โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า มีอัตราค่าเช่าเดือนละ 60 บาทจำเลยให้การและแถลงรับในรายงานพิจารณาว่าเช่ากัน 60 บาทจริง แต่โจทก์เพิ่งมาขึ้นค่าเช่า เดิมเสียค่าเช่าเดือนละ 30 บาท ดังนี้ เมื่อจำเลยไม่นำสืบให้ได้ความว่าโจทก์ขึ้นค่าเช่าเมื่อใดแล้ว ก็ต้องฟังว่าคิดค่าเช่ากันเดือนละ 60 บาท มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 8 ธันวาคม 2484 แล้ว จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2486
บอกเลิกการเช่าเคหะก่อนใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2489แล้ว ผู้เช่าย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พระราชบัญญัตินั้น ตามที่วินิจฉัยไว้ในฎีกาที่ 740/2490
โจทก์ฟ้องว่า ได้ให้จำเลยเช่าห้องแถวรวม 3 คูหา แต่เปิดโล่งตลอดเป็นคูหาเดียว ค่าเช่าเดือนละ 60 บาท โจทก์บอกเลิกการเช่าแล้วจำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ขับไล่
จำเลยให้การว่า เช่าอยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ ค่าเช่าอัตราห้องละ 10 บาท โจทก์เพิ่งขึ้นค่าเช่าเป็นห้องละ 20 บาท จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ในคำให้การจำเลยและในรายงานที่จำเลยรับต่อศาล กล่าวเพียงว่า โจทก์เพิ่งขึ้นค่าเช่า ไม่แน่ชัดว่าขึ้นค่าเช่าเมื่อใด ก่อนหรือหลังวันที่ 8 ธันวาคม 2484 พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ เป็นกฎหมายพิเศษที่ตัดสิทธิตามธรรมดาของเจ้าของที่ ฉะนั้นเมื่อจำเลยอ้างว่าได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัตินี้ จำเลยก็ต้องนำสืบให้ได้ความชัดกระจ่างแต่จำเลยไม่สืบในข้อนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าการเช่ารายนี้อยู่ในความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2486 และ 2488 จึงพิพากษากลับให้ขับไล่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าเคหะที่จำเลยเช่ามีค่าเช่าเดือนละ 60 บาท เป็นการชอบแล้ว จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2486 ส่วนพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2489 ก็ไม่คุ้มครองจำเลย เพราะโจทก์บอกเลิกการเช่าก่อนแล้ว จึงพิพากษายืน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า มีอัตราค่าเช่าเดือนละ 60 บาทจำเลยให้การและแถลงรับในรายงานพิจารณาว่าเช่ากัน 60 บาทจริง แต่โจทก์เพิ่งมาขึ้นค่าเช่า เดิมเสียค่าเช่าเดือนละ 30 บาท ดังนี้ เมื่อจำเลยไม่นำสืบให้ได้ความว่าโจทก์ขึ้นค่าเช่าเมื่อใดแล้ว ก็ต้องฟังว่าคิดค่าเช่ากันเดือนละ 60 บาท มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 8 ธันวาคม 2484 แล้ว จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2486
บอกเลิกการเช่าเคหะก่อนใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2489แล้ว ผู้เช่าย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พระราชบัญญัตินั้น ตามที่วินิจฉัยไว้ในฎีกาที่ 740/2490
โจทก์ฟ้องว่า ได้ให้จำเลยเช่าห้องแถวรวม 3 คูหา แต่เปิดโล่งตลอดเป็นคูหาเดียว ค่าเช่าเดือนละ 60 บาท โจทก์บอกเลิกการเช่าแล้วจำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ขับไล่
จำเลยให้การว่า เช่าอยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ ค่าเช่าอัตราห้องละ 10 บาท โจทก์เพิ่งขึ้นค่าเช่าเป็นห้องละ 20 บาท จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ในคำให้การจำเลยและในรายงานที่จำเลยรับต่อศาล กล่าวเพียงว่า โจทก์เพิ่งขึ้นค่าเช่า ไม่แน่ชัดว่าขึ้นค่าเช่าเมื่อใด ก่อนหรือหลังวันที่ 8 ธันวาคม 2484 พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ เป็นกฎหมายพิเศษที่ตัดสิทธิตามธรรมดาของเจ้าของที่ ฉะนั้นเมื่อจำเลยอ้างว่าได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัตินี้ จำเลยก็ต้องนำสืบให้ได้ความชัดกระจ่างแต่จำเลยไม่สืบในข้อนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าการเช่ารายนี้อยู่ในความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2486 และ 2488 จึงพิพากษากลับให้ขับไล่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าเคหะที่จำเลยเช่ามีค่าเช่าเดือนละ 60 บาท เป็นการชอบแล้ว จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2486 ส่วนพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2489 ก็ไม่คุ้มครองจำเลย เพราะโจทก์บอกเลิกการเช่าก่อนแล้ว จึงพิพากษายืน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า มีอัตราค่าเช่าเดือนละ 60 บาท จำเลยให้การและแถลงรับในรายงานพิจารณาว่า เช่ากัน 60 บาทจริง แต่โจทก์เพิ่งมาขึ้นค่าเช่า เดิมเสียค่าเช่าเดือนละ 30 บาท ดังนี้ เมื่อจำเลยไม่นำสืบให้ได้ความว่าโจทก์ขึ้นค่าเช่าเมื่อใดแล้ว ก็ต้องฟังว่าคิดค่าเช่ากันเดือนละ 60 บาท มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 8 ธันวาคม 2484 แล้ว จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2486
บอกเลิกการเช่าเคหะ ก่อนใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ 2489 แล้ว ผู้เช่าย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.นั้น ตามที่วินิจฉัยไว้ในฎีกาที่ 740/2490.
โจทก์ฟ้องว่า ได้ให้จำเลยเช่าห้องแถวรวม ๓ คูหา แต่เปิดฮล่งตลอดเป็นคูหาเดียว ค่าเช่าเดือนละ ๖๐ บาท โจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ขับไล่
จำเลยให้การว่า เช่าอยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ค่าเช่าอัตราห้องละ ๑๐ บาท โจทก์เพิ่งขึ้นค่าเช่าเป็นห้องละ ๒๐ บาท จึงได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ในคำให้การจำเลยและในรายงานที่จำเลยรับต่อศาล กล่าวเพียงว่า โจทก์เพิ่งขึ้นค่าเช่า ไม่แน่ชัดว่า ขึ้นค่าเช่าเมื่อใด ก่อนหรือหลังวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ เป็นกฎหมายพิเศษที่ตัดสินตามธรรมดาของเจ้าหน้าที่ ฉะนั้นเมื่อจำเลยอ้างว่าได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. นี้ จำเลยก็ต้องนำสืบให้ได้ความชัดกระจ่าง แต่จำเลยไม่สืบในข้อนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าการเช่ารายนี้อยู่ในความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ ๒๔๘๖ และ ๒๔๘๘ จึงพิพากษากลับให้ขับไล่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าเคหะที่จำเลยเช่ามีค่าเช่าเดือนละ ๖๐ บาท เป็นการชอบแล้ว จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ ๒๔๘๖ ส่วน พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ ๒๔๘๙ ก็ไม่คุ้มครองจำเลย เพราะโจทก์บอกเลิกการเช่าก่อนแล้ว จึงพิพากษายืน.
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า มีอัตราค่าเช่าเดือนละ 60 บาท จำเลยให้การและแถลงรับในรายงานพิจารณาว่า เช่ากัน 60 บาทจริง แต่โจทก์เพิ่งมาขึ้นค่าเช่า เดิมเสียค่าเช่าเดือนละ 30 บาท ดังนี้ เมื่อจำเลยไม่นำสืบให้ได้ความว่าโจทก์ขึ้นค่าเช่าเมื่อใดแล้ว ก็ต้องฟังว่าคิดค่าเช่ากันเดือนละ 60 บาท มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 8 ธันวาคม 2484 แล้ว จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ 2486
บอกเลิกการเช่าเคหะ ก่อนใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ 2489 แล้ว ผู้เช่าย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.นั้น ตามที่วินิจฉัยไว้ในฎีกาที่ 740/2490.
โจทก์ฟ้องว่า ได้ให้จำเลยเช่าห้องแถวรวม ๓ คูหา แต่เปิดฮล่งตลอดเป็นคูหาเดียว ค่าเช่าเดือนละ ๖๐ บาท โจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ขับไล่
จำเลยให้การว่า เช่าอยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ค่าเช่าอัตราห้องละ ๑๐ บาท โจทก์เพิ่งขึ้นค่าเช่าเป็นห้องละ ๒๐ บาท จึงได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ในคำให้การจำเลยและในรายงานที่จำเลยรับต่อศาล กล่าวเพียงว่า โจทก์เพิ่งขึ้นค่าเช่า ไม่แน่ชัดว่า ขึ้นค่าเช่าเมื่อใด ก่อนหรือหลังวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ เป็นกฎหมายพิเศษที่ตัดสินตามธรรมดาของเจ้าหน้าที่ ฉะนั้นเมื่อจำเลยอ้างว่าได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. นี้ จำเลยก็ต้องนำสืบให้ได้ความชัดกระจ่าง แต่จำเลยไม่สืบในข้อนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าการเช่ารายนี้อยู่ในความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ ๒๔๘๖ และ ๒๔๘๘ จึงพิพากษากลับให้ขับไล่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าเคหะที่จำเลยเช่ามีค่าเช่าเดือนละ ๖๐ บาท เป็นการชอบแล้ว จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ ๒๔๘๖ ส่วน พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ ๒๔๘๙ ก็ไม่คุ้มครองจำเลย เพราะโจทก์บอกเลิกการเช่าก่อนแล้ว จึงพิพากษายืน.
ยืมทรัพย์ของผู้อื่นไปจากผู้รับฝากทรัพย์นั้นไว้ โดยเจ้าของมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย เจ้าของทรัพย์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์นั้นคืนจากผู้ยืมได้โดยตรง
โจทก์ฟ้องเรียกกระดุมทองคำของโจทก์คืนจากจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ยืมไปตามฟ้อง ดังนี้ ประเด็นฝ่ายจำเลยมีแต่เพียงนำสืบว่าไม่ได้ยืมกระดุมไปตามฟ้อง ไม่มีประเด็นจะนำสืบว่ากระดุมของโจทก์เป็นลงหินชุบทอง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยืมปิ่นปักจุกทองคำลงยาประดับพลอยทองหนัก10 สลึง และกระดุมทองคำ 4 ลูก ทองหนัก 1 บาท ของโจทก์ไปจากบิดาโจทก์โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย บัดนี้จำเลยไม่ยอมคืนให้โจทก์ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนทรัพย์ดังกล่าว
จำเลยต่อสู้ว่า ไม่ได้ยืมทรัพย์ของโจทก์ตามฟ้องและตัดฟ้องว่าโจทก์มิใช่คู่สัญญา ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนปิ่นทองหนัก 5 สลึงกับกระดุมของกลางแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ปิ่นของโจทก์ทองหนัก 10 สลึง ให้จำเลยคืนปิ่นทองหนัก 10 สลึงแก่โจทก์ ส่วนกระดุมของกลาง ฟังได้ตามคำพยานโจทก์ว่าไม่ใช่ของโจทก์ จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ยืมไปตามฟ้อง จำเลยไม่มีประเด็นจะนำสืบว่ากระดุมของโจทก์เป็นลงหินชุบทองจึงพิพากษาให้จำเลยคืนกระดุมและปิ่นปักจุกทองตามฟ้อง แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน
ยืมทรัพย์ของผู้อื่นไปจากผู้รับฝากทรัพย์นั้นไว้ โดยเจ้าของมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย เจ้าของทรัพย์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์นั้นคืนจากผู้ยืมได้โดยตรง
โจทก์ฟ้องเรียกกระดุมทองคำของโจทก์คืนจากจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ยืมไปตามฟ้อง ดังนี้ ประเด็นฝ่ายจำเลยมีแต่เพียงนำสืบว่าไม่ได้ยืมกระดุมไปตามฟ้อง ไม่มีประเด็นจะนำสืบว่ากระดุมของโจทก์เป็นลงหินชุบทอง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยืมปิ่นปักจุกทองคำลงยาประดับพลอยทองหนัก10 สลึง และกระดุมทองคำ 4 ลูก ทองหนัก 1 บาท ของโจทก์ไปจากบิดาโจทก์โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย บัดนี้จำเลยไม่ยอมคืนให้โจทก์ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนทรัพย์ดังกล่าว
จำเลยต่อสู้ว่า ไม่ได้ยืมทรัพย์ของโจทก์ตามฟ้องและตัดฟ้องว่าโจทก์มิใช่คู่สัญญา ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนปิ่นทองหนัก 5 สลึงกับกระดุมของกลางแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ปิ่นของโจทก์ทองหนัก 10 สลึง ให้จำเลยคืนปิ่นทองหนัก 10 สลึงแก่โจทก์ ส่วนกระดุมของกลาง ฟังได้ตามคำพยานโจทก์ว่าไม่ใช่ของโจทก์ จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ยืมไปตามฟ้อง จำเลยไม่มีประเด็นจะนำสืบว่ากระดุมของโจทก์เป็นลงหินชุบทองจึงพิพากษาให้จำเลยคืนกระดุมและปิ่นปักจุกทองตามฟ้อง แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน
การปล่อยให้ปศุสัตว์หรือสัตว์พาหนะเข้าในเรือกสวนไร่นาของผู้อื่น อันจะเป็นผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 340(1) นั้น หมายถึงการขาดความระมัดระวังดูแลสัตว์นั้นไว้เป็นเหตุให้สัตว์นั้นเข้าไป ถ้าเป็นการจงใจไล่ต้อนสัตว์เข้าไปทำอันตรายแก่พรรณไม้อันมีประโยชน์ในเรือกสวนไร่นาเขาเสียหายแล้ว ย่อมเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา 324
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจปล่อยกระบือของจำเลยเข้าไปในไร่อ้อยของนายติ่ง กระบือเหยียบย่ำกัดกินอ้อยที่นายติ่งเพาะพันธ์อันมีประโยชน์งอกงามอยู่แล้วเสียหาย 2 งาน ขอให้ลงโทษตามมาตรา 340(1)
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 340(1) จะเป็นผิดต่อเมื่อจงใจปล่อยสัตว์ให้เข้าไป แต่คดีนี้ได้ความว่าจำเลยมิได้ปละปล่อยจึงยังไม่มีความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานลหุโทษนั้นมาตรา 333 บัญญัติไว้ว่าแม้ผู้กระทำผิดมิได้กระทำโดยเจตนาก็ต้องมีโทษ และข้อเท็จจริงก็ได้ความว่า กระบือของจำเลยได้เข้าไปเหยียบย่ำกัดกินอ้อยในไร่ของนายติ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าเพราะจำเลยมิได้ควบคุมระมัดระวังกระบือของตนตามสมควร จึงเรียกได้ว่า จำเลยให้กระบือเข้าไป ถ้าเป็นการจงใจไล่ต้อนเข้าไปทำอันตรายแก่พรรณไม้อันมีประโยชน์งอกงามในเรือกสวนไร่นาของผู้อื่นให้เสียหาย จะเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา 324 จึงพิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามศาลชั้นต้น
การปล่อยให้ปศุสัตว์หรือสัตว์พาหนะเข้าในเรือกสวนไร่นาของผู้อื่น อันจะเป็นผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 340(1) นั้น หมายถึงการขาดความระมัดระวังดูแลสัตว์นั้นไว้เป็นเหตุให้สัตว์นั้นเข้าไป ถ้าเป็นการจงใจไล่ต้อนสัตว์เข้าไปทำอันตรายแก่พรรณไม้อันมีประโยชน์ในเรือกสวนไร่นาเขาเสียหายแล้ว ย่อมเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา 324
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจปล่อยกระบือของจำเลยเข้าไปในไร่อ้อยของนายติ่ง กระบือเหยียบย่ำกัดกินอ้อยที่นายติ่งเพาะพันธ์อันมีประโยชน์งอกงามอยู่แล้วเสียหาย 2 งาน ขอให้ลงโทษตามมาตรา 340(1)
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 340(1) จะเป็นผิดต่อเมื่อจงใจปล่อยสัตว์ให้เข้าไป แต่คดีนี้ได้ความว่าจำเลยมิได้ปละปล่อยจึงยังไม่มีความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานลหุโทษนั้นมาตรา 333 บัญญัติไว้ว่าแม้ผู้กระทำผิดมิได้กระทำโดยเจตนาก็ต้องมีโทษ และข้อเท็จจริงก็ได้ความว่า กระบือของจำเลยได้เข้าไปเหยียบย่ำกัดกินอ้อยในไร่ของนายติ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าเพราะจำเลยมิได้ควบคุมระมัดระวังกระบือของตนตามสมควร จึงเรียกได้ว่า จำเลยให้กระบือเข้าไป ถ้าเป็นการจงใจไล่ต้อนเข้าไปทำอันตรายแก่พรรณไม้อันมีประโยชน์งอกงามในเรือกสวนไร่นาของผู้อื่นให้เสียหาย จะเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา 324 จึงพิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามศาลชั้นต้น
การปล่อยให้ปสุสัตว์หรือสัตว์พาหนะเข้าในเรือกสวนไร่นาของผู้อื่น อันจะเป็นผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 340(1) นั้น หมายถึงการขาดความระมัดระวังดูแลสัตว์นั้นไว้เป็นเหตุให้สัตว์นั้นเข้าไป ถ้าเป็นการจงใจไล่ต้อนสัตว์เข้าไปทำอันตรายแก่พรรณไม้อันมีประโยชน์ในเรือกสวนไร่นาเขาเสียหายแล้ว ย่อมเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามาตรา 324.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจปล่อยกระบือของจำเลยเข้าไปในไร่อ้อยของนางติ่ง กระบือเหยียบย่ำกัดกินอ้อยที่นายติ่งเพาะพันธ์อันมีประโยชน์งอกงามอยู่แล้วเสียหาย ๒ งาน ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๓๔๐(๑)
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐(๑) จะเป็นผิดต่อเมื่อจงใจปล่อยสัตว์ให้เข้าไป แต่คดีนี้ได้ความว่า จำเลยมิได้ปละปล่อยจึงยังไม่มีความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานลหุโทษนั้นมาตรา ๓๓๓ บัญญัติไว้ว่า แม้ผู้กระทำผิดมิได้กระทำโดยเจตนาก็ต้องมีโทษ และข้อเท็จจริงก็ได้ความว่า กระบือของจำเลยได้เข้าไปเหยียบย่ำกัดกินอ้อยในไร่ของนายติ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าเพราะจำเลยมิได้ควบคุมระมัดระวังกระบือของตนตามสมควร จึงเรียกได้ว่า จำเลยให้กระบือเข้าไป ถ้าเป็นการจงใจไล่ต้อนเข้าไปทำอันตรายแก่พรรณไม้อันมีประโยชน์งอกงามในเรือกสวนไร่นาของผู้อื่นให้เสียหาย จะเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา ๓๒๔ จึงพิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามศาลชั้นต้น.
การปล่อยให้ปสุสัตว์หรือสัตว์พาหนะเข้าในเรือกสวนไร่นาของผู้อื่น อันจะเป็นผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 340(1) นั้น หมายถึงการขาดความระมัดระวังดูแลสัตว์นั้นไว้เป็นเหตุให้สัตว์นั้นเข้าไป ถ้าเป็นการจงใจไล่ต้อนสัตว์เข้าไปทำอันตรายแก่พรรณไม้อันมีประโยชน์ในเรือกสวนไร่นาเขาเสียหายแล้ว ย่อมเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามาตรา 324.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจปล่อยกระบือของจำเลยเข้าไปในไร่อ้อยของนางติ่ง กระบือเหยียบย่ำกัดกินอ้อยที่นายติ่งเพาะพันธ์อันมีประโยชน์งอกงามอยู่แล้วเสียหาย ๒ งาน ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๓๔๐(๑)
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐(๑) จะเป็นผิดต่อเมื่อจงใจปล่อยสัตว์ให้เข้าไป แต่คดีนี้ได้ความว่า จำเลยมิได้ปละปล่อยจึงยังไม่มีความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานลหุโทษนั้นมาตรา ๓๓๓ บัญญัติไว้ว่า แม้ผู้กระทำผิดมิได้กระทำโดยเจตนาก็ต้องมีโทษ และข้อเท็จจริงก็ได้ความว่า กระบือของจำเลยได้เข้าไปเหยียบย่ำกัดกินอ้อยในไร่ของนายติ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าเพราะจำเลยมิได้ควบคุมระมัดระวังกระบือของตนตามสมควร จึงเรียกได้ว่า จำเลยให้กระบือเข้าไป ถ้าเป็นการจงใจไล่ต้อนเข้าไปทำอันตรายแก่พรรณไม้อันมีประโยชน์งอกงามในเรือกสวนไร่นาของผู้อื่นให้เสียหาย จะเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา ๓๒๔ จึงพิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามศาลชั้นต้น.
ฟ้องขอให้แสดงว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะอันจำเลยมีภารจำยอมตามกฎหมายและขอให้เปิดทางนั้นตามเดิม เมื่อได้ความว่าทางพิพาทมิใช่ทางหลวง แต่ตกอยู่ในภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ศาลก็ย่อมพิพากษาให้จำเลยเปิดทางเดินนั้นได้
ทางเดินอันมีภารจำยอมนั้น แม้เจ้าของที่ดินภารยทรัพย์จะเปิดทางเดินให้ใหม่ แต่ทำให้ความสะดวกของผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เจ้าของสามยทรัพย์ก็มีอำนาจฟ้องขอให้เปิดทางตามเดิมได้ เพราะไม่ใช่ทางจำเป็นและขัดด้วยมาตรา 1392
โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะอันจำเลยมีภารจำยอมตามกฎหมายโดยโจทก์และบุคคลอื่นใช้เดินไปมาช้านานประมาณ 30 ปีเศษแล้วจำเลยกั้นรั้วปิดทางเดินรายนี้เสีย จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าทางรายนี้เป็นทางหลวงหรือทางสาธารณะอันจำเลยมีภารจำยอมตามกฎหมายและบังคับให้จำเลยเปิดทางนี้ให้โจทก์เดินไปมาสะดวกอย่างเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยเปิดทางเดินพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิพาทนี้มิใช่ทางหลวงแต่ตกเป็นทางอันมีภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387, 1401 และ 1382 การที่จำเลยเปิดทางเดินให้ใหม่เป็นการเปลี่ยนย้ายนั้น ได้ความว่า เป็นการทำให้ความสะดวกของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เป็นการขัดต่อมาตรา 1392 จำเลยทำดังนั้นไม่ได้ จึงพิพากษายืน
ฟ้องขอให้แสดงว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะอันจำเลยมีภารจำยอมตามกฎหมายและขอให้เปิดทางนั้นตามเดิม เมื่อได้ความว่าทางพิพาทมิใช่ทางหลวง แต่ตกอยู่ในภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ศาลก็ย่อมพิพากษาให้จำเลยเปิดทางเดินนั้นได้
ทางเดินอันมีภารจำยอมนั้น แม้เจ้าของที่ดินภารยทรัพย์จะเปิดทางเดินให้ใหม่ แต่ทำให้ความสะดวกของผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เจ้าของสามยทรัพย์ก็มีอำนาจฟ้องขอให้เปิดทางตามเดิมได้ เพราะไม่ใช่ทางจำเป็นและขัดด้วยมาตรา 1392
โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะอันจำเลยมีภารจำยอมตามกฎหมายโดยโจทก์และบุคคลอื่นใช้เดินไปมาช้านานประมาณ 30 ปีเศษแล้วจำเลยกั้นรั้วปิดทางเดินรายนี้เสีย จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าทางรายนี้เป็นทางหลวงหรือทางสาธารณะอันจำเลยมีภารจำยอมตามกฎหมายและบังคับให้จำเลยเปิดทางนี้ให้โจทก์เดินไปมาสะดวกอย่างเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยเปิดทางเดินพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิพาทนี้มิใช่ทางหลวงแต่ตกเป็นทางอันมีภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387, 1401 และ 1382 การที่จำเลยเปิดทางเดินให้ใหม่เป็นการเปลี่ยนย้ายนั้น ได้ความว่า เป็นการทำให้ความสะดวกของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เป็นการขัดต่อมาตรา 1392 จำเลยทำดังนั้นไม่ได้ จึงพิพากษายืน
ฟ้องขอให้แสดงว่าทางพิพาทเป็นทางสาธราณะอันจำเลยมีภาระจำยอมตามกฎหมายและขอให้เปิดทางนั้นตามเดิม เมื่อได้ความว่าทางพิพาทมิใช่ทางหลวง แต่ตกอยู่ในภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ศาลก็๋ย่อมพิพากษาให้จำเลยเปิดทางเดิมนั้นได้
ทางเดินอันมีภาระจำยอมนั้น แม้เจ้าของที่ดินภาระทรัพย์จะเปิดทางเดินให้ใหม่ แต่ทำให้ความสดวกของผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เจ้าของสามยทรัพย์ก็มีอำนาจฟ้องขอให้เปิดทางตามเดิมได้ เพราะไม่ใช่ทางจำเป็นและขัดด้วยมาตรา 1392.
โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางสาธราณะอันจำเลยมีภาระจำยอมตามกฎหมายโดยโจทก์และบุคคลอื่นใช้เดินไปมาช้านานประมาณ ๓๐ ปีเศษแล้ว จำเลยกั้นรั้วปิดทางเดินรายนี้เสีย จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าทางรายนี้ เป็นทางหลวงหรือทางสาธารณะอันจำเลยมีภาระจำยอมตามกฎหมายและบังคับให้จำเลยเปิดทางนี้ให้โจทก์เดินไปมา สดวกอย่างเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยเปิดทางเดินพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิพาทนี้มิใช่ทางหลวงแต่ตกเป็นทางอันมีภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตาม ป.พ.พ.ม. ๑๓๘๗-๑๔๐๑ และ ๑๓๘๒ การที่จำเลยเปิดทางเดินให้ใหม่เป็นการเปลี่ยนย้ายนั้น ได้ความว่า เป็นการทำให้ความสดวกของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เป็นการขัดต่อมาตรา ๑๓๙๒ จำเลยทำดังนั้นไม่ได้ จึงพิพากษายืน.
ฟ้องขอให้แสดงว่าทางพิพาทเป็นทางสาธราณะอันจำเลยมีภาระจำยอมตามกฎหมายและขอให้เปิดทางนั้นตามเดิม เมื่อได้ความว่าทางพิพาทมิใช่ทางหลวง แต่ตกอยู่ในภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ศาลก็๋ย่อมพิพากษาให้จำเลยเปิดทางเดิมนั้นได้
ทางเดินอันมีภาระจำยอมนั้น แม้เจ้าของที่ดินภาระทรัพย์จะเปิดทางเดินให้ใหม่ แต่ทำให้ความสดวกของผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เจ้าของสามยทรัพย์ก็มีอำนาจฟ้องขอให้เปิดทางตามเดิมได้ เพราะไม่ใช่ทางจำเป็นและขัดด้วยมาตรา 1392.
โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางสาธราณะอันจำเลยมีภาระจำยอมตามกฎหมายโดยโจทก์และบุคคลอื่นใช้เดินไปมาช้านานประมาณ ๓๐ ปีเศษแล้ว จำเลยกั้นรั้วปิดทางเดินรายนี้เสีย จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าทางรายนี้ เป็นทางหลวงหรือทางสาธารณะอันจำเลยมีภาระจำยอมตามกฎหมายและบังคับให้จำเลยเปิดทางนี้ให้โจทก์เดินไปมา สดวกอย่างเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยเปิดทางเดินพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิพาทนี้มิใช่ทางหลวงแต่ตกเป็นทางอันมีภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตาม ป.พ.พ.ม. ๑๓๘๗-๑๔๐๑ และ ๑๓๘๒ การที่จำเลยเปิดทางเดินให้ใหม่เป็นการเปลี่ยนย้ายนั้น ได้ความว่า เป็นการทำให้ความสดวกของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เป็นการขัดต่อมาตรา ๑๓๙๒ จำเลยทำดังนั้นไม่ได้ จึงพิพากษายืน.
ตัวแทนออกเงินทดรองไปในกิจการที่ได้รับมอบหมายจากตัวการย่อมมีสิทธิเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ตามมาตรา 816 และการทดรองเงินก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 ซึ่งเป็นบทเรื่องกู้ยืมเงินโดยเฉพาะ
โจทก์จ่ายเงินให้แก่ผู้มีชื่อไปแทนจำเลยตามคำร้องขอของจำเลยถือว่าเป็นการกระทำแทนจำเลยในกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการ แม้การจ่ายเงินนั้นจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์ก็ฟ้องเรียกเงินจำนวนนั้นจากจำเลยได้ตามมาตรา 816
โจทก์จำเลยเป็นคนชอบพอนับถือกันเคยหยิบยืมเงินทองกันใช้สอยเมื่อปลายปี 2487 จำเลยรักใคร่นางสอาด ๆ จะเอาเงิน 5,000 บาท จำเลยไม่มีเงินจึงร้องขอให้โจทก์ออกเงิน 5,000 บาท จ่ายแทนจำเลยให้นางสอาดก่อน อีก 2-3 วันจำเลยจะคืนให้ โดยความเชื่อถือกันโจทก์ยอมรับปากกับจำเลย เวลาบ่ายจึงเอาเงิน5,000 บาท ไปจ่ายให้นางสอาดตามความประสงค์ของจำเลย การจ่ายเงินจำนวนนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
บัดนี้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ใช้เงิน 5,000 บาทที่โจทก์จ่ายให้นางสอาดไป
ปัญหามีว่า การที่โจทก์จ่ายเงินแทนจำเลยให้แก่นางสอาดตามคำร้องของจำเลยนั้น จะเรียกว่าโจทก์เป็นตัวแทนได้กระทำการตามคำสั่งของจำเลยผู้เป็นตัวการหรือไม่ หรือว่าเป็นกรณีกู้ยืมเงินต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นการกู้ยืมเงิน เมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟ้องไม่ได้จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าโจทก์เป็นผู้ใช้เงินให้แก่นางสอาดแทนจำเลยเป็นการกระทำที่มีอำนาจทำแทนจำเลยอย่างชัดแจ้ง เพราะจำเลยร้องขอให้ทำแทนกิจการที่ทำไปนั้น เป็นกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการโจทก์เป็นตัวแทนเสมือนเครื่องมือเท่านั้น นางสอาดจะเป็นเจ้าหนี้จำเลยในทางใดหรือไม่ก็ตามไม่ใช่เรื่องของโจทก์ โจทก์ได้กระทำการในฐานะเป็นตัวแทนจำเลยในภาระกิจของจำเลย การที่ตัวแทนได้ออกเงินทดรองไปในกิจการที่ตนได้รับมอบหมายจากตัวการเช่นนี้ ตัวแทนมีสิทธิจะเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ ตามมาตรา 816 และการทดรองเงินไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 ซึ่งเป็นเรื่องกู้ยืมโดยเฉพาะ จะยกมาใช้ในกรณีนี้ไม่ได้ เพราะต่างลักษณะกัน จึงพิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน 5,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์
ตัวแทนออกเงินทดรองไปในกิจการที่ได้รับมอบหมายจากตัวการย่อมมีสิทธิเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ตามมาตรา 816 และการทดรองเงินก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 ซึ่งเป็นบทเรื่องกู้ยืมเงินโดยเฉพาะ
โจทก์จ่ายเงินให้แก่ผู้มีชื่อไปแทนจำเลยตามคำร้องขอของจำเลยถือว่าเป็นการกระทำแทนจำเลยในกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการ แม้การจ่ายเงินนั้นจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์ก็ฟ้องเรียกเงินจำนวนนั้นจากจำเลยได้ตามมาตรา 816
โจทก์จำเลยเป็นคนชอบพอนับถือกันเคยหยิบยืมเงินทองกันใช้สอยเมื่อปลายปี 2487 จำเลยรักใคร่นางสอาด ๆ จะเอาเงิน 5,000 บาท จำเลยไม่มีเงินจึงร้องขอให้โจทก์ออกเงิน 5,000 บาท จ่ายแทนจำเลยให้นางสอาดก่อน อีก 2-3 วันจำเลยจะคืนให้ โดยความเชื่อถือกันโจทก์ยอมรับปากกับจำเลย เวลาบ่ายจึงเอาเงิน5,000 บาท ไปจ่ายให้นางสอาดตามความประสงค์ของจำเลย การจ่ายเงินจำนวนนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
บัดนี้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ใช้เงิน 5,000 บาทที่โจทก์จ่ายให้นางสอาดไป
ปัญหามีว่า การที่โจทก์จ่ายเงินแทนจำเลยให้แก่นางสอาดตามคำร้องของจำเลยนั้น จะเรียกว่าโจทก์เป็นตัวแทนได้กระทำการตามคำสั่งของจำเลยผู้เป็นตัวการหรือไม่ หรือว่าเป็นกรณีกู้ยืมเงินต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นการกู้ยืมเงิน เมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟ้องไม่ได้จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าโจทก์เป็นผู้ใช้เงินให้แก่นางสอาดแทนจำเลยเป็นการกระทำที่มีอำนาจทำแทนจำเลยอย่างชัดแจ้ง เพราะจำเลยร้องขอให้ทำแทนกิจการที่ทำไปนั้น เป็นกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการโจทก์เป็นตัวแทนเสมือนเครื่องมือเท่านั้น นางสอาดจะเป็นเจ้าหนี้จำเลยในทางใดหรือไม่ก็ตามไม่ใช่เรื่องของโจทก์ โจทก์ได้กระทำการในฐานะเป็นตัวแทนจำเลยในภาระกิจของจำเลย การที่ตัวแทนได้ออกเงินทดรองไปในกิจการที่ตนได้รับมอบหมายจากตัวการเช่นนี้ ตัวแทนมีสิทธิจะเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ ตามมาตรา 816 และการทดรองเงินไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 ซึ่งเป็นเรื่องกู้ยืมโดยเฉพาะ จะยกมาใช้ในกรณีนี้ไม่ได้ เพราะต่างลักษณะกัน จึงพิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน 5,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์
ตัวแทนออกเงินทดรองไปในกิจการที่ได้รับมอบหมายจากตัวการ ย่อมมีสิทธิเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ตามมาตรา 816 และการทดรองเงินก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 ซึ่งเป็นบทเรื่องกู้ยืมเงินโดยฉะเพาะ
โจทก์จ่ายเงินให้แก่ผู้มีชื่อไปแทนจำเลยตามคำร้องขอของจำเลย ถือว่าเป็นการกระทำแทนจำเลยในกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการ แม้การจ่ายเงินนั้นจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์ก็ฟ้องเรียกเงินจำนวนนั้นจาำจำเลยได้ตามมาตรา 816.
โจทก์จำเลยเป็นคนชอบพอนับถือกันเคยหยิบยืมเงินทองกันใช้สอย เมื่อปลายปี ๒๔๘๗ จำเลยรักใคร่นางสอาด ๆ จะเอาเงิน ๕๐๐๐ บาท จำเลยไม่มีเงินจึงร้องขอให้โจทก์ออกเงิน ๕๐๐๐ บาท จ่ายแทนจำเลยให้นางสอาดก่อน อีก ๒-๓ วันจำเลยจะคืนให้ โดยความเชื่อถือกัน โจทก์ยอมรับปากกับจำเลย เวลาบ่ายจึงเอาเงิน ๕๐๐๐ บาท ไปจ่ายให้นางสอาดตามความประสงค์ของจำเลย การจ่ายเงินจำนวนนี้ ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
บัดนี้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ใช้เงิน ๕๐๐๐ บาทที่โจทก์จ่ายให้นางสอาดไป
ปัญหามีว่า การที่โจทก์จ่ายเงินแทนจำเลยให้แก่นางสอาดตามคำร้องขอจำเลยนั้น จะเรียกว่าโจทก์เป็นตัวแทนได้กระทำการตามคำสั่งของจำเลยผู้เป็นตัวการหรือไม่ หรือว่าเป็นกรณีกู้ยืมเงินต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นการกู้ยืมเงิน เมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟ้องไม่ได้จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณืพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าโจทก์เป็นผุ้ใช้เงินให้แก่นางสอาดแทนจำเลย เป็นการกระทำที่มีอำนาจทำแทนจำเลยอย่างชัดแจ้ง เพระาจำเลยร้องขอให้ทำแทนกิจการที่ทำไปนั้น เป็นกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการโจทก์เป็นตัวแทนเสมือนเครื่องมือเท่านั้น นางสอาดจะเป็นเจ้าหนี้จำเลยในทางใดหรือไม่ก็ตามไม่ใช่เรื่องของโจทก์ โจทก์ได้กระทำการในฐานะเป็นตัวแทนจำเลยในภาระกิจของจำเลย การที่ตัวแทนได้ออกเงินทดรองไปในกิจการที่ตนได้รับมอบหมายจากตัวการเช่นนี้ ตัวแทนมีสิทธิจะเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ ตาม ม.๘๑๖ และการทดรองเงินไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๕๓ ซึ่งเป็นเรื่องกู้ยืมโดยฉะเพาะ จะยกมาใช้ในกรณีนี้ไม่ได้ เพราะต่างลักษณะกัน จึงพิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน ๕๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์.
ตัวแทนออกเงินทดรองไปในกิจการที่ได้รับมอบหมายจากตัวการ ย่อมมีสิทธิเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ตามมาตรา 816 และการทดรองเงินก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 ซึ่งเป็นบทเรื่องกู้ยืมเงินโดยฉะเพาะ
โจทก์จ่ายเงินให้แก่ผู้มีชื่อไปแทนจำเลยตามคำร้องขอของจำเลย ถือว่าเป็นการกระทำแทนจำเลยในกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการ แม้การจ่ายเงินนั้นจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์ก็ฟ้องเรียกเงินจำนวนนั้นจาำจำเลยได้ตามมาตรา 816.
โจทก์จำเลยเป็นคนชอบพอนับถือกันเคยหยิบยืมเงินทองกันใช้สอย เมื่อปลายปี ๒๔๘๗ จำเลยรักใคร่นางสอาด ๆ จะเอาเงิน ๕๐๐๐ บาท จำเลยไม่มีเงินจึงร้องขอให้โจทก์ออกเงิน ๕๐๐๐ บาท จ่ายแทนจำเลยให้นางสอาดก่อน อีก ๒-๓ วันจำเลยจะคืนให้ โดยความเชื่อถือกัน โจทก์ยอมรับปากกับจำเลย เวลาบ่ายจึงเอาเงิน ๕๐๐๐ บาท ไปจ่ายให้นางสอาดตามความประสงค์ของจำเลย การจ่ายเงินจำนวนนี้ ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
บัดนี้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ใช้เงิน ๕๐๐๐ บาทที่โจทก์จ่ายให้นางสอาดไป
ปัญหามีว่า การที่โจทก์จ่ายเงินแทนจำเลยให้แก่นางสอาดตามคำร้องขอจำเลยนั้น จะเรียกว่าโจทก์เป็นตัวแทนได้กระทำการตามคำสั่งของจำเลยผู้เป็นตัวการหรือไม่ หรือว่าเป็นกรณีกู้ยืมเงินต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นการกู้ยืมเงิน เมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟ้องไม่ได้จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณืพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าโจทก์เป็นผุ้ใช้เงินให้แก่นางสอาดแทนจำเลย เป็นการกระทำที่มีอำนาจทำแทนจำเลยอย่างชัดแจ้ง เพระาจำเลยร้องขอให้ทำแทนกิจการที่ทำไปนั้น เป็นกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการโจทก์เป็นตัวแทนเสมือนเครื่องมือเท่านั้น นางสอาดจะเป็นเจ้าหนี้จำเลยในทางใดหรือไม่ก็ตามไม่ใช่เรื่องของโจทก์ โจทก์ได้กระทำการในฐานะเป็นตัวแทนจำเลยในภาระกิจของจำเลย การที่ตัวแทนได้ออกเงินทดรองไปในกิจการที่ตนได้รับมอบหมายจากตัวการเช่นนี้ ตัวแทนมีสิทธิจะเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ ตาม ม.๘๑๖ และการทดรองเงินไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๕๓ ซึ่งเป็นเรื่องกู้ยืมโดยฉะเพาะ จะยกมาใช้ในกรณีนี้ไม่ได้ เพราะต่างลักษณะกัน จึงพิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน ๕๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์.
พนักงานสอบสวนและแพทย์ได้ทำการชันสูตรพลิกศพผู้ตายเสร็จแล้วหากแต่ขาดบันทึกความเห็นเรื่องผู้ตาย ตายที่ไหน เมื่อใดใครหรือสงสัยใครเป็นคนร้าย ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 154 นั้น ไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 129
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามกฎหมายอาญามาตรา 249
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ใบชันสูตรพลิกศพ ไม่ได้จดข้อความแสดงไว้ว่าผู้ตายที่ไหน เมื่อใด และใครหรือสงสัยใครเป็นผู้กระทำผิด เป็นการไม่ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 154 ซึ่งเท่ากับการชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 129 และไม่เชื่อว่าพยานจำคนร้ายได้ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 249
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาเห็นว่า นายอำเภอ และแพทย์ประจำตำบลได้ทำการชันสูตรพลิกศพเสร็จแล้ว หากแต่ขาดบันทึกความเห็นบางประการ ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 154 กรณีจึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตามมาตรา 129 อ้างฎีกาที่ 1299,1300/2481 ส่วนข้อเท็จจริงเชื่อว่า จำเลยเป็นคนร้ายจริงจึงพิพากษายืน
พนักงานสอบสวนและแพทย์ได้ทำการชันสูตรพลิกศพผู้ตายเสร็จแล้วหากแต่ขาดบันทึกความเห็นเรื่องผู้ตาย ตายที่ไหน เมื่อใดใครหรือสงสัยใครเป็นคนร้าย ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 154 นั้น ไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 129
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามกฎหมายอาญามาตรา 249
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ใบชันสูตรพลิกศพ ไม่ได้จดข้อความแสดงไว้ว่าผู้ตายที่ไหน เมื่อใด และใครหรือสงสัยใครเป็นผู้กระทำผิด เป็นการไม่ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 154 ซึ่งเท่ากับการชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 129 และไม่เชื่อว่าพยานจำคนร้ายได้ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 249
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาเห็นว่า นายอำเภอ และแพทย์ประจำตำบลได้ทำการชันสูตรพลิกศพเสร็จแล้ว หากแต่ขาดบันทึกความเห็นบางประการ ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 154 กรณีจึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตามมาตรา 129 อ้างฎีกาที่ 1299,1300/2481 ส่วนข้อเท็จจริงเชื่อว่า จำเลยเป็นคนร้ายจริงจึงพิพากษายืน
พนักงานสอบสวนและแพทย์ได้ทำการชัณสูตรพลิกศพผู้ตายเสร็จแล้ว หากแต่ขาดบันทึกความเห็นเรื่องผู้ตาย ตายที่ไหน เมื่อใด ใครหรือสงสัยใครเป็นคนร้าย ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อาญามาตรา 154 นั้น ไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตาม ป.วิ.อาญามาตรา 129.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามกฎหมายอาญามาตรา ๒๔๙
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ใบชัณสูตรพลิกศพ ไม่ได้จดข้อความแสดงไว้ว่าผู้ตายที่ไหน เมื่อใด และใครหรือสงสัยใครเป็นผู้กระทำผิด เป็นการไม่ครบถ้วนตาม ป.วิ.อาญามาตรา ๑๕๔ ซึ่งเท่ากับการชัณสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ ต้องห้ามมิให้ฟ้องตาม ป.วิ.อาญามาตรา ๑๒๙ และไม่เชื่อว่าพะยานจำคนร้ายได้ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะญามาตรา ๒๔๙
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง
ศาลฎีกา เห็นว่า นายอำเภอ และแพทย์ประจำตำบลได้ทำการชัณสูตรพลิกศพเสร็จแล้ว หากแต่ขาดบันทึกความเห็นบางประการ ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อาญามาตรา ๑๕๔ กรณีจึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตามมาตรา ๑๒๙ อ้างฎีกาที่ ๑๒๔๙, ๑๓๐๐/๒๔๘๑ ส่วนข้อเท็จจริงเชื่อว่า จำเลยเป็นคนร้ายจริง จึงพิพากษายืน.
พนักงานสอบสวนและแพทย์ได้ทำการชัณสูตรพลิกศพผู้ตายเสร็จแล้ว หากแต่ขาดบันทึกความเห็นเรื่องผู้ตาย ตายที่ไหน เมื่อใด ใครหรือสงสัยใครเป็นคนร้าย ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อาญามาตรา 154 นั้น ไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตาม ป.วิ.อาญามาตรา 129.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามกฎหมายอาญามาตรา ๒๔๙
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ใบชัณสูตรพลิกศพ ไม่ได้จดข้อความแสดงไว้ว่าผู้ตายที่ไหน เมื่อใด และใครหรือสงสัยใครเป็นผู้กระทำผิด เป็นการไม่ครบถ้วนตาม ป.วิ.อาญามาตรา ๑๕๔ ซึ่งเท่ากับการชัณสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ ต้องห้ามมิให้ฟ้องตาม ป.วิ.อาญามาตรา ๑๒๙ และไม่เชื่อว่าพะยานจำคนร้ายได้ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะญามาตรา ๒๔๙
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง
ศาลฎีกา เห็นว่า นายอำเภอ และแพทย์ประจำตำบลได้ทำการชัณสูตรพลิกศพเสร็จแล้ว หากแต่ขาดบันทึกความเห็นบางประการ ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อาญามาตรา ๑๕๔ กรณีจึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตามมาตรา ๑๒๙ อ้างฎีกาที่ ๑๒๔๙, ๑๓๐๐/๒๔๘๑ ส่วนข้อเท็จจริงเชื่อว่า จำเลยเป็นคนร้ายจริง จึงพิพากษายืน.
การให้ทรัพย์แก่สมาคมที่ตั้งขึ้นโดยมิได้จดทะเบียนตามกฎหมายนั้นไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ ไม่มีบุคคลผู้รับ เนื่องจากสมาคมนั้นไม่ใช่นิติบุคคล ผู้ให้จึงฟ้องเรียกคืนเงินที่ให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าได้มอบเงินให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมเพื่อนำไปฝากคลัง ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เงินนั้น แต่ได้ความตามข้อเท็จจริงที่รับกันว่าโจทก์ได้ให้เงินจำนวนนั้นแก่สมาคมและรับกันต่อไปว่า สมาคมนั้นมิได้จดทะเบียนตามกฎหมายดังนี้ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนจะเป็นการสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ฉะนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่า การให้ไม่สมบูรณ์ และพิพากษาให้โจทก์เป็นเจ้าของเงินรายพิพาท จึงเป็นคำชี้ขาดในประเด็นและชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสมาชิกสมาคมกู้อิสระภาพอินเดีย จำเลยเป็นนายกสาขาสมาคมนี้ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์ได้มอบธนบัตรฉบับละพันบาทรวม 15,000 บาท ให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมนำไปฝากไว้ที่คลังจังหวัดนครศรีธรรมราช บัดนี้สมาคมเลิกล้ม โจทก์ขอให้จำเลยจัดการให้มีชื่อโจทก์เป็นผู้ฝากธนบัตรที่กล่าวนี้ จำเลยไม่ยอมโจทก์จึงฟ้องขอให้แสดงว่าโจทก์เป็นเจ้าของธนบัตรเหล่านั้น
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์อุทิศเงิน 15,000 บาท ให้แก่สมาคมกู้อิสรภาพอินเดียแล้ว เรียกคืนไม่ได้
คู่ความรับข้อเท็จจริงกันว่า โจทก์ได้ให้ธนบัตรรายพิพาทให้แก่สมาคมกู้อิสระภาพอินเดียจริง แต่สมาคมนี้ตั้งขึ้นโดยไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย แล้วต่างไม่สืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สมาคมอินเดียมิใช่นิติบุคคลเพราะมิได้จดทะเบียน การให้ไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ไม่มีบุคคลผู้รับจึงพิพากษาให้ธนบัตรรายพิพาทเป็นของโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่ามอบธนบัตรรายพิพาทให้จำเลยในฐานะนายกสมาคม เพื่อนำฝากคลังแต่ข้อเท็จจริงที่รับกันว่าโจทก์ให้ธนบัตรรายพิพาทให้สมาคมกู้อิสรภาพอินเดีย ไม่ใช่การมอบหรือฝาก ฟ้องจึงต่างกับข้อเท็จจริง จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์รับตามรายงาน การพิจารณาของศาลว่าธนบัตรรายนี้โจทก์ได้ให้แก่สมาคมกู้อิสรภาพอินเดียนั้น ถ้าคู่ความรับกันเพียงเท่านี้ คดีก็อาจฟังยุติให้ศาลวินิจฉัยได้ว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องหรือไม่ แต่เรื่องนี้ข้อเท็จจริงหายุติเพียงนั้นไม่ โดยยังมีข้อที่โจทก์จำเลยรับกันต่อไปว่า สมาคมที่กล่าวนี้มิได้จดทะเบียนตามกฎหมายประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนนั้น จะสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
การให้ทรัพย์แก่สมาคมที่ตั้งขึ้นโดยมิได้จดทะเบียนตามกฎหมายนั้นไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ ไม่มีบุคคลผู้รับ เนื่องจากสมาคมนั้นไม่ใช่นิติบุคคล ผู้ให้จึงฟ้องเรียกคืนเงินที่ให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าได้มอบเงินให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมเพื่อนำไปฝากคลัง ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เงินนั้น แต่ได้ความตามข้อเท็จจริงที่รับกันว่าโจทก์ได้ให้เงินจำนวนนั้นแก่สมาคมและรับกันต่อไปว่า สมาคมนั้นมิได้จดทะเบียนตามกฎหมายดังนี้ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนจะเป็นการสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ฉะนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่า การให้ไม่สมบูรณ์ และพิพากษาให้โจทก์เป็นเจ้าของเงินรายพิพาท จึงเป็นคำชี้ขาดในประเด็นและชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสมาชิกสมาคมกู้อิสระภาพอินเดีย จำเลยเป็นนายกสาขาสมาคมนี้ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์ได้มอบธนบัตรฉบับละพันบาทรวม 15,000 บาท ให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมนำไปฝากไว้ที่คลังจังหวัดนครศรีธรรมราช บัดนี้สมาคมเลิกล้ม โจทก์ขอให้จำเลยจัดการให้มีชื่อโจทก์เป็นผู้ฝากธนบัตรที่กล่าวนี้ จำเลยไม่ยอมโจทก์จึงฟ้องขอให้แสดงว่าโจทก์เป็นเจ้าของธนบัตรเหล่านั้น
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์อุทิศเงิน 15,000 บาท ให้แก่สมาคมกู้อิสรภาพอินเดียแล้ว เรียกคืนไม่ได้
คู่ความรับข้อเท็จจริงกันว่า โจทก์ได้ให้ธนบัตรรายพิพาทให้แก่สมาคมกู้อิสระภาพอินเดียจริง แต่สมาคมนี้ตั้งขึ้นโดยไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย แล้วต่างไม่สืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สมาคมอินเดียมิใช่นิติบุคคลเพราะมิได้จดทะเบียน การให้ไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ไม่มีบุคคลผู้รับจึงพิพากษาให้ธนบัตรรายพิพาทเป็นของโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่ามอบธนบัตรรายพิพาทให้จำเลยในฐานะนายกสมาคม เพื่อนำฝากคลังแต่ข้อเท็จจริงที่รับกันว่าโจทก์ให้ธนบัตรรายพิพาทให้สมาคมกู้อิสรภาพอินเดีย ไม่ใช่การมอบหรือฝาก ฟ้องจึงต่างกับข้อเท็จจริง จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์รับตามรายงาน การพิจารณาของศาลว่าธนบัตรรายนี้โจทก์ได้ให้แก่สมาคมกู้อิสรภาพอินเดียนั้น ถ้าคู่ความรับกันเพียงเท่านี้ คดีก็อาจฟังยุติให้ศาลวินิจฉัยได้ว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องหรือไม่ แต่เรื่องนี้ข้อเท็จจริงหายุติเพียงนั้นไม่ โดยยังมีข้อที่โจทก์จำเลยรับกันต่อไปว่า สมาคมที่กล่าวนี้มิได้จดทะเบียนตามกฎหมายประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนนั้น จะสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
การให้ทรัพย์แก่สมาคมที่ตั้งขึ้นโดยมิได้จดทะเบียนตาม ก.ม. นั้นไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ ไม่มีบุคคลผู้รับเนื่องจากสมาคมนั้นไม่ใช่นิติบุคคลผู้ให้จึงฟ้องเรียกคืนเงินที่ให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าได้มอบเงินให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมเพื่อนำไปฝากคลัง ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิเงินนั้น แต่ได้ความตามข้อเท็จจจริงที่รับกันว่าโจทก์ได้ให้เงินจำนวนนั้นแก่สมาคมและรับกันต่อไปว่า สมาคมนั้นมิได้จดทะเบียนตามกฎหมายดังนี้ ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนจะเป็นการสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ฉะนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่า การให้ไม่สมบูรณ์ และพิพากษาให้โจทก์เป็นเจ้าของเงินรายพิพาท จึงเป็นคำชี้ขาดในประเด็นและชอบด้วยกฎหมาย.
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสมาชิกสมาคมกู้อิสสระภาพอินเดีย จำเลยเป็นนายกสาขาสมาคมนี้ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์ได้มอบธนบัตรฉะบับละพันบาทรวม ๑๕,๐๐๐ บาท ให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมนำไปฝากไว้ที่คลังจังหวัดนครศรีธรรมราช บัดนี้สมาคมเลิกล้ม โจทก์ขอให้จำเลยจัดการให้มีชื่อโจทก์เป็นผู้ฝากธนบัตรที่กล่าวนี้ จำเลยไม่ยอม โจทก์จึงฟ้องขอให้แสดงว่าโจทก์เป็นเจ้าของธนบัตรเหล่านั้น
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์อุทิศเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท ให้แก่สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดียแล้ว เรียกคืนไม่ได้
คู่ความรับข้อเท็จจริงกันว่า ดจทก์ได้ให้ธนบัตรรายพิพาทให้แก่สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดียจริง แต่สมาคมนี้ตั้งขึ้นโดยไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย แล้วต่างไม่สืบพะยานต่อไป
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สมาคมอินเดียมิใช่นิติบุคคลเพราะมิได้จดทะเบียน การให้ไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ไม่มีบุคคลผู้รับ จึงพิพากษาให้ธนบัตรรายพิพาทเป็นของโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่ามอบธนบัตรรายพิพาทให้จำเลยในฐานะนายกสมาคม เพื่อนำฝากคลังแต่ข้อเท็จจริงที่รับกันว่า โจทก์ให้ธนบัตรรายพิพาทให้สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดีย ไม่ใช่การมอบหรือฝาก ฟ้องจึงต่างกันข้อเท็จจริง จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์รับตามรายงาน การพิจารณาของศาลว่า ธนบัตรรายนี้โจทก์ได้ให้แก่สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดียนั้น ถ้าคู่ความรับกันเพียงเท่านี้ คดีก็อาจฟังยุตติให้ศาลวินิจฉัยได้ว่า ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องหรือไม่ แต่เรื่องนี้ข้อเท็จจริงหายุตติเพียงนั้นไม่ โดยยังมีข้อที่โจทก์จำเลยรับกันต่อไปว่า สมาคมที่กล่าวนี้มิได้จดทะเบียนตามกฎหมายประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนนั้น จะสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องกับข้องวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จึงพิพากษากลับคำพิพากศาลอุทธรณ์บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.
การให้ทรัพย์แก่สมาคมที่ตั้งขึ้นโดยมิได้จดทะเบียนตาม ก.ม. นั้นไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ ไม่มีบุคคลผู้รับเนื่องจากสมาคมนั้นไม่ใช่นิติบุคคลผู้ให้จึงฟ้องเรียกคืนเงินที่ให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าได้มอบเงินให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมเพื่อนำไปฝากคลัง ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิเงินนั้น แต่ได้ความตามข้อเท็จจจริงที่รับกันว่าโจทก์ได้ให้เงินจำนวนนั้นแก่สมาคมและรับกันต่อไปว่า สมาคมนั้นมิได้จดทะเบียนตามกฎหมายดังนี้ ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนจะเป็นการสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ฉะนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่า การให้ไม่สมบูรณ์ และพิพากษาให้โจทก์เป็นเจ้าของเงินรายพิพาท จึงเป็นคำชี้ขาดในประเด็นและชอบด้วยกฎหมาย.
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสมาชิกสมาคมกู้อิสสระภาพอินเดีย จำเลยเป็นนายกสาขาสมาคมนี้ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์ได้มอบธนบัตรฉะบับละพันบาทรวม ๑๕,๐๐๐ บาท ให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมนำไปฝากไว้ที่คลังจังหวัดนครศรีธรรมราช บัดนี้สมาคมเลิกล้ม โจทก์ขอให้จำเลยจัดการให้มีชื่อโจทก์เป็นผู้ฝากธนบัตรที่กล่าวนี้ จำเลยไม่ยอม โจทก์จึงฟ้องขอให้แสดงว่าโจทก์เป็นเจ้าของธนบัตรเหล่านั้น
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์อุทิศเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท ให้แก่สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดียแล้ว เรียกคืนไม่ได้
คู่ความรับข้อเท็จจริงกันว่า ดจทก์ได้ให้ธนบัตรรายพิพาทให้แก่สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดียจริง แต่สมาคมนี้ตั้งขึ้นโดยไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย แล้วต่างไม่สืบพะยานต่อไป
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สมาคมอินเดียมิใช่นิติบุคคลเพราะมิได้จดทะเบียน การให้ไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ไม่มีบุคคลผู้รับ จึงพิพากษาให้ธนบัตรรายพิพาทเป็นของโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่ามอบธนบัตรรายพิพาทให้จำเลยในฐานะนายกสมาคม เพื่อนำฝากคลังแต่ข้อเท็จจริงที่รับกันว่า โจทก์ให้ธนบัตรรายพิพาทให้สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดีย ไม่ใช่การมอบหรือฝาก ฟ้องจึงต่างกันข้อเท็จจริง จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์รับตามรายงาน การพิจารณาของศาลว่า ธนบัตรรายนี้โจทก์ได้ให้แก่สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดียนั้น ถ้าคู่ความรับกันเพียงเท่านี้ คดีก็อาจฟังยุตติให้ศาลวินิจฉัยได้ว่า ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องหรือไม่ แต่เรื่องนี้ข้อเท็จจริงหายุตติเพียงนั้นไม่ โดยยังมีข้อที่โจทก์จำเลยรับกันต่อไปว่า สมาคมที่กล่าวนี้มิได้จดทะเบียนตามกฎหมายประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนนั้น จะสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องกับข้องวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จึงพิพากษากลับคำพิพากศาลอุทธรณ์บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.
ในพินัยกรรมมีข้อความว่า ถ้าตนถึงแก่กรรมก่อนสามีแล้วให้แบ่งทรัพย์ดังนี้ฯลฯ เมื่อปรากฏว่าสามีกลับตายก่อนเช่นนี้ ข้อความในพินัยกรรมนั้น ย่อมเป็นไร้ผล ผู้ใดจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนั้นไม่ได้
โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นบุตรนางฮับเกิดกับนายชื่นผู้เป็นบิดาจำเลยที่ 2 เป็นบุตรนางฮับ เกิดกับพระญาณวิจิตร์ พระญาณวิจิตรตายประมาณ 12 ปีมาแล้ว นางฮับตายเมื่อ พ.ศ. 2487 โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกนางฮับ ผู้เป็นมารดาจากจำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า พระญาณวิจิตรกับนางฮับได้ทำพินัยกรรมร่วมกันยกทรัพย์ให้บางคน และให้จำเลยที่ 2 ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้อง ตกได้แก่จำเลยที่ 2 ทั้งสิ้น โจทก์ไม่มีส่วนได้เลย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามพินัยกรรม ผู้ตายมีเจตนาจะให้คำสั่งมีผลต่อเมื่อนางฮับตายก่อนพระญาณวิจิตร ถ้าหากตายภายหลังพระญาณวิจิตรแล้วย่อมไม่ประสงค์จะให้แบ่งปันทรัพย์ตามพินัยกรรมเมื่อทางพิจารณาได้ความว่า พระญาณวิจิตรตายก่อนนายฮับ ข้อความในพินัยกรรมของนางฮับจึงเป็นอันไร้ผล จำเลยจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนางฮับไม่ได้ จึงพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ตามส่วน
ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน
ในพินัยกรรมมีข้อความว่า ถ้าตนถึงแก่กรรมก่อนสามีแล้วให้แบ่งทรัพย์ดังนี้ฯลฯ เมื่อปรากฏว่าสามีกลับตายก่อนเช่นนี้ ข้อความในพินัยกรรมนั้น ย่อมเป็นไร้ผล ผู้ใดจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนั้นไม่ได้
โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นบุตรนางฮับเกิดกับนายชื่นผู้เป็นบิดาจำเลยที่ 2 เป็นบุตรนางฮับ เกิดกับพระญาณวิจิตร์ พระญาณวิจิตรตายประมาณ 12 ปีมาแล้ว นางฮับตายเมื่อ พ.ศ. 2487 โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกนางฮับ ผู้เป็นมารดาจากจำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า พระญาณวิจิตรกับนางฮับได้ทำพินัยกรรมร่วมกันยกทรัพย์ให้บางคน และให้จำเลยที่ 2 ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้อง ตกได้แก่จำเลยที่ 2 ทั้งสิ้น โจทก์ไม่มีส่วนได้เลย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามพินัยกรรม ผู้ตายมีเจตนาจะให้คำสั่งมีผลต่อเมื่อนางฮับตายก่อนพระญาณวิจิตร ถ้าหากตายภายหลังพระญาณวิจิตรแล้วย่อมไม่ประสงค์จะให้แบ่งปันทรัพย์ตามพินัยกรรมเมื่อทางพิจารณาได้ความว่า พระญาณวิจิตรตายก่อนนายฮับ ข้อความในพินัยกรรมของนางฮับจึงเป็นอันไร้ผล จำเลยจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนางฮับไม่ได้ จึงพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ตามส่วน
ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน
ในพินัยกรรมมีข้อความว่า ถ้าตนถึงแก่กรรมก่อนสามีแล้ว ให้แบ่งทรัพย์ดังนี้ฯลฯ เมื่อปรากฏว่าสามีกลับตายก่อนเช่นนี้ ข้อความในพินัยกรรมนั้น ย่อมเป็นอันไร้ผล ผู้ใดจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนั้นไม่ได้.
โจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นบุตรนางฮับเกิดกับนายชื่นผู้เป็นบิดา จำเลยที่ ๒ เป็นบุตรนางฮับ เกิดกับพระญาณวิจิตร์ พระญาณวิจิตรตายประมาณ ๑๒ ปีมาแล้ว นางฮับตายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๗ โจทก์ฟ้องขอแบ่งมฤดกนางฮับ ผู้เป็นมารดาจากจำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า พระญาณวิจิตรกับนางฮับได้ทำพินัยกรรมร่วมกัน ยกทรัพย์ให้บางคน และให้จำเลยที่ ๒ ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้อง ตกได้แก่จำเลยที่ ๒ ทั้งสิ้น โจทก์ไม่มีส่วนได้เลย ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามพินัยกรรม ผู้ตายมีเจตนาจะให้คำสั่งมีผลต่อเมื่อนางฮับตายก่อนพระญาณวิจิตร ถ้าหากตายภายหลัง พระญาณวิจิตรแก้วย่อมไม่ประสงค์จะให้แบ่งปันทรัพย์ตามพินัยกรรม์ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า พระญาณวิจิตรตายก่อนนางฮับ ข้อความในพินัยกรรม์ของนางฮับจึงเป็นอันไร้ผล จำเลยจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนางฮับไม่ได้ จึงพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ตามส่วน
ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน.
ในพินัยกรรมมีข้อความว่า ถ้าตนถึงแก่กรรมก่อนสามีแล้ว ให้แบ่งทรัพย์ดังนี้ฯลฯ เมื่อปรากฏว่าสามีกลับตายก่อนเช่นนี้ ข้อความในพินัยกรรมนั้น ย่อมเป็นอันไร้ผล ผู้ใดจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนั้นไม่ได้.
โจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นบุตรนางฮับเกิดกับนายชื่นผู้เป็นบิดา จำเลยที่ ๒ เป็นบุตรนางฮับ เกิดกับพระญาณวิจิตร์ พระญาณวิจิตรตายประมาณ ๑๒ ปีมาแล้ว นางฮับตายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๗ โจทก์ฟ้องขอแบ่งมฤดกนางฮับ ผู้เป็นมารดาจากจำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า พระญาณวิจิตรกับนางฮับได้ทำพินัยกรรมร่วมกัน ยกทรัพย์ให้บางคน และให้จำเลยที่ ๒ ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้อง ตกได้แก่จำเลยที่ ๒ ทั้งสิ้น โจทก์ไม่มีส่วนได้เลย ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามพินัยกรรม ผู้ตายมีเจตนาจะให้คำสั่งมีผลต่อเมื่อนางฮับตายก่อนพระญาณวิจิตร ถ้าหากตายภายหลัง พระญาณวิจิตรแก้วย่อมไม่ประสงค์จะให้แบ่งปันทรัพย์ตามพินัยกรรม์ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า พระญาณวิจิตรตายก่อนนางฮับ ข้อความในพินัยกรรม์ของนางฮับจึงเป็นอันไร้ผล จำเลยจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนางฮับไม่ได้ จึงพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ตามส่วน
ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน.
องค์สำคัญแห่งความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 306คือการฉ้อโกงซึ่งตามมาตรา 304 ว่าต้องมีการหลอกลวง ฯลฯผู้ที่ถูกหลอกลวงตามมาตรา 306(4) ก็คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ไว้เป็นประกันผู้รับจำนำผู้รับจำหน่าย เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ หาได้ถูกหลอกลวงไม่ ฉะนั้นเจ้าของกรรมสิทธิ์จึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีสิทธิฟ้องผู้ฉ้อโกงเป็นคดีอาญา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตฉ้อโกงโจทก์โดยจำเลยเอานาของโจทก์ 1 แปลงไปขายให้นายทาโดยจำเลยไม่มีอำนาจขายได้ ทั้งโจทก์ก็มิได้รู้เห็น หรืออนุญาตในการขายนี้ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 306 ข้อ 4
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าองค์สำคัญแห่งความผิดตามมาตรา 306 คือการฉ้อโกงซึ่งมาตรา 304 ว่า ต้องมีการหลอกลวง ฯลฯ และผู้ที่หลอกลวงตามข้อ 4 นี้คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ไว้เป็นประกัน ผู้รับจำนำ ผู้รับจำหน่ายฝ่ายเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์หาได้ถูกหลอกลวงไม่ แม้โจทก์จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โจทก์ก็ไม่เป็นผู้เสียหายในเรื่องนี้ จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องคดีอาญา จึงพิพากษายืน
องค์สำคัญแห่งความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 306คือการฉ้อโกงซึ่งตามมาตรา 304 ว่าต้องมีการหลอกลวง ฯลฯผู้ที่ถูกหลอกลวงตามมาตรา 306(4) ก็คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ไว้เป็นประกันผู้รับจำนำผู้รับจำหน่าย เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ หาได้ถูกหลอกลวงไม่ ฉะนั้นเจ้าของกรรมสิทธิ์จึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีสิทธิฟ้องผู้ฉ้อโกงเป็นคดีอาญา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตฉ้อโกงโจทก์โดยจำเลยเอานาของโจทก์ 1 แปลงไปขายให้นายทาโดยจำเลยไม่มีอำนาจขายได้ ทั้งโจทก์ก็มิได้รู้เห็น หรืออนุญาตในการขายนี้ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 306 ข้อ 4
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าองค์สำคัญแห่งความผิดตามมาตรา 306 คือการฉ้อโกงซึ่งมาตรา 304 ว่า ต้องมีการหลอกลวง ฯลฯ และผู้ที่หลอกลวงตามข้อ 4 นี้คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ไว้เป็นประกัน ผู้รับจำนำ ผู้รับจำหน่ายฝ่ายเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์หาได้ถูกหลอกลวงไม่ แม้โจทก์จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โจทก์ก็ไม่เป็นผู้เสียหายในเรื่องนี้ จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องคดีอาญา จึงพิพากษายืน
องค์สำคัญแห่งความผิดตาม ก.ม.อาญามาตรา 306 คือ การฉ้อโกงซึ่งตามมาตรา 304 ว่าต้องมีการหลอกลวง ฯลฯ ผู้ที่ถูกหลอกลวงตามมาตรา 306(4) ก็คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ ไว้เป็นประกัน ผู้รับจำนำ ผู้รับจำหน่าย เจ้าของกรรมสิทธิในทรัพย์ หาได้ถูกหลอกลวงไม่ ฉะนั้นเจ้าของกรรมสิทธิจึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีสิทธิฟ้องผู้ฉ้อโกงเป็นคดีอาญา.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตฉ้อโกงโจทก์ โดยจำเลยเอานา ของโจทก์ ๑ แปลงไปขายให้นายทา โดยจำเลยไม่มีอำนาจขายได้ ทั้งโจทก์ก็มิได้รู้เห็น หรืออนุญาตในการขายนี้ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.อาญามาตรา ๓๐๖ ข้อ ๔
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าองค์สำคัญแห่งความผิดตามมาตรา ๓๐๖ คือการฉ้อโกง ซึ่งมาตรา ๓๐๔ ว่า ต้องมีการหลอกลวง ฯลฯ และผู้ที่หลอกลวงตามข้อ ๔ นี้คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ไว้เป็นประกัน ผู้รับจำนำ ผู้รับจำหน่าย ฝ่ายเจ้าของกรรมสิทธิในทรัพย์หาได้ถูกหลอกลวงไม่ แม้โจทก์จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ โจทก์ก็ไม่เป็นผู้เสียหายในเรื่องนี้ จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องคดีอาญา จึงพิพากษายืน.
องค์สำคัญแห่งความผิดตาม ก.ม.อาญามาตรา 306 คือ การฉ้อโกงซึ่งตามมาตรา 304 ว่าต้องมีการหลอกลวง ฯลฯ ผู้ที่ถูกหลอกลวงตามมาตรา 306(4) ก็คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ ไว้เป็นประกัน ผู้รับจำนำ ผู้รับจำหน่าย เจ้าของกรรมสิทธิในทรัพย์ หาได้ถูกหลอกลวงไม่ ฉะนั้นเจ้าของกรรมสิทธิจึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีสิทธิฟ้องผู้ฉ้อโกงเป็นคดีอาญา.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตฉ้อโกงโจทก์ โดยจำเลยเอานา ของโจทก์ ๑ แปลงไปขายให้นายทา โดยจำเลยไม่มีอำนาจขายได้ ทั้งโจทก์ก็มิได้รู้เห็น หรืออนุญาตในการขายนี้ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.อาญามาตรา ๓๐๖ ข้อ ๔
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าองค์สำคัญแห่งความผิดตามมาตรา ๓๐๖ คือการฉ้อโกง ซึ่งมาตรา ๓๐๔ ว่า ต้องมีการหลอกลวง ฯลฯ และผู้ที่หลอกลวงตามข้อ ๔ นี้คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ไว้เป็นประกัน ผู้รับจำนำ ผู้รับจำหน่าย ฝ่ายเจ้าของกรรมสิทธิในทรัพย์หาได้ถูกหลอกลวงไม่ แม้โจทก์จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ โจทก์ก็ไม่เป็นผู้เสียหายในเรื่องนี้ จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องคดีอาญา จึงพิพากษายืน.
ฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นตามความในกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 158,159 นั้นเป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญา
ฟ้องคดีแพ่ง แม้จะกล่าวว่าเป็นเรื่องยักยอก แม้จะเป็นเท็จก็ไม่มีผิดฐานฟ้องเท็จ ตาม มาตรา158-159
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องคดีแพ่งเท็จเรียกราคาทรัพย์หรือค่าทดแทน 1,300 บาท โดยกล่าวว่า จำเลยฟ้องว่า โจทก์เป็นหุ้นส่วนของจำเลยและเอารถยนต์ของหุ้นส่วน 2 คันไปขายเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ขอให้คืนรถยนต์หรือใช้ราคา 3,800 บาทความจริงรถยนต์ดังกล่าวเป็นทรัพย์ส่วนตัวของโจทก์
ศาลชั้นต้นไม่ประทับฟ้องในคดีอาญา คงดำเนินเฉพาะคดีแพ่งต่อไปและเมื่อสอบถามคู่ความแล้วงดสืบพยาน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะคำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่า เกิดการกระทำผิดขึ้นตามมาตรา 158, 159 นั้นเป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญาทั้ง 2 มาตรา แม้การฟ้องว่ายักยอกทรัพย์อาจเป็นทั้งทางแพ่งและทางอาญาก็ดี เมื่อไม่มีคำขอให้ลงอาญา ก็เรียกไม่ได้ว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นดังกฎหมายบัญญัติไว้ จึงพิพากษายืน
ฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นตามความในกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 158,159 นั้นเป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญา
ฟ้องคดีแพ่ง แม้จะกล่าวว่าเป็นเรื่องยักยอก แม้จะเป็นเท็จก็ไม่มีผิดฐานฟ้องเท็จ ตาม มาตรา158-159
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องคดีแพ่งเท็จเรียกราคาทรัพย์หรือค่าทดแทน 1,300 บาท โดยกล่าวว่า จำเลยฟ้องว่า โจทก์เป็นหุ้นส่วนของจำเลยและเอารถยนต์ของหุ้นส่วน 2 คันไปขายเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ขอให้คืนรถยนต์หรือใช้ราคา 3,800 บาทความจริงรถยนต์ดังกล่าวเป็นทรัพย์ส่วนตัวของโจทก์
ศาลชั้นต้นไม่ประทับฟ้องในคดีอาญา คงดำเนินเฉพาะคดีแพ่งต่อไปและเมื่อสอบถามคู่ความแล้วงดสืบพยาน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะคำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่า เกิดการกระทำผิดขึ้นตามมาตรา 158, 159 นั้นเป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญาทั้ง 2 มาตรา แม้การฟ้องว่ายักยอกทรัพย์อาจเป็นทั้งทางแพ่งและทางอาญาก็ดี เมื่อไม่มีคำขอให้ลงอาญา ก็เรียกไม่ได้ว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นดังกฎหมายบัญญัติไว้ จึงพิพากษายืน
ฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นตามความในกฎหมายอาญามาตรา 158, 159 นั้นเป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญา
ฟ้องคดีแพ่ง แม้จะกล่าวว่าเป็นเรื่องยักยอก แม้จะเป็นเท็จก็ไม่มีผิดฐานฟ้องเท็จตาม ม.158, 159.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องคดีแพ่งเท็จเรียกราคาทรัพย์หรือค่าทดแทน ๑๓๐๐ บาท โดยกล่าวว่าจำเลยฟ้องว่า โจทก์เป็นหุ้นส่วนของจำเลยและเอารถยนตร์ของหุ้นส่วน ๒ คันไปขายเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ขอให้คืนรถยนตร์หรือใช้ราคา ๓๘๐๐ บาท ความจริงรถยนตร์ดังกล่าวเป็นทรัพย์ส่วนตัวของโจทก์
ศาลชั้นต้นไม่ประทับฟ้องในคดีอาญา คงดำเนินฉะเพาะคดีแพ่งต่อไป และเมื่อสอบถามคู่ความแล้วงดสืบพะยาน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ฉะเพาะคำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า คำว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่า เกิดการกระทำผิดขึ้นตามมาตรา ๑๕๘, ๑๕๙ นั้น เป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญาทั้ง ๒ มาตรา แม้การฟ้องว่ายักยอกทรัพย์อาจเป็นทั้งทางแพ่งและทางอาญาก็ดี เมื่อไม่มีคำขอให้ลงอาญา ก็เรียกไม่ได้ว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นดังกฎหมายบัญญัติไว้ จึงพิพากษายืน.
ฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นตามความในกฎหมายอาญามาตรา 158, 159 นั้นเป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญา
ฟ้องคดีแพ่ง แม้จะกล่าวว่าเป็นเรื่องยักยอก แม้จะเป็นเท็จก็ไม่มีผิดฐานฟ้องเท็จตาม ม.158, 159.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องคดีแพ่งเท็จเรียกราคาทรัพย์หรือค่าทดแทน ๑๓๐๐ บาท โดยกล่าวว่าจำเลยฟ้องว่า โจทก์เป็นหุ้นส่วนของจำเลยและเอารถยนตร์ของหุ้นส่วน ๒ คันไปขายเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ขอให้คืนรถยนตร์หรือใช้ราคา ๓๘๐๐ บาท ความจริงรถยนตร์ดังกล่าวเป็นทรัพย์ส่วนตัวของโจทก์
ศาลชั้นต้นไม่ประทับฟ้องในคดีอาญา คงดำเนินฉะเพาะคดีแพ่งต่อไป และเมื่อสอบถามคู่ความแล้วงดสืบพะยาน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ฉะเพาะคำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า คำว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่า เกิดการกระทำผิดขึ้นตามมาตรา ๑๕๘, ๑๕๙ นั้น เป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญาทั้ง ๒ มาตรา แม้การฟ้องว่ายักยอกทรัพย์อาจเป็นทั้งทางแพ่งและทางอาญาก็ดี เมื่อไม่มีคำขอให้ลงอาญา ก็เรียกไม่ได้ว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นดังกฎหมายบัญญัติไว้ จึงพิพากษายืน.
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี 4 เดือนแล้วให้กักกันมีกำหนด 3 ปีนั้นฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้
การขอให้ยกหรือลดโทษกักกันอันเป็นดุลพินิจนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญา มาตรา 256 และกักกันตามพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญา มาตรา 256 จำคุก 2 ปี เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ลดฐานรับสารภาพ คงจำคุก 1 ปี 4 เดือนแล้วให้กักกัน 3 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ขอความกรุณาหรือยกโทษกักกัน
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาขอลดหรือยกโทษกักกันเกี่ยวแก่ดุลพินิจของศาลซึ่งเป็นเรื่องข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามกฎหมายให้ยกฎีกาจำเลยเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี 4 เดือนแล้วให้กักกันมีกำหนด 3 ปีนั้นฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้
การขอให้ยกหรือลดโทษกักกันอันเป็นดุลพินิจนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญา มาตรา 256 และกักกันตามพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญา มาตรา 256 จำคุก 2 ปี เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ลดฐานรับสารภาพ คงจำคุก 1 ปี 4 เดือนแล้วให้กักกัน 3 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ขอความกรุณาหรือยกโทษกักกัน
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาขอลดหรือยกโทษกักกันเกี่ยวแก่ดุลพินิจของศาลซึ่งเป็นเรื่องข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามกฎหมายให้ยกฎีกาจำเลยเสีย
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|