ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ผู้เสียหายยินยอมร่วมประเวณีด้วยความสมัครใจจึงเป็นการกระทำโดยมิได้มีเจตนาทุจริตเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคแรก จำคุก 4 ปี จำเลยเบิกความรับว่าได้กระทำชำเราผู้เสียหายจริง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ หนึ่งในสี่คงจำคุก 3 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 74)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 77)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงแล้วไม่เชื่อว่าผู้เสียหายจะยินยอมร่วมประเวณีกับจำเลย การที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายยินยอมร่วมประเวณีด้วยความสมัครใจนั้น จึงเป็นการโต้เถียงการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า ผู้เสียหายยินยอมร่วมประเวณีด้วยความสมัครใจจึงเป็นการกระทำโดยมิได้มีเจตนาทุจริตเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคแรก จำคุก 4 ปี จำเลยเบิกความรับว่าได้กระทำชำเราผู้เสียหายจริง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ หนึ่งในสี่คงจำคุก 3 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 74)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 77)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงแล้วไม่เชื่อว่าผู้เสียหายจะยินยอมร่วมประเวณีกับจำเลย การที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายยินยอมร่วมประเวณีด้วยความสมัครใจนั้น จึงเป็นการโต้เถียงการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าอุทธรณ์ของโจทก์แม้จะอ้างว่าเป็นข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับอุทธรณ์ และสั่งคำร้องว่า เนื่องจากศาลสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์แล้วจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้อีก
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า การนำสืบของโจทก์และจำเลยทั้งสี่รับฟังได้เพียงใดคำรับของจำเลยทั้งสี่และการรับฟังพยานในคดีนี้ รับฟังได้มากน้อยเพียงใด และค่าทวงถามเป็นค่าเสียหายจากมูลละเมิดหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระแก่คดี อันควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลฎีกาทั้งสิ้นขอศาลอุทธรณ์ (ที่ถูกศาลอุทธรณ์ภาค 3)ได้ส่งไปยังศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินจำนวน 150 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2535 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เนื่องจากคดีนี้มี จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 228 วรรคแรก จึงไม่รับอุทธรณ์ ต่อมาโจทก์ ยื่นคำร้องขอยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา พร้อมกับอุทธรณ์อีกฉบับหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า เนื่องจาก ศาลสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์แล้วจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้อีก(อันดับ 49,51,52)
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลฎีกามีคำสั่งว่าพิเคราะห์แล้วที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องของ โจทก์ไปโดยมิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับอุทธรณ์ฉบับที่สองของโจทก์ที่ยื่นมาพร้อมคำร้องด้วยนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิวรรคแรกให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี (อันดับ 61)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ฉบับหลังดังกล่าว (อันดับ 52)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 63)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วคดีนี้โจทก์อุทธรณ์ฉบับที่สองเมื่อวันที่16 กันยายน 2536 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2537 ตามคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ 2301/2536กรณีต้องถือว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ได้สั่งคำร้องของ โจทก์ที่ขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาซึ่งได้สั่งเมื่อวันที่16 กันยายน 2536 นั้น มีผลเป็นคำสั่งให้ยกคำร้อง ซึ่งคำสั่งนี้เป็นที่สุด และต้องถือว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ที่ได้ยื่นต่อศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิวรรคแรก การที่โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่11 กุมภาพันธ์ 2537 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวพอแปลได้ว่าเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 จึงให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาคำร้องนี้ให้จำเลยทั้งสี่แล้วส่งให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อพิจารณาสั่งต่อไป
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าอุทธรณ์ของโจทก์แม้จะอ้างว่าเป็นข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับอุทธรณ์ และสั่งคำร้องว่า เนื่องจากศาลสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์แล้วจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้อีก
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า การนำสืบของโจทก์และจำเลยทั้งสี่รับฟังได้เพียงใดคำรับของจำเลยทั้งสี่และการรับฟังพยานในคดีนี้ รับฟังได้มากน้อยเพียงใด และค่าทวงถามเป็นค่าเสียหายจากมูลละเมิดหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระแก่คดี อันควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลฎีกาทั้งสิ้นขอศาลอุทธรณ์ (ที่ถูกศาลอุทธรณ์ภาค 3)ได้ส่งไปยังศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินจำนวน 150 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2535 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เนื่องจากคดีนี้มี จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 228 วรรคแรก จึงไม่รับอุทธรณ์ ต่อมาโจทก์ ยื่นคำร้องขอยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา พร้อมกับอุทธรณ์อีกฉบับหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า เนื่องจาก ศาลสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์แล้วจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้อีก(อันดับ 49,51,52)
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลฎีกามีคำสั่งว่าพิเคราะห์แล้วที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องของ โจทก์ไปโดยมิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับอุทธรณ์ฉบับที่สองของโจทก์ที่ยื่นมาพร้อมคำร้องด้วยนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิวรรคแรกให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี (อันดับ 61)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ฉบับหลังดังกล่าว (อันดับ 52)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 63)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วคดีนี้โจทก์อุทธรณ์ฉบับที่สองเมื่อวันที่16 กันยายน 2536 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2537 ตามคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ 2301/2536กรณีต้องถือว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ได้สั่งคำร้องของ โจทก์ที่ขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาซึ่งได้สั่งเมื่อวันที่16 กันยายน 2536 นั้น มีผลเป็นคำสั่งให้ยกคำร้อง ซึ่งคำสั่งนี้เป็นที่สุด และต้องถือว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ที่ได้ยื่นต่อศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิวรรคแรก การที่โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่11 กุมภาพันธ์ 2537 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวพอแปลได้ว่าเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 จึงให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาคำร้องนี้ให้จำเลยทั้งสี่แล้วส่งให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อพิจารณาสั่งต่อไป
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดี นี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ฎีกาของจำเลยบางข้อคัดค้านการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยกำหนดโทษ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกส่วนฎีกาบางข้อที่อ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ก็ล้วนแต่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ ก.(1)1.1 ที่ว่า ศาลอุทธรณ์นำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลย ข้อ ก.(1)1.2ที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดซึ่งจำเลยได้ถูกลงโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3182/2535ข้อ ก.(1)1.3 ที่ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำ และการที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยจึงเป็นการลงโทษซ้ำในการกระทำผิดกรรมเดียว ข้อ 2 ก.2 ที่ว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาโดยมิได้ดำเนินกระบวน พิจารณาตามพระราชบัญญัติวิธีดำเนินการคุมประพฤติ และข้อ 2 ก.3 ที่ว่า คำรับสารภาพของจำเลยในคดีนี้ไม่เป็นคำรับสารภาพตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ล้วนเป็นปัญหา ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็น สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย การวินิจฉัยว่า ข้อกฎหมายใด ควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาต้องกระทำโดยความเห็นชอบ ของรองประธานศาลฎีกาซึ่งประธานศาลฎีกามอบหมาย การที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งว่าเป็นข้อกฎหมายที่ไม่ควรได้รับการวินิจฉัยนั้น เป็นการสั่งโดยไม่มีอำนาจ โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้ พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 59)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ วรรคแรก,72 วรรคสาม,72 ทวิ วรรคสอง พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498มาตรา 4,6,22,23 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครอง วางโทษจำคุก 2 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปตามทางสาธารณะ วางโทษจำคุก 2 ปี ฐานมี และ ใช้เครื่องวิทยุคมนาคม วางโทษจำคุก 2 เดือน รวมวางโทษจำคุก 4 ปี 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก จำเลย 2 ปี 1 เดือน พิเคราะห์รายงานพนักงานคุมประพฤติประกอบ สำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 2894/2535 ที่ศาลสั่งให้นำมาผูกติด กับสำนวนคดีนี้แล้ว เห็นว่าจำเลยเคยกระทำความผิดมาแล้ว หลายครั้ง รวมทั้งความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน พ.ศ. 2490 แม้ขณะคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล จำเลยยังหาเข็ดหลาบไม่ ยังกระทำความผิดในคดีนี้อีก ทั้งกระทำความผิดในบริเวณศาล แสดงให้เห็นว่าจำเลยหาได้มีความยำเกรงต่อกฎหมายไม่ โทษจำคุก ไม่เห็นสมควรรอการลงโทษให้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 55) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 59)
คำสั่ง พิเคราะห์ แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อ 1 ถึงข้อ 3 ที่ว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาที่ว่าคำรับสารภาพของจำเลยไม่เป็นคำรับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 โจทก์ไม่สืบพยานโจทก์ต้องแพ้นั้น เป็นข้อที่มิได้กล่าวกันมาในศาลล่าง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา และการที่จะวินิจฉัยว่าปัญหาข้อกฎหมายใดควรจะรับส่งขึ้นไปยังศาลฎีกาหรือไม่นั้นก็เป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 223 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดี นี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ฎีกาของจำเลยบางข้อคัดค้านการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยกำหนดโทษ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกส่วนฎีกาบางข้อที่อ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ก็ล้วนแต่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ ก.(1)1.1 ที่ว่า ศาลอุทธรณ์นำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลย ข้อ ก.(1)1.2ที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดซึ่งจำเลยได้ถูกลงโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3182/2535ข้อ ก.(1)1.3 ที่ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำ และการที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยจึงเป็นการลงโทษซ้ำในการกระทำผิดกรรมเดียว ข้อ 2 ก.2 ที่ว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาโดยมิได้ดำเนินกระบวน พิจารณาตามพระราชบัญญัติวิธีดำเนินการคุมประพฤติ และข้อ 2 ก.3 ที่ว่า คำรับสารภาพของจำเลยในคดีนี้ไม่เป็นคำรับสารภาพตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ล้วนเป็นปัญหา ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็น สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย การวินิจฉัยว่า ข้อกฎหมายใด ควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาต้องกระทำโดยความเห็นชอบ ของรองประธานศาลฎีกาซึ่งประธานศาลฎีกามอบหมาย การที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งว่าเป็นข้อกฎหมายที่ไม่ควรได้รับการวินิจฉัยนั้น เป็นการสั่งโดยไม่มีอำนาจ โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้ พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 59)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ วรรคแรก,72 วรรคสาม,72 ทวิ วรรคสอง พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498มาตรา 4,6,22,23 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครอง วางโทษจำคุก 2 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปตามทางสาธารณะ วางโทษจำคุก 2 ปี ฐานมี และ ใช้เครื่องวิทยุคมนาคม วางโทษจำคุก 2 เดือน รวมวางโทษจำคุก 4 ปี 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก จำเลย 2 ปี 1 เดือน พิเคราะห์รายงานพนักงานคุมประพฤติประกอบ สำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 2894/2535 ที่ศาลสั่งให้นำมาผูกติด กับสำนวนคดีนี้แล้ว เห็นว่าจำเลยเคยกระทำความผิดมาแล้ว หลายครั้ง รวมทั้งความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน พ.ศ. 2490 แม้ขณะคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล จำเลยยังหาเข็ดหลาบไม่ ยังกระทำความผิดในคดีนี้อีก ทั้งกระทำความผิดในบริเวณศาล แสดงให้เห็นว่าจำเลยหาได้มีความยำเกรงต่อกฎหมายไม่ โทษจำคุก ไม่เห็นสมควรรอการลงโทษให้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 55) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 59)
คำสั่ง พิเคราะห์ แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อ 1 ถึงข้อ 3 ที่ว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาที่ว่าคำรับสารภาพของจำเลยไม่เป็นคำรับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 โจทก์ไม่สืบพยานโจทก์ต้องแพ้นั้น เป็นข้อที่มิได้กล่าวกันมาในศาลล่าง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา และการที่จะวินิจฉัยว่าปัญหาข้อกฎหมายใดควรจะรับส่งขึ้นไปยังศาลฎีกาหรือไม่นั้นก็เป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 223 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา เนื่องด้วยจำเลยที่ 2 ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 400,000 บาท และบุคคลภายนอกได้มาชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ในหนี้ที่เหลืออีก 63,916.76 บาทดังนั้นเมื่อรวมเงินที่ได้จากจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้วโจทก์ได้รับครบด้วน โจทก์จึงขอถอนฎีกาขอถอนหมายบังคับคดีและขอถอนคำร้องขอให้เรียกทายาทเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 24 สิงหาคม 2536 และโปรดคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาให้โจทก์เป็นกรณีพิเศษด้วย โปรดอนุญาต
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ส่วนจำเลยที่ 2 แถลงท้ายคำร้องว่า ไม่คัดค้าน (อันดับ 206)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์268,045.23 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 18 เมษายน 2524 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์หากไม่ชำระให้เอาที่ดินโฉนดเลขที่ 378 เลขที่ 5ตำบลขันเงิน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสอง ออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ แต่จำเลยที่ 2 รับผิดไม่เกินจำนวน500,000 บาท
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกัน ชำระดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2526 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา (อันดับ 198)
ระหว่างการส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยที่ 1 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกทายาทของจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะระหว่างศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องโจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 206,232) โดยทนายโจทก์ซึ่งมีอำนาจถอนฟ้องลงชื่อในคำร้อง (อันดับ 197)
คำสั่ง
โจทก์ขอถอนฎีกาก่อนจำเลยทั้งสองยื่นคำแก้ฎีกาจึงทำเป็นคำบอกกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 175วรรคแรก ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247ไม่ต้องเสียค่าคำร้องอนุญาตให้โจทก์ถอนฎีกาได้ตามคำร้องเมื่ออนุญาต ให้โจทก์ถอนฎีกาจำเลยที่ 1 แล้ว จึงไม่จำต้องสั่งคำร้องขอถอนคำร้องให้เรียกทายาทจำเลยที่ 1 เข้าเป็นคู่ความแทนอีก ส่วนเรื่องการขอถอนการบังคับคดีเป็นหน้าที่ศาลชั้นต้นจะพิจารณาสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลให้สามในสี่
ความว่า โจทก์ฎีกา เนื่องด้วยจำเลยที่ 2 ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 400,000 บาท และบุคคลภายนอกได้มาชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ในหนี้ที่เหลืออีก 63,916.76 บาทดังนั้นเมื่อรวมเงินที่ได้จากจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้วโจทก์ได้รับครบด้วน โจทก์จึงขอถอนฎีกาขอถอนหมายบังคับคดีและขอถอนคำร้องขอให้เรียกทายาทเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 24 สิงหาคม 2536 และโปรดคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาให้โจทก์เป็นกรณีพิเศษด้วย โปรดอนุญาต
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ส่วนจำเลยที่ 2 แถลงท้ายคำร้องว่า ไม่คัดค้าน (อันดับ 206)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์268,045.23 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 18 เมษายน 2524 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์หากไม่ชำระให้เอาที่ดินโฉนดเลขที่ 378 เลขที่ 5ตำบลขันเงิน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสอง ออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ แต่จำเลยที่ 2 รับผิดไม่เกินจำนวน500,000 บาท
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกัน ชำระดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2526 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา (อันดับ 198)
ระหว่างการส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยที่ 1 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกทายาทของจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะระหว่างศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องโจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 206,232) โดยทนายโจทก์ซึ่งมีอำนาจถอนฟ้องลงชื่อในคำร้อง (อันดับ 197)
คำสั่ง
โจทก์ขอถอนฎีกาก่อนจำเลยทั้งสองยื่นคำแก้ฎีกาจึงทำเป็นคำบอกกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 175วรรคแรก ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247ไม่ต้องเสียค่าคำร้องอนุญาตให้โจทก์ถอนฎีกาได้ตามคำร้องเมื่ออนุญาต ให้โจทก์ถอนฎีกาจำเลยที่ 1 แล้ว จึงไม่จำต้องสั่งคำร้องขอถอนคำร้องให้เรียกทายาทจำเลยที่ 1 เข้าเป็นคู่ความแทนอีก ส่วนเรื่องการขอถอนการบังคับคดีเป็นหน้าที่ศาลชั้นต้นจะพิจารณาสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลให้สามในสี่
ความผิดอันยอมความไม่ได้ หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วโจทก์ไม่อาจถอนฟ้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 35 แต่คำร้องถอนฟ้องของโจทก์มีเจตนาถอนฟ้องฎีกานั่นเองศาลฎีกาย่อมอนุญาตให้โจทก์ถอนฎีกา จำหน่ายคดี
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59, 83, 91, 362, 363, 365
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365(2) จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ1,800 บาท จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362, 365 (2), 86 ลงโทษจำคุก 8 เดือน ปรับ 1,200 บาทคำให้การของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้างเห็นสมควรปรานีลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 คนละ 9 เดือนปรับคนละ 1,200 บาท และจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 เดือน10 วัน ปรับ 800 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8ไว้มีกำหนด2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อลดโทษให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 2ถึงที่ 8 คนละ 8 เดือน ปรับคนละ 1,200 บาทยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1 อีกต่อไป ขอถอนฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีอาญาซึ่งเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วโจทก์ไม่อาจถอนฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 35 แต่คดีนี้สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ยุติแล้วในศาลอุทธรณ์คงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีของจำเลยที่ 1 ตามฟ้องเท่านั้น การที่โจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1 อีกต่อไป ขอถอนฟ้อง ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีเจตนาที่จะถอนฟ้องฎีกาจำเลยที่ 1 นั่นเองจึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องฎีกาจำเลยที่ 1 ได้ จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกา
ความผิดอันยอมความไม่ได้ หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วโจทก์ไม่อาจถอนฟ้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 35 แต่คำร้องถอนฟ้องของโจทก์มีเจตนาถอนฟ้องฎีกานั่นเองศาลฎีกาย่อมอนุญาตให้โจทก์ถอนฎีกา จำหน่ายคดี
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59, 83, 91, 362, 363, 365
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365(2) จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ1,800 บาท จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362, 365 (2), 86 ลงโทษจำคุก 8 เดือน ปรับ 1,200 บาทคำให้การของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้างเห็นสมควรปรานีลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 คนละ 9 เดือนปรับคนละ 1,200 บาท และจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 เดือน10 วัน ปรับ 800 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8ไว้มีกำหนด2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อลดโทษให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 2ถึงที่ 8 คนละ 8 เดือน ปรับคนละ 1,200 บาทยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1 อีกต่อไป ขอถอนฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีอาญาซึ่งเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วโจทก์ไม่อาจถอนฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 35 แต่คดีนี้สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ยุติแล้วในศาลอุทธรณ์คงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีของจำเลยที่ 1 ตามฟ้องเท่านั้น การที่โจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1 อีกต่อไป ขอถอนฟ้อง ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีเจตนาที่จะถอนฟ้องฎีกาจำเลยที่ 1 นั่นเองจึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องฎีกาจำเลยที่ 1 ได้ จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกา
ความว่า จำเลยได้ยื่นฎีกา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2536แต่เนื่องจากฎีกาของจำเลยยังมีข้อบกพร่องอยู่ เนื่องด้วยได้พิมพ์ข้อความบางส่วนตกหล่น จึงขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาของจำเลยในหน้า 9บรรทัดที่ 7 ต่อจากคำว่า "น่าจะฟังเหตุผลข้อเท็จจริงประกอบกันด้วย"โดยขอเพิ่มเติมข้อความดังต่อไปนี้"ซึ่งศาลฎีกาก็ยังได้วางแนวฎีกาโดยวินิจฉัยว่า การแจ้งการ ครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ (สค.1)หาใช่เป็นข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าผู้แจ้งการครอบครองเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินเสมอไปไม่ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1719/2514การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีหลักฐาน สค.1 และมีการเสียภาษีบำรุงท้องที่ จึงยังไม่ถูกต้อง ซึ่งที่ดินพิพาทจำเลยเป็นผู้ครอบครองทำกินมาจริง ๆ จึงน่าที่จะฟังได้ว่าเป็นผู้มีสิทธิที่ดินพิพาทนี้ และศาลฎีกาก็ยังได้วางแนววินิจฉัยไว้แล้วตามฎีกาที่ 1295/2510 ว่าแม้ไม่ได้แจ้งการครอบครองหรือเสียภาษีบำรุงท้องที่ ก็ไม่ทำให้การครอบครองเสียไป" นอกจากที่ขอแก้ไขนี้แล้งคงเป็นไปตามฎีกาของจำเลยทุกประการโปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 167)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 159)
จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 161)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าข้อที่จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกานั้นเกี่ยวข้องกับฟ้องฎีกาเดิมและโจทก์ไม่คัดค้าน จึงอนุญาต
ความว่า จำเลยได้ยื่นฎีกา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2536แต่เนื่องจากฎีกาของจำเลยยังมีข้อบกพร่องอยู่ เนื่องด้วยได้พิมพ์ข้อความบางส่วนตกหล่น จึงขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาของจำเลยในหน้า 9บรรทัดที่ 7 ต่อจากคำว่า "น่าจะฟังเหตุผลข้อเท็จจริงประกอบกันด้วย"โดยขอเพิ่มเติมข้อความดังต่อไปนี้"ซึ่งศาลฎีกาก็ยังได้วางแนวฎีกาโดยวินิจฉัยว่า การแจ้งการ ครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ (สค.1)หาใช่เป็นข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าผู้แจ้งการครอบครองเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินเสมอไปไม่ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1719/2514การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีหลักฐาน สค.1 และมีการเสียภาษีบำรุงท้องที่ จึงยังไม่ถูกต้อง ซึ่งที่ดินพิพาทจำเลยเป็นผู้ครอบครองทำกินมาจริง ๆ จึงน่าที่จะฟังได้ว่าเป็นผู้มีสิทธิที่ดินพิพาทนี้ และศาลฎีกาก็ยังได้วางแนววินิจฉัยไว้แล้วตามฎีกาที่ 1295/2510 ว่าแม้ไม่ได้แจ้งการครอบครองหรือเสียภาษีบำรุงท้องที่ ก็ไม่ทำให้การครอบครองเสียไป" นอกจากที่ขอแก้ไขนี้แล้งคงเป็นไปตามฎีกาของจำเลยทุกประการโปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 167)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 159)
จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 161)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าข้อที่จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกานั้นเกี่ยวข้องกับฟ้องฎีกาเดิมและโจทก์ไม่คัดค้าน จึงอนุญาต
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญในคดี โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 57)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันใช้เงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศแก่โจทก์เป็นเงิน 78,095 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 21 เมษายน 2536เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จโดยจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวสำหรับจำเลยที่ 2และคำขออื่น นอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว(อันดับ 53)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 55)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าตามคำเบิกความของนางเพ็ญฤดีศรีวรรธนะ พยานจำเลยแสดงว่ามิได้มีการยกเลิกการประชุมคณะกรรมการโครงการหลักสูตรนานาชาติและจำเลยไม่ได้รับความเสียหาย เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาว่าโจทก์โทรศัพท์ไปยกเลิกการประชุมคณะกรรมการโครงการหลักสูตรนานาชาติ เป็นการจงใจทำให้นายจ้าง ได้รับความเสียหายจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า เหตุเลิกจ้างที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกขึ้นวินิจฉัยไม่ตรงกับเหตุในคำสั่งเลิกจ้างเอกสารหมาย จ.10 คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางจึงไม่ชอบนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับอุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ ไว้ดำเนินการต่อไป
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญในคดี โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 57)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันใช้เงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศแก่โจทก์เป็นเงิน 78,095 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 21 เมษายน 2536เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จโดยจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวสำหรับจำเลยที่ 2และคำขออื่น นอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว(อันดับ 53)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 55)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าตามคำเบิกความของนางเพ็ญฤดีศรีวรรธนะ พยานจำเลยแสดงว่ามิได้มีการยกเลิกการประชุมคณะกรรมการโครงการหลักสูตรนานาชาติและจำเลยไม่ได้รับความเสียหาย เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาว่าโจทก์โทรศัพท์ไปยกเลิกการประชุมคณะกรรมการโครงการหลักสูตรนานาชาติ เป็นการจงใจทำให้นายจ้าง ได้รับความเสียหายจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า เหตุเลิกจ้างที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกขึ้นวินิจฉัยไม่ตรงกับเหตุในคำสั่งเลิกจ้างเอกสารหมาย จ.10 คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางจึงไม่ชอบนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับอุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ ไว้ดำเนินการต่อไป
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าตามคำเบิกความของ พ. พยานจำเลยแสดงว่ามิได้มีการยกเลิกการประชุมคณะกรรมการโครงการหลักสูตรนานาชาติ และจำเลยไม่ได้รับความเสียหาย เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมา จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 54
ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าเหตุเลิกจ้างที่ศาลแรงงานหยิบยกขึ้นวินิจฉัยไม่ตรงกับเหตุในคำสั่งเลิกจ้างเอกสารหมาย จ.10คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางจึงไม่ชอบนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายไม่ต้องห้ามอุทธรณ์
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันใช้เงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศแก่โจทก์เป็นเงิน 78,095บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 21เมษายน 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยจำเลยที่ 1ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวสำหรับจำเลยที่ 2 และคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์
โจทก์ยื่นคำร้องว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญในคดี ขอศาลฎีกามีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "พิเคราะห์แล้วที่โจทก์อุทธรณ์ว่าตามคำเบิกความของนางเพ็ญฤดี ศรีวรรธนะ พยานจำเลย แสดงว่ามิได้มีการยกเลิกการประชุมคณะกรรมการโครงการหลักสูตรนานาชาติและจำเลยไม่ได้รับความเสียหายเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาว่าโจทก์โทรศัพท์ไปยกเลิกการประชุมคณะกรรมการโครงการหลักสูตรนานาชาติ เป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าเหตุเลิกจ้างที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกขึ้นวินิจฉัยไม่ตรงกับเหตุในคำสั่งเลิกจ้างเอกสารหมาย จ.10 คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางจึงไม่ชอบนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงไม่รับอุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป"
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าตามคำเบิกความของ พ. พยานจำเลยแสดงว่ามิได้มีการยกเลิกการประชุมคณะกรรมการโครงการหลักสูตรนานาชาติ และจำเลยไม่ได้รับความเสียหาย เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมา จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 54
ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าเหตุเลิกจ้างที่ศาลแรงงานหยิบยกขึ้นวินิจฉัยไม่ตรงกับเหตุในคำสั่งเลิกจ้างเอกสารหมาย จ.10คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางจึงไม่ชอบนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายไม่ต้องห้ามอุทธรณ์
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันใช้เงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศแก่โจทก์เป็นเงิน 78,095บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 21เมษายน 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยจำเลยที่ 1ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวสำหรับจำเลยที่ 2 และคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์
โจทก์ยื่นคำร้องว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญในคดี ขอศาลฎีกามีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า "พิเคราะห์แล้วที่โจทก์อุทธรณ์ว่าตามคำเบิกความของนางเพ็ญฤดี ศรีวรรธนะ พยานจำเลย แสดงว่ามิได้มีการยกเลิกการประชุมคณะกรรมการโครงการหลักสูตรนานาชาติและจำเลยไม่ได้รับความเสียหายเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาว่าโจทก์โทรศัพท์ไปยกเลิกการประชุมคณะกรรมการโครงการหลักสูตรนานาชาติ เป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าเหตุเลิกจ้างที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกขึ้นวินิจฉัยไม่ตรงกับเหตุในคำสั่งเลิกจ้างเอกสารหมาย จ.10 คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางจึงไม่ชอบนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงไม่รับอุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป"
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการปรับบทลงโทษของ ศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง อันเป็นการ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 ปรากฏข้อเท็จจริงอย่างเด่นชัดว่าจำเลยที่ 2 รับว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังอย่างที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย แต่ปัญหามีว่า จำเลยที่ 2จะมีความผิดตามกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาหรือไม่ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายหาใช่เป็นฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการปรับบทลงโทษของศาลอุทธรณ์แต่อย่างใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 ประกอบ 174 วรรคสอง ให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี คำขออื่นให้ยก สำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 61)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2มีเจตนากระทำความผิดหรือไม่ และหากเห็นว่าจำเลยที่ 2กระทำผิด ตามฟ้อง ก็ขอให้ลงโทษในสถานเบาโดยให้รอการลงโทษนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ของจำเลยที่ 2 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการปรับบทลงโทษของ ศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง อันเป็นการ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 ปรากฏข้อเท็จจริงอย่างเด่นชัดว่าจำเลยที่ 2 รับว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังอย่างที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย แต่ปัญหามีว่า จำเลยที่ 2จะมีความผิดตามกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาหรือไม่ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายหาใช่เป็นฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการปรับบทลงโทษของศาลอุทธรณ์แต่อย่างใด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 ประกอบ 174 วรรคสอง ให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี คำขออื่นให้ยก สำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 61)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 62)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2มีเจตนากระทำความผิดหรือไม่ และหากเห็นว่าจำเลยที่ 2กระทำผิด ตามฟ้อง ก็ขอให้ลงโทษในสถานเบาโดยให้รอการลงโทษนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ของจำเลยที่ 2 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยทั้งห้าฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ซึ่งศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับในส่วนรื้อถอนรั้วสิ่งกีดขวางและสิ่งก่อสร้างในทางภารจำยอม แล้วจำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาซึ่งศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องของ จำเลยจึงเป็นกรณีที่อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ จำเลยจะฎีกาคำสั่งนี้ไม่ได้ ไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยทั้งห้าเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 264 ระบุว่า ข้อความในหมวดนี้มิให้ถือว่าห้ามคู่ความในอันที่จะมีคำขอต่อศาล เพื่อให้มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณา หรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา คำขอเช่นว่านี้ให้บังคับตามบทบัญญัติมาตรา 21,25,227,228,260 และ 262 ตามกฎหมายดังกล่าวให้สิทธิจำเลยฎีกาได้ จำเลยจึงมีสิทธิตามกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งห้าไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 5)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางพิพาทภายใต้เส้นสีแดงตามแผนที่เอกสารหมาย จ.16 กว้าง 1.20 เมตร ยาว 9.30 เมตร อยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 32097 ตำบลบ้านช่างหล่อ อำเภอบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร ตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 4378และ 4379 ตำบลบ้านช่างหล่อ อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครของโจทก์ ให้จำเลยทั้งห้าไปจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ ให้จำเลยทั้งห้ารื้อถอนรั้ว สิ่งกีดขวางและสิ่งก่อสร้างในทางภารจำยอมออกให้หมด และทำให้ทางภารจำยอมอยู่ในสภาพเรียบร้อย
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จำเลยทั้งห้ายื่น คำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราว ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการขอให้คุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาย่อมหมายความว่า คู่ความฝ่ายหนึ่งได้กระทำการใด ๆ ที่จะทำให้คู่ความผู้ขอคุ้มครองประโยชน์ต้องเสียหายในระหว่างพิจารณาคดีหรืออาจต้องเสียหายด้วยกัน ซึ่งศาลอาจกำหนดวิธีการใด ๆ ได้ตาม สมควรเพื่อคุ้มครองประโยชน์มิให้คู่ความที่ขอต้องได้รับความ เสียหายในระหว่างพิจารณาคดี แต่กรณีนี้ไม่ได้ความว่า โจทก์ได้ กระทำการใด ๆ อันจะทำให้จำเลยทั้งห้าต้องเสียหายหรือเสื่อมเสีย ประโยชน์ในระหว่างพิจารณา การที่จำเลยทั้งห้ามีหน้าที่ต้อง ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาต ให้ทุเลาการบังคับ ไม่ใช่กรณีที่จำเลยทั้งห้าต้องเสียประโยชน์ จากการกระทำของโจทก์ คำร้องไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งห้าฎีกาขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 2)
จำเลยทั้งห้าจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 3)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าฎีกาจำเลยทั้งห้าที่ขอยังไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยทั้งห้ารื้อถอนรั้วสิ่งกีดขวางและสิ่งก่อสร้างในทางภารจำยอมไว้ก่อนนั้น ก็คือขอทุเลาการบังคับนั่นเอง หาใช่เป็นการคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264แต่อย่างใดไม่ คำสั่งของศาลในเรื่องทุเลาการบังคับเป็นอำนาจเฉพาะศาล เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องทุเลาการบังคับอย่างใดแล้ว คู่ความจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยทั้งห้าชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า จำเลยทั้งห้าฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ซึ่งศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับในส่วนรื้อถอนรั้วสิ่งกีดขวางและสิ่งก่อสร้างในทางภารจำยอม แล้วจำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาซึ่งศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องของ จำเลยจึงเป็นกรณีที่อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ จำเลยจะฎีกาคำสั่งนี้ไม่ได้ ไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยทั้งห้าเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 264 ระบุว่า ข้อความในหมวดนี้มิให้ถือว่าห้ามคู่ความในอันที่จะมีคำขอต่อศาล เพื่อให้มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณา หรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา คำขอเช่นว่านี้ให้บังคับตามบทบัญญัติมาตรา 21,25,227,228,260 และ 262 ตามกฎหมายดังกล่าวให้สิทธิจำเลยฎีกาได้ จำเลยจึงมีสิทธิตามกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งห้าไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 5)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางพิพาทภายใต้เส้นสีแดงตามแผนที่เอกสารหมาย จ.16 กว้าง 1.20 เมตร ยาว 9.30 เมตร อยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 32097 ตำบลบ้านช่างหล่อ อำเภอบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร ตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 4378และ 4379 ตำบลบ้านช่างหล่อ อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครของโจทก์ ให้จำเลยทั้งห้าไปจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ ให้จำเลยทั้งห้ารื้อถอนรั้ว สิ่งกีดขวางและสิ่งก่อสร้างในทางภารจำยอมออกให้หมด และทำให้ทางภารจำยอมอยู่ในสภาพเรียบร้อย
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จำเลยทั้งห้ายื่น คำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราว ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการขอให้คุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาย่อมหมายความว่า คู่ความฝ่ายหนึ่งได้กระทำการใด ๆ ที่จะทำให้คู่ความผู้ขอคุ้มครองประโยชน์ต้องเสียหายในระหว่างพิจารณาคดีหรืออาจต้องเสียหายด้วยกัน ซึ่งศาลอาจกำหนดวิธีการใด ๆ ได้ตาม สมควรเพื่อคุ้มครองประโยชน์มิให้คู่ความที่ขอต้องได้รับความ เสียหายในระหว่างพิจารณาคดี แต่กรณีนี้ไม่ได้ความว่า โจทก์ได้ กระทำการใด ๆ อันจะทำให้จำเลยทั้งห้าต้องเสียหายหรือเสื่อมเสีย ประโยชน์ในระหว่างพิจารณา การที่จำเลยทั้งห้ามีหน้าที่ต้อง ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาต ให้ทุเลาการบังคับ ไม่ใช่กรณีที่จำเลยทั้งห้าต้องเสียประโยชน์ จากการกระทำของโจทก์ คำร้องไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งห้าฎีกาขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 2)
จำเลยทั้งห้าจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 3)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าฎีกาจำเลยทั้งห้าที่ขอยังไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยทั้งห้ารื้อถอนรั้วสิ่งกีดขวางและสิ่งก่อสร้างในทางภารจำยอมไว้ก่อนนั้น ก็คือขอทุเลาการบังคับนั่นเอง หาใช่เป็นการคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264แต่อย่างใดไม่ คำสั่งของศาลในเรื่องทุเลาการบังคับเป็นอำนาจเฉพาะศาล เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องทุเลาการบังคับอย่างใดแล้ว คู่ความจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยทั้งห้าชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาในข้อ 2 ที่ว่าศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 แต่ศาลฟังว่าเป็นการใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 265,268 โดยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายการกระทำความผิดตามมาตรา 265 จำเลยจะต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือในการทำและปลอมแปลง ในทางพิจารณาและในสำนวนยังไม่ปรากฏว่า มีอุปกรณ์ในการกระทำความผิดดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลย เป็นผู้ปลอมเอกสารจริงหรือไม่ จึงเป็นการต้องยอมรับตาม ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 268 เท่านั้น จึงไม่ควรนำเอามาตรา 265 เรื่องปลอมเอกสารราชการมาเป็น ข้อวินิจฉัยให้เป็นผลร้ายแก่จำเลย จำเลยไม่เห็นด้วยกับโทษ ที่ศาลลงตามมาตรา 265 ซึ่งมีบทลงโทษถึงห้าปีโดยมิได้มีการ สืบพยานหลักฐานประกอบ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย เพราะเป็นการโต้เถียงบทกฎหมายที่ศาลลงโทษ โปรดมีคำสั่งให้รับ ฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 42 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,265,268,91 แต่เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ทำปลอมเอกสารนั้นเองจึงให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมตามมาตรา 268ประกอบ มาตรา 265 จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 41)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 42 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาว่าจำเลยรับสารภาพข้อหาใช้เอกสารปลอมเท่านั้น ส่วนการปลอมเอกสารโจทก์มิได้นำสืบถึงเรื่องการปลอมเอกสาร และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเครื่องมือหรือ อุปกรณ์ในการทำปลอม จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสาร และขอรอการลงโทษแก่จำเลยนั้นเห็นว่าคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ตามฟ้อง โจทก์หาจำต้องสืบพยานไม่ฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็น การโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการลงโทษ จึงเป็น ปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาในข้อ 2 ที่ว่าศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 แต่ศาลฟังว่าเป็นการใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 265,268 โดยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายการกระทำความผิดตามมาตรา 265 จำเลยจะต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือในการทำและปลอมแปลง ในทางพิจารณาและในสำนวนยังไม่ปรากฏว่า มีอุปกรณ์ในการกระทำความผิดดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลย เป็นผู้ปลอมเอกสารจริงหรือไม่ จึงเป็นการต้องยอมรับตาม ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 268 เท่านั้น จึงไม่ควรนำเอามาตรา 265 เรื่องปลอมเอกสารราชการมาเป็น ข้อวินิจฉัยให้เป็นผลร้ายแก่จำเลย จำเลยไม่เห็นด้วยกับโทษ ที่ศาลลงตามมาตรา 265 ซึ่งมีบทลงโทษถึงห้าปีโดยมิได้มีการ สืบพยานหลักฐานประกอบ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย เพราะเป็นการโต้เถียงบทกฎหมายที่ศาลลงโทษ โปรดมีคำสั่งให้รับ ฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 42 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,265,268,91 แต่เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ทำปลอมเอกสารนั้นเองจึงให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมตามมาตรา 268ประกอบ มาตรา 265 จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 41)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 42 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาว่าจำเลยรับสารภาพข้อหาใช้เอกสารปลอมเท่านั้น ส่วนการปลอมเอกสารโจทก์มิได้นำสืบถึงเรื่องการปลอมเอกสาร และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเครื่องมือหรือ อุปกรณ์ในการทำปลอม จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสาร และขอรอการลงโทษแก่จำเลยนั้นเห็นว่าคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ตามฟ้อง โจทก์หาจำต้องสืบพยานไม่ฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็น การโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการลงโทษ จึงเป็น ปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกาเฉพาะข้อ 2 ส่วนฎีกาข้อ 3 เป็นการโต้แย้งเรื่องดุลพินิจของศาลจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง คดีมีราคาทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกาข้อ 3
โจทก์เห็นว่า ฎีกาข้อ 3 เป็นกรณีพิพาทที่มีความสัมพันธ์และเกี่ยวโยงถึงฎีกาข้อ 2 ด้วย กล่าวคือ เมื่อโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษในการที่จำเลยทั้งหกได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนที่ควรคิดและคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและ เหตุอันควรถึงแม้โจทก์จะใช้ทางสาธารณประโยชน์สัญจรไปมาจาก ส่วนอื่นได้บ้างก็ตาม แต่ก็เป็นการใช้สัญจรไปมาไม่สะดวกเท่าที่ควร โดยไม่สามารถสัญจรไปมาในการเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทของโจทก์ได้เช่นปกติเหมือนก่อนมา โจทก์เห็นว่าเป็นปัญหา สำคัญและเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนราคาทรัพย์หรือทุนทรัพย์ตาม ฟ้องของโจทก์นั้นเป็นเพียงการประเมินค่าทดแทนที่โจทก์ได้รับ ความเสียหายเป็นพิเศษอันเป็นการปฏิบัติเพื่อยังความเสียหายและ ความเดือดร้อนให้สิ้นไปเท่านั้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งหกได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในข้อหาเกี่ยวกับทางสาธารณประโยชน์ เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิและได้รับความเสียหายเป็นพิเศษอย่างไรส่วนข้อหาเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ให้โจทก์แยกฟ้องเป็นคดีใหม่ภายใน 7 วัน ให้จำหน่ายคดีเมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 9)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 11)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามฎีกาโจทก์ข้อ 3 เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลที่มีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องเรื่องบุกรุกที่ดินของโจทก์เป็นคดีใหม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาข้อนี้ชอบแล้ว ยกคำร้อง ค่าธรรมเนียมที่เกินมา 160 บาทคืนให้โจทก์
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกาเฉพาะข้อ 2 ส่วนฎีกาข้อ 3 เป็นการโต้แย้งเรื่องดุลพินิจของศาลจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง คดีมีราคาทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกาข้อ 3
โจทก์เห็นว่า ฎีกาข้อ 3 เป็นกรณีพิพาทที่มีความสัมพันธ์และเกี่ยวโยงถึงฎีกาข้อ 2 ด้วย กล่าวคือ เมื่อโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษในการที่จำเลยทั้งหกได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนที่ควรคิดและคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและ เหตุอันควรถึงแม้โจทก์จะใช้ทางสาธารณประโยชน์สัญจรไปมาจาก ส่วนอื่นได้บ้างก็ตาม แต่ก็เป็นการใช้สัญจรไปมาไม่สะดวกเท่าที่ควร โดยไม่สามารถสัญจรไปมาในการเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทของโจทก์ได้เช่นปกติเหมือนก่อนมา โจทก์เห็นว่าเป็นปัญหา สำคัญและเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนราคาทรัพย์หรือทุนทรัพย์ตาม ฟ้องของโจทก์นั้นเป็นเพียงการประเมินค่าทดแทนที่โจทก์ได้รับ ความเสียหายเป็นพิเศษอันเป็นการปฏิบัติเพื่อยังความเสียหายและ ความเดือดร้อนให้สิ้นไปเท่านั้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งหกได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในข้อหาเกี่ยวกับทางสาธารณประโยชน์ เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิและได้รับความเสียหายเป็นพิเศษอย่างไรส่วนข้อหาเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ให้โจทก์แยกฟ้องเป็นคดีใหม่ภายใน 7 วัน ให้จำหน่ายคดีเมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 9)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 11)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามฎีกาโจทก์ข้อ 3 เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลที่มีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องเรื่องบุกรุกที่ดินของโจทก์เป็นคดีใหม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาข้อนี้ชอบแล้ว ยกคำร้อง ค่าธรรมเนียมที่เกินมา 160 บาทคืนให้โจทก์
ความว่า ผู้คัดค้านฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ ผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 178)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2905 ตำบลท้ายหาด(บางนางจีน)อำเภอเมืองสมุทรสงคราม(บ้านปรก) จังหวัดสมุทรสงคราม เฉพาะส่วนเนื้อที่ 114 ตารางวา ตามแผนที่ พิพาท หมาย ร.5 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ผู้คัดค้านถึงแก่กรรมนายสมัย สุขปานเจริญ บุตรของผู้คัดค้านร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้คัดค้าน ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 174,173)
ชั้นอุทธรณ์ ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้อง (อันดับ 130,142)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้ได้มาต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ดังนั้นเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุด จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกาให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า ผู้คัดค้านฎีกา มีทางชนะคดี โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ ผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 178)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2905 ตำบลท้ายหาด(บางนางจีน)อำเภอเมืองสมุทรสงคราม(บ้านปรก) จังหวัดสมุทรสงคราม เฉพาะส่วนเนื้อที่ 114 ตารางวา ตามแผนที่ พิพาท หมาย ร.5 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ผู้คัดค้านถึงแก่กรรมนายสมัย สุขปานเจริญ บุตรของผู้คัดค้านร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้คัดค้าน ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 174,173)
ชั้นอุทธรณ์ ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้อง (อันดับ 130,142)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งได้มาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้ได้มาต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ดังนั้นเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุด จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกาให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกา บัดนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ผู้ร้องซึ่งเป็นทายาทของจำเลยทั้งสองมีความประสงค์ที่จะขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1และ ที่ 2 ผู้มรณะเพื่อดำเนินคดีต่อไป โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 138 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่งอกริมตลิ่งในส่วนที่เป็นสามเหลี่ยมที่เจ้าพนักงานหมายสีเขียวไว้ในรูปแผนที่พิพาทหมาย จ.1 เนื้อที่ประมาณ 24 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนรั้วไม้ไผ่ที่ปรากฏในรูปแผนที่พิพาทหมาย จ.1 ตรงจุด 8-5-4 ออกไป ให้จำเลยทั้งสองถมบ่อและคูน้ำในที่งอกริมตลิ่งดังกล่าว ตัดต้นกล้วย ต้นมะพร้าว ที่ปลูกอยู่ในที่งอกริมตลิ่งออกไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์วันละ 100 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะได้รื้อรั้วถมบ่อ และตัดต้นกล้วย ต้นมะพร้าว คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา (อันดับ 127)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 136)
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องเสร็จแล้ว มีคำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกา (อันดับ 140)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้นายพรเทพ เมืองอู่ ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ผู้มรณะได้ตามคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกา บัดนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ผู้ร้องซึ่งเป็นทายาทของจำเลยทั้งสองมีความประสงค์ที่จะขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1และ ที่ 2 ผู้มรณะเพื่อดำเนินคดีต่อไป โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 138 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่งอกริมตลิ่งในส่วนที่เป็นสามเหลี่ยมที่เจ้าพนักงานหมายสีเขียวไว้ในรูปแผนที่พิพาทหมาย จ.1 เนื้อที่ประมาณ 24 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนรั้วไม้ไผ่ที่ปรากฏในรูปแผนที่พิพาทหมาย จ.1 ตรงจุด 8-5-4 ออกไป ให้จำเลยทั้งสองถมบ่อและคูน้ำในที่งอกริมตลิ่งดังกล่าว ตัดต้นกล้วย ต้นมะพร้าว ที่ปลูกอยู่ในที่งอกริมตลิ่งออกไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์วันละ 100 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะได้รื้อรั้วถมบ่อ และตัดต้นกล้วย ต้นมะพร้าว คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา (อันดับ 127)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 136)
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องเสร็จแล้ว มีคำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกา (อันดับ 140)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้นายพรเทพ เมืองอู่ ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ผู้มรณะได้ตามคำร้อง
ความว่า โจทก์ฎีกาและยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีล่วงเลยกำหนดเวลาที่โจทก์จะขอระบุพยานเพิ่มเติมแล้ว จึงให้ยกคำร้อง
โจทก์เห็นว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 191/2501 และข้อถามค้านของทนายโจทก์เป็นพยานหลักฐานซึ่งเกิดขึ้นใหม่เป็นประโยชน์และเป็นธรรมแก่โจทก์ ขอศาลฎีกาโปรดมีคำสั่งรับคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ด้วย โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 203)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้ห้างหุ้นส่วนเลิกจากกันและให้โจทก์จำเลยร่วมกันชำระบัญชี หากจำเลยขัดข้องให้ตั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้ชำระบัญชี ค่าธรรมเนียมในการชำระบัญชีให้ฝ่ายจำเลยออกครึ่งหนึ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาและขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกา (อันดับ 189,191)
โจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 200)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ศาลฎีกา(อันดับ 201,203)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว โจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกา ซึ่งเป็นอำนาจของศาลฎีกาที่จะพิจารณาสั่ง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าวเสียเองจึงไม่ชอบ ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวและเห็นว่าพยานที่โจทก์ขอระบุเพิ่มเติมในชั้นฎีกา ลำดับที่ 1 เป็นคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งศาลใช้เป็นข้อประกอบในการพิจารณาพิพากษาคดีอยู่แล้ว โจทก์เพียงแต่ระบุ มาในฎีกาหรือแถลงการณ์ประกอบฎีกาก็เพียงพอส่วนลำดับที่ 2 เป็นคำเบิกความของพยานในสำนวน ซึ่งศาลจะต้องตรวจและ พิเคราะห์ ชั่งน้ำหนักอยู่แล้วจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะต้องยื่นบัญชีพยาน เพิ่มเติมอีกให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า โจทก์ฎีกาและยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีล่วงเลยกำหนดเวลาที่โจทก์จะขอระบุพยานเพิ่มเติมแล้ว จึงให้ยกคำร้อง
โจทก์เห็นว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 191/2501 และข้อถามค้านของทนายโจทก์เป็นพยานหลักฐานซึ่งเกิดขึ้นใหม่เป็นประโยชน์และเป็นธรรมแก่โจทก์ ขอศาลฎีกาโปรดมีคำสั่งรับคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ด้วย โปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 203)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้ห้างหุ้นส่วนเลิกจากกันและให้โจทก์จำเลยร่วมกันชำระบัญชี หากจำเลยขัดข้องให้ตั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้ชำระบัญชี ค่าธรรมเนียมในการชำระบัญชีให้ฝ่ายจำเลยออกครึ่งหนึ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาและขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกา (อันดับ 189,191)
โจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 200)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ศาลฎีกา(อันดับ 201,203)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว โจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกา ซึ่งเป็นอำนาจของศาลฎีกาที่จะพิจารณาสั่ง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าวเสียเองจึงไม่ชอบ ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวและเห็นว่าพยานที่โจทก์ขอระบุเพิ่มเติมในชั้นฎีกา ลำดับที่ 1 เป็นคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งศาลใช้เป็นข้อประกอบในการพิจารณาพิพากษาคดีอยู่แล้ว โจทก์เพียงแต่ระบุ มาในฎีกาหรือแถลงการณ์ประกอบฎีกาก็เพียงพอส่วนลำดับที่ 2 เป็นคำเบิกความของพยานในสำนวน ซึ่งศาลจะต้องตรวจและ พิเคราะห์ ชั่งน้ำหนักอยู่แล้วจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะต้องยื่นบัญชีพยาน เพิ่มเติมอีกให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ความว่า จำเลยที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 4ฎีกามา เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกาจำเลยที่ 4
จำเลยที่ 4 เห็นว่า จำเลยที่ 4 กระทำความผิดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ประกอบกับจำเลยที่ 4 ต้องเลี้ยงดูบุตร 2 คน และสามีซึ่งป่วย ในขณะนี้จำเลยที่ 4 ก็ตั้งครรภ์ใกล้จะคลอด จึงขอความเมตตาจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับ ฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง ฐานร่วมกันตั้งโรงงานแปรรูปไม้ จำคุก 1 ปี ฐานแปรรูปไม้โดยไม่รับอนุญาต จำคุก 1 ปีเรียงกระทงลงโทษแล้ว วางโทษจำคุกคนละ 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 1 ปี ของกลางริบ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานร่วมกันตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่รับอนุญาต จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 4 เดือนและความผิดฐานแปรรูปไม้โดยไม่รับอนุญาต จำคุกคนละ 4 เดือนรวมจำคุกคนละ 8 เดือน จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์ แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 4 เดือนนอกจาก ที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 33)
จำเลยที่ 4 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 34)
คำสั่ง
จำเลยที่ 4 กระทำความผิดโดยความรู้เท่าถึงการณ์หรือไม่และสมควรลงโทษจำเลยที่ 4 สถานใด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 4 ชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 4ฎีกามา เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกาจำเลยที่ 4
จำเลยที่ 4 เห็นว่า จำเลยที่ 4 กระทำความผิดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ประกอบกับจำเลยที่ 4 ต้องเลี้ยงดูบุตร 2 คน และสามีซึ่งป่วย ในขณะนี้จำเลยที่ 4 ก็ตั้งครรภ์ใกล้จะคลอด จึงขอความเมตตาจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับ ฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง ฐานร่วมกันตั้งโรงงานแปรรูปไม้ จำคุก 1 ปี ฐานแปรรูปไม้โดยไม่รับอนุญาต จำคุก 1 ปีเรียงกระทงลงโทษแล้ว วางโทษจำคุกคนละ 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 1 ปี ของกลางริบ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานร่วมกันตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่รับอนุญาต จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 4 เดือนและความผิดฐานแปรรูปไม้โดยไม่รับอนุญาต จำคุกคนละ 4 เดือนรวมจำคุกคนละ 8 เดือน จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์ แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 4 เดือนนอกจาก ที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 33)
จำเลยที่ 4 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 34)
คำสั่ง
จำเลยที่ 4 กระทำความผิดโดยความรู้เท่าถึงการณ์หรือไม่และสมควรลงโทษจำเลยที่ 4 สถานใด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 4 ชอบแล้ว ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219
จำเลยเห็นว่า จำเลยไม่ทราบถึงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 และจำเลยไม่เห็น พ้องด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้น จึงขออุทธรณ์คัดค้านคำสั่งเพื่อประโยชน์ในการฎีกาใหม่ตามมาตรา 224เนื่องจากคำสั่งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ไม่เหมาะสมกับ พฤติการณ์แห่งรูปคดีนี้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 40)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง,106 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขแล้ว วางโทษจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 38)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 40)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คำฟ้องฎีกาของจำเลยมีใจความว่า จำเลยขอให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยในสถานเบาโดยให้รอลงอาญาไว้ เป็นการ โต้เถียงดุลพินิจของศาลว่าสมควรเพียงไร จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ไม่มีเจตนากระทำความผิดนั้น เห็นว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่าง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219
จำเลยเห็นว่า จำเลยไม่ทราบถึงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 และจำเลยไม่เห็น พ้องด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้น จึงขออุทธรณ์คัดค้านคำสั่งเพื่อประโยชน์ในการฎีกาใหม่ตามมาตรา 224เนื่องจากคำสั่งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ไม่เหมาะสมกับ พฤติการณ์แห่งรูปคดีนี้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 40)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง,106 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขแล้ว วางโทษจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 38)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 40)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คำฟ้องฎีกาของจำเลยมีใจความว่า จำเลยขอให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยในสถานเบาโดยให้รอลงอาญาไว้ เป็นการ โต้เถียงดุลพินิจของศาลว่าสมควรเพียงไร จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ไม่มีเจตนากระทำความผิดนั้น เห็นว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่าง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 3 ฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งรับแล้วแต่ฎีกาของจำเลยที่ 3 ยังบกพร่องจึงขอเพิ่มเติมฎีกาดังรายละเอียดปรากฏในคำร้อง โปรดอนุญาต
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7,55,72 วรรคแรกและวรรคสอง,78 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ลงโทษฐานมีอาวุธปืนอันเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 1 ปี ฐานมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตไม่ได้จำคุก 3 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 4 ปี ฯลฯยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา (อันดับ 93)
จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 100)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว แม้จำเลยที่ 3 ขอเพิ่มเติมฟ้องฎีกาภายในอายุความฎีกา แต่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา จำเลยที่ 1 น่าจะต้องมีความผิดตามฟ้อง การที่ศาลล่าง ทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ครอบครองของกลางตลอดเวลา เป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นโดยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 กระทำผิดตามฟ้องนั้นเป็นโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสองฎีกาเพิ่มเติมของจำเลยที่ 3 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับฎีกาเพิ่มเติมของจำเลยที่ 3 ให้ยกคำร้อง
ความว่า จำเลยที่ 3 ฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งรับแล้วแต่ฎีกาของจำเลยที่ 3 ยังบกพร่องจึงขอเพิ่มเติมฎีกาดังรายละเอียดปรากฏในคำร้อง โปรดอนุญาต
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7,55,72 วรรคแรกและวรรคสอง,78 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ลงโทษฐานมีอาวุธปืนอันเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 1 ปี ฐานมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตไม่ได้จำคุก 3 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 4 ปี ฯลฯยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา (อันดับ 93)
จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 100)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว แม้จำเลยที่ 3 ขอเพิ่มเติมฟ้องฎีกาภายในอายุความฎีกา แต่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา จำเลยที่ 1 น่าจะต้องมีความผิดตามฟ้อง การที่ศาลล่าง ทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ครอบครองของกลางตลอดเวลา เป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นโดยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 กระทำผิดตามฟ้องนั้นเป็นโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสองฎีกาเพิ่มเติมของจำเลยที่ 3 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับฎีกาเพิ่มเติมของจำเลยที่ 3 ให้ยกคำร้อง
ความว่า คดีนี้ ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3320ตำบลหนองซ้ำซากอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 3 ไร่3 งาน 12 วา ภายในเส้นสีแดงของเอกสารหมาย ร.3 ตามเอกสารที่แนบมาท้ายคำร้องซึ่งผู้คัดค้านมิได้โต้แย้งจำนวนเนื้อที่ดินที่ถูกครอบครองปรปักษ์และไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่ดิน และศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้ผู้ร้องเป็นผู้ได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์โดยอาศัยเอกสารหมาย ร.3 เป็นหลักในการวินิจฉัยแต่เนื่องจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้นได้พิมพ์ตัวเลขจำนวนเนื้อที่ดินเป็น 3 ไร่2 งาน 12 วา ซึ่งผิดไปจากความเป็นจริงซึ่งต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้บังคัดคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และผู้ร้องได้ดำเนินการเพื่อขอออกโฉนดที่ดินในส่วนที่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ แต่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินยังไม่ยอมออกโฉนดที่ดินให้ เนื่องจากตัวเลขจำนวนเนื้อที่ดินในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นกับเอกสารหมาย ร.3ยังขัดกันอยู่ ผู้ร้องจึงขอให้ศาลได้โปรดแก้ไขคำพิพากษาของศาลจาก "3 ไร่ 2 งาน 12 วา" เป็น 3 ไร่ 3 งาน 12 วา"เพื่อให้ถูกต้องตามความเป็นจริง โปรดอนุญาต
หมายเหตุ ผู้คัดค้านได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 105)
คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เดิมบิดาผู้ร้องได้ซื้อที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 3320 ตำบลหนองซ้ำซาก อำเภอบ้านบึงจังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 12 วา บิดาผู้ร้องได้เข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินและปลูกบ้านอยู่อาศัยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยสงบเปิดเผย จนกระทั่งบิดาถึงแก่กรรมผู้ร้องได้รับมรดกที่ดินดังกล่าวและเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยสงบเปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 3320 ตำบลหนองซ้ำซากอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เฉพาะส่วนที่ขีดเส้นสีแดงในเอกสารหมาย ร.3 เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 12 วา ตามคำร้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางประไพลิมปรุ่งพัฒนกิจ ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ (อันดับ 53)
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของ ผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา (อันดับ 75)
ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ทนายผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 97)
คำสั่ง
ศาลฎีกาพิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่ข้อความในคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ว่า "จึงมีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 3320 ตำบลหนองซ้ำซาก จังหวัดชลบุรีเฉพาะส่วนที่ขีดเส้นสีแดงในเอกสารหมาย ร.3 เนื้อที่ 3 ไร่2 งาน 12 ตารางวา ตามคำร้อง ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางประไพลิมปรุงพัฒนกิจ ผู้ร้อง"นั้น มีข้อผิดพลาดเล็กน้อยเพราะเนื้อที่ดินตามคำพิพากษาขัดกับข้อความจริงตามเอกสารหมาย ร.3 ที่ยกมาอ้าง จึงมีคำสั่งเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง โดยมีความดังนี้ "จึงมีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 3320 ตำบลหนองซ้ำซาก จังหวัดชลบุรี เฉพาะส่วนที่ขีดเส้นสีแดงในเอกสารหมาย ร.3 เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 12 ตารางวาตามคำร้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางประไพลิมปรุงพัฒนกิจ ผู้ร้อง"นอกจากที่มีคำสั่งแก้ไขคงเป็นไปตามข้อความเดิมทุกประการ
ความว่า คดีนี้ ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3320ตำบลหนองซ้ำซากอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 3 ไร่3 งาน 12 วา ภายในเส้นสีแดงของเอกสารหมาย ร.3 ตามเอกสารที่แนบมาท้ายคำร้องซึ่งผู้คัดค้านมิได้โต้แย้งจำนวนเนื้อที่ดินที่ถูกครอบครองปรปักษ์และไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่ดิน และศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้ผู้ร้องเป็นผู้ได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์โดยอาศัยเอกสารหมาย ร.3 เป็นหลักในการวินิจฉัยแต่เนื่องจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้นได้พิมพ์ตัวเลขจำนวนเนื้อที่ดินเป็น 3 ไร่2 งาน 12 วา ซึ่งผิดไปจากความเป็นจริงซึ่งต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้บังคัดคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และผู้ร้องได้ดำเนินการเพื่อขอออกโฉนดที่ดินในส่วนที่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ แต่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินยังไม่ยอมออกโฉนดที่ดินให้ เนื่องจากตัวเลขจำนวนเนื้อที่ดินในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นกับเอกสารหมาย ร.3ยังขัดกันอยู่ ผู้ร้องจึงขอให้ศาลได้โปรดแก้ไขคำพิพากษาของศาลจาก "3 ไร่ 2 งาน 12 วา" เป็น 3 ไร่ 3 งาน 12 วา"เพื่อให้ถูกต้องตามความเป็นจริง โปรดอนุญาต
หมายเหตุ ผู้คัดค้านได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 105)
คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เดิมบิดาผู้ร้องได้ซื้อที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 3320 ตำบลหนองซ้ำซาก อำเภอบ้านบึงจังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 12 วา บิดาผู้ร้องได้เข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินและปลูกบ้านอยู่อาศัยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยสงบเปิดเผย จนกระทั่งบิดาถึงแก่กรรมผู้ร้องได้รับมรดกที่ดินดังกล่าวและเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยสงบเปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 3320 ตำบลหนองซ้ำซากอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เฉพาะส่วนที่ขีดเส้นสีแดงในเอกสารหมาย ร.3 เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 12 วา ตามคำร้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางประไพลิมปรุ่งพัฒนกิจ ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ (อันดับ 53)
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของ ผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา (อันดับ 75)
ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ทนายผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 97)
คำสั่ง
ศาลฎีกาพิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่ข้อความในคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ว่า "จึงมีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 3320 ตำบลหนองซ้ำซาก จังหวัดชลบุรีเฉพาะส่วนที่ขีดเส้นสีแดงในเอกสารหมาย ร.3 เนื้อที่ 3 ไร่2 งาน 12 ตารางวา ตามคำร้อง ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางประไพลิมปรุงพัฒนกิจ ผู้ร้อง"นั้น มีข้อผิดพลาดเล็กน้อยเพราะเนื้อที่ดินตามคำพิพากษาขัดกับข้อความจริงตามเอกสารหมาย ร.3 ที่ยกมาอ้าง จึงมีคำสั่งเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง โดยมีความดังนี้ "จึงมีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 3320 ตำบลหนองซ้ำซาก จังหวัดชลบุรี เฉพาะส่วนที่ขีดเส้นสีแดงในเอกสารหมาย ร.3 เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 12 ตารางวาตามคำร้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางประไพลิมปรุงพัฒนกิจ ผู้ร้อง"นอกจากที่มีคำสั่งแก้ไขคงเป็นไปตามข้อความเดิมทุกประการ
ความว่า การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาคดีและได้พิจารณาคดีคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทำให้เกิดความเสียหายต่อคดีของจำเลย รายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้อง และหากให้ดำเนินคดีนี้ที่ศาลจังหวัดนครปฐมต่อไปจะทำให้จำเลยไม่ได้รับความเป็นธรรมและเดือดร้อนเป็นอย่างมากเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมโปรดอนุญาตให้โอนคดีนี้ไปพิจารณาที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (สำนวนตอน 2 อันดับ 95)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362และมาตรา 365(2),(3) ประกอบกับมาตรา 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา
คดีอยู่ระหว่างนัดสืบพยานจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าว (สำนวนตอน 2 อันดับ 95)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เหตุที่จำเลยอ้างขอโอนคดีไม่เข้าลักษณะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 26จึงไม่อนุญาตให้โอนคดี
ความว่า การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาคดีและได้พิจารณาคดีคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทำให้เกิดความเสียหายต่อคดีของจำเลย รายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้อง และหากให้ดำเนินคดีนี้ที่ศาลจังหวัดนครปฐมต่อไปจะทำให้จำเลยไม่ได้รับความเป็นธรรมและเดือดร้อนเป็นอย่างมากเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมโปรดอนุญาตให้โอนคดีนี้ไปพิจารณาที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (สำนวนตอน 2 อันดับ 95)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362และมาตรา 365(2),(3) ประกอบกับมาตรา 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา
คดีอยู่ระหว่างนัดสืบพยานจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าว (สำนวนตอน 2 อันดับ 95)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เหตุที่จำเลยอ้างขอโอนคดีไม่เข้าลักษณะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 26จึงไม่อนุญาตให้โอนคดี
|
ผู้ส่งข้อความ | วันที่ส่งข้อความ | ข้อความ | action |
---|