ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองมีเหตุผลที่ศาลฎีกาจะกลับคำสั่งของศาลชั้นต้น โปรดงดการ บังคับคดีไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 91 แผ่นที่ 2)
กรณีเป็นชั้นบังคับคดี
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญา ประนีประนอมยอมความ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่31 สิงหาคม และ 3 กันยายน 2535 ว่าการรังวัดปักหลักหมุดเขตที่ดินของเจ้าพนักงานที่ดินไม่ถูกต้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ตรวจสอบและทำการรังวัดปักหลักเขตที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยทั้งสองในการแบ่งแยกที่ดินระหว่างกันเสียใหม่ และขอให้มีคำบังคับเพิ่มเติมในการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีเป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความทุกประการแล้ว จึงถือว่าการบังคับคดีนี้ได้เสร็จสิ้นแล้วจึงให้ยกคำร้องของ จำเลยทั้งสอง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 84,83)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ทุเลาการ บังคับในระหว่างอุทธรณ์ (อันดับ 75)
คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสอง ปฏิบัติอย่างไร จึงไม่มีการบังคับที่จะต้องขอทุเลา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองมีเหตุผลที่ศาลฎีกาจะกลับคำสั่งของศาลชั้นต้น โปรดงดการ บังคับคดีไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 91 แผ่นที่ 2)
กรณีเป็นชั้นบังคับคดี
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญา ประนีประนอมยอมความ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่31 สิงหาคม และ 3 กันยายน 2535 ว่าการรังวัดปักหลักหมุดเขตที่ดินของเจ้าพนักงานที่ดินไม่ถูกต้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ตรวจสอบและทำการรังวัดปักหลักเขตที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยทั้งสองในการแบ่งแยกที่ดินระหว่างกันเสียใหม่ และขอให้มีคำบังคับเพิ่มเติมในการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีเป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความทุกประการแล้ว จึงถือว่าการบังคับคดีนี้ได้เสร็จสิ้นแล้วจึงให้ยกคำร้องของ จำเลยทั้งสอง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 84,83)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ทุเลาการ บังคับในระหว่างอุทธรณ์ (อันดับ 75)
คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสอง ปฏิบัติอย่างไร จึงไม่มีการบังคับที่จะต้องขอทุเลา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา เนื่องจากโจทก์กับจำเลย ได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันได้แล้ว จำเลยไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีอีกต่อไป จึงขอถอนฎีกา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วแถลงไม่คัดค้าน(อันดับ 81)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทตามแผนที่พิพาทกลางของโจทก์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามใบ ส.ค.1 เลขที่ 113 ตำบลท่าช้าง อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี และห้ามจำเลยยุ่งเกี่ยว กับที่ดินดังกล่าวอีก คำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 69)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 81)
คำสั่ง
อนุญาตให้จำเลยถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลให้สามในสี่
ความว่า จำเลยฎีกา เนื่องจากโจทก์กับจำเลย ได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันได้แล้ว จำเลยไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีอีกต่อไป จึงขอถอนฎีกา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วแถลงไม่คัดค้าน(อันดับ 81)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทตามแผนที่พิพาทกลางของโจทก์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามใบ ส.ค.1 เลขที่ 113 ตำบลท่าช้าง อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี และห้ามจำเลยยุ่งเกี่ยว กับที่ดินดังกล่าวอีก คำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 69)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 81)
คำสั่ง
อนุญาตให้จำเลยถอนฎีกา จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลให้สามในสี่
ความว่า โจทก์ฎีกา มีเหตุผลและข้อเท็จจริงที่จะ ชนะคดีได้ จำเลยมีอาชีพจัดสรรที่ดินขาย ถ้าหากจำเลย จำหน่ายจ่ายโอนที่ดินพิพาทไปเสียก่อนในระหว่างฎีกา ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เพื่อคุ้มครอง ประโยชน์ของโจทก์ โปรดมีคำสั่งไปยังเจ้าพนักงานที่ดิน สำนักงานที่ดินอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาและจำเลยห้ามมิให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โฉนดเลขที่ 8341 เล่ม 84 หน้า 41 เลขที่ดิน 416หน้าสำรวจ 502 ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมา และห้ามมิให้จดทะเบียนนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินโฉนดดังกล่าวไว้ในระหว่างการพิจารณา ของศาลฎีกาด้วย
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 287)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 8341เล่ม 84 หน้า 41 เลขที่ดิน 416 หน้าสำรวจ 502 ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาหรือเพิกถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าว ให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โดยให้โจทก์มีสิทธิออกหลักฐานสิทธิหรือใส่ชื่อโจทก์ ลงในโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวและให้จำเลยรื้อถอน สิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดิน และส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ตามเดิม ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดิน ดังกล่าวอีกต่อไปกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 40,200 บาท แก่โจทก์ และชดใช้ค่าเสียหายอีกวันละ 40 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องเสร็จสิ้น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 281,280)
ชั้นอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งว่า เห็นสมควรสั่งห้าม มิให้จำเลยกระทำการจำหน่ายจ่ายโอน หรือทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินที่พิพาทกันในคดีนี้ในระหว่างอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินและผู้ที่ เกี่ยวข้องทราบ (อันดับ 266)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรสั่งห้ามมิให้จำเลยกระทำการจำหน่ายจ่ายโอนหรือทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน ที่พิพาทในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่ง ให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ
ความว่า โจทก์ฎีกา มีเหตุผลและข้อเท็จจริงที่จะ ชนะคดีได้ จำเลยมีอาชีพจัดสรรที่ดินขาย ถ้าหากจำเลย จำหน่ายจ่ายโอนที่ดินพิพาทไปเสียก่อนในระหว่างฎีกา ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เพื่อคุ้มครอง ประโยชน์ของโจทก์ โปรดมีคำสั่งไปยังเจ้าพนักงานที่ดิน สำนักงานที่ดินอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาและจำเลยห้ามมิให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โฉนดเลขที่ 8341 เล่ม 84 หน้า 41 เลขที่ดิน 416หน้าสำรวจ 502 ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมา และห้ามมิให้จดทะเบียนนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินโฉนดดังกล่าวไว้ในระหว่างการพิจารณา ของศาลฎีกาด้วย
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 287)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 8341เล่ม 84 หน้า 41 เลขที่ดิน 416 หน้าสำรวจ 502 ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาหรือเพิกถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าว ให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โดยให้โจทก์มีสิทธิออกหลักฐานสิทธิหรือใส่ชื่อโจทก์ ลงในโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวและให้จำเลยรื้อถอน สิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดิน และส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ตามเดิม ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดิน ดังกล่าวอีกต่อไปกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 40,200 บาท แก่โจทก์ และชดใช้ค่าเสียหายอีกวันละ 40 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องเสร็จสิ้น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 281,280)
ชั้นอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งว่า เห็นสมควรสั่งห้าม มิให้จำเลยกระทำการจำหน่ายจ่ายโอน หรือทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินที่พิพาทกันในคดีนี้ในระหว่างอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินและผู้ที่ เกี่ยวข้องทราบ (อันดับ 266)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรสั่งห้ามมิให้จำเลยกระทำการจำหน่ายจ่ายโอนหรือทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน ที่พิพาทในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่ง ให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ
ความว่า จำเลยฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามฎีกาของจำเลยเป็นเรื่องคัดค้านว่าคดีนี้เป็นคดี ไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในเรื่อง ทุนทรัพย์ตามรายงานกระบวน พิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2536 นั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ของศาลอุทธรณ์ภาค 3 แต่จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่ง ระหว่างพิจารณานี้ไว้จึงไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำสั่ง ไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลแก่จำเลย
จำเลยเห็นว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ให้จำหน่ายคดีทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ โดยไม่ต้องโต้แย้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 และการที่ จำเลยยื่นคำร้องขอวางเงินค่าขึ้นศาลเพิ่มก็เป็นการ โต้แย้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 อยู่แล้ว โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 126)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนต้นปาล์มและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทตามรูปแผนที่พิพาท เอกสารหมาย จ.3 ในขอบเขตจุดสีน้ำเงินห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทำคำพิพากษาเสร็จแล้วก่อนอ่านคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดอยู่ จากจำเลยให้ครบถ้วนภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถ้าจำเลยไม่ยอมชำระให้ศาลชั้นต้นงดอ่านคำพิพากษาแล้วส่ง สำนวนและซองคำพิพากษาคืนศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อดำเนินการ ต่อไป ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีหมายนัดแจ้งให้จำเลย นำเงินค่าขึ้น ศาลชั้นอุทธรณ์มาวางเพิ่มแต่จำเลยไม่ได้ นำเงินมาวางภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นจึง งดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3และส่งสำนวนคืน ศาลอุทธรณ์ภาค 3
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งว่าถือได้ว่าจำเลยทั้งอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบด้วยมาตรา 246 ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ศาลอุทธรณ์ภาค 3
จำเลยฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 122)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 126)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษาในส่วนของการ โต้แย้งคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ไม่อนุญาตให้จำเลย ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มที่เลยกำหนดระยะเวลานั้นแล้ว ฎีกาคำสั่งฉบับนี้จึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การวินิจฉัย ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามฎีกาของจำเลยเป็นเรื่องคัดค้านว่าคดีนี้เป็นคดี ไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในเรื่อง ทุนทรัพย์ตามรายงานกระบวน พิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2536 นั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ของศาลอุทธรณ์ภาค 3 แต่จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่ง ระหว่างพิจารณานี้ไว้จึงไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำสั่ง ไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลแก่จำเลย
จำเลยเห็นว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ให้จำหน่ายคดีทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ โดยไม่ต้องโต้แย้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 และการที่ จำเลยยื่นคำร้องขอวางเงินค่าขึ้นศาลเพิ่มก็เป็นการ โต้แย้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 อยู่แล้ว โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 126)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนต้นปาล์มและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทตามรูปแผนที่พิพาท เอกสารหมาย จ.3 ในขอบเขตจุดสีน้ำเงินห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทำคำพิพากษาเสร็จแล้วก่อนอ่านคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดอยู่ จากจำเลยให้ครบถ้วนภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถ้าจำเลยไม่ยอมชำระให้ศาลชั้นต้นงดอ่านคำพิพากษาแล้วส่ง สำนวนและซองคำพิพากษาคืนศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อดำเนินการ ต่อไป ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีหมายนัดแจ้งให้จำเลย นำเงินค่าขึ้น ศาลชั้นอุทธรณ์มาวางเพิ่มแต่จำเลยไม่ได้ นำเงินมาวางภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นจึง งดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3และส่งสำนวนคืน ศาลอุทธรณ์ภาค 3
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งว่าถือได้ว่าจำเลยทั้งอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบด้วยมาตรา 246 ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ศาลอุทธรณ์ภาค 3
จำเลยฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 122)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 126)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษาในส่วนของการ โต้แย้งคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ไม่อนุญาตให้จำเลย ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มที่เลยกำหนดระยะเวลานั้นแล้ว ฎีกาคำสั่งฉบับนี้จึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การวินิจฉัย ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีโจทก์ มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา ไม่เกินสองแสนบาท โจทก์ฎีกาทุกข้อโต้แย้งดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐาน อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไข จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาล ชั้นฎีกาทั้งหมด
โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องตามประมวลกฎหมายที่ดิน แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินมาพิจารณาพิพากษาคดีนี้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและเจ้าพนักงานที่ดินไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 31 แผ่นที่ 2)
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งเพาะปลูกทั้งหมดออกไปจากที่ดินของโจทก์ ทำให้ที่ดิน ของโจทก์กลับสู่สภาพเดิม หากจำเลยไม่กระทำ ให้โจทก์ มีอำนาจกระทำเอง โดยให้จำเลยออกค่าใช้จ่าย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 191)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 198)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้วให้เหตุผลอย่างเดียวกันว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และจำเลยครอบครองที่ดินพิพาท มาเกินกว่า 10 ปี จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแล้ว การที่โจทก์อ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ต้องอาศัยข้อเท็จจริง เพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริง ฟังยุติแล้วว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ การเถียงข้อเท็จจริง ของโจทก์เพื่อสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ถือว่าเป็นการ โต้แย้งคัดค้านดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา โจทก์นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีโจทก์ มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา ไม่เกินสองแสนบาท โจทก์ฎีกาทุกข้อโต้แย้งดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐาน อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไข จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาล ชั้นฎีกาทั้งหมด
โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องตามประมวลกฎหมายที่ดิน แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินมาพิจารณาพิพากษาคดีนี้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและเจ้าพนักงานที่ดินไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 31 แผ่นที่ 2)
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งเพาะปลูกทั้งหมดออกไปจากที่ดินของโจทก์ ทำให้ที่ดิน ของโจทก์กลับสู่สภาพเดิม หากจำเลยไม่กระทำ ให้โจทก์ มีอำนาจกระทำเอง โดยให้จำเลยออกค่าใช้จ่าย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 191)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 198)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้วให้เหตุผลอย่างเดียวกันว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และจำเลยครอบครองที่ดินพิพาท มาเกินกว่า 10 ปี จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแล้ว การที่โจทก์อ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ต้องอาศัยข้อเท็จจริง เพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริง ฟังยุติแล้วว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ การเถียงข้อเท็จจริง ของโจทก์เพื่อสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ถือว่าเป็นการ โต้แย้งคัดค้านดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา โจทก์นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ไม่รับฎีกา
โจทก์ร่วมเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนและยกประโยชน์แห่งความสงสัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง มาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วมด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 96)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,297
ระหว่างพิจารณา นายอิทธิแก้วเกื้อมิตร ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 93)
โจทก์ร่วมจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 94)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ร่วมชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ไม่รับฎีกา
โจทก์ร่วมเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนและยกประโยชน์แห่งความสงสัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง มาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วมด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 96)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,297
ระหว่างพิจารณา นายอิทธิแก้วเกื้อมิตร ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 93)
โจทก์ร่วมจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 94)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ร่วมชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาผู้พิจารณาไม่อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง และเป็น ปัญหาที่มีผลกระทบต่อชีวิตครอบครัวและความเป็นอยู่ของจำเลย อย่างยิ่ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ลงโทษจำคุก 3 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การ พิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงลงโทษจำคุก 1 เดือน 15 วัน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 2 เดือนลดโทษกึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 1 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย(อันดับ 46 แผ่นที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 51)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 221 นั้น เป็นอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจเฉพาะตัวของผู้พิพากษา ซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งไว้ใน ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ เมื่อสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดลงไปแล้ว ย่อมถึงที่สุดไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาได้ สำหรับกรณีของจำเลย ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นสั่งไม่ อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว คำสั่งดังกล่าวจึง ถึงที่สุด ศาลฎีกาจึงไม่มีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาผู้พิจารณาไม่อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง และเป็น ปัญหาที่มีผลกระทบต่อชีวิตครอบครัวและความเป็นอยู่ของจำเลย อย่างยิ่ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ลงโทษจำคุก 3 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การ พิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงลงโทษจำคุก 1 เดือน 15 วัน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 2 เดือนลดโทษกึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 1 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย(อันดับ 46 แผ่นที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 51)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 221 นั้น เป็นอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจเฉพาะตัวของผู้พิพากษา ซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งไว้ใน ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ เมื่อสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดลงไปแล้ว ย่อมถึงที่สุดไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาได้ สำหรับกรณีของจำเลย ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นสั่งไม่ อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว คำสั่งดังกล่าวจึง ถึงที่สุด ศาลฎีกาจึงไม่มีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยมีเจตนา ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลและมีเจตนาประวิงคดีให้ล่าช้าจึงมีคำสั่งว่าจำเลยทิ้งฎีกา
จำเลยเห็นว่า จำเลยมิได้มีเจตนาที่จะประวิงคดีหรือทิ้งฎีกา จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่า สำเนาฎีกาได้ส่งให้แก่โจทก์แล้ว เนื่องจากเป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องส่งสำเนาฎีกาให้คู่ความ อีกฝ่ายหนึ่งแก้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200 ดังนั้น แม้ศาลจะมีคำสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาภายใน 7 วัน แต่จำเลยมิได้นำส่งศาลจะถือว่าจำเลยทิ้งฎีกาไม่ได้ ขอศาลโปรด มีคำสั่งกลับคำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งว่าจำเลยทิ้งฎีกา และมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362,363
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 จำคุก 6 เดือน ปรับ 2,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30จำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อน เห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษ ไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 กำหนดเงื่อนไข ให้จำเลยมารายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ จังหวัดจันทบุรี ทุก 4 เดือนต่อครั้ง ภายในเวลาที่รอการลงโทษ ให้จำเลย บริการสังคมและสาธารณประโยชน์เป็นเวลา 48 ชั่วโมง ตามที่ พนักงานคุมประพฤติกำหนดและจำเลยเห็นชอบ ส่วนคำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกาของจำเลยหมายส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์แก้ โดยให้จำเลยนำส่งภายใน 7 วัน การส่งหมายไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดหมาย หากส่งหมายไม่ได้ ให้แถลงภายใน 15 วัน นับแต่ส่งไม่ได้ มิฉะนั้นจะถือว่าทิ้งฎีกา (อันดับ 171)
ต่อมาเจ้าหน้าที่รายงานศาลว่า ส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาให้โจทก์ไม่ได้ จำเลยมิได้ติดตามผลการส่งหมายและไม่ปฏิบัติตาม คำสั่งศาล ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 184,183)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 191)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 200,201 ประกอบด้วยมาตรา 216 ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ส่งสำเนาฎีกาให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะสั่งให้จำเลยเป็นผู้นำส่งหาชอบไม่ การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง จึงไม่ถือว่าทิ้งฎีกาและปรากฏว่ามีการนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์แล้วแต่ส่งไม่ได้เพราะหาตัวไม่พบ ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ส่งสำนวนไปยัง ศาลฎีกาเพื่อทำการพิจารณาพิพากษาต่อไป ที่ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยทิ้งฎีกาจึงไม่ชอบ จึงให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลฎีกา เพื่อทำการพิจารณาพิพากษาต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยมีเจตนา ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลและมีเจตนาประวิงคดีให้ล่าช้าจึงมีคำสั่งว่าจำเลยทิ้งฎีกา
จำเลยเห็นว่า จำเลยมิได้มีเจตนาที่จะประวิงคดีหรือทิ้งฎีกา จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่า สำเนาฎีกาได้ส่งให้แก่โจทก์แล้ว เนื่องจากเป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องส่งสำเนาฎีกาให้คู่ความ อีกฝ่ายหนึ่งแก้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200 ดังนั้น แม้ศาลจะมีคำสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาภายใน 7 วัน แต่จำเลยมิได้นำส่งศาลจะถือว่าจำเลยทิ้งฎีกาไม่ได้ ขอศาลโปรด มีคำสั่งกลับคำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งว่าจำเลยทิ้งฎีกา และมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362,363
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 จำคุก 6 เดือน ปรับ 2,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30จำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อน เห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษ ไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 กำหนดเงื่อนไข ให้จำเลยมารายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ จังหวัดจันทบุรี ทุก 4 เดือนต่อครั้ง ภายในเวลาที่รอการลงโทษ ให้จำเลย บริการสังคมและสาธารณประโยชน์เป็นเวลา 48 ชั่วโมง ตามที่ พนักงานคุมประพฤติกำหนดและจำเลยเห็นชอบ ส่วนคำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกาของจำเลยหมายส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์แก้ โดยให้จำเลยนำส่งภายใน 7 วัน การส่งหมายไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดหมาย หากส่งหมายไม่ได้ ให้แถลงภายใน 15 วัน นับแต่ส่งไม่ได้ มิฉะนั้นจะถือว่าทิ้งฎีกา (อันดับ 171)
ต่อมาเจ้าหน้าที่รายงานศาลว่า ส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาให้โจทก์ไม่ได้ จำเลยมิได้ติดตามผลการส่งหมายและไม่ปฏิบัติตาม คำสั่งศาล ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 184,183)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 191)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 200,201 ประกอบด้วยมาตรา 216 ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ส่งสำเนาฎีกาให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะสั่งให้จำเลยเป็นผู้นำส่งหาชอบไม่ การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง จึงไม่ถือว่าทิ้งฎีกาและปรากฏว่ามีการนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์แล้วแต่ส่งไม่ได้เพราะหาตัวไม่พบ ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ส่งสำนวนไปยัง ศาลฎีกาเพื่อทำการพิจารณาพิพากษาต่อไป ที่ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยทิ้งฎีกาจึงไม่ชอบ จึงให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลฎีกา เพื่อทำการพิจารณาพิพากษาต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากที่ปรากฏในสำนวน เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับเป็น เหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือนริบเฮโรอีนของกลาง คืนธนบัตรจำนวน 30 บาท แก่เจ้าของ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 63)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 64)
คำสั่ง
การรับฟังข้อเท็จจริงไม่ตรงตามคำเบิกความพยานเป็น ปัญหาข้อกฎหมาย แต่ข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงกับคำเบิกความพยาน ที่จำเลยฎีกาโต้เถียงมานั้น เป็นข้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานจำเลยขัดแย้งกันและมีพิรุธ ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐาน โจทก์ ข้อที่จำเลยโต้เถียงแม้จะเป็นอย่างที่จำเลยอ้าง ก็ไม่ทำ ให้การรับฟังพยานหลักฐานโจทก์เปลี่ยนแปลง ข้อกฎหมายดังกล่าว ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ประกอบด้วยประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากที่ปรากฏในสำนวน เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับเป็น เหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือนริบเฮโรอีนของกลาง คืนธนบัตรจำนวน 30 บาท แก่เจ้าของ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 63)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 64)
คำสั่ง
การรับฟังข้อเท็จจริงไม่ตรงตามคำเบิกความพยานเป็น ปัญหาข้อกฎหมาย แต่ข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงกับคำเบิกความพยาน ที่จำเลยฎีกาโต้เถียงมานั้น เป็นข้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานจำเลยขัดแย้งกันและมีพิรุธ ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐาน โจทก์ ข้อที่จำเลยโต้เถียงแม้จะเป็นอย่างที่จำเลยอ้าง ก็ไม่ทำ ให้การรับฟังพยานหลักฐานโจทก์เปลี่ยนแปลง ข้อกฎหมายดังกล่าว ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ประกอบด้วยประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีโจทก์ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง จึงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า กรณีต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 220 ที่แก้ไขใหม่ ไม่น่าจะบัญญัติขึ้นเพื่อที่จะบังคับใช้กับกรณีการยกฟ้อง ตามมาตรา 167 ด้วย คงมีความหมายและบังคับใช้กับการพิพากษา ยกฟ้องในคดี ตามมาตรา 185 เท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ ฎีกาของโจทก์โดยอ้างเหตุตามมาตรา 220 จึงเป็นคำสั่งที่ ผิดพลาดคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ทนายจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 57)
คดีสองสำนวนนี้ โจทก์เป็นบุคคลเดียวกัน ศาลชั้นต้นพิจารณา พิพากษารวมกัน โดยเรียกนางวิไลวิลัยเกษตร จำเลยในสำนวนแรกว่าจำเลยที่ 1 นายวน วิลัยเกษตร จำเลยในสำนวนหลัง ว่าจำเลยที่ 2
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 56)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 57)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 217 ถึง 221 คู่ความมีอำนาจ ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์" และมาตรา 220บัญญัติว่า "ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์" บทบัญญัติทั้งสองมาตรานี้ บัญญัติไว้ในภาค 4 ลักษณะ 2 หมวด 1 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา ซึ่งว่าด้วยเรื่องหลักทั่วไป เกี่ยวกับฎีกา ดังนั้น จึงต้องใช้บังคับกับบรรดาคดีอาญาทุกคดี ที่คู่ความฎีกาต่อศาลฎีกา ไม่ว่าจะเป็นกรณียกฟ้องตาม มาตรา 167 หรือมาตรา 185 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีโจทก์ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง จึงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า กรณีต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 220 ที่แก้ไขใหม่ ไม่น่าจะบัญญัติขึ้นเพื่อที่จะบังคับใช้กับกรณีการยกฟ้อง ตามมาตรา 167 ด้วย คงมีความหมายและบังคับใช้กับการพิพากษา ยกฟ้องในคดี ตามมาตรา 185 เท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ ฎีกาของโจทก์โดยอ้างเหตุตามมาตรา 220 จึงเป็นคำสั่งที่ ผิดพลาดคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ทนายจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 57)
คดีสองสำนวนนี้ โจทก์เป็นบุคคลเดียวกัน ศาลชั้นต้นพิจารณา พิพากษารวมกัน โดยเรียกนางวิไลวิลัยเกษตร จำเลยในสำนวนแรกว่าจำเลยที่ 1 นายวน วิลัยเกษตร จำเลยในสำนวนหลัง ว่าจำเลยที่ 2
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 56)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 57)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 217 ถึง 221 คู่ความมีอำนาจ ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์" และมาตรา 220บัญญัติว่า "ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์" บทบัญญัติทั้งสองมาตรานี้ บัญญัติไว้ในภาค 4 ลักษณะ 2 หมวด 1 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา ซึ่งว่าด้วยเรื่องหลักทั่วไป เกี่ยวกับฎีกา ดังนั้น จึงต้องใช้บังคับกับบรรดาคดีอาญาทุกคดี ที่คู่ความฎีกาต่อศาลฎีกา ไม่ว่าจะเป็นกรณียกฟ้องตาม มาตรา 167 หรือมาตรา 185 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ ชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขแล้วฎีกาจำเลยในข้อ 1 เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับ รับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อ 2
จำเลยเห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติว่าเป็นเรื่องการกู้ยืมเงินคงเหลือเพียงปัญหาการแปลความในข้อสัญญา ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แปลความต่างกันเท่านั้น ดังนั้น การแปลความในสัญญาตามฎีกาในข้อ 1 จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย หาใช่ปัญหาข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในคำฟ้อง ฎีกาของจำเลยไม่ จำเลยมีสิทธิที่จะฎีกาได้ โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 67)
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าอาคารแผงลอยร้านค้าเลขที่ 78/115 ตำบลบางตลาดอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี กลับคืนให้โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระต้นเงินกู้จำนวน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราชั่งละ 1 บาท ต่อเดือนนับแต่วันทำสัญญาจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาบางข้อดังกล่าว(อันดับ 57)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ข้อโต้เถียงตามฎีกาข้อ 1 ของจำเลยที่ว่าโจทก์มีเจตนาโอนสิทธิการเช่าร้านค้า (แผงลอย) พิพาทให้แก่จำเลย โดยเด็ดขาด เพื่อตอบแทนการที่จำเลยยอมให้โจทก์กู้ยืมเงิน จำนวน 70,000 บาท ไม่ใช่โอนเป็นการชั่วคราวเพียงเพื่อเป็นประกัน การกู้ยืมเงินที่โจทก์มีต่อจำเลย เป็นข้อโต้เถียงในข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน สองแสนบาท ห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้น ไม่รับฎีกาข้อ 1 ของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ ชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขแล้วฎีกาจำเลยในข้อ 1 เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับ รับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อ 2
จำเลยเห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติว่าเป็นเรื่องการกู้ยืมเงินคงเหลือเพียงปัญหาการแปลความในข้อสัญญา ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แปลความต่างกันเท่านั้น ดังนั้น การแปลความในสัญญาตามฎีกาในข้อ 1 จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย หาใช่ปัญหาข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในคำฟ้อง ฎีกาของจำเลยไม่ จำเลยมีสิทธิที่จะฎีกาได้ โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 67)
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าอาคารแผงลอยร้านค้าเลขที่ 78/115 ตำบลบางตลาดอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี กลับคืนให้โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระต้นเงินกู้จำนวน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราชั่งละ 1 บาท ต่อเดือนนับแต่วันทำสัญญาจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาบางข้อดังกล่าว(อันดับ 57)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ข้อโต้เถียงตามฎีกาข้อ 1 ของจำเลยที่ว่าโจทก์มีเจตนาโอนสิทธิการเช่าร้านค้า (แผงลอย) พิพาทให้แก่จำเลย โดยเด็ดขาด เพื่อตอบแทนการที่จำเลยยอมให้โจทก์กู้ยืมเงิน จำนวน 70,000 บาท ไม่ใช่โอนเป็นการชั่วคราวเพียงเพื่อเป็นประกัน การกู้ยืมเงินที่โจทก์มีต่อจำเลย เป็นข้อโต้เถียงในข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน สองแสนบาท ห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้น ไม่รับฎีกาข้อ 1 ของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา และยื่นคำแถลงขอให้ศาลมีคำสั่ง งดให้จำเลยทั้งสองชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้แก่โจทก์ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสอง นำค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความมาชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองเห็นว่า ในชั้นอุทธรณ์เมื่อจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้นแล้ว ดังนั้นเมื่อจำเลยทั้งสองฎีกาจึงไม่ต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นอีกเพราะเป็นการ ซ้ำซ้อนกันโปรดมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองงดชำระค่าฤชาธรรมเนียม และค่าทนายความในศาลชั้นต้นด้วยโปรดอนุญาต
หมายเหตุ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 93,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 8 ธันวาคม 2533) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 47,500 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตาม ทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความ รวม 2,000 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา (อันดับ 96)
จำเลยทั้งสองยื่นคำแถลงของ ด. ชำระค่าธรรมเนียมและ ค่าทนายความในศาลชั้นต้น และค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ไว้ก่อน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมให้ครบภายใน 15 วัน นับแต่วันนี้ มิฉะนั้นถือว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฎีกา (อันดับ 95)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษา ศาลชั้นต้น โดยให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะ ค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ ดังนั้น ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นที่จำเลยทั้งสองวางศาล ใช้แทนโจทก์ขณะยื่นอุทธรณ์จึงไม่เท่ากับที่จำเลยทั้งสองต้อง ใช้แทนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และจำเลยมีสิทธิที่จะนำ เงิน ที่วางไว้แล้วมาหักจากค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แทน โจทก์ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ โดยถือว่าได้ชำระไว้ บางส่วนแล้ว แต่จะขอให้ ด. ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและ ค่าทนายความไว้ก่อนตามคำร้อง ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2537 ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้อง ดังกล่าวให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียม ให้ครบจึงชอบแล้ว การที่จำเลย ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของ ศาลชั้นต้นดังกล่าว โดยขอให้ ด. ชำระ เฉพาะค่าฤชาธรรมเนียม และค่าทนายความในศาลชั้นต้นนั้น ไม่ตรงกับ ข้ออ้างใน คำร้องดังกล่าวเป็นการไม่ชอบ แต่เห็นสมควรให้โอกาส จำเลย โดยให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์ ตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภายใน 15 วัน นับแต่ทราบคำสั่งนี้ ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา และยื่นคำแถลงขอให้ศาลมีคำสั่ง งดให้จำเลยทั้งสองชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้แก่โจทก์ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสอง นำค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความมาชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองเห็นว่า ในชั้นอุทธรณ์เมื่อจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้นแล้ว ดังนั้นเมื่อจำเลยทั้งสองฎีกาจึงไม่ต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นอีกเพราะเป็นการ ซ้ำซ้อนกันโปรดมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองงดชำระค่าฤชาธรรมเนียม และค่าทนายความในศาลชั้นต้นด้วยโปรดอนุญาต
หมายเหตุ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 93,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 8 ธันวาคม 2533) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 47,500 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตาม ทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความ รวม 2,000 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา (อันดับ 96)
จำเลยทั้งสองยื่นคำแถลงของ ด. ชำระค่าธรรมเนียมและ ค่าทนายความในศาลชั้นต้น และค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ไว้ก่อน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมให้ครบภายใน 15 วัน นับแต่วันนี้ มิฉะนั้นถือว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฎีกา (อันดับ 95)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษา ศาลชั้นต้น โดยให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะ ค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ ดังนั้น ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นที่จำเลยทั้งสองวางศาล ใช้แทนโจทก์ขณะยื่นอุทธรณ์จึงไม่เท่ากับที่จำเลยทั้งสองต้อง ใช้แทนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และจำเลยมีสิทธิที่จะนำ เงิน ที่วางไว้แล้วมาหักจากค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แทน โจทก์ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ โดยถือว่าได้ชำระไว้ บางส่วนแล้ว แต่จะขอให้ ด. ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและ ค่าทนายความไว้ก่อนตามคำร้อง ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2537 ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้อง ดังกล่าวให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียม ให้ครบจึงชอบแล้ว การที่จำเลย ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของ ศาลชั้นต้นดังกล่าว โดยขอให้ ด. ชำระ เฉพาะค่าฤชาธรรมเนียม และค่าทนายความในศาลชั้นต้นนั้น ไม่ตรงกับ ข้ออ้างใน คำร้องดังกล่าวเป็นการไม่ชอบ แต่เห็นสมควรให้โอกาส จำเลย โดยให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์ ตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภายใน 15 วัน นับแต่ทราบคำสั่งนี้ ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับ คืนค่าขึ้นศาล ทั้งหมดให้จำเลย
จำเลยเห็นว่า ตามฎีกาของจำเลยเป็นเรื่องการตีความสัญญาจองอาคารเอกสารหมาย จ.10 ล.2 ข้อ 5 โดยพิจารณาจาก ข้อความในสัญญาและจากข้อเท็จจริงที่ฟังยุติแล้วในการส่งเงิน ค่าเช่า ค่าบำรุงของจำเลย และในเรื่องดังกล่าวศาลชั้นต้น กลับไปวินิจฉัยว่าเรื่องค่าเช่าค่าบำรุงจำเลยปฏิบัติผิดสัญญา ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีไม่ถูกต้องและครบถ้วน ตามข้อเท็จจริงที่ได้จากการนำสืบพยานบุคคลและเอกสารของโจทก์ และจำเลย จึงเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติว่าด้วย กระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 140)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 3,680 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจาก อาคารเลขที่ 131/1 ถนนชุมพล ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา และส่งมอบอาคารคืน แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย กับให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบอาคารคืนแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้อง ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 132)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 136)
คำสั่ง
ฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของ จำเลยต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเป็นคำวินิจฉัยที่ ไม่ถูกต้องนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายจึงให้รับฎีกาเฉพาะข้อที่กล่าวนี้ไว้
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับ คืนค่าขึ้นศาล ทั้งหมดให้จำเลย
จำเลยเห็นว่า ตามฎีกาของจำเลยเป็นเรื่องการตีความสัญญาจองอาคารเอกสารหมาย จ.10 ล.2 ข้อ 5 โดยพิจารณาจาก ข้อความในสัญญาและจากข้อเท็จจริงที่ฟังยุติแล้วในการส่งเงิน ค่าเช่า ค่าบำรุงของจำเลย และในเรื่องดังกล่าวศาลชั้นต้น กลับไปวินิจฉัยว่าเรื่องค่าเช่าค่าบำรุงจำเลยปฏิบัติผิดสัญญา ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีไม่ถูกต้องและครบถ้วน ตามข้อเท็จจริงที่ได้จากการนำสืบพยานบุคคลและเอกสารของโจทก์ และจำเลย จึงเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติว่าด้วย กระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 140)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 3,680 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจาก อาคารเลขที่ 131/1 ถนนชุมพล ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา และส่งมอบอาคารคืน แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย กับให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบอาคารคืนแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้อง ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 132)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 136)
คำสั่ง
ฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของ จำเลยต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเป็นคำวินิจฉัยที่ ไม่ถูกต้องนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายจึงให้รับฎีกาเฉพาะข้อที่กล่าวนี้ไว้
ความว่า ผู้ร้องฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการ บังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,076,328.76 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย แต่จำเลยไม่ชำระโจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและ นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน 11 แปลงโฉนดเลขที่ 10628,10629,10646 ถึง 10654 ตำบลแสนแสบ (ศรีษะคู้) อำเภอมีนบุรี (แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่พิพาท ที่โจทก์นำยึดนั้นเป็นของผู้ร้องซึ่งใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือโฉนด แทนมิใช่ของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ขอให้ปล่อยทรัพย์ คืนแก่ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 63,62)
ชั้นอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับแต่ไม่ ปรากฏคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในสำนวน
คำสั่ง
คำร้องของ ผู้ร้องพอแปลได้ว่า ผู้ร้องขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรให้งดการขายหรือจำหน่ายทรัพย์พิพาทไว้ในระหว่างฎีกา
ความว่า ผู้ร้องฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการ บังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,076,328.76 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย แต่จำเลยไม่ชำระโจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและ นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน 11 แปลงโฉนดเลขที่ 10628,10629,10646 ถึง 10654 ตำบลแสนแสบ (ศรีษะคู้) อำเภอมีนบุรี (แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่พิพาท ที่โจทก์นำยึดนั้นเป็นของผู้ร้องซึ่งใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือโฉนด แทนมิใช่ของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ขอให้ปล่อยทรัพย์ คืนแก่ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 63,62)
ชั้นอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับแต่ไม่ ปรากฏคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในสำนวน
คำสั่ง
คำร้องของ ผู้ร้องพอแปลได้ว่า ผู้ร้องขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรให้งดการขายหรือจำหน่ายทรัพย์พิพาทไว้ในระหว่างฎีกา
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นมาเฉพาะตัวฎีกา แต่ไม่ได้ยื่นเสียค่าขึ้นศาลมาด้วย จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยยื่นฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายเวลา วางเงินค่าธรรมเนียมศาลแล้วแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้นมิได้กำหนดว่าหากไม่ยื่นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาพร้อมฎีกาจะต้องยกฎีกา แต่ศาลจะกำหนดวันให้มาชำระค่าขึ้นศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 โปรดมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาวางเงิน กับขอให้มีคำสั่งทุเลา การบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 393,750 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะใช้เงินให้แก่โจทก์เสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงิน ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา และคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นมี คำสั่งไม่รับฎีกา และสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินว่า เป็นกรณีจำเลยยื่นเฉพาะตัวฎีกาในวันนี้แต่ขอผ่อนผันคือขอขยายการวางเงินค่าขึ้นศาลมา ไม่มีเหตุอนุญาต ยกคำร้องและสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับว่า ศาลไม่รับฎีกา จึงไม่อนุญาตยกคำร้อง (อันดับ 144,142 แผ่นที่ 1, ที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 145)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เป็นกรณีที่จำเลยฎีกาโดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมฎีกา เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229,247 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอผ่อนผันการวางเงินดังกล่าว ศาลก็มีคำสั่งไม่อนุญาต ดังนี้ศาลชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยได้ทันที กรณีไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือ วางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับ หรือไม่รับคำคู่ความ เช่นนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นมาเฉพาะตัวฎีกา แต่ไม่ได้ยื่นเสียค่าขึ้นศาลมาด้วย จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยยื่นฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายเวลา วางเงินค่าธรรมเนียมศาลแล้วแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้นมิได้กำหนดว่าหากไม่ยื่นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาพร้อมฎีกาจะต้องยกฎีกา แต่ศาลจะกำหนดวันให้มาชำระค่าขึ้นศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 โปรดมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาวางเงิน กับขอให้มีคำสั่งทุเลา การบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 393,750 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะใช้เงินให้แก่โจทก์เสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงิน ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา และคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นมี คำสั่งไม่รับฎีกา และสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินว่า เป็นกรณีจำเลยยื่นเฉพาะตัวฎีกาในวันนี้แต่ขอผ่อนผันคือขอขยายการวางเงินค่าขึ้นศาลมา ไม่มีเหตุอนุญาต ยกคำร้องและสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับว่า ศาลไม่รับฎีกา จึงไม่อนุญาตยกคำร้อง (อันดับ 144,142 แผ่นที่ 1, ที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 145)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เป็นกรณีที่จำเลยฎีกาโดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมฎีกา เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229,247 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอผ่อนผันการวางเงินดังกล่าว ศาลก็มีคำสั่งไม่อนุญาต ดังนี้ศาลชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยได้ทันที กรณีไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือ วางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับ หรือไม่รับคำคู่ความ เช่นนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
กรณีที่จำเลยฎีกาโดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้อง ใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมฎีกา เป็นการไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229,247 เมื่อจำเลย ยื่นคำร้องขอผ่อนผันการวางเงินดังกล่าว ศาลก็มีคำสั่ง ไม่อนุญาต ดังนี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ได้ทันที กรณีไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาล ให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นมาเฉพาะตัวฎีกาแต่ไม่ได้ยื่นเสียค่าขึ้นศาลมาด้วยจึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยยื่นฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายเวลา วางเงินค่าธรรมเนียมศาลแล้ว แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้น มิได้กำหนดว่าหากไม่ยื่นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาพร้อมฎีกาจะต้อง ยกฎีกา แต่ศาลจะกำหนดวันให้มาชำระค่าขึ้นศาลได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 โปรดมีคำสั่ง อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาวางเงิน กับขอให้มีคำสั่ง ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 393,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะใช้เงินให้แก่โจทก์เสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงิน ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา และคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับฎีกา และสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินว่า เป็นกรณีจำเลยยื่นเฉพาะตัวฎีกาในวันนี้แต่ขอผ่อนผันคือ ขอขยายการวางเงินค่าขึ้นศาลมา ไม่มีเหตุ อนุญาต ยกคำร้อง และสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับว่า ศาลไม่รับฎีกา จึงไม่อนุญาต ยกคำร้อง (อันดับ 144,142 แผ่นที่ 1, ที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 145)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เป็นกรณีที่จำเลยฎีกาโดยไม่ได้ นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมฎีกา เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229,247 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอผ่อนผันการวางเงินดังกล่าว ศาลก็มีคำสั่งไม่อนุญาตดังนี้ศาลชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยได้ทันที กรณีไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือวาง ค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือ ไม่รับคำคู่ความ เช่นนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
กรณีที่จำเลยฎีกาโดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้อง ใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมฎีกา เป็นการไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229,247 เมื่อจำเลย ยื่นคำร้องขอผ่อนผันการวางเงินดังกล่าว ศาลก็มีคำสั่ง ไม่อนุญาต ดังนี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ได้ทันที กรณีไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาล ให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นมาเฉพาะตัวฎีกาแต่ไม่ได้ยื่นเสียค่าขึ้นศาลมาด้วยจึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยยื่นฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายเวลา วางเงินค่าธรรมเนียมศาลแล้ว แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้น มิได้กำหนดว่าหากไม่ยื่นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาพร้อมฎีกาจะต้อง ยกฎีกา แต่ศาลจะกำหนดวันให้มาชำระค่าขึ้นศาลได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 โปรดมีคำสั่ง อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาวางเงิน กับขอให้มีคำสั่ง ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 393,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะใช้เงินให้แก่โจทก์เสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงิน ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา และคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับฎีกา และสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินว่า เป็นกรณีจำเลยยื่นเฉพาะตัวฎีกาในวันนี้แต่ขอผ่อนผันคือ ขอขยายการวางเงินค่าขึ้นศาลมา ไม่มีเหตุ อนุญาต ยกคำร้อง และสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับว่า ศาลไม่รับฎีกา จึงไม่อนุญาต ยกคำร้อง (อันดับ 144,142 แผ่นที่ 1, ที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 145)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เป็นกรณีที่จำเลยฎีกาโดยไม่ได้ นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมฎีกา เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229,247 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอผ่อนผันการวางเงินดังกล่าว ศาลก็มีคำสั่งไม่อนุญาตดังนี้ศาลชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยได้ทันที กรณีไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือวาง ค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือ ไม่รับคำคู่ความ เช่นนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการ บังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 156)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทตามแผนที่พิพาทกลาง คำขอที่เกี่ยวกับค่าเสียหายให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 151,150)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้อง (อันดับ 138)
คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ มิได้บังคับโจทก์ ให้ปฏิบัติอย่างไร จึงไม่มีอะไรจะทุเลาการบังคับ ยกคำร้องของโจทก์
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการ บังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 156)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทตามแผนที่พิพาทกลาง คำขอที่เกี่ยวกับค่าเสียหายให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 151,150)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้อง (อันดับ 138)
คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ มิได้บังคับโจทก์ ให้ปฏิบัติอย่างไร จึงไม่มีอะไรจะทุเลาการบังคับ ยกคำร้องของโจทก์
ความว่า โจทก์ฎีกา โจทก์เห็นว่า คดีนี้ไม่มีเหตุผลสมควรที่จะให้ทุเลาการบังคับได้ประกอบกับทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งหมดที่พิพาทในคดีนี้ จำเลยเป็นผู้เก็บไว้ทั้งหมด และขณะนี้โจทก์ก็ไม่ทราบว่าจำเลยได้จำหน่ายจ่ายโอนหรือก่อภาระติดพันเกี่ยวกับ ทรัพย์สินดังกล่าวไปอย่างใดบ้าง หากศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ ชนะคดีก็อาจไม่มีทรัพย์ที่โจทก์จะบังคับคดีได้ จึงขอศาลฎีกา ได้โปรดมีคำสั่งให้จำเลยนำหลักทรัพย์เท่ากับทุนทรัพย์ที่โจทก์ ได้ยื่นฎีกาให้จำเลยชำระให้แก่โจทก์จำนวน 36,510,000 บาท มาวางต่อศาลเป็นประกันในระหว่างที่ศาลฎีกายังมิได้มีคำพิพากษา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 183 แผ่นที่ 4)
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้ถึงแก่กรรมนางซุ่ยเง็กแซ่โซว ซึ่งเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะ ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดก ของนายปรีดาใยมณี แก่โจทก์ในฐานเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยผู้หนึ่งจำนวน 6,240,000 บาท
โจทก์และจำเลยต่างฎีกา (อันดับ 165,161)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 176)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การที่โจทก์ขอให้จำเลยนำหลักทรัพย์ เท่ากับทุนทรัพย์ที่โจทก์ฎีกามาวางศาลในระหว่างการพิจารณาของ ศาลฎีกา มีผลเท่ากับบังคับให้จำเลยหาประกันมาวางศาลเพื่อโจทก์ จะบังคับคดีเอาแก่หลักทรัพย์ที่จำเลยนำมาวางศาลได้หากโจทก์ ชนะคดีตามที่ฎีกา แต่การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่าง การพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 นั้น จะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องขอ เพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันได้รับความ คุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษา ดังนั้น โจทก์จะขอ ให้จำเลยนำหลักทรัพย์มาวางศาลตามมาตรานี้ไม่ได้ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา โจทก์เห็นว่า คดีนี้ไม่มีเหตุผลสมควรที่จะให้ทุเลาการบังคับได้ประกอบกับทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งหมดที่พิพาทในคดีนี้ จำเลยเป็นผู้เก็บไว้ทั้งหมด และขณะนี้โจทก์ก็ไม่ทราบว่าจำเลยได้จำหน่ายจ่ายโอนหรือก่อภาระติดพันเกี่ยวกับ ทรัพย์สินดังกล่าวไปอย่างใดบ้าง หากศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ ชนะคดีก็อาจไม่มีทรัพย์ที่โจทก์จะบังคับคดีได้ จึงขอศาลฎีกา ได้โปรดมีคำสั่งให้จำเลยนำหลักทรัพย์เท่ากับทุนทรัพย์ที่โจทก์ ได้ยื่นฎีกาให้จำเลยชำระให้แก่โจทก์จำนวน 36,510,000 บาท มาวางต่อศาลเป็นประกันในระหว่างที่ศาลฎีกายังมิได้มีคำพิพากษา โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 183 แผ่นที่ 4)
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้ถึงแก่กรรมนางซุ่ยเง็กแซ่โซว ซึ่งเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะ ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดก ของนายปรีดาใยมณี แก่โจทก์ในฐานเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยผู้หนึ่งจำนวน 6,240,000 บาท
โจทก์และจำเลยต่างฎีกา (อันดับ 165,161)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 176)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การที่โจทก์ขอให้จำเลยนำหลักทรัพย์ เท่ากับทุนทรัพย์ที่โจทก์ฎีกามาวางศาลในระหว่างการพิจารณาของ ศาลฎีกา มีผลเท่ากับบังคับให้จำเลยหาประกันมาวางศาลเพื่อโจทก์ จะบังคับคดีเอาแก่หลักทรัพย์ที่จำเลยนำมาวางศาลได้หากโจทก์ ชนะคดีตามที่ฎีกา แต่การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่าง การพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 นั้น จะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องขอ เพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันได้รับความ คุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษา ดังนั้น โจทก์จะขอ ให้จำเลยนำหลักทรัพย์มาวางศาลตามมาตรานี้ไม่ได้ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาของจำเลยทุกข้อล้วนโต้เถียง ดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ถือเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลย เป็นการ ป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ให้จำคุก 4 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การ พิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ริบมีดขอของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 2 ปีเมื่อลดโทษหนึ่งในสามตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย คงเหลือเป็น โทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน ไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 85)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง
จำเลยฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะเกิดเหตุมิได้เป็นไปตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จึงเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาของจำเลยทุกข้อล้วนโต้เถียง ดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ถือเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลย เป็นการ ป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ให้จำคุก 4 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การ พิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ริบมีดขอของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 2 ปีเมื่อลดโทษหนึ่งในสามตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย คงเหลือเป็น โทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน ไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 85)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง
จำเลยฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะเกิดเหตุมิได้เป็นไปตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จึงเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็น ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า จำเลยได้ชำระเงินบางส่วนในมูลหนี้เดิมให้โจทก์แล้ว ย่อมถือว่าเป็นการยอมความนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 เนื่องจากจำเลยได้ชำระหนี้ในมูลหนี้เดิมบางส่วนแล้วจนเหลือ กลายเป็นเช็คพิพาท เห็นควรลงโทษสถานเบา ให้จำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 117)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 118)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี คู่ความย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาโดยอ้างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 5 ว่าการกระทำของจำเลยที่ได้ชำระเงินในมูลหนี้เดิมให้แก่โจทก์บางส่วน เป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายจำเลยไม่ควรต้องรับโทษ ดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษานั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ในศาลล่างทั้งสอง ทั้งข้อที่ว่าจำเลยได้ชำระเงินในมูลหนี้เดิม ให้แก่โจทก์บางส่วนหรือไม่ก็เป็นปัญหาในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็น ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า จำเลยได้ชำระเงินบางส่วนในมูลหนี้เดิมให้โจทก์แล้ว ย่อมถือว่าเป็นการยอมความนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 เนื่องจากจำเลยได้ชำระหนี้ในมูลหนี้เดิมบางส่วนแล้วจนเหลือ กลายเป็นเช็คพิพาท เห็นควรลงโทษสถานเบา ให้จำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 117)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 118)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี คู่ความย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาโดยอ้างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 5 ว่าการกระทำของจำเลยที่ได้ชำระเงินในมูลหนี้เดิมให้แก่โจทก์บางส่วน เป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายจำเลยไม่ควรต้องรับโทษ ดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษานั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ในศาลล่างทั้งสอง ทั้งข้อที่ว่าจำเลยได้ชำระเงินในมูลหนี้เดิม ให้แก่โจทก์บางส่วนหรือไม่ก็เป็นปัญหาในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|