ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยยื่นฎีกา ภายในกำหนด แต่ฎีกาจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 ปี 8 เดือน เป็นการลงโทษจำคุกเกินกว่าห้าปี จำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่ง เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและ ฐานจำหน่ายเฮโรอีน ให้จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมสองกระทง เป็นจำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและ ชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับเป็น เหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยไว้ 6 ปี 8 เดือน ริบเฮโรอีนของกลางและคืนธนบัตรของกลางที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 144) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 145)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกับฐานจำหน่ายเฮโรอีน เป็นความผิดคนละกระทงคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกฎีกาจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาโดยบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยยื่นฎีกา ภายในกำหนด แต่ฎีกาจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 ปี 8 เดือน เป็นการลงโทษจำคุกเกินกว่าห้าปี จำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่ง เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและ ฐานจำหน่ายเฮโรอีน ให้จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมสองกระทง เป็นจำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและ ชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับเป็น เหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยไว้ 6 ปี 8 เดือน ริบเฮโรอีนของกลางและคืนธนบัตรของกลางที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 144) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 145)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกับฐานจำหน่ายเฮโรอีน เป็นความผิดคนละกระทงคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกฎีกาจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาโดยบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ประกันฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119ไม่รับฎีกา ผู้ประกันเห็นว่า ฎีกาของผู้ประกันเกี่ยวกับการขอลดค่าปรับ ภายหลังจากได้วางเงินค่าปรับเต็มตามจำนวนที่ศาลสั่งปรับแล้ว ไม่ใช่ฎีกาคำสั่งในกรณีผิดสัญญาประกันจึงไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 119 โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของผู้ประกันด้วย หมายเหตุ กรณีเป็นชั้นผิดสัญญาประกัน กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 2ได้รับการปล่อยชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โดยมีนายสุพัฒน์ปัญจกุล เป็นผู้ประกัน ศาลชั้นต้นนัดสอบคำให้การและนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 ทราบนัดโดยชอบแล้ว ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นได้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 และมีคำสั่ง ให้ปรับผู้ประกันตามสัญญา ต่อมานายประสิทธิ สีแดงได้ยื่นคำร้องแทนผู้ประกันว่า จำเลยที่ 2 ถูกขังอยู่ใน เรือนจำตามหมายขังในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 176/2535 ของศาลชั้นต้น ขอให้รับตัวจำเลยที่ 2 ไว้ในคดีนี้ และขอลดค่าปรับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และให้มี หมายขังจำเลยที่ 2 ไว้ ต่อมาผู้ประกันยื่นคำร้องขอลดค่าปรับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ประกันจึงได้นำเงินค่าปรับ จำนวน 186,000 บาท มาชำระต่อศาล และได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่ง ขอลดค่าปรับ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ประกันฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 30) ผู้ประกันจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 31)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ลดค่าปรับให้ผู้ประกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ย่อมถึงที่สุด ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของผู้ประกันจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ประกันฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119ไม่รับฎีกา ผู้ประกันเห็นว่า ฎีกาของผู้ประกันเกี่ยวกับการขอลดค่าปรับ ภายหลังจากได้วางเงินค่าปรับเต็มตามจำนวนที่ศาลสั่งปรับแล้ว ไม่ใช่ฎีกาคำสั่งในกรณีผิดสัญญาประกันจึงไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 119 โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของผู้ประกันด้วย หมายเหตุ กรณีเป็นชั้นผิดสัญญาประกัน กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 2ได้รับการปล่อยชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โดยมีนายสุพัฒน์ปัญจกุล เป็นผู้ประกัน ศาลชั้นต้นนัดสอบคำให้การและนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 ทราบนัดโดยชอบแล้ว ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นได้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 และมีคำสั่ง ให้ปรับผู้ประกันตามสัญญา ต่อมานายประสิทธิ สีแดงได้ยื่นคำร้องแทนผู้ประกันว่า จำเลยที่ 2 ถูกขังอยู่ใน เรือนจำตามหมายขังในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 176/2535 ของศาลชั้นต้น ขอให้รับตัวจำเลยที่ 2 ไว้ในคดีนี้ และขอลดค่าปรับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และให้มี หมายขังจำเลยที่ 2 ไว้ ต่อมาผู้ประกันยื่นคำร้องขอลดค่าปรับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ประกันจึงได้นำเงินค่าปรับ จำนวน 186,000 บาท มาชำระต่อศาล และได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่ง ขอลดค่าปรับ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ประกันฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 30) ผู้ประกันจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 31)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ลดค่าปรับให้ผู้ประกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ย่อมถึงที่สุด ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของผู้ประกันจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ไม่ติดใจที่จะดำเนินคดี กับจำเลยต่อไป จึงขอถอนคำร้องทุกข์ที่ผู้ร้องได้ร้องทุกข์ไว้เพื่อให้คดีนี้ระงับไป โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ส่วนจำเลยแถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้าน (อันดับ 84) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,83 ลงโทษจำคุก 4 เดือน และให้จำเลยคืนหรือ ใช้เงินจำนวน 400,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้าม ไม่รับฎีกา (อันดับ 79) จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 81) ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมส่งศาลฎีกาเพื่อสั่ง (อันดับ 84)
คำสั่ง คดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว และยังไม่ถึงที่สุดผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ไม่ติดใจที่จะดำเนินคดี กับจำเลยต่อไป จึงขอถอนคำร้องทุกข์ที่ผู้ร้องได้ร้องทุกข์ไว้เพื่อให้คดีนี้ระงับไป โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ส่วนจำเลยแถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้าน (อันดับ 84) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,83 ลงโทษจำคุก 4 เดือน และให้จำเลยคืนหรือ ใช้เงินจำนวน 400,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้าม ไม่รับฎีกา (อันดับ 79) จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 81) ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมส่งศาลฎีกาเพื่อสั่ง (อันดับ 84)
คำสั่ง คดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว และยังไม่ถึงที่สุดผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์จำเลยเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลย ข้อ 2.1 ที่ว่านางสาววันเพ็ญ คูประเสริฐวงศ์ เป็นนายจ้างของโจทก์ตรงตามความหมายตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานหรือไม่ และอุทธรณ์ข้อ 2.2 ที่ว่าการกระทำของนางสาววันเพ็ญ คูประเสริฐวงศ์ ที่ปรากฏในสำนวนนั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นตัวแทน หรือตัวแทนเชิดของจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ศาลแรงงานกลางส่งสำเนาคำร้องโดยวิธีปิดประกาศหน้าศาล (อันดับ 47) ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้าจำนวน 16,400 บาท ค่าชดเชย 98,400 บาท และเงินสะสม 23,582.40 บาท แก่โจทก์ ยกฟ้องแย้งจำเลย จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 38) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 39)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่านางสาว วันเพ็ญ คูประเสริฐวงศ์ เป็นนายจ้างของโจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานหรือไม่และการกระทำของนางสาววันเพ็ญเป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นตัวแทนหรือตัวแทนเชิดของจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยและดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์จำเลยเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลย ข้อ 2.1 ที่ว่านางสาววันเพ็ญ คูประเสริฐวงศ์ เป็นนายจ้างของโจทก์ตรงตามความหมายตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานหรือไม่ และอุทธรณ์ข้อ 2.2 ที่ว่าการกระทำของนางสาววันเพ็ญ คูประเสริฐวงศ์ ที่ปรากฏในสำนวนนั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นตัวแทน หรือตัวแทนเชิดของจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ศาลแรงงานกลางส่งสำเนาคำร้องโดยวิธีปิดประกาศหน้าศาล (อันดับ 47) ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้าจำนวน 16,400 บาท ค่าชดเชย 98,400 บาท และเงินสะสม 23,582.40 บาท แก่โจทก์ ยกฟ้องแย้งจำเลย จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 38) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 39)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่านางสาว วันเพ็ญ คูประเสริฐวงศ์ เป็นนายจ้างของโจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานหรือไม่และการกระทำของนางสาววันเพ็ญเป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นตัวแทนหรือตัวแทนเชิดของจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยและดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลล่างต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคแรก จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า การที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริง เป็นยุติว่า จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้แก่โจทก์จริงและได้วินิจฉัยว่า "เช็คมิใช่หนังสือรับสภาพหนี้หรือ เป็นการให้ประกันการชำระหนี้ในมูลหนี้เดิม"โดยมิได้ วินิจฉัยในประเด็นข้อกฎหมายต่อไปว่า "การกระทำของจำเลยที่ 2ซึ่งนำเช็คมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์นั้น เป็นการแสดงเจตนาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/24 หรือไม่"ซึ่งประเด็นนี้โจทก์ไม่สามารถยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ เนื่องจาก ได้เกิดขึ้นภายหลังศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษาแล้วโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน1,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง(5 กรกฎาคม 2536) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์คำขอเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 นอกจากนี้ให้ยก ส่วนจำเลยที่ 1ให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2ชำระเงินแก่โจทก์ 1,900 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่ง นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 72) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 75)
คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่เท่ากับรับคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ที่โต้เถียงว่าจะต้องนำอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30มาใช้บังคับในกรณีหรือไม่นั่นเอง แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่าเป็นกรณีโจทก์ซึ่งเป็นพ่อค้าหรือผู้ประกอบการค้าฟ้องเรียกค่าบัตรเครดิตที่จำเลยทั้งสองซื้อจากโจทก์ไปอันเป็นการฟ้องเรียกเอาค่าทรัพย์ที่ส่งมอบ จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 197/34(1)คดีโจทก์จึงขาดอายุความ การที่โจทก์กลับฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ด้วยเช็คภายหลังหนี้ขาดอายุความแล้ว เป็นการที่จำเลยทั้งสองสละประโยชน์แห่งอายุความ ไม่มีสิทธิยกอายุความต่อสู้โจทก์ได้อีกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/24 ดังนี้จึงเป็นการยกข้ออ้างขึ้นใหม่ มิใช่ข้ออ้างที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 2 และโจทก์สามารถที่จะยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นว่ากล่าวได้ในชั้นอุทธรณ์แล้ว หาใช่เพราะ พฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ตามที่โจทก์อ้างไม่ ฉะนั้นฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลล่างต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคแรก จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า การที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริง เป็นยุติว่า จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้แก่โจทก์จริงและได้วินิจฉัยว่า "เช็คมิใช่หนังสือรับสภาพหนี้หรือ เป็นการให้ประกันการชำระหนี้ในมูลหนี้เดิม"โดยมิได้ วินิจฉัยในประเด็นข้อกฎหมายต่อไปว่า "การกระทำของจำเลยที่ 2ซึ่งนำเช็คมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์นั้น เป็นการแสดงเจตนาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/24 หรือไม่"ซึ่งประเด็นนี้โจทก์ไม่สามารถยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ เนื่องจาก ได้เกิดขึ้นภายหลังศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษาแล้วโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน1,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง(5 กรกฎาคม 2536) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์คำขอเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 นอกจากนี้ให้ยก ส่วนจำเลยที่ 1ให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2ชำระเงินแก่โจทก์ 1,900 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่ง นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 72) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 75)
คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่เท่ากับรับคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ที่โต้เถียงว่าจะต้องนำอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30มาใช้บังคับในกรณีหรือไม่นั่นเอง แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่าเป็นกรณีโจทก์ซึ่งเป็นพ่อค้าหรือผู้ประกอบการค้าฟ้องเรียกค่าบัตรเครดิตที่จำเลยทั้งสองซื้อจากโจทก์ไปอันเป็นการฟ้องเรียกเอาค่าทรัพย์ที่ส่งมอบ จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 197/34(1)คดีโจทก์จึงขาดอายุความ การที่โจทก์กลับฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ด้วยเช็คภายหลังหนี้ขาดอายุความแล้ว เป็นการที่จำเลยทั้งสองสละประโยชน์แห่งอายุความ ไม่มีสิทธิยกอายุความต่อสู้โจทก์ได้อีกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/24 ดังนี้จึงเป็นการยกข้ออ้างขึ้นใหม่ มิใช่ข้ออ้างที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 2 และโจทก์สามารถที่จะยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นว่ากล่าวได้ในชั้นอุทธรณ์แล้ว หาใช่เพราะ พฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ตามที่โจทก์อ้างไม่ ฉะนั้นฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำขอท้ายอุทธรณ์ของโจทก์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษา ของศาลชั้นต้น เป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 54 ที่บัญญัติให้อุทธรณ์ ข้อกฎหมายไปยังศาลฎีกา อุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ทั้งสองเห็นว่า โจทก์ทั้งสองมีความประสงค์ที่จะ ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา มิได้มีความประสงค์ที่จะยื่นอุทธรณ์ แต่อย่างใด ส่วนในคำขอท้ายอุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลแรงงานกลางนั้นก็เพราะโจทก์ พิมพ์ผิดพลาดไป สมควรที่จะให้โจทก์แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยนี้ได้ การที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง ด้วยเหตุดังกล่าวโดยมิได้พิจารณาถึงเนื้อความในอุทธรณ์ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประกอบกับอุทธรณ์ของโจทก์เป็นปัญหา ข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนโปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง และมีคำสั่ง ให้โจทก์แก้ไขอุทธรณ์ในส่วนที่พิมพ์ผิดพลาด หรือให้โจทก์ แก้ไขอุทธรณ์แล้วนำมายื่นใหม่ โปรดอนุญาต หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 51) โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 506,921 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน 450,600 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์ทั้งสองแล้วเสร็จ ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 44) โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว จึงไม่มีอุทธรณ์ที่โจทก์จะขอแก้ไขอีก ยกคำร้อง (อันดับ 46) โจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 47)
คำสั่ง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ คำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง เป็นการอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ที่ให้อุทธรณ์ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแรงงานได้เฉพาะในข้อกฎหมาย ไปยังศาลฎีกา สมควรให้คืนอุทธรณ์ไปเพื่อทำมายื่นใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสาม ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 จึงให้ยกคำสั่ง ของศาลแรงงานกลางที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง หากโจทก์ทั้งสองยังประสงค์จะอุทธรณ์คำพิพากษาของ ศาลแรงงานกลางต่อศาลฎีกาให้โจทก์ทั้งสองทำอุทธรณ์ มายื่นใหม่ภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันฟังคำสั่งศาลฎีกานี้
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำขอท้ายอุทธรณ์ของโจทก์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษา ของศาลชั้นต้น เป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 54 ที่บัญญัติให้อุทธรณ์ ข้อกฎหมายไปยังศาลฎีกา อุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ทั้งสองเห็นว่า โจทก์ทั้งสองมีความประสงค์ที่จะ ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา มิได้มีความประสงค์ที่จะยื่นอุทธรณ์ แต่อย่างใด ส่วนในคำขอท้ายอุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลแรงงานกลางนั้นก็เพราะโจทก์ พิมพ์ผิดพลาดไป สมควรที่จะให้โจทก์แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยนี้ได้ การที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง ด้วยเหตุดังกล่าวโดยมิได้พิจารณาถึงเนื้อความในอุทธรณ์ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประกอบกับอุทธรณ์ของโจทก์เป็นปัญหา ข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนโปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง และมีคำสั่ง ให้โจทก์แก้ไขอุทธรณ์ในส่วนที่พิมพ์ผิดพลาด หรือให้โจทก์ แก้ไขอุทธรณ์แล้วนำมายื่นใหม่ โปรดอนุญาต หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 51) โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 506,921 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน 450,600 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์ทั้งสองแล้วเสร็จ ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 44) โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว จึงไม่มีอุทธรณ์ที่โจทก์จะขอแก้ไขอีก ยกคำร้อง (อันดับ 46) โจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 47)
คำสั่ง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ คำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง เป็นการอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ที่ให้อุทธรณ์ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแรงงานได้เฉพาะในข้อกฎหมาย ไปยังศาลฎีกา สมควรให้คืนอุทธรณ์ไปเพื่อทำมายื่นใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสาม ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 จึงให้ยกคำสั่ง ของศาลแรงงานกลางที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง หากโจทก์ทั้งสองยังประสงค์จะอุทธรณ์คำพิพากษาของ ศาลแรงงานกลางต่อศาลฎีกาให้โจทก์ทั้งสองทำอุทธรณ์ มายื่นใหม่ภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันฟังคำสั่งศาลฎีกานี้
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218,219 ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เห็นว่าฎีกาที่ว่าศาลอุทธรณ์รับฟังพยานโจทก์แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 โดยไม่ได้รับฟังพยานหลักฐานทั้งปวงในสำนวน และไม่ได้นำข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบ ทั้งหมดมาเป็นหลักวินิจฉัย ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 165,167) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43,70,148,157ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา อยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 8 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ 2เป็นเงิน 3,000 บาท ด้วย ทางนำสืบของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ2,000 บาท ส่วนโทษจำคุกให้รอการลงโทษจำเลยที่ 2 ไว้ มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 161) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 164)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว แม้การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ เป็นการแก้ไขมากก็ตามแต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 2 อีกสถานหนึ่ง และรอการลงโทษจำคุกนั้น มิใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 2 คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์หยิบยกพยานหลักฐานโจทก์เพียงบางอย่างมาวินิจฉัย รับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 โดยมิได้หยิบยกพยานหลักฐานทั้งปวง ในสำนวนมาวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบ เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ ซึ่งเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218,219 ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เห็นว่าฎีกาที่ว่าศาลอุทธรณ์รับฟังพยานโจทก์แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 โดยไม่ได้รับฟังพยานหลักฐานทั้งปวงในสำนวน และไม่ได้นำข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบ ทั้งหมดมาเป็นหลักวินิจฉัย ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 165,167) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43,70,148,157ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา อยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 8 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ 2เป็นเงิน 3,000 บาท ด้วย ทางนำสืบของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ2,000 บาท ส่วนโทษจำคุกให้รอการลงโทษจำเลยที่ 2 ไว้ มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 161) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 164)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว แม้การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ เป็นการแก้ไขมากก็ตามแต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 2 อีกสถานหนึ่ง และรอการลงโทษจำคุกนั้น มิใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 2 คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์หยิบยกพยานหลักฐานโจทก์เพียงบางอย่างมาวินิจฉัย รับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 โดยมิได้หยิบยกพยานหลักฐานทั้งปวง ในสำนวนมาวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบ เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ ซึ่งเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นการแก้ไขมาก จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ และฎีกาในเรื่องรอการลงโทษเป็นปัญหาสำคัญอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7,48,73,74,74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 มาตรา 7,19,28 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 9 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2525 มาตรา 4 จำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยรับโทษจำคุกมาก่อน และมีเหตุอันควรปราณี ให้จำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษ ไว้ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ริบของกลาง จ่ายสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48 วรรคแรก,73 วรรคสอง(2) ไม่รอการลงโทษ ไม่ปรับ ไม่จ่ายสินบนนำจับนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 24) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 31)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลย มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษไม่ปรับ ไม่จ่ายสินบนนำจับเป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 219 จึงให้รับฎีกาของจำเลย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นการแก้ไขมาก จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ และฎีกาในเรื่องรอการลงโทษเป็นปัญหาสำคัญอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7,48,73,74,74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 มาตรา 7,19,28 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 9 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2525 มาตรา 4 จำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยรับโทษจำคุกมาก่อน และมีเหตุอันควรปราณี ให้จำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษ ไว้ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ริบของกลาง จ่ายสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48 วรรคแรก,73 วรรคสอง(2) ไม่รอการลงโทษ ไม่ปรับ ไม่จ่ายสินบนนำจับนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 24) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 31)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลย มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษไม่ปรับ ไม่จ่ายสินบนนำจับเป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 219 จึงให้รับฎีกาของจำเลย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่รอการลงโทษจำคุกจำเลยเป็นไม่รอการลงโทษ แม้ไม่ได้แก้ไขโทษจำคุกที่ศาลชั้นต้นลงแก่จำเลยก็เป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 48, 73, 74, 74 จัตวา จำคุก 2 ปีปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี จ่ายสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษไม่ปรับ ไม่จ่าย สินบนนำจับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุก
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2ที่พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นการแก้ไขมาก จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "พิเคราะห์แล้วคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษไม่ปรับ ไม่จ่ายสินบนนำจับ เป็นการแก้ไขมาก และเพิ่มเติมโทษจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงให้รับฎีกาของจำเลย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่รอการลงโทษจำคุกจำเลยเป็นไม่รอการลงโทษ แม้ไม่ได้แก้ไขโทษจำคุกที่ศาลชั้นต้นลงแก่จำเลยก็เป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 48, 73, 74, 74 จัตวา จำคุก 2 ปีปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี จ่ายสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษไม่ปรับ ไม่จ่าย สินบนนำจับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุก
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2ที่พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นการแก้ไขมาก จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "พิเคราะห์แล้วคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษไม่ปรับ ไม่จ่ายสินบนนำจับ เป็นการแก้ไขมาก และเพิ่มเติมโทษจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงให้รับฎีกาของจำเลย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
หมายเหตุ คำสั่ง คำร้อง นี้ เป็น คำสั่ง ที่ เดิน ตาม แนว วินิจฉัย ใน คำพิพากษา ศาลฎีกา ที่ 729/2533 ( ป ) และ คำสั่ง คำร้อง ศาลฎีกา ที่ 617/2537 ซึ่ง วาง หลัก ไว้ ว่าการ ที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ คำพิพากษา ศาลชั้นต้น ที่ รอการลงโทษ จำคุก จำเลย เป็น ไม่รอการลงโทษ จำคุก เป็น การ แก้ไข มาก และ เพิ่มเติม โทษ จำเลย จึง ไม่ต้องห้าม ฎีกา ใน ปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ด้วย ความ เคารพ ใน คำพิพากษา และ คำสั่ง คำร้อง ศาลฎีกา ดังกล่าว ผู้บันทึก มี ความเห็น ว่า เงื่อนไข ว่า เป็น การ พิพากษาแก้ ไข มาก หรือไม่ และ เป็น การ พิพากษา เพิ่มเติม โทษ จำเลย หรือไม่ น่า จะ ต้อง พิจารณา แยก ออกจาก กัน เพราะ ถ้อยคำ ใน กฎหมาย ก็ เขียน ไว้ ว่า " แต่ ข้อห้าม นี้ มิให้ ใช้ แก่ จำเลย ใน กรณี ที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ ไข มาก และ เพิ่มเติม โทษ จำเลย " ซึ่ง หาก การ พิพากษาแก้ ไข มาก กับ การ พิพากษา เพิ่มเติม โทษ จำเลย เป็น กรณี เดียว กัน แล้ว ก็ ไม่จำเป็น ต้อง เขียน แยก ออกจาก กัน เช่นนั้น อีก การ พิพากษาแก้ ไข มาก ตาม ถ้อยคำ มุ่ง ถึง " คำพิพากษา " ทั้งหมด ไม่ว่า จะ เป็น การ แก้ไข โทษ ที่ ลง หรือ ดุลยพินิจ ใน การ รอการลงโทษ ก็ นับ ได้ว่า เป็น การ แก้ไข คำพิพากษา ทั้งสิ้น แต่ ใน ส่วน การ เพิ่มเติม โทษ จำเลย นั้น ต้อง หมายถึง โทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 ซึ่ง มี 5 ประการ คือ ประการ ชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ ริบทรัพย์สิน ดังนั้น การ เพิ่มเติม โทษ จึง ต้อง หมายถึง เพิ่มเติม โทษ เหล่านั้น เช่น เพิ่มเติม โทษ จำคุก เพิ่มโทษ ปรับ เป็นต้น การ ที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ ดุลยพินิจ ของ ศาลชั้นต้น จาก การ รอการลงโทษ เป็น ไม่รอการลงโทษ โดย ไม่ได้ แก้ โทษ ที่ ศาลชั้นต้น วาง แก่ จำเลย เช่น คดี นี้ ถึง แม้ จะ เป็น การ แก้ไข มาก แต่ ก็ เป็น เพียง การ แก้ไข มาก ที่ เป็น โทษ ต่อ จำเลย เท่านั้น ไม่ได้ เพิ่มเติม โทษ จำเลย แต่อย่างใด เมื่อ คดี นี้ ศาลชั้นต้น ลงโทษ จำคุก จำเลย ไม่เกิน สอง ปี หรือ ปรับ ไม่เกิน สี่ หมื่น บาท และ ศาลอุทธรณ์ ยัง คง ลงโทษ จำเลย ไม่เกิน กำหนด นี้ ผู้บันทึก จึง มี ความเห็น ว่า คดี นี้ ควร จะ ต้องห้าม ฎีกา ใน ปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 อาทิตย์ ออกเวหา
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218,219 ไม่รับฎีกา จำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งมีสาระสำคัญอันควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 31) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4,5,6,10,12(2) ที่แก้ไขแล้วลงโทษจำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 3 เดือนพิจารณารายงานการสืบเสาะแล้วเห็นว่าจำเลยทราบอยู่แล้วว่า การจัดให้มีการเล่นบิลเลียดโดยไม่มีใบอนุญาตเป็นความผิด และจำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 3 เดือน แต่ศาล ได้รอการลงโทษ โดยให้จำเลยรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ ในความผิดฐานเดียวกันนี้ ซึ่งจำเลยเองยังอยู่ในช่วงระยะเวลา การคุมประพฤติตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1752/2536 ของศาลนี้ จำเลยกลับมากระทำความผิดขึ้นอีกโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และการเปิดบริการของจำเลยเป็นการเปิดบริการเกินเวลาที่จะ ขออนุญาตได้ โดยไม่คำนึงผลกระทบต่อสังคมที่เกิดขึ้นเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก ทั้งศาลเคยให้ โอกาสจำเลยไปแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่รายอื่น โทษจำคุกไม่สมควรรอการลงโทษ และปรากฏว่าในคดีอาญาหมายเลข แดงที่ 1752/2536 ศาลนี้ได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน แต่รอการลงโทษไว้ เมื่อความปรากฏแก่ศาลเองดังกล่าว จึงให้ นำโทษจำคุก 3 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับ โทษในคดีนี้ รวมเป็นโทษจำคุก 6 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุก 2 เดือน รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 1 เดือน ไม่บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษในคดีก่อน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 30) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 31)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้จำเลยนั้น เหมาะสมแก่รูปคดีแล้วที่จำเลยฎีกาว่าศาลควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้นเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาล เป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218,219 ไม่รับฎีกา จำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งมีสาระสำคัญอันควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 31) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4,5,6,10,12(2) ที่แก้ไขแล้วลงโทษจำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 3 เดือนพิจารณารายงานการสืบเสาะแล้วเห็นว่าจำเลยทราบอยู่แล้วว่า การจัดให้มีการเล่นบิลเลียดโดยไม่มีใบอนุญาตเป็นความผิด และจำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 3 เดือน แต่ศาล ได้รอการลงโทษ โดยให้จำเลยรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ ในความผิดฐานเดียวกันนี้ ซึ่งจำเลยเองยังอยู่ในช่วงระยะเวลา การคุมประพฤติตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1752/2536 ของศาลนี้ จำเลยกลับมากระทำความผิดขึ้นอีกโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และการเปิดบริการของจำเลยเป็นการเปิดบริการเกินเวลาที่จะ ขออนุญาตได้ โดยไม่คำนึงผลกระทบต่อสังคมที่เกิดขึ้นเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก ทั้งศาลเคยให้ โอกาสจำเลยไปแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่รายอื่น โทษจำคุกไม่สมควรรอการลงโทษ และปรากฏว่าในคดีอาญาหมายเลข แดงที่ 1752/2536 ศาลนี้ได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน แต่รอการลงโทษไว้ เมื่อความปรากฏแก่ศาลเองดังกล่าว จึงให้ นำโทษจำคุก 3 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับ โทษในคดีนี้ รวมเป็นโทษจำคุก 6 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุก 2 เดือน รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 1 เดือน ไม่บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษในคดีก่อน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 30) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 31)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้จำเลยนั้น เหมาะสมแก่รูปคดีแล้วที่จำเลยฎีกาว่าศาลควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้นเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาล เป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริง และผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีไม่ได้รับรองว่ามีเหตุอันควรฎีกาข้อเท็จจริงได้ ประกอบกับคดีนี้มีทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก จึงไม่รับ ฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ได้ครอบครอง ปรปักษ์ที่ดินส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยจนได้กรรมสิทธิ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่ เป็นฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมาย และฎีกาที่ว่า พยานบุคคลจะนำมาหักล้าง พยานเอกสารคือโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 หรือ ล.3 ได้หรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบ เรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้ พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโฉนด เลขที่ 6903 ตำบลดอนตาล อำเภอเมืองสุพรรณบุรีจังหวัดสุพรรณบุรี โดยทางด้านทิศตะวันตกของถนนสาธารณะประโยชน์ ทั้งหมดเป็นของโจทก์ ส่วนของจำเลยอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ของถนนสาธารณะประโยชน์ ถ้าจำเลยไม่ไปดำเนินการก็ให้ถือเอา คำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ส่วนฟ้องแย้ง ของจำเลยให้ยกเสีย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 119) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 121)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังว่า โจทก์และจำเลยต่างครอบครองที่ดินพิพาทเป็นสัดส่วน โดยมีถนนสาธารณะเป็นแนวเขตแบ่งกั้น โจทก์ครอบครองมากกว่า 10 ปี แล้วจึงได้ กรรมสิทธิ์ในส่วนที่ครอบครอง จำเลยฎีกาว่า โจทก์ครอบครอง ไม่ถึง 10 ปีและในโฉนดที่ดินไม่ปรากฏว่ามีทางสาธารณประโยชน์ จึงเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่น่ารับฟัง เห็นว่าฎีกา ของจำเลยเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริง และผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีไม่ได้รับรองว่ามีเหตุอันควรฎีกาข้อเท็จจริงได้ ประกอบกับคดีนี้มีทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก จึงไม่รับ ฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ได้ครอบครอง ปรปักษ์ที่ดินส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยจนได้กรรมสิทธิ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่ เป็นฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมาย และฎีกาที่ว่า พยานบุคคลจะนำมาหักล้าง พยานเอกสารคือโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 หรือ ล.3 ได้หรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบ เรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้ พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโฉนด เลขที่ 6903 ตำบลดอนตาล อำเภอเมืองสุพรรณบุรีจังหวัดสุพรรณบุรี โดยทางด้านทิศตะวันตกของถนนสาธารณะประโยชน์ ทั้งหมดเป็นของโจทก์ ส่วนของจำเลยอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ของถนนสาธารณะประโยชน์ ถ้าจำเลยไม่ไปดำเนินการก็ให้ถือเอา คำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ส่วนฟ้องแย้ง ของจำเลยให้ยกเสีย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 119) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 121)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังว่า โจทก์และจำเลยต่างครอบครองที่ดินพิพาทเป็นสัดส่วน โดยมีถนนสาธารณะเป็นแนวเขตแบ่งกั้น โจทก์ครอบครองมากกว่า 10 ปี แล้วจึงได้ กรรมสิทธิ์ในส่วนที่ครอบครอง จำเลยฎีกาว่า โจทก์ครอบครอง ไม่ถึง 10 ปีและในโฉนดที่ดินไม่ปรากฏว่ามีทางสาธารณประโยชน์ จึงเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่น่ารับฟัง เห็นว่าฎีกา ของจำเลยเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ทุนทรัพย์ที่พิพาท กันในชั้นฎีกา ไม่เกินสองแสนบาทฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้าม ไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า จำเลยฎีกาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ให้กู้ไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 80,250 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 60,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 48) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยไม่ได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 มาวาง ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยาย ศาลชั้นต้นจึงมี คำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณา(อันดับ 51,54,55)
คำสั่ง จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วย มาตรา 247 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าคำร้องส่วนที่เสียเกินมาจำนวน 160 บาท แก่จำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ทุนทรัพย์ที่พิพาท กันในชั้นฎีกา ไม่เกินสองแสนบาทฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้าม ไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า จำเลยฎีกาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ให้กู้ไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 80,250 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 60,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 48) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยไม่ได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 มาวาง ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยาย ศาลชั้นต้นจึงมี คำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณา(อันดับ 51,54,55)
คำสั่ง จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วย มาตรา 247 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าคำร้องส่วนที่เสียเกินมาจำนวน 160 บาท แก่จำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิ ฟ้องคดีนี้เพราะไม่ใช่ผู้ทรงเช็คขณะฟ้องคดีโดยได้รับเงินตามเช็ค และคืนเช็คแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดมัทธุรนนท์ ไปแล้ว และคดีเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 และมาตรา 3 เป็นฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำ ของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 5 เดือน รวมจำคุก 15 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า กระทงแรกและกระทงที่สาม จำคุกกระทงละ 2 เดือน กระทงที่สองจำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 5 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 153) จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 154)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ขณะฟ้องโจทก์ได้คืนเช็คแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดมัทธุรนนท์ และรับเงินตามเช็คไปแล้ว คดีเป็นอันเลิกกัน โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็ค โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายฎีกาจำเลยจึงถือได้ว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยโดยถือว่าฎีกาจำเลยเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิ ฟ้องคดีนี้เพราะไม่ใช่ผู้ทรงเช็คขณะฟ้องคดีโดยได้รับเงินตามเช็ค และคืนเช็คแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดมัทธุรนนท์ ไปแล้ว และคดีเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 และมาตรา 3 เป็นฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำ ของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 5 เดือน รวมจำคุก 15 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า กระทงแรกและกระทงที่สาม จำคุกกระทงละ 2 เดือน กระทงที่สองจำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 5 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 153) จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 154)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ขณะฟ้องโจทก์ได้คืนเช็คแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดมัทธุรนนท์ และรับเงินตามเช็คไปแล้ว คดีเป็นอันเลิกกัน โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็ค โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายฎีกาจำเลยจึงถือได้ว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยโดยถือว่าฎีกาจำเลยเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า แม้ตามฟ้องโจทก์บรรยายว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทอยู่แล้ว และจำเลยมิได้ สู้กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ไม่ต้องห้ามฎีกาแต่ตามฎีกาของโจทก์เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระพอแก่การ วินิจฉัย เพราะไม่ปรากฏว่าศาลรับฟังพยานหลักฐานคลาดเคลื่อน จากท้องสำนวนตรงไหน อย่างไร ไม่รับฎีกา โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน50,000 บาท ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคแรก และไม่รับพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระแก่คดี โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 80) โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 2171 ตำบลเกษมอำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี หรือให้จำเลยนำโฉนดที่ดินฉบับดังกล่าวมาแก้ไขเป็นชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และส่งโฉนดที่ดินที่แก้ไขแล้วคืนโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 78) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 80)
คำสั่ง ปัญหาว่าคดีของโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายให้รับฎีกาของโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า แม้ตามฟ้องโจทก์บรรยายว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทอยู่แล้ว และจำเลยมิได้ สู้กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ไม่ต้องห้ามฎีกาแต่ตามฎีกาของโจทก์เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระพอแก่การ วินิจฉัย เพราะไม่ปรากฏว่าศาลรับฟังพยานหลักฐานคลาดเคลื่อน จากท้องสำนวนตรงไหน อย่างไร ไม่รับฎีกา โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน50,000 บาท ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคแรก และไม่รับพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระแก่คดี โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 80) โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 2171 ตำบลเกษมอำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี หรือให้จำเลยนำโฉนดที่ดินฉบับดังกล่าวมาแก้ไขเป็นชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และส่งโฉนดที่ดินที่แก้ไขแล้วคืนโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 78) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 80)
คำสั่ง ปัญหาว่าคดีของโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายให้รับฎีกาของโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์เนื่องจากฎีกาของโจทก์พิมพ์ตัวเลขผิดพลาด 2 ตัว คือแทนที่จะเป็นเลข 8 ได้พิมพ์ผิดพลาดเป็นเลข 10 ผิดพลาดที่หน้า 9บรรทัดที่ 11 และบรรทัดที่ 13 คำว่า ภารจำยอมเป็นทางเดินกว้าง 10 เมตร โจทก์ขอแก้ไขเป็นภารจำยอมเป็นทางเดินกว้าง8 เมตร ทั้งสองแห่ง ส่วนข้อความอื่นคงเดิม โปรดอนุญาต หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องไว้แล้ว (อันดับ 111) โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันรื้อถอน อาคารที่ปลูกสร้างรุกล้ำทางภารจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 185755 ตำบลวังทองหลางอำเภอบางกะปิจังหวัดกรุงเทพมหานครออกไปจากทางภารจำยอม หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมปฏิบัติตาม ให้โจทก์ดำเนินการรื้อถอนโดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือ แทนกันเสียค่าใช้จ่าย ฯลฯ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา (อันดับ 112) ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 111)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ข้อที่โจทก์ขอแก้ไขฎีกานั้นเกี่ยวกับ ฟ้องเดิม และเป็นการขอแก้ตัวเลขความกว้างของทางภารจำยอม ที่พิมพ์ผิดพลาดจาก 10 เมตร เป็น 8 เมตร ให้ตรงตามคำฟ้องเดิม จึงอนุญาต
ความว่า โจทก์ยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์เนื่องจากฎีกาของโจทก์พิมพ์ตัวเลขผิดพลาด 2 ตัว คือแทนที่จะเป็นเลข 8 ได้พิมพ์ผิดพลาดเป็นเลข 10 ผิดพลาดที่หน้า 9บรรทัดที่ 11 และบรรทัดที่ 13 คำว่า ภารจำยอมเป็นทางเดินกว้าง 10 เมตร โจทก์ขอแก้ไขเป็นภารจำยอมเป็นทางเดินกว้าง8 เมตร ทั้งสองแห่ง ส่วนข้อความอื่นคงเดิม โปรดอนุญาต หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องไว้แล้ว (อันดับ 111) โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันรื้อถอน อาคารที่ปลูกสร้างรุกล้ำทางภารจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 185755 ตำบลวังทองหลางอำเภอบางกะปิจังหวัดกรุงเทพมหานครออกไปจากทางภารจำยอม หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมปฏิบัติตาม ให้โจทก์ดำเนินการรื้อถอนโดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือ แทนกันเสียค่าใช้จ่าย ฯลฯ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา (อันดับ 112) ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 111)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ข้อที่โจทก์ขอแก้ไขฎีกานั้นเกี่ยวกับ ฟ้องเดิม และเป็นการขอแก้ตัวเลขความกว้างของทางภารจำยอม ที่พิมพ์ผิดพลาดจาก 10 เมตร เป็น 8 เมตร ให้ตรงตามคำฟ้องเดิม จึงอนุญาต
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การที่จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับฎีกานั้น จำเลยต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 จึงมีคำสั่ง ไม่รับคำร้อง คืนค่าคำร้องให้จำเลย จำเลยเห็นว่า กรณีตามคำร้องของ จำเลยฉบับลงวันที่ 17 และ 19 เมษายน 2538 เป็นคำร้องเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมได้ ไม่ใช่เรื่องที่จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 มาบังคับได้ และเมื่อจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับฎีกา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252บัญญัติให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาไปยังศาลฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์เสียเองจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ขอให้ศาลโปรดมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ และมี คำสั่งให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ไปยังศาลฎีกา เพื่อศาลฎีกาจะได้พิจารณาและมีคำสั่งให้ไต่สวน คำร้องของ จำเลยและรับฎีกาของจำเลยต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทของโจทก์ ห้ามมิให้เกี่ยวข้องอีก และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่พิพาท ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องลงวันที่ 20 มีนาคม 2538ขอขยายเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาออกไปอีก 30 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยนำเงินมาวางศาลภายในวันที่ 30 มีนาคม 2538 มิฉะนั้นจะไม่รับฎีกา ต่อมาจำเลยไม่นำเงิน มาวางภายในกำหนด วันที่ 4 เมษายน 2538 ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ว่า จำเลยไม่ชำระค่าธรรมเนียมภายในเวลาที่ศาลกำหนด จึงไม่รับฎีกา (อันดับ 169,167) จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 17 เมษายน 2538 ว่าเข้าใจผิดว่าศาลอนุญาตให้ขยายเวลาวางเงินได้อีก 30 วัน ตามคำร้องและเพิ่งทราบว่าศาลอนุญาตให้วางเงินภายในวันที่ 30 มีนาคม 2538 จึงขอวางเงินและขอให้รับฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง วันที่ 19 เมษายน 2538 จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา และคำสั่งคำร้องฉบับลงวันที่ 17 เมษายน 2538 ศาลชั้นต้น มีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 172) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 173)
คำสั่ง คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยยื่นฎีกา ศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับฎีกาด้วยเหตุจำเลยไม่วางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาภายในกำหนด แล้วจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 17 เมษายน 2538 ขอวางเงินค่าธรรมเนียมศาลและขอให้รับฎีกา ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้วางเงิน ยกคำร้อง จำเลยจึงอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นดังกล่าวตามคำร้องอุทธรณ์คำสั่งลงวันที่ 19 เมษายน 2538 ต่อศาลฎีกาเป็น 2 ข้อคือ อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ที่ไม่รับฎีกา กับอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ วางเงินค่าธรรมเนียมศาล ดังนั้น สำหรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาล ที่ไม่รับฎีกานั้น จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันมาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับคำร้องดังกล่าวจึงชอบแล้ว ส่วนอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ที่ไม่อนุญาตให้วางเงินค่าธรรมเนียมศาลนั้น ต้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ ตามมาตรา 223 แต่เมื่อคดี ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วก็เห็นสมควรวินิจฉัย ไปเสียเลย ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลา วางเงินค่าธรรมเนียมศาลไป 10 วัน ครบกำหนดวันที่ 30 มีนาคม 2538 แล้ว จำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางโดยจำเลยยื่นคำร้องขอวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในภายหลังจึงเป็นคำร้องขอขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลอีกนั่นเอง ซึ่งการขยายระยะเวลาต้องยื่นคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 23 ปรากฏว่า จำเลยยื่นคำขอวางเงินค่าธรรมเนียมศาล เมื่อล่วงเลยวันที่ 30 มีนาคม 2538 แล้ว และเหตุที่จำเลยอ้างว่า ทนายจำเลยแจ้งว่าได้ขอขยายระยะเวลาให้ 30 วันแล้ว ให้นำเงินมามอบให้ทนายความภายใน 15 วันนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาในวันที่ยื่นคำร้องนั้นเอง ต้องถือว่า ทนายจำเลยทราบคำสั่งนั้นแล้ว เมื่อทนายจำเลยทราบคำสั่ง เท่ากับตัวจำเลยทราบคำสั่งนั้นด้วย และข้ออ้างที่ว่าทนายจำเลยบอกให้นำเงินมาวางศาลภายในวันที่ 4 เมษายน 2538 ซึ่งล่วงเลยวันที่ 30 มีนาคม 2538 แล้ว จึงขัดต่อเหตุผล และไม่เป็นเหตุสุดวิสัย ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้วางเงิน ค่าธรรมเนียมศาลนั้นชอบแล้ว ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การที่จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับฎีกานั้น จำเลยต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 จึงมีคำสั่ง ไม่รับคำร้อง คืนค่าคำร้องให้จำเลย จำเลยเห็นว่า กรณีตามคำร้องของ จำเลยฉบับลงวันที่ 17 และ 19 เมษายน 2538 เป็นคำร้องเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมได้ ไม่ใช่เรื่องที่จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 มาบังคับได้ และเมื่อจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับฎีกา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252บัญญัติให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาไปยังศาลฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์เสียเองจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ขอให้ศาลโปรดมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ และมี คำสั่งให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ไปยังศาลฎีกา เพื่อศาลฎีกาจะได้พิจารณาและมีคำสั่งให้ไต่สวน คำร้องของ จำเลยและรับฎีกาของจำเลยต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทของโจทก์ ห้ามมิให้เกี่ยวข้องอีก และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่พิพาท ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องลงวันที่ 20 มีนาคม 2538ขอขยายเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาออกไปอีก 30 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยนำเงินมาวางศาลภายในวันที่ 30 มีนาคม 2538 มิฉะนั้นจะไม่รับฎีกา ต่อมาจำเลยไม่นำเงิน มาวางภายในกำหนด วันที่ 4 เมษายน 2538 ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ว่า จำเลยไม่ชำระค่าธรรมเนียมภายในเวลาที่ศาลกำหนด จึงไม่รับฎีกา (อันดับ 169,167) จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 17 เมษายน 2538 ว่าเข้าใจผิดว่าศาลอนุญาตให้ขยายเวลาวางเงินได้อีก 30 วัน ตามคำร้องและเพิ่งทราบว่าศาลอนุญาตให้วางเงินภายในวันที่ 30 มีนาคม 2538 จึงขอวางเงินและขอให้รับฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง วันที่ 19 เมษายน 2538 จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา และคำสั่งคำร้องฉบับลงวันที่ 17 เมษายน 2538 ศาลชั้นต้น มีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 172) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 173)
คำสั่ง คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยยื่นฎีกา ศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับฎีกาด้วยเหตุจำเลยไม่วางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาภายในกำหนด แล้วจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 17 เมษายน 2538 ขอวางเงินค่าธรรมเนียมศาลและขอให้รับฎีกา ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้วางเงิน ยกคำร้อง จำเลยจึงอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นดังกล่าวตามคำร้องอุทธรณ์คำสั่งลงวันที่ 19 เมษายน 2538 ต่อศาลฎีกาเป็น 2 ข้อคือ อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ที่ไม่รับฎีกา กับอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ วางเงินค่าธรรมเนียมศาล ดังนั้น สำหรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาล ที่ไม่รับฎีกานั้น จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันมาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับคำร้องดังกล่าวจึงชอบแล้ว ส่วนอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ที่ไม่อนุญาตให้วางเงินค่าธรรมเนียมศาลนั้น ต้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ ตามมาตรา 223 แต่เมื่อคดี ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วก็เห็นสมควรวินิจฉัย ไปเสียเลย ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลา วางเงินค่าธรรมเนียมศาลไป 10 วัน ครบกำหนดวันที่ 30 มีนาคม 2538 แล้ว จำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางโดยจำเลยยื่นคำร้องขอวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในภายหลังจึงเป็นคำร้องขอขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลอีกนั่นเอง ซึ่งการขยายระยะเวลาต้องยื่นคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 23 ปรากฏว่า จำเลยยื่นคำขอวางเงินค่าธรรมเนียมศาล เมื่อล่วงเลยวันที่ 30 มีนาคม 2538 แล้ว และเหตุที่จำเลยอ้างว่า ทนายจำเลยแจ้งว่าได้ขอขยายระยะเวลาให้ 30 วันแล้ว ให้นำเงินมามอบให้ทนายความภายใน 15 วันนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาในวันที่ยื่นคำร้องนั้นเอง ต้องถือว่า ทนายจำเลยทราบคำสั่งนั้นแล้ว เมื่อทนายจำเลยทราบคำสั่ง เท่ากับตัวจำเลยทราบคำสั่งนั้นด้วย และข้ออ้างที่ว่าทนายจำเลยบอกให้นำเงินมาวางศาลภายในวันที่ 4 เมษายน 2538 ซึ่งล่วงเลยวันที่ 30 มีนาคม 2538 แล้ว จึงขัดต่อเหตุผล และไม่เป็นเหตุสุดวิสัย ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้วางเงิน ค่าธรรมเนียมศาลนั้นชอบแล้ว ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้น สั่งว่าคดีนี้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับ จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาที่ว่า สัญญากู้ยืมเงิน มีข้อความว่า จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 186,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โจทก์นำสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อความในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ จำนวน 150,000 บาท ศาลรับฟังพยานดังกล่าวไม่ชอบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 นั้น เป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 10 มีนาคม 2535)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 111) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 114)
คำสั่ง จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลจะฟังคำพยานบุคคลว่าเงินกู้ จำนวน 186,000 บาท แยกเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน รวมอยู่เป็นการไม่ชอบด้วยการรับฟังพยานหลักฐานและฎีกาต่อไปว่า จากคำร้องและคำเบิกความของโจทก์ที่ว่า มีเงินดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนอยู่ในต้นเงินนั้น เป็นการรับฟัง พยานหลักฐานที่ขัดกับเอกสารและเหตุผลในการคำนวณดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 2 ต่อปี นั้น ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกา โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้น สั่งว่าคดีนี้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับ จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาที่ว่า สัญญากู้ยืมเงิน มีข้อความว่า จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 186,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โจทก์นำสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อความในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ จำนวน 150,000 บาท ศาลรับฟังพยานดังกล่าวไม่ชอบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 นั้น เป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 10 มีนาคม 2535)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 111) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 114)
คำสั่ง จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลจะฟังคำพยานบุคคลว่าเงินกู้ จำนวน 186,000 บาท แยกเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน รวมอยู่เป็นการไม่ชอบด้วยการรับฟังพยานหลักฐานและฎีกาต่อไปว่า จากคำร้องและคำเบิกความของโจทก์ที่ว่า มีเงินดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนอยู่ในต้นเงินนั้น เป็นการรับฟัง พยานหลักฐานที่ขัดกับเอกสารและเหตุผลในการคำนวณดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 2 ต่อปี นั้น ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกา โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาล ชั้นฎีกาให้โจทก์ทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ในส่วนของคดีอาญาซึ่งจำเลยที่ 1 มิได้ถูกฟ้อง แต่ศาลพิพากษาว่าเป็นความประมาทของจำเลยที่ 1 ด้วย จะใช้ฟังในคดีส่วนแพ่งได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย หมายเหตุ จำเลยทั้งสองยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 145,002.50 บาท พร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 98,800 บาท นับแต่ วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 192) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 194)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในคดีส่วนอาญา ศาลพิพากษาว่า นายแสงคล้าย คนขับรถของโจทก์ประมาทเลินเล่อแต่ฝ่ายเดียวโดยจำเลยที่ 1 มิได้ถูกฟ้องในคดีส่วนอาญาด้วย การที่ศาล ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนประมาทด้วยนั้น เป็นเหตุผลที่ศาลยกขึ้นอ้างเพื่อใช้ดุลพินิจในการลงโทษ นายแสงคล้าย ดังนั้นข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 ในคดีส่วนแพ่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นายแสงคล้ายคนขับรถของโจทก์เป็นฝ่ายประมาทจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนประมาทด้วยตามคดีอาญาที่กล่าวข้างต้น จึงเป็นฎีกา ข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาล ชั้นฎีกาให้โจทก์ทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ในส่วนของคดีอาญาซึ่งจำเลยที่ 1 มิได้ถูกฟ้อง แต่ศาลพิพากษาว่าเป็นความประมาทของจำเลยที่ 1 ด้วย จะใช้ฟังในคดีส่วนแพ่งได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย หมายเหตุ จำเลยทั้งสองยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 145,002.50 บาท พร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 98,800 บาท นับแต่ วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 192) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 194)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในคดีส่วนอาญา ศาลพิพากษาว่า นายแสงคล้าย คนขับรถของโจทก์ประมาทเลินเล่อแต่ฝ่ายเดียวโดยจำเลยที่ 1 มิได้ถูกฟ้องในคดีส่วนอาญาด้วย การที่ศาล ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนประมาทด้วยนั้น เป็นเหตุผลที่ศาลยกขึ้นอ้างเพื่อใช้ดุลพินิจในการลงโทษ นายแสงคล้าย ดังนั้นข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 ในคดีส่วนแพ่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นายแสงคล้ายคนขับรถของโจทก์เป็นฝ่ายประมาทจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนประมาทด้วยตามคดีอาญาที่กล่าวข้างต้น จึงเป็นฎีกา ข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้เป็นคดี มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานเอกสารหมาย จ.1 และหมาย จ.2 ของศาลอุทธรณ์ว่าเป็นการผิดระเบียบและ ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์ไม่เสียค่าอ้างนั้น ศาลอุทธรณ์ ก็ได้สั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้โจทก์เสียค่าอ้างให้ถูกต้อง ซึ่งเมื่อโจทก์ทราบ โจทก์ก็ได้นำค่าอ้างมาชำระครบถ้วนแล้ว จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดี อันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 โดยที่โจทก์ไม่เสียค่าอ้างพยานเอกสารตามกฎหมาย เป็นการรับฟังพยานเอกสารที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์ชำระค่าอ้างพยานเอกสารดังกล่าว ภายหลังศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว จึงไม่อาจทำให้การดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลับมาชอบ ด้วยกฎหมายได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยและฎีกาที่ว่า ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์และจำเลย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการบอกเลิกสัญญาเช่าของโจทก์ไม่ชอบ ด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้อง คำให้การ และสอบข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ งดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 60,000 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2536เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจะต้องไม่เกิน 683.25 บาท ตามที่โจทก์ขอ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 54) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 55) อนึ่ง ก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2537 ว่าโจทก์อ้างเอกสารเป็นพยาน 4 ฉบับ แต่ไม่ได้เสียค่าอ้างเอกสาร ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แต่ตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าโจทก์ มิได้จงใจไม่ปฏิบัติ ดังนั้น ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ชำระค่าอ้างเอกสารให้ครบถ้วน หากโจทก์ไม่ปฏิบัติให้ส่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมสำนวนคืนศาลอุทธรณ์เพื่อดำเนินการต่อไปภายหลังศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แล้ว โจทก์ยื่นคำแถลงฉบับลงวันที่ 16 มีนาคม 2538ขอเสียค่าอ้างเอกสารดังกล่าว (อันดับ 40,52)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาข้อแรกว่า โจทก์ชำระค่าอ้างเอกสาร ภายหลังศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ รับฟังพยานเอกสารไม่ชอบ เป็นการโต้เถียงว่า การที่โจทก์ เสียค่าอ้างพยานเอกสารในลักษณะดังกล่าวศาลอุทธรณ์รับฟัง พยานเอกสารไม่ได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย จำเลยฎีกาได้ จึงให้รับ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานไม่ชอบนั้นปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2537และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2537 คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่ได้โต้แย้งจึงไม่มี สิทธิและฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226และที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาไม่ชอบเพราะบอกเลิก ก่อนครบกำหนด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้มีทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสอบแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาในส่วนนี้ชอบแล้ว ให้ยกคำร้องในส่วนนี้
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้เป็นคดี มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานเอกสารหมาย จ.1 และหมาย จ.2 ของศาลอุทธรณ์ว่าเป็นการผิดระเบียบและ ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์ไม่เสียค่าอ้างนั้น ศาลอุทธรณ์ ก็ได้สั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้โจทก์เสียค่าอ้างให้ถูกต้อง ซึ่งเมื่อโจทก์ทราบ โจทก์ก็ได้นำค่าอ้างมาชำระครบถ้วนแล้ว จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดี อันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 โดยที่โจทก์ไม่เสียค่าอ้างพยานเอกสารตามกฎหมาย เป็นการรับฟังพยานเอกสารที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์ชำระค่าอ้างพยานเอกสารดังกล่าว ภายหลังศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว จึงไม่อาจทำให้การดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลับมาชอบ ด้วยกฎหมายได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยและฎีกาที่ว่า ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์และจำเลย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการบอกเลิกสัญญาเช่าของโจทก์ไม่ชอบ ด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้อง คำให้การ และสอบข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ งดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 60,000 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2536เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจะต้องไม่เกิน 683.25 บาท ตามที่โจทก์ขอ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 54) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 55) อนึ่ง ก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2537 ว่าโจทก์อ้างเอกสารเป็นพยาน 4 ฉบับ แต่ไม่ได้เสียค่าอ้างเอกสาร ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แต่ตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าโจทก์ มิได้จงใจไม่ปฏิบัติ ดังนั้น ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ชำระค่าอ้างเอกสารให้ครบถ้วน หากโจทก์ไม่ปฏิบัติให้ส่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมสำนวนคืนศาลอุทธรณ์เพื่อดำเนินการต่อไปภายหลังศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แล้ว โจทก์ยื่นคำแถลงฉบับลงวันที่ 16 มีนาคม 2538ขอเสียค่าอ้างเอกสารดังกล่าว (อันดับ 40,52)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาข้อแรกว่า โจทก์ชำระค่าอ้างเอกสาร ภายหลังศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ รับฟังพยานเอกสารไม่ชอบ เป็นการโต้เถียงว่า การที่โจทก์ เสียค่าอ้างพยานเอกสารในลักษณะดังกล่าวศาลอุทธรณ์รับฟัง พยานเอกสารไม่ได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย จำเลยฎีกาได้ จึงให้รับ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานไม่ชอบนั้นปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2537และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2537 คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่ได้โต้แย้งจึงไม่มี สิทธิและฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226และที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาไม่ชอบเพราะบอกเลิก ก่อนครบกำหนด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้มีทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสอบแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาในส่วนนี้ชอบแล้ว ให้ยกคำร้องในส่วนนี้
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยเป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงเป็นการฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานการซื้อขายมาแสดงต่อศาลและไม่มีหลักฐานการส่งมอบทรัพย์ที่ซื้อขายจึงไม่สามารถบังคับชำระหนี้กับจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 151,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 13,291 บาท(ฟ้องวันที่ 26 พฤษภาคม 2534) ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 98) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับฎีกาเกินกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234(อันดับ 101)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้จำเลยยื่นฎีกาวันที่ 21 มีนาคม 2538 โดยท้ายฎีกามีข้อความว่ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้วและศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ของจำเลยวันเดียวกับที่จำเลยฎีกา ถือว่าจำเลยทราบคำสั่ง ของศาลชั้นต้นวันที่ 21 มีนาคม 2538 จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์ คำสั่งเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2538 เกินกำหนด 15 วัน และจำเลย มิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยเป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงเป็นการฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานการซื้อขายมาแสดงต่อศาลและไม่มีหลักฐานการส่งมอบทรัพย์ที่ซื้อขายจึงไม่สามารถบังคับชำระหนี้กับจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 151,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 13,291 บาท(ฟ้องวันที่ 26 พฤษภาคม 2534) ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 98) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับฎีกาเกินกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234(อันดับ 101)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้จำเลยยื่นฎีกาวันที่ 21 มีนาคม 2538 โดยท้ายฎีกามีข้อความว่ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้วและศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ของจำเลยวันเดียวกับที่จำเลยฎีกา ถือว่าจำเลยทราบคำสั่ง ของศาลชั้นต้นวันที่ 21 มีนาคม 2538 จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์ คำสั่งเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2538 เกินกำหนด 15 วัน และจำเลย มิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|