ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.2,2.4 ถึง 2.6 เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา เพราะ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนและทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงรับเป็นฎีกาของจำเลยที่ 1 เฉพาะฎีกาข้อ 2.1 และ 2.3 จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานข้อต่อกฎหมายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง เพราะเอกสาร รับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลหมาย จ.1 ไม่ใช่พยานหลักฐาน ที่แสดงว่านายวิระรมยะรูป ได้ลงชื่อฟ้องคดีและโจทก์ไม่มีพยานมาเบิกความยืนยันลายมือชื่อดังกล่าว และฎีกาข้อ 2.4 ที่ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเพราะไม่ได้ ลงชื่อในเอกสารต่าง ๆ เป็นภาษาจีนนั้นล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 105,181.85 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2528 จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 จนถึงวันที่ 15 มีนาคม 2533 และในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2533 จนถึงวันฟ้อง และ นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 104) จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234,247 จึงมี คำสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายใน กำหนด 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งอุทธรณ์คำสั่ง (อันดับ 107) จำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลง ฉบับลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2538 ว่า จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาบางข้อที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับเท่านั้น จึงไม่ต้องวางเงินตามคำสั่ง ศาลชั้นต้นและจำเลยที่ 1 ได้นำสลากออมสินราคา 300,000 บาท วางไว้เป็นหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์แล้ว โปรดรับไว้เป็นหลักประกันด้วยศาลชั้นต้นสั่งว่า สลากออมสิน เป็นหลักประกันที่จำเลยที่ 1 นำมาวางศาลเพื่อขอทุเลา การบังคับคดีในชั้นอุทธรณ์ เป็นคนละส่วนกับเงินที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือหาประกันให้ไว้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234,247 หากจำเลยที่ 1 ประสงค์จะยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา จำเลยที่ 1 ก็ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234,247 ด้วย (อันดับ 108) ต่อมาโจทก์ยื่นคำแก้ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ารับเป็นคำแก้ฎีกาของโจทก์สำเนาให้ จำเลยที่ 1 การวางเงินหรือหลักทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ครบกำหนดไม่วางให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ทิ้งอุทธรณ์คำสั่ง และให้รวบรวม เสนอศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 111)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาบางข้อจึงไม่ต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วย มาตรา 247 คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาท ไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อ 2.2 โต้แย้งการรับฟังว่านายวิระ รมยะรูป ไม่ได้ลงลายมือชื่อฟ้องคดี และข้อ 2.4 โต้แย้งว่าจำเลยที่ 1 มิได้ลงชื่อในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี เป็นการโต้แย้งดุลพินิจ การรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งสิ้น ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยที่ 1 ดังกล่าวชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.2,2.4 ถึง 2.6 เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา เพราะ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนและทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงรับเป็นฎีกาของจำเลยที่ 1 เฉพาะฎีกาข้อ 2.1 และ 2.3 จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานข้อต่อกฎหมายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง เพราะเอกสาร รับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลหมาย จ.1 ไม่ใช่พยานหลักฐาน ที่แสดงว่านายวิระรมยะรูป ได้ลงชื่อฟ้องคดีและโจทก์ไม่มีพยานมาเบิกความยืนยันลายมือชื่อดังกล่าว และฎีกาข้อ 2.4 ที่ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเพราะไม่ได้ ลงชื่อในเอกสารต่าง ๆ เป็นภาษาจีนนั้นล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 105,181.85 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2528 จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 จนถึงวันที่ 15 มีนาคม 2533 และในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2533 จนถึงวันฟ้อง และ นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 104) จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234,247 จึงมี คำสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายใน กำหนด 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งอุทธรณ์คำสั่ง (อันดับ 107) จำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลง ฉบับลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2538 ว่า จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาบางข้อที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับเท่านั้น จึงไม่ต้องวางเงินตามคำสั่ง ศาลชั้นต้นและจำเลยที่ 1 ได้นำสลากออมสินราคา 300,000 บาท วางไว้เป็นหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์แล้ว โปรดรับไว้เป็นหลักประกันด้วยศาลชั้นต้นสั่งว่า สลากออมสิน เป็นหลักประกันที่จำเลยที่ 1 นำมาวางศาลเพื่อขอทุเลา การบังคับคดีในชั้นอุทธรณ์ เป็นคนละส่วนกับเงินที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือหาประกันให้ไว้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234,247 หากจำเลยที่ 1 ประสงค์จะยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา จำเลยที่ 1 ก็ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234,247 ด้วย (อันดับ 108) ต่อมาโจทก์ยื่นคำแก้ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ารับเป็นคำแก้ฎีกาของโจทก์สำเนาให้ จำเลยที่ 1 การวางเงินหรือหลักทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ครบกำหนดไม่วางให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ทิ้งอุทธรณ์คำสั่ง และให้รวบรวม เสนอศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 111)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาบางข้อจึงไม่ต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วย มาตรา 247 คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาท ไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อ 2.2 โต้แย้งการรับฟังว่านายวิระ รมยะรูป ไม่ได้ลงลายมือชื่อฟ้องคดี และข้อ 2.4 โต้แย้งว่าจำเลยที่ 1 มิได้ลงชื่อในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี เป็นการโต้แย้งดุลพินิจ การรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งสิ้น ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยที่ 1 ดังกล่าวชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าศาลชั้นต้นยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย ต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับ โจทก์ทั้งสามเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอ ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ทั้งสามเพราะคดีโจทก์ไม่มีมูล ที่จะชนะคดีนั้น เป็นคำสั่งในปัญหาข้อกฎหมายเมื่อศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืนในข้อนี้คดีโจทก์จึงยังไม่ถึงที่สุด เพราะ คำสั่งยืนของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ถึงที่สุดนั้น ต้องเป็นคำสั่งยืน ในข้อที่ว่ายากจนหรือไม่เท่านั้น โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของ โจทก์ทั้งสามด้วย หมายเหตุ จำเลยทั้งสี่ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง กรณีเป็นชั้นขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่จดทะเบียนเพิกถอนการจดทะเบียนที่ตกเป็นโมฆะ และร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีโจทก์ทั้งสามเป็นคดีมีทุนทรัพย์และมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสามชำระค่าขึ้นศาล ตามราคาที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูล ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ให้โจทก์ทั้งสามนำค่าขึ้นศาลมาชำระภายใน 15 วัน หากประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป พ้นกำหนดไม่ชำระศาลจะพิจารณาสั่งเกี่ยวกับการรับฟ้องใหม่ต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน หากโจทก์ทั้งสาม ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำค่าธรรมเนียมมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดนับแต่วันทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 2 แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งดำเนินกระบวนพิจารณา ต่อไปตามรูปคดี โจทก์ทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 90) โจทก์ทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 93)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว การที่คู่ความอ้างว่าเป็นคนยากจนไม่สามารถ เสียค่าธรรมเนียมศาลได้นั้น ถ้าผู้ขอเป็นโจทก์ ผู้ขอจะต้อง แสดงให้เป็นที่พอใจศาลด้วยว่าคดีของตนมีมูลที่จะฟ้องร้อง ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลเพียงพอไม่อนุญาต ให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าศาลชั้นต้นยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย ต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับ โจทก์ทั้งสามเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอ ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ทั้งสามเพราะคดีโจทก์ไม่มีมูล ที่จะชนะคดีนั้น เป็นคำสั่งในปัญหาข้อกฎหมายเมื่อศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืนในข้อนี้คดีโจทก์จึงยังไม่ถึงที่สุด เพราะ คำสั่งยืนของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ถึงที่สุดนั้น ต้องเป็นคำสั่งยืน ในข้อที่ว่ายากจนหรือไม่เท่านั้น โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของ โจทก์ทั้งสามด้วย หมายเหตุ จำเลยทั้งสี่ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง กรณีเป็นชั้นขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่จดทะเบียนเพิกถอนการจดทะเบียนที่ตกเป็นโมฆะ และร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีโจทก์ทั้งสามเป็นคดีมีทุนทรัพย์และมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสามชำระค่าขึ้นศาล ตามราคาที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูล ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ให้โจทก์ทั้งสามนำค่าขึ้นศาลมาชำระภายใน 15 วัน หากประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป พ้นกำหนดไม่ชำระศาลจะพิจารณาสั่งเกี่ยวกับการรับฟ้องใหม่ต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน หากโจทก์ทั้งสาม ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำค่าธรรมเนียมมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดนับแต่วันทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 2 แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งดำเนินกระบวนพิจารณา ต่อไปตามรูปคดี โจทก์ทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 90) โจทก์ทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 93)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว การที่คู่ความอ้างว่าเป็นคนยากจนไม่สามารถ เสียค่าธรรมเนียมศาลได้นั้น ถ้าผู้ขอเป็นโจทก์ ผู้ขอจะต้อง แสดงให้เป็นที่พอใจศาลด้วยว่าคดีของตนมีมูลที่จะฟ้องร้อง ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลเพียงพอไม่อนุญาต ให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา เนื่องจากจำเลยที่ 3 ได้ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 685/2535 ของศาลจังหวัดสมุทรสาครซึ่งในคดีดังกล่าวจำเลยที่ 3 ฟ้องขอให้ขับไล่โจทก์ ในคดีนี้ออกไปจากที่ดินพิพาท ซึ่งที่ดินพิพาทในคดีดังกล่าว กับที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน พยานเอกสาร พยานบุคคล เกี่ยวพันกัน และคดีดังกล่าวได้ขึ้นมาสู่การพิจารณา ของศาลฎีกาเช่นเดียวกันกับคดีนี้ หากศาลฎีกาได้รวมพิจารณา คดีทั้งสองคดีเข้าด้วยกันก็จะเป็นการสะดวกและง่ายแก่การ พิจารณาคดี เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาและพิพากษาคดีขอ ศาลฎีกาโปรดนำสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 685/2535 ของศาล จังหวัดสมุทรสาครมาผูกเข้ากับสำนวนคดีนี้และโปรดเร่งรัด พิจารณาพิพากษาคดีนี้โดยด่วนด้วย โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1428 ตำบล สวนส้ม (ดำเนินสะดวก) อำเภอบ้านแพ้ว (กระทุ่มแบน)จังหวัดสมุทรสาคร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ และให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ให้ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาครแก้ไขทะเบียนโดยใส่ชื่อ โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน กับห้ามมิให้จำเลยทั้งสามเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไป ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา (อันดับ 128) คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 136)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลฎีกาได้ประชุม ปรึกษาคดีและร่างคำพิพากษาแล้ว จึงไม่สะดวกที่จะรวมการ พิจารณาพิพากษาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกัน ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา เนื่องจากจำเลยที่ 3 ได้ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 685/2535 ของศาลจังหวัดสมุทรสาครซึ่งในคดีดังกล่าวจำเลยที่ 3 ฟ้องขอให้ขับไล่โจทก์ ในคดีนี้ออกไปจากที่ดินพิพาท ซึ่งที่ดินพิพาทในคดีดังกล่าว กับที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน พยานเอกสาร พยานบุคคล เกี่ยวพันกัน และคดีดังกล่าวได้ขึ้นมาสู่การพิจารณา ของศาลฎีกาเช่นเดียวกันกับคดีนี้ หากศาลฎีกาได้รวมพิจารณา คดีทั้งสองคดีเข้าด้วยกันก็จะเป็นการสะดวกและง่ายแก่การ พิจารณาคดี เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาและพิพากษาคดีขอ ศาลฎีกาโปรดนำสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 685/2535 ของศาล จังหวัดสมุทรสาครมาผูกเข้ากับสำนวนคดีนี้และโปรดเร่งรัด พิจารณาพิพากษาคดีนี้โดยด่วนด้วย โปรดอนุญาต หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1428 ตำบล สวนส้ม (ดำเนินสะดวก) อำเภอบ้านแพ้ว (กระทุ่มแบน)จังหวัดสมุทรสาคร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ และให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ให้ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาครแก้ไขทะเบียนโดยใส่ชื่อ โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน กับห้ามมิให้จำเลยทั้งสามเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไป ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา (อันดับ 128) คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 136)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลฎีกาได้ประชุม ปรึกษาคดีและร่างคำพิพากษาแล้ว จึงไม่สะดวกที่จะรวมการ พิจารณาพิพากษาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกัน ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาโจทก์เป็นการ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและทุนทรัพย์ในฎีกาโจทก์ ต้องห้าม มิให้ ฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ ประเด็นข้อ 2.1 ที่ว่า จำเลยหักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ของโจทก์ โดยโจทก์ยินยอมและ ถูกต้องหรือไม่ โดยจำเลยนำพยานเอกสารหมาย ล.4 เป็นเอกสาร ภาษาต่างประเทศ ซึ่งจำเลยมิได้ทำคำแปลเอกสารดังกล่าวมาสืบ ประกอบแต่อย่างใด จึงเป็นการนำสืบพยานหลักฐานที่ฝ่าฝืนกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 46 และการหักเงินของโจทก์เป็น การฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672 ฎีกา ของโจทก์จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหักเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ โดยไม่ถูกต้อง ขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงิน 72,031 บาท พร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 113 แผ่นที่ 3) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 115 แผ่นที่ 3)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งว่า ฎีกาโจทก์ ที่ว่าจำเลยนำสืบพยานเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศโดยมิได้ ทำคำแปลประกอบเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 46 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าว เป็นการยกข้ออ้างว่าจำเลยดำเนินการนำส่งเอกสารต่อศาลโดยมิได้ เป็นไปตาม บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ ซึ่งโจทก์ ในฐานะเป็นคู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นคัดค้านได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แต่ไม่ปรากฎว่า โจทก์ได้ดำเนินการคัดค้านดังกล่าวในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น ดังนี้แม้โจทก์จะได้ยกข้อคัดค้านดังกล่าวขึ้นว่ากล่าวใน ชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้รับวินิจฉัยให้แล้ว และปัญหาดังกล่าว แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ตาม ก็ยังคงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ส่วนปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งว่าจำเลยหักเงินฝากของโจทก์ฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672นั้น เป็นการอ้างปัญหาข้อกฎหมายซึ่งอาศัยการรับฟังข้อเท็จจริง แห่งคดีว่าโจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยหักเงินจากบัญชีเงินฝาก หรือไม่ จึงเป็นการโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้น ไม่รับฎีกาโจทก์นั้นชอบแล้ว อุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ยกอุทธรณ์คำสั่ง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาโจทก์เป็นการ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและทุนทรัพย์ในฎีกาโจทก์ ต้องห้าม มิให้ ฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ ประเด็นข้อ 2.1 ที่ว่า จำเลยหักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ของโจทก์ โดยโจทก์ยินยอมและ ถูกต้องหรือไม่ โดยจำเลยนำพยานเอกสารหมาย ล.4 เป็นเอกสาร ภาษาต่างประเทศ ซึ่งจำเลยมิได้ทำคำแปลเอกสารดังกล่าวมาสืบ ประกอบแต่อย่างใด จึงเป็นการนำสืบพยานหลักฐานที่ฝ่าฝืนกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 46 และการหักเงินของโจทก์เป็น การฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672 ฎีกา ของโจทก์จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหักเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ โดยไม่ถูกต้อง ขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงิน 72,031 บาท พร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 113 แผ่นที่ 3) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 115 แผ่นที่ 3)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งว่า ฎีกาโจทก์ ที่ว่าจำเลยนำสืบพยานเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศโดยมิได้ ทำคำแปลประกอบเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 46 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าว เป็นการยกข้ออ้างว่าจำเลยดำเนินการนำส่งเอกสารต่อศาลโดยมิได้ เป็นไปตาม บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ ซึ่งโจทก์ ในฐานะเป็นคู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นคัดค้านได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แต่ไม่ปรากฎว่า โจทก์ได้ดำเนินการคัดค้านดังกล่าวในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น ดังนี้แม้โจทก์จะได้ยกข้อคัดค้านดังกล่าวขึ้นว่ากล่าวใน ชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้รับวินิจฉัยให้แล้ว และปัญหาดังกล่าว แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ตาม ก็ยังคงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ส่วนปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งว่าจำเลยหักเงินฝากของโจทก์ฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672นั้น เป็นการอ้างปัญหาข้อกฎหมายซึ่งอาศัยการรับฟังข้อเท็จจริง แห่งคดีว่าโจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยหักเงินจากบัญชีเงินฝาก หรือไม่ จึงเป็นการโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้น ไม่รับฎีกาโจทก์นั้นชอบแล้ว อุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ยกอุทธรณ์คำสั่ง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีมีทุนทรัพย์ต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับ คืนค่าขึ้นศาลแก่จำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตาม พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 มาตรา 44 ห้ามโอนภายใน 5 ปี โจทก์ฟ้องเพื่อบังคับเอาที่ดินดังกล่าว ยังไม่ล่วงพ้นกำหนดเวลา 5 ปี เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย โจทก์ไม่มี อำนาจฟ้องนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจาก ที่พิพาทตามแผนที่วิวาท ซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ตามโฉนด เลขที่ 11627 ตำบลสร้อยฟ้า อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรีให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 300 บาท นับแต่วันฟ้อง ไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 100 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็น ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 101,100) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 102)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ข้ออ้างที่จำเลยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นย่อมต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหา ข้อกฎหมาย การเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้าม ฎีกาเพื่อสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยจึง มีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้าม ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีมีทุนทรัพย์ต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับ คืนค่าขึ้นศาลแก่จำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตาม พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 มาตรา 44 ห้ามโอนภายใน 5 ปี โจทก์ฟ้องเพื่อบังคับเอาที่ดินดังกล่าว ยังไม่ล่วงพ้นกำหนดเวลา 5 ปี เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย โจทก์ไม่มี อำนาจฟ้องนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจาก ที่พิพาทตามแผนที่วิวาท ซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ตามโฉนด เลขที่ 11627 ตำบลสร้อยฟ้า อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรีให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 300 บาท นับแต่วันฟ้อง ไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 100 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็น ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 101,100) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 102)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ข้ออ้างที่จำเลยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นย่อมต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหา ข้อกฎหมาย การเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้าม ฎีกาเพื่อสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยจึง มีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้าม ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้จะมีข้อกฎหมายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นสาระ จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ข้อ 3.1 โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งโจทก์เห็นว่า ศาลจะต้องกำหนดประเด็นข้อพิพาทขึ้นใหม่ว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด จึงจะชอบด้วยกฎหมาย ส่วนฎีกา ข้อ 3.2 และข้อ 3.3 สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็น ข้อพิพาทตามคำแถลงคัดค้านประเด็นแห่งคดีของโจทก์ ฉบับลงวันที่ 16 มกราคม 2534 และที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยจะยกเอาข้อยกเว้น ความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย มาปฎิเสธ ความรับผิดต่อโจทก์ ได้หรือไม่ เป็นการคัดค้านการตีความในสัญญา ฎีกาโจทก์ทุกข้อ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 100 แผ่นที่ 2) โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 130,700 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 120,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 97) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 99)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาข้อ 3.1,3.2 ที่ว่า ศาลชั้นต้น ควรกำหนดประเด็นพิพาทเพิ่มเติมเป็นข้อ 7 ว่า "จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด" เห็นว่า ศาลชั้นต้นได้กำหนดข้อพิพาทข้อ 5 ว่า "โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้เพียงใดหรือไม่" ครอบคลุมถึงประเด็นดังกล่าวข้างต้นแล้วไม่จำเป็นต้องกำหนดประเด็นเพิ่มเติม ฎีกาข้อนี้จึงไม่เป็นสาระ ไม่รับฎีกา ส่วนฎีกาของโจทก์ข้อ 3.2 วรรคสอง ที่ว่า จำเลย จะยกเอา ข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยมาปฎิเสธ ความรับผิด ต่อโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกา จึงให้รับฎีกาในปัญหาข้อนี้ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้จะมีข้อกฎหมายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นสาระ จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ข้อ 3.1 โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งโจทก์เห็นว่า ศาลจะต้องกำหนดประเด็นข้อพิพาทขึ้นใหม่ว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด จึงจะชอบด้วยกฎหมาย ส่วนฎีกา ข้อ 3.2 และข้อ 3.3 สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็น ข้อพิพาทตามคำแถลงคัดค้านประเด็นแห่งคดีของโจทก์ ฉบับลงวันที่ 16 มกราคม 2534 และที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยจะยกเอาข้อยกเว้น ความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย มาปฎิเสธ ความรับผิดต่อโจทก์ ได้หรือไม่ เป็นการคัดค้านการตีความในสัญญา ฎีกาโจทก์ทุกข้อ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 100 แผ่นที่ 2) โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 130,700 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 120,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 97) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 99)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาข้อ 3.1,3.2 ที่ว่า ศาลชั้นต้น ควรกำหนดประเด็นพิพาทเพิ่มเติมเป็นข้อ 7 ว่า "จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด" เห็นว่า ศาลชั้นต้นได้กำหนดข้อพิพาทข้อ 5 ว่า "โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้เพียงใดหรือไม่" ครอบคลุมถึงประเด็นดังกล่าวข้างต้นแล้วไม่จำเป็นต้องกำหนดประเด็นเพิ่มเติม ฎีกาข้อนี้จึงไม่เป็นสาระ ไม่รับฎีกา ส่วนฎีกาของโจทก์ข้อ 3.2 วรรคสอง ที่ว่า จำเลย จะยกเอา ข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยมาปฎิเสธ ความรับผิด ต่อโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกา จึงให้รับฎีกาในปัญหาข้อนี้ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นและทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกา ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่าเช็คพิพาททั้งสามฉบับเป็นเช็ค ที่มีมูลหนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดี โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 197,031 บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 187,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 69) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 71)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์โดยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระ ค่าดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้า แต่จำเลยได้ชำระเงินกู้ยืมครบถ้วน ก่อนเช็คพิพาทถึงกำหนดแล้ว เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ แต่โจทก์ ฎีกาว่าเช็คพิพาทมีมูลหนี้มาจากค่าผลประโยชน์ที่โจทก์ช่วย ออกเงินค่าซื้อที่ดินไปให้ก่อน แต่ธนาคารตามเช็คปฎิเสธ การจ่ายเงิน เช่นนี้เป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นและทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกา ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่าเช็คพิพาททั้งสามฉบับเป็นเช็ค ที่มีมูลหนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดี โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 197,031 บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 187,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 69) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 71)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์โดยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระ ค่าดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้า แต่จำเลยได้ชำระเงินกู้ยืมครบถ้วน ก่อนเช็คพิพาทถึงกำหนดแล้ว เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ แต่โจทก์ ฎีกาว่าเช็คพิพาทมีมูลหนี้มาจากค่าผลประโยชน์ที่โจทก์ช่วย ออกเงินค่าซื้อที่ดินไปให้ก่อน แต่ธนาคารตามเช็คปฎิเสธ การจ่ายเงิน เช่นนี้เป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของ จำเลยในข้อ 2.3 วรรคสอง เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมา และไม่เป็นประเด็น ส่วนอุทธรณ์ในข้ออื่น ๆ เป็นการโต้เถียง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของจำเลยจึงต้องห้าม ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยในข้อ 2.3 วรรคสองนั้น ศาลแรงงานกลางได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทแล้วและจำเลยก็ได้ถามค้านอันเป็นการยกขึ้นว่ากล่าวในศาลแรงงานกลางแล้ว และอุทธรณ์ข้อ 2.3 วรรคแรก เป็นเรื่องการแปลความหรือตีความ ตามปัญหาจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนอุทธรณ์ข้อ 2.1 ในประเด็น ที่ว่าจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ตามกฎหมายหรือไม่ และอุทธรณ์ข้อ 2.2เป็นเรื่องที่ว่าศาลแรงงานกลางนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัย คำวินิจฉัยดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวนี้ เป็นข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58) ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 176,186.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 กรกฎาคม 2537) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์ แล้วเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย (อันดับ 50) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยข้อ 2.3 วรรคสองที่ว่าโจทก์ได้กระทำผิดต่อหน้าที่ เป็นอุทธรณ์นอกเหนือจากที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ เป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยในข้ออื่น ๆ ล้วนเป็นอุทธรณ์หยิบยกพยานหลักฐานขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลฎีกา ฟังว่าจำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจ การรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่ฟังว่าจำเลยได้ เลิกจ้างโจทก์ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อ ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31,54 ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของ จำเลยในข้อ 2.3 วรรคสอง เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมา และไม่เป็นประเด็น ส่วนอุทธรณ์ในข้ออื่น ๆ เป็นการโต้เถียง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของจำเลยจึงต้องห้าม ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยในข้อ 2.3 วรรคสองนั้น ศาลแรงงานกลางได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทแล้วและจำเลยก็ได้ถามค้านอันเป็นการยกขึ้นว่ากล่าวในศาลแรงงานกลางแล้ว และอุทธรณ์ข้อ 2.3 วรรคแรก เป็นเรื่องการแปลความหรือตีความ ตามปัญหาจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนอุทธรณ์ข้อ 2.1 ในประเด็น ที่ว่าจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ตามกฎหมายหรือไม่ และอุทธรณ์ข้อ 2.2เป็นเรื่องที่ว่าศาลแรงงานกลางนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัย คำวินิจฉัยดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวนี้ เป็นข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58) ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 176,186.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 กรกฎาคม 2537) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์ แล้วเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย (อันดับ 50) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยข้อ 2.3 วรรคสองที่ว่าโจทก์ได้กระทำผิดต่อหน้าที่ เป็นอุทธรณ์นอกเหนือจากที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ เป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยในข้ออื่น ๆ ล้วนเป็นอุทธรณ์หยิบยกพยานหลักฐานขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลฎีกา ฟังว่าจำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจ การรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่ฟังว่าจำเลยได้ เลิกจ้างโจทก์ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อ ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31,54 ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำปฎิเสธ ไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคแรก ไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลสองร้อยบาทให้จำเลย จำเลยทั้งสองเห็นว่า จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง 2 ฉบับ คือ อุทธรณ์คำสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2536 และอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 15 ตุลาคม 2536 จำเลยทั้งสองเห็นว่าถึงที่สุดเฉพาะคำสั่งในคำร้องฉบับลงวันที่ 15 ตุลาคม 2536 แต่ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2536 ที่จำเลยทั้งสองขอขยายเวลายื่นอุทธรณ์นั้นยังไม่ถึงที่สุด เพราะคำสั่งที่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป 15 วัน นับแต่ วันที่ 28 กันยายน 2536 ซึ่งยังไม่ครบกำหนดอุทธรณ์เพราะจำเลยทั้งสองยังมีเวลาตามกฎหมายถึงวันที่ 30 กันยายน 2536 เวลาที่เหลืออีก 2 วัน เป็นเวลาที่จำเลยทั้งสองยังคงมีสิทธิ ตามกฎหมายอยู่ การที่ศาลให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน นับวันที่มีคำสั่งจึงให้ขยายเพียง 13 วัน มิใช่ 15 วัน ตามที่อนุญาต การที่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน จึงต้องนับแต่วันที่ครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้น รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนภารจำยอมถนนคอนกรีตทางพิพาทกว้าง 2 เมตร ยาว 24 เมตร ซึ่งอยู่ในที่ดิน โฉนดเลขที่ 11243 แขวงบางปะแก้ว (บางปะแก้วนอก)เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร โดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายหากจำเลยที่ 1 ไม่ปฎิบัติ ตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการ แสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 1 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันเปิดรั้วสังกะสี และสิ่งกีดขวางออกจากด้านหลังตึกแถวเลขที่ 724/4 ของโจทก์ โดยให้ จำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกัน ชำระเงิน 11,400 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 มิถุนายน 2534) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะร่วมกันชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายวันละ 100 บาท แก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสอง จะเปิดแนวรั้วสังกะสีและสิ่งกีดขวางด้านหลังตึกแถวของโจทก์ออกไป จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป อีก 30 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อนุญาตให้ขยายระยะเวลา ยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันนี้ (วันที่ 28 กันยายน 2536) ต่อมาวันที่ 15 ตุลาคม 2536 จำเลยทั้งสอง ยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอนุญาตให้จำเลยทั้งสอง ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ 28 กันยายน 2536 จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองยื่นคำร้อง อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่า จำเลยทั้งสองอ่านลายมือศาลแล้ว เข้าใจผิดไปจากข้อความที่ศาลสั่งโดยเข้าใจว่าศาลมีคำสั่งอนุญาต ให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน นับแต่ วันครบกำหนดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายเวลาการยื่นอุทธรณ์ออกไปอีก 30 วัน โดยมิได้ระบุว่า ขอให้นับแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์หรือนับแต่วันใด การที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป 15 วัน นับแต่ วันมีคำสั่ง โดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกับที่จำเลยทั้งสอง ยื่นคำร้อง จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจเถียงว่าตนเองเข้าใจว่า ศาลชั้นต้นสั่งให้ขยายไป 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์ และที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าอ่านลายมือเขียนของศาลชั้นต้นไม่ออก ก็ไม่น่าเชื่อถือ เพราะศาลชั้นต้นเขียนคำสั่งไว้ชัดเจน พออ่านออกได้ทั้งหมดอยู่แล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ พ้นกำหนดเวลาที่ขยายให้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ของจำเลยทั้งสองจึงชอบแล้ว จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 144) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 145)
คำสั่ง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฎิเสธ ของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย โดยเหตุว่าอุทธรณ์ของจำเลยยื่นล่วงเลยกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งขยายเวลายื่นอุทธรณ์ แก่จำเลย อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 มิใช่ด้วยเหตุเนื้อหาในอุทธรณ์ของจำเลย ต้องห้ามอุทธรณ์อันจะเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 236 จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ตามนัยคำสั่ง ศาลฎีกา คำร้องที่ 2602/2534 ให้รับฎีกาของจำเลย ไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำปฎิเสธ ไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคแรก ไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลสองร้อยบาทให้จำเลย จำเลยทั้งสองเห็นว่า จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง 2 ฉบับ คือ อุทธรณ์คำสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2536 และอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 15 ตุลาคม 2536 จำเลยทั้งสองเห็นว่าถึงที่สุดเฉพาะคำสั่งในคำร้องฉบับลงวันที่ 15 ตุลาคม 2536 แต่ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2536 ที่จำเลยทั้งสองขอขยายเวลายื่นอุทธรณ์นั้นยังไม่ถึงที่สุด เพราะคำสั่งที่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป 15 วัน นับแต่ วันที่ 28 กันยายน 2536 ซึ่งยังไม่ครบกำหนดอุทธรณ์เพราะจำเลยทั้งสองยังมีเวลาตามกฎหมายถึงวันที่ 30 กันยายน 2536 เวลาที่เหลืออีก 2 วัน เป็นเวลาที่จำเลยทั้งสองยังคงมีสิทธิ ตามกฎหมายอยู่ การที่ศาลให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน นับวันที่มีคำสั่งจึงให้ขยายเพียง 13 วัน มิใช่ 15 วัน ตามที่อนุญาต การที่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน จึงต้องนับแต่วันที่ครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้น รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนภารจำยอมถนนคอนกรีตทางพิพาทกว้าง 2 เมตร ยาว 24 เมตร ซึ่งอยู่ในที่ดิน โฉนดเลขที่ 11243 แขวงบางปะแก้ว (บางปะแก้วนอก)เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร โดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายหากจำเลยที่ 1 ไม่ปฎิบัติ ตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการ แสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 1 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันเปิดรั้วสังกะสี และสิ่งกีดขวางออกจากด้านหลังตึกแถวเลขที่ 724/4 ของโจทก์ โดยให้ จำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกัน ชำระเงิน 11,400 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 มิถุนายน 2534) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะร่วมกันชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายวันละ 100 บาท แก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสอง จะเปิดแนวรั้วสังกะสีและสิ่งกีดขวางด้านหลังตึกแถวของโจทก์ออกไป จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป อีก 30 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อนุญาตให้ขยายระยะเวลา ยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันนี้ (วันที่ 28 กันยายน 2536) ต่อมาวันที่ 15 ตุลาคม 2536 จำเลยทั้งสอง ยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอนุญาตให้จำเลยทั้งสอง ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ 28 กันยายน 2536 จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองยื่นคำร้อง อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่า จำเลยทั้งสองอ่านลายมือศาลแล้ว เข้าใจผิดไปจากข้อความที่ศาลสั่งโดยเข้าใจว่าศาลมีคำสั่งอนุญาต ให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน นับแต่ วันครบกำหนดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายเวลาการยื่นอุทธรณ์ออกไปอีก 30 วัน โดยมิได้ระบุว่า ขอให้นับแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์หรือนับแต่วันใด การที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป 15 วัน นับแต่ วันมีคำสั่ง โดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกับที่จำเลยทั้งสอง ยื่นคำร้อง จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจเถียงว่าตนเองเข้าใจว่า ศาลชั้นต้นสั่งให้ขยายไป 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์ และที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าอ่านลายมือเขียนของศาลชั้นต้นไม่ออก ก็ไม่น่าเชื่อถือ เพราะศาลชั้นต้นเขียนคำสั่งไว้ชัดเจน พออ่านออกได้ทั้งหมดอยู่แล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ พ้นกำหนดเวลาที่ขยายให้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ของจำเลยทั้งสองจึงชอบแล้ว จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 144) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 145)
คำสั่ง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฎิเสธ ของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย โดยเหตุว่าอุทธรณ์ของจำเลยยื่นล่วงเลยกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งขยายเวลายื่นอุทธรณ์ แก่จำเลย อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 มิใช่ด้วยเหตุเนื้อหาในอุทธรณ์ของจำเลย ต้องห้ามอุทธรณ์อันจะเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 236 จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ตามนัยคำสั่ง ศาลฎีกา คำร้องที่ 2602/2534 ให้รับฎีกาของจำเลย ไว้ดำเนินการต่อไป
การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยโดยเหตุว่าอุทธรณ์ของจำเลยยื่นล่วงเลยกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งขยายเวลายื่นอุทธรณ์แก่จำเลยอันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้นมิใช่ด้วยเหตุเนื้อหาในอุทธรณ์ของจำเลยต้องห้ามอุทธรณ์อันจะเป็นที่สุดตามมาตรา 236 จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนภารจำยอมถนนคอนกรีตทางพิพาทกว้าง 2 เมตร ยาว 24 เมตร ซึ่งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 11243 แขวงบางปะแก้ว (บางปะแก้วนอก)เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ของจำเลยแก่ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 40597 แขวงบางปะแก้ว เขตราษฎร์บูรณะกรุงเทพมหานคร โดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย หากจำเลยที่ 1ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 1ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันเปิดรั้วสังกะสีและสิ่งกีดขวางออกจากด้านหลังตึกแถวเลขที่ 724/4 ของโจทก์โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 11,400 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 มิถุนายน 2534) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะร่วมกันชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายวันละ 100 บาท แก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะเปิดแนวรั้วสังกะสีและสิ่งกีดขวางด้านหลังตึกแถวของโจทก์ออกไป
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปอีก 30 วันศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วันนับแต่วันนี้ (วันที่ 28 กันยายน 2536)ต่อมาวันที่ 15 ตุลาคม 2536 จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอนุญาตให้จำเลยทั้งสองขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ 28 กันยายน 2536 จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่า จำเลยทั้งสองอ่านลายมือศาลแล้วเข้าใจผิดไปจากข้อความที่ศาลสั่ง โดยเข้าใจว่าศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายเวลาการยื่นอุทธรณ์ออกไปอีก 30 วัน โดยมิได้ระบุว่าขอให้นับแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์หรือนับแต่วันใด การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป 15 วันนับแต่วันมีคำสั่งโดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกับที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องจำเลยทั้งสองจึงไม่อาจเถียงว่าตนเองเข้าใจว่าศาลชั้นต้นสั่งให้ขยายไป 15 วันนับแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์และที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าอ่านลายมือเขียนของศาลชั้นต้นไม่ออกก็ไม่น่าเชื่อถือเพราะศาลชั้นต้นเขียนคำสั่งไว้ชัดเจนพออ่านออกได้ทั้งหมดอยู่แล้วเมื่อจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์พ้นกำหนดเวลาที่ขยายให้คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงชอบแล้ว
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย โดยเหตุว่าอุทธรณ์ของจำเลยยื่นล่วงเลยกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งขยายเวลายื่นอุทธรณ์แก่จำเลย อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 มิใช่ด้วยเหตุเนื้อหาในอุทธรณ์ของจำเลยต้องห้ามอุทธรณ์อันจะเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ตามนัยคำสั่งศาลฎีกา คำร้องที่ 2603/2534 ให้รับฎีกาของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป"
การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยโดยเหตุว่าอุทธรณ์ของจำเลยยื่นล่วงเลยกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งขยายเวลายื่นอุทธรณ์แก่จำเลยอันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้นมิใช่ด้วยเหตุเนื้อหาในอุทธรณ์ของจำเลยต้องห้ามอุทธรณ์อันจะเป็นที่สุดตามมาตรา 236 จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนภารจำยอมถนนคอนกรีตทางพิพาทกว้าง 2 เมตร ยาว 24 เมตร ซึ่งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 11243 แขวงบางปะแก้ว (บางปะแก้วนอก)เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ของจำเลยแก่ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 40597 แขวงบางปะแก้ว เขตราษฎร์บูรณะกรุงเทพมหานคร โดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย หากจำเลยที่ 1ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 1ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันเปิดรั้วสังกะสีและสิ่งกีดขวางออกจากด้านหลังตึกแถวเลขที่ 724/4 ของโจทก์โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 11,400 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 มิถุนายน 2534) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะร่วมกันชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายวันละ 100 บาท แก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะเปิดแนวรั้วสังกะสีและสิ่งกีดขวางด้านหลังตึกแถวของโจทก์ออกไป
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปอีก 30 วันศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วันนับแต่วันนี้ (วันที่ 28 กันยายน 2536)ต่อมาวันที่ 15 ตุลาคม 2536 จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอนุญาตให้จำเลยทั้งสองขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ 28 กันยายน 2536 จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่า จำเลยทั้งสองอ่านลายมือศาลแล้วเข้าใจผิดไปจากข้อความที่ศาลสั่ง โดยเข้าใจว่าศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายเวลาการยื่นอุทธรณ์ออกไปอีก 30 วัน โดยมิได้ระบุว่าขอให้นับแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์หรือนับแต่วันใด การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป 15 วันนับแต่วันมีคำสั่งโดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกับที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องจำเลยทั้งสองจึงไม่อาจเถียงว่าตนเองเข้าใจว่าศาลชั้นต้นสั่งให้ขยายไป 15 วันนับแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์และที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าอ่านลายมือเขียนของศาลชั้นต้นไม่ออกก็ไม่น่าเชื่อถือเพราะศาลชั้นต้นเขียนคำสั่งไว้ชัดเจนพออ่านออกได้ทั้งหมดอยู่แล้วเมื่อจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์พ้นกำหนดเวลาที่ขยายให้คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงชอบแล้ว
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย โดยเหตุว่าอุทธรณ์ของจำเลยยื่นล่วงเลยกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งขยายเวลายื่นอุทธรณ์แก่จำเลย อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 มิใช่ด้วยเหตุเนื้อหาในอุทธรณ์ของจำเลยต้องห้ามอุทธรณ์อันจะเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ตามนัยคำสั่งศาลฎีกา คำร้องที่ 2603/2534 ให้รับฎีกาของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป"
ความว่า โจทก์ที่ 1 ฎีกา เพื่อขอให้ศาลฎีกามีคำพิพากษา ให้โจทก์รับเงินจำนวน 570,879.58 บาท ของจำเลยตามที่โจทก์ บังคับคดีเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวอยู่ในความครอบครอง ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กองล้มละลาย 1 กรมบังคับคดี ในคดีของศาลแพ่ง ความล้มละลาย หมายเลขคดีแดงที่ ล.406/2533 ถ้าหากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการคืนเงินจำนวนดังกล่าว ให้แก่จำเลยที่ 1 ในขณะนี้แล้ว หากศาลฎีกาได้พิพากษากลับ ให้โจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวได้แล้ว โจทก์จะไม่สามารถ บังคับคดีเอากับจำเลยได้ เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหาย ของโจทก์ โปรดมีคำสั่งห้ามมิให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ คืนเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 จนกว่าศาลฎีกาจะได้มี คำพิพากษาเสร็จแล้ว โปรดอนุญาต หมายเหตุ จำเลยที่ 1 และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 40) คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยให้เรียกชื่อคู่ความตามลำดับในสำนวนหลังและพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2525จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องไม่เกิน776,342.46 บาท และให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 92888 ตำบลสามเสนใน อำเภอพญาไท กรุงเทพมหานคร โจทก์ยื่นคำร้องว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1ชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและ ค่าฤชาธรรมเนียม ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 มีเงินเหลือจาก การบังคับคดีในคดีอื่นจำนวน 570,879.58 บาท ซึ่งเงินดังกล่าว ศาลได้มีคำสั่งให้อายัดไว้ชั่วคราวโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ ตามคำพิพากษาได้เคยขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการ บังคับคดีเพื่อนำเงินดังกล่าวมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา ให้แก่โจทก์ แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ดำเนินการให้ ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเงินจำนวน 570,879.58 บาท เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า จำเลยที่ 1 ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2533 และพิพากษาให้ล้มละลายวันที่ 10 กรกฎาคม 2534 ตามสำเนาคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.406/2533 ของศาลชั้นต้น โจทก์ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนั้นหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการจัดกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ในอันที่จะแบ่งทรัพย์สิน ของลูกหนี้ในคดีล้มละลายให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ได้ หากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะส่งเงินให้ตามหมายอายัดชั่วคราว ของศาลย่อมเป็นการขัดต่อกฎหมายล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จึงไม่อาจส่งเงินจำนวน 570,779.58 บาท ตามหมายอายัดชั่วคราว ให้ศาลได้ ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอรับเงินของโจทก์ และให้เพิกถอนหมายอายัดชั่วคราว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ที่ 1 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 38 แผ่นที่ 2 และแผ่นที่ 1) ชั้นอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายหมายเลขแดง ที่ ล.406/2533 ของศาลชั้นต้น รอการจ่ายเงินที่เหลือจากที่ ชำระให้แก่เจ้าหนี้แล้วให้แก่ลูกหนี้ (จำเลย) ไว้ก่อน จนกว่า ศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษาคดีนี้ (อันดับ 24)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรสั่งห้ามมิให้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คืนเงินที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิจะได้รับ ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล. 406/2533 ของศาลชั้นต้นในระหว่างฎีกา
ความว่า โจทก์ที่ 1 ฎีกา เพื่อขอให้ศาลฎีกามีคำพิพากษา ให้โจทก์รับเงินจำนวน 570,879.58 บาท ของจำเลยตามที่โจทก์ บังคับคดีเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวอยู่ในความครอบครอง ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กองล้มละลาย 1 กรมบังคับคดี ในคดีของศาลแพ่ง ความล้มละลาย หมายเลขคดีแดงที่ ล.406/2533 ถ้าหากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการคืนเงินจำนวนดังกล่าว ให้แก่จำเลยที่ 1 ในขณะนี้แล้ว หากศาลฎีกาได้พิพากษากลับ ให้โจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวได้แล้ว โจทก์จะไม่สามารถ บังคับคดีเอากับจำเลยได้ เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหาย ของโจทก์ โปรดมีคำสั่งห้ามมิให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ คืนเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 จนกว่าศาลฎีกาจะได้มี คำพิพากษาเสร็จแล้ว โปรดอนุญาต หมายเหตุ จำเลยที่ 1 และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 40) คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยให้เรียกชื่อคู่ความตามลำดับในสำนวนหลังและพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2525จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องไม่เกิน776,342.46 บาท และให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 92888 ตำบลสามเสนใน อำเภอพญาไท กรุงเทพมหานคร โจทก์ยื่นคำร้องว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1ชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและ ค่าฤชาธรรมเนียม ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 มีเงินเหลือจาก การบังคับคดีในคดีอื่นจำนวน 570,879.58 บาท ซึ่งเงินดังกล่าว ศาลได้มีคำสั่งให้อายัดไว้ชั่วคราวโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ ตามคำพิพากษาได้เคยขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการ บังคับคดีเพื่อนำเงินดังกล่าวมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา ให้แก่โจทก์ แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ดำเนินการให้ ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเงินจำนวน 570,879.58 บาท เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า จำเลยที่ 1 ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2533 และพิพากษาให้ล้มละลายวันที่ 10 กรกฎาคม 2534 ตามสำเนาคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.406/2533 ของศาลชั้นต้น โจทก์ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนั้นหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการจัดกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ในอันที่จะแบ่งทรัพย์สิน ของลูกหนี้ในคดีล้มละลายให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ได้ หากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะส่งเงินให้ตามหมายอายัดชั่วคราว ของศาลย่อมเป็นการขัดต่อกฎหมายล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จึงไม่อาจส่งเงินจำนวน 570,779.58 บาท ตามหมายอายัดชั่วคราว ให้ศาลได้ ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอรับเงินของโจทก์ และให้เพิกถอนหมายอายัดชั่วคราว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ที่ 1 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 38 แผ่นที่ 2 และแผ่นที่ 1) ชั้นอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายหมายเลขแดง ที่ ล.406/2533 ของศาลชั้นต้น รอการจ่ายเงินที่เหลือจากที่ ชำระให้แก่เจ้าหนี้แล้วให้แก่ลูกหนี้ (จำเลย) ไว้ก่อน จนกว่า ศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษาคดีนี้ (อันดับ 24)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรสั่งห้ามมิให้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คืนเงินที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิจะได้รับ ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล. 406/2533 ของศาลชั้นต้นในระหว่างฎีกา
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 และในส่วนที่เป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาในเรื่องการอ้างพยานหลักฐาน การยื่นบัญชีระบุพยานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจากการที่จำเลยให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดตามฟ้อง แต่โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชอบจะถือว่าจำเลยจำนนต่อพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ได้ และการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำผิดกรรมเดียว จึงไม่อาจเรียงกระทงลงโทษจำเลยได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยว กับความสงบเรียบร้อย และได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วตั้งแต่ ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำคุกกระทงแรก 1 ปีกระทงที่สอง 3 เดือน กระทงที่สาม 3 เดือน กระทงที่สี่ 3 เดือนรวมจำคุก 21 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 14 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยกระทงแรก9 เดือน กระทงที่สองถึงที่สี่กระทงละ 1 เดือน รวมจำคุก12 เดือน ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามคงจำคุก 8 เดือน นอกจาก ที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 92) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 96)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาในเรื่องการอ้างพยานหลักฐานการยื่นบัญชีระบุพยานไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์มิได้บอกกล่าว แก่จำเลยว่าธนาคารไม่ใช้เงินตามเช็คจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เนื่องจากคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพและศาลชั้นต้นพิพากษา ไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ข้อกฎหมาย ที่อ้างในฎีกาจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ส่วนฎีกาข้อที่ว่าขอให้กำหนดโทษให้น้อยลง ควรลดโทษให้จำเลย กึ่งหนึ่งและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย เป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกานั้นชอบแล้ว สำหรับฎีกาที่ว่าเรียงกระทงลงโทษได้หรือไม่ เป็นปัญหา ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะมิได้ยกขึ้น ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ฎีกาได้ จึงให้รับ ฎีกาจำเลยข้อ 2(2) ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 และในส่วนที่เป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาในเรื่องการอ้างพยานหลักฐาน การยื่นบัญชีระบุพยานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจากการที่จำเลยให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดตามฟ้อง แต่โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชอบจะถือว่าจำเลยจำนนต่อพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ได้ และการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำผิดกรรมเดียว จึงไม่อาจเรียงกระทงลงโทษจำเลยได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยว กับความสงบเรียบร้อย และได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วตั้งแต่ ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำคุกกระทงแรก 1 ปีกระทงที่สอง 3 เดือน กระทงที่สาม 3 เดือน กระทงที่สี่ 3 เดือนรวมจำคุก 21 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 14 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยกระทงแรก9 เดือน กระทงที่สองถึงที่สี่กระทงละ 1 เดือน รวมจำคุก12 เดือน ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามคงจำคุก 8 เดือน นอกจาก ที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 92) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 96)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาในเรื่องการอ้างพยานหลักฐานการยื่นบัญชีระบุพยานไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์มิได้บอกกล่าว แก่จำเลยว่าธนาคารไม่ใช้เงินตามเช็คจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เนื่องจากคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพและศาลชั้นต้นพิพากษา ไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ข้อกฎหมาย ที่อ้างในฎีกาจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ส่วนฎีกาข้อที่ว่าขอให้กำหนดโทษให้น้อยลง ควรลดโทษให้จำเลย กึ่งหนึ่งและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย เป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกานั้นชอบแล้ว สำหรับฎีกาที่ว่าเรียงกระทงลงโทษได้หรือไม่ เป็นปัญหา ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะมิได้ยกขึ้น ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ฎีกาได้ จึงให้รับ ฎีกาจำเลยข้อ 2(2) ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามฎีกาไม่ว่าปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่แก้ไขใหม่ไม่รับฎีกา โจทก์เห็นว่า คดีนี้เจ้าพนักงานสอบสวนได้มีคำสั่งฟ้องจำเลย ปรากฏตามคำเบิกความของพนักงานสอบสวน และจำเลยก็ได้ ยอมรับผิดโดยจำเลยได้รับต่อศาลว่าจำเลยเคยเสนอขอชดใช้ ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ด้วย ซึ่งแสดงว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด ฎีกาของโจทก์จึงเป็นปัญหาที่มีสาระสำคัญอันสมควร ได้ขึ้นสู่ศาลสูง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณา ต่อไปด้วย หมายเหตุ ทนายจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 94) ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ไว้พิจารณา โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 89) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 90)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 เมื่อโจทก์ยื่นฎีกา และยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นมิได้อนุญาตให้ฎีกาและสั่งไม่รับฎีกา ฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายที่กล่าวข้างต้นให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามฎีกาไม่ว่าปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่แก้ไขใหม่ไม่รับฎีกา โจทก์เห็นว่า คดีนี้เจ้าพนักงานสอบสวนได้มีคำสั่งฟ้องจำเลย ปรากฏตามคำเบิกความของพนักงานสอบสวน และจำเลยก็ได้ ยอมรับผิดโดยจำเลยได้รับต่อศาลว่าจำเลยเคยเสนอขอชดใช้ ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ด้วย ซึ่งแสดงว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด ฎีกาของโจทก์จึงเป็นปัญหาที่มีสาระสำคัญอันสมควร ได้ขึ้นสู่ศาลสูง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณา ต่อไปด้วย หมายเหตุ ทนายจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 94) ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ไว้พิจารณา โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 89) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 90)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 เมื่อโจทก์ยื่นฎีกา และยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นมิได้อนุญาตให้ฎีกาและสั่งไม่รับฎีกา ฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายที่กล่าวข้างต้นให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยเห็นว่า จำเลยได้ยื่นคำร้องขอรอการลงโทษพร้อมบันทึกของผู้เสียหายในคดีนี้ว่าผู้เสียหายไม่ติดใจที่จะ ดำเนินคดีกับจำเลย พร้อมทั้งจำเลยได้แนบเอกสารดังที่จำเลยฎีกามาแล้ว ซึ่งในเรื่องนี้ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกวินิจฉัยไว้ และปัญหานี้เป็นปัญหาสำคัญน่าที่ศาลฎีกาจะได้พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 75) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) วรรคแรกที่แก้ไขแล้วผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยต่อไปแล้วจึงให้ลงโทษสถานเบา จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 6 เดือนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 68) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 73)
คำสั่ง ฎีกาของจำเลยที่โต้เถียงว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 ใช้ดุลพินิจ ไม่ลงโทษจำเลยสถานเบาหรือรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยทั้ง ๆ ที่ ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความจำเลยนั้นเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยเห็นว่า จำเลยได้ยื่นคำร้องขอรอการลงโทษพร้อมบันทึกของผู้เสียหายในคดีนี้ว่าผู้เสียหายไม่ติดใจที่จะ ดำเนินคดีกับจำเลย พร้อมทั้งจำเลยได้แนบเอกสารดังที่จำเลยฎีกามาแล้ว ซึ่งในเรื่องนี้ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกวินิจฉัยไว้ และปัญหานี้เป็นปัญหาสำคัญน่าที่ศาลฎีกาจะได้พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 75) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) วรรคแรกที่แก้ไขแล้วผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยต่อไปแล้วจึงให้ลงโทษสถานเบา จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 6 เดือนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 68) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 73)
คำสั่ง ฎีกาของจำเลยที่โต้เถียงว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 ใช้ดุลพินิจ ไม่ลงโทษจำเลยสถานเบาหรือรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยทั้ง ๆ ที่ ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความจำเลยนั้นเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลภาษีอากรกลางสั่งว่า อุทธรณ์จำเลยเกี่ยวกับค่าไฟฟ้าบ้านทวดทอง จำนวน 670.52 บาทเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อนำเงินจำนวนดังกล่าวมาคำนวณเป็นเงินภาษีและเงินเพิ่ม ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ 8032/2/100015 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2535 แล้ว ได้เงิน ภาษีและเงินเพิ่มซึ่งถือเป็นทุนทรัพย์พิพาทชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท อุทธรณ์จำเลยในประเด็นนี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 ส่วนอุทธรณ์จำเลยเกี่ยวกับรายได้จากการรับเหมาขาดบัญชี เป็นเงินจำนวน 66,180 บาท นั้นเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อนำเงินจำนวนดังกล่าวมาคำนวณเป็นเงินภาษีและเงินเพิ่ม ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ 8032/2/100016 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2535 แล้วได้เงินภาษีและเงินเพิ่มซึ่งถือว่าเป็นทุนทรัพย์พิพาทชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท การที่จำเลยนำเงินจำนวน 66,180 บาท เป็นทุนทรัพย์อุทธรณ์โดยไม่ได้นำเงิน จำนวนดังกล่าวมาคิดคำนวณเป็นเงินภาษีและเงินเพิ่มก่อนจึงเป็น การไม่ถูกต้อง เมื่อทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท อุทธรณ์จำเลย ในประเด็นนี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 25 เช่นกัน จึงไม่รับอุทธรณ์จำเลยคืนค่า ขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและ วิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 บัญญัติว่า ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท ห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น หมายถึง จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นมิใช่พิพาทกันใน ชั้นอุทธรณ์ และคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นจำนวน 534,528 บาท ซึ่งเกิน 50,000 บาท จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งให้ รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษี เงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2531 ตามหนังสือ แจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 8032/2/100017 ลงวันที่ 30 กันยายน 2535 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 8032/2/100015 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2535 เฉพาะส่วนเกี่ยวกับการนำเงินค่าไฟฟ้าบ้านทวดทอง จำนวน 670.52 บาท มารวมประเมินว่าเป็นรายจ่ายต้องห้าม ตามมาตรา 65 ตรี(3) และ (13) และเพิกถอนการประเมินภาษี เงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2532 ตามหนังสือ แจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 8032/2/100018 ลงวันที่ 30 กันยายน 2535 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณา อุทธรณ์ ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 8032/2/100016 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2535 เฉพาะส่วนเกี่ยวกับการนำเงินค่าขายวัสดุ ก่อสร้างจำนวน 66,180 บาท มารวมประเมินว่าเป็นรายได้จาก การรับเหมาขาดบัญชี คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 92,93) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 96)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีภาษีอากรใดจะต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามความใน พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 ที่บัญญัติว่า "ในคดีที่ราคาทรัพย์สิน หรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท ห้ามมิให้ คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ฯลฯ" ซึ่งคำว่า "ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท" นั้น หมายถึงราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลภาษีอากร หาใช่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัยให้โจทก์ชำระภาษีอากรดังกล่าวซึ่งมีทุนทรัพย์เกินห้าหมื่นบาท คดีจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายดังกล่าว จึงให้รับอุทธรณ์ของจำเลย ให้ศาลภาษีอากรกลางดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลภาษีอากรกลางสั่งว่า อุทธรณ์จำเลยเกี่ยวกับค่าไฟฟ้าบ้านทวดทอง จำนวน 670.52 บาทเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อนำเงินจำนวนดังกล่าวมาคำนวณเป็นเงินภาษีและเงินเพิ่ม ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ 8032/2/100015 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2535 แล้ว ได้เงิน ภาษีและเงินเพิ่มซึ่งถือเป็นทุนทรัพย์พิพาทชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท อุทธรณ์จำเลยในประเด็นนี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 ส่วนอุทธรณ์จำเลยเกี่ยวกับรายได้จากการรับเหมาขาดบัญชี เป็นเงินจำนวน 66,180 บาท นั้นเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อนำเงินจำนวนดังกล่าวมาคำนวณเป็นเงินภาษีและเงินเพิ่ม ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ 8032/2/100016 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2535 แล้วได้เงินภาษีและเงินเพิ่มซึ่งถือว่าเป็นทุนทรัพย์พิพาทชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท การที่จำเลยนำเงินจำนวน 66,180 บาท เป็นทุนทรัพย์อุทธรณ์โดยไม่ได้นำเงิน จำนวนดังกล่าวมาคิดคำนวณเป็นเงินภาษีและเงินเพิ่มก่อนจึงเป็น การไม่ถูกต้อง เมื่อทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท อุทธรณ์จำเลย ในประเด็นนี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 25 เช่นกัน จึงไม่รับอุทธรณ์จำเลยคืนค่า ขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและ วิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 บัญญัติว่า ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท ห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น หมายถึง จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นมิใช่พิพาทกันใน ชั้นอุทธรณ์ และคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นจำนวน 534,528 บาท ซึ่งเกิน 50,000 บาท จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งให้ รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษี เงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2531 ตามหนังสือ แจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 8032/2/100017 ลงวันที่ 30 กันยายน 2535 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 8032/2/100015 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2535 เฉพาะส่วนเกี่ยวกับการนำเงินค่าไฟฟ้าบ้านทวดทอง จำนวน 670.52 บาท มารวมประเมินว่าเป็นรายจ่ายต้องห้าม ตามมาตรา 65 ตรี(3) และ (13) และเพิกถอนการประเมินภาษี เงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2532 ตามหนังสือ แจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 8032/2/100018 ลงวันที่ 30 กันยายน 2535 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณา อุทธรณ์ ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 8032/2/100016 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2535 เฉพาะส่วนเกี่ยวกับการนำเงินค่าขายวัสดุ ก่อสร้างจำนวน 66,180 บาท มารวมประเมินว่าเป็นรายได้จาก การรับเหมาขาดบัญชี คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 92,93) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 96)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีภาษีอากรใดจะต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามความใน พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 ที่บัญญัติว่า "ในคดีที่ราคาทรัพย์สิน หรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท ห้ามมิให้ คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ฯลฯ" ซึ่งคำว่า "ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท" นั้น หมายถึงราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลภาษีอากร หาใช่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัยให้โจทก์ชำระภาษีอากรดังกล่าวซึ่งมีทุนทรัพย์เกินห้าหมื่นบาท คดีจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายดังกล่าว จึงให้รับอุทธรณ์ของจำเลย ให้ศาลภาษีอากรกลางดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกา เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาล จึงเป็นการโต้แย้งปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 จึงไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่า เช็คตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยไม่ได้เป็นผู้ลงวันที่สั่งจ่ายจึงถือได้ว่าไม่มีวันที่จำเลยกระทำความผิดอาญา ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายโดยตรง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ระหว่างพิจารณา นายพิทักษ์ ตติยบวรชัย ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 5 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 157) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 158)
คำสั่ง คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามเอกสารหมาย จ.1ชำระหนี้ให้โจทก์ร่วม โดยไม่เชื่อว่าจำเลยจะมอบเช็คนั้นให้ นายกำธรตติยบวรชัยยืมไปแล้วนายกำธรไปลงจำนวนเงินและวันที่ที่สั่งจ่ายลับหลังจำเลย เมื่อเช็คนั้นถูกธนาคาร ปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินในบัญชีของจำเลยมีไม่พอจ่าย จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง ที่จำเลยฎีกาในทำนองว่าจำเลยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คเอกสารหมาย จ.1 นายกำธรเป็นผู้กรอกวันที่สั่งจ่ายในเช็คเอง เช็คนั้นไม่มีวันที่ผู้ออกเช็ค กระทำความผิดอาญา เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกา เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาล จึงเป็นการโต้แย้งปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 จึงไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่า เช็คตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยไม่ได้เป็นผู้ลงวันที่สั่งจ่ายจึงถือได้ว่าไม่มีวันที่จำเลยกระทำความผิดอาญา ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายโดยตรง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ระหว่างพิจารณา นายพิทักษ์ ตติยบวรชัย ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 5 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 157) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 158)
คำสั่ง คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามเอกสารหมาย จ.1ชำระหนี้ให้โจทก์ร่วม โดยไม่เชื่อว่าจำเลยจะมอบเช็คนั้นให้ นายกำธรตติยบวรชัยยืมไปแล้วนายกำธรไปลงจำนวนเงินและวันที่ที่สั่งจ่ายลับหลังจำเลย เมื่อเช็คนั้นถูกธนาคาร ปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินในบัญชีของจำเลยมีไม่พอจ่าย จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง ที่จำเลยฎีกาในทำนองว่าจำเลยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คเอกสารหมาย จ.1 นายกำธรเป็นผู้กรอกวันที่สั่งจ่ายในเช็คเอง เช็คนั้นไม่มีวันที่ผู้ออกเช็ค กระทำความผิดอาญา เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้เป็นกรณี ผู้ร้องฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด ผู้ร้องเห็นว่า ฎีกาของผู้ร้องในข้อ ก. ที่ว่า ผู้ใดมีชื่อในโฉนดที่ดิน กฎหมายสันนิษฐานว่าเป็นเจ้าของที่ดินและข้อ ข. ที่ว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ร้องไว้ พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ผู้คัดค้านทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 76) ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 31981 ตำบลดอนทรายอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรีเนื้อที่ประมาณ 1 งานเศษ เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการ ครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้คัดค้าน ทั้งสามยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 73) ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 74)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้ใดมีชื่อในโฉนดที่ดินกฎหมายสันนิษฐานว่าเป็นเจ้าของที่ดิน และที่ฎีกาว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วนั้น ฎีกาของผู้ร้องล้วนเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้องชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้เป็นกรณี ผู้ร้องฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด ผู้ร้องเห็นว่า ฎีกาของผู้ร้องในข้อ ก. ที่ว่า ผู้ใดมีชื่อในโฉนดที่ดิน กฎหมายสันนิษฐานว่าเป็นเจ้าของที่ดินและข้อ ข. ที่ว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ร้องไว้ พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ผู้คัดค้านทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 76) ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 31981 ตำบลดอนทรายอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรีเนื้อที่ประมาณ 1 งานเศษ เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการ ครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้คัดค้าน ทั้งสามยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 73) ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 74)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้ใดมีชื่อในโฉนดที่ดินกฎหมายสันนิษฐานว่าเป็นเจ้าของที่ดิน และที่ฎีกาว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วนั้น ฎีกาของผู้ร้องล้วนเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้องชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าโจทก์ที่ 2 อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ที่ 2 เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 121) คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ตามลำดับ ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย จำนวน 23,640 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และพิพากษายกฟ้องสำหรับโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 109) โจทก์ที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 117)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ที่ 2 กล่าวแต่เพียงว่า โจทก์ที่ 2 ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของ ศาลแรงงานกลางที่ไม่รับอุทธรณ์โจทก์ที่ 2 เพราะอุทธรณ์ ของโจทก์ที่ 2 เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย มิใช่ปัญหา ข้อเท็จจริง คำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวมิได้กล่าวว่าเป็น ข้อกฎหมายอย่างไร จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 31 ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าโจทก์ที่ 2 อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ที่ 2 เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 121) คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ตามลำดับ ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย จำนวน 23,640 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และพิพากษายกฟ้องสำหรับโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 109) โจทก์ที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 117)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ที่ 2 กล่าวแต่เพียงว่า โจทก์ที่ 2 ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของ ศาลแรงงานกลางที่ไม่รับอุทธรณ์โจทก์ที่ 2 เพราะอุทธรณ์ ของโจทก์ที่ 2 เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย มิใช่ปัญหา ข้อเท็จจริง คำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวมิได้กล่าวว่าเป็น ข้อกฎหมายอย่างไร จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 31 ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของโจทก์ทั้งสองไม่เกินคนละสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ฎีกาของ โจทก์ทั้งสองโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์ทั้งสองเห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโมฆะ เพราะเป็นการแสดงเจตนาลวงของคู่กรณี จึงเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของโจทก์ทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 135,136) โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า การโอนที่ดิน พิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ตกเป็นโมฆะ เพราะเป็นการแสดงเจตนาลวงของคู่กรณี และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้รับโอนที่ดินโดยไม่สุจริตโอนที่ดินพิพาทคืนให้แก่ โจทก์ทั้งสอง หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษา แทนการแสดงเจตนา จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ทั้งสองไม่ได้เป็นการแสดงเจตนาลวง ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตเสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนตามกฎหมาย โจทก์ทั้งสองขายที่ดินแก่จำเลยที่ 1 แล้วโดยชอบ ขอให้ยกฟ้อง ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้โจทก์ทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลตามราคาที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสามตกลงตีราคาทุนทรัพย์ตามราคาประเมินของทางราชการ เป็นเงิน 256,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 130) โจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 134)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ทั้งสองได้ร่วมกันฟ้องจำเลย ทั้งสามโดยอ้างว่า การโอนที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสอง กับจำเลยที่ 1 ตกเป็นโมฆะเพราะเป็นการแสดงเจตนาลวงต่อกัน และการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับโอนต่อไปจากจำเลยที่ 1 ก็เป็นการโอนโดยไม่สุจริต ขอให้เพิกถอนการโอนทั้งหมด แล้วให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 โอนกลับมาเป็นของโจทก์ทั้งสอง การฟ้องของโจทก์ทั้งสองไม่ปรากฏว่าโจทก์แต่ละคนต่างเรียกร้อง เอาเฉพาะส่วนของตน แต่กลับได้ความว่าเรียกร้องให้กลับมา เป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ทั้งสองเหมือนเดิม ดังนั้น คดีสำหรับโจทก์ทั้งสองจะแยกพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์ออกเป็น ของโจทก์แต่ละคนหาได้ไม่ จะต้องรวมจำนวนทุนทรัพย์เข้าด้วยกันเมื่อปรากฏว่าราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเกินกว่าสองแสนบาท จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการไม่ชอบ ให้รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองเพื่อดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของโจทก์ทั้งสองไม่เกินคนละสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ฎีกาของ โจทก์ทั้งสองโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์ทั้งสองเห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโมฆะ เพราะเป็นการแสดงเจตนาลวงของคู่กรณี จึงเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของโจทก์ทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 135,136) โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า การโอนที่ดิน พิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ตกเป็นโมฆะ เพราะเป็นการแสดงเจตนาลวงของคู่กรณี และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้รับโอนที่ดินโดยไม่สุจริตโอนที่ดินพิพาทคืนให้แก่ โจทก์ทั้งสอง หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษา แทนการแสดงเจตนา จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ทั้งสองไม่ได้เป็นการแสดงเจตนาลวง ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตเสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนตามกฎหมาย โจทก์ทั้งสองขายที่ดินแก่จำเลยที่ 1 แล้วโดยชอบ ขอให้ยกฟ้อง ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้โจทก์ทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลตามราคาที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสามตกลงตีราคาทุนทรัพย์ตามราคาประเมินของทางราชการ เป็นเงิน 256,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 130) โจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 134)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ทั้งสองได้ร่วมกันฟ้องจำเลย ทั้งสามโดยอ้างว่า การโอนที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสอง กับจำเลยที่ 1 ตกเป็นโมฆะเพราะเป็นการแสดงเจตนาลวงต่อกัน และการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับโอนต่อไปจากจำเลยที่ 1 ก็เป็นการโอนโดยไม่สุจริต ขอให้เพิกถอนการโอนทั้งหมด แล้วให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 โอนกลับมาเป็นของโจทก์ทั้งสอง การฟ้องของโจทก์ทั้งสองไม่ปรากฏว่าโจทก์แต่ละคนต่างเรียกร้อง เอาเฉพาะส่วนของตน แต่กลับได้ความว่าเรียกร้องให้กลับมา เป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ทั้งสองเหมือนเดิม ดังนั้น คดีสำหรับโจทก์ทั้งสองจะแยกพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์ออกเป็น ของโจทก์แต่ละคนหาได้ไม่ จะต้องรวมจำนวนทุนทรัพย์เข้าด้วยกันเมื่อปรากฏว่าราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเกินกว่าสองแสนบาท จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการไม่ชอบ ให้รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองเพื่อดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า รับฎีกาเฉพาะประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อกฎหมายส่วนประเด็นอื่นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับ จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องนั้นโจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงประกอบให้เห็นชัดทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคลยืนยันได้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจริง โจทก์จึง ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย และฎีกาประเด็นเรื่องฝ่ายใดเป็นฝ่ายประมาทนั้น จำเลยที่ 1 ได้กล่าวอ้างแล้วว่า ฝ่ายโจทก์ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูง เกินกว่ากฎหมายกำหนดไว้ มิได้ขับชิดซ้าย และมิได้ ใช้ความระมัดระวังตามวิญญูชนอันพึงมี ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง ประกอบกับข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไปทุกประเด็น หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 149 แผ่นที่ 2) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน63,467 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิ (วันที่ 18 กันยายน 2533) จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และยกฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาบางประเด็นดังกล่าว (อันดับ 113) จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 138)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องนั้น จำเลยที่ 1ฎีกาว่าโจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงให้เห็นชัดว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาที่ว่าฝ่ายใดประมาทนั้น ก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาในประเด็นเหล่านี้ชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า รับฎีกาเฉพาะประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อกฎหมายส่วนประเด็นอื่นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับ จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องนั้นโจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงประกอบให้เห็นชัดทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคลยืนยันได้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจริง โจทก์จึง ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย และฎีกาประเด็นเรื่องฝ่ายใดเป็นฝ่ายประมาทนั้น จำเลยที่ 1 ได้กล่าวอ้างแล้วว่า ฝ่ายโจทก์ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูง เกินกว่ากฎหมายกำหนดไว้ มิได้ขับชิดซ้าย และมิได้ ใช้ความระมัดระวังตามวิญญูชนอันพึงมี ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง ประกอบกับข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไปทุกประเด็น หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 149 แผ่นที่ 2) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน63,467 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิ (วันที่ 18 กันยายน 2533) จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และยกฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาบางประเด็นดังกล่าว (อันดับ 113) จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 138)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องนั้น จำเลยที่ 1ฎีกาว่าโจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงให้เห็นชัดว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาที่ว่าฝ่ายใดประมาทนั้น ก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาในประเด็นเหล่านี้ชอบแล้ว ยกคำร้อง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|