ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนั้นเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าคดีนี้ เป็นคดีฟ้องขับไล่อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้อง ไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริง นอกเหนือจากที่ปรากฏในสำนวน และศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริง ที่ยังไม่เป็นที่ยุติเนื่องจากโจทก์ไม่สามารถนำสืบข้อเท็จจริง ที่โจทก์กล่าวอ้างได้ มาวินิจฉัยคดีจึงขัดต่อกฎหมายเป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกแถวและที่ดินโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 23 กรกฎาคม 2535)จนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกแถวและที่ดินโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 73 แผ่นที่ 2) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 75)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่ จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาตามราคาทรัพย์พิพาทซึ่งคู่ความได้ตีราคาไว้ในศาลชั้นต้นเป็นเงิน 581,000 บาทจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ให้รับฎีกาจำเลย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนั้นเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าคดีนี้ เป็นคดีฟ้องขับไล่อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้อง ไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริง นอกเหนือจากที่ปรากฏในสำนวน และศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริง ที่ยังไม่เป็นที่ยุติเนื่องจากโจทก์ไม่สามารถนำสืบข้อเท็จจริง ที่โจทก์กล่าวอ้างได้ มาวินิจฉัยคดีจึงขัดต่อกฎหมายเป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกแถวและที่ดินโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 23 กรกฎาคม 2535)จนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกแถวและที่ดินโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 73 แผ่นที่ 2) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 75)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่ จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาตามราคาทรัพย์พิพาทซึ่งคู่ความได้ตีราคาไว้ในศาลชั้นต้นเป็นเงิน 581,000 บาทจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ให้รับฎีกาจำเลย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสามสำนวนอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า คำฟ้องอุทธรณ์เป็นการอุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ จำเลยเห็นว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า พฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสาม ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมา เป็นการจงใจทำให้ จำเลยได้รับความเสียหายหรือไม่ เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ หรือคำสั่งของจำเลยอย่างร้ายแรงหรือไม่และเจตนากระทำความผิดอาญา แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 หรือไม่นั้น ล้วนเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่ง ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ทนายโจทก์ทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 69,70) คดีทั้งสามสำนวนนี้ จำเลยเป็นบุคคลเดียวกัน ศาลแรงงานกลาง พิจารณาพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ตามลำดับ ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชยจำนวน 88,499 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 21,633 บาท และค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 7,866 บาท แก่โจทก์ที่ 1 ให้ชำระค่าชดเชยจำนวน 183,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำนวน 22,366 บาท และค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 8,133 บาท แก่โจทก์ที่ 2 และให้ชำระค่าชดเชยจำนวน 60,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 7,333 บาท และ ค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 2,666 บาท แก่โจทก์ที่ 3 จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 61) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งสาม ฉีกทำลายเอกสารไม่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ไม่เป็นการ ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของจำเลย และไม่เป็นความผิดอาญา จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่า จำเลยทั้งสามฉีกทำลายเอกสาร พร้อมกันลักษณะเป็นการจงใจให้จำเลยเสียหาย เป็นการอุทธรณ์ โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นข้อเท็จจริง ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการที่โจทก์ทั้งสาม ฉีกเอกสารเป็นการไม่ระมัดระวังป้องกันทรัพย์สินของจำเลย ทำให้จำเลยเสียหาย เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่ง ของจำเลย และเจตนากระทำผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 นั้น ก็เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่ ข้อกฎหมายเป็นข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อ จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลาง ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสามสำนวนอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า คำฟ้องอุทธรณ์เป็นการอุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ จำเลยเห็นว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า พฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสาม ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมา เป็นการจงใจทำให้ จำเลยได้รับความเสียหายหรือไม่ เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ หรือคำสั่งของจำเลยอย่างร้ายแรงหรือไม่และเจตนากระทำความผิดอาญา แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 หรือไม่นั้น ล้วนเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่ง ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ทนายโจทก์ทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 69,70) คดีทั้งสามสำนวนนี้ จำเลยเป็นบุคคลเดียวกัน ศาลแรงงานกลาง พิจารณาพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ตามลำดับ ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชยจำนวน 88,499 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 21,633 บาท และค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 7,866 บาท แก่โจทก์ที่ 1 ให้ชำระค่าชดเชยจำนวน 183,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำนวน 22,366 บาท และค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 8,133 บาท แก่โจทก์ที่ 2 และให้ชำระค่าชดเชยจำนวน 60,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 7,333 บาท และ ค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 2,666 บาท แก่โจทก์ที่ 3 จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 61) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งสาม ฉีกทำลายเอกสารไม่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ไม่เป็นการ ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของจำเลย และไม่เป็นความผิดอาญา จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่า จำเลยทั้งสามฉีกทำลายเอกสาร พร้อมกันลักษณะเป็นการจงใจให้จำเลยเสียหาย เป็นการอุทธรณ์ โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นข้อเท็จจริง ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการที่โจทก์ทั้งสาม ฉีกเอกสารเป็นการไม่ระมัดระวังป้องกันทรัพย์สินของจำเลย ทำให้จำเลยเสียหาย เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่ง ของจำเลย และเจตนากระทำผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 นั้น ก็เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่ ข้อกฎหมายเป็นข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อ จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลแรงงานกลาง ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าทุนทรัพย์ต้องคิดตามที่โจทก์แต่ละคนฎีกาซึ่งปรากฏว่าทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาของโจทก์แต่ละคนไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์ทั้งสอง เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองเห็นว่า โจทก์ทั้งสองรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยเพื่อดำเนินคดีกับจำเลยโดยอาศัยสิทธิตามกรมธรรม์ประกันภัยเดียวกัน และต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้เอาประกันภัยเป็นหนี้ร่วมอันมิอาจแบ่งแยกได้ เมื่อทุนทรัพย์ในคดี 203,274 บาท จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 116,187 บาท ให้โจทก์ที่ 1 และชำระเงินจำนวน 77,458 บาท ให้โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 4 มกราคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 95 แผ่นที่ 2) โจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)
คำสั่ง หนี้ที่โจทก์แต่ละคนฟ้องเรียกเป็นหนี้อันอาจแบ่งแยกได้ จึงต้องถือทุนทรัพย์แยกจากกันตามรายตัวโจทก์ เมื่อจำนวนหนี้ ตามสิทธิของโจทก์แต่ละคนไม่เกินสองแสนบาท ย่อมต้องห้ามฎีกา ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ทั้งสอง ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าทุนทรัพย์ต้องคิดตามที่โจทก์แต่ละคนฎีกาซึ่งปรากฏว่าทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาของโจทก์แต่ละคนไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์ทั้งสอง เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองเห็นว่า โจทก์ทั้งสองรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยเพื่อดำเนินคดีกับจำเลยโดยอาศัยสิทธิตามกรมธรรม์ประกันภัยเดียวกัน และต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้เอาประกันภัยเป็นหนี้ร่วมอันมิอาจแบ่งแยกได้ เมื่อทุนทรัพย์ในคดี 203,274 บาท จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 116,187 บาท ให้โจทก์ที่ 1 และชำระเงินจำนวน 77,458 บาท ให้โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 4 มกราคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 95 แผ่นที่ 2) โจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)
คำสั่ง หนี้ที่โจทก์แต่ละคนฟ้องเรียกเป็นหนี้อันอาจแบ่งแยกได้ จึงต้องถือทุนทรัพย์แยกจากกันตามรายตัวโจทก์ เมื่อจำนวนหนี้ ตามสิทธิของโจทก์แต่ละคนไม่เกินสองแสนบาท ย่อมต้องห้ามฎีกา ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ทั้งสอง ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นคดีมีราคาทรัพย์สินหรือพิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทฎีกาโจทก์ทุกข้อเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยข้อเท็จจริงขัดแย้งกันและการที่ศาลอุทธรณ์ รับฟังข้อเท็จจริงที่ปรากฏในชั้นสืบพยานจำเลย โดยที่จำเลย มิได้ให้การต่อสู้คดีไว้ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของโจทก์ด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 87) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2534 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์แล้วเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกินจำนวน 3,750 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 83) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 84)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงขัดแย้งกันฎีกาโจทก์จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นเห็นว่า การที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต่างกัน ก่อให้เกิดปัญหาข้อเท็จจริงว่า ข้อเท็จจริงที่จะรับฟัง เป็นอย่างไรแน่ ฎีกาโจทก์โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ รับฟังเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ รับฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือจากคำให้การต่อสู้ของจำเลย เป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่าฎีกาโจทก์ไม่มีข้อใด ที่ฎีกาปัญหานี้ไว้เลย โจทก์ยกว่ากล่าวในชั้นนี้เอง ไม่ตรงข้อฎีกาโจทก์ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาโจทก์เพราะเป็น ฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นคดีมีราคาทรัพย์สินหรือพิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทฎีกาโจทก์ทุกข้อเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยข้อเท็จจริงขัดแย้งกันและการที่ศาลอุทธรณ์ รับฟังข้อเท็จจริงที่ปรากฏในชั้นสืบพยานจำเลย โดยที่จำเลย มิได้ให้การต่อสู้คดีไว้ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของโจทก์ด้วย หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 87) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2534 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์แล้วเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกินจำนวน 3,750 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 83) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 84)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงขัดแย้งกันฎีกาโจทก์จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นเห็นว่า การที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต่างกัน ก่อให้เกิดปัญหาข้อเท็จจริงว่า ข้อเท็จจริงที่จะรับฟัง เป็นอย่างไรแน่ ฎีกาโจทก์โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ รับฟังเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ รับฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือจากคำให้การต่อสู้ของจำเลย เป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่าฎีกาโจทก์ไม่มีข้อใด ที่ฎีกาปัญหานี้ไว้เลย โจทก์ยกว่ากล่าวในชั้นนี้เอง ไม่ตรงข้อฎีกาโจทก์ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาโจทก์เพราะเป็น ฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกา ไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่หยิบยกเกี่ยวกับพยานหลักฐาน ในสำนวนที่โจทก์และจำเลยได้นำสืบต่อสู้กันในคดีนี้ทั้งสิ้น ขึ้นมาเป็นข้อฎีกาของจำเลยโดยเฉพาะพยานหลักฐานที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยให้ครบประเด็น ก่อนที่จะพิพากษาลงโทษจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 จำคุก 1 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 60) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง จำเลยฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในการฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกา ไม่รับฎีกาจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่หยิบยกเกี่ยวกับพยานหลักฐาน ในสำนวนที่โจทก์และจำเลยได้นำสืบต่อสู้กันในคดีนี้ทั้งสิ้น ขึ้นมาเป็นข้อฎีกาของจำเลยโดยเฉพาะพยานหลักฐานที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยให้ครบประเด็น ก่อนที่จะพิพากษาลงโทษจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 จำคุก 1 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 60) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง จำเลยฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในการฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์พิพาทเพียง 108,268 บาท ไม่ถึง 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และพิเคราะห์ฎีกาของจำเลยแล้วเป็นฎีกา คัดค้านดุลพินิจของศาลเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกา ส่วนปัญหาข้อกฎหมายเรื่องเขตอำนาจศาลนั้น ปรากฏว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลนี้ และจำเลยก็ต่อสู้คดีมาโดยตลอดมิได้คัดค้านเรื่องเขตอำนาจศาล แต่อย่างใด จึงเป็นข้อกฎหมายที่มิได้ว่ากล่าวมาแต่ศาลชั้นต้น จึงไม่อาจฎีกาได้ ดังนั้นที่ศาลมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลย จึงเป็นกรณีผิดหลง อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ให้เพิกถอนคำสั่งรับฎีกาของจำเลย เป็นไม่รับฎีกา ของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า จำเลยไม่ได้มีภูมิลำเนา อยู่ใน เขตอำนาจศาลชั้นต้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน และฎีกาข้อ 3 ที่ว่าโจทก์ ไม่ได้เป็นผู้ชี้ช่องให้จำเลยกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เข้าทำสัญญาซื้อขายที่ดิน เพราะสัญญาเกิดขึ้นแต่เวลาเมื่อ คำบอกกล่าวสนองรับซื้อที่ดินเอกสารหมาย ล.2 ไปถึงจำเลย และตรงกับคำเสนอขายที่ดินของจำเลยเอกสารหมาย ล.1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 361 และฎีกาที่ว่า สัญญานายหน้าเอกสารหมาย จ.1 ไม่ครบองค์ประกอบที่จะเป็น นิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 149 จึงไม่มีผลบังคับนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 108,268 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 100,714 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาและต่อมามีคำสั่ง เพิกถอนคำสั่งเป็นไม่รับฎีกาของจำเลยดังกล่าว(อันดับ 71,77) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยไม่ได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 80)
คำสั่ง จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกัน มาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์พิพาทเพียง 108,268 บาท ไม่ถึง 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และพิเคราะห์ฎีกาของจำเลยแล้วเป็นฎีกา คัดค้านดุลพินิจของศาลเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกา ส่วนปัญหาข้อกฎหมายเรื่องเขตอำนาจศาลนั้น ปรากฏว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลนี้ และจำเลยก็ต่อสู้คดีมาโดยตลอดมิได้คัดค้านเรื่องเขตอำนาจศาล แต่อย่างใด จึงเป็นข้อกฎหมายที่มิได้ว่ากล่าวมาแต่ศาลชั้นต้น จึงไม่อาจฎีกาได้ ดังนั้นที่ศาลมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลย จึงเป็นกรณีผิดหลง อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ให้เพิกถอนคำสั่งรับฎีกาของจำเลย เป็นไม่รับฎีกา ของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า จำเลยไม่ได้มีภูมิลำเนา อยู่ใน เขตอำนาจศาลชั้นต้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน และฎีกาข้อ 3 ที่ว่าโจทก์ ไม่ได้เป็นผู้ชี้ช่องให้จำเลยกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เข้าทำสัญญาซื้อขายที่ดิน เพราะสัญญาเกิดขึ้นแต่เวลาเมื่อ คำบอกกล่าวสนองรับซื้อที่ดินเอกสารหมาย ล.2 ไปถึงจำเลย และตรงกับคำเสนอขายที่ดินของจำเลยเอกสารหมาย ล.1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 361 และฎีกาที่ว่า สัญญานายหน้าเอกสารหมาย จ.1 ไม่ครบองค์ประกอบที่จะเป็น นิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 149 จึงไม่มีผลบังคับนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 108,268 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 100,714 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาและต่อมามีคำสั่ง เพิกถอนคำสั่งเป็นไม่รับฎีกาของจำเลยดังกล่าว(อันดับ 71,77) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยไม่ได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 80)
คำสั่ง จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกัน มาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตให้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า มิใช่ปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งฎีกาว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกและไม่มีคำอนุญาตให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกาของจำเลยฉบับนี้ จำเลยเห็นว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาลักกระเป๋าของผู้เสียหาย เพราะมีเจตนาบริสุทธิ์จะนำไปสู่เจ้าของเดิม และจำเลย ประพฤติตนเป็นพลเมืองดีมาตลอด มีอาชีพสุจริตและครอบครัว ที่ต้องเลี้ยงดู ประกอบกับไม่เคยถูกจับกุมดำเนินคดีอาญามาก่อน ขอให้ลงโทษจำเลยในสถานเบา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 47 แผ่นที่ 3) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(9) วรรคสาม จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี พิเคราะห์รายงาน การสืบเสาะแล้วไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 34,33 แผ่นที่ 3,42) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 47 แผ่นที่ 3)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้น ที่ไม่รับฎีกาของจำเลยอ้างเพียงว่า พยายามให้ศาลรับฎีกา ของจำเลยตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว และตามพฤติการณ์ และข้อเท็จจริงมีเหตุผลจะให้ลงโทษจำเลยในสถานเบา เห็นว่า คำร้องของ จำเลยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านคำสั่ง ศาลชั้นต้น ว่าคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด หรือฎีกาของจำเลย ดังกล่าวไม่ต้องห้ามตามกฎหมายอันควรที่ศาลจะรับไว้พิจารณาจึงไม่รับวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตให้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า มิใช่ปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งฎีกาว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกและไม่มีคำอนุญาตให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกาของจำเลยฉบับนี้ จำเลยเห็นว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาลักกระเป๋าของผู้เสียหาย เพราะมีเจตนาบริสุทธิ์จะนำไปสู่เจ้าของเดิม และจำเลย ประพฤติตนเป็นพลเมืองดีมาตลอด มีอาชีพสุจริตและครอบครัว ที่ต้องเลี้ยงดู ประกอบกับไม่เคยถูกจับกุมดำเนินคดีอาญามาก่อน ขอให้ลงโทษจำเลยในสถานเบา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 47 แผ่นที่ 3) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(9) วรรคสาม จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี พิเคราะห์รายงาน การสืบเสาะแล้วไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 34,33 แผ่นที่ 3,42) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 47 แผ่นที่ 3)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้น ที่ไม่รับฎีกาของจำเลยอ้างเพียงว่า พยายามให้ศาลรับฎีกา ของจำเลยตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว และตามพฤติการณ์ และข้อเท็จจริงมีเหตุผลจะให้ลงโทษจำเลยในสถานเบา เห็นว่า คำร้องของ จำเลยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านคำสั่ง ศาลชั้นต้น ว่าคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด หรือฎีกาของจำเลย ดังกล่าวไม่ต้องห้ามตามกฎหมายอันควรที่ศาลจะรับไว้พิจารณาจึงไม่รับวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาต ให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 88) คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 72436 แขวงคลองตัน (ที่ 11 พระโขนงฝั่งเหนือ) เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยอ้างว่าเป็นสินสมรสของจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดดังกล่าว เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเพียงผู้เดียวขอให้ศาลสั่งปล่อย ทรัพย์ที่ยึดคืนแก่ผู้ร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท คืนแก่ผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของ ผู้ร้อง ผู้ร้องฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86,85)
คำสั่ง คำร้องของ ผู้ร้องพอแปลได้ว่า ผู้ร้องขอคุ้มครองประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรให้งดการขายหรือจำหน่าย ทรัพย์พิพาทในระหว่างฎีกา
ความว่า ผู้ร้องฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาต ให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 88) คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 72436 แขวงคลองตัน (ที่ 11 พระโขนงฝั่งเหนือ) เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยอ้างว่าเป็นสินสมรสของจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดดังกล่าว เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเพียงผู้เดียวขอให้ศาลสั่งปล่อย ทรัพย์ที่ยึดคืนแก่ผู้ร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท คืนแก่ผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของ ผู้ร้อง ผู้ร้องฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86,85)
คำสั่ง คำร้องของ ผู้ร้องพอแปลได้ว่า ผู้ร้องขอคุ้มครองประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรให้งดการขายหรือจำหน่าย ทรัพย์พิพาทในระหว่างฎีกา
ความว่า คดีสืบเนื่องจากจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลชั้นต้น มีคำสั่งว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้จำเลยที่ 2 นำค่าขึ้นศาล มาชำระให้ครบถ้วนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ มิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยที่ 2 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีเป็นการฎีกาคำสั่งยกคำสั่งของ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งเป็นการยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ที่มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 คำสั่งดังกล่าว เป็นที่สุด แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 จึงต้องห้ามฎีกา ให้ยกคำร้อง จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องอุทธรณ์ คำสั่งที่ไม่รับฎีกาคำสั่ง ฉบับลงวันที่ 13 ตุลาคม 2537 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้อุทธรณ์คำสั่งนำเงินค่าฤชาธรรมเนียม มาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ ต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2537 ต่อมา เจ้าหน้าที่รายงานว่าจำเลยที่ 2 มิได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลภายใน ระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยก คำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ยอมรับฎีกาคำสั่งของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เห็นว่า ในกรณีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ยอมรับฎีกา ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252 มิใช่เป็นเรื่องที่ยื่น คำร้องอุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกาคำสั่ง ของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 83 แผ่นที่ 2-3) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน จำนวน 2,312,788.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 1,662,855.78 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 33,868 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 พฤศจิกายน 2535) จนกว่าจะชำระเสร็จโดยให้จำเลยที่ 2 รับผิดในจำนวนเงิน 1,117,525.10 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงิน 816,020.96 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 416 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 3 รับผิดในจำนวนเงิน 186,177.58 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงิน 136,003.48 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 70202 ตำบลทุ่งสองห้อง(สองห้อง) อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ) กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ดินโฉนดเลขที่ 1245,1249 ตำบลน้ำอ้อมอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 20 ธันวาคม 2536 จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้จำเลยที่ 2 นำค่าขึ้นศาลมาชำระให้ครบถ้วนตามจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์มิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจอุทธรณ์(อันดับ 52) จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยมติที่ประชุมใหญ่มีคำสั่งว่า กรณีของจำเลยที่ 2 เป็นการอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยที่ 2 อาจอุทธรณ์คำสั่ง ศาลนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อ ศาลชั้นต้นและนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงิน มาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด สิบห้าวัน นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 234 ที่แก้ไขแล้ว แต่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว โดยมิได้นำ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลแต่อย่างใด จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ให้ยกคำร้อง (อันดับ 56,71) จำเลยที่ 2 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีเป็นการ ฎีกาคำสั่งยกคำร้องของศาลอุทธรณ์ ซึ่งเป็นการยืนตามคำสั่ง ของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 คำสั่งดังกล่าวเป็นที่สุดแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 จึงต้องห้ามฎีกาให้ยกคำร้อง (อันดับ 73) จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง มา วางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ ต่อศาล แต่จำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ศาลชั้นต้น จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง (อันดับ 74) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 และศาลอุทธรณ์ภาค 1เห็นว่า ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาสั่งในเรื่องนี้ จึงให้คืนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการใหม่ให้ถูกต้องต่อไป (อันดับ 77,86)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้จำเลยที่ 2 ได้ยื่นอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 นำค่าขึ้นศาลมาชำระให้ครบถ้วนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกัน ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ไม่นำเงินค่าขึ้นศาลมาชำระตามคำสั่งแต่ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น โดยมิได้นำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น หรือหาประกันให้ไว้เป็นการไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย แล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องทั้งที่ศาลชั้นต้น ยังมิได้มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 จึงมิใช่กรณีที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 อันจะเป็นที่สุดตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 จำเลยที่ 2จึงมีสิทธิฎีกาได้ ให้รับฎีกาคำสั่งของจำเลยที่ 2 ไว้ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า คดีสืบเนื่องจากจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลชั้นต้น มีคำสั่งว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้จำเลยที่ 2 นำค่าขึ้นศาล มาชำระให้ครบถ้วนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ มิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยที่ 2 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีเป็นการฎีกาคำสั่งยกคำสั่งของ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งเป็นการยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ที่มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 คำสั่งดังกล่าว เป็นที่สุด แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 จึงต้องห้ามฎีกา ให้ยกคำร้อง จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องอุทธรณ์ คำสั่งที่ไม่รับฎีกาคำสั่ง ฉบับลงวันที่ 13 ตุลาคม 2537 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้อุทธรณ์คำสั่งนำเงินค่าฤชาธรรมเนียม มาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ ต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2537 ต่อมา เจ้าหน้าที่รายงานว่าจำเลยที่ 2 มิได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลภายใน ระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยก คำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ยอมรับฎีกาคำสั่งของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เห็นว่า ในกรณีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ยอมรับฎีกา ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252 มิใช่เป็นเรื่องที่ยื่น คำร้องอุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกาคำสั่ง ของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 83 แผ่นที่ 2-3) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน จำนวน 2,312,788.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 1,662,855.78 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 33,868 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 พฤศจิกายน 2535) จนกว่าจะชำระเสร็จโดยให้จำเลยที่ 2 รับผิดในจำนวนเงิน 1,117,525.10 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงิน 816,020.96 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 416 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 3 รับผิดในจำนวนเงิน 186,177.58 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงิน 136,003.48 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 70202 ตำบลทุ่งสองห้อง(สองห้อง) อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ) กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ดินโฉนดเลขที่ 1245,1249 ตำบลน้ำอ้อมอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 20 ธันวาคม 2536 จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้จำเลยที่ 2 นำค่าขึ้นศาลมาชำระให้ครบถ้วนตามจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์มิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจอุทธรณ์(อันดับ 52) จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยมติที่ประชุมใหญ่มีคำสั่งว่า กรณีของจำเลยที่ 2 เป็นการอุทธรณ์คำสั่ง ไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยที่ 2 อาจอุทธรณ์คำสั่ง ศาลนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อ ศาลชั้นต้นและนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงิน มาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด สิบห้าวัน นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 234 ที่แก้ไขแล้ว แต่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว โดยมิได้นำ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลแต่อย่างใด จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ให้ยกคำร้อง (อันดับ 56,71) จำเลยที่ 2 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีเป็นการ ฎีกาคำสั่งยกคำร้องของศาลอุทธรณ์ ซึ่งเป็นการยืนตามคำสั่ง ของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 คำสั่งดังกล่าวเป็นที่สุดแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 จึงต้องห้ามฎีกาให้ยกคำร้อง (อันดับ 73) จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง มา วางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ ต่อศาล แต่จำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ศาลชั้นต้น จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง (อันดับ 74) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 และศาลอุทธรณ์ภาค 1เห็นว่า ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาสั่งในเรื่องนี้ จึงให้คืนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการใหม่ให้ถูกต้องต่อไป (อันดับ 77,86)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้จำเลยที่ 2 ได้ยื่นอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 นำค่าขึ้นศาลมาชำระให้ครบถ้วนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกัน ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ไม่นำเงินค่าขึ้นศาลมาชำระตามคำสั่งแต่ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น โดยมิได้นำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น หรือหาประกันให้ไว้เป็นการไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย แล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องทั้งที่ศาลชั้นต้น ยังมิได้มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 จึงมิใช่กรณีที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 อันจะเป็นที่สุดตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 จำเลยที่ 2จึงมีสิทธิฎีกาได้ ให้รับฎีกาคำสั่งของจำเลยที่ 2 ไว้ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 248 ฎีกาข้อ 2.2 และ 2.3 ล้วนเป็นปัญหา ข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 158) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน จำนวน 200,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 152) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 155)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ปัญหาเรื่องอายุความตามฎีกาของจำเลยข้อ 2.3 จำเลยฎีกาว่า การที่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากทรัพย์ที่เช่าซื้อซึ่งโจทก์ยึดคืนมาชำรุดทรุดโทรม โจทก์ขายได้ราคาต่ำกว่าค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระซึ่งผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ผู้เช่าซื้อใช้ทรัพย์บุบสลาย จึงมีอายุความ 6 เดือน นับแต่ วันที่โจทก์ได้รับทรัพย์ที่เช่าซื้อคืน ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 562,563 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ให้ศาลชั้นต้นรับฎีกาข้อ 2.3 ของจำเลย แล้วดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 248 ฎีกาข้อ 2.2 และ 2.3 ล้วนเป็นปัญหา ข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 158) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน จำนวน 200,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 152) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 155)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ปัญหาเรื่องอายุความตามฎีกาของจำเลยข้อ 2.3 จำเลยฎีกาว่า การที่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากทรัพย์ที่เช่าซื้อซึ่งโจทก์ยึดคืนมาชำรุดทรุดโทรม โจทก์ขายได้ราคาต่ำกว่าค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระซึ่งผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ผู้เช่าซื้อใช้ทรัพย์บุบสลาย จึงมีอายุความ 6 เดือน นับแต่ วันที่โจทก์ได้รับทรัพย์ที่เช่าซื้อคืน ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 562,563 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ให้ศาลชั้นต้นรับฎีกาข้อ 2.3 ของจำเลย แล้วดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 219 (ที่ถูกคือมาตรา 218 วรรคหนึ่ง) ไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่าฎีกาของจำเลยเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องที่ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึง ไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีนี้และไม่มีอำนาจร้องทุกข์หรือเป็นโจทก์ดำเนินคดีอาญากับจำเลย ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 132) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 137)
คำสั่ง คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่จำเลยฎีกาว่าพฤติการณ์แห่งคดี โจทก์รู้ถึงสภาพความเป็นอยู่ของจำเลยว่า จำเลยไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ ซึ่งวินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏว่าโจทก์รับเช็คพิพาทไว้โดยรู้ว่า จำเลยไม่อาจใช้หนี้ตามเช็คได้ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 219 (ที่ถูกคือมาตรา 218 วรรคหนึ่ง) ไม่รับฎีกา จำเลยเห็นว่าฎีกาของจำเลยเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องที่ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึง ไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีนี้และไม่มีอำนาจร้องทุกข์หรือเป็นโจทก์ดำเนินคดีอาญากับจำเลย ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 132) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 137)
คำสั่ง คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่จำเลยฎีกาว่าพฤติการณ์แห่งคดี โจทก์รู้ถึงสภาพความเป็นอยู่ของจำเลยว่า จำเลยไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ ซึ่งวินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏว่าโจทก์รับเช็คพิพาทไว้โดยรู้ว่า จำเลยไม่อาจใช้หนี้ตามเช็คได้ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงและทุนทรัพย์ไม่ถึง สองแสน บาท จึงไม่รับฎีกา คืนค่าธรรมเนียม โจทก์ทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ทั้งสองด้วย หมายเหตุ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 227) โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้เพิกถอนที่ดินหนังสือรับรอง การทำประโยชน์ของวัดสระแก้ว (วัดร้าง) เลขที่ 2696ตำบลพนมทวน อำเภอพนมทวนจังหวัดกาญจนบุรี เฉพาะส่วนที่เป็นของโจทก์ทั้งสองแล้วแก้ไขกลับคืนมาเป็นของโจทก์ทั้งสอง หากจำเลยทั้งสี่ไม่สามารถเพิกถอนแก้ไขให้ที่ดินกลับมาเป็น ของโจทก์ทั้งสองได้ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ราคาแทน แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 24,150 บาท แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 27,940 บาท พร้อมดอกเบี้ย กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางติดต่อราชการและหาทนายความ แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 5,000 บาท ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม โจทก์ขอถอนฟ้อง เฉพาะจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 223) โจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 225)
คำสั่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ทั้งสอง เพราะ เห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 224 โจทก์ทั้งสองจึงฎีกาคัดค้านคำพิพากษา ของศาลอุทธรณ์ได้ ให้รับฎีกาของโจทก์ทั้งสอง
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงและทุนทรัพย์ไม่ถึง สองแสน บาท จึงไม่รับฎีกา คืนค่าธรรมเนียม โจทก์ทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ทั้งสองด้วย หมายเหตุ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 227) โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้เพิกถอนที่ดินหนังสือรับรอง การทำประโยชน์ของวัดสระแก้ว (วัดร้าง) เลขที่ 2696ตำบลพนมทวน อำเภอพนมทวนจังหวัดกาญจนบุรี เฉพาะส่วนที่เป็นของโจทก์ทั้งสองแล้วแก้ไขกลับคืนมาเป็นของโจทก์ทั้งสอง หากจำเลยทั้งสี่ไม่สามารถเพิกถอนแก้ไขให้ที่ดินกลับมาเป็น ของโจทก์ทั้งสองได้ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ราคาแทน แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 24,150 บาท แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 27,940 บาท พร้อมดอกเบี้ย กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางติดต่อราชการและหาทนายความ แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 5,000 บาท ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม โจทก์ขอถอนฟ้อง เฉพาะจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 223) โจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 225)
คำสั่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ทั้งสอง เพราะ เห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 224 โจทก์ทั้งสองจึงฎีกาคัดค้านคำพิพากษา ของศาลอุทธรณ์ได้ ให้รับฎีกาของโจทก์ทั้งสอง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์100,000 บาท โจทก์ยื่นฎีกาในประเด็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยได้หรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนในประเด็นเรื่องคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3มีคำพิพากษาโดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2536 แต่โจทก์เพิ่งมายื่นฎีกาในวันนี้จึงพ้นระยะเวลาฎีกาดังนั้นจึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า พยานโจทก์เพียงพอรับฟังได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์อันจะเป็นเหตุเพิกถอนการให้ได้แล้วนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณานั้น เมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฉบับลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2536 ซึ่งพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังไม่ได้พิพากษาตามประเด็นแห่งคดี การที่โจทก์ยื่นฎีกา คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฉบับลงวันที่ 20 กันยายน 2537 อันเป็นอุทธรณ์ฉบับที่มีคำพิพากษาในประเด็นแห่งคดี โจทก์ ย่อมฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณานี้ได้ โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องเพิกถอนการให้ที่ดินเพราะจำเลยประพฤติเนรคุณ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษา ศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาในประเด็นแห่งคดีเสียใหม่ ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้วพิพากษาให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 106) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 107)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกา 100,000 บาทการที่โจทก์ฎีกาในประเด็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยได้เพราะคำเบิกความของโจทก์และพยานโจทก์ น่าเชื่อถือกว่าพยานหลักฐานของจำเลย เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ส่วนในประเด็นเรื่องคำสั่งระหว่างพิจารณา ปรากฏว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2536 แต่โจทก์เพิ่งยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2538 จึงพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกา ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา จำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์100,000 บาท โจทก์ยื่นฎีกาในประเด็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยได้หรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนในประเด็นเรื่องคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3มีคำพิพากษาโดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2536 แต่โจทก์เพิ่งมายื่นฎีกาในวันนี้จึงพ้นระยะเวลาฎีกาดังนั้นจึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า พยานโจทก์เพียงพอรับฟังได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์อันจะเป็นเหตุเพิกถอนการให้ได้แล้วนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณานั้น เมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฉบับลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2536 ซึ่งพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังไม่ได้พิพากษาตามประเด็นแห่งคดี การที่โจทก์ยื่นฎีกา คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฉบับลงวันที่ 20 กันยายน 2537 อันเป็นอุทธรณ์ฉบับที่มีคำพิพากษาในประเด็นแห่งคดี โจทก์ ย่อมฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณานี้ได้ โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องเพิกถอนการให้ที่ดินเพราะจำเลยประพฤติเนรคุณ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษา ศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาในประเด็นแห่งคดีเสียใหม่ ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้วพิพากษาให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 106) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 107)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกา 100,000 บาทการที่โจทก์ฎีกาในประเด็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยได้เพราะคำเบิกความของโจทก์และพยานโจทก์ น่าเชื่อถือกว่าพยานหลักฐานของจำเลย เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ส่วนในประเด็นเรื่องคำสั่งระหว่างพิจารณา ปรากฏว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2536 แต่โจทก์เพิ่งยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2538 จึงพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกา ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา จำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกา จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยคดีนี้โดยรับฟังพยานหลักฐานที่ขัดต่อกฎหมายและ ที่ดินพิพาทในคดีนี้มีลักษณะเป็นที่งอกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 133) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน เลขที่ 6 ที่ดินอยู่หมู่ที่ 13 ตำบลแสนสุขอำเภอเมืองชลบุรีจังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 1 งาน 50 ตารางวา เป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 129) จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 130)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้ออ้างเป็นข้อกฎหมายของ จำเลยที่ 1 ย่อมต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อวินิจฉัยข้อกฎหมายการเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้ามฎีกาเพื่อ สู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยที่ 1 นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกา จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยคดีนี้โดยรับฟังพยานหลักฐานที่ขัดต่อกฎหมายและ ที่ดินพิพาทในคดีนี้มีลักษณะเป็นที่งอกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 133) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน เลขที่ 6 ที่ดินอยู่หมู่ที่ 13 ตำบลแสนสุขอำเภอเมืองชลบุรีจังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 1 งาน 50 ตารางวา เป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 129) จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 130)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้ออ้างเป็นข้อกฎหมายของ จำเลยที่ 1 ย่อมต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อวินิจฉัยข้อกฎหมายการเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้ามฎีกาเพื่อ สู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยที่ 1 นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องสอดฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 218) ระหว่างพิจารณา นางมณีหรือมะณี ดีล้วน ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ผู้ร้องมีสิทธิครอบครองที่พิพาทน.ส.3 ก. เลขที่ 295 เนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน 71 ตารางวาตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ห้ามโจทก์จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท ให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนางหวล พึ่งแสวงผล โอนที่พิพาทให้ผู้ร้องหากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย ยกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนางหวล พึ่งแสวงผล ไปจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ดิน 295 ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีเนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน 71 ตารางวา ให้โจทก์ หากจำเลย ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย ผู้ร้องสอดฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้(สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 207,208)
คำสั่ง ตามคำร้องของ ผู้ร้องพอแปลได้ว่า ผู้ร้องขอคุ้มครองประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้ว เห็นเป็นการสมควรจึงห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับ ที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่ง ให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ
ความว่า ผู้ร้องสอดฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 218) ระหว่างพิจารณา นางมณีหรือมะณี ดีล้วน ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ผู้ร้องมีสิทธิครอบครองที่พิพาทน.ส.3 ก. เลขที่ 295 เนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน 71 ตารางวาตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ห้ามโจทก์จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท ให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนางหวล พึ่งแสวงผล โอนที่พิพาทให้ผู้ร้องหากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย ยกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนางหวล พึ่งแสวงผล ไปจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ดิน 295 ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีเนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน 71 ตารางวา ให้โจทก์ หากจำเลย ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย ผู้ร้องสอดฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้(สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 207,208)
คำสั่ง ตามคำร้องของ ผู้ร้องพอแปลได้ว่า ผู้ร้องขอคุ้มครองประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้ว เห็นเป็นการสมควรจึงห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับ ที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่ง ให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 137) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 135,134) ชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เด็ดขาดแล้วเป็นอำนาจและหน้าที่ของเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ที่จะเข้าจัดกิจการและทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ต่อไปตามวิธีการที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะในพระราชบัญญัติ ล้มละลาย จำเลยที่ 2 จะมาขอให้ระงับการดำเนินการของ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในระหว่างอุทธรณ์ไม่ได้ ให้ยกคำร้อง (อันดับ 122)
คำสั่ง ในคดีล้มละลายเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลย เด็ดขาดแล้วก็เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะ เข้าจัดการทรัพย์สินของจำเลยต่อไปตามวิธีการที่บัญญัติไว้ ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 จำเลยที่ 2 จะมาขอ ทุเลาการบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 231 ดังเช่น คดีแพ่งธรรมดาหาได้ไม่ ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 137) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 135,134) ชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เด็ดขาดแล้วเป็นอำนาจและหน้าที่ของเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ที่จะเข้าจัดกิจการและทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ต่อไปตามวิธีการที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะในพระราชบัญญัติ ล้มละลาย จำเลยที่ 2 จะมาขอให้ระงับการดำเนินการของ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในระหว่างอุทธรณ์ไม่ได้ ให้ยกคำร้อง (อันดับ 122)
คำสั่ง ในคดีล้มละลายเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลย เด็ดขาดแล้วก็เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะ เข้าจัดการทรัพย์สินของจำเลยต่อไปตามวิธีการที่บัญญัติไว้ ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 จำเลยที่ 2 จะมาขอ ทุเลาการบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 231 ดังเช่น คดีแพ่งธรรมดาหาได้ไม่ ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยมีทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย สำหรับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้น จำเลยฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และคำพยานบอกเล่ารับฟัง เป็นพยานได้เพียงใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ลงโทษจำคุก 1 ปี ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 3085/2536 และ 868/2537 ของศาลนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 54) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 58)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหาย ได้มอบอำนาจให้นายจิรันดร์ศักดิ์นิตยวิมล ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์ มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแทนผู้เสียหายนั้น จึงเป็น การฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อที่จะนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย เรื่องอำนาจฟ้อง เท่ากับเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั่นเอง ไม่ใช่ข้อกฎหมายดังจำเลยกล่าวอ้าง และที่จำเลยฎีกาว่า พยานโจทก์รับฟังไม่ได้ เป็นพยานบอกเล่านั้น ก็เป็นการโต้เถียง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลซึ่งเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงเช่นกัน ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยมีทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย สำหรับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้น จำเลยฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และคำพยานบอกเล่ารับฟัง เป็นพยานได้เพียงใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ลงโทษจำคุก 1 ปี ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 3085/2536 และ 868/2537 ของศาลนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 54) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 58)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหาย ได้มอบอำนาจให้นายจิรันดร์ศักดิ์นิตยวิมล ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์ มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแทนผู้เสียหายนั้น จึงเป็น การฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อที่จะนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย เรื่องอำนาจฟ้อง เท่ากับเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั่นเอง ไม่ใช่ข้อกฎหมายดังจำเลยกล่าวอ้าง และที่จำเลยฎีกาว่า พยานโจทก์รับฟังไม่ได้ เป็นพยานบอกเล่านั้น ก็เป็นการโต้เถียง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลซึ่งเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงเช่นกัน ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้รับความยินยอมจากภริยา จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ ปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนข้อกฎหมาย ที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับ การวินิจฉัยจึงไม่รับฎีกาของจำเลย สำเนาให้โจทก์ คืนค่าขึ้นศาล ชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความ ยินยอมจากภริยา จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมายและฎีกาที่ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 176) ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัท บางกอกแลนด์จำกัดและบริษัทกรุงเทพวิศนุ จำกัด เข้าร่วมเป็นจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เรียกบริษัททั้งสองเป็นจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 57(3) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วคอนกรีตพิพาทที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ซึ่งมีความกว้างประมาณ 80 เซ็นติ เมตร ยาว 29.04 เมตร ตลอดแนวคิดเป็นเนื้อที่ ประมาณ 3 ตารางวา ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง เอกสารหมาย จ.4 และปรับสภาพที่ดินให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย ห้ามจำเลย เกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป หากจำเลยไม่ปฏิบัติ ให้โจทก์รื้อถอนเองโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย คำขออื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ว่า ถ้าจำเลย ไม่รื้อถอนรั้วคอนกรีตออกไป ก็ให้โจทก์ทั้งสองรื้อถอนเอง โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ยกฟ้องจำเลยร่วมทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 171 แผ่นที่ 2,172) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 173)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยให้การต่อสู้ ไว้ชัดแจ้งว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ไม่ได้รับความยินยอมจากภริยา เพราะไม่มีหลักฐานที่เป็นลายมือของภริยาให้ความยินยอมไว้ จึงรับฟังได้ว่าภริยายังไม่ให้ความยินยอม โจทก์ทั้งสอง จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีของจำเลยต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยอุทธรณ์ ว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับวินิจฉัยให้ ดังนี้ ฎีกาจำเลยมิได้โต้แย้งคำวินิจฉัย ของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยประการใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น จำเลย มิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ แม้ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัย ปัญหาข้อนี้ให้ ก็เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้อง ให้เป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้รับความยินยอมจากภริยา จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ ปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนข้อกฎหมาย ที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับ การวินิจฉัยจึงไม่รับฎีกาของจำเลย สำเนาให้โจทก์ คืนค่าขึ้นศาล ชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความ ยินยอมจากภริยา จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมายและฎีกาที่ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ทั้งสองแถลงคัดค้าน (อันดับ 176) ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัท บางกอกแลนด์จำกัดและบริษัทกรุงเทพวิศนุ จำกัด เข้าร่วมเป็นจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เรียกบริษัททั้งสองเป็นจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 57(3) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วคอนกรีตพิพาทที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ซึ่งมีความกว้างประมาณ 80 เซ็นติ เมตร ยาว 29.04 เมตร ตลอดแนวคิดเป็นเนื้อที่ ประมาณ 3 ตารางวา ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง เอกสารหมาย จ.4 และปรับสภาพที่ดินให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย ห้ามจำเลย เกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป หากจำเลยไม่ปฏิบัติ ให้โจทก์รื้อถอนเองโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย คำขออื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ว่า ถ้าจำเลย ไม่รื้อถอนรั้วคอนกรีตออกไป ก็ให้โจทก์ทั้งสองรื้อถอนเอง โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ยกฟ้องจำเลยร่วมทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 171 แผ่นที่ 2,172) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 173)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยให้การต่อสู้ ไว้ชัดแจ้งว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ไม่ได้รับความยินยอมจากภริยา เพราะไม่มีหลักฐานที่เป็นลายมือของภริยาให้ความยินยอมไว้ จึงรับฟังได้ว่าภริยายังไม่ให้ความยินยอม โจทก์ทั้งสอง จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีของจำเลยต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยอุทธรณ์ ว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับวินิจฉัยให้ ดังนี้ ฎีกาจำเลยมิได้โต้แย้งคำวินิจฉัย ของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยประการใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น จำเลย มิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ แม้ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัย ปัญหาข้อนี้ให้ ก็เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้อง ให้เป็นพับ
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้าม ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 248 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ทุกข้อเป็น ปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เห็นว่าฎีกาที่ว่า เรื่องอำนาจฟ้องนั้น จำเลย ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ประเด็นที่ว่าศาลชั้นต้น นำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัยคดี และศาลชั้นต้น วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย เป็นฎีกาใน ปัญหาข้อกฎหมาย ประกอบกับฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นการ คัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายกอุทธรณ์ของ จำเลยที่ 2 เพราะเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2 ด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ จำนวน 26,400 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 120 แผ่นที่ 2) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 121)
คำสั่ง จำเลยที่ 2 ไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234,247 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้าม ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 248 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ทุกข้อเป็น ปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เห็นว่าฎีกาที่ว่า เรื่องอำนาจฟ้องนั้น จำเลย ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ประเด็นที่ว่าศาลชั้นต้น นำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัยคดี และศาลชั้นต้น วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย เป็นฎีกาใน ปัญหาข้อกฎหมาย ประกอบกับฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นการ คัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายกอุทธรณ์ของ จำเลยที่ 2 เพราะเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2 ด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ จำนวน 26,400 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 120 แผ่นที่ 2) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 121)
คำสั่ง จำเลยที่ 2 ไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234,247 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้าม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ โจทก์เห็นว่า โจทก์อุทธรณ์ในประเด็นว่า ศาลแรงงานกลางได้พิพากษาโดยวินิจฉัยฝ่าฝืนจากคำพยานหลักฐานในสำนวนอันเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของผู้จัดการธนาคาร ซึ่งจำเลยตั้งข้อหาว่าปฏิบัติหน้าที่ มิชอบประเมินหลักทรัพย์ไม่ตรงกับความเป็นจริง ถึงจะไม่ปรากฏว่า ได้เสียหายในทางเงินทอง (เพราะยังไม่ได้บังคับจำนอง นำทรัพย์สิน ที่ลูกหนี้นำมาจำนองเป็นประกันขายทอดตลาด) ก็ถือได้ว่า พนักงานกระทำความผิดแล้ว ซึ่งโจทก์เห็นว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เพราะหากจำเลยได้นำทรัพย์จำนองขายทอดตลาดแล้วได้เงินที่ ให้กู้คืนมาครบถ้วนพร้อมด้วยดอกเบี้ยและยังสามารถฟ้องเรียกทรัพย์ จากพนักงานอันเป็นลูกจ้างของตนได้อีก ก็เป็นการได้รับ ประโยชน์อีกเท่าหนึ่ง ซึ่งขณะนี้จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ เป็นคดีอาญาฐานฉ้อโกง ยักยอกไว้ต่อศาลอาญาธนบุรีแล้วโจทก์จึงเห็นว่าเป็นคดีอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนโปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ทนายจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 88) โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ เป็นธรรม ขอให้บังคับให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่ง และอัตราค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิมและจ่ายค่าจ้างในระหว่างที่โจทก์ ถูกไล่ออกจากงาน จนถึงวันที่จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานโดย ถือเสมือนว่ามิได้มีการไล่ออกจากงาน หากไม่สามารถรับโจทก์ เข้าทำงานได้ ขอให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำนวน 117,140 บาท ค่าชดเชยจำนวน 351,420 บาท และค่าเสียหาย จากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมจำนวน 49,321,430.91 บาท แก่โจทก์ ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 83) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐาน ฟังได้ว่าโจทก์สมคบกับผู้อื่นฉ้อโกงจำเลย โดยอนุมัติสินเชื่อ ไปโดยทุจริต ยักยอกเอาทรัพย์สินของจำเลยไปเป็นของตนเอง และผู้อื่น เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุ ดังกล่าว จึงเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม โจทก์กระทำการฝ่าฝืนคำสั่ง อันชอบด้วยกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย เป็นกรณีร้ายแรงจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และจำเลยเลิกจ้าง ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า จึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้าแก่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ว่าข้อเท็จจริง ฟังไม่ได้ว่า โจทก์ได้อนุมัติสินเชื่อไปโดยทุจริต ยักยอกเอาทรัพย์ของจำเลย ไปเป็นของโจทก์หรือของผู้อื่น โจทก์มีสิทธิกลับเข้าทำงานใหม่ ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยและได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ย จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้าม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ โจทก์เห็นว่า โจทก์อุทธรณ์ในประเด็นว่า ศาลแรงงานกลางได้พิพากษาโดยวินิจฉัยฝ่าฝืนจากคำพยานหลักฐานในสำนวนอันเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของผู้จัดการธนาคาร ซึ่งจำเลยตั้งข้อหาว่าปฏิบัติหน้าที่ มิชอบประเมินหลักทรัพย์ไม่ตรงกับความเป็นจริง ถึงจะไม่ปรากฏว่า ได้เสียหายในทางเงินทอง (เพราะยังไม่ได้บังคับจำนอง นำทรัพย์สิน ที่ลูกหนี้นำมาจำนองเป็นประกันขายทอดตลาด) ก็ถือได้ว่า พนักงานกระทำความผิดแล้ว ซึ่งโจทก์เห็นว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เพราะหากจำเลยได้นำทรัพย์จำนองขายทอดตลาดแล้วได้เงินที่ ให้กู้คืนมาครบถ้วนพร้อมด้วยดอกเบี้ยและยังสามารถฟ้องเรียกทรัพย์ จากพนักงานอันเป็นลูกจ้างของตนได้อีก ก็เป็นการได้รับ ประโยชน์อีกเท่าหนึ่ง ซึ่งขณะนี้จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ เป็นคดีอาญาฐานฉ้อโกง ยักยอกไว้ต่อศาลอาญาธนบุรีแล้วโจทก์จึงเห็นว่าเป็นคดีอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนโปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ ทนายจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 88) โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ เป็นธรรม ขอให้บังคับให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่ง และอัตราค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิมและจ่ายค่าจ้างในระหว่างที่โจทก์ ถูกไล่ออกจากงาน จนถึงวันที่จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานโดย ถือเสมือนว่ามิได้มีการไล่ออกจากงาน หากไม่สามารถรับโจทก์ เข้าทำงานได้ ขอให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำนวน 117,140 บาท ค่าชดเชยจำนวน 351,420 บาท และค่าเสียหาย จากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมจำนวน 49,321,430.91 บาท แก่โจทก์ ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 83) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐาน ฟังได้ว่าโจทก์สมคบกับผู้อื่นฉ้อโกงจำเลย โดยอนุมัติสินเชื่อ ไปโดยทุจริต ยักยอกเอาทรัพย์สินของจำเลยไปเป็นของตนเอง และผู้อื่น เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุ ดังกล่าว จึงเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม โจทก์กระทำการฝ่าฝืนคำสั่ง อันชอบด้วยกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย เป็นกรณีร้ายแรงจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และจำเลยเลิกจ้าง ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า จึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้าแก่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ว่าข้อเท็จจริง ฟังไม่ได้ว่า โจทก์ได้อนุมัติสินเชื่อไปโดยทุจริต ยักยอกเอาทรัพย์ของจำเลย ไปเป็นของโจทก์หรือของผู้อื่น โจทก์มีสิทธิกลับเข้าทำงานใหม่ ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยและได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ย จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|