ความว่า เนื่องจาก ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการ บังคับจำเลยในเรื่องขับไล่ไว้ในระหว่างฎีกา ส่วนที่ให้ใช้ ค่าเสียหายให้จำเลยหาประกันสำหรับจำนวนค่าเสียหายที่จะต้อง ชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กับค่าเสียหายอีกปีละ 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นเวลาหกปีมาวางจนเป็นที่พอใจ และภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ได้ หาหลักประกันมาวางศาล ศาลจึงยกคำร้องในส่วนนี้ โจทก์ได้นำ เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาด เอาเงินมาชำระค่าเสียหาย ปรากฏว่ายึดได้เพียงบ้านเพียงหลังเดียวเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายถึง 2 ครั้ง แต่ยังไม่สามารถขายได้ จึงต้องประกาศขายใหม่ ปรากฏตามรายงานของเจ้าพนักงาน บังคับคดีในการประกาศขายใหม่เชื่อว่าไม่มีใครที่จะประมูลราคา สูงกว่า 8,300 บาท นอกจากนี้แล้วจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใด ที่จะยึดมาขายทอดตลาดได้ แต่จำเลยถือโอกาสตามคำสั่งศาลฎีกา ให้ทุเลาการบังคับในการขับไล่ จึงไม่วางเงินประกัน และไม่ยอมออกจากที่พิพาทจนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษาซึ่งอาจเป็นเวลา อีกนาน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างมากและโจทก์ยังไม่ได้ เข้าครอบครองทรัพย์หรือเก็บผลประโยชน์ในทรัพย์พิพาท เนื่องจาก จำเลยได้ครอบครองตลอดมา และไม่เคยชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ และขณะนี้จำเลยได้นำที่พิพาทไปให้ผู้อื่นเช่า เก็บค่าเช่าไปเป็น ประโยชน์ของตนเอง และพยายามประวิงคดีตลอดมา คดีของจำเลย ไม่มีทางที่จะชนะโจทก์ได้ เพราะในคดีแพ่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษา คดีถึงที่สุดแล้วว่า จำเลยได้ทำหนังสือเลิกการเช่าที่นาพิพาท ไว้ต่อหน้านายอำเภอ หรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมายไว้และได้รับ เงินค่ารื้อถอนบ้านเรือนไปจากเจ้าของที่ดินเดิมแล้ว จำเลย จึงไม่มีสิทธิที่จะเช่าต่อไป ขอศาลได้โปรดมีคำสั่งยกเลิกคำสั่ง ที่ให้ทุเลาการบังคับในเรื่องขับไล่เสียและบังคับคดีต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยพร้อมทั้งบริวารและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างขนย้ายออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 23414 ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 80,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ปีละ 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลา การบังคับ (อันดับ 109,110)
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว ที่ให้ขับไล่นั้นอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา ส่วนที่ให้ใช้ค่าเสียหาย ถ้าจำเลยหาประกันสำหรับจำนวนค่าเสียหายที่ต้องชำระ แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กับค่าเสียหายอีกปีละสี่หมื่น บาท นับแต่วันฟ้องเป็นเวลาหกปีมาวางจนเป็นที่ พอใจและภายในเวลา ที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้องในส่วนนี้
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 131)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า เนื่องจาก ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการ บังคับจำเลยในเรื่องขับไล่ไว้ในระหว่างฎีกา ส่วนที่ให้ใช้ ค่าเสียหายให้จำเลยหาประกันสำหรับจำนวนค่าเสียหายที่จะต้อง ชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กับค่าเสียหายอีกปีละ 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นเวลาหกปีมาวางจนเป็นที่พอใจ และภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ได้ หาหลักประกันมาวางศาล ศาลจึงยกคำร้องในส่วนนี้ โจทก์ได้นำ เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาด เอาเงินมาชำระค่าเสียหาย ปรากฏว่ายึดได้เพียงบ้านเพียงหลังเดียวเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายถึง 2 ครั้ง แต่ยังไม่สามารถขายได้ จึงต้องประกาศขายใหม่ ปรากฏตามรายงานของเจ้าพนักงาน บังคับคดีในการประกาศขายใหม่เชื่อว่าไม่มีใครที่จะประมูลราคา สูงกว่า 8,300 บาท นอกจากนี้แล้วจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใด ที่จะยึดมาขายทอดตลาดได้ แต่จำเลยถือโอกาสตามคำสั่งศาลฎีกา ให้ทุเลาการบังคับในการขับไล่ จึงไม่วางเงินประกัน และไม่ยอมออกจากที่พิพาทจนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษาซึ่งอาจเป็นเวลา อีกนาน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างมากและโจทก์ยังไม่ได้ เข้าครอบครองทรัพย์หรือเก็บผลประโยชน์ในทรัพย์พิพาท เนื่องจาก จำเลยได้ครอบครองตลอดมา และไม่เคยชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ และขณะนี้จำเลยได้นำที่พิพาทไปให้ผู้อื่นเช่า เก็บค่าเช่าไปเป็น ประโยชน์ของตนเอง และพยายามประวิงคดีตลอดมา คดีของจำเลย ไม่มีทางที่จะชนะโจทก์ได้ เพราะในคดีแพ่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษา คดีถึงที่สุดแล้วว่า จำเลยได้ทำหนังสือเลิกการเช่าที่นาพิพาท ไว้ต่อหน้านายอำเภอ หรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมายไว้และได้รับ เงินค่ารื้อถอนบ้านเรือนไปจากเจ้าของที่ดินเดิมแล้ว จำเลย จึงไม่มีสิทธิที่จะเช่าต่อไป ขอศาลได้โปรดมีคำสั่งยกเลิกคำสั่ง ที่ให้ทุเลาการบังคับในเรื่องขับไล่เสียและบังคับคดีต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยพร้อมทั้งบริวารและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างขนย้ายออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 23414 ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 80,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ปีละ 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลา การบังคับ (อันดับ 109,110)
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว ที่ให้ขับไล่นั้นอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา ส่วนที่ให้ใช้ค่าเสียหาย ถ้าจำเลยหาประกันสำหรับจำนวนค่าเสียหายที่ต้องชำระ แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กับค่าเสียหายอีกปีละสี่หมื่น บาท นับแต่วันฟ้องเป็นเวลาหกปีมาวางจนเป็นที่ พอใจและภายในเวลา ที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้องในส่วนนี้
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 131)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้เป็นคดี มีทุนทรัพย์ 169,128 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน จำนวน 122,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน กรณีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ฎีกาของจำเลยล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งสิ้น จึงไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ก. และข้อ 2 ข. ที่ว่า โจทก์เข้าเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ แทนบริษัทศรีเหมราช จำกัด ผู้ค้ำประกันเดิมโดยจำเลยมิได้รับรู้ โจทก์จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย เมื่อโจทก์ ชำระหนี้แทนจำเลยเป็นการจัดการงานนอกสั่ง โจทก์ต้องฟ้องธนาคารอาคารสงเคราะห์เพื่อเรียกคืนเงินอันเป็นลาภมิควรได้และฎีกาข้อ 2 ค. ที่ว่า ศาลตีความจากสัญญาฉบับที่โจทก์ทำกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ไม่ชอบ เพราะสัญญาเอกสารหมาย จ.2 ที่ทำขึ้นในขณะจำเลยกู้เงินและบริษัทศรีเหมราช จำกัดเป็นผู้ค้ำประกัน หาได้มีการยกเลิกและยังมีผลสมบูรณ์ใช้ได้ หากศาลตีความจากสัญญาฉบับนี้ จำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดีนั้น ล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 106)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 122,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 กันยายน 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ดอกเบี้ยก่อนฟ้องไม่เกิน 47,128.76 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 96)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจำเลย และโจทก์ได้ชำระหนี้ ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์แทนจำเลยแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิไล่เบี้ยจำนวนเงินที่ชำระพร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยได้ การที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยก็ดี โจทก์ไปชำระหนี้โดยไม่บอกกล่าวจำเลยก็ดี และจำเลยมิได้ผิดสัญญากับธนาคารอาคารสงเคราะห์ก็ดีนั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้เป็นคดี มีทุนทรัพย์ 169,128 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน จำนวน 122,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน กรณีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ฎีกาของจำเลยล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งสิ้น จึงไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ก. และข้อ 2 ข. ที่ว่า โจทก์เข้าเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ แทนบริษัทศรีเหมราช จำกัด ผู้ค้ำประกันเดิมโดยจำเลยมิได้รับรู้ โจทก์จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย เมื่อโจทก์ ชำระหนี้แทนจำเลยเป็นการจัดการงานนอกสั่ง โจทก์ต้องฟ้องธนาคารอาคารสงเคราะห์เพื่อเรียกคืนเงินอันเป็นลาภมิควรได้และฎีกาข้อ 2 ค. ที่ว่า ศาลตีความจากสัญญาฉบับที่โจทก์ทำกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ไม่ชอบ เพราะสัญญาเอกสารหมาย จ.2 ที่ทำขึ้นในขณะจำเลยกู้เงินและบริษัทศรีเหมราช จำกัดเป็นผู้ค้ำประกัน หาได้มีการยกเลิกและยังมีผลสมบูรณ์ใช้ได้ หากศาลตีความจากสัญญาฉบับนี้ จำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดีนั้น ล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 106)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 122,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 กันยายน 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ดอกเบี้ยก่อนฟ้องไม่เกิน 47,128.76 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 96)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจำเลย และโจทก์ได้ชำระหนี้ ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์แทนจำเลยแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิไล่เบี้ยจำนวนเงินที่ชำระพร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยได้ การที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยก็ดี โจทก์ไปชำระหนี้โดยไม่บอกกล่าวจำเลยก็ดี และจำเลยมิได้ผิดสัญญากับธนาคารอาคารสงเคราะห์ก็ดีนั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา หากศาลฎีกามีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย จำเลยมีทางชนะคดีโจทก์ และการบังคับคดีจะทำให้จำเลยเดือด ร้อนเสียหาย โปรดอนุญาต ให้ทุเลาการบังคับไว้จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำสั่งคำร้องอุทธรณ์ คำสั่งไม่รับฎีกา
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 101,108)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 122,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 กันยายน 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยก่อนฟ้องไม่เกิน 47,128.76 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 96)
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98,99)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับโดย วางหลักประกันและทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 74,81,83)
คำสั่ง
ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้องแล้ว จึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา หากศาลฎีกามีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย จำเลยมีทางชนะคดีโจทก์ และการบังคับคดีจะทำให้จำเลยเดือด ร้อนเสียหาย โปรดอนุญาต ให้ทุเลาการบังคับไว้จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำสั่งคำร้องอุทธรณ์ คำสั่งไม่รับฎีกา
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 101,108)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 122,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 กันยายน 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยก่อนฟ้องไม่เกิน 47,128.76 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 96)
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98,99)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับโดย วางหลักประกันและทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 74,81,83)
คำสั่ง
ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้องแล้ว จึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไม่เกิน 5 ปีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรค 1จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เห็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 วรรคแรกโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 155)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11,62 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ปรับคนละ 1,800 บาท กระทงหนึ่ง ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดย ไม่ได้รับอนุญาตให้ปรับคนละ 1,800 บาท กระทงหนึ่ง จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองฯ มาตรา 11,62 วรรคหนึ่ง ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดย ไม่ได้รับอนุญาตให้จำคุก 1 เดือน กระทงหนึ่ง จำเลยทั้งสี่ มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26,75 วรรคหนึ่ง,76 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันมีกัญชาไว้ในความครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตและร่วมกันนำกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกคนละ 2 ปี กระทงหนึ่ง รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 คนละ 2 ปี กับปรับจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 4 คนละ 3,600 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด2 ปี 1 เดือน จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้จำเลยทั้งสี่ กระทงละหนึ่งในสามคงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 คนละ 1 ปี 4 เดือน ปรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4คนละ 2,400 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน 20 วัน ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ ฐานนำกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5เข้ามาในราชอาณาจักร จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 4 ปี รวมเป็นโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 คนละ 4 ปี ปรับคนละ 3,600 บาท จำเลยทั้งสี่ให้การ รับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษ ให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน ปรับคนละ 2,400 บาท และจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน สำหรับข้อหาความผิดของจำเลยที่ 3 ฐานเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 1 เดือน จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 15 วัน รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 154)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 155)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน ปรับคนละ 2,400 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุก จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 คนละ 2 ปี 8 เดือน ปรับคนละ 2,400 บาท โดยมิได้แก้บทลงโทษ ดังนี้เป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งมิใช่กรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกานั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไม่เกิน 5 ปีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรค 1จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เห็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 วรรคแรกโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 155)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11,62 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ปรับคนละ 1,800 บาท กระทงหนึ่ง ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดย ไม่ได้รับอนุญาตให้ปรับคนละ 1,800 บาท กระทงหนึ่ง จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองฯ มาตรา 11,62 วรรคหนึ่ง ฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดย ไม่ได้รับอนุญาตให้จำคุก 1 เดือน กระทงหนึ่ง จำเลยทั้งสี่ มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26,75 วรรคหนึ่ง,76 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันมีกัญชาไว้ในความครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตและร่วมกันนำกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำกัญชาเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกคนละ 2 ปี กระทงหนึ่ง รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 คนละ 2 ปี กับปรับจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 4 คนละ 3,600 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด2 ปี 1 เดือน จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้จำเลยทั้งสี่ กระทงละหนึ่งในสามคงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 คนละ 1 ปี 4 เดือน ปรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4คนละ 2,400 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน 20 วัน ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ ฐานนำกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5เข้ามาในราชอาณาจักร จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 4 ปี รวมเป็นโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 คนละ 4 ปี ปรับคนละ 3,600 บาท จำเลยทั้งสี่ให้การ รับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษ ให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน ปรับคนละ 2,400 บาท และจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน สำหรับข้อหาความผิดของจำเลยที่ 3 ฐานเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 1 เดือน จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 15 วัน รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 154)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 155)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน ปรับคนละ 2,400 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุก จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 คนละ 2 ปี 8 เดือน ปรับคนละ 2,400 บาท โดยมิได้แก้บทลงโทษ ดังนี้เป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งมิใช่กรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกานั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.2เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม ส่วนฎีกาข้อ 2.1แม้จะเป็นข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาล
โจทก์เห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 ที่ว่า อายุความในการใช้สิทธิไล่เบี้ยจากลูกจ้างต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์จ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลภายนอกจนถึงวันฟ้องและฎีกาข้อ 2.2ที่ว่า การที่ศาลยกเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์เป็น กระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 16,125 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 15,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 57)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 61)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา มีจำนวนไม่เกินสองแสนบาทจึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่บุคคลภายนอกที่ถูกนายบุญเสริม ยังวัน ลูกจ้างโจทก์ทำละเมิดเมื่อวันที่8 มีนาคม 2528 คดีโจทก์ส่วนนี้ไม่ขาดอายุความนั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่บุคคลภายนอกทั้งสองรายตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2523เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ที่โจทก์ฎีกาว่าในประเด็นเรื่องอายุความ จำเลยไม่มีพยานมาสืบหักล้างพยานโจทก์ จึงต้องฟังว่าคดี ไม่ขาดอายุความเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาล ที่วินิจฉัยว่าตามพยานหลักฐานโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ แล้ว เป็นว่าควรรับฟังตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่าคดีโจทก์ ไม่ขาดอายุความ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น
ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่า กรณีที่นายบุญเสริม ทำละเมิดทำให้รถยนต์ของโจทก์เสียหาย โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่โจทก์จ่ายค่าซ่อมรถยนต์ของโจทก์ คดีจึงไม่ขาดอายุความนั้น เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.2เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม ส่วนฎีกาข้อ 2.1แม้จะเป็นข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาล
โจทก์เห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 ที่ว่า อายุความในการใช้สิทธิไล่เบี้ยจากลูกจ้างต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์จ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลภายนอกจนถึงวันฟ้องและฎีกาข้อ 2.2ที่ว่า การที่ศาลยกเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์เป็น กระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 16,125 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 15,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 57)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 61)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา มีจำนวนไม่เกินสองแสนบาทจึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่บุคคลภายนอกที่ถูกนายบุญเสริม ยังวัน ลูกจ้างโจทก์ทำละเมิดเมื่อวันที่8 มีนาคม 2528 คดีโจทก์ส่วนนี้ไม่ขาดอายุความนั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่บุคคลภายนอกทั้งสองรายตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2523เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ที่โจทก์ฎีกาว่าในประเด็นเรื่องอายุความ จำเลยไม่มีพยานมาสืบหักล้างพยานโจทก์ จึงต้องฟังว่าคดี ไม่ขาดอายุความเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาล ที่วินิจฉัยว่าตามพยานหลักฐานโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ แล้ว เป็นว่าควรรับฟังตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่าคดีโจทก์ ไม่ขาดอายุความ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น
ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่า กรณีที่นายบุญเสริม ทำละเมิดทำให้รถยนต์ของโจทก์เสียหาย โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่โจทก์จ่ายค่าซ่อมรถยนต์ของโจทก์ คดีจึงไม่ขาดอายุความนั้น เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 145)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารของจำเลย ออกไปจากที่ดินของโจทก์และหยุดรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 196,202,15หมู่ 4(2) ตำบลห้วยไผ่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดราชบุรีบางส่วน และปรับปรุงสภาพที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิมและให้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวาร ออกจากที่ดินของโจทก์เดือนละ 5,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 134,133)
ชั้นอุทธรณ์ โจทก์ได้รับอนุญาตให้คุ้มครองประโยชน์โดยห้ามไม่ให้จำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างอุทธรณ์ (อันดับ 120)
คำสั่ง
คำร้องของ โจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์ขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ
ความว่า โจทก์ฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 145)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารของจำเลย ออกไปจากที่ดินของโจทก์และหยุดรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 196,202,15หมู่ 4(2) ตำบลห้วยไผ่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดราชบุรีบางส่วน และปรับปรุงสภาพที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิมและให้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวาร ออกจากที่ดินของโจทก์เดือนละ 5,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 134,133)
ชั้นอุทธรณ์ โจทก์ได้รับอนุญาตให้คุ้มครองประโยชน์โดยห้ามไม่ให้จำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างอุทธรณ์ (อันดับ 120)
คำสั่ง
คำร้องของ โจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์ขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ
ความว่า ผู้คัดค้านฎีกา มีทางชนะคดี หากมีการ ทำนิติกรรมใด ๆ ในที่พิพาท ผู้คัดค้านจะได้รับความเสียหาย โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อนโดยมีคำสั่งห้ามทำนิติกรรมใด ๆ ในที่พิพาทและให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบด้วย
หมายเหตุ ผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้วโดยทาง ไปรษณีย์ตอบรับ (อันดับ 81 แผ่นที่ 2)
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ และมีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 11485 และ 11671 ตำบลคลองซอยที่ 1 ฝั่งตก อำเภอบางปะอิน (พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยาตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายนคร วารณา ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แจ้งคำสั่ง ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ผู้คัดค้านฎีกาและยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 73,82)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มีกฎกระทรวง(มหาดไทย)ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497) ออกตามความใน พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ข้อ 8(1) กำหนดให้ผู้ได้มา ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนพร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดเมื่อคดีอยู่ระหว่างฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงยังไม่อาจดำเนินการดังกล่าวได้ ผู้คัดค้านไม่จำต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า ผู้คัดค้านฎีกา มีทางชนะคดี หากมีการ ทำนิติกรรมใด ๆ ในที่พิพาท ผู้คัดค้านจะได้รับความเสียหาย โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อนโดยมีคำสั่งห้ามทำนิติกรรมใด ๆ ในที่พิพาทและให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบด้วย
หมายเหตุ ผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้วโดยทาง ไปรษณีย์ตอบรับ (อันดับ 81 แผ่นที่ 2)
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ และมีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 11485 และ 11671 ตำบลคลองซอยที่ 1 ฝั่งตก อำเภอบางปะอิน (พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยาตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายนคร วารณา ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แจ้งคำสั่ง ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ผู้คัดค้านฎีกาและยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 73,82)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มีกฎกระทรวง(มหาดไทย)ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497) ออกตามความใน พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ข้อ 8(1) กำหนดให้ผู้ได้มา ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนพร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดเมื่อคดีอยู่ระหว่างฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงยังไม่อาจดำเนินการดังกล่าวได้ ผู้คัดค้านไม่จำต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของ ผู้ร้องมิได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ไม่รับฎีกา
ผู้ร้องเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องบรรยายไว้ในคำฟ้อง ฎีกานั้นเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังที่ผู้ร้อง ได้ยื่นอุทธรณ์ไว้แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ผู้ร้องจึงมีสิทธิฎีกาได้ โปรดมีคำสั่งรับฎีกาและนัดไต่สวนคำร้องเพิ่มเติมประกอบคำฟ้องฎีกาของผู้ร้องด้วย
หมายเหตุ ผู้คัดค้านได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 198 แผ่นที่ 2)
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งแต่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกเฉพาะทรัพย์มรดกตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.5 ส่วนทรัพย์มรดกนอกเหนือจากนี้ให้ผู้คัดค้าน เป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ ค้าสุวรรณ ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้คัดค้านออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกในส่วนเกี่ยวกับทรัพย์นอกเหนือพินัยกรรม และตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์นอกเหนือพินัยกรรมแทนต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนผู้คัดค้านออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ ค้าสุวรรณ ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นเสีย ส่วนคำร้องที่ขอให้แต่งตั้งผู้ร้องเป็น ผู้จัดการมรดกแทนนั้นให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของ ผู้ร้องในส่วนที่ขอให้สั่งถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ ค้าสุวรรณ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา และยื่นคำร้องขอไต่สวนประกอบฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา และสั่งคำร้องว่า ศาลไม่รับฎีกาจึงไม่จำต้องไต่สวน ยกคำร้อง (อันดับ 190,191)
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 194)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ผู้ร้องกล่าวอ้างมาในฎีกาว่า ขณะคดีนี้อยู่ในระหว่างอุทธรณ์บรรดาทายาทและผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งปันทรัพย์มรดกในคดีที่มีการฟ้องร้องเกี่ยวกับการตั้งผู้จัดการมรดกอีกเรื่องหนึ่งที่ศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้น ได้อนุญาตให้แบ่งปันทรัพย์มรดกไปตามข้อตกลงนั้นแล้ว ข้อพิพาท ในระหว่างบรรดาทายาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดกรายนี้จึงยุติไปแล้วศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ต่อไปขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าวินิจฉัยคดีโดยไม่ถูกต้องอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ได้อ้างข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของ ผู้ร้องมิได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ไม่รับฎีกา
ผู้ร้องเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องบรรยายไว้ในคำฟ้อง ฎีกานั้นเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังที่ผู้ร้อง ได้ยื่นอุทธรณ์ไว้แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ผู้ร้องจึงมีสิทธิฎีกาได้ โปรดมีคำสั่งรับฎีกาและนัดไต่สวนคำร้องเพิ่มเติมประกอบคำฟ้องฎีกาของผู้ร้องด้วย
หมายเหตุ ผู้คัดค้านได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 198 แผ่นที่ 2)
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งแต่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกเฉพาะทรัพย์มรดกตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.5 ส่วนทรัพย์มรดกนอกเหนือจากนี้ให้ผู้คัดค้าน เป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ ค้าสุวรรณ ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้คัดค้านออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกในส่วนเกี่ยวกับทรัพย์นอกเหนือพินัยกรรม และตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์นอกเหนือพินัยกรรมแทนต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนผู้คัดค้านออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ ค้าสุวรรณ ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นเสีย ส่วนคำร้องที่ขอให้แต่งตั้งผู้ร้องเป็น ผู้จัดการมรดกแทนนั้นให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของ ผู้ร้องในส่วนที่ขอให้สั่งถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายอารีย์ ค้าสุวรรณ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา และยื่นคำร้องขอไต่สวนประกอบฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา และสั่งคำร้องว่า ศาลไม่รับฎีกาจึงไม่จำต้องไต่สวน ยกคำร้อง (อันดับ 190,191)
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 194)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ผู้ร้องกล่าวอ้างมาในฎีกาว่า ขณะคดีนี้อยู่ในระหว่างอุทธรณ์บรรดาทายาทและผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งปันทรัพย์มรดกในคดีที่มีการฟ้องร้องเกี่ยวกับการตั้งผู้จัดการมรดกอีกเรื่องหนึ่งที่ศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้น ได้อนุญาตให้แบ่งปันทรัพย์มรดกไปตามข้อตกลงนั้นแล้ว ข้อพิพาท ในระหว่างบรรดาทายาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดกรายนี้จึงยุติไปแล้วศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ต่อไปขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าวินิจฉัยคดีโดยไม่ถูกต้องอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ได้อ้างข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยขอถอนคำให้การเดิมของจำเลยโดยขอให้การใหม่ เป็นว่าจำเลยยอมรับว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ ทุกประการ และเนื่องจากจำเลยได้สำนึกผิดโดยได้ใช้ค่าเสียหาย แก่โจทก์ร่วมจนเป็นที่พอใจแล้ว ขอศาลโปรดพิจารณาพิพากษา ลงโทษจำเลยในสถานเบาโดยรอการลงโทษจำเลยด้วย โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 141)
ระหว่างพิจารณา บริษัทศักดิ์ชัยสตีล จำกัด ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ประกอบ 268 วรรคแรก วางโทษจำคุก 2 ปี ทางนำสืบ ของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา คดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษ ให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 122)
ศาลฎีกาทำคำพิพากษา คดีอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษา
จำเลยยื่นคำให้การ (คำร้อง) นี้ (อันดับ 141)
คำสั่ง
จำเลยจะแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การในชั้นฎีกาหาได้ไม่ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยขอถอนคำให้การเดิมของจำเลยโดยขอให้การใหม่ เป็นว่าจำเลยยอมรับว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ ทุกประการ และเนื่องจากจำเลยได้สำนึกผิดโดยได้ใช้ค่าเสียหาย แก่โจทก์ร่วมจนเป็นที่พอใจแล้ว ขอศาลโปรดพิจารณาพิพากษา ลงโทษจำเลยในสถานเบาโดยรอการลงโทษจำเลยด้วย โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 141)
ระหว่างพิจารณา บริษัทศักดิ์ชัยสตีล จำกัด ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ประกอบ 268 วรรคแรก วางโทษจำคุก 2 ปี ทางนำสืบ ของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา คดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษ ให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 122)
ศาลฎีกาทำคำพิพากษา คดีอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษา
จำเลยยื่นคำให้การ (คำร้อง) นี้ (อันดับ 141)
คำสั่ง
จำเลยจะแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การในชั้นฎีกาหาได้ไม่ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าฎีกาของจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 218 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่าฎีกาทีว่าทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษา ลงโทษจำคุกจำเลยโดยขาดองค์ประกอบแห่งการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ เนื่องจากทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ยกเรื่องเจตนา ขึ้นประกอบในการพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนในปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่สำคัญที่ศาลฎีกาควรรับวินิจฉัย โปรดมี คำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(9) ให้จำคุก 6 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง อันเป็นเหตุ บรรเทาโทษ ให้ลงโทษแก่จำเลยหนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 55)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 58)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างมิได้ยกเรื่องเจตนาขึ้นมาประกอบในการพิพากษาลงโทษจำเลย เป็นการพิพากษาโดยขาดองค์ประกอบแห่งการกระทำความผิด อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น ถือว่าเป็นการฎีกาคัดค้านการใช้ ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานนั่นเอง ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง หาใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายไม่และที่อ้างว่า ข้อเท็จจริงที่จำเลยฎีกาเป็นข้อเท็จจริงที่สำคัญนั้นก็เป็น ปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218ที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกานั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ จำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าฎีกาของจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 218 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่าฎีกาทีว่าทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษา ลงโทษจำคุกจำเลยโดยขาดองค์ประกอบแห่งการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ เนื่องจากทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ยกเรื่องเจตนา ขึ้นประกอบในการพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนในปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่สำคัญที่ศาลฎีกาควรรับวินิจฉัย โปรดมี คำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(9) ให้จำคุก 6 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง อันเป็นเหตุ บรรเทาโทษ ให้ลงโทษแก่จำเลยหนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 55)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 58)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างมิได้ยกเรื่องเจตนาขึ้นมาประกอบในการพิพากษาลงโทษจำเลย เป็นการพิพากษาโดยขาดองค์ประกอบแห่งการกระทำความผิด อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น ถือว่าเป็นการฎีกาคัดค้านการใช้ ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานนั่นเอง ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง หาใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายไม่และที่อ้างว่า ข้อเท็จจริงที่จำเลยฎีกาเป็นข้อเท็จจริงที่สำคัญนั้นก็เป็น ปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218ที่ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกานั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ จำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษา ยืน ตามศาลชั้นต้น จึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง ต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้นเป็นการวินิจฉัยเฉพาะการกระทำความผิดและ ดุลพินิจในการลงโทษ แต่ยังไม่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับของกลางคดีจึงยังไม่ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 จำเลยมีสิทธิที่จะฎีกาได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 56)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามส่งออกนอก ราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง,66 วรรคสอง, 15 วรรคสอง,65 วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 เฮโรอีน ที่จำเลยมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามส่งออก นอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำ ของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษ บทหนักที่สุด ซึ่งตามพระราชบัญญัติมาตราการในการปราบปราม ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 บัญญัติ ให้ผู้พยายามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต้องระวางโทษ ตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทำ ความผิดสำเร็จ จึงต้องลงโทษจำเลยฐานพยายามส่งเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ ออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติด ให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 65 วรรคสอง,65 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 พระราชบัญญัติมาตรการ ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 อันเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต ชั้นจับกุมและชั้นพิจารณาของศาลจำเลยให้ การ รับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษ ให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วย มาตรา 52(2) คงจำคุกตลอดชีวิต ริบของกลาง (อันดับ 25 แผ่นที่ 4,5)
โจทก์และจำเลยต่างไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายัง ศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 55 แผ่นที่ 3)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 56)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ตลอดชีวิต และริบของกลาง จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวน ไปยังศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เท่ากับศาลอุทธรณ์สั่งริบของกลางแล้วเช่นกัน จึงหาใช่ตามที่ จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้สั่งเกี่ยวกับของกลางไม่ ดังนั้น คดีจำเลยจึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง ฎีกาจำเลยจึงต้องห้ามศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ ฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษา ยืน ตามศาลชั้นต้น จึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง ต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้นเป็นการวินิจฉัยเฉพาะการกระทำความผิดและ ดุลพินิจในการลงโทษ แต่ยังไม่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับของกลางคดีจึงยังไม่ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 จำเลยมีสิทธิที่จะฎีกาได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 56)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามส่งออกนอก ราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง,66 วรรคสอง, 15 วรรคสอง,65 วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 เฮโรอีน ที่จำเลยมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามส่งออก นอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำ ของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษ บทหนักที่สุด ซึ่งตามพระราชบัญญัติมาตราการในการปราบปราม ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 บัญญัติ ให้ผู้พยายามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต้องระวางโทษ ตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทำ ความผิดสำเร็จ จึงต้องลงโทษจำเลยฐานพยายามส่งเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ ออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติด ให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 65 วรรคสอง,65 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 พระราชบัญญัติมาตรการ ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 อันเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต ชั้นจับกุมและชั้นพิจารณาของศาลจำเลยให้ การ รับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษ ให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วย มาตรา 52(2) คงจำคุกตลอดชีวิต ริบของกลาง (อันดับ 25 แผ่นที่ 4,5)
โจทก์และจำเลยต่างไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายัง ศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 55 แผ่นที่ 3)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 56)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ตลอดชีวิต และริบของกลาง จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวน ไปยังศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เท่ากับศาลอุทธรณ์สั่งริบของกลางแล้วเช่นกัน จึงหาใช่ตามที่ จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้สั่งเกี่ยวกับของกลางไม่ ดังนั้น คดีจำเลยจึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง ฎีกาจำเลยจึงต้องห้ามศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ ฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินขอบเขตแห่งความเป็นจริงและเป็นการคาดคะเนเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับ ฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 18)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก กระทงเดียว ถึงแม้จะ เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ต่างกรรมกัน แต่จำเลยได้รับทรัพย์ดังกล่าวไว้ในคราวเดียวกัน ให้จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษ ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 6,500 บาท แก่ผู้เสียหาย ส่วนคำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 17)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 18)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาว่าศาลอุทธรณ์วินิฉัย เกินความจริง และคาดคะเนเหตุการณ์มาลงโทษจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับฎีกาของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินขอบเขตแห่งความเป็นจริงและเป็นการคาดคะเนเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับ ฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 18)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก กระทงเดียว ถึงแม้จะ เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ต่างกรรมกัน แต่จำเลยได้รับทรัพย์ดังกล่าวไว้ในคราวเดียวกัน ให้จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษ ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 6,500 บาท แก่ผู้เสียหาย ส่วนคำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 17)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 18)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาว่าศาลอุทธรณ์วินิฉัย เกินความจริง และคาดคะเนเหตุการณ์มาลงโทษจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับฎีกาของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป
ปัญหาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินความจริง และคาดคะเนเหตุการณ์มาลงโทษจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินขอบเขตแห่งความเป็นจริงและเป็นการคาดคะเนเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 18)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก กระทงเดียว ถึงแม้จะเป็นทรัพย์ที่ได้มาจาก การกระทำผิดฐานลักทรัพย์ต่างกรรมกัน แต่จำเลยได้รับทรัพย์ ดังกล่าวไว้ในคราวเดียวกัน ให้จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปีและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 6,500 บาท แก่ผู้เสียหาย ส่วนคำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 17)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 18)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินความจริงและคาดคะเนเหตุการณ์มาลงโทษจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับฎีกาของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป
ปัญหาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินความจริง และคาดคะเนเหตุการณ์มาลงโทษจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินขอบเขตแห่งความเป็นจริงและเป็นการคาดคะเนเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 18)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก กระทงเดียว ถึงแม้จะเป็นทรัพย์ที่ได้มาจาก การกระทำผิดฐานลักทรัพย์ต่างกรรมกัน แต่จำเลยได้รับทรัพย์ ดังกล่าวไว้ในคราวเดียวกัน ให้จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปีและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 6,500 บาท แก่ผู้เสียหาย ส่วนคำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 17)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 18)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินความจริงและคาดคะเนเหตุการณ์มาลงโทษจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับฎีกาของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า จำเลยอุทธรณ์ ข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ว่าสัญญาตามเอกสารหมายเลข 2 ของโจทก์ ใช้บังคับได้หรือไม่นั้นเป็น ปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 29)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยคืนเงินประกันการทำงาน จำนวน 5,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับ (อันดับ 26)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 27)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์หยิบยก พยานหลักฐานขึ้นอ้าง เพื่อให้ศาลฎีกาฟังว่าการที่โจทก์ทำงาน เป็นลูกจ้างจำเลยไม่ครบหนึ่งปี ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลแรงงานกลางที่ฟังว่าจำเลยไม่ได้รับความเสียหาย เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 ที่ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า จำเลยอุทธรณ์ ข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ว่าสัญญาตามเอกสารหมายเลข 2 ของโจทก์ ใช้บังคับได้หรือไม่นั้นเป็น ปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 29)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยคืนเงินประกันการทำงาน จำนวน 5,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับ (อันดับ 26)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 27)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์หยิบยก พยานหลักฐานขึ้นอ้าง เพื่อให้ศาลฎีกาฟังว่าการที่โจทก์ทำงาน เป็นลูกจ้างจำเลยไม่ครบหนึ่งปี ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลแรงงานกลางที่ฟังว่าจำเลยไม่ได้รับความเสียหาย เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 ที่ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้ยึดถือกัญชาของกลางไว้จึงไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 ซึ่งนำมาใช้ใน คดีอาญาได้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 111)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26,76 วรรคแรก จำคุก 5 ปีคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์ต่อการ พิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ริบของกลาง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 110)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 111)
คำสั่ง
คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 1ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองจำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้ยึดถือกัญชาของกลาง จึงไม่ได้ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1367 ซึ่งเท่ากับเป็นการโต้แย้งว่าจำเลยไม่ได้มีกัญชา ของกลางไว้ในครอบครอง อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้ยึดถือกัญชาของกลางไว้จึงไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 ซึ่งนำมาใช้ใน คดีอาญาได้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 111)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26,76 วรรคแรก จำคุก 5 ปีคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์ต่อการ พิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ริบของกลาง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 110)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 111)
คำสั่ง
คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 1ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองจำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้ยึดถือกัญชาของกลาง จึงไม่ได้ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1367 ซึ่งเท่ากับเป็นการโต้แย้งว่าจำเลยไม่ได้มีกัญชา ของกลางไว้ในครอบครอง อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ฎีกาเฉพาะในประเด็นเรื่องจำเลยต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกในบัญชีเงินฝาก จำนวน 164,989.30 บาท หรือไม่เท่านั้น ถือว่าจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ที่โจทก์ฎีกาเป็นการ โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาต้องถือทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องในศาลชั้นต้นเมื่อทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกจำนวน 207,494 บาท จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาและคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยและผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 128,129,130)
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ นางอนงค์อู่พิมาย ผู้ร้อง เข้าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 164,989.30 บาทแก่โจทก์ ให้นำที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 40411,18506,9769ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา และบ้านเลขที่ 174หมู่ที่ 13 ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมามาแบ่งปันระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยให้ได้รับคนละส่วนเท่ากันหากแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินสุทธิมาแบ่งระหว่างโจทก์ กับจำเลยคนละส่วนเท่ากัน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องใช้เงิน จำนวน 164,989.30 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 118,123)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 125)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฎีกาโต้เถียงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 164,989.30 บาท แก่โจทก์ไม่ชอบนั้น ถือว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทกันระหว่างโจทก์จำเลยในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จะถือทุนทรัพย์ตามที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นไม่ได้เพราะขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ฎีกาเฉพาะในประเด็นเรื่องจำเลยต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกในบัญชีเงินฝาก จำนวน 164,989.30 บาท หรือไม่เท่านั้น ถือว่าจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ที่โจทก์ฎีกาเป็นการ โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาต้องถือทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องในศาลชั้นต้นเมื่อทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกจำนวน 207,494 บาท จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาและคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยและผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 128,129,130)
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ นางอนงค์อู่พิมาย ผู้ร้อง เข้าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 164,989.30 บาทแก่โจทก์ ให้นำที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 40411,18506,9769ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา และบ้านเลขที่ 174หมู่ที่ 13 ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมามาแบ่งปันระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยให้ได้รับคนละส่วนเท่ากันหากแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินสุทธิมาแบ่งระหว่างโจทก์ กับจำเลยคนละส่วนเท่ากัน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องใช้เงิน จำนวน 164,989.30 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 118,123)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 125)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฎีกาโต้เถียงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 164,989.30 บาท แก่โจทก์ไม่ชอบนั้น ถือว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทกันระหว่างโจทก์จำเลยในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จะถือทุนทรัพย์ตามที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นไม่ได้เพราะขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องฎีกา การทุเลาการบังคับมิได้ก่อให้เกิด ความเสียหายใด ๆ แก่โจทก์โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์และจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 116,120)
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ นางอนงค์ อู่พิมาย ผู้ร้อง เข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 164,989.30 บาท แก่ โจทก์ ให้นำที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 40411,18506,9769ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา และบ้านเลขที่174 หมู่ที่ 13 ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมามาแบ่งปันระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยให้ได้รับคนละส่วนเท่ากัน หากแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินสุทธิมาแบ่งระหว่างโจทก์ กับจำเลยคนละส่วนเท่ากัน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องใช้เงิน จำนวน 164,989.30 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องสอดฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 113,114)
ชั้นอุทธรณ์ ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า เป็นเรื่องขอคุ้มครองประโยชน์จึงห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาท แจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบและแจ้งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารออมสิน สาขาพิมายที่มีชื่อนางเตี้ยและนายเที่ยง ได้พรที่ธนาคารออมสินสาขาพิมาย ไว้ในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งอายัดให้เจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินสาขาพิมาย ทราบ
ความว่า ผู้ร้องฎีกา การทุเลาการบังคับมิได้ก่อให้เกิด ความเสียหายใด ๆ แก่โจทก์โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์และจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 116,120)
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ นางอนงค์ อู่พิมาย ผู้ร้อง เข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 164,989.30 บาท แก่ โจทก์ ให้นำที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 40411,18506,9769ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา และบ้านเลขที่174 หมู่ที่ 13 ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมามาแบ่งปันระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยให้ได้รับคนละส่วนเท่ากัน หากแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินสุทธิมาแบ่งระหว่างโจทก์ กับจำเลยคนละส่วนเท่ากัน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องใช้เงิน จำนวน 164,989.30 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องสอดฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 113,114)
ชั้นอุทธรณ์ ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า เป็นเรื่องขอคุ้มครองประโยชน์จึงห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาท แจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบและแจ้งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารออมสิน สาขาพิมายที่มีชื่อนางเตี้ยและนายเที่ยง ได้พรที่ธนาคารออมสินสาขาพิมาย ไว้ในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งอายัดให้เจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินสาขาพิมาย ทราบ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยป้องกัน อันชอบด้วยกฎหมายมิใช่บันดาลโทสะ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 70)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 ให้จำคุก 2 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและคำเบิกความในชั้นศาล เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 4 ปี ริบมีดของกลาง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้วางโทษจำคุก 3 ปี คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ให้หนึ่งในสามคงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 69)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 70)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาโดยหยิบยกคำพยานบุคคลขึ้นมา โต้เถียงเพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริง การกระทำของจำเลย เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1เพื่อนำไปสู่ ปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นป้องกันโดยชอบ ด้วยกฎหมาย มิใช่บันดาลโทสะ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยป้องกัน อันชอบด้วยกฎหมายมิใช่บันดาลโทสะ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 70)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 ให้จำคุก 2 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและคำเบิกความในชั้นศาล เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 4 ปี ริบมีดของกลาง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้วางโทษจำคุก 3 ปี คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ให้หนึ่งในสามคงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 69)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 70)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาโดยหยิบยกคำพยานบุคคลขึ้นมา โต้เถียงเพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริง การกระทำของจำเลย เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1เพื่อนำไปสู่ ปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นป้องกันโดยชอบ ด้วยกฎหมาย มิใช่บันดาลโทสะ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งต่อเนื่องกับคำสั่ง ไม่อนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ซึ่งถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 และเป็นการ สั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 เป็นเรื่อง ที่อยู่ในกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยเฉพาะเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิ ฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 อีก จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาคำสั่งของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองเห็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ฎีกาคำสั่งของ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่เกี่ยวเนื่องกับคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลย ทั้งสองดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 แต่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนเกี่ยวกับเหตุที่ทนายจำเลยทั้งสองเจ็บป่วยไม่อาจยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการวางเงินค่าธรรมเนียมได้ภายในกำหนดเวลา อันเป็นเหตุสุดวิสัยและเป็นพฤติการณ์พิเศษ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23ซึ่งไม่จำกัดสิทธิห้ามฎีกาแต่ประการใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 159,160)
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 847,281.25 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสอง อุทธรณ์และยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวน แล้วมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองมีเงินพอเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ ให้ยกคำร้องของ จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ทั้งสองและให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระ ต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งนี้ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลา การวางเงินค่าธรรมเนียมอีกเป็นครั้งที่ 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ว่า ตามคำร้องอ้างเหตุทนายจำเลยทั้งสองป่วย โดยไม่ปรากฏ ใบรับรองแพทย์มาแสดง ทั้งทนายจำเลยทั้งสองสามารถมอบหมาย ให้ตัวความหรือบุคคลอื่นมา กระ ทำการแทนได้ ตามคำร้องจึงไม่ใช่ เหตุสุดวิสัยเมื่อจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องพ้นระยะเวลาแล้ว จึงไม่อนุญาต ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 155)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 158)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มี คำสั่งยืนตามศาลชั้นต้น ไม่อนุญาตให้จำเลย ทั้งสองขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาล คำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่งต่อเนื่องจากคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา จึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายทั้งเป็นเรื่องที่อยู่ในกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1โดยเฉพาะจำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฎีกาคำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อีก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยทั้งสองนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องจำเลยทั้งสอง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งต่อเนื่องกับคำสั่ง ไม่อนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ซึ่งถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 และเป็นการ สั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 เป็นเรื่อง ที่อยู่ในกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยเฉพาะเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิ ฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 อีก จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาคำสั่งของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองเห็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ฎีกาคำสั่งของ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่เกี่ยวเนื่องกับคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลย ทั้งสองดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 แต่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนเกี่ยวกับเหตุที่ทนายจำเลยทั้งสองเจ็บป่วยไม่อาจยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการวางเงินค่าธรรมเนียมได้ภายในกำหนดเวลา อันเป็นเหตุสุดวิสัยและเป็นพฤติการณ์พิเศษ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23ซึ่งไม่จำกัดสิทธิห้ามฎีกาแต่ประการใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 159,160)
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 847,281.25 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสอง อุทธรณ์และยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวน แล้วมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองมีเงินพอเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ ให้ยกคำร้องของ จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ทั้งสองและให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระ ต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งนี้ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลา การวางเงินค่าธรรมเนียมอีกเป็นครั้งที่ 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ว่า ตามคำร้องอ้างเหตุทนายจำเลยทั้งสองป่วย โดยไม่ปรากฏ ใบรับรองแพทย์มาแสดง ทั้งทนายจำเลยทั้งสองสามารถมอบหมาย ให้ตัวความหรือบุคคลอื่นมา กระ ทำการแทนได้ ตามคำร้องจึงไม่ใช่ เหตุสุดวิสัยเมื่อจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องพ้นระยะเวลาแล้ว จึงไม่อนุญาต ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 155)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 158)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มี คำสั่งยืนตามศาลชั้นต้น ไม่อนุญาตให้จำเลย ทั้งสองขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาล คำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่งต่อเนื่องจากคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา จึงถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายทั้งเป็นเรื่องที่อยู่ในกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1โดยเฉพาะจำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฎีกาคำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อีก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยทั้งสองนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องจำเลยทั้งสอง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา บัดนี้เนื่องจากจำเลยได้นำเงินมาชำระให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์จึง ไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีกับจำเลยอีกต่อไป จึงขอถอนฟ้อง โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยแถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้าน (อันดับ 84)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด อันเกิดจากการใช้เช็ค พุทธศักราช 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พุทธศักราช 2534 มาตรา 4 จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การ พิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก1 เดือน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนมีกำหนด 1 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 67)
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 69)
ศาลฎีกาทำคำสั่งแล้ว คดีอยู่ระหว่างนัดฟังคำสั่ง
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 84)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นความผิดต่อส่วนตัว โจทก์ย่อมถอนฟ้องได้ก่อนคดีถึงที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคสอง อนุญาตให้ โจทก์ถอนฟ้องได้ สิทธินำคดีอาญาฟ้องย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)จึงให้จำหน่าย คดีออกจากสารบบความ
ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา บัดนี้เนื่องจากจำเลยได้นำเงินมาชำระให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์จึง ไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีกับจำเลยอีกต่อไป จึงขอถอนฟ้อง โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยแถลงท้ายคำร้องไม่คัดค้าน (อันดับ 84)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด อันเกิดจากการใช้เช็ค พุทธศักราช 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พุทธศักราช 2534 มาตรา 4 จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การ พิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก1 เดือน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนมีกำหนด 1 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 67)
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 69)
ศาลฎีกาทำคำสั่งแล้ว คดีอยู่ระหว่างนัดฟังคำสั่ง
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 84)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นความผิดต่อส่วนตัว โจทก์ย่อมถอนฟ้องได้ก่อนคดีถึงที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคสอง อนุญาตให้ โจทก์ถอนฟ้องได้ สิทธินำคดีอาญาฟ้องย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)จึงให้จำหน่าย คดีออกจากสารบบความ
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|