ฟ้องขอให้แสดงว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะอันจำเลยมีภารจำยอมตามกฎหมายและขอให้เปิดทางนั้นตามเดิม เมื่อได้ความว่าทางพิพาทมิใช่ทางหลวง แต่ตกอยู่ในภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ศาลก็ย่อมพิพากษาให้จำเลยเปิดทางเดินนั้นได้
ทางเดินอันมีภารจำยอมนั้น แม้เจ้าของที่ดินภารยทรัพย์จะเปิดทางเดินให้ใหม่ แต่ทำให้ความสะดวกของผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เจ้าของสามยทรัพย์ก็มีอำนาจฟ้องขอให้เปิดทางตามเดิมได้ เพราะไม่ใช่ทางจำเป็นและขัดด้วยมาตรา 1392
โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะอันจำเลยมีภารจำยอมตามกฎหมายโดยโจทก์และบุคคลอื่นใช้เดินไปมาช้านานประมาณ 30 ปีเศษแล้วจำเลยกั้นรั้วปิดทางเดินรายนี้เสีย จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าทางรายนี้เป็นทางหลวงหรือทางสาธารณะอันจำเลยมีภารจำยอมตามกฎหมายและบังคับให้จำเลยเปิดทางนี้ให้โจทก์เดินไปมาสะดวกอย่างเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยเปิดทางเดินพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิพาทนี้มิใช่ทางหลวงแต่ตกเป็นทางอันมีภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387, 1401 และ 1382 การที่จำเลยเปิดทางเดินให้ใหม่เป็นการเปลี่ยนย้ายนั้น ได้ความว่า เป็นการทำให้ความสะดวกของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เป็นการขัดต่อมาตรา 1392 จำเลยทำดังนั้นไม่ได้ จึงพิพากษายืน
ฟ้องขอให้แสดงว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะอันจำเลยมีภารจำยอมตามกฎหมายและขอให้เปิดทางนั้นตามเดิม เมื่อได้ความว่าทางพิพาทมิใช่ทางหลวง แต่ตกอยู่ในภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ศาลก็ย่อมพิพากษาให้จำเลยเปิดทางเดินนั้นได้
ทางเดินอันมีภารจำยอมนั้น แม้เจ้าของที่ดินภารยทรัพย์จะเปิดทางเดินให้ใหม่ แต่ทำให้ความสะดวกของผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เจ้าของสามยทรัพย์ก็มีอำนาจฟ้องขอให้เปิดทางตามเดิมได้ เพราะไม่ใช่ทางจำเป็นและขัดด้วยมาตรา 1392
โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะอันจำเลยมีภารจำยอมตามกฎหมายโดยโจทก์และบุคคลอื่นใช้เดินไปมาช้านานประมาณ 30 ปีเศษแล้วจำเลยกั้นรั้วปิดทางเดินรายนี้เสีย จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าทางรายนี้เป็นทางหลวงหรือทางสาธารณะอันจำเลยมีภารจำยอมตามกฎหมายและบังคับให้จำเลยเปิดทางนี้ให้โจทก์เดินไปมาสะดวกอย่างเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยเปิดทางเดินพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิพาทนี้มิใช่ทางหลวงแต่ตกเป็นทางอันมีภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387, 1401 และ 1382 การที่จำเลยเปิดทางเดินให้ใหม่เป็นการเปลี่ยนย้ายนั้น ได้ความว่า เป็นการทำให้ความสะดวกของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เป็นการขัดต่อมาตรา 1392 จำเลยทำดังนั้นไม่ได้ จึงพิพากษายืน
ฟ้องขอให้แสดงว่าทางพิพาทเป็นทางสาธราณะอันจำเลยมีภาระจำยอมตามกฎหมายและขอให้เปิดทางนั้นตามเดิม เมื่อได้ความว่าทางพิพาทมิใช่ทางหลวง แต่ตกอยู่ในภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ศาลก็๋ย่อมพิพากษาให้จำเลยเปิดทางเดิมนั้นได้
ทางเดินอันมีภาระจำยอมนั้น แม้เจ้าของที่ดินภาระทรัพย์จะเปิดทางเดินให้ใหม่ แต่ทำให้ความสดวกของผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เจ้าของสามยทรัพย์ก็มีอำนาจฟ้องขอให้เปิดทางตามเดิมได้ เพราะไม่ใช่ทางจำเป็นและขัดด้วยมาตรา 1392.
โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางสาธราณะอันจำเลยมีภาระจำยอมตามกฎหมายโดยโจทก์และบุคคลอื่นใช้เดินไปมาช้านานประมาณ ๓๐ ปีเศษแล้ว จำเลยกั้นรั้วปิดทางเดินรายนี้เสีย จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าทางรายนี้ เป็นทางหลวงหรือทางสาธารณะอันจำเลยมีภาระจำยอมตามกฎหมายและบังคับให้จำเลยเปิดทางนี้ให้โจทก์เดินไปมา สดวกอย่างเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยเปิดทางเดินพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิพาทนี้มิใช่ทางหลวงแต่ตกเป็นทางอันมีภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตาม ป.พ.พ.ม. ๑๓๘๗-๑๔๐๑ และ ๑๓๘๒ การที่จำเลยเปิดทางเดินให้ใหม่เป็นการเปลี่ยนย้ายนั้น ได้ความว่า เป็นการทำให้ความสดวกของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เป็นการขัดต่อมาตรา ๑๓๙๒ จำเลยทำดังนั้นไม่ได้ จึงพิพากษายืน.
ฟ้องขอให้แสดงว่าทางพิพาทเป็นทางสาธราณะอันจำเลยมีภาระจำยอมตามกฎหมายและขอให้เปิดทางนั้นตามเดิม เมื่อได้ความว่าทางพิพาทมิใช่ทางหลวง แต่ตกอยู่ในภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ศาลก็๋ย่อมพิพากษาให้จำเลยเปิดทางเดิมนั้นได้
ทางเดินอันมีภาระจำยอมนั้น แม้เจ้าของที่ดินภาระทรัพย์จะเปิดทางเดินให้ใหม่ แต่ทำให้ความสดวกของผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เจ้าของสามยทรัพย์ก็มีอำนาจฟ้องขอให้เปิดทางตามเดิมได้ เพราะไม่ใช่ทางจำเป็นและขัดด้วยมาตรา 1392.
โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางสาธราณะอันจำเลยมีภาระจำยอมตามกฎหมายโดยโจทก์และบุคคลอื่นใช้เดินไปมาช้านานประมาณ ๓๐ ปีเศษแล้ว จำเลยกั้นรั้วปิดทางเดินรายนี้เสีย จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าทางรายนี้ เป็นทางหลวงหรือทางสาธารณะอันจำเลยมีภาระจำยอมตามกฎหมายและบังคับให้จำเลยเปิดทางนี้ให้โจทก์เดินไปมา สดวกอย่างเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยเปิดทางเดินพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิพาทนี้มิใช่ทางหลวงแต่ตกเป็นทางอันมีภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตาม ป.พ.พ.ม. ๑๓๘๗-๑๔๐๑ และ ๑๓๘๒ การที่จำเลยเปิดทางเดินให้ใหม่เป็นการเปลี่ยนย้ายนั้น ได้ความว่า เป็นการทำให้ความสดวกของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง เป็นการขัดต่อมาตรา ๑๓๙๒ จำเลยทำดังนั้นไม่ได้ จึงพิพากษายืน.
ตัวแทนออกเงินทดรองไปในกิจการที่ได้รับมอบหมายจากตัวการย่อมมีสิทธิเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ตามมาตรา 816 และการทดรองเงินก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 ซึ่งเป็นบทเรื่องกู้ยืมเงินโดยเฉพาะ
โจทก์จ่ายเงินให้แก่ผู้มีชื่อไปแทนจำเลยตามคำร้องขอของจำเลยถือว่าเป็นการกระทำแทนจำเลยในกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการ แม้การจ่ายเงินนั้นจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์ก็ฟ้องเรียกเงินจำนวนนั้นจากจำเลยได้ตามมาตรา 816
โจทก์จำเลยเป็นคนชอบพอนับถือกันเคยหยิบยืมเงินทองกันใช้สอยเมื่อปลายปี 2487 จำเลยรักใคร่นางสอาด ๆ จะเอาเงิน 5,000 บาท จำเลยไม่มีเงินจึงร้องขอให้โจทก์ออกเงิน 5,000 บาท จ่ายแทนจำเลยให้นางสอาดก่อน อีก 2-3 วันจำเลยจะคืนให้ โดยความเชื่อถือกันโจทก์ยอมรับปากกับจำเลย เวลาบ่ายจึงเอาเงิน5,000 บาท ไปจ่ายให้นางสอาดตามความประสงค์ของจำเลย การจ่ายเงินจำนวนนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
บัดนี้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ใช้เงิน 5,000 บาทที่โจทก์จ่ายให้นางสอาดไป
ปัญหามีว่า การที่โจทก์จ่ายเงินแทนจำเลยให้แก่นางสอาดตามคำร้องของจำเลยนั้น จะเรียกว่าโจทก์เป็นตัวแทนได้กระทำการตามคำสั่งของจำเลยผู้เป็นตัวการหรือไม่ หรือว่าเป็นกรณีกู้ยืมเงินต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นการกู้ยืมเงิน เมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟ้องไม่ได้จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าโจทก์เป็นผู้ใช้เงินให้แก่นางสอาดแทนจำเลยเป็นการกระทำที่มีอำนาจทำแทนจำเลยอย่างชัดแจ้ง เพราะจำเลยร้องขอให้ทำแทนกิจการที่ทำไปนั้น เป็นกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการโจทก์เป็นตัวแทนเสมือนเครื่องมือเท่านั้น นางสอาดจะเป็นเจ้าหนี้จำเลยในทางใดหรือไม่ก็ตามไม่ใช่เรื่องของโจทก์ โจทก์ได้กระทำการในฐานะเป็นตัวแทนจำเลยในภาระกิจของจำเลย การที่ตัวแทนได้ออกเงินทดรองไปในกิจการที่ตนได้รับมอบหมายจากตัวการเช่นนี้ ตัวแทนมีสิทธิจะเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ ตามมาตรา 816 และการทดรองเงินไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 ซึ่งเป็นเรื่องกู้ยืมโดยเฉพาะ จะยกมาใช้ในกรณีนี้ไม่ได้ เพราะต่างลักษณะกัน จึงพิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน 5,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์
ตัวแทนออกเงินทดรองไปในกิจการที่ได้รับมอบหมายจากตัวการย่อมมีสิทธิเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ตามมาตรา 816 และการทดรองเงินก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 ซึ่งเป็นบทเรื่องกู้ยืมเงินโดยเฉพาะ
โจทก์จ่ายเงินให้แก่ผู้มีชื่อไปแทนจำเลยตามคำร้องขอของจำเลยถือว่าเป็นการกระทำแทนจำเลยในกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการ แม้การจ่ายเงินนั้นจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์ก็ฟ้องเรียกเงินจำนวนนั้นจากจำเลยได้ตามมาตรา 816
โจทก์จำเลยเป็นคนชอบพอนับถือกันเคยหยิบยืมเงินทองกันใช้สอยเมื่อปลายปี 2487 จำเลยรักใคร่นางสอาด ๆ จะเอาเงิน 5,000 บาท จำเลยไม่มีเงินจึงร้องขอให้โจทก์ออกเงิน 5,000 บาท จ่ายแทนจำเลยให้นางสอาดก่อน อีก 2-3 วันจำเลยจะคืนให้ โดยความเชื่อถือกันโจทก์ยอมรับปากกับจำเลย เวลาบ่ายจึงเอาเงิน5,000 บาท ไปจ่ายให้นางสอาดตามความประสงค์ของจำเลย การจ่ายเงินจำนวนนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
บัดนี้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ใช้เงิน 5,000 บาทที่โจทก์จ่ายให้นางสอาดไป
ปัญหามีว่า การที่โจทก์จ่ายเงินแทนจำเลยให้แก่นางสอาดตามคำร้องของจำเลยนั้น จะเรียกว่าโจทก์เป็นตัวแทนได้กระทำการตามคำสั่งของจำเลยผู้เป็นตัวการหรือไม่ หรือว่าเป็นกรณีกู้ยืมเงินต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นการกู้ยืมเงิน เมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟ้องไม่ได้จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าโจทก์เป็นผู้ใช้เงินให้แก่นางสอาดแทนจำเลยเป็นการกระทำที่มีอำนาจทำแทนจำเลยอย่างชัดแจ้ง เพราะจำเลยร้องขอให้ทำแทนกิจการที่ทำไปนั้น เป็นกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการโจทก์เป็นตัวแทนเสมือนเครื่องมือเท่านั้น นางสอาดจะเป็นเจ้าหนี้จำเลยในทางใดหรือไม่ก็ตามไม่ใช่เรื่องของโจทก์ โจทก์ได้กระทำการในฐานะเป็นตัวแทนจำเลยในภาระกิจของจำเลย การที่ตัวแทนได้ออกเงินทดรองไปในกิจการที่ตนได้รับมอบหมายจากตัวการเช่นนี้ ตัวแทนมีสิทธิจะเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ ตามมาตรา 816 และการทดรองเงินไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 ซึ่งเป็นเรื่องกู้ยืมโดยเฉพาะ จะยกมาใช้ในกรณีนี้ไม่ได้ เพราะต่างลักษณะกัน จึงพิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน 5,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์
ตัวแทนออกเงินทดรองไปในกิจการที่ได้รับมอบหมายจากตัวการ ย่อมมีสิทธิเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ตามมาตรา 816 และการทดรองเงินก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 ซึ่งเป็นบทเรื่องกู้ยืมเงินโดยฉะเพาะ
โจทก์จ่ายเงินให้แก่ผู้มีชื่อไปแทนจำเลยตามคำร้องขอของจำเลย ถือว่าเป็นการกระทำแทนจำเลยในกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการ แม้การจ่ายเงินนั้นจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์ก็ฟ้องเรียกเงินจำนวนนั้นจาำจำเลยได้ตามมาตรา 816.
โจทก์จำเลยเป็นคนชอบพอนับถือกันเคยหยิบยืมเงินทองกันใช้สอย เมื่อปลายปี ๒๔๘๗ จำเลยรักใคร่นางสอาด ๆ จะเอาเงิน ๕๐๐๐ บาท จำเลยไม่มีเงินจึงร้องขอให้โจทก์ออกเงิน ๕๐๐๐ บาท จ่ายแทนจำเลยให้นางสอาดก่อน อีก ๒-๓ วันจำเลยจะคืนให้ โดยความเชื่อถือกัน โจทก์ยอมรับปากกับจำเลย เวลาบ่ายจึงเอาเงิน ๕๐๐๐ บาท ไปจ่ายให้นางสอาดตามความประสงค์ของจำเลย การจ่ายเงินจำนวนนี้ ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
บัดนี้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ใช้เงิน ๕๐๐๐ บาทที่โจทก์จ่ายให้นางสอาดไป
ปัญหามีว่า การที่โจทก์จ่ายเงินแทนจำเลยให้แก่นางสอาดตามคำร้องขอจำเลยนั้น จะเรียกว่าโจทก์เป็นตัวแทนได้กระทำการตามคำสั่งของจำเลยผู้เป็นตัวการหรือไม่ หรือว่าเป็นกรณีกู้ยืมเงินต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นการกู้ยืมเงิน เมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟ้องไม่ได้จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณืพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าโจทก์เป็นผุ้ใช้เงินให้แก่นางสอาดแทนจำเลย เป็นการกระทำที่มีอำนาจทำแทนจำเลยอย่างชัดแจ้ง เพระาจำเลยร้องขอให้ทำแทนกิจการที่ทำไปนั้น เป็นกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการโจทก์เป็นตัวแทนเสมือนเครื่องมือเท่านั้น นางสอาดจะเป็นเจ้าหนี้จำเลยในทางใดหรือไม่ก็ตามไม่ใช่เรื่องของโจทก์ โจทก์ได้กระทำการในฐานะเป็นตัวแทนจำเลยในภาระกิจของจำเลย การที่ตัวแทนได้ออกเงินทดรองไปในกิจการที่ตนได้รับมอบหมายจากตัวการเช่นนี้ ตัวแทนมีสิทธิจะเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ ตาม ม.๘๑๖ และการทดรองเงินไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๕๓ ซึ่งเป็นเรื่องกู้ยืมโดยฉะเพาะ จะยกมาใช้ในกรณีนี้ไม่ได้ เพราะต่างลักษณะกัน จึงพิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน ๕๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์.
ตัวแทนออกเงินทดรองไปในกิจการที่ได้รับมอบหมายจากตัวการ ย่อมมีสิทธิเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ตามมาตรา 816 และการทดรองเงินก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 ซึ่งเป็นบทเรื่องกู้ยืมเงินโดยฉะเพาะ
โจทก์จ่ายเงินให้แก่ผู้มีชื่อไปแทนจำเลยตามคำร้องขอของจำเลย ถือว่าเป็นการกระทำแทนจำเลยในกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการ แม้การจ่ายเงินนั้นจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์ก็ฟ้องเรียกเงินจำนวนนั้นจาำจำเลยได้ตามมาตรา 816.
โจทก์จำเลยเป็นคนชอบพอนับถือกันเคยหยิบยืมเงินทองกันใช้สอย เมื่อปลายปี ๒๔๘๗ จำเลยรักใคร่นางสอาด ๆ จะเอาเงิน ๕๐๐๐ บาท จำเลยไม่มีเงินจึงร้องขอให้โจทก์ออกเงิน ๕๐๐๐ บาท จ่ายแทนจำเลยให้นางสอาดก่อน อีก ๒-๓ วันจำเลยจะคืนให้ โดยความเชื่อถือกัน โจทก์ยอมรับปากกับจำเลย เวลาบ่ายจึงเอาเงิน ๕๐๐๐ บาท ไปจ่ายให้นางสอาดตามความประสงค์ของจำเลย การจ่ายเงินจำนวนนี้ ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
บัดนี้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ใช้เงิน ๕๐๐๐ บาทที่โจทก์จ่ายให้นางสอาดไป
ปัญหามีว่า การที่โจทก์จ่ายเงินแทนจำเลยให้แก่นางสอาดตามคำร้องขอจำเลยนั้น จะเรียกว่าโจทก์เป็นตัวแทนได้กระทำการตามคำสั่งของจำเลยผู้เป็นตัวการหรือไม่ หรือว่าเป็นกรณีกู้ยืมเงินต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นการกู้ยืมเงิน เมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟ้องไม่ได้จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณืพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าโจทก์เป็นผุ้ใช้เงินให้แก่นางสอาดแทนจำเลย เป็นการกระทำที่มีอำนาจทำแทนจำเลยอย่างชัดแจ้ง เพระาจำเลยร้องขอให้ทำแทนกิจการที่ทำไปนั้น เป็นกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการโจทก์เป็นตัวแทนเสมือนเครื่องมือเท่านั้น นางสอาดจะเป็นเจ้าหนี้จำเลยในทางใดหรือไม่ก็ตามไม่ใช่เรื่องของโจทก์ โจทก์ได้กระทำการในฐานะเป็นตัวแทนจำเลยในภาระกิจของจำเลย การที่ตัวแทนได้ออกเงินทดรองไปในกิจการที่ตนได้รับมอบหมายจากตัวการเช่นนี้ ตัวแทนมีสิทธิจะเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ ตาม ม.๘๑๖ และการทดรองเงินไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๕๓ ซึ่งเป็นเรื่องกู้ยืมโดยฉะเพาะ จะยกมาใช้ในกรณีนี้ไม่ได้ เพราะต่างลักษณะกัน จึงพิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน ๕๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์.
พนักงานสอบสวนและแพทย์ได้ทำการชันสูตรพลิกศพผู้ตายเสร็จแล้วหากแต่ขาดบันทึกความเห็นเรื่องผู้ตาย ตายที่ไหน เมื่อใดใครหรือสงสัยใครเป็นคนร้าย ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 154 นั้น ไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 129
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามกฎหมายอาญามาตรา 249
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ใบชันสูตรพลิกศพ ไม่ได้จดข้อความแสดงไว้ว่าผู้ตายที่ไหน เมื่อใด และใครหรือสงสัยใครเป็นผู้กระทำผิด เป็นการไม่ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 154 ซึ่งเท่ากับการชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 129 และไม่เชื่อว่าพยานจำคนร้ายได้ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 249
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาเห็นว่า นายอำเภอ และแพทย์ประจำตำบลได้ทำการชันสูตรพลิกศพเสร็จแล้ว หากแต่ขาดบันทึกความเห็นบางประการ ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 154 กรณีจึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตามมาตรา 129 อ้างฎีกาที่ 1299,1300/2481 ส่วนข้อเท็จจริงเชื่อว่า จำเลยเป็นคนร้ายจริงจึงพิพากษายืน
พนักงานสอบสวนและแพทย์ได้ทำการชันสูตรพลิกศพผู้ตายเสร็จแล้วหากแต่ขาดบันทึกความเห็นเรื่องผู้ตาย ตายที่ไหน เมื่อใดใครหรือสงสัยใครเป็นคนร้าย ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 154 นั้น ไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 129
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามกฎหมายอาญามาตรา 249
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ใบชันสูตรพลิกศพ ไม่ได้จดข้อความแสดงไว้ว่าผู้ตายที่ไหน เมื่อใด และใครหรือสงสัยใครเป็นผู้กระทำผิด เป็นการไม่ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 154 ซึ่งเท่ากับการชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 129 และไม่เชื่อว่าพยานจำคนร้ายได้ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 249
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาเห็นว่า นายอำเภอ และแพทย์ประจำตำบลได้ทำการชันสูตรพลิกศพเสร็จแล้ว หากแต่ขาดบันทึกความเห็นบางประการ ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 154 กรณีจึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตามมาตรา 129 อ้างฎีกาที่ 1299,1300/2481 ส่วนข้อเท็จจริงเชื่อว่า จำเลยเป็นคนร้ายจริงจึงพิพากษายืน
พนักงานสอบสวนและแพทย์ได้ทำการชัณสูตรพลิกศพผู้ตายเสร็จแล้ว หากแต่ขาดบันทึกความเห็นเรื่องผู้ตาย ตายที่ไหน เมื่อใด ใครหรือสงสัยใครเป็นคนร้าย ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อาญามาตรา 154 นั้น ไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตาม ป.วิ.อาญามาตรา 129.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามกฎหมายอาญามาตรา ๒๔๙
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ใบชัณสูตรพลิกศพ ไม่ได้จดข้อความแสดงไว้ว่าผู้ตายที่ไหน เมื่อใด และใครหรือสงสัยใครเป็นผู้กระทำผิด เป็นการไม่ครบถ้วนตาม ป.วิ.อาญามาตรา ๑๕๔ ซึ่งเท่ากับการชัณสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ ต้องห้ามมิให้ฟ้องตาม ป.วิ.อาญามาตรา ๑๒๙ และไม่เชื่อว่าพะยานจำคนร้ายได้ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะญามาตรา ๒๔๙
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง
ศาลฎีกา เห็นว่า นายอำเภอ และแพทย์ประจำตำบลได้ทำการชัณสูตรพลิกศพเสร็จแล้ว หากแต่ขาดบันทึกความเห็นบางประการ ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อาญามาตรา ๑๕๔ กรณีจึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตามมาตรา ๑๒๙ อ้างฎีกาที่ ๑๒๔๙, ๑๓๐๐/๒๔๘๑ ส่วนข้อเท็จจริงเชื่อว่า จำเลยเป็นคนร้ายจริง จึงพิพากษายืน.
พนักงานสอบสวนและแพทย์ได้ทำการชัณสูตรพลิกศพผู้ตายเสร็จแล้ว หากแต่ขาดบันทึกความเห็นเรื่องผู้ตาย ตายที่ไหน เมื่อใด ใครหรือสงสัยใครเป็นคนร้าย ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อาญามาตรา 154 นั้น ไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตาม ป.วิ.อาญามาตรา 129.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามกฎหมายอาญามาตรา ๒๔๙
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ใบชัณสูตรพลิกศพ ไม่ได้จดข้อความแสดงไว้ว่าผู้ตายที่ไหน เมื่อใด และใครหรือสงสัยใครเป็นผู้กระทำผิด เป็นการไม่ครบถ้วนตาม ป.วิ.อาญามาตรา ๑๕๔ ซึ่งเท่ากับการชัณสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ ต้องห้ามมิให้ฟ้องตาม ป.วิ.อาญามาตรา ๑๒๙ และไม่เชื่อว่าพะยานจำคนร้ายได้ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะญามาตรา ๒๔๙
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง
ศาลฎีกา เห็นว่า นายอำเภอ และแพทย์ประจำตำบลได้ทำการชัณสูตรพลิกศพเสร็จแล้ว หากแต่ขาดบันทึกความเห็นบางประการ ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อาญามาตรา ๑๕๔ กรณีจึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตามมาตรา ๑๒๙ อ้างฎีกาที่ ๑๒๔๙, ๑๓๐๐/๒๔๘๑ ส่วนข้อเท็จจริงเชื่อว่า จำเลยเป็นคนร้ายจริง จึงพิพากษายืน.
การให้ทรัพย์แก่สมาคมที่ตั้งขึ้นโดยมิได้จดทะเบียนตามกฎหมายนั้นไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ ไม่มีบุคคลผู้รับ เนื่องจากสมาคมนั้นไม่ใช่นิติบุคคล ผู้ให้จึงฟ้องเรียกคืนเงินที่ให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าได้มอบเงินให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมเพื่อนำไปฝากคลัง ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เงินนั้น แต่ได้ความตามข้อเท็จจริงที่รับกันว่าโจทก์ได้ให้เงินจำนวนนั้นแก่สมาคมและรับกันต่อไปว่า สมาคมนั้นมิได้จดทะเบียนตามกฎหมายดังนี้ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนจะเป็นการสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ฉะนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่า การให้ไม่สมบูรณ์ และพิพากษาให้โจทก์เป็นเจ้าของเงินรายพิพาท จึงเป็นคำชี้ขาดในประเด็นและชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสมาชิกสมาคมกู้อิสระภาพอินเดีย จำเลยเป็นนายกสาขาสมาคมนี้ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์ได้มอบธนบัตรฉบับละพันบาทรวม 15,000 บาท ให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมนำไปฝากไว้ที่คลังจังหวัดนครศรีธรรมราช บัดนี้สมาคมเลิกล้ม โจทก์ขอให้จำเลยจัดการให้มีชื่อโจทก์เป็นผู้ฝากธนบัตรที่กล่าวนี้ จำเลยไม่ยอมโจทก์จึงฟ้องขอให้แสดงว่าโจทก์เป็นเจ้าของธนบัตรเหล่านั้น
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์อุทิศเงิน 15,000 บาท ให้แก่สมาคมกู้อิสรภาพอินเดียแล้ว เรียกคืนไม่ได้
คู่ความรับข้อเท็จจริงกันว่า โจทก์ได้ให้ธนบัตรรายพิพาทให้แก่สมาคมกู้อิสระภาพอินเดียจริง แต่สมาคมนี้ตั้งขึ้นโดยไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย แล้วต่างไม่สืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สมาคมอินเดียมิใช่นิติบุคคลเพราะมิได้จดทะเบียน การให้ไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ไม่มีบุคคลผู้รับจึงพิพากษาให้ธนบัตรรายพิพาทเป็นของโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่ามอบธนบัตรรายพิพาทให้จำเลยในฐานะนายกสมาคม เพื่อนำฝากคลังแต่ข้อเท็จจริงที่รับกันว่าโจทก์ให้ธนบัตรรายพิพาทให้สมาคมกู้อิสรภาพอินเดีย ไม่ใช่การมอบหรือฝาก ฟ้องจึงต่างกับข้อเท็จจริง จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์รับตามรายงาน การพิจารณาของศาลว่าธนบัตรรายนี้โจทก์ได้ให้แก่สมาคมกู้อิสรภาพอินเดียนั้น ถ้าคู่ความรับกันเพียงเท่านี้ คดีก็อาจฟังยุติให้ศาลวินิจฉัยได้ว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องหรือไม่ แต่เรื่องนี้ข้อเท็จจริงหายุติเพียงนั้นไม่ โดยยังมีข้อที่โจทก์จำเลยรับกันต่อไปว่า สมาคมที่กล่าวนี้มิได้จดทะเบียนตามกฎหมายประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนนั้น จะสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
การให้ทรัพย์แก่สมาคมที่ตั้งขึ้นโดยมิได้จดทะเบียนตามกฎหมายนั้นไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ ไม่มีบุคคลผู้รับ เนื่องจากสมาคมนั้นไม่ใช่นิติบุคคล ผู้ให้จึงฟ้องเรียกคืนเงินที่ให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าได้มอบเงินให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมเพื่อนำไปฝากคลัง ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เงินนั้น แต่ได้ความตามข้อเท็จจริงที่รับกันว่าโจทก์ได้ให้เงินจำนวนนั้นแก่สมาคมและรับกันต่อไปว่า สมาคมนั้นมิได้จดทะเบียนตามกฎหมายดังนี้ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนจะเป็นการสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ฉะนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่า การให้ไม่สมบูรณ์ และพิพากษาให้โจทก์เป็นเจ้าของเงินรายพิพาท จึงเป็นคำชี้ขาดในประเด็นและชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสมาชิกสมาคมกู้อิสระภาพอินเดีย จำเลยเป็นนายกสาขาสมาคมนี้ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์ได้มอบธนบัตรฉบับละพันบาทรวม 15,000 บาท ให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมนำไปฝากไว้ที่คลังจังหวัดนครศรีธรรมราช บัดนี้สมาคมเลิกล้ม โจทก์ขอให้จำเลยจัดการให้มีชื่อโจทก์เป็นผู้ฝากธนบัตรที่กล่าวนี้ จำเลยไม่ยอมโจทก์จึงฟ้องขอให้แสดงว่าโจทก์เป็นเจ้าของธนบัตรเหล่านั้น
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์อุทิศเงิน 15,000 บาท ให้แก่สมาคมกู้อิสรภาพอินเดียแล้ว เรียกคืนไม่ได้
คู่ความรับข้อเท็จจริงกันว่า โจทก์ได้ให้ธนบัตรรายพิพาทให้แก่สมาคมกู้อิสระภาพอินเดียจริง แต่สมาคมนี้ตั้งขึ้นโดยไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย แล้วต่างไม่สืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สมาคมอินเดียมิใช่นิติบุคคลเพราะมิได้จดทะเบียน การให้ไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ไม่มีบุคคลผู้รับจึงพิพากษาให้ธนบัตรรายพิพาทเป็นของโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่ามอบธนบัตรรายพิพาทให้จำเลยในฐานะนายกสมาคม เพื่อนำฝากคลังแต่ข้อเท็จจริงที่รับกันว่าโจทก์ให้ธนบัตรรายพิพาทให้สมาคมกู้อิสรภาพอินเดีย ไม่ใช่การมอบหรือฝาก ฟ้องจึงต่างกับข้อเท็จจริง จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์รับตามรายงาน การพิจารณาของศาลว่าธนบัตรรายนี้โจทก์ได้ให้แก่สมาคมกู้อิสรภาพอินเดียนั้น ถ้าคู่ความรับกันเพียงเท่านี้ คดีก็อาจฟังยุติให้ศาลวินิจฉัยได้ว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องหรือไม่ แต่เรื่องนี้ข้อเท็จจริงหายุติเพียงนั้นไม่ โดยยังมีข้อที่โจทก์จำเลยรับกันต่อไปว่า สมาคมที่กล่าวนี้มิได้จดทะเบียนตามกฎหมายประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนนั้น จะสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
การให้ทรัพย์แก่สมาคมที่ตั้งขึ้นโดยมิได้จดทะเบียนตาม ก.ม. นั้นไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ ไม่มีบุคคลผู้รับเนื่องจากสมาคมนั้นไม่ใช่นิติบุคคลผู้ให้จึงฟ้องเรียกคืนเงินที่ให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าได้มอบเงินให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมเพื่อนำไปฝากคลัง ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิเงินนั้น แต่ได้ความตามข้อเท็จจจริงที่รับกันว่าโจทก์ได้ให้เงินจำนวนนั้นแก่สมาคมและรับกันต่อไปว่า สมาคมนั้นมิได้จดทะเบียนตามกฎหมายดังนี้ ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนจะเป็นการสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ฉะนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่า การให้ไม่สมบูรณ์ และพิพากษาให้โจทก์เป็นเจ้าของเงินรายพิพาท จึงเป็นคำชี้ขาดในประเด็นและชอบด้วยกฎหมาย.
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสมาชิกสมาคมกู้อิสสระภาพอินเดีย จำเลยเป็นนายกสาขาสมาคมนี้ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์ได้มอบธนบัตรฉะบับละพันบาทรวม ๑๕,๐๐๐ บาท ให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมนำไปฝากไว้ที่คลังจังหวัดนครศรีธรรมราช บัดนี้สมาคมเลิกล้ม โจทก์ขอให้จำเลยจัดการให้มีชื่อโจทก์เป็นผู้ฝากธนบัตรที่กล่าวนี้ จำเลยไม่ยอม โจทก์จึงฟ้องขอให้แสดงว่าโจทก์เป็นเจ้าของธนบัตรเหล่านั้น
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์อุทิศเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท ให้แก่สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดียแล้ว เรียกคืนไม่ได้
คู่ความรับข้อเท็จจริงกันว่า ดจทก์ได้ให้ธนบัตรรายพิพาทให้แก่สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดียจริง แต่สมาคมนี้ตั้งขึ้นโดยไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย แล้วต่างไม่สืบพะยานต่อไป
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สมาคมอินเดียมิใช่นิติบุคคลเพราะมิได้จดทะเบียน การให้ไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ไม่มีบุคคลผู้รับ จึงพิพากษาให้ธนบัตรรายพิพาทเป็นของโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่ามอบธนบัตรรายพิพาทให้จำเลยในฐานะนายกสมาคม เพื่อนำฝากคลังแต่ข้อเท็จจริงที่รับกันว่า โจทก์ให้ธนบัตรรายพิพาทให้สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดีย ไม่ใช่การมอบหรือฝาก ฟ้องจึงต่างกันข้อเท็จจริง จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์รับตามรายงาน การพิจารณาของศาลว่า ธนบัตรรายนี้โจทก์ได้ให้แก่สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดียนั้น ถ้าคู่ความรับกันเพียงเท่านี้ คดีก็อาจฟังยุตติให้ศาลวินิจฉัยได้ว่า ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องหรือไม่ แต่เรื่องนี้ข้อเท็จจริงหายุตติเพียงนั้นไม่ โดยยังมีข้อที่โจทก์จำเลยรับกันต่อไปว่า สมาคมที่กล่าวนี้มิได้จดทะเบียนตามกฎหมายประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนนั้น จะสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องกับข้องวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จึงพิพากษากลับคำพิพากศาลอุทธรณ์บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.
การให้ทรัพย์แก่สมาคมที่ตั้งขึ้นโดยมิได้จดทะเบียนตาม ก.ม. นั้นไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ ไม่มีบุคคลผู้รับเนื่องจากสมาคมนั้นไม่ใช่นิติบุคคลผู้ให้จึงฟ้องเรียกคืนเงินที่ให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าได้มอบเงินให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมเพื่อนำไปฝากคลัง ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิเงินนั้น แต่ได้ความตามข้อเท็จจจริงที่รับกันว่าโจทก์ได้ให้เงินจำนวนนั้นแก่สมาคมและรับกันต่อไปว่า สมาคมนั้นมิได้จดทะเบียนตามกฎหมายดังนี้ ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนจะเป็นการสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ฉะนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่า การให้ไม่สมบูรณ์ และพิพากษาให้โจทก์เป็นเจ้าของเงินรายพิพาท จึงเป็นคำชี้ขาดในประเด็นและชอบด้วยกฎหมาย.
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสมาชิกสมาคมกู้อิสสระภาพอินเดีย จำเลยเป็นนายกสาขาสมาคมนี้ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์ได้มอบธนบัตรฉะบับละพันบาทรวม ๑๕,๐๐๐ บาท ให้จำเลยในฐานะนายกสมาคมนำไปฝากไว้ที่คลังจังหวัดนครศรีธรรมราช บัดนี้สมาคมเลิกล้ม โจทก์ขอให้จำเลยจัดการให้มีชื่อโจทก์เป็นผู้ฝากธนบัตรที่กล่าวนี้ จำเลยไม่ยอม โจทก์จึงฟ้องขอให้แสดงว่าโจทก์เป็นเจ้าของธนบัตรเหล่านั้น
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์อุทิศเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท ให้แก่สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดียแล้ว เรียกคืนไม่ได้
คู่ความรับข้อเท็จจริงกันว่า ดจทก์ได้ให้ธนบัตรรายพิพาทให้แก่สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดียจริง แต่สมาคมนี้ตั้งขึ้นโดยไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย แล้วต่างไม่สืบพะยานต่อไป
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สมาคมอินเดียมิใช่นิติบุคคลเพราะมิได้จดทะเบียน การให้ไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ผู้ให้ไม่มีบุคคลผู้รับ จึงพิพากษาให้ธนบัตรรายพิพาทเป็นของโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่ามอบธนบัตรรายพิพาทให้จำเลยในฐานะนายกสมาคม เพื่อนำฝากคลังแต่ข้อเท็จจริงที่รับกันว่า โจทก์ให้ธนบัตรรายพิพาทให้สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดีย ไม่ใช่การมอบหรือฝาก ฟ้องจึงต่างกันข้อเท็จจริง จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์รับตามรายงาน การพิจารณาของศาลว่า ธนบัตรรายนี้โจทก์ได้ให้แก่สมาคมกู้อิสสระภาพอินเดียนั้น ถ้าคู่ความรับกันเพียงเท่านี้ คดีก็อาจฟังยุตติให้ศาลวินิจฉัยได้ว่า ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องหรือไม่ แต่เรื่องนี้ข้อเท็จจริงหายุตติเพียงนั้นไม่ โดยยังมีข้อที่โจทก์จำเลยรับกันต่อไปว่า สมาคมที่กล่าวนี้มิได้จดทะเบียนตามกฎหมายประเด็นจึงอยู่ที่ว่าการให้ทรัพย์แก่สมาคมที่มิได้จดทะเบียนนั้น จะสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องกับข้องวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จึงพิพากษากลับคำพิพากศาลอุทธรณ์บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.
ในพินัยกรรมมีข้อความว่า ถ้าตนถึงแก่กรรมก่อนสามีแล้วให้แบ่งทรัพย์ดังนี้ฯลฯ เมื่อปรากฏว่าสามีกลับตายก่อนเช่นนี้ ข้อความในพินัยกรรมนั้น ย่อมเป็นไร้ผล ผู้ใดจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนั้นไม่ได้
โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นบุตรนางฮับเกิดกับนายชื่นผู้เป็นบิดาจำเลยที่ 2 เป็นบุตรนางฮับ เกิดกับพระญาณวิจิตร์ พระญาณวิจิตรตายประมาณ 12 ปีมาแล้ว นางฮับตายเมื่อ พ.ศ. 2487 โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกนางฮับ ผู้เป็นมารดาจากจำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า พระญาณวิจิตรกับนางฮับได้ทำพินัยกรรมร่วมกันยกทรัพย์ให้บางคน และให้จำเลยที่ 2 ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้อง ตกได้แก่จำเลยที่ 2 ทั้งสิ้น โจทก์ไม่มีส่วนได้เลย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามพินัยกรรม ผู้ตายมีเจตนาจะให้คำสั่งมีผลต่อเมื่อนางฮับตายก่อนพระญาณวิจิตร ถ้าหากตายภายหลังพระญาณวิจิตรแล้วย่อมไม่ประสงค์จะให้แบ่งปันทรัพย์ตามพินัยกรรมเมื่อทางพิจารณาได้ความว่า พระญาณวิจิตรตายก่อนนายฮับ ข้อความในพินัยกรรมของนางฮับจึงเป็นอันไร้ผล จำเลยจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนางฮับไม่ได้ จึงพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ตามส่วน
ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน
ในพินัยกรรมมีข้อความว่า ถ้าตนถึงแก่กรรมก่อนสามีแล้วให้แบ่งทรัพย์ดังนี้ฯลฯ เมื่อปรากฏว่าสามีกลับตายก่อนเช่นนี้ ข้อความในพินัยกรรมนั้น ย่อมเป็นไร้ผล ผู้ใดจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนั้นไม่ได้
โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นบุตรนางฮับเกิดกับนายชื่นผู้เป็นบิดาจำเลยที่ 2 เป็นบุตรนางฮับ เกิดกับพระญาณวิจิตร์ พระญาณวิจิตรตายประมาณ 12 ปีมาแล้ว นางฮับตายเมื่อ พ.ศ. 2487 โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกนางฮับ ผู้เป็นมารดาจากจำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า พระญาณวิจิตรกับนางฮับได้ทำพินัยกรรมร่วมกันยกทรัพย์ให้บางคน และให้จำเลยที่ 2 ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้อง ตกได้แก่จำเลยที่ 2 ทั้งสิ้น โจทก์ไม่มีส่วนได้เลย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามพินัยกรรม ผู้ตายมีเจตนาจะให้คำสั่งมีผลต่อเมื่อนางฮับตายก่อนพระญาณวิจิตร ถ้าหากตายภายหลังพระญาณวิจิตรแล้วย่อมไม่ประสงค์จะให้แบ่งปันทรัพย์ตามพินัยกรรมเมื่อทางพิจารณาได้ความว่า พระญาณวิจิตรตายก่อนนายฮับ ข้อความในพินัยกรรมของนางฮับจึงเป็นอันไร้ผล จำเลยจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนางฮับไม่ได้ จึงพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ตามส่วน
ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน
ในพินัยกรรมมีข้อความว่า ถ้าตนถึงแก่กรรมก่อนสามีแล้ว ให้แบ่งทรัพย์ดังนี้ฯลฯ เมื่อปรากฏว่าสามีกลับตายก่อนเช่นนี้ ข้อความในพินัยกรรมนั้น ย่อมเป็นอันไร้ผล ผู้ใดจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนั้นไม่ได้.
โจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นบุตรนางฮับเกิดกับนายชื่นผู้เป็นบิดา จำเลยที่ ๒ เป็นบุตรนางฮับ เกิดกับพระญาณวิจิตร์ พระญาณวิจิตรตายประมาณ ๑๒ ปีมาแล้ว นางฮับตายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๗ โจทก์ฟ้องขอแบ่งมฤดกนางฮับ ผู้เป็นมารดาจากจำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า พระญาณวิจิตรกับนางฮับได้ทำพินัยกรรมร่วมกัน ยกทรัพย์ให้บางคน และให้จำเลยที่ ๒ ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้อง ตกได้แก่จำเลยที่ ๒ ทั้งสิ้น โจทก์ไม่มีส่วนได้เลย ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามพินัยกรรม ผู้ตายมีเจตนาจะให้คำสั่งมีผลต่อเมื่อนางฮับตายก่อนพระญาณวิจิตร ถ้าหากตายภายหลัง พระญาณวิจิตรแก้วย่อมไม่ประสงค์จะให้แบ่งปันทรัพย์ตามพินัยกรรม์ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า พระญาณวิจิตรตายก่อนนางฮับ ข้อความในพินัยกรรม์ของนางฮับจึงเป็นอันไร้ผล จำเลยจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนางฮับไม่ได้ จึงพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ตามส่วน
ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน.
ในพินัยกรรมมีข้อความว่า ถ้าตนถึงแก่กรรมก่อนสามีแล้ว ให้แบ่งทรัพย์ดังนี้ฯลฯ เมื่อปรากฏว่าสามีกลับตายก่อนเช่นนี้ ข้อความในพินัยกรรมนั้น ย่อมเป็นอันไร้ผล ผู้ใดจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนั้นไม่ได้.
โจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นบุตรนางฮับเกิดกับนายชื่นผู้เป็นบิดา จำเลยที่ ๒ เป็นบุตรนางฮับ เกิดกับพระญาณวิจิตร์ พระญาณวิจิตรตายประมาณ ๑๒ ปีมาแล้ว นางฮับตายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๗ โจทก์ฟ้องขอแบ่งมฤดกนางฮับ ผู้เป็นมารดาจากจำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า พระญาณวิจิตรกับนางฮับได้ทำพินัยกรรมร่วมกัน ยกทรัพย์ให้บางคน และให้จำเลยที่ ๒ ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้อง ตกได้แก่จำเลยที่ ๒ ทั้งสิ้น โจทก์ไม่มีส่วนได้เลย ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามพินัยกรรม ผู้ตายมีเจตนาจะให้คำสั่งมีผลต่อเมื่อนางฮับตายก่อนพระญาณวิจิตร ถ้าหากตายภายหลัง พระญาณวิจิตรแก้วย่อมไม่ประสงค์จะให้แบ่งปันทรัพย์ตามพินัยกรรม์ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า พระญาณวิจิตรตายก่อนนางฮับ ข้อความในพินัยกรรม์ของนางฮับจึงเป็นอันไร้ผล จำเลยจะถือสิทธิตามพินัยกรรมนางฮับไม่ได้ จึงพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ตามส่วน
ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน.
องค์สำคัญแห่งความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 306คือการฉ้อโกงซึ่งตามมาตรา 304 ว่าต้องมีการหลอกลวง ฯลฯผู้ที่ถูกหลอกลวงตามมาตรา 306(4) ก็คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ไว้เป็นประกันผู้รับจำนำผู้รับจำหน่าย เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ หาได้ถูกหลอกลวงไม่ ฉะนั้นเจ้าของกรรมสิทธิ์จึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีสิทธิฟ้องผู้ฉ้อโกงเป็นคดีอาญา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตฉ้อโกงโจทก์โดยจำเลยเอานาของโจทก์ 1 แปลงไปขายให้นายทาโดยจำเลยไม่มีอำนาจขายได้ ทั้งโจทก์ก็มิได้รู้เห็น หรืออนุญาตในการขายนี้ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 306 ข้อ 4
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าองค์สำคัญแห่งความผิดตามมาตรา 306 คือการฉ้อโกงซึ่งมาตรา 304 ว่า ต้องมีการหลอกลวง ฯลฯ และผู้ที่หลอกลวงตามข้อ 4 นี้คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ไว้เป็นประกัน ผู้รับจำนำ ผู้รับจำหน่ายฝ่ายเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์หาได้ถูกหลอกลวงไม่ แม้โจทก์จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โจทก์ก็ไม่เป็นผู้เสียหายในเรื่องนี้ จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องคดีอาญา จึงพิพากษายืน
องค์สำคัญแห่งความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 306คือการฉ้อโกงซึ่งตามมาตรา 304 ว่าต้องมีการหลอกลวง ฯลฯผู้ที่ถูกหลอกลวงตามมาตรา 306(4) ก็คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ไว้เป็นประกันผู้รับจำนำผู้รับจำหน่าย เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ หาได้ถูกหลอกลวงไม่ ฉะนั้นเจ้าของกรรมสิทธิ์จึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีสิทธิฟ้องผู้ฉ้อโกงเป็นคดีอาญา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตฉ้อโกงโจทก์โดยจำเลยเอานาของโจทก์ 1 แปลงไปขายให้นายทาโดยจำเลยไม่มีอำนาจขายได้ ทั้งโจทก์ก็มิได้รู้เห็น หรืออนุญาตในการขายนี้ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 306 ข้อ 4
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าองค์สำคัญแห่งความผิดตามมาตรา 306 คือการฉ้อโกงซึ่งมาตรา 304 ว่า ต้องมีการหลอกลวง ฯลฯ และผู้ที่หลอกลวงตามข้อ 4 นี้คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ไว้เป็นประกัน ผู้รับจำนำ ผู้รับจำหน่ายฝ่ายเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์หาได้ถูกหลอกลวงไม่ แม้โจทก์จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โจทก์ก็ไม่เป็นผู้เสียหายในเรื่องนี้ จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องคดีอาญา จึงพิพากษายืน
องค์สำคัญแห่งความผิดตาม ก.ม.อาญามาตรา 306 คือ การฉ้อโกงซึ่งตามมาตรา 304 ว่าต้องมีการหลอกลวง ฯลฯ ผู้ที่ถูกหลอกลวงตามมาตรา 306(4) ก็คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ ไว้เป็นประกัน ผู้รับจำนำ ผู้รับจำหน่าย เจ้าของกรรมสิทธิในทรัพย์ หาได้ถูกหลอกลวงไม่ ฉะนั้นเจ้าของกรรมสิทธิจึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีสิทธิฟ้องผู้ฉ้อโกงเป็นคดีอาญา.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตฉ้อโกงโจทก์ โดยจำเลยเอานา ของโจทก์ ๑ แปลงไปขายให้นายทา โดยจำเลยไม่มีอำนาจขายได้ ทั้งโจทก์ก็มิได้รู้เห็น หรืออนุญาตในการขายนี้ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.อาญามาตรา ๓๐๖ ข้อ ๔
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าองค์สำคัญแห่งความผิดตามมาตรา ๓๐๖ คือการฉ้อโกง ซึ่งมาตรา ๓๐๔ ว่า ต้องมีการหลอกลวง ฯลฯ และผู้ที่หลอกลวงตามข้อ ๔ นี้คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ไว้เป็นประกัน ผู้รับจำนำ ผู้รับจำหน่าย ฝ่ายเจ้าของกรรมสิทธิในทรัพย์หาได้ถูกหลอกลวงไม่ แม้โจทก์จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ โจทก์ก็ไม่เป็นผู้เสียหายในเรื่องนี้ จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องคดีอาญา จึงพิพากษายืน.
องค์สำคัญแห่งความผิดตาม ก.ม.อาญามาตรา 306 คือ การฉ้อโกงซึ่งตามมาตรา 304 ว่าต้องมีการหลอกลวง ฯลฯ ผู้ที่ถูกหลอกลวงตามมาตรา 306(4) ก็คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ ไว้เป็นประกัน ผู้รับจำนำ ผู้รับจำหน่าย เจ้าของกรรมสิทธิในทรัพย์ หาได้ถูกหลอกลวงไม่ ฉะนั้นเจ้าของกรรมสิทธิจึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีสิทธิฟ้องผู้ฉ้อโกงเป็นคดีอาญา.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตฉ้อโกงโจทก์ โดยจำเลยเอานา ของโจทก์ ๑ แปลงไปขายให้นายทา โดยจำเลยไม่มีอำนาจขายได้ ทั้งโจทก์ก็มิได้รู้เห็น หรืออนุญาตในการขายนี้ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.อาญามาตรา ๓๐๖ ข้อ ๔
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าองค์สำคัญแห่งความผิดตามมาตรา ๓๐๖ คือการฉ้อโกง ซึ่งมาตรา ๓๐๔ ว่า ต้องมีการหลอกลวง ฯลฯ และผู้ที่หลอกลวงตามข้อ ๔ นี้คือ ผู้ซื้อ ผู้รับทรัพย์ไว้เป็นประกัน ผู้รับจำนำ ผู้รับจำหน่าย ฝ่ายเจ้าของกรรมสิทธิในทรัพย์หาได้ถูกหลอกลวงไม่ แม้โจทก์จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ โจทก์ก็ไม่เป็นผู้เสียหายในเรื่องนี้ จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องคดีอาญา จึงพิพากษายืน.
ฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นตามความในกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 158,159 นั้นเป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญา
ฟ้องคดีแพ่ง แม้จะกล่าวว่าเป็นเรื่องยักยอก แม้จะเป็นเท็จก็ไม่มีผิดฐานฟ้องเท็จ ตาม มาตรา158-159
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องคดีแพ่งเท็จเรียกราคาทรัพย์หรือค่าทดแทน 1,300 บาท โดยกล่าวว่า จำเลยฟ้องว่า โจทก์เป็นหุ้นส่วนของจำเลยและเอารถยนต์ของหุ้นส่วน 2 คันไปขายเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ขอให้คืนรถยนต์หรือใช้ราคา 3,800 บาทความจริงรถยนต์ดังกล่าวเป็นทรัพย์ส่วนตัวของโจทก์
ศาลชั้นต้นไม่ประทับฟ้องในคดีอาญา คงดำเนินเฉพาะคดีแพ่งต่อไปและเมื่อสอบถามคู่ความแล้วงดสืบพยาน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะคำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่า เกิดการกระทำผิดขึ้นตามมาตรา 158, 159 นั้นเป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญาทั้ง 2 มาตรา แม้การฟ้องว่ายักยอกทรัพย์อาจเป็นทั้งทางแพ่งและทางอาญาก็ดี เมื่อไม่มีคำขอให้ลงอาญา ก็เรียกไม่ได้ว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นดังกฎหมายบัญญัติไว้ จึงพิพากษายืน
ฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นตามความในกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 158,159 นั้นเป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญา
ฟ้องคดีแพ่ง แม้จะกล่าวว่าเป็นเรื่องยักยอก แม้จะเป็นเท็จก็ไม่มีผิดฐานฟ้องเท็จ ตาม มาตรา158-159
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องคดีแพ่งเท็จเรียกราคาทรัพย์หรือค่าทดแทน 1,300 บาท โดยกล่าวว่า จำเลยฟ้องว่า โจทก์เป็นหุ้นส่วนของจำเลยและเอารถยนต์ของหุ้นส่วน 2 คันไปขายเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ขอให้คืนรถยนต์หรือใช้ราคา 3,800 บาทความจริงรถยนต์ดังกล่าวเป็นทรัพย์ส่วนตัวของโจทก์
ศาลชั้นต้นไม่ประทับฟ้องในคดีอาญา คงดำเนินเฉพาะคดีแพ่งต่อไปและเมื่อสอบถามคู่ความแล้วงดสืบพยาน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะคำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่า เกิดการกระทำผิดขึ้นตามมาตรา 158, 159 นั้นเป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญาทั้ง 2 มาตรา แม้การฟ้องว่ายักยอกทรัพย์อาจเป็นทั้งทางแพ่งและทางอาญาก็ดี เมื่อไม่มีคำขอให้ลงอาญา ก็เรียกไม่ได้ว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นดังกฎหมายบัญญัติไว้ จึงพิพากษายืน
ฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นตามความในกฎหมายอาญามาตรา 158, 159 นั้นเป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญา
ฟ้องคดีแพ่ง แม้จะกล่าวว่าเป็นเรื่องยักยอก แม้จะเป็นเท็จก็ไม่มีผิดฐานฟ้องเท็จตาม ม.158, 159.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องคดีแพ่งเท็จเรียกราคาทรัพย์หรือค่าทดแทน ๑๓๐๐ บาท โดยกล่าวว่าจำเลยฟ้องว่า โจทก์เป็นหุ้นส่วนของจำเลยและเอารถยนตร์ของหุ้นส่วน ๒ คันไปขายเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ขอให้คืนรถยนตร์หรือใช้ราคา ๓๘๐๐ บาท ความจริงรถยนตร์ดังกล่าวเป็นทรัพย์ส่วนตัวของโจทก์
ศาลชั้นต้นไม่ประทับฟ้องในคดีอาญา คงดำเนินฉะเพาะคดีแพ่งต่อไป และเมื่อสอบถามคู่ความแล้วงดสืบพะยาน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ฉะเพาะคำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า คำว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่า เกิดการกระทำผิดขึ้นตามมาตรา ๑๕๘, ๑๕๙ นั้น เป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญาทั้ง ๒ มาตรา แม้การฟ้องว่ายักยอกทรัพย์อาจเป็นทั้งทางแพ่งและทางอาญาก็ดี เมื่อไม่มีคำขอให้ลงอาญา ก็เรียกไม่ได้ว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นดังกฎหมายบัญญัติไว้ จึงพิพากษายืน.
ฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นตามความในกฎหมายอาญามาตรา 158, 159 นั้นเป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญา
ฟ้องคดีแพ่ง แม้จะกล่าวว่าเป็นเรื่องยักยอก แม้จะเป็นเท็จก็ไม่มีผิดฐานฟ้องเท็จตาม ม.158, 159.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องคดีแพ่งเท็จเรียกราคาทรัพย์หรือค่าทดแทน ๑๓๐๐ บาท โดยกล่าวว่าจำเลยฟ้องว่า โจทก์เป็นหุ้นส่วนของจำเลยและเอารถยนตร์ของหุ้นส่วน ๒ คันไปขายเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ขอให้คืนรถยนตร์หรือใช้ราคา ๓๘๐๐ บาท ความจริงรถยนตร์ดังกล่าวเป็นทรัพย์ส่วนตัวของโจทก์
ศาลชั้นต้นไม่ประทับฟ้องในคดีอาญา คงดำเนินฉะเพาะคดีแพ่งต่อไป และเมื่อสอบถามคู่ความแล้วงดสืบพะยาน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ฉะเพาะคำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า คำว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่า เกิดการกระทำผิดขึ้นตามมาตรา ๑๕๘, ๑๕๙ นั้น เป็นเรื่องฟ้องว่ากระทำความผิดในทางอาญาทั้ง ๒ มาตรา แม้การฟ้องว่ายักยอกทรัพย์อาจเป็นทั้งทางแพ่งและทางอาญาก็ดี เมื่อไม่มีคำขอให้ลงอาญา ก็เรียกไม่ได้ว่าฟ้องกล่าวโทษหรือฟ้องว่าเกิดการกระทำผิดขึ้นดังกฎหมายบัญญัติไว้ จึงพิพากษายืน.
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี 4 เดือนแล้วให้กักกันมีกำหนด 3 ปีนั้นฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้
การขอให้ยกหรือลดโทษกักกันอันเป็นดุลพินิจนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญา มาตรา 256 และกักกันตามพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญา มาตรา 256 จำคุก 2 ปี เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ลดฐานรับสารภาพ คงจำคุก 1 ปี 4 เดือนแล้วให้กักกัน 3 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ขอความกรุณาหรือยกโทษกักกัน
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาขอลดหรือยกโทษกักกันเกี่ยวแก่ดุลพินิจของศาลซึ่งเป็นเรื่องข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามกฎหมายให้ยกฎีกาจำเลยเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี 4 เดือนแล้วให้กักกันมีกำหนด 3 ปีนั้นฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้
การขอให้ยกหรือลดโทษกักกันอันเป็นดุลพินิจนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญา มาตรา 256 และกักกันตามพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญา มาตรา 256 จำคุก 2 ปี เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ลดฐานรับสารภาพ คงจำคุก 1 ปี 4 เดือนแล้วให้กักกัน 3 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ขอความกรุณาหรือยกโทษกักกัน
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาขอลดหรือยกโทษกักกันเกี่ยวแก่ดุลพินิจของศาลซึ่งเป็นเรื่องข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามกฎหมายให้ยกฎีกาจำเลยเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี 4 เดือนแล้วให้กักกันมีกำหนด 3 ปีนั้น ฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้
การขอให้ยกหรือลดโทษกักกันอันเป็นดุลยพินิจนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ก.ม.อาญา ม. ๒๕๖ และกักกันตาม พ.ร.บ.กักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ก.ม.อาญามาตรา ๒๕๖ จำคุก ๒ ปี เพิ่มโทษ ๑ ใน ๓ ลดฐานรับสารภาพ คงจำคุก ๑ ปี ๔ เดือน แล้วให้กักกัน ๓ ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ขอความกรุณาหรือยกโทษกักกัน
ศาลฎีกา เห็นว่า ฎีกาขอลดหรือยกโทษกักกันเกี่ยวแก่ดุลยพินิจของศาลซึ่งเป็นเรื่องข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน ๕ ปี ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตาม ก.ม. ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย.
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี 4 เดือนแล้วให้กักกันมีกำหนด 3 ปีนั้น ฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้
การขอให้ยกหรือลดโทษกักกันอันเป็นดุลยพินิจนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ก.ม.อาญา ม. ๒๕๖ และกักกันตาม พ.ร.บ.กักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ก.ม.อาญามาตรา ๒๕๖ จำคุก ๒ ปี เพิ่มโทษ ๑ ใน ๓ ลดฐานรับสารภาพ คงจำคุก ๑ ปี ๔ เดือน แล้วให้กักกัน ๓ ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ขอความกรุณาหรือยกโทษกักกัน
ศาลฎีกา เห็นว่า ฎีกาขอลดหรือยกโทษกักกันเกี่ยวแก่ดุลยพินิจของศาลซึ่งเป็นเรื่องข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน ๕ ปี ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตาม ก.ม. ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย.
การกระทำของจำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกับศาลชั้นต้น แต่แก้กำหนดโทษจาก 2 ปีเหลือ 1 ปี ฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่าจำเลยไม่มีความผิดโจทก์จะฎีกาในข้อนี้ไม่ได้
คนขายสุราของบริษัทเอาน้ำสุราไปขายที่อื่นแล้ว ทำบิลว่านำสุราส่งไปขายให้แก่ร้านค้าปลีกของบริษัท ถือว่าเป็นการทำหนังสือเท็จ ไม่เป็นความผิด ฐานปลอมหนังสือ
การกระทำของจำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกับศาลชั้นต้น แต่แก้กำหนดโทษจาก 2 ปีเหลือ 1 ปี ฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่าจำเลยไม่มีความผิดโจทก์จะฎีกาในข้อนี้ไม่ได้
คนขายสุราของบริษัทเอาน้ำสุราไปขายที่อื่นแล้ว ทำบิลว่านำสุราส่งไปขายให้แก่ร้านค้าปลีกของบริษัท ถือว่าเป็นการทำหนังสือเท็จ ไม่เป็นความผิด ฐานปลอมหนังสือ
การกระทำของจำเลยมีเจตนาทุจจริตหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกับศาลชั้นต้น แต่แก้กำหนดโทษจาก 2 ปี เหลือ 1 ปี ฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่าจำเลยไม่มีความผิดโจทก์จะฎีกาในข้อนี้ไม่ได้
คนขายสุราของบริษัทเอาน้ำสุราไปขายที่อื่นแล้วทำบิลว่านำสุราส่งไปขายให้แก่ร้านค้าปลีกของบริษัท ถือว่าเป็นการทำหนังสือเท็จ ไม่เป็นความผิดฐานปลอมหนังสือ
คดีได้ความว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหัวหน้าแผนกค้าสุราของบริษัทนนทบุรีจังหวัดพาณิชย์จำกัด มีหน้าที่ควบคุมดูแลและรับผิดชอบตรวจบัญชีน้ำสุราและการเงิน จำเลยที่ ๒ เป็นผู้จัดการค้าสุราของบริษัท มีหน้าที่ไปรับสุราออกจากโรงงานต้มกลั่นสุราบางยี่ขันตามใบสั่งของผู้จัดการบริษัท ฯลฯ จำเลยที่ ๒ ได้รับน้ำสุราจากโรงงานบางยี่ขันตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง แล้วขายน้ำสุรานั้นไป แต่ขายให้แก่ใครเป็นราคาเท่าใดโจทก์สืบไม่ได้ แต่ว่าไม่ได้ขายให้แก่ร้านค้าปลีกของบริษัท ฯลฯ ซึ่งจำเลยมีหน้าที่จะต้องขายให้และจะขายได้เกินกว่าเงินจำนวนนี้เท่าใดหรือไม่ก็ไม่ปรากฏ เมื่อจำเลยที่ ๒ ได้ขายน้ำสุรานั้นไปแล้ว นำเงินค่าขายในราคาต่ำมาส่งให้จำเลยที่ ๑ ๆ ได้ทำใบขายสินค้าเงินสดในนามของบริษัท แสดงว่าได้รับเงินสดจากร้านขายสุราปลีกที่เป็นลูกค้ามาซื้อเอาไปเป็นรายร้าน แล้วนำใบรับเงินและตัวเงินมอบให้นายไพจิตร์ ผู้จัดการบริษัท แสดงว่าได้ขายสุราให้แก่ร้านค้าปลีกไปแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้ง ๒ มีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา ๒๒๒, ๒๒๓, ๖๓ จำเลยที่ ๒ มีผิดตามมาตรา ๓๑๙(๑) อีกกะทงหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ ให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ฐานยักยอกตามมาตรา ๓๑๙(๑) กะทงเดียว
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง ๒ ฐานสมคบกันปลอมหนังสือและยักยอก
จำเลยที่ ๒ ฎีกาอ้างเป็นข้อกฎหมายว่าคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจจริตยักยอก
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่าจำเลยที่ ๒ มีความผิดมาตรา ๓๑๙(๑) ศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุก ๒ ปี ศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษจำคุก ๑ ปี จำเลยที่ ๒ ฎีกาได้ฉะเพาะในปัญหาข้อกฎหมาย จำเลยฎีกาอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่การมีเจตนาทุจจริตหรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้าม
ข้อที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย ๑ ฐานยักยอกด้วยนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาต้องกันว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีความผิดฐานยักยอก โจทก์จะฎีกาในข้อนี้ไม่ได้
ส่วนเรื่องปลอมหนังสือนั้น เห็นว่า จำเลยรู้เห็นเป็นใจด้วยกันในการทำหนังสือ โดยเหตุว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ส่งน้ำสุราขายให้แก่ร้านค้าปลีก แต่มาบอกให้จำเลยที่ ๑ เขียนบิลว่าได้ส่งน้ำสุราขายให้แก่ร้านค้าปลีกของบริษัท จำเลยที่ ๑ ก็ยอมรับเขียนบิลตามจำนวนร้านค้าปลีก การที่จำเลยทำดังนี้ เป็นการทำหนังสือเท็จแสดงต่อบริษัท เป็นหนังสือซึ่งจำเลยได้ร่วมรู้กันทำขึ้นในตำแหน่งหน้าที่ของจำเลย โดยจำเลยเป็นผู้รับผิดชอบ จึงเหมือนหนึ่งเป็นหนังสือของจำเลยเอง การกล่าวเท็จในหนังสือของตน เป็นการเกี่ยวแก่การเชื่อถือในส่วนตัวบุคคลนั้น ๆ เป็นสาระสำคัญ เมื่อความรับผิดและความเชื่อถือตกอยู่แก่บุคคลผู้ทำหนังสือนั้นเช่นนี้แล้ว ผู้กล่าวเท็จในกรณีดังนี้ ไม่มีความผิดฐานปลอมหนังสือ จึงพิพากษายืน
การกระทำของจำเลยมีเจตนาทุจจริตหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกับศาลชั้นต้น แต่แก้กำหนดโทษจาก 2 ปี เหลือ 1 ปี ฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่าจำเลยไม่มีความผิดโจทก์จะฎีกาในข้อนี้ไม่ได้
คนขายสุราของบริษัทเอาน้ำสุราไปขายที่อื่นแล้วทำบิลว่านำสุราส่งไปขายให้แก่ร้านค้าปลีกของบริษัท ถือว่าเป็นการทำหนังสือเท็จ ไม่เป็นความผิดฐานปลอมหนังสือ
คดีได้ความว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหัวหน้าแผนกค้าสุราของบริษัทนนทบุรีจังหวัดพาณิชย์จำกัด มีหน้าที่ควบคุมดูแลและรับผิดชอบตรวจบัญชีน้ำสุราและการเงิน จำเลยที่ ๒ เป็นผู้จัดการค้าสุราของบริษัท มีหน้าที่ไปรับสุราออกจากโรงงานต้มกลั่นสุราบางยี่ขันตามใบสั่งของผู้จัดการบริษัท ฯลฯ จำเลยที่ ๒ ได้รับน้ำสุราจากโรงงานบางยี่ขันตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง แล้วขายน้ำสุรานั้นไป แต่ขายให้แก่ใครเป็นราคาเท่าใดโจทก์สืบไม่ได้ แต่ว่าไม่ได้ขายให้แก่ร้านค้าปลีกของบริษัท ฯลฯ ซึ่งจำเลยมีหน้าที่จะต้องขายให้และจะขายได้เกินกว่าเงินจำนวนนี้เท่าใดหรือไม่ก็ไม่ปรากฏ เมื่อจำเลยที่ ๒ ได้ขายน้ำสุรานั้นไปแล้ว นำเงินค่าขายในราคาต่ำมาส่งให้จำเลยที่ ๑ ๆ ได้ทำใบขายสินค้าเงินสดในนามของบริษัท แสดงว่าได้รับเงินสดจากร้านขายสุราปลีกที่เป็นลูกค้ามาซื้อเอาไปเป็นรายร้าน แล้วนำใบรับเงินและตัวเงินมอบให้นายไพจิตร์ ผู้จัดการบริษัท แสดงว่าได้ขายสุราให้แก่ร้านค้าปลีกไปแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้ง ๒ มีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา ๒๒๒, ๒๒๓, ๖๓ จำเลยที่ ๒ มีผิดตามมาตรา ๓๑๙(๑) อีกกะทงหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ ให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ฐานยักยอกตามมาตรา ๓๑๙(๑) กะทงเดียว
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง ๒ ฐานสมคบกันปลอมหนังสือและยักยอก
จำเลยที่ ๒ ฎีกาอ้างเป็นข้อกฎหมายว่าคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจจริตยักยอก
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่าจำเลยที่ ๒ มีความผิดมาตรา ๓๑๙(๑) ศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุก ๒ ปี ศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษจำคุก ๑ ปี จำเลยที่ ๒ ฎีกาได้ฉะเพาะในปัญหาข้อกฎหมาย จำเลยฎีกาอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่การมีเจตนาทุจจริตหรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้าม
ข้อที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย ๑ ฐานยักยอกด้วยนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาต้องกันว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีความผิดฐานยักยอก โจทก์จะฎีกาในข้อนี้ไม่ได้
ส่วนเรื่องปลอมหนังสือนั้น เห็นว่า จำเลยรู้เห็นเป็นใจด้วยกันในการทำหนังสือ โดยเหตุว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ส่งน้ำสุราขายให้แก่ร้านค้าปลีก แต่มาบอกให้จำเลยที่ ๑ เขียนบิลว่าได้ส่งน้ำสุราขายให้แก่ร้านค้าปลีกของบริษัท จำเลยที่ ๑ ก็ยอมรับเขียนบิลตามจำนวนร้านค้าปลีก การที่จำเลยทำดังนี้ เป็นการทำหนังสือเท็จแสดงต่อบริษัท เป็นหนังสือซึ่งจำเลยได้ร่วมรู้กันทำขึ้นในตำแหน่งหน้าที่ของจำเลย โดยจำเลยเป็นผู้รับผิดชอบ จึงเหมือนหนึ่งเป็นหนังสือของจำเลยเอง การกล่าวเท็จในหนังสือของตน เป็นการเกี่ยวแก่การเชื่อถือในส่วนตัวบุคคลนั้น ๆ เป็นสาระสำคัญ เมื่อความรับผิดและความเชื่อถือตกอยู่แก่บุคคลผู้ทำหนังสือนั้นเช่นนี้แล้ว ผู้กล่าวเท็จในกรณีดังนี้ ไม่มีความผิดฐานปลอมหนังสือ จึงพิพากษายืน
ซื้อขายที่สวนกันด้วยปากเปล่า ผู้ซื้อซื้อแล้วก็เข้าครอบครองถึง 6 ปีแม้ที่สวนนั้นจะไม่มีหนังสือสำคัญผู้ซื้อก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ เพราะครอบครองยังไม่ครบ 10 ปี ตามมาตรา 1382 ผู้ขายฟ้องเรียกคืนได้
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2484 โจทก์ถูกทางราชการจำกัดเขตเพราะเป็นคนต่างด้าว จึงเอาเงินของจำเลยไป 20 บาท แล้วมอบที่สวนพิพาทให้จำเลยครอบครอง โดยตกลงกันปากเปล่าว่า ถ้าโจทก์มีโอกาสกลับมาอยู่ในเขตจังหวัดปราจีนบุรีอีกเมื่อใด จำเลยยอมคืนสวนให้เมื่อโจทก์ยอมชำระเงิน 20 บาทให้ ต่อมา พ.ศ. 2488 โจทก์นำเงิน20 บาทไปคืนจำเลย ๆ ไม่ยอมคืนสวน จึงขอให้ศาลว่าสวนพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และให้จำเลยรับเงิน 20 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นการซื้อขายขาดจึงเป็นโมฆะ ใช้ไม่ได้พิพากษากลับให้จำเลยรับเงิน 20 บาท และคืนสวนให้โจทก์
จำเลยฎีกาคัดค้านในข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อปรากฏว่าที่สวนรายนี้เป็นที่ดินซึ่งทำประโยชน์ โจทก์ได้ครอบครองหวงแหนถืออำนาจเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มาแล้ว มาขายให้จำเลยโดยมิได้ทำหนังสือสัญญาต่อเจ้าพนักงานจำเลยครอบครองมาเพียง 6 ปี ยังหาครบ 10 ปี ตามมาตรา 1382 ไม่โจทก์ยังไม่ขาดกรรมสิทธิ์ จึงพิพากษายืน
ซื้อขายที่สวนกันด้วยปากเปล่า ผู้ซื้อซื้อแล้วก็เข้าครอบครองถึง 6 ปีแม้ที่สวนนั้นจะไม่มีหนังสือสำคัญผู้ซื้อก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ เพราะครอบครองยังไม่ครบ 10 ปี ตามมาตรา 1382 ผู้ขายฟ้องเรียกคืนได้
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2484 โจทก์ถูกทางราชการจำกัดเขตเพราะเป็นคนต่างด้าว จึงเอาเงินของจำเลยไป 20 บาท แล้วมอบที่สวนพิพาทให้จำเลยครอบครอง โดยตกลงกันปากเปล่าว่า ถ้าโจทก์มีโอกาสกลับมาอยู่ในเขตจังหวัดปราจีนบุรีอีกเมื่อใด จำเลยยอมคืนสวนให้เมื่อโจทก์ยอมชำระเงิน 20 บาทให้ ต่อมา พ.ศ. 2488 โจทก์นำเงิน20 บาทไปคืนจำเลย ๆ ไม่ยอมคืนสวน จึงขอให้ศาลว่าสวนพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และให้จำเลยรับเงิน 20 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นการซื้อขายขาดจึงเป็นโมฆะ ใช้ไม่ได้พิพากษากลับให้จำเลยรับเงิน 20 บาท และคืนสวนให้โจทก์
จำเลยฎีกาคัดค้านในข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อปรากฏว่าที่สวนรายนี้เป็นที่ดินซึ่งทำประโยชน์ โจทก์ได้ครอบครองหวงแหนถืออำนาจเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มาแล้ว มาขายให้จำเลยโดยมิได้ทำหนังสือสัญญาต่อเจ้าพนักงานจำเลยครอบครองมาเพียง 6 ปี ยังหาครบ 10 ปี ตามมาตรา 1382 ไม่โจทก์ยังไม่ขาดกรรมสิทธิ์ จึงพิพากษายืน
ซื้อขายที่สวนกันด้วยปากเปล่า ผู้ซื้อซื้อแล้วก็เข้าครอบครองถึง 6 ปี แม้ที่สวนนั้นจะไม่มีหนังสือสำคัญ ผู้ซื้อก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ เพราะครอบครองยังไม่ครบ 10 ปี ตามมาตรา 1382 ผู้ขายฟ้องเรียกคืนได้.
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ โจทก์ถูกทางราชการจำกัดเขตต์เพราะเป็นคนต่างด้าว จึงเอาเงินของจำเลยไป ๒๐ บาท แล้วมอบที่สวนพิพาทให้จำเลยครอบครอง โดยตกลงกันปากเปล่าว่า ถ้าโจทก์มีโอกาศกลับมาอยู่ในเขตต์จังหวัดปราจิณบุรีอีกเมื่อใด จำเลยยอมคืนสวนให้ เมื่อโจทก์ยอมชำระเงิน ๒๐ บาทให้ ต่อมา พ.ศ. ๒๔๘๘ โจทก์นำเงิน ๒๐ บาทไปคืนจำเลย ๆ ไม่ยอมคืนสวน จึงขอให้ศาลว่าสวนพิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ และให้จำเลยรับเงิน ๒๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า เป็นการซื้อขายขาดจึงเป็นโมฆะ ใช้ไม่ได้ พิพากษากลับให้จำเลยรับเงิน ๒๐ บาทและคืนสวนให้โจทก์
จำเลยฎีกาคัดค้านในข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อปรากฏว่าที่สวนรายนี้เป็นที่ดินซึ่งทำประโยชน์ โจทก์ได้ครอบครองหวงแหนถืออำนาจเป็นเจ้าของกรรมสิทธิมาแล้ว มาขายให้จำเลยโดยมิได้ทำหนังสือสัญญาต่อเจ้าพนักงาน จำเลยครอบครองมาเพียง ๖ ปี ยังหาครบ ๑๐ ปี ตามมาตรา ๑๓๘๒ ไม่โจทก์ยังไม่ขาดกรรมสิทธิ จึงพิพากษายืน.
ซื้อขายที่สวนกันด้วยปากเปล่า ผู้ซื้อซื้อแล้วก็เข้าครอบครองถึง 6 ปี แม้ที่สวนนั้นจะไม่มีหนังสือสำคัญ ผู้ซื้อก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ เพราะครอบครองยังไม่ครบ 10 ปี ตามมาตรา 1382 ผู้ขายฟ้องเรียกคืนได้.
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ โจทก์ถูกทางราชการจำกัดเขตต์เพราะเป็นคนต่างด้าว จึงเอาเงินของจำเลยไป ๒๐ บาท แล้วมอบที่สวนพิพาทให้จำเลยครอบครอง โดยตกลงกันปากเปล่าว่า ถ้าโจทก์มีโอกาศกลับมาอยู่ในเขตต์จังหวัดปราจิณบุรีอีกเมื่อใด จำเลยยอมคืนสวนให้ เมื่อโจทก์ยอมชำระเงิน ๒๐ บาทให้ ต่อมา พ.ศ. ๒๔๘๘ โจทก์นำเงิน ๒๐ บาทไปคืนจำเลย ๆ ไม่ยอมคืนสวน จึงขอให้ศาลว่าสวนพิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ และให้จำเลยรับเงิน ๒๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า เป็นการซื้อขายขาดจึงเป็นโมฆะ ใช้ไม่ได้ พิพากษากลับให้จำเลยรับเงิน ๒๐ บาทและคืนสวนให้โจทก์
จำเลยฎีกาคัดค้านในข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อปรากฏว่าที่สวนรายนี้เป็นที่ดินซึ่งทำประโยชน์ โจทก์ได้ครอบครองหวงแหนถืออำนาจเป็นเจ้าของกรรมสิทธิมาแล้ว มาขายให้จำเลยโดยมิได้ทำหนังสือสัญญาต่อเจ้าพนักงาน จำเลยครอบครองมาเพียง ๖ ปี ยังหาครบ ๑๐ ปี ตามมาตรา ๑๓๘๒ ไม่โจทก์ยังไม่ขาดกรรมสิทธิ จึงพิพากษายืน.
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|