ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ที่ว่าการกระทำความผิดของจำเลยนั้นเป็นการกระทำโดยประมาณหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 64)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4),157 อีกบทหนึ่ง ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 วางโทษจำคุก 4 ปี และผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 64 อีกกระทงหนึ่ง ปรับ 600 บาท กรณีเป็น ความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91รวมโทษจำคุก 4 ปี ปรับ 600 บาท คำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก2 ปี 8 เดือนปรับ400 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย(อันดับ 63)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 64)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถด้วยความเร็วเพียง 40 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง และเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัยนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถมาด้วยความเร็วประมาณ 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจำเลยขับรถมาด้วยความเร็วสูงมาก และชนผู้ตายอย่างรุนแรง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ที่ว่าการกระทำความผิดของจำเลยนั้นเป็นการกระทำโดยประมาณหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 64)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4),157 อีกบทหนึ่ง ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 วางโทษจำคุก 4 ปี และผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 64 อีกกระทงหนึ่ง ปรับ 600 บาท กรณีเป็น ความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91รวมโทษจำคุก 4 ปี ปรับ 600 บาท คำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก2 ปี 8 เดือนปรับ400 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย(อันดับ 63)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 64)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถด้วยความเร็วเพียง 40 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง และเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัยนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถมาด้วยความเร็วประมาณ 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจำเลยขับรถมาด้วยความเร็วสูงมาก และชนผู้ตายอย่างรุนแรง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาโต้แย้งปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นนี้ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248จึงไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองในประเด็นที่ว่าค่านายหน้าต้องคิดจากราคาที่ผู้ซื้อกับผู้ขายตกลงกันจริงหรือไม่และการตกลงราคากันใหม่จำต้องให้นายหน้ารับทราบหรืออยู่ด้วย หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของ จำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 65,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่ง ต่อปี นับแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ แก่โจทก์ เฉพาะดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง(3 มกราคม 2535) ต้องไม่เกิน 2,981 บาทตามขอ
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 91)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 93)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงเชื่อตามที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้ติดต่อชี้ช่องให้ผู้ซื้อมาทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับจำเลยทั้งสองในราคา1,000,000 บาท และจำเลยทั้งสองยังค้างชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ รวม 65,000 บาท ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองกับ ผู้ซื้อได้มาตกลงราคากันใหม่ จำเลยทั้งสองไม่ได้ค้างชำระ ค่านายหน้าแก่โจทก์ตามฟ้อง จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2เป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาโต้แย้งปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นนี้ไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248จึงไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองในประเด็นที่ว่าค่านายหน้าต้องคิดจากราคาที่ผู้ซื้อกับผู้ขายตกลงกันจริงหรือไม่และการตกลงราคากันใหม่จำต้องให้นายหน้ารับทราบหรืออยู่ด้วย หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของ จำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 65,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่ง ต่อปี นับแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ แก่โจทก์ เฉพาะดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง(3 มกราคม 2535) ต้องไม่เกิน 2,981 บาทตามขอ
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 91)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 93)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงเชื่อตามที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้ติดต่อชี้ช่องให้ผู้ซื้อมาทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับจำเลยทั้งสองในราคา1,000,000 บาท และจำเลยทั้งสองยังค้างชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ รวม 65,000 บาท ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองกับ ผู้ซื้อได้มาตกลงราคากันใหม่ จำเลยทั้งสองไม่ได้ค้างชำระ ค่านายหน้าแก่โจทก์ตามฟ้อง จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2เป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1ในส่วนขอเรียกเบี้ยปรับเพิ่มเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง และมีทุนทรัพย์ไม่เกิน200,000 บาท ไม่มีผู้พิพากษาหรือ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รับรองหรืออนุญาตให้ฎีกาได้คดีจึง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก สำหรับฎีกาในเรื่องเขตอำนาจศาลและคำขอ เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้น เห็นว่าจำเลยเอง ก็ยื่นคำฟ้องแย้งต่อศาลแพ่งเท่ากับจำเลยยอมรับแล้วว่า ศาลแพ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีฎีกาของจำเลยในส่วนนี้ แม้จะเป็นข้อกฎหมาย แต่เห็นว่าไม่เป็นสาระแก่คดีที่ควรได้ รับวินิจฉัยจากศาลฎีกา จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1ทั้งหมด
จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่าศาลแพ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่ ควรเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมฟ้องแย้งหรือไม่ และจำเลยที่ 1 จะได้รับเบี้ยปรับรายวันอีกหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 93 แผ่นที่ 2-3)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน25,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินนั้นนับแต่ วันฟ้อง (24 มิถุนายน 2531) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ส่งสัญญาค้ำประกันของ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาบางแค ลงวันที่ 1 มิถุนายน 2530 คืนแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1ให้โจทก์ชำระเงินค่าประกันการปฏิบัติตามสัญญาจำนวน 15,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1 คำฟ้องแย้งนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 91)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 92)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลแพ่งไม่มี อำนาจพิจารณาคดีนี้ ศาลควรเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมฟ้องแย้ง จำเลยที่ 1จะได้รับเบี้ยปรับรายวันด้วยเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลฎีกานั้น เห็นว่า ศาลแพ่งมีหรือไม่มีอำนาจพิจารณา พิพากษาคดีนี้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ตามพระธรรมนูญ ศาลยุติธรรม มาตรา 14(5) บัญญัติว่า ศาลแพ่งและศาลอาญามีเขตตลอดท้องที่กรุงเทพมหานคร นอกจากท้องที่ที่อยู่ใน เขตของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ศาลแพ่งธนบุรีศาลอาญาธนบุรี และศาลจังหวัดมีนบุรีแต่บรรดาคดีที่เกิดขึ้น นอกเขตศาลแพ่งและศาลอาญานั้น จะยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งหรือ ศาลอาญาก็ได้ ทั้งนี้ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลนั้น ๆ ที่จะไม่ยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งที่ยื่นฟ้องเช่นนั้นได้ คดีนี้ศาลแพ่งใช้ดุลพินิจรับคดีไว้พิจารณาแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา อีก ส่วนปัญหาว่าศาลควรเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ฟ้องแย้งจำเลยที่ 1 จะได้รับเบี้ยปรับรายวันด้วยนั้น เป็นปัญหาโต้แย้งดุลพินิจของศาล เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1ในส่วนขอเรียกเบี้ยปรับเพิ่มเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง และมีทุนทรัพย์ไม่เกิน200,000 บาท ไม่มีผู้พิพากษาหรือ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รับรองหรืออนุญาตให้ฎีกาได้คดีจึง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก สำหรับฎีกาในเรื่องเขตอำนาจศาลและคำขอ เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้น เห็นว่าจำเลยเอง ก็ยื่นคำฟ้องแย้งต่อศาลแพ่งเท่ากับจำเลยยอมรับแล้วว่า ศาลแพ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีฎีกาของจำเลยในส่วนนี้ แม้จะเป็นข้อกฎหมาย แต่เห็นว่าไม่เป็นสาระแก่คดีที่ควรได้ รับวินิจฉัยจากศาลฎีกา จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1ทั้งหมด
จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่าศาลแพ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่ ควรเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมฟ้องแย้งหรือไม่ และจำเลยที่ 1 จะได้รับเบี้ยปรับรายวันอีกหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 93 แผ่นที่ 2-3)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน25,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินนั้นนับแต่ วันฟ้อง (24 มิถุนายน 2531) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ส่งสัญญาค้ำประกันของ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาบางแค ลงวันที่ 1 มิถุนายน 2530 คืนแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1ให้โจทก์ชำระเงินค่าประกันการปฏิบัติตามสัญญาจำนวน 15,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1 คำฟ้องแย้งนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 91)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 92)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลแพ่งไม่มี อำนาจพิจารณาคดีนี้ ศาลควรเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมฟ้องแย้ง จำเลยที่ 1จะได้รับเบี้ยปรับรายวันด้วยเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลฎีกานั้น เห็นว่า ศาลแพ่งมีหรือไม่มีอำนาจพิจารณา พิพากษาคดีนี้นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ตามพระธรรมนูญ ศาลยุติธรรม มาตรา 14(5) บัญญัติว่า ศาลแพ่งและศาลอาญามีเขตตลอดท้องที่กรุงเทพมหานคร นอกจากท้องที่ที่อยู่ใน เขตของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ศาลแพ่งธนบุรีศาลอาญาธนบุรี และศาลจังหวัดมีนบุรีแต่บรรดาคดีที่เกิดขึ้น นอกเขตศาลแพ่งและศาลอาญานั้น จะยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งหรือ ศาลอาญาก็ได้ ทั้งนี้ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลนั้น ๆ ที่จะไม่ยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งที่ยื่นฟ้องเช่นนั้นได้ คดีนี้ศาลแพ่งใช้ดุลพินิจรับคดีไว้พิจารณาแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา อีก ส่วนปัญหาว่าศาลควรเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ฟ้องแย้งจำเลยที่ 1 จะได้รับเบี้ยปรับรายวันด้วยนั้น เป็นปัญหาโต้แย้งดุลพินิจของศาล เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาที่จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาไม่ชอบและจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ข้อไหนและเพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่มิได้ ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้ง ไม่ชอบ ด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ไม่รับฎีกา ของจำเลย
จำเลยทั้งสามเห็นว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาที่โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยชัดแจ้งชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 แล้วโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสามไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเปิดทางเป็นถนน ออกสู่ทางสาธารณประโยชน์แก่โจทก์ โดยเปิดทางในที่ดินของจำเลย ทั้งสามโฉนดเลขที่ 3949 ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินจำเลย ยาวตลอดแนว จากด้านทิศใต้จดถนนสาธารณประโยชน์ไปจนถึงที่ดินของโจทก์ตาม รูปแผนที่พิพาทภายในเส้นสีแดง มีความกว้าง 4 เมตร ยาว 85 เมตร คำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว(อันดับ 146)
จำเลยทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 149)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าข้อความที่จำเลยทั้งสามกล่าวอ้างในฎีกา จำเลยทั้งสามกล่าวอ้างเพียงว่าโจทก์สามารถเดินผ่านที่ดินของจำเลยและของบุคคลอื่นไปยังทางสาธารณประโยชน์ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิทำทางหรือถนนในที่ดินของจำเลยเท่านั้นฎีกาของจำเลยทั้งสามมิได้ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เป็น สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งไม่รับชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาที่จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาไม่ชอบและจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ข้อไหนและเพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่มิได้ ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้ง ไม่ชอบ ด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ไม่รับฎีกา ของจำเลย
จำเลยทั้งสามเห็นว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาที่โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยชัดแจ้งชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 แล้วโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสามไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเปิดทางเป็นถนน ออกสู่ทางสาธารณประโยชน์แก่โจทก์ โดยเปิดทางในที่ดินของจำเลย ทั้งสามโฉนดเลขที่ 3949 ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินจำเลย ยาวตลอดแนว จากด้านทิศใต้จดถนนสาธารณประโยชน์ไปจนถึงที่ดินของโจทก์ตาม รูปแผนที่พิพาทภายในเส้นสีแดง มีความกว้าง 4 เมตร ยาว 85 เมตร คำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว(อันดับ 146)
จำเลยทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 149)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าข้อความที่จำเลยทั้งสามกล่าวอ้างในฎีกา จำเลยทั้งสามกล่าวอ้างเพียงว่าโจทก์สามารถเดินผ่านที่ดินของจำเลยและของบุคคลอื่นไปยังทางสาธารณประโยชน์ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิทำทางหรือถนนในที่ดินของจำเลยเท่านั้นฎีกาของจำเลยทั้งสามมิได้ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เป็น สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งไม่รับชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกาผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ ไม่มีเหตุอันควรฎีกา ในข้อเท็จจริงต่อไป จึงไม่รับรองให้ฎีกา ยกคำร้อง ศาลชั้นต้น จึงมีคำสั่งว่าทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า พยานหลักฐานและข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์ยกขึ้นเป็นเหตุผลในฎีกามีน้ำหนักเพียงพอที่โจทก์จะชนะคดี และฎีกาโจทก์มีเหตุผลสมควรที่จะได้รับการพิจารณาจากศาลฎีกาจึงขอ อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งที่ไม่รับฎีกาและคำสั่งที่ไม่รับรองว่ามีเหตุสมควรจะฎีกาได้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขใหม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์เพื่อแย่งการครอบครองและโค่นต้นยางพารา ขอให้ขับไล่ จำเลย กับบริวารออกจากที่ดินโจทก์โดยห้ามจำเลยกับบริวารเกี่ยวข้อง ในที่ดินและชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา และยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกา ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า ฎีกาของโจทก์ไม่มีเหตุอันสมควรฎีกาในข้อเท็จจริงต่อไปจึงไม่รับรองให้ฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 113,114)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาเกินกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ที่แก้ไขใหม่ประกอบมาตรา 247 รวมสำนวนส่งศาลฎีกาเพื่อสั่ง (อันดับ 117)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าโจทก์อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ของศาลชั้นต้นซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์คนละวันกับที่โจทก์ยื่นฎีกาโจทก์ทราบคำสั่งไม่รับฎีกาเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2537 และยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาในวันที่ 16 มีนาคม 2537 จึงยังไม่พ้นกำหนด15 วัน โจทก์ยื่นคำร้องได้ แต่เห็นว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทและโจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2536 อันเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 ใช้บังคับแล้ว จึงต้องบังคับตามกฎหมายใหม่ในขณะที่ โจทก์ยื่นฎีกาซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่นี้บัญญัติว่า "ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง เว้นแต่ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดี ได้รับรองไว้หรือรับรองในเวลาตรวจฎีกาว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้" เมื่อฎีกาของโจทก์เป็น ฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวการรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงเป็นอำนาจเฉพาะตัว เมื่อผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นไม่รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้ โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกาผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ ไม่มีเหตุอันควรฎีกา ในข้อเท็จจริงต่อไป จึงไม่รับรองให้ฎีกา ยกคำร้อง ศาลชั้นต้น จึงมีคำสั่งว่าทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า พยานหลักฐานและข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์ยกขึ้นเป็นเหตุผลในฎีกามีน้ำหนักเพียงพอที่โจทก์จะชนะคดี และฎีกาโจทก์มีเหตุผลสมควรที่จะได้รับการพิจารณาจากศาลฎีกาจึงขอ อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งที่ไม่รับฎีกาและคำสั่งที่ไม่รับรองว่ามีเหตุสมควรจะฎีกาได้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขใหม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์เพื่อแย่งการครอบครองและโค่นต้นยางพารา ขอให้ขับไล่ จำเลย กับบริวารออกจากที่ดินโจทก์โดยห้ามจำเลยกับบริวารเกี่ยวข้อง ในที่ดินและชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา และยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกา ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า ฎีกาของโจทก์ไม่มีเหตุอันสมควรฎีกาในข้อเท็จจริงต่อไปจึงไม่รับรองให้ฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 113,114)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาเกินกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ที่แก้ไขใหม่ประกอบมาตรา 247 รวมสำนวนส่งศาลฎีกาเพื่อสั่ง (อันดับ 117)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าโจทก์อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ของศาลชั้นต้นซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์คนละวันกับที่โจทก์ยื่นฎีกาโจทก์ทราบคำสั่งไม่รับฎีกาเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2537 และยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาในวันที่ 16 มีนาคม 2537 จึงยังไม่พ้นกำหนด15 วัน โจทก์ยื่นคำร้องได้ แต่เห็นว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทและโจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2536 อันเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 ใช้บังคับแล้ว จึงต้องบังคับตามกฎหมายใหม่ในขณะที่ โจทก์ยื่นฎีกาซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่นี้บัญญัติว่า "ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง เว้นแต่ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดี ได้รับรองไว้หรือรับรองในเวลาตรวจฎีกาว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้" เมื่อฎีกาของโจทก์เป็น ฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวการรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงเป็นอำนาจเฉพาะตัว เมื่อผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นไม่รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้ โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 3 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยที่ 1 ที่ 3 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 3 กระทำความผิดในขณะ ที่มีอายุ 15 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก จำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 เดือน และลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 15 วัน ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 เคยรับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแทน ยกฟ้องจำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 113)
จำเลยที่ 1 ที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 115)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 1 เดือน และลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 15 วันเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนยกฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน การที่จำเลยที่ 1และที่ 3 ฎีกาโต้แย้งเกี่ยวกับดุลพินิจของศาลว่า พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้จำเลยที่ 1และที่ 3 กระทำไปโดยเชื่อว่าเป็นที่ดินของนายคำบาง อินทร์คง และสมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 3 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยที่ 1 ที่ 3 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 3 กระทำความผิดในขณะ ที่มีอายุ 15 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก จำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 เดือน และลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 15 วัน ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 เคยรับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแทน ยกฟ้องจำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 113)
จำเลยที่ 1 ที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 115)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 1 เดือน และลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 15 วันเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนยกฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน การที่จำเลยที่ 1และที่ 3 ฎีกาโต้แย้งเกี่ยวกับดุลพินิจของศาลว่า พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้จำเลยที่ 1และที่ 3 กระทำไปโดยเชื่อว่าเป็นที่ดินของนายคำบาง อินทร์คง และสมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่าง คนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วไม่เชื่อว่าโจทก์เป็นคนยากจนจริง จึงมีคำสั่งยกคำร้อง
โจทก์เห็นว่า โจทก์มีฐานะทางการเงินไม่ดีค่อนข้างยากจน ประกอบกับบุตรทุกคนของโจทก์ต่างแยกย้ายไปรับผิดชอบครอบครัว ของตนหมดแล้ว โจทก์เป็นหญิงไม่มีสามีทำมาหาเลี้ยงชีพไป เพียงวัน ๆ และมีอายุมากแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติ ว่าโจทก์มีฐานะยากจน โปรดมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลชั้นต้น อนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นฎีกาด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 121)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโฉนดที่ดินเลขที่ 1472ตำบลในเมือง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้มีชื่อไม่มีกรรมสิทธิ์จำเลยถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกในที่พิพาท และโจทก์มีสิทธิรับมรดกแทนที่นางสมบุญครึ่งหนึ่งเนื้อที่ 167 ตารางวา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 102,101 แผ่นที่ 4,117)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 119)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามทางไต่สวนยังไม่พอฟังว่าโจทก์เป็น คนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล ให้ยกคำร้อง หากโจทก์ประสงค์ที่จะดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาล มาชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง
ความว่า โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่าง คนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วไม่เชื่อว่าโจทก์เป็นคนยากจนจริง จึงมีคำสั่งยกคำร้อง
โจทก์เห็นว่า โจทก์มีฐานะทางการเงินไม่ดีค่อนข้างยากจน ประกอบกับบุตรทุกคนของโจทก์ต่างแยกย้ายไปรับผิดชอบครอบครัว ของตนหมดแล้ว โจทก์เป็นหญิงไม่มีสามีทำมาหาเลี้ยงชีพไป เพียงวัน ๆ และมีอายุมากแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติ ว่าโจทก์มีฐานะยากจน โปรดมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลชั้นต้น อนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นฎีกาด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 121)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโฉนดที่ดินเลขที่ 1472ตำบลในเมือง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้มีชื่อไม่มีกรรมสิทธิ์จำเลยถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกในที่พิพาท และโจทก์มีสิทธิรับมรดกแทนที่นางสมบุญครึ่งหนึ่งเนื้อที่ 167 ตารางวา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 102,101 แผ่นที่ 4,117)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 119)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามทางไต่สวนยังไม่พอฟังว่าโจทก์เป็น คนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล ให้ยกคำร้อง หากโจทก์ประสงค์ที่จะดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาล มาชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดี อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องอนาถาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 2ไม่ยากจน จึงมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ตามทางไต่สวนรับฟังได้แล้วว่าจำเลยที่ 2เป็นคนยากจน โปรดอนุญาตให้จำเลยที่ 2 ฎีกาอย่างคนอนาถาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 123 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 53727 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 53731 เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2ตำบลไทรน้อยอำเภอไทรน้อย (บางบัวทอง)จังหวัดนนทบุรี คืนแก่จำเลยที่ 1แล้วให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 53727 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 53731เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ตำบลไทรน้อยอำเภอไทรน้อย(บางบัวทอง) จังหวัดนนทบุรี ให้แก่โจทก์ทั้งสอง ถ้าหากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าซื้อที่ดินจำนวน 200,000 บาทแก่จำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายโจทก์จำนวน 10,000 บาทด้วย ถ้าหากจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองได้ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวน 600,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4 ส่วนคำขอให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบโฉนดที่ดินนั้นโจทก์ต้องว่ากล่าว ชั้นบังคับคดี ให้ยกคำขอส่วนนี้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าว(อันดับ 110,118,119)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 120)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามทางไต่สวนข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนยากจนถึงกับไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถานั้นชอบแล้วให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 2 หากจำเลยที่ 2 ยังติดใจฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน กำหนด 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดี อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องอนาถาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 2ไม่ยากจน จึงมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ตามทางไต่สวนรับฟังได้แล้วว่าจำเลยที่ 2เป็นคนยากจน โปรดอนุญาตให้จำเลยที่ 2 ฎีกาอย่างคนอนาถาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 123 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 53727 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 53731 เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2ตำบลไทรน้อยอำเภอไทรน้อย (บางบัวทอง)จังหวัดนนทบุรี คืนแก่จำเลยที่ 1แล้วให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 53727 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 53731เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ตำบลไทรน้อยอำเภอไทรน้อย(บางบัวทอง) จังหวัดนนทบุรี ให้แก่โจทก์ทั้งสอง ถ้าหากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าซื้อที่ดินจำนวน 200,000 บาทแก่จำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายโจทก์จำนวน 10,000 บาทด้วย ถ้าหากจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองได้ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวน 600,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4 ส่วนคำขอให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบโฉนดที่ดินนั้นโจทก์ต้องว่ากล่าว ชั้นบังคับคดี ให้ยกคำขอส่วนนี้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าว(อันดับ 110,118,119)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 120)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามทางไต่สวนข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนยากจนถึงกับไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถานั้นชอบแล้วให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 2 หากจำเลยที่ 2 ยังติดใจฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน กำหนด 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยขอขยายระยะเวลาฎีกา 2 ครั้ง ครั้งแรกศาลอนุญาตให้ 30 วันครั้งที่ 2 อีก 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดฎีกาในแต่ละครั้งซึ่งครบกำหนด ยื่นฎีกาในวันที่ 13 ธันวาคม 2536 จำเลยมายื่นฎีกาในวันนี้ (14 ธันวาคม 2536)จึงเป็นการยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกา แล้ว ไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า การที่จำเลยยื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนดเป็น ความพลั้งเผลอที่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ศาลมา และน่าจะเป็น ความเข้าใจผิดของเจ้าหน้าที่ศาลแพ่งที่ดูคำสั่งของครั้งแรก เป็นครั้งที่ 2 ก็เป็นได้ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฎว่า ศาลชั้นต้น อนุญาตให้ขยายระยะเวลาในครั้งแรก30 วัน จำเลยขอเรียนว่า 30 วัน ก็มีความหมายเท่ากับ1 เดือนดังนั้นวันครบกำหนดยื่น ฎีกาครั้งแรกที่ขอขยายไว้จึงต้องตรงกับวันที่ 29 พฤศจิกายน 2536 เพราะถ้านับ 30 วันแม้จะไปตรงกับวันที่ 28 พฤศจิกายน 2536 แต่วันที่ 28 เป็นวันอาทิตย์ ไม่อาจยื่นได้อยู่แล้ว จึงต้องยื่นในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2536 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2536 อันเป็นวันครบกำหนด ฉะนั้น ที่จำเลยขอขยายระยะเวลาในครั้งที่ 2 ออกไปอีก โดยศาลชั้นต้นสั่งว่าให้อีก 15 วัน นับแต่วันครบกำหนด วันครบกำหนดคือวันที่ 29 พฤศจิกายน 2536 จึงต้องนับในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 30 พฤศจิกายน 2536 เป็นวันแรก ขยายให้ 15 วัน วันสุดท้าย จึงต้องเป็นวันที่ 14 ธันวาคม 2536 ซึ่งจำเลยมายื่นฎีกาใน วันที่ 14 ธันวาคม 2536 ก็ไม่ถือว่าพ้นกำหนดระยะเวลาตามที่ขอไว้ในครั้งที่ 2 คำว่า 30 วัน มีความหมายเท่ากับ 1 เดือนน่าจะใช้กฎหมายให้เหมือนกันดังเช่นคดีอาญา ขอศาลฎีกาได้โปรด วินิจฉัยข้อกฎหมายในข้อนี้ในที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา เพื่อให้ เป็นแนวบรรทัดฐานต่อไปว่า คำว่า 30 วันมีความหมายเท่ากับ 1 เดือน จะได้ไม่เป็นที่ลักลั่นต่อกันอีกต่อไป โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หากศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยมิได้จงใจในการไม่ยื่นฎีกาก็ขอศาลได้โปรดสั่งศาลชั้นต้น ไต่สวนเสียก่อน แล้วสั่งใหม่โดยให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกานั้นเสีย
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 184)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 77,797,750.38 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน69,345,218.49 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่31 มีนาคม 2531) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ ยึดที่ดินโฉนด 82,83,86,3015,6248-6249,7499,16220,21955-21961,21979-22003,23429-23453,23458-23502,23505-23506,23509-23538,23546-23548,23550-23551,23554-23583ตำบลวัดเกษ อำเภอเมืองเชียงใหม่จังหวัดเชียงใหม่พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ หากได้ เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาด ชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน57,849,337.30 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 46,992,338.90 บาท นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2529 จนถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2529 โดยวิธีทบต้นและโดยวิธีไม่ทบต้น นับแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 10,856,998.40 บาท นับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2528จนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2528 โดยวิธีทบต้นและโดยวิธีไม่ทบต้น นับแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะ ชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 180)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 181)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลายื่นฎีกาครั้งที่ 2 ออกไปอีก 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดระยะเวลา ขยายครั้งที่ 1ระยะเวลายื่นฎีกาครั้งที่ 2 นี้จึงต้องเริ่ม นับถัดจากวันครบกำหนดระยะเวลาขยายครั้งที่ 1ติดต่อกันไป จะอ้างว่าวันที่ครบกำหนดระยะเวลาขยายครั้งที่ 1 เป็นวันหยุด ราชการ ต้องนับวันที่เริ่มทำงานใหม่ไม่ได้เพราะมิใช่เป็น วันยื่นฎีกา ดังนั้น เมื่อวันที่ครบกำหนดระยะเวลาขยายครั้งที่ 1 เป็นวันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2536 ระยะเวลาขยายจึงต้อง เริ่มนับแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2536 เป็นต้นไปอีก 15 วันซึ่งครบในวันที่ 13 ธันวาคม 2536 จำเลยยื่นฎีกาวันที่14 ธันวาคม 2536จึงเป็นการยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่น ฎีกาแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยขอขยายระยะเวลาฎีกา 2 ครั้ง ครั้งแรกศาลอนุญาตให้ 30 วันครั้งที่ 2 อีก 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดฎีกาในแต่ละครั้งซึ่งครบกำหนด ยื่นฎีกาในวันที่ 13 ธันวาคม 2536 จำเลยมายื่นฎีกาในวันนี้ (14 ธันวาคม 2536)จึงเป็นการยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกา แล้ว ไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า การที่จำเลยยื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนดเป็น ความพลั้งเผลอที่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ศาลมา และน่าจะเป็น ความเข้าใจผิดของเจ้าหน้าที่ศาลแพ่งที่ดูคำสั่งของครั้งแรก เป็นครั้งที่ 2 ก็เป็นได้ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฎว่า ศาลชั้นต้น อนุญาตให้ขยายระยะเวลาในครั้งแรก30 วัน จำเลยขอเรียนว่า 30 วัน ก็มีความหมายเท่ากับ1 เดือนดังนั้นวันครบกำหนดยื่น ฎีกาครั้งแรกที่ขอขยายไว้จึงต้องตรงกับวันที่ 29 พฤศจิกายน 2536 เพราะถ้านับ 30 วันแม้จะไปตรงกับวันที่ 28 พฤศจิกายน 2536 แต่วันที่ 28 เป็นวันอาทิตย์ ไม่อาจยื่นได้อยู่แล้ว จึงต้องยื่นในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2536 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2536 อันเป็นวันครบกำหนด ฉะนั้น ที่จำเลยขอขยายระยะเวลาในครั้งที่ 2 ออกไปอีก โดยศาลชั้นต้นสั่งว่าให้อีก 15 วัน นับแต่วันครบกำหนด วันครบกำหนดคือวันที่ 29 พฤศจิกายน 2536 จึงต้องนับในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 30 พฤศจิกายน 2536 เป็นวันแรก ขยายให้ 15 วัน วันสุดท้าย จึงต้องเป็นวันที่ 14 ธันวาคม 2536 ซึ่งจำเลยมายื่นฎีกาใน วันที่ 14 ธันวาคม 2536 ก็ไม่ถือว่าพ้นกำหนดระยะเวลาตามที่ขอไว้ในครั้งที่ 2 คำว่า 30 วัน มีความหมายเท่ากับ 1 เดือนน่าจะใช้กฎหมายให้เหมือนกันดังเช่นคดีอาญา ขอศาลฎีกาได้โปรด วินิจฉัยข้อกฎหมายในข้อนี้ในที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา เพื่อให้ เป็นแนวบรรทัดฐานต่อไปว่า คำว่า 30 วันมีความหมายเท่ากับ 1 เดือน จะได้ไม่เป็นที่ลักลั่นต่อกันอีกต่อไป โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หากศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยมิได้จงใจในการไม่ยื่นฎีกาก็ขอศาลได้โปรดสั่งศาลชั้นต้น ไต่สวนเสียก่อน แล้วสั่งใหม่โดยให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกานั้นเสีย
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 184)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 77,797,750.38 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน69,345,218.49 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่31 มีนาคม 2531) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ ยึดที่ดินโฉนด 82,83,86,3015,6248-6249,7499,16220,21955-21961,21979-22003,23429-23453,23458-23502,23505-23506,23509-23538,23546-23548,23550-23551,23554-23583ตำบลวัดเกษ อำเภอเมืองเชียงใหม่จังหวัดเชียงใหม่พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ หากได้ เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาด ชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน57,849,337.30 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 46,992,338.90 บาท นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2529 จนถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2529 โดยวิธีทบต้นและโดยวิธีไม่ทบต้น นับแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 10,856,998.40 บาท นับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2528จนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2528 โดยวิธีทบต้นและโดยวิธีไม่ทบต้น นับแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะ ชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 180)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 181)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลายื่นฎีกาครั้งที่ 2 ออกไปอีก 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดระยะเวลา ขยายครั้งที่ 1ระยะเวลายื่นฎีกาครั้งที่ 2 นี้จึงต้องเริ่ม นับถัดจากวันครบกำหนดระยะเวลาขยายครั้งที่ 1ติดต่อกันไป จะอ้างว่าวันที่ครบกำหนดระยะเวลาขยายครั้งที่ 1 เป็นวันหยุด ราชการ ต้องนับวันที่เริ่มทำงานใหม่ไม่ได้เพราะมิใช่เป็น วันยื่นฎีกา ดังนั้น เมื่อวันที่ครบกำหนดระยะเวลาขยายครั้งที่ 1 เป็นวันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2536 ระยะเวลาขยายจึงต้อง เริ่มนับแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2536 เป็นต้นไปอีก 15 วันซึ่งครบในวันที่ 13 ธันวาคม 2536 จำเลยยื่นฎีกาวันที่14 ธันวาคม 2536จึงเป็นการยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่น ฎีกาแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านศาลชั้นต้นจึงสั่งใหม่เป็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ที่แก้ไขใหม่ การที่ศาลสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2จึงเป็นการสั่งโดยผิดหลง จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งรับฎีกาจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 และสั่งใหม่เป็นไม่รับฎีกาจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ผลของการที่โจทก์ขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลมีแต่เพียงให้สัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆะเท่านั้นจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็น ราคาเงินได้ จำเลยที่ 2 จึงยื่นฎีกาได้ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณา พิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 816 เลขที่ดิน 36 ตำบลกลัดหลวง อำเภอท่ายางจังหวัดเพชรบุรีลงวันที่ 8 ธันวาคม 2532ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 81,88)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 92)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1480 โดยโจทก์มิได้มีคำขอเกี่ยวกับทรัพย์สินตามสัญญา นั้นมาเป็นของโจทก์แต่อย่างใด จึงเป็นคดีที่พิพาทกันด้วย นิติกรรมที่ทำขึ้น อันเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณราคาเป็นเงินได้ไม่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านศาลชั้นต้นจึงสั่งใหม่เป็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ที่แก้ไขใหม่ การที่ศาลสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2จึงเป็นการสั่งโดยผิดหลง จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งรับฎีกาจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 และสั่งใหม่เป็นไม่รับฎีกาจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ผลของการที่โจทก์ขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลมีแต่เพียงให้สัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆะเท่านั้นจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็น ราคาเงินได้ จำเลยที่ 2 จึงยื่นฎีกาได้ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณา พิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 816 เลขที่ดิน 36 ตำบลกลัดหลวง อำเภอท่ายางจังหวัดเพชรบุรีลงวันที่ 8 ธันวาคม 2532ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 81,88)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 92)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1480 โดยโจทก์มิได้มีคำขอเกี่ยวกับทรัพย์สินตามสัญญา นั้นมาเป็นของโจทก์แต่อย่างใด จึงเป็นคดีที่พิพาทกันด้วย นิติกรรมที่ทำขึ้น อันเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณราคาเป็นเงินได้ไม่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาในปัญหา ข้อกฎหมายเกี่ยวกับเงินค่าปรับ จำเลยสามารถขอรับคืนไปจาก ศาลโดยศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่จำต้องมีคำสั่ง ส่วนฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง เป็นฎีกาที่ต้องห้าม จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ แต่มิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คืนค่าปรับแก่จำเลย ก็เท่ากับว่าจำเลยยังคงมีความผิดอยู่ จึงขอศาลฎีกาได้โปรดมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวของจำเลยไว้พิจารณา พิพากษาหรือมีคำสั่งให้คืนค่าปรับแก่จำเลยต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 75)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21,65 ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9,108 ทวิ วรรคสอง ลงโทษฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้ รับอนุญาต ปรับ 5,000 บาท กระทงหนึ่งและฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครองที่ดินของรัฐโดยไม่มีสิทธิครอบครองและไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 3 เดือน ปรับ 5,000 บาท อีกกระทงหนึ่งรวม 2 กระทง จำคุก 3 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 1 ปี ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับความผิดฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากที่แก้ให้ เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 70)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 75)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าแม้ฎีกาของจำเลยเกี่ยวกับค่าปรับฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ต้องห้ามฎีกาก็ตามแต่ค่าปรับนี้เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกฟ้องแล้วหาจำต้องสั่งให้คืนค่าปรับไว้ในคำพิพากษาไม่ เพราะแม้ไม่ได้สั่งให้คืนไว้จำเลยก็ขอรับคืนได้อยู่แล้วฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาในปัญหา ข้อกฎหมายเกี่ยวกับเงินค่าปรับ จำเลยสามารถขอรับคืนไปจาก ศาลโดยศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่จำต้องมีคำสั่ง ส่วนฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง เป็นฎีกาที่ต้องห้าม จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ แต่มิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คืนค่าปรับแก่จำเลย ก็เท่ากับว่าจำเลยยังคงมีความผิดอยู่ จึงขอศาลฎีกาได้โปรดมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวของจำเลยไว้พิจารณา พิพากษาหรือมีคำสั่งให้คืนค่าปรับแก่จำเลยต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 75)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21,65 ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9,108 ทวิ วรรคสอง ลงโทษฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้ รับอนุญาต ปรับ 5,000 บาท กระทงหนึ่งและฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครองที่ดินของรัฐโดยไม่มีสิทธิครอบครองและไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 3 เดือน ปรับ 5,000 บาท อีกกระทงหนึ่งรวม 2 กระทง จำคุก 3 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 1 ปี ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับความผิดฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากที่แก้ให้ เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 70)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 75)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าแม้ฎีกาของจำเลยเกี่ยวกับค่าปรับฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ต้องห้ามฎีกาก็ตามแต่ค่าปรับนี้เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกฟ้องแล้วหาจำต้องสั่งให้คืนค่าปรับไว้ในคำพิพากษาไม่ เพราะแม้ไม่ได้สั่งให้คืนไว้จำเลยก็ขอรับคืนได้อยู่แล้วฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของผู้ร้อง ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบอย่างไร หรือเพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่รับฎีกา
ผู้ร้องเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ว่าที่ดินไม่ใช่ทรัพย์มรดก คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบนั้นเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แล้ว โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าผู้คัดค้านได้รับสำเนา คำร้องแล้วหรือไม่
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกนายมกซุ่นบวบหรือบวบซุ่น ผู้ตาย ต่อมาผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกศาลชั้นต้นมีคำสั่งถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 102)
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 103)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โดยไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ขอให้วินิจฉัยว่าที่ดินเป็นของผู้ร้องมิใช่ทรัพย์มรดก การที่ผู้ร้องฎีกาอ้างเหตุอย่างเดียวกันกับในชั้นอุทธรณ์ โดยไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ต้องห้ามแต่อย่างใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของผู้ร้องจึงชอบแล้วให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้อง
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของผู้ร้อง ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบอย่างไร หรือเพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่รับฎีกา
ผู้ร้องเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ว่าที่ดินไม่ใช่ทรัพย์มรดก คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบนั้นเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แล้ว โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าผู้คัดค้านได้รับสำเนา คำร้องแล้วหรือไม่
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกนายมกซุ่นบวบหรือบวบซุ่น ผู้ตาย ต่อมาผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกศาลชั้นต้นมีคำสั่งถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 102)
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 103)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โดยไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ขอให้วินิจฉัยว่าที่ดินเป็นของผู้ร้องมิใช่ทรัพย์มรดก การที่ผู้ร้องฎีกาอ้างเหตุอย่างเดียวกันกับในชั้นอุทธรณ์ โดยไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ต้องห้ามแต่อย่างใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของผู้ร้องจึงชอบแล้วให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้อง
ความว่า โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 9 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของ ศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ไม่รับฎีกาของโจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมทั้งสองเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกแล้วต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาให้รอการลงโทษไว้หรือในกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกแล้วต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำคุกโดยไม่รอนั้น ถือว่ามิใช่การแก้ไขเพียงเล็กน้อย จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสองไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 87)
ระหว่างพิจารณา นายนิตย์ศรีสว่าง และนางวันเพ็ญ ศรีสว่างผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต โดยให้เรียกนายนิตย์ศรีสว่าง เป็นโจทก์ร่วมที่ 1 นางวันเพ็ญ ศรีสว่าง เป็นโจทก์ร่วมที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ประกอบมาตรา 364 ให้จำคุก 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 9 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำเลยไว้ มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 84)
โจทก์ร่วมทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 85)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี แม้จะรอการลงโทษหรือไม่ก็ตามโจทก์ร่วมทั้งสองย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 9 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของ ศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ไม่รับฎีกาของโจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมทั้งสองเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกแล้วต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาให้รอการลงโทษไว้หรือในกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกแล้วต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำคุกโดยไม่รอนั้น ถือว่ามิใช่การแก้ไขเพียงเล็กน้อย จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสองไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 87)
ระหว่างพิจารณา นายนิตย์ศรีสว่าง และนางวันเพ็ญ ศรีสว่างผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต โดยให้เรียกนายนิตย์ศรีสว่าง เป็นโจทก์ร่วมที่ 1 นางวันเพ็ญ ศรีสว่าง เป็นโจทก์ร่วมที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ประกอบมาตรา 364 ให้จำคุก 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 9 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำเลยไว้ มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 84)
โจทก์ร่วมทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 85)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี แม้จะรอการลงโทษหรือไม่ก็ตามโจทก์ร่วมทั้งสองย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ราคาทรัพย์ที่พิพาทมีราคาเพียงหนึ่งแสนบาท และส่วนที่ฟ้อง ขับไล่ก็มีค่าเช่าเดือนละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยทั้งสามเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามไม่จำต้องไต่สวนเรื่องอนาถาจำเลยที่ 1 ที่ 3 ให้ยกเลิกคำสั่งในเรื่องไต่สวนอนาถาไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามเห็นว่า คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามในฐานะผู้ละเมิดออกจากอสังหาริมทรัพย์ มิใช่คดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าหรือผู้อาศัยและเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอย่างไรก็ตามฎีกาของจำเลยทั้งสามในข้อ 2.2.1 และข้อ 3 ก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ทั้งสาม โดยให้ทำการไต่สวนคำร้องอนาถาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 145)
คดีทั้งสามสำนวนนี้ โจทก์เป็นบุคคลเดียวกัน ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยเรียกจำเลยในสำนวนแรกและสำนวนถัด ๆ ไปว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามและบริวารรื้อถอนบ้าน เลขที่ 119,119/1,119/2 หมู่ 4 ตำบลบ้านสวนอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ออกจากที่พิพาท กับให้จำเลยแต่ละคนชำระค่าเสียหายให้โจทก์คนละ 200 บาทต่อเดือน นับแต่ วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนบ้านออกจากที่พิพาท ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 1
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 139)
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 143)
คำสั่ง
จำเลยที่ 1 ยกข้ออ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ขึ้นต่อสู้กรรมสิทธิ์โจทก์และฟ้องแย้งขอให้ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจึงเป็นคดีพิพาทกันในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งมีราคา 100,000 บาทตามที่คู่ความตีราคาไว้จำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2และที่ 3 นั้น โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2และที่ 3 ออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจให้เช่าได้ขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ10,000 บาท จำเลยที่ 2 และที 3 มิได้ยกข้อต่อสู้ว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่โจทก์ฟ้อง คงอ้างแต่เพียงว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์โดยการได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จึงมิใช่คดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ฎีกาของ จำเลยทั้งสามในข้อ 2.2.1 ที่ว่าการฟ้องร้องตามสัญญาเช่ากฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารคือสัญญาเช่าเป็นหนังสือมา นำสืบ การที่ศาลฟังว่ามีการเช่ากันจริงจากการฟังพยานบุคคลจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น พอปรับได้ว่า จำเลยทั้งสามยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ขึ้นฎีกาแต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามให้ออกไปจากอสังหาริมทรัพย์อ้างหลักกรรมสิทธิ์ มิได้ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามตามสัญญาเช่า และจำเลยที่ 1 ก็มิได้ฟ้องแย้งขอให้บังคับตามสัญญาเช่าจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์จะฟ้องบังคับจำเลยทั้งสามตามสัญญาเช่าได้หรือไม่และจำเลยที่ 1จะฟ้องแย้งบังคับโจทก์ตามสัญญาเช่าได้หรือไม่ การที่จำเลยทั้งสามยกปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 538 ขึ้นกล่าวอ้างเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสาม จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกฎีกาของจำเลยทั้งสามในข้อ 3 นั้น เป็นฎีกานอกประเด็นคำให้การ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพราะจำเลยทั้งสามมีสิทธิอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าของนายเหี่ยงสามีจำเลยที่ 1 นั้น เป็นเรื่องระหว่างจำเลยทั้งสามกับโจทก์ไม่กระทบกระเทือนถึงประชาชน จึงเป็นฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลชั้นต้นจึงไม่จำต้องไต่สวนคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1และที่ 3 ดังนั้นคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 และยกคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 กับมี คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสาม
ความว่า จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ราคาทรัพย์ที่พิพาทมีราคาเพียงหนึ่งแสนบาท และส่วนที่ฟ้อง ขับไล่ก็มีค่าเช่าเดือนละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยทั้งสามเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามไม่จำต้องไต่สวนเรื่องอนาถาจำเลยที่ 1 ที่ 3 ให้ยกเลิกคำสั่งในเรื่องไต่สวนอนาถาไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามเห็นว่า คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามในฐานะผู้ละเมิดออกจากอสังหาริมทรัพย์ มิใช่คดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าหรือผู้อาศัยและเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอย่างไรก็ตามฎีกาของจำเลยทั้งสามในข้อ 2.2.1 และข้อ 3 ก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ทั้งสาม โดยให้ทำการไต่สวนคำร้องอนาถาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 145)
คดีทั้งสามสำนวนนี้ โจทก์เป็นบุคคลเดียวกัน ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยเรียกจำเลยในสำนวนแรกและสำนวนถัด ๆ ไปว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามและบริวารรื้อถอนบ้าน เลขที่ 119,119/1,119/2 หมู่ 4 ตำบลบ้านสวนอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ออกจากที่พิพาท กับให้จำเลยแต่ละคนชำระค่าเสียหายให้โจทก์คนละ 200 บาทต่อเดือน นับแต่ วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนบ้านออกจากที่พิพาท ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 1
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 139)
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 143)
คำสั่ง
จำเลยที่ 1 ยกข้ออ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ขึ้นต่อสู้กรรมสิทธิ์โจทก์และฟ้องแย้งขอให้ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจึงเป็นคดีพิพาทกันในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งมีราคา 100,000 บาทตามที่คู่ความตีราคาไว้จำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2และที่ 3 นั้น โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2และที่ 3 ออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจให้เช่าได้ขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ10,000 บาท จำเลยที่ 2 และที 3 มิได้ยกข้อต่อสู้ว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่โจทก์ฟ้อง คงอ้างแต่เพียงว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์โดยการได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จึงมิใช่คดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ฎีกาของ จำเลยทั้งสามในข้อ 2.2.1 ที่ว่าการฟ้องร้องตามสัญญาเช่ากฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารคือสัญญาเช่าเป็นหนังสือมา นำสืบ การที่ศาลฟังว่ามีการเช่ากันจริงจากการฟังพยานบุคคลจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น พอปรับได้ว่า จำเลยทั้งสามยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ขึ้นฎีกาแต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามให้ออกไปจากอสังหาริมทรัพย์อ้างหลักกรรมสิทธิ์ มิได้ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามตามสัญญาเช่า และจำเลยที่ 1 ก็มิได้ฟ้องแย้งขอให้บังคับตามสัญญาเช่าจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์จะฟ้องบังคับจำเลยทั้งสามตามสัญญาเช่าได้หรือไม่และจำเลยที่ 1จะฟ้องแย้งบังคับโจทก์ตามสัญญาเช่าได้หรือไม่ การที่จำเลยทั้งสามยกปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 538 ขึ้นกล่าวอ้างเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสาม จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกฎีกาของจำเลยทั้งสามในข้อ 3 นั้น เป็นฎีกานอกประเด็นคำให้การ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพราะจำเลยทั้งสามมีสิทธิอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าของนายเหี่ยงสามีจำเลยที่ 1 นั้น เป็นเรื่องระหว่างจำเลยทั้งสามกับโจทก์ไม่กระทบกระเทือนถึงประชาชน จึงเป็นฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลชั้นต้นจึงไม่จำต้องไต่สวนคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1และที่ 3 ดังนั้นคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 และยกคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 กับมี คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสาม
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 และ 2.3 เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ส่วนข้อ 2 เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดีต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 จำเลยฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์ เคลือบคลุมหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันควรได้รับการวินิจฉัยข้อ 2.2จำเลยฎีกาว่า คดีนี้หาใช่เป็นเรื่องฝากทรัพย์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องไม่ ข้อ 2.3 จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามมูลละเมิดแล้ว ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นจำนวน 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง(วันที่ 31 มกราคม 2532) รวมกันต้องไม่เกิน 10,000 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 97)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยไม่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาลและไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นหรือหาประกันให้ไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบมาตรา 247และมาตรา 252 จึงให้ส่งศาลฎีกาพิจารณาสั่ง (อันดับ 100)
คำสั่ง
จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234ประกอบด้วย มาตรา 247 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 และ 2.3 เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ส่วนข้อ 2 เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดีต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 จำเลยฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์ เคลือบคลุมหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันควรได้รับการวินิจฉัยข้อ 2.2จำเลยฎีกาว่า คดีนี้หาใช่เป็นเรื่องฝากทรัพย์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องไม่ ข้อ 2.3 จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามมูลละเมิดแล้ว ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นจำนวน 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง(วันที่ 31 มกราคม 2532) รวมกันต้องไม่เกิน 10,000 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 97)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยไม่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาลและไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นหรือหาประกันให้ไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบมาตรา 247และมาตรา 252 จึงให้ส่งศาลฎีกาพิจารณาสั่ง (อันดับ 100)
คำสั่ง
จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234ประกอบด้วย มาตรา 247 ก่อน จึงให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยาน หลักฐานของศาลอุทธรณ์ อันเป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาในข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 2 ปี จำเลยที่ 2มีความผิดฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357วรรคแรก จำคุก 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี 6 เดือน ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 83)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 84)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรกให้จำคุก 2 ปีลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2ฎีกาในดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานว่า ไม่สมควรนำคำเบิกความของพยานบอกเล่ากับพนักงานสอบสวนมาฟังลงโทษจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยาน หลักฐานของศาลอุทธรณ์ อันเป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาในข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 2 ปี จำเลยที่ 2มีความผิดฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357วรรคแรก จำคุก 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี 6 เดือน ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 83)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 84)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรกให้จำคุก 2 ปีลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2ฎีกาในดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานว่า ไม่สมควรนำคำเบิกความของพยานบอกเล่ากับพนักงานสอบสวนมาฟังลงโทษจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นการโต้แย้ง ดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า ฎีกาข้อ 2(1) ของโจทก์เป็นการโต้แย้ง คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อ ที่ถึงกำหนดชำระก่อนเลิกสัญญา และค่าปรับหรือค่าเสียหายที่ จำเลยไม่ส่งมอบรถคืนเมื่อสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดตามเอกสาร หมาย จ.1 ข้อ 8 วรรคแรก และวรรคท้าย ซึ่งเป็นเงินตอบแทน ที่กฎหมายกำหนดให้ใช้ตามนั้นหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่โต้แย้ง ดุลพินิจการใช้ข้อกฎหมายของศาลอุทธรณ์ที่โจทก์ยกขึ้นว่า กล่าวกันมาแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งเป็นสาระ แก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของ โจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 107 แผ่นที่ 5)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าซื้อรถยนต์แทรกเตอร์ ไปจากโจทก์ แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อจึงสิ้นสุด ต่อมา โจทก์ยึดรถแทรกเตอร์คืนได้ ทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างจำนวน 450,000 บาท และขาดประโยชน์จากการใช้รถในระหว่างผิดนัดอีก 1,800,000 บาท แต่โจทก์ขอเพียง 400,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 400,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่า จะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 มีนาคม 2533) จนกว่า จำเลยจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 105)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 106)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาโจทก์ที่ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ถึงกำหนดชำระก่อนเลิกสัญญา และค่าปรับหรือค่าเสียหายที่จำเลยไม่ส่งมอบรถคืนเมื่อสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดตามเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 8 วรรคแรกและวรรคท้ายหรือไม่นั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นการโต้แย้ง ดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า ฎีกาข้อ 2(1) ของโจทก์เป็นการโต้แย้ง คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อ ที่ถึงกำหนดชำระก่อนเลิกสัญญา และค่าปรับหรือค่าเสียหายที่ จำเลยไม่ส่งมอบรถคืนเมื่อสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดตามเอกสาร หมาย จ.1 ข้อ 8 วรรคแรก และวรรคท้าย ซึ่งเป็นเงินตอบแทน ที่กฎหมายกำหนดให้ใช้ตามนั้นหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่โต้แย้ง ดุลพินิจการใช้ข้อกฎหมายของศาลอุทธรณ์ที่โจทก์ยกขึ้นว่า กล่าวกันมาแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งเป็นสาระ แก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของ โจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 107 แผ่นที่ 5)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าซื้อรถยนต์แทรกเตอร์ ไปจากโจทก์ แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อจึงสิ้นสุด ต่อมา โจทก์ยึดรถแทรกเตอร์คืนได้ ทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างจำนวน 450,000 บาท และขาดประโยชน์จากการใช้รถในระหว่างผิดนัดอีก 1,800,000 บาท แต่โจทก์ขอเพียง 400,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 400,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่า จะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 มีนาคม 2533) จนกว่า จำเลยจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 105)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 106)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาโจทก์ที่ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ถึงกำหนดชำระก่อนเลิกสัญญา และค่าปรับหรือค่าเสียหายที่จำเลยไม่ส่งมอบรถคืนเมื่อสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดตามเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 8 วรรคแรกและวรรคท้ายหรือไม่นั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ทั้งสามแต่ละคนแยกจากกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 จำเลยคงฎีกาเฉพาะในส่วนของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ทุนทรัพย์ที่จะต้องนำมาคำนวณเป็นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา จึงต้องคิดเฉพาะในส่วนที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 และที่ 3 เท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสามคนละ 100,000 บาทรวมเป็นเงิน 300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ต่อมาจำเลยยื่นคำแถลงว่า จำเลยฎีกา เฉพาะในส่วนของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 แต่ขณะยื่นฎีกา เจ้าหน้าที่ศาลชั้นต้นคิดคำนวณให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสามยื่นฟ้องไว้เต็มจำนวน ซึ่งจำเลยไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลในส่วนที่เป็นทุนทรัพย์ของโจทก์ที่ 1 ด้วย ขอศาลฎีกาได้โปรดมีคำสั่งค่าขึ้นศาลเฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 1 แก่จำเลยด้วย
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ทั้งสามแต่ละคนแยกจากกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 จำเลยคงฎีกาเฉพาะในส่วนของโจทก์ที่ 2และที่ 3 ทุนทรัพย์ที่จะต้องนำมาคำนวณเป็นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาจึงต้องคิดเฉพาะในส่วนที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 และที่ 3เท่านั้น จึงให้ศาลชั้นต้นคืนค่าขึ้นศาลที่เรียกเก็บมาแก่จำเลย"
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ทั้งสามแต่ละคนแยกจากกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 จำเลยคงฎีกาเฉพาะในส่วนของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ทุนทรัพย์ที่จะต้องนำมาคำนวณเป็นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา จึงต้องคิดเฉพาะในส่วนที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 และที่ 3 เท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสามคนละ 100,000 บาทรวมเป็นเงิน 300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ต่อมาจำเลยยื่นคำแถลงว่า จำเลยฎีกา เฉพาะในส่วนของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 แต่ขณะยื่นฎีกา เจ้าหน้าที่ศาลชั้นต้นคิดคำนวณให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสามยื่นฟ้องไว้เต็มจำนวน ซึ่งจำเลยไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลในส่วนที่เป็นทุนทรัพย์ของโจทก์ที่ 1 ด้วย ขอศาลฎีกาได้โปรดมีคำสั่งค่าขึ้นศาลเฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 1 แก่จำเลยด้วย
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ทั้งสามแต่ละคนแยกจากกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 จำเลยคงฎีกาเฉพาะในส่วนของโจทก์ที่ 2และที่ 3 ทุนทรัพย์ที่จะต้องนำมาคำนวณเป็นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาจึงต้องคิดเฉพาะในส่วนที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 และที่ 3เท่านั้น จึงให้ศาลชั้นต้นคืนค่าขึ้นศาลที่เรียกเก็บมาแก่จำเลย"
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกาผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่ากรณีไม่มีเหตุอันสมควรที่จะรับรองให้ฎีกา และมีคำสั่งฎีกาว่าศาลมีคำสั่งไม่รับรองให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา
จำเลยเห็นว่า คดีนี้โจทก์และจำเลยได้โต้แย้งสิทธิในที่ดินไม่ใช่โต้แย้งหรือพิพาทตามราคาที่ดินที่ฟ้องจึงเป็น คดีอันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ประกอบกับฎีกาของจำเลยมีปัญหาข้อกฎหมายอันเป็น สาระแก่คดีด้วยโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทำการจดทะเบียนแบ่งแยกโอนที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 42 ตำบลนาแซง อำเภอเสลภูมิจังหวัดร้อยเอ็ดตามแผนที่พิพาทกลางเอกสารหมาย จ.5 บริเวณพื้นที่สีเขียวสีแดงและสีขาว ให้แก่โจทก์ (โดยในการแบ่งแยกที่ดินให้ถือแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.5 เป็นเกณฑ์การแบ่งแยก)หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 64)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 67)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท แม้จะเป็นคดีอันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรกที่แก้ไขใหม่ และฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกาผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่ากรณีไม่มีเหตุอันสมควรที่จะรับรองให้ฎีกา และมีคำสั่งฎีกาว่าศาลมีคำสั่งไม่รับรองให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา
จำเลยเห็นว่า คดีนี้โจทก์และจำเลยได้โต้แย้งสิทธิในที่ดินไม่ใช่โต้แย้งหรือพิพาทตามราคาที่ดินที่ฟ้องจึงเป็น คดีอันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ประกอบกับฎีกาของจำเลยมีปัญหาข้อกฎหมายอันเป็น สาระแก่คดีด้วยโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทำการจดทะเบียนแบ่งแยกโอนที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 42 ตำบลนาแซง อำเภอเสลภูมิจังหวัดร้อยเอ็ดตามแผนที่พิพาทกลางเอกสารหมาย จ.5 บริเวณพื้นที่สีเขียวสีแดงและสีขาว ให้แก่โจทก์ (โดยในการแบ่งแยกที่ดินให้ถือแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.5 เป็นเกณฑ์การแบ่งแยก)หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 64)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 67)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท แม้จะเป็นคดีอันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรกที่แก้ไขใหม่ และฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงศาลชั้นต้น สั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 จึงไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ยังไม่ขาดอายุความ ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานเบิกความเท็จนั้นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 หรือไม่ และโจทก์บรรยายฟ้องให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(1) แล้วเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น และการที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับคำฟ้องไว้ไต่สวนมูลฟ้อง เป็นการพิจารณาคดีลับหลังจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องด้วยเหตุต่างกันกับศาลชั้นต้นจึงไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความความอาญา มาตรา 220 โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177,188,341,352 และ 91
ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องแล้วเห็นว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานยักยอกขาดอายุความ ส่วนความผิดฐานเบิกความเท็จเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 โจทก์บรรยายฟ้องขาดองค์ประกอบความผิด ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 20)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 22)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532มาตรา 13 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 จึงไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ยังไม่ขาดอายุความ ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานเบิกความเท็จนั้นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 หรือไม่ และโจทก์บรรยายฟ้องให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(1) แล้วเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น และการที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับคำฟ้องไว้ไต่สวนมูลฟ้อง เป็นการพิจารณาคดีลับหลังจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องด้วยเหตุต่างกันกับศาลชั้นต้นจึงไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความความอาญา มาตรา 220 โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177,188,341,352 และ 91
ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องแล้วเห็นว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานยักยอกขาดอายุความ ส่วนความผิดฐานเบิกความเท็จเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 โจทก์บรรยายฟ้องขาดองค์ประกอบความผิด ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 20)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 22)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532มาตรา 13 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|