ซื้อที่ดินแล้วเข้าครอบครองเป็นเจ้าของมาเกิน 10 ปีแม้จะยังไม่ได้แก้ทะเบียนโอนโฉนดกัน ผู้ซื้อก็ย่อมอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิของตนได้ จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนที่ดินนั้นโดยไม่สุจริตได้ตามมาตรา 1300
ในคดีแพ่งเมื่อโจทก์ ฟ้องบรรยายข้อเท็จจริงมาครบถ้วนตามมูลกรณีและมีคำขอมาถูกต้องแล้ว ย่อมเป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับบทกฎหมายบทใด โจทก์ไม่จำเป็นต้องอ้างบทมาตราแห่งกฎหมายนั้นมาด้วย
ความข้อใดที่คู่ความฝ่ายหนึ่งรับแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งไม่จำต้องนำสืบความข้อนั้นอีก ศาลฟังได้ตามที่รับนั้น
โจทก์ผู้รับมรดกนายสุยบิดา ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดที่ 1453 ระหว่างจำเลยทั้ง 2 โดยอ้างว่า จำเลยที่ 1 ขายที่ดินแปลงนี้ให้นายสุยบิดาโจทก์ และมอบที่ดินให้นายสุยปกครองเป็นเจ้าของมาเกิน 10 ปีแล้ว บัดนี้จำเลยที่ 2 อ้างว่ารับซื้อที่ดินแปลงนี้ไว้จากจำเลยที่ 1 และแย่งโจทก์ทำนาในที่นี้
คู่ความรับรองข้อเท็จจริงกันว่า นายหนูจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินโฉนด 1453 เฉพาะส่วนของตนกับที่ดินโฉนดที่ 1454 ทั้งแปลงให้แก่นายสุยบิดาโจทก์ โดยพูดตกลงกันปากเปล่า ที่ดินโฉนดที่ 1454 นั้น ได้จัดการโอนแก้ทะเบียนให้แก่กันเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ส่วนโฉนดที่ 1453 ยังไม่ได้โอนกัน เป็นแต่นายสุยได้เข้าครอบครองที่ดินเรื่อยตลอดมาตั้งแต่วันซื้อ หน้าโฉนดอยู่ที่จำเลยที่ 1 ครั้งเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม2488 จำเลยที่ 1 ได้โอนโฉนดที่ 1453 ขายให้จำเลยที่ 2 ไป
คู่ความไม่สืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นายสุยครอบครองที่ดินพิพาทมาเกิน 10 ปีแล้วย่อมเป็นเจ้าของตามมาตรา 1382 จำเลยที่ 2 รู้ดีแล้วยังรับซื้อไปจึงเป็นการไม่สุจริต นายสุยและทายาทจึงยกขึ้นต่อสู้ได้ตามมาตรา 1299 วรรค 2 และมีอำนาจที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1-2 นั้นเสียได้ตามมาตรา 1300 จึงพิพากษากลับให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดที่ 1453 ระหว่างจำเลยที่ 1-2
จำเลยฎีกาคัดค้านว่าโจทก์ มิได้ตั้งรูปคดีมาตามมาตรา 1300 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกประเด็นและโจทก์มิได้นำสืบว่า การโอนไม่สุจริต
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงไว้ครบถ้วนแล้วและได้มีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย ส่วนจะปรับกับกฎหมายบทใดนั้นย่อมเป็นหน้าที่ของศาล จึงหาเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ส่วนในเรื่องความไม่สุจริตนั้น เมื่อจำเลยแถลงรับต่อศาลว่านายสุยรับซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้โอนโฉนดกัน นายสุยได้ครอบครองที่ดินตลอดมา ย่อมแสดงชัดว่า จำเลยทราบดียังขืนซื้อจึงเป็นการไม่สุจริต พิพากษายืน
ซื้อที่ดินแล้วเข้าครอบครองเป็นเจ้าของมาเกิน 10 ปีแม้จะยังไม่ได้แก้ทะเบียนโอนโฉนดกัน ผู้ซื้อก็ย่อมอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิของตนได้ จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนที่ดินนั้นโดยไม่สุจริตได้ตามมาตรา 1300
ในคดีแพ่งเมื่อโจทก์ ฟ้องบรรยายข้อเท็จจริงมาครบถ้วนตามมูลกรณีและมีคำขอมาถูกต้องแล้ว ย่อมเป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับบทกฎหมายบทใด โจทก์ไม่จำเป็นต้องอ้างบทมาตราแห่งกฎหมายนั้นมาด้วย
ความข้อใดที่คู่ความฝ่ายหนึ่งรับแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งไม่จำต้องนำสืบความข้อนั้นอีก ศาลฟังได้ตามที่รับนั้น
โจทก์ผู้รับมรดกนายสุยบิดา ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดที่ 1453 ระหว่างจำเลยทั้ง 2 โดยอ้างว่า จำเลยที่ 1 ขายที่ดินแปลงนี้ให้นายสุยบิดาโจทก์ และมอบที่ดินให้นายสุยปกครองเป็นเจ้าของมาเกิน 10 ปีแล้ว บัดนี้จำเลยที่ 2 อ้างว่ารับซื้อที่ดินแปลงนี้ไว้จากจำเลยที่ 1 และแย่งโจทก์ทำนาในที่นี้
คู่ความรับรองข้อเท็จจริงกันว่า นายหนูจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินโฉนด 1453 เฉพาะส่วนของตนกับที่ดินโฉนดที่ 1454 ทั้งแปลงให้แก่นายสุยบิดาโจทก์ โดยพูดตกลงกันปากเปล่า ที่ดินโฉนดที่ 1454 นั้น ได้จัดการโอนแก้ทะเบียนให้แก่กันเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ส่วนโฉนดที่ 1453 ยังไม่ได้โอนกัน เป็นแต่นายสุยได้เข้าครอบครองที่ดินเรื่อยตลอดมาตั้งแต่วันซื้อ หน้าโฉนดอยู่ที่จำเลยที่ 1 ครั้งเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม2488 จำเลยที่ 1 ได้โอนโฉนดที่ 1453 ขายให้จำเลยที่ 2 ไป
คู่ความไม่สืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นายสุยครอบครองที่ดินพิพาทมาเกิน 10 ปีแล้วย่อมเป็นเจ้าของตามมาตรา 1382 จำเลยที่ 2 รู้ดีแล้วยังรับซื้อไปจึงเป็นการไม่สุจริต นายสุยและทายาทจึงยกขึ้นต่อสู้ได้ตามมาตรา 1299 วรรค 2 และมีอำนาจที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1-2 นั้นเสียได้ตามมาตรา 1300 จึงพิพากษากลับให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดที่ 1453 ระหว่างจำเลยที่ 1-2
จำเลยฎีกาคัดค้านว่าโจทก์ มิได้ตั้งรูปคดีมาตามมาตรา 1300 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกประเด็นและโจทก์มิได้นำสืบว่า การโอนไม่สุจริต
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงไว้ครบถ้วนแล้วและได้มีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย ส่วนจะปรับกับกฎหมายบทใดนั้นย่อมเป็นหน้าที่ของศาล จึงหาเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ส่วนในเรื่องความไม่สุจริตนั้น เมื่อจำเลยแถลงรับต่อศาลว่านายสุยรับซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้โอนโฉนดกัน นายสุยได้ครอบครองที่ดินตลอดมา ย่อมแสดงชัดว่า จำเลยทราบดียังขืนซื้อจึงเป็นการไม่สุจริต พิพากษายืน
ซื้อที่ดินแล้วเข้าครอบครองเป็นเจ้าของมาเกิน 10 ปี แม้จะยังไม่ได้แก้ทะเบียนโอนโฉนดกัน ผู้ซื้อก็ย่อมอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิของตนได้ จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนที่ดินนั้นโดยไม่สุจริตได้ตามมาตรา 1300
ในคดีแพ่งเมื่อโจทก์ฟ้องบรรยายข้อเท็จจริงมาครบถ้วนตามมูลกรณีและมีคำขอมาถูกต้องแล้ว ย่อมเป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับบทกฎหมายบทใด โจทก์ไม่จำเป็นต้องอ้างบทมาตราแห่งกฎหมายนั้นมาด้วย
ความข้อใดที่คู่ความฝ่ายหนึ่งรับแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งไม่จำต้องนำสืบความข้อนั้นอีก ศาลฟังได้ตามที่รับนั้น
โจทก์ผู้รับมฤดกนายสุยบิดา ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดที่ ๑๔๕๓ ระหว่างจำเลยทั้ง ๒ โดยอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ขายที่ดินแปลงนี้ให้นายสุยบิดาโจทก์ และมอบที่ดินให้นายสุยปกครองเป็นเจ้าของมาเกิน ๑๐ ปีแล้ว บัดนี้จำเลยที่ ๒ อ้างว่ารับซื้อที่ดินแปลงนี้ไว้จากจำเลยที่ ๑ และแย่งโจทก์ทำนาในที่นี้
คู่ความรับรองข้อเท็จจริงกันว่า นายหนูจำเลยที่ ๑ ได้ขายที่ดินโฉนด ๑๔๕๓ ฉะเพาะส่วนของตนกับที่ดินโฉนดที่ ๑๔๕๔ ทั้งแปลงให้แก่นายสุยบิดาโจทก์ โดยพูดตกลงกันปากเปล่า ที่ดินโฉนดที่ ๑๔๕๔ นั้นได้จัดการโอนแก้ทะเบียนให้แก่กันเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ส่วนโฉนดที่ ๑๔๕๓ ยังไม่ได้โอนกัน เป็นแต่นายสุยได้เข้าครอบครองที่ดินเรื่อยตลอดมาตั้งแต่วันซื้อ หน้าโฉนดอยู่ที่จำเลยที่ ๑ ครั้งเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๔๘๘ จำเลยที่ ๑ ได้โอนโฉนดที่ ๑๔๕๓ ขายให้จำเลยที่ ๒ ไป
คู่ความไม่สืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นายสุยครอบครองที่ดินพิพาทมาเกิน ๑๐ ปีแล้วย่อมเป็นเจ้าของตามมาตรา ๑๓๘๒ จำเลยที่ ๒ รู้ดีแล้วยังรับซื้อไปจึงเป็นการไม่สุจริต นายสุยและทายาทจึงยกขึ้นต่อสู้ได้ตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรค ๒ และมีอำนาจที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ ๑ - ๒ นั้นเสียได้ตามมาตรา ๑๓๐๐ จึงพิพากษากลับให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดที่ ๑๔๕๓ ระหว่างจำเลยที่ ๑ - ๒
จำเลยฎีกาคัดค้านว่าโจทก์ มิได้ตั้งรูปคดีมาตามมาตรา ๑๓๐๐ ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยนอกประเด็นและโจทก์มิได้นำสืบว่า การโอนไม่สุจริต
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงไว้ครบถ้วนแล้วและได้มีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย ส่วนจะปรับกับกฎหมายบทใดนั้นย่อมเป็นหน้าที่ของศาล จึงหาเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ส่วนในเรื่องความไม่สุจริตนั้น เมื่อจำเลยแถลงรับต่อศาลว่านายสุยรับซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้โอนโฉนดกัน นายสุยได้ครอบครองที่ดินตลอดมา ย่อมแสดงชัดว่า จำเลยทราบดียังขืนซื้อ ถือเป็นการไม่สุจริต พิพากษายืน
ซื้อที่ดินแล้วเข้าครอบครองเป็นเจ้าของมาเกิน 10 ปี แม้จะยังไม่ได้แก้ทะเบียนโอนโฉนดกัน ผู้ซื้อก็ย่อมอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิของตนได้ จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนที่ดินนั้นโดยไม่สุจริตได้ตามมาตรา 1300
ในคดีแพ่งเมื่อโจทก์ฟ้องบรรยายข้อเท็จจริงมาครบถ้วนตามมูลกรณีและมีคำขอมาถูกต้องแล้ว ย่อมเป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับบทกฎหมายบทใด โจทก์ไม่จำเป็นต้องอ้างบทมาตราแห่งกฎหมายนั้นมาด้วย
ความข้อใดที่คู่ความฝ่ายหนึ่งรับแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งไม่จำต้องนำสืบความข้อนั้นอีก ศาลฟังได้ตามที่รับนั้น
โจทก์ผู้รับมฤดกนายสุยบิดา ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดที่ ๑๔๕๓ ระหว่างจำเลยทั้ง ๒ โดยอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ขายที่ดินแปลงนี้ให้นายสุยบิดาโจทก์ และมอบที่ดินให้นายสุยปกครองเป็นเจ้าของมาเกิน ๑๐ ปีแล้ว บัดนี้จำเลยที่ ๒ อ้างว่ารับซื้อที่ดินแปลงนี้ไว้จากจำเลยที่ ๑ และแย่งโจทก์ทำนาในที่นี้
คู่ความรับรองข้อเท็จจริงกันว่า นายหนูจำเลยที่ ๑ ได้ขายที่ดินโฉนด ๑๔๕๓ ฉะเพาะส่วนของตนกับที่ดินโฉนดที่ ๑๔๕๔ ทั้งแปลงให้แก่นายสุยบิดาโจทก์ โดยพูดตกลงกันปากเปล่า ที่ดินโฉนดที่ ๑๔๕๔ นั้นได้จัดการโอนแก้ทะเบียนให้แก่กันเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ส่วนโฉนดที่ ๑๔๕๓ ยังไม่ได้โอนกัน เป็นแต่นายสุยได้เข้าครอบครองที่ดินเรื่อยตลอดมาตั้งแต่วันซื้อ หน้าโฉนดอยู่ที่จำเลยที่ ๑ ครั้งเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๔๘๘ จำเลยที่ ๑ ได้โอนโฉนดที่ ๑๔๕๓ ขายให้จำเลยที่ ๒ ไป
คู่ความไม่สืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นายสุยครอบครองที่ดินพิพาทมาเกิน ๑๐ ปีแล้วย่อมเป็นเจ้าของตามมาตรา ๑๓๘๒ จำเลยที่ ๒ รู้ดีแล้วยังรับซื้อไปจึงเป็นการไม่สุจริต นายสุยและทายาทจึงยกขึ้นต่อสู้ได้ตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรค ๒ และมีอำนาจที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ ๑ - ๒ นั้นเสียได้ตามมาตรา ๑๓๐๐ จึงพิพากษากลับให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดที่ ๑๔๕๓ ระหว่างจำเลยที่ ๑ - ๒
จำเลยฎีกาคัดค้านว่าโจทก์ มิได้ตั้งรูปคดีมาตามมาตรา ๑๓๐๐ ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยนอกประเด็นและโจทก์มิได้นำสืบว่า การโอนไม่สุจริต
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงไว้ครบถ้วนแล้วและได้มีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย ส่วนจะปรับกับกฎหมายบทใดนั้นย่อมเป็นหน้าที่ของศาล จึงหาเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ส่วนในเรื่องความไม่สุจริตนั้น เมื่อจำเลยแถลงรับต่อศาลว่านายสุยรับซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้โอนโฉนดกัน นายสุยได้ครอบครองที่ดินตลอดมา ย่อมแสดงชัดว่า จำเลยทราบดียังขืนซื้อ ถือเป็นการไม่สุจริต พิพากษายืน
ข้าราชการขีดฆ่าข้อความที่พนักงานเจ้าหน้าที่เขียนและหมายเหตุไว้ตามหน้าที่ในสมุดลงเวลามาทำงาน แล้วตกเติมข้อความใหม่เปลี่ยนความหมายแห่งถ้อยคำให้เป็นอย่างอื่นโดยจงใจเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงในสมุดนั้น เพื่อใช้เป็นหลักฐานลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าความจริงเป็นดังที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นความผิดฐานปลอมหนังสือตามมาตรา 224
โจทก์ฟ้องขอให้ลงจำเลยตามมาตรา 230 แต่ความผิดของจำเลยต้องด้วยมาตรา 224 ซึ่งเป็นบทมีอัตราโทษเบากว่าศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 224 ได้
ข้าราชการขีดฆ่าข้อความที่พนักงานเจ้าหน้าที่เขียนและหมายเหตุไว้ตามหน้าที่ในสมุดลงเวลามาทำงาน แล้วตกเติมข้อความใหม่เปลี่ยนความหมายแห่งถ้อยคำให้เป็นอย่างอื่นโดยจงใจเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงในสมุดนั้น เพื่อใช้เป็นหลักฐานลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าความจริงเป็นดังที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นความผิดฐานปลอมหนังสือตามมาตรา 224
โจทก์ฟ้องขอให้ลงจำเลยตามมาตรา 230 แต่ความผิดของจำเลยต้องด้วยมาตรา 224 ซึ่งเป็นบทมีอัตราโทษเบากว่าศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 224 ได้
ข้าราชการขีดฆ่าข้อความที่พนักงานเจ้าหน้าที่เขียนและหมายเหตุไว้ตามหน้าที่ในสมุดลงเวลามาทำงานแล้วตกเติมข้อความใหม่ เปลี่ยนความหมายแห่งถ้อยคำให้เป็นอย่างอื่นโดยจงใจเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงในสมุดนั้น เพื่อใช้เป็นหลักฐานลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าความจริงเป็นดังที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นความผิดฐานปลอมหนังสือตามมาตรา 224
โจทก์ฟ้องขอให้ลงจำเลยตามมาตรา 230 แต่ความผิดของจำเลยต้องด้วยมาตรา 224 ซึ่งเป็นบทมีอัตราโทษเบากว่า ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 224 ได้.
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2491
จำเลยเป็นนายอำเภอศรีประจันต์ ในวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๔๘๕ จำเลยไปราชการที่จังหวัดพระนคร ไม่ได้อยู่ประจำทำงาน ณ ที่ว่าการอำเภอ เจ้าหน้าที่อำเภอจึงได้เขียนชื่อจำเลยในสมุดรายวันทำการของอำเภอในช่องลงลายมือชื่อ และหมายเหตุไว้ว่าจำเลยไปราชการจังหวัดพระนคร จำเลยได้ขีดฆ่าชื่อของจำเลยที่เจ้าหน้าที่เขียนไว้ แล้วลงลายมือชื่อจำเลยลงไป และเขียนเติมข้อความในช่องเวลาทำงานว่า มาเวลา ๑๐.๐๐ น. กลับ ๑๕.๐๐ น. รวมเวลาทำงาน ๔ ชั่วโมง และเติมข้อความในช่องหมายเหตุว่ากลับจากจังหวัดตอนเย็นเดินทางไปราชการจังหวัดพระนครซึ่งเป็นความเท็จ โดยจำเลยมีเจตนาจะใช้เป็นพยานหลักฐานแสดงว่าจำเลยได้อยู่ทำงาน ณ ที่ว่าการอำเภอศรีประจันต์ เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๔๘๕ เพื่อให้สมกับจำเลยเบิกความต่อศาลว่าวันนั้นจำเลยได้ทำการสอบสวนคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๒๓๐ จำคุก ๕ ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๒๓ จำคุก ๑ ปี
โจทก์ จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยขีดฆ่าข้อความที่พนักงานเจ้าหน้าที่เขียนและหมายเหตุไว้ตามหน้าที่แล้วตกเติมข้อความใหม่ เปลี่ยนความหมายแห่งถ้อยคำให้เป็นอย่างอื่น โดยจงใจเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงในสมุดนั้น เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อว่าความจริงเป็นดังข้อความที่จำเลยแก้ไขเปลี่ยนแปลงในสมุดดังนี้ต้องด้วยลักษณะปลอมหนังสือราชการตามมาตรา ๒๒๔ แต่โจทก์อ้างบทมาตรา ๒๓๐ ซึ่งเป็นบทมีอัตราโทษสูงกว่าเป็นการคลาดเคลื่อนไป จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๒๔ มีกำหนดจำคุก ๑ ปี
ข้าราชการขีดฆ่าข้อความที่พนักงานเจ้าหน้าที่เขียนและหมายเหตุไว้ตามหน้าที่ในสมุดลงเวลามาทำงานแล้วตกเติมข้อความใหม่ เปลี่ยนความหมายแห่งถ้อยคำให้เป็นอย่างอื่นโดยจงใจเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงในสมุดนั้น เพื่อใช้เป็นหลักฐานลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าความจริงเป็นดังที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นความผิดฐานปลอมหนังสือตามมาตรา 224
โจทก์ฟ้องขอให้ลงจำเลยตามมาตรา 230 แต่ความผิดของจำเลยต้องด้วยมาตรา 224 ซึ่งเป็นบทมีอัตราโทษเบากว่า ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 224 ได้.
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2491
จำเลยเป็นนายอำเภอศรีประจันต์ ในวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๔๘๕ จำเลยไปราชการที่จังหวัดพระนคร ไม่ได้อยู่ประจำทำงาน ณ ที่ว่าการอำเภอ เจ้าหน้าที่อำเภอจึงได้เขียนชื่อจำเลยในสมุดรายวันทำการของอำเภอในช่องลงลายมือชื่อ และหมายเหตุไว้ว่าจำเลยไปราชการจังหวัดพระนคร จำเลยได้ขีดฆ่าชื่อของจำเลยที่เจ้าหน้าที่เขียนไว้ แล้วลงลายมือชื่อจำเลยลงไป และเขียนเติมข้อความในช่องเวลาทำงานว่า มาเวลา ๑๐.๐๐ น. กลับ ๑๕.๐๐ น. รวมเวลาทำงาน ๔ ชั่วโมง และเติมข้อความในช่องหมายเหตุว่ากลับจากจังหวัดตอนเย็นเดินทางไปราชการจังหวัดพระนครซึ่งเป็นความเท็จ โดยจำเลยมีเจตนาจะใช้เป็นพยานหลักฐานแสดงว่าจำเลยได้อยู่ทำงาน ณ ที่ว่าการอำเภอศรีประจันต์ เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๔๘๕ เพื่อให้สมกับจำเลยเบิกความต่อศาลว่าวันนั้นจำเลยได้ทำการสอบสวนคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๒๓๐ จำคุก ๕ ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๒๓ จำคุก ๑ ปี
โจทก์ จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยขีดฆ่าข้อความที่พนักงานเจ้าหน้าที่เขียนและหมายเหตุไว้ตามหน้าที่แล้วตกเติมข้อความใหม่ เปลี่ยนความหมายแห่งถ้อยคำให้เป็นอย่างอื่น โดยจงใจเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงในสมุดนั้น เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อว่าความจริงเป็นดังข้อความที่จำเลยแก้ไขเปลี่ยนแปลงในสมุดดังนี้ต้องด้วยลักษณะปลอมหนังสือราชการตามมาตรา ๒๒๔ แต่โจทก์อ้างบทมาตรา ๒๓๐ ซึ่งเป็นบทมีอัตราโทษสูงกว่าเป็นการคลาดเคลื่อนไป จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๒๔ มีกำหนดจำคุก ๑ ปี
มีอาวุธปืนพกธรรมดาขนาด 9 มม. โดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งตามกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในมาตรา 7 แห่ง พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯลฯ 2477(ฉบับที่ 4) ข้อ 1(5) ห้ามมิให้ออกใบอนุญาตให้ทำ นำเข้ามา หรือสั่งอาวุธปืนชนิดนี้ มิได้กล่าวถึงการมีไว้และมิได้กล่าวระบุไว้ว่าเป็นอาวุธปืนชนิดอันต้องห้าม นั้น
ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำฝ่าฝืนต่อมาตรา 7 ในส่วนที่ 2 หมวด 1 แห่ง พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯลฯ จะลงโทษตามมาตรา54 ไม่ได้ คงผิดแต่เพียงมาตรา 52 เท่านั้น
มีอาวุธปืนก่อนปี 2490 คดีอยู่ระหว่างพิจารณา และศาลฎีกาตัดสินเมื่อพ้นกำหนดผ่อนผันการจดทะเบียนตามมาตรา 86 แล้วย่อมลงโทษได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนพกขนาด 9 มม.ไม่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน พ.ศ. 2477 มาตรา 7, 9, 11, 52, 54
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง และไม่ขอสืบพยานฝ่ายโจทก์ขอสืบพยาน แต่ศาลเห็นไม่จำเป็นแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ 2477 มาตรา 52
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 54
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ปืนของกลางในคดีนี้ เป็นปืนพกขนาด 9 มม. ซึ่งตามกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ2477 (ฉบับที่ 4) ข้อ 1(5) ห้ามมิให้ออกใบอนุญาตให้ทำนำเข้ามา หรือสั่งอาวุธปืนชนิดนี้ แต่มิได้กล่าวถึงการมีว่าถ้าผู้ใดมีอาวุธปืนชนิดนี้ จะออกใบอนุญาตได้หรือไม่ และมิได้กล่าวว่า อาวุธปืนที่ระบุไว้เป็นอาวุธปืนชนิดอันต้องห้าม เป็นแต่ห้ามมิให้ออกใบอนุญาตให้ทำ นำเข้ามาหรือสั่ง จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยฝ่าฝืนมาตรา 7 ในส่วนที่ 2 หมวด 1 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ จึงลงโทษตามมาตรา 54 ไม่ได้ พิพากษายืน
มีอาวุธปืนพกธรรมดาขนาด 9 มม. โดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งตามกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในมาตรา 7 แห่ง พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯลฯ 2477(ฉบับที่ 4) ข้อ 1(5) ห้ามมิให้ออกใบอนุญาตให้ทำ นำเข้ามา หรือสั่งอาวุธปืนชนิดนี้ มิได้กล่าวถึงการมีไว้และมิได้กล่าวระบุไว้ว่าเป็นอาวุธปืนชนิดอันต้องห้าม นั้น
ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำฝ่าฝืนต่อมาตรา 7 ในส่วนที่ 2 หมวด 1 แห่ง พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯลฯ จะลงโทษตามมาตรา54 ไม่ได้ คงผิดแต่เพียงมาตรา 52 เท่านั้น
มีอาวุธปืนก่อนปี 2490 คดีอยู่ระหว่างพิจารณา และศาลฎีกาตัดสินเมื่อพ้นกำหนดผ่อนผันการจดทะเบียนตามมาตรา 86 แล้วย่อมลงโทษได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนพกขนาด 9 มม.ไม่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน พ.ศ. 2477 มาตรา 7, 9, 11, 52, 54
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง และไม่ขอสืบพยานฝ่ายโจทก์ขอสืบพยาน แต่ศาลเห็นไม่จำเป็นแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ 2477 มาตรา 52
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 54
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ปืนของกลางในคดีนี้ เป็นปืนพกขนาด 9 มม. ซึ่งตามกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ2477 (ฉบับที่ 4) ข้อ 1(5) ห้ามมิให้ออกใบอนุญาตให้ทำนำเข้ามา หรือสั่งอาวุธปืนชนิดนี้ แต่มิได้กล่าวถึงการมีว่าถ้าผู้ใดมีอาวุธปืนชนิดนี้ จะออกใบอนุญาตได้หรือไม่ และมิได้กล่าวว่า อาวุธปืนที่ระบุไว้เป็นอาวุธปืนชนิดอันต้องห้าม เป็นแต่ห้ามมิให้ออกใบอนุญาตให้ทำ นำเข้ามาหรือสั่ง จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยฝ่าฝืนมาตรา 7 ในส่วนที่ 2 หมวด 1 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ จึงลงโทษตามมาตรา 54 ไม่ได้ พิพากษายืน
มีอาวุธปืนพกธรรมดาขนาด 9 มม. โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งตามกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. อาวุธปืนฯลฯ 2477 (ฉบับที่ 4) ข้อ 1(5) ห้ามมิให้ออกใบอนุญาตให้ทำ นำเข้ามา หรือสั่งอาวุธปืนชนิดนี้ มิได้กล่าวถึงการมีไว้และมิได้กล่าวระบุไว้ว่าเป็นอาวุธปืนชนิดอันต้องห้าม นั้นถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำฝ่าฝืนต่อมาตรา 7 ในส่วนที่ 2 หมวด 1 แห่ง พ.ร.บ.อาวุธปืนฯลฯ จะลงโทษตามมาตรา 54 ไม่ได้ คงผิดแต่เพียงมาตรา 52 เท่านั้น.
มีอาวุธปืนก่อนปี 2490 คดีอยู่ระหว่างพิจารณา และศาลฎีกาตัดสินเมื่อพ้นกำหนดผ่อนผันการจดทะเบียนตามมาตรา 86 แล้ว ย่อมลงโทษได้.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนพกขนาด ๙ มม. ไม่จดทะเบียนตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๗-๙-๑๑-๕๒-๕๔
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง และไม่ขอสืบพะยานฝ่ายโจทก์ขอสืบพะยาน แต่ศาลเห็นไม่จำเป็น แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯลฯ ๒๔๗๗ มาตรา ๕๒
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๕๔
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ปืนของกลางในคดีนี้ เป็นปืนพกขนาด ๙ มม. ซึ่งตามกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในมาตรา ๗ แห่ง พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯลฯ ๒๔๗๗ (ฉะบับที่ ๔) ข้อ ๑(๕) ห้ามมิให้ออกใบอนุญาตให้ทำนำเข้ามา หรือสั่งอาวุธปืนชนิดนี้ แต่มิได้กล่าวถึงการมีว่าถ้าผู้ใดมีอาวุธปืนชะนิดนี้ จะออกใบอนุญาตได้หรือไม่ และมิได้กล่าวว่า อาวุธปืนที่ระบุไว้เป็นอาวุธปืนชะนิดอันต้องห้าม เป็นแต่ห้ามมิให้ออกใบอนุญาตให้ทำ นำเข้ามาหรือสั่ง จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยฝ่าฝืนมาตรา ๗ ในส่วนที่ ๒ หมวด ๑ แห่ง พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯลฯ จึงลงโทษตามมาตรา ๕๔ ไม่ได้ พิพากษายืน.
มีอาวุธปืนพกธรรมดาขนาด 9 มม. โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งตามกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. อาวุธปืนฯลฯ 2477 (ฉบับที่ 4) ข้อ 1(5) ห้ามมิให้ออกใบอนุญาตให้ทำ นำเข้ามา หรือสั่งอาวุธปืนชนิดนี้ มิได้กล่าวถึงการมีไว้และมิได้กล่าวระบุไว้ว่าเป็นอาวุธปืนชนิดอันต้องห้าม นั้นถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำฝ่าฝืนต่อมาตรา 7 ในส่วนที่ 2 หมวด 1 แห่ง พ.ร.บ.อาวุธปืนฯลฯ จะลงโทษตามมาตรา 54 ไม่ได้ คงผิดแต่เพียงมาตรา 52 เท่านั้น.
มีอาวุธปืนก่อนปี 2490 คดีอยู่ระหว่างพิจารณา และศาลฎีกาตัดสินเมื่อพ้นกำหนดผ่อนผันการจดทะเบียนตามมาตรา 86 แล้ว ย่อมลงโทษได้.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนพกขนาด ๙ มม. ไม่จดทะเบียนตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๗-๙-๑๑-๕๒-๕๔
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง และไม่ขอสืบพะยานฝ่ายโจทก์ขอสืบพะยาน แต่ศาลเห็นไม่จำเป็น แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯลฯ ๒๔๗๗ มาตรา ๕๒
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๕๔
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ปืนของกลางในคดีนี้ เป็นปืนพกขนาด ๙ มม. ซึ่งตามกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในมาตรา ๗ แห่ง พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯลฯ ๒๔๗๗ (ฉะบับที่ ๔) ข้อ ๑(๕) ห้ามมิให้ออกใบอนุญาตให้ทำนำเข้ามา หรือสั่งอาวุธปืนชนิดนี้ แต่มิได้กล่าวถึงการมีว่าถ้าผู้ใดมีอาวุธปืนชะนิดนี้ จะออกใบอนุญาตได้หรือไม่ และมิได้กล่าวว่า อาวุธปืนที่ระบุไว้เป็นอาวุธปืนชะนิดอันต้องห้าม เป็นแต่ห้ามมิให้ออกใบอนุญาตให้ทำ นำเข้ามาหรือสั่ง จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยฝ่าฝืนมาตรา ๗ ในส่วนที่ ๒ หมวด ๑ แห่ง พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯลฯ จึงลงโทษตามมาตรา ๕๔ ไม่ได้ พิพากษายืน.
จำนองที่ดินไว้แก่เขาภายหลังตกลงขายที่ดินนั้นแก่ผู้รับจำนองครึ่งหนึ่ง โดยตกลงกันให้หักหนี้ที่จำนองเป็นการชำระหนี้สินสิ้นเชิง
ถ้าการตกลงนั้นมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ผู้รับจำนองไม่มีอำนาจฟ้องผู้จำนองให้โอนที่ดินครึ่งที่ขายให้ตนได้ และจะถือว่าเงินที่รับจำนองเท่าราคาซื้อขายจึงเป็นการชำระเงินแล้วก็ไม่ได้ เพราะผู้รับจำนองยังมิได้ปลดการจำนองให้ผู้จำนอง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนายเทียมฟ้องโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 5400 โจทก์และนางเทียบได้จำนองที่ดินดังกล่าวไว้แก่จำเลยเป็นเงิน 1,100 บาท ต่อมานายเทียบโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของนายเทียบให้โจทก์ ๆ ขอไถ่จากจำเลย ๆ ไม่ยอมจึงขอให้บังคับจำเลยรับไถ่ถอน
จำเลยให้การเป็นฟ้องแย้งว่า เมื่อโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์จากนายเทียบแล้ว โจทก์ได้ตกลงขายที่ดินนั้นให้จำเลยครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 1,100 บาท โดยตกลงกันให้หักหนี้ที่จำนองเป็นการชำระหนี้สิ้นเชิงแล้วโจทก์ได้มายื่นคำขอต่อพนักงานที่ดินขอแบ่งแยกที่ดินโฉนด 5400 ออกครึ่งหนึ่งเพื่อขายให้จำเลย ภายหลังโจทก์กลับขอถอนการแบ่งแยกเสียจำเลยจึงขอให้ศาลบังคับโจทก์ให้จัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนด 5400 ให้จำเลยครึ่งหนึ่ง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องว่า ได้ตกลงขายที่ดินให้จำเลย และขอให้เจ้าพนักงานไปรังวัดเพื่อแบ่งแยกจริง แต่ตกลงกับจำเลยด้วยปากเปล่าหาได้ทำหนังสือเป็นหลักฐานจำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456
ทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์โอนที่นาโฉนดที่ 5400 ให้จำเลยครึ่งหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยรับไถ่ถอนจำนอง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าคำขอแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ มีข้อความชัดเจนว่า ขอแบ่งแยกเพื่อขายให้แก่จำเลยแล้ว ก็ย่อมเป็นหลักฐานตามความหมายแห่งมาตรา 456 แต่ในเรื่องนี้จำเลยมิได้อ้างคำขอนั้นมาจึงไม่สามารถทราบได้ว่า คำขอนั้นมีข้อความว่ากระไร เพราะอาจจะขอแบ่งแยกเฉย ๆ หรือเพื่อขาย แต่มิได้ระบุชื่อจำเลยได้ก็ได้ ตามคำแถลงรับของจำเลยก็มีเพียงว่า "โจทก์ ได้ขอให้เจ้าพนักงานไปทำการแบ่งแยกที่ดินจริง หาได้รับว่าในคำขอนั้นได้ระบุไว้ว่าจะขายให้จำเลยด้วยไม่ ทั้งโจทก์ก็ได้ต่อสู้ว่าข้อตกลงซื้อขายกัน พูดด้วยปากเปล่าไม่ผูกมัดโจทก์ตามกฎหมายดังนี้ จะฟังว่าเป็นคำรับผิดตามคำฟ้องแย้งไม่ได้ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าจำนวนเงินที่รับจำนองเท่ากับราคาซื้อขาย ควรถือว่าได้ชำระเงินแล้วนั้น ก็เห็นว่า แม้จำนวนเงินจะเท่ากัน แต่จำเลยยังมิได้ปลดการจำนองให้แก่โจทก์ จะถือว่าได้ชำระเงินจำนวนนั้นให้แก่โจทก์แล้วไม่ได้ จึงพิพากษายืน
จำนองที่ดินไว้แก่เขาภายหลังตกลงขายที่ดินนั้นแก่ผู้รับจำนองครึ่งหนึ่ง โดยตกลงกันให้หักหนี้ที่จำนองเป็นการชำระหนี้สินสิ้นเชิง
ถ้าการตกลงนั้นมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ผู้รับจำนองไม่มีอำนาจฟ้องผู้จำนองให้โอนที่ดินครึ่งที่ขายให้ตนได้ และจะถือว่าเงินที่รับจำนองเท่าราคาซื้อขายจึงเป็นการชำระเงินแล้วก็ไม่ได้ เพราะผู้รับจำนองยังมิได้ปลดการจำนองให้ผู้จำนอง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนายเทียมฟ้องโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 5400 โจทก์และนางเทียบได้จำนองที่ดินดังกล่าวไว้แก่จำเลยเป็นเงิน 1,100 บาท ต่อมานายเทียบโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของนายเทียบให้โจทก์ ๆ ขอไถ่จากจำเลย ๆ ไม่ยอมจึงขอให้บังคับจำเลยรับไถ่ถอน
จำเลยให้การเป็นฟ้องแย้งว่า เมื่อโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์จากนายเทียบแล้ว โจทก์ได้ตกลงขายที่ดินนั้นให้จำเลยครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 1,100 บาท โดยตกลงกันให้หักหนี้ที่จำนองเป็นการชำระหนี้สิ้นเชิงแล้วโจทก์ได้มายื่นคำขอต่อพนักงานที่ดินขอแบ่งแยกที่ดินโฉนด 5400 ออกครึ่งหนึ่งเพื่อขายให้จำเลย ภายหลังโจทก์กลับขอถอนการแบ่งแยกเสียจำเลยจึงขอให้ศาลบังคับโจทก์ให้จัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนด 5400 ให้จำเลยครึ่งหนึ่ง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องว่า ได้ตกลงขายที่ดินให้จำเลย และขอให้เจ้าพนักงานไปรังวัดเพื่อแบ่งแยกจริง แต่ตกลงกับจำเลยด้วยปากเปล่าหาได้ทำหนังสือเป็นหลักฐานจำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456
ทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์โอนที่นาโฉนดที่ 5400 ให้จำเลยครึ่งหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยรับไถ่ถอนจำนอง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าคำขอแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ มีข้อความชัดเจนว่า ขอแบ่งแยกเพื่อขายให้แก่จำเลยแล้ว ก็ย่อมเป็นหลักฐานตามความหมายแห่งมาตรา 456 แต่ในเรื่องนี้จำเลยมิได้อ้างคำขอนั้นมาจึงไม่สามารถทราบได้ว่า คำขอนั้นมีข้อความว่ากระไร เพราะอาจจะขอแบ่งแยกเฉย ๆ หรือเพื่อขาย แต่มิได้ระบุชื่อจำเลยได้ก็ได้ ตามคำแถลงรับของจำเลยก็มีเพียงว่า "โจทก์ ได้ขอให้เจ้าพนักงานไปทำการแบ่งแยกที่ดินจริง หาได้รับว่าในคำขอนั้นได้ระบุไว้ว่าจะขายให้จำเลยด้วยไม่ ทั้งโจทก์ก็ได้ต่อสู้ว่าข้อตกลงซื้อขายกัน พูดด้วยปากเปล่าไม่ผูกมัดโจทก์ตามกฎหมายดังนี้ จะฟังว่าเป็นคำรับผิดตามคำฟ้องแย้งไม่ได้ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าจำนวนเงินที่รับจำนองเท่ากับราคาซื้อขาย ควรถือว่าได้ชำระเงินแล้วนั้น ก็เห็นว่า แม้จำนวนเงินจะเท่ากัน แต่จำเลยยังมิได้ปลดการจำนองให้แก่โจทก์ จะถือว่าได้ชำระเงินจำนวนนั้นให้แก่โจทก์แล้วไม่ได้ จึงพิพากษายืน
จำนองที่ดินไว้แก่เขา ภายหลังตกลงขายที่ดินนั้นแก่ผู้รับจำนองครึ่งหนึ่ง โดยตกลงกันให้หักหนี้ที่จำนองเป็นการชำระหนี้สินสิ้นเชิง
ถ้าการตกลงนั้นมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ผู้รับจำนองไม่มีอำนาจฟ้องผู้จำนองให้โอนที่ดินครึ่งที่ขายให้ตนได้ และจะถือว่าเงินที่รับจำนองเท่าราคาซื้อขายจึงเป็นการชำระเงินแล้วก็ไม่ได้ เพราะผู้รับจำนองยังมิได้ปลดการจำนองให้ผู้จำนอง.
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนายเทียบน้องโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิที่ดินโฉนดที่ ๕๔๐๐ โจทก์และนายเทียบได้จำนองที่ดินดังกล่าวไว้ แก่จำเลยเป็นเงิน ๑๑๐๐ บาท ต่อมานายเทียบโอนกรรมสิทธิที่ดินส่วนของนายเทียบให้โจทก์ ๆ ขอไถ่จากจำเลย ๆ ไม่ยอม จึงขอให้บังคับจำเลยรับไถ่ถอน
จำเลยให้การเป็นฟ้องแย้งว่า เมื่อโจทก์รับโอนกรรมสิทธิจากนายเทียบแล้ว โจทก์ได้ตกลงขายที่ดินนั้นให้จำเลยครึ่งหนึ่งเป็นเงิน ๑๑๐๐ บาท โดยตกลงกันให้หักหนี้ที่จำนองเป็นการชำระหนี้สิ้นเชิง แล้วโจทก์ได้มายื่นคำขอต่อพนักงานที่ดินขอแบ่งแยกที่ดินโฉนด ๕๔๐๐ ออกครึ่งหนึ่งเพื่อขายให้จำเลย ภายหลังโจทก์กลับขอถอนการแบ่งแยกเสีย จำเลยจึงขอให้ศาลบังคับโจทก์ให้จัดการโอนกรรมสิทธิที่ดินโฉนด ๕๔๐๐ ให้จำเลยครึ่งหนึ่ง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องว่า ได้ตกลงขายที่ดินให้จำเลย และขอให้เจ้าพนักงานไปรังวัดเพื่อแบ่งแยกจริง แต่ตกลงกับจำเลยด้วยปากเปล่า หาได้ทำหนังสือเป็นหลักฐานจำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องตาม ป.พ.พ.มาตรา ๔๕๖
ทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพะยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์โอนที่นาโฉนดที่ ๕๔๐๐ ให้จำเลยครึ่งหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยรับไถ่ถอนจำนอง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าคำขอแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ มีข้อความชัดเจนว่า ขอแบ่งแยกเพื่อขายให้แก่จำเลยแล้ว ก็ย่อมเป็นหลักฐานตามความหมายแห่งมาตรา ๔๕๖ แต่ในเรื่องนี้จำเลยมิได้อ้างคำขอนั้นมา จึงไม่สามารถทราบได้ว่า คำขอนั้นมีข้อความว่ากระไร เพราะอาจจะขอแบ่งแยกเฉย ๆ หรือเพื่อขาย แต่มิได้ระบุชื่อจำเลยไว้ก็ได้ ตามคำแถลงรับของจำเลยก็มีเพียงว่า " โจทก์ได้ขอให้เจ้าพนักงานไปทำการแบ่งแยกที่ดินจริง หาได้รับว่าในคำขอนั้นได้ระบุไว้ว่าจะขายให้จำเลยด้วยไม่ ทั้งโจทก์ก็ได้ต่อสู้ว่าข้อตกลงซื้อขายกัน พูดด้วยปากเปล่าไม่ผูกพันโจทก์ตาม ก.ม. ดังนี้ จะฟังว่าเป็นคำรับผิดตามคำฟ้องแย้งไม่ได้ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าจำนวนเงินที่รับจำนองเท่ากับราคาซื้อขาย ควรถือว่าได้ชำระเงินแล้วนั้น ก็เห็นว่า แม้จำนวนเงินจะเท่ากัน แต่จำเลยยังมิได้ปลดการจำนองให้แก่โจทก์จะถือว่าได้ชำระเงินจำนวนนั้นให้แก่โจทก์แล้วไม่ได้ จึงพิพากษายืน.
จำนองที่ดินไว้แก่เขา ภายหลังตกลงขายที่ดินนั้นแก่ผู้รับจำนองครึ่งหนึ่ง โดยตกลงกันให้หักหนี้ที่จำนองเป็นการชำระหนี้สินสิ้นเชิง
ถ้าการตกลงนั้นมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ผู้รับจำนองไม่มีอำนาจฟ้องผู้จำนองให้โอนที่ดินครึ่งที่ขายให้ตนได้ และจะถือว่าเงินที่รับจำนองเท่าราคาซื้อขายจึงเป็นการชำระเงินแล้วก็ไม่ได้ เพราะผู้รับจำนองยังมิได้ปลดการจำนองให้ผู้จำนอง.
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนายเทียบน้องโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิที่ดินโฉนดที่ ๕๔๐๐ โจทก์และนายเทียบได้จำนองที่ดินดังกล่าวไว้ แก่จำเลยเป็นเงิน ๑๑๐๐ บาท ต่อมานายเทียบโอนกรรมสิทธิที่ดินส่วนของนายเทียบให้โจทก์ ๆ ขอไถ่จากจำเลย ๆ ไม่ยอม จึงขอให้บังคับจำเลยรับไถ่ถอน
จำเลยให้การเป็นฟ้องแย้งว่า เมื่อโจทก์รับโอนกรรมสิทธิจากนายเทียบแล้ว โจทก์ได้ตกลงขายที่ดินนั้นให้จำเลยครึ่งหนึ่งเป็นเงิน ๑๑๐๐ บาท โดยตกลงกันให้หักหนี้ที่จำนองเป็นการชำระหนี้สิ้นเชิง แล้วโจทก์ได้มายื่นคำขอต่อพนักงานที่ดินขอแบ่งแยกที่ดินโฉนด ๕๔๐๐ ออกครึ่งหนึ่งเพื่อขายให้จำเลย ภายหลังโจทก์กลับขอถอนการแบ่งแยกเสีย จำเลยจึงขอให้ศาลบังคับโจทก์ให้จัดการโอนกรรมสิทธิที่ดินโฉนด ๕๔๐๐ ให้จำเลยครึ่งหนึ่ง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องว่า ได้ตกลงขายที่ดินให้จำเลย และขอให้เจ้าพนักงานไปรังวัดเพื่อแบ่งแยกจริง แต่ตกลงกับจำเลยด้วยปากเปล่า หาได้ทำหนังสือเป็นหลักฐานจำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องตาม ป.พ.พ.มาตรา ๔๕๖
ทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพะยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์โอนที่นาโฉนดที่ ๕๔๐๐ ให้จำเลยครึ่งหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยรับไถ่ถอนจำนอง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าคำขอแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ มีข้อความชัดเจนว่า ขอแบ่งแยกเพื่อขายให้แก่จำเลยแล้ว ก็ย่อมเป็นหลักฐานตามความหมายแห่งมาตรา ๔๕๖ แต่ในเรื่องนี้จำเลยมิได้อ้างคำขอนั้นมา จึงไม่สามารถทราบได้ว่า คำขอนั้นมีข้อความว่ากระไร เพราะอาจจะขอแบ่งแยกเฉย ๆ หรือเพื่อขาย แต่มิได้ระบุชื่อจำเลยไว้ก็ได้ ตามคำแถลงรับของจำเลยก็มีเพียงว่า " โจทก์ได้ขอให้เจ้าพนักงานไปทำการแบ่งแยกที่ดินจริง หาได้รับว่าในคำขอนั้นได้ระบุไว้ว่าจะขายให้จำเลยด้วยไม่ ทั้งโจทก์ก็ได้ต่อสู้ว่าข้อตกลงซื้อขายกัน พูดด้วยปากเปล่าไม่ผูกพันโจทก์ตาม ก.ม. ดังนี้ จะฟังว่าเป็นคำรับผิดตามคำฟ้องแย้งไม่ได้ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าจำนวนเงินที่รับจำนองเท่ากับราคาซื้อขาย ควรถือว่าได้ชำระเงินแล้วนั้น ก็เห็นว่า แม้จำนวนเงินจะเท่ากัน แต่จำเลยยังมิได้ปลดการจำนองให้แก่โจทก์จะถือว่าได้ชำระเงินจำนวนนั้นให้แก่โจทก์แล้วไม่ได้ จึงพิพากษายืน.
เช่าห้องเขามาแล้วไม่ได้อยู่เอง เมื่อมีผู้อื่นมาขออยู่ ตนสละสิทธิยอมให้ผู้อื่นเข้าอยู่ในห้องเช่า โดยผู้อยู่เสียค่าเช่าโดยตรงต่อเจ้าของห้องตลอดมา ดังนี้ผู้เช่าไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้อยู่ได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยกล่าวว่า จำเลยได้มาขออาศัยอยู่ในห้องที่โจทก์เช่าจากสำนักงานทรัพย์สิน ฯลฯ แต่ทางพิจารณาได้ความว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าห้องจากทรัพย์สิน ฯลฯ อัตราค่าเช่าเดือนละ 12 บาท แต่โจทก์มิได้อยู่ในห้องนี้ คงให้นางแจ่มผู้อยู่ข้างเคียงดูแล จำเลยเห็นห้องว่างจึงไปพูดกับนางแจ่มขอเข้าอยู่นางแจ่มไปพูดกับโจทก์ ๆ ยอมให้จำเลยเข้าอยู่และจำเลยได้ให้เงินนางแจ่ม 260 บาท แล้วจำเลยได้เข้าอยู่มาจนวันฟ้องราว 2 ปีเศษ โดยจำเลยเสียค่าเช่าแก่ทรัพย์สิน ฯลฯ ในนามของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความดังกล่าวข้างต้น เป็นเรื่องที่โจทก์สละสิทธิยอมให้จำเลยเข้าอยู่ในห้องเช่าแล้วไม่ใช่เรื่องอาศัยดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องจึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
เช่าห้องเขามาแล้วไม่ได้อยู่เอง เมื่อมีผู้อื่นมาขออยู่ ตนสละสิทธิยอมให้ผู้อื่นเข้าอยู่ในห้องเช่า โดยผู้อยู่เสียค่าเช่าโดยตรงต่อเจ้าของห้องตลอดมา ดังนี้ผู้เช่าไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้อยู่ได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยกล่าวว่า จำเลยได้มาขออาศัยอยู่ในห้องที่โจทก์เช่าจากสำนักงานทรัพย์สิน ฯลฯ แต่ทางพิจารณาได้ความว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าห้องจากทรัพย์สิน ฯลฯ อัตราค่าเช่าเดือนละ 12 บาท แต่โจทก์มิได้อยู่ในห้องนี้ คงให้นางแจ่มผู้อยู่ข้างเคียงดูแล จำเลยเห็นห้องว่างจึงไปพูดกับนางแจ่มขอเข้าอยู่นางแจ่มไปพูดกับโจทก์ ๆ ยอมให้จำเลยเข้าอยู่และจำเลยได้ให้เงินนางแจ่ม 260 บาท แล้วจำเลยได้เข้าอยู่มาจนวันฟ้องราว 2 ปีเศษ โดยจำเลยเสียค่าเช่าแก่ทรัพย์สิน ฯลฯ ในนามของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความดังกล่าวข้างต้น เป็นเรื่องที่โจทก์สละสิทธิยอมให้จำเลยเข้าอยู่ในห้องเช่าแล้วไม่ใช่เรื่องอาศัยดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องจึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
เช่าห้องเช่าามาแล้วไม่ได้อยู่เอง เมื่อมีผู้อื่นมาขออยู่ ตนสละสิทธิยอมให้ผู้อื่นเข้าอยู่ในห้องเช่า โดยผู้อยู่เสียค่าเช่าโดยตรงต่อเจ้าของห้องตลอดมา ดังนี้ ผู้เช่าไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้อยู่ได้.
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยกล่าวว่า จำเลยได้มาขออาศัยอยู่ในห้องที่โจทก์เช่าจากสำนักงานทรัพย์สิน ฯลฯ แต่ทางพิจารณาได้ความว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าห้องจากทรัพย์สิน ฯลฯ อัตราค่าเช่าเดือนละ ๑๒ บาท แต่โจทก์มิได้อยู่ในห้องนี้ คงให้นางแจ่มผู้อยู่ข้างเคียงดูแล จำเลยเห็นห้องว่างจึงไปพูดกับนางแจ่มขอเข้าอยู่ นางแจ่มไปพูดกับโจทก์ ๆ ยอมให้จำเลยเข้าอยู่ และจำเลยได้ให้เงินนางแจ่ม ๒๖๐ บาท แล้วจำเลยได้เข้าอยู่มาจนวันฟ้องราว ๒ ปีเศษ โดยจำเลยเสียค่าเช่าแก่ทรัพย์สิน ฯลฯ ในนามของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องที่โจทก์สละสิทธิยอมให้จำเลยเข้าอยู่ในห้องเช่าแล้วไม่ใช่เรื่องอาศัยดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง.
เช่าห้องเช่าามาแล้วไม่ได้อยู่เอง เมื่อมีผู้อื่นมาขออยู่ ตนสละสิทธิยอมให้ผู้อื่นเข้าอยู่ในห้องเช่า โดยผู้อยู่เสียค่าเช่าโดยตรงต่อเจ้าของห้องตลอดมา ดังนี้ ผู้เช่าไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้อยู่ได้.
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยกล่าวว่า จำเลยได้มาขออาศัยอยู่ในห้องที่โจทก์เช่าจากสำนักงานทรัพย์สิน ฯลฯ แต่ทางพิจารณาได้ความว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าห้องจากทรัพย์สิน ฯลฯ อัตราค่าเช่าเดือนละ ๑๒ บาท แต่โจทก์มิได้อยู่ในห้องนี้ คงให้นางแจ่มผู้อยู่ข้างเคียงดูแล จำเลยเห็นห้องว่างจึงไปพูดกับนางแจ่มขอเข้าอยู่ นางแจ่มไปพูดกับโจทก์ ๆ ยอมให้จำเลยเข้าอยู่ และจำเลยได้ให้เงินนางแจ่ม ๒๖๐ บาท แล้วจำเลยได้เข้าอยู่มาจนวันฟ้องราว ๒ ปีเศษ โดยจำเลยเสียค่าเช่าแก่ทรัพย์สิน ฯลฯ ในนามของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องที่โจทก์สละสิทธิยอมให้จำเลยเข้าอยู่ในห้องเช่าแล้วไม่ใช่เรื่องอาศัยดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง.
ฟ้องโจทก์กล่าวเจาะจงหาว่าจำเลยกระทำผิดเฉพาะวันเดียวมิได้หาว่าจำเลยกระทำผิดในวันอื่น หรือกระทำผิดในระหว่างเดือนนั้นด้วย
เมื่อทางพิจารณาตลอดจนคำให้การของพยานโจทก์ชั้นสอบสวนก็ไม่ได้ความเลยว่าจำเลยได้กระทำผิดในวันที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ย่อมถือว่าหลักฐานพยานโจทก์ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดในวันที่กล่าวหา ต้องยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2488 เวลากลางวันจำเลยซึ่งรับราชการเป็นสรรพสามิตอำเภอได้บังคับให้นายเกียง นายลุนให้เงินแก่จำเลย 150 บาท โดยหาว่า บรรทุกเกลือโดยไม่มีใบขนและไม่ได้รับอนุญาตถ้าไม่ยอมให้จะยึดเกลือ นายเกียง นายลุนจำยอมให้เงินแก่จำเลย ๆ รับเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 136
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 136
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ความสมฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดตามวันและเวลาที่โจทก์หา จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เจาะจงฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดเฉพาะวันที่ 28 กันยายน วันเดียว มิได้หาว่าจำเลยกระทำผิดในวันอื่นหรือกระทำผิดในระหว่างเดือนที่กล่าวด้วยทางพิจารณาตลอดจนคำให้การของพยานโจทก์ชั้นสอบสวน ก็ไม่ได้ความว่าจำเลยได้กระทำผิดตามวันที่โจทก์ฟ้องหลักฐานพยานโจทก์ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดในวันที่กล่าวหา จึงพิพากษายืน
ฟ้องโจทก์กล่าวเจาะจงหาว่าจำเลยกระทำผิดเฉพาะวันเดียวมิได้หาว่าจำเลยกระทำผิดในวันอื่น หรือกระทำผิดในระหว่างเดือนนั้นด้วย
เมื่อทางพิจารณาตลอดจนคำให้การของพยานโจทก์ชั้นสอบสวนก็ไม่ได้ความเลยว่าจำเลยได้กระทำผิดในวันที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ย่อมถือว่าหลักฐานพยานโจทก์ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดในวันที่กล่าวหา ต้องยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2488 เวลากลางวันจำเลยซึ่งรับราชการเป็นสรรพสามิตอำเภอได้บังคับให้นายเกียง นายลุนให้เงินแก่จำเลย 150 บาท โดยหาว่า บรรทุกเกลือโดยไม่มีใบขนและไม่ได้รับอนุญาตถ้าไม่ยอมให้จะยึดเกลือ นายเกียง นายลุนจำยอมให้เงินแก่จำเลย ๆ รับเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 136
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 136
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ความสมฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดตามวันและเวลาที่โจทก์หา จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เจาะจงฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดเฉพาะวันที่ 28 กันยายน วันเดียว มิได้หาว่าจำเลยกระทำผิดในวันอื่นหรือกระทำผิดในระหว่างเดือนที่กล่าวด้วยทางพิจารณาตลอดจนคำให้การของพยานโจทก์ชั้นสอบสวน ก็ไม่ได้ความว่าจำเลยได้กระทำผิดตามวันที่โจทก์ฟ้องหลักฐานพยานโจทก์ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดในวันที่กล่าวหา จึงพิพากษายืน
ฟ้องโจทก์กล่าวเจาะจงหาว่าจำเลยกระทำผิดฉะเพาะวันเดียว มิได้หาว่าจำเลยกระทำผิดในวันอื่น หรือกระทำผิดในระหว่างเดือนนั้นด้วย เมื่อทางพิจารณาตลอดจนคำให้การของพะยานโจทก์ชั้นสอบสวนก็ไม่ได้ความเลยว่าจำเลยได้กระทำผิดในวันที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ ย่อมถือว่าหลักฐานพะยานโจทก์ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดในวันที่กล่าวหา ต้องยกฟ้อง.
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๔๘๘ เวลากลางวันจำเลยซึ่งรับราชการเป็นสรรถสามิตต์อำเภอได้บังคับให้นายเกียง นายสุน ให้เงินแก่จำเลย ๑๕๐ บาท โดยหาว่า บรรทุกเกลือโดยไม่มีใบขน และไม่ได้รับอนุญาต ถ้าไม่ยอมให้จะยึดเกลือ นายเกียงสายสุนจำยอมให้เงินแก่จำเลย ๆ รับเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๓๖
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ม. ๑๓๖
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ความสมฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดตามวันและเวลาที่โจทก์หา จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เจาะจงฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฉะเพาะวันที่ ๒๘ กันยายน วันเดียว มิได้หาว่าจำเลยกระทำผิดในวันอื่นหรือกระทำผิดในระหว่างเดือนที่กล่าวด้วย ทางพิจารณาตลอดจนคำให้การของพะยานโจทก์ชั้นสอบสวนก็ไม่ได้ความว่าจำเลยได้กระทำผิดตามวันที่โจทก์ฟ้อง หลักฐานพะยานโจทก์ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดในวันที่กล่าวหา จึงพิพากษายืน.
ฟ้องโจทก์กล่าวเจาะจงหาว่าจำเลยกระทำผิดฉะเพาะวันเดียว มิได้หาว่าจำเลยกระทำผิดในวันอื่น หรือกระทำผิดในระหว่างเดือนนั้นด้วย เมื่อทางพิจารณาตลอดจนคำให้การของพะยานโจทก์ชั้นสอบสวนก็ไม่ได้ความเลยว่าจำเลยได้กระทำผิดในวันที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ ย่อมถือว่าหลักฐานพะยานโจทก์ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดในวันที่กล่าวหา ต้องยกฟ้อง.
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๔๘๘ เวลากลางวันจำเลยซึ่งรับราชการเป็นสรรถสามิตต์อำเภอได้บังคับให้นายเกียง นายสุน ให้เงินแก่จำเลย ๑๕๐ บาท โดยหาว่า บรรทุกเกลือโดยไม่มีใบขน และไม่ได้รับอนุญาต ถ้าไม่ยอมให้จะยึดเกลือ นายเกียงสายสุนจำยอมให้เงินแก่จำเลย ๆ รับเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๓๖
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ม. ๑๓๖
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ความสมฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดตามวันและเวลาที่โจทก์หา จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เจาะจงฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฉะเพาะวันที่ ๒๘ กันยายน วันเดียว มิได้หาว่าจำเลยกระทำผิดในวันอื่นหรือกระทำผิดในระหว่างเดือนที่กล่าวด้วย ทางพิจารณาตลอดจนคำให้การของพะยานโจทก์ชั้นสอบสวนก็ไม่ได้ความว่าจำเลยได้กระทำผิดตามวันที่โจทก์ฟ้อง หลักฐานพะยานโจทก์ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดในวันที่กล่าวหา จึงพิพากษายืน.
ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อคืนระหว่างวันที่ 11,12 ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดในคืนวันที่ 10 ถือว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงที่บรรยายมาในฟ้อง ลงโทษจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192(2)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานสมคบกับพวกอีก 4 คนทำการฉุดคร่านางสาวลาวัลย์ เผ่าชู ไปเพื่อการอนาจารเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2489 และขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานข่มขืนกระทำชำเรานางสาวลาวัลย์ เมื่อคืนระหว่างวันที่ 11, 12 กุมภาพันธ์ 2489
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเรานางสาวลาวัลย์ในคืนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2489 จึงต่างกับข้อเท็จจริงเท่าที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องจะลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานนี้ไม่ได้ จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องฐานข่มขืนกระทำชำเราเสียนอกจากที่แก้คงยืนตาม
ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อคืนระหว่างวันที่ 11,12 ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดในคืนวันที่ 10 ถือว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงที่บรรยายมาในฟ้อง ลงโทษจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192(2)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานสมคบกับพวกอีก 4 คนทำการฉุดคร่านางสาวลาวัลย์ เผ่าชู ไปเพื่อการอนาจารเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2489 และขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานข่มขืนกระทำชำเรานางสาวลาวัลย์ เมื่อคืนระหว่างวันที่ 11, 12 กุมภาพันธ์ 2489
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเรานางสาวลาวัลย์ในคืนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2489 จึงต่างกับข้อเท็จจริงเท่าที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องจะลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานนี้ไม่ได้ จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องฐานข่มขืนกระทำชำเราเสียนอกจากที่แก้คงยืนตาม
ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อคืนระหว่างวันที่ 11,12 ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดในคืนวันที่ 10 ถือว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริง ที่บรรยายมาในฟ้องลงโทษจำเลยไม่ได้ตาม ป.วิ.อาญามาตรา 192(2).
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานสมคบกับพวกอีก ๔ คนทำการฉุดคร่าห์นางสาวลาวัลย์ เผ่าชู ไปเพื่อการอนาจารเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๙ และขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานข่มขืนและกระทำชำเรานางสาวลาวัลย์เมื่อคืนระหว่างวันที่ ๑๑,๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๙
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ ๑ ข่มขืนกระทำชำเรานางสาวลาวัลย์ในคืนวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๙ จึงต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง จะลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานนี้ไม่ได้ จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องฐานข่มขืนกระทำชำเราเสีย นอกจากที่แก้คงยืนตาม.
ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อคืนระหว่างวันที่ 11,12 ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดในคืนวันที่ 10 ถือว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริง ที่บรรยายมาในฟ้องลงโทษจำเลยไม่ได้ตาม ป.วิ.อาญามาตรา 192(2).
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานสมคบกับพวกอีก ๔ คนทำการฉุดคร่าห์นางสาวลาวัลย์ เผ่าชู ไปเพื่อการอนาจารเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๙ และขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานข่มขืนและกระทำชำเรานางสาวลาวัลย์เมื่อคืนระหว่างวันที่ ๑๑,๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๙
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ ๑ ข่มขืนกระทำชำเรานางสาวลาวัลย์ในคืนวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๙ จึงต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง จะลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานนี้ไม่ได้ จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องฐานข่มขืนกระทำชำเราเสีย นอกจากที่แก้คงยืนตาม.
ฟ้องโจทก์บรรยายในข้อ 1 ว่า มีโจรลักทรัพย์ของเจ้าทรัพย์ไป ข้อ 2 บรรยายว่า จับของกลางบางส่วนได้ที่จำเลยที่ 1-2 กำลังจะนำไปจำหน่ายทั้งนี้โดยจำเลยทั้ง 4 ได้สมคบกันเป็นคนร้ายลักมาตามที่กล่าวในข้อ 1 หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้ง 4 บังอาจสมคบกันรับทรัพย์ของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์และรับของโจร ดังนี้ แม้จะมิได้บรรยายข้อเท็จจริงให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 3-4 ได้กระทำการเกี่ยวข้องแก่ทรัพย์ของกลางประการใดด้วย ก็ยังถือได้ว่าเป็นฟ้องที่ ที่ทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(5)
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า ข้อ 1 เมื่อวันที่ 4, 7, 10, 11, 13,15, 17 มกราคม 2489 เวลากลางวันมีโจรบังอาจลักตัดเอาลวดสายไฟฟ้าของเทศบาลเชียงใหม่ไปหนัก 363 กิโลกรัม ราคา 13,898 บาท ข้อ 2เมื่อวันที่ 25 เดือนเดียวกันเวลากลางคืน เจ้าพนักงานขับสายลวดไฟฟ้าที่ถูกโจรลักได้เป็นของกลางจากจำเลยที่ 1-2 หนัก 33 กิโลกรัมซึ่งกำลังบรรทุกรถ 3 ล้อนำไปเพื่อจำหน่าย ทั้งนี้โดยจำเลยทั้ง 4 สมคบกันเป็นโจรลักตัดเอาสายลวดไฟฟ้าดังกล่าวแล้วไปตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวในข้อ 1 หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้ง 4 บังอาจสมคบกันรับเอาลวดสายไฟฟ้าของกลางรายนี้ไว้ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย ตามวันเวลาที่กล่าวในข้อ 1-2 ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ และรับของโจร
จำเลยที่ 1-2 รับสารภาพฐานรับของโจร จำเลยที่ 3-4 ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1, 2, 3 ฐานรับของโจร ส่วนจำเลยที่ 4 ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ได้กระทำการเกี่ยวกับลวดไฟฟ้าของกลางแต่อย่างใดตามที่บังคับไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) นอกจากนั้นข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ 3 จึงพิพากษาแก้ให้ปล่อยจำเลยที่ 3
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำบรรยายฟ้องของโจทก์เป็นการเพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาของโจทก์ได้ดีแล้ว ว่าถูกหาเป็นโจรลักหรือรับลวดไฟฟ้าของกลางไว้โดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำผิด ดังได้เคยวินิจฉัยในคำพิพากษา ฎีกาที่ 277/2490 จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายส่วนข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยที่ 3 ได้กระทำผิด จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานรับของโจร
ฟ้องโจทก์บรรยายในข้อ 1 ว่า มีโจรลักทรัพย์ของเจ้าทรัพย์ไป ข้อ 2 บรรยายว่า จับของกลางบางส่วนได้ที่จำเลยที่ 1-2 กำลังจะนำไปจำหน่ายทั้งนี้โดยจำเลยทั้ง 4 ได้สมคบกันเป็นคนร้ายลักมาตามที่กล่าวในข้อ 1 หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้ง 4 บังอาจสมคบกันรับทรัพย์ของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์และรับของโจร ดังนี้ แม้จะมิได้บรรยายข้อเท็จจริงให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 3-4 ได้กระทำการเกี่ยวข้องแก่ทรัพย์ของกลางประการใดด้วย ก็ยังถือได้ว่าเป็นฟ้องที่ ที่ทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(5)
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า ข้อ 1 เมื่อวันที่ 4, 7, 10, 11, 13,15, 17 มกราคม 2489 เวลากลางวันมีโจรบังอาจลักตัดเอาลวดสายไฟฟ้าของเทศบาลเชียงใหม่ไปหนัก 363 กิโลกรัม ราคา 13,898 บาท ข้อ 2เมื่อวันที่ 25 เดือนเดียวกันเวลากลางคืน เจ้าพนักงานขับสายลวดไฟฟ้าที่ถูกโจรลักได้เป็นของกลางจากจำเลยที่ 1-2 หนัก 33 กิโลกรัมซึ่งกำลังบรรทุกรถ 3 ล้อนำไปเพื่อจำหน่าย ทั้งนี้โดยจำเลยทั้ง 4 สมคบกันเป็นโจรลักตัดเอาสายลวดไฟฟ้าดังกล่าวแล้วไปตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวในข้อ 1 หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้ง 4 บังอาจสมคบกันรับเอาลวดสายไฟฟ้าของกลางรายนี้ไว้ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย ตามวันเวลาที่กล่าวในข้อ 1-2 ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ และรับของโจร
จำเลยที่ 1-2 รับสารภาพฐานรับของโจร จำเลยที่ 3-4 ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1, 2, 3 ฐานรับของโจร ส่วนจำเลยที่ 4 ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ได้กระทำการเกี่ยวกับลวดไฟฟ้าของกลางแต่อย่างใดตามที่บังคับไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) นอกจากนั้นข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ 3 จึงพิพากษาแก้ให้ปล่อยจำเลยที่ 3
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำบรรยายฟ้องของโจทก์เป็นการเพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาของโจทก์ได้ดีแล้ว ว่าถูกหาเป็นโจรลักหรือรับลวดไฟฟ้าของกลางไว้โดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำผิด ดังได้เคยวินิจฉัยในคำพิพากษา ฎีกาที่ 277/2490 จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายส่วนข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยที่ 3 ได้กระทำผิด จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานรับของโจร
ฟ้องโจทก์บรรยายในข้อ 1 ว่า มีโจรลักทรัพย์ของเจ้าทรัพย์ไป ข้อ 2 บรรยายว่า จับของกลางบางส่วนได้ที่จำเลยที่ 1-2 กำลังจะนำไปจำหน่าย ทั้งนี้โดยจำเลยทั้ง 4 ได้สมคบกันเป็นคนร้ายลักมาตามที่กล่าวในข้อ 1 หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้ง 4 บังอาจสมคบกันรับทรัพย์ของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์และรับของโจรดังนี้ แม้จะมิได้บรรยายข้อเท็จจริงให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 3-4 ได้กระทำการเกี่ยวข้องแก่ทรัพย์ของกลางประการใดด้วยก็ยังถือได้ว่าเป็นฟ้องที่ทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ตาม ป.วิ.อาญา ม.158(5)
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า ข้อ ๑ เมื่อวันที่ ๔-๗-๑๐-๑๑-๑๓-๑๕-๑๗ มกราคม ๒๔๘๙ เวลากลางวันมีโจรบังอาจลักตัดเอาลวดสายไฟฟ้าของเทศบาลเชียงใหม่ไปหนัก ๓๖๓ กิโลกรัม ราคม ๑๓๘๙๘ บาท ข้อ ๒ เมื่อวันที่ ๒๕ เดือนเดียวกันเวลากลางคืน เจ้าพนักงานจับสายลวดไฟฟ้าที่ถูกโจรลักได้เป็นของกลางจากจำเลยที่ ๑-๒ หนัก ๓๓ กิโลกรัม ซึ่งกำลังบรรทุกรถ ๓ ล้อนำไปเพื่อจำหน่าย ทั้งนี้โดยจำเลยทั้ง ๔ สมคบกันเป็นโจรลักตัดเอาสายลวดไฟฟ้าดังกล่าวแล้วไปตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวในข้อ ๑ หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้ง ๔ บังอาจสมคบกันรับเอาลวดสายไฟฟ้าของกลางรายนี้ไว้ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด ก.ม. ตามวันเวลาที่กล่าวในข้อ ๑-๒ ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ และรับของโจร
จำเลยที่ ๑-๒ รับสารภาพฐานรับของโจร จำเลยที่ ๓-๔ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑-๒-๓ ฐานรับของโจร ส่วนจำเลยที่ ๔ ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๓ ได้กระทำการเกี่ยวกับลวดไฟฟ้าของกลางแต่อย่างใดที่บังคับไว้ใน วิ.อาญา ม. ๑๕๘(๕) นอกจากนั้นข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ ๓ จึงพิพากษาแก้ให้ปล่อยจำเลยที่ ๓
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำบรรยายฟ้องของโจทก์เป็นการเพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาของโจทก์ได้ดีแล้ว ว่าถูกหาเป็นโจรลักหรือรับลวดไฟฟ้าของกลางไว้โดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำผิด ดังได้เคยวินิจฉัยในคำพิพากษา ฎีกาที่ ๒๗๗/๒๔๙๐ จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วย ก.ม. ส่วนข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยที่ ๓ ได้กระทำผิด จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยที่ ๓ ฐานรับของโจร.
ฟ้องโจทก์บรรยายในข้อ 1 ว่า มีโจรลักทรัพย์ของเจ้าทรัพย์ไป ข้อ 2 บรรยายว่า จับของกลางบางส่วนได้ที่จำเลยที่ 1-2 กำลังจะนำไปจำหน่าย ทั้งนี้โดยจำเลยทั้ง 4 ได้สมคบกันเป็นคนร้ายลักมาตามที่กล่าวในข้อ 1 หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้ง 4 บังอาจสมคบกันรับทรัพย์ของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์และรับของโจรดังนี้ แม้จะมิได้บรรยายข้อเท็จจริงให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 3-4 ได้กระทำการเกี่ยวข้องแก่ทรัพย์ของกลางประการใดด้วยก็ยังถือได้ว่าเป็นฟ้องที่ทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ตาม ป.วิ.อาญา ม.158(5)
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า ข้อ ๑ เมื่อวันที่ ๔-๗-๑๐-๑๑-๑๓-๑๕-๑๗ มกราคม ๒๔๘๙ เวลากลางวันมีโจรบังอาจลักตัดเอาลวดสายไฟฟ้าของเทศบาลเชียงใหม่ไปหนัก ๓๖๓ กิโลกรัม ราคม ๑๓๘๙๘ บาท ข้อ ๒ เมื่อวันที่ ๒๕ เดือนเดียวกันเวลากลางคืน เจ้าพนักงานจับสายลวดไฟฟ้าที่ถูกโจรลักได้เป็นของกลางจากจำเลยที่ ๑-๒ หนัก ๓๓ กิโลกรัม ซึ่งกำลังบรรทุกรถ ๓ ล้อนำไปเพื่อจำหน่าย ทั้งนี้โดยจำเลยทั้ง ๔ สมคบกันเป็นโจรลักตัดเอาสายลวดไฟฟ้าดังกล่าวแล้วไปตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวในข้อ ๑ หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้ง ๔ บังอาจสมคบกันรับเอาลวดสายไฟฟ้าของกลางรายนี้ไว้ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด ก.ม. ตามวันเวลาที่กล่าวในข้อ ๑-๒ ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ และรับของโจร
จำเลยที่ ๑-๒ รับสารภาพฐานรับของโจร จำเลยที่ ๓-๔ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑-๒-๓ ฐานรับของโจร ส่วนจำเลยที่ ๔ ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๓ ได้กระทำการเกี่ยวกับลวดไฟฟ้าของกลางแต่อย่างใดที่บังคับไว้ใน วิ.อาญา ม. ๑๕๘(๕) นอกจากนั้นข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ ๓ จึงพิพากษาแก้ให้ปล่อยจำเลยที่ ๓
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำบรรยายฟ้องของโจทก์เป็นการเพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาของโจทก์ได้ดีแล้ว ว่าถูกหาเป็นโจรลักหรือรับลวดไฟฟ้าของกลางไว้โดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำผิด ดังได้เคยวินิจฉัยในคำพิพากษา ฎีกาที่ ๒๗๗/๒๔๙๐ จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วย ก.ม. ส่วนข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยที่ ๓ ได้กระทำผิด จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยที่ ๓ ฐานรับของโจร.
เช่าสิทธิจอดแพในคลองซึ่งเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินหน้าที่ดินของผู้อื่นนั้น เจ้าของที่ดินย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่ได้
ผู้ได้รับแต่งตั้งจากข้าหลวงประจำจังหวัด ให้เป็นผู้จัดการปกครองและผู้ตรวจตราสอดส่อง ศาลจ้าวย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่ ผู้เช่าสิทธิจอดแพหน้าที่ดินของศาลจ้าวได้
การเช่าสิทธิจอดแพหน้าที่ดินของผู้อื่นนั้น ไม่ใช่เช่าที่ดินหรือโรงเรือนจึงไม่อยู่ในความคุ้มครองแห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
โจทก์จำเลยแถลงรับต่อศาลว่าได้มีหนังสือสัญญาเช่าไว้ต่อกัน ศาลย่อมฟังข้อเท็จจริงได้ว่าการเช่ามีหนังสือสัญญาเช่าไว้ต่อกันโดยโจทก์ไม่จำต้องนำสืบความข้อนี้อีก
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับแต่งตั้งจากข้าหลวงประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นผู้จัดการปกครองและผู้ตรวจตราสอดส่องศาลเจ้าบางว่า จำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าที่จอดแพหน้าที่ดินของศาลเจ้าบางว่าต่อโจทก์ มีกำหนด 1 ปี ครบกำหนดแล้วมิได้ทำหนังสือสัญญากันใหม่ แต่จำเลยคงเช่าและชำระค่าเช่าตามเดิมตลอดมาบัดนี้โจทก์เห็นว่าตรงที่จำเลยเช่าจอดแพ กีดขวางหน้าห้องแถวของศาลเจ้าบางว่าปลูกขึ้น จึงบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าและให้จำเลยถอยแพออกไป จำเลยเพิกเฉยโจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่ และเรียกค่าเช่าตั้งแต่วันบอกเลิกสัญญาจนกว่าจำเลยจะออกไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและให้จำเลยเสียค่าเช่าตามฟ้องแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าเรื่องนี้ จำเลยมีสิทธิฎีกาได้เฉพาะข้อกฎหมายฎีกาจำเลยที่อ้างว่า การเช่ารายนี้อยู่ในความคุ้มครองของพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน และโจทก์ไม่มีอำนาจให้เช่าคลองซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้นั้น เห็นว่าการเช่ารายนี้เป็นการเช่าสิทธิจอดแพ ไม่ใช่เช่าที่ดินหรือโรงเรือนจึงไม่อยู่ในความคุ้มครองแห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ และการที่จำเลยเช่าสิทธิจอดแพหน้าที่ดินของผู้อื่นนั้น ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า เจ้าของที่ดินมีอำนาจฟ้องขับไล่ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 130/2468
ส่วนข้อที่ฎีกาว่าไม่มีสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษร ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าเป็นการไม่ชอบนั้น ปรากฏว่า โจทก์จำเลยได้แถลงรับต่อศาลว่าได้มีหนังสือสัญญาเช่าไว้ต่อกัน ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเช่าเป็นการชอบแล้ว จึงพิพากษายืน
เช่าสิทธิจอดแพในคลองซึ่งเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินหน้าที่ดินของผู้อื่นนั้น เจ้าของที่ดินย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่ได้
ผู้ได้รับแต่งตั้งจากข้าหลวงประจำจังหวัด ให้เป็นผู้จัดการปกครองและผู้ตรวจตราสอดส่อง ศาลจ้าวย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่ ผู้เช่าสิทธิจอดแพหน้าที่ดินของศาลจ้าวได้
การเช่าสิทธิจอดแพหน้าที่ดินของผู้อื่นนั้น ไม่ใช่เช่าที่ดินหรือโรงเรือนจึงไม่อยู่ในความคุ้มครองแห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
โจทก์จำเลยแถลงรับต่อศาลว่าได้มีหนังสือสัญญาเช่าไว้ต่อกัน ศาลย่อมฟังข้อเท็จจริงได้ว่าการเช่ามีหนังสือสัญญาเช่าไว้ต่อกันโดยโจทก์ไม่จำต้องนำสืบความข้อนี้อีก
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับแต่งตั้งจากข้าหลวงประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นผู้จัดการปกครองและผู้ตรวจตราสอดส่องศาลเจ้าบางว่า จำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าที่จอดแพหน้าที่ดินของศาลเจ้าบางว่าต่อโจทก์ มีกำหนด 1 ปี ครบกำหนดแล้วมิได้ทำหนังสือสัญญากันใหม่ แต่จำเลยคงเช่าและชำระค่าเช่าตามเดิมตลอดมาบัดนี้โจทก์เห็นว่าตรงที่จำเลยเช่าจอดแพ กีดขวางหน้าห้องแถวของศาลเจ้าบางว่าปลูกขึ้น จึงบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าและให้จำเลยถอยแพออกไป จำเลยเพิกเฉยโจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่ และเรียกค่าเช่าตั้งแต่วันบอกเลิกสัญญาจนกว่าจำเลยจะออกไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและให้จำเลยเสียค่าเช่าตามฟ้องแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าเรื่องนี้ จำเลยมีสิทธิฎีกาได้เฉพาะข้อกฎหมายฎีกาจำเลยที่อ้างว่า การเช่ารายนี้อยู่ในความคุ้มครองของพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน และโจทก์ไม่มีอำนาจให้เช่าคลองซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้นั้น เห็นว่าการเช่ารายนี้เป็นการเช่าสิทธิจอดแพ ไม่ใช่เช่าที่ดินหรือโรงเรือนจึงไม่อยู่ในความคุ้มครองแห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ และการที่จำเลยเช่าสิทธิจอดแพหน้าที่ดินของผู้อื่นนั้น ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า เจ้าของที่ดินมีอำนาจฟ้องขับไล่ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 130/2468
ส่วนข้อที่ฎีกาว่าไม่มีสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษร ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าเป็นการไม่ชอบนั้น ปรากฏว่า โจทก์จำเลยได้แถลงรับต่อศาลว่าได้มีหนังสือสัญญาเช่าไว้ต่อกัน ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเช่าเป็นการชอบแล้ว จึงพิพากษายืน
เช่าสิทธิจอดแพในคลองซึ่งเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินหน้าที่ดินของผู้อื่นนั้น เจ้าของที่ดินย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่ได้
ผู้ได้รับแต่งตั้งจากข้าหลวงประจำจังหวัดให้เป็นผู้จัดการปกครองและผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวย่อมมีอำนาจฟ้อง ขับไล่ผู้เช่าสิทธิจอดแพหน้าที่ดินของศาลจ้าวได้
การเช่าสิทธิจอดแพหน้าที่ดินของผู้อื่นนั้น ไม่ใช่เช่าที่ดินหรือโรงเรือน จึงไม่อยู่ในความคุ้มครองแห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
โจทก์จำเลยแถลงรับต่อศาลว่าได้มีหนังสือสัญญาเช่าไว้ต่อกัน ศาลย่อมฟังข้อเท็จจริงได้ว่าการเช่ามีหนังสือสัญญาเช่าไว้ต่อกัน โดยโจทก์ไม่จำต้องนำสืบความข้อนี้อีก.
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับแต่งตั้งจากข้าหลวงประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นผู้จัดการปกครองและผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวบางว่า จำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าที่จอดแพหน้าที่ดินของศาลจ้าวบางว่าต่อโจทก์ มีกำหนด ๑ ปีครบกำหนดแล้วมิได้ทำหนังสือสัญญากันใหม่ แต่จำเลยคงเช่าและชำระค่าเช่าตามเดิมตลอดมา บัดนี้โจทก์เห็นว่าตรงที่จำเลยเช่าจอดแพ กีดขวางหน้าห้องแถวของศาลจ้าวบางว่าปลูกขึ้น ซึ่งบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าและให้จำเลยถอยแพออกไป จำเลยเพิกเฉยโจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่ และเรียกค่าเช่าตั้งแต่วันบอกเลิกสัญญาจนกว่าจำเลยจะออกไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและให้จำเลยเสียค่าเช่าตามฟ้องแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าเรื่องนี้ จำเลยมีสิทธิฎีกาได้ฉะเพาะข้อ ก.ม. ฎีกาจำเลยที่อ้างว่า การเช่ารายนี้อยู่ในความควบคุ้มครองของ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน และโจทก์ไม่มีอำนาจให้เช่าคลองซึ่งเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินได้นั้น เห็นว่าการเช่ารายนี้เป็นการเช่าสิทธิจอดแพ ไม่ใช่เช่าที่ดินหรือโรงเรือน จึงไม่อยู่ในความคุ้มครองแพ่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่น ฯลฯ และการที่จำเลยเช่าสิทธิจอดแพหน้าที่ดินของผู้อื่นนั้น ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า เจ้าของที่ดินมีอำนาจฟ้องขับไล่ ดังคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๐/๒๔๒๘
ส่วนข้อที่ ฎีกาว่า ไม่มีสัญญาเข่าเป็นลายลักษณ์อักษร ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าเป็นการไม่ชอบนั้น ปรากฏว่า โจทก์จำเลยได้แถลงรับต่อศาลว่าได้มีหนังสือสัญญาเช่าไว้ต่อกัน ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเช่าเป็นการชอบแล้ว จึงพิพากษายืน.
เช่าสิทธิจอดแพในคลองซึ่งเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินหน้าที่ดินของผู้อื่นนั้น เจ้าของที่ดินย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่ได้
ผู้ได้รับแต่งตั้งจากข้าหลวงประจำจังหวัดให้เป็นผู้จัดการปกครองและผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวย่อมมีอำนาจฟ้อง ขับไล่ผู้เช่าสิทธิจอดแพหน้าที่ดินของศาลจ้าวได้
การเช่าสิทธิจอดแพหน้าที่ดินของผู้อื่นนั้น ไม่ใช่เช่าที่ดินหรือโรงเรือน จึงไม่อยู่ในความคุ้มครองแห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
โจทก์จำเลยแถลงรับต่อศาลว่าได้มีหนังสือสัญญาเช่าไว้ต่อกัน ศาลย่อมฟังข้อเท็จจริงได้ว่าการเช่ามีหนังสือสัญญาเช่าไว้ต่อกัน โดยโจทก์ไม่จำต้องนำสืบความข้อนี้อีก.
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับแต่งตั้งจากข้าหลวงประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นผู้จัดการปกครองและผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวบางว่า จำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าที่จอดแพหน้าที่ดินของศาลจ้าวบางว่าต่อโจทก์ มีกำหนด ๑ ปีครบกำหนดแล้วมิได้ทำหนังสือสัญญากันใหม่ แต่จำเลยคงเช่าและชำระค่าเช่าตามเดิมตลอดมา บัดนี้โจทก์เห็นว่าตรงที่จำเลยเช่าจอดแพ กีดขวางหน้าห้องแถวของศาลจ้าวบางว่าปลูกขึ้น ซึ่งบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าและให้จำเลยถอยแพออกไป จำเลยเพิกเฉยโจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่ และเรียกค่าเช่าตั้งแต่วันบอกเลิกสัญญาจนกว่าจำเลยจะออกไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและให้จำเลยเสียค่าเช่าตามฟ้องแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าเรื่องนี้ จำเลยมีสิทธิฎีกาได้ฉะเพาะข้อ ก.ม. ฎีกาจำเลยที่อ้างว่า การเช่ารายนี้อยู่ในความควบคุ้มครองของ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน และโจทก์ไม่มีอำนาจให้เช่าคลองซึ่งเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินได้นั้น เห็นว่าการเช่ารายนี้เป็นการเช่าสิทธิจอดแพ ไม่ใช่เช่าที่ดินหรือโรงเรือน จึงไม่อยู่ในความคุ้มครองแพ่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่น ฯลฯ และการที่จำเลยเช่าสิทธิจอดแพหน้าที่ดินของผู้อื่นนั้น ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า เจ้าของที่ดินมีอำนาจฟ้องขับไล่ ดังคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๐/๒๔๒๘
ส่วนข้อที่ ฎีกาว่า ไม่มีสัญญาเข่าเป็นลายลักษณ์อักษร ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าเป็นการไม่ชอบนั้น ปรากฏว่า โจทก์จำเลยได้แถลงรับต่อศาลว่าได้มีหนังสือสัญญาเช่าไว้ต่อกัน ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเช่าเป็นการชอบแล้ว จึงพิพากษายืน.
ซื้อเรือนเพื่อรื้อไป ไม่จำต้องทำสัญญาจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็สมบูรณ์
เจ้าของร่วมคนหนึ่งทำสัญญาขายทรัพย์ให้แก่เขา เขาซื้อไว้โดยสุจริตเมื่อปรากฏว่าเจ้าของร่วมคนอื่นๆ ได้รู้เห็นยินยอมในการซื้อขายนั้นด้วยการซื้อขายย่อมสมบูรณ์และผู้ซื้อได้ทรัพย์นั้นเป็นกรรมสิทธิ์
ได้ความว่า โจทก์และนางสาวสมบูรณ์ ร่วมกันมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของเรือนฝากระดานหลังหนึ่ง นางสาวสมบูรณ์ได้ทำสัญญาขายเรือนนี้แก่จำเลย ๆ ชำระเงินแล้ว ก็รื้อเรือนไป โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยหาว่าบังอาจรื้อเรือน ซึ่งโจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมไป ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การซื้อเรือนไม่ได้จดทะเบียนจึงเป็นโมฆะ จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าการซื้อเรือนเพื่อรื้อไปเช่นนี้ไม่จำต้องทำสัญญาจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 923/2485 และข้อเท็จจริงยังได้ความว่าจำเลยซื้อเรือนด้วยความสุจริต โจทก์รู้เห็นยินยอมด้วยการซื้อขายจึงสมบูรณ์ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
ซื้อเรือนเพื่อรื้อไป ไม่จำต้องทำสัญญาจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็สมบูรณ์
เจ้าของร่วมคนหนึ่งทำสัญญาขายทรัพย์ให้แก่เขา เขาซื้อไว้โดยสุจริตเมื่อปรากฏว่าเจ้าของร่วมคนอื่นๆ ได้รู้เห็นยินยอมในการซื้อขายนั้นด้วยการซื้อขายย่อมสมบูรณ์และผู้ซื้อได้ทรัพย์นั้นเป็นกรรมสิทธิ์
ได้ความว่า โจทก์และนางสาวสมบูรณ์ ร่วมกันมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของเรือนฝากระดานหลังหนึ่ง นางสาวสมบูรณ์ได้ทำสัญญาขายเรือนนี้แก่จำเลย ๆ ชำระเงินแล้ว ก็รื้อเรือนไป โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยหาว่าบังอาจรื้อเรือน ซึ่งโจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมไป ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การซื้อเรือนไม่ได้จดทะเบียนจึงเป็นโมฆะ จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าการซื้อเรือนเพื่อรื้อไปเช่นนี้ไม่จำต้องทำสัญญาจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 923/2485 และข้อเท็จจริงยังได้ความว่าจำเลยซื้อเรือนด้วยความสุจริต โจทก์รู้เห็นยินยอมด้วยการซื้อขายจึงสมบูรณ์ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
ตามพินัยกรรมได้ระบุทรัพย์ที่ยกให้แก่บรรดาทายาทไว้เป็นกิจลักษณะ ย่อมถือว่าผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมเป็นผู้รับในลักษณะเฉพาะตามความใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.1651(2) ต้องรับภาระผูกพันเช่นภาระจำนองที่ติดอยู่กับทรัพย์ที่ตนรับด้วย
ข้อความในพินัยกรรมข้อหนึ่งที่กล่าวว่า 'ทรัพย์สินอันใดที่มิได้ระบุไว้ข้างต้นบรรดาที่มีเหลืออยู่ในวันที่ข้าพเจ้าวายชนม์ลงจะเป็นสังหาริมทรัพย์ก็ดีอสังหาริมทรัพย์ก็ดี ให้ผู้จัดการมรดกรวมขายเอาเงินทำศพ และจัดการมรดกของข้าพเจ้าและทำบุญในส่วนกุศลสาธารณะประโยชน์ได้ตามที่เห็นสมควร'นั้น เป็นข้อความกำหนดที่สั่งให้ผู้จัดการมรดกจัดการขายทรัพย์ที่มิได้ระบุให้ผู้ใด ไว้ขายเอาเงินทำศพและทำบุญมิได้หมายความให้ไถ่ถอนการจำนองหรือชำระหนี้สินในทรัพย์ที่ระบุให้แก่ผู้ใดไว้แล้ว เพื่อผู้นั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1740 เป็นเรื่องบัญญัติถึงวิธีให้ผู้จัดการมรดกจัดการทรัพย์มรดกเท่านั้นมิได้หมายความจะให้ลบล้างความในมาตรา 1651(2)
ได้ความว่า คุณหญิงประชุมมนตรีสุริวงศ์ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติให้บุคคลหลายคนรวมทั้งโจทก์ด้วย โจทก์มีสิทธิจะได้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรม คือตึกแถว 2 ห้อง อันรวมอยู่ในที่ดินแปลงหนึ่ง แต่ปรากฏว่าก่อนวายชนม์คุณหญิงประชุมมนตรีสุริวงศ์ ได้จำนองที่ดินแปลงนี้พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างไว้แก่นางสายหยุดบุนนาค ภายหลังนางสายหยุดได้ฟ้องบังคับจำนอง ศาลแพ่งพิพากษาให้ทายาทหรือผู้จัดการมรดกไถ่ถอนการจำนองนั้น ผู้จัดการมรดกจึงได้จัดการไถ่ถอนการจำนองนั้นมาตามคำพิพากษา คิดเฉลี่ยเฉพาะ 2 ห้องที่โจทก์จะได้รับเป็นเงิน2,275 บาท
โจทก์ร้องขอให้จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกแก้ทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตึก 2 ห้องดังกล่าวให้โจทก์โดยปลอดการจำนองและค่าภารติดพัน จำเลยจะให้โจทก์ชำระหนี้ไถ่ถอนการจำนอง 2,275 บาท เสียก่อน ไม่ตกลงกัน โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้แก้ทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตึก 2 ห้องให้แก่โจทก์โดยไม่ต้องมีภาระติดพัน
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพินัยกรรมได้ระบุทรัพย์ที่ยกให้แก่บรรดาทายาทไว้เป็นกิจจะลักษณะ ฉะนั้น โจทก์ผู้รับทรัพย์ในลักษณะเฉพาะเช่นนี้ ย่อมต้องรับภาระผูกพันในทรัพย์ที่ตนรับด้วยดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1651(2) ส่วนความในพินัยกรรมข้อ 10 ที่กล่าว "ทรัพย์สินอันใดที่มิได้ระบุไว้ข้างต้นบรรดาที่มีเหลืออยู่ในวันที่ข้าพเจ้าวายชนม์ ลง จะเป็นสังหาริมทรัพย์ก็ดี อสังหาริมทรัพย์ก็ดี ให้ผู้จัดการมรดกรวมขายเอาเงินทำศพ และจัดการมรดกของข้าพเจ้า และทำบุญในส่วนกุศลสาธารณประโยชน์ได้ตามที่เห็นสมควร" นั้นเป็นข้อกำหนดที่สั่งผู้จัดการมรดก จัดการขายทรัพย์ที่มิได้ระบุไว้ ขายเอาเงินทำศพและทำบุญ มิได้หมายความให้ไถ่ถอนการจำนองหรือชำระหนี้สินในทรัพย์ที่ได้ระบุให้แก่ผู้ใดไว้แล้วเพื่อผู้นั้น จึงพิพากษายืน ให้ยกฟ้องโจทก์
ตามพินัยกรรมได้ระบุทรัพย์ที่ยกให้แก่บรรดาทายาทไว้เป็นกิจลักษณะ ย่อมถือว่าผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมเป็นผู้รับในลักษณะเฉพาะตามความใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.1651(2) ต้องรับภาระผูกพันเช่นภาระจำนองที่ติดอยู่กับทรัพย์ที่ตนรับด้วย
ข้อความในพินัยกรรมข้อหนึ่งที่กล่าวว่า 'ทรัพย์สินอันใดที่มิได้ระบุไว้ข้างต้นบรรดาที่มีเหลืออยู่ในวันที่ข้าพเจ้าวายชนม์ลงจะเป็นสังหาริมทรัพย์ก็ดีอสังหาริมทรัพย์ก็ดี ให้ผู้จัดการมรดกรวมขายเอาเงินทำศพ และจัดการมรดกของข้าพเจ้าและทำบุญในส่วนกุศลสาธารณะประโยชน์ได้ตามที่เห็นสมควร'นั้น เป็นข้อความกำหนดที่สั่งให้ผู้จัดการมรดกจัดการขายทรัพย์ที่มิได้ระบุให้ผู้ใด ไว้ขายเอาเงินทำศพและทำบุญมิได้หมายความให้ไถ่ถอนการจำนองหรือชำระหนี้สินในทรัพย์ที่ระบุให้แก่ผู้ใดไว้แล้ว เพื่อผู้นั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1740 เป็นเรื่องบัญญัติถึงวิธีให้ผู้จัดการมรดกจัดการทรัพย์มรดกเท่านั้นมิได้หมายความจะให้ลบล้างความในมาตรา 1651(2)
ได้ความว่า คุณหญิงประชุมมนตรีสุริวงศ์ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติให้บุคคลหลายคนรวมทั้งโจทก์ด้วย โจทก์มีสิทธิจะได้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรม คือตึกแถว 2 ห้อง อันรวมอยู่ในที่ดินแปลงหนึ่ง แต่ปรากฏว่าก่อนวายชนม์คุณหญิงประชุมมนตรีสุริวงศ์ ได้จำนองที่ดินแปลงนี้พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างไว้แก่นางสายหยุดบุนนาค ภายหลังนางสายหยุดได้ฟ้องบังคับจำนอง ศาลแพ่งพิพากษาให้ทายาทหรือผู้จัดการมรดกไถ่ถอนการจำนองนั้น ผู้จัดการมรดกจึงได้จัดการไถ่ถอนการจำนองนั้นมาตามคำพิพากษา คิดเฉลี่ยเฉพาะ 2 ห้องที่โจทก์จะได้รับเป็นเงิน2,275 บาท
โจทก์ร้องขอให้จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกแก้ทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตึก 2 ห้องดังกล่าวให้โจทก์โดยปลอดการจำนองและค่าภารติดพัน จำเลยจะให้โจทก์ชำระหนี้ไถ่ถอนการจำนอง 2,275 บาท เสียก่อน ไม่ตกลงกัน โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้แก้ทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตึก 2 ห้องให้แก่โจทก์โดยไม่ต้องมีภาระติดพัน
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพินัยกรรมได้ระบุทรัพย์ที่ยกให้แก่บรรดาทายาทไว้เป็นกิจจะลักษณะ ฉะนั้น โจทก์ผู้รับทรัพย์ในลักษณะเฉพาะเช่นนี้ ย่อมต้องรับภาระผูกพันในทรัพย์ที่ตนรับด้วยดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1651(2) ส่วนความในพินัยกรรมข้อ 10 ที่กล่าว "ทรัพย์สินอันใดที่มิได้ระบุไว้ข้างต้นบรรดาที่มีเหลืออยู่ในวันที่ข้าพเจ้าวายชนม์ ลง จะเป็นสังหาริมทรัพย์ก็ดี อสังหาริมทรัพย์ก็ดี ให้ผู้จัดการมรดกรวมขายเอาเงินทำศพ และจัดการมรดกของข้าพเจ้า และทำบุญในส่วนกุศลสาธารณประโยชน์ได้ตามที่เห็นสมควร" นั้นเป็นข้อกำหนดที่สั่งผู้จัดการมรดก จัดการขายทรัพย์ที่มิได้ระบุไว้ ขายเอาเงินทำศพและทำบุญ มิได้หมายความให้ไถ่ถอนการจำนองหรือชำระหนี้สินในทรัพย์ที่ได้ระบุให้แก่ผู้ใดไว้แล้วเพื่อผู้นั้น จึงพิพากษายืน ให้ยกฟ้องโจทก์
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|