การขอขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15จะมีผลผูกพันให้ผู้ขอต้องดำเนินกระบวนพิจารณาภายในกำหนดเวลาที่ขยาย ก็ต่อเมื่อผู้ขอได้ทราบคำสั่งนั้นก่อนสิ้นกำหนดเวลาที่ขยายออกไป เมื่อกำหนดเวลายื่นฎีกาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายออกไปสิ้นสุดในวันที่ 30 ธันวาคม 2537 แต่จำเลยทราบคำสั่งในวันที่11 มกราคม 2538 อันเป็นเวลาภายหลังสิ้นกำหนดยื่นฎีกาแล้วจำเลยจึงไม่ต้องผูกพันต้องยื่นฎีกาภายในเวลาที่ขยาย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงต้องถือว่าระยะเวลาที่ขยายเริ่มนับตั้งแต่วันที่จำเลยทราบคำสั่ง เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 20 วัน ระยะเวลาฎีกาจึงสิ้นสุดลงในวันที่31 มกราคม 2538 จำเลยยื่นฎีกาวันที่ 27 มกราคม 2538จึงไม่พ้นกำหนด
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาพ้น กำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้ขยาย ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 เห็นว่า จำเลยที่ 2 ได้เซ็นทราบคำสั่งศาลที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกา 20 วัน จากเจ้าหน้าที่ที่เรือนจำเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 จำเลยที่ 2 เข้าใจว่าระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยายนั้นให้นับต่อจากวันที่จำเลยที่ 2ทราบคำสั่งศาล ดังนั้นวันสุดท้ายที่จะยื่นฎีกาได้คือวันที่30 มกราคม 2534 เมื่อจำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาในวันที่27 มกราคม 2538 จึงยังไม่พ้นกำหนด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง,102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและจำเลยที่ 3ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบด้วย มาตรา 52(1) คงจำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิต ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา (อันดับ 81)
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 85 แผ่นที่ 2)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 87)
คำสั่ง
วันที่ 3 เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช 2538
การขอขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15จะมีผลผูกพันให้ผู้ขอต้องดำเนินกระบวนพิจารณาภายในกำหนดเวลาที่ขยาย เมื่อผู้ขอได้ทราบคำสั่งนั้นก่อนสิ้นกำหนดเวลาที่ขยายออกไป
เมื่อกำหนดเวลายื่นฎีกาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายออกไปสิ้นสุดในวันที่ 30 ธันวาคม 2537 แต่จำเลยที่ 2 ทราบคำสั่งในวันที่ 11 มกราคม 2538 อันเป็นเวลาภายหลังสิ้นกำหนดยื่นฎีกาแล้วจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องผูกพันต้องยื่นฎีกาภายในเวลาที่ขยายเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงต้องถือว่าระยะเวลาที่ขยายเริ่มนับตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 2 ทราบคำสั่ง เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 20 วัน ระยะเวลาฎีกาจึงสิ้นสุดลงในวันที่ 31 มกราคม 2537 จำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาวันที่27 มกราคม 2538 จึงยังไม่พ้นกำหนด ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบ ให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้ และให้ดำเนินการต่อไป
การขอขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15จะมีผลผูกพันให้ผู้ขอต้องดำเนินกระบวนพิจารณาภายในกำหนดเวลาที่ขยาย ก็ต่อเมื่อผู้ขอได้ทราบคำสั่งนั้นก่อนสิ้นกำหนดเวลาที่ขยายออกไป เมื่อกำหนดเวลายื่นฎีกาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายออกไปสิ้นสุดในวันที่ 30 ธันวาคม 2537 แต่จำเลยทราบคำสั่งในวันที่11 มกราคม 2538 อันเป็นเวลาภายหลังสิ้นกำหนดยื่นฎีกาแล้วจำเลยจึงไม่ต้องผูกพันต้องยื่นฎีกาภายในเวลาที่ขยาย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงต้องถือว่าระยะเวลาที่ขยายเริ่มนับตั้งแต่วันที่จำเลยทราบคำสั่ง เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 20 วัน ระยะเวลาฎีกาจึงสิ้นสุดลงในวันที่31 มกราคม 2538 จำเลยยื่นฎีกาวันที่ 27 มกราคม 2538จึงไม่พ้นกำหนด
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาพ้น กำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้ขยาย ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 เห็นว่า จำเลยที่ 2 ได้เซ็นทราบคำสั่งศาลที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกา 20 วัน จากเจ้าหน้าที่ที่เรือนจำเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 จำเลยที่ 2 เข้าใจว่าระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยายนั้นให้นับต่อจากวันที่จำเลยที่ 2ทราบคำสั่งศาล ดังนั้นวันสุดท้ายที่จะยื่นฎีกาได้คือวันที่30 มกราคม 2534 เมื่อจำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาในวันที่27 มกราคม 2538 จึงยังไม่พ้นกำหนด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง,102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและจำเลยที่ 3ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบด้วย มาตรา 52(1) คงจำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิต ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา (อันดับ 81)
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 85 แผ่นที่ 2)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 87)
คำสั่ง
วันที่ 3 เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช 2538
การขอขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15จะมีผลผูกพันให้ผู้ขอต้องดำเนินกระบวนพิจารณาภายในกำหนดเวลาที่ขยาย เมื่อผู้ขอได้ทราบคำสั่งนั้นก่อนสิ้นกำหนดเวลาที่ขยายออกไป
เมื่อกำหนดเวลายื่นฎีกาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายออกไปสิ้นสุดในวันที่ 30 ธันวาคม 2537 แต่จำเลยที่ 2 ทราบคำสั่งในวันที่ 11 มกราคม 2538 อันเป็นเวลาภายหลังสิ้นกำหนดยื่นฎีกาแล้วจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องผูกพันต้องยื่นฎีกาภายในเวลาที่ขยายเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงต้องถือว่าระยะเวลาที่ขยายเริ่มนับตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 2 ทราบคำสั่ง เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 20 วัน ระยะเวลาฎีกาจึงสิ้นสุดลงในวันที่ 31 มกราคม 2537 จำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาวันที่27 มกราคม 2538 จึงยังไม่พ้นกำหนด ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบ ให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้ และให้ดำเนินการต่อไป
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของผู้ร้องเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาผู้ร้อง คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด ผู้ร้องเห็นว่า ฎีกาของผู้ร้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ผู้คัดค้านทั้งสามยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องขอให้ศาล มีคำสั่งแสดงว่าที่ดินเฉพาะส่วนในที่ดินโฉนดเลขที่ 31981 ตำบลดอนทรายอำเภอโพธารามจังหวัดราชบุรี เนื้อที่ประมาณ1 งานเศษ ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้คัดค้านทั้งสาม ยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของ ผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 67,66) ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 69)
คำสั่ง ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่าสิบปี โดยไม่มี ผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ผู้ร้องย่อมได้ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วนั้น เห็นได้ว่าเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยของ ศาลอุทธรณ์ที่ว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะผู้อาศัยเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติและต้องห้ามฎีกาเพื่อสู่การวินิจฉัย ในข้อกฎหมายตามฎีกาของผู้ร้องจึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกา ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาผู้ร้องนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของผู้ร้องเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาผู้ร้อง คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด ผู้ร้องเห็นว่า ฎีกาของผู้ร้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ผู้คัดค้านทั้งสามยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องขอให้ศาล มีคำสั่งแสดงว่าที่ดินเฉพาะส่วนในที่ดินโฉนดเลขที่ 31981 ตำบลดอนทรายอำเภอโพธารามจังหวัดราชบุรี เนื้อที่ประมาณ1 งานเศษ ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้คัดค้านทั้งสาม ยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของ ผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 67,66) ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 69)
คำสั่ง ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่าสิบปี โดยไม่มี ผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ผู้ร้องย่อมได้ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วนั้น เห็นได้ว่าเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยของ ศาลอุทธรณ์ที่ว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะผู้อาศัยเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติและต้องห้ามฎีกาเพื่อสู่การวินิจฉัย ในข้อกฎหมายตามฎีกาของผู้ร้องจึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกา ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาผู้ร้องนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลับหลังจำเลยและถือว่าจำเลยทราบคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้วแต่วันที่ 31 มกราคม 2538 วันสุดท้าย ที่จำเลยจะยื่นฎีกาได้คือ 28 กุมภาพันธ์ 2538 การที่จำเลย ยื่นฎีกาวันนี้พ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาแล้ว จึงไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2538 แต่จำเลยไม่ได้มาฟังคำพิพากษาจึงไม่อาจทราบวันนัด และไม่ทราบว่า ครบกำหนดยื่นฎีกาในวันใด และการยื่นฎีกาภายใน 1 เดือนนั้น ต้องนับจำนวน 30 วัน เป็นหนึ่งเดือน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 2 มีนาคม 2538 เนื่องจากเดือนกุมภาพันธ์มีเพียง 28 วัน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 172) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ให้จำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 158) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 159) ศาลฎีกาทำคำสั่งเสร็จแล้วส่งไปศาลชั้นต้นเพื่ออ่านปรากฏว่าจำเลยถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ส่งสำนวนพร้อมซองคำสั่งคืนศาลฎีกาเพื่อพิจารณาต่อไป(อันดับ 258)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 39(1) จึงไม่เป็นประโยชน์ที่จะพิจารณา สั่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกานี้อีก ให้ยกคำร้องและ ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลับหลังจำเลยและถือว่าจำเลยทราบคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้วแต่วันที่ 31 มกราคม 2538 วันสุดท้าย ที่จำเลยจะยื่นฎีกาได้คือ 28 กุมภาพันธ์ 2538 การที่จำเลย ยื่นฎีกาวันนี้พ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาแล้ว จึงไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2538 แต่จำเลยไม่ได้มาฟังคำพิพากษาจึงไม่อาจทราบวันนัด และไม่ทราบว่า ครบกำหนดยื่นฎีกาในวันใด และการยื่นฎีกาภายใน 1 เดือนนั้น ต้องนับจำนวน 30 วัน เป็นหนึ่งเดือน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 2 มีนาคม 2538 เนื่องจากเดือนกุมภาพันธ์มีเพียง 28 วัน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 172) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ให้จำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 158) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 159) ศาลฎีกาทำคำสั่งเสร็จแล้วส่งไปศาลชั้นต้นเพื่ออ่านปรากฏว่าจำเลยถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ส่งสำนวนพร้อมซองคำสั่งคืนศาลฎีกาเพื่อพิจารณาต่อไป(อันดับ 258)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 39(1) จึงไม่เป็นประโยชน์ที่จะพิจารณา สั่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกานี้อีก ให้ยกคำร้องและ ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้อง จึงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกา ผู้ร้องเห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลาง ผู้ร้องจึงมิได้อยู่ในฐานะเป็นโจทก์ในคดีนี้ คำร้องของ ผู้ร้องจึงมิใช่คำฟ้อง เมื่อศาลมีคำสั่งยกคำร้อง จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220จึงไม่ต้องห้ามฎีกา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 69) กรณีเป็นชั้นขอคืนของกลาง คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย ในความผิดฐานลักทรัพย์ และพยายามฆ่า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7)(8) วรรคสาม,336 ทวิ,288,80,83 และริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางยี่ห้อฮอนด้า สีน้ำเงิน หมายเลขตัวรถ เอ็นแซด100-เจ07394หมายเลขเครื่องยนต์เอ็นแซด110อี-เจ 7394ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดดังกล่าว ขอให้สั่งคืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 65) ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 66)
คำสั่ง เป็นเรื่องที่ผู้ร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบไม่มีกฎหมายห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง รับฎีกาของผู้ร้องให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้อง จึงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกา ผู้ร้องเห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลาง ผู้ร้องจึงมิได้อยู่ในฐานะเป็นโจทก์ในคดีนี้ คำร้องของ ผู้ร้องจึงมิใช่คำฟ้อง เมื่อศาลมีคำสั่งยกคำร้อง จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220จึงไม่ต้องห้ามฎีกา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 69) กรณีเป็นชั้นขอคืนของกลาง คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย ในความผิดฐานลักทรัพย์ และพยายามฆ่า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7)(8) วรรคสาม,336 ทวิ,288,80,83 และริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางยี่ห้อฮอนด้า สีน้ำเงิน หมายเลขตัวรถ เอ็นแซด100-เจ07394หมายเลขเครื่องยนต์เอ็นแซด110อี-เจ 7394ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดดังกล่าว ขอให้สั่งคืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 65) ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 66)
คำสั่ง เป็นเรื่องที่ผู้ร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบไม่มีกฎหมายห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง รับฎีกาของผู้ร้องให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของ จำเลยทั้งสามเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษ จึงเป็นฎีกา ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรี ไม่รับฎีกา จำเลยทั้งสามเห็นว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 วรรคแรก ซึ่งเป็น บทหนักนั้นไม่ถูกต้อง เพราะบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับไม่ถึง กับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จำเลยทั้งสาม มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 เท่านั้น เมื่อ โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษมาในฟ้อง จึงลงโทษจำเลยทั้งสามไม่ได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสามไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 51) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 วรรคแรก มาตรา 296 การกระทำของ จำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม มาตรา 140 วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ให้ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ ต่อการพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกคนละ 3 เดือน ไม่ปรากฏ ว่าจำเลยทั้งสามได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้เปลี่ยนโทษจำคุก เป็นโทษกักขังมีกำหนด 3 เดือนแทน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 49) จำเลยทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 51)
คำสั่ง คดีนี้จำเลยฎีกาว่า บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับยังไม่ถึง บาดเจ็บ เป็นเพียงความผิดลหุโทษ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 จึงไม่ชอบ และขอให้รอการลงโทษ เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจและข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วเพื่อจะ นำไปสู่ข้อกฎหมายเรื่องการปรับบท จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรี ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของ จำเลยทั้งสามเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษ จึงเป็นฎีกา ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรี ไม่รับฎีกา จำเลยทั้งสามเห็นว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 วรรคแรก ซึ่งเป็น บทหนักนั้นไม่ถูกต้อง เพราะบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับไม่ถึง กับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จำเลยทั้งสาม มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 เท่านั้น เมื่อ โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษมาในฟ้อง จึงลงโทษจำเลยทั้งสามไม่ได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสามไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 51) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 วรรคแรก มาตรา 296 การกระทำของ จำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม มาตรา 140 วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ให้ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ ต่อการพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกคนละ 3 เดือน ไม่ปรากฏ ว่าจำเลยทั้งสามได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้เปลี่ยนโทษจำคุก เป็นโทษกักขังมีกำหนด 3 เดือนแทน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 49) จำเลยทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 51)
คำสั่ง คดีนี้จำเลยฎีกาว่า บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับยังไม่ถึง บาดเจ็บ เป็นเพียงความผิดลหุโทษ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 จึงไม่ชอบ และขอให้รอการลงโทษ เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจและข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วเพื่อจะ นำไปสู่ข้อกฎหมายเรื่องการปรับบท จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรี ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว ปรากฎว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ และ ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยืน คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 จึงไม่รับฎีกา โจทก์เห็นว่า โจทก์ไม่มีเจตนาที่จะไม่ยื่นอุทธรณ์ภายใน กำหนดที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลา แต่เนื่องจาก ทนายโจทก์และโจทก์หลงผิดดูตัวเลขวันที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยาย ระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายในวันที่ 14 มกราคม 2537 เป็นวันที่ 24 มกราคม 2537 ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยทั้งสองยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้สามีโจทก์ถึงแก่ความตายในทางการงานที่จ้างของจำเลยที่ 2 เป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายในวันที่ 14 มกราคม 2537 โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์วันที่ 24 มกราคม 2537 พร้อมคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา และอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์ว่า ที่โจทก์อ้างว่า ทนายโจทก์และโจทก์หลงผิดดูตัวเลขที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายในวันที่ 14 มกราคม 2537 เป็นวันที่ 24 มกราคม 2537 นั้น ไม่น่าเชื่อเพราะปรากฎว่า ศาลชั้นต้นเขียนเลข 14 ไว้ในคำสั่งอย่างชัดเจน ไม่มีทางที่จะ มองเป็นเลข 24 ไปได้ จึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์ ได้ ให้ยกคำร้อง และสั่งคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาว่า ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์ จึงยกคำร้อง และสั่ง อุทธรณ์ว่า ศาลไม่อนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์ (อันดับ 70,71 แผ่นที่ 1 ที่ 3 และแผ่นที่ 5) โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์และคำร้องอุทธรณ์คำสั่งอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า โจทก์ยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาพร้อมอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจะต้อง ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสาม การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ก่อนมีคำสั่ง คำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จึงให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้น ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสาม แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี (อันดับ 84) ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา คู่ความไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบ เห็นควรให้งดการไต่สวนคำร้อง ขออนาถาหากโจทก์ประสงค์จะยื่นอุทธรณ์ ให้นำค่าขึ้นศาลมาวางศาล ภายในวันที่ 2 กันยายน 2537 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลา วางเงินค่าขึ้นศาลหลายครั้ง ต่อมาได้นำเงินค่าขึ้นศาลมาชำระ ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ยื่นอุทธรณ์เลยกำหนด ระยะเวลาอุทธรณ์ และศาลไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด (อันดับ 88,90,91,92,93) โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว การขยายระยะเวลาอุทธรณ์จะต้องยื่นก่อนพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ แต่โจทก์มาขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เมื่อสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์แล้วโดยอ้างเหตุดูวันที่ผิด มิใช่กรณีเหตุสุดวิสัยที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้และอุทธรณ์ของ โจทก์ยื่นต่อศาลชั้นต้นพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว จึงไม่มี เหตุที่จะรับอุทธรณ์ของโจทก์ได้ ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ (อันดับ 94,102) โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 103) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 104)
คำสั่ง การที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งดังกล่าวโดยให้ยกคำร้องของโจทก์ ก็โดยเหตุที่จำเลยยื่นอุทธรณ์ล่วงเลยกำหนดเวลาที่ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาได้ อุทธรณ์ของโจทก์ไม่ชอบ ด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้น มิใช่ คำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ด้วยเนื้อหาในอุทธรณ์ของโจทก์อันจะเป็นคำสั่งซึ่งเป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้ ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว ปรากฎว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ และ ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยืน คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 จึงไม่รับฎีกา โจทก์เห็นว่า โจทก์ไม่มีเจตนาที่จะไม่ยื่นอุทธรณ์ภายใน กำหนดที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลา แต่เนื่องจาก ทนายโจทก์และโจทก์หลงผิดดูตัวเลขวันที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยาย ระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายในวันที่ 14 มกราคม 2537 เป็นวันที่ 24 มกราคม 2537 ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยทั้งสองยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้สามีโจทก์ถึงแก่ความตายในทางการงานที่จ้างของจำเลยที่ 2 เป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายในวันที่ 14 มกราคม 2537 โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์วันที่ 24 มกราคม 2537 พร้อมคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา และอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์ว่า ที่โจทก์อ้างว่า ทนายโจทก์และโจทก์หลงผิดดูตัวเลขที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายในวันที่ 14 มกราคม 2537 เป็นวันที่ 24 มกราคม 2537 นั้น ไม่น่าเชื่อเพราะปรากฎว่า ศาลชั้นต้นเขียนเลข 14 ไว้ในคำสั่งอย่างชัดเจน ไม่มีทางที่จะ มองเป็นเลข 24 ไปได้ จึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์ ได้ ให้ยกคำร้อง และสั่งคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาว่า ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์ จึงยกคำร้อง และสั่ง อุทธรณ์ว่า ศาลไม่อนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์ (อันดับ 70,71 แผ่นที่ 1 ที่ 3 และแผ่นที่ 5) โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์และคำร้องอุทธรณ์คำสั่งอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า โจทก์ยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาพร้อมอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจะต้อง ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสาม การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ก่อนมีคำสั่ง คำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จึงให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้น ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสาม แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี (อันดับ 84) ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา คู่ความไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบ เห็นควรให้งดการไต่สวนคำร้อง ขออนาถาหากโจทก์ประสงค์จะยื่นอุทธรณ์ ให้นำค่าขึ้นศาลมาวางศาล ภายในวันที่ 2 กันยายน 2537 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลา วางเงินค่าขึ้นศาลหลายครั้ง ต่อมาได้นำเงินค่าขึ้นศาลมาชำระ ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ยื่นอุทธรณ์เลยกำหนด ระยะเวลาอุทธรณ์ และศาลไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด (อันดับ 88,90,91,92,93) โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว การขยายระยะเวลาอุทธรณ์จะต้องยื่นก่อนพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ แต่โจทก์มาขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เมื่อสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์แล้วโดยอ้างเหตุดูวันที่ผิด มิใช่กรณีเหตุสุดวิสัยที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้และอุทธรณ์ของ โจทก์ยื่นต่อศาลชั้นต้นพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว จึงไม่มี เหตุที่จะรับอุทธรณ์ของโจทก์ได้ ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ (อันดับ 94,102) โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 103) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 104)
คำสั่ง การที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งดังกล่าวโดยให้ยกคำร้องของโจทก์ ก็โดยเหตุที่จำเลยยื่นอุทธรณ์ล่วงเลยกำหนดเวลาที่ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาได้ อุทธรณ์ของโจทก์ไม่ชอบ ด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้น มิใช่ คำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ด้วยเนื้อหาในอุทธรณ์ของโจทก์อันจะเป็นคำสั่งซึ่งเป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้ ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป
ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามโดยให้ยกคำร้องโดยเหตุที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ล่วงเลยกำหนดมิใช่คำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ด้วยเนื้อหาในอุทธรณ์อันจะเป็นที่สุดตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้สามีโจทก์ถึงแก่ความตายในทางการงานที่จ้างของจำเลยที่ 2เป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกระกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายในวันที่ 14 มกราคม 2537โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์วันที่ 24 มกราคม 2537 พร้อมคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา และอุทธรณ์ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์ว่า ที่โจทก์อ้างว่าทนายโจทก์และโจทก์หลงผิดดูตัวเลขที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายในวันที่ 14 มกราคม 2537 เป็นวันที่ 24 มกราคม 2537 นั้นไม่น่าเชื่อเพราะปรากฏว่าศาลชั้นต้นเขียนเลข 14 ไว้ ในคำสั่งอย่างชัดเจน ไม่มีทางที่จะมองเป็นเลข 24 ไปได้ จึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์ได้ ให้ยกคำร้อง และสั่งคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาว่า ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์จึงยกคำร้อง และสั่งอุทธรณ์ว่าศาลไม่อนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์จึงไม่รับอุทธรณ์
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์และคำร้องอุทธรณ์คำสั่งอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า โจทก์ยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาพร้อมอุทธรณ์ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสามการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ก่อนมีคำสั่งคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาจึงให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสามแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา คู่ความไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบเห็นควรให้งดการไต่สวนคำร้องขออนาถา หากโจทก์ประสงค์จะยื่นอุทธรณ์ ให้นำค่าขึ้นศาลมาวางศาลภายในวันที่2 กันยายน 2537 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลหลายครั้ง ต่อมาได้นำเงินค่าขึ้นศาลมาชำระ ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ยื่นอุทธรณ์เลยกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ และศาลไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว การขยายระยะเวลาอุทธรณ์จะต้องยื่นก่อนพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ แต่โจทก์มาขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เมื่อสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์แล้วโดยอ้างเหตุดูวันที่ผิด มิใช่กรณีเหตุสุดวิสัยที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้และอุทธรณ์ของโจทก์ยื่นต่อศาลชั้นต้นพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะรับอุทธรณ์ของโจทก์ได้ ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "การที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งดังกล่าวโดยให้ยกคำร้องของโจทก์ ก็โดยเหตุที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ล่วงเลยกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาไว้ อุทธรณ์ของโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้น มิใช่คำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ด้วยเนื้อหาในอุทธรณ์ของโจทก์อันจะเป็นคำสั่งซึ่งเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่งโจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้ ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป"
ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามโดยให้ยกคำร้องโดยเหตุที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ล่วงเลยกำหนดมิใช่คำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ด้วยเนื้อหาในอุทธรณ์อันจะเป็นที่สุดตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้สามีโจทก์ถึงแก่ความตายในทางการงานที่จ้างของจำเลยที่ 2เป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกระกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายในวันที่ 14 มกราคม 2537โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์วันที่ 24 มกราคม 2537 พร้อมคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา และอุทธรณ์ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์ว่า ที่โจทก์อ้างว่าทนายโจทก์และโจทก์หลงผิดดูตัวเลขที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายในวันที่ 14 มกราคม 2537 เป็นวันที่ 24 มกราคม 2537 นั้นไม่น่าเชื่อเพราะปรากฏว่าศาลชั้นต้นเขียนเลข 14 ไว้ ในคำสั่งอย่างชัดเจน ไม่มีทางที่จะมองเป็นเลข 24 ไปได้ จึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์ได้ ให้ยกคำร้อง และสั่งคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาว่า ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์จึงยกคำร้อง และสั่งอุทธรณ์ว่าศาลไม่อนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์จึงไม่รับอุทธรณ์
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์และคำร้องอุทธรณ์คำสั่งอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า โจทก์ยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาพร้อมอุทธรณ์ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสามการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ก่อนมีคำสั่งคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาจึงให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสามแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา คู่ความไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบเห็นควรให้งดการไต่สวนคำร้องขออนาถา หากโจทก์ประสงค์จะยื่นอุทธรณ์ ให้นำค่าขึ้นศาลมาวางศาลภายในวันที่2 กันยายน 2537 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลหลายครั้ง ต่อมาได้นำเงินค่าขึ้นศาลมาชำระ ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ยื่นอุทธรณ์เลยกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ และศาลไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว การขยายระยะเวลาอุทธรณ์จะต้องยื่นก่อนพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ แต่โจทก์มาขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เมื่อสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์แล้วโดยอ้างเหตุดูวันที่ผิด มิใช่กรณีเหตุสุดวิสัยที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้และอุทธรณ์ของโจทก์ยื่นต่อศาลชั้นต้นพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะรับอุทธรณ์ของโจทก์ได้ ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "การที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งดังกล่าวโดยให้ยกคำร้องของโจทก์ ก็โดยเหตุที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ล่วงเลยกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาไว้ อุทธรณ์ของโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้น มิใช่คำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ด้วยเนื้อหาในอุทธรณ์ของโจทก์อันจะเป็นคำสั่งซึ่งเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่งโจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้ ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป"
หมายเหตุ (1) เคย มี คำสั่ง คำร้อง ของ ศาลฎีกา ที่ 340/2513 ( ประชุมใหญ่ ) วินิจฉัย ไว้ ดังนี้ คำสั่ง ของ ศาลอุทธรณ์ ที่ ยืน ตาม คำ ปฏิเสธ ของ ศาลชั้นต้น ไม่ยอม รับ อุทธรณ์ อัน จะ เป็น ที่สุด ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 นั้น ต้อง เป็น คำสั่ง ยืน ใน เนื้อหา ของ อุทธรณ์ คือ ตัว อุทธรณ์ เดิม ว่า จะ อุทธรณ์ ได้ หรือไม่ ศาลชั้นต้น สั่ง ไม่รับ อุทธรณ์ เพราะ บุคคลอื่น มา ยื่น อุทธรณ์ โดย ไม่มี ใบ มอบฉันทะ แต่ ศาลอุทธรณ์ กลับ มี คำสั่ง ไม่รับ เพราะ ยื่น อุทธรณ์ คำสั่ง ไม่รับ อุทธรณ์ เกิน กำหนด 10 วัน ซึ่ง มิใช่ เป็น คำสั่ง ยืน ไม่รับ ใน เนื้อหา เดียว กัน คำสั่ง ของ ศาลอุทธรณ์ ไม่เป็นที่สุด จำเลย จึง ชอบ ที่ จะ ยื่นฎีกา ได้ (2) การ ใช้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ก็ ต้อง เป็น ไป ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 ซึ่ง ต้อง ใช้ ใน บรรดา กรณี ซึ่ง ต้องด้วย บทบัญญัติ ใด ๆ แห่งกฎหมาย ตาม ตัวอักษร หรือ ตาม ความมุ่งหมาย ของ บทบัญญัติ นั้น ๆ มี คำพิพากษา ศาลฎีกา ที่ 2808/2538 วินิจฉัย ได้ ตาม ตัว บท มาตรา 236 ว่า ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 มี คำสั่ง ยกคำร้อง อุทธรณ์ คำสั่ง ที่ ไม่รับ อุทธรณ์ ของ ผู้ร้อง มีผล เป็น การ ไม่รับ อุทธรณ์ ยืน ตาม คำ ปฏิเสธ ของ ศาลชั้นต้น จึง เป็น ที่สุด ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 (3) ที่ ศาลฎีกา ว่า " มิใช่ คำสั่ง ยืน ตาม คำ ปฏิเสธ ของ ศาลชั้นต้น ที่ ไม่รับ อุทธรณ์ ด้วย เนื้อหา ใน อุทธรณ์ ของ โจทก์ อัน จะ เป็น คำสั่ง ซึ่ง เป็น ที่สุด ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่ง โจทก์ จึง มีสิทธิ ฎีกา ได้ " นั้น อาจ ไม่ ตรง ตาม ถ้อยคำ ตาม ตัว บท ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่ง ที่ ว่า " เมื่อ คู่ความ ยื่น คำร้องอุทธรณ์ คำสั่งศาล ที่ ปฏิเสธ ไม่ยอม รับ อุทธรณ์ " เพราะ มาตรา 236 มิได้ บัญญัติ ไว้ เลย ว่า จะ ต้อง เป็น การ ไม่รับ อุทธรณ์ ด้วย เนื้อหา ใน อุทธรณ์ การ ที่ วินิจฉัย ไป ว่า ต้อง เป็น การ ไม่รับ อุทธรณ์ ด้วย เนื้อหา จึง เป็น การ เพิ่ม ความใน ตัว บท ทั้ง จะ ถือว่า เป็น การ ใช้ กฎหมาย ตาม ความมุ่งหมาย ก็ ไม่ได้ เพราะ การ ใช้ กฎหมาย ตาม ความมุ่งหมาย ก็ ต้อง เป็น ไป ตาม ความมุ่งหมาย ของ บทบัญญัติ นั้น ๆ คือ มาตรา 236 นี้ เอง ซึ่ง ก็ ไม่มี ความมุ่งหมาย ให้ เห็น ให้ ตีความ (4) ผู้บันทึก เห็นว่า ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 ถ้า ใช้ กฎหมาย ตาม ตัวอักษร ตาม มาตรา 4 เมื่อ ไม่รับ อุทธรณ์ เพราะ เหตุใด ก็ ย่อม ถือว่า เป็น การ ไม่ยอม รับ อุทธรณ์ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 ทั้งสิ้น ( คำสั่ง ของ ศาล ไม่ว่า เป็น การ สั่ง รับ หรือไม่ รับ เมื่อ ตีความ การแสดง เจตนา ของ ศาล ย่อม เพ่งเล็ง ถึง เจตนา อัน แท้จริง ยิ่งกว่า ถ้อยคำ สำนวน หรือ ตัวอักษร ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 171) จะ เป็น ด้วย ไม่รับ ด้วย เนื้อหา หรือ เหตุอื่น ๆ เช่น อุทธรณ์ นั้น อ่าน ไม่ออก อ่าน ไม่ เข้าใจ ไม่มี รายการ ไม่มี ลายมือชื่อ ไม่ชำระ ค่าธรรมเนียม ชั้นอุทธรณ์ ฯลฯ ( อุทธรณ์ เป็น คำฟ้อง ชั้นอุทธรณ์ และ เป็น คำคู่ความ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3)(5)) และ ศาล สั่ง ไม่รับ ก็ เป็น การ ไม่รับ ตาม มาตรา 236 วรรคแรก ทั้งสิ้น ถ้า ศาลอุทธรณ์ มี คำสั่ง ไม่รับ หรือ คำสั่ง ให้ รับ ก็ ย่อม เป็น ที่สุด ตาม มาตรา 236 เสมอ (5) พึง สังเกต ว่า คำสั่ง ของ ศาลชั้นต้น ที่ ไม่รับ คำฟ้อง หรือ คำให้การ ของ ศาลชั้นต้น แล้ว กรณี ย่อม ไม่อยู่ ใน บังคับ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 แต่ ย่อม อุทธรณ์ ฎีกา ได้ ตาม มาตรา 18 วรรคสุดท้าย และ มาตรา 227, 228, 247 แต่ เวลา อุทธรณ์ ก็ ต้อง อยู่ ใน บังคับ ของ มาตรา 236 เช่นเดียวกัน (6) เมื่อ เป็น การ ใช้ กฎหมาย ตาม ตัวอักษร ถ้า ถือ ตาม แนว คำสั่ง คำร้อง ของ ศาลฎีกา ฉบับนี้ อันเป็น การ ไม่ ใช้ กฎหมาย ตาม ตัวอักษร โดย ไป เพิ่มเติม ตัว บท หรือ เหตุผล ใน การ สั่ง ไม่รับ ผล ประห ลาด ย่อม จะ เกิดขึ้น ได้ ดังนี้ ถ้า เป็น การ สั่ง ไม่รับ อุทธรณ์ ด้วย เนื้อหา ใน อุทธรณ์ แล้ว ว่า กัน ได้ เพียง 2 ศาล คือ ศาลชั้นต้น ที่ สั่ง ไม่รับ และ ศาลอุทธรณ์ ที่ สั่ง ยืน เป็น ไม่รับ เช่นเดียวกัน แต่ ถ้า ศาลอุทธรณ์ สั่ง ยืน เป็น ตาม คำสั่ง ของ ศาลชั้นต้น ที่ ไม่รับ อุทธรณ์ ที่ ไม่ใช่ เนื้อหา ใน อุทธรณ์ เช่น ดัง ตัวอย่าง ดังกล่าว ใน ข้อ (4) จะ ว่า กัน ถึง 3 ศาล จะ ควร เป็น ดังนี้ หรือ อุทธรณ์ เช่น ศาลชั้นต้น สั่ง ให้ โจทก์ เสีย ค่าธรรมเนียม ชั้นอุทธรณ์ เพิ่ม อีก 10,000 บาท โจทก์ ไม่ยอม เสีย ศาลชั้นต้น จึง สั่ง ไม่รับ อุทธรณ์ โจทก์ ยื่น คำร้องอุทธรณ์ คำสั่งศาล อุทธรณ์ สั่ง คำร้อง โดย สั่ง ยืน ตาม คำสั่ง ของ ศาลชั้นต้น ถ้า ถือ ตาม แนว คำสั่ง คำร้อง ของ ศาลฎีกา ฉบับนี้ โจทก์ ย่อม ยื่นฎีกา คำสั่ง ต่อ ศาลฎีกา ได้ แต่ ถ้า โจทก์ ฟ้อง เรียก ค่าเสียหาย ใน มูลหนี้ ละเมิด 1 ล้าน บาท ศาลชั้นต้น สั่ง ไม่รับ อุทธรณ์ เพราะ มิใช่ ข้อเท็จจริง ที่ ว่ากล่าว กัน มา แล้ว ใน ศาลชั้นต้น โจทก์ ยื่น คำร้องอุทธรณ์ คำสั่ง ต่อ ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ สั่ง ยกคำร้อง ยืน ตาม คำสั่ง ของ ศาลชั้นต้น ถ้า ถือ ตาม แนว คำสั่ง คำร้อง ของ ศาลฎีกา ฉบับนี้ โจทก์ ย่อม ฎีกา คำสั่ง ต่อ ศาลฎีกา ไม่ได้ เพราะ เป็น การ สั่ง ไม่รับ อุทธรณ์ ด้วย เนื้อหา ใน อุทธรณ์ แล้ว จึง เป็น คำสั่ง ถึงที่สุด ตาม มาตรา 236 ขอให้ ผู้อ่าน ลอง เปรียบเทียบ ดู ผล ของ คำสั่ง ของ ศาลอุทธรณ์ ที่ สั่ง ยืน ไม่รับ อุทธรณ์ ทั้ง สอง กรณี ดังกล่าว (7) นอกเหนือ จาก ปัญหา ดังกล่าว ข้างต้น ก็ มี ปัญหา เกี่ยวกับ รูป แบบ ของ การ ฎีกา ตาม คำสั่ง คำร้อง ของ ศาลฎีกา ที่ บันทึก นี้ ทนายโจทก์ ได้ ทำ เป็น คำร้อง ต่อ ศาลฎีกา ขอให้ ศาลฎีกา มี คำสั่ง ให้ รับ ฎีกา โจทก์ ไว้ พิจารณา ไม่ได้ ทำ เป็น รูป ฎีกา ตาม หลักเกณฑ์ ตาม ปกติ ตาม คำสั่ง คำร้อง ของ ศาลฎีกา ที่ 340/2513 วินิจฉัย โดย ที่ ประชุมใหญ่ ก็ แสดง ว่า ได้ ทำ เป็น คำร้อง ไม่ใช่ ทำ ใน รูป ฎีกา พึง สังเกต ว่า กรณี ตาม คำสั่ง คำร้อง ศาลฎีกา ฉบับนี้ ไม่ใช่ เรื่อง ศาลชั้นต้น ไม่รับ ฎีกา แล้ว โจทก์ มา ยื่น คำร้อง ต่อ ศาลฎีกา ให้ ศาลฎีกา สั่ง รับ ฎีกา ตาม มาตรา 252 เนื่องจาก ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 ผู้อุทธรณ์ จะ ฎีกา ต่อไป ไม่ได้ กฎหมาย จึง ไม่ได้ กำหนด รูป แบบ ของ การ ฎีกา ไว้ โดยเฉพาะ แต่ ตาม คำสั่ง คำร้อง ของ ศาลฎีกา ฉบับที่ บันทึก นี้ เหตุใด ศาลฎีกา จึง รับ วินิจฉัย ให้ ไม่ทราบ ที่ จะ ทำ เป็น อุทธรณ์ คำสั่ง หรือ ฎีกา คำสั่ง ใน รูป คำร้อง นั้น จะ ต้อง มี ตัว บท กฎหมาย ว่า ไว้ โดย ชัดแจ้ง เช่น ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย , 236, 252 ฯลฯ เป็นต้น ตาม คำร้อง ของ โจทก์ คดี นี้ รูปเรื่อง เป็น ข้อ ที่ มี การ โต้แย้ง คำสั่ง ของ ศาลอุทธรณ์ โดย หลัก จะ ต้อง ทำ เป็น รูป ฎีกา คำสั่ง ขึ้น มา ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 อยู่ ใน ข้อบังคับ ของ บทบัญญัติ ว่าด้วย การ ฎีกา จึง จะ ชอบ ด้วย หลักการ ไม่ใช่ ทำ เป็น รูป คำร้อง ต่อ ศาลฎีกา เช่น ใน คดี นี้ บาง ที จะ เห็น กัน ว่า เป็น เรื่อง เล็กน้อย และ ทำ กัน เร็ว ๆ เอา กัน ง่าย ๆ ไม่ คำนึง ถึง หลักการ ก็ เลย รับ วินิจฉัย ให้ ก็ เป็น ได้ ไพจิตร ปุญญพันธุ์
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การอนุญาตรับรองฎีกาว่าข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควร สู่ศาลสูงสุด และอนุญาตให้ฎีกาได้หรือไม่เป็นดุลพินิจเฉพาะตัวของผู้พิพากษาแต่ละท่าน เมื่อเห็นว่าไม่เป็นปัญหาสำคัญ และไม่ อนุญาตให้ฎีกาแล้วจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้ จึงไม่รับฎีกาคำสั่งของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองสมควรที่จะ ได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาว่า คำร้องขอให้รับรองฎีกาของ จำเลยทั้งสองยื่นภายในกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาแล้วหรือไม่ จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิฎีกาได้ โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลย ทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชกำหนด ป้องกันการใช้สารระเหย พ.ศ. 2533 มาตรา 3,4,17,24,31 จำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 3 เดือน นำโทษจำคุก 3 เดือน ในคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 147/2536 ของศาลชั้นต้น บวกเข้ากับโทษจำคุก จำเลยที่ 1 ในคดีนี้ รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน นำโทษจำคุก 3 เดือน และ 3 เดือน ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3644/2535 และ 146/2536 ของศาลชั้นต้น บวกเข้ากับโทษจำคุก จำเลยที่ 2 ในคดีนี้ รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 เดือน ของกลางริบ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และสั่งฎีกาว่าฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง (อันดับ 17,16) จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้รับรองฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งว่า ตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง พอแปลได้ว่าจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวน หรือผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะรับรอง ฎีกาของจำเลยทั้งสอง อ้างว่าคดีมีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุด จะได้วินิจฉัย แต่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อพ้นกำหนดอายุฎีกาแล้ว จึงไม่อาจรับรอง ให้จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ให้ยกคำร้อง (อันดับ 25) จำเลยทั้งสองฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 28) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 29)
คำสั่ง คดีของจำเลยต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลย ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 วันที่ 15 ธันวาคม 2537 จำเลยยื่นฎีกาและยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นรับรอง ฎีกาภายในกำหนดอายุฎีกา ศาลชั้นต้นไม่รับรองฎีกาและมีคำสั่ง ไม่รับฎีกา จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับรอง ฎีกาเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2538 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 แปลว่า เป็นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่นั่งพิจารณา รับรองให้ฎีกา ซึ่งเป็นการยื่นเมื่อพ้นกำหนดอายุฎีกาแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งไม่รับรองฎีกาให้จึงชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การอนุญาตรับรองฎีกาว่าข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควร สู่ศาลสูงสุด และอนุญาตให้ฎีกาได้หรือไม่เป็นดุลพินิจเฉพาะตัวของผู้พิพากษาแต่ละท่าน เมื่อเห็นว่าไม่เป็นปัญหาสำคัญ และไม่ อนุญาตให้ฎีกาแล้วจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้ จึงไม่รับฎีกาคำสั่งของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองสมควรที่จะ ได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาว่า คำร้องขอให้รับรองฎีกาของ จำเลยทั้งสองยื่นภายในกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาแล้วหรือไม่ จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิฎีกาได้ โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลย ทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชกำหนด ป้องกันการใช้สารระเหย พ.ศ. 2533 มาตรา 3,4,17,24,31 จำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 3 เดือน นำโทษจำคุก 3 เดือน ในคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 147/2536 ของศาลชั้นต้น บวกเข้ากับโทษจำคุก จำเลยที่ 1 ในคดีนี้ รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน นำโทษจำคุก 3 เดือน และ 3 เดือน ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3644/2535 และ 146/2536 ของศาลชั้นต้น บวกเข้ากับโทษจำคุก จำเลยที่ 2 ในคดีนี้ รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 เดือน ของกลางริบ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และสั่งฎีกาว่าฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง (อันดับ 17,16) จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้รับรองฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งว่า ตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง พอแปลได้ว่าจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวน หรือผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะรับรอง ฎีกาของจำเลยทั้งสอง อ้างว่าคดีมีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุด จะได้วินิจฉัย แต่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อพ้นกำหนดอายุฎีกาแล้ว จึงไม่อาจรับรอง ให้จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ให้ยกคำร้อง (อันดับ 25) จำเลยทั้งสองฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 28) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 29)
คำสั่ง คดีของจำเลยต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลย ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 วันที่ 15 ธันวาคม 2537 จำเลยยื่นฎีกาและยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นรับรอง ฎีกาภายในกำหนดอายุฎีกา ศาลชั้นต้นไม่รับรองฎีกาและมีคำสั่ง ไม่รับฎีกา จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับรอง ฎีกาเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2538 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 แปลว่า เป็นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่นั่งพิจารณา รับรองให้ฎีกา ซึ่งเป็นการยื่นเมื่อพ้นกำหนดอายุฎีกาแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งไม่รับรองฎีกาให้จึงชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยฎีกาขอให้รอ การลงโทษ เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ตามศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลย จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยได้หยิบยกข้อเท็จจริงที่ มิได้ปรากฏอยู่ในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ขึ้นมาเพื่อประกอบ ข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 และ 78 แต่เนื่องจาก ข้อเท็จจริงทั้งหมดตามฎีกาเพิ่งปรากฏในชั้นฎีกา และจำเลย ได้ถูกจำคุกมาจวนครบกำหนดกักขังแล้ว ซึ่งโทษจำคุกจำเลย ได้รับรุนแรงกว่าการกักขัง จำเลยจึงได้รับโทษรุนแรงกว่า การกระทำผิดของจำเลยแล้ว ขอศาลได้โปรดพิจารณาการกระทำ ของจำเลยประกอบเข้ากับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56,78 และมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43,157 ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 อันเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 1 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 15 วัน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง 15 วัน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 34) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 39)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วจำเลยยื่นฎีกาขอให้รอการลงโทษหรือรอการ กำหนดโทษหรือลงโทษปรับสถานเดียว เป็นฎีกาเกี่ยวกับดุลยพินิจ ของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยเพียง 15 วัน เปลี่ยนโทษ จำคุกเป็นกักขังแทน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยฎีกาขอให้รอ การลงโทษ เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ตามศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลย จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยได้หยิบยกข้อเท็จจริงที่ มิได้ปรากฏอยู่ในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ขึ้นมาเพื่อประกอบ ข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 และ 78 แต่เนื่องจาก ข้อเท็จจริงทั้งหมดตามฎีกาเพิ่งปรากฏในชั้นฎีกา และจำเลย ได้ถูกจำคุกมาจวนครบกำหนดกักขังแล้ว ซึ่งโทษจำคุกจำเลย ได้รับรุนแรงกว่าการกักขัง จำเลยจึงได้รับโทษรุนแรงกว่า การกระทำผิดของจำเลยแล้ว ขอศาลได้โปรดพิจารณาการกระทำ ของจำเลยประกอบเข้ากับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56,78 และมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43,157 ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 อันเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 1 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 15 วัน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง 15 วัน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 34) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 39)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วจำเลยยื่นฎีกาขอให้รอการลงโทษหรือรอการ กำหนดโทษหรือลงโทษปรับสถานเดียว เป็นฎีกาเกี่ยวกับดุลยพินิจ ของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยเพียง 15 วัน เปลี่ยนโทษ จำคุกเป็นกักขังแทน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เนื่องจากผู้ร้องที่ 1 ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว อำนาจในการฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน ของผู้ร้องที่ 1 จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 ผู้ร้องที่ 1 จึงไม่มีอำนาจยื่นฎีกาคำร้องขัดทรัพย์ซึ่ง เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ร้องที่ 1 ไม่รับฎีกาของผู้ร้องที่ 1 คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด ผู้ร้องที่ 1 เห็นว่า เนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ของผู้ร้องที่ 1 มีคำสั่งไม่ยื่นฎีกาให้ผู้ร้องที่ 1 ในคดีนี้ ผู้ร้องที่ 1 คัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว คดีอยู่ระหว่างไต่สวนคำร้อง ซึ่งการไต่สวนไม่สามารถเสร็จ ทันกำหนดเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาในคดีนี้ เป็นครั้งสุดท้าย ผู้ร้องที่ 1 จึงยื่นฎีกาเอง ซึ่งตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 65 ให้อำนาจลูกหนี้ (จำเลย) ช่วยจัดการทรัพย์สินได้ ดังนั้นเพื่อป้องกัน ความเสียหายกับกองทรัพย์สินของผู้ร้องที่ 1 ในคดีล้มละลาย และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ประกอบกับฎีกาของผู้ร้องที่ 1 มีทั้งปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริงอันสมควรได้รับการ วินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของผู้ร้องที่ 1 ด้วย หมายเหตุ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 76 แผ่นที่ 2) คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยเป็น บุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1312 ถึง 1317 ตำบลองครักษ์ (คลองซอยที่ 24 ฝั่งเหนือ)อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ของจำเลย เพื่อขายทอดตลาดนำเงินเข้ากองทรัพย์สินของจำเลย ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 ว่า ผู้ร้องทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 6 แปลงดังกล่าว ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้สอบสวนและมีคำสั่งคืนโฉนดที่ดินทั้ง 6 ฉบับ ให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง แต่เจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้ผู้ร้องทั้งสองนำเงินประกันค่าเสียหาย จำนวน 6,502,100 บาท มาวางภายใน 7 วัน ซึ่งคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวต่อมาผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 11 มิถุนายน 2533 ว่าตามที่ผู้ร้องทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอให้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คืนโฉนดที่ดินทั้ง 6 ฉบับให้แก่ ผู้ร้องนั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้นัดสอบสวนคำร้องของ ผู้ร้องทั้งสองในวันที่ 9 พฤษภาคม 2533 เมื่อถึงวันนัด สอบสวนผู้ร้องทั้งสองขอเลื่อนการสอบสวน เจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้งดสอบสวนพยานของผู้ร้องทั้งสอง และ มีคำสั่งยกคำร้องขอคืนโฉนดที่ดินด้วยคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วย กฎหมาย เนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้ปฏิบัติตาม ขั้นตอนพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 158 ขอให้ ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ถอนการยึดทรัพย์ คืนโฉนด ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องทั้งสองหรือเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการสอบสวนพยานหลักฐานของผู้ร้องทั้งสองต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของ ผู้ร้องทั้งสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 73) ผู้ร้องที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 75)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าผู้ร้องที่ 1 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เด็ดขาดแล้ว อำนาจในการฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับ ทรัพย์สินของผู้ร้องที่ 1 ย่อมตกเป็นอำนาจของเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวที่จะดำเนินการดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22(3) ผู้ร้องที่ 1 จึงไม่มีอำนาจ ยื่นฎีการ้องขัดทรัพย์ซึ่งเป็นการดำเนินคดีเกี่ยวกับทรัพย์สิน ของผู้ร้องที่ 1 ได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของ ผู้ร้องที่ 1 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า ผู้ร้องที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เนื่องจากผู้ร้องที่ 1 ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว อำนาจในการฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน ของผู้ร้องที่ 1 จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 ผู้ร้องที่ 1 จึงไม่มีอำนาจยื่นฎีกาคำร้องขัดทรัพย์ซึ่ง เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ร้องที่ 1 ไม่รับฎีกาของผู้ร้องที่ 1 คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด ผู้ร้องที่ 1 เห็นว่า เนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ของผู้ร้องที่ 1 มีคำสั่งไม่ยื่นฎีกาให้ผู้ร้องที่ 1 ในคดีนี้ ผู้ร้องที่ 1 คัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว คดีอยู่ระหว่างไต่สวนคำร้อง ซึ่งการไต่สวนไม่สามารถเสร็จ ทันกำหนดเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาในคดีนี้ เป็นครั้งสุดท้าย ผู้ร้องที่ 1 จึงยื่นฎีกาเอง ซึ่งตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 65 ให้อำนาจลูกหนี้ (จำเลย) ช่วยจัดการทรัพย์สินได้ ดังนั้นเพื่อป้องกัน ความเสียหายกับกองทรัพย์สินของผู้ร้องที่ 1 ในคดีล้มละลาย และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ประกอบกับฎีกาของผู้ร้องที่ 1 มีทั้งปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริงอันสมควรได้รับการ วินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของผู้ร้องที่ 1 ด้วย หมายเหตุ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 76 แผ่นที่ 2) คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยเป็น บุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1312 ถึง 1317 ตำบลองครักษ์ (คลองซอยที่ 24 ฝั่งเหนือ)อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ของจำเลย เพื่อขายทอดตลาดนำเงินเข้ากองทรัพย์สินของจำเลย ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 ว่า ผู้ร้องทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 6 แปลงดังกล่าว ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้สอบสวนและมีคำสั่งคืนโฉนดที่ดินทั้ง 6 ฉบับ ให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง แต่เจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้ผู้ร้องทั้งสองนำเงินประกันค่าเสียหาย จำนวน 6,502,100 บาท มาวางภายใน 7 วัน ซึ่งคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวต่อมาผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 11 มิถุนายน 2533 ว่าตามที่ผู้ร้องทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอให้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คืนโฉนดที่ดินทั้ง 6 ฉบับให้แก่ ผู้ร้องนั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้นัดสอบสวนคำร้องของ ผู้ร้องทั้งสองในวันที่ 9 พฤษภาคม 2533 เมื่อถึงวันนัด สอบสวนผู้ร้องทั้งสองขอเลื่อนการสอบสวน เจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้งดสอบสวนพยานของผู้ร้องทั้งสอง และ มีคำสั่งยกคำร้องขอคืนโฉนดที่ดินด้วยคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วย กฎหมาย เนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้ปฏิบัติตาม ขั้นตอนพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 158 ขอให้ ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ถอนการยึดทรัพย์ คืนโฉนด ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องทั้งสองหรือเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการสอบสวนพยานหลักฐานของผู้ร้องทั้งสองต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของ ผู้ร้องทั้งสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 73) ผู้ร้องที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 75)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าผู้ร้องที่ 1 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เด็ดขาดแล้ว อำนาจในการฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับ ทรัพย์สินของผู้ร้องที่ 1 ย่อมตกเป็นอำนาจของเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวที่จะดำเนินการดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22(3) ผู้ร้องที่ 1 จึงไม่มีอำนาจ ยื่นฎีการ้องขัดทรัพย์ซึ่งเป็นการดำเนินคดีเกี่ยวกับทรัพย์สิน ของผู้ร้องที่ 1 ได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของ ผู้ร้องที่ 1 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็น ปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและ วิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 4 จึงไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาเกี่ยวกับอัตราโทษ ของจำเลย ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 89) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300,390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43,157 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ลงโทษจำคุก 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 83) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยฎีกาว่าโทษจำคุกเพียง 4 เดือน เป็นโทษเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นอัตราโทษที่ศาลฎีกาสมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลย ได้นั้น เห็นว่า เป็นฎีกาเกี่ยวกับดุลพินิจในการลงโทษของศาล ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง หาได้เป็นปัญหาข้อกฎหมายดังที่ จำเลยเข้าใจไม่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็น ปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและ วิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 4 จึงไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาเกี่ยวกับอัตราโทษ ของจำเลย ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 89) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300,390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43,157 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ลงโทษจำคุก 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 83) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยฎีกาว่าโทษจำคุกเพียง 4 เดือน เป็นโทษเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นอัตราโทษที่ศาลฎีกาสมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลย ได้นั้น เห็นว่า เป็นฎีกาเกี่ยวกับดุลพินิจในการลงโทษของศาล ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง หาได้เป็นปัญหาข้อกฎหมายดังที่ จำเลยเข้าใจไม่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่จำเลย ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ เป็นการ โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นที่ว่า ยังไม่แน่ชัดว่าผู้เสียหายใช้ไม้ตีจำเลยก่อนหรือไม่ เพราะ ทางนำสืบของจำเลยในชั้นพิจารณาขัดกับที่ให้การไว้ในชั้นไต่สวน แต่เชื่อว่าจำเลยกระทำลงไปเพราะอารมณ์โกรธ จึงเป็นการโต้เถียงปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษก็เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยเห็นว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แตกต่างกันทั้งเนื้อหาสาระหลักกฎหมายและอัตราโทษเป็นการแก้ไขมาก ประกอบกับฎีกาของจำเลยเป็นการฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 82) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 จำคุก 12 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นจับกุม และสอบสวนมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี ของกลางริบ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวน รวมทั้งนำชี้ ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 81) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 82)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษา แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลย ไม่ได้แก้บทมาตราด้วย เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลย ไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่า การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายมิใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัว ศาลอุทธรณ์ก็ฟังเช่นเดียวกันที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยสืบเนื่องมาจากผู้เสียหาย ทำร้ายจำเลยก่อน จึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุนั้นเป็นการ โต้เถียงที่ศาลฟังว่าจำเลยกระทำอย่างไรบ้างที่อ้างว่ากระทำ เพื่อป้องกัน ไม่ใช่ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติแล้วว่าจำเลยกระทำ อย่างไรและการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่จำเลย ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ เป็นการ โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นที่ว่า ยังไม่แน่ชัดว่าผู้เสียหายใช้ไม้ตีจำเลยก่อนหรือไม่ เพราะ ทางนำสืบของจำเลยในชั้นพิจารณาขัดกับที่ให้การไว้ในชั้นไต่สวน แต่เชื่อว่าจำเลยกระทำลงไปเพราะอารมณ์โกรธ จึงเป็นการโต้เถียงปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษก็เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยเห็นว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แตกต่างกันทั้งเนื้อหาสาระหลักกฎหมายและอัตราโทษเป็นการแก้ไขมาก ประกอบกับฎีกาของจำเลยเป็นการฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 82) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 จำคุก 12 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นจับกุม และสอบสวนมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี ของกลางริบ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวน รวมทั้งนำชี้ ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 81) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 82)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษา แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลย ไม่ได้แก้บทมาตราด้วย เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลย ไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่า การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายมิใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัว ศาลอุทธรณ์ก็ฟังเช่นเดียวกันที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยสืบเนื่องมาจากผู้เสียหาย ทำร้ายจำเลยก่อน จึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุนั้นเป็นการ โต้เถียงที่ศาลฟังว่าจำเลยกระทำอย่างไรบ้างที่อ้างว่ากระทำ เพื่อป้องกัน ไม่ใช่ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติแล้วว่าจำเลยกระทำ อย่างไรและการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.2,2.4 ถึง 2.6 เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา เพราะ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนและทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงรับเป็นฎีกาของจำเลยที่ 1 เฉพาะฎีกาข้อ 2.1 และ 2.3 จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานข้อต่อกฎหมายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง เพราะเอกสาร รับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลหมาย จ.1 ไม่ใช่พยานหลักฐาน ที่แสดงว่านายวิระรมยะรูป ได้ลงชื่อฟ้องคดีและโจทก์ไม่มีพยานมาเบิกความยืนยันลายมือชื่อดังกล่าว และฎีกาข้อ 2.4 ที่ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเพราะไม่ได้ ลงชื่อในเอกสารต่าง ๆ เป็นภาษาจีนนั้นล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 105,181.85 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2528 จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 จนถึงวันที่ 15 มีนาคม 2533 และในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2533 จนถึงวันฟ้อง และ นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 104) จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234,247 จึงมี คำสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายใน กำหนด 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งอุทธรณ์คำสั่ง (อันดับ 107) จำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลง ฉบับลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2538 ว่า จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาบางข้อที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับเท่านั้น จึงไม่ต้องวางเงินตามคำสั่ง ศาลชั้นต้นและจำเลยที่ 1 ได้นำสลากออมสินราคา 300,000 บาท วางไว้เป็นหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์แล้ว โปรดรับไว้เป็นหลักประกันด้วยศาลชั้นต้นสั่งว่า สลากออมสิน เป็นหลักประกันที่จำเลยที่ 1 นำมาวางศาลเพื่อขอทุเลา การบังคับคดีในชั้นอุทธรณ์ เป็นคนละส่วนกับเงินที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือหาประกันให้ไว้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234,247 หากจำเลยที่ 1 ประสงค์จะยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา จำเลยที่ 1 ก็ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234,247 ด้วย (อันดับ 108) ต่อมาโจทก์ยื่นคำแก้ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ารับเป็นคำแก้ฎีกาของโจทก์สำเนาให้ จำเลยที่ 1 การวางเงินหรือหลักทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ครบกำหนดไม่วางให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ทิ้งอุทธรณ์คำสั่ง และให้รวบรวม เสนอศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 111)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาบางข้อจึงไม่ต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วย มาตรา 247 คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาท ไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อ 2.2 โต้แย้งการรับฟังว่านายวิระ รมยะรูป ไม่ได้ลงลายมือชื่อฟ้องคดี และข้อ 2.4 โต้แย้งว่าจำเลยที่ 1 มิได้ลงชื่อในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี เป็นการโต้แย้งดุลพินิจ การรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งสิ้น ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยที่ 1 ดังกล่าวชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.2,2.4 ถึง 2.6 เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา เพราะ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนและทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงรับเป็นฎีกาของจำเลยที่ 1 เฉพาะฎีกาข้อ 2.1 และ 2.3 จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานข้อต่อกฎหมายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง เพราะเอกสาร รับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลหมาย จ.1 ไม่ใช่พยานหลักฐาน ที่แสดงว่านายวิระรมยะรูป ได้ลงชื่อฟ้องคดีและโจทก์ไม่มีพยานมาเบิกความยืนยันลายมือชื่อดังกล่าว และฎีกาข้อ 2.4 ที่ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเพราะไม่ได้ ลงชื่อในเอกสารต่าง ๆ เป็นภาษาจีนนั้นล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 105,181.85 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2528 จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 จนถึงวันที่ 15 มีนาคม 2533 และในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2533 จนถึงวันฟ้อง และ นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 104) จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234,247 จึงมี คำสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายใน กำหนด 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งอุทธรณ์คำสั่ง (อันดับ 107) จำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลง ฉบับลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2538 ว่า จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาบางข้อที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับเท่านั้น จึงไม่ต้องวางเงินตามคำสั่ง ศาลชั้นต้นและจำเลยที่ 1 ได้นำสลากออมสินราคา 300,000 บาท วางไว้เป็นหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์แล้ว โปรดรับไว้เป็นหลักประกันด้วยศาลชั้นต้นสั่งว่า สลากออมสิน เป็นหลักประกันที่จำเลยที่ 1 นำมาวางศาลเพื่อขอทุเลา การบังคับคดีในชั้นอุทธรณ์ เป็นคนละส่วนกับเงินที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือหาประกันให้ไว้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234,247 หากจำเลยที่ 1 ประสงค์จะยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา จำเลยที่ 1 ก็ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234,247 ด้วย (อันดับ 108) ต่อมาโจทก์ยื่นคำแก้ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ารับเป็นคำแก้ฎีกาของโจทก์สำเนาให้ จำเลยที่ 1 การวางเงินหรือหลักทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ครบกำหนดไม่วางให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ทิ้งอุทธรณ์คำสั่ง และให้รวบรวม เสนอศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 111)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาบางข้อจึงไม่ต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วย มาตรา 247 คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาท ไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อ 2.2 โต้แย้งการรับฟังว่านายวิระ รมยะรูป ไม่ได้ลงลายมือชื่อฟ้องคดี และข้อ 2.4 โต้แย้งว่าจำเลยที่ 1 มิได้ลงชื่อในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี เป็นการโต้แย้งดุลพินิจ การรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งสิ้น ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยที่ 1 ดังกล่าวชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าศาลชั้นต้นยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย ต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับ โจทก์ทั้งสามเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอ ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ทั้งสามเพราะคดีโจทก์ไม่มีมูล ที่จะชนะคดีนั้น เป็นคำสั่งในปัญหาข้อกฎหมายเมื่อศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืนในข้อนี้คดีโจทก์จึงยังไม่ถึงที่สุด เพราะ คำสั่งยืนของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ถึงที่สุดนั้น ต้องเป็นคำสั่งยืน ในข้อที่ว่ายากจนหรือไม่เท่านั้น โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของ โจทก์ทั้งสามด้วย หมายเหตุ จำเลยทั้งสี่ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง กรณีเป็นชั้นขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่จดทะเบียนเพิกถอนการจดทะเบียนที่ตกเป็นโมฆะ และร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีโจทก์ทั้งสามเป็นคดีมีทุนทรัพย์และมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสามชำระค่าขึ้นศาล ตามราคาที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูล ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ให้โจทก์ทั้งสามนำค่าขึ้นศาลมาชำระภายใน 15 วัน หากประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป พ้นกำหนดไม่ชำระศาลจะพิจารณาสั่งเกี่ยวกับการรับฟ้องใหม่ต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน หากโจทก์ทั้งสาม ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำค่าธรรมเนียมมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดนับแต่วันทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 2 แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งดำเนินกระบวนพิจารณา ต่อไปตามรูปคดี โจทก์ทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 90) โจทก์ทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 93)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว การที่คู่ความอ้างว่าเป็นคนยากจนไม่สามารถ เสียค่าธรรมเนียมศาลได้นั้น ถ้าผู้ขอเป็นโจทก์ ผู้ขอจะต้อง แสดงให้เป็นที่พอใจศาลด้วยว่าคดีของตนมีมูลที่จะฟ้องร้อง ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลเพียงพอไม่อนุญาต ให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าศาลชั้นต้นยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย ต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับ โจทก์ทั้งสามเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอ ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ทั้งสามเพราะคดีโจทก์ไม่มีมูล ที่จะชนะคดีนั้น เป็นคำสั่งในปัญหาข้อกฎหมายเมื่อศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืนในข้อนี้คดีโจทก์จึงยังไม่ถึงที่สุด เพราะ คำสั่งยืนของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ถึงที่สุดนั้น ต้องเป็นคำสั่งยืน ในข้อที่ว่ายากจนหรือไม่เท่านั้น โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของ โจทก์ทั้งสามด้วย หมายเหตุ จำเลยทั้งสี่ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง กรณีเป็นชั้นขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่จดทะเบียนเพิกถอนการจดทะเบียนที่ตกเป็นโมฆะ และร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีโจทก์ทั้งสามเป็นคดีมีทุนทรัพย์และมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสามชำระค่าขึ้นศาล ตามราคาที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูล ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ให้โจทก์ทั้งสามนำค่าขึ้นศาลมาชำระภายใน 15 วัน หากประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป พ้นกำหนดไม่ชำระศาลจะพิจารณาสั่งเกี่ยวกับการรับฟ้องใหม่ต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน หากโจทก์ทั้งสาม ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำค่าธรรมเนียมมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดนับแต่วันทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 2 แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งดำเนินกระบวนพิจารณา ต่อไปตามรูปคดี โจทก์ทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 90) โจทก์ทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 93)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว การที่คู่ความอ้างว่าเป็นคนยากจนไม่สามารถ เสียค่าธรรมเนียมศาลได้นั้น ถ้าผู้ขอเป็นโจทก์ ผู้ขอจะต้อง แสดงให้เป็นที่พอใจศาลด้วยว่าคดีของตนมีมูลที่จะฟ้องร้อง ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลเพียงพอไม่อนุญาต ให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา เนื่องจากจำเลยที่ 3 ได้ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 685/2535 ของศาลจังหวัดสมุทรสาครซึ่งในคดีดังกล่าวจำเลยที่ 3 ฟ้องขอให้ขับไล่โจทก์ ในคดีนี้ออกไปจากที่ดินพิพาท ซึ่งที่ดินพิพาทในคดีดังกล่าว กับที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน พยานเอกสาร พยานบุคคล เกี่ยวพันกัน และคดีดังกล่าวได้ขึ้นมาสู่การพิจารณา ของศาลฎีกาเช่นเดียวกันกับคดีนี้ หากศาลฎีกาได้รวมพิจารณา คดีทั้งสองคดีเข้าด้วยกันก็จะเป็นการสะดวกและง่ายแก่การ พิจารณาคดี เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาและพิพากษาคดีขอ ศาลฎีกาโปรดนำสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 685/2535 ของศาล จังหวัดสมุทรสาครมาผูกเข้ากับสำนวนคดีนี้และโปรดเร่งรัด พิจารณาพิพากษาคดีนี้โดยด่วนด้วย โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1428 ตำบล สวนส้ม (ดำเนินสะดวก) อำเภอบ้านแพ้ว (กระทุ่มแบน)จังหวัดสมุทรสาคร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ และให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ให้ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาครแก้ไขทะเบียนโดยใส่ชื่อ โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน กับห้ามมิให้จำเลยทั้งสามเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไป ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา (อันดับ 128) คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 136)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลฎีกาได้ประชุม ปรึกษาคดีและร่างคำพิพากษาแล้ว จึงไม่สะดวกที่จะรวมการ พิจารณาพิพากษาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกัน ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา เนื่องจากจำเลยที่ 3 ได้ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 685/2535 ของศาลจังหวัดสมุทรสาครซึ่งในคดีดังกล่าวจำเลยที่ 3 ฟ้องขอให้ขับไล่โจทก์ ในคดีนี้ออกไปจากที่ดินพิพาท ซึ่งที่ดินพิพาทในคดีดังกล่าว กับที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน พยานเอกสาร พยานบุคคล เกี่ยวพันกัน และคดีดังกล่าวได้ขึ้นมาสู่การพิจารณา ของศาลฎีกาเช่นเดียวกันกับคดีนี้ หากศาลฎีกาได้รวมพิจารณา คดีทั้งสองคดีเข้าด้วยกันก็จะเป็นการสะดวกและง่ายแก่การ พิจารณาคดี เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาและพิพากษาคดีขอ ศาลฎีกาโปรดนำสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 685/2535 ของศาล จังหวัดสมุทรสาครมาผูกเข้ากับสำนวนคดีนี้และโปรดเร่งรัด พิจารณาพิพากษาคดีนี้โดยด่วนด้วย โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1428 ตำบล สวนส้ม (ดำเนินสะดวก) อำเภอบ้านแพ้ว (กระทุ่มแบน)จังหวัดสมุทรสาคร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ และให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ให้ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาครแก้ไขทะเบียนโดยใส่ชื่อ โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน กับห้ามมิให้จำเลยทั้งสามเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไป ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา (อันดับ 128) คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 136)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลฎีกาได้ประชุม ปรึกษาคดีและร่างคำพิพากษาแล้ว จึงไม่สะดวกที่จะรวมการ พิจารณาพิพากษาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกัน ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาโจทก์เป็นการ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและทุนทรัพย์ในฎีกาโจทก์ ต้องห้าม มิให้ ฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ ประเด็นข้อ 2.1 ที่ว่า จำเลยหักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ของโจทก์ โดยโจทก์ยินยอมและ ถูกต้องหรือไม่ โดยจำเลยนำพยานเอกสารหมาย ล.4 เป็นเอกสาร ภาษาต่างประเทศ ซึ่งจำเลยมิได้ทำคำแปลเอกสารดังกล่าวมาสืบ ประกอบแต่อย่างใด จึงเป็นการนำสืบพยานหลักฐานที่ฝ่าฝืนกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 46 และการหักเงินของโจทก์เป็น การฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672 ฎีกา ของโจทก์จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหักเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ โดยไม่ถูกต้อง ขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงิน 72,031 บาท พร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 113 แผ่นที่ 3) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 115 แผ่นที่ 3)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งว่า ฎีกาโจทก์ ที่ว่าจำเลยนำสืบพยานเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศโดยมิได้ ทำคำแปลประกอบเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 46 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าว เป็นการยกข้ออ้างว่าจำเลยดำเนินการนำส่งเอกสารต่อศาลโดยมิได้ เป็นไปตาม บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ ซึ่งโจทก์ ในฐานะเป็นคู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นคัดค้านได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แต่ไม่ปรากฎว่า โจทก์ได้ดำเนินการคัดค้านดังกล่าวในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น ดังนี้แม้โจทก์จะได้ยกข้อคัดค้านดังกล่าวขึ้นว่ากล่าวใน ชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้รับวินิจฉัยให้แล้ว และปัญหาดังกล่าว แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ตาม ก็ยังคงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ส่วนปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งว่าจำเลยหักเงินฝากของโจทก์ฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672นั้น เป็นการอ้างปัญหาข้อกฎหมายซึ่งอาศัยการรับฟังข้อเท็จจริง แห่งคดีว่าโจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยหักเงินจากบัญชีเงินฝาก หรือไม่ จึงเป็นการโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้น ไม่รับฎีกาโจทก์นั้นชอบแล้ว อุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ยกอุทธรณ์คำสั่ง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาโจทก์เป็นการ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและทุนทรัพย์ในฎีกาโจทก์ ต้องห้าม มิให้ ฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ ประเด็นข้อ 2.1 ที่ว่า จำเลยหักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ของโจทก์ โดยโจทก์ยินยอมและ ถูกต้องหรือไม่ โดยจำเลยนำพยานเอกสารหมาย ล.4 เป็นเอกสาร ภาษาต่างประเทศ ซึ่งจำเลยมิได้ทำคำแปลเอกสารดังกล่าวมาสืบ ประกอบแต่อย่างใด จึงเป็นการนำสืบพยานหลักฐานที่ฝ่าฝืนกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 46 และการหักเงินของโจทก์เป็น การฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672 ฎีกา ของโจทก์จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหักเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ โดยไม่ถูกต้อง ขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงิน 72,031 บาท พร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 113 แผ่นที่ 3) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 115 แผ่นที่ 3)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งว่า ฎีกาโจทก์ ที่ว่าจำเลยนำสืบพยานเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศโดยมิได้ ทำคำแปลประกอบเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 46 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าว เป็นการยกข้ออ้างว่าจำเลยดำเนินการนำส่งเอกสารต่อศาลโดยมิได้ เป็นไปตาม บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ ซึ่งโจทก์ ในฐานะเป็นคู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นคัดค้านได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แต่ไม่ปรากฎว่า โจทก์ได้ดำเนินการคัดค้านดังกล่าวในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น ดังนี้แม้โจทก์จะได้ยกข้อคัดค้านดังกล่าวขึ้นว่ากล่าวใน ชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้รับวินิจฉัยให้แล้ว และปัญหาดังกล่าว แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ตาม ก็ยังคงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ส่วนปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งว่าจำเลยหักเงินฝากของโจทก์ฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672นั้น เป็นการอ้างปัญหาข้อกฎหมายซึ่งอาศัยการรับฟังข้อเท็จจริง แห่งคดีว่าโจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยหักเงินจากบัญชีเงินฝาก หรือไม่ จึงเป็นการโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้น ไม่รับฎีกาโจทก์นั้นชอบแล้ว อุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ยกอุทธรณ์คำสั่ง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีมีทุนทรัพย์ต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับ คืนค่าขึ้นศาลแก่จำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตาม พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 มาตรา 44 ห้ามโอนภายใน 5 ปี โจทก์ฟ้องเพื่อบังคับเอาที่ดินดังกล่าว ยังไม่ล่วงพ้นกำหนดเวลา 5 ปี เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย โจทก์ไม่มี อำนาจฟ้องนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจาก ที่พิพาทตามแผนที่วิวาท ซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ตามโฉนด เลขที่ 11627 ตำบลสร้อยฟ้า อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรีให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 300 บาท นับแต่วันฟ้อง ไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 100 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็น ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 101,100) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 102)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ข้ออ้างที่จำเลยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นย่อมต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหา ข้อกฎหมาย การเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้าม ฎีกาเพื่อสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยจึง มีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้าม ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีมีทุนทรัพย์ต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับ คืนค่าขึ้นศาลแก่จำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตาม พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 มาตรา 44 ห้ามโอนภายใน 5 ปี โจทก์ฟ้องเพื่อบังคับเอาที่ดินดังกล่าว ยังไม่ล่วงพ้นกำหนดเวลา 5 ปี เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย โจทก์ไม่มี อำนาจฟ้องนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจาก ที่พิพาทตามแผนที่วิวาท ซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ตามโฉนด เลขที่ 11627 ตำบลสร้อยฟ้า อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรีให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 300 บาท นับแต่วันฟ้อง ไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 100 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็น ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 101,100) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 102)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ข้ออ้างที่จำเลยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นย่อมต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหา ข้อกฎหมาย การเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้าม ฎีกาเพื่อสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยจึง มีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้าม ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้จะมีข้อกฎหมายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นสาระ จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ข้อ 3.1 โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งโจทก์เห็นว่า ศาลจะต้องกำหนดประเด็นข้อพิพาทขึ้นใหม่ว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด จึงจะชอบด้วยกฎหมาย ส่วนฎีกา ข้อ 3.2 และข้อ 3.3 สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็น ข้อพิพาทตามคำแถลงคัดค้านประเด็นแห่งคดีของโจทก์ ฉบับลงวันที่ 16 มกราคม 2534 และที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยจะยกเอาข้อยกเว้น ความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย มาปฎิเสธ ความรับผิดต่อโจทก์ ได้หรือไม่ เป็นการคัดค้านการตีความในสัญญา ฎีกาโจทก์ทุกข้อ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 100 แผ่นที่ 2) โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 130,700 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 120,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 97) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 99)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาข้อ 3.1,3.2 ที่ว่า ศาลชั้นต้น ควรกำหนดประเด็นพิพาทเพิ่มเติมเป็นข้อ 7 ว่า "จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด" เห็นว่า ศาลชั้นต้นได้กำหนดข้อพิพาทข้อ 5 ว่า "โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้เพียงใดหรือไม่" ครอบคลุมถึงประเด็นดังกล่าวข้างต้นแล้วไม่จำเป็นต้องกำหนดประเด็นเพิ่มเติม ฎีกาข้อนี้จึงไม่เป็นสาระ ไม่รับฎีกา ส่วนฎีกาของโจทก์ข้อ 3.2 วรรคสอง ที่ว่า จำเลย จะยกเอา ข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยมาปฎิเสธ ความรับผิด ต่อโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกา จึงให้รับฎีกาในปัญหาข้อนี้ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้จะมีข้อกฎหมายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นสาระ จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ข้อ 3.1 โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งโจทก์เห็นว่า ศาลจะต้องกำหนดประเด็นข้อพิพาทขึ้นใหม่ว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด จึงจะชอบด้วยกฎหมาย ส่วนฎีกา ข้อ 3.2 และข้อ 3.3 สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็น ข้อพิพาทตามคำแถลงคัดค้านประเด็นแห่งคดีของโจทก์ ฉบับลงวันที่ 16 มกราคม 2534 และที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยจะยกเอาข้อยกเว้น ความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย มาปฎิเสธ ความรับผิดต่อโจทก์ ได้หรือไม่ เป็นการคัดค้านการตีความในสัญญา ฎีกาโจทก์ทุกข้อ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 100 แผ่นที่ 2) โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 130,700 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 120,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 97) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 99)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาข้อ 3.1,3.2 ที่ว่า ศาลชั้นต้น ควรกำหนดประเด็นพิพาทเพิ่มเติมเป็นข้อ 7 ว่า "จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด" เห็นว่า ศาลชั้นต้นได้กำหนดข้อพิพาทข้อ 5 ว่า "โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้เพียงใดหรือไม่" ครอบคลุมถึงประเด็นดังกล่าวข้างต้นแล้วไม่จำเป็นต้องกำหนดประเด็นเพิ่มเติม ฎีกาข้อนี้จึงไม่เป็นสาระ ไม่รับฎีกา ส่วนฎีกาของโจทก์ข้อ 3.2 วรรคสอง ที่ว่า จำเลย จะยกเอา ข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยมาปฎิเสธ ความรับผิด ต่อโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกา จึงให้รับฎีกาในปัญหาข้อนี้ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นและทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกา ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่าเช็คพิพาททั้งสามฉบับเป็นเช็ค ที่มีมูลหนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดี โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 197,031 บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 187,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 69) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 71)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์โดยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระ ค่าดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้า แต่จำเลยได้ชำระเงินกู้ยืมครบถ้วน ก่อนเช็คพิพาทถึงกำหนดแล้ว เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ แต่โจทก์ ฎีกาว่าเช็คพิพาทมีมูลหนี้มาจากค่าผลประโยชน์ที่โจทก์ช่วย ออกเงินค่าซื้อที่ดินไปให้ก่อน แต่ธนาคารตามเช็คปฎิเสธ การจ่ายเงิน เช่นนี้เป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นและทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกา ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่าเช็คพิพาททั้งสามฉบับเป็นเช็ค ที่มีมูลหนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดี โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 197,031 บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 187,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 69) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 71)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์โดยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระ ค่าดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้า แต่จำเลยได้ชำระเงินกู้ยืมครบถ้วน ก่อนเช็คพิพาทถึงกำหนดแล้ว เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ แต่โจทก์ ฎีกาว่าเช็คพิพาทมีมูลหนี้มาจากค่าผลประโยชน์ที่โจทก์ช่วย ออกเงินค่าซื้อที่ดินไปให้ก่อน แต่ธนาคารตามเช็คปฎิเสธ การจ่ายเงิน เช่นนี้เป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของ จำเลยในข้อ 2.3 วรรคสอง เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมา และไม่เป็นประเด็น ส่วนอุทธรณ์ในข้ออื่น ๆ เป็นการโต้เถียง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของจำเลยจึงต้องห้าม ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยในข้อ 2.3 วรรคสองนั้น ศาลแรงงานกลางได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทแล้วและจำเลยก็ได้ถามค้านอันเป็นการยกขึ้นว่ากล่าวในศาลแรงงานกลางแล้ว และอุทธรณ์ข้อ 2.3 วรรคแรก เป็นเรื่องการแปลความหรือตีความ ตามปัญหาจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนอุทธรณ์ข้อ 2.1 ในประเด็น ที่ว่าจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ตามกฎหมายหรือไม่ และอุทธรณ์ข้อ 2.2เป็นเรื่องที่ว่าศาลแรงงานกลางนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัย คำวินิจฉัยดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวนี้ เป็นข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58) ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 176,186.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 กรกฎาคม 2537) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์ แล้วเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย (อันดับ 50) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยข้อ 2.3 วรรคสองที่ว่าโจทก์ได้กระทำผิดต่อหน้าที่ เป็นอุทธรณ์นอกเหนือจากที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ เป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยในข้ออื่น ๆ ล้วนเป็นอุทธรณ์หยิบยกพยานหลักฐานขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลฎีกา ฟังว่าจำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจ การรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่ฟังว่าจำเลยได้ เลิกจ้างโจทก์ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อ ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31,54 ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของ จำเลยในข้อ 2.3 วรรคสอง เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมา และไม่เป็นประเด็น ส่วนอุทธรณ์ในข้ออื่น ๆ เป็นการโต้เถียง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของจำเลยจึงต้องห้าม ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยในข้อ 2.3 วรรคสองนั้น ศาลแรงงานกลางได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทแล้วและจำเลยก็ได้ถามค้านอันเป็นการยกขึ้นว่ากล่าวในศาลแรงงานกลางแล้ว และอุทธรณ์ข้อ 2.3 วรรคแรก เป็นเรื่องการแปลความหรือตีความ ตามปัญหาจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนอุทธรณ์ข้อ 2.1 ในประเด็น ที่ว่าจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ตามกฎหมายหรือไม่ และอุทธรณ์ข้อ 2.2เป็นเรื่องที่ว่าศาลแรงงานกลางนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัย คำวินิจฉัยดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวนี้ เป็นข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58) ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 176,186.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 กรกฎาคม 2537) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์ แล้วเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย (อันดับ 50) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยข้อ 2.3 วรรคสองที่ว่าโจทก์ได้กระทำผิดต่อหน้าที่ เป็นอุทธรณ์นอกเหนือจากที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ เป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยในข้ออื่น ๆ ล้วนเป็นอุทธรณ์หยิบยกพยานหลักฐานขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลฎีกา ฟังว่าจำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจ การรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่ฟังว่าจำเลยได้ เลิกจ้างโจทก์ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อ ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31,54 ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|