ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่ารับอุทธรณ์โจทก์ในข้อที่ว่าเช็คที่คู่ความแถลงรับกันในคดีนี้ เป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเอง โจทก์มิได้ทุจริต ซึ่งเป็นปัญหา ข้อกฎหมาย ส่วนที่อุทธรณ์คำสั่งงดสืบพยานเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ไม่รับอุทธรณ์ในส่วนนี้ โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า การที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่ง ให้งดสืบพยานทั้งที่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ยังไม่ยุติ เป็นคำสั่ง ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ ของโจทก์ด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 48) โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยเท่ากับเงินเดือน ในอัตราสุดท้าย 6 เดือน เป็นเงิน 725,760 บาท สินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 1 เดือน เป็นเงิน 120,960 บาท ค่าเสียหายต่อชื่อเสียงและเกียรติคุณของโจทก์ เป็นเงิน 1,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,846,720 บาท แก่โจทก์ ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์บางข้อดังกล่าว (อันดับ 41) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 46)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ให้งดสืบพยาน เป็นดุลพินิจอันเป็นข้อเท็จจริง ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่ง ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่ารับอุทธรณ์โจทก์ในข้อที่ว่าเช็คที่คู่ความแถลงรับกันในคดีนี้ เป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเอง โจทก์มิได้ทุจริต ซึ่งเป็นปัญหา ข้อกฎหมาย ส่วนที่อุทธรณ์คำสั่งงดสืบพยานเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ไม่รับอุทธรณ์ในส่วนนี้ โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า การที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่ง ให้งดสืบพยานทั้งที่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ยังไม่ยุติ เป็นคำสั่ง ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ ของโจทก์ด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 48) โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยเท่ากับเงินเดือน ในอัตราสุดท้าย 6 เดือน เป็นเงิน 725,760 บาท สินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 1 เดือน เป็นเงิน 120,960 บาท ค่าเสียหายต่อชื่อเสียงและเกียรติคุณของโจทก์ เป็นเงิน 1,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,846,720 บาท แก่โจทก์ ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์บางข้อดังกล่าว (อันดับ 41) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 46)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ให้งดสืบพยาน เป็นดุลพินิจอันเป็นข้อเท็จจริง ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่ง ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลา การบังคับโดยห้ามจำเลยทั้งสองจำหน่ายจ่ายโอนที่พิพาทไว้ก่อน หมายเหตุ จำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องไว้แล้ว(อันดับ 270,272) โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 289เลขที่ 289 หมู่ 7 ตำบลสะแกราชอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 83 ไร่ 1 งาน 93 ตารางวา เป็นของโจทก์ผู้ได้สิทธิครอบครอง ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียน เพิกถอนการโอนและโอนที่ดินให้โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติ โจทก์ขอถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ฯลฯ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 251,252) ชั้นอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ แต่คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่มีปรากฏในสำนวน (อันดับ 225)
คำสั่ง เป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างฎีกาซึ่งเห็นควรสั่งให้ตามที่ขอ โดยห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆเกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งศาลนี้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาททราบ
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลา การบังคับโดยห้ามจำเลยทั้งสองจำหน่ายจ่ายโอนที่พิพาทไว้ก่อน หมายเหตุ จำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องไว้แล้ว(อันดับ 270,272) โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 289เลขที่ 289 หมู่ 7 ตำบลสะแกราชอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 83 ไร่ 1 งาน 93 ตารางวา เป็นของโจทก์ผู้ได้สิทธิครอบครอง ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียน เพิกถอนการโอนและโอนที่ดินให้โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติ โจทก์ขอถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ฯลฯ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 251,252) ชั้นอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ แต่คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่มีปรากฏในสำนวน (อันดับ 225)
คำสั่ง เป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างฎีกาซึ่งเห็นควรสั่งให้ตามที่ขอ โดยห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆเกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งศาลนี้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาททราบ
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า คำฟ้องอุทธรณ์ เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า โจทก์ไม่รายงานตามหน้าที่ให้จำเลยทราบว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ให้สิทธิในการซื้อหุ้นราคาจองแก่จำเลยและกลับเบียดบังใช้สิทธิซื้อหุ้นราคาจองเพื่อประโยชน์ของตนเอง เป็นการทุจริตต่อหน้าที่และ จงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยเป็นเหตุให้เสียหาย แก่จำเลยอย่างร้ายแรงนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง ให้รับอุทธรณ์และคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ทนายโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 101,102) ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์จ่ายเงินจำนวน2,883.30 บาท แก่จำเลย พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบครึ่ง ต่อปีนับแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 131,130 บาท สินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 43,710 บาท และเงินบำเหน็จเป็นเงิน 262,260 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันฟ้อง (วันที่ 20 พฤษภาคม 2537) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระ เสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 97) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)
คำสั่ง จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบกับ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับ อุทธรณ์ของจำเลย
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า คำฟ้องอุทธรณ์ เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า โจทก์ไม่รายงานตามหน้าที่ให้จำเลยทราบว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ให้สิทธิในการซื้อหุ้นราคาจองแก่จำเลยและกลับเบียดบังใช้สิทธิซื้อหุ้นราคาจองเพื่อประโยชน์ของตนเอง เป็นการทุจริตต่อหน้าที่และ จงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยเป็นเหตุให้เสียหาย แก่จำเลยอย่างร้ายแรงนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง ให้รับอุทธรณ์และคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ทนายโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 101,102) ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์จ่ายเงินจำนวน2,883.30 บาท แก่จำเลย พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบครึ่ง ต่อปีนับแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 131,130 บาท สินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 43,710 บาท และเงินบำเหน็จเป็นเงิน 262,260 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันฟ้อง (วันที่ 20 พฤษภาคม 2537) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระ เสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 97) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)
คำสั่ง จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบกับ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับ อุทธรณ์ของจำเลย
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์คดีจึงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า คดีนี้ยังมิได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบถึงข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้อง ศาลชั้นต้นเพียงแต่ตรวจคำฟ้องโจทก์แล้วสั่งงดไต่สวนมูลฟ้อง และพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยทำเป็น คำพิพากษานั้น ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 167 ประกอบกับมาตรา 182 ที่ถูกต้องทำเป็นคำสั่ง ไม่ประทับฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161 ประกอบกับมาตรา 186 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงมีผล เป็นเพียงยืนตามคำสั่งไม่ประทับฟ้อง กรณีจึงไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ส่วนในข้อหาแพ่งนั้นให้โจทก์ไปฟ้องใหม่ยังศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 68) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 71 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่า การกระทำของ จำเลยไม่เป็นความผิด คดีไม่มีมูลและพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน คดีของโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์คดีจึงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า คดีนี้ยังมิได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบถึงข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้อง ศาลชั้นต้นเพียงแต่ตรวจคำฟ้องโจทก์แล้วสั่งงดไต่สวนมูลฟ้อง และพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยทำเป็น คำพิพากษานั้น ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 167 ประกอบกับมาตรา 182 ที่ถูกต้องทำเป็นคำสั่ง ไม่ประทับฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161 ประกอบกับมาตรา 186 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงมีผล เป็นเพียงยืนตามคำสั่งไม่ประทับฟ้อง กรณีจึงไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ส่วนในข้อหาแพ่งนั้นให้โจทก์ไปฟ้องใหม่ยังศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 68) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 71 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่า การกระทำของ จำเลยไม่เป็นความผิด คดีไม่มีมูลและพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน คดีของโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาข้อ 2.1 ถึง 2.3เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 258 (ที่ถูก มาตรา 248) ส่วนข้อ 2.4 แม้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวโดยชอบ ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งไม่ควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลฎีกาด้วย จึงไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นปัญหา ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 63 แผ่นที่ 5) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 37,476 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงิน 36,400 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 63 แผ่นที่ 1) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 63 แผ่นที่ 5)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อ 2.1,2.2 และ 2.3 มีใจความทำนองเดียวกันว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด ตามเช็คเพราะโจทก์ผู้ทรงได้นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคาร เมื่อพ้นเวลา 6 เดือน นับแต่วันออกเช็ค และฎีกาข้อ 2.4 ว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดตามเช็คเพราะโจทก์ไม่ฟ้องเรียกเงิน ตามเช็คจากธนาคารเสียก่อนนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่ปัญหา ข้อกฎหมายดังกล่าวไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น จึงไม่มี สิทธิอุทธรณ์และฎีกา ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง ชอบแล้วให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาข้อ 2.1 ถึง 2.3เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 258 (ที่ถูก มาตรา 248) ส่วนข้อ 2.4 แม้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวโดยชอบ ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งไม่ควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลฎีกาด้วย จึงไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นปัญหา ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 63 แผ่นที่ 5) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 37,476 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงิน 36,400 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 63 แผ่นที่ 1) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 63 แผ่นที่ 5)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อ 2.1,2.2 และ 2.3 มีใจความทำนองเดียวกันว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด ตามเช็คเพราะโจทก์ผู้ทรงได้นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคาร เมื่อพ้นเวลา 6 เดือน นับแต่วันออกเช็ค และฎีกาข้อ 2.4 ว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดตามเช็คเพราะโจทก์ไม่ฟ้องเรียกเงิน ตามเช็คจากธนาคารเสียก่อนนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่ปัญหา ข้อกฎหมายดังกล่าวไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น จึงไม่มี สิทธิอุทธรณ์และฎีกา ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง ชอบแล้วให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลยเป็นฎีกา ปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า การสอบสวนมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ให้จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ส่วนข้อหาความผิดฐานลักทรัพย์ให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 59) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 61)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยมิได้ โต้แย้งหรือคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นว่าคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด คงอ้างเพียงว่าจำเลยไม่เห็นพ้องด้วย จำเลยได้ต่อสู้ในประเด็นเรื่องการสอบสวนไม่ชอบมา โดยตลอดเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของจำเลยเท่านั้นจึงไม่รับวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลยเป็นฎีกา ปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า การสอบสวนมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ให้จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ส่วนข้อหาความผิดฐานลักทรัพย์ให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 59) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 61)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยมิได้ โต้แย้งหรือคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นว่าคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด คงอ้างเพียงว่าจำเลยไม่เห็นพ้องด้วย จำเลยได้ต่อสู้ในประเด็นเรื่องการสอบสวนไม่ชอบมา โดยตลอดเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของจำเลยเท่านั้นจึงไม่รับวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยฐาน ทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เป็นผลโดยตรงที่ทำให้ผู้เสียหาย บาดเจ็บสาหัสตามที่โจทก์ระบุมาในคำฟ้องหรือไม่ เป็นฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้ พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 74) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 71) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 74)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี คู่ความย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรค 1 ฎีกาของจำเลยที่ว่า การที่ผู้เสียหายแท้งลูก มีผลมาจากการทำร้ายร่างกายของจำเลยหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง เพราะเป็นการโต้เถียงดุลยพินิจในการรับฟังพยาน ของศาล ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลชั้นต้น ไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยฐาน ทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เป็นผลโดยตรงที่ทำให้ผู้เสียหาย บาดเจ็บสาหัสตามที่โจทก์ระบุมาในคำฟ้องหรือไม่ เป็นฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้ พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 74) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 71) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 74)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี คู่ความย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรค 1 ฎีกาของจำเลยที่ว่า การที่ผู้เสียหายแท้งลูก มีผลมาจากการทำร้ายร่างกายของจำเลยหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง เพราะเป็นการโต้เถียงดุลยพินิจในการรับฟังพยาน ของศาล ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลชั้นต้น ไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยที่ 1ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย เป็นการชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ จำเลยเสีย จึงเป็นกรณี ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่ง ดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 198 ทวิ จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เห็นว่า ศาลชั้นต้นจะพิจารณาคดีใหม่ได้ต้องมีคำสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องใหม่ก่อนตามกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ แต่ศาลชั้นต้นกลับมีคำสั่งให้สืบพยานโจทก์เลยโดยไม่เปิดโอกาส ให้จำเลยที่ 1 ให้ทนายความได้ซักค้านในชั้นไต่สวน มูลฟ้องใหม่นี้ซึ่งขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165 วรรคท้าย คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้พิจารณาคดีใหม่ เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย จึงมิใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา แม้ศาลอุทธรณ์จะสั่งยืนตามศาลชั้นต้นก็ตาม โปรดมีคำสั่งให้รับ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นยกฟ้อง เพราะโจทก์ไม่มาตามกำหนดนัด โจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าโจทก์ไม่จงใจผิดนัดไม่มาศาล และอนุญาตให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ จำเลยที่ 1 ที่ 2ต่างอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา จึงไม่รับอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ต่างอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่าคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่เกิดขึ้นภายหลังคำพิพากษาคำสั่งดังกล่าวไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา และไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ทันที ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า แม้ศาลชั้นต้นเคยมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์แต่คำพิพากษาดังกล่าวมิใช่เป็นข้อชี้ขาดตัดสินคดี เมื่อศาลชั้นต้นได้สั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เพื่อให้มี คำพิพากษาชี้ขาดต่อไป คำสั่งดังกล่าวย่อมเป็นคำสั่งระหว่าง พิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน จึงต้องห้ามมิให้จำเลย อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเป็นการชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ จำเลยเสีย จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(ถ้อยคำสำนวนอันดับ 3) จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (ถ้อยคำสำนวนอันดับ 4)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธ ของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 คำสั่งของศาลอุทธรณ์ ดังกล่าวจึงเป็นที่สุดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคท้าย จำเลยที่ 1 ฎีกาคำสั่งนี้อีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยที่ 1ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย เป็นการชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ จำเลยเสีย จึงเป็นกรณี ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่ง ดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 198 ทวิ จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เห็นว่า ศาลชั้นต้นจะพิจารณาคดีใหม่ได้ต้องมีคำสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องใหม่ก่อนตามกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ แต่ศาลชั้นต้นกลับมีคำสั่งให้สืบพยานโจทก์เลยโดยไม่เปิดโอกาส ให้จำเลยที่ 1 ให้ทนายความได้ซักค้านในชั้นไต่สวน มูลฟ้องใหม่นี้ซึ่งขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165 วรรคท้าย คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้พิจารณาคดีใหม่ เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย จึงมิใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา แม้ศาลอุทธรณ์จะสั่งยืนตามศาลชั้นต้นก็ตาม โปรดมีคำสั่งให้รับ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นยกฟ้อง เพราะโจทก์ไม่มาตามกำหนดนัด โจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าโจทก์ไม่จงใจผิดนัดไม่มาศาล และอนุญาตให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ จำเลยที่ 1 ที่ 2ต่างอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา จึงไม่รับอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ต่างอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่าคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่เกิดขึ้นภายหลังคำพิพากษาคำสั่งดังกล่าวไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา และไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ทันที ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า แม้ศาลชั้นต้นเคยมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์แต่คำพิพากษาดังกล่าวมิใช่เป็นข้อชี้ขาดตัดสินคดี เมื่อศาลชั้นต้นได้สั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เพื่อให้มี คำพิพากษาชี้ขาดต่อไป คำสั่งดังกล่าวย่อมเป็นคำสั่งระหว่าง พิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน จึงต้องห้ามมิให้จำเลย อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเป็นการชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ จำเลยเสีย จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(ถ้อยคำสำนวนอันดับ 3) จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (ถ้อยคำสำนวนอันดับ 4)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธ ของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 คำสั่งของศาลอุทธรณ์ ดังกล่าวจึงเป็นที่สุดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคท้าย จำเลยที่ 1 ฎีกาคำสั่งนี้อีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 บัญญัติไว้เพียงว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด แต่คำสั่งที่ว่าคดีไม่มีมูลนั้น โจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาได้ ดังนั้นตามข้อบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจึงหมายถึงเพียงคำสั่ง ของศาลชั้นต้นเท่านั้นที่ทำให้คดีเด็ดขาดไปได้ในกรณี ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คดีมีมูล การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้คดีมีมูล จึงไม่เป็นการต้องห้ามที่จะไม่ให้จำเลยฎีกา โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(ถ้อยคำสำนวน อันดับ 4) โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289,80 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับเป็นว่า คดีโจทก์มีมูลให้ประทับฟ้อง จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(ถ้อยคำสำนวน อันดับ 3) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 4)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่าคดีมีมูลย่อมเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 170 วรรคหนึ่ง จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาได้ ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 บัญญัติไว้เพียงว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด แต่คำสั่งที่ว่าคดีไม่มีมูลนั้น โจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาได้ ดังนั้นตามข้อบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจึงหมายถึงเพียงคำสั่ง ของศาลชั้นต้นเท่านั้นที่ทำให้คดีเด็ดขาดไปได้ในกรณี ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คดีมีมูล การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้คดีมีมูล จึงไม่เป็นการต้องห้ามที่จะไม่ให้จำเลยฎีกา โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(ถ้อยคำสำนวน อันดับ 4) โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289,80 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับเป็นว่า คดีโจทก์มีมูลให้ประทับฟ้อง จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(ถ้อยคำสำนวน อันดับ 3) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 4)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่าคดีมีมูลย่อมเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 170 วรรคหนึ่ง จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาได้ ให้ยกคำร้อง
ความว่า คดีนี้ โจทก์ร่วมที่ 4 กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันได้แล้ว โจทก์ร่วมที่ 4 ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1อีกต่อไป จึงขอถอนคำร้องทุกข์หรือขอถอนฟ้อง โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างได้รับสำเนาคำร้องแล้ว จำเลยที่ 1 แถลงไม่คัดค้าน ส่วนโจทก์แถลงรับว่า นางเฉลาอนรรฆรัตน์ เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ร่วมที่ 4 และโจทก์ร่วมที่ 4 ถึงแก่ความตายไปแล้วจริง(อันดับ 340,359) ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,83,91 จำเลยที่ 1 มีความผิดรวม 8 กรรม ให้ลงโทษจำคุกกรรมละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 จำคุกคนละ 1 ปี ข้อหาและคำขอนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อับดับ 265) จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 275) ศาลฎีกาทำคำสั่งแล้ว และได้ส่งสำนวนไปศาลชั้นต้น(อันดับ 277) ก่อนวันฟังคำสั่ง โจทก์ร่วมที่ 4 ยื่นคำร้องนี้(อันดับ 338)
คำสั่ง คดีนี้ โจทก์ร่วมที่ 4 ขอถอนคำร้องทุกข์จำเลยที่ 1ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดต่อผู้เสียหายรายอื่น ๆ อีก 7 กระทง กระทำผิดต่อโจทก์ร่วมที่ 4 เพียงกระทงเดียว ดังนั้น เมื่อคดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวและคดี ยังไม่ถึงที่สุด สิทธินำคดีอาญามาฟ้องต่อจำเลยที่ 1 เฉพาะ ในส่วนที่กระทำต่อโจทก์ร่วมที่ 4 ย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ให้จำหน่าย คดีจำเลยที่ 1 เฉพาะในส่วนที่กระทำต่อโจทก์ร่วมที่ 4
ความว่า คดีนี้ โจทก์ร่วมที่ 4 กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันได้แล้ว โจทก์ร่วมที่ 4 ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1อีกต่อไป จึงขอถอนคำร้องทุกข์หรือขอถอนฟ้อง โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างได้รับสำเนาคำร้องแล้ว จำเลยที่ 1 แถลงไม่คัดค้าน ส่วนโจทก์แถลงรับว่า นางเฉลาอนรรฆรัตน์ เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ร่วมที่ 4 และโจทก์ร่วมที่ 4 ถึงแก่ความตายไปแล้วจริง(อันดับ 340,359) ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,83,91 จำเลยที่ 1 มีความผิดรวม 8 กรรม ให้ลงโทษจำคุกกรรมละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 จำคุกคนละ 1 ปี ข้อหาและคำขอนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อับดับ 265) จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 275) ศาลฎีกาทำคำสั่งแล้ว และได้ส่งสำนวนไปศาลชั้นต้น(อันดับ 277) ก่อนวันฟังคำสั่ง โจทก์ร่วมที่ 4 ยื่นคำร้องนี้(อันดับ 338)
คำสั่ง คดีนี้ โจทก์ร่วมที่ 4 ขอถอนคำร้องทุกข์จำเลยที่ 1ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดต่อผู้เสียหายรายอื่น ๆ อีก 7 กระทง กระทำผิดต่อโจทก์ร่วมที่ 4 เพียงกระทงเดียว ดังนั้น เมื่อคดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวและคดี ยังไม่ถึงที่สุด สิทธินำคดีอาญามาฟ้องต่อจำเลยที่ 1 เฉพาะ ในส่วนที่กระทำต่อโจทก์ร่วมที่ 4 ย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ให้จำหน่าย คดีจำเลยที่ 1 เฉพาะในส่วนที่กระทำต่อโจทก์ร่วมที่ 4
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้พิพากษาที่จำเลยทั้งสองขอให้รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว ฎีกาตาม ข้อ 2 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา ส่วนฎีกาตามข้อ 3 ซึ่งอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น จำเลยทั้งสองมิได้ยกขึ้น ว่ากล่าวแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิได้บรรยาย ให้ชัดเจนว่าหนี้ตามฟ้องขาดอายุความในเรื่องอะไร เพราะเหตุใด ประกอบกับเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกาข้อกฎหมายเช่นกัน จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ที่ว่า มูลหนี้ตามเช็คพิพาท ทั้งสี่ฉบับไม่อาจฟ้องบังคับชำระหนี้ได้ตามกฎหมายโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และฎีกาข้อ 3 ที่ว่าเช็คพิพาทขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และมีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 107) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลย ทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 50,000 บาท และจำคุก จำเลยที่ 2 กระทงละ 5 เดือน รวมสี่กระทง ปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 200,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 20 เดือน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2835/2535, 2126/2536 และ 3652/2536 ของศาลนี้นั้น ไม่ปรากฏว่าศาลในคดีทั้งสาม สำนวนดังกล่าวมีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 105) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 107)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว จำเลยทั้งสองฎีกาว่า มูลหนี้ตามเช็คพิพาท ไม่อาจฟ้องบังคับชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เพราะจำนวนหนี้ ตามเช็คพิพาทสูงกว่าจำนวนหนี้ที่มีอยู่จริงโจทก์จึงไม่มี อำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า เป็นการเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ ยุติและต้องห้ามฎีกาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ย่อมมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้อง ห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกส่วนฎีกาในข้อที่ว่า มิได้มีการใช้สิทธิฟ้องบังคับชำระหนี้ทางแพ่งและหนี้ดังกล่าวขาดอายุความแล้วก็เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225 และไม่มีเหตุสมควรจะวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้พิพากษาที่จำเลยทั้งสองขอให้รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว ฎีกาตาม ข้อ 2 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา ส่วนฎีกาตามข้อ 3 ซึ่งอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น จำเลยทั้งสองมิได้ยกขึ้น ว่ากล่าวแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิได้บรรยาย ให้ชัดเจนว่าหนี้ตามฟ้องขาดอายุความในเรื่องอะไร เพราะเหตุใด ประกอบกับเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับฎีกาข้อกฎหมายเช่นกัน จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ที่ว่า มูลหนี้ตามเช็คพิพาท ทั้งสี่ฉบับไม่อาจฟ้องบังคับชำระหนี้ได้ตามกฎหมายโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และฎีกาข้อ 3 ที่ว่าเช็คพิพาทขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และมีสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 107) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลย ทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 50,000 บาท และจำคุก จำเลยที่ 2 กระทงละ 5 เดือน รวมสี่กระทง ปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 200,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 20 เดือน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2835/2535, 2126/2536 และ 3652/2536 ของศาลนี้นั้น ไม่ปรากฏว่าศาลในคดีทั้งสาม สำนวนดังกล่าวมีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 105) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 107)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว จำเลยทั้งสองฎีกาว่า มูลหนี้ตามเช็คพิพาท ไม่อาจฟ้องบังคับชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เพราะจำนวนหนี้ ตามเช็คพิพาทสูงกว่าจำนวนหนี้ที่มีอยู่จริงโจทก์จึงไม่มี อำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า เป็นการเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ ยุติและต้องห้ามฎีกาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ย่อมมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้อง ห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกส่วนฎีกาในข้อที่ว่า มิได้มีการใช้สิทธิฟ้องบังคับชำระหนี้ทางแพ่งและหนี้ดังกล่าวขาดอายุความแล้วก็เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225 และไม่มีเหตุสมควรจะวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ไม่มี ข้อความคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในประการใด ประกอบกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเป็นการวินิจฉัย ตรงตามประเด็นที่ชี้ไว้ในชั้นชี้สองสถานแล้ว ฎีกาของโจทก์ แม้หากจะเป็นข้อกฎหมายแต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยได้ กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แทนเจ้าของที่ดิน ที่เช่า เป็นการพิพากษานอกประเด็นและรับฟังพยานหลักฐาน นอกจากที่สืบในคดี เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่พฤติการณ์ไม่เปิดช่อง ให้โจทก์ยกขึ้นอ้างในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ เพราะ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์โดยไม่รับวินิจฉัย เนื้อหาอุทธรณ์ของโจทก์เพราะพิจารณาว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหา ข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดิน โฉนดเลขที่ 7361 ตำบลศรีมหาโพธิ์ อำเภอเมือง (นครชัยศรี)จังหวัดนครปฐม และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจาก ที่ดินของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 96) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 97 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเป็นเรื่องคนละประเด็นกับที่โจทก์ฟ้องและที่จำเลยให้การต่อสู้ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้น ว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งไม่เป็นสาระแก่คดีอันควร ได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ไม่มี ข้อความคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในประการใด ประกอบกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเป็นการวินิจฉัย ตรงตามประเด็นที่ชี้ไว้ในชั้นชี้สองสถานแล้ว ฎีกาของโจทก์ แม้หากจะเป็นข้อกฎหมายแต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยได้ กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แทนเจ้าของที่ดิน ที่เช่า เป็นการพิพากษานอกประเด็นและรับฟังพยานหลักฐาน นอกจากที่สืบในคดี เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่พฤติการณ์ไม่เปิดช่อง ให้โจทก์ยกขึ้นอ้างในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ เพราะ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์โดยไม่รับวินิจฉัย เนื้อหาอุทธรณ์ของโจทก์เพราะพิจารณาว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหา ข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดิน โฉนดเลขที่ 7361 ตำบลศรีมหาโพธิ์ อำเภอเมือง (นครชัยศรี)จังหวัดนครปฐม และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจาก ที่ดินของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 96) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 97 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเป็นเรื่องคนละประเด็นกับที่โจทก์ฟ้องและที่จำเลยให้การต่อสู้ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้น ว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งไม่เป็นสาระแก่คดีอันควร ได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ส่วนฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่า เป็นข้อกฎหมาย ที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ต้องห้ามตามมาตรา 15 ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 และ 249 จึงไม่รับฎีกา จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้นเป็นสาระแก่คดีในการที่จะทำให้ผลของคดีถึงแพ้ชนะ กล่าวคือศาลอุทธรณ์ มิได้ฟังข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิด ทั้งตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คและ ฉ้อโกง และมิได้นำสืบให้ครบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยได้อายัด เช็คโดยมีเจตนาอย่างไร ในข้อกฎหมายดังกล่าวสมควรที่จะได้ รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาเพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไป โปรดมี คำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 833) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การสั่งจ่ายเช็คของจำเลยและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินรวม 3 ฉบับ เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็นรายกระทงไป ให้ลงโทษ รวม 3 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี ข้อหา ฉ้อโกงให้ยก สำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2(สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 822) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 826)
คำสั่ง ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า การบรรยายฟ้องของโจทก์ขัดกันเองเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์มิได้นำสืบว่า จำเลยที่ 2 ได้อายัดเช็คโดยมีเจตนาทุจริตอย่างไร การนำสืบ ของโจทก์ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิด เป็นฎีกาในข้อกฎหมาย ที่เป็นสาระแก่คดี ให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ส่วนฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่า เป็นข้อกฎหมาย ที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ต้องห้ามตามมาตรา 15 ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 และ 249 จึงไม่รับฎีกา จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้นเป็นสาระแก่คดีในการที่จะทำให้ผลของคดีถึงแพ้ชนะ กล่าวคือศาลอุทธรณ์ มิได้ฟังข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิด ทั้งตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คและ ฉ้อโกง และมิได้นำสืบให้ครบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยได้อายัด เช็คโดยมีเจตนาอย่างไร ในข้อกฎหมายดังกล่าวสมควรที่จะได้ รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาเพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไป โปรดมี คำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 833) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การสั่งจ่ายเช็คของจำเลยและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินรวม 3 ฉบับ เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็นรายกระทงไป ให้ลงโทษ รวม 3 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี ข้อหา ฉ้อโกงให้ยก สำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2(สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 822) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 826)
คำสั่ง ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า การบรรยายฟ้องของโจทก์ขัดกันเองเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์มิได้นำสืบว่า จำเลยที่ 2 ได้อายัดเช็คโดยมีเจตนาทุจริตอย่างไร การนำสืบ ของโจทก์ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิด เป็นฎีกาในข้อกฎหมาย ที่เป็นสาระแก่คดี ให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็น สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 9,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันที่ 29 มิถุนายน 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (วันที่ 14 ธันวาคม 2535)ต้องไม่เกินตามที่โจทก์ขอมา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 65) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 68)
คำสั่ง ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ที่ว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญา ประนีประนอมยอมความกับโจทก์แล้วนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่จะนำ ไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า โจทก์ไม่มี อำนาจฟ้องเพราะมูลหนี้ละเมิดระงับแล้วตามสัญญาประนีประนอม ยอมความที่จำเลยที่ 1 ทำกับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 แต่ จำเลยที่ 2 มิได้ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ ในคำให้การ และศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงไว้ตาม ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ฎีกาข้อ 3 ก. ของจำเลยที่ 2 จึงเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาที่เกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ โดยตรง จึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ส่วนฎีกาข้อ 3 ค. นั้น จำเลยที่ 2 ยกเป็นข้ออุทธรณ์ไว้แต่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับ จำเลยที่ 2 มิได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์ คำสั่ง ปัญหาดังกล่าวจึงยุติ จำเลยที่ 2 จะยกขึ้นฎีกาต่อมาอีกไม่ได้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อ 3 ก. และข้อ 3 ค. ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล สำหรับฎีกาจำเลยที่ 2ข้อ 3 ข. ที่ว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถถอยหลังพุ่งชน ด้านหน้าของรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้ขณะรถที่โจทก์รับประกันภัย ไว้จอดอยู่ แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 จอดรถไว้โดย ไม่ใส่เบรกมือรถจึงไหลถอยหลังไปชนถูกรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ข้อเท็จจริงจึงต่างกันในข้อสาระสำคัญ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง(ให้จำเลยที่ 2 รับผิด) นั้น เท่ากับจำเลยที่ 2 โต้แย้งว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริง ในคำฟ้องในข้อสาระสำคัญ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ นั่นเอง ข้อฎีกาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเกิดขึ้น จากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ไม่สามารถยกขึ้น กล่าวอ้างได้ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยที่ 2 จึงยกขึ้นอุทธรณ์และฎีกาได้ ให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ ไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็น สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 9,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันที่ 29 มิถุนายน 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (วันที่ 14 ธันวาคม 2535)ต้องไม่เกินตามที่โจทก์ขอมา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 65) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 68)
คำสั่ง ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ที่ว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญา ประนีประนอมยอมความกับโจทก์แล้วนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่จะนำ ไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า โจทก์ไม่มี อำนาจฟ้องเพราะมูลหนี้ละเมิดระงับแล้วตามสัญญาประนีประนอม ยอมความที่จำเลยที่ 1 ทำกับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 แต่ จำเลยที่ 2 มิได้ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ ในคำให้การ และศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงไว้ตาม ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ฎีกาข้อ 3 ก. ของจำเลยที่ 2 จึงเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาที่เกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ โดยตรง จึงไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ส่วนฎีกาข้อ 3 ค. นั้น จำเลยที่ 2 ยกเป็นข้ออุทธรณ์ไว้แต่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับ จำเลยที่ 2 มิได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์ คำสั่ง ปัญหาดังกล่าวจึงยุติ จำเลยที่ 2 จะยกขึ้นฎีกาต่อมาอีกไม่ได้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อ 3 ก. และข้อ 3 ค. ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล สำหรับฎีกาจำเลยที่ 2ข้อ 3 ข. ที่ว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถถอยหลังพุ่งชน ด้านหน้าของรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้ขณะรถที่โจทก์รับประกันภัย ไว้จอดอยู่ แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 จอดรถไว้โดย ไม่ใส่เบรกมือรถจึงไหลถอยหลังไปชนถูกรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ข้อเท็จจริงจึงต่างกันในข้อสาระสำคัญ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง(ให้จำเลยที่ 2 รับผิด) นั้น เท่ากับจำเลยที่ 2 โต้แย้งว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริง ในคำฟ้องในข้อสาระสำคัญ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ นั่นเอง ข้อฎีกาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเกิดขึ้น จากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ไม่สามารถยกขึ้น กล่าวอ้างได้ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยที่ 2 จึงยกขึ้นอุทธรณ์และฎีกาได้ ให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ ไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า ศาลชั้นต้นนัดฟังคำสั่งศาลฎีกา แต่เนื่องจากผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีนี้และจำเลยตกลงกันได้แล้วผู้ร้องไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยต่อไป จึงขอถอนคำร้องทุกข์ โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์และจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วแถลง ไม่คัดค้าน (อันดับ 56,57) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 คงลงโทษจำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน พิเคราะห์ รายงานการสืบเสาะและพินิจแล้ว ไม่สมควรรอการลงโทษจำเลย ให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 9,660 บาท แก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 41) จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลฎีกาทำ คำสั่งเสร็จแล้วส่งไปศาลชั้นต้นเพื่ออ่าน (อันดับ 43,55) ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ ส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 56,57)
คำสั่ง คดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว และยังไม่ถึงที่สุดผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
ความว่า ศาลชั้นต้นนัดฟังคำสั่งศาลฎีกา แต่เนื่องจากผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีนี้และจำเลยตกลงกันได้แล้วผู้ร้องไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยต่อไป จึงขอถอนคำร้องทุกข์ โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์และจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วแถลง ไม่คัดค้าน (อันดับ 56,57) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 คงลงโทษจำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน พิเคราะห์ รายงานการสืบเสาะและพินิจแล้ว ไม่สมควรรอการลงโทษจำเลย ให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 9,660 บาท แก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 41) จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลฎีกาทำ คำสั่งเสร็จแล้วส่งไปศาลชั้นต้นเพื่ออ่าน (อันดับ 43,55) ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ ส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 56,57)
คำสั่ง คดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว และยังไม่ถึงที่สุดผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
ความว่า จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 ด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 142) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานใช้เอกสาร ราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคหนึ่ง ให้จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การ พิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี ข้อหาอื่น นอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทุกข้อหา ริบของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 139 แผ่นที่ 2) จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 142)
คำสั่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษ จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าศาลล่าง ทั้งสองนำคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 3 ในชั้นสอบสวน และเหตุที่พบเอกสารปลอมไม่กี่ฉบับ กับวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 เรียกค่าทำหนังสือเดินทางสูงผิดปกติโดยโจทก์ไม่มีพยานหลักฐาน สนับสนุนมารับฟังลงโทษจำเลยที่ 3 เป็นการไม่ชอบนั้น ล้วนเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลล่างทั้งสอง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยที่ 3 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 ด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 142) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานใช้เอกสาร ราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคหนึ่ง ให้จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การ พิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี ข้อหาอื่น นอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทุกข้อหา ริบของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 139 แผ่นที่ 2) จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 142)
คำสั่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษ จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าศาลล่าง ทั้งสองนำคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 3 ในชั้นสอบสวน และเหตุที่พบเอกสารปลอมไม่กี่ฉบับ กับวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 เรียกค่าทำหนังสือเดินทางสูงผิดปกติโดยโจทก์ไม่มีพยานหลักฐาน สนับสนุนมารับฟังลงโทษจำเลยที่ 3 เป็นการไม่ชอบนั้น ล้วนเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลล่างทั้งสอง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยที่ 3 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ คำสั่ง ดังกล่าวเป็นที่สุด จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ยังไม่เป็นที่สุดเพราะ ฎีกาของโจทก์ในข้อ 3 วรรคสอง ยังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 18 แผ่นที่ 2) คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก และขอนาฬิกาคืนศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ฟ้องโจทก์ในส่วนอาญาจึงขาดองค์ประกอบความผิดและไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) สำหรับคดีส่วนแพ่งโจทก์ไม่ได้บรรยายสภาพแห่งข้อหาและไม่เสียค่าขึ้นศาล จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ยกฟ้องทั้งคดีในส่วนอาญาและแพ่ง ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีนี้ศาลมีคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว จึงไม่อาจอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องได้ ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์ไม่ได้คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับ การวินิจฉัย ทั้งไม่เสียค่าธรรมเนียมจึงไม่รับ โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่า ฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งในคดี ส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่งในข้อกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์แต่หาได้โต้แย้งว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร เป็นแต่เพียงอธิบายว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยในคดีนี้เพราะเหตุใดทั้งไม่เสียค่าขึ้นศาล ชั้นอุทธรณ์ในคดีส่วนแพ่งด้วย อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์จึงชอบแล้ว ยกคำร้อง โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 14) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 15)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คำสั่งของศาลอุทธรณ์ซึ่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์นั้น เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคท้ายศาลชั้นต้นจึงไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ คำสั่ง ดังกล่าวเป็นที่สุด จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ยังไม่เป็นที่สุดเพราะ ฎีกาของโจทก์ในข้อ 3 วรรคสอง ยังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 18 แผ่นที่ 2) คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก และขอนาฬิกาคืนศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ฟ้องโจทก์ในส่วนอาญาจึงขาดองค์ประกอบความผิดและไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) สำหรับคดีส่วนแพ่งโจทก์ไม่ได้บรรยายสภาพแห่งข้อหาและไม่เสียค่าขึ้นศาล จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ยกฟ้องทั้งคดีในส่วนอาญาและแพ่ง ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีนี้ศาลมีคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว จึงไม่อาจอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องได้ ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์ไม่ได้คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับ การวินิจฉัย ทั้งไม่เสียค่าธรรมเนียมจึงไม่รับ โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่า ฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งในคดี ส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่งในข้อกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์แต่หาได้โต้แย้งว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร เป็นแต่เพียงอธิบายว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยในคดีนี้เพราะเหตุใดทั้งไม่เสียค่าขึ้นศาล ชั้นอุทธรณ์ในคดีส่วนแพ่งด้วย อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์จึงชอบแล้ว ยกคำร้อง โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 14) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 15)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คำสั่งของศาลอุทธรณ์ซึ่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์นั้น เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคท้ายศาลชั้นต้นจึงไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เนื่องจากคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า คดีนี้ราคาที่ดินพิพาทตามราคาประเมินของ สำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีเป็นเงิน 1,740,000 บาท โจทก์ ได้เสียค่าขึ้นศาลโดยถือราคาประเมินดังกล่าวเป็นจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาท ฎีกาโจทก์จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบ ภ.บ.ท. 5 เนื้อที่ 58 ไร่ จำเลยเข้ามาปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ 40 ตารางวา ขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทและรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้าง ออกจากที่ดินดังกล่าว กับให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ 500 บาทจำเลยยื่นคำให้การว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นที่ดินซึ่งจำเลยซื้อมาแล้วให้บุคคลอื่นดูแลแทน ต่อมาจำเลยได้ปลูกบ้าน ในที่ดินดังกล่าว ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้มีหนังสือสอบถาม ราคาประเมินที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีมีหนังสือ แจ้งราคาประเมินที่ดินต่อศาล เจ้าหน้าที่ศาลได้มีรายงาน เจ้าหน้าที่ว่า คิดค่าขึ้นศาลตามที่ดินพิพาทเนื้อที่ 40 ตารางวา เป็นทุนทรัพย์ 3,000 บาท แต่โจทก์ยืนยันชำระค่าขึ้นศาลคิดจาก ที่ดินทั้งแปลง เป็นทุนทรัพย์ 1,740,000 บาท และโจทก์ชำระ ค่าขึ้นศาลในจำนวนดังกล่าว ต่อมาก่อนอ่านคำพิพากษา ศาลชั้นต้น สอบถามโจทก์ โจทก์แถลงว่าคดีนี้พิพาทเฉพาะที่ดินเนื้อที่ 40 ตารางวา ศาลชั้นต้นจึงให้คืนค่าขึ้นศาลซึ่งชำระเกินแก่โจทก์ และโจทก์ได้รับเงินดังกล่าวคืนแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 152) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 154)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว โจทก์แถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 7 ตุลาคม 2536 ของศาลชั้นต้นแล้วว่า ที่ดินพิพาท มีเนื้อที่ 40 ตารางวา อันมีราคา 3,000 บาท ในขณะที่โจทก์อุทธรณ์และฎีกา โจทก์ก็เสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์จำนวนนี้คดีนี้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ 3,000 บาท หาใช่ 1,740,000 บาทไม่จึงเป็นคดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นไม่รับชอบแล้ว ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เนื่องจากคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า คดีนี้ราคาที่ดินพิพาทตามราคาประเมินของ สำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีเป็นเงิน 1,740,000 บาท โจทก์ ได้เสียค่าขึ้นศาลโดยถือราคาประเมินดังกล่าวเป็นจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาท ฎีกาโจทก์จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบ ภ.บ.ท. 5 เนื้อที่ 58 ไร่ จำเลยเข้ามาปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ 40 ตารางวา ขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทและรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้าง ออกจากที่ดินดังกล่าว กับให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ 500 บาทจำเลยยื่นคำให้การว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นที่ดินซึ่งจำเลยซื้อมาแล้วให้บุคคลอื่นดูแลแทน ต่อมาจำเลยได้ปลูกบ้าน ในที่ดินดังกล่าว ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้มีหนังสือสอบถาม ราคาประเมินที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีมีหนังสือ แจ้งราคาประเมินที่ดินต่อศาล เจ้าหน้าที่ศาลได้มีรายงาน เจ้าหน้าที่ว่า คิดค่าขึ้นศาลตามที่ดินพิพาทเนื้อที่ 40 ตารางวา เป็นทุนทรัพย์ 3,000 บาท แต่โจทก์ยืนยันชำระค่าขึ้นศาลคิดจาก ที่ดินทั้งแปลง เป็นทุนทรัพย์ 1,740,000 บาท และโจทก์ชำระ ค่าขึ้นศาลในจำนวนดังกล่าว ต่อมาก่อนอ่านคำพิพากษา ศาลชั้นต้น สอบถามโจทก์ โจทก์แถลงว่าคดีนี้พิพาทเฉพาะที่ดินเนื้อที่ 40 ตารางวา ศาลชั้นต้นจึงให้คืนค่าขึ้นศาลซึ่งชำระเกินแก่โจทก์ และโจทก์ได้รับเงินดังกล่าวคืนแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 152) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 154)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว โจทก์แถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 7 ตุลาคม 2536 ของศาลชั้นต้นแล้วว่า ที่ดินพิพาท มีเนื้อที่ 40 ตารางวา อันมีราคา 3,000 บาท ในขณะที่โจทก์อุทธรณ์และฎีกา โจทก์ก็เสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์จำนวนนี้คดีนี้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ 3,000 บาท หาใช่ 1,740,000 บาทไม่จึงเป็นคดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นไม่รับชอบแล้ว ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุก เพราะจำเลย มีรายได้น้อยไม่พอที่จะเป็นเจ้ามือสลากกินรวบได้ โปรดมีคำสั่ง ให้เจ้าหน้าที่คุมประพฤติทำการสืบเสาะประวัติของจำเลยเพื่อ ประกอบการวินิจฉัยต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2487 มาตรา 4,5,10,12 ที่แก้ไขแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 1 ปี ริบของกลาง สำหรับคำขอให้จำเลยจ่ายเงิน สินบนแก่ผู้นำจับเมื่อศาลมิได้สั่งปรับจำเลย จึงให้ยกเสีย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา (อันดับ 29,28) คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 36)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าตามคำร้องของ จำเลยเป็นการขอให้ พนักงานคุมประพฤติไปสืบเสาะเกี่ยวกับฐานะของจำเลยว่า เป็นคนยากจนไม่น่าจะเป็นเจ้ามือการพนันสลากกินรวบซึ่งเป็น การโต้แย้งข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพต่อศาลแล้ว เท่านั้น จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตตามขอ ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุก เพราะจำเลย มีรายได้น้อยไม่พอที่จะเป็นเจ้ามือสลากกินรวบได้ โปรดมีคำสั่ง ให้เจ้าหน้าที่คุมประพฤติทำการสืบเสาะประวัติของจำเลยเพื่อ ประกอบการวินิจฉัยต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2487 มาตรา 4,5,10,12 ที่แก้ไขแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 1 ปี ริบของกลาง สำหรับคำขอให้จำเลยจ่ายเงิน สินบนแก่ผู้นำจับเมื่อศาลมิได้สั่งปรับจำเลย จึงให้ยกเสีย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา (อันดับ 29,28) คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 36)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าตามคำร้องของ จำเลยเป็นการขอให้ พนักงานคุมประพฤติไปสืบเสาะเกี่ยวกับฐานะของจำเลยว่า เป็นคนยากจนไม่น่าจะเป็นเจ้ามือการพนันสลากกินรวบซึ่งเป็น การโต้แย้งข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพต่อศาลแล้ว เท่านั้น จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตตามขอ ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนและการที่ที่ดินพิพาทจะเป็นที่สาธารณประโยชน์ได้นั้น จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดินอย่างไร เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ในที่ดินตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ตำบลวังไก่เถื่อน อำเภอหันคาจังหวัดชัยนาท เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 83 ตารางวา ขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมของคณะกรรมการสภาตำบลวังไก่เถื่อน ครั้งที่ 6/2534 วันที่ 4 มิถุนายน 2534 ห้ามจำเลยทั้งสี่เข้ามา เกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม ศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดีจำเลยที่ 2 จากสารบบความ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 91 แผ่นที่ 2) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 93 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง ฎีกาโจทก์เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง และคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนและการที่ที่ดินพิพาทจะเป็นที่สาธารณประโยชน์ได้นั้น จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดินอย่างไร เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ในที่ดินตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ตำบลวังไก่เถื่อน อำเภอหันคาจังหวัดชัยนาท เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 83 ตารางวา ขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมของคณะกรรมการสภาตำบลวังไก่เถื่อน ครั้งที่ 6/2534 วันที่ 4 มิถุนายน 2534 ห้ามจำเลยทั้งสี่เข้ามา เกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม ศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดีจำเลยที่ 2 จากสารบบความ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 91 แผ่นที่ 2) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 93 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง ฎีกาโจทก์เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง และคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|