา 10 ปี เป็นที่เห็นได้ชัดว่าเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยตกลงยอมผ่อนผันตามคำเรียกร้องของโจทก์ในคำฟ้องด้วยการลดจำนวนเงินที่เรียกร้องทั้งสองจำนวนลงจากที่จำเลยจะต้องจ่ายในช่วง 5 ปีแรก เดือนละ 35,000 บาท เหลือเดือนละ 25,000 บาท และช่วง 5 ปีหลัง จากที่จำเลยต้องจ่ายเงินได้พิเศษประจำปีจากการทำงานของจำเลย (โบนัส) จำนวนครึ่งหนึ่งของเงินได้ เหลือเพียงปีละ 100,000 บาท แม้คำฟ้องและสัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูหรือค่าเลี้ยงชีพจากเงินได้พิเศษประจำปีจากการทำงานของจำเลย (โบนัส) ในช่วง 5 ปี หลังก็ตาม แต่น่าจะเป็นเพราะโจทก์ต้องการเรียกร้องเป็นเงินครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินได้พิเศษประจำปีจากการทำงานหรือโบนัสของจำเลย มิได้ถือเอาเป็นข้อสำคัญว่าเงินที่จะนำมาจ่ายให้แก่โจทก์จะต้องเป็นเงินโบนัสที่จำเลยได้มาจากบริษัท บ. ซึ่งสัญญาประนีประนอมยอมความก็ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขไว้อย่างใดว่า เงินที่จะจ่ายแก่โจทก์ต้องเป็นเงินโบนัสที่จำเลยได้จากบริษัท บ. ศาลฎีกาได้พิเคราะห์เจตนาอันแท้จริงของโจทก์และจำเลยแล้วเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษว่า โจทก์และจำเลยมีเจตนาตกลงกันให้จำเลยจ่ายเงินเป็นค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ตามสัญญาข้อ 8 อีกปีละ 100,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกในปี 2567 เป็นต้นไป นอกเหนือจากที่จะต้องจ่ายตามสัญญาข้อ 7 ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตาม หนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 8 เป็นหนี้ในอนาคตยังไม่ถึงกำหนดตามคำพิพากษาตามยอม จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาตามยอมของศาล เช่นนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้มีการบังคับคดีแก่จำเลยได้ คำสั่งและคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่ให้อายัดเงินในบัญชีธนาคารของจำเลยนั้น เป็นการไม่ชอบ และเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 และพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182/1
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
ข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์และจำเลยภายหลังหย่าเป็นความตกลงระงับข้อพิพาทที่โจทก์และจำเลยไม่อาจรักษาสถานภาพของการสมรสที่มีต่อกันไว้ได้ด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เป็นสัญญาอย่างหนึ่งที่ต้องตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 171 และมาตรา 368 การตีความข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยจะอาศัยเพียงลำพังข้อสัญญาข้อหนึ่งข้อใดเพียงข้อเดียว ย่อมไม่อาจทราบเจตนาอันแท้จริงในทางสุจริตของคู่สัญญาได้ สัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 7 มีความว่า จำเลยยอมชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่โจทก์เดือนละ 25,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 10 ตุลาคม 2561 และจะชำระทุกวันที่ 10 ของทุกเดือนไปจนกว่าจะครบ 5 ปี แม้สัญญาระบุว่าเป็นข้อตกลงในเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู แต่แท้ที่จริงเป็นข้อตกลงในเรื่องการจ่ายค่าเลี้ยงชีพภายหลังการหย่า และสัญญาข้อ 8 ที่ว่า จำเลยตกลงจะชำระเงินโบนัสแก่โจทก์ปีละ 100,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกในปี 2567 หลังจากที่จำเลยได้จ่ายเงินตามสัญญาข้อ 7 ครบ 5 ปี ในปี 2566 ซึ่งมีลักษณะเป็นเงินค่าเลี้ยงชีพภายหลังการหย่าเช่นกันและเป็นการจ่ายค่าเลี้ยงชีพต่อเนื่องกับสัญญาข้อ 7 รวมแล้วเป็นเวลา 10 ปี เป็นที่เห็นได้ชัดว่าเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยตกลงยอมผ่อนผันตามคำเรียกร้องของโจทก์ในคำฟ้อง ด้วยการลดจำนวนเงินที่เรียกร้องทั้งสองจำนวนลงจากที่จำเลยจะต้องจ่ายในช่วง 5 ปีแรก เดือนละ 35,000 บาท เหลือเดือนละ 25,000 บาท และช่วง 5 ปีหลัง จากที่จำเลยต้องจ่ายเงินได้พิเศษประจำปีจากการทำงานของจำเลย (โบนัส) จำนวนครึ่งหนึ่งของเงินได้ เหลือเพียงปีละ 100,000 บาท แม้คำฟ้องและสัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูหรือค่าเลี้ยงชีพจากเงินได้พิเศษประจำปีจากการทำงานของจำเลย (โบนัส) ในช่วง 5 ปี หลังก็ตาม แต่น่าจะเป็นเพราะโจทก์ต้องการเรียกร้องเป็นเงินครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินได้พิเศษประจำปีจากการทำงานหรือโบนัสของจำเลย มิได้ถือเอาเป็นข้อสำคัญว่าเงินที่จะนำมาจ่ายให้แก่โจทก์จะต้องเป็นเงินโบนัสที่จำเลยได้มาจากบริษัท บ. ประกอบกับสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้กำหนดเงื่อนไขไว้อย่างใดว่า เงินที่จะจ่ายแก่โจทก์ต้องเป็นเงินโบนัสที่จำเลยได้จากบริษัท บ. เมื่อพิเคราะห์เจตนาอันแท้จริงของโจทก์และจำเลยแล้ว โจทก์และจำเลยมีเจตนาตกลงกันให้จำเลยจ่ายเงินเป็นค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ ตามสัญญาข้อ 8 อีกปีละ 100,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกในปี 2567 เป็นต้นไป นอกเหนือจากที่จะต้องจ่ายตามสัญญาข้อ 7 อย่างไรก็ตามหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 8 เป็นหนี้ในอนาคต ยังไม่ถึงกำหนดตามคำพิพากษาตามยอม จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาตามยอมของศาล เช่นนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้มีการบังคับคดีแก่จำเลยได้ คำสั่งและคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่ให้อายัดเงินในบัญชีธนาคารของจำเลยนั้น เป็นการไม่ชอบ และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246, 252 และ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ 2553 มาตรา 182/1
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 ซึ่งโจทก์จำเลยตกลงกันว่า ข้อ 1 โจทก์และจำเลยตกลงจะไปจดทะเบียนหย่ากัน...ภายในวันนี้ หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมแทนการแสดงเจตนา ข้อ 2...ข้อ 3...ข้อ 4...ข้อ 5...ข้อ 6...ข้อ 7 จำเลยยอมชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่โจทก์เดือนละ 25,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 10 ตุลาคม 2561 และจะชำระทุกวันที่ 10 ของทุกเดือนไปจนกว่าจะครบ 5 ปี ข้อ 8 จำเลยยินยอมชำระเงินโบนัสที่พึงได้จากบริษัท บ. ให้แก่โจทก์ปีละ 100,000 บาท เป็นระยะเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกในปี 2567 โดยจะชำระภายใน 30 วัน หลังจากจำเลยได้รับเงินโบนัสจากบริษัท ข้อ 9... ข้อ 10 โจทก์และจำเลยตกลงกันตามข้อ 1 ถึงข้อ 9 และไม่ติดใจเรียกร้องประการอื่นใดอีก และข้อ 11 หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดข้อตกลงดังกล่าวข้างต้นยินยอมให้อีกฝ่ายบังคับคดีได้ทันที ศาลชั้นต้นออกคำบังคับตามยอม ต่อมาวันที่ 16 ตุลาคม 2561 โจทก์แถลงต่อศาลชั้นต้นขอให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามยอมข้อ 7 ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี
วันที่ 8 มีนาคม 2564 โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมโดยไม่มีหนี้ค้างชำระ บัดนี้จำเลยได้ลาออกจากบริษัท บ. ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ทำให้โจทก์ไม่สามารถบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 7 และข้อ 8 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีคำสั่งให้ถอนการอายัดเงินกรณีจำเลยลาออก เงินโบนัสและเงินอื่น ๆ เหลือเพียงอายัดแต่เงินเดือน โจทก์ได้แถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินบำเหน็จของจำเลยกรณีลาออกจากงาน ซึ่งจำเลยจะได้รับจากบริษัท บ. ส่งเข้าบัญชีบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขานานาเหนือ ของจำเลย เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 7 เดือนละ 25,000 บาท อีก 35 งวด จนถึงเดือนกันยายน 2566 และเงินโบนัสตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 8 ปีละ 100,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เป็นเงิน 500,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,375,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งว่าโจทก์สามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้จำเลยชำระ เจ้าพนักงานจึงจะดำเนินการให้ได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินจำนวน 1,375,000 บาท จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือมีคำสั่งอื่นใดเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ศาลชั้นต้นนัดพร้อม ในวันนัดพร้อมโจทก์แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์ไม่ติดใจเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 7 เนื่องจากยังไม่ถึงกำหนดชำระ จำเลยแถลงว่า จำเลยมิได้ลาออกจากงาน แต่บริษัท บ. เลิกจ้าง โดยจำเลยจะได้รับเงินจากการออกจากงานประมาณ 5,000,000 บาท ส่วนข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 8 ที่ว่า จำเลยยินยอมจะจ่ายเงินโบนัสที่พึงได้จากบริษัทดังกล่าวแก่โจทก์ปีละ 100,000 บาท เป็นเวลา 5 ปีนั้น เมื่อจำเลยออกจากงาน ข้อตกลงนี้เป็นพ้นวิสัยที่จะบังคับได้ต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เจตนารมณ์ของคู่สัญญาประสงค์จะให้โจทก์ได้รับเงินรายปีจากจำเลยปีละ 100,000 บาท โดยเบื้องต้นให้จำเลยชำระจากเงินโบนัส เมื่อลาออกจากงานย่อมไม่มีเงินโบนัสรายปีที่จะนำมาจ่ายตามข้อตกลงได้ แต่หนี้ที่ตกลงกันไว้ยังมีอยู่ จึงให้อายัดเงินที่จำเลยจะได้จากบริษัท บ. จำนวน 500,000 บาท ตามข้อ 8 ของสัญญาประนีประนอมยอมความ ลงวันที่ 6 กันยายน 2561
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาประการเดียวว่า โจทก์มีสิทธิขออายัดเงินในบัญชีธนาคารของจำเลยเพื่อชำระเงินโบนัสแก่โจทก์ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 8 หรือไม่ เห็นว่า คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ นอกจากโจทก์และจำเลยทำความตกลงในเรื่องหย่าซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ไปจดทะเบียนหย่ากันแล้ว ยังมีข้อตกลงกันในเรื่องการแบ่งทรัพย์สินและที่พิพาทกันในชั้นนี้คือ ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 8 ที่ว่า “จำเลยยินยอมชำระเงินโบนัสที่พึงได้จากบริษัท บ. ให้แก่โจทก์ ปีละ 100,000 บาท เป็นระยะเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกในปี 2567 โดยจะชำระภายใน 30 วัน หลังจากจำเลยได้รับเงินโบนัสจากบริษัท” จำเลยฎีกาว่า ข้อตกลงที่จำเลยยินยอมชำระเงินโบนัสนี้เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนต่อเมื่อจำเลยจะต้องมีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวจากบริษัท บ. และจำเลยจะชำระภายใน 30 วัน หลังจากที่จำเลยได้รับเงินจากบริษัท เมื่อจำเลยพ้นจากสภาพการเป็นพนักงานของบริษัทนั้นแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิจะได้รับเงินโบนัสที่จะนำมาชำระแก่โจทก์ การชำระเงินโบนัสแก่โจทก์จึงเป็นอันพ้นวิสัยนั้น เห็นว่า ข้อตกลงเรื่องการแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์และจำเลยภายหลังเมื่อหย่าเป็นความตกลงระงับข้อพิพาทที่โจทก์และจำเลยไม่อาจรักษาสถานภาพของการสมรสที่มีต่อกันไว้ได้ด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เป็นสัญญาอย่างหนึ่งที่ต้องตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 171 และมาตรา 368 การตีความข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยจะอาศัยเพียงลำพังข้อสัญญาข้อหนึ่งข้อใดเพียงข้อเดียวดังที่จำเลยอ้างในฎีกา ย่อมไม่อาจทราบเจตนาอันแท้จริงในทางสุจริตของคู่สัญญาได้ โดยโจทก์แก้ฎีกาว่า การจ่ายเงินตามสัญญาข้อ 8 โจทก์ประสงค์ให้จำเลยจ่ายเงินให้โจทก์อีกปีละ 100,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เท่ากับสัญญาข้อ 7 โดยจำเลยขอจ่ายหลังจากจ่ายค่าเลี้ยงดูตามสัญญาข้อ 7 ครบ 5 ปีแล้ว ในปัญหานี้ สัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 7 มีความว่า จำเลยยอมชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่โจทก์เดือนละ 25,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 10 ตุลาคม 2561 และจะชำระทุกวันที่ 10 ของทุกเดือนไปจนกว่าจะครบ 5 ปี แม้สัญญาระบุว่าเป็นข้อตกลงในเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู แต่แท้ที่จริงเป็นข้อตกลงในเรื่องการจ่ายค่าเลี้ยงชีพภายหลังการหย่า และสัญญาข้อ 8 ที่ว่า จำเลยตกลงจะชำระเงินโบนัสแก่โจทก์ปีละ 100,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกในปี 2567 หลังจากที่จำเลยได้จ่ายเงินตามสัญญาข้อ 7 ครบ 5 ปี ในปี 2566 ซึ่งถือว่ามีลักษณะเป็นเงินค่าเลี้ยงชีพภายหลังการหย่าเช่นกันและเป็นการจ่ายค่าเลี้ยงชีพต่อเนื่องกับสัญญาข้อ 7 รวมแล้วเป็นเวลา 10 ปี เป็นที่เห็นได้ชัดว่าเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยตกลงยอมผ่อนผันตามคำเรียกร้องของโจทก์ในคำฟ้องด้วยการลดจำนวนเงินที่เรียกร้องทั้งสองจำนวนลงจากที่จำเลยจะต้องจ่ายในช่วง 5 ปีแรก เดือนละ 35,000 บาท เหลือเดือนละ 25,000 บาท และช่วง 5 ปีหลัง จากที่จำเลยต้องจ่ายเงินได้พิเศษประจำปีจากการทำงานของจำเลย (โบนัส) จำนวนครึ่งหนึ่งของเงินได้ เหลือเพียงปีละ 100,000 บาท แม้คำฟ้องและสัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูหรือค่าเลี้ยงชีพจากเงินได้พิเศษประจำปีจากการทำงานของจำเลย (โบนัส) ในช่วง 5 ปี หลังก็ตาม แต่น่าจะเป็นเพราะโจทก์ต้องการเรียกร้องเป็นเงินครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินได้พิเศษประจำปีจากการทำงานหรือโบนัสของจำเลย มิได้ถือเอาเป็นข้อสำคัญว่าเงินที่จะนำมาจ่ายให้แก่โจทก์จะต้องเป็นเงินโบนัสที่จำเลยได้มาจากบริษัท บ. ซึ่งสัญญาประนีประนอมยอมความก็ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขไว้อย่างใดว่า เงินที่จะจ่ายแก่โจทก์ต้องเป็นเงินโบนัสที่จำเลยได้จากบริษัท บ. ศาลฎีกาได้พิเคราะห์เจตนาอันแท้จริงของโจทก์และจำเลยแล้วเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษว่า โจทก์และจำเลยมีเจตนาตกลงกันให้จำเลยจ่ายเงินเป็นค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ตามสัญญาข้อ 8 อีกปีละ 100,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เริ่มชำระงวดแรกในปี 2567 เป็นต้นไป นอกเหนือจากที่จะต้องจ่ายตามสัญญาข้อ 7 ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตาม หนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 8 เป็นหนี้ในอนาคตยังไม่ถึงกำหนดตามคำพิพากษาตามยอม จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาตามยอมของศาล เช่นนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้มีการบังคับคดีแก่จำเลยได้ คำสั่งและคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่ให้อายัดเงินในบัญชีธนาคารของจำเลยนั้น เป็นการไม่ชอบ และเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 และพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182/1
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองต่างเป็นลูกหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 2 ในมูลหนี้ตามคำพิพากษา ต่อมาผู้ร้องรับโอนสิทธิเรียกร้องมาจากเจ้าหนี้รายที่ 2 เฉพาะในส่วนจำเลยที่ 1 เท่านั้น จำเลยที่ 2 จึงยังเป็นลูกหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 2 อยู่ เจ้าหนี้รายที่ 2 ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าหนี้มีประกัน แต่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 2 ตามความเห็นของผู้คัดค้าน คำสั่งดังกล่าว ถึงที่สุดแล้ว เจ้าหนี้รายที่ 2 จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในคดีล้มละลายแต่อย่างใด แม้ผู้ร้องจะมีสิทธิในทรัพย์หลักประกัน คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 41348 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ร่วมกับเจ้าหนี้รายที่ 2 แต่ก็เป็นสิทธิในหลักประกันเฉพาะส่วนซึ่งประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 เท่านั้น หากผู้ร้องเห็นว่าตนมีสิทธิเช่นไรผู้ร้องย่อมใช้สิทธิของตนได้ ผู้ร้องไม่อาจมาขอสวมสิทธิแทนเจ้าหนี้รายที่ 2 ซึ่งยื่นคำขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2547 และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลายเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2548
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้รายที่ 2 เฉพาะมูลหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 30 ตุลาคม 2532 จำนวน 3,500,000 บาท และหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีวงเงินรวม 750,000 บาท โดยมีหลักประกันร่วมกับเจ้าหนี้รายที่ 2 คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 41348 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง โดยให้ยึดทรัพย์ดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องร่วม กับเจ้าหนี้รายที่ 2 ตามกฎหมายต่อไปด้วย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้โต้แย้งว่า จำเลยทั้งสองกับพวกเป็นหนี้ธนาคาร ก. เจ้าหนี้รายที่ 2 ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ 9955/2537 วันที่ 22 มกราคม 2540 เจ้าหนี้รายที่ 2 นำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 41348 พร้อมสิ่งปลูกสร้างทรัพย์หลักประกัน วันที่ 21 กันยายน 2543 เจ้าหนี้รายที่ 2 โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรวมทั้งหนี้ของจำเลยที่ 1 แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ 9955/2537 แต่ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำร้อง เจ้าหนี้รายที่ 2 ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ 9955/2537 ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96 (3) มีที่ดินโฉนดเลขที่ 41348 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นหลักประกัน ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 2 ตามความเห็นของผู้คัดค้าน และผู้ร้องยื่นคำร้องขอสวมสิทธิแทนเจ้าหนี้รายที่ 2 ผู้คัดค้านมีคำสั่งยกคำร้อง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้รายที่ 2 แทนธนาคาร ก. ได้หรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสองต่างเป็นลูกหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 2 ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ 9955/2537 ต่อมาผู้ร้องรับโอนสิทธิเรียกร้องมาจากเจ้าหนี้รายที่ 2 แต่ปรากฏตามบัญชีรายชื่อลูกหนี้แนบท้ายสัญญาดังกล่าวว่า ลูกหนี้ที่ผู้ร้องรับโอนมาคือห้างหุ้นส่วนจำกัด ท. จำเลยที่ 1 เท่านั้น จำเลยที่ 2 จึงยังเป็นลูกหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 2 อยู่ เจ้าหนี้รายที่ 2 ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าหนี้มีประกัน แต่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 2 ตามความเห็นของผู้คัดค้าน คำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว เจ้าหนี้รายที่ 2 จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในคดีล้มละลายแต่อย่างใด และแม้ตามความเห็นของผู้คัดค้านจะมีข้อความระบุว่า “แต่ให้เจ้าหนี้รายที่ 2 มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในฐานะผู้รับจำนองโดยให้ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันก่อนเจ้าหนี้อื่น คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 41348 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ภายในวงเงินจำนองลำดับที่ 1 ลำดับที่ 2 และลำดับที่ 3 รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 19,637,500 บาท แต่ทั้งนี้ไม่เกินยอดหนี้ที่ค้างตามคำพิพากษาในคดีแพ่งของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ 9955/2537” อันเป็นการรับรองสิทธิของเจ้าหนี้รายที่ 2 ว่ายังมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากตัวทรัพย์หลักประกันอยู่มิได้สิ้นสิทธิไปเสียทีเดียว แต่การบังคับทรัพย์หลักประกันดังกล่าวย่อมหมายความถึงการบังคับทรัพย์หลักประกันซึ่งเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 2 เท่านั้น มิได้หมายความรวมถึงการบังคับทรัพย์หลักประกันซึ่งประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ด้วย แม้ผู้ร้องจะมีสิทธิในทรัพย์หลักประกันคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 41348 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ร่วมกับเจ้าหนี้รายที่ 2 แต่ก็เป็นสิทธิในหลักประกันเฉพาะส่วนซึ่งประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ทั้งผู้ร้องได้รับโอนสิทธิเรียกร้องที่เจ้าหนี้รายที่ 2 มีต่อจำเลยที่ 1 มาตั้งแต่ก่อนที่ศาลล้มละลายกลางจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด หากผู้ร้องเห็นว่าตนมีสิทธิเช่นไรผู้ร้องย่อมใช้สิทธิของตนได้ ผู้ร้องไม่อาจมาขอสวมสิทธิแทนเจ้าหนี้รายที่ 2 ซึ่งยื่นคำขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่ยกคำร้องขอสวมสิทธิแทนเจ้าหนี้รายที่ 2 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองต่างเป็นลูกหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 2 ในมูลหนี้ตามคำพิพากษา ต่อมาผู้ร้องรับโอนสิทธิเรียกร้องมาจากเจ้าหนี้รายที่ 2 เฉพาะในส่วนจำเลยที่ 1 เท่านั้น จำเลยที่ 2 จึงยังเป็นลูกหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 2 อยู่ เจ้าหนี้รายที่ 2 ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าหนี้มีประกัน แต่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 2 ตามความเห็นของผู้คัดค้าน คำสั่งดังกล่าว ถึงที่สุดแล้ว เจ้าหนี้รายที่ 2 จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในคดีล้มละลายแต่อย่างใด แม้ผู้ร้องจะมีสิทธิในทรัพย์หลักประกัน คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 41348 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ร่วมกับเจ้าหนี้รายที่ 2 แต่ก็เป็นสิทธิในหลักประกันเฉพาะส่วนซึ่งประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 เท่านั้น หากผู้ร้องเห็นว่าตนมีสิทธิเช่นไรผู้ร้องย่อมใช้สิทธิของตนได้ ผู้ร้องไม่อาจมาขอสวมสิทธิแทนเจ้าหนี้รายที่ 2 ซึ่งยื่นคำขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2547 และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลายเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2548
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้รายที่ 2 เฉพาะมูลหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 30 ตุลาคม 2532 จำนวน 3,500,000 บาท และหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีวงเงินรวม 750,000 บาท โดยมีหลักประกันร่วมกับเจ้าหนี้รายที่ 2 คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 41348 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง โดยให้ยึดทรัพย์ดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องร่วม กับเจ้าหนี้รายที่ 2 ตามกฎหมายต่อไปด้วย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้โต้แย้งว่า จำเลยทั้งสองกับพวกเป็นหนี้ธนาคาร ก. เจ้าหนี้รายที่ 2 ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ 9955/2537 วันที่ 22 มกราคม 2540 เจ้าหนี้รายที่ 2 นำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 41348 พร้อมสิ่งปลูกสร้างทรัพย์หลักประกัน วันที่ 21 กันยายน 2543 เจ้าหนี้รายที่ 2 โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรวมทั้งหนี้ของจำเลยที่ 1 แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ 9955/2537 แต่ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำร้อง เจ้าหนี้รายที่ 2 ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ 9955/2537 ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96 (3) มีที่ดินโฉนดเลขที่ 41348 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นหลักประกัน ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 2 ตามความเห็นของผู้คัดค้าน และผู้ร้องยื่นคำร้องขอสวมสิทธิแทนเจ้าหนี้รายที่ 2 ผู้คัดค้านมีคำสั่งยกคำร้อง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้รายที่ 2 แทนธนาคาร ก. ได้หรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสองต่างเป็นลูกหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 2 ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ 9955/2537 ต่อมาผู้ร้องรับโอนสิทธิเรียกร้องมาจากเจ้าหนี้รายที่ 2 แต่ปรากฏตามบัญชีรายชื่อลูกหนี้แนบท้ายสัญญาดังกล่าวว่า ลูกหนี้ที่ผู้ร้องรับโอนมาคือห้างหุ้นส่วนจำกัด ท. จำเลยที่ 1 เท่านั้น จำเลยที่ 2 จึงยังเป็นลูกหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 2 อยู่ เจ้าหนี้รายที่ 2 ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าหนี้มีประกัน แต่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 2 ตามความเห็นของผู้คัดค้าน คำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว เจ้าหนี้รายที่ 2 จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในคดีล้มละลายแต่อย่างใด และแม้ตามความเห็นของผู้คัดค้านจะมีข้อความระบุว่า “แต่ให้เจ้าหนี้รายที่ 2 มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในฐานะผู้รับจำนองโดยให้ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันก่อนเจ้าหนี้อื่น คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 41348 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ภายในวงเงินจำนองลำดับที่ 1 ลำดับที่ 2 และลำดับที่ 3 รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 19,637,500 บาท แต่ทั้งนี้ไม่เกินยอดหนี้ที่ค้างตามคำพิพากษาในคดีแพ่งของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ 9955/2537” อันเป็นการรับรองสิทธิของเจ้าหนี้รายที่ 2 ว่ายังมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากตัวทรัพย์หลักประกันอยู่มิได้สิ้นสิทธิไปเสียทีเดียว แต่การบังคับทรัพย์หลักประกันดังกล่าวย่อมหมายความถึงการบังคับทรัพย์หลักประกันซึ่งเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 2 เท่านั้น มิได้หมายความรวมถึงการบังคับทรัพย์หลักประกันซึ่งประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ด้วย แม้ผู้ร้องจะมีสิทธิในทรัพย์หลักประกันคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 41348 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ร่วมกับเจ้าหนี้รายที่ 2 แต่ก็เป็นสิทธิในหลักประกันเฉพาะส่วนซึ่งประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ทั้งผู้ร้องได้รับโอนสิทธิเรียกร้องที่เจ้าหนี้รายที่ 2 มีต่อจำเลยที่ 1 มาตั้งแต่ก่อนที่ศาลล้มละลายกลางจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด หากผู้ร้องเห็นว่าตนมีสิทธิเช่นไรผู้ร้องย่อมใช้สิทธิของตนได้ ผู้ร้องไม่อาจมาขอสวมสิทธิแทนเจ้าหนี้รายที่ 2 ซึ่งยื่นคำขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่ยกคำร้องขอสวมสิทธิแทนเจ้าหนี้รายที่ 2 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 นำข้าวเปลือกและข้าวสารไปจำนำเป็นประกันหนี้ตามสัญญาสินเชื่อของจำเลยที่ 1 กับโจทก์ แล้วโจทก์ทำสัญญาเช่าโกดังของจำเลยที่ 1 เป็นที่เก็บรักษาทรัพย์จำนำ แม้จำเลยที่ 1 ผู้จำนำมีสิทธิเข้าออกโกดังที่เก็บรักษาทรัพย์จำนำได้ตลอดเวลา แต่สัญญาจำนำไม่ได้ให้สิทธิจำเลยที่ 1 นำทรัพย์จำนำออกไปใช้ประโยชน์ในกิจการของจำเลยที่ 1 ได้ การนำทรัพย์จำนำออกจากสถานที่เก็บรักษาเพื่อการไถ่ถอนทรัพย์จำนำก็ดี การนำทรัพย์จำนำไปขาย จำหน่าย จ่าย โอน หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดภาระผูกพันหรือบุริมสิทธิใด ๆ กับทรัพย์จำนำก็ดี หรือการนำทรัพย์จำนำเข้าออกจากสถานที่เก็บรักษาก็ดี ล้วนแต่ต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ก่อนทั้งสิ้น และไม่ถือว่าทรัพย์จำนำกลับคืนไปสู่การครอบครองของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด สัญญารักษาทรัพย์จำนำก็ระบุให้ผู้รักษาทรัพย์จำนำดูแลและรักษาทรัพย์จำนำเพื่อประโยชน์ของโจทก์และแทนโจทก์เท่านั้น อีกทั้งยังระบุไว้ชัดเจนว่าผู้รักษาทรัพย์จำนำมิได้ทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และไม่ได้ครอบครองและดูแลรักษาทรัพย์จำนำแทนจำเลยที่ 1 รวมทั้งผู้รักษาทรัพย์จำนำไม่มีสิทธิเคลื่อนย้าย นำทรัพย์จำนำออกไปใช้ประโยชน์หรือก่อให้เกิดภาระใด ๆ แก่ทรัพย์จำนำได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ก่อน ข้อสัญญาดังกล่าวแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ว่า คู่สัญญาประสงค์ให้ทรัพย์จำนำอยู่ในครอบครองของโจทก์ตลอดเวลา โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำทรัพย์จำนำไปใช้ประโยชน์ในทางใด ๆ ในกิจการของจำเลยที่ 1 ได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ก่อนเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยที่ 1 นำทรัพย์จำนำออกไปใช้ประโยชน์ในกิจการของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ยอมให้ทรัพย์จำนำกลับคืนไปสู่ครอบครองของจำเลยที่ 1 สัญญาจำนำจึงหาระงับสิ้นไปไม่
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระหนี้เป็นเงิน 290,455,483.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 228,784,186.84 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบถ้วน ให้บังคับคดี บังคับจำนองและจำนำ ยึดทรัพย์จำนองและจำนำตามฟ้องพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และบังคับยึดทรัพย์หลักประกันทางธุรกิจกับทรัพย์ตามสัญญาดำรงสินค้า และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 5 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี 25,471,804.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,099,228.27 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 24 ธันวาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,099,228.27 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,099,228.27 บาท นับถัดจากวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ถึงวันที่ 18 กรกฎาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,099,228.27 บาท นับแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2560 เป็นเวลา 60 วัน และให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 ร่วมกันรับผิดชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.76/2559 จำนวน 35,702,350.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 28,365,419.46 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 จะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.17/2560 จำนวน 25,538,235.62 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,074,126.03 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งห้าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.001/2560 จำนวน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ (เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ (เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560 เป็นเวลา 60 วัน ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.002/2560 จำนวน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ (เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ (เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2562 เป็นเวลา 60 วัน ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.27/2560 เป็นต้นเงิน 50,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 4 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000,000 บาท นับแต่วันที่ 28 เมษายน 2560 จนถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000,000 บาท นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 50,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 4 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000,000 บาท นับแต่วันที่ 28 เมษายน 2560 จนถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000,000 บาท นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2560 เป็นเวลา 60 วัน ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.16/2560 จำนวน 25,576,680.85 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งห้าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.003/2560 จำนวน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (อัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2562 เป็นเวลา 60 วัน ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.25/2560 จำนวน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2560 เป็นเวลา 60 วัน ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.26/2560 จำนวน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2562 เป็นเวลา 60 วัน หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระ ให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 6395, 6849 และ 7530 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินโฉนดเลขที่ 7394, 7420 และ 7432 (ปัจจุบันคือโฉนดเลขที่ 7747, 7773 และ 7780) พร้อมสิ่งปลูกสร้าง กับเครื่องจักร เลขที่ 23 - 113 - 106 - 0001 ถึง 23 - 113 - 106 - 0004 รวม 4 เครื่อง และเครื่องจักร เลขที่ 50 - 113 - 106 - 0020 ถึง 0021 รวม 2 เครื่อง อันเป็นทรัพย์จำนอง และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน แต่ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ต้องไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ กับให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเบี้ยประกันภัย 390,135.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 319,539.11 บาท นับแต่วันฟ้อง (24 สิงหาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนำในสัญญาจำนำ สัญญารักษาทรัพย์จำนำ สัญญาดำรงสินค้า และสัญญาเช่าโรงเก็บสินค้าออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ และในส่วนของดอกเบี้ยเป็นเวลา 60 วัน นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2562 และวันที่ 21 กรกฎาคม 2562 แก้เป็นนับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560 และวันที่ 21 กรกฎาคม 2560 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า จําเลยที่ 1 ทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดโดยกู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ วงเงิน 15,000,000 บาท และ 5,000,000 บาท และจำเลยที่ 1 ทำสัญญารับชำระหนี้เพื่อขอกู้เงินโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินกับโจทก์หลายครั้ง โดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ และนำที่ดินโฉนดเลขที่ 6395, 7530, 6849, 7747, 7773 และ 7780 เครื่องจักรเลขที่ 23 - 113 - 106 - 0001 ถึง 23 - 113 - 106 – 0004 รวม 4 เครื่อง และเครื่องจักรเลขที่ 50 - 113 - 106 - 0020 ถึง 0021 รวม 2 เครื่อง มาจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 นำข้าวเปลือก ข้าวสาร ในสต๊อกสินค้าของจำเลยที่ 1 มาจำนำไว้แก่โจทก์โดยให้สามารถออกตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับได้ไม่เกินร้อยละ 70 ของมูลค่าสินค้าที่จำนำ คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ประการเดียวว่า โจทก์ยอมให้ข้าวเปลือกและข้าวสารอันเป็นทรัพย์จำนำกลับคืนไปสู่ครอบครองของลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้จำนำ จำนำจึงระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 769 (2) หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 นำข้าวเปลือกและข้าวสารไปจำนำเป็นประกันหนี้ตามสัญญาสินเชื่อของจำเลยที่ 1 กับโจทก์ แล้วโจทก์ทำสัญญาเช่าโกดังของจำเลยที่ 1 เป็นที่เก็บรักษาทรัพย์จำนำ แม้จำเลยที่ 1 ผู้จำนำมีสิทธิเข้าออกโกดังที่เก็บรักษาทรัพย์จำนำได้ตลอดเวลาดังที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อ้าง แต่เมื่อพิจารณาสัญญาจำนำแล้ว ไม่มีข้อความใดที่ให้สิทธิจำเลยที่ 1 นำทรัพย์จำนำออกไปใช้ประโยชน์ในกิจการของจำเลยที่ 1 ได้เลย การนำทรัพย์จำนำออกจากสถานที่เก็บรักษาเพื่อการไถ่ถอนจำนำก็ดี (ข้อ 2.4) การนำทรัพย์จำนำไปขาย จำหน่าย จ่าย โอน หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดภาระผูกพันหรือบุริมสิทธิใด ๆ กับทรัพย์จำนำก็ดี (ข้อ 4 (1)) หรือการนำทรัพย์จำนำเข้าออกจากสถานที่เก็บรักษาก็ดี (ข้อ 5) ล้วนแต่ต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ก่อนทั้งสิ้น และไม่ถือว่าทรัพย์จำนำกลับคืนไปสู่การครอบครองของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด (ข้อ 2.3) หรือแม้แต่การดูแลรักษาทรัพย์จำนำตามสัญญารักษาทรัพย์จำนำก็ยังระบุในสัญญาให้ผู้รักษาทรัพย์จำนำดูแลและรักษาทรัพย์จำนำเพื่อประโยชน์ของโจทก์และแทนโจทก์เท่านั้น (ข้อ 2) อีกทั้งยังระบุไว้ชัดเจนว่าผู้รักษาทรัพย์จำนำมิได้ทำหน้าที่ในฐานะเป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และไม่ได้ครอบครองและดูแลรักษาทรัพย์จำนำแทนจำเลยที่ 1 (ข้อ 5.2) รวมทั้งผู้รักษาทรัพย์จำนำไม่มีสิทธิเคลื่อนย้ายหรือนำทรัพย์จำนำออกไปใช้ประโยชน์ หรือก่อให้เกิดภาระใด ๆ แก่ทรัพย์จำนำได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ก่อน (ข้อ 5.3) จากข้อสัญญาดังกล่าวแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ว่า คู่สัญญาประสงค์ให้ทรัพย์จำนำอยู่ในครอบครองของโจทก์ตลอดเวลา โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำทรัพย์จำนำไปใช้ประโยชน์ในทางใด ๆ ในกิจการของตนได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ก่อนเท่านั้น ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยที่ 1 นำทรัพย์จำนำออกไปใช้ประโยชน์ในกิจการของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ยอมให้ทรัพย์จำนำกลับคืนไปสู่ครอบครองของจำเลยที่ 1 สัญญาจำนำจึงหาระงับสิ้นไปไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อ้าง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยเหตุผลอื่นตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าจำนำยังไม่ระงับสิ้นไปและให้บังคับจำนำ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าชำระดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ชำระดอกเบี้ยผิดนัดตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.17/2560 ในอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ในอัตราคงที่ตลอดไปนั้น หากนับถัดจากวันฟ้องมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดตามประกาศอัตราดอกเบี้ยของโจทก์ต่ำกว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดจะทำให้การคิดดอกเบี้ยตามอัตราคงที่นั้นเกินกว่าอัตราตามประกาศของโจทก์ในช่วงระยะเวลานั้นได้อันเป็นการไม่ชอบ จึงเห็นควรกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยถัดจากวันฟ้องปรับเปลี่ยนขึ้นลงตามประกาศของโจทก์ตามช่วงระยะเวลาที่ประกาศแต่ละฉบับมีผลใช้บังคับ แต่ไม่ให้เกินอัตราที่ศาลล่างทั้งสองกำหนด ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป ให้จำเลยทั้งห้ารับผิดในอัตราดอกเบี้ยกรณีผิดนัดตามประกาศอัตราดอกเบี้ยของโจทก์ที่ประกาศต่อ ๆ ไปตามช่วงระยะเวลาที่ประกาศแต่ละฉบับมีผลใช้บังคับ แต่อัตราดอกเบี้ยหลังวันฟ้องต้องไม่เกินอัตราที่ศาลล่างทั้งสองกำหนด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 นำข้าวเปลือกและข้าวสารไปจำนำเป็นประกันหนี้ตามสัญญาสินเชื่อของจำเลยที่ 1 กับโจทก์ แล้วโจทก์ทำสัญญาเช่าโกดังของจำเลยที่ 1 เป็นที่เก็บรักษาทรัพย์จำนำ แม้จำเลยที่ 1 ผู้จำนำมีสิทธิเข้าออกโกดังที่เก็บรักษาทรัพย์จำนำได้ตลอดเวลา แต่สัญญาจำนำไม่ได้ให้สิทธิจำเลยที่ 1 นำทรัพย์จำนำออกไปใช้ประโยชน์ในกิจการของจำเลยที่ 1 ได้ การนำทรัพย์จำนำออกจากสถานที่เก็บรักษาเพื่อการไถ่ถอนทรัพย์จำนำก็ดี การนำทรัพย์จำนำไปขาย จำหน่าย จ่าย โอน หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดภาระผูกพันหรือบุริมสิทธิใด ๆ กับทรัพย์จำนำก็ดี หรือการนำทรัพย์จำนำเข้าออกจากสถานที่เก็บรักษาก็ดี ล้วนแต่ต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ก่อนทั้งสิ้น และไม่ถือว่าทรัพย์จำนำกลับคืนไปสู่การครอบครองของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด สัญญารักษาทรัพย์จำนำก็ระบุให้ผู้รักษาทรัพย์จำนำดูแลและรักษาทรัพย์จำนำเพื่อประโยชน์ของโจทก์และแทนโจทก์เท่านั้น อีกทั้งยังระบุไว้ชัดเจนว่าผู้รักษาทรัพย์จำนำมิได้ทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และไม่ได้ครอบครองและดูแลรักษาทรัพย์จำนำแทนจำเลยที่ 1 รวมทั้งผู้รักษาทรัพย์จำนำไม่มีสิทธิเคลื่อนย้าย นำทรัพย์จำนำออกไปใช้ประโยชน์หรือก่อให้เกิดภาระใด ๆ แก่ทรัพย์จำนำได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ก่อน ข้อสัญญาดังกล่าวแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ว่า คู่สัญญาประสงค์ให้ทรัพย์จำนำอยู่ในครอบครองของโจทก์ตลอดเวลา โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำทรัพย์จำนำไปใช้ประโยชน์ในทางใด ๆ ในกิจการของจำเลยที่ 1 ได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ก่อนเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยที่ 1 นำทรัพย์จำนำออกไปใช้ประโยชน์ในกิจการของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ยอมให้ทรัพย์จำนำกลับคืนไปสู่ครอบครองของจำเลยที่ 1 สัญญาจำนำจึงหาระงับสิ้นไปไม่
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระหนี้เป็นเงิน 290,455,483.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 228,784,186.84 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบถ้วน ให้บังคับคดี บังคับจำนองและจำนำ ยึดทรัพย์จำนองและจำนำตามฟ้องพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และบังคับยึดทรัพย์หลักประกันทางธุรกิจกับทรัพย์ตามสัญญาดำรงสินค้า และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 5 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี 25,471,804.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,099,228.27 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 24 ธันวาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,099,228.27 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,099,228.27 บาท นับถัดจากวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ถึงวันที่ 18 กรกฎาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,099,228.27 บาท นับแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2560 เป็นเวลา 60 วัน และให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 ร่วมกันรับผิดชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.76/2559 จำนวน 35,702,350.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 28,365,419.46 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 จะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.17/2560 จำนวน 25,538,235.62 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,074,126.03 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งห้าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.001/2560 จำนวน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ (เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ (เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560 เป็นเวลา 60 วัน ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.002/2560 จำนวน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ (เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ (เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2562 เป็นเวลา 60 วัน ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.27/2560 เป็นต้นเงิน 50,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 4 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000,000 บาท นับแต่วันที่ 28 เมษายน 2560 จนถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000,000 บาท นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 50,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 4 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000,000 บาท นับแต่วันที่ 28 เมษายน 2560 จนถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000,000 บาท นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2560 เป็นเวลา 60 วัน ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.16/2560 จำนวน 25,576,680.85 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งห้าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.003/2560 จำนวน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (อัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2562 เป็นเวลา 60 วัน ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.25/2560 จำนวน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2560 เป็นเวลา 60 วัน ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.26/2560 จำนวน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2562 เป็นเวลา 60 วัน หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระ ให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 6395, 6849 และ 7530 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินโฉนดเลขที่ 7394, 7420 และ 7432 (ปัจจุบันคือโฉนดเลขที่ 7747, 7773 และ 7780) พร้อมสิ่งปลูกสร้าง กับเครื่องจักร เลขที่ 23 - 113 - 106 - 0001 ถึง 23 - 113 - 106 - 0004 รวม 4 เครื่อง และเครื่องจักร เลขที่ 50 - 113 - 106 - 0020 ถึง 0021 รวม 2 เครื่อง อันเป็นทรัพย์จำนอง และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน แต่ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ต้องไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ กับให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเบี้ยประกันภัย 390,135.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 319,539.11 บาท นับแต่วันฟ้อง (24 สิงหาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนำในสัญญาจำนำ สัญญารักษาทรัพย์จำนำ สัญญาดำรงสินค้า และสัญญาเช่าโรงเก็บสินค้าออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ และในส่วนของดอกเบี้ยเป็นเวลา 60 วัน นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2562 และวันที่ 21 กรกฎาคม 2562 แก้เป็นนับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560 และวันที่ 21 กรกฎาคม 2560 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า จําเลยที่ 1 ทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดโดยกู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ วงเงิน 15,000,000 บาท และ 5,000,000 บาท และจำเลยที่ 1 ทำสัญญารับชำระหนี้เพื่อขอกู้เงินโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินกับโจทก์หลายครั้ง โดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ และนำที่ดินโฉนดเลขที่ 6395, 7530, 6849, 7747, 7773 และ 7780 เครื่องจักรเลขที่ 23 - 113 - 106 - 0001 ถึง 23 - 113 - 106 – 0004 รวม 4 เครื่อง และเครื่องจักรเลขที่ 50 - 113 - 106 - 0020 ถึง 0021 รวม 2 เครื่อง มาจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 นำข้าวเปลือก ข้าวสาร ในสต๊อกสินค้าของจำเลยที่ 1 มาจำนำไว้แก่โจทก์โดยให้สามารถออกตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับได้ไม่เกินร้อยละ 70 ของมูลค่าสินค้าที่จำนำ คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ประการเดียวว่า โจทก์ยอมให้ข้าวเปลือกและข้าวสารอันเป็นทรัพย์จำนำกลับคืนไปสู่ครอบครองของลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้จำนำ จำนำจึงระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 769 (2) หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 นำข้าวเปลือกและข้าวสารไปจำนำเป็นประกันหนี้ตามสัญญาสินเชื่อของจำเลยที่ 1 กับโจทก์ แล้วโจทก์ทำสัญญาเช่าโกดังของจำเลยที่ 1 เป็นที่เก็บรักษาทรัพย์จำนำ แม้จำเลยที่ 1 ผู้จำนำมีสิทธิเข้าออกโกดังที่เก็บรักษาทรัพย์จำนำได้ตลอดเวลาดังที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อ้าง แต่เมื่อพิจารณาสัญญาจำนำแล้ว ไม่มีข้อความใดที่ให้สิทธิจำเลยที่ 1 นำทรัพย์จำนำออกไปใช้ประโยชน์ในกิจการของจำเลยที่ 1 ได้เลย การนำทรัพย์จำนำออกจากสถานที่เก็บรักษาเพื่อการไถ่ถอนจำนำก็ดี (ข้อ 2.4) การนำทรัพย์จำนำไปขาย จำหน่าย จ่าย โอน หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดภาระผูกพันหรือบุริมสิทธิใด ๆ กับทรัพย์จำนำก็ดี (ข้อ 4 (1)) หรือการนำทรัพย์จำนำเข้าออกจากสถานที่เก็บรักษาก็ดี (ข้อ 5) ล้วนแต่ต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ก่อนทั้งสิ้น และไม่ถือว่าทรัพย์จำนำกลับคืนไปสู่การครอบครองของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด (ข้อ 2.3) หรือแม้แต่การดูแลรักษาทรัพย์จำนำตามสัญญารักษาทรัพย์จำนำก็ยังระบุในสัญญาให้ผู้รักษาทรัพย์จำนำดูแลและรักษาทรัพย์จำนำเพื่อประโยชน์ของโจทก์และแทนโจทก์เท่านั้น (ข้อ 2) อีกทั้งยังระบุไว้ชัดเจนว่าผู้รักษาทรัพย์จำนำมิได้ทำหน้าที่ในฐานะเป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และไม่ได้ครอบครองและดูแลรักษาทรัพย์จำนำแทนจำเลยที่ 1 (ข้อ 5.2) รวมทั้งผู้รักษาทรัพย์จำนำไม่มีสิทธิเคลื่อนย้ายหรือนำทรัพย์จำนำออกไปใช้ประโยชน์ หรือก่อให้เกิดภาระใด ๆ แก่ทรัพย์จำนำได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ก่อน (ข้อ 5.3) จากข้อสัญญาดังกล่าวแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ว่า คู่สัญญาประสงค์ให้ทรัพย์จำนำอยู่ในครอบครองของโจทก์ตลอดเวลา โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำทรัพย์จำนำไปใช้ประโยชน์ในทางใด ๆ ในกิจการของตนได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ก่อนเท่านั้น ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยที่ 1 นำทรัพย์จำนำออกไปใช้ประโยชน์ในกิจการของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ยอมให้ทรัพย์จำนำกลับคืนไปสู่ครอบครองของจำเลยที่ 1 สัญญาจำนำจึงหาระงับสิ้นไปไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อ้าง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยเหตุผลอื่นตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าจำนำยังไม่ระงับสิ้นไปและให้บังคับจำนำ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าชำระดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ชำระดอกเบี้ยผิดนัดตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.17/2560 ในอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ในอัตราคงที่ตลอดไปนั้น หากนับถัดจากวันฟ้องมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดตามประกาศอัตราดอกเบี้ยของโจทก์ต่ำกว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดจะทำให้การคิดดอกเบี้ยตามอัตราคงที่นั้นเกินกว่าอัตราตามประกาศของโจทก์ในช่วงระยะเวลานั้นได้อันเป็นการไม่ชอบ จึงเห็นควรกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยถัดจากวันฟ้องปรับเปลี่ยนขึ้นลงตามประกาศของโจทก์ตามช่วงระยะเวลาที่ประกาศแต่ละฉบับมีผลใช้บังคับ แต่ไม่ให้เกินอัตราที่ศาลล่างทั้งสองกำหนด ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป ให้จำเลยทั้งห้ารับผิดในอัตราดอกเบี้ยกรณีผิดนัดตามประกาศอัตราดอกเบี้ยของโจทก์ที่ประกาศต่อ ๆ ไปตามช่วงระยะเวลาที่ประกาศแต่ละฉบับมีผลใช้บังคับ แต่อัตราดอกเบี้ยหลังวันฟ้องต้องไม่เกินอัตราที่ศาลล่างทั้งสองกำหนด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
แม้ได้ความจาก ส. เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เมื่อจำเลยมาชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ ผู้เสียหายที่ 1 ถามพยานว่าให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปหรือไม่ ตอนแรกพยานไม่ยอมให้ไป เมื่อผู้เสียหายที่ 1 รบเร้าพยานจึงอนุญาต แต่การอนุญาตดังกล่าวก็เป็นการอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น มิใช่อนุญาตให้ไปกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านของจำเลยและกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 พฤติการณ์ของจำเลยจึงบ่งชี้แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาพาผู้เสียหายที่ 1 จากบริเวณหนึ่งไปอีกบริเวณหนึ่งเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่าเป็นการพาไปหรือแยกผู้เสียหายที่ 1 ออกจากการปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ทำให้การปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 และเป็นการพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปจากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควร เพื่อการอนาจารตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 279, 283 ทวิ, 317
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา เด็กหญิง ป. ผู้เสียหายที่ 1 โดยนางสาว ข. ผู้เสียหายที่ 2 มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม และผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินคนละ 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปี เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 6 ปี ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องที่ 1 เป็นเงิน 100,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 2 เป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้อง (ยื่นคำร้องวันที่ 23 มีนาคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นอุทธรณ์เมื่อล่วงพ้นระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย และให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ที่จำเลยชำระมาแก่จำเลย จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์แก่จำเลยจนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2564 และให้รับอุทธรณ์ของจำเลยฉบับลงวันที่ 21 กันยายน 2564 ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้คู่ความแก้ภายในระยะเวลาตามกฎหมายต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องและยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้องทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เบื้องต้นโดยคู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า เด็กหญิง ป. ผู้เสียหายที่ 1 เกิดวันที่ 12 กันยายน 2554 ขณะเกิดเหตุอายุ 8 ปีเศษ เป็นบุตรของนาย ป. กับนางสาว ข. ผู้เสียหายที่ 2 ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 พักอาศัยอยู่กับนาง ส. ยายของผู้เสียหายที่ 1 ที่บ้านเลขที่ 53 วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 13 นาฬิกา ผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับบ้านของผู้เสียหายที่ 1 เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง ผู้เสียหายที่ 1 กลับมาบ้าน หลังจากนั้นนาง ส. พาผู้เสียหายที่ 1 ไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจเอก ส. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย วันที่ 23 ธันวาคม 2562 พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยเป็นคดีนี้ จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร และฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปีตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเด็ก ขณะเกิดเหตุอายุเพียง 8 ปีเศษ แต่เบิกความถึงเหตุการณ์ที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายที่ 1 เป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับตรงไปตรงมา ยากที่เด็กทั่ว ๆ ไปซึ่งมิได้ประสบเหตุการณ์มาก่อนจะสามารถเบิกความได้เช่นนั้น โดยเฉพาะพฤติกรรมของจำเลยตอนที่ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่า จำเลยนำอวัยวะเพศของจำเลยมาถูไถกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จนมีน้ำลักษณะเหนียวออกมาจากอวัยวะเพศของจำเลยนั้น นับเป็นเรื่องเกินกว่าที่ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งยังไร้เดียงสาจะปั้นแต่งขึ้นมาได้เอง ทั้งคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ยังสอดคล้องกับที่เคยให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนต่อหน้าพนักงานอัยการจังหวัด นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ และนาง ส. ซึ่งเป็นผู้ที่เด็กร้องขอ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2562 อันเป็นเวลาที่ใกล้ชิดต่อเหตุการณ์ ยากที่จะคิดปรุงแต่งเรื่องราวเพื่อปรักปรำผู้ใด นอกจากนี้ยังได้ความจากผู้เสียหายที่ 2 ว่า หลังจากทราบเหตุคดีนี้ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับผู้เสียหายที่ 1 ด้วย ผู้เสียหายที่ 1 เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังตรงตามที่ผู้เสียหายที่ 1 มาเบิกความต่อศาล ทั้งเมื่อผู้เสียหายที่ 2 สอบถามผู้เสียหายที่ 1 อีกครั้งหลังจากผู้เสียหายที่ 2 กลับไปให้การต่อพนักงานสอบสวน ผู้เสียหายที่ 1 ก็ยังคงเล่าเหมือนเดิม และในการสืบพยานปากผู้เสียหายที่ 1 ศาลชั้นต้นได้ให้ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความผ่านนักจิตวิทยาอันเป็นการใช้วิธีการพิจารณาคดีสำหรับพยานที่เป็นเด็กเป็นการเฉพาะต่างจากพยานบุคคลทั่วไป โดยอยู่ในกำหนดหลักการว่าในการสืบพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี ศาลต้องจัดให้พยานอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก โดยในการถามนั้นศาลจะเป็นผู้ถามพยานเอง หรือถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ หรือจะให้คู่ความถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ก็ได้ ผลของกฎหมายดังกล่าวทำให้กระบวนการยุติธรรมสามารถได้ข้อเท็จจริงจากพยานที่เป็นเด็กมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเมื่อมีวิธีการถามความผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ซึ่งเป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาเด็กและความเชี่ยวชาญในการซักถามเด็ก จะเป็นผลให้พยานที่เป็นเด็กสามารถให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องสมบูรณ์ กรณีจึงมีน้ำหนักให้น่าเชื่อว่าผู้เสียหายที่ 1 เบิกความไปตามความจริง นอกจากนี้พยานโจทก์ปากนาง ส. และผู้เสียหายที่ 2 ยังให้การยืนยันข้อเท็จจริงสอดคล้องเชื่อมโยงกันโดยตลอด ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักควรค่าแก่การรับฟังยิ่งขึ้น ทั้งข้อเท็จจริงดังกล่าวยังเจือสมกับที่จำเลยได้ให้การไว้ต่อร้อยตำรวจเอก ส. ในชั้นสอบสวน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2562 หลังเกิดเหตุเพียงสองวัน ใจความว่า วันเกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุ หลังจากจำเลยทานข้าวเที่ยงเสร็จ จำเลยเดินไปที่เปลใกล้หน้าบ้านผู้เสียหายที่ 1 ขณะที่จำเลยกำลังสูบบุหรี่ ผู้เสียหายที่ 1 เดินมาหาจำเลย บอกจำเลยว่าอยากดูการ์ตูน หลังจากจำเลยสูบบุหรี่เสร็จ จำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านของจำเลยแล้วพาเข้าไปนั่งดูโทรทัศน์ที่เตียงนอนของจำเลย ระหว่างนั้นผู้เสียหายที่ 1 เข้ามานั่งติดกับจำเลย จำเลยจึงโอบตัวเข้ามากอดโดยมือของจำเลยไปถูกนมผู้เสียหายที่ 1 จึงเล่นกับผู้เสียหายที่ 1 สมมุติว่าจำเลยเป็นลูกผู้เสียหายที่ 1 และจำเลยขอดูดนมผู้เสียหายที่ 1 โดยผู้เสียหายที่ 1 ยินยอม เมื่อร้อยตำรวจเอก ส. เป็นเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติงานไปตามหน้าที่ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยและไม่มีเหตุที่จะเบิกความกลั่นแกล้งจำเลยให้ต้องรับโทษ คำเบิกความของร้อยตำรวจเอก ส. ที่ยืนยันว่าจำเลยให้การไว้ตามเอกสารหมาย จ.12 โดยพยานได้อ่านบันทึกคำให้การดังกล่าวให้จำเลยฟังแล้วจำเลยลงลายมือชื่อไว้ ขณะสอบคำให้การ นาง ด. ภริยาของจำเลยได้อยู่ร่วมฟังด้วยและลงลายมือชื่อไว้ จึงมีน้ำหนักให้รับฟัง เชื่อว่าจำเลยให้การในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจตามความเป็นจริง แม้จำเลยจะเบิกความว่า ในวันที่ 23 ธันวาคม 2562 ไม่มีการสอบปากคำจำเลยหรืออ่านข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคดีนี้ให้จำเลยฟัง ทำนองว่าจำเลยไม่ได้ให้การถึงเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.12 ด้วยความสมัครใจ แต่จำเลยก็เบิกความรับว่าลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.12 เป็นลายมือชื่อของจำเลย ทั้งยังเบิกความตอบโจทก์ถามค้านรับว่า บันทึกคำให้การมีลายมือชื่อนาง ด. อยู่ด้วย ความข้อนี้นาง ด. พยานจำเลยเองก็เบิกความรับว่า ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจสอบถามและพูดคุยข้อเท็จจริงกับจำเลยเกี่ยวกับกรณีที่จำเลยไปกระทำการบางอย่างกับผู้เสียหายที่ 1 นั้น พยานนั่งอยู่ด้วย เพียงแต่อ้างว่าได้ยินเพียงจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิดโดยไม่ได้ให้รายละเอียดอื่น ๆ เท่านั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ประกอบกับนาง ด. เป็นภริยาของจำเลยอาจเบิกความไปในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยผู้เป็นสามีก็เป็นได้ คดีนี้แม้โจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีอายุเพียง 8 ปีเศษ เป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว แต่เมื่อผู้เสียหายที่ 1 เบิกความถึงเหตุการณ์ที่จำเลยกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศต่อผู้เสียหายที่ 1 เป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับตรงไปตรงมาอย่างละเอียด โดยไม่มีเหตุระแวงว่าถูกเสี้ยมสอนให้มาเบิกความเพื่อปรักปรำใส่ร้ายจำเลย ทั้งเรื่องราวหลังเกิดเหตุอันเป็นพฤติการณ์แวดล้อมยังเชื่อมโยงกันดีกับพยานอื่น ทำให้มีเหตุผลเชื่อได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงดังที่ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความ ที่จำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างว่าวันเกิดเหตุขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 มาดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลย นาง ด. ก็อยู่ที่บ้านและเห็นเหตุการณ์โดยตลอดนั้น กลับได้ความจากนาง ด. ว่าเห็นผู้เสียหายที่ 1 มาดูโทรทัศน์ที่บ้านในช่วงที่ตนกำลังเตรียมอาหาร อันเป็นช่วงเวลาก่อนที่นาง ด. จะรับประทานอาหารกลางวันกับจำเลยเท่านั้น ขณะที่คำเบิกความของจำเลย นาง ส. และคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 ปรากฏข้อเท็จจริงสอดคล้องต้องกันว่า วันเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยสองช่วงเวลา คือช่วงเช้าก่อนที่นาง ด.จะรับประทานอาหารกลางวันกับจำเลย และช่วงบ่ายหลังจากที่นาง ด. รับประทานอาหารกลางวันกับจำเลยเสร็จแล้ว โดยช่วงเวลาที่ผู้เสียหายที่ 1 ยืนยันว่าจำเลยกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศต่อผู้เสียหายที่ 1 เป็นช่วงบ่าย ประกอบกับนาง ส. เองก็เบิกความว่า ก่อนที่ผู้เสียหายที่ 1 จะไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยในช่วงบ่าย จำเลยบอกว่านาง ด. ไม่อยู่บ้าน ทั้งผู้เสียหายที่ 1 ยังเบิกความยืนยันว่าในช่วงเวลาเกิดเหตุนอกจากจำเลยแล้วไม่มีผู้ใดอยู่ที่บ้านของจำเลย คำเบิกความของนาง ด. จึงหาได้สนับสนุนให้พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักมากขึ้นแต่อย่างใด สำหรับผลการตรวจพิสูจน์นั้น แม้ตามรายงานการตรวจพิสูจน์จะพบคราบอสุจิติดอยู่ที่กางเกงที่ผู้เสียหายที่ 1 สวมใส่ ซึ่งมีดีเอ็นเอบุคคลอื่นที่แตกต่างจากดีเอ็นเอของจำเลยก็ตาม แต่ผู้เสียหายที่ 1 ก็เบิกความว่าเป็นเพราะหลังเกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายที่ 1 กลับถึงบ้านได้เปลี่ยนไปสวมกางเกงตัวใหม่ก่อนจะเดินทางไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล กางเกงของกลางที่นำไปตรวจพิสูจน์เป็นคนละตัวกับกางเกงที่ผู้เสียหายที่ 1 สวมใส่ในขณะเกิดเหตุ ทั้งการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวก็เป็นเพียงความเห็นของผู้ทำการตรวจพิสูจน์หลักฐานเท่านั้น ประการสำคัญ การกระทำอนาจารตามฟ้องและทางนำสืบคือการกระทำที่จำเลยดูดนมผู้เสียหายที่ 1 และใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ดังนี้ ลำพังผลการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมที่ไม่พบดีเอ็นเอของจำเลยที่กางเกงของผู้เสียหายที่ 1 จึงยังไม่ถึงขนาดเป็นข้อพิรุธอันจะทำให้คำยืนยันของผู้เสียหายที่ 1 ไม่เป็นความจริงและไม่น่าเชื่อถือ และไม่อาจเป็นข้อพิสูจน์ถึงกับจะทำให้คำเบิกความพยานโจทก์รับฟังไม่ได้ อันจะเป็นเหตุให้พยานหลักฐานของโจทก์มีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศซึ่งถือเป็นการกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 จริงหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาต่างเชื่อมโยงสนับสนุนให้สอดคล้องต้องกันปราศจากข้อพิรุธ มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอให้ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 จริง สำหรับความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร และฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร แม้ได้ความจากนาง ส. เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เมื่อจำเลยมาชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ ผู้เสียหายที่ 1 ถามพยานว่าให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปหรือไม่ ตอนแรกพยานไม่ยอมให้ไป เมื่อผู้เสียหายที่ 1 รบเร้าพยานจึงอนุญาต แต่การอนุญาตดังกล่าวก็เป็นการอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น มิใช่อนุญาตให้ไปกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านของจำเลยและกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 ดังวินิจฉัย พฤติการณ์ของจำเลยจึงบ่งชี้แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาพาผู้เสียหายที่ 1 จากบริเวณหนึ่งไปอีกบริเวณหนึ่งเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่าเป็นการพาไปหรือแยกผู้เสียหายที่ 1 ออกจากการปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ทำให้การปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 และเป็นการพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปจากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องมา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
สำหรับการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ย่อมเป็นการทำละเมิด จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นผู้เสียหายด้วย ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อให้เป็นไปตามผลแห่งคดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่ในส่วนของดอกเบี้ยผิดนัดนั้น หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ได้มีประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ทำให้ดอกเบี้ยผิดนัดของค่าสินไหมทดแทนซึ่งเป็นหนี้เงินที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ต้องปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งปัญหาการกำหนดดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและกำหนดดอกเบี้ยเพื่อให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40
พิพากษากลับเป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่สำหรับดอกเบี้ยในต้นเงินค่าสินไหมทดแทน ให้จำเลยชำระอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้อง (ยื่นคำร้องวันที่ 23 มีนาคม 2563) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง หากกระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นฎีกาให้เป็นพับ
แม้ได้ความจาก ส. เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เมื่อจำเลยมาชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ ผู้เสียหายที่ 1 ถามพยานว่าให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปหรือไม่ ตอนแรกพยานไม่ยอมให้ไป เมื่อผู้เสียหายที่ 1 รบเร้าพยานจึงอนุญาต แต่การอนุญาตดังกล่าวก็เป็นการอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น มิใช่อนุญาตให้ไปกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านของจำเลยและกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 พฤติการณ์ของจำเลยจึงบ่งชี้แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาพาผู้เสียหายที่ 1 จากบริเวณหนึ่งไปอีกบริเวณหนึ่งเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่าเป็นการพาไปหรือแยกผู้เสียหายที่ 1 ออกจากการปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ทำให้การปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 และเป็นการพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปจากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควร เพื่อการอนาจารตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 279, 283 ทวิ, 317
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา เด็กหญิง ป. ผู้เสียหายที่ 1 โดยนางสาว ข. ผู้เสียหายที่ 2 มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม และผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินคนละ 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปี เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 6 ปี ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องที่ 1 เป็นเงิน 100,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 2 เป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้อง (ยื่นคำร้องวันที่ 23 มีนาคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นอุทธรณ์เมื่อล่วงพ้นระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย และให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ที่จำเลยชำระมาแก่จำเลย จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์แก่จำเลยจนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2564 และให้รับอุทธรณ์ของจำเลยฉบับลงวันที่ 21 กันยายน 2564 ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้คู่ความแก้ภายในระยะเวลาตามกฎหมายต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องและยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้องทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เบื้องต้นโดยคู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า เด็กหญิง ป. ผู้เสียหายที่ 1 เกิดวันที่ 12 กันยายน 2554 ขณะเกิดเหตุอายุ 8 ปีเศษ เป็นบุตรของนาย ป. กับนางสาว ข. ผู้เสียหายที่ 2 ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 พักอาศัยอยู่กับนาง ส. ยายของผู้เสียหายที่ 1 ที่บ้านเลขที่ 53 วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 13 นาฬิกา ผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับบ้านของผู้เสียหายที่ 1 เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง ผู้เสียหายที่ 1 กลับมาบ้าน หลังจากนั้นนาง ส. พาผู้เสียหายที่ 1 ไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจเอก ส. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย วันที่ 23 ธันวาคม 2562 พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยเป็นคดีนี้ จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร และฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปีตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเด็ก ขณะเกิดเหตุอายุเพียง 8 ปีเศษ แต่เบิกความถึงเหตุการณ์ที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายที่ 1 เป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับตรงไปตรงมา ยากที่เด็กทั่ว ๆ ไปซึ่งมิได้ประสบเหตุการณ์มาก่อนจะสามารถเบิกความได้เช่นนั้น โดยเฉพาะพฤติกรรมของจำเลยตอนที่ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่า จำเลยนำอวัยวะเพศของจำเลยมาถูไถกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จนมีน้ำลักษณะเหนียวออกมาจากอวัยวะเพศของจำเลยนั้น นับเป็นเรื่องเกินกว่าที่ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งยังไร้เดียงสาจะปั้นแต่งขึ้นมาได้เอง ทั้งคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ยังสอดคล้องกับที่เคยให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนต่อหน้าพนักงานอัยการจังหวัด นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ และนาง ส. ซึ่งเป็นผู้ที่เด็กร้องขอ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2562 อันเป็นเวลาที่ใกล้ชิดต่อเหตุการณ์ ยากที่จะคิดปรุงแต่งเรื่องราวเพื่อปรักปรำผู้ใด นอกจากนี้ยังได้ความจากผู้เสียหายที่ 2 ว่า หลังจากทราบเหตุคดีนี้ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับผู้เสียหายที่ 1 ด้วย ผู้เสียหายที่ 1 เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังตรงตามที่ผู้เสียหายที่ 1 มาเบิกความต่อศาล ทั้งเมื่อผู้เสียหายที่ 2 สอบถามผู้เสียหายที่ 1 อีกครั้งหลังจากผู้เสียหายที่ 2 กลับไปให้การต่อพนักงานสอบสวน ผู้เสียหายที่ 1 ก็ยังคงเล่าเหมือนเดิม และในการสืบพยานปากผู้เสียหายที่ 1 ศาลชั้นต้นได้ให้ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความผ่านนักจิตวิทยาอันเป็นการใช้วิธีการพิจารณาคดีสำหรับพยานที่เป็นเด็กเป็นการเฉพาะต่างจากพยานบุคคลทั่วไป โดยอยู่ในกำหนดหลักการว่าในการสืบพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี ศาลต้องจัดให้พยานอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก โดยในการถามนั้นศาลจะเป็นผู้ถามพยานเอง หรือถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ หรือจะให้คู่ความถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ก็ได้ ผลของกฎหมายดังกล่าวทำให้กระบวนการยุติธรรมสามารถได้ข้อเท็จจริงจากพยานที่เป็นเด็กมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเมื่อมีวิธีการถามความผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ซึ่งเป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาเด็กและความเชี่ยวชาญในการซักถามเด็ก จะเป็นผลให้พยานที่เป็นเด็กสามารถให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องสมบูรณ์ กรณีจึงมีน้ำหนักให้น่าเชื่อว่าผู้เสียหายที่ 1 เบิกความไปตามความจริง นอกจากนี้พยานโจทก์ปากนาง ส. และผู้เสียหายที่ 2 ยังให้การยืนยันข้อเท็จจริงสอดคล้องเชื่อมโยงกันโดยตลอด ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักควรค่าแก่การรับฟังยิ่งขึ้น ทั้งข้อเท็จจริงดังกล่าวยังเจือสมกับที่จำเลยได้ให้การไว้ต่อร้อยตำรวจเอก ส. ในชั้นสอบสวน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2562 หลังเกิดเหตุเพียงสองวัน ใจความว่า วันเกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุ หลังจากจำเลยทานข้าวเที่ยงเสร็จ จำเลยเดินไปที่เปลใกล้หน้าบ้านผู้เสียหายที่ 1 ขณะที่จำเลยกำลังสูบบุหรี่ ผู้เสียหายที่ 1 เดินมาหาจำเลย บอกจำเลยว่าอยากดูการ์ตูน หลังจากจำเลยสูบบุหรี่เสร็จ จำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านของจำเลยแล้วพาเข้าไปนั่งดูโทรทัศน์ที่เตียงนอนของจำเลย ระหว่างนั้นผู้เสียหายที่ 1 เข้ามานั่งติดกับจำเลย จำเลยจึงโอบตัวเข้ามากอดโดยมือของจำเลยไปถูกนมผู้เสียหายที่ 1 จึงเล่นกับผู้เสียหายที่ 1 สมมุติว่าจำเลยเป็นลูกผู้เสียหายที่ 1 และจำเลยขอดูดนมผู้เสียหายที่ 1 โดยผู้เสียหายที่ 1 ยินยอม เมื่อร้อยตำรวจเอก ส. เป็นเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติงานไปตามหน้าที่ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยและไม่มีเหตุที่จะเบิกความกลั่นแกล้งจำเลยให้ต้องรับโทษ คำเบิกความของร้อยตำรวจเอก ส. ที่ยืนยันว่าจำเลยให้การไว้ตามเอกสารหมาย จ.12 โดยพยานได้อ่านบันทึกคำให้การดังกล่าวให้จำเลยฟังแล้วจำเลยลงลายมือชื่อไว้ ขณะสอบคำให้การ นาง ด. ภริยาของจำเลยได้อยู่ร่วมฟังด้วยและลงลายมือชื่อไว้ จึงมีน้ำหนักให้รับฟัง เชื่อว่าจำเลยให้การในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจตามความเป็นจริง แม้จำเลยจะเบิกความว่า ในวันที่ 23 ธันวาคม 2562 ไม่มีการสอบปากคำจำเลยหรืออ่านข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคดีนี้ให้จำเลยฟัง ทำนองว่าจำเลยไม่ได้ให้การถึงเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.12 ด้วยความสมัครใจ แต่จำเลยก็เบิกความรับว่าลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.12 เป็นลายมือชื่อของจำเลย ทั้งยังเบิกความตอบโจทก์ถามค้านรับว่า บันทึกคำให้การมีลายมือชื่อนาง ด. อยู่ด้วย ความข้อนี้นาง ด. พยานจำเลยเองก็เบิกความรับว่า ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจสอบถามและพูดคุยข้อเท็จจริงกับจำเลยเกี่ยวกับกรณีที่จำเลยไปกระทำการบางอย่างกับผู้เสียหายที่ 1 นั้น พยานนั่งอยู่ด้วย เพียงแต่อ้างว่าได้ยินเพียงจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิดโดยไม่ได้ให้รายละเอียดอื่น ๆ เท่านั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ประกอบกับนาง ด. เป็นภริยาของจำเลยอาจเบิกความไปในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยผู้เป็นสามีก็เป็นได้ คดีนี้แม้โจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีอายุเพียง 8 ปีเศษ เป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว แต่เมื่อผู้เสียหายที่ 1 เบิกความถึงเหตุการณ์ที่จำเลยกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศต่อผู้เสียหายที่ 1 เป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับตรงไปตรงมาอย่างละเอียด โดยไม่มีเหตุระแวงว่าถูกเสี้ยมสอนให้มาเบิกความเพื่อปรักปรำใส่ร้ายจำเลย ทั้งเรื่องราวหลังเกิดเหตุอันเป็นพฤติการณ์แวดล้อมยังเชื่อมโยงกันดีกับพยานอื่น ทำให้มีเหตุผลเชื่อได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงดังที่ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความ ที่จำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างว่าวันเกิดเหตุขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 มาดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลย นาง ด. ก็อยู่ที่บ้านและเห็นเหตุการณ์โดยตลอดนั้น กลับได้ความจากนาง ด. ว่าเห็นผู้เสียหายที่ 1 มาดูโทรทัศน์ที่บ้านในช่วงที่ตนกำลังเตรียมอาหาร อันเป็นช่วงเวลาก่อนที่นาง ด. จะรับประทานอาหารกลางวันกับจำเลยเท่านั้น ขณะที่คำเบิกความของจำเลย นาง ส. และคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 ปรากฏข้อเท็จจริงสอดคล้องต้องกันว่า วันเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยสองช่วงเวลา คือช่วงเช้าก่อนที่นาง ด.จะรับประทานอาหารกลางวันกับจำเลย และช่วงบ่ายหลังจากที่นาง ด. รับประทานอาหารกลางวันกับจำเลยเสร็จแล้ว โดยช่วงเวลาที่ผู้เสียหายที่ 1 ยืนยันว่าจำเลยกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศต่อผู้เสียหายที่ 1 เป็นช่วงบ่าย ประกอบกับนาง ส. เองก็เบิกความว่า ก่อนที่ผู้เสียหายที่ 1 จะไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยในช่วงบ่าย จำเลยบอกว่านาง ด. ไม่อยู่บ้าน ทั้งผู้เสียหายที่ 1 ยังเบิกความยืนยันว่าในช่วงเวลาเกิดเหตุนอกจากจำเลยแล้วไม่มีผู้ใดอยู่ที่บ้านของจำเลย คำเบิกความของนาง ด. จึงหาได้สนับสนุนให้พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักมากขึ้นแต่อย่างใด สำหรับผลการตรวจพิสูจน์นั้น แม้ตามรายงานการตรวจพิสูจน์จะพบคราบอสุจิติดอยู่ที่กางเกงที่ผู้เสียหายที่ 1 สวมใส่ ซึ่งมีดีเอ็นเอบุคคลอื่นที่แตกต่างจากดีเอ็นเอของจำเลยก็ตาม แต่ผู้เสียหายที่ 1 ก็เบิกความว่าเป็นเพราะหลังเกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายที่ 1 กลับถึงบ้านได้เปลี่ยนไปสวมกางเกงตัวใหม่ก่อนจะเดินทางไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล กางเกงของกลางที่นำไปตรวจพิสูจน์เป็นคนละตัวกับกางเกงที่ผู้เสียหายที่ 1 สวมใส่ในขณะเกิดเหตุ ทั้งการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวก็เป็นเพียงความเห็นของผู้ทำการตรวจพิสูจน์หลักฐานเท่านั้น ประการสำคัญ การกระทำอนาจารตามฟ้องและทางนำสืบคือการกระทำที่จำเลยดูดนมผู้เสียหายที่ 1 และใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ดังนี้ ลำพังผลการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมที่ไม่พบดีเอ็นเอของจำเลยที่กางเกงของผู้เสียหายที่ 1 จึงยังไม่ถึงขนาดเป็นข้อพิรุธอันจะทำให้คำยืนยันของผู้เสียหายที่ 1 ไม่เป็นความจริงและไม่น่าเชื่อถือ และไม่อาจเป็นข้อพิสูจน์ถึงกับจะทำให้คำเบิกความพยานโจทก์รับฟังไม่ได้ อันจะเป็นเหตุให้พยานหลักฐานของโจทก์มีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศซึ่งถือเป็นการกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 จริงหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาต่างเชื่อมโยงสนับสนุนให้สอดคล้องต้องกันปราศจากข้อพิรุธ มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอให้ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 จริง สำหรับความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร และฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร แม้ได้ความจากนาง ส. เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เมื่อจำเลยมาชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ ผู้เสียหายที่ 1 ถามพยานว่าให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปหรือไม่ ตอนแรกพยานไม่ยอมให้ไป เมื่อผู้เสียหายที่ 1 รบเร้าพยานจึงอนุญาต แต่การอนุญาตดังกล่าวก็เป็นการอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น มิใช่อนุญาตให้ไปกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านของจำเลยและกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 ดังวินิจฉัย พฤติการณ์ของจำเลยจึงบ่งชี้แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาพาผู้เสียหายที่ 1 จากบริเวณหนึ่งไปอีกบริเวณหนึ่งเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่าเป็นการพาไปหรือแยกผู้เสียหายที่ 1 ออกจากการปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ทำให้การปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 และเป็นการพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปจากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องมา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
สำหรับการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ย่อมเป็นการทำละเมิด จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นผู้เสียหายด้วย ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อให้เป็นไปตามผลแห่งคดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่ในส่วนของดอกเบี้ยผิดนัดนั้น หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ได้มีประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ทำให้ดอกเบี้ยผิดนัดของค่าสินไหมทดแทนซึ่งเป็นหนี้เงินที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ต้องปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งปัญหาการกำหนดดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและกำหนดดอกเบี้ยเพื่อให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40
พิพากษากลับเป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่สำหรับดอกเบี้ยในต้นเงินค่าสินไหมทดแทน ให้จำเลยชำระอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้อง (ยื่นคำร้องวันที่ 23 มีนาคม 2563) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง หากกระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ในวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 วันที่ 2 พฤษภาคม 2560 ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่ง พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 แทนวิธีการตามที่กำหนดในข้อบังคับบริษัทข้อที่ 20 แต่ก็มีผู้ถือหุ้นบางส่วนรวมทั้งโจทก์ยังคงคัดค้านการใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่ง พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ซึ่งไม่ถูกต้องตามข้อบังคับ ทั้งเมื่อยังไม่มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับของบริษัทในกรณีดังกล่าว จำเลยที่ 1 จะอ้างเอาเหตุที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่ง พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 แล้วดำเนินการลงมติเลือกตั้งกรรมการด้วยวิธีการดังกล่าวหาได้ไม่ ประกอบกับการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกคำสั่งกล่าวโทษจำเลยที่ 1 เหตุที่ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับบริษัทข้อที่ 20 ทำให้กลุ่มของจำเลยที่ 1 ได้รับเลือกเป็นกรรมการ อีกทั้งยังปรากฏว่าศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติที่ประชุมเกี่ยวกับวาระเลือกตั้งกรรมการบริษัทในวันดังกล่าว จึงบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/7 ทำให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการฝ่าฝืนดังกล่าว อันเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคหนึ่ง แต่กรณียังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำไปโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 1, 4, 89/1, 89/7, 281/2, 281/10 พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 70, 71, 72(5), 85, 91(3) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ประกอบมาตรา 86, 90, 91 พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า ฟ้องข้อ 2.1 มีมูล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 85, 91(3) พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/7, 281/2, 281/10 ฟ้องข้อ 2.2 มีมูลตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 70, 71, 85, 215 พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/1, 89/7, 281/2 ให้ประทับฟ้อง ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานโจทก์ โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4 ศาลชั้นต้นอนุญาต จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ออกจากสารบบความ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 281/2 วรรคหนึ่ง ให้ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง และยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการบริษัท อ. ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2560 วาระที่ 3 เพื่อพิจารณาอนุมัติแต่งตั้งกรรมการ จำเลยที่ 1 ประธานที่ประชุมให้จัดทำใบลงคะแนนเลือกตั้งกรรมการบริษัทโดยให้ผู้ถือหุ้นหนึ่งคนมีคะแนนเสียงเท่ากับจำนวนหุ้นที่ถือคูณด้วยจำนวนกรรมการที่เลือก ซึ่งขัดกับข้อบังคับของบริษัท ข้อที่ 20 ที่กำหนดว่า ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งมีคะแนนเสียงเท่ากับหนึ่งหุ้นต่อหนึ่งเสียง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 281/2 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ในวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 วันที่ 2 พฤษภาคม 2560 ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 แทนวิธีการตามที่กำหนดในข้อบังคับบริษัทข้อที่ 20 แต่ก็มีผู้ถือหุ้นบางส่วนรวมทั้งโจทก์ยังคงคัดค้านการใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ซึ่งไม่ถูกต้องตามข้อบังคับ ทั้งเมื่อยังไม่มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับของบริษัทในกรณีดังกล่าว จำเลยที่ 1 จะอ้างเอาเหตุที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 แล้วดำเนินการลงมติเลือกตั้งกรรมการด้วยวิธีการดังกล่าวหาได้ไม่ ประกอบกับการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกคำสั่งกล่าวโทษจำเลยที่ 1 เหตุที่ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับข้อที่ 20 ทำให้กลุ่มของจำเลยที่ 1 ได้รับเลือกเป็นกรรมการ อีกทั้งยังปรากฏว่าศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติที่ประชุมเกี่ยวกับวาระเลือกตั้งกรรมการบริษัทในวันดังกล่าว จึงบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริตตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/7 ทำให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการฝ่าฝืนดังกล่าว อันเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคหนึ่ง แต่กรณียังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำไปโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องข้อหาตามมาตรา 281/2 วรรคหนึ่ง มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 281/2 วรรคหนึ่ง ให้ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 500,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ในวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 วันที่ 2 พฤษภาคม 2560 ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่ง พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 แทนวิธีการตามที่กำหนดในข้อบังคับบริษัทข้อที่ 20 แต่ก็มีผู้ถือหุ้นบางส่วนรวมทั้งโจทก์ยังคงคัดค้านการใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่ง พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ซึ่งไม่ถูกต้องตามข้อบังคับ ทั้งเมื่อยังไม่มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับของบริษัทในกรณีดังกล่าว จำเลยที่ 1 จะอ้างเอาเหตุที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่ง พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 แล้วดำเนินการลงมติเลือกตั้งกรรมการด้วยวิธีการดังกล่าวหาได้ไม่ ประกอบกับการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกคำสั่งกล่าวโทษจำเลยที่ 1 เหตุที่ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับบริษัทข้อที่ 20 ทำให้กลุ่มของจำเลยที่ 1 ได้รับเลือกเป็นกรรมการ อีกทั้งยังปรากฏว่าศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติที่ประชุมเกี่ยวกับวาระเลือกตั้งกรรมการบริษัทในวันดังกล่าว จึงบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/7 ทำให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการฝ่าฝืนดังกล่าว อันเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคหนึ่ง แต่กรณียังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำไปโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 1, 4, 89/1, 89/7, 281/2, 281/10 พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 70, 71, 72(5), 85, 91(3) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ประกอบมาตรา 86, 90, 91 พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า ฟ้องข้อ 2.1 มีมูล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 85, 91(3) พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/7, 281/2, 281/10 ฟ้องข้อ 2.2 มีมูลตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 70, 71, 85, 215 พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/1, 89/7, 281/2 ให้ประทับฟ้อง ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานโจทก์ โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4 ศาลชั้นต้นอนุญาต จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ออกจากสารบบความ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 281/2 วรรคหนึ่ง ให้ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง และยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการบริษัท อ. ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2560 วาระที่ 3 เพื่อพิจารณาอนุมัติแต่งตั้งกรรมการ จำเลยที่ 1 ประธานที่ประชุมให้จัดทำใบลงคะแนนเลือกตั้งกรรมการบริษัทโดยให้ผู้ถือหุ้นหนึ่งคนมีคะแนนเสียงเท่ากับจำนวนหุ้นที่ถือคูณด้วยจำนวนกรรมการที่เลือก ซึ่งขัดกับข้อบังคับของบริษัท ข้อที่ 20 ที่กำหนดว่า ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งมีคะแนนเสียงเท่ากับหนึ่งหุ้นต่อหนึ่งเสียง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 281/2 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ในวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 วันที่ 2 พฤษภาคม 2560 ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 แทนวิธีการตามที่กำหนดในข้อบังคับบริษัทข้อที่ 20 แต่ก็มีผู้ถือหุ้นบางส่วนรวมทั้งโจทก์ยังคงคัดค้านการใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ซึ่งไม่ถูกต้องตามข้อบังคับ ทั้งเมื่อยังไม่มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับของบริษัทในกรณีดังกล่าว จำเลยที่ 1 จะอ้างเอาเหตุที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 แล้วดำเนินการลงมติเลือกตั้งกรรมการด้วยวิธีการดังกล่าวหาได้ไม่ ประกอบกับการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกคำสั่งกล่าวโทษจำเลยที่ 1 เหตุที่ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับข้อที่ 20 ทำให้กลุ่มของจำเลยที่ 1 ได้รับเลือกเป็นกรรมการ อีกทั้งยังปรากฏว่าศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติที่ประชุมเกี่ยวกับวาระเลือกตั้งกรรมการบริษัทในวันดังกล่าว จึงบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริตตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/7 ทำให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการฝ่าฝืนดังกล่าว อันเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคหนึ่ง แต่กรณียังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำไปโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องข้อหาตามมาตรา 281/2 วรรคหนึ่ง มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 281/2 วรรคหนึ่ง ให้ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 500,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง บัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ (1) การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดนั้นจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน (2) คำสั่งหรือคำพิพากษานั้นฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน (3) คำสั่งหรือคำพิพากษานั้นไม่ตรงกับคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ (4) ผู้พิพากษาหรือตุลาการซึ่งพิจารณาคดีนั้นได้ทำความเห็นแย้งไว้ในคำพิพากษา หรือ (5) เป็นคำสั่งเกี่ยวด้วยการใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่พิพาทตามมาตรา 16 คดีนี้ คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยในคำชี้ขาดว่า ผู้ร้องมิได้นำสืบให้ฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ เพียงแต่นำสืบว่าผู้ร้องเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถตามคำสั่งศาลเท่านั้น และคำสั่งศาลดังกล่าวก็มีคำสั่งหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายถึง 1 ปีเศษ อีกทั้งเหตุแห่งการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็เป็นเพราะความบกพร่องทางจิต คือเป็นคนไอคิวต่ำเท่านั้น มิใช่เหตุทุพพลภาพแต่อย่างใด นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังปรากฏด้วยว่า ผู้ร้องเคยมีสามีและเคยมีบุตรมาแล้ว 3 คน อันเป็นข้อสนับสนุนได้อีกข้อหนึ่งว่า ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ทุพพลภาพ ส่วนข้อที่อ้างว่าขณะที่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่เคยให้การอุปการะเลี้ยงดูผู้ร้องนั้น ก็ไม่มีพยานหลักฐานใดมาแสดง ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะ การที่ผู้ร้องอุทธรณ์โต้แย้งว่า ทางนำสืบในชั้นอนุญาโตตุลาการผู้ร้องอ้างใบรับรองแพทย์ว่าผู้ร้องหย่อนกำลังความสามารถที่จะประกอบการงานได้ตามปกติ แพทย์ได้ให้ความเห็นว่าผู้ร้องมีความสามารถทางเชาวน์ปัญญาอยู่ระดับปัญญาอ่อน ไอคิวเท่ากับ 65 เทียบเท่ากับอายุ 9 ปี มีพยาธิทางสมอง และสภาพจิตใจในลักษณะการรับรู้ความเป็นจริงไม่เหมาะสม มีปัญหาการตัดสินใจและการปรับตัว จำเป็นต้องมีผู้ดูแลในการดำเนินชีวิต มีความบกพร่องในการวางแผนการตัดสินใจ การรับรู้ความเป็นจริง ถูกชักจูงใจได้ง่าย สามารถทำกิจวัตรประจำวันขั้นปกติได้ กิจกรรมที่มีความซับซ้อนต้องมีผู้ช่วยเหลือดูแล ความเห็นแพทย์ดังกล่าวจึงแสดงให้เห็นชัดแล้วว่าผู้ร้องเป็นผู้หย่อนความสามารถที่จะประกอบการงานตามปกติได้ จึงไม่อาจหาเลี้ยงตนเองได้ตามปกติ แต่คณะอนุญาโตตุลาการมิได้หยิบยกใบรับรองแพทย์ซึ่งเป็นสาระสำคัญในการวินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ขึ้นพิจารณา จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อุทธรณ์ของผู้ร้องดังกล่าวเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นอ้างเพื่อโต้แย้งการวิเคราะห์พยานหลักฐานและดุลพินิจในการวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนของคณะอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ โดยไม่ปรากฏว่ามีการวินิจฉัยผิดจากวิธีพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด การที่คณะอนุญาโตตุลาการจะหยิบยกหลักฐานใดขึ้นวินิจฉัยภายในขอบเขตของกฎหมายและสัญญาที่พิพาทกัน ย่อมกระทำได้โดยชอบ อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ข้อยกเว้นตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง (1) ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเฉพาะในส่วนที่วินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่ได้เป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ และขอให้ศาลมีคำสั่งให้คณะอนุญาโตตุลาการดำเนินกระบวนพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาทใหม่
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องไต่สวน จึงให้งดไต่สวน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ผู้คัดค้านเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันวินาศภัยทุกประเภท ผู้ร้องยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เป็นข้อพิพาทหมายเลขดำที่ สข.9/2564 เรียกร้องให้ผู้คัดค้านชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเป็นค่าขาดไร้อุปการะ จำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากเหตุที่นาง ร. มารดาของผู้ร้อง ถูกรถยนต์ซึ่งผู้คัดค้านรับประกันภัยไว้เฉี่ยวชน เป็นเหตุให้นาง ร. ถึงแก่ความตาย ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่าหลังเกิดเหตุทายาทผู้ตายได้รับเงินตามคำสั่งของนายทะเบียนไปแล้ว และผู้ร้องมิได้เป็นผู้ทุพภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะ ต่อมาคณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ ดังนั้นผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะในกรณีที่ผู้ตายถูกทำละเมิดถึงแก่ความตาย และมีคำชี้ขาดให้ยกคำเสนอข้อพิพาทของผู้ร้อง
คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องประการแรกว่า การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง บัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ (1) การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดนั้นจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน (2) คำสั่งหรือคำพิพากษานั้นฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน (3) คำสั่งหรือคำพิพากษานั้นไม่ตรงกับคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ (4) ผู้พิพากษาหรือตุลาการซึ่งพิจารณาคดีนั้นได้ทำความเห็นแย้งไว้ในคำพิพากษา หรือ (5) เป็นคำสั่งเกี่ยวด้วยการใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่พิพาทตามมาตรา 16 คดีนี้ คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยในคำชี้ขาดว่า ผู้ร้องมิได้นำสืบให้ฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ เพียงแต่นำสืบว่าผู้ร้องเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถตามคำสั่งศาลเท่านั้น และคำสั่งศาลดังกล่าวก็มีคำสั่งหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายถึง 1 ปีเศษ อีกทั้งเหตุแห่งการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็เป็นเพราะความบกพร่องทางจิต คือเป็นคนไอคิวต่ำเท่านั้น มิใช่เหตุทุพพลภาพแต่อย่างใด นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังปรากฏด้วยว่า ผู้ร้องเคยมีสามีและเคยมีบุตรมาแล้ว 3 คน อันเป็นข้อสนับสนุนได้อีกข้อหนึ่งว่า ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ทุพพลภาพ ส่วนข้อที่อ้างว่าขณะที่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่เคยให้การอุปการะเลี้ยงดูผู้ร้องนั้น ก็ไม่มีพยานหลักฐานใดมาแสดง ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะ การที่ผู้ร้องอุทธรณ์โต้แย้งว่า ทางนำสืบในชั้นอนุญาโตตุลาการผู้ร้องอ้างใบรับรองแพทย์ว่าผู้ร้องหย่อนกำลังความสามารถที่จะประกอบการงานได้ตามปกติ แพทย์ได้ให้ความเห็นว่าผู้ร้องมีความสามารถทางเชาวน์ปัญญาอยู่ระดับปัญญาอ่อน ไอคิวเท่ากับ 65 เทียบเท่ากับอายุ 9 ปี มีพยาธิทางสมองและสภาพจิตใจในลักษณะการรับรู้ความเป็นจริงไม่เหมาะสม มีปัญหาการตัดสินใจและการปรับตัว จำเป็นต้องมีผู้ดูแลในการดำเนินชีวิต มีความบกพร่องในการวางแผน การตัดสินใจ การรับรู้ความเป็นจริง ถูกชักจูงใจได้ง่าย สามารถทำกิจวัตรประจำวันขั้นปกติได้ กิจกรรมที่มีความซับซ้อนต้องมีผู้ช่วยเหลือดูแล จากความเห็นแพทย์ดังกล่าวจึงแสดงให้เห็นชัดแล้วว่าผู้ร้องเป็นผู้หย่อนความสามารถที่จะประกอบการงานตามปกติได้ จึงไม่อาจหาเลี้ยงตนเองได้ตามปกติ แต่คณะอนุญาโตตุลาการมิได้หยิบยกใบรับรองแพทย์ซึ่งเป็นสาระสำคัญในการวินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ขึ้นพิจารณา จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อุทธรณ์ของผู้ร้องดังกล่าวเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นอ้างเพื่อโต้แย้งการวิเคราะห์พยานหลักฐานและดุลพินิจในการวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนของคณะอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ โดยไม่ปรากฏว่ามีการวินิจฉัยผิดจากวิธีพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด การที่คณะอนุญาโตตุลาการจะหยิบยกพยานหลักฐานใดขึ้นวินิจฉัยภายในขอบเขตของกฎหมายและสัญญาที่พิพาทกัน ย่อมเป็นสิทธิที่จะกระทำได้โดยชอบ อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ข้อยกเว้นตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง (1) ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่ผู้ร้องอุทธรณ์ประการต่อมาว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานเป็นการไม่ชอบและขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีการวินิจฉัยผิดจากวิธีพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของผู้ร้องในส่วนนี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง (2) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง โดยมิได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียมนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง ค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ผู้ร้องมิได้เสียมาด้วยจึงไม่จำต้องสั่งคืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง บัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ (1) การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดนั้นจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน (2) คำสั่งหรือคำพิพากษานั้นฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน (3) คำสั่งหรือคำพิพากษานั้นไม่ตรงกับคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ (4) ผู้พิพากษาหรือตุลาการซึ่งพิจารณาคดีนั้นได้ทำความเห็นแย้งไว้ในคำพิพากษา หรือ (5) เป็นคำสั่งเกี่ยวด้วยการใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่พิพาทตามมาตรา 16 คดีนี้ คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยในคำชี้ขาดว่า ผู้ร้องมิได้นำสืบให้ฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ เพียงแต่นำสืบว่าผู้ร้องเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถตามคำสั่งศาลเท่านั้น และคำสั่งศาลดังกล่าวก็มีคำสั่งหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายถึง 1 ปีเศษ อีกทั้งเหตุแห่งการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็เป็นเพราะความบกพร่องทางจิต คือเป็นคนไอคิวต่ำเท่านั้น มิใช่เหตุทุพพลภาพแต่อย่างใด นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังปรากฏด้วยว่า ผู้ร้องเคยมีสามีและเคยมีบุตรมาแล้ว 3 คน อันเป็นข้อสนับสนุนได้อีกข้อหนึ่งว่า ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ทุพพลภาพ ส่วนข้อที่อ้างว่าขณะที่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่เคยให้การอุปการะเลี้ยงดูผู้ร้องนั้น ก็ไม่มีพยานหลักฐานใดมาแสดง ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะ การที่ผู้ร้องอุทธรณ์โต้แย้งว่า ทางนำสืบในชั้นอนุญาโตตุลาการผู้ร้องอ้างใบรับรองแพทย์ว่าผู้ร้องหย่อนกำลังความสามารถที่จะประกอบการงานได้ตามปกติ แพทย์ได้ให้ความเห็นว่าผู้ร้องมีความสามารถทางเชาวน์ปัญญาอยู่ระดับปัญญาอ่อน ไอคิวเท่ากับ 65 เทียบเท่ากับอายุ 9 ปี มีพยาธิทางสมอง และสภาพจิตใจในลักษณะการรับรู้ความเป็นจริงไม่เหมาะสม มีปัญหาการตัดสินใจและการปรับตัว จำเป็นต้องมีผู้ดูแลในการดำเนินชีวิต มีความบกพร่องในการวางแผนการตัดสินใจ การรับรู้ความเป็นจริง ถูกชักจูงใจได้ง่าย สามารถทำกิจวัตรประจำวันขั้นปกติได้ กิจกรรมที่มีความซับซ้อนต้องมีผู้ช่วยเหลือดูแล ความเห็นแพทย์ดังกล่าวจึงแสดงให้เห็นชัดแล้วว่าผู้ร้องเป็นผู้หย่อนความสามารถที่จะประกอบการงานตามปกติได้ จึงไม่อาจหาเลี้ยงตนเองได้ตามปกติ แต่คณะอนุญาโตตุลาการมิได้หยิบยกใบรับรองแพทย์ซึ่งเป็นสาระสำคัญในการวินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ขึ้นพิจารณา จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อุทธรณ์ของผู้ร้องดังกล่าวเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นอ้างเพื่อโต้แย้งการวิเคราะห์พยานหลักฐานและดุลพินิจในการวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนของคณะอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ โดยไม่ปรากฏว่ามีการวินิจฉัยผิดจากวิธีพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด การที่คณะอนุญาโตตุลาการจะหยิบยกหลักฐานใดขึ้นวินิจฉัยภายในขอบเขตของกฎหมายและสัญญาที่พิพาทกัน ย่อมกระทำได้โดยชอบ อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ข้อยกเว้นตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง (1) ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเฉพาะในส่วนที่วินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่ได้เป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ และขอให้ศาลมีคำสั่งให้คณะอนุญาโตตุลาการดำเนินกระบวนพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาทใหม่
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องไต่สวน จึงให้งดไต่สวน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ผู้คัดค้านเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันวินาศภัยทุกประเภท ผู้ร้องยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เป็นข้อพิพาทหมายเลขดำที่ สข.9/2564 เรียกร้องให้ผู้คัดค้านชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเป็นค่าขาดไร้อุปการะ จำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากเหตุที่นาง ร. มารดาของผู้ร้อง ถูกรถยนต์ซึ่งผู้คัดค้านรับประกันภัยไว้เฉี่ยวชน เป็นเหตุให้นาง ร. ถึงแก่ความตาย ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่าหลังเกิดเหตุทายาทผู้ตายได้รับเงินตามคำสั่งของนายทะเบียนไปแล้ว และผู้ร้องมิได้เป็นผู้ทุพภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะ ต่อมาคณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ ดังนั้นผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะในกรณีที่ผู้ตายถูกทำละเมิดถึงแก่ความตาย และมีคำชี้ขาดให้ยกคำเสนอข้อพิพาทของผู้ร้อง
คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องประการแรกว่า การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง บัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ (1) การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดนั้นจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน (2) คำสั่งหรือคำพิพากษานั้นฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน (3) คำสั่งหรือคำพิพากษานั้นไม่ตรงกับคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ (4) ผู้พิพากษาหรือตุลาการซึ่งพิจารณาคดีนั้นได้ทำความเห็นแย้งไว้ในคำพิพากษา หรือ (5) เป็นคำสั่งเกี่ยวด้วยการใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่พิพาทตามมาตรา 16 คดีนี้ คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยในคำชี้ขาดว่า ผู้ร้องมิได้นำสืบให้ฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ เพียงแต่นำสืบว่าผู้ร้องเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถตามคำสั่งศาลเท่านั้น และคำสั่งศาลดังกล่าวก็มีคำสั่งหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายถึง 1 ปีเศษ อีกทั้งเหตุแห่งการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็เป็นเพราะความบกพร่องทางจิต คือเป็นคนไอคิวต่ำเท่านั้น มิใช่เหตุทุพพลภาพแต่อย่างใด นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังปรากฏด้วยว่า ผู้ร้องเคยมีสามีและเคยมีบุตรมาแล้ว 3 คน อันเป็นข้อสนับสนุนได้อีกข้อหนึ่งว่า ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ทุพพลภาพ ส่วนข้อที่อ้างว่าขณะที่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่เคยให้การอุปการะเลี้ยงดูผู้ร้องนั้น ก็ไม่มีพยานหลักฐานใดมาแสดง ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะ การที่ผู้ร้องอุทธรณ์โต้แย้งว่า ทางนำสืบในชั้นอนุญาโตตุลาการผู้ร้องอ้างใบรับรองแพทย์ว่าผู้ร้องหย่อนกำลังความสามารถที่จะประกอบการงานได้ตามปกติ แพทย์ได้ให้ความเห็นว่าผู้ร้องมีความสามารถทางเชาวน์ปัญญาอยู่ระดับปัญญาอ่อน ไอคิวเท่ากับ 65 เทียบเท่ากับอายุ 9 ปี มีพยาธิทางสมองและสภาพจิตใจในลักษณะการรับรู้ความเป็นจริงไม่เหมาะสม มีปัญหาการตัดสินใจและการปรับตัว จำเป็นต้องมีผู้ดูแลในการดำเนินชีวิต มีความบกพร่องในการวางแผน การตัดสินใจ การรับรู้ความเป็นจริง ถูกชักจูงใจได้ง่าย สามารถทำกิจวัตรประจำวันขั้นปกติได้ กิจกรรมที่มีความซับซ้อนต้องมีผู้ช่วยเหลือดูแล จากความเห็นแพทย์ดังกล่าวจึงแสดงให้เห็นชัดแล้วว่าผู้ร้องเป็นผู้หย่อนความสามารถที่จะประกอบการงานตามปกติได้ จึงไม่อาจหาเลี้ยงตนเองได้ตามปกติ แต่คณะอนุญาโตตุลาการมิได้หยิบยกใบรับรองแพทย์ซึ่งเป็นสาระสำคัญในการวินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ขึ้นพิจารณา จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อุทธรณ์ของผู้ร้องดังกล่าวเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นอ้างเพื่อโต้แย้งการวิเคราะห์พยานหลักฐานและดุลพินิจในการวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนของคณะอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ โดยไม่ปรากฏว่ามีการวินิจฉัยผิดจากวิธีพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด การที่คณะอนุญาโตตุลาการจะหยิบยกพยานหลักฐานใดขึ้นวินิจฉัยภายในขอบเขตของกฎหมายและสัญญาที่พิพาทกัน ย่อมเป็นสิทธิที่จะกระทำได้โดยชอบ อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ข้อยกเว้นตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง (1) ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่ผู้ร้องอุทธรณ์ประการต่อมาว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานเป็นการไม่ชอบและขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีการวินิจฉัยผิดจากวิธีพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของผู้ร้องในส่วนนี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง (2) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง โดยมิได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียมนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง ค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ผู้ร้องมิได้เสียมาด้วยจึงไม่จำต้องสั่งคืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนคดีถึงที่สุดแล้ว ระหว่างจำเลยกำลังรับโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดได้มี พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 และให้ยกเลิก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจึงเป็นการกระทำอย่างเดียวกันคือการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดซึ่งแยกเป็นคนละฐานความผิด จึงต้องลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 เพียงบทเดียว ส่วนการที่จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต่อเจ้าพนักงานตำรวจนั้น ป.ยาเสพติด มาตรา 153 ยังคงบัญญัติให้อำนาจศาลลงโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งดังกล่าวน้อยกว่าอัตราโทษ ที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้ ทำนองเดียวกับ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 แต่กฎหมายใหม่กำหนดหลักเกณฑ์ให้โจทก์ต้องระบุในคำฟ้องหรือยื่นคำร้องต่อศาล หรือมิฉะนั้นผู้กระทำความผิดต้องยื่นคำร้องต่อศาล ศาลจึงจะใช้ดุลพินิจกำหนดโทษน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นได้ ดังนั้น กฎหมายใหม่จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลย ต้องบังคับตามกฎหมายเดิมซึ่งใช้ในขณะกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 3 วรรคแรก ส่วนการกระทำความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ป.ยาเสพติด มาตรา 126 ยังคงบัญญัติให้ระวางโทษผู้พยายามกระทำความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จทำนองเดียวกับ พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 แต่เมื่อลงโทษจำเลยตามกฎหมายใหม่ มาตรา 90, 145 ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยแล้ว จึงต้องบังคับตามกฎหมายใหม่ มาตรา 126 ด้วย ตาม ป.อ. มาตรา 3
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวน 4,018 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 70.823 กรัม และจำเลยพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว 1,996 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 35.180 กรัม ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ โดยเจ้าพนักงานตำรวจสืบสวนทราบการกระทำความผิดของจำเลยมาจากผู้ต้องหาคดียาเสพติดให้โทษที่เคยซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลย จึงวางแผนล่อซื้อและจับกุมจำเลยได้พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนของกลาง พฤติการณ์แห่งคดีจึงบ่งชี้ถึงการกระทำของจำเลยว่า จำเลยมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน และหากมีการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางออกไปย่อมทำให้เกิดการแพร่กระจายไปยังผู้เสพหลายคนโดยสภาพเข้าลักษณะเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) มิใช่เป็นเพียงความผิดตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ตามที่จำเลยยกขึ้นฎีกา ทั้งยังรับฟังไม่ได้ว่าเป็นการทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป อันเป็นความผิดตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสาม (2) ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เช่นนี้ เมื่อ ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสองล้านบาท และการมีเมทแอมเฟตามีนในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นความผิดตามกฎหมายใหม่ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงบทเดียวดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การที่จำเลยพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 1,996 เม็ด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 4,018 เม็ด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวลงโทษได้เพียงกระทงเดียว โทษที่กำหนดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังทั้งในเรื่องการกำหนดโทษและจำนวนกระทงลงโทษ ศาลย่อมมีอำนาจตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) ที่จะกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (2) ประกอบมาตรา 126 ป.อ. มาตรา 80 และ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 ตามพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยได้ กรณีไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ตามที่จำเลยอ้างในฎีกาแต่อย่างใด
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1,000,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จ จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1,000,000 บาท ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 25 ปี และปรับ 500,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 25 ปี และปรับ 500,000 บาท รวมจำคุก 50 ปี และปรับ 1,000,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่ และถุงพลาสติกของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ประกอบมาตรา 100/2 ด้วย ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 40 ปี และปรับ 800,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 40 ปี และปรับ 800,000 บาท ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 20 ปี และปรับ 400,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 20 ปี และปรับ 400,000 บาท รวมจำคุก 40 ปี และปรับ 800,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดแล้ว
จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กำหนดโทษจำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงบทเดียว ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ให้ลงโทษฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนบทเดียว จำคุก 40 ปี และปรับ 800,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 20 ปี และปรับ 400,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิได้รับการกำหนดโทษใหม่ในความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสาม, 100/2 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 และพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) หรือไม่ เห็นว่า ในปัญหาดังกล่าวข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 4,018 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 70.823 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว 1,996 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 35.180 กรัม ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา 140,000 บาท ทั้งจำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 40 ปี และปรับ 800,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 40 ปี และปรับ 800,000 บาท ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 20 ปี และปรับ 400,000 บาท รวมจำคุก 40 ปี และปรับ 800,000 บาท ในระหว่างที่จำเลยกำลังรับโทษตามคำพิพากษาซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วนั้น ได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน ซึ่งตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันคือการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดซึ่งแยกเป็นคนละฐานความผิด ต้องลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 เพียงบทเดียว ส่วนการที่จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต่อเจ้าพนักงานตำรวจนั้น ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 153 ยังคงบัญญัติให้อำนาจศาลลงโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งดังกล่าวน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้ ทำนองเดียวกับพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 แต่กฎหมายใหม่กำหนดหลักเกณฑ์ให้โจทก์ต้องระบุในคำฟ้องหรือยื่นคำร้องต่อศาล หรือมิฉะนั้นผู้กระทำความผิดต้องยื่นคำร้องต่อศาล ศาลจึงจะใช้ดุลพินิจกำหนดโทษน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นได้ ดังนั้น กฎหมายใหม่จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลย ต้องบังคับตามกฎหมายเดิมซึ่งใช้ในขณะกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคแรก ส่วนการกระทำความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 126 ยังคงบัญญัติให้ระวางโทษผู้พยายามกระทำความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จทำนองเดียวกับพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 แต่เมื่อลงโทษจำเลยตามกฎหมายใหม่ มาตรา 90, 145 ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยแล้ว จึงต้องบังคับตามกฎหมายใหม่ มาตรา 126 ด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวน 4,018 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 70.823 กรัม และจำเลยพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว 1,996 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 35.180 กรัม ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ โดยเจ้าพนักงานตำรวจสืบสวนทราบการกระทำความผิดของจำเลยมาจากผู้ต้องหาคดียาเสพติดให้โทษที่เคยซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลย จึงวางแผนล่อซื้อและจับกุมจำเลยได้พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนของกลาง พฤติการณ์แห่งคดีจึงบ่งชี้ถึงการกระทำของจำเลยว่า จำเลยมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน และหากมีการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางออกไปย่อมทำให้เกิดการแพร่กระจายไปยังผู้เสพหลายคนโดยสภาพเข้าลักษณะเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) มิใช่เป็นเพียงความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ตามที่จำเลยยกขึ้นฎีกา ทั้งยังรับฟังไม่ได้ว่าเป็นการทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสาม (2) ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เช่นนี้ เมื่อประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสองล้านบาท และการมีเมทแอมเฟตามีนในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นความผิดตามกฎหมายใหม่ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงบทเดียวดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การที่จำเลยพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 1,996 เม็ด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 4,018 เม็ด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวลงโทษได้เพียงกระทงเดียว โทษที่กำหนดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังทั้งในเรื่องการกำหนดโทษและจำนวนกระทงลงโทษ ศาลย่อมมีอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่จะกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (2) ประกอบมาตรา 126 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 ตามพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยได้ กรณีไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ตามที่จำเลยอ้างในฎีกาแต่อย่างใด ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยนอกนี้ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องของจำเลยมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้กำหนดโทษจำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (2) ประกอบมาตรา 126 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) โดยให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงกระทงเดียว จำคุก 16 ปี และปรับ 800,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี และปรับ 400,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี.
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนคดีถึงที่สุดแล้ว ระหว่างจำเลยกำลังรับโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดได้มี พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 และให้ยกเลิก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจึงเป็นการกระทำอย่างเดียวกันคือการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดซึ่งแยกเป็นคนละฐานความผิด จึงต้องลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 เพียงบทเดียว ส่วนการที่จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต่อเจ้าพนักงานตำรวจนั้น ป.ยาเสพติด มาตรา 153 ยังคงบัญญัติให้อำนาจศาลลงโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งดังกล่าวน้อยกว่าอัตราโทษ ที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้ ทำนองเดียวกับ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 แต่กฎหมายใหม่กำหนดหลักเกณฑ์ให้โจทก์ต้องระบุในคำฟ้องหรือยื่นคำร้องต่อศาล หรือมิฉะนั้นผู้กระทำความผิดต้องยื่นคำร้องต่อศาล ศาลจึงจะใช้ดุลพินิจกำหนดโทษน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นได้ ดังนั้น กฎหมายใหม่จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลย ต้องบังคับตามกฎหมายเดิมซึ่งใช้ในขณะกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 3 วรรคแรก ส่วนการกระทำความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ป.ยาเสพติด มาตรา 126 ยังคงบัญญัติให้ระวางโทษผู้พยายามกระทำความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จทำนองเดียวกับ พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 แต่เมื่อลงโทษจำเลยตามกฎหมายใหม่ มาตรา 90, 145 ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยแล้ว จึงต้องบังคับตามกฎหมายใหม่ มาตรา 126 ด้วย ตาม ป.อ. มาตรา 3
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวน 4,018 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 70.823 กรัม และจำเลยพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว 1,996 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 35.180 กรัม ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ โดยเจ้าพนักงานตำรวจสืบสวนทราบการกระทำความผิดของจำเลยมาจากผู้ต้องหาคดียาเสพติดให้โทษที่เคยซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลย จึงวางแผนล่อซื้อและจับกุมจำเลยได้พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนของกลาง พฤติการณ์แห่งคดีจึงบ่งชี้ถึงการกระทำของจำเลยว่า จำเลยมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน และหากมีการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางออกไปย่อมทำให้เกิดการแพร่กระจายไปยังผู้เสพหลายคนโดยสภาพเข้าลักษณะเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) มิใช่เป็นเพียงความผิดตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ตามที่จำเลยยกขึ้นฎีกา ทั้งยังรับฟังไม่ได้ว่าเป็นการทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป อันเป็นความผิดตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสาม (2) ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เช่นนี้ เมื่อ ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสองล้านบาท และการมีเมทแอมเฟตามีนในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นความผิดตามกฎหมายใหม่ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงบทเดียวดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การที่จำเลยพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 1,996 เม็ด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 4,018 เม็ด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวลงโทษได้เพียงกระทงเดียว โทษที่กำหนดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังทั้งในเรื่องการกำหนดโทษและจำนวนกระทงลงโทษ ศาลย่อมมีอำนาจตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) ที่จะกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (2) ประกอบมาตรา 126 ป.อ. มาตรา 80 และ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 ตามพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยได้ กรณีไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ตามที่จำเลยอ้างในฎีกาแต่อย่างใด
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1,000,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จ จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1,000,000 บาท ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 25 ปี และปรับ 500,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 25 ปี และปรับ 500,000 บาท รวมจำคุก 50 ปี และปรับ 1,000,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่ และถุงพลาสติกของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ประกอบมาตรา 100/2 ด้วย ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 40 ปี และปรับ 800,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 40 ปี และปรับ 800,000 บาท ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 20 ปี และปรับ 400,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 20 ปี และปรับ 400,000 บาท รวมจำคุก 40 ปี และปรับ 800,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดแล้ว
จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กำหนดโทษจำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงบทเดียว ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ให้ลงโทษฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนบทเดียว จำคุก 40 ปี และปรับ 800,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 20 ปี และปรับ 400,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิได้รับการกำหนดโทษใหม่ในความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสาม, 100/2 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 และพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) หรือไม่ เห็นว่า ในปัญหาดังกล่าวข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 4,018 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 70.823 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว 1,996 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 35.180 กรัม ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา 140,000 บาท ทั้งจำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 40 ปี และปรับ 800,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 40 ปี และปรับ 800,000 บาท ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 20 ปี และปรับ 400,000 บาท รวมจำคุก 40 ปี และปรับ 800,000 บาท ในระหว่างที่จำเลยกำลังรับโทษตามคำพิพากษาซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วนั้น ได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน ซึ่งตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันคือการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดซึ่งแยกเป็นคนละฐานความผิด ต้องลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 เพียงบทเดียว ส่วนการที่จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต่อเจ้าพนักงานตำรวจนั้น ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 153 ยังคงบัญญัติให้อำนาจศาลลงโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งดังกล่าวน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้ ทำนองเดียวกับพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 แต่กฎหมายใหม่กำหนดหลักเกณฑ์ให้โจทก์ต้องระบุในคำฟ้องหรือยื่นคำร้องต่อศาล หรือมิฉะนั้นผู้กระทำความผิดต้องยื่นคำร้องต่อศาล ศาลจึงจะใช้ดุลพินิจกำหนดโทษน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นได้ ดังนั้น กฎหมายใหม่จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลย ต้องบังคับตามกฎหมายเดิมซึ่งใช้ในขณะกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคแรก ส่วนการกระทำความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 126 ยังคงบัญญัติให้ระวางโทษผู้พยายามกระทำความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จทำนองเดียวกับพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 แต่เมื่อลงโทษจำเลยตามกฎหมายใหม่ มาตรา 90, 145 ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยแล้ว จึงต้องบังคับตามกฎหมายใหม่ มาตรา 126 ด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวน 4,018 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 70.823 กรัม และจำเลยพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว 1,996 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 35.180 กรัม ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ โดยเจ้าพนักงานตำรวจสืบสวนทราบการกระทำความผิดของจำเลยมาจากผู้ต้องหาคดียาเสพติดให้โทษที่เคยซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลย จึงวางแผนล่อซื้อและจับกุมจำเลยได้พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนของกลาง พฤติการณ์แห่งคดีจึงบ่งชี้ถึงการกระทำของจำเลยว่า จำเลยมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน และหากมีการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางออกไปย่อมทำให้เกิดการแพร่กระจายไปยังผู้เสพหลายคนโดยสภาพเข้าลักษณะเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) มิใช่เป็นเพียงความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ตามที่จำเลยยกขึ้นฎีกา ทั้งยังรับฟังไม่ได้ว่าเป็นการทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสาม (2) ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เช่นนี้ เมื่อประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสองล้านบาท และการมีเมทแอมเฟตามีนในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นความผิดตามกฎหมายใหม่ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงบทเดียวดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การที่จำเลยพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 1,996 เม็ด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 4,018 เม็ด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวลงโทษได้เพียงกระทงเดียว โทษที่กำหนดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังทั้งในเรื่องการกำหนดโทษและจำนวนกระทงลงโทษ ศาลย่อมมีอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่จะกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (2) ประกอบมาตรา 126 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 ตามพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยได้ กรณีไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ตามที่จำเลยอ้างในฎีกาแต่อย่างใด ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยนอกนี้ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องของจำเลยมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้กำหนดโทษจำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (2) ประกอบมาตรา 126 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) โดยให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงกระทงเดียว จำคุก 16 ปี และปรับ 800,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี และปรับ 400,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี.
การที่จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยที่ 2 เป็นการชำระหนี้ผ่านธนาคารที่จำเลยที่ 2 มีบัญชีเงินฝากเพื่อให้จำเลยที่ 2 ได้รับเงินที่ชำระหนี้โดยมิได้ทำนิติกรรมโดยตรงต่อจำเลยที่ 2 ถือเป็นการชำระอย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องนำเงินจำนวน 1,850,000 บาท ไปชำระหนี้แก่จำเลยที่ 2 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 เมื่อปรากฏว่าต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ทยอยถอนเงินที่จำเลยที่ 1 นำฝากออกจากบัญชีเงินฝากธนาคารโดยมิได้คืนให้จำเลยที่ 1 มีผลเท่ากับจำเลยที่ 2 ยอมรับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ด้วยวิธีการชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว หนี้ที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระแก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมย่อมระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 2 มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิขอให้บังคับคดีให้จำเลยที่ 1 และบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 592 ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ระหว่างพิจารณาโจทก์กับจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความ มีใจความว่า ข้อ 1. จำเลยที่ 2 ตกลงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 592 พร้อมสิ่งปลูกสร้างตึกแถวสามชั้นให้แก่จำเลยที่ 1 ภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2562 ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร ข้อ 2. จำเลยที่ 1 ตกลงชำระเงินจำนวน 1,850,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 ภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2562 โดยชำระ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ข้อ 3. หากจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระเงินให้แก่จำเลยที่ 2 ตามข้อตกลง จำเลยที่ 1 ยินยอมออกจากบ้านและที่ดินโฉนดเลขที่ 592 พร้อมยินยอมเสียค่าปรับให้แก่จำเลยที่ 2 จำนวน 1,000,000 บาท หากจำเลยที่ 2 ผิดสัญญาไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำคำพิพากษาตามยอมไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 ต่อมาวันที่ 3 ตุลาคม 2562 ทนายจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีอ้างว่าจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีฉบับลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 1 สามารถใช้ตึกแถวพิพาทเปิดร้านจำหน่ายสินค้าของตนได้ตามปกติ
โจทก์ไม่ยื่นคำคัดค้าน
จำเลยที่ 2 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้องขอของจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นให้เพิกถอนหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 1 ตกลงชำระเงิน 1,850,000 บาท แก่จำเลยที่ 2 ภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2562 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2562 จำเลยที่ 1 โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคาร ก. ของจำเลยที่ 2 จำนวน 1,850,000 บาท ต่อมาวันที่ 3 ตุลาคม 2562 ทนายจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีโดยอ้างว่า จำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 ครั้นวันที่ 21 มกราคม 2563 ผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่ 2 นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดประกาศให้ผู้ที่อ้างว่ามิใช่บริวารของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันปิดประกาศ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่ 2 แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าจำเลยที่ 1 และบริวารยังคงอาศัยอยู่ในสถานที่พิพาท วันที่ 18 เมษายน 2563 เจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยที่ 1 และบริวาร วันที่ 26 พฤษภาคม 2563 ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยที่ 1 และบริวาร
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า มีเหตุให้เพิกถอนหมายบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า เงินที่จำเลยที่ 1 โอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยที่ 2 จำนวน 1,850,000 บาท ตรงกับจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระให้แก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และการโอนกระทำเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2562 สอดคล้องกำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยที่ 1 ต้องชำระหนี้จำนวนดังกล่าวภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2562 ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินค่าไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 13792 พร้อมบ้านพักเป็นเงินประมาณ 1,680,000 บาท ส่วนที่เกินเป็นค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการโอนนั้น จำเลยที่ 2 คงนำสืบแต่เพียงว่าในการตกลงซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 13792 พร้อมบ้านพัก ระหว่างนายสมคิดกับจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 ตกลงโอนเงินเฉพาะค่าไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 13792 และบ้านพักให้แก่นายสมคิดนำไปดำเนินการไถ่ถอน โดยนายสมคิดได้แจ้งยอดเงินที่เป็นค่าไถ่ถอนจำนองจำนวน 1,680,000 บาทเศษ แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่ปรากฏว่ามีการตกลงให้จำเลยที่ 1 โอนค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมการโอนที่ดินและบ้านพักด้วย การที่จำเลยที่ 1 โอนเงินให้แก่นายสมคิดเป็นเงินถึง 1,850,000 บาท เป็นจำนวนมากกว่าภาระหนี้จำนองถึงประมาณ 170,000 บาท ทั้งที่ไม่มีการตกลงกันมาก่อนนับว่าเป็นเรื่องผิดปกติ ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าภายหลังโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 1 ได้แจ้งแก่นายสมคิดว่าจำเลยที่ 1 โอนเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินค่าไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 13792 และบ้านพัก เป็นเงิน 1,684,919.69 บาท ที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมการโอนที่ดิน เป็นข้อต่อสู้ที่เลื่อนลอยไม่สมเหตุผลเพราะขณะนั้นยังไม่มีการคิดคำนวณว่ามีค่าภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 13792 และบ้านพักเป็นเงินเท่าใด จึงยังเป็นจำนวนไม่แน่นอน ที่จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า เหตุที่จำเลยที่ 1 โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 นั้น เพราะจำหมายเลขบัญชีเงินฝากของนายสมคิดที่ให้ไว้ไม่ได้ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงข้อพิรุธเพราะปัจจุบันการติดต่อสื่อสารเพื่อสอบถามนายสมคิดถึงหมายเลขบัญชีเงินฝากสามารถกระทำได้โดยง่ายซึ่งมีการติดต่อทางโทรศัพท์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายสมคิดกันอยู่แล้ว ทั้งไม่ปรากฏมีข้อตกลงให้จำเลยที่ 1 ต้องโอนเงินค่าไถ่ถอนจำนองให้แก่นายสมคิดภายในวันดังกล่าวมิฉะนั้นจะถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 13792 พร้อมบ้านพัก จึงมิใช่เรื่องเร่งด่วนที่จำเลยที่ 1 ต้องโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 แตกต่างจากการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งเหลือกำหนดเวลาชำระอีกเพียงวันเดียวเท่านั้น คือวันที่ 10 สิงหาคม 2562 มิฉะนั้นจำเลยที่ 1 ต้องถูกบังคับคดีให้ออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท จึงมีความจำเป็นและเร่งด่วนมากกว่า พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 มีเหตุผลและน้ำหนักน่าเชื่อกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 โอนเงินจำนวน 1,850,000 บาท เพื่อชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม ปัญหาว่าการที่จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่จำเลยที่ 2 โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยที่ 2 อันเป็นวิธีการชำระหนี้ที่แตกต่างจากที่ระบุในสัญญาประนีประนอมยอมความว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่จำเลยที่ 2 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ถือเป็นการชำระหนี้แก่จำเลยที่ 2 โดยชอบหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคหนึ่ง ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ หนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป การที่จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยที่ 2 เป็นการชำระหนี้ผ่านธนาคารที่จำเลยที่ 2 มีบัญชีเงินฝากเพื่อให้จำเลยที่ 2 ได้รับเงินที่ชำระหนี้โดยมิได้ทำนิติกรรมโดยตรงต่อจำเลยที่ 2 ถือเป็นการชำระอย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องนำเงินจำนวน 1,850,000 บาท ไปชำระหนี้แก่จำเลยที่ 2 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 เมื่อปรากฏว่าต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ทยอยถอนเงินที่จำเลยที่ 1 นำฝากออกจากบัญชีเงินฝากธนาคารโดยมิได้คืนให้จำเลยที่ 1 มีผลเท่ากับจำเลยที่ 2 ยอมรับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ด้วยวิธีการชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว หนี้ที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระแก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมย่อมระงับสิ้นไปตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว จำเลยที่ 2 มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิขอให้บังคับคดีให้จำเลยที่ 1 และบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนหมายบังคับคดีที่บังคับแก่จำเลยที่ 1 และบริวารจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การที่จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยที่ 2 เป็นการชำระหนี้ผ่านธนาคารที่จำเลยที่ 2 มีบัญชีเงินฝากเพื่อให้จำเลยที่ 2 ได้รับเงินที่ชำระหนี้โดยมิได้ทำนิติกรรมโดยตรงต่อจำเลยที่ 2 ถือเป็นการชำระอย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องนำเงินจำนวน 1,850,000 บาท ไปชำระหนี้แก่จำเลยที่ 2 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 เมื่อปรากฏว่าต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ทยอยถอนเงินที่จำเลยที่ 1 นำฝากออกจากบัญชีเงินฝากธนาคารโดยมิได้คืนให้จำเลยที่ 1 มีผลเท่ากับจำเลยที่ 2 ยอมรับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ด้วยวิธีการชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว หนี้ที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระแก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมย่อมระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 2 มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิขอให้บังคับคดีให้จำเลยที่ 1 และบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 592 ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ระหว่างพิจารณาโจทก์กับจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความ มีใจความว่า ข้อ 1. จำเลยที่ 2 ตกลงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 592 พร้อมสิ่งปลูกสร้างตึกแถวสามชั้นให้แก่จำเลยที่ 1 ภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2562 ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร ข้อ 2. จำเลยที่ 1 ตกลงชำระเงินจำนวน 1,850,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 ภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2562 โดยชำระ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ข้อ 3. หากจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระเงินให้แก่จำเลยที่ 2 ตามข้อตกลง จำเลยที่ 1 ยินยอมออกจากบ้านและที่ดินโฉนดเลขที่ 592 พร้อมยินยอมเสียค่าปรับให้แก่จำเลยที่ 2 จำนวน 1,000,000 บาท หากจำเลยที่ 2 ผิดสัญญาไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำคำพิพากษาตามยอมไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 ต่อมาวันที่ 3 ตุลาคม 2562 ทนายจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีอ้างว่าจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีฉบับลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 1 สามารถใช้ตึกแถวพิพาทเปิดร้านจำหน่ายสินค้าของตนได้ตามปกติ
โจทก์ไม่ยื่นคำคัดค้าน
จำเลยที่ 2 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้องขอของจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นให้เพิกถอนหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 1 ตกลงชำระเงิน 1,850,000 บาท แก่จำเลยที่ 2 ภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2562 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2562 จำเลยที่ 1 โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคาร ก. ของจำเลยที่ 2 จำนวน 1,850,000 บาท ต่อมาวันที่ 3 ตุลาคม 2562 ทนายจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีโดยอ้างว่า จำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 ครั้นวันที่ 21 มกราคม 2563 ผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่ 2 นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดประกาศให้ผู้ที่อ้างว่ามิใช่บริวารของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันปิดประกาศ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่ 2 แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าจำเลยที่ 1 และบริวารยังคงอาศัยอยู่ในสถานที่พิพาท วันที่ 18 เมษายน 2563 เจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยที่ 1 และบริวาร วันที่ 26 พฤษภาคม 2563 ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยที่ 1 และบริวาร
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า มีเหตุให้เพิกถอนหมายบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า เงินที่จำเลยที่ 1 โอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยที่ 2 จำนวน 1,850,000 บาท ตรงกับจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระให้แก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และการโอนกระทำเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2562 สอดคล้องกำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยที่ 1 ต้องชำระหนี้จำนวนดังกล่าวภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2562 ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินค่าไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 13792 พร้อมบ้านพักเป็นเงินประมาณ 1,680,000 บาท ส่วนที่เกินเป็นค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการโอนนั้น จำเลยที่ 2 คงนำสืบแต่เพียงว่าในการตกลงซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 13792 พร้อมบ้านพัก ระหว่างนายสมคิดกับจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 ตกลงโอนเงินเฉพาะค่าไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 13792 และบ้านพักให้แก่นายสมคิดนำไปดำเนินการไถ่ถอน โดยนายสมคิดได้แจ้งยอดเงินที่เป็นค่าไถ่ถอนจำนองจำนวน 1,680,000 บาทเศษ แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่ปรากฏว่ามีการตกลงให้จำเลยที่ 1 โอนค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมการโอนที่ดินและบ้านพักด้วย การที่จำเลยที่ 1 โอนเงินให้แก่นายสมคิดเป็นเงินถึง 1,850,000 บาท เป็นจำนวนมากกว่าภาระหนี้จำนองถึงประมาณ 170,000 บาท ทั้งที่ไม่มีการตกลงกันมาก่อนนับว่าเป็นเรื่องผิดปกติ ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าภายหลังโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 1 ได้แจ้งแก่นายสมคิดว่าจำเลยที่ 1 โอนเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินค่าไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 13792 และบ้านพัก เป็นเงิน 1,684,919.69 บาท ที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมการโอนที่ดิน เป็นข้อต่อสู้ที่เลื่อนลอยไม่สมเหตุผลเพราะขณะนั้นยังไม่มีการคิดคำนวณว่ามีค่าภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 13792 และบ้านพักเป็นเงินเท่าใด จึงยังเป็นจำนวนไม่แน่นอน ที่จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า เหตุที่จำเลยที่ 1 โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 นั้น เพราะจำหมายเลขบัญชีเงินฝากของนายสมคิดที่ให้ไว้ไม่ได้ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงข้อพิรุธเพราะปัจจุบันการติดต่อสื่อสารเพื่อสอบถามนายสมคิดถึงหมายเลขบัญชีเงินฝากสามารถกระทำได้โดยง่ายซึ่งมีการติดต่อทางโทรศัพท์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายสมคิดกันอยู่แล้ว ทั้งไม่ปรากฏมีข้อตกลงให้จำเลยที่ 1 ต้องโอนเงินค่าไถ่ถอนจำนองให้แก่นายสมคิดภายในวันดังกล่าวมิฉะนั้นจะถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 13792 พร้อมบ้านพัก จึงมิใช่เรื่องเร่งด่วนที่จำเลยที่ 1 ต้องโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 แตกต่างจากการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งเหลือกำหนดเวลาชำระอีกเพียงวันเดียวเท่านั้น คือวันที่ 10 สิงหาคม 2562 มิฉะนั้นจำเลยที่ 1 ต้องถูกบังคับคดีให้ออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท จึงมีความจำเป็นและเร่งด่วนมากกว่า พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 มีเหตุผลและน้ำหนักน่าเชื่อกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 โอนเงินจำนวน 1,850,000 บาท เพื่อชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม ปัญหาว่าการที่จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่จำเลยที่ 2 โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยที่ 2 อันเป็นวิธีการชำระหนี้ที่แตกต่างจากที่ระบุในสัญญาประนีประนอมยอมความว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่จำเลยที่ 2 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ถือเป็นการชำระหนี้แก่จำเลยที่ 2 โดยชอบหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคหนึ่ง ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ หนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป การที่จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยที่ 2 เป็นการชำระหนี้ผ่านธนาคารที่จำเลยที่ 2 มีบัญชีเงินฝากเพื่อให้จำเลยที่ 2 ได้รับเงินที่ชำระหนี้โดยมิได้ทำนิติกรรมโดยตรงต่อจำเลยที่ 2 ถือเป็นการชำระอย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องนำเงินจำนวน 1,850,000 บาท ไปชำระหนี้แก่จำเลยที่ 2 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 เมื่อปรากฏว่าต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ทยอยถอนเงินที่จำเลยที่ 1 นำฝากออกจากบัญชีเงินฝากธนาคารโดยมิได้คืนให้จำเลยที่ 1 มีผลเท่ากับจำเลยที่ 2 ยอมรับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ด้วยวิธีการชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว หนี้ที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระแก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมย่อมระงับสิ้นไปตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว จำเลยที่ 2 มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิขอให้บังคับคดีให้จำเลยที่ 1 และบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนหมายบังคับคดีที่บังคับแก่จำเลยที่ 1 และบริวารจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองร่วมกันมียาแก้ไอซึ่งมีส่วนผสมของไดเฟนไฮดรามีนและคลอร์เฟนิรามีน มาลีเอต อันเป็นยาแผนปัจจุบันชนิดยาอันตรายจำพวกฮิสตามีนและแอนติฮิสตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายแก่บุคคลทั่วไป เพื่อประโยชน์ในทางการค้า โดยไม่ได้รับใบอนุญาต และไม่ได้รับการยกเว้นใด ๆ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และขอให้ยึดรถกระบะของกลางที่จำเลยทั้งสองใช้เป็นยานพาหนะไปรับและส่งยาแก้ไอให้แก่ลูกค้า เมื่อคดีมิได้มีการสืบพยานและข้อเท็จจริงตามฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ใช้รถกระบะของกลางไปรับและส่งยาแก้ไอของกลางในลักษณะอย่างไร ทั้งรถกระบะโดยสภาพแล้วก็เป็นยานพาหนะที่บุคคลทั่วไปใช้เป็นยานพาหนะสัญจรตามธรรมดาในชีวิตประจำวัน รถกระบะของกลางจึงมิได้เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ หรือยานพาหนะที่จำเลยสองได้ใช้ในการกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องโดยตรง จึงไม่อาจริบรถกระบะของกลาง ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) ได้ กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นอ้างและวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 4, 12, 76, 101, 126 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12 วรรคหนึ่ง, 101 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จําคุกคนละ 3 ปี จําเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจําคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 10 เดือน ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 5 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า กรณีมีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า ยาแก้ไอของกลางแม้จะเป็นยาแผนปัจจุบันชนิดยาอันตราย และมีจำนวนมากถึง 1,500 ขวด มีปริมาตรรวม 90 ลิตร แต่โดยสภาพมีคุณสมบัติหรือสรรพคุณใช้สำหรับบรรเทาอาการไอ ทั้งจำเลยทั้งสองได้ให้การรับสารภาพมาโดยตลอดตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา แสดงว่าจำเลยทั้งสองได้รู้สำนึกในการกระทำความผิดของตน ประกอบกับการต้องโทษจำคุกในระยะสั้น นอกจากจะไม่เกิดผลในการฟื้นฟูแก้ไขความประพฤติของจำเลยทั้งสองได้เท่าที่ควรแล้ว ยังทำให้จำเลยทั้งสองมีประวัติเสื่อมเสียและอาจได้รับผลกระทบในการประกอบสัมมาอาชีพโดยสุจริตหลังจากพ้นโทษ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยทั้งสองกลับตัวเป็นพลเมืองดี โดยรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสองและคุมความประพฤติจำเลยทั้งสองไว้ เพื่อให้พนักงานคุมประพฤติได้คอยช่วยเหลือสอดส่องดูแล แนะนำ หรือตักเตือน ซึ่งน่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยทั้งสองและสังคมมากกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสองมานั้น ยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม เพื่อให้จำเลยทั้งสองหลาบจำไม่กลับมากระทำความผิดในทำนองเดียวกันนี้อีก เห็นสมควรวางโทษปรับจำเลยทั้งสองอีกสถานหนึ่งด้วย
อนึ่ง โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองร่วมกันมียาแก้ไอ ซึ่งมีส่วนผสมของไดเฟนไฮดรามีนและคลอร์เฟนิรามีน มาลีเอต อันเป็นยาแผนปัจจุบันชนิดยาอันตรายจำพวกฮิสตามีนและแอนติฮิสตามีน ไว้ในครอบครองเพื่อขายแก่บุคคลทั่วไป เพื่อประโยชน์ในทางการค้าของจำเลยทั้งสอง โดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่ได้รับการยกเว้นใด ๆ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และขอให้ยึดรถกระบะของกลางที่จำเลยทั้งสองใช้เป็นยานพาหนะไปรับและส่งยาแก้ไอให้แก่ลูกค้า แต่เมื่อคดีนี้มิได้มีการสืบพยาน จึงต้องพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากคำฟ้องและคำให้การ เมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ใช้รถกระบะของกลางไปรับและส่งยาแก้ไอของกลางในลักษณะอย่างไร ทั้งรถกระบะโดยสภาพแล้วก็เป็นยานพาหนะที่บุคคลทั่วไปใช้เป็นยานพาหนะสัญจรตามธรรมดาในชีวิตประจำวัน รถกระบะของกลางจึงมิได้เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ หรือยานพาหนะที่จำเลยทั้งสองได้ใช้ในการกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องโดยตรง จึงไม่อาจริบรถกระบะของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) ได้ กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นอ้างและวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสองคนละ 5,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยทั้งสองคนละ 2,500 บาท เมื่อรวมกับโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 แล้ว เป็นจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 5 เดือน และปรับคนละ 2,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยทั้งสองฟัง และให้คุมความประพฤติจำเลยทั้งสองมีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยทั้งสองไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำขอที่ให้ริบรถกระบะของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองร่วมกันมียาแก้ไอซึ่งมีส่วนผสมของไดเฟนไฮดรามีนและคลอร์เฟนิรามีน มาลีเอต อันเป็นยาแผนปัจจุบันชนิดยาอันตรายจำพวกฮิสตามีนและแอนติฮิสตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายแก่บุคคลทั่วไป เพื่อประโยชน์ในทางการค้า โดยไม่ได้รับใบอนุญาต และไม่ได้รับการยกเว้นใด ๆ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และขอให้ยึดรถกระบะของกลางที่จำเลยทั้งสองใช้เป็นยานพาหนะไปรับและส่งยาแก้ไอให้แก่ลูกค้า เมื่อคดีมิได้มีการสืบพยานและข้อเท็จจริงตามฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ใช้รถกระบะของกลางไปรับและส่งยาแก้ไอของกลางในลักษณะอย่างไร ทั้งรถกระบะโดยสภาพแล้วก็เป็นยานพาหนะที่บุคคลทั่วไปใช้เป็นยานพาหนะสัญจรตามธรรมดาในชีวิตประจำวัน รถกระบะของกลางจึงมิได้เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ หรือยานพาหนะที่จำเลยสองได้ใช้ในการกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องโดยตรง จึงไม่อาจริบรถกระบะของกลาง ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) ได้ กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นอ้างและวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 4, 12, 76, 101, 126 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12 วรรคหนึ่ง, 101 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จําคุกคนละ 3 ปี จําเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจําคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 10 เดือน ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 5 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า กรณีมีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า ยาแก้ไอของกลางแม้จะเป็นยาแผนปัจจุบันชนิดยาอันตราย และมีจำนวนมากถึง 1,500 ขวด มีปริมาตรรวม 90 ลิตร แต่โดยสภาพมีคุณสมบัติหรือสรรพคุณใช้สำหรับบรรเทาอาการไอ ทั้งจำเลยทั้งสองได้ให้การรับสารภาพมาโดยตลอดตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา แสดงว่าจำเลยทั้งสองได้รู้สำนึกในการกระทำความผิดของตน ประกอบกับการต้องโทษจำคุกในระยะสั้น นอกจากจะไม่เกิดผลในการฟื้นฟูแก้ไขความประพฤติของจำเลยทั้งสองได้เท่าที่ควรแล้ว ยังทำให้จำเลยทั้งสองมีประวัติเสื่อมเสียและอาจได้รับผลกระทบในการประกอบสัมมาอาชีพโดยสุจริตหลังจากพ้นโทษ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยทั้งสองกลับตัวเป็นพลเมืองดี โดยรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสองและคุมความประพฤติจำเลยทั้งสองไว้ เพื่อให้พนักงานคุมประพฤติได้คอยช่วยเหลือสอดส่องดูแล แนะนำ หรือตักเตือน ซึ่งน่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยทั้งสองและสังคมมากกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสองมานั้น ยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม เพื่อให้จำเลยทั้งสองหลาบจำไม่กลับมากระทำความผิดในทำนองเดียวกันนี้อีก เห็นสมควรวางโทษปรับจำเลยทั้งสองอีกสถานหนึ่งด้วย
อนึ่ง โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองร่วมกันมียาแก้ไอ ซึ่งมีส่วนผสมของไดเฟนไฮดรามีนและคลอร์เฟนิรามีน มาลีเอต อันเป็นยาแผนปัจจุบันชนิดยาอันตรายจำพวกฮิสตามีนและแอนติฮิสตามีน ไว้ในครอบครองเพื่อขายแก่บุคคลทั่วไป เพื่อประโยชน์ในทางการค้าของจำเลยทั้งสอง โดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่ได้รับการยกเว้นใด ๆ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และขอให้ยึดรถกระบะของกลางที่จำเลยทั้งสองใช้เป็นยานพาหนะไปรับและส่งยาแก้ไอให้แก่ลูกค้า แต่เมื่อคดีนี้มิได้มีการสืบพยาน จึงต้องพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากคำฟ้องและคำให้การ เมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ใช้รถกระบะของกลางไปรับและส่งยาแก้ไอของกลางในลักษณะอย่างไร ทั้งรถกระบะโดยสภาพแล้วก็เป็นยานพาหนะที่บุคคลทั่วไปใช้เป็นยานพาหนะสัญจรตามธรรมดาในชีวิตประจำวัน รถกระบะของกลางจึงมิได้เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ หรือยานพาหนะที่จำเลยทั้งสองได้ใช้ในการกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องโดยตรง จึงไม่อาจริบรถกระบะของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) ได้ กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นอ้างและวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสองคนละ 5,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยทั้งสองคนละ 2,500 บาท เมื่อรวมกับโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 แล้ว เป็นจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 5 เดือน และปรับคนละ 2,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยทั้งสองฟัง และให้คุมความประพฤติจำเลยทั้งสองมีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยทั้งสองไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำขอที่ให้ริบรถกระบะของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสี่ จำคุก 25 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสอง จำคุก 3 ปี 6 เดือน เป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้วรรคของความผิดในบทมาตราเดียวกัน ไม่ถือเป็นการแก้บทความผิด แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะแก้โทษด้วยก็เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และคงให้จำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 277, 283 ทวิ, 317
จำเลยให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา นาง อ. ผู้เสียหายที่ 1 และเด็กหญิง ศ. ผู้เสียหายที่ 2 โดยผู้เสียหายที่ 1 มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม ยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ ผู้ร้องทั้งสองกับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงและฐานร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง คงจำคุก 25 ปี รวมจำคุก 27 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีและฐานร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 7 ปี ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว รวมทุกกระทงคงจำคุก 5 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่ จำคุก 25 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง จำคุก 3 ปี 6 เดือน เป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้วรรคของความผิดในบทมาตราเดียวกัน ไม่ถือเป็นการแก้บทความผิด แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะแก้โทษด้วยก็เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และคงให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 โดยจำเลยไม่ได้ร่วมสมคบกับพวกวางแผนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ในลักษณะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาตั้งแต่ต้นอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยร่วมกับพวกคบคิดกันกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง ฎีกาของโจทก์จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 6 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของโจทก์
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสี่ จำคุก 25 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสอง จำคุก 3 ปี 6 เดือน เป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้วรรคของความผิดในบทมาตราเดียวกัน ไม่ถือเป็นการแก้บทความผิด แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะแก้โทษด้วยก็เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และคงให้จำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 277, 283 ทวิ, 317
จำเลยให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา นาง อ. ผู้เสียหายที่ 1 และเด็กหญิง ศ. ผู้เสียหายที่ 2 โดยผู้เสียหายที่ 1 มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม ยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ ผู้ร้องทั้งสองกับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงและฐานร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง คงจำคุก 25 ปี รวมจำคุก 27 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีและฐานร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 7 ปี ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว รวมทุกกระทงคงจำคุก 5 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่ จำคุก 25 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง จำคุก 3 ปี 6 เดือน เป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้วรรคของความผิดในบทมาตราเดียวกัน ไม่ถือเป็นการแก้บทความผิด แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะแก้โทษด้วยก็เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และคงให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 โดยจำเลยไม่ได้ร่วมสมคบกับพวกวางแผนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ในลักษณะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาตั้งแต่ต้นอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยร่วมกับพวกคบคิดกันกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง ฎีกาของโจทก์จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 6 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของโจทก์
เหตุบกพร่องของสัญญาไม่ว่าจะเป็นการแสดงเจตนาลวงหรือกลฉ้อฉลของผู้คัดค้านอันนำไปสู่ข้ออ้างของผู้ร้องว่าเป็นการกระทำละเมิดของผู้คัดค้าน เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเนื้อหาและความสมบูรณ์ของสัญญาซื้อขาย จึงเป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับสัญญาโดยตรง อีกทั้งการยกเหตุดังกล่าวถือเป็นการโต้เถียงในเรื่องความมีอยู่ของสัญญา และการมีผลใช้บังคับของสัญญา ซึ่งอยู่ในอำนาจวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 การยื่นคำร้องคดีนี้จึงเป็นเรื่องสัญญา หาใช่มูลละเมิด และตามคำร้องดังกล่าวเป็นการตั้งสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับข้อโต้แย้งตามสัญญาซื้อขาย ซึ่งจะต้องดำเนินการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการตามข้อตกลงในสัญญา ผู้ร้องย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16 ทั้งผู้ร้องกล่าวอ้างมาในคำร้องดังกล่าวแล้วว่า ผู้คัดค้านมีพฤติการณ์ตั้งใจจะยักย้ายทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของตนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปให้พ้นจากอำนาจศาล หรือจะโอนขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อประวิงหรือขัดขวางต่อการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการซึ่งอาจจะออกบังคับเอาแก่ผู้คัดค้านหรือเพื่อจะทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ย่อมมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองตามที่ขอนั้นมาใช้ได้ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 255 (1) (ก) การที่ศาลชั้นต้นด่วนยกคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ไต่สวนให้ได้ความจริงว่าเป็นเช่นไรก่อน จึงเป็นการไม่ชอบ
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องขอให้มีคำสั่งอายัดเงินฝากในบัญชีที่มีชื่อบริษัทผู้คัดค้านเป็นเจ้าของบัญชี ตามบัญชีธนาคาร ก. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 009 – 1 – 47XXX - X บัญชีธนาคาร ท. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 149 – 3 – 01XXX – X บัญชีธนาคาร ก. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 024 – 1 – 39XXX – X บัญชีธนาคาร ท. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 149 – 2 – 45XXX - X บัญชีออมทรัพย์ธนาคาร ร. สาขาเทสโก้โลตัส สุขาภิบาล 1 เลขที่ 045 – 0 – 41XXX - X และเงินประกันตามสัญญาเช่าและสัญญาบริการในห้องเลขที่ 208 และ 209 อาคาร เอ็ม เอส สยามทาวเวอร์ เลขที่ 1023 ถนนพระราม 3 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ระหว่างบริษัท ท. กับผู้คัดค้านจำนวน 443,850 บาท ไว้ก่อนจนกว่าคณะอนุญาโตตุลาการจะได้มีคำชี้ขาด เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องก่อนหรือขณะดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16 หรือไม่ โดยผู้ร้องฎีกาว่า ข้อความตามสัญญาซื้อขายข้อ 7 ผู้ร้องและผู้คัดค้านมีเจตนาระงับข้อพิพาททั้งปวง โดยรวมถึงข้อพิพาททางแพ่งทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาททางสัญญาหรือละเมิดที่เกิดขึ้นจากหรือที่เกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขาย ถือเป็นสัญญาอนุญาโตตุลาการ ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้คัดค้านจงใจทำละเมิดต่อผู้ร้อง และผู้ร้องขอเรียกเงินมัดจำคืน แต่เหตุแห่งละเมิดสืบเนื่องมาจากที่ผู้ร้องถูกผู้คัดค้านหลอกลวงให้เข้าทำสัญญาซื้อขายโดยผู้คัดค้านไม่มีเจตนาก่อนิติสัมพันธ์ให้มีผลผูกพันตามสัญญาซื้อขายหรือส่งมอบสินค้าแก่ผู้ร้อง เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินมัดจำ 66,600,000 บาท เป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขายและเป็นข้อพิพาทที่ต้องระงับโดยวิธีอนุญาโตตุลาการนั้น เห็นว่า สัญญาซื้อขายข้อ 7 คู่สัญญาตกลงให้ระงับข้อพิพาท การโต้เถียง หรือการเรียกร้องสิทธิใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวข้องกับข้อตกลงนี้ รวมถึงความถูกต้อง ความไม่ถูกต้อง การฝ่าฝืน หรือการเลิกสัญญาดังกล่าว จะต้องได้รับการแก้หรือระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ จึงเป็นสัญญาอนุญาโตตุลาการตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้คัดค้านกับพวกร่วมกันกระทำละเมิดต่อผู้ร้องด้วยการหลอกลวงผู้ร้องโดยทุจริต ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่า ผู้คัดค้านมีถุงมือชนิดไนไตร ยี่ห้อ M. จำนวน 1,000,000 กล่อง ตามมาตรฐานคุณสมบัติที่ผู้ร้องต้องการและสามารถส่งมอบสินค้าให้ผู้ร้องได้ภายในกำหนด โดยไม่มีเจตนาที่จะผูกพันตามสัญญาหรือส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ร้องแต่อย่างใด ทั้งผู้คัดค้านไม่มีความสามารถที่จะชำระหนี้ด้วยการส่งมอบถุงมือไนไตรตามคุณสมบัติและจำนวนที่ระบุในสัญญาได้อย่างแน่นอน เพียงแต่อาศัยการหลอกลวงผู้ร้องให้ทำสัญญาซื้อขายเพื่อเป็นช่องทางที่จะได้รับเงินมัดจำจำนวนร้อยละ 30 ของราคาสินค้าทั้งหมด คิดเป็นจำนวนเงิน 66,600,000 บาท และเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2563 ผู้ร้องสั่งให้ E. Company โอนเงินของผู้ร้องเพื่อชำระมัดจำค่าถุงมือ 66,600,000 บาท ตามสัญญา เข้าบัญชีของผู้คัดค้านที่ธนาคาร ก. สาขาถนนนวลจันทร์ ต่อมาผู้คัดค้านกับพวกได้ร่วมกันยักย้ายเงินดังกล่าวโดยวิธีการถอนเงินสดออกจากบัญชี โอนเงินเข้าบัญชีบุคคลอื่น หรือจะโอนทรัพย์สินเพื่อประวิงหรือขัดขวางการบังคับตามคำบังคับเอาแก่ผู้คัดค้าน เพื่อทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบและมิให้ผู้ร้องสามารถติดตามเอาทรัพย์คืนนั้น เห็นว่า เหตุบกพร่องของสัญญาในกรณีที่ผู้ร้องอ้างไม่ว่าจะเป็นการแสดงเจตนาลวงหรือกลฉ้อฉลของผู้คัดค้านอันนำไปสู่ข้ออ้างของผู้ร้องว่าเป็นการกระทำละเมิดของผู้คัดค้าน เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเนื้อหาและความสมบูรณ์ของสัญญาซื้อขาย จึงเป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับสัญญาโดยตรง อีกทั้งการยกเหตุดังกล่าวถือเป็นการโต้เถียงในเรื่องความมีอยู่ของสัญญา และการมีผลใช้บังคับของสัญญา ซึ่งอยู่ในอำนาจวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 การยื่นคำร้องคดีนี้จึงเป็นเรื่องสัญญา หาใช่มูลละเมิดดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างไม่ และตามคำร้องดังกล่าวเป็นการตั้งสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับข้อโต้แย้งตามสัญญาซื้อขายซึ่งจะต้องดำเนินการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการตามข้อตกลงในสัญญา ผู้ร้องย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16 ทั้งผู้ร้องกล่าวอ้างมาในคำร้องดังกล่าวแล้วว่า ผู้คัดค้านมีพฤติการณ์ตั้งใจจะยักย้ายทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของตนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปให้พ้นจากอำนาจศาล หรือจะโอนขายหรือจำหน่ายทรัพยสินดังกล่าวเพื่อประวิงหรือขัดขวางต่อการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งอาจจะออกบังคับเอาแก่ผู้คัดค้านหรือเพื่อจะทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ย่อมมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองตามที่ขอนั้นมาใช้ได้ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255 (1) (ก) การที่ศาลชั้นต้นด่วนยกคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ไต่สวนให้ได้ความจริงว่าเป็นเช่นไรก่อน จึงเป็นการไม่ชอบ ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของผู้ร้องไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่เป็นเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำพิพากษา
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งใหม่
เหตุบกพร่องของสัญญาไม่ว่าจะเป็นการแสดงเจตนาลวงหรือกลฉ้อฉลของผู้คัดค้านอันนำไปสู่ข้ออ้างของผู้ร้องว่าเป็นการกระทำละเมิดของผู้คัดค้าน เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเนื้อหาและความสมบูรณ์ของสัญญาซื้อขาย จึงเป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับสัญญาโดยตรง อีกทั้งการยกเหตุดังกล่าวถือเป็นการโต้เถียงในเรื่องความมีอยู่ของสัญญา และการมีผลใช้บังคับของสัญญา ซึ่งอยู่ในอำนาจวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 การยื่นคำร้องคดีนี้จึงเป็นเรื่องสัญญา หาใช่มูลละเมิด และตามคำร้องดังกล่าวเป็นการตั้งสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับข้อโต้แย้งตามสัญญาซื้อขาย ซึ่งจะต้องดำเนินการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการตามข้อตกลงในสัญญา ผู้ร้องย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16 ทั้งผู้ร้องกล่าวอ้างมาในคำร้องดังกล่าวแล้วว่า ผู้คัดค้านมีพฤติการณ์ตั้งใจจะยักย้ายทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของตนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปให้พ้นจากอำนาจศาล หรือจะโอนขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อประวิงหรือขัดขวางต่อการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการซึ่งอาจจะออกบังคับเอาแก่ผู้คัดค้านหรือเพื่อจะทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ย่อมมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองตามที่ขอนั้นมาใช้ได้ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 255 (1) (ก) การที่ศาลชั้นต้นด่วนยกคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ไต่สวนให้ได้ความจริงว่าเป็นเช่นไรก่อน จึงเป็นการไม่ชอบ
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องขอให้มีคำสั่งอายัดเงินฝากในบัญชีที่มีชื่อบริษัทผู้คัดค้านเป็นเจ้าของบัญชี ตามบัญชีธนาคาร ก. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 009 – 1 – 47XXX - X บัญชีธนาคาร ท. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 149 – 3 – 01XXX – X บัญชีธนาคาร ก. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 024 – 1 – 39XXX – X บัญชีธนาคาร ท. สาขาถนนนวลจันทร์ เลขที่ 149 – 2 – 45XXX - X บัญชีออมทรัพย์ธนาคาร ร. สาขาเทสโก้โลตัส สุขาภิบาล 1 เลขที่ 045 – 0 – 41XXX - X และเงินประกันตามสัญญาเช่าและสัญญาบริการในห้องเลขที่ 208 และ 209 อาคาร เอ็ม เอส สยามทาวเวอร์ เลขที่ 1023 ถนนพระราม 3 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ระหว่างบริษัท ท. กับผู้คัดค้านจำนวน 443,850 บาท ไว้ก่อนจนกว่าคณะอนุญาโตตุลาการจะได้มีคำชี้ขาด เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องก่อนหรือขณะดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16 หรือไม่ โดยผู้ร้องฎีกาว่า ข้อความตามสัญญาซื้อขายข้อ 7 ผู้ร้องและผู้คัดค้านมีเจตนาระงับข้อพิพาททั้งปวง โดยรวมถึงข้อพิพาททางแพ่งทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาททางสัญญาหรือละเมิดที่เกิดขึ้นจากหรือที่เกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขาย ถือเป็นสัญญาอนุญาโตตุลาการ ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้คัดค้านจงใจทำละเมิดต่อผู้ร้อง และผู้ร้องขอเรียกเงินมัดจำคืน แต่เหตุแห่งละเมิดสืบเนื่องมาจากที่ผู้ร้องถูกผู้คัดค้านหลอกลวงให้เข้าทำสัญญาซื้อขายโดยผู้คัดค้านไม่มีเจตนาก่อนิติสัมพันธ์ให้มีผลผูกพันตามสัญญาซื้อขายหรือส่งมอบสินค้าแก่ผู้ร้อง เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินมัดจำ 66,600,000 บาท เป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขายและเป็นข้อพิพาทที่ต้องระงับโดยวิธีอนุญาโตตุลาการนั้น เห็นว่า สัญญาซื้อขายข้อ 7 คู่สัญญาตกลงให้ระงับข้อพิพาท การโต้เถียง หรือการเรียกร้องสิทธิใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวข้องกับข้อตกลงนี้ รวมถึงความถูกต้อง ความไม่ถูกต้อง การฝ่าฝืน หรือการเลิกสัญญาดังกล่าว จะต้องได้รับการแก้หรือระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ จึงเป็นสัญญาอนุญาโตตุลาการตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้คัดค้านกับพวกร่วมกันกระทำละเมิดต่อผู้ร้องด้วยการหลอกลวงผู้ร้องโดยทุจริต ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่า ผู้คัดค้านมีถุงมือชนิดไนไตร ยี่ห้อ M. จำนวน 1,000,000 กล่อง ตามมาตรฐานคุณสมบัติที่ผู้ร้องต้องการและสามารถส่งมอบสินค้าให้ผู้ร้องได้ภายในกำหนด โดยไม่มีเจตนาที่จะผูกพันตามสัญญาหรือส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ร้องแต่อย่างใด ทั้งผู้คัดค้านไม่มีความสามารถที่จะชำระหนี้ด้วยการส่งมอบถุงมือไนไตรตามคุณสมบัติและจำนวนที่ระบุในสัญญาได้อย่างแน่นอน เพียงแต่อาศัยการหลอกลวงผู้ร้องให้ทำสัญญาซื้อขายเพื่อเป็นช่องทางที่จะได้รับเงินมัดจำจำนวนร้อยละ 30 ของราคาสินค้าทั้งหมด คิดเป็นจำนวนเงิน 66,600,000 บาท และเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2563 ผู้ร้องสั่งให้ E. Company โอนเงินของผู้ร้องเพื่อชำระมัดจำค่าถุงมือ 66,600,000 บาท ตามสัญญา เข้าบัญชีของผู้คัดค้านที่ธนาคาร ก. สาขาถนนนวลจันทร์ ต่อมาผู้คัดค้านกับพวกได้ร่วมกันยักย้ายเงินดังกล่าวโดยวิธีการถอนเงินสดออกจากบัญชี โอนเงินเข้าบัญชีบุคคลอื่น หรือจะโอนทรัพย์สินเพื่อประวิงหรือขัดขวางการบังคับตามคำบังคับเอาแก่ผู้คัดค้าน เพื่อทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบและมิให้ผู้ร้องสามารถติดตามเอาทรัพย์คืนนั้น เห็นว่า เหตุบกพร่องของสัญญาในกรณีที่ผู้ร้องอ้างไม่ว่าจะเป็นการแสดงเจตนาลวงหรือกลฉ้อฉลของผู้คัดค้านอันนำไปสู่ข้ออ้างของผู้ร้องว่าเป็นการกระทำละเมิดของผู้คัดค้าน เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเนื้อหาและความสมบูรณ์ของสัญญาซื้อขาย จึงเป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับสัญญาโดยตรง อีกทั้งการยกเหตุดังกล่าวถือเป็นการโต้เถียงในเรื่องความมีอยู่ของสัญญา และการมีผลใช้บังคับของสัญญา ซึ่งอยู่ในอำนาจวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 การยื่นคำร้องคดีนี้จึงเป็นเรื่องสัญญา หาใช่มูลละเมิดดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างไม่ และตามคำร้องดังกล่าวเป็นการตั้งสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับข้อโต้แย้งตามสัญญาซื้อขายซึ่งจะต้องดำเนินการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการตามข้อตกลงในสัญญา ผู้ร้องย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16 ทั้งผู้ร้องกล่าวอ้างมาในคำร้องดังกล่าวแล้วว่า ผู้คัดค้านมีพฤติการณ์ตั้งใจจะยักย้ายทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของตนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปให้พ้นจากอำนาจศาล หรือจะโอนขายหรือจำหน่ายทรัพยสินดังกล่าวเพื่อประวิงหรือขัดขวางต่อการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งอาจจะออกบังคับเอาแก่ผู้คัดค้านหรือเพื่อจะทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ย่อมมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองตามที่ขอนั้นมาใช้ได้ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255 (1) (ก) การที่ศาลชั้นต้นด่วนยกคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ไต่สวนให้ได้ความจริงว่าเป็นเช่นไรก่อน จึงเป็นการไม่ชอบ ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของผู้ร้องไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่เป็นเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำพิพากษา
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งใหม่
ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันซึ่งปรากฏในคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้ว การที่ผู้ร้องมิได้ระบุโฉนดที่ดินเลขที่ 18874 เป็นหลักฐานประกอบไว้ในบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ก็จะฟังว่า ผู้ร้องไม่ประสงค์ที่จะขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันเสียทีเดียวหาได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอและ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 97 มิได้กำหนดระยะเวลาในการขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ไว้ ผู้ร้องจึงชอบที่จะขออนุญาตแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้จากการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันเป็นการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันได้
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2553 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2554
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแก้ไขคำขอรับชำระหนี้ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องแก้ไขคำขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันโดยขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 18874 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์พร้อมอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำสั่งศาลล้มละลายกลางชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง จึงไม่อนุญาตให้ผู้ร้องอุทธรณ์ ให้ยกคำร้องและไม่รับอุทธรณ์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังยุติได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันแต่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.22/2551 ในฐานะเจ้าหนี้ไม่มีประกันจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94 ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอแก้ไขคำขอรับชำระหนี้จากเจ้าหนี้ไม่มีประกันเป็นเจ้าหนี้มีประกัน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 97 บัญญัติว่า “ถ้าเจ้าหนี้มีประกันขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกัน เจ้าหนี้นั้นต้องคืนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และสิทธิเหนือทรัพย์นั้นเป็นอันระงับ เว้นแต่เจ้าหนี้นั้นจะแสดงต่อศาลได้ว่า การละเว้นนั้นเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอในกรณีเช่นนี้ศาลอาจอนุญาตให้แก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้ โดยกำหนดให้คืนส่วนแบ่งหรือกำหนดอย่างอื่นตามที่เห็นสมควรก็ได้” โดยมาตรา 97 มิได้กำหนดระยะเวลาในการขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ไว้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ได้ไม่ว่าระยะเวลาใด ๆ แม้ว่าจะพ้นกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 91 แล้วก็ตาม ส่วนปัญหาว่า ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อผู้คัดค้านตามคำขอรับชำระหนี้และบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน โดยระบุในคำขอรับชำระหนี้ว่าเป็นหนี้ตามคำพิพากษา ส่วนบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันก็ระบุว่า เป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.22/2551 ระหว่างผู้ร้องเป็นโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 คดีนี้เป็นจำเลย มีหลักฐานประกอบหนี้เป็นคำพิพากษาตามยอม และสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ซึ่งจะนำส่งต้นฉบับหลักฐานในชั้นสอบสวน เมื่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 4 ระบุว่า หากจำเลยทั้งสอง (คือจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีนี้) ผิดนัดไม่ชำระหนี้ไม่ว่างวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดในหนี้ทั้งหมด จำเลยทั้งสองยอมรับผิดชำระหนี้เต็มตามฟ้อง ให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดียึดทรัพย์จำนองห้องชุดเลขที่ 735/372 ชั้นที่ 29 อาคารเลขที่ 1 ชื่ออาคารชุดคอนโด ท. ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 1/2539 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 28741 และที่ดินโฉนดเลขที่ 18874 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด หากขายได้ไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันจึงปรากฏในคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้ว การที่ผู้ร้องมิได้ระบุโฉนดที่ดินเลขที่ 18874 เป็นหลักฐานประกอบไว้ในบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ก็จะฟังว่า ผู้ร้องไม่ประสงค์ที่จะขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันเสียทีเดียวหาได้ไม่ ทั้งตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของนายภานุ ลูกจ้างและทนายผู้ร้องให้ถ้อยคำไว้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกัน แต่พลั้งเผลอยื่นคำขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันเนื่องจากเข้าใจว่าได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันในคดีของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้ว ผู้ร้องมิได้มีเจตนาขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกัน เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่าผู้ร้องปกปิดหลักประกันเพื่อเอาเปรียบเจ้าหนี้อื่น ทั้งผู้คัดค้านมิได้นำสืบพยานหลักฐานเพื่อหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่นเพียงแต่กล่าวอ้างลอย ๆ ว่า ผู้ร้องไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยของสถาบันการเงินที่จะพึงมีเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่ผู้ร้องนำสืบว่า การที่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอ ผู้ร้องชอบที่จะขออนุญาตแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 97 ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ยกคำร้องของผู้ร้องชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง จึงไม่อนุญาตให้ผู้ร้องอุทธรณ์ ให้ยกคำร้องและไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาโดยได้มีการสืบพยานของคู่ความในศาลล้มละลายกลางเสร็จสิ้นแล้ว ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาใหม่ และเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่วินิจฉัยข้างต้นว่า ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอและพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 97 มิได้กำหนดระยะเวลาในการขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ไว้ ผู้ร้องจึงชอบที่จะขออนุญาตแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้จากการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันเป็นการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันได้
พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้ได้ตามคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันซึ่งปรากฏในคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้ว การที่ผู้ร้องมิได้ระบุโฉนดที่ดินเลขที่ 18874 เป็นหลักฐานประกอบไว้ในบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ก็จะฟังว่า ผู้ร้องไม่ประสงค์ที่จะขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันเสียทีเดียวหาได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอและ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 97 มิได้กำหนดระยะเวลาในการขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ไว้ ผู้ร้องจึงชอบที่จะขออนุญาตแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้จากการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันเป็นการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันได้
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2553 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2554
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแก้ไขคำขอรับชำระหนี้ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องแก้ไขคำขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันโดยขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 18874 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์พร้อมอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำสั่งศาลล้มละลายกลางชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง จึงไม่อนุญาตให้ผู้ร้องอุทธรณ์ ให้ยกคำร้องและไม่รับอุทธรณ์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังยุติได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันแต่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.22/2551 ในฐานะเจ้าหนี้ไม่มีประกันจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94 ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอแก้ไขคำขอรับชำระหนี้จากเจ้าหนี้ไม่มีประกันเป็นเจ้าหนี้มีประกัน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 97 บัญญัติว่า “ถ้าเจ้าหนี้มีประกันขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกัน เจ้าหนี้นั้นต้องคืนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และสิทธิเหนือทรัพย์นั้นเป็นอันระงับ เว้นแต่เจ้าหนี้นั้นจะแสดงต่อศาลได้ว่า การละเว้นนั้นเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอในกรณีเช่นนี้ศาลอาจอนุญาตให้แก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้ โดยกำหนดให้คืนส่วนแบ่งหรือกำหนดอย่างอื่นตามที่เห็นสมควรก็ได้” โดยมาตรา 97 มิได้กำหนดระยะเวลาในการขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ไว้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ได้ไม่ว่าระยะเวลาใด ๆ แม้ว่าจะพ้นกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 91 แล้วก็ตาม ส่วนปัญหาว่า ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อผู้คัดค้านตามคำขอรับชำระหนี้และบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน โดยระบุในคำขอรับชำระหนี้ว่าเป็นหนี้ตามคำพิพากษา ส่วนบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันก็ระบุว่า เป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.22/2551 ระหว่างผู้ร้องเป็นโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 คดีนี้เป็นจำเลย มีหลักฐานประกอบหนี้เป็นคำพิพากษาตามยอม และสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ซึ่งจะนำส่งต้นฉบับหลักฐานในชั้นสอบสวน เมื่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 4 ระบุว่า หากจำเลยทั้งสอง (คือจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีนี้) ผิดนัดไม่ชำระหนี้ไม่ว่างวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดในหนี้ทั้งหมด จำเลยทั้งสองยอมรับผิดชำระหนี้เต็มตามฟ้อง ให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดียึดทรัพย์จำนองห้องชุดเลขที่ 735/372 ชั้นที่ 29 อาคารเลขที่ 1 ชื่ออาคารชุดคอนโด ท. ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 1/2539 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 28741 และที่ดินโฉนดเลขที่ 18874 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด หากขายได้ไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันจึงปรากฏในคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้ว การที่ผู้ร้องมิได้ระบุโฉนดที่ดินเลขที่ 18874 เป็นหลักฐานประกอบไว้ในบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ก็จะฟังว่า ผู้ร้องไม่ประสงค์ที่จะขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันเสียทีเดียวหาได้ไม่ ทั้งตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของนายภานุ ลูกจ้างและทนายผู้ร้องให้ถ้อยคำไว้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกัน แต่พลั้งเผลอยื่นคำขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันเนื่องจากเข้าใจว่าได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันในคดีของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้ว ผู้ร้องมิได้มีเจตนาขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกัน เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่าผู้ร้องปกปิดหลักประกันเพื่อเอาเปรียบเจ้าหนี้อื่น ทั้งผู้คัดค้านมิได้นำสืบพยานหลักฐานเพื่อหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่นเพียงแต่กล่าวอ้างลอย ๆ ว่า ผู้ร้องไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยของสถาบันการเงินที่จะพึงมีเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่ผู้ร้องนำสืบว่า การที่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอ ผู้ร้องชอบที่จะขออนุญาตแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 97 ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ยกคำร้องของผู้ร้องชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง จึงไม่อนุญาตให้ผู้ร้องอุทธรณ์ ให้ยกคำร้องและไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาโดยได้มีการสืบพยานของคู่ความในศาลล้มละลายกลางเสร็จสิ้นแล้ว ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาใหม่ และเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่วินิจฉัยข้างต้นว่า ผู้ร้องขอรับชำระหนี้โดยไม่แจ้งว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกันเกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอและพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 97 มิได้กำหนดระยะเวลาในการขอแก้ไขข้อความในรายการคำขอรับชำระหนี้ไว้ ผู้ร้องจึงชอบที่จะขออนุญาตแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้จากการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ไม่มีประกันเป็นการขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันได้
พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องแก้ไขข้อความในรายการแห่งคำขอรับชำระหนี้ได้ตามคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
เมื่อสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าคดีนี้ไม่มีคุณลักษณะที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมโดยเฉพาะ แต่ยังสามารถนำไปใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นได้ นอกจากนี้ ตามรายละเอียดของสินค้าและข้อมูลในแค็ตตาล็อกระบุคุณลักษณะและประสิทธิภาพการทำงานของสินค้าพิพาทว่าเหมาะกับการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่านำไปใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น ดังนั้น สินค้าพิพาทจึงต้องจัดเข้าประเภทที่เหมาะสมตามหน้าที่การทำงานของสินค้านั้น จึงไม่อาจจัดเข้าในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ในฐานะเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ได้ แต่จัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีวางประกัน) เลขที่ กค 9200067/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 กค 9200068/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 กค 9200158/28-05-2558 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 กค 9200159/02-06-2558 ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2558 กค 9200560/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 กค 9200561/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 กค 9200222/26-06-2558 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2558 กค 9200575/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 กค 9200576/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 กค 9200112/28-07-2558 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 และ กค 9200167/17-11-2558 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ กค 40.3/3/2562/ป1/2562(3.4) ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ให้จำเลยคืนเงินประกันและเบี้ยปรับพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือน จนถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 1,343,970.59 บาท และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือน จากต้นเงิน 859,816.33 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความ 40,000 บาท แทนจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมิน เลขที่ กค 9200067/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 เลขที่ กค 9200068/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 เลขที่ กค 9200158/28-05-2558 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 เลขที่ กค 9200159/02-06-2558 ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200560/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200561/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200222/26-06-2558 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200575/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 เลขที่ กค 9200576/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 เลขที่ กค 9200112/28-07-2558 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 และเลขที่ กค 9200167/17-11-2558 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ กค 40.3/3/2562/ป1/2562(3.4) ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ให้จำเลยคืนเงินประกันค่าอากร 728,858.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือนของต้นเงิน 41,720 บาท นับแต่วันที่ 18 มกราคม 2554 ของต้นเงิน 79,130 บาท นับแต่วันที่ 15 มีนาคม 2554 ของต้นเงิน 38,626 บาท นับแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2555 ของต้นเงิน 36,425.66 บาท นับแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2556 ของต้นเงิน 117,270 บาท นับแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2555 ของต้นเงิน 36,400 บาท นับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2554 ของต้นเงิน 65,479.07 บาท นับแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2553 ของต้นเงิน 49,146.13 บาท นับแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2556 ของต้นเงิน 71,280 บาท นับแต่วันที่ 6 มีนาคม 2555 ของต้นเงิน 137,138 บาท นับแต่วันที่ 31 มกราคม 2555 และของต้นเงิน 56,243.47 บาท นับแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไปโดยไม่คิดทบต้น เศษของเดือนนับเป็นหนึ่งเดือนจนถึงวันที่มีการอนุมัติให้จ่ายคืน แต่มิให้เกินจำนวนเงินประกันค่าอากรที่ต้องคืน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า เมื่อระหว่างเดือนกันยายน 2553 ถึงเดือนธันวาคม 2557 โจทก์นำเข้าสินค้าประเภทเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่มีคุณลักษณะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ (Static Converter) วันที่ 28 กันยายน 2553 โจทก์ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย โดยสำแดงพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยพิจารณาแล้วเห็นว่าสินค้าดังกล่าวจัดเข้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ จึงดำเนินคดีโจทก์ในความผิดฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 99 โจทก์โต้แย้งและขอวางเงินประกันค่าอากรในอัตราร้อยละ 10 กับวางเงินประกันค่าปรับจำนวน 2 เท่าของเงินอากรที่ขาดสำหรับความผิดฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรเป็นเงิน 130,958 บาท ต่อมาโจทก์นำเข้าสินค้าประเภทเดียวกันโดยยื่นใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย จำนวน 10 ฉบับ สำแดงพิกัดศุลกากรประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 แต่โต้แย้งพิกัดและขอชำระอากรในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 และร้อยละ 0 ตามช่วงเวลาที่นำเข้า โดยขอวางเงินประกันค่าอากรส่วนที่เหลือไว้ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยให้โจทก์ชำระอากรกับวางเงินประกันค่าอากรไว้ในอัตราร้อยละ 10 และตรวจปล่อยสินค้าให้โจทก์รับไปแล้ว ต่อมาสำนักพิกัดอัตราศุลกากรของจำเลยได้พิจารณาตัวอย่างสินค้าของโจทก์แล้วเห็นว่า สินค้าที่นำเข้าจัดเข้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจึงประเมินเรียกเก็บภาษีอากรที่โจทก์ต้องชำระตามแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีวางประกัน) โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของโจทก์ โดยกำหนดให้สินค้าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้าจัดเป็นสินค้าในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงประการเดียวว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10 หรือจัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ในฐานะเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) อัตราอากรร้อยละ 1 หรือร้อยละ 0 ตามช่วงเวลาที่นำเข้า โดยจำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่ได้หยิบยกพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาพิจารณาประกอบกับใบโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน (Brochure) ของบริษัทผู้ผลิตที่โจทก์ได้นำส่ง ซึ่งลักษณะสินค้าของโจทก์เป็นตู้ขนาดใหญ่ บางรุ่นไม่มีแบตเตอรี่บรรจุอยู่ภายใน บางรุ่นก็มีแบตเตอรี่บรรจุอยู่ภายใน ลักษณะไม่เหมือนกับเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้กับเครื่องประมวลผลอัตโนมัติที่ประชาชนใช้กันทั่วไปในบ้านเรือนหรือในสำนักงานที่มีลักษณะเป็นกล่องขนาดไม่ใหญ่นักและนำมาใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติเท่านั้น เมื่อพิจารณาลักษณะของสินค้าตามแค็ตตาล็อกหรือคู่มือการใช้สินค้าแล้วเห็นว่าลักษณะสินค้าโจทก์ตามใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าวทุกฉบับเป็นตู้ขนาดใหญ่ ตามแค็ตตาล็อกของสินค้าที่โจทก์นำเข้าระบุสินค้าของโจทก์สามารถนำไปใช้กับ Data Center และอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นSensitive Electronic Equipment หรือเครื่องมือที่มีความไวต่อกระแสไฟฟ้า เช่น เครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ ดังจะเห็นได้จากข้อความ "This is unique and perfectly responds to today's data center requirements" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้รองรับโดยสมบูรณ์กับความต้องการของศูนย์ข้อมูล หรือ "It is possible to add power as the data center power requirement grow" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้สามารถเพิ่มพลังงานตามความต้องการพลังงานของการเจริญเติบโตของศูนย์ข้อมูล แสดงให้เห็นว่า เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้าไม่ใช่เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้กันทั่วไปกับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ ประกอบกับตามคู่มือการใช้งานหรือแค็ตตาล็อกไม่มีข้อความใดระบุว่าเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ มีแต่ข้อความใช้กับ "Data Center" ซึ่งข้อความทั้งหมดดังกล่าวหมายถึงเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) สามารถใช้กับอุปกรณ์ทาง data center และเพิ่มจำนวนพลังงานตามการเติบโตของอุปกรณ์ทาง data center หรือใช้กับระบบโครงสร้างพื้นฐาน มีช่องเสียบอุปกรณ์หลายช่องตามความต้องการของลูกค้า สินค้าที่โจทก์นำเข้าไม่ได้ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติและไม่มีข้อความที่แสดงว่าสินค้าของโจทก์ดังกล่าวผลิตเพื่อนำไปใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติในใบโฆษณาแต่อย่างใด จึงไม่จัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ของพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 นั้น พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีพยานปากเดียวคือนายธีรวัฒน์ กรรมการผู้มีอำนาจโจทก์และเป็นผู้รับมอบอำนาจโจทก์ เบิกความว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่และตามใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มระบุว่าเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคม และตามคู่มือการใช้งานสินค้า (Brochure) ก็ไม่มีข้อความว่าเครื่องจ่ายไฟสำรองนั้นสามารถนำไปใช้ได้กับอุปกรณ์อย่างอื่นและการตีความพิกัดอัตราศุลกากรของพนักงานเจ้าหน้าที่และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น สินค้าที่โจทก์นำเข้าจึงจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ส่วนจำเลยมีนางสาวธัญญา นางสาวศรัณยา นางณัฐธิดา นางจารุวรรณ นางสาวอังคณา นายเศรษฐภัสส์ นายทวีพงษ์ นายชาญชัย นายพริสร และนายชัยชนม์ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยเป็นพยานเบิกความสรุปได้ความทำนองเดียวกันว่า โจทก์นำเข้าสินค้าประเภทเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) รุ่น UPS CONCEPTPOWER DPA และ UPS CONCEPTPOWER DPA UPSCALE โดยยื่นใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม สำแดงพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 ของราคา แต่ในการตรวจปล่อยสินค้านั้นพบว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้ามีลักษณะเป็นตู้ขนาดใหญ่เป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่เป็นแบบ Double Conversion True Online หรือ True Double Conversion Online ภายในไม่มีแบตเตอรี่ และมีข้อมูลจากผู้ผลิตว่าสินค้านั้นไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติแต่ยังใช้กับระบบอื่นได้ จึงจัดเข้าพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ของราคา โดยนางสาวอังคณาและนายชัยชนม์ยังได้เบิกความเกี่ยวกับพิกัดอัตราศุลกากร ได้ความว่า พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ได้กำหนดพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40 สำหรับสินค้าประเภทเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ โดยแยกย่อยออกเป็น 5 ระดับ สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติและหน่วยของเครื่องดังกล่าวและอุปกรณ์โทรคมนาคมแยกย่อยออกเป็นประเภทพิกัดย่อย 8504.40.11 เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) และประเภทพิกัดย่อย 8504.40.19 อื่น ๆ สำหรับเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่มีพิกัดเกิน 100 เควีเอ จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.20 สำหรับเครื่องกลับกระแสไฟฟ้าอื่น ๆ จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.30 สำหรับเครื่องผกผัน (อินเวอร์เตอร์) จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.40 และสำหรับอื่น ๆ จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.90 และยังได้ความจากข้อมูลในเว็บไซด์ www.newaveups.com ซึ่งเป็นเว็บไซด์ของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าคดีนี้ให้โจทก์ โดยข้อมูลในเว็บไซด์ดังกล่าวไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้กับระบบอื่นได้ และเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้ามีทั้งระบบใช้ไฟ 1 เฟส (ใช้กับแรงดันไฟฟ้า 220 – 240 V) และใช้ไฟ 3 เฟส (ใช้กับแรงดันไฟฟ้า 380 – 415 V) มาเป็นเหตุผลประกอบเพิ่มเติมโดยเห็นว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้าเป็นสินค้าที่ใช้ไฟ 3 เฟส เป็นสินค้าที่ใช้สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 15 วรรคสาม บัญญัติว่า "การตีความให้ถือตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ท้ายพระราชกำหนดนี้ ประกอบกับคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร..." ดังนั้น การจะจัดสินค้าพิพาทว่าอยู่ในประเภทพิกัดศุลกากรใดจึงต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes : EN) ดังกล่าว ซึ่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 2 พิกัดอัตราอากรขาเข้า และตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 1 หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร ข้อ 1 บัญญัติว่า "...การจำแนกประเภทให้จำแนกตามความของประเภทนั้น ๆ ตามหมายเหตุของหมวดหรือของตอนที่เกี่ยวข้องและตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ หากว่าประเภทหรือหมายเหตุดังกล่าวไม่ได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น" และข้อ 6 บัญญัติว่า "ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทของของเข้าในประเภทย่อยของประเภทใดประเภทหนึ่งให้เป็นไปตามความของประเภทย่อยที่เกี่ยวข้องและตามหลักเกณฑ์ข้างต้นโดยอนุโลม โดยพิจารณาเปรียบเทียบในระหว่างประเภทย่อยที่อยู่ในระดับเดียวกัน ตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์นี้ให้ใช้หมายเหตุของหมวดและของตอนที่เกี่ยวข้องด้วย เว้นแต่จะมีข้อความระบุไว้เป็นอย่างอื่น" ดังนั้น ความหมายของรายการสินค้าในประเภทย่อยระดับใดระดับหนึ่งย่อมต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของข้อความในประเภทย่อยระดับที่เหนือขึ้นไป ซึ่งตามบัญชีพิกัดอัตราศุลกากร ในพิกัดประเภทย่อยที่ 8504.40 เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ มีการจัดรายการสินค้าแบ่งพิกัดเป็นรายการย่อยลงไปอีก 5 ระดับ คือ หนึ่ง สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าวและอุปกรณ์โทรคมนาคม โดยระดับนี้มีพิกัดย่อยลงไปอีก 2 ระดับ คือ ประเภทย่อย 8504.40.11 เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) และประเภทย่อย 8504.40.19 อื่น ๆ สอง ประเภทย่อย 8504.40.20 เครื่องชาร์ตแบตเตอรี่มีพิกัดเกิน 100 เควีเอ สาม ประเภทย่อย 8504.40.30 เครื่องกลับกระแสไฟฟ้าอื่น ๆ สี่ ประเภทย่อย 8504.40.40 เครื่องผกผัน (อินเวอร์เตอร์) และห้าประเภทย่อย 8504.40.90 อื่น ๆ ดังนี้ เมื่อเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) เป็นประเภทย่อยของพิกัดระดับ สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคม พิกัด 8504.40.11 จึงต้องเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น หากกฎหมายต้องการที่จะให้เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) สามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่น ๆ โดยไม่จำกัดเฉพาะสำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น ก็ย่อมจัดให้เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) เป็นรายการย่อยในระดับเดียวกับเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่มีพิกัดเกิน 100 เควีเอ เครื่องกลับกระแสไฟฟ้าอื่น ๆ หรือเครื่องผกผัน (อินเวอร์เตอร์) มิใช่จัดให้อยู่ในรายการประเภทย่อยของพิกัดระดับ สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคม เมื่อนายชัยชนม์ พยานจำเลยซึ่งเป็นผู้พิจารณาประเภทพิกัดศุลกากรและเป็นผู้ตรวจสอบตัวสินค้าพิพาทเบิกความว่า สินค้าพิพาทบางใบขนสินค้าไม่มีแบตเตอรี่ สินค้าที่ไม่มีแบตเตอรี่ย่อมไม่สามารถสำรองไฟฟ้าไว้ใช้ได้แต่ต้องนำแบตเตอรี่มาเชื่อมต่อที่ช่องเสียบที่มีอยู่ กรณีจึงเห็นได้ว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ (Static Converter) ซึ่งจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อยที่ 8504.40 มีหลักการทำงานที่เรียกว่า True Online Double Conversion มีลักษณะเป็นตู้ขนาดใหญ่และสามารถเพิ่มจำนวนหน่วยการจ่ายไฟฟ้าสำรองหรืออุปกรณ์เพิ่มเติม (Module) ได้ตามความต้องการของลูกค้าหรือลักษณะการใช้งานและตามแค็ตตาล็อกระบุว่าเหมาะสำหรับใช้กับศูนย์ข้อมูล (Data Center) ดังจะเห็นได้จากข้อความ "This is unique and perfectly responds to today's data center requirements" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้รองรับโดยสมบูรณ์กับความต้องการของศูนย์ข้อมูล หรือ "It is possible to add power as the data center power requirement grow" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้สามารถเพิ่มพลังงานตามความต้องการพลังงานของการเจริญเติบโตของศูนย์ข้อมูล และตามแค็ตตาล็อกเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) คดีนี้ใช้กับศูนย์ข้อมูล (Data Center), เบลดเสิร์ฟเวอร์ (Blade server) ระบบป้องกันพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ และยังได้ความจากข้อมูลในเว็บไซด์ www.newaveups.com ซึ่งเป็นเว็บไซด์ของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าคดีนี้ให้โจทก์ โดยข้อมูลเว็บไซด์ดังกล่าวไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้กับระบบอื่นได้ นอกจากนี้เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้ายังมีช่องเสียบสายสัญญาณต่าง ๆ ได้แก่ สาย USB สาย RS-232 ซึ่งเป็นสายสื่อสาร ไม่ใช่สายไฟฟ้า SNMP Slot ซึ่งเป็นช่องติดต่อระหว่างเครือข่าย (Network) จึงไม่ใช่เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) สำหรับใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติหรือคอมพิวเตอร์เท่านั้น และโจทก์ก็ยอมรับในคำฟ้องว่าระบบไฟฟ้า 3 เฟส 380/220 V ไม่ได้จำกัดให้ใช้สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในงานอุตสาหกรรมเท่านั้น ดังนั้น สินค้าพิพาทจึงจัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10 ของราคา ส่วนที่โจทก์นำสืบว่าก่อนหน้านี้เมื่อปี 2559 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เคยพิจารณาอุทธรณ์สินค้าเครื่องจ่ายไฟสำรองรายโจทก์คดีนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว โดยเจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าเป็นสินค้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ของราคา แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เป็นสินค้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 ของราคา นั้น เนื่องจากในเอกสารแค็ตตาล็อกสินค้าดังกล่าวระบุชัดเจนว่าออกแบบเพื่อใช้ป้องกันอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Computer and Servers) รายละเอียดปรากฏตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ในรายงานการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งสินค้าในคดีดังกล่าวเป็นสินค้าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) รุ่น POWERWARE PW 9155 และรุ่น POWERWARE PW 9355 แต่สินค้าพิพาทคดีนี้เป็นสินค้าคนละรุ่นกับที่เคยมีการพิจารณาไว้ดังกล่าว ดังนั้น เมื่อสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าคดีนี้ไม่มีคุณลักษณะที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมโดยเฉพาะ แต่ยังสามารถนำไปใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นได้ นอกจากนี้ ตามรายละเอียดของสินค้าและข้อมูลในแค็ตตาล็อกระบุคุณลักษณะและประสิทธิภาพการทำงานของสินค้าพิพาทว่าเหมาะกับการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่านำไปใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น ดังนั้น สินค้าพิพาทจึงต้องจัดเข้าประเภทที่เหมาะสมตามหน้าที่การทำงานของสินค้านั้น จึงไม่อาจจัดเข้าในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ในฐานะเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ได้ แต่จัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10 การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยในข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
เมื่อสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าคดีนี้ไม่มีคุณลักษณะที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมโดยเฉพาะ แต่ยังสามารถนำไปใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นได้ นอกจากนี้ ตามรายละเอียดของสินค้าและข้อมูลในแค็ตตาล็อกระบุคุณลักษณะและประสิทธิภาพการทำงานของสินค้าพิพาทว่าเหมาะกับการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่านำไปใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น ดังนั้น สินค้าพิพาทจึงต้องจัดเข้าประเภทที่เหมาะสมตามหน้าที่การทำงานของสินค้านั้น จึงไม่อาจจัดเข้าในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ในฐานะเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ได้ แต่จัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีวางประกัน) เลขที่ กค 9200067/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 กค 9200068/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 กค 9200158/28-05-2558 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 กค 9200159/02-06-2558 ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2558 กค 9200560/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 กค 9200561/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 กค 9200222/26-06-2558 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2558 กค 9200575/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 กค 9200576/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 กค 9200112/28-07-2558 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 และ กค 9200167/17-11-2558 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ กค 40.3/3/2562/ป1/2562(3.4) ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ให้จำเลยคืนเงินประกันและเบี้ยปรับพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือน จนถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 1,343,970.59 บาท และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือน จากต้นเงิน 859,816.33 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความ 40,000 บาท แทนจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมิน เลขที่ กค 9200067/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 เลขที่ กค 9200068/26-05-2558 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 เลขที่ กค 9200158/28-05-2558 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 เลขที่ กค 9200159/02-06-2558 ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200560/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200561/03-06-2558 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200222/26-06-2558 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2558 เลขที่ กค 9200575/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 เลขที่ กค 9200576/27-07-2558 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 เลขที่ กค 9200112/28-07-2558 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 และเลขที่ กค 9200167/17-11-2558 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ กค 40.3/3/2562/ป1/2562(3.4) ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ให้จำเลยคืนเงินประกันค่าอากร 728,858.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือนของต้นเงิน 41,720 บาท นับแต่วันที่ 18 มกราคม 2554 ของต้นเงิน 79,130 บาท นับแต่วันที่ 15 มีนาคม 2554 ของต้นเงิน 38,626 บาท นับแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2555 ของต้นเงิน 36,425.66 บาท นับแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2556 ของต้นเงิน 117,270 บาท นับแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2555 ของต้นเงิน 36,400 บาท นับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2554 ของต้นเงิน 65,479.07 บาท นับแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2553 ของต้นเงิน 49,146.13 บาท นับแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2556 ของต้นเงิน 71,280 บาท นับแต่วันที่ 6 มีนาคม 2555 ของต้นเงิน 137,138 บาท นับแต่วันที่ 31 มกราคม 2555 และของต้นเงิน 56,243.47 บาท นับแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไปโดยไม่คิดทบต้น เศษของเดือนนับเป็นหนึ่งเดือนจนถึงวันที่มีการอนุมัติให้จ่ายคืน แต่มิให้เกินจำนวนเงินประกันค่าอากรที่ต้องคืน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า เมื่อระหว่างเดือนกันยายน 2553 ถึงเดือนธันวาคม 2557 โจทก์นำเข้าสินค้าประเภทเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่มีคุณลักษณะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ (Static Converter) วันที่ 28 กันยายน 2553 โจทก์ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย โดยสำแดงพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยพิจารณาแล้วเห็นว่าสินค้าดังกล่าวจัดเข้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ จึงดำเนินคดีโจทก์ในความผิดฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 99 โจทก์โต้แย้งและขอวางเงินประกันค่าอากรในอัตราร้อยละ 10 กับวางเงินประกันค่าปรับจำนวน 2 เท่าของเงินอากรที่ขาดสำหรับความผิดฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรเป็นเงิน 130,958 บาท ต่อมาโจทก์นำเข้าสินค้าประเภทเดียวกันโดยยื่นใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย จำนวน 10 ฉบับ สำแดงพิกัดศุลกากรประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 แต่โต้แย้งพิกัดและขอชำระอากรในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 และร้อยละ 0 ตามช่วงเวลาที่นำเข้า โดยขอวางเงินประกันค่าอากรส่วนที่เหลือไว้ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยให้โจทก์ชำระอากรกับวางเงินประกันค่าอากรไว้ในอัตราร้อยละ 10 และตรวจปล่อยสินค้าให้โจทก์รับไปแล้ว ต่อมาสำนักพิกัดอัตราศุลกากรของจำเลยได้พิจารณาตัวอย่างสินค้าของโจทก์แล้วเห็นว่า สินค้าที่นำเข้าจัดเข้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจึงประเมินเรียกเก็บภาษีอากรที่โจทก์ต้องชำระตามแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีวางประกัน) โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของโจทก์ โดยกำหนดให้สินค้าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้าจัดเป็นสินค้าในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงประการเดียวว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าจัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10 หรือจัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ในฐานะเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) อัตราอากรร้อยละ 1 หรือร้อยละ 0 ตามช่วงเวลาที่นำเข้า โดยจำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่ได้หยิบยกพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาพิจารณาประกอบกับใบโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน (Brochure) ของบริษัทผู้ผลิตที่โจทก์ได้นำส่ง ซึ่งลักษณะสินค้าของโจทก์เป็นตู้ขนาดใหญ่ บางรุ่นไม่มีแบตเตอรี่บรรจุอยู่ภายใน บางรุ่นก็มีแบตเตอรี่บรรจุอยู่ภายใน ลักษณะไม่เหมือนกับเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้กับเครื่องประมวลผลอัตโนมัติที่ประชาชนใช้กันทั่วไปในบ้านเรือนหรือในสำนักงานที่มีลักษณะเป็นกล่องขนาดไม่ใหญ่นักและนำมาใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติเท่านั้น เมื่อพิจารณาลักษณะของสินค้าตามแค็ตตาล็อกหรือคู่มือการใช้สินค้าแล้วเห็นว่าลักษณะสินค้าโจทก์ตามใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าวทุกฉบับเป็นตู้ขนาดใหญ่ ตามแค็ตตาล็อกของสินค้าที่โจทก์นำเข้าระบุสินค้าของโจทก์สามารถนำไปใช้กับ Data Center และอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นSensitive Electronic Equipment หรือเครื่องมือที่มีความไวต่อกระแสไฟฟ้า เช่น เครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ ดังจะเห็นได้จากข้อความ "This is unique and perfectly responds to today's data center requirements" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้รองรับโดยสมบูรณ์กับความต้องการของศูนย์ข้อมูล หรือ "It is possible to add power as the data center power requirement grow" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้สามารถเพิ่มพลังงานตามความต้องการพลังงานของการเจริญเติบโตของศูนย์ข้อมูล แสดงให้เห็นว่า เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้าไม่ใช่เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้กันทั่วไปกับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ ประกอบกับตามคู่มือการใช้งานหรือแค็ตตาล็อกไม่มีข้อความใดระบุว่าเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ มีแต่ข้อความใช้กับ "Data Center" ซึ่งข้อความทั้งหมดดังกล่าวหมายถึงเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) สามารถใช้กับอุปกรณ์ทาง data center และเพิ่มจำนวนพลังงานตามการเติบโตของอุปกรณ์ทาง data center หรือใช้กับระบบโครงสร้างพื้นฐาน มีช่องเสียบอุปกรณ์หลายช่องตามความต้องการของลูกค้า สินค้าที่โจทก์นำเข้าไม่ได้ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติและไม่มีข้อความที่แสดงว่าสินค้าของโจทก์ดังกล่าวผลิตเพื่อนำไปใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติในใบโฆษณาแต่อย่างใด จึงไม่จัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ของพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 นั้น พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีพยานปากเดียวคือนายธีรวัฒน์ กรรมการผู้มีอำนาจโจทก์และเป็นผู้รับมอบอำนาจโจทก์ เบิกความว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่และตามใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มระบุว่าเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคม และตามคู่มือการใช้งานสินค้า (Brochure) ก็ไม่มีข้อความว่าเครื่องจ่ายไฟสำรองนั้นสามารถนำไปใช้ได้กับอุปกรณ์อย่างอื่นและการตีความพิกัดอัตราศุลกากรของพนักงานเจ้าหน้าที่และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น สินค้าที่โจทก์นำเข้าจึงจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ส่วนจำเลยมีนางสาวธัญญา นางสาวศรัณยา นางณัฐธิดา นางจารุวรรณ นางสาวอังคณา นายเศรษฐภัสส์ นายทวีพงษ์ นายชาญชัย นายพริสร และนายชัยชนม์ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยเป็นพยานเบิกความสรุปได้ความทำนองเดียวกันว่า โจทก์นำเข้าสินค้าประเภทเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) รุ่น UPS CONCEPTPOWER DPA และ UPS CONCEPTPOWER DPA UPSCALE โดยยื่นใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม สำแดงพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 ของราคา แต่ในการตรวจปล่อยสินค้านั้นพบว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้ามีลักษณะเป็นตู้ขนาดใหญ่เป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่เป็นแบบ Double Conversion True Online หรือ True Double Conversion Online ภายในไม่มีแบตเตอรี่ และมีข้อมูลจากผู้ผลิตว่าสินค้านั้นไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติแต่ยังใช้กับระบบอื่นได้ จึงจัดเข้าพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ของราคา โดยนางสาวอังคณาและนายชัยชนม์ยังได้เบิกความเกี่ยวกับพิกัดอัตราศุลกากร ได้ความว่า พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ได้กำหนดพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 8504.40 สำหรับสินค้าประเภทเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ โดยแยกย่อยออกเป็น 5 ระดับ สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติและหน่วยของเครื่องดังกล่าวและอุปกรณ์โทรคมนาคมแยกย่อยออกเป็นประเภทพิกัดย่อย 8504.40.11 เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) และประเภทพิกัดย่อย 8504.40.19 อื่น ๆ สำหรับเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่มีพิกัดเกิน 100 เควีเอ จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.20 สำหรับเครื่องกลับกระแสไฟฟ้าอื่น ๆ จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.30 สำหรับเครื่องผกผัน (อินเวอร์เตอร์) จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.40 และสำหรับอื่น ๆ จัดอยู่ในประเภทพิกัดย่อย 8504.40.90 และยังได้ความจากข้อมูลในเว็บไซด์ www.newaveups.com ซึ่งเป็นเว็บไซด์ของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าคดีนี้ให้โจทก์ โดยข้อมูลในเว็บไซด์ดังกล่าวไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้กับระบบอื่นได้ และเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้ามีทั้งระบบใช้ไฟ 1 เฟส (ใช้กับแรงดันไฟฟ้า 220 – 240 V) และใช้ไฟ 3 เฟส (ใช้กับแรงดันไฟฟ้า 380 – 415 V) มาเป็นเหตุผลประกอบเพิ่มเติมโดยเห็นว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้าเป็นสินค้าที่ใช้ไฟ 3 เฟส เป็นสินค้าที่ใช้สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 มาตรา 15 วรรคสาม บัญญัติว่า "การตีความให้ถือตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 ท้ายพระราชกำหนดนี้ ประกอบกับคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร..." ดังนั้น การจะจัดสินค้าพิพาทว่าอยู่ในประเภทพิกัดศุลกากรใดจึงต้องใช้หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรในภาค 1 บัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบคำอธิบายพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Explanatory Notes : EN) ดังกล่าว ซึ่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 2 พิกัดอัตราอากรขาเข้า และตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 1 หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร ข้อ 1 บัญญัติว่า "...การจำแนกประเภทให้จำแนกตามความของประเภทนั้น ๆ ตามหมายเหตุของหมวดหรือของตอนที่เกี่ยวข้องและตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ หากว่าประเภทหรือหมายเหตุดังกล่าวไม่ได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น" และข้อ 6 บัญญัติว่า "ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การจำแนกประเภทของของเข้าในประเภทย่อยของประเภทใดประเภทหนึ่งให้เป็นไปตามความของประเภทย่อยที่เกี่ยวข้องและตามหลักเกณฑ์ข้างต้นโดยอนุโลม โดยพิจารณาเปรียบเทียบในระหว่างประเภทย่อยที่อยู่ในระดับเดียวกัน ตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์นี้ให้ใช้หมายเหตุของหมวดและของตอนที่เกี่ยวข้องด้วย เว้นแต่จะมีข้อความระบุไว้เป็นอย่างอื่น" ดังนั้น ความหมายของรายการสินค้าในประเภทย่อยระดับใดระดับหนึ่งย่อมต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของข้อความในประเภทย่อยระดับที่เหนือขึ้นไป ซึ่งตามบัญชีพิกัดอัตราศุลกากร ในพิกัดประเภทย่อยที่ 8504.40 เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ มีการจัดรายการสินค้าแบ่งพิกัดเป็นรายการย่อยลงไปอีก 5 ระดับ คือ หนึ่ง สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าวและอุปกรณ์โทรคมนาคม โดยระดับนี้มีพิกัดย่อยลงไปอีก 2 ระดับ คือ ประเภทย่อย 8504.40.11 เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) และประเภทย่อย 8504.40.19 อื่น ๆ สอง ประเภทย่อย 8504.40.20 เครื่องชาร์ตแบตเตอรี่มีพิกัดเกิน 100 เควีเอ สาม ประเภทย่อย 8504.40.30 เครื่องกลับกระแสไฟฟ้าอื่น ๆ สี่ ประเภทย่อย 8504.40.40 เครื่องผกผัน (อินเวอร์เตอร์) และห้าประเภทย่อย 8504.40.90 อื่น ๆ ดังนี้ เมื่อเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) เป็นประเภทย่อยของพิกัดระดับ สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคม พิกัด 8504.40.11 จึงต้องเป็นเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่ใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น หากกฎหมายต้องการที่จะให้เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) สามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่น ๆ โดยไม่จำกัดเฉพาะสำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น ก็ย่อมจัดให้เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) เป็นรายการย่อยในระดับเดียวกับเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่มีพิกัดเกิน 100 เควีเอ เครื่องกลับกระแสไฟฟ้าอื่น ๆ หรือเครื่องผกผัน (อินเวอร์เตอร์) มิใช่จัดให้อยู่ในรายการประเภทย่อยของพิกัดระดับ สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคม เมื่อนายชัยชนม์ พยานจำเลยซึ่งเป็นผู้พิจารณาประเภทพิกัดศุลกากรและเป็นผู้ตรวจสอบตัวสินค้าพิพาทเบิกความว่า สินค้าพิพาทบางใบขนสินค้าไม่มีแบตเตอรี่ สินค้าที่ไม่มีแบตเตอรี่ย่อมไม่สามารถสำรองไฟฟ้าไว้ใช้ได้แต่ต้องนำแบตเตอรี่มาเชื่อมต่อที่ช่องเสียบที่มีอยู่ กรณีจึงเห็นได้ว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ (Static Converter) ซึ่งจัดอยู่ในพิกัดประเภทย่อยที่ 8504.40 มีหลักการทำงานที่เรียกว่า True Online Double Conversion มีลักษณะเป็นตู้ขนาดใหญ่และสามารถเพิ่มจำนวนหน่วยการจ่ายไฟฟ้าสำรองหรืออุปกรณ์เพิ่มเติม (Module) ได้ตามความต้องการของลูกค้าหรือลักษณะการใช้งานและตามแค็ตตาล็อกระบุว่าเหมาะสำหรับใช้กับศูนย์ข้อมูล (Data Center) ดังจะเห็นได้จากข้อความ "This is unique and perfectly responds to today's data center requirements" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้รองรับโดยสมบูรณ์กับความต้องการของศูนย์ข้อมูล หรือ "It is possible to add power as the data center power requirement grow" ซึ่งแปลว่า เครื่องนี้สามารถเพิ่มพลังงานตามความต้องการพลังงานของการเจริญเติบโตของศูนย์ข้อมูล และตามแค็ตตาล็อกเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) คดีนี้ใช้กับศูนย์ข้อมูล (Data Center), เบลดเสิร์ฟเวอร์ (Blade server) ระบบป้องกันพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ และยังได้ความจากข้อมูลในเว็บไซด์ www.newaveups.com ซึ่งเป็นเว็บไซด์ของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าคดีนี้ให้โจทก์ โดยข้อมูลเว็บไซด์ดังกล่าวไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้กับระบบอื่นได้ นอกจากนี้เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ที่โจทก์นำเข้ายังมีช่องเสียบสายสัญญาณต่าง ๆ ได้แก่ สาย USB สาย RS-232 ซึ่งเป็นสายสื่อสาร ไม่ใช่สายไฟฟ้า SNMP Slot ซึ่งเป็นช่องติดต่อระหว่างเครือข่าย (Network) จึงไม่ใช่เครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) สำหรับใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติหรือคอมพิวเตอร์เท่านั้น และโจทก์ก็ยอมรับในคำฟ้องว่าระบบไฟฟ้า 3 เฟส 380/220 V ไม่ได้จำกัดให้ใช้สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในงานอุตสาหกรรมเท่านั้น ดังนั้น สินค้าพิพาทจึงจัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10 ของราคา ส่วนที่โจทก์นำสืบว่าก่อนหน้านี้เมื่อปี 2559 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เคยพิจารณาอุทธรณ์สินค้าเครื่องจ่ายไฟสำรองรายโจทก์คดีนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว โดยเจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าเป็นสินค้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 อัตราอากรร้อยละ 10 ของราคา แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เป็นสินค้าพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 อัตราอากรร้อยละ 1 ของราคา นั้น เนื่องจากในเอกสารแค็ตตาล็อกสินค้าดังกล่าวระบุชัดเจนว่าออกแบบเพื่อใช้ป้องกันอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Computer and Servers) รายละเอียดปรากฏตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ในรายงานการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งสินค้าในคดีดังกล่าวเป็นสินค้าเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) รุ่น POWERWARE PW 9155 และรุ่น POWERWARE PW 9355 แต่สินค้าพิพาทคดีนี้เป็นสินค้าคนละรุ่นกับที่เคยมีการพิจารณาไว้ดังกล่าว ดังนั้น เมื่อสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้าคดีนี้ไม่มีคุณลักษณะที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมโดยเฉพาะ แต่ยังสามารถนำไปใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นได้ นอกจากนี้ ตามรายละเอียดของสินค้าและข้อมูลในแค็ตตาล็อกระบุคุณลักษณะและประสิทธิภาพการทำงานของสินค้าพิพาทว่าเหมาะกับการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่านำไปใช้สำหรับเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหน่วยของเครื่องดังกล่าว และอุปกรณ์โทรคมนาคมเท่านั้น ดังนั้น สินค้าพิพาทจึงต้องจัดเข้าประเภทที่เหมาะสมตามหน้าที่การทำงานของสินค้านั้น จึงไม่อาจจัดเข้าในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.11 ในฐานะเครื่องจ่ายไฟสำรอง (ยูพีเอส) ได้ แต่จัดอยู่ในพิกัดศุลกากร ประเภท 8504.40.90 ในฐานะเป็นเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่ อื่น ๆ อัตราอากรร้อยละ 10 การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยในข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
โจทก์ว่าจ้างจำเลยควบคุมงานก่อสร้างโครงการอาคารชุดของโจทก์ การควบคุมงานในส่วนงานโครงสร้างและงานสถาปัตยกรรมอันเป็นงานก่อสร้างของบริษัท น. งานที่ก่อสร้างมีความชำรุดบกพร่องและยังไม่ได้แก้ไข จำเลยจึงไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมงานให้ถูกต้องตามที่ได้ให้สัญญา เป็นการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่การควบคุมงานในส่วนงานระบบของบริษัท อ. เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าจ้างควบคุมงานของเดือนมีนาคม 2559 จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่มาควบคุมงาน การที่จำเลยไม่มาควบคุมงานตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 ถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเพราะทิ้งงาน ที่โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 25 เมษายน 2559 แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา และมีหนังสือลงวันที่ 22 มิถุนายน 2559 บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย แต่ตามหนังสือบอกกล่าวดังกล่าวโจทก์เพียงแจ้งให้จำเลยกลับมาทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างภายใน 15 วัน และขอให้จำเลยเรียกบริษัท อ. เข้ามาแก้ไขความบกพร่องที่เกิดจากการทำงานของบริษัทดังกล่าว เมื่อจำเลยเพิกเฉย โจทก์ก็มีหนังสือบอกเลิกสัญญา เท่ากับว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาด้วยเหตุที่จำเลยทิ้งงานและเหตุที่จำเลยไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท อ. ซึ่งทั้งสองเหตุนี้จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา โจทก์ย่อมไม่อาจนำมาเป็นเหตุในการบอกเลิกสัญญาได้ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบ มีผลเท่ากับกับโจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา
ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 4 วรรคสอง ระบุไว้ในตอนท้ายว่า การที่โจทก์ไม่บอกเลิกสัญญา ไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นจากความรับผิดตามสัญญา จำเลยจึงยังคงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัท น. ได้ยื่นฟ้องขอให้บังคับโจทก์คืนเงินประกันผลงานและชำระค่าจ้างทำงานก่อสร้างดังกล่าวส่วนที่ยังค้างชำระ โจทก์ฟ้องแย้งขอให้บังคับบริษัท น. ชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการทำงานก่อสร้างบกพร่อง ตามคดีหมายเลขแดงที่ 2309/2561 ของศาลชั้นต้น ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์คืนเงินประกันผลงานที่โจทก์หักไว้จากค่าจ้างในแต่ละงวด รวม 14,256,971.38 บาท และให้รับผิดในค่าจ้างที่ยังไม่ได้ชำระ 7,978,778.68 บาท แก่บริษัท น. โดยให้หักกลบลบหนี้กับค่าเสียหายที่บริษัท น. ทำงานก่อสร้างบกพร่อง เป็นเงิน 4,857,212.97 บาท ซึ่งค่าเสียหายในส่วนของงานก่อสร้างที่บกพร่องเป็นค่าเสียหายจำนวนเดียวกับที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในคดีนี้ ถือเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ จำเลยและบริษัท น. ต้องรับผิดแก่โจทก์เช่นอย่างลูกหนี้ร่วมตาม ป.พ.พ. มาตรา 301 การที่บริษัท น. ชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ด้วยวิธีการหักกลบลบหนี้กับเงินประกันผลงานและค่าจ้างที่โจทก์ค้างชำระ ย่อมเป็นประโยชน์แก่จำเลยด้วยตามมาตรา 292 วรรคหนึ่ง มีผลให้หนี้ของจำเลยในคดีนี้ระงับไป จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แก่โจทก์อีก
ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 5 ระบุว่า หากโจทก์บอกเลิกสัญญาตามข้อ 4 แล้ว จำเลยจะต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไว้ให้แก่โจทก์ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าการบอกเลิกสัญญาของโจทก์ไม่ชอบด้วยสัญญาข้อ 4 วรรคสอง มีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างที่จำเลยได้รับไปแล้วคืน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 27,661,402.03 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 24,022,929.26 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 มิถุนายน 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท
โจทก์และจำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2556 โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยควบคุมงานก่อสร้างโครงการอาคารชุดของโจทก์ ประกอบด้วยงานก่อสร้างปรับปรุงอาคาร A, B และ C งานสถาปัตยกรรมตกแต่งภายใน และงานวิศวกรรมระบบประกอบอาคาร ตกลงค่าจ้างเป็นเงิน 7,366,950 บาท แบ่งชำระเป็น 20 งวดเดือน กำหนดระยะเวลาควบคุมการก่อสร้าง 20 เดือน นับแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2556 และจะควบคุมการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2558 ซึ่งต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2557 โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท น. ก่อสร้างคอนโดมิเนียม อาคาร A, B และ C ในส่วนของงานโครงสร้าง งานสถาปัตยกรรม และงานระบบสุขาภิบาล กำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 25 กรกฎาคม 2558 และทำสัญญาว่าจ้างบริษัท อ. ทำงานระบบประกอบอาคารชุดคอนโดมิเนียม อาคาร A, B และ C ประกอบด้วยงานระบบไฟฟ้าสื่อสาร งานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ งานระบบสุขาภิบาล งานระบบดับเพลิง และงานภายนอกอาคาร กำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 25 กรกฎาคม 2558 จำเลยทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2556 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2558 แต่งานก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ จำเลยยังคงทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างต่อมาโดยได้รับค่าจ้างจากโจทก์เป็นรายเดือน โดยโจทก์ชำระค่าจ้างเพียงถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2559 รวมเป็นเงินค่าจ้างที่จำเลยได้รับจากโจทก์ทั้งสิ้น 9,539,404.32 บาท แต่โจทก์ไม่ชำระค่าจ้างของเดือนมีนาคม 2559 จำเลยจึงหยุดทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 เป็นต้นไป ต่อมาโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 25 เมษายน 2559 แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงมีหนังสือลงวันที่ 22 มิถุนายน 2559 บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย หลังจากนั้นโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 แจ้งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายและเรียกเงินค่าจ้างคืน แต่จำเลยเพิกเฉย บริษัท อ. ยื่นฟ้องโจทก์เรียกค่าจ้างที่ค้างชำระและให้คืนเงินประกันผลงานอันเกิดจากการทำงานตามสัญญาว่าจ้างรับเหมาทำงานระบบประกอบอาคารชุดคอนโดมิเนียม โจทก์ให้การและฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่บริษัท อ. ทำงานล่าช้าและบกพร่อง โดยค่าเสียหายในส่วนของงานบกพร่องนั้นเป็นรายการเดียวกับค่าเสียหายในคดีนี้ที่โจทก์ยื่นฟ้องให้จำเลยรับผิดจากการที่ไม่ได้ควบคุมงานระบบของบริษัท อ. ให้เป็นไปตามสัญญา ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าววินิจฉัยว่าบริษัท อ. ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา และฟังไม่ได้ว่าความชำรุดบกพร่องของงานระบบเกิดจากความผิดของบริษัท อ. แล้วพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าจ้างที่ค้างชำระและคืนเงินประกันผลงานแก่บริษัท อ. และยกฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้โจทก์ฎีกา คดีถึงที่สุดแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยผิดสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างและต้องรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด และตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไปแล้วให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ซึ่งเห็นสมควรวินิจฉัยไปพร้อมกัน โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยทำหน้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ความเสียหายที่โจทก์ฟ้องเกิดจากบริษัท น. ไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่ได้เกิดจากการไม่ปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย ส่วนโจทก์ฎีกาว่า งานของผู้รับเหมายังไม่แล้วเสร็จ เพราะยังไม่ได้ส่งมอบงานตามสัญญาและมีงานบกพร่องที่ผู้รับเหมาจะต้องแก้ไข สัญญาว่าจ้างจำเลยควบคุมงานยังไม่ได้สิ้นสุดลง จำเลยต้องปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาต่อไป แต่จำเลยผิดสัญญาด้วยการทิ้งงาน โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และจำเลยต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไปแล้วให้แก่โจทก์ตามสัญญา เห็นว่า ตามข้อเสนอบริการบริหารงานโครงการและควบคุมงานก่อสร้างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างได้กำหนดขอบเขตการให้บริการไว้ในข้อ 3 ถึงข้อ 5 ว่า จำเลยมีหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้าง โดยทำการควบคุมและกำกับดูแลให้คู่สัญญาของโครงการปฏิบัติตามสัญญาและทำภารกิจต่าง ๆ ให้สำเร็จ ศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนโจทก์ในการตรวจสอบงานต่าง ๆ พร้อมทั้งเสนอความเห็นต่อโจทก์เพื่อใช้ประกอบการตรวจรับมอบงาน ดังนั้น ในช่วงระยะเวลาที่จำเลยมาทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2556 ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2559 จำเลยต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาดังกล่าว ในข้อนี้ โจทก์มีนายกมล กรรมการผู้จัดการโจทก์ และนายพิละพรรธน์ พนักงานของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบและสำรวจความเสียหายของงานก่อสร้าง เบิกความในทำนองเดียวกันว่า โจทก์ตรวจสอบการก่อสร้างของบริษัท น. พบว่าทำงานบกพร่องผิดสัญญาหลายประการ อันเกิดจากจำเลยควบคุมงานไม่ได้คุณภาพ ไม่ได้ใช้ความสามารถของตนในการตรวจสอบถึงความบกพร่องและสั่งให้แก้ไข ส่วนจำเลยมีนายคณบฎหรืออภิชัช พนักงานของจำเลยซึ่งทำงานในตำแหน่งผู้จัดการโครงการก่อสร้างอาคารของโจทก์ เบิกความว่า ขณะทำงานพยานตรวจพบความเสียหายที่เกิดจากการทำงานของบริษัทผู้รับเหมาทั้งสองรายและแจ้งให้ผู้รับเหมาแก้ไขแล้ว รวมทั้งแจ้งให้โจทก์ทราบในระหว่างการประชุมผู้ทำงานด้วย เห็นว่า โจทก์มีภาพถ่ายรอยร้าวของผนังอาคาร ช่องหน้าต่างที่กว้างกว่าบานหน้าต่างเกินมาตรฐาน น้ำที่รั่วเข้าห้องพัก และลานจอดรถใต้อาคารที่มีน้ำท่วมขัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ก่อสร้างชำรุดบกพร่องมาสนับสนุน และสอดคล้องกับรายงานการประชุม Site Meeting ครั้งที่ 65/2558 ที่นายโกสิน ตัวแทนของบริษัท น. แถลงต่อที่ประชุมยอมรับว่าลูกค้าห้องเลขที่ 225, 417 และ 418 อาคาร C แจ้งว่าพื้นลามิเนตยุบ โดยจำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งถึงความชำรุดบกพร่องของงานดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า งานก่อสร้างของบริษัท น. มีความชำรุดบกพร่องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขดังที่โจทก์นำสืบ เมื่อพิจารณาถึงขั้นตอนการทำงานของบริษัท น. ที่ปรากฏในสำเนารายงานการประชุม Site Meeting แล้ว เชื่อว่าบริษัทดังกล่าวก่อสร้างงานชำรุดบกพร่องตั้งแต่ในช่วงระยะเวลาที่จำเลยมาควบคุมงาน แม้จะตรวจพบความชำรุดบกพร่องในภายหลัง แต่ก็ถือว่าอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย หากจำเลยซึ่งเป็นผู้มีวิชาชีพด้านการควบคุมงานก่อสร้างได้ใช้ความรู้ความชำนาญในวิชาชีพทำการควบคุมงานโดยใกล้ชิดและตรวจสอบผลงานก่อสร้างของบริษัท น. ด้วยความละเอียดรอบคอบ ย่อมสามารถตรวจพบความชำรุดบกพร่องของงานก่อสร้างตามที่โจทก์นำสืบและสั่งให้ดำเนินการแก้ไขพร้อมทั้งแจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้ประกอบในการตรวจรับมอบงานได้ไม่ยาก แต่จำเลยกลับไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถูกต้องตามที่ได้ให้สัญญาไว้แก่โจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากงานก่อสร้างของบริษัท น. ที่มีความชำรุดบกพร่องและยังไม่ได้รับการแก้ไข จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่การควบคุมงานในส่วนงานระบบของบริษัท อ. ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ พ.1627/2561 ซึ่งวินิจฉัยว่า บริษัท อ. ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา และฟังไม่ได้ว่าความชำรุดบกพร่องของงานระบบเกิดจากความผิดของบริษัท อ. คดีนี้จึงต้องถือว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท อ. สำหรับข้ออ้างว่าจำเลยทิ้งงานนั้น เห็นว่า ตามข้อเสนอบริการบริหารงานโครงการและควบคุมงานก่อสร้างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างได้กำหนดขอบเขตการให้บริการไว้ในข้อ 8 ว่า จำเลยมีหน้าที่ดูแลผลงานหลังการก่อสร้างเสร็จสิ้นลง โดยยังคงความรับผิดชอบต่อไปจนกว่าความรับผิดของคู่สัญญาของโครงการสิ้นสุดลงและหมดระยะเวลาประกันผลงานทุกสัญญา แสดงว่าหลังจากควบคุมงานก่อสร้างจนเสร็จและโจทก์รับมอบงานจากผู้รับเหมาแล้ว จำเลยยังคงมีหน้าที่ดูแลผลงานหลังการก่อสร้างต่อไปอีกจนหมดระยะเวลารับประกันผลงานก่อสร้างของผู้รับเหมา หาใช่ว่าเมื่อครบกำหนดระยะเวลาควบคุมงานตามที่ระบุในสัญญาแล้วสัญญาจะสิ้นสุดลงทันทีไม่ ส่วนที่สัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 2.2 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ในกรณีที่ครบกำหนดระยะเวลารับจ้างควบคุมการก่อสร้างแล้ว แต่การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จอันเนื่องมาจากความบกพร่อง หรือความผิด หรือเหตุใด ๆ ที่จำเลยต้องรับผิดชอบ จำเลยตกลงจะควบคุมการก่อสร้างต่อไปจนกว่างานจะเสร็จสิ้นโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และวรรคสอง ระบุว่า ในกรณีที่ครบกำหนดระยะเวลารับจ้างควบคุมการก่อสร้างแล้ว แต่การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัยซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ ถ้าโจทก์มีความประสงค์จะว่าจ้างจำเลยต่อไป ให้โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษร นั้น ปรากฏจากสำเนารายงานการประชุม Site Meeting ว่าเหตุที่งานล่าช้าเป็นเพราะจำนวนคนงานของผู้รับเหมาทั้งสองรายมีน้อย และจำเลยได้สั่งให้เร่งดำเนินการเพิ่มจำนวนคนงานมาตลอด ซึ่งตัวแทนของโจทก์ที่เข้าร่วมประชุมก็ได้รับทราบปัญหานี้แล้ว การที่ผู้รับเหมาทั้งสองรายก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญาถือเป็นเหตุสุดวิสัยซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ หาได้เกิดจากความบกพร่อง หรือความผิด หรือเหตุใด ๆ ที่จำเลยต้องรับผิดชอบ อันจะทำให้จำเลยต้องควบคุมการก่อสร้างต่อไปจนกว่างานจะเสร็จสิ้นโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมไม่ ดังจะเห็นได้จากเมื่อครบกำหนดระยะเวลาควบคุมงานในวันที่ 15 มิถุนายน 2558 ตามสัญญาแล้ว งานก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ จำเลยยังคงทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างต่อไปโดยโจทก์ชำระค่าจ้างให้เป็นรายเดือนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ดังนี้ แม้โจทก์ไม่ได้แจ้งความประสงค์จะว่าจ้างจำเลยต่อไปให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษรตามที่ระบุไว้ในสัญญา ก็ถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยตกลงต่อระยะเวลาควบคุมงานตามสัญญาออกไปโดยปริยาย สัญญาว่าจ้างควบคุมงานก่อสร้างระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่โจทก์มีหน้าที่ชำระค่าจ้างให้แก่จำเลยตามระยะเวลาที่จำเลยมาควบคุมงานก่อสร้าง เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าจ้างของเดือนมีนาคม 2559 จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่มาควบคุมงานภายหลังจากนั้น การที่จำเลยไม่มาควบคุมงานตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 เป็นต้นไป จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเพราะทิ้งงาน มีปัญหาต้องพิจารณาต่อไปว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 4 ได้กำหนดขั้นตอนในการบอกเลิกสัญญาว่า ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์จะต้องบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรโดยแจ้งเหตุผลในการที่จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและขอให้จำเลยจัดการปรับปรุงแก้ไขเสียก่อน ถ้าจำเลยละเลยไม่จัดการแก้ไขภายใน 15 วัน โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญา ในข้อนี้ โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 25 เมษายน 2559 แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา และมีหนังสือลงวันที่ 22 มิถุนายน 2559 บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย แต่ตามหนังสือบอกกล่าวดังกล่าวโจทก์เพียงแจ้งให้จำเลยกลับมาทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างภายใน 15 วัน และขอให้จำเลยเรียกบริษัท อ. เข้ามาแก้ไขความบกพร่องที่เกิดจากการทำงานของบริษัทดังกล่าว เมื่อจำเลยเพิกเฉย โจทก์ก็มีหนังสือบอกเลิกสัญญา เท่ากับว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาด้วยเหตุที่จำเลยทิ้งงานและเหตุที่จำเลยไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท อ. ซึ่งทั้งสองเหตุนี้จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาดังที่ได้วินิจฉัยมาในตอนต้น โจทก์ย่อมไม่อาจนำมาเป็นเหตุในการบอกเลิกสัญญาได้ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบ มีผลเท่ากับกับโจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา อย่างไรก็ดี ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 4 วรรคสอง ระบุไว้ในตอนท้ายว่า การที่โจทก์ไม่บอกเลิกสัญญา ไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นจากความรับผิดตามสัญญา ดังนั้น จำเลยจึงยังคงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัท น. ได้ยื่นฟ้องขอให้บังคับโจทก์คืนเงินประกันผลงานและชำระค่าจ้างทำงานก่อสร้างดังกล่าวส่วนที่ยังค้างชำระ โจทก์ฟ้องแย้งขอให้บังคับบริษัท น. ชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการทำงานก่อสร้างบกพร่อง ตามคดีหมายเลขแดงที่ 2309/2561 ของศาลชั้นต้น ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์คืนเงินประกันผลงานที่โจทก์หักไว้จากค่าจ้างในแต่ละงวด รวม 14,256,971.38 บาท และให้รับผิดในค่าจ้างที่ยังไม่ได้ชำระ 7,978,778.68 บาท แก่บริษัท น. โดยให้หักกลบลบหนี้กับค่าเสียหายที่บริษัท น. ทำงานก่อสร้างบกพร่อง เป็นเงิน 4,857,212.97 บาท ซึ่งค่าเสียหายในส่วนของงานก่อสร้างที่บกพร่องเป็นค่าเสียหายจำนวนเดียวกับที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในคดีนี้ ถือเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ จำเลยและบริษัท น. ต้องรับผิดแก่โจทก์เช่นอย่างลูกหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 301 การที่บริษัท น. ชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ด้วยวิธีการหักกลบลบหนี้กับเงินประกันผลงานและค่าจ้างที่โจทก์ค้างชำระ ย่อมเป็นประโยชน์แก่จำเลยด้วยตามมาตรา 292 วรรคหนึ่ง มีผลให้หนี้ของจำเลยในคดีนี้ระงับไป จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แก่โจทก์อีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์ 500,000 บาท นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยจึงต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไปแล้วทั้งหมดให้แก่โจทก์ตามสัญญา นั้น เห็นว่า ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 5 ระบุว่า หากโจทก์บอกเลิกสัญญาตามข้อ 4 แล้ว จำเลยจะต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไว้ให้แก่โจทก์ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าการบอกเลิกสัญญาของโจทก์ไม่ชอบด้วยสัญญาข้อ 4 วรรคสอง ดังที่ได้วินิจฉัยมาในตอนต้น มีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างที่จำเลยได้รับไปแล้วคืน ที่ศาลอุทธรณ์ยกคำขอในส่วนนี้ของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
คดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ 10,039,404.32 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกามีเพียง 9,539,404.32 บาท ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 190,788 บาท และค่าขึ้นศาลอนาคต 100 บาท รวมเป็นเงิน 190,888 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามา 200,000 บาท โดยคิดจากทุนทรัพย์ 10,039,404.32 บาท ซึ่งไม่ถูกต้อง จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลที่เสียเกินมา 9,112 บาท แก่โจทก์
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมา 9,112 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์กับค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์ว่าจ้างจำเลยควบคุมงานก่อสร้างโครงการอาคารชุดของโจทก์ การควบคุมงานในส่วนงานโครงสร้างและงานสถาปัตยกรรมอันเป็นงานก่อสร้างของบริษัท น. งานที่ก่อสร้างมีความชำรุดบกพร่องและยังไม่ได้แก้ไข จำเลยจึงไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมงานให้ถูกต้องตามที่ได้ให้สัญญา เป็นการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่การควบคุมงานในส่วนงานระบบของบริษัท อ. เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าจ้างควบคุมงานของเดือนมีนาคม 2559 จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่มาควบคุมงาน การที่จำเลยไม่มาควบคุมงานตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 ถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเพราะทิ้งงาน ที่โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 25 เมษายน 2559 แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา และมีหนังสือลงวันที่ 22 มิถุนายน 2559 บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย แต่ตามหนังสือบอกกล่าวดังกล่าวโจทก์เพียงแจ้งให้จำเลยกลับมาทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างภายใน 15 วัน และขอให้จำเลยเรียกบริษัท อ. เข้ามาแก้ไขความบกพร่องที่เกิดจากการทำงานของบริษัทดังกล่าว เมื่อจำเลยเพิกเฉย โจทก์ก็มีหนังสือบอกเลิกสัญญา เท่ากับว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาด้วยเหตุที่จำเลยทิ้งงานและเหตุที่จำเลยไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท อ. ซึ่งทั้งสองเหตุนี้จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา โจทก์ย่อมไม่อาจนำมาเป็นเหตุในการบอกเลิกสัญญาได้ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบ มีผลเท่ากับกับโจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา
ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 4 วรรคสอง ระบุไว้ในตอนท้ายว่า การที่โจทก์ไม่บอกเลิกสัญญา ไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นจากความรับผิดตามสัญญา จำเลยจึงยังคงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัท น. ได้ยื่นฟ้องขอให้บังคับโจทก์คืนเงินประกันผลงานและชำระค่าจ้างทำงานก่อสร้างดังกล่าวส่วนที่ยังค้างชำระ โจทก์ฟ้องแย้งขอให้บังคับบริษัท น. ชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการทำงานก่อสร้างบกพร่อง ตามคดีหมายเลขแดงที่ 2309/2561 ของศาลชั้นต้น ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์คืนเงินประกันผลงานที่โจทก์หักไว้จากค่าจ้างในแต่ละงวด รวม 14,256,971.38 บาท และให้รับผิดในค่าจ้างที่ยังไม่ได้ชำระ 7,978,778.68 บาท แก่บริษัท น. โดยให้หักกลบลบหนี้กับค่าเสียหายที่บริษัท น. ทำงานก่อสร้างบกพร่อง เป็นเงิน 4,857,212.97 บาท ซึ่งค่าเสียหายในส่วนของงานก่อสร้างที่บกพร่องเป็นค่าเสียหายจำนวนเดียวกับที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในคดีนี้ ถือเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ จำเลยและบริษัท น. ต้องรับผิดแก่โจทก์เช่นอย่างลูกหนี้ร่วมตาม ป.พ.พ. มาตรา 301 การที่บริษัท น. ชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ด้วยวิธีการหักกลบลบหนี้กับเงินประกันผลงานและค่าจ้างที่โจทก์ค้างชำระ ย่อมเป็นประโยชน์แก่จำเลยด้วยตามมาตรา 292 วรรคหนึ่ง มีผลให้หนี้ของจำเลยในคดีนี้ระงับไป จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แก่โจทก์อีก
ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 5 ระบุว่า หากโจทก์บอกเลิกสัญญาตามข้อ 4 แล้ว จำเลยจะต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไว้ให้แก่โจทก์ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าการบอกเลิกสัญญาของโจทก์ไม่ชอบด้วยสัญญาข้อ 4 วรรคสอง มีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างที่จำเลยได้รับไปแล้วคืน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 27,661,402.03 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 24,022,929.26 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 มิถุนายน 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท
โจทก์และจำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2556 โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยควบคุมงานก่อสร้างโครงการอาคารชุดของโจทก์ ประกอบด้วยงานก่อสร้างปรับปรุงอาคาร A, B และ C งานสถาปัตยกรรมตกแต่งภายใน และงานวิศวกรรมระบบประกอบอาคาร ตกลงค่าจ้างเป็นเงิน 7,366,950 บาท แบ่งชำระเป็น 20 งวดเดือน กำหนดระยะเวลาควบคุมการก่อสร้าง 20 เดือน นับแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2556 และจะควบคุมการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2558 ซึ่งต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2557 โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท น. ก่อสร้างคอนโดมิเนียม อาคาร A, B และ C ในส่วนของงานโครงสร้าง งานสถาปัตยกรรม และงานระบบสุขาภิบาล กำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 25 กรกฎาคม 2558 และทำสัญญาว่าจ้างบริษัท อ. ทำงานระบบประกอบอาคารชุดคอนโดมิเนียม อาคาร A, B และ C ประกอบด้วยงานระบบไฟฟ้าสื่อสาร งานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ งานระบบสุขาภิบาล งานระบบดับเพลิง และงานภายนอกอาคาร กำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 25 กรกฎาคม 2558 จำเลยทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2556 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2558 แต่งานก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ จำเลยยังคงทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างต่อมาโดยได้รับค่าจ้างจากโจทก์เป็นรายเดือน โดยโจทก์ชำระค่าจ้างเพียงถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2559 รวมเป็นเงินค่าจ้างที่จำเลยได้รับจากโจทก์ทั้งสิ้น 9,539,404.32 บาท แต่โจทก์ไม่ชำระค่าจ้างของเดือนมีนาคม 2559 จำเลยจึงหยุดทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 เป็นต้นไป ต่อมาโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 25 เมษายน 2559 แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงมีหนังสือลงวันที่ 22 มิถุนายน 2559 บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย หลังจากนั้นโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 แจ้งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายและเรียกเงินค่าจ้างคืน แต่จำเลยเพิกเฉย บริษัท อ. ยื่นฟ้องโจทก์เรียกค่าจ้างที่ค้างชำระและให้คืนเงินประกันผลงานอันเกิดจากการทำงานตามสัญญาว่าจ้างรับเหมาทำงานระบบประกอบอาคารชุดคอนโดมิเนียม โจทก์ให้การและฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่บริษัท อ. ทำงานล่าช้าและบกพร่อง โดยค่าเสียหายในส่วนของงานบกพร่องนั้นเป็นรายการเดียวกับค่าเสียหายในคดีนี้ที่โจทก์ยื่นฟ้องให้จำเลยรับผิดจากการที่ไม่ได้ควบคุมงานระบบของบริษัท อ. ให้เป็นไปตามสัญญา ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าววินิจฉัยว่าบริษัท อ. ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา และฟังไม่ได้ว่าความชำรุดบกพร่องของงานระบบเกิดจากความผิดของบริษัท อ. แล้วพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าจ้างที่ค้างชำระและคืนเงินประกันผลงานแก่บริษัท อ. และยกฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้โจทก์ฎีกา คดีถึงที่สุดแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยผิดสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างและต้องรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด และตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไปแล้วให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ซึ่งเห็นสมควรวินิจฉัยไปพร้อมกัน โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยทำหน้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ความเสียหายที่โจทก์ฟ้องเกิดจากบริษัท น. ไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่ได้เกิดจากการไม่ปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย ส่วนโจทก์ฎีกาว่า งานของผู้รับเหมายังไม่แล้วเสร็จ เพราะยังไม่ได้ส่งมอบงานตามสัญญาและมีงานบกพร่องที่ผู้รับเหมาจะต้องแก้ไข สัญญาว่าจ้างจำเลยควบคุมงานยังไม่ได้สิ้นสุดลง จำเลยต้องปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาต่อไป แต่จำเลยผิดสัญญาด้วยการทิ้งงาน โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และจำเลยต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไปแล้วให้แก่โจทก์ตามสัญญา เห็นว่า ตามข้อเสนอบริการบริหารงานโครงการและควบคุมงานก่อสร้างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างได้กำหนดขอบเขตการให้บริการไว้ในข้อ 3 ถึงข้อ 5 ว่า จำเลยมีหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้าง โดยทำการควบคุมและกำกับดูแลให้คู่สัญญาของโครงการปฏิบัติตามสัญญาและทำภารกิจต่าง ๆ ให้สำเร็จ ศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนโจทก์ในการตรวจสอบงานต่าง ๆ พร้อมทั้งเสนอความเห็นต่อโจทก์เพื่อใช้ประกอบการตรวจรับมอบงาน ดังนั้น ในช่วงระยะเวลาที่จำเลยมาทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2556 ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2559 จำเลยต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาดังกล่าว ในข้อนี้ โจทก์มีนายกมล กรรมการผู้จัดการโจทก์ และนายพิละพรรธน์ พนักงานของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบและสำรวจความเสียหายของงานก่อสร้าง เบิกความในทำนองเดียวกันว่า โจทก์ตรวจสอบการก่อสร้างของบริษัท น. พบว่าทำงานบกพร่องผิดสัญญาหลายประการ อันเกิดจากจำเลยควบคุมงานไม่ได้คุณภาพ ไม่ได้ใช้ความสามารถของตนในการตรวจสอบถึงความบกพร่องและสั่งให้แก้ไข ส่วนจำเลยมีนายคณบฎหรืออภิชัช พนักงานของจำเลยซึ่งทำงานในตำแหน่งผู้จัดการโครงการก่อสร้างอาคารของโจทก์ เบิกความว่า ขณะทำงานพยานตรวจพบความเสียหายที่เกิดจากการทำงานของบริษัทผู้รับเหมาทั้งสองรายและแจ้งให้ผู้รับเหมาแก้ไขแล้ว รวมทั้งแจ้งให้โจทก์ทราบในระหว่างการประชุมผู้ทำงานด้วย เห็นว่า โจทก์มีภาพถ่ายรอยร้าวของผนังอาคาร ช่องหน้าต่างที่กว้างกว่าบานหน้าต่างเกินมาตรฐาน น้ำที่รั่วเข้าห้องพัก และลานจอดรถใต้อาคารที่มีน้ำท่วมขัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ก่อสร้างชำรุดบกพร่องมาสนับสนุน และสอดคล้องกับรายงานการประชุม Site Meeting ครั้งที่ 65/2558 ที่นายโกสิน ตัวแทนของบริษัท น. แถลงต่อที่ประชุมยอมรับว่าลูกค้าห้องเลขที่ 225, 417 และ 418 อาคาร C แจ้งว่าพื้นลามิเนตยุบ โดยจำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งถึงความชำรุดบกพร่องของงานดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า งานก่อสร้างของบริษัท น. มีความชำรุดบกพร่องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขดังที่โจทก์นำสืบ เมื่อพิจารณาถึงขั้นตอนการทำงานของบริษัท น. ที่ปรากฏในสำเนารายงานการประชุม Site Meeting แล้ว เชื่อว่าบริษัทดังกล่าวก่อสร้างงานชำรุดบกพร่องตั้งแต่ในช่วงระยะเวลาที่จำเลยมาควบคุมงาน แม้จะตรวจพบความชำรุดบกพร่องในภายหลัง แต่ก็ถือว่าอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย หากจำเลยซึ่งเป็นผู้มีวิชาชีพด้านการควบคุมงานก่อสร้างได้ใช้ความรู้ความชำนาญในวิชาชีพทำการควบคุมงานโดยใกล้ชิดและตรวจสอบผลงานก่อสร้างของบริษัท น. ด้วยความละเอียดรอบคอบ ย่อมสามารถตรวจพบความชำรุดบกพร่องของงานก่อสร้างตามที่โจทก์นำสืบและสั่งให้ดำเนินการแก้ไขพร้อมทั้งแจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้ประกอบในการตรวจรับมอบงานได้ไม่ยาก แต่จำเลยกลับไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถูกต้องตามที่ได้ให้สัญญาไว้แก่โจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากงานก่อสร้างของบริษัท น. ที่มีความชำรุดบกพร่องและยังไม่ได้รับการแก้ไข จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่การควบคุมงานในส่วนงานระบบของบริษัท อ. ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ พ.1627/2561 ซึ่งวินิจฉัยว่า บริษัท อ. ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา และฟังไม่ได้ว่าความชำรุดบกพร่องของงานระบบเกิดจากความผิดของบริษัท อ. คดีนี้จึงต้องถือว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท อ. สำหรับข้ออ้างว่าจำเลยทิ้งงานนั้น เห็นว่า ตามข้อเสนอบริการบริหารงานโครงการและควบคุมงานก่อสร้างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างได้กำหนดขอบเขตการให้บริการไว้ในข้อ 8 ว่า จำเลยมีหน้าที่ดูแลผลงานหลังการก่อสร้างเสร็จสิ้นลง โดยยังคงความรับผิดชอบต่อไปจนกว่าความรับผิดของคู่สัญญาของโครงการสิ้นสุดลงและหมดระยะเวลาประกันผลงานทุกสัญญา แสดงว่าหลังจากควบคุมงานก่อสร้างจนเสร็จและโจทก์รับมอบงานจากผู้รับเหมาแล้ว จำเลยยังคงมีหน้าที่ดูแลผลงานหลังการก่อสร้างต่อไปอีกจนหมดระยะเวลารับประกันผลงานก่อสร้างของผู้รับเหมา หาใช่ว่าเมื่อครบกำหนดระยะเวลาควบคุมงานตามที่ระบุในสัญญาแล้วสัญญาจะสิ้นสุดลงทันทีไม่ ส่วนที่สัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 2.2 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ในกรณีที่ครบกำหนดระยะเวลารับจ้างควบคุมการก่อสร้างแล้ว แต่การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จอันเนื่องมาจากความบกพร่อง หรือความผิด หรือเหตุใด ๆ ที่จำเลยต้องรับผิดชอบ จำเลยตกลงจะควบคุมการก่อสร้างต่อไปจนกว่างานจะเสร็จสิ้นโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และวรรคสอง ระบุว่า ในกรณีที่ครบกำหนดระยะเวลารับจ้างควบคุมการก่อสร้างแล้ว แต่การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัยซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ ถ้าโจทก์มีความประสงค์จะว่าจ้างจำเลยต่อไป ให้โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษร นั้น ปรากฏจากสำเนารายงานการประชุม Site Meeting ว่าเหตุที่งานล่าช้าเป็นเพราะจำนวนคนงานของผู้รับเหมาทั้งสองรายมีน้อย และจำเลยได้สั่งให้เร่งดำเนินการเพิ่มจำนวนคนงานมาตลอด ซึ่งตัวแทนของโจทก์ที่เข้าร่วมประชุมก็ได้รับทราบปัญหานี้แล้ว การที่ผู้รับเหมาทั้งสองรายก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญาถือเป็นเหตุสุดวิสัยซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ หาได้เกิดจากความบกพร่อง หรือความผิด หรือเหตุใด ๆ ที่จำเลยต้องรับผิดชอบ อันจะทำให้จำเลยต้องควบคุมการก่อสร้างต่อไปจนกว่างานจะเสร็จสิ้นโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมไม่ ดังจะเห็นได้จากเมื่อครบกำหนดระยะเวลาควบคุมงานในวันที่ 15 มิถุนายน 2558 ตามสัญญาแล้ว งานก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ จำเลยยังคงทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างต่อไปโดยโจทก์ชำระค่าจ้างให้เป็นรายเดือนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ดังนี้ แม้โจทก์ไม่ได้แจ้งความประสงค์จะว่าจ้างจำเลยต่อไปให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษรตามที่ระบุไว้ในสัญญา ก็ถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยตกลงต่อระยะเวลาควบคุมงานตามสัญญาออกไปโดยปริยาย สัญญาว่าจ้างควบคุมงานก่อสร้างระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่โจทก์มีหน้าที่ชำระค่าจ้างให้แก่จำเลยตามระยะเวลาที่จำเลยมาควบคุมงานก่อสร้าง เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าจ้างของเดือนมีนาคม 2559 จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่มาควบคุมงานภายหลังจากนั้น การที่จำเลยไม่มาควบคุมงานตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 เป็นต้นไป จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเพราะทิ้งงาน มีปัญหาต้องพิจารณาต่อไปว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 4 ได้กำหนดขั้นตอนในการบอกเลิกสัญญาว่า ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์จะต้องบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรโดยแจ้งเหตุผลในการที่จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและขอให้จำเลยจัดการปรับปรุงแก้ไขเสียก่อน ถ้าจำเลยละเลยไม่จัดการแก้ไขภายใน 15 วัน โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญา ในข้อนี้ โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 25 เมษายน 2559 แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา และมีหนังสือลงวันที่ 22 มิถุนายน 2559 บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย แต่ตามหนังสือบอกกล่าวดังกล่าวโจทก์เพียงแจ้งให้จำเลยกลับมาทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างภายใน 15 วัน และขอให้จำเลยเรียกบริษัท อ. เข้ามาแก้ไขความบกพร่องที่เกิดจากการทำงานของบริษัทดังกล่าว เมื่อจำเลยเพิกเฉย โจทก์ก็มีหนังสือบอกเลิกสัญญา เท่ากับว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาด้วยเหตุที่จำเลยทิ้งงานและเหตุที่จำเลยไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท อ. ซึ่งทั้งสองเหตุนี้จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาดังที่ได้วินิจฉัยมาในตอนต้น โจทก์ย่อมไม่อาจนำมาเป็นเหตุในการบอกเลิกสัญญาได้ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบ มีผลเท่ากับกับโจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา อย่างไรก็ดี ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 4 วรรคสอง ระบุไว้ในตอนท้ายว่า การที่โจทก์ไม่บอกเลิกสัญญา ไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นจากความรับผิดตามสัญญา ดังนั้น จำเลยจึงยังคงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัท น. ได้ยื่นฟ้องขอให้บังคับโจทก์คืนเงินประกันผลงานและชำระค่าจ้างทำงานก่อสร้างดังกล่าวส่วนที่ยังค้างชำระ โจทก์ฟ้องแย้งขอให้บังคับบริษัท น. ชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการทำงานก่อสร้างบกพร่อง ตามคดีหมายเลขแดงที่ 2309/2561 ของศาลชั้นต้น ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์คืนเงินประกันผลงานที่โจทก์หักไว้จากค่าจ้างในแต่ละงวด รวม 14,256,971.38 บาท และให้รับผิดในค่าจ้างที่ยังไม่ได้ชำระ 7,978,778.68 บาท แก่บริษัท น. โดยให้หักกลบลบหนี้กับค่าเสียหายที่บริษัท น. ทำงานก่อสร้างบกพร่อง เป็นเงิน 4,857,212.97 บาท ซึ่งค่าเสียหายในส่วนของงานก่อสร้างที่บกพร่องเป็นค่าเสียหายจำนวนเดียวกับที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในคดีนี้ ถือเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ จำเลยและบริษัท น. ต้องรับผิดแก่โจทก์เช่นอย่างลูกหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 301 การที่บริษัท น. ชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ด้วยวิธีการหักกลบลบหนี้กับเงินประกันผลงานและค่าจ้างที่โจทก์ค้างชำระ ย่อมเป็นประโยชน์แก่จำเลยด้วยตามมาตรา 292 วรรคหนึ่ง มีผลให้หนี้ของจำเลยในคดีนี้ระงับไป จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาว่าจ้างควบคุมงานในส่วนงานก่อสร้างของบริษัท น. แก่โจทก์อีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์ 500,000 บาท นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยจึงต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไปแล้วทั้งหมดให้แก่โจทก์ตามสัญญา นั้น เห็นว่า ตามสัญญาว่าจ้างวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ข้อ 5 ระบุว่า หากโจทก์บอกเลิกสัญญาตามข้อ 4 แล้ว จำเลยจะต้องคืนเงินค่าจ้างที่ได้รับไว้ให้แก่โจทก์ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าการบอกเลิกสัญญาของโจทก์ไม่ชอบด้วยสัญญาข้อ 4 วรรคสอง ดังที่ได้วินิจฉัยมาในตอนต้น มีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างที่จำเลยได้รับไปแล้วคืน ที่ศาลอุทธรณ์ยกคำขอในส่วนนี้ของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
คดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ 10,039,404.32 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกามีเพียง 9,539,404.32 บาท ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 190,788 บาท และค่าขึ้นศาลอนาคต 100 บาท รวมเป็นเงิน 190,888 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามา 200,000 บาท โดยคิดจากทุนทรัพย์ 10,039,404.32 บาท ซึ่งไม่ถูกต้อง จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลที่เสียเกินมา 9,112 บาท แก่โจทก์
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมา 9,112 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์กับค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
ที่ดินพิพาทมีชื่อ ป. ท. ส. จำเลยที่ 2 และ น. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมโดยเจ้าของรวมเหล่านั้นมิได้แบ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด เมื่อ น. ถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาทส่วนของ น. ย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งมีผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 รวมอยู่ด้วย สำหรับที่ดินพิพาทส่วนของ ส. เมื่อ ส. ถึงแก่ความตายย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งรวมถึงผู้ร้องที่ 4 ด้วย บุตรของ น. และ ส. ทุกคนจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีเช่นเดียวกับ น. และ ส. ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทอยู่แต่เดิม เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่ต้องแจ้งประกาศการขายทอดตลาดให้ทายาททุกคนของ น. และ ส. ทราบ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 331 วรรคสอง และมาตรา 287 (4)การที่จำเลยที่ 2 ป. และ ท. ได้รับแจ้งประกาศขายทอดตลาดนั้นไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรับแจ้งประกาศขายทอดตลาดแทนผู้ร้องทั้งสี่ด้วย เพราะมิใช่เป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 ทั้งไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้ทายาทของเจ้ามรดกที่ได้รับแจ้งข้อเท็จจริงใดให้ถือว่าเป็นการได้รับแจ้งแทนทายาทคนอื่นด้วย การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ทราบจึงเป็นการดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 331 วรรคสองแม้การส่งหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่ความตอนท้ายมาตรา 295 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างใดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควร ข้อเท็จจริงได้ความแต่เพียงว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียทราบ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องทั้งสี่จะสามารถหาบุคคลภายนอกมาประมูลซื้อที่ดินพิพาทในราคาสูงกว่าที่ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ 276,300 บาท ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ในราคา 375,000 บาท สูงกว่าราคาประเมินดังกล่าว ประกอบกับจำเลยที่ 2 และผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นซึ่งได้รับหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดโดยชอบแล้วไม่มาดูแลการขาย จึงเป็นการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทในราคาที่เหมาะสมแล้ว กรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท
คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 115,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้วแต่จำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 53244 และ 53373 ของจำเลยที่ 2 ซึ่งถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับบุคคลอื่น ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องที่ 2 ถึงแก่ความตาย นายเกียรติศักดิ์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 53244 และ 53373 ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนเงินที่ซื้อขายแก่ผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นผู้ซื้อทรัพย์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244 และ 53373 มีชื่อนางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และนายหนู เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมโดยไม่ได้มีการแบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัด นายหนูถึงแก่ความตายไปนานแล้ว ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 นางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และจ่าสิบเอกสมศักดิ์ เป็นบุตรของนายหนู วันที่ 10 กันยายน 2557 นางแสงถึงแก่ความตาย ผู้ร้องที่ 4 และนางสาวมยุรา เป็นบุตรของนางแสง โจทก์แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่านายหนูมีทายาท 4 คน คือ นางแปลง นางทองแดง นางแสงและจำเลยที่ 2 ส่วนนางแสงมีทายาท 1 คน คือ นางสาวมยุรา ต่อมาวันที่ 28 ตุลาคม 2560 เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งประกาศขายทอดตลาดที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 นางแปลง นางทองแดงและนางสาวมยุรา โดยไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของนายหนู และผู้ร้องที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรของนางแสงทราบ วันที่ 4 ธันวาคม 2560 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินทั้งสองแปลงโดยมีผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ซื้อได้ตามลำดับ
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 2 ว่า มีเหตุสมควรเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244 หรือไม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 331 วรรคสอง บัญญัติว่า “ก่อนการขายทอดตลาดทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องแจ้งกำหนดวัน เวลา และสถานที่ซึ่งจะทำการขายทอดตลาดให้บรรดาผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งปรากฏตามทะเบียนหรือประการอื่นได้ทราบด้วย...” และบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 287 (4) ได้แก่ บุคคลผู้เป็นเจ้าของรวมหรือบุคคลผู้มีบุริมสิทธิ สิทธิยึดหน่วง หรือสิทธิอื่นตามมาตรา 322 เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ถูกบังคับคดี ข้อเท็จจริงได้ความว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244 มีชื่อนางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และนายหนู เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม โดยเจ้าของรวมเหล่านั้นมิได้แบ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 นางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และจ่าสิบเอกสมศักดิ์เป็นทายาทโดยธรรมของนายหนู ส่วนผู้ร้องที่ 4 และนางสาวมยุราเป็นทายาทโดยธรรมของนางแสง เมื่อนายหนูถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาทส่วนของนายหนูย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งมีผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 รวมอยู่ด้วย สำหรับที่ดินพิพาทส่วนของนางแสงเมื่อนางแสงถึงแก่ความตายย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งรวมถึงผู้ร้องที่ 4 ด้วย บุตรของนายหนูและนางแสงทุกคนจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีเช่นเดียวกับนายหนูและนางแสงซึ่งเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทอยู่แต่เดิม เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่ต้องแจ้งประกาศการขายทอดตลาดให้ทายาททุกคนของนายหนูและนางแสงทราบ การที่โจทก์มิได้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นทายาทของนายหนู และผู้ร้องที่ 4 เป็นทายาทของนางแสง เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ส่งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ทราบ โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีคงส่งประกาศขายทอดตลาดให้จำเลยที่ 2 นางแปลง นางทองแดง และนางสาวมยุราเท่านั้น ซึ่งการที่จำเลยที่ 2 นางแปลงและนางทองแดงได้รับแจ้งประกาศขายทอดตลาดจากเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรับแจ้งประกาศขายทอดตลาดแทนผู้ร้องทั้งสี่ด้วย เพราะมิใช่เป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 ทั้งไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้ทายาทของเจ้ามรดกที่ได้รับแจ้งข้อเท็จจริงใดให้ถือว่าเป็นการได้รับแจ้งแทนทายาทคนอื่นด้วย การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของนายหนูและนางแสงทราบ จึงเป็นการดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 331 วรรคสอง แต่อย่างไรก็ดี แม้การส่งหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่ความตอนท้ายมาตรา 295 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างใดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควร ข้อเท็จจริงคงได้ความตามคำร้องและทางนำสืบของผู้ร้องทั้งสี่แต่เพียงว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียทราบ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องทั้งสี่จะสามารถหาบุคคลภายนอกมาประมูลซื้อที่ดินพิพาทในราคาสูงกว่าที่ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ 276,300 บาท ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ในราคา 375,000 บาท สูงกว่าราคาประเมินดังกล่าว ประกอบกับจำเลยที่ 2 และผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นซึ่งได้รับหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดโดยชอบแล้วไม่มาดูแลการขาย จึงเป็นการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทในราคาที่เหมาะสมแล้ว กรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่เฉพาะส่วนที่ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 53244 และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนนี้ทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4
ที่ดินพิพาทมีชื่อ ป. ท. ส. จำเลยที่ 2 และ น. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมโดยเจ้าของรวมเหล่านั้นมิได้แบ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด เมื่อ น. ถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาทส่วนของ น. ย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งมีผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 รวมอยู่ด้วย สำหรับที่ดินพิพาทส่วนของ ส. เมื่อ ส. ถึงแก่ความตายย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งรวมถึงผู้ร้องที่ 4 ด้วย บุตรของ น. และ ส. ทุกคนจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีเช่นเดียวกับ น. และ ส. ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทอยู่แต่เดิม เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่ต้องแจ้งประกาศการขายทอดตลาดให้ทายาททุกคนของ น. และ ส. ทราบ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 331 วรรคสอง และมาตรา 287 (4)การที่จำเลยที่ 2 ป. และ ท. ได้รับแจ้งประกาศขายทอดตลาดนั้นไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรับแจ้งประกาศขายทอดตลาดแทนผู้ร้องทั้งสี่ด้วย เพราะมิใช่เป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 ทั้งไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้ทายาทของเจ้ามรดกที่ได้รับแจ้งข้อเท็จจริงใดให้ถือว่าเป็นการได้รับแจ้งแทนทายาทคนอื่นด้วย การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ทราบจึงเป็นการดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 331 วรรคสองแม้การส่งหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่ความตอนท้ายมาตรา 295 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างใดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควร ข้อเท็จจริงได้ความแต่เพียงว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียทราบ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องทั้งสี่จะสามารถหาบุคคลภายนอกมาประมูลซื้อที่ดินพิพาทในราคาสูงกว่าที่ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ 276,300 บาท ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ในราคา 375,000 บาท สูงกว่าราคาประเมินดังกล่าว ประกอบกับจำเลยที่ 2 และผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นซึ่งได้รับหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดโดยชอบแล้วไม่มาดูแลการขาย จึงเป็นการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทในราคาที่เหมาะสมแล้ว กรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท
คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 115,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้วแต่จำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 53244 และ 53373 ของจำเลยที่ 2 ซึ่งถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับบุคคลอื่น ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องที่ 2 ถึงแก่ความตาย นายเกียรติศักดิ์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 53244 และ 53373 ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนเงินที่ซื้อขายแก่ผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นผู้ซื้อทรัพย์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244 และ 53373 มีชื่อนางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และนายหนู เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมโดยไม่ได้มีการแบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัด นายหนูถึงแก่ความตายไปนานแล้ว ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 นางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และจ่าสิบเอกสมศักดิ์ เป็นบุตรของนายหนู วันที่ 10 กันยายน 2557 นางแสงถึงแก่ความตาย ผู้ร้องที่ 4 และนางสาวมยุรา เป็นบุตรของนางแสง โจทก์แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่านายหนูมีทายาท 4 คน คือ นางแปลง นางทองแดง นางแสงและจำเลยที่ 2 ส่วนนางแสงมีทายาท 1 คน คือ นางสาวมยุรา ต่อมาวันที่ 28 ตุลาคม 2560 เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งประกาศขายทอดตลาดที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 นางแปลง นางทองแดงและนางสาวมยุรา โดยไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของนายหนู และผู้ร้องที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรของนางแสงทราบ วันที่ 4 ธันวาคม 2560 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินทั้งสองแปลงโดยมีผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ซื้อได้ตามลำดับ
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 2 ว่า มีเหตุสมควรเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244 หรือไม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 331 วรรคสอง บัญญัติว่า “ก่อนการขายทอดตลาดทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องแจ้งกำหนดวัน เวลา และสถานที่ซึ่งจะทำการขายทอดตลาดให้บรรดาผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งปรากฏตามทะเบียนหรือประการอื่นได้ทราบด้วย...” และบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 287 (4) ได้แก่ บุคคลผู้เป็นเจ้าของรวมหรือบุคคลผู้มีบุริมสิทธิ สิทธิยึดหน่วง หรือสิทธิอื่นตามมาตรา 322 เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ถูกบังคับคดี ข้อเท็จจริงได้ความว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244 มีชื่อนางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และนายหนู เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม โดยเจ้าของรวมเหล่านั้นมิได้แบ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 นางแปลง นางทองแดง นางแสง จำเลยที่ 2 และจ่าสิบเอกสมศักดิ์เป็นทายาทโดยธรรมของนายหนู ส่วนผู้ร้องที่ 4 และนางสาวมยุราเป็นทายาทโดยธรรมของนางแสง เมื่อนายหนูถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาทส่วนของนายหนูย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งมีผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 รวมอยู่ด้วย สำหรับที่ดินพิพาทส่วนของนางแสงเมื่อนางแสงถึงแก่ความตายย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งรวมถึงผู้ร้องที่ 4 ด้วย บุตรของนายหนูและนางแสงทุกคนจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีเช่นเดียวกับนายหนูและนางแสงซึ่งเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทอยู่แต่เดิม เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่ต้องแจ้งประกาศการขายทอดตลาดให้ทายาททุกคนของนายหนูและนางแสงทราบ การที่โจทก์มิได้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นทายาทของนายหนู และผู้ร้องที่ 4 เป็นทายาทของนางแสง เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ส่งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ทราบ โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีคงส่งประกาศขายทอดตลาดให้จำเลยที่ 2 นางแปลง นางทองแดง และนางสาวมยุราเท่านั้น ซึ่งการที่จำเลยที่ 2 นางแปลงและนางทองแดงได้รับแจ้งประกาศขายทอดตลาดจากเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรับแจ้งประกาศขายทอดตลาดแทนผู้ร้องทั้งสี่ด้วย เพราะมิใช่เป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 ทั้งไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้ทายาทของเจ้ามรดกที่ได้รับแจ้งข้อเท็จจริงใดให้ถือว่าเป็นการได้รับแจ้งแทนทายาทคนอื่นด้วย การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของนายหนูและนางแสงทราบ จึงเป็นการดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 331 วรรคสอง แต่อย่างไรก็ดี แม้การส่งหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่ความตอนท้ายมาตรา 295 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างใดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควร ข้อเท็จจริงคงได้ความตามคำร้องและทางนำสืบของผู้ร้องทั้งสี่แต่เพียงว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียทราบ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องทั้งสี่จะสามารถหาบุคคลภายนอกมาประมูลซื้อที่ดินพิพาทในราคาสูงกว่าที่ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ 276,300 บาท ผู้คัดค้านที่ 2 ประมูลซื้อได้ในราคา 375,000 บาท สูงกว่าราคาประเมินดังกล่าว ประกอบกับจำเลยที่ 2 และผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นซึ่งได้รับหมายแจ้งประกาศขายทอดตลาดโดยชอบแล้วไม่มาดูแลการขาย จึงเป็นการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทในราคาที่เหมาะสมแล้ว กรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 53244
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่เฉพาะส่วนที่ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 53244 และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนนี้ทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4
เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว ย่อมมีผลให้โจทก์และจำเลยทั้งสองต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสองทำการงานให้แก่โจทก์แล้วบางส่วนจึงไม่อาจกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้ กรณีจึงต้องบังคับตามมาตรา 391 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้นั้น การที่จะชดใช้คืน ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองยังมีข้อโต้เถียงกันเกี่ยวกับการงานที่ได้ทำไปแล้ว กรณีจึงมีข้อพิจารณาว่า ค่าแห่งการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์นั้นมีเพียงใด เห็นว่า สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางแบบเบ็ดเสร็จที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองมีลักษณะเป็นการเฉพาะ มุ่งประสงค์ถึงผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ คือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมที่โจทก์สามารถนำไปวางจำหน่ายได้ แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองยังไม่เคยผลิตเครื่องสำอางเป็นผลสำเร็จและส่งมอบผลงานให้แก่โจทก์ตามสัญญาได้แม้แต่ชิ้นเดียว แม้จำเลยทั้งสองจะได้ดำเนินการคิดค้น วิเคราะห์วิจัย และพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้โจทก์จนสามารถนำไปขอจดแจ้งต่อนายทะเบียนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตไว้บ้างแล้วก็ตาม แต่ได้ความจากจำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า สูตรในการผลิตเครื่องสำอางดังกล่าวตลอดจนส่วนประกอบหรือส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตนั้นจำเลยทั้งสองไม่ได้บอกให้โจทก์ทราบเนื่องจากต้องเก็บไว้เป็นความลับ หากโจทก์ประสงค์จะผลิตเครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น จะต้องว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ผลิตเท่านั้น แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า โจทก์ไม่สามารถนำสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตที่จำเลยทั้งสองตระเตรียมไว้ไปใช้ประโยชน์หรือว่าจ้างบุคคลภายนอกทำการผลิตต่อให้แล้วเสร็จได้เลย ดังนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 553,734.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 545,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งบังคับโจทก์ชำระเงิน 582,806.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 567,806.50 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยทั้งสอง และให้โจทก์ชำระค่าใช้ประโยชน์ในพื้นที่อัตราเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าโจทก์จะรับสินค้าไปจากจำเลยทั้งสอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง (ที่ถูก และฟ้องแย้ง) ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการค้าเครื่องสำอาง จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการให้บริการผลิตเครื่องสำอาง มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน เมื่อเดือนธันวาคม 2560 โจทก์ว่าจ้างจำเลยทั้งสองผลิตสินค้าประเภทเครื่องสำอางและบรรจุภัณฑ์แบบเบ็ดเสร็จ 3 รายการ คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวพรรณ (Cleansing Balm) ขนาด 90 กรัม 5,000 ชิ้น ครีมกันแดด ขนาด 35 กรัม 3,000 ชิ้น และครีมทาผิวหน้าและตา (Eye and Face Cream) ขนาด 20 กรัม 3,000 ชิ้น รวมค่าวัสดุอุปกรณ์และค่าจ้างเป็นเงิน 1,300,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โจทก์ชำระเงินมัดจำแก่จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 500,000 บาท และค่ายื่นขอเครื่องหมายอนุมัติการให้บริการหรือจำหน่ายใด ๆ ที่ไม่ขัดต่อบัญญัติของศาสนาอิสลามหรือหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาล 45,000 บาท จำเลยที่ 1 ออกแบบบรรจุภัณฑ์และหีบห่อของเครื่องสำอางทั้ง 3 รายการ ไม่เป็นที่พอใจของโจทก์ จึงตกลงกันให้โจทก์เป็นฝ่ายออกแบบเอง แล้วจำเลยที่ 1 นำแบบที่โจทก์ออกแบบไว้ไปจัดพิมพ์ข้อความ ลายเส้น และตัวอักษรลงบนบรรจุภัณฑ์และหีบห่อของเครื่องสำอาง แต่ไม่สามารถกระทำจนสำเร็จได้ เนื่องจากการพิมพ์ไม่มีความคมชัด สีหลุดล่อน ไม่มีความคงทน วันที่ 12 มกราคม 2562 โจทก์ได้บอกเลิกสัญญา และเรียกให้จำเลยทั้งสองชำระเงินมัดจำและค่าดำเนินการขอหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาลคืน ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 จำเลยทั้งสองมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ และเรียกให้โจทก์มารับวัสดุอุปกรณ์ไปจากโรงงาน และชำระค่าใช้ประโยชน์ในพื้นที่จัดเก็บวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์ที่ตระเตรียมไว้สำหรับผลิตเครื่องสำอางแก่จำเลยทั้งสอง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยทั้งสองประการแรกว่า โจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์กับจำเลยทั้งสองสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันหรือไม่ เห็นว่า สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางแบบเบ็ดเสร็จระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองเป็นสัญญาจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 ถือเอาผลสำเร็จของงานคือโจทก์สามารถนำเครื่องสำอางที่ว่าจ้างจำเลยทั้งสองผลิตไปวางจำหน่ายในท้องตลาดได้ ซึ่งในการผลิตเครื่องสำอางดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากโจทก์และจำเลยทั้งสองตรงกันว่า จำเลยทั้งสองผู้รับจ้างเป็นผู้ผลิตทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่คิดค้นพัฒนาสูตรเครื่องสำอาง ขออนุญาตหรือจดแจ้งการผลิตต่อหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ผลิตเครื่องสำอาง คิดชื่อผลิตภัณฑ์ ออกแบบเครื่องหมาย (โลโก้) รวมทั้งออกแบบและผลิตหลอดเครื่องสำอาง กล่อง บรรจุภัณฑ์ ตลอดจนทำการบรรจุเครื่องสำอางลงในกล่องหรือบรรจุภัณฑ์พร้อมสำหรับวางจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคทั่วไป จึงเห็นได้ว่าการออกแบบหลอดและบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นขั้นตอนการผลิตที่สำคัญ ทั้งนี้เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความสวยงามเป็นที่สนใจของลูกค้าสมกับเป็นเครื่องสำอางที่มีคุณภาพและราคาระดับสูงตามความประสงค์ของผู้ว่าจ้าง แต่จำเลยทั้งสองไม่สามารถดำเนินขั้นตอนนี้ให้แล้วเสร็จได้ โดยได้ความจากนางสาวกนกวรรณ กรรมการโจทก์ผู้ติดต่อว่าจ้างจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองได้ออกแบบมาให้โจทก์พิจารณาครั้งแรก เป็นการออกแบบโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ไม่มีความสวยงามและไม่มีเอกลักษณ์ ทั้งยังทำงานล่าช้ามาก โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองแก้ไขแล้ว แต่ยังคงออกแบบมาในลักษณะเดิม โจทก์จึงต้องออกแบบเอง แล้วให้จำเลยทั้งสองไปจัดพิมพ์ตามที่โจทก์ออกแบบไว้ แต่การพิมพ์ข้อความลงบนหลอดและกระปุกเครื่องสำอางยังคงไม่สวยงามและไม่มีความคมชัด แสดงถึงการพิมพ์ที่ไม่มีคุณภาพ ทั้งที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าเครื่องพิมพ์ที่ใช้เป็นชนิดเดียวกับที่ใช้พิมพ์หลอดเครื่องสำอางที่วางขายในห้างสรรพสินค้าหรือเคาน์เตอร์แบรนด์ ซึ่งจำเลยทั้งสองก็นำสืบรับว่า จำเลยทั้งสองได้จัดพิมพ์ข้อความ ลายเส้น และตัวอักษรลงบนบรรจุภัณฑ์และหีบห่อตามที่โจทก์ออกแบบมา แต่สีหลุดล่อนและไม่มีความคงทนถาวรจริง เพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่าวิธีการพิมพ์และสีสันอาจไม่เหมาะสมจึงทำให้เกิดความเสียหายดังกล่าวเท่านั้น จึงรับฟังได้ว่า เหตุความบกพร่องของการพิมพ์ที่ทำให้งานไม่แล้วเสร็จอยู่ในขั้นตอนความรับผิดชอบของจำเลยทั้งสอง และยังไม่มีแนวทางแก้ไขที่จำเลยทั้งสองจะทำให้สำเร็จได้ ดังนั้น แม้ทางนำสืบของโจทก์จะไม่ได้ความชัดว่า จำเลยทั้งสองจะต้องผลิตเครื่องสำอางตามสัญญาว่าจ้างให้แล้วเสร็จเมื่อใด อันถือได้ว่าสัญญาไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนก็ตาม แต่เมื่อจำเลยทั้งสองไม่สามารถผลิตเครื่องสำอางให้แล้วเสร็จตามสัญญาว่าจ้างได้โดยแน่แท้ด้วยเหตุข้างต้น จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจอ้างประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาดังกล่าวได้ กรณีถือได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ในฐานะผู้ว่าจ้างย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตราบใดที่การที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 605 และมาตรา 386 เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองย่อมเป็นอันสิ้นสุดลง แม้ต่อมาจำเลยทั้งสองจะมีหนังสือบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ในภายหลัง ก็ไม่มีผลเป็นการเลิกสัญญาได้อีก กรณีหาใช่เป็นการที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยไม่ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยทั้งสองประการต่อไปว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดคืนเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง และโจทก์ต้องชำระเงินแก่จำเลยทั้งสองตามฟ้องแย้งหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว ย่อมมีผลให้โจทก์และจำเลยทั้งสองต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสองทำการงานให้แก่โจทก์แล้วบางส่วน จึงไม่อาจกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้ กรณีจึงต้องบังคับตามมาตรา 391 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้นั้น การที่จะชดใช้คืน ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองยังมีข้อโต้เถียงกันเกี่ยวกับการงานที่ได้ทำไปแล้ว กรณีจึงมีข้อพิจารณาว่า ค่าแห่งการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์นั้นมีเพียงใด เห็นว่า สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางแบบเบ็ดเสร็จที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองมีลักษณะเป็นการเฉพาะ มุ่งประสงค์ถึงผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ คือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมที่โจทก์สามารถนำไปวางจำหน่ายได้ แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองยังไม่เคยผลิตเครื่องสำอางเป็นผลสำเร็จและส่งมอบผลงานให้แก่โจทก์ตามสัญญาได้แม้แต่ชิ้นเดียว แม้จำเลยทั้งสองจะได้ดำเนินการคิดค้น วิเคราะห์วิจัย และพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้โจทก์จนสามารถนำไปขอจดแจ้งต่อนายทะเบียนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตไว้บ้างแล้วก็ตาม แต่ได้ความจากจำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า สูตรในการผลิตเครื่องสำอางดังกล่าว ตลอดจนส่วนประกอบหรือส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตนั้นจำเลยทั้งสองไม่ได้บอกให้โจทก์ทราบ เนื่องจากต้องเก็บไว้เป็นความลับ หากโจทก์ประสงค์จะผลิตเครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น จะต้องว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ผลิตเท่านั้น แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า โจทก์ไม่สามารถนำสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตที่จำเลยทั้งสองตระเตรียมไว้ไปใช้ประโยชน์หรือว่าจ้างบุคคลภายนอกทำการผลิตต่อให้แล้วเสร็จได้เลย ดังนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดค่าแห่งการงานส่วนนี้ให้จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 508,013 บาท นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย สำหรับค่าดำเนินการขอหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาล 45,000 บาท นั้น มีลักษณะเป็นงานเพิ่มที่โจทก์ว่าจ้างจำเลยทั้งสองทำต่างหากนอกเหนือจากการขออนุญาตหรือจดแจ้งการผลิตต่อหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องตามสัญญาว่าจ้าง เมื่อได้ความว่าจำเลยทั้งสองดำเนินการให้โจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่อาจเรียกคืนได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่กำหนดให้จำเลยทั้งสองคืนเงินส่วนนี้แก่โจทก์นั้นชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ต้องชดใช้เงินที่จำเลยทั้งสองจ่ายไปในการตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ ตลอดจนเป็นค่าจ้างในขั้นตอนการผลิตและพัฒนาสินค้ารวม 1,067,806.50 บาท และค่าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของจำเลยทั้งสองสำหรับจัดวางวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์เดือนละ 5,000 บาท จนกว่าโจทก์จะขนย้ายของออกไปจากโรงงานของจำเลยทั้งสอง และนำมาหักกลบลบหนี้กับเงินมัดจำ 500,000 บาท ที่ต้องคืนให้แก่โจทก์ได้นั้น เป็นการเรียกค่าเสียหายจากการเลิกสัญญา เมื่อจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงไม่อาจเรียกค่าเสียหายดังกล่าวจากโจทก์และนำมาหักกลบลบหนี้ได้ดังที่อ้าง จำเลยทั้งสองจึงต้องคืนเงินมัดจำ 500,000 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันที่ได้รับไว้ แต่โจทก์ขอนับแต่วันผิดนัด (วันที่ 26 มีนาคม 2562) จึงกำหนดให้ตามที่โจทก์ขอ สำหรับจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 กระทำการภายในขอบอำนาจของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เนื่องจากได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา 7 ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละสามต่อปี” และมาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา 224 หนี้เงินนั้น ให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี..” ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 และพระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 7 บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาสามารถยกขึ้นวินิจฉัยเองและกำหนดดอกเบี้ยให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 26 มีนาคม 2562 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งชั้นฎีกาให้เป็นพับ
เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว ย่อมมีผลให้โจทก์และจำเลยทั้งสองต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสองทำการงานให้แก่โจทก์แล้วบางส่วนจึงไม่อาจกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้ กรณีจึงต้องบังคับตามมาตรา 391 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้นั้น การที่จะชดใช้คืน ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองยังมีข้อโต้เถียงกันเกี่ยวกับการงานที่ได้ทำไปแล้ว กรณีจึงมีข้อพิจารณาว่า ค่าแห่งการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์นั้นมีเพียงใด เห็นว่า สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางแบบเบ็ดเสร็จที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองมีลักษณะเป็นการเฉพาะ มุ่งประสงค์ถึงผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ คือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมที่โจทก์สามารถนำไปวางจำหน่ายได้ แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองยังไม่เคยผลิตเครื่องสำอางเป็นผลสำเร็จและส่งมอบผลงานให้แก่โจทก์ตามสัญญาได้แม้แต่ชิ้นเดียว แม้จำเลยทั้งสองจะได้ดำเนินการคิดค้น วิเคราะห์วิจัย และพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้โจทก์จนสามารถนำไปขอจดแจ้งต่อนายทะเบียนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตไว้บ้างแล้วก็ตาม แต่ได้ความจากจำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า สูตรในการผลิตเครื่องสำอางดังกล่าวตลอดจนส่วนประกอบหรือส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตนั้นจำเลยทั้งสองไม่ได้บอกให้โจทก์ทราบเนื่องจากต้องเก็บไว้เป็นความลับ หากโจทก์ประสงค์จะผลิตเครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น จะต้องว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ผลิตเท่านั้น แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า โจทก์ไม่สามารถนำสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตที่จำเลยทั้งสองตระเตรียมไว้ไปใช้ประโยชน์หรือว่าจ้างบุคคลภายนอกทำการผลิตต่อให้แล้วเสร็จได้เลย ดังนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 553,734.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 545,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งบังคับโจทก์ชำระเงิน 582,806.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 567,806.50 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยทั้งสอง และให้โจทก์ชำระค่าใช้ประโยชน์ในพื้นที่อัตราเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าโจทก์จะรับสินค้าไปจากจำเลยทั้งสอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง (ที่ถูก และฟ้องแย้ง) ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการค้าเครื่องสำอาง จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการให้บริการผลิตเครื่องสำอาง มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน เมื่อเดือนธันวาคม 2560 โจทก์ว่าจ้างจำเลยทั้งสองผลิตสินค้าประเภทเครื่องสำอางและบรรจุภัณฑ์แบบเบ็ดเสร็จ 3 รายการ คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวพรรณ (Cleansing Balm) ขนาด 90 กรัม 5,000 ชิ้น ครีมกันแดด ขนาด 35 กรัม 3,000 ชิ้น และครีมทาผิวหน้าและตา (Eye and Face Cream) ขนาด 20 กรัม 3,000 ชิ้น รวมค่าวัสดุอุปกรณ์และค่าจ้างเป็นเงิน 1,300,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โจทก์ชำระเงินมัดจำแก่จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 500,000 บาท และค่ายื่นขอเครื่องหมายอนุมัติการให้บริการหรือจำหน่ายใด ๆ ที่ไม่ขัดต่อบัญญัติของศาสนาอิสลามหรือหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาล 45,000 บาท จำเลยที่ 1 ออกแบบบรรจุภัณฑ์และหีบห่อของเครื่องสำอางทั้ง 3 รายการ ไม่เป็นที่พอใจของโจทก์ จึงตกลงกันให้โจทก์เป็นฝ่ายออกแบบเอง แล้วจำเลยที่ 1 นำแบบที่โจทก์ออกแบบไว้ไปจัดพิมพ์ข้อความ ลายเส้น และตัวอักษรลงบนบรรจุภัณฑ์และหีบห่อของเครื่องสำอาง แต่ไม่สามารถกระทำจนสำเร็จได้ เนื่องจากการพิมพ์ไม่มีความคมชัด สีหลุดล่อน ไม่มีความคงทน วันที่ 12 มกราคม 2562 โจทก์ได้บอกเลิกสัญญา และเรียกให้จำเลยทั้งสองชำระเงินมัดจำและค่าดำเนินการขอหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาลคืน ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 จำเลยทั้งสองมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ และเรียกให้โจทก์มารับวัสดุอุปกรณ์ไปจากโรงงาน และชำระค่าใช้ประโยชน์ในพื้นที่จัดเก็บวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์ที่ตระเตรียมไว้สำหรับผลิตเครื่องสำอางแก่จำเลยทั้งสอง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยทั้งสองประการแรกว่า โจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์กับจำเลยทั้งสองสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันหรือไม่ เห็นว่า สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางแบบเบ็ดเสร็จระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองเป็นสัญญาจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 ถือเอาผลสำเร็จของงานคือโจทก์สามารถนำเครื่องสำอางที่ว่าจ้างจำเลยทั้งสองผลิตไปวางจำหน่ายในท้องตลาดได้ ซึ่งในการผลิตเครื่องสำอางดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากโจทก์และจำเลยทั้งสองตรงกันว่า จำเลยทั้งสองผู้รับจ้างเป็นผู้ผลิตทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่คิดค้นพัฒนาสูตรเครื่องสำอาง ขออนุญาตหรือจดแจ้งการผลิตต่อหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ผลิตเครื่องสำอาง คิดชื่อผลิตภัณฑ์ ออกแบบเครื่องหมาย (โลโก้) รวมทั้งออกแบบและผลิตหลอดเครื่องสำอาง กล่อง บรรจุภัณฑ์ ตลอดจนทำการบรรจุเครื่องสำอางลงในกล่องหรือบรรจุภัณฑ์พร้อมสำหรับวางจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคทั่วไป จึงเห็นได้ว่าการออกแบบหลอดและบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นขั้นตอนการผลิตที่สำคัญ ทั้งนี้เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความสวยงามเป็นที่สนใจของลูกค้าสมกับเป็นเครื่องสำอางที่มีคุณภาพและราคาระดับสูงตามความประสงค์ของผู้ว่าจ้าง แต่จำเลยทั้งสองไม่สามารถดำเนินขั้นตอนนี้ให้แล้วเสร็จได้ โดยได้ความจากนางสาวกนกวรรณ กรรมการโจทก์ผู้ติดต่อว่าจ้างจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองได้ออกแบบมาให้โจทก์พิจารณาครั้งแรก เป็นการออกแบบโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ไม่มีความสวยงามและไม่มีเอกลักษณ์ ทั้งยังทำงานล่าช้ามาก โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองแก้ไขแล้ว แต่ยังคงออกแบบมาในลักษณะเดิม โจทก์จึงต้องออกแบบเอง แล้วให้จำเลยทั้งสองไปจัดพิมพ์ตามที่โจทก์ออกแบบไว้ แต่การพิมพ์ข้อความลงบนหลอดและกระปุกเครื่องสำอางยังคงไม่สวยงามและไม่มีความคมชัด แสดงถึงการพิมพ์ที่ไม่มีคุณภาพ ทั้งที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าเครื่องพิมพ์ที่ใช้เป็นชนิดเดียวกับที่ใช้พิมพ์หลอดเครื่องสำอางที่วางขายในห้างสรรพสินค้าหรือเคาน์เตอร์แบรนด์ ซึ่งจำเลยทั้งสองก็นำสืบรับว่า จำเลยทั้งสองได้จัดพิมพ์ข้อความ ลายเส้น และตัวอักษรลงบนบรรจุภัณฑ์และหีบห่อตามที่โจทก์ออกแบบมา แต่สีหลุดล่อนและไม่มีความคงทนถาวรจริง เพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่าวิธีการพิมพ์และสีสันอาจไม่เหมาะสมจึงทำให้เกิดความเสียหายดังกล่าวเท่านั้น จึงรับฟังได้ว่า เหตุความบกพร่องของการพิมพ์ที่ทำให้งานไม่แล้วเสร็จอยู่ในขั้นตอนความรับผิดชอบของจำเลยทั้งสอง และยังไม่มีแนวทางแก้ไขที่จำเลยทั้งสองจะทำให้สำเร็จได้ ดังนั้น แม้ทางนำสืบของโจทก์จะไม่ได้ความชัดว่า จำเลยทั้งสองจะต้องผลิตเครื่องสำอางตามสัญญาว่าจ้างให้แล้วเสร็จเมื่อใด อันถือได้ว่าสัญญาไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนก็ตาม แต่เมื่อจำเลยทั้งสองไม่สามารถผลิตเครื่องสำอางให้แล้วเสร็จตามสัญญาว่าจ้างได้โดยแน่แท้ด้วยเหตุข้างต้น จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจอ้างประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาดังกล่าวได้ กรณีถือได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ในฐานะผู้ว่าจ้างย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตราบใดที่การที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 605 และมาตรา 386 เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองย่อมเป็นอันสิ้นสุดลง แม้ต่อมาจำเลยทั้งสองจะมีหนังสือบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ในภายหลัง ก็ไม่มีผลเป็นการเลิกสัญญาได้อีก กรณีหาใช่เป็นการที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยไม่ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยทั้งสองประการต่อไปว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดคืนเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง และโจทก์ต้องชำระเงินแก่จำเลยทั้งสองตามฟ้องแย้งหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว ย่อมมีผลให้โจทก์และจำเลยทั้งสองต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสองทำการงานให้แก่โจทก์แล้วบางส่วน จึงไม่อาจกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้ กรณีจึงต้องบังคับตามมาตรา 391 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้นั้น การที่จะชดใช้คืน ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองยังมีข้อโต้เถียงกันเกี่ยวกับการงานที่ได้ทำไปแล้ว กรณีจึงมีข้อพิจารณาว่า ค่าแห่งการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์นั้นมีเพียงใด เห็นว่า สัญญาว่าจ้างผลิตเครื่องสำอางแบบเบ็ดเสร็จที่โจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองมีลักษณะเป็นการเฉพาะ มุ่งประสงค์ถึงผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ คือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมที่โจทก์สามารถนำไปวางจำหน่ายได้ แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองยังไม่เคยผลิตเครื่องสำอางเป็นผลสำเร็จและส่งมอบผลงานให้แก่โจทก์ตามสัญญาได้แม้แต่ชิ้นเดียว แม้จำเลยทั้งสองจะได้ดำเนินการคิดค้น วิเคราะห์วิจัย และพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้โจทก์จนสามารถนำไปขอจดแจ้งต่อนายทะเบียนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตไว้บ้างแล้วก็ตาม แต่ได้ความจากจำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า สูตรในการผลิตเครื่องสำอางดังกล่าว ตลอดจนส่วนประกอบหรือส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตนั้นจำเลยทั้งสองไม่ได้บอกให้โจทก์ทราบ เนื่องจากต้องเก็บไว้เป็นความลับ หากโจทก์ประสงค์จะผลิตเครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น จะต้องว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ผลิตเท่านั้น แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า โจทก์ไม่สามารถนำสูตรผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่จำเลยทั้งสองคิดค้น ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตที่จำเลยทั้งสองตระเตรียมไว้ไปใช้ประโยชน์หรือว่าจ้างบุคคลภายนอกทำการผลิตต่อให้แล้วเสร็จได้เลย ดังนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการงานที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดค่าแห่งการงานส่วนนี้ให้จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 508,013 บาท นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย สำหรับค่าดำเนินการขอหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาล 45,000 บาท นั้น มีลักษณะเป็นงานเพิ่มที่โจทก์ว่าจ้างจำเลยทั้งสองทำต่างหากนอกเหนือจากการขออนุญาตหรือจดแจ้งการผลิตต่อหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องตามสัญญาว่าจ้าง เมื่อได้ความว่าจำเลยทั้งสองดำเนินการให้โจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่อาจเรียกคืนได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่กำหนดให้จำเลยทั้งสองคืนเงินส่วนนี้แก่โจทก์นั้นชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ต้องชดใช้เงินที่จำเลยทั้งสองจ่ายไปในการตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ ตลอดจนเป็นค่าจ้างในขั้นตอนการผลิตและพัฒนาสินค้ารวม 1,067,806.50 บาท และค่าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของจำเลยทั้งสองสำหรับจัดวางวัสดุอุปกรณ์และเคมีภัณฑ์เดือนละ 5,000 บาท จนกว่าโจทก์จะขนย้ายของออกไปจากโรงงานของจำเลยทั้งสอง และนำมาหักกลบลบหนี้กับเงินมัดจำ 500,000 บาท ที่ต้องคืนให้แก่โจทก์ได้นั้น เป็นการเรียกค่าเสียหายจากการเลิกสัญญา เมื่อจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงไม่อาจเรียกค่าเสียหายดังกล่าวจากโจทก์และนำมาหักกลบลบหนี้ได้ดังที่อ้าง จำเลยทั้งสองจึงต้องคืนเงินมัดจำ 500,000 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันที่ได้รับไว้ แต่โจทก์ขอนับแต่วันผิดนัด (วันที่ 26 มีนาคม 2562) จึงกำหนดให้ตามที่โจทก์ขอ สำหรับจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 กระทำการภายในขอบอำนาจของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เนื่องจากได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา 7 ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละสามต่อปี” และมาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา 224 หนี้เงินนั้น ให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี..” ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 และพระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 7 บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาสามารถยกขึ้นวินิจฉัยเองและกำหนดดอกเบี้ยให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 26 มีนาคม 2562 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หนังสือแจ้งความจำนงชำระเงินที่ยืมมีข้อความว่า ธ. ได้ยืมเงินจากผู้ตาย จำนวน 1,000,000 บาท โดยผู้ตายให้ ธ. ผ่อนชำระเดือนละ 4,000 บาท จนเดือนสิงหาคม 2561 ผู้ตายถึงแก่ความตาย ธ. ผ่อนชำระไปแล้ว 48,000 บาท คงเหลือ 952,000 บาท และจะขอผ่อนชำระกับโจทก์ทั้งสอง (ภริยาผู้ตาย) เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะครบ และ ธ. ได้เบิกความยอมรับว่าเป็นผู้ทำเอกสารดังกล่าวด้วยตนเองโดยทำขึ้นหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว เหตุที่ทำเอกสารดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ทั้งสองทวงถามเงินจาก ธ. เมื่อ ธ. มีความรับผิดที่จะต้องชำระหนี้แก่ผู้ตายในขณะที่ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นหนี้สินซึ่งค้างชำระอยู่แก่กองมรดกที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกหรือทายาทอื่นจะเรียกให้ชำระแก่กองมรดกได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1736 วรรคสอง จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกจึงมีเพียงสิทธิเรียกร้องให้ ธ. ชำระหนี้แก่กองมรดกเท่านั้น สิทธิเรียกร้องดังกล่าวไม่อาจแบ่งแยกแก่โจทก์ทั้งสองได้ ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตาย ธ. ได้ชำระเงินคืนแก่กองมรดกเพียงใด จึงยังไม่มีตัวเงินที่จะแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสอง กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกต้องไปว่ากล่าวเรียกร้องให้ ธ. ชำระหนี้แก่กองมรดกเพื่อรวบรวมและแบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสองต่อไป
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ ชำระเงิน 3,732,076.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ แบ่งเงินในบัญชีเงินฝากชื่อบัญชี นายสมกิจ ธนาคาร อ. และธนาคาร ก. รวมทั้งสิ้น 5 บัญชี ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 1,535,342 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นคนละ 1 ส่วนใน 3 ส่วน นับแต่วันที่ปรับปรุงรายการในสมุดบัญชีเงินฝากครั้งสุดท้าย ธนาคาร อ. บัญชีเลขที่ 02004189xxxx นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 และบัญชีเลขที่ 30003376xxxx นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2561 ธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 032 – 1 – 17xxx - x นับแต่วันที่ 4 มกราคม 2562 บัญชีเลขที่ 368 – 2 – 40xxx - x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 และบัญชีเลขที่ 368 – 2 – 00xxx - x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะได้รับแบ่งเงินเสร็จสิ้น และแบ่งเงินที่ได้จากนายธานินทร์ กู้ยืมไปให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 317,333.33 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ แบ่งเงินในบัญชีเงินฝากชื่อบัญชี นายสมกิจ ธนาคาร อ. และธนาคาร ก. รวมทั้งสิ้น 5 บัญชี ให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 1,390,038.47 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองอยู่กินฉันสามีภริยากับนายสมกิจ ผู้ตาย โดยโจทก์ที่ 1 อยู่กินกับผู้ตายตั้งแต่ปี 2509 มีบุตรด้วยกัน 7 คน โจทก์ที่ 2 อยู่กินกับผู้ตายตั้งแต่ปี 2515 มีบุตรด้วยกัน 5 คน ต่อมาปี 2521 ผู้ตายอยู่กินกับนางสาวอนันต์ มีบุตรด้วยกัน 2 คน จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนางสาวอนันต์ซึ่งถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2561 ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามคำสั่งศาล ผู้ตายมีทรัพย์สินคือเงินฝากในบัญชีธนาคาร 5 บัญชี เป็นเงินทั้งสิ้น 4,646,115.42 บาท นายธานินทร์ บุตรของผู้ตายกับโจทก์ที่ 2 ทำหนังสือแจ้งความจำนงขอผ่อนชำระเงินที่ยืมมาจากผู้ตายเป็นค่าสินสอด 1,000,000 บาท คงค้างชำระ 952,000 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสอง
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองต้องแบ่งเงินที่นายธานินทร์กู้ยืมไปจากผู้ตายให้แก่โจทก์ทั้งสองเพียงใด เห็นว่า ตามหนังสือแจ้งความจำนงชำระเงินที่ยืมมาเป็นค่าสินสอด มีข้อความว่า นายธานินทร์ ได้ยืมเงินค่าสินสอดจากผู้ตาย จำนวน 1,000,000 บาท โดยผู้ตายให้นายธานินทร์ผ่อนชำระเดือนละ 4,000 บาท จนเดือนสิงหาคม 2561 ผู้ตายถึงแก่ความตาย นายธานินทร์ผ่อนชำระเงินไปแล้ว 48,000 บาท คงเหลือ 952,000 บาท และจะขอผ่อนชำระกับโจทก์ทั้งสองเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะครบ และนายธานินทร์ได้เบิกความยอมรับว่าเป็นผู้ทำเอกสาร ดังกล่าวด้วยตนเองโดยทำขึ้นหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว เหตุที่ทำเอกสารดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ทั้งสองทวงถามเงินสินสอดจากนายธานินทร์ เมื่อนายธานินทร์มีความรับผิดที่จะต้องชำระหนี้ค่าสินสอดแก่ผู้ตายในขณะที่ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นหนี้สินซึ่งค้างชำระอยู่แก่กองมรดกที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกหรือทายาทอื่นจะเรียกให้ชำระแก่กองมรดกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1736 วรรคสอง จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกจึงมีเพียงสิทธิเรียกร้องให้นายธานินทร์ชำระหนี้แก่กองมรดกเท่านั้น สิทธิเรียกร้องดังกล่าวไม่อาจแบ่งแยกแก่โจทก์ทั้งสองได้ ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตาย นายธานินทร์ได้ชำระเงินคืนแก่กองมรดกเพียงใด จึงยังไม่มีตัวเงินในส่วนนี้ที่จะแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสอง กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกต้องไปว่ากล่าวเรียกร้องให้นายธานินทร์ชำระหนี้แก่กองมรดกเพื่อรวบรวมและแบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสองต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองนำหนี้ของนายธานินทร์ดังกล่าวไปรวมกับเงินฝากในบัญชีธนาคารทั้ง 5 บัญชีตามฟ้องแล้วแบ่งให้โจทก์ทั้งสองจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้ออื่นไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำต้องวินิจฉัย
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดยอดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารตามฟ้องรวม 5 บัญชีเป็นเงิน 4,646,115.42 บาท เกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด ทั้งที่โจทก์ทั้งสองมิได้อุทธรณ์ จึงเป็นการกำหนดยอดเงินที่ไม่ชอบ เห็นควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็นยอดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร รวม 5 บัญชี เป็นเงิน 4,606,027.02 บาท นอกจากนี้คดีนี้โจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินในแต่ละบัญชีของผู้ตายนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระต้นเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยคนละ 1 ใน 3 ส่วน นับแต่วันที่ปรับปรุงรายการในสมุดบัญชีเงินฝากครั้งสุดท้าย ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ตามที่โจทก์ขอ ธนาคาร อ. บัญชีเลขที่ 020 – 0 – 4189xxx - x นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 และบัญชีเลขที่ 300 – 0 – 3376xxx - x นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2561 ธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 032 – 1 – 17xxx – x นับแต่วันที่ 4 มกราคม 2562 บัญชีเลขที่ 368 – 2 – 40xxx – x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 และบัญชีเลขที่ 368 – 2 – 00xxx – x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะได้รับแบ่งเงินเสร็จสิ้น จึงเกินคำขอของโจทก์เป็นการไม่ชอบเช่นกัน ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ แบ่งเงินในบัญชีเงินฝากชื่อบัญชี นายสมกิจ ธนาคาร อ. และธนาคาร ก. รวมทั้งสิ้น 5 บัญชี ให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 1,535,342.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราตามบัญชีเงินฝากในธนาคารแต่ละธนาคารประกาศกำหนดนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หนังสือแจ้งความจำนงชำระเงินที่ยืมมีข้อความว่า ธ. ได้ยืมเงินจากผู้ตาย จำนวน 1,000,000 บาท โดยผู้ตายให้ ธ. ผ่อนชำระเดือนละ 4,000 บาท จนเดือนสิงหาคม 2561 ผู้ตายถึงแก่ความตาย ธ. ผ่อนชำระไปแล้ว 48,000 บาท คงเหลือ 952,000 บาท และจะขอผ่อนชำระกับโจทก์ทั้งสอง (ภริยาผู้ตาย) เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะครบ และ ธ. ได้เบิกความยอมรับว่าเป็นผู้ทำเอกสารดังกล่าวด้วยตนเองโดยทำขึ้นหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว เหตุที่ทำเอกสารดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ทั้งสองทวงถามเงินจาก ธ. เมื่อ ธ. มีความรับผิดที่จะต้องชำระหนี้แก่ผู้ตายในขณะที่ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นหนี้สินซึ่งค้างชำระอยู่แก่กองมรดกที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกหรือทายาทอื่นจะเรียกให้ชำระแก่กองมรดกได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1736 วรรคสอง จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกจึงมีเพียงสิทธิเรียกร้องให้ ธ. ชำระหนี้แก่กองมรดกเท่านั้น สิทธิเรียกร้องดังกล่าวไม่อาจแบ่งแยกแก่โจทก์ทั้งสองได้ ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตาย ธ. ได้ชำระเงินคืนแก่กองมรดกเพียงใด จึงยังไม่มีตัวเงินที่จะแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสอง กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกต้องไปว่ากล่าวเรียกร้องให้ ธ. ชำระหนี้แก่กองมรดกเพื่อรวบรวมและแบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสองต่อไป
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ ชำระเงิน 3,732,076.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ แบ่งเงินในบัญชีเงินฝากชื่อบัญชี นายสมกิจ ธนาคาร อ. และธนาคาร ก. รวมทั้งสิ้น 5 บัญชี ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 1,535,342 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นคนละ 1 ส่วนใน 3 ส่วน นับแต่วันที่ปรับปรุงรายการในสมุดบัญชีเงินฝากครั้งสุดท้าย ธนาคาร อ. บัญชีเลขที่ 02004189xxxx นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 และบัญชีเลขที่ 30003376xxxx นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2561 ธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 032 – 1 – 17xxx - x นับแต่วันที่ 4 มกราคม 2562 บัญชีเลขที่ 368 – 2 – 40xxx - x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 และบัญชีเลขที่ 368 – 2 – 00xxx - x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะได้รับแบ่งเงินเสร็จสิ้น และแบ่งเงินที่ได้จากนายธานินทร์ กู้ยืมไปให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 317,333.33 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ แบ่งเงินในบัญชีเงินฝากชื่อบัญชี นายสมกิจ ธนาคาร อ. และธนาคาร ก. รวมทั้งสิ้น 5 บัญชี ให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 1,390,038.47 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองอยู่กินฉันสามีภริยากับนายสมกิจ ผู้ตาย โดยโจทก์ที่ 1 อยู่กินกับผู้ตายตั้งแต่ปี 2509 มีบุตรด้วยกัน 7 คน โจทก์ที่ 2 อยู่กินกับผู้ตายตั้งแต่ปี 2515 มีบุตรด้วยกัน 5 คน ต่อมาปี 2521 ผู้ตายอยู่กินกับนางสาวอนันต์ มีบุตรด้วยกัน 2 คน จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนางสาวอนันต์ซึ่งถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2561 ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามคำสั่งศาล ผู้ตายมีทรัพย์สินคือเงินฝากในบัญชีธนาคาร 5 บัญชี เป็นเงินทั้งสิ้น 4,646,115.42 บาท นายธานินทร์ บุตรของผู้ตายกับโจทก์ที่ 2 ทำหนังสือแจ้งความจำนงขอผ่อนชำระเงินที่ยืมมาจากผู้ตายเป็นค่าสินสอด 1,000,000 บาท คงค้างชำระ 952,000 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสอง
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองต้องแบ่งเงินที่นายธานินทร์กู้ยืมไปจากผู้ตายให้แก่โจทก์ทั้งสองเพียงใด เห็นว่า ตามหนังสือแจ้งความจำนงชำระเงินที่ยืมมาเป็นค่าสินสอด มีข้อความว่า นายธานินทร์ ได้ยืมเงินค่าสินสอดจากผู้ตาย จำนวน 1,000,000 บาท โดยผู้ตายให้นายธานินทร์ผ่อนชำระเดือนละ 4,000 บาท จนเดือนสิงหาคม 2561 ผู้ตายถึงแก่ความตาย นายธานินทร์ผ่อนชำระเงินไปแล้ว 48,000 บาท คงเหลือ 952,000 บาท และจะขอผ่อนชำระกับโจทก์ทั้งสองเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะครบ และนายธานินทร์ได้เบิกความยอมรับว่าเป็นผู้ทำเอกสาร ดังกล่าวด้วยตนเองโดยทำขึ้นหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว เหตุที่ทำเอกสารดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ทั้งสองทวงถามเงินสินสอดจากนายธานินทร์ เมื่อนายธานินทร์มีความรับผิดที่จะต้องชำระหนี้ค่าสินสอดแก่ผู้ตายในขณะที่ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นหนี้สินซึ่งค้างชำระอยู่แก่กองมรดกที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกหรือทายาทอื่นจะเรียกให้ชำระแก่กองมรดกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1736 วรรคสอง จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกจึงมีเพียงสิทธิเรียกร้องให้นายธานินทร์ชำระหนี้แก่กองมรดกเท่านั้น สิทธิเรียกร้องดังกล่าวไม่อาจแบ่งแยกแก่โจทก์ทั้งสองได้ ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตาย นายธานินทร์ได้ชำระเงินคืนแก่กองมรดกเพียงใด จึงยังไม่มีตัวเงินในส่วนนี้ที่จะแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสอง กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกต้องไปว่ากล่าวเรียกร้องให้นายธานินทร์ชำระหนี้แก่กองมรดกเพื่อรวบรวมและแบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสองต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองนำหนี้ของนายธานินทร์ดังกล่าวไปรวมกับเงินฝากในบัญชีธนาคารทั้ง 5 บัญชีตามฟ้องแล้วแบ่งให้โจทก์ทั้งสองจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้ออื่นไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำต้องวินิจฉัย
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดยอดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารตามฟ้องรวม 5 บัญชีเป็นเงิน 4,646,115.42 บาท เกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด ทั้งที่โจทก์ทั้งสองมิได้อุทธรณ์ จึงเป็นการกำหนดยอดเงินที่ไม่ชอบ เห็นควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็นยอดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร รวม 5 บัญชี เป็นเงิน 4,606,027.02 บาท นอกจากนี้คดีนี้โจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินในแต่ละบัญชีของผู้ตายนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระต้นเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยคนละ 1 ใน 3 ส่วน นับแต่วันที่ปรับปรุงรายการในสมุดบัญชีเงินฝากครั้งสุดท้าย ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ตามที่โจทก์ขอ ธนาคาร อ. บัญชีเลขที่ 020 – 0 – 4189xxx - x นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 และบัญชีเลขที่ 300 – 0 – 3376xxx - x นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2561 ธนาคาร ก. บัญชีเลขที่ 032 – 1 – 17xxx – x นับแต่วันที่ 4 มกราคม 2562 บัญชีเลขที่ 368 – 2 – 40xxx – x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 และบัญชีเลขที่ 368 – 2 – 00xxx – x นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะได้รับแบ่งเงินเสร็จสิ้น จึงเกินคำขอของโจทก์เป็นการไม่ชอบเช่นกัน ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสมกิจ แบ่งเงินในบัญชีเงินฝากชื่อบัญชี นายสมกิจ ธนาคาร อ. และธนาคาร ก. รวมทั้งสิ้น 5 บัญชี ให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 1,535,342.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราตามบัญชีเงินฝากในธนาคารแต่ละธนาคารประกาศกำหนดนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
เมื่อพิจารณาคำฟ้องโจทก์ข้อ 2 แล้ว โจทก์ไม่บรรยายว่า ข้อความเท็จในบัญชีผู้ถือหุ้นของจําเลยที่ 1 ที่โจทก์อ้างเป็นมูลเพื่อขอให้ลงโทษจําเลยทั้งสี่ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ และฐานลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทเพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้นั้น มีข้อความอย่างไร หรือเป็นความเท็จด้วยเหตุใดและความจริงเป็นอย่างไร ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จําเลยทั้งสี่ไม่ยอมออกใบหุ้นให้แก่โจทก์ โจทก์ก็มิได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดและจําเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่เคยมีหนังสือเรียกประชุมผู้ถือหุ้นให้แก่โจทก์ทราบมาก่อน ก็ไม่มีรายละเอียดของการกระทำว่าเป็นการเรียกประชุมครั้งใด เมื่อวันที่เท่าใด อันจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ฯ มาตรา 41 และ 42 อีกทั้งคำขอท้ายฟ้องก็ไม่ได้อ้างบทบัญญัติความผิดอื่นมาด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) (6) ไม่อาจลงโทษจําเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ ส่วนจําเลยที่ 1 แม้ตามป.วิ.อ. มาตรา 170 บัญญัติว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด ซึ่งหมายถึง คู่กรณีไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คดีมีมูลได้ แต่หากคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องไม่ชอบ ซึ่งต้องพิพากษายกฟ้อง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ มาตรา 225
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 267, 268, 352 และพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 41, 42 (1), (2) ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหาย 500,000 บาท เท่ากับจำนวนหุ้นของโจทก์และให้จำเลยที่ 4 โอนหุ้น 5,000 หุ้น ให้แก่โจทก์ และนับโทษจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 648/2564 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 649/2564 ของศาลอาญา
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะข้อหาตามฟ้องข้อ 2 เฉพาะจำเลยที่ 1 ให้ประทับฟ้องจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาในข้อหาดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้ยกฟ้องในข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาตามฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสี่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีของโจทก์ตามฟ้องข้อ 2 มีมูลที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณาสำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาคำฟ้องโจทก์ข้อ 2 แล้วโจทก์ไม่บรรยายว่า ข้อความเท็จในบัญชีผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ที่โจทก์อ้างเป็นมูลเพื่อขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ และฐานลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทเพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้นั้น มีข้อความอย่างไร หรือเป็นความเท็จด้วยเหตุใด และความจริงเป็นอย่างไร ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ไม่ยอมออกใบหุ้นให้แก่โจทก์ โจทก์ก็มิได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดและจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่เคยมีหนังสือเรียกประชุมผู้ถือหุ้นให้แก่โจทก์ทราบมาก่อนก็ไม่มีรายละเอียดของการกระทำว่าเป็นการเรียกประชุมครั้งใด เมื่อวันที่เท่าใด อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 41 และ 42 อีกทั้งคำขอท้ายฟ้องก็ไม่ได้อ้างบทบัญญัติความผิดอื่นมาด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) (6) ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ ส่วนจำเลยที่ 1 แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 บัญญัติว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด ซึ่งหมายถึงคู่ความไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คดีมีมูลได้ แต่หากคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา และศาลฎีกา เห็นว่าฟ้องข้อ 2 ไม่ชอบ ซึ่งต้องพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 จึงต้องยกฟ้องจำเลยที่ 1 ตามฟ้องข้อนี้ด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องของโจทก์ในข้อ 2.1 และข้อ 3 เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์อ้างข้อเท็จจริงรับตามคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่ตามฟ้องข้อ 2 เป็นความผิดต่อเนื่องกับฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยมาข้างต้นแล้วว่าฟ้องข้อ 2 เป็นฟ้องที่ไม่ชอบ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาข้ออ้างอื่นตามฎีกาโจทก์ และพิเคราะห์จากฟ้องข้อ 2.1 ที่โจทก์บรรยายว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแจ้งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ผู้มีอำนาจหน้าที่รับจดแจ้งรายการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับบริษัทจำกัด โดยจำเลยทั้งสี่ร่วมกันแจ้งต่อนายทะเบียนว่า มีการประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 1/2561 และครั้งที่ 1/2563 มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจและผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หากโจทก์จะอ้างว่าการกระทำตามฟ้องข้อ 2.1 และ ข้อ 3 เป็นการกระทำต่อเนื่องจากฟ้องข้อ 2 ซึ่งบรรยายฟ้องไว้ว่าเหตุเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 5 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 16 กันยายน 2560 แต่โดยปกติทั่วไปการประชุมสามัญประจำปี 2561 และปี 2563 ก็ย่อมต้องมีการประชุมในปีนั้น ๆ เมื่อโจทก์บรรยายมาในฟ้องข้อ 2.1 และ ข้อ 3 ว่า การกระทำผิดเกิดจากการประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 1/2561 และครั้งที่ 1/2563 ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่การกระทำตามฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 5 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 16กันยายน 2560 โจทก์จึงไม่อาจอ้างได้ว่าเวลากระทำความผิดตามฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 เกิดขึ้นในวันที่ 5 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 16 กันยายน 2560 ตามที่บรรยายไว้ในฟ้องข้อ 2 ประกอบการกระทำของจำเลยทั้งสี่ตามคำฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 ที่โจทก์อ้างถึงตั้งแต่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันโอนหุ้นของโจทก์โดยใช้นายชัยรัตน์ บิดาโจทก์เป็นเครื่องมือนั้นอาจเป็นการกระทำในวันเวลาใดก็ได้ก่อนที่จะมีการประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2561 และครั้งที่ 1/2563 แต่ฟ้องโจทก์ข้อ 2.1 และข้อ 3 กลับไม่ได้บรรยายวันเวลาแห่งการกระทำใด ๆ ไว้เลย ฟ้องโจทก์ข้อ 2.1 และ ข้อ 3 จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 สำหรับฟ้องข้อ 2 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
เมื่อพิจารณาคำฟ้องโจทก์ข้อ 2 แล้ว โจทก์ไม่บรรยายว่า ข้อความเท็จในบัญชีผู้ถือหุ้นของจําเลยที่ 1 ที่โจทก์อ้างเป็นมูลเพื่อขอให้ลงโทษจําเลยทั้งสี่ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ และฐานลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทเพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้นั้น มีข้อความอย่างไร หรือเป็นความเท็จด้วยเหตุใดและความจริงเป็นอย่างไร ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จําเลยทั้งสี่ไม่ยอมออกใบหุ้นให้แก่โจทก์ โจทก์ก็มิได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดและจําเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่เคยมีหนังสือเรียกประชุมผู้ถือหุ้นให้แก่โจทก์ทราบมาก่อน ก็ไม่มีรายละเอียดของการกระทำว่าเป็นการเรียกประชุมครั้งใด เมื่อวันที่เท่าใด อันจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ฯ มาตรา 41 และ 42 อีกทั้งคำขอท้ายฟ้องก็ไม่ได้อ้างบทบัญญัติความผิดอื่นมาด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) (6) ไม่อาจลงโทษจําเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ ส่วนจําเลยที่ 1 แม้ตามป.วิ.อ. มาตรา 170 บัญญัติว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด ซึ่งหมายถึง คู่กรณีไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คดีมีมูลได้ แต่หากคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องไม่ชอบ ซึ่งต้องพิพากษายกฟ้อง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ มาตรา 225
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 267, 268, 352 และพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 41, 42 (1), (2) ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหาย 500,000 บาท เท่ากับจำนวนหุ้นของโจทก์และให้จำเลยที่ 4 โอนหุ้น 5,000 หุ้น ให้แก่โจทก์ และนับโทษจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 648/2564 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 649/2564 ของศาลอาญา
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะข้อหาตามฟ้องข้อ 2 เฉพาะจำเลยที่ 1 ให้ประทับฟ้องจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาในข้อหาดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้ยกฟ้องในข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาตามฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสี่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีของโจทก์ตามฟ้องข้อ 2 มีมูลที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณาสำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาคำฟ้องโจทก์ข้อ 2 แล้วโจทก์ไม่บรรยายว่า ข้อความเท็จในบัญชีผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ที่โจทก์อ้างเป็นมูลเพื่อขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ และฐานลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทเพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้นั้น มีข้อความอย่างไร หรือเป็นความเท็จด้วยเหตุใด และความจริงเป็นอย่างไร ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ไม่ยอมออกใบหุ้นให้แก่โจทก์ โจทก์ก็มิได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดและจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่เคยมีหนังสือเรียกประชุมผู้ถือหุ้นให้แก่โจทก์ทราบมาก่อนก็ไม่มีรายละเอียดของการกระทำว่าเป็นการเรียกประชุมครั้งใด เมื่อวันที่เท่าใด อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 41 และ 42 อีกทั้งคำขอท้ายฟ้องก็ไม่ได้อ้างบทบัญญัติความผิดอื่นมาด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) (6) ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ ส่วนจำเลยที่ 1 แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 บัญญัติว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด ซึ่งหมายถึงคู่ความไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คดีมีมูลได้ แต่หากคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา และศาลฎีกา เห็นว่าฟ้องข้อ 2 ไม่ชอบ ซึ่งต้องพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 จึงต้องยกฟ้องจำเลยที่ 1 ตามฟ้องข้อนี้ด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องของโจทก์ในข้อ 2.1 และข้อ 3 เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์อ้างข้อเท็จจริงรับตามคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่ตามฟ้องข้อ 2 เป็นความผิดต่อเนื่องกับฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยมาข้างต้นแล้วว่าฟ้องข้อ 2 เป็นฟ้องที่ไม่ชอบ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาข้ออ้างอื่นตามฎีกาโจทก์ และพิเคราะห์จากฟ้องข้อ 2.1 ที่โจทก์บรรยายว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแจ้งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ผู้มีอำนาจหน้าที่รับจดแจ้งรายการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับบริษัทจำกัด โดยจำเลยทั้งสี่ร่วมกันแจ้งต่อนายทะเบียนว่า มีการประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 1/2561 และครั้งที่ 1/2563 มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจและผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หากโจทก์จะอ้างว่าการกระทำตามฟ้องข้อ 2.1 และ ข้อ 3 เป็นการกระทำต่อเนื่องจากฟ้องข้อ 2 ซึ่งบรรยายฟ้องไว้ว่าเหตุเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 5 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 16 กันยายน 2560 แต่โดยปกติทั่วไปการประชุมสามัญประจำปี 2561 และปี 2563 ก็ย่อมต้องมีการประชุมในปีนั้น ๆ เมื่อโจทก์บรรยายมาในฟ้องข้อ 2.1 และ ข้อ 3 ว่า การกระทำผิดเกิดจากการประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 1/2561 และครั้งที่ 1/2563 ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่การกระทำตามฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 5 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 16กันยายน 2560 โจทก์จึงไม่อาจอ้างได้ว่าเวลากระทำความผิดตามฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 เกิดขึ้นในวันที่ 5 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 16 กันยายน 2560 ตามที่บรรยายไว้ในฟ้องข้อ 2 ประกอบการกระทำของจำเลยทั้งสี่ตามคำฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 ที่โจทก์อ้างถึงตั้งแต่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันโอนหุ้นของโจทก์โดยใช้นายชัยรัตน์ บิดาโจทก์เป็นเครื่องมือนั้นอาจเป็นการกระทำในวันเวลาใดก็ได้ก่อนที่จะมีการประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2561 และครั้งที่ 1/2563 แต่ฟ้องโจทก์ข้อ 2.1 และข้อ 3 กลับไม่ได้บรรยายวันเวลาแห่งการกระทำใด ๆ ไว้เลย ฟ้องโจทก์ข้อ 2.1 และ ข้อ 3 จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในฟ้องข้อ 2.1 และข้อ 3 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 สำหรับฟ้องข้อ 2 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 บัญญัติให้มีความผิดมูลฐานเพื่อกำหนดประเภทของความผิดอาญาที่นำมาใช้เป็นฐานในการดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงินต่อบุคคลที่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อทรัพย?สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน และดำเนินการทางแพ่งร้องขอให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินเท่านั้น หาได้บัญญัติความผิดมูลฐานขึ้นมาเป็นฐานความผิดใหม่เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดเหมือนดังเช่นความผิดอาญาทั่วไปไม่ ดังนั้น การพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานจึงไม่จำต้องพิจารณาแยกเป็นรายกรรมเหมือนความผิดอาญาทั่วไป แต่ต้องพิจารณาตามบทนิยามของความผิดมูลฐานนั้น ๆ เมื่อความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ได้กำหนดองค์ประกอบของความผิดในส่วนวงเงินในการกระทําความผิดเพียงว่า มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค?าตั้งแต?ห?าล?านบาทขึ้นไป โดยมิได้ระบุว่าเป็นวงเงินในการกระทำความผิดแต่ละครั้ง จึงต้องพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานในส่วนดังกล่าวจากวงเงินในการเล่นการพนันที่จัดให้มีขึ้นทั้งหมด หากจัดให้มีการเล่นการพนันหลายครั้งต่อเนื่องกันก็ต้องพิจารณาจากวงเงินในการเล่นการพนันทุกครั้งรวมกัน
บ่อนการพนันทั้งสามแห่งจัดให้มีการเล่นการพนันหมุนเวียนกัน เปิดให้เล่นทั้งกลางวันและกลางคืน มีนักพนันหมุนเวียนกันเข้ามาเล่น บางช่วงเวลาถึงกับต้องรอคิวที่จะเล่น โดยเปิดให้เล่นการพนันประเภทไพ่ป๊อกบ่อนละประมาณ 2 ถึง 5 โต๊ะ มีตั้งแต่โต๊ะที่เปิดให้เล่นในราคา 50 บาท 100 บาท 200 บาท 500 บาท 1,000 บาท และ 2,000 บาท หากมีผู้เล่นจำนวนมากก็จะเปิดโต๊ะพนันเพิ่ม การเล่นใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที ต่อตา ผู้เล่นสามารถแทงกับเจ้ามือกี่คนก็ได้ ในการเล่นแต่ละตาหากเป็นโต๊ะ 100 บาท จะมีเงินสะพัดประมาณ 10,000 บาท หากโต๊ะใหญ่ขึ้นจะมีเงินสะพัดประมาณ 30,000 ถึง 60,000 บาท ประกอบกับได้ความว่าทางบ่อนยังรับจำนำทรัพย์สินต่าง ๆ ของผู้เข้าเล่นที่เสียการพนันจนหมดเพื่อนำเงินไปเล่นต่อ โดยในวันเข้าตรวจค้นเจ้าพนักงานสามารถยึดกุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำได้ถึง 63 ดอก แสดงว่าบ่อนทั้งสามแห่งมีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูง นอกจากนี้ยังได้ความจาก ธ. ว่าเป็นหนี้การพนันค้างชำระผู้คัดค้านที่ 1 จำนวนมาก จึงโอนที่ดินสี่แปลงพร้อมอาคารสี่ชั้นตีราคาใช้หนี้การพนันประมาณ 15,000,000 บาท คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 อันเป็นมาตรการทางแพ่ง การพิสูจน์ถึงการกระทำความผิดมูลฐานต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องหาจำต้องนำสืบถึงขนาดให้รับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยเหมือนดังเช่นคดีอาญาไม่ เมื่อพิจารณาจำนวนหนี้การพนันของ ธ. ที่ค้างชำระแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ประกอบพฤติการณ์ที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งเป็นบ่อนการพนันที่มีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูงและเปิดให้เล่นการพนันต่อเนื่องกันมาหลายครั้งเป็นเวลานานหลายปีแล้ว พยานหลักฐานผู้ร้องมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป อันเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกผู้ร้องทั้งสองสำนวนว่า ผู้ร้อง เรียกผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ทั้งสองสำนวนว่า ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ตามลำดับ และเรียกผู้คัดค้านที่ 3 สำนวนแรกว่า ผู้คัดค้านที่ 3
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องทั้งสองสำนวนเป็นใจความว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการพนัน คือ เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป และได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าวอันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยผู้คัดค้านที่ 1 มีพฤติการณ์เปิดให้มีการเล่นการพนันมาตั้งแต่ปี 2548 กรณีปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามประเภททองคำแท่ง ทองคำรูปพรรณ พระเลี่ยมทองคำ งาแกะเลี่ยมทองคำ พระเนื้อต่าง ๆ เครื่องประดับทองคำขาว เหรียญที่ระลึก จตุคาม เหรียญกษาปณ์ ธนบัตรไทย โทรศัพท์เคลื่อนที่ นาฬิกาข้อมือ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่ดินและสิทธิการรับจำนองที่ดิน รวมทั้งเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารต่าง ๆ รวม 344 รายการ และ 4 รายการ ในสำนวนแรกและสำนวนหลัง ราคาประเมิน 92,239,901.87 บาท และ 2,054,000 บาท ตามลำดับ เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวพร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนและประกาศตามกฎหมายแล้ว
ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำคัดค้านทั้งสองสำนวนเป็นใจความว่าขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างไต่สวน นางรวงทิพย์ยื่นคำคัดค้านไม่ให้ทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินท้ายคำร้องในสำนวนแรก ลำดับที่ 66 ตกเป็นของแผ่นดิน ต่อมานางรวงทิพย์ขอถอนคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก รายการที่ 1 ถึง 9, 16, 26, 32 ถึง 71, 73 ถึง 87, 94 ถึง 117, 124 ถึง 153, 160 ถึง 165, 178 ถึง 228, 230, 231, 244 ถึง 279, 281 ถึง 313, 315 ถึง 321, 323 ถึง 330, 339 ถึง 344 และทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง รายการที่ 3 และ 4 ตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง คืนทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก รายการที่ 10 ถึง 15, 27 ถึง 31, 88 ถึง 93, 118 ถึง 123, 154 ถึง 159, 166 ถึง 177, 229, 232 ถึง 243, 280, 314, 322, 331 ถึง 336 แก่ผู้คัดค้านที่ 1 คืนทรัพย์สินรายการที่ 72, 337 และ 338 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินเดียวกันให้แก่ผู้คัดค้านที่ 3 และคืนรถจักรยานยนต์ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง รายการที่ 1 และ 2 แก่ผู้คัดค้านที่ 2 โดยให้ถือเอาบัญชีรายการทรัพย์สินทั้งสองสำนวนเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาฉบับนี้ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำร้องของผู้ร้องบรรยายว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป ซึ่งไม่อยู่ในความหมายของความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ที่ให้หมายความว่า การเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีจำนวนผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นแต่ละครั้งเกินกว่าหนึ่งร้อยคน หรือมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าเกินกว่าสิบล้านบาทขึ้นไป อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการตรวจค้นอาคารทั้งสามแห่งในคดีนี้ กรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์เป็นความผิดมูลฐานที่จะร้องขอให้ทรัพย์สินที่ยึดตกเป็นของแผ่นดิน พิพากษากลับให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เป็นมาตรการทางแพ่ง มติของคณะกรรมการธุรกรรมที่เชื่อว่าทรัพย์สินตามที่ตรวจสอบและมีคำสั่งให้ยึดหรืออายัดไว้เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน และให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ต้องพิจารณาตามบทนิยามของกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติและเลขาธิการส่งเรื่องให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลว่าในขณะดังกล่าวทรัพย์สินที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินนั้นเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานหรือไม่ การที่ผู้ร้องบรรยายคำร้องว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป จึงเป็นการบรรยายคำร้องตามบทนิยามความผิดมูลฐานของมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ที่แก้ไขโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้ส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินแล้ว พิพากษากลับ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาคดีใหม่ในปัญหาตามอุทธรณ์ข้ออื่นของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 10 ถึง 15 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก และให้คืนทรัพย์สินรายการที่ 26, 34, 36 ถึง 38, 178 ถึง 228, 303 ถึง 313, 315 ถึง 321 และ 323 ถึง 330 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้น กับทรัพย์สินรายการที่ 4 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 กับให้คืนทรัพย์สินรายการที่ 2, 3, 10 ถึง 12 และ 19 ถึง 25 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 แต่ให้ทรัพย์สินรายการที่ 13 ถึง 15, 17 และ 18 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าพนักงานตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พระพุทธศักราช 2457 เข้าตรวจค้นอาคารที่สืบทราบว่ามีการจัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งตั้งอยู่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก รวม 3 แห่ง โดยวันที่ 6 มิถุนายน 2557 ตรวจค้นบ้านเลขที่ 26/1 เป็นบ้านพักไม้สองชั้น พบไพ่พลาสติก 186 สำรับ มีนายสุรชัยและนางศศิอ้างว่าเป็นเจ้าของบ้าน วันที่ 7 มิถุนายน 2557 ตรวจค้นอาคารเลขที่ 289/4 ด้านหน้าเป็นบ้านชั้นเดียว ด้านหลังมีทางเชื่อมต่อไปยังโกดัง พบไพ่ป๊อก 4 สำรับ กับแผ่นพลาสติก (ชิป) 33 แผ่น มีนายพิษณุแสดงตัวเป็นผู้ครอบครองบ้าน โดยอ้างว่าเป็นบ้านของพี่ชายตน และวันที่ 9 มิถุนายน 2557 ตรวจค้นโรงแรม จ. ที่ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นเจ้าของ พบนางกานต์สิรี พนักงานของโรงแรมดังกล่าว ขับรถยนต์จะออกจากโรงแรม ตรวจค้นภายในรถพบกุญแจรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวม 16 ดอก กุญแจประตู 14 อัน ชิปวงกลมสำหรับใช้เล่นการพนันพื้นสีแดงมีหมายเลข 50 อัน ชิปวงกลมสำหรับใช้เล่นการพนันพื้นสีเหลืองมีหมายเลข 49 อัน เหรียญพลาสติกสีต่าง ๆ สำหรับใช้เล่นการพนัน 40 อัน แผ่นพลาสติกสีเขียว สีส้ม สีเหลืองทรงสี่เหลี่ยม 13 อัน ลูกเต๋า 3 ลูก ไพ่ป๊อก 4 สำรับ กุญแจรถยนต์ 1 ดอก และอื่น ๆ ตรวจค้นห้องพักคนงานของโรงแรม พบกุญแจรถจักรยานยนต์ 63 ดอก สมุดเงินฝากธนาคาร 1 เล่ม ไพ่ป๊อก 4 สำรับ กุญแจรถยนต์ 1 ดอก พระเครื่อง 1 องค์ ใบซื้อ-ขายฝากทองคำ 1 ฉบับ แผ่นป้ายทะเบียนรถ 1 แผ่น และอื่น ๆ ตรวจค้นรถยนต์ของผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรผู้คัดค้านที่ 1 ที่จอดอยู่ในโรงแรม พบทองคำแท่งน้ำหนักแท่งละ 1 บาท 27 แท่ง พระเครื่องกรอบสีทอง 9 องค์ สร้อยคอสีทองพร้อมพระเครื่องกรอบสีทอง 2 องค์ สร้อยสีทอง 6 เส้น สร้อยสีเงินพร้อมพระเครื่อง 1 เส้น กำไลข้อมือสีขาว 2 วง กำไลข้อมือสีทอง 6 วง แหวนสีขาว 2 วง และแหวนสีทอง 5 วง อยู่ในกระเป๋าสะพาย และตรวจค้นห้องพักในโรงแรมซึ่งเป็นห้องพักไม่มีหมายเลขอยู่ตรงข้ามกับห้องพักหมายเลข 101 โดยมีผู้คัดค้านที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรผู้คัดค้านที่ 1 และเป็นผู้ดูแลโรงแรมนำตรวจค้น พบสมุดบัญชีธนาคารต่าง ๆ 10 เล่ม ทะเบียนรถจักรยานยนต์และรถยนต์อย่างละเล่ม ตู้นิรภัย 1 ใบ กระเป๋าเอกสาร 1 ใบ ภายในมีโฉนดที่ดิน 45 ฉบับ โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง กล่องสีแดงภายในมีสร้อยคอทองคำ 1 เส้น พร้อมพระเลี่ยมทองคำ 1 องค์ นาฬิกา 1 เรือน กระเป๋าสตางค์ 2 ใบ ภายในมีเงินสด 18,520 บาท และ 45,500 บาท เงินสดอยู่ข้างเตียงนอน 10,000 บาท และกระเป๋าหนังภายในมีเงินสด 70,920 บาท และอื่น ๆ ต่อมาวันที่ 10 มิถุนายน 2557 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและเจ้าพนักงานตำรวจเปิดตู้นิรภัย พบเงินสด 26,000 บาท พระเครื่องกรอบสีทอง 71 องค์ แหวนสีเงิน 5 วง แหวนสีทองหัวแก้วสีขาวและสีอื่น 30 วง ต่างหูสีทอง 3 ชิ้น จี้สีทอง 3 ชิ้น แก้วสีฟ้า 1 ชิ้น กำไลสีทองฝังแก้วคล้ายเพชร 1 วง กำไลสีเงิน 2 วง สร้อยข้อมือสีทอง 1 เส้น สร้อยข้อมือสีมุก 1 เส้น กำไลหยก 1 วง เข็มขัดสีทอง สร้อยคอสีดำ สร้อยข้อมือสีทองน้ำหนักรวมประมาณ 3,544.4 กรัม และเงินเหรียญประมาณ 4,000 บาท พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาผู้คัดค้านที่ 1 ว่ากระทำความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานฟอกเงิน และมีหนังสือรายงานต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 พนักงานอัยการพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้คัดค้านที่ 1 แต่คณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาแล้วมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้คัดค้านที่ 1 กับพวกมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว จึงมีมติมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ระหว่างตรวจสอบคณะกรรมการธุรกรรมได้มีมติและเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้มีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามไว้ชั่วคราวหลายรายการ อาทิ ทองคำแท่ง ทองคำรูปพรรณ พระเครื่องเนื้อทองคำ พระเครื่องเลี่ยมทองคำ ธนบัตรไทย รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่ดิน เงินในบัญชีเงินฝากธนาคารต่าง ๆ ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 3/2559 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 และครั้งที่ 6/2559 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2559 คณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาแล้ว กรณีปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามรวม 344 รายการ ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก รวมราคาประเมิน 92,239,901.87 บาท และรวม 4 รายการ ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง รวมราคาประเมิน 2,054,000 บาท เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน จึงมีมติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณาเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ว่า มีการจัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไปหรือไม่ เห็นว่า พยานผู้ร้องเบิกความถึงลักษณะและวิธีการเล่นรวมทั้งสถานที่ที่เข้าไปเล่นการพนันอย่างละเอียดสอดคล้องต้องกัน หากพยานไม่ได้เข้าไปเล่นจริงก็ไม่น่าจะเบิกความในรายละเอียดได้เช่นนั้น ส่วนที่พยานเบิกความเกี่ยวกับจำนวนโต๊ะและราคาที่เปิดให้เล่นในแต่ละโต๊ะแตกต่างกันไปบ้าง น่าจะเป็นเพราะพยานเหล่านั้นไปเล่นคนละวันกันข้อแตกต่างดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นพิรุธ โดยเฉพาะพยานปากนายอนุสรณ์ นางนันทพร นางชุติมา นางมาริสา และนางนิตยา ยังได้จำนำรถจักรยานยนต์ไว้ที่บ่อนบ้านเลขที่ 289/4 และบ่อนบ้านเลขที่ 26/1 ซึ่งภายหลังเจ้าพนักงานยึดกุญแจรถคันที่จำนำได้จากโรงแรม จ. ยิ่งสนับสนุนคำเบิกความของพยานดังกล่าวที่ยืนยันถึงการเข้าไปเล่นการพนันให้หนักแน่นขึ้นไปอีก จึงเชื่อว่าพยานผู้ร้องเบิกความเกี่ยวกับการเล่นการพนันที่เกิดขึ้นตามที่ได้พบเห็นมาจริง เหตุที่ในวันตรวจค้นเจ้าพนักงานไม่พบการเล่นการพนันนั้น น่าจะเป็นเพราะเจ้าพนักงานได้ตรวจค้นบ่อนการพนันที่อาคารข้างโรงแรม ล. และที่โรงแรม อ. ในพื้นที่อำเภอเมืองพิษณุโลกตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2557 ก่อนการตรวจค้นบ่อนการพนันทั้งสามแห่งในคดีนี้ 2 ถึง 5 วัน ย่อมทำให้ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันไหวตัวและขนย้ายอุปกรณ์ที่ใช้เล่นการพนันออกจากบ่อนการพนันทั้งสามแห่งซึ่งอยู่ในท้องที่เดียวกันตั้งแต่ก่อนที่เจ้าพนักงานเข้าไปตรวจค้นแล้ว อย่างไรก็ตาม ในวันตรวจค้นเจ้าพนักงานยังยึดได้ไพ่ป๊อก 4 สำรับ กับแผ่นพลาสติก (ชิป) 33 แผ่น ที่บ้านเลขที่ 289/4 ยึดได้ไพ่พลาสติก 186 สำรับ ที่บ้านเลขที่ 26/1 และยึดได้กุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำ 63 ดอก ที่ห้องพักคนงานในโรงแรม จ. นอกจากนี้ยังยึดกุญแจรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวม 16 ดอก ชิปวงกลมพื้นสีแดง 50 อัน ชิปวงกลมพื้นสีเหลือง 49 อัน เหรียญพลาสติกสีต่าง ๆ 40 อัน แผ่นพลาสติกสีเขียว สีส้ม สีเหลืองทรงสี่เหลี่ยม 13 อัน ลูกเต๋า 3 ลูก ไพ่ป๊อก 4 สำรับ ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้เล่นการพนันในบ่อนได้จากในรถยนต์ของนางกานต์สิรี พนักงานของโรงแรม จ. ขณะจะขับออกจากโรงแรม สอดคล้องกับคำเบิกความของพยานผู้ร้อง ที่นางกานต์สิรีเบิกความเป็นพยานผู้คัดค้านทั้งสามว่า สิ่งของที่เจ้าพนักงานตรวจยึดเป็นของเพื่อนชื่อเมย์ซึ่งลืมไว้ในรถยนต์ที่ขอยืมจากนางกานต์สิรีไปขนของย้ายห้องนั้น เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งในชั้นสอบสวนนางกานต์สิรีให้การว่าตนเป็นลูกค้าที่มาสอบถามห้องพักแต่ห้องพักเต็มจึงขับรถออกไป อันเป็นการบิดเบือนความจริงเพื่อไม่ให้เชื่อมโยงไปถึงโรงแรม จ. ที่ตนเองทำงานอยู่ คำเบิกความของนางกานต์สิรีจึงไม่น่าเชื่อถือ พยานหลักฐานผู้ร้องรับฟังได้ว่า มีการจัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งโดยไม่ได้รับอนุญาตหลายครั้งตั้งแต่ปี 2550 ต่อเนื่องมาถึงปี 2557 ก่อนเจ้าพนักงานเข้าตรวจค้น สำหรับผู้จัดให้มีการเล่นการพนันนั้น พยานผู้ร้องที่จำนำรถจักรยานยนต์ที่บ่อนการพนันเบิกความว่า ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันคือเจ๊เบี้ยว ซึ่งเป็นชื่อเล่นของผู้คัดค้านที่ 1 แม้พยานเหล่านั้นจะไม่ยืนยันว่าเจ๊เบี้ยวคือผู้คัดค้านที่ 1 แต่พยานผู้ร้องปากนางสาวธมนพัชร์ นางธนธิปหรือธันยพร และนางกมลวรรณ ซึ่งรู้จักผู้คัดค้านที่ 1 มาก่อน และมีโอกาสพูดคุยกับผู้คัดค้านที่ 1 เกี่ยวกับการเข้าไปเล่นการพนันที่บ่อนดังกล่าว เบิกความยืนยันว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันที่บ่อนการพนันทั้งสามแห่ง โดยไม่ปรากฏว่าพยานทั้งสามปากมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้คัดค้านที่ 1 มาก่อน คำเบิกความจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง นอกจากนี้ยังได้ความจากนางยุพินพยานผู้ร้องว่า พยานเคยไปเล่นการพนันที่บ่อนบ้านคลอง แต่ถูกผู้คัดค้านที่ 1 จับได้ว่าพยานสับเปลี่ยนไพ่ จึงยึดรถยนต์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของพยานไว้เป็นประกัน พยานไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจในข้อหากรรโชกทรัพย์ สอดคล้องกับสำเนาบันทึกคำให้การของพยานในฐานะผู้กล่าวหาในคดีดังกล่าว โดยได้ความเพิ่มเติมจากพันตำรวจเอกสามารถ พยานผู้ร้องซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนในคดีกรรโชกทรัพย์ตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามค้านว่า คดีดังกล่าวพยานสอบปากคำนายเอกราช นายเอกราชให้การว่าเป็นลูกน้องของเจ๊เบี้ยวหรือผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของบ่อนการพนันเลขที่ 26/1 และสอบปากคำผู้คัดค้านที่ 1 ในฐานะผู้ต้องหา ผู้คัดค้านที่ 1 ให้การว่านางยุพินเล่นการพนันโกงสับเปลี่ยนไพ่ ความข้อนี้ผู้คัดค้านที่ 1 เบิกความตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามติงยอมรับว่า ในวันเกิดเหตุกรรโชกทรัพย์ ผู้คัดค้านที่ 1 ไปที่เกิดเหตุจริง เจือสมกับคำเบิกความของนางยุพิน เพียงแต่บ่ายเบี่ยงเป็นว่านายสราวุธโทรศัพท์บอกให้ไปดูนางยุพินว่าเกิดอะไรขึ้น คำเบิกความของนางยุพินจึงเชื่อถือได้ พฤติการณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 ดังที่ได้ความจากนางยุพินชี้ชัดว่าผู้คัดค้านที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดให้มีการเล่นการพนันที่บ่อนบ้านเลขที่ 26/1 หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าบ่อนบ้านคลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าพนักงานยึดกุญแจรถจักรยานยนต์ที่ผู้เล่นการพนันจำนำไว้ที่บ่อนบ้านเลขที่ 289/4 และบ่อนบ้านเลขที่ 26/1 ได้จากห้องพักคนงานในโรงแรม จ. จำนวนมาก หากผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบ่อนการพนันดังกล่าวย่อมไม่มีเหตุที่จะนำกุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำมาเก็บไว้ที่โรงแรมของผู้คัดค้านที่ 1 ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 นำสืบว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบ่อนการพนันและไม่ได้จัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ทั้งสามแห่งนั้น คงมีแต่ผู้คัดค้านทั้งสามเบิกความลอย ๆ และนางกานต์สิรีซึ่งเบิกความเป็นพิรุธไม่น่าเชื่อถือ ที่นายสุรชัย สามีนางศศิ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 26/1 เบิกความเป็นพยานผู้คัดค้านทั้งสามว่า ไม่รู้จักผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 1 ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบ้านหลังดังกล่าว ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งยังขัดกับคำเบิกความของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ยอมรับว่าได้ไปที่บ้านเลขที่ 26/1 ในวันเกิดเหตุกรรโชกทรัพย์นางยุพินในปี 2551 คำเบิกความของนายสุรชัยจึงไม่น่าเชื่อถือ พยานปากอื่นของผู้คัดค้านทั้งสามนอกจากนี้ก็ล้วนแต่อ้างเพียงว่าพยานไม่เคยทราบว่าผู้คัดค้านที่ 1 เกี่ยวข้องกับการเล่นการพนันเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อนำสืบที่เลื่อนลอยไม่น่าเชื่อถือเช่นกัน พยานหลักฐานผู้ร้องมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานผู้คัดค้านทั้งสาม ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันในสถานที่ที่เจ้าพนักงานตรวจค้นทั้งสามแห่ง ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกาในทำนองว่า คำนวณจำนวนเงินที่เล่นการพนันตามคำเบิกความของพยานผู้ร้องแล้ว ในการเล่นแต่ละครั้งมีวงเงินไม่ถึงห้าล้านบาท นั้น พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้ส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน บัญญัติให้ความผิดมูลฐานตามอนุมาตรานี้หมายความว่า “ความผิดเกี่ยวกับการพนันตามกฎหมายว?าด?วยการพนัน เฉพาะความผิดเกี่ยวกับการเป?นผู?จัดให?มีการเล?นการพนันโดยไม?ได?รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต?ห?าล?านบาทขึ้นไป หรือเป?นการจัดให?มีการเล?นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์” เห็นว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 บัญญัติให้มีความผิดมูลฐานเพื่อกำหนดประเภทของความผิดอาญาที่นำมาใช้เป็นฐานในการดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงินต่อบุคคลที่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อทรัพย?สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน และดำเนินการทางแพ่งร้องขอให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินเท่านั้น หาได้บัญญัติความผิดมูลฐานขึ้นมาเป็นฐานความผิดใหม่เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดเหมือนดังเช่นความผิดอาญาทั่วไปไม่ ดังนั้น การพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานจึงไม่จำต้องพิจารณาแยกเป็นรายกรรมเหมือนความผิดอาญาทั่วไป แต่ต้องพิจารณาตามบทนิยามของความผิดมูลฐานนั้น ๆ เมื่อความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ได้กำหนดองค์ประกอบของความผิดในส่วนวงเงินในการกระทำความผิดเพียงว่า มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค?าตั้งแต?ห?าล?านบาทขึ้นไป โดยมิได้ระบุว่าเป็นวงเงินในการกระทำความผิดแต่ละครั้ง จึงต้องพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานในส่วนดังกล่าวจากวงเงินในการเล่นการพนันที่จัดให้มีขึ้นทั้งหมด หากจัดให้มีการเล่นการพนันหลายครั้งต่อเนื่องกันก็ต้องพิจารณาจากวงเงินในการเล่นการพนันทุกครั้งรวมกัน ในประเด็นข้อนี้ ได้ความจากพยานผู้ร้องซึ่งเคยไปเล่นการพนันที่บ่อนการพนันทั้งสามแห่งว่า บ่อนการพนันทั้งสามแห่งจัดให้มีการเล่นการพนันหมุนเวียนกัน เปิดให้เล่นทั้งกลางวันและกลางคืน มีนักพนันหมุนเวียนกันเข้ามาเล่น บางช่วงเวลาถึงกับต้องรอคิวที่จะเล่น โดยเปิดให้เล่นการพนันประเภทไพ่ป๊อกบ่อนละประมาณ 2 ถึง 5 โต๊ะ มีตั้งแต่โต๊ะที่เปิดให้เล่นในราคา 50 บาท 100 บาท 200 บาท 500 บาท 1,000 บาท และ 2,000 บาท หากมีผู้เล่นจำนวนมากก็จะเปิดโต๊ะพนันเพิ่ม ส่วนวิธีการเล่นได้ความจากนางมาริสาพยานผู้ร้องว่า แต่ละคนจะมีชิปและป้ายวงกลมซึ่งระบุหมายเลขของหลุมไว้ คนเล่นจะไปประจำยังหลุมหมายเลขที่ตนเองได้รับ จะเก็บเงินเมื่อเปิดไพ่แล้ว มีเจ้ามือเรียกว่าแม่ไก่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับคนเล่นซึ่งแต่ละโต๊ะจะมี 5 ถึง 6 คน แจกไพ่ให้คนละ 2 ใบ 25 คน แจกไพ่เสร็จหงายไพ่เลย ใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที ต่อตา ผู้เล่นสามารถแทงกับเจ้ามือกี่คนก็ได้ หากเลือกแทงกับเจ้ามือหลายคนก็ต้องใช้เงินมากขึ้น ผู้เล่นแทงได้คนละ 2 มือ เช่น มีเจ้ามือ 10 คน แทงคนละ 100 บาท ต้องใช้เงิน 1,000 บาท ถ้าเล่น 2 มือ ต้องใช้เงิน 2,000 บาท ต่อตา ในการเล่นแต่ละตาหากเป็นโต๊ะ 100 บาท จะมีเงินสะพัดประมาณ 10,000 บาท หากโต๊ะใหญ่ขึ้นจะมีเงินสะพัดประมาณ 30,000 ถึง 60,000 บาท ประกอบกับได้ความว่าทางบ่อนยังรับจำนำทรัพย์สินต่าง ๆ ของผู้เข้าเล่นที่เสียการพนันจนหมดเพื่อนำเงินไปเล่นต่อ โดยในวันเข้าตรวจค้นเจ้าพนักงานสามารถยึดกุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำได้ถึง 63 ดอก แสดงว่าบ่อนทั้งสามแห่งมีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูง นอกจากนี้ยังได้ความจากนางธนธิปหรือธันยพรพยานผู้ร้องว่า พยานเป็นหนี้การพนันค้างชำระผู้คัดค้านที่ 1 จำนวนมาก จึงนำที่ดินโฉนดเลขที่ 217 และ 147840 ถึง 147842 รวมสี่แปลงพร้อมอาคารสี่ชั้น รวมเป็นเงินประมาณ 26,000,000 บาท ตีราคาใช้หนี้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 โดยการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 217 เป็นแปลงแรกเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2550 เพื่อชำระหนี้การพนัน 7,000,000 บาท ส่วนที่ดินสามแปลงที่เหลือยอมให้ผู้คัดค้านที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวม และต่อมาเมื่อหนี้การพนันของพยานเพิ่มขึ้น ผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้พยานจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในส่วนของพยานให้ผู้คัดค้านที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียว ซึ่งความข้อนี้ผู้คัดค้านที่ 1 เบิกความโต้แย้งว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ซื้อที่ดินดังกล่าวจากนางธนธิปหรือธันยพรจริงในราคา 11,000,000 บาท เนื่องจากนางธนธิปหรือธันยพรเป็นหนี้ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เกือบ 20,000,000 บาท แต่ไม่มีเงินผ่อนชำระหนี้ ผู้คัดค้านที่ 1 จึงนำเงินไปชำระหนี้แทนจนได้ที่ดินทั้งสี่แปลง เห็นว่า หากนางธนธิปหรือธันยพรขายที่ดินทั้งสี่แปลงให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 โดยวิธีให้ผู้คัดค้านที่ 1 ชำระหนี้จำนองแก่ธนาคารแทนตนจริง นางธนธิปหรือธันยพรย่อมต้องจดทะเบียนขายที่ดินทั้งสี่แปลงให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ในวันเดียวกับวันจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง แต่ตามสำเนาสารบัญจดทะเบียนด้านหลังโฉนดที่ดิน ปรากฏว่านางธนธิปหรือธันยพรจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้งสี่แปลงจากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมกันเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2550 แต่ในวันเดียวกันนั้นนางธนธิปหรือธันยพรจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 217 ให้ผู้คัดค้านที่ 1 เพียงแปลงเดียว ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 147840 ถึง 147842 นางธนธิปหรือธันยพรเพียงแต่จดทะเบียนให้ผู้คัดค้านที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวมกับตนโดยไม่มีค่าตอบแทน จากนั้นวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 จดทะเบียนจำนองที่ดินทั้งสามแปลงเฉพาะส่วนของตนไว้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 และวันที่ 12 ตุลาคม 2550 จดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสามแปลงชำระหนี้จำนองดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งขัดแย้งกับคำเบิกความของผู้คัดค้านที่ 1 แต่สอดคล้องกับที่นางธนธิปหรือธันยพรเบิกความข้างต้นและที่เบิกความตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามค้านว่า การจำนองดังกล่าวไม่ได้รับเงินจากผู้คัดค้านที่ 1 ทำให้น่าเชื่อว่านางธนธิปหรือธันยพรโอนที่ดินทั้งสี่แปลงพร้อมอาคารสี่ชั้นซึ่งมีราคารวมประมาณ 26,000,000 บาท ใช้หนี้การพนันแก่ผู้คัดค้านที่ 1 จริง แต่เมื่อนางธนธิปหรือธันยพรเบิกความตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามค้านยอมรับว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ให้เงินไปไถ่ถอนจำนอง 11,000,000 บาท จึงเป็นการตีราคาใช้หนี้การพนันเพียงประมาณ 15,000,000 บาท คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 อันเป็นมาตรการทางแพ่ง การพิสูจน์ถึงการกระทำความผิดมูลฐานต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องหาจำต้องนำสืบถึงขนาดให้รับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยเหมือนดังเช่นคดีอาญาไม่ เมื่อพิจารณาจำนวนหนี้การพนันของนางธนธิปหรือธันยพรที่ค้างชำระแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ประกอบพฤติการณ์ที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งเป็นบ่อนการพนันที่มีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูงและเปิดให้เล่นการพนันต่อเนื่องกันมาหลายครั้งเป็นเวลานานหลายปีดังวินิจฉัยมาข้างต้นแล้ว พยานหลักฐานผู้ร้องมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อโต้แย้งอื่นที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 อ้างมาในฎีกาเพราะเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า ทรัพย์สินที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ตกเป็นของแผ่นดินไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดนั้น ศาลฎีกาไม่ได้อนุญาตให้ฎีกา ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้คัดค้านที่ 1 กระทำความผิดมูลฐาน และพิพากษาให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินจึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 บัญญัติให้มีความผิดมูลฐานเพื่อกำหนดประเภทของความผิดอาญาที่นำมาใช้เป็นฐานในการดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงินต่อบุคคลที่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อทรัพย?สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน และดำเนินการทางแพ่งร้องขอให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินเท่านั้น หาได้บัญญัติความผิดมูลฐานขึ้นมาเป็นฐานความผิดใหม่เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดเหมือนดังเช่นความผิดอาญาทั่วไปไม่ ดังนั้น การพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานจึงไม่จำต้องพิจารณาแยกเป็นรายกรรมเหมือนความผิดอาญาทั่วไป แต่ต้องพิจารณาตามบทนิยามของความผิดมูลฐานนั้น ๆ เมื่อความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ได้กำหนดองค์ประกอบของความผิดในส่วนวงเงินในการกระทําความผิดเพียงว่า มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค?าตั้งแต?ห?าล?านบาทขึ้นไป โดยมิได้ระบุว่าเป็นวงเงินในการกระทำความผิดแต่ละครั้ง จึงต้องพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานในส่วนดังกล่าวจากวงเงินในการเล่นการพนันที่จัดให้มีขึ้นทั้งหมด หากจัดให้มีการเล่นการพนันหลายครั้งต่อเนื่องกันก็ต้องพิจารณาจากวงเงินในการเล่นการพนันทุกครั้งรวมกัน
บ่อนการพนันทั้งสามแห่งจัดให้มีการเล่นการพนันหมุนเวียนกัน เปิดให้เล่นทั้งกลางวันและกลางคืน มีนักพนันหมุนเวียนกันเข้ามาเล่น บางช่วงเวลาถึงกับต้องรอคิวที่จะเล่น โดยเปิดให้เล่นการพนันประเภทไพ่ป๊อกบ่อนละประมาณ 2 ถึง 5 โต๊ะ มีตั้งแต่โต๊ะที่เปิดให้เล่นในราคา 50 บาท 100 บาท 200 บาท 500 บาท 1,000 บาท และ 2,000 บาท หากมีผู้เล่นจำนวนมากก็จะเปิดโต๊ะพนันเพิ่ม การเล่นใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที ต่อตา ผู้เล่นสามารถแทงกับเจ้ามือกี่คนก็ได้ ในการเล่นแต่ละตาหากเป็นโต๊ะ 100 บาท จะมีเงินสะพัดประมาณ 10,000 บาท หากโต๊ะใหญ่ขึ้นจะมีเงินสะพัดประมาณ 30,000 ถึง 60,000 บาท ประกอบกับได้ความว่าทางบ่อนยังรับจำนำทรัพย์สินต่าง ๆ ของผู้เข้าเล่นที่เสียการพนันจนหมดเพื่อนำเงินไปเล่นต่อ โดยในวันเข้าตรวจค้นเจ้าพนักงานสามารถยึดกุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำได้ถึง 63 ดอก แสดงว่าบ่อนทั้งสามแห่งมีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูง นอกจากนี้ยังได้ความจาก ธ. ว่าเป็นหนี้การพนันค้างชำระผู้คัดค้านที่ 1 จำนวนมาก จึงโอนที่ดินสี่แปลงพร้อมอาคารสี่ชั้นตีราคาใช้หนี้การพนันประมาณ 15,000,000 บาท คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 อันเป็นมาตรการทางแพ่ง การพิสูจน์ถึงการกระทำความผิดมูลฐานต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องหาจำต้องนำสืบถึงขนาดให้รับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยเหมือนดังเช่นคดีอาญาไม่ เมื่อพิจารณาจำนวนหนี้การพนันของ ธ. ที่ค้างชำระแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ประกอบพฤติการณ์ที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งเป็นบ่อนการพนันที่มีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูงและเปิดให้เล่นการพนันต่อเนื่องกันมาหลายครั้งเป็นเวลานานหลายปีแล้ว พยานหลักฐานผู้ร้องมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป อันเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกผู้ร้องทั้งสองสำนวนว่า ผู้ร้อง เรียกผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ทั้งสองสำนวนว่า ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ตามลำดับ และเรียกผู้คัดค้านที่ 3 สำนวนแรกว่า ผู้คัดค้านที่ 3
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องทั้งสองสำนวนเป็นใจความว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการพนัน คือ เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป และได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าวอันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยผู้คัดค้านที่ 1 มีพฤติการณ์เปิดให้มีการเล่นการพนันมาตั้งแต่ปี 2548 กรณีปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามประเภททองคำแท่ง ทองคำรูปพรรณ พระเลี่ยมทองคำ งาแกะเลี่ยมทองคำ พระเนื้อต่าง ๆ เครื่องประดับทองคำขาว เหรียญที่ระลึก จตุคาม เหรียญกษาปณ์ ธนบัตรไทย โทรศัพท์เคลื่อนที่ นาฬิกาข้อมือ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่ดินและสิทธิการรับจำนองที่ดิน รวมทั้งเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารต่าง ๆ รวม 344 รายการ และ 4 รายการ ในสำนวนแรกและสำนวนหลัง ราคาประเมิน 92,239,901.87 บาท และ 2,054,000 บาท ตามลำดับ เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวพร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนและประกาศตามกฎหมายแล้ว
ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำคัดค้านทั้งสองสำนวนเป็นใจความว่าขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างไต่สวน นางรวงทิพย์ยื่นคำคัดค้านไม่ให้ทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินท้ายคำร้องในสำนวนแรก ลำดับที่ 66 ตกเป็นของแผ่นดิน ต่อมานางรวงทิพย์ขอถอนคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก รายการที่ 1 ถึง 9, 16, 26, 32 ถึง 71, 73 ถึง 87, 94 ถึง 117, 124 ถึง 153, 160 ถึง 165, 178 ถึง 228, 230, 231, 244 ถึง 279, 281 ถึง 313, 315 ถึง 321, 323 ถึง 330, 339 ถึง 344 และทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง รายการที่ 3 และ 4 ตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง คืนทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก รายการที่ 10 ถึง 15, 27 ถึง 31, 88 ถึง 93, 118 ถึง 123, 154 ถึง 159, 166 ถึง 177, 229, 232 ถึง 243, 280, 314, 322, 331 ถึง 336 แก่ผู้คัดค้านที่ 1 คืนทรัพย์สินรายการที่ 72, 337 และ 338 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินเดียวกันให้แก่ผู้คัดค้านที่ 3 และคืนรถจักรยานยนต์ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง รายการที่ 1 และ 2 แก่ผู้คัดค้านที่ 2 โดยให้ถือเอาบัญชีรายการทรัพย์สินทั้งสองสำนวนเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาฉบับนี้ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำร้องของผู้ร้องบรรยายว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป ซึ่งไม่อยู่ในความหมายของความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ที่ให้หมายความว่า การเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีจำนวนผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นแต่ละครั้งเกินกว่าหนึ่งร้อยคน หรือมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าเกินกว่าสิบล้านบาทขึ้นไป อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการตรวจค้นอาคารทั้งสามแห่งในคดีนี้ กรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์เป็นความผิดมูลฐานที่จะร้องขอให้ทรัพย์สินที่ยึดตกเป็นของแผ่นดิน พิพากษากลับให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เป็นมาตรการทางแพ่ง มติของคณะกรรมการธุรกรรมที่เชื่อว่าทรัพย์สินตามที่ตรวจสอบและมีคำสั่งให้ยึดหรืออายัดไว้เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน และให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ต้องพิจารณาตามบทนิยามของกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติและเลขาธิการส่งเรื่องให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลว่าในขณะดังกล่าวทรัพย์สินที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินนั้นเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานหรือไม่ การที่ผู้ร้องบรรยายคำร้องว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป จึงเป็นการบรรยายคำร้องตามบทนิยามความผิดมูลฐานของมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ที่แก้ไขโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้ส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินแล้ว พิพากษากลับ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาคดีใหม่ในปัญหาตามอุทธรณ์ข้ออื่นของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินรายการที่ 10 ถึง 15 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก และให้คืนทรัพย์สินรายการที่ 26, 34, 36 ถึง 38, 178 ถึง 228, 303 ถึง 313, 315 ถึง 321 และ 323 ถึง 330 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้น กับทรัพย์สินรายการที่ 4 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 กับให้คืนทรัพย์สินรายการที่ 2, 3, 10 ถึง 12 และ 19 ถึง 25 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 แต่ให้ทรัพย์สินรายการที่ 13 ถึง 15, 17 และ 18 ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าพนักงานตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พระพุทธศักราช 2457 เข้าตรวจค้นอาคารที่สืบทราบว่ามีการจัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งตั้งอยู่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก รวม 3 แห่ง โดยวันที่ 6 มิถุนายน 2557 ตรวจค้นบ้านเลขที่ 26/1 เป็นบ้านพักไม้สองชั้น พบไพ่พลาสติก 186 สำรับ มีนายสุรชัยและนางศศิอ้างว่าเป็นเจ้าของบ้าน วันที่ 7 มิถุนายน 2557 ตรวจค้นอาคารเลขที่ 289/4 ด้านหน้าเป็นบ้านชั้นเดียว ด้านหลังมีทางเชื่อมต่อไปยังโกดัง พบไพ่ป๊อก 4 สำรับ กับแผ่นพลาสติก (ชิป) 33 แผ่น มีนายพิษณุแสดงตัวเป็นผู้ครอบครองบ้าน โดยอ้างว่าเป็นบ้านของพี่ชายตน และวันที่ 9 มิถุนายน 2557 ตรวจค้นโรงแรม จ. ที่ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นเจ้าของ พบนางกานต์สิรี พนักงานของโรงแรมดังกล่าว ขับรถยนต์จะออกจากโรงแรม ตรวจค้นภายในรถพบกุญแจรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวม 16 ดอก กุญแจประตู 14 อัน ชิปวงกลมสำหรับใช้เล่นการพนันพื้นสีแดงมีหมายเลข 50 อัน ชิปวงกลมสำหรับใช้เล่นการพนันพื้นสีเหลืองมีหมายเลข 49 อัน เหรียญพลาสติกสีต่าง ๆ สำหรับใช้เล่นการพนัน 40 อัน แผ่นพลาสติกสีเขียว สีส้ม สีเหลืองทรงสี่เหลี่ยม 13 อัน ลูกเต๋า 3 ลูก ไพ่ป๊อก 4 สำรับ กุญแจรถยนต์ 1 ดอก และอื่น ๆ ตรวจค้นห้องพักคนงานของโรงแรม พบกุญแจรถจักรยานยนต์ 63 ดอก สมุดเงินฝากธนาคาร 1 เล่ม ไพ่ป๊อก 4 สำรับ กุญแจรถยนต์ 1 ดอก พระเครื่อง 1 องค์ ใบซื้อ-ขายฝากทองคำ 1 ฉบับ แผ่นป้ายทะเบียนรถ 1 แผ่น และอื่น ๆ ตรวจค้นรถยนต์ของผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรผู้คัดค้านที่ 1 ที่จอดอยู่ในโรงแรม พบทองคำแท่งน้ำหนักแท่งละ 1 บาท 27 แท่ง พระเครื่องกรอบสีทอง 9 องค์ สร้อยคอสีทองพร้อมพระเครื่องกรอบสีทอง 2 องค์ สร้อยสีทอง 6 เส้น สร้อยสีเงินพร้อมพระเครื่อง 1 เส้น กำไลข้อมือสีขาว 2 วง กำไลข้อมือสีทอง 6 วง แหวนสีขาว 2 วง และแหวนสีทอง 5 วง อยู่ในกระเป๋าสะพาย และตรวจค้นห้องพักในโรงแรมซึ่งเป็นห้องพักไม่มีหมายเลขอยู่ตรงข้ามกับห้องพักหมายเลข 101 โดยมีผู้คัดค้านที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรผู้คัดค้านที่ 1 และเป็นผู้ดูแลโรงแรมนำตรวจค้น พบสมุดบัญชีธนาคารต่าง ๆ 10 เล่ม ทะเบียนรถจักรยานยนต์และรถยนต์อย่างละเล่ม ตู้นิรภัย 1 ใบ กระเป๋าเอกสาร 1 ใบ ภายในมีโฉนดที่ดิน 45 ฉบับ โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง กล่องสีแดงภายในมีสร้อยคอทองคำ 1 เส้น พร้อมพระเลี่ยมทองคำ 1 องค์ นาฬิกา 1 เรือน กระเป๋าสตางค์ 2 ใบ ภายในมีเงินสด 18,520 บาท และ 45,500 บาท เงินสดอยู่ข้างเตียงนอน 10,000 บาท และกระเป๋าหนังภายในมีเงินสด 70,920 บาท และอื่น ๆ ต่อมาวันที่ 10 มิถุนายน 2557 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและเจ้าพนักงานตำรวจเปิดตู้นิรภัย พบเงินสด 26,000 บาท พระเครื่องกรอบสีทอง 71 องค์ แหวนสีเงิน 5 วง แหวนสีทองหัวแก้วสีขาวและสีอื่น 30 วง ต่างหูสีทอง 3 ชิ้น จี้สีทอง 3 ชิ้น แก้วสีฟ้า 1 ชิ้น กำไลสีทองฝังแก้วคล้ายเพชร 1 วง กำไลสีเงิน 2 วง สร้อยข้อมือสีทอง 1 เส้น สร้อยข้อมือสีมุก 1 เส้น กำไลหยก 1 วง เข็มขัดสีทอง สร้อยคอสีดำ สร้อยข้อมือสีทองน้ำหนักรวมประมาณ 3,544.4 กรัม และเงินเหรียญประมาณ 4,000 บาท พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาผู้คัดค้านที่ 1 ว่ากระทำความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานฟอกเงิน และมีหนังสือรายงานต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 พนักงานอัยการพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้คัดค้านที่ 1 แต่คณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาแล้วมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้คัดค้านที่ 1 กับพวกมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว จึงมีมติมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ระหว่างตรวจสอบคณะกรรมการธุรกรรมได้มีมติและเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้มีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามไว้ชั่วคราวหลายรายการ อาทิ ทองคำแท่ง ทองคำรูปพรรณ พระเครื่องเนื้อทองคำ พระเครื่องเลี่ยมทองคำ ธนบัตรไทย รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่ดิน เงินในบัญชีเงินฝากธนาคารต่าง ๆ ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 3/2559 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 และครั้งที่ 6/2559 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2559 คณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาแล้ว กรณีปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามรวม 344 รายการ ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนแรก รวมราคาประเมิน 92,239,901.87 บาท และรวม 4 รายการ ตามบัญชีรายการทรัพย์สินในสำนวนหลัง รวมราคาประเมิน 2,054,000 บาท เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน จึงมีมติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณาเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสามตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ว่า มีการจัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไปหรือไม่ เห็นว่า พยานผู้ร้องเบิกความถึงลักษณะและวิธีการเล่นรวมทั้งสถานที่ที่เข้าไปเล่นการพนันอย่างละเอียดสอดคล้องต้องกัน หากพยานไม่ได้เข้าไปเล่นจริงก็ไม่น่าจะเบิกความในรายละเอียดได้เช่นนั้น ส่วนที่พยานเบิกความเกี่ยวกับจำนวนโต๊ะและราคาที่เปิดให้เล่นในแต่ละโต๊ะแตกต่างกันไปบ้าง น่าจะเป็นเพราะพยานเหล่านั้นไปเล่นคนละวันกันข้อแตกต่างดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นพิรุธ โดยเฉพาะพยานปากนายอนุสรณ์ นางนันทพร นางชุติมา นางมาริสา และนางนิตยา ยังได้จำนำรถจักรยานยนต์ไว้ที่บ่อนบ้านเลขที่ 289/4 และบ่อนบ้านเลขที่ 26/1 ซึ่งภายหลังเจ้าพนักงานยึดกุญแจรถคันที่จำนำได้จากโรงแรม จ. ยิ่งสนับสนุนคำเบิกความของพยานดังกล่าวที่ยืนยันถึงการเข้าไปเล่นการพนันให้หนักแน่นขึ้นไปอีก จึงเชื่อว่าพยานผู้ร้องเบิกความเกี่ยวกับการเล่นการพนันที่เกิดขึ้นตามที่ได้พบเห็นมาจริง เหตุที่ในวันตรวจค้นเจ้าพนักงานไม่พบการเล่นการพนันนั้น น่าจะเป็นเพราะเจ้าพนักงานได้ตรวจค้นบ่อนการพนันที่อาคารข้างโรงแรม ล. และที่โรงแรม อ. ในพื้นที่อำเภอเมืองพิษณุโลกตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2557 ก่อนการตรวจค้นบ่อนการพนันทั้งสามแห่งในคดีนี้ 2 ถึง 5 วัน ย่อมทำให้ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันไหวตัวและขนย้ายอุปกรณ์ที่ใช้เล่นการพนันออกจากบ่อนการพนันทั้งสามแห่งซึ่งอยู่ในท้องที่เดียวกันตั้งแต่ก่อนที่เจ้าพนักงานเข้าไปตรวจค้นแล้ว อย่างไรก็ตาม ในวันตรวจค้นเจ้าพนักงานยังยึดได้ไพ่ป๊อก 4 สำรับ กับแผ่นพลาสติก (ชิป) 33 แผ่น ที่บ้านเลขที่ 289/4 ยึดได้ไพ่พลาสติก 186 สำรับ ที่บ้านเลขที่ 26/1 และยึดได้กุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำ 63 ดอก ที่ห้องพักคนงานในโรงแรม จ. นอกจากนี้ยังยึดกุญแจรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวม 16 ดอก ชิปวงกลมพื้นสีแดง 50 อัน ชิปวงกลมพื้นสีเหลือง 49 อัน เหรียญพลาสติกสีต่าง ๆ 40 อัน แผ่นพลาสติกสีเขียว สีส้ม สีเหลืองทรงสี่เหลี่ยม 13 อัน ลูกเต๋า 3 ลูก ไพ่ป๊อก 4 สำรับ ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้เล่นการพนันในบ่อนได้จากในรถยนต์ของนางกานต์สิรี พนักงานของโรงแรม จ. ขณะจะขับออกจากโรงแรม สอดคล้องกับคำเบิกความของพยานผู้ร้อง ที่นางกานต์สิรีเบิกความเป็นพยานผู้คัดค้านทั้งสามว่า สิ่งของที่เจ้าพนักงานตรวจยึดเป็นของเพื่อนชื่อเมย์ซึ่งลืมไว้ในรถยนต์ที่ขอยืมจากนางกานต์สิรีไปขนของย้ายห้องนั้น เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งในชั้นสอบสวนนางกานต์สิรีให้การว่าตนเป็นลูกค้าที่มาสอบถามห้องพักแต่ห้องพักเต็มจึงขับรถออกไป อันเป็นการบิดเบือนความจริงเพื่อไม่ให้เชื่อมโยงไปถึงโรงแรม จ. ที่ตนเองทำงานอยู่ คำเบิกความของนางกานต์สิรีจึงไม่น่าเชื่อถือ พยานหลักฐานผู้ร้องรับฟังได้ว่า มีการจัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งโดยไม่ได้รับอนุญาตหลายครั้งตั้งแต่ปี 2550 ต่อเนื่องมาถึงปี 2557 ก่อนเจ้าพนักงานเข้าตรวจค้น สำหรับผู้จัดให้มีการเล่นการพนันนั้น พยานผู้ร้องที่จำนำรถจักรยานยนต์ที่บ่อนการพนันเบิกความว่า ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันคือเจ๊เบี้ยว ซึ่งเป็นชื่อเล่นของผู้คัดค้านที่ 1 แม้พยานเหล่านั้นจะไม่ยืนยันว่าเจ๊เบี้ยวคือผู้คัดค้านที่ 1 แต่พยานผู้ร้องปากนางสาวธมนพัชร์ นางธนธิปหรือธันยพร และนางกมลวรรณ ซึ่งรู้จักผู้คัดค้านที่ 1 มาก่อน และมีโอกาสพูดคุยกับผู้คัดค้านที่ 1 เกี่ยวกับการเข้าไปเล่นการพนันที่บ่อนดังกล่าว เบิกความยืนยันว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันที่บ่อนการพนันทั้งสามแห่ง โดยไม่ปรากฏว่าพยานทั้งสามปากมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้คัดค้านที่ 1 มาก่อน คำเบิกความจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง นอกจากนี้ยังได้ความจากนางยุพินพยานผู้ร้องว่า พยานเคยไปเล่นการพนันที่บ่อนบ้านคลอง แต่ถูกผู้คัดค้านที่ 1 จับได้ว่าพยานสับเปลี่ยนไพ่ จึงยึดรถยนต์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของพยานไว้เป็นประกัน พยานไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจในข้อหากรรโชกทรัพย์ สอดคล้องกับสำเนาบันทึกคำให้การของพยานในฐานะผู้กล่าวหาในคดีดังกล่าว โดยได้ความเพิ่มเติมจากพันตำรวจเอกสามารถ พยานผู้ร้องซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนในคดีกรรโชกทรัพย์ตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามค้านว่า คดีดังกล่าวพยานสอบปากคำนายเอกราช นายเอกราชให้การว่าเป็นลูกน้องของเจ๊เบี้ยวหรือผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของบ่อนการพนันเลขที่ 26/1 และสอบปากคำผู้คัดค้านที่ 1 ในฐานะผู้ต้องหา ผู้คัดค้านที่ 1 ให้การว่านางยุพินเล่นการพนันโกงสับเปลี่ยนไพ่ ความข้อนี้ผู้คัดค้านที่ 1 เบิกความตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามติงยอมรับว่า ในวันเกิดเหตุกรรโชกทรัพย์ ผู้คัดค้านที่ 1 ไปที่เกิดเหตุจริง เจือสมกับคำเบิกความของนางยุพิน เพียงแต่บ่ายเบี่ยงเป็นว่านายสราวุธโทรศัพท์บอกให้ไปดูนางยุพินว่าเกิดอะไรขึ้น คำเบิกความของนางยุพินจึงเชื่อถือได้ พฤติการณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 ดังที่ได้ความจากนางยุพินชี้ชัดว่าผู้คัดค้านที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดให้มีการเล่นการพนันที่บ่อนบ้านเลขที่ 26/1 หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าบ่อนบ้านคลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าพนักงานยึดกุญแจรถจักรยานยนต์ที่ผู้เล่นการพนันจำนำไว้ที่บ่อนบ้านเลขที่ 289/4 และบ่อนบ้านเลขที่ 26/1 ได้จากห้องพักคนงานในโรงแรม จ. จำนวนมาก หากผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบ่อนการพนันดังกล่าวย่อมไม่มีเหตุที่จะนำกุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำมาเก็บไว้ที่โรงแรมของผู้คัดค้านที่ 1 ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 นำสืบว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบ่อนการพนันและไม่ได้จัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ทั้งสามแห่งนั้น คงมีแต่ผู้คัดค้านทั้งสามเบิกความลอย ๆ และนางกานต์สิรีซึ่งเบิกความเป็นพิรุธไม่น่าเชื่อถือ ที่นายสุรชัย สามีนางศศิ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 26/1 เบิกความเป็นพยานผู้คัดค้านทั้งสามว่า ไม่รู้จักผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 1 ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบ้านหลังดังกล่าว ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งยังขัดกับคำเบิกความของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ยอมรับว่าได้ไปที่บ้านเลขที่ 26/1 ในวันเกิดเหตุกรรโชกทรัพย์นางยุพินในปี 2551 คำเบิกความของนายสุรชัยจึงไม่น่าเชื่อถือ พยานปากอื่นของผู้คัดค้านทั้งสามนอกจากนี้ก็ล้วนแต่อ้างเพียงว่าพยานไม่เคยทราบว่าผู้คัดค้านที่ 1 เกี่ยวข้องกับการเล่นการพนันเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อนำสืบที่เลื่อนลอยไม่น่าเชื่อถือเช่นกัน พยานหลักฐานผู้ร้องมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานผู้คัดค้านทั้งสาม ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันในสถานที่ที่เจ้าพนักงานตรวจค้นทั้งสามแห่ง ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกาในทำนองว่า คำนวณจำนวนเงินที่เล่นการพนันตามคำเบิกความของพยานผู้ร้องแล้ว ในการเล่นแต่ละครั้งมีวงเงินไม่ถึงห้าล้านบาท นั้น พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้ส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน บัญญัติให้ความผิดมูลฐานตามอนุมาตรานี้หมายความว่า “ความผิดเกี่ยวกับการพนันตามกฎหมายว?าด?วยการพนัน เฉพาะความผิดเกี่ยวกับการเป?นผู?จัดให?มีการเล?นการพนันโดยไม?ได?รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต?ห?าล?านบาทขึ้นไป หรือเป?นการจัดให?มีการเล?นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์” เห็นว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 บัญญัติให้มีความผิดมูลฐานเพื่อกำหนดประเภทของความผิดอาญาที่นำมาใช้เป็นฐานในการดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงินต่อบุคคลที่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อทรัพย?สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน และดำเนินการทางแพ่งร้องขอให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินเท่านั้น หาได้บัญญัติความผิดมูลฐานขึ้นมาเป็นฐานความผิดใหม่เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดเหมือนดังเช่นความผิดอาญาทั่วไปไม่ ดังนั้น การพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานจึงไม่จำต้องพิจารณาแยกเป็นรายกรรมเหมือนความผิดอาญาทั่วไป แต่ต้องพิจารณาตามบทนิยามของความผิดมูลฐานนั้น ๆ เมื่อความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ได้กำหนดองค์ประกอบของความผิดในส่วนวงเงินในการกระทำความผิดเพียงว่า มีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค?าตั้งแต?ห?าล?านบาทขึ้นไป โดยมิได้ระบุว่าเป็นวงเงินในการกระทำความผิดแต่ละครั้ง จึงต้องพิจารณาองค์ประกอบของความผิดมูลฐานในส่วนดังกล่าวจากวงเงินในการเล่นการพนันที่จัดให้มีขึ้นทั้งหมด หากจัดให้มีการเล่นการพนันหลายครั้งต่อเนื่องกันก็ต้องพิจารณาจากวงเงินในการเล่นการพนันทุกครั้งรวมกัน ในประเด็นข้อนี้ ได้ความจากพยานผู้ร้องซึ่งเคยไปเล่นการพนันที่บ่อนการพนันทั้งสามแห่งว่า บ่อนการพนันทั้งสามแห่งจัดให้มีการเล่นการพนันหมุนเวียนกัน เปิดให้เล่นทั้งกลางวันและกลางคืน มีนักพนันหมุนเวียนกันเข้ามาเล่น บางช่วงเวลาถึงกับต้องรอคิวที่จะเล่น โดยเปิดให้เล่นการพนันประเภทไพ่ป๊อกบ่อนละประมาณ 2 ถึง 5 โต๊ะ มีตั้งแต่โต๊ะที่เปิดให้เล่นในราคา 50 บาท 100 บาท 200 บาท 500 บาท 1,000 บาท และ 2,000 บาท หากมีผู้เล่นจำนวนมากก็จะเปิดโต๊ะพนันเพิ่ม ส่วนวิธีการเล่นได้ความจากนางมาริสาพยานผู้ร้องว่า แต่ละคนจะมีชิปและป้ายวงกลมซึ่งระบุหมายเลขของหลุมไว้ คนเล่นจะไปประจำยังหลุมหมายเลขที่ตนเองได้รับ จะเก็บเงินเมื่อเปิดไพ่แล้ว มีเจ้ามือเรียกว่าแม่ไก่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับคนเล่นซึ่งแต่ละโต๊ะจะมี 5 ถึง 6 คน แจกไพ่ให้คนละ 2 ใบ 25 คน แจกไพ่เสร็จหงายไพ่เลย ใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที ต่อตา ผู้เล่นสามารถแทงกับเจ้ามือกี่คนก็ได้ หากเลือกแทงกับเจ้ามือหลายคนก็ต้องใช้เงินมากขึ้น ผู้เล่นแทงได้คนละ 2 มือ เช่น มีเจ้ามือ 10 คน แทงคนละ 100 บาท ต้องใช้เงิน 1,000 บาท ถ้าเล่น 2 มือ ต้องใช้เงิน 2,000 บาท ต่อตา ในการเล่นแต่ละตาหากเป็นโต๊ะ 100 บาท จะมีเงินสะพัดประมาณ 10,000 บาท หากโต๊ะใหญ่ขึ้นจะมีเงินสะพัดประมาณ 30,000 ถึง 60,000 บาท ประกอบกับได้ความว่าทางบ่อนยังรับจำนำทรัพย์สินต่าง ๆ ของผู้เข้าเล่นที่เสียการพนันจนหมดเพื่อนำเงินไปเล่นต่อ โดยในวันเข้าตรวจค้นเจ้าพนักงานสามารถยึดกุญแจรถจักรยานยนต์ที่รับจำนำได้ถึง 63 ดอก แสดงว่าบ่อนทั้งสามแห่งมีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูง นอกจากนี้ยังได้ความจากนางธนธิปหรือธันยพรพยานผู้ร้องว่า พยานเป็นหนี้การพนันค้างชำระผู้คัดค้านที่ 1 จำนวนมาก จึงนำที่ดินโฉนดเลขที่ 217 และ 147840 ถึง 147842 รวมสี่แปลงพร้อมอาคารสี่ชั้น รวมเป็นเงินประมาณ 26,000,000 บาท ตีราคาใช้หนี้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 โดยการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 217 เป็นแปลงแรกเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2550 เพื่อชำระหนี้การพนัน 7,000,000 บาท ส่วนที่ดินสามแปลงที่เหลือยอมให้ผู้คัดค้านที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวม และต่อมาเมื่อหนี้การพนันของพยานเพิ่มขึ้น ผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้พยานจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในส่วนของพยานให้ผู้คัดค้านที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียว ซึ่งความข้อนี้ผู้คัดค้านที่ 1 เบิกความโต้แย้งว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ซื้อที่ดินดังกล่าวจากนางธนธิปหรือธันยพรจริงในราคา 11,000,000 บาท เนื่องจากนางธนธิปหรือธันยพรเป็นหนี้ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เกือบ 20,000,000 บาท แต่ไม่มีเงินผ่อนชำระหนี้ ผู้คัดค้านที่ 1 จึงนำเงินไปชำระหนี้แทนจนได้ที่ดินทั้งสี่แปลง เห็นว่า หากนางธนธิปหรือธันยพรขายที่ดินทั้งสี่แปลงให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 โดยวิธีให้ผู้คัดค้านที่ 1 ชำระหนี้จำนองแก่ธนาคารแทนตนจริง นางธนธิปหรือธันยพรย่อมต้องจดทะเบียนขายที่ดินทั้งสี่แปลงให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ในวันเดียวกับวันจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง แต่ตามสำเนาสารบัญจดทะเบียนด้านหลังโฉนดที่ดิน ปรากฏว่านางธนธิปหรือธันยพรจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้งสี่แปลงจากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมกันเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2550 แต่ในวันเดียวกันนั้นนางธนธิปหรือธันยพรจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 217 ให้ผู้คัดค้านที่ 1 เพียงแปลงเดียว ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 147840 ถึง 147842 นางธนธิปหรือธันยพรเพียงแต่จดทะเบียนให้ผู้คัดค้านที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวมกับตนโดยไม่มีค่าตอบแทน จากนั้นวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 จดทะเบียนจำนองที่ดินทั้งสามแปลงเฉพาะส่วนของตนไว้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 และวันที่ 12 ตุลาคม 2550 จดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสามแปลงชำระหนี้จำนองดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งขัดแย้งกับคำเบิกความของผู้คัดค้านที่ 1 แต่สอดคล้องกับที่นางธนธิปหรือธันยพรเบิกความข้างต้นและที่เบิกความตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามค้านว่า การจำนองดังกล่าวไม่ได้รับเงินจากผู้คัดค้านที่ 1 ทำให้น่าเชื่อว่านางธนธิปหรือธันยพรโอนที่ดินทั้งสี่แปลงพร้อมอาคารสี่ชั้นซึ่งมีราคารวมประมาณ 26,000,000 บาท ใช้หนี้การพนันแก่ผู้คัดค้านที่ 1 จริง แต่เมื่อนางธนธิปหรือธันยพรเบิกความตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสามถามค้านยอมรับว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ให้เงินไปไถ่ถอนจำนอง 11,000,000 บาท จึงเป็นการตีราคาใช้หนี้การพนันเพียงประมาณ 15,000,000 บาท คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 อันเป็นมาตรการทางแพ่ง การพิสูจน์ถึงการกระทำความผิดมูลฐานต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องหาจำต้องนำสืบถึงขนาดให้รับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยเหมือนดังเช่นคดีอาญาไม่ เมื่อพิจารณาจำนวนหนี้การพนันของนางธนธิปหรือธันยพรที่ค้างชำระแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ประกอบพฤติการณ์ที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งเป็นบ่อนการพนันที่มีวงเงินในการเล่นการพนันมีมูลค่าสูงและเปิดให้เล่นการพนันต่อเนื่องกันมาหลายครั้งเป็นเวลานานหลายปีดังวินิจฉัยมาข้างต้นแล้ว พยานหลักฐานผู้ร้องมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันที่สถานที่ตรวจค้นทั้งสามแห่งโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยมีวงเงินในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง (9) ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อโต้แย้งอื่นที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 อ้างมาในฎีกาเพราะเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า ทรัพย์สินที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ตกเป็นของแผ่นดินไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดนั้น ศาลฎีกาไม่ได้อนุญาตให้ฎีกา ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้คัดค้านที่ 1 กระทำความผิดมูลฐาน และพิพากษาให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินจึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|